Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมไฟล์ SAR 2564

รวมไฟล์ SAR 2564

Published by mahateentip, 2022-06-24 07:21:55

Description: รวมไฟล์ SAR 2564

Search

Read the Text Version

รายงานการประเมนิ คุณภาพการศกึ ษาภายใน ๔๗ ผลการดาเนินงาน เอกสาร/หลกั ฐาน ๔ ปี เป็นสำขำวิชำเอกเดี่ยว เปิดกว้ำงมำกขึ้นในทั้งขอบข่ำยของหลักสูตร การบรรลุเปา้ หมาย สำระของหลกั สูตรและสำระกำรเรยี นรูใ้ นรำยวิชำ บรรลุ การประเมนิ ตนเอง ผลการดาเนินงาน คะแนนการประเมินตนเอง เป้าหมาย ๔ ๔ ๔

รายงานการประเมินคุณภาพการศกึ ษาภายใน ๔๘ ตวั บง่ ช้ีท่ี ๕.๒ การวางระบบผสู้ อนและกระบวนการจดั การเรียนการสอน ชนิดของตวั บง่ ช้ี กระบวนการ ประเด็นท่ตี อ้ งรายงาน - กำรกำหนดผู้สอน - กำรกำกับ ติดตำมและตรวจสอบกำรจดั ทำแผนกำรเรียนรู้ (มคอ.๓ และ มคอ.๔) และกำรจดั กำรเรียนกำรสอน - กำรจัดกำรเรียนกำรสอนในระดบั ปริญญำตรีท่ีมีกำรบูรณำกำรกับกำรวิจัย กำรบริกำรวิชำกำรทำงสงั คม และกำร ทำนุบำรุงศลิ ปะและวฒั นธรรม เกณฑ์การประเมิน คะแนน ๑ คะแนน ๒ คะแนน ๓ คะแนน ๔ คะแนน ๕ - มรี ะบบ มกี ลไก - มรี ะบบ มีกลไก - มรี ะบบ มีกลไกกำร - มรี ะบบ มกี ลไกกำร - มรี ะบบ มีกลไกกำรวำง กำรวำงระบบ กำรวำงระบบ วำงระบบผสู้ อน วำงระบบผสู้ อนและ ระบบผสู้ อนและ ผสู้ อนและ ผสู้ อนและ และกระบวนกำร กระบวนกำรจดั กำร กระบวนกำรจดั กำรเรยี น กระบวนกำร กระบวนกำร จัดกำรเรยี นกำร เรยี นกำรสอน กำรสอน จดั กำรเรียนกำร จดั กำรเรยี นกำร สอน - มีกำรนำระบบกลไก - มีกำรนำระบบกลไกกำร สอน สอน - มีกำรนำระบบกลไก กำรวำงระบบผสู้ อน วำงระบบผสู้ อนและ - ไม่มีกำรนำระบบ - มีกำรนำระบบ กำรวำงระบบผู้สอน และกระบวนกำร กระบวนกำรจดั กำรเรียน กลไกกำรวำง กลไกกำรวำง และกระบวนกำร จัดกำรเรยี นกำรสอน กำรสอนไปสู่กำรปฏบิ ตั ิ/ ระบบผสู้ อนและ ระบบผสู้ อนและ จัดกำรเรยี นกำร ไปสกู่ ำรปฏิบตั /ิ ดำเนนิ งำน กระบวนกำร กระบวนกำร สอนไปส่กู ำร ดำเนนิ งำน - มีกำรประเมินกระบวนกำร จัดกำรเรียนกำร จัดกำรเรยี นกำร ปฏบิ ตั ิ/ดำเนนิ งำน - มีกำรประเมิน กำรวำงระบบผู้สอนและ สอนไปส่กู ำร สอนไปสกู่ ำร กระบวนกำรกำรวำง กระบวนกำรจดั กำรเรียน ปฏิบัต/ิ ปฏิบัติ/ ระบบผสู้ อนและ กำรสอน ดำเนนิ งำน ดำเนนิ งำน กระบวนกำรจดั กำร เรยี นกำรสอน - มีกำรประเมิน - มกี ำรประเมิน - มกี ำรปรับปรงุ /พฒั นำ - มกี ำรปรับปรงุ /พฒั นำ กระบวนกำรกำร กระบวนกำรกำร กระบวนกำรกำรวำง กระบวนกำรกำรวำงระบบ วำงระบบผสู้ อน วำงระบบผสู้ อน ระบบผสู้ อนและ ผู้สอนและกระบวนกำร และกระบวนกำร และกระบวนกำร กระบวนกำรจดั กำร จดั กำรเรยี นกำรสอนจำก จัดกำรเรยี นกำร จัดกำรเรียนกำร เรียนกำรสอนจำกผล ผลกำรประเมนิ สอน สอน กำรประเมิน - มผี ลจำกกำรปรบั ปรงุ - ไม่มกี ำรปรับปรงุ / มีกำรปรบั ปรุง/ มีผลจำกกำรปรบั ปรุง กระบวนกำรกำรวำงระบบ พัฒนำ พัฒนำกระบวนกำร กระบวนกำรกำรวำง ผสู้ อนและกระบวนกำร กระบวนกำรกำร กำรวำงระบบผ้สู อน ระบบผสู้ อนและ จัดกำรเรียนกำรสอน วำงระบบผสู้ อน และกระบวนกำร กระบวนกำรจดั กำร เห็นชัดเปน็ รปู ธรรม และกระบวนกำร จดั กำรเรยี นกำร เรียนกำรสอนเห็นชัด มแี นวทำงปฏิบัตทิ ดี่ ี โดยมี จัดกำรเรยี นกำร สอนจำกผลกำร เป็นรูปธรรม หลักฐำนเชิงประจกั ษ์ สอน ประเมนิ ยืนยัน และกรรมกำร ผตู้ รวจประเมินสำมำรถให้ เหตุผลอธบิ ำยกำรเป็นแนว ปฏิบัตทิ ดี่ ไี ด้ชดั เจน

รายงานการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ๔๙ ผลการดาเนินงาน ผลการดาเนนิ งาน เอกสาร/หลักฐาน - การกาหนดผูส้ อน โค รงส ร้ำงห ลั ก สู ต ร ค รุศ ำส ต รบั ณ ฑิ ต ส ำข ำวิช ำก ำรส อ น ๕.๒-๑ โครงสร้ำงหลกั สตู ร พระพุทธศำสนำและจิตวิทยำกำรแนะแนว แบ่งไว้ ๓ หมวดวิชำ ได้แก่ หมวดวิชำศึกษำท่ัวไป ๓๐ หน่วยกิต (แบ่งเป็นบังคับ ๑๘ หน่วยกิต เลือก ๕.๒-๒ แผนกำรจัดกำรศึกษำสำขำวิชำกำร ๑๒ หน่วยกิต), หมวดวิชำเฉพำะ ๑๔๘ หน่วยกิต (แบ่งเป็นวิชำแกน สอนพระพุทธศำสนำและจิตวิทยำกำรแนะ พระพุทธศำสนำ ๒๔ หน่วยกิต วิชำชีพครู ๔๖ วิชำเฉพำะสำขำ ๗๘ แนว หนว่ ยกติ ), และหมวดวชิ ำเลอื กเสรี ๖ หน่วยกติ ในกำรกำหนดผูส้ อน หลักสูตรจะพิจำรณำถึงประสบกำรณ์ และควำม ๕.๒-๓ ตำรำงเรยี นภำคกำรศึกษำ ๑-๒/๒๕๖ เช่ียวชำญของอำจำรย์เป็นสำคัญ พรอ้ มกับๆ กบั พจิ ำรณำผลควำมพึงพอใจ 4 ของนิสิตท่ีประเมินในแต่ละรอบปีประกอบ ทั้งนี้เพื่อให้อำจำรย์ได้พัฒนำ ตัวเองในรำยวิชำท่ีสอนอยู่ สำมำรถใช้องค์ควำมรู้เพ่ือก้ำวสู่ตำแหน่งทำง ๕.๒-๔ บันทึกขอ้ ควำมติดตำม มคอ.3-4 วชิ ำกำรด้วย เบอ้ื งตน้ สำขำวชิ ำได้ให้อำจำรยป์ ระจำหลักสูตร และอำจำรย์ ประจำเป็นกรอบไว้พิจำรณำ และแจ้งให้อำจำรย์ได้รับทรำบเพื่อจะได้ ๕.๒-5 บนั ทึกขอ้ ควำมตดิ ตำม มคอ.5-6 พัฒนำตนเองในกรอบวิชำนน้ั อน่ึง กำรกำหนดผู้สอน แต่เดิมฝ่ำยวิชำกำรจะเป็นผู้วำงตัวบคุ คลในแต่ ละรำยวิชำ แต่จำกกำรประเมินของหลักสูตรแล้วเห็นว่ำ มีจุดอ่อนท่ีควร ปรบั ปรงุ จึงได้มีกำรหำรือกันในระดับหลักสูตร และเห็นร่วมกันว่ำ ควรให้ หลักสูตรเป็นผู้กำหนดเบ้ืองต้น ท้ังน้ีเพื่อให้ตรงกับควำมถนัดของอำจำรย์ จำกน้ันประชุมพิจำรณำรว่ มกันทุกหลักสตู รอีกคร้งั เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ไปในทิศทำง เดียวกัน ซึ่งวิธีกำรดังกล่ำวมีข้อดีคือ อำจำรย์ผู้รับผิดชอบรำยวิชำเป็นผู้ พิจำรณำด้วยตนเองตั้งแต่ต้น ต้ังแต่ปีกำรศึกษำ ๒๕๕๘ จึงได้ปรับเปลี่ยน วิธีกำรมำพิจำรณำกำหนดอำจำรย์ผู้สอนเร่ิมต้นจำกหลักสูตร แล้วจึง พจิ ำรณำร่วมกันในระดบั วิทยำลยั - การกากับ ติดตามและตรวจสอบการจัดทาแผนการเรียนรู้ (มคอ.๓ และ มคอ.๔) และการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรได้มีกำรประชุมพิจำรณำรำยละเอียด มคอ.๓ แต่ละรำยวิชำ ก่อนเปิดภำคกำรศึกษำทุกคร้ัง ท้ังน้ีเพื่อกำกับ ติดตำม และตรวจสอบกำร จัดทำ มคอ.๓ ในแต่ละรำยวชิ ำใหเ้ ป็นไปตำมเกณฑ์มำตรฐำนทก่ี ำหนด อย่ำงไรก็ตำมในทำงปฏิบัติ ก็ไม่สำมำรถพิจำรณำพร้อมกันได้ทุก รำยวิชำ หลักสูตรจึงได้ดำเนินกำร ปรับกระบวนกำรตรวจสอบ โดยกำร มอบหมำยให้มีกำรพิจำรณำตรวจสอบตำมหลังเป็นระยะ ๆ ไป แทนกำร พจิ ำรณำทั้งหมดพร้อมกัน - การจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีท่ีมีการบูรณาการกับการ วิจัย การบริการวิชาการทางสังคม และการทานุบารุงศิลปะและ วัฒนธรรม เนื่องจำกมหำวิทยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลัยม่งุ เนน้ เป็นสถำบัน ที่จัดกำรศึกษำด้ำนพระพุทธศำสนำ บูรณำกำรกับศำสตร์สมัยใหม่เพื่อ พัฒนำจิตใจและสังคม ดังน้ัน จึงมีกำรบูรณ ำกำรกับพันธกิจของ

รายงานการประเมินคุณภาพการศกึ ษาภายใน ๕๐ เอกสาร/หลกั ฐาน ผลการดาเนินงาน มหำวิทยำลัยด้ำนกำร ผลิตบัณฑิต กำรวิจัย กำรบริกำรวิชำกำรแก่สังคม และกำรทำนุบำรุงศลิ ปวฒั นธรรม การประเมนิ ตนเอง ผลการดาเนนิ งาน คะแนนการประเมนิ ตนเอง การบรรลุเปา้ หมาย ๔ ๔ บรรลุ เปา้ หมาย ๔

รายงานการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ๕๑ ตัวบง่ ชท้ี ่ี ๕.๓ การประเมนิ ผู้เรยี น ชนดิ ของตัวบง่ ชี้ กระบวนการ ประเดน็ ท่ตี ้องรายงาน - กำรประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ตำมกรอบมำตรฐำนคณุ วุฒิระดับอุดมศกึ ษำแหง่ ชำติ - กำรตรวจสอบกำรประเมินผลกำรเรียนร้ขู องนิสติ - กำรกำกับกำรประเมินกำรจัดกำรเรียนกำรสอนและประเมนิ หลักสตู ร (มคอ.๕ และ มคอ.๗) เกณฑ์การประเมนิ คะแนน ๑ คะแนน ๒ คะแนน ๓ คะแนน ๔ คะแนน ๕ - มรี ะบบ มี - มรี ะบบ มีกลไก - มรี ะบบ มกี ลไก - มรี ะบบ มกี ลไกกำร - มรี ะบบ มกี ลไกกำรประเมนิ กลไกกำร กำรประเมินผู้เรยี น กำรประเมนิ ประเมนิ ผเู้ รียน ผเู้ รยี น ประเมนิ - มีกำรนำระบบ ผูเ้ รยี น - มกี ำรนำระบบกลไก - มีกำรนำระบบกลไกกำร ผเู้ รยี น กลไกกำรประเมนิ - มกี ำรนำระบบ กำรประเมนิ ผ้เู รยี น ประเมนิ ผู้เรยี นไปสกู่ ำรปฏบิ ตั /ิ - ไมม่ กี ำรนำ ผเู้ รยี นไปสกู่ ำร กลไกกำรประเมนิ ไปสกู่ ำรปฏบิ ตั ิ/ ดำเนินงำน ระบบกลไก ปฏิบัติ/ดำเนนิ งำน ผูเ้ รยี นไปสกู่ ำร ดำเนนิ งำน - มีกำรประเมินกระบวนกำรกำร กำรประเมนิ - มีกำรประเมนิ ปฏบิ ัต/ิ - มีกำรประเมนิ ประเมินผู้เรียน ผู้เรยี นไปสู่ กระบวนกำรกำร ดำเนนิ งำน กระบวนกำรกำร - มีกำรปรบั ปรงุ /พฒั นำ กำรปฏิบตั /ิ ประเมนิ ผ้เู รยี น - มีกำรประเมนิ ประเมนิ ผเู้ รียน กระบวนกำรกำรประเมนิ ดำเนินงำน - ไม่มกี ำรปรับปรงุ / กระบวนกำรกำร - มีกำรปรบั ปรุง/พฒั นำ ผูเ้ รยี นจำกผลกำรประเมนิ พฒั นำ ประเมินผู้เรยี น กระบวนกำรกำร - มีผลจำกกำรปรบั ปรงุ กระบวนกำรกำร - มกี ำรปรบั ปรุง/ ประเมนิ ผูเ้ รยี นจำกผล กระบวนกำรกำรประเมนิ ประเมินผเู้ รยี น พัฒนำ กำรประเมนิ ผู้เรยี นเหน็ ชัดเปน็ รปู ธรรม กระบวนกำรกำร - มีผลจำกกำรปรบั ปรุง - มแี นวทำงปฏิบตั ทิ ่ีดี โดยมี ประเมินผู้เรยี น กระบวนกำรกำร หลักฐำนเชงิ ประจักษ์ยนื ยัน จำกผลกำร ประเมินผเู้ รียนเหน็ ชดั และกรรมกำรผตู้ รวจประเมนิ ประเมนิ เปน็ รปู ธรรม สำมำรถใหเ้ หตผุ ลอธบิ ำยกำร เปน็ แนวปฏิบัตทิ ่ดี ไี ดช้ ดั เจน ผลการดาเนนิ งาน ผลการดาเนินงาน เอกสาร/หลกั ฐาน - การประเมนิ ผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิระดบั อุดมศกึ ษาแห่งชาติ ๕.๓-๑ มคอ.๒ (หมวด ๕) หลักสูตรครุศำสตรบณั ฑติ สำขำวชิ ำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจิตวทิ ยำกำรแนะแนว ๕.๓-๒ รำยงำนผลกำรทวน กำหนดวิธกี ำรประเมนิ ไว้ในหมวด ๕ ไว้ ๒ ลักษณะ คอื สอบผลสัมฤทธ์ิ ๑. ประเมินให้คะแนนระดับรำยวชิ ำ ซึง่ ให้เปน็ ไปตำมระเบยี บมหำวิทยำลยั ว่ำด้วย ๕.๓-๓ รำยงำนผลกำร กำรศกึ ษำระดบั ปรญิ ญำตรี โดยอำจำรย์แต่ละรำยวิชำนำไปกำหนดในรำยละเอยี ด ของ ประเมนิ คณุ ภำพบัณฑิตตำม รำยวชิ ำ (มคอ.๓ หมวด ๔ และหมวด ๕) กรอบมำตรฐำนคุณวฒุ ิ ๒. กำรทวนสอบมำตรฐำนผลสมั ฤทธิ์ของนสิ ติ ซึง่ กำหนดไว้ ๒ ลกั ษณะ คือ ระดับอดุ มศึกษำ ๒.๑ ทวนสอบผลสมั ฤทธิข์ ณะทย่ี ังไมส่ ำเรจ็ กำรศกึ ษำ ๕.๓.๔ รำยงำนกำรประชมุ ๒.๒ ทวนสอบผลสมั ฤทธภ์ิ ำยหลงั สำเรจ็ กำรศึกษำไปแลว้ อำจำรยป์ ระจำหลกั สตู ร คร้งั ในระดบั รำยวชิ ำ สำขำวิชำกำรสอนพพระพุทธศำสนำและจิตวิทยำกำรแนะแนว ได้ ที่ ๖/๒๕๖4 วำระแจง้ เพื่อ กำหนดใหอ้ ำจำรย์แตล่ ะทำ่ น สง่ รำยละเอยี ดรำยวิชำ (มคอ.๓) ตอ่ หลักสตู รกอ่ นเปิดกำรศกึ ษำ ทรำบ อย่ำงน้อย ๑ สปั ดำห์ และเมอื สน้ิ ภำคกำรศึกษำ อำจำรยผ์ รู้ ับผิดชอบรำยวิชำตอ้ งจดั ทำ ๕.๓.๕ มคอ.๕ ทุกรำยวิชำท่ี

รายงานการประเมนิ คุณภาพการศกึ ษาภายใน ๕๒ รำยงำนผลกำรดำเนินงำน (มคอ.๕) ตอ่ หลักสตู ร โดยหลักสตู รจะทำหน้ำที่ตรวจสอบผลกำร จดั กำรเรยี นกำรสอนในปี ประเมินกำรเรยี นรู้ใหเ้ ป็นไปตำมกรอบมำตรฐำนคณุ วุฒิระดับอุดมศกึ ษำแห่งชำติ กำรศึกษำ ๒๕๖๔ ในกำรประเมินผลกำรเรยี นรตู้ ำมขอ้ ๒.๑ หลกั สตู รไดต้ ้งั คณะกรรมกำรทวนสอบ ๕.๓.๖ มคอ.๗ สำขำวชิ ำกำร ผลสมั ฤทธต์ิ ำมเกณฑม์ ำตรฐำนท่กี ำหนด โดยในปกี ำรศกึ ษำ ๒๕๕๙ มีกำรทวนสอบจำนวน สอนพระพุทธศำสนำและ ๑๕ รำยวชิ ำ คิดเป็นรอ้ ยละ ๒๕.๔๒ จติ วทิ ยำกำรแนะแนว - การตรวจสอบการประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องนสิ ิต หลกั สตู รครุศำสตรบณั ฑติ สำขำวิชำกำรสอนพระพุทธศำสนำและจติ วิทยำกำรแนะแนว ไดก้ ำหนดเรื่องกำรตรวจสอบกำรเมินผลกำรเรยี นรขู้ องนิสติ ไวใ้ น มคอ.๒ หมวด ๕, มคอ.๓ หมวด ๗ และ มคอ.๕ หมวด ๓ ข้อ ๗ ในปกี ำรศึกษำ ๒๕62 หลกั สตู ไดต้ รวจสอบวธิ กี ำรวัดประเมนิ ผล จำกแผนกำรสอน สอดคล้องกันหรอื ไม่ ครบถ้วนหรอื ไม่ วธิ กี ำรวดั และประเมินผลกับกำรวัดและประเมินผลจรงิ (แบง่ คะแนนอะไรบำ้ ง เช่น กลำงภำค ปลำยภำค งำน จิตพสิ ัย แบ่งตำมนน้ั จริงหรือไม)่ ทวน สอบจำก มคอ.๓ ในสว่ นท่เี ป็นวิธกี ำรประเมินผลในแตล่ ะมำตรฐำนกำรเรยี นรกู้ ับกำรวัดผล และประเมินผลจริงทง้ั ๕ ดำ้ น อนง่ึ ในปกี ำรศกึ ษำ ๒๕63 ไดม้ ีกำรประเมินกระบวนกำรประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ของนิสติ ทำให้เห็นชอ่ งว่ำงเช่น กำรประเมนิ ในบำงรำยวิชำทีค่ ลำดเคล่อื น ผลกำรเรยี นรกู้ บั วธิ ีกำร ประเมินไมส่ อดคลอ้ งกัน เปน็ ตน้ เดิมทเี ดยี วหลักสตู รใชว้ ิธีกำรพูดคยุ เฉพำะในหลักสตู ร ซ่ึงกท็ ำใหไ้ ดผ้ ลในวงแคบ จึงไดม้ ี กำรปรับไปพดู คยุ ในวงกวำ้ ง เชน่ ในท่ีประชมุ คณำจำรย์ ซ่งึ จำกกำรปรับวิธีกำรดังกลำ่ ว ทำให้อำจำรย์เรมิ่ ตระหนัก และใหค้ วำมสำคัญกบั กำร ออกแบบกำรเรียนกำรสอนมำกขนึ้ ดังจะเห็นได้ มคอ.๓ ในบำงรำยวิชำ เร่ิมใสใ่ จ และลง รำยละเอียดทเี่ ปน็ ตวั บง่ ช้ีเชิงคณุ ภำพมำกข้นึ จำกผลกำรประเมนิ ผลกำรเรียนร้ดู ว้ ยกำรทวนสอบผลสมั ฤทธ์ริ ้อยละ ๒๕ ของรำยวิชำที่ เปดิ สอนในปกี ำรศึกษำ ๒๕64 พบวำ่ มผี ลกำรเรียนรตู้ ำมกรอบมำตรฐำนทง้ั ๕ ดำ้ นอย่ใู น ระดับมำก และไมม่ ีรำยวิชำใดมคี ะแนนเฉลีย่ ต่ำกวำ่ ๔.๐๐ จำกคะแนนเตม็ ๕ - การกากับการประเมนิ การจัดการเรียนการสอนและประเมินหลกั สูตร (มคอ.๕ มคอ.๖ และ มคอ.๗) หลกั สูตรครุศำสตรบณั ฑติ สำขำกำรสอนพระพุทธศำสนำและจติ วิทยำกำรแนะแนว ได้มี กำรกำกับกำรประเมินกำรเรียนกำรสอน และกำรประเมินหลักสตู ร โดยในสว่ นของกำรเรียน กำรสอน ไดม้ ีกำรตรวจสอบผลกำรประเมนิ ของอำจำรยแ์ ต่ละรำยวชิ ำอยำ่ งใกล้ชดิ ถ้ำเหน็ วำ่ มี ควำมผดิ ปกติ ก็จะสอบถำมอำจำรยผ์ สู้ อนนน้ั ๆ โดยตรง ในส่วนของกำรประเมินหลกั สตู ร แมจ้ ะมีกำรตงั้ คณะกรรมกำรประเมนิ หลกั สตู รตำม กรอบที่กำหนดไว้ หลกั สตู รก็ยงั นำผลกำรประเมนิ มำวิเครำะหร์ ำยละเอยี ดอีกครัง้ ในกำร ประชุมอำจำรยป์ ระจำหลกั สตู ร การประเมินตนเอง ผลการดาเนินงาน คะแนนการประเมินตนเอง การบรรลุเป้าหมาย เปา้ หมาย ๔ ๔ บรรลุ ๔

รายงานการประเมนิ คุณภาพการศกึ ษาภายใน ๕๓ ตวั บง่ ชที้ ี่ ๕.๔ ผลการดาเนนิ งานหลกั สตู รตามกรอบมาตรฐานคณุ วุฒิระดับอุดมศกึ ษาแหง่ ชาติ ชนดิ ของตัวบง่ ช้ี ผลลัพธ์ ผลการดาเนินงาน ๑) ผลการดาเนินงานตามตัวบ่งช้ผี ลการดาเนินงานใน มคอ.๒ ของหลกั สูตร ลาดบั ดชั นีบ่งชผ้ี ลการดาเนนิ งาน ผลการดาเนนิ งาน เปน็ ไปตามเกณฑ์ (Key Performance Indicators) ผ่าน ไม่ผา่ น  ๑ อำจำรยป์ ระจำหลักสตู รอย่ำงน้อยร้อยละ หลักสตู รครศุ ำสตรบณั ฑติ  ๘๐ มสี ่วนรว่ มในกำรดำเนินงำนหลักสูตร สำขำวชิ ำกำรสอนพระพุทธศำสนำ  และจติ วทิ ยำกำรแนะแนว กำหนด  ปฏทิ ินกำรประชมุ ปลี ะ ๖ คร้ัง กำร ประชุมทกุ ครงั้ มีอำจำรยป์ ระจำ  หลกั สตู รเขำ้ รว่ มไม่น้อยกว่ำร้อยละ ๘๐ ในรอบปีกำรศกึ ษำ ๒๕๖๐ หลกั สตู รมีกำรประชุมอำจำรย์ ประจำหลักสตู ร จำนวน ๖ ครง้ั มอี ำจำรยป์ ระจำหลักสูตรเข้ำ ประชมุ ครบทุกคร้ัง คิดเปน็ ร้อยละ ๘๐ ๒ มีรำยละเอียดของหลกั สตู รตำมแบบ มคอ หลักสตู รครุศำสตรบณั ฑติ สำขำ ๒ ท่ีสอดคล้องกับกรอบมำตรฐำนคณุ วุฒิ กำรสอนพระพุทธศำสนำและ ระดับอดุ มศึกษำแห่งชำติ จติ วิทยำกำรแนะแนวำ มี รำยละเอียดหลักสูตร (มคอ.๒) ฉบับปรบั ปรงุ ๒๕๕๕ ตำมกรอบ มำตรฐำนคณุ วุฒริ ะดับอุดมศึกษำ (TQF) และสำนักงำน คณะกรรมกำรอุดมศกึ ษำ ๓ มีรำยละเอยี ดของรำยวชิ ำ และรำยละเอยี ด หลกั สตู รมกี รอบระยะเวลำ ของประสบกำรณภ์ ำคสนำม (ถ้ำม)ี ตำม กำหนดให้อำจำรย์ผสู้ อนทุกรำยวชิ ำ แบบ มคอ ๓ อยำ่ งนอ้ ยก่อนกำรเปิดสอน จดั ทำ มคอ.๓ หรือ ๔ และนำส่ง ในแตล่ ะภำคกำรศึกษำใหค้ รบทุกรำยวิชำ หลกั สตู รอยำ่ งนอ้ ย ๑ สปั ดำห์ ก่อน กำรเปดิ ภำคกำรศึกษำ ๔ จัดทำรำยงำนผลกำรดำเนินงำนของ หลกั สตู รมีกำรกำหนดใหอ้ ำจำรย์ รำยวิชำ และรำยงำนผลกำรดำเนนิ งำนของ ผสู้ อนทุกรำยวชิ ำจัดทำรำยงำนผล ประสบกำรณ์ภำคสนำม (ถำ้ มี) ตำมแบบ กำรดำเนนิ กำรของรำยวิชำ และ มคอ ๕ ภำยใน ๓๐ วนั หลังสนิ้ สดุ ภำค รำยงำนผลกำรดำเนินกำรของ กำรศึกษำท่ีเปดิ สอนให้ครบทกุ รำยวิชำ ประสบกำรณภ์ ำคสนำม (ถำ้ ม)ี ตำม แบบ มคอ.๕ และ มคอ.๖ ภำยใน ๓๐ วัน หลังส้ินสดุ ภำคกำรศึกษำท่ี เปิดสอนใหค้ รบทุกรำยวชิ ำ ๕ จัดทำรำยงำนผลกำรดำเนนิ กำรของ หลักสตู รมกี ำรกำหนดให้อำจำรย์ หลกั สตู ร ตำมแบบ มคอ. ๗ ภำยใน ๖๐ ประจำหลักสตู รร่วมกันจดั ทำ วนั หลงั สิน้ สดุ ปกี ำรศึกษำ รำยงำนผลกำรดำเนนิ กำรของ

รายงานการประเมินคุณภาพการศกึ ษาภายใน ๕๔ ลาดับ ดชั นบี ง่ ชี้ผลการดาเนนิ งาน ผลการดาเนนิ งาน เป็นไปตามเกณฑ์ (Key Performance Indicators) ผ่าน ไม่ผา่ น  หลกั สตู ร ตำมแบบ มคอ.๗ ภำยใน  ๖๐ วัน หลังส้ินสดุ ปกี ำรศึกษำ ตอ่  คณะกรรมกำรประจำวิทยำลยั และ คณะ ๖ มกี ำรทบทวนผลสมั ฤทธข์ิ องนกั ศกึ ษำตำม ในปีกำรศกึ ษำ ๒๕๖4 หลกั สตู รมี มำตรฐำนผลกำรเรยี นร้ทู กี่ ำหนดใน มคอ. กำรทวนสอบผลสำฤทธิข์ องนิสติ ๓ อยำ่ งนอ้ ยรอ้ ยละ ๒๕ ของรำยวิชำทีเ่ ปดิ ตำมกรอบมำตรฐำนกำรเรยี นรูท้ ่ี สอนในแตล่ ะปีกำรศึกษำ กำหนดไวใ้ น มคอ.๓ อยำ่ งนอ้ ยไม่ รอ้ ยกวำ่ ร้อยละ ๒๕ ของรำยวิชำ ท่ีเปิดสอนทงั้ หมด สำขำวิชำกำร สอนพระพทุ ธศำสนำและจิตวิทยำ แนะแนว ได้มีกำรทวนสอบผลสำ ฤทธท์ิ งั้ หมด ๒๐ รำยวชิ ำ คดิ เป็น ร้อยละ ๒๗.๓๙ ของรำยวชิ ำ ท้ังหมดทีเ่ ปิดสอนในปกี ำรศึกษำ ๒๕๖4 ๗ มกี ำรพฒั นำ/ปรบั ปรงุ กำรจัดกำรเรียนกำร -หลักสตู รไดม้ ีกำรนำผลจำก สอน กลยทุ ธ์กำรสอน หรอื กำรประเมนิ ผล ประเมนิ กำรดำเนินงำนในรอบปี กำรเรยี นรู้ จำกผลกำรประเมินกำร ๒๕63 ทผ่ี ่ำนมำปรบั ปรงุ กำร ดำเนินงำนที่รำยงำนใน มคอ. ๗ ปีทแ่ี ล้ว ดำเนนิ กำรในรอบปกี ำรศึกษำ ๒๕๖ 4 หลำยด้ำน เชน่ ดำ้ นกจิ กรรม นสิ ติ ด้ำนผู้สอน ด้ำนกำรวดั ผล ประเมนิ ผล มีกำรเกบ็ รำยละเอยี ด มำกขึ้น ๘ อำจำรย์ใหม่ (ถำ้ มี) ทกุ คนไดร้ ับกำร - ปฐมนเิ ทศ หรือคำแนะนำดำ้ นกำรจดั กำร เรียนกำรสอน ๙ อำจำรยป์ ระจำหลกั สตู รทุกคนไดร้ บั กำร อำจำรย์ประจำหลกั สตู รครศุ ำสตร พฒั นำทำงวิชำกำร และ/หรือวิชำชพี บัณฑติ สำขำวชิ ำกำรสอน อย่ำงน้อยปลี ะครัง้ พระพทุ ธศำสนำและจติ วทิ ยำแนะ แนว ไดร้ บั กำรพัฒนำทำงวชิ ำกำร อยำ่ งนอ้ ยปลี ะ ๑ คร้ัง ตำมเอกสำร แนบในองคอ์ งคป์ ระกอบที่ ๕ ๑๐ จำนวนบคุ ลำกรสนบั สนนุ กำรเรียนกำรสอน - (ถำ้ มี) ไดร้ ับกำรพัฒนำวชิ ำกำร และ/หรอื วิชำชีพ ไมน่ อ้ ยกว่ำร้อยละ ๕๐ ตอ่ ปี ๑๑ ระดบั ควำมพงึ พอใจของนสิ ติ ปสี ุดท้ำย/ หลักสูตรครุศำสตรบัณฑิตสำขำวชิ ำ  บัณฑติ ใหม่ ทม่ี ีตอ่ คณุ ภำพหลักสตู ร เฉลย่ี กำรสอนพระพุทธศำสนำและ ไมน่ ้อยกวำ่ ๓.๕ จำกคะแนนเตม็ ๕ จิตวิทยำกำรแนะแนว ได้สำรวจ ควำมพึงพอใจของนิสิตช้ันปีท่ี ๕

รายงานการประเมินคุณภาพการศกึ ษาภายใน ๕๕ ลาดบั ดชั นีบ่งช้ีผลการดาเนนิ งาน ผลการดาเนินงาน เปน็ ไปตามเกณฑ์ (Key Performance Indicators) ผา่ น ไมผ่ ่าน  จำนวน 9 รูป/คน มีค่ำคะแนน ควำมพึงพอใจเฉลย่ี ๔.๕๕  ๑๒ ระดับควำมพงึ พอใจของผ้ใู ชบ้ ณั ฑติ ทม่ี ตี อ่ หลักสตู รครุศำสตรบณั ฑติ สำขำวิชำ ๑๑ บณั ฑิตใหม่ เฉลยี่ ไม่น้อยกว่ำ ๓.๕ จำก กำรสอนพระพุทธศำสนำและ ๑๑ คะแนนเตม็ ๕ จติ วิทยำแนะแนวได้สำรวจควำมพงึ ๑๐๐ พอใจของผใู้ ชบ้ ณั ฑิตจำนวน 9 รปู / ๕ 13 นสิ ติ ไดเ้ ขำ้ รว่ มกิจกรรมส่งเสรมิ ควำมเปน็ คน มีค่ำคะแนนควำมพงึ พอใจเฉลยี่ ครคู รบถว้ นทุกกิจกรรมทก่ี ำหนดเป็น ๔.๓๐ ประจำทุกปี หลักสตู รครุศำสตร 14 มกี ำรจดั ประสบกำรณบ์ รู ณำกำรกำรเรยี นรู้ บณั ฑิต สำขำวิชำกำรสอน กับกำรปฏบิ ตั ิงำนวิชำชีพครใู นสถำนศกึ ษำ พระพุทธศำสนำและจติ วิทยำกำร อยำ่ งต่อเนื่องทกุ ปีกำรศกึ ษำ แนะแนว ไดส้ ง่ เสรมิ พฒั นำนิสติ ใหม้ ี ควำมรู้ ทนั ควำมเปลี่ยนแปลงยคุ รวมตวั บ่งชใ้ี นปีกำรศึกษำที่รบั ประเมิน ปัจจุบัน โดยร่วมกับหนว่ ยงำน ภำยในองคก์ ร วทิ ยำลัยสงฆ์ บุรรี ัมย์ จดั กจิ กรรมส่งเสรมิ ดำ้ น เทคโนโลยีสำรสนเทศ กำรทดสอบ ภำษำอังกฤษสำหรับนสิ ิต เป็นตน้ หลักสตู รครศุ ำสตร บัณฑิต สำขำวิชำกำรสอน พระพทุ ธศำสนำและจติ วิทยำกำร แนะแนว ไดส้ ่งเสรมิ พัฒนำนสิ ติ ใหม้ ี ควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจหลกั กำร ทฤษฎี นำควำมรไู้ ปประโยชน์ใน กำรวจิ ยั บูรณำกำรในกำรวิจัยในชนั้ เรยี น จำนวนตัวบ่งชท้ี ีด่ ำเนนิ กำรเป็นไปตำมเกณฑ์ระดบั ผำ่ น รอ้ ยละของตวั บ่งช้ีท้ังหมดในปีนีท้ เี่ ปน็ ไปตำมเกณฑ์ระดับผำ่ น คะแนนผลกำรดำเนินงำนหลักสตู รตำม มคอ.๒ ๑. ค่ำรอ้ ยละ ๑๐๐ = ๕ คะแนน ๒. คำ่ รอ้ ยละ ๘๐ = ๑ คะแนน ๓. คำ่ รอ้ ยละไมเ่ กิน ๘๐ = ๐ คะแนน ๔. คำ่ ร้อยละทมี่ ำกกวำ่ รอ้ ยละ ๘๐ และไมเ่ กนิ ร้อยละ ๑๐๐ ใหใ้ ชส้ ูตรคำนวณหำคำ่ คะแนน

รายงานการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ๕๖ ๒) การปฐมนิเทศอาจารย์ใหม่ จานวน จานวน การปฐมนิเทศเพ่อื ชแ้ี จงหลักสูตร อาจารย์ใหมท่ งั้ หมด อาจารยใ์ หม่ที่เข้ารบั การปฐมนเิ ทศ มี  ไมม่ ี -รูป/คน - รูป/คน ๓) กิจกรรมการพัฒนาวิชาชีพของอาจารยแ์ ละบุคลากรสายสนบั สนนุ กิจกรรมท่จี ดั หรอื เขา้ ร่วม จานวนผู้เขา้ ร่วม สรปุ ข้อคดิ เหน็ และประโยชน์ อาจารย์ บุคลากรสายสนับสนนุ ทีผ่ เู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรมไดร้ ับ กำรอบรมภำษำอังกฤษสำหรบั ๕ ๑ -เกิดกำลังใจในกำรเขยี นและนำเสนอ บคุ ลำกร สำยวชิ ำกำร บทควำมในระดับตำ่ ง ๆ กำรอบรมกำรเรยี นกำรสอนผำ่ น ๕ ๑ -เกิดทกั ษะกำรเรยี นรดู้ ้ำนกำรจัดงำน ระบบออนไลน์ กำรประชมุ ระดับชำติ สมั มนำเชงิ ปฏบิ ัตกิ ำรกำรพฒั นำ ศักยภำพกำรสอนสำหรบั ๕ ๑ คณำจำรย์ อบรมหลักสูตรกำรพัฒนำทกั ษะ ๑ ดำ้ นเทคโนโลยแี ละนวตั กรรม ๕ ทำงกำรศึกษ การประเมนิ ตนเอง เปา้ หมาย ผลการดาเนนิ งาน คะแนนการประเมนิ ตนเอง การบรรลุเป้าหมาย ๑๐๐ ๑๐๐ ๑๐๐ บรรลุ รายการหลกั ฐาน รหัสเอกสาร/หลักฐาน ชือ่ รายการหลกั ฐาน/เอกสาร ๕.๔-๑ รำยงำนกำรประชุมอำจำรยป์ ระจำหลกั สตู รและรบั ผดิ ชอบหลกั สตู รปี ๒๕๖๔ ๕.๔-๒ มคอ.๒ หลกั สตู รครศุ ำสตรบณั ฑิต สำขำวชิ ำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจติ วทิ ยำกำรแนะ แนว (หลกั สูตรปรบั ปรงุ ๒๕๕๖) ๕.๔-๓ มคอ.๓ ภำคกำรศกึ ษำ ๑-๒ /๒๕๖๔ ๕.๔-๔ บนั ทึกควบคมุ กำรจดั ทำ/สง่ มอค.๓ ของหลกั สตู ร ๕.๔-๕ มคอ.๕ ภำคกำรศกึ ษำ ๑-๒ /๒๕๖๔ ๕.๔-๖ บนั ทึกควบคมุ กำรจดั ทำ/สง่ มอค.๕ ของหลักสูตร ๕.๔-๗ มคอ.๔ ภำคกำรศกึ ษำ ๑-๒ /๒๕๖๔ ๕.๔-๘ บนั ทึกควบคุมกำรจดั ทำ/สง่ มอค.๖ ของหลักสูตร ๕.๔-๙ รำยงำนทวนสอบผลสมั ฤทธ์ิ ประจำปีกำรศึกษำ ๒๕๖๔ ๕.๔-๑๐ รำยงำนผลกำรดำเนนิ งำนของหลกั สตู รครศุ ำสตรบัณฑติ สำขำวิชำกำรสอน พระพทุ ธศำสนำและจติ วทิ ยำแนะแนว (มคอ.๗) ๕.๔-๑๑ รำยงำนสรุปโครงกำรอบรมภำษำอังกฤษสำหรบั คณำจำรย์ ๕.๔-๑๒ รำยงำนควำมพึงพอใจของผู้ใชห้ ลกั สูตร ชัน้ ปสี ดุ ท้ำย ๕.๔-๑๓ รำยงำนควำมพงึ พอใจของผใู้ ช้บัณฑิต ประจำปี ๒๕๖๔

รายงานการประเมนิ คุณภาพการศกึ ษาภายใน ๕๗ วเิ คราะห์จดุ แขง็ และจุดท่ีควรพฒั นา องค์ประกอบที่ ๕ จดุ แข็ง - จุดท่ีควรพฒั นา หลักสูตรสำขำวิชำกำรสอนพระพุทธศำสนำและจิตวิทยำแนะแนวควรท่ีจะนำวิชำที่มีควำมเกี่ยวข้องกับภูมิ ปัญญำท้องถิ่นให้มำกยิ่งขึ้น ควรประยุกต์หลักกำรทำงพระพุทธศำสนำและจิตวิทยำแนะแนวแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน มีงำนวิจัย ร่วมกันระหว่ำงอำจำรย์ผู้สอนและนิสติ เพ่ือเปน็ กำรฝึกทักษะทำงวิชำกำรแก่นสิ ิตและเพม่ิ ประสบกำรณว์ ิจยั แก่อำจำรย์ผสู้ อน แนวทางเสรมิ จดุ แข็งและปรับปรงุ จดุ ท่คี วรพัฒนา ๑. หลักสูตรสำขำวิชำกำรสอนพระพุทธศำสนำและจิตวิทยำแนะแนวบูรณำกำรวิชำที่มีควำมเก่ียวข้องกับภูมิ ปญั ญำท้องถ่นิ ๒. ประยกุ ตห์ ลกั กำรทำงพระพทุ ธศำสนำและจติ วทิ ยำแนะแนวแบบมสี ว่ นรว่ มกบั ชมุ ชน ๓. จัดโครงกำรวิจัยร่วมกันระหว่ำงอำจำรย์ผู้สอนและนิสิตเพ่ือเป็นกำรฝึกทักษะทำงวิชำกำรแก่นิสิตและเพิ่ม ประสบกำรณว์ จิ ยั แก่อำจำรยผ์ สู้ อน ๔. ควรจัดให้มีกำรฝึกอบรม และพัฒนำวิชำชีพให้แก่อำจำรย์ด้ำนกำรทำผลงำนทำงวิชำกำร และกำรขึ้นสู่ ตำแหนง่ ทำงวิชำกำร

รายงานการประเมินคุณภาพการศกึ ษาภายใน ๕๘ องคป์ ระกอบที่ ๖ ส่ิงสนับสนนุ การเรยี นรู้ ตัวบง่ ชี้ท่ี ๖.๑ สิ่งสนบั สนุนการเรยี นรู้ ชนิดของตัวบ่งช้ี กระบวนการ ประเดน็ ท่ตี อ้ งรายงาน - จำนวนสงิ่ สนับสนุนกำรเรียนรทู้ ่เี พยี งพอและเหมำะสมต่อกำรจัดกำรเรยี นกำรสอน - กระบวนกำรปรบั ปรุงตำมผลกำรประเมนิ ควำมพึงพอใจของนสิ ิตและอำจำรย์ต่อสง่ิ สนับสนนุ กำรเรียนรู้ เกณฑ์การประเมิน คะแนน ๑ คะแนน ๒ คะแนน ๓ คะแนน ๔ คะแนน ๕ - มีระบบ มี - มรี ะบบ มกี ลไก - มรี ะบบ มีกลไก - มรี ะบบ มกี ลไกเกี่ยวกบั - มรี ะบบ มกี ลไกเกย่ี วกบั สิ่ง กลไกเกยี่ วกบั เก่ียวกับส่ิง เกยี่ วกับส่ิง ส่ิงสนบั สนุนกำรเรียนรู้ สนบั สนนุ กำรเรยี นรู้ ส่งิ สนับสนุน สนับสนุนกำร สนบั สนนุ กำร - มีกำรนำระบบกลไก - มกี ำรนำระบบกลไกเก่ยี วกับ กำรเรยี นรู้ เรยี นรู้ เรยี นรู้ เกีย่ วกบั สิง่ สนับสนนุ สิง่ สนับสนนุ กำรเรียนรไู้ ปสู่ - ไม่มีกำรนำ - มกี ำรนำระบบ - มกี ำรนำระบบ กำรเรยี นร้ไู ปสูก่ ำร กำรปฏบิ ตั /ิ ดำเนนิ งำน ระบบกลไก กลไกเกย่ี วกบั สง่ิ กลไกเกย่ี วกบั สง่ิ ปฏบิ ัต/ิ ดำเนินงำน - มกี ำรประเมนิ กระบวนกำร เก่ียวกบั สิ่ง สนับสนนุ กำร สนบั สนนุ กำร - มกี ำรประเมนิ เกยี่ วกบั ส่งิ สนับสนุนกำร สนบั สนนุ กำร เรียนรไู้ ปสกู่ ำร เรียนรไู้ ปสู่กำร กระบวนกำรเกย่ี วกบั สงิ่ เรียนรู้ เรยี นรไู้ ปสูก่ ำร ปฏิบัต/ิ ดำเนนิ งำน ปฏิบตั ิ/ สนับสนนุ กำรเรยี นรู้ - มกี ำรปรบั ปรุง/พฒั นำ ปฎิบัติ/ - มีกำรประเมิน ดำเนนิ งำน - มีกำรปรบั ปรงุ /พฒั นำ กระบวนกำรเกย่ี วกับสง่ิ ดำเนนิ งำน กระบวนกำร - มีกำรประเมนิ กระบวนกำรเก่ียวกับส่งิ สนับสนนุ กำรเรยี นรู้จำกผล เกีย่ วกบั สง่ิ กระบวนกำร สนบั สนนุ กำรเรยี นรู้ กำรประเมนิ สนับสนนุ กำร เกย่ี วกบั สิ่ง จำกผลกำรประเมนิ - มผี ลจำกกำรปรบั ปรงุ เรียนรู้ สนบั สนุนกำร - มผี ลจำกกำรปรับปรงุ กระบวนกำรเกีย่ วกบั ส่งิ - ไม่มกี ำรปรบั ปรงุ / เรยี นรู้ กระบวนกำรเกีย่ วกบั สงิ่ สนบั สนุนกำรเรยี นรูเ้ หน็ ชดั พัฒนำ - มีกำรปรบั ปรุง/ สนับสนุนกำรเรยี นรู้ เปน็ รปู ธรรม กระบวนกำร พฒั นำ เห็นชดั เปน็ รูปธรรม - มีแนวทำงปฏบิ ตั ิทด่ี ี โดยมี เก่ยี วกับสง่ิ กระบวนกำร หลักฐำนเชิงประจกั ษ์ยืนยนั สนบั สนุนกำร เกยี่ วกบั สิง่ และกรรมกำรผตู้ รวจประเมนิ เรยี นรู้ สนับสนุนกำร สำมำรถใหเ้ หตผุ ลอธิบำยกำร เรียนรจู้ ำกผลกำร เปน็ แนวปฏิบัติทดี่ ไี ด้ชดั เจน ประเมิน

รายงานการประเมนิ คุณภาพการศกึ ษาภายใน ๕๙ ผลการดาเนนิ งาน ผลการดาเนนิ งาน เอกสาร/หลกั ฐาน ระบบกำรดำเนนิ งำนของภำควิชำ/คณะ/วิทยำเขต/วทิ ยำลยั สงฆ/์ ๖.๑-๑ ภำพของสมุด สถำบนั โดยมีสว่ นร่วมของอำจำรย์ประจำหลกั สตู ร เพอื่ ใหม้ ีส่งิ สนบั สนนุ กำร ๖.๑-๒ ภำพหอ้ งเรียนอัจฉริยะ เรียนรู้ ๖.๑-๓ ภำพห้องภำษำ ๑.หลกั สตู รครุศำสตร์ สำขำวิชำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจติ วทิ ยำกำร ๖.๑-๔ ภำพหอ้ งคอมพิวเตอร์ แนะแนว มีระบบและกลไกเกย่ี วกบั กำรดำเนินงำน เพือ่ ให้มสี ่งิ สนบั สนุนกำร ๖.๑-๕ แผนฝังระบบไวไฟ เรียนรู้ คือ สำรวจควำมตอ้ งกำรสงิ่ สนับสนนุ กำรเรยี นรู้จำกนสิ ิต และสำรวจ ๖.๑-๖ ภำพควำมพร้อมอำคำรเรียน อำคำร ควำมตอ้ งกำรสิ่งสนับสนุนกำรเรยี นรู้จำกอำจำรย์ผสู้ อน โดยไดน้ ำผลกำรสำรวจ สงั ฆประชำสรรค์ เขำ้ ทป่ี ระชุม อำจำรยป์ ระจำหลกั สูตรฯ เพื่อพจิ ำรณำกำรจัดหำสิง่ สนบั สนนุ ๖.๑-๗ จำนวนหนงั สือตอ่ นสิ ิต กำรเรยี นรู้ให้แก่นิสติ แล้วทำแผนงบประมำณเกี่ยวกบั วสั ดแุ ละครภุ ณั ฑข์ อง ๖.๑-๘ สถติ หิ นังสือสนบั สนุนของกำรเรยี น หลกั สตู รเสนอแผนงบประมำณเกยี่ วกบั วัสดแุ ละครภุ ณั ฑป์ ระจำปี ๖.๑-๙ รำยงำนจำนวนคอมพิวเตอร์เฉลี่ย ๒.หลักสตู รครุศำสตร์ สำขำวิชำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจติ วิทยำกำร ตอ่ นสิ ติ แนะแนว ประชุมอำจำรย์ประจำและรับผิดชอบหลกั สตู ร เพอ่ื พิจำรณำวำง ๖.๑-๑๐ รำยงำนจำนวนหนังสือเฉล่ียต่อ แผนกำรจดั หำสิง่ สนับสนนุ กำรเรียนรู้ของนสิ ติ ประกอบด้วย จำนวนนิสติ - หอ้ งเรียนให้มเี คร่ืองส่งิ สนบั สนุนกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนมี ๖.๑-๑๑ สรุปผลประเมินควำมพึงพอใจ โสตทัศนูปกรณ์ทีท่ ันสมยั เพียงพอและพรอ้ มตอ่ กำรใชง้ ำน ๖.๑-๑๒ ควำมเสย่ี งทรัพยำกรกำรเรยี นรู้ - ห้องปฏิบตั ิกำรสอนตำมมำตรฐำนวิชำชีพ สำหรบั จดั กจิ กรรมสมั มนำกำร ปฏบิ ัติกำรสอน/กำรเรยี นกำรสอนท่สี ำมำรถนำเสนอด้วยภำพและเสยี ง มี อุปกรณแ์ ละสื่อกำรสอนทท่ี นั สมัยเป็นหอ้ งปฏบิ ตั กิ ำรสัมมนำเกย่ี วกบั กจิ กรรม กำรปฏิบัติกำรสอนของนสิ ิต - กำรจัดหำอปุ กรณ์ วสั ดุ ครภุ ณั ฑท์ ำงกำรศกึ ษำทจ่ี ำเปน็ ในกำรจดั กำรเรียน กำรสอนใหเ้ พยี งพอและอยู่ในสภำพทพ่ี รอ้ มต่อกำรใชง้ ำนอยเู่ สมอ ๓.อำจำรยป์ ระจำและรับผดิ ชองหลักสตู ร ไดม้ ีกำรประเมินกระบวนกำร ปรับปรงุ เพ่ือแกไ้ ข ตำมผลกำรประเมินควำมพงึ พอใจของนิสิตและอำจำรยต์ อ่ สิ่งสนับสนนุ กำรเรยี นรจู้ ำนวนสิ่งสนบั สนนุ กำรเรยี นรูท้ ี่เพียงพอและเหมำะสม ตอ่ กำรจดั กำรเรยี นกำรสอน 4.อำจำรยป์ ระจำและรับผดิ ชองหลักสูตร สำขำวิชำกำรสอนพระพุทธศำสนำ และจิตวิทยำกำรแนะแนว สำรวจจำนวนและควำมต้องกำรสิ่งสนบั สนนุ กำร เรยี นรูท้ เ่ี หมำะสมต่อกำร จดั กำรเรียนกำรสอน โดยประชุมวำงแผนและจัดทำ แผนงบประมำณเสนอตอ่ สำนกั งำนวทิ ยำลัย กลมุ่ งำนวำงแผนและ งบประมำณ เพ่อื จัดสรรเงนิ งบประมำณใหเ้ พยี งพอต่อควำมต้องกำร โดยมกี ำร จัดสรรงบประมำณให้ อำจำรย์แตล่ ะท่ำนเพอ่ื จัดซือ่ หนงั สือ ตำรำ และเอกสำร ต่ำง ๆ ให้ตรงตำมเน้ือหำวิชำในสำขำวิชำ มกี ำรจัดสรรงบประมำณสำหรบั กำร ซอ้ื หนังสือ ตำรำท่เี กยี่ วขอ้ งกับหลกั สูตร เขำ้ ห้องสมุดเปน็ ประจำ ทุกปี กำรศกึ ษำ 5.หลักสตู รพทุ ธศำสตร์ สำขำวชิ ำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจติ วิทยำกำร แนะแนว สำรวจควำมต้องกำรสิ่ง สนบั สนุน เพื่อเสนอต่อกลมุ่ งำนวำงแผนและ งบประมำณ เพื่อสรรงบประมำณให้อำจำรย์ เพ่ือจดั หำหนังสอื ตำรำ และอื่น ๆ ทเี่ ก่ยี วข้องกบั หลกั สูตร แตเ่ พือ่ ควำมคลอ่ งตัวและมปี ระสิทธิภำพด้ำนกำร เรียนกำรสอน อำจำรย์สว่ นใหญจ่ ะจดั หำ หนงั สือ ตำรำดว้ ยตนเองและค้นควำ้ จำกอินเทอร์เนต็ ๓.หลกั สตู รพุทธศำสตร์ สำขำวชิ ำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจติ วิทยำกำร

รายงานการประเมนิ คุณภาพการศกึ ษาภายใน ๖๐ ผลการดาเนนิ งาน เอกสาร/หลกั ฐาน แนะแนว ได้ประชุม ประเมนิ กระบวนกำรจัดหำสิ่งสนับสนุนพบว่ำ กำร การบรรลุเป้าหมาย จัดสรร งบประมำณไมเ่ พยี งพอในกำรจดั หำหนงั สือ ตำรำ กระบวนกำรในกำร บรรลุ จดั ซอื้ จดั จ้ำงมขี อ้ จำกดั เช่น สถำนท่ใี นกำรสัง่ ซอื้ ซ่งึ รำ้ นคำ้ ทกี่ ำหนดไว้มี ตำรำ หนงั สือไม่ตรงกับควำมต้องกำร หลักสตู รพุทธศำสตร์ สำขำวชิ ำกำรสอน พระพุทธศำสนำและจติ วทิ ยำแนะแนว เหน็ วำ่ ควรเพมิ่ สถำนทใ่ี นกำรส่ังซอื้ ให้ มำกข้นึ กระบวนกำรปรบั ปรุงตำมผลกำรประเมนิ ควำมพึงพอใจของนักศกึ ษำ และอำจำรย์ต่อสงิ่ สนบั สนุนกำรเรียนรู้ หลกั สตู รครุศำสตร์ สำขำวชิ ำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจติ วิทยำกำรแนะ แนวมีระบบและกลไกเกย่ี วกบั กระบวนกำร ปรบั ปรุงตำมผลกำรประเมนิ ควำม พงึ พอใจของนสิ ติ และอำจำรยต์ ่อสง่ิ สนบั สนนุ กำรเรียนรคู้ ือ ได้มกี ำรจดั ทำกำร ประเมินระดับควำมพึงพอใจของนสิ ิตท่ีมีตอ่ สง่ิ สนับสนนุ กำรเรียนรู้ และจดั ประชุมอำจำรยป์ ระจำหลกั สตู ร เพอ่ื นำผลกำรประเมินควำมพึงพอใจมำหำ แนวทำงในกำรปรับปรุงแกไ้ ข และนำเสนอคณะอนุกรรมกำรกำรเงนิ และ ทรัพยส์ นิ และกรรมกำรประจำวิทยำลัยเพ่ือพิจำรณำดำเนนิ กำรตอ่ ไป หลักสตู รครุศำสตรบณั ฑติ สำขำวชิ ำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจิตวิทยำ กำรแนะแนว ได้ตระหนัก และมองเห็นควำมสำคญั ของส่ิงสนบั สนุนกำรเรยี นรู้ ท่ีจำเป็นพืน้ ฐำน จำกแผนปฏบิ ัติกำรประจำปี ๒๕๖4 ระทง่ั มีกำรตดิ ตง้ั ระบบ อนิ เทอรเ์ น็ตใหมเ่ พ่ิมศกั ยภำพใหส้ ำมำรถสนองควำมต้องกำรของบุคลำกร และ นสิ ติ อย่ำงทัว่ ถงึ และมปี ระสทิ ธภิ ำพ การประเมนิ ตนเอง เปา้ หมาย ผลการดาเนินงาน คะแนนการประเมินตนเอง ๔ ๔ ๔ วิเคราะห์จุดแขง็ และจุดท่คี วรพฒั นา องค์ประกอบที่ ๖ จดุ แข็ง วิทยำลัยสงฆ์บรุ รี มั ย์ หลกั สูตรครศุ ำสตรบณั ฑติ สำขำวิชำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจติ วทิ ยำกำรแนะแนว มีห้องเรยี นเป็นของตนเอง มีห้องปฏบิ ัตกิ ำรคอมพิวเตอร์ มอี ำคำรห้องสมุด เพอื่ ทำกำรค้นควำ้ จุดทค่ี วรพฒั นา วทิ ยำลัยสงฆค์ วรดำเนนิ กำรปรับปรุง/สรำ้ งอำคำรหอสมดุ ขึน้ อีกอำคำรหนึ่ง แนวทางเสริมจุดแข็งและปรับปรุงจดุ ที่ควรพัฒนา สำขำวชิ ำกำรสอนพระพทุ ธศำสนำและจติ วทิ ยำกำรแนะแนวควรกำหนดกำรจดั หำสงิ่ สนบั สนนุ กำรเรยี นรู้เป็น นโยบำยเรง่ ดว่ น โดย ๑. ควรกำหนดไวใ้ นแผนปฏบิ ตั ิกำรประจำปี ๒. ควรดำเนนิ จัดหำอยำ่ งเปน็ ระบบทเ่ี ปน็ เชิงประจกั ษ์

รายงานการประเมินคุณภาพการศกึ ษาภายใน ๖๑ บทที่ ๓ สรปุ ผลการประเมิน ๓.๑ ผลการประเมนิ รายตัวบ่งชตี้ ามองค์ประกอบคณุ ภาพ ประเภทสถำบันกลุ่ม ค ๒ สถำบนั เฉพำะทำงลักษณะที่ ๒ สถำบันที่เนน้ ระดับปรญิ ญำตรี องค์ประกอบคุณภาพ เป้าหมาย ผลการ คะแนนการ การบรรลเุ ป้าหมาย ดาเนินงาน ประเมนิ องคป์ ระกอบท่ี ๑ ตวั บง่ ชท้ี ่ี ๑.๑ ผำ่ น ผำ่ น บรรลุ องค์ประกอบท่ี ๒ ตวั บง่ ชท้ี ี่ ๒.๑ ๔.๒๕ ๔.93 บรรลุ ตวั บ่งชท้ี ่ี ๒.๒ รอ้ ยละ ๙๕ ๑๐๐ บรรลุ ตัวบ่งชท้ี ่ี ๒.3 3.50 4.33 บรรลุ เฉลย่ี คะแนนองค์ประกอบท่ี ๒ 4.75 องค์ประกอบท่ี ๓ ตัวบ่งชีท้ ี่ ๓.๑ ๔๔ บรรลุ ตวั บง่ ชี้ท่ี ๓.๒ ๔๔ บรรลุ ตัวบ่งชท้ี ี่ ๓.๓ ๔๔ บรรลุ เฉลีย่ คะแนน องค์ประกอบที่ ๓ ๔ องค์ประกอบท่ี ๔ ๔๔ บรรลุ ตัวบง่ ชที้ ่ี ๔.๑ 4 2.59 ไมบ่ รรลุ ตวั บง่ ชี้ที่ ๔.๒ ๔๔ บรรลุ ตัวบ่งชี้ท่ี ๔.๓ เฉลี่ยคะแนนองค์ประกอบที่ ๔ 3.53 บรรลุ องค์ประกอบที่ ๕ บรรลุ ตัวบ่งช้ที ี่ ๕.๑ 44 บรรลุ ตัวบง่ ชที้ ่ี ๕.๒ 44 บรรลุ ตัวบง่ ชี้ท่ี ๕.๓ 4๔ ตัวบ่งช้ที ่ี ๕.๔ รอ้ ยละ ๑๐๐ ๑๐๐ บรรลุ เฉลี่ยคะแนนองคป์ ระกอบท่ี ๕ บรรลุ องค์ประกอบที่ ๖ 4.25 บรรลุ ๑5 ตวั บ่งช้ที ี่ ๖.๑ ไม่บรรลุ 1 เฉลี่ยคะแนนองคป์ ระกอบที่ ๖ ๔๔ ไม่ขอรบั กำรประเมนิ รวมทกุ องค์ประกอบ 4 4.13

รายงานการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ๖๒ ๓.๒ ผลการประเมินตนเองตามองคป์ ระกอบคณุ ภาพ องค์ คะแนน จานวน IP O คะแนน ผลการประเมนิ ประกอบ ผ่าน ตัวบ่งช้ี ผำ่ น เฉลยี่ ๐.๐๑-๒.๐๐ ระดบั คณุ ภาพน้อย (2.1) ๒.๐๑-๓.๐๐ ระดบั คณุ ภาพปานกลาง ท่ี 3 4.93, ๔.๗5 ๓.๐๑-๔.๐๐ ระดบั คณุ ภาพดี ๓ (2.2) 5, ๔.๐๑-๕.๐๐ ระดบั คณุ ภาพดมี าก ๑ ๓ (2.3) 4.33 หลกั สูตรได้มำตรฐำน ๒ ระดบั คุณภำพดมี ำก คะแนนเฉล่ียของ ุทก ัตว ่บงช้ีในอง ์คประกอบที่ ๒-๖ ๓ ๓ (3.1) 4, ๔ ระดับคุณภำพดี ๔ (3.2) 4, (4.1) 4, (3.3) 4 (4.3) 4, (4.2) ๓.53 ระดบั คุณภำพดี 2.59 ๕ ๔ 5.2) 4, ๔.๒๕ ระดบั คุณภำพดีมำก (5.1) 4 (5.3) 4, (5.4) 5 ๖๑ (6.1) 4 ๔ ระดบั คุณภำพดี 3.80 4.25 4.75 4.13 ระดับคุณภำพดีมำก รวม ๑4 ผลกำรประเมิน

รายงานการประเมนิ คุณภาพการศกึ ษาภายใน ๖๓



รายงานสืบเนื่องจากการประชุมวชิ าการ Conference Proceedings การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาจุฬาฯ สรุ นิ ทร ครัง้ ที่ 2 The 2nd MCUSR National Conference พุทธบูรณาการทองถิ่นวิถีใหมสูการพฒั นาสังคมทีย่ ่งั ยืน The Local Buddhist Integration in New Normal towards Sustainable Social Development จดั โดย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร รว มกับภาคเี ครอื ขา ย 3 พฤษภาคม 2565

ข มหาวทิ ยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ คณะรัฐศาสตรแ ละรฐั ประศาสนศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม คณะนิติรฐั ศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั รอยเอ็ด มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนครศรอี ยธุ ยา หลักสตู รรฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวิทยาลยั เกษมบัณฑติ สถาบันวจิ ยั แหงชาติ

ง ทป่ี รกึ ษา: พระธรรมวชั รบัณฑติ , ศ.ดร. อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย พระพรหมวชิรโมลี, ดร. รองอธิการบดวี ิทยาเขตสรุ ินทร์ พระเทพปวรเมธี, รศ.ดร. รองอธิการบดฝี ่ายบริหาร พระสวุ รรณเมธาภรณ์, ผศ.ดร. รองอธิการบดฝี ่ายวชิ าการ พระเมธธี รรมาจารย,์ รศ.ดร. รองอธกิ ารบดฝี ่ายวางแผนและพฒั นา พระราชวมิ ลโมลี, ผศ.ดร. ผชู้ ว่ ยอธิการบดีฝา่ ยวิชาการ วทิ ยาเขตสุรนิ ทร์ พระครูศรสี ุนทรสรกิจ, ผศ.ดร. ผู้ชว่ ยอธิการบดฝี า่ ยบริหาร วทิ ยาเขตสรุ นิ ทร์ พระสุธรี ัตนบณั ฑิต, รศ.ดร. ผอู้ ำนวยการสถาบนั วจิ ยั พุทธศาสตร์ พระครปู ริยตั วิ ิสุทธิคณุ , รศ.ดร. รองเจา้ คณะอำเภอท่าตมู วดั โพธิพฤกษาราม คณะบรรณาธกิ าร บรรณาธิการ : รศ.ดร.ทวีศักด์ิ ทองทิพย์ ผชู้ ่วยบรรณาธิการ : พระครสู าธกุ ิจโกศล, ผศ.ดร. พระปลัดสุระ ญาณธโร, ผศ.ดร. ดร.ธนรฐั สะอาดเอีย่ ม ผศ.บรรจง โสดาดี ดร.ภัฏชวชั ร์ สขุ เสน กองบรรณาธิการ : พระครูวิริยปัญญาภวิ ฒั น,์ ผศ.ดร. มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั พระมหาวิศิต ธีรวํโส, ผศ.ดร. มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ผศ.ดร.ธนู ศรที อง มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย พระมหามฆวนิ ทร์ ปรุ สิ ุตฺตโม, ผศ.ดร.มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวทิ ยาลยั รศ.ดร.โสวิทย์ บำรงุ ภักด์ิ มหาวทิ ยาลัยมหามกุฎราชวทิ ยาลยั รศ.ดร.สัญญา เคณาภมู ิ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั มหาสารคาม รศ.ดร.รตั นะ ปญั ญาภา มหาวิทยาลยั ราชภฏั อบุ ลราชธานี รศ.ดร.สนุ ันท์ เสนารัตน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรรี มั ย์ รศ.ดร.สมหมาย ชนิ นาค มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธานี รศ.ดร.อคั รพนท์ เนื้อไม้หอม มหาวทิ ยาลัยราชภฏั บรุ รี ัมย์

จ ผศ.ดร.อำนาจ ยอดทอง มหาวิทยาลัยมหิดล ผศ.ดร.วเิ ชียร แสนมี มหาวิทยาลัยขอนแกน่ ผศ.ดร.บญั ญตั ิ สาลี มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บญุ หนนุ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ผศ.ดร.ชยั ณรงค์ ศรีมันตะ มหาวิทยาลัยบรู พา ผศ.ดร.วนั ชัย สขุ ตาม มหาวิทยาลัยราชภฏั สุรินทร์ ผศ.ธรรมรตั น์ สนิ ธุเดช ผศ.ดร.สชุ าติ บษุ ยช์ ญานนท์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ร้อยเอ็ด ผศ.ดร.วีระวรรณ ศรตี ะลานคุ ค์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอบุ ลราชธานี ดร.คมวฒั น์ รุง่ เรือง ดร.อรพนิ ปยิ ะสกุลเกียรติ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลอสี าน วทิ ยาเขตสุรนิ ทร์ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑติ คณะกรรมการกลนั ่ กรองบทความวิชาการ (Peer Reviews): ผูท้ รงคณุ วุฒภิ ายในมหาวิทยาลยั 1. พระธรรมวัชรบณั ฑติ , ศ.ดร. 2. พระเทพปวรเมธ,ี รศ.ดร. 3. พระเทพวชั ราจารย์, รศ.ดร. 4. พระโสภณพฒั นบัณฑติ , รศ.ดร. 5. พระสธุ ีรัตนบณั ฑิต, รศ.ดร. 6. พระครปู รยิ ตั ิกติ ติธำรง, รศ.ดร. 7. พระครปู ลดั ปญั ญาวรวฒั น์, ศ.ดร. 8. พระมหาบญุ เลิศ อนิ ทฺ ปญโฺ ญ, ศ.ดร. 9. พระมหาสมบูรณ์ วฑุ ฒฺ ิกโร, รศ.ดร. 10. พระครูปริยัตวิ ิสทุ ธคิ ุณ, รศ.ดร. 11. พระมหาดาวสยาม วชริ ปญโฺ ญ, ผศ.ดร. 12. พระครูศรปี ัญญาวกิ รม, ผศ.ดร. 13. พระมหามงคลกานต์ ฐติ ธมฺโม, ผศ.ดร. 14. พระมหาประกาศติ สิรเิ มโธ, ป.ธ.๘, ดร. 15. พระมหาพจน์ สุวโจ, ผศ.ดร.

ฉ 16. ศ.ดร.บุญทัน ดอกไธสง 17. ศ.ดร.สมภาร พรมทา 18. ศ.ดร.จำนง อดวิ ฒั นสทิ ธ์ิ 19. รศ.ดร.สรุ พล สุยะพรหม 20. รศ.ดร.โกนฏิ ฐ์ ศรที อง 21. รศ.ดร.สมชัย ศรนี อก 22. รศ.ดร.เอกฉทั จารเุ มธีชน 23. รศ.ดร.วิเชยี ร ชาบตุ รบญุ ฑริก 24. รศ.ดร.ประจิตร มหาหิง 25. รศ.ดร.เกียรตศิ ักดิ์ สุขเหลอื ง 26. ผศ.ดร.ฐานดิ า มั่นคง 27. ผศ.ดร.ธนู ศรีทอง 28. ผศ.ดร.ปยิ วฒั น์ คงทรัพย์ 29. ดร.บรรพต แคไธสง 30. ดร.เรยี งดาว ทวะชาลี ผทู้ รงคณุ วุฒภิ ายนอกมหาวิทยาลยั 1. ศ.ดร.วชั ระ งามจติ รเจริญ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ 2. ศ.ดร.ประยงค์ แสนบรุ าณ มหาวทิ ยาลัยมหามกฎุ ราชวทิ ยาลัย 3. รศ.ดร.สัญญา เคณาภมู ิ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั มหาสารคาม 4. รศ.ดร.ภกั ดี โพธิ์สิงห์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 5. รศ.ดร.เสาวลกั ษณ์ โกศลกติ ติอมั พร มหาวิทยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม 6. รศ.ดร.บุญชม ศรสี ะอาด มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 7. รศ.ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั พิบูลสงคราม 8. รศ.ดร.สุเทพ เมยไธสง มหาวิทยาลยั มหามกุฎราชวิทยาลยั 9. รศ.ดร.โสวทิ ย์ บำรุงภกั ดิ์ มหาวิทยาลยั มหามกุฎราชวิทยาลัย 10. รศ.ดร.สุนนั ท์ เสนารตั น์ มหาวิทยาลัยราชภฏั บุรรี มั ย์ 11. รศ.ดร.สำเนาว์ เสาวกลุ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลอีสาน วทิ ยาเขตสรุ ินทร์ 12. รศ.ดร.ยพุ าพร ยภุ าศ มหาวิทยาลัยราชภฎั มหาสารคาม 13. รศ.ดร.รัตนะ ปญั ญาภา มหาวิทยาลยั ราชภัฏอบุ ลราชธานี

ช 14. รศ.ดร.วุฒินันท์ กนั ทะเตียน มหาวิทยาลัยมหดิ ล 15. รศ.ดร.จิรายุ ทรพั ยส์ ิน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 16. รศ.ดร.ปรชี า ปาโนรัมย์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏบรุ รี มั ย์ 17. รศ.ดร.อคั รพนท์ เนื้อไม้หอม มหาวิทยาลัยราชภฏั บุรีรมั ย์ 18. พระมหามฆวินทร์ ปรุ สิ ตุ ฺตโม, ผศ.ดร. มหาวิทยาลยั มหามกฎุ ราชวิทยาลัย 19. พระครวู จิ ิตรปัญญาภรณ,์ ผศ.ดร. มหาวิทยาลยั มหามกฎุ ราชวิทยาลัย 20. ผศ.ดร.สชุ าติ บษุ ยช์ ญานนท์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อบุ ลราชธานี 21. ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ์ ปราบนอก มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 22. ผศ.ดร.วิเชยี ร แสนมี มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 23. ผศ.ดร.วีระชยั ยศโสธร มหาวิทยาลยั ราชภัฏบุรรี มั ย์ 24. ผศ.ดร.บุญรอด บุญเกดิ มหาวิทยาลัยบรู พา 25. ผศ.ดร.อำนาจ ยอดทอง มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล 26. ผศ.ดร.ฉลอง สุขทอง มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรนิ ทร์ 27. ผศ.ดร.วันชยั สุขตาม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สุรินทร์ 28. ผศ.ดร.อภชิ าติ แสงอัมพร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สุรินทร์ 29. ผศ.ดร.พีรวัส อินทวี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ นิ ทร์ 30. ผศ.ดร.สรุ พงษ์ แสงเรณู มหาวิทยาลยั ราชภัฏรอ้ ยเอด็ 31. ผศ.ดร.ชนสทิ ธ์ิ สทิ ธิสูงเนนิ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร 32. ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน มหาวทิ ยาลัยศิลปากร 33. ผศ.ดร.วรี ะวรรณ ศรีตะลานุคค์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรนิ ทร์ 34. ผศ.ดร.บัญญตั ิ สาลี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 35. ผศ.ดร.อภศิ กั ดิ์ สุขยง่ิ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 36. ผศ.ธรรมรัตน์ สินธเุ ดช มหาวิทยาลยั ราชภัฏร้อยเอ็ด 37. ผศ.ดร.ชยั ณรงค์ ศรมี นั ตะ มหาวิทยาลยั บูรพา 38. ผศ.ดร.อาทติ ย์ ผา่ นพูล มหาวทิ ยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลยั วิทยาเขตอีสาน 39. ดร.คมวัฒน์ รุ่งเรอื ง วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรุ ินทร์ 40. ดร.ประดษิ ฐ์ ช่ืนบาน มหาวิทยาลยั ราชภัฏสรุ นิ ทร์ 41. ดร.วโิ รจน์ ทองปลิว มหาวิทยาลยั ราชภัฏสุรนิ ทร์ 42. ดร.นพฤทธ์ิ จิตรสายธาร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสรุ ินทร์

ซ 43. ดร.ศศธิ ร ศูนย์กลาง มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ ินทร์ 44. ดร.สิรพิ ัฒน์ ลาภจติ ร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สุรนิ ทร์ 45. ดร.พิสทุ ธ์พิ งศ์ เอ็นดู มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอสี าน วทิ ยาเขตสุรินทร์ 46. ดร.อรพิน ปยิ ะสกุลเกยี รติ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต 47. ดร.วงศ์ชนก จำเรญิ สาร มหาวิทยาลยั มหามกุฎราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตรอ้ ยเอ็ด 48. ดร.สงวน หล้าโพนทนั มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตรอ้ ยเอด็ 49. ดร.ประภาส แก้วเกตพุ งษ์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ 50. ดร.จกั รี ศรจี ารเุ มธีญาณ มหาวทิ ยาลยั มหามกุฎราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตอีสาน จดั รูปแบบและพสิ จู นอ์ กั ษร : พระปลัดสุระ ญาณธโร, ผศ.ดร. พระมหายทุ ธพชิ าญ โยธสาสโน พระครูเกษมอาจารสนุ ทร พระครูปรยิ ัติปัญญาโสภณ, ผศ.ดร. นายวชั รากรณ์ อนพุ นั ธ์ ดร.ภฏั ชวชั ร์ สขุ เสน นางสาวเกศรนิ ทร์ ปัญญาเอก นายวนั ชัย ชศู รีสขุ นางสาวลัดดาวัลย์ คงดวงดี นางสาวจริ ารัตน์ พมิ พ์ประเสริฐ นางสาวณฐั ตพร บญุ ปก นางสาวนชิ าภา แก้วขาว ออกแบบ: พระปลัดสุระ ญาณธโร, ผศ.ดร. นางสาวเกศรินทร์ ปญั ญาเอก พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1 จานวน : 30 พฤษภาคม 2565 จำนวน 10 เล่ม จดั พิมพโ์ ดย : 1213 หน้า คณะทำงานการประชุมวิชาการระดบั ชาติ มหาจุฬาฯ สรุ ินทร์ คร้งั ท่ี 2

ฌ สานกั งานวิทยาเขตสรุ ินทร:์ 305 หมู่ 8 อาคารพระธรรมโมลี มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรนิ ทร์ ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสรุ ินทร์ จังหวดั สรุ ินทร์ 32000 โทร 0-4414-2107-8 ต่อ 311, www.surin.mcu.ac.th นายพลนภสั แสงศรี ผูอ้ ำนวยการสำนักงานวิทยาเขต โทร. 08-1725-5507 สานักงานกองบรรณาธกิ าร: กองบรรณาธิการรายงานสบื เนอ่ื งจากการประชุมวชิ าการระดับชาติ ครัง้ ที่ 2 บัณฑิตศึกษา วทิ ยาเขตสุรนิ ทร์ 305 หมู่ 8 ตึกพระพรหมบัณฑิต ช้ัน 1 ห้อง 412 มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตสรุ ินทร์ ตำบลนอกเมอื ง อำเภอเมืองสุรนิ ทร์ จังหวัดสรุ นิ ทร์ 32000 โทร. 044-142107 ตอ่ 319 บรรณาธิการ: รศ.ดร.ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ โทร. 08-1725-8693 กองบรรณาธิการ: ดร.ธนรัฐ สะอาดเอีย่ ม โทร. 086-465-4195 http://www.surin.mcu.ac.th/mcusrnc2022 E-mail: [email protected] ลิขสิทธ:ิ์ บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในรายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการและนำเสนอ ผลงานวจิ ยั ในการประชุมวชิ าการระดบั ชาติ มหาจุฬาฯ สุรินทร์ ครง้ั ที่ 2 The 2nd MCUSR National Conference ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ ห้าม นำข้อความทั้งหมดไปตีพิมพ์ซ้ำ ยกเว้นได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ เท่าน้นั ความรบั ผดิ ชอบ: เนื้อหาและข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ตีพิมพ์ในรายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการและ นำเสนอผลงานวิจัยการประชุมวิชาการระดับชาติ มหาจุฬาฯ สุรินทร์ ครั้งที่ 2 The 2nd MCUSR National Conference ถือเปน็ ความรบั ผิดชอบของผ้เู ขียนเทา่ นั้น

A สารบญั หน้า ภาคคีเครือขา่ ยร่วมเป็นเจ้าภาพ ก คณะกรรมการดำเนนิ งาน ง สารจากอธกิ ารบดี มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ญ สารจากรองอธิการบดี วิทยาเขตสุรนิ ทร์ ฏ สารจากอธกิ ารบดี มหาวิทยาลยั มหามกุฎราชวิทยาลยั ฑ สารจากอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอสี าน วิทยาเขตสุรินทร์ ฒ สารจากผ้อู ำนวยการ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ ณ สารจากอธิการบดี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบุรรี มั ย์ ด สารจากอธกิ ารบดี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนครศรีอยธุ ยา ต สารจากรองอธิการบดีฝา่ ยบริหาร มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ถ สารจากรองอธิการบดฝี ่ายวิชาการ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ธ สารจากรองอธิการบดฝี ่ายวางแผนและพฒั นา มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย บ สารจากผู้ช่วยอธิการบดีฝา่ ยบรหิ าร วิทยาเขตสรุ นิ ทร์ ผ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สารจากผู้ช่วยอธกิ ารบดฝี ่ายวิชาการ วิทยาเขตสุรนิ ทร์ พ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั สารจากผ้ชู ว่ ยอธิการบดฝี ่ายกิจการทัว่ ไป วิทยาเขตสุรนิ ทร์ ภ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย สารจากคณบดี คณะรัฐศาสตร์และรฐั ประศาสนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ย สารจากคณบดี คณะนติ ิรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏรอ้ ยเอด็ ร สารจากผู้อำนวยการหลกั สูตร รฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวิทยาลยั เกษมบณั ฑติ ล ถอ้ ยแถลงบรรณาธิการ ว สารบัญ A

E A-6-9 กฏู ทนั ตสตู ร : สาธารณสงเคราะห์ในพทุ ธวถิ ี 299 พระครูปรยิ ัตกิ ิจธำรง พระครนู มิ ติ รตั นาภรณ์ พระครพู ิบลู พฒั นประสตุ ธีรทพิ ย์ พวงจันทร์, พระอธกิ ารเวยี ง กิตตฺ วิ ณฺโณ, ผศ.ดร. ดร.ธนรัฐ สะอาดเอ่ยี ม บทความกลุ่มสงั คมศาสตร์ (Oral Presentation) รหัส ชื่อบทความ / ผูน้ ิพนธ์ หน้า B-2-9 B-2-10 อานุภาพแห่งพระรตั นตรยั 307 พระครสู ริ ริ ัตนานุวัตร 316 B-2-31 พระครูพิพิธจารธุ รรม ดร.เจรญิ มณีจักร 329 ดร.สนุ ทร สขุ ทรัพย์ทวผี ล หมบู่ า้ นพทุ ธเกษตร:รูปแบบการจดั การปา่ และการสง่ เสริมสัมมาชพี ของ เกษตรกรวถิ ีพุทธส่คู วามยั่งยนื ในพืน้ ทจี่ ังหวัดนา่ น พระชยานันทมุนี,ผศ.ดร. พระมหากติ ติ กิตตฺ เิ มธี ธนวัฒน์ ศรีลา สทิ ธิชัย อนุ่ สวน ประทีป ยศนรินทร์ ศึกษาปัจจยั ที่มีสว่ นในการสร้างสนั ตสิ ขุ ชมุ ชนท่ามกลางพหุวัฒนธรรมใน อีสานใต้ รุ่งสรุ ิยา หอมวัน พระมหาอภสิ ทิ ธิ์ วริ โิ ย พระครูปริยัติธรรมวบิ ลู ปยิ วฒั น์ คงทรพั ย์ ทพิ ย์ ขนั แกว้ ไว ชรึ มั ย์

329 การศึกษาปจั จัยท่มี ีส่วนในการสรา้ งสันตสิ ุขชมุ ชน ทา่ มกลางพหวุ ัฒนธรรมในอสี านใต้ A Study of Factors Contributing Peaceful Community in the Multicultural Society of Southern I-san of Thailand รุ่งสรุ ยิ า หอมวนั Rungsuriya Homwan พระมหาอภสิ ทิ ธิ์ วริ โิ ย Phramaha Apisit Viriyo พระครปู ริยตั ธิ รรมวิบลู Phrakruphariyatthammaviboon ปิยวฒั น์ คงทรัพย์ Piyawat Kongsup ทิพย์ ขนั แกว้ Thip Khankaew ไว ชรึ ัมย์ Wai Chueram วทิ ยาลัยสงฆบ์ รุ รี ัมย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั Buriram Buddhist college Mahachulalongkornrajvidyalaya University บทคัดยอ่ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพบริบททางสังคมในสังคมพหุวัฒนธรรม เพ่ือ ศกึ ษาปัจจยั ที่มีส่วนในการสร้างชุมชนสนั ติสุขในสังคมพหวุ ฒั นธรรม และเพ่อื ศึกษาปัญหาอุปสรรคใน การสรา้ งชุมชนสนั ติสขุ ในสังคมพหวุ ฒั นธรรม เปน็ การวจิ ยั เชิงคุณภาพ ประชากรคอื 1) ชมุ ชนวัดโพธิ์ ย่อย จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ชุมชนบา้ นอ้อ จังหวัดนครราชสีมา 3) ชุมชนวัดศิรจิ ันทร์ จังหวัดสุรินทร์ และ 4) ชุมชนวัดสว่างอารมณ์ จังหวัดสุรินทร์ เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพบริบททางสังคม เป็นชุมชนเก่าแก่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม โบราณ มีความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคารพบูชาบรรพบุรุษ และปฏิบัติตามประเพณีสิบสองเดือน ของภาคอีสาน การแต่งกายจะแต่งตามประเพณีนิยม อนุรักษ์ภาษาถิ่นในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี และผู้นำชุมชนมีความเข้มแข็ง 2. ปัจจัยที่มีส่วนในการสร้างชุมชนสันตสิ ุข 1) วิธีการบริหารความขัด แข้งของชุมชนในอดีต ผู้นำชุมชนจะไกล่เกล่ียให้เกิดความเปน็ ธรรมแก่คู่กรณี ด้วยอาศัยความสามคั คี ของคนในชุมชน 2) หน่วยงานภาครัฐมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาระงับเหตุเบื้องต้นให้เกิดความสงบ เรียบร้อย ด้วยการจดั ใหม้ ีกฎกติกาของหมู่บ้าน และชี้แจงให้เกิดความเข้าใจตรงกันถูกต้องทุกฝ่าย 3) กิจกรรมที่ก่อให้เกิดสันติสุขในชุมชนประกอบด้วย กิจกรรมการไปวัดด้วยกัน ไปร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ ด้วยกัน ไปร่วมงานศพด้วยกัน ไปปลูกป่าร่วมกัน ไปพัฒนาหมู่บ้านร่วมกัน ไปประชุมร่วมกัน และ

330 กิจกรรมมีจิตอาสาร่วมกัน 4) ปัจจัยที่ทำให้เกิดสันติสุขในชุมชน ประกอบด้วย ผญาคำสอนโบราณ หลักธรรม กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กฎหมายของภาครัฐ กิจกรรมของชุมชน ประเพณีวัฒนธรรม และ เทคโนโลยีสมัยใหม่ 3. อุปสรรคในการสร้างชุมชนสันติสุข คือการบริหารการจัดการที่ไม่ค่อยมีระบบ ทำให้เกิดการเลือกปฏบิ ัติและมีความแตกแยกกัน สมาชิกกลมุ่ ไม่เขา้ ใจบทบาทหน้าท่ีของตนเอง คำสำคัญ: ชมุ ชนสันติสขุ , พหวุ ฒั นธรรม, อสี านใต้ Abstract This research aims to study the social context in multicultural society. To study the factors contributing to building a peaceful community in a multicultural society. and to study the problems and obstacles in building a peaceful community in a multicultural society. Is a qualitative research, The population is 1) Wat Pho Yai Community Buriram Province 2) Ban Or Community, Nakhon Ratchasima Province 3) Sirichan Temple Community, Surin Province. and 4) Wat Sawang Arom community, Surin Province. The tool used for collecting data was an interview. The results of the research found that 1. Social context It is an old community adhering to traditions and ancient cultures. have faith in the sacred worship ancestors and follow the traditions of the Twelve Months of the Northeast The dress will be dressed according to tradition. Preserving the dialect in communication as well and community leaders are strong. 2. Factors contributing to the creation of a peaceful community 1) Methods for managing community conflicts in the past Community leaders will mediate to ensure fairness to the parties. by relying on the unity of the people in the community 2) Government agencies have a role to play in solving problems and quelling the preliminary incidents to bring peace and order. with the provision of village rules and clarifying for the correct understanding of all parties. 3) Activities that contribute to peace in the community consist of: temple activities together Activities to attend a housewarming event together Funeral activities together activities to plant a forest together Activities to develop villages together joint meeting activities and activities with volunteer spirit together. 4) Factors contributing to peace in the community consist of ancient teachings, principles of dharma, village headmen, government laws, community activities, cultural traditions and modern technology. 3. Obstacles to building a peaceful community is a management system that is not very systematic causing discrimination and divisions Group members do not understand their roles and duties. Keywords: Peace Local, Among Multiculture, E-San Tai

331 บทนำ การอยู่ร่วมกันเป็นสังคม คือกลุ่มคนอย่างน้อยสองคนขึ้นไปมาอาศัยอยู่รวมกันในบริเวณ หนึ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ความสัมพันธ์ทางตรงเช่นการพูดจา ทักทาย การ ทำงานร่วมกนั การซอื้ ขาย และให้ความเอือ้ อาทรต่อกันเปน็ ต้น สำหรบั ความสมั พนั ธท์ างอ้อมเช่นการ เดนิ ผา่ นผคู้ นท่ีเราไมร่ ู้จกั แตเ่ ขากเ็ ป็นคนจังหวัดเดียวกนั การใชส้ ิง่ ของทผี่ ลติ ข้นึ โดยคนท่ีไม่เคยพบปะ เห็นหน้ากันมาก่อน คนเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่เราสัมพันธ์กับพวกเขาโดยผ่านบุคคลอื่น ผ่านเอกสาร หนังสือ ผ่านทางวิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น ความสำนึกเรื่องชุมชนเกี่ยวข้องกันกับเรื่องเชือ้ ชาติ บางครั้ง ศาสนาก็สามารถขยายขอบเขตความเป็นเพื่อนที่ว่านี้ให้เลยออกไปนอกกรอบของเชื้อชาติ ดังที่ชาว มุสลิมทั่วโลกรู้สกึ ว่าตนเองอยู่รวมในครอบครัวใหญ่ ชาวพุทธรูส้ ึกเป็นมิตร การมีเมตตา ศาสนาคริสต์ สอนว่ามนุษย์คือบุตรของพระเจ้าเหมือนกัน เราจึงเป็นพี่น้องกันทั่วโลก (สมภาร พรมทา, 2554: 30) การอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนทำให้รู้สึกว่ามีเพื่อน เพื่อนที่รู้จักเป็นอันดับแรกสุดก็คือครอบครัว ถัดไปคือ ครอบครัวข้างเคียง หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด และที่สุดคือประเทศ และตามปกติคนทั้งหลายนั้นจะอยู่ ร่วมกันได้ดี ต่อเมือ่ มีหลักความเช่ือหรือเคร่ืองยึดเหนยี่ วจติ ใจอย่างหน่ึงอย่างเดยี วกัน เป็นเหมือนแกน หรือสายเชือกที่ร้อยประสานกันไว้ ในบรรดาหลักความเชื่อหรือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจทั้งหลายนั้น กล่าวไดว้ า่ ศาสนาเปน็ หลักความเช่อื ท่ีมีกำลงั มากที่สุดและเปน็ เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจท่ีเหนี่ยวแน่นและ ลึกซ้งึ ทส่ี ุด (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ .โต), 2555: 24) นอกจากนั้น ศาสนาช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ช่วยขจัดช่องว่างทางสังคม สร้าง ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เป็นรากฐานแห่งความสามัคคีและการร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาชุมชน และสร้างความสงบสุขความมั่นคงให้แก่ชุมชน (มนต์ ทองชัช, 2553: 6) การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข คือการที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม สามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันในรูปของ กฎระเบยี บหรือกฎหมาย และมีคุณธรรมในการช่วยเหลือเกือ้ กูลกนั การมีส่วนร่วมกจิ กรรมตา่ งๆ ของ สังคม เช่น การมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเมืองการปกครอง การมีส่วนร่วมในการคุ้มครองสิทธิ มนุษยชน และการปฏิบัติตามคุณธรรมของการอยู่ร่วมกัน ตามหลักศาสนาที่ตนเองนับถือจะทำให้ ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสนั ตสิ ุข คณุ ธรรมของการอยูร่ ว่ มกนั ตามหลักศาสนาท่ีบุคคลนับถือ (เดือน คำด,ี 2553:181) อีกอย่างหนึ่งสำหรับหน้าที่ของสังคมคือการดูแลสมาชิกให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ สร้าง ความเป็นธรรมด้วยการประสานประโยชนใ์ ห้สมาชิกทำหน้าทีข่ องตนเองได้อย่างลงตัว สร้างสำนึกให้ ร่วมกันอนุรักษ์รักษาวัฒนธรรมของตนเอง ถ่ายทอดให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้ประพฤติปฏิบัติให้เป็น สมบัติของสังคม นอกจากนั้นสังคมมนุษย์มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ 1) ประชากรจะต้องมีจำนวน ตั้งแต่สองคนขึ้นไป 2) ประชากร หรอื สมาชิกในสงั คมน้ันจะต้องมปี ฏสิ ัมพันธร์ ะหวา่ งกนั 3) พ้ืนท่ีหรือ อาณาเขต คนในสังคมจะอาศัยอยู่ในบริเวณแห่งใดแห่งหนึ่ง 4) การจัดระเบียบทางสังคม การอยู่ ร่วมกันในสังคมนั้นสมาชิกจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข 5) เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน พวกเขาก็สร้างวัฒนธรรมและ ขนบธรรมเนยี มประเพณขี ึ้นเพือ่ ตอบสนองต่อความต้องการ ก่อให้เกิดเปน็ วัฒนธรรมเฉพาะของตนเอง (อานันท์ กาญจนพันธ์, 2556: 62)

332 สงั คมพหุวฒั นธรรม คอื การบูรณาการวธิ กี ารท้ังปวงเพื่อผสมผสานประโยชน์แกส่ ังคมก็คือ วิธีการครองตน ครองคน และครองงาน ซึ่งประยุกต์ใช้กับการบริหารตน บริหารคน และบริหารงาน นอกจากนั้น มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมตาม โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ อย่างบริบูรณ์ (กองพุทธศาสนศึกษา, 2556: 26) เพื่อเสริมสร้างความ ปรองดองสมานฉนั ทข์ องคนในชาติ ลดความคิดเห็นขัดแย้งกนั จงึ ศกึ ษาหลักการท่ีเกี่ยวข้องกับการอยู่ ร่วมกันของคนในสังคมพหุวัฒนธรรม และนำเสนอการสร้างชุมชนสันติสุขในอีสานใต้ท่ามกลางพหุ วัฒนธรรม ตลอดทั้งส่งเสริมชุมชนต่างๆ ในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขท่ามกลางความ หลากหลายทางวฒั นธรรมในประเทศไทย วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย 1. เพอื่ ศึกษาสภาพบรบิ ททางสังคมในสงั คมพหวุ ัฒนธรรม 2. เพ่ือศึกษาปจั จยั ทมี่ สี ว่ นในการสรา้ งชมุ ชนสนั ติสขุ ในสังคมพหวุ ฒั นธรรม 3. เพื่อศึกษาปัญหาอปุ สรรคในการสรา้ งชุมชนสนั ตสิ ุขในสังคมพหวุ ฒั นธรรม วิธดี ำเนนิ การวิจยั 1. การศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร (Document Study) โดยการศึกษาจากเอกสารและ หลักฐานที่เกี่ยวข้องจากหนังสือ รายงานการวิจัย รายงานการประชุม เอกสารแสดงความสัมพันธ์ที่ แสดงใหเ้ ห็นถงึ แนวคิด หลกั การ รูปแบบ ความสมั พนั ธ์ ศึกษาปจั จยั ทมี่ ีสว่ นในการสร้างสันติสุขชมชน ท่ามกลางพหุวฒั นธรรม 2. ศกึ ษาภาคสนาม (Field Study) หรอื การเก็บข้อมูลเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพอ่ื ให้ ได้มาซึ่งข้อมูลโดยการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณเ์ ชิงลึกจากผู้เช่ียวชาญที่เกี่ยวข้องกับสันติสุขชุมชน ท่ามกลางพหุวัฒนธรรม ด้วยวิธีศึกษาและคัดเลือกขุมซน โดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามความสำคัญของเรื่อง คือ บริบทความมาของชุมชนของชาติพันธุ์ ที่นำไปสู่การสร้าง ชุมชนสนั ตสิ ุขในอีสานใตท้ า่ มกลางพหุวฒั นธรรม โดยการ 1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) เป็นการเฝ้าสังเกต ปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมของคนในชุมชน กล่าวคือผู้วจิ ัยเข้าไปร่วมทำกิจกรรมกับสมาชิกในชุมชน และมกี ารสังเกตการณ์แบบไมม่ ีส่วนร่วม (Non-Participant Observation) 2) การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) ใช้วิธีสัมภาษณ์ทั้งแบบเป็น ทางการและไม่เป็นทางการ สัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างโดยผู้วิจัยไม่ได้ตั้งคำถามไว้ล่วงหน้า มีแต่ ประเดน็ ทีส่ นใจศึกษา ใช้เวลาในการสัมภาษณผ์ ู้ให้ข้อมูลแตล่ ะรายนั้นจะถามเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ให้ข้อมูล ถนัดทำหรือมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ พร้อมทั้งดำเนินการสัมภาษณ์เหมือนกับการพูดคุยแบบปกติ โดย ปล่อยบรรยากาศให้เป็นไปอย่างเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด รวมทั้งไม่เคร่งครัดเกี่ยวกับขั้นตอน และลำดับของคำถาม ด้านเวลาการสัมภาษณ์จะเน้นความสะดวกของผู้ให้ข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งการ สัมภาษณ์เป็นขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ ับรายละเอยี ดเพิม่ เติมจากท่ีไมส่ ามารถเก็บได้จากการสังเกต

333 ประชากรและกล่มุ ตัว ผู้วิจัยคัดเลือกชุมชน โดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามความสำคัญ ของเรื่อง คือบริบทความมาของชุมชนของชาติพันธุ์ ที่นำไปสู่การสร้างชุมชนสันติสุขในอีสานใต้ ซึ่ง เป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย 1) ชุมชนวัดโพธิ์ย่อย ตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ชุมชนบ้านอ้ออุดมสิน ตำบลไพล อำเภอลำทะเมนชัย จังหวัด นครราชสีมา 3) ชุมชนวัดศิรจิ ันทร์ ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ และ 4) ชุมชน วัดสว่างอารมณ์ ตำบลปราสาททนง อำเภอปราสาท จังหวดั สรุ นิ ทร์ ผใู้ ห้ขอ้ มลู สำคัญ 50 รูป/คน เครอ่ื งมอื ท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เครื่องมือทีผ่ วู้ จิ ัยใชใ้ นการศึกษาครง้ั น้ีเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มคนในชุมชน และ การสงั เกตแบบมสี ่วนร่วม ผลการวิจัย 1. สภาพบริบททางสังคมในสงั คมพหวุ ัฒนธรรม ในการศึกษาสภาพบริบททางสังคมของชุมชนท่ามกลางพหุวัฒนธรรมในอีสานใต้ มี กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย 1) วัดโพธิ์ย่อยบ้านยางลาว ตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัด บุรีรัมย์ 2) ชุมชนวัดศิริจันทร์ ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ 3) วัดสว่างอารมณ์ ตำบลปราสาททนง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ และ 4) ชุมชนบ้านอ้ออุดมสิน ตำบลไพล อำเภอ ลำทะเมนชัย จงั หวัดนครราชสมี า พบว่า 1) ชุมชนวัดโพธย์ิ อ่ ยบ้านยาง ตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จงั หวดั บรุ รี มั ย์ เป็น ชุมชนเก่าแก่ที่ยังคงประพฤติปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณอย่างเคร่งครัด และยังได้มี การสืบทอดวัฒนธรรมอันดงี ามมาโดยตลอด อตั ลักษณข์ องชาวบ้านยาง คอื การแต่งกายด้วยผ้าทอมือ และจะมีวันในการแต่งกายแบบลาวเต็มรูปแบบในเทศกาลวันสำคัญต่างๆ คือผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงหรือ ผ้าซิ่นที่มลี วดลายสวยงาม ส่วนผู้ชายจะนุง่ ผา้ โสร่ง ทั้งวัยรุ่น หนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่ ส่วนมากจะเปน็ ผ้าไหม และชาวบ้านยาง ยังไม่ความเชอ่ื ในเร่อื งของสิ่งล้ลี บั โดยเฉพาะมีความเคารพศรัทธาใน “นาค” หรือ “พญานาค” และเจ้าอาวาสรปู ปจั จุบันได้สร้างรูปปัน้ พญานาคท่ีราวสะพานทางเข้าศาลากลางน้ำ ทั้ง 3 ทิศ ด้วยอาศัยการมีส่วนร่วมและความสามัคคีของชาวบ้านยางทั้ง 6 หมู่ ที่มีจารีตประเพณี ปฏิบัติมาตั้งแตอ่ ดีตกาล จงึ ทำใหเ้ กดิ เป็นสงั คมพหวุ ฒั นธรรมทีส่ รา้ งสงั คมสันติสขุ มาจนถงึ ปัจจบุ นั 2) ชุมชนวัดศิริจันทร์ บ้านเทนมีย์ ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นหมู่บ้านชนะเลิศระดับภาค การประกวดหมู่บ้านเข้มแข็งตามแนวทาง “แผ่นดินธรรม แผ่นดิน ทอง” (หมู่บ้านอยู่เย็น) ประจำปี 2563 ภาษาที่ใช้สื่อสารคือภาษาพื้นเมือง (ภาษาเขมร) มี ขนบธรรมเนียมประเพณแี ละวฒั นธรรมที่คล้ายคลึงกัน และมีการชว่ ยเหลือกันตามอัตภาพ ประชากร ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาเป็นหลักและมีอาชีพเสริม คือเลี้ยงสัตว์ ปลูกผักสวนครัว ค้าขาย เลี้ยง ไหม ทอผ้าไหม เกษตรอินทรีย์ กลุ่มอาชีพต่าง ๆ รายได้ครัวเรือนมาจากการขายผลิตผล รับจ้าง ค้าขาย บางส่วนบตุ รหลานไปรับจ้างตา่ งจังหวัดส่งมาให้ และเมอ่ื มีเวลาว่างจะประกอบอาชีพเสริมอีก อย่างคอื การเลย้ี งไหมและทอผ้าไหม

334 อัตลักษณ์ของหมู่บ้าน คือ เป็นชุมชนเข้มแข้ง ร่วมแรงพัฒนา รักษาวัฒนธรรม ประเพณี มีกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ที่มีความเข้มแข็ง มีความประสานสามัคคีแบบ บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) ได้เป็นอย่างดี 3) ชมุ ชนวัดสว่างอารมณ์ ตำบลปราสาททนง อำเภอปราสาท จงั หวดั สรุ นิ ทร์ เป็นชุมชนโบราณตั้งอยู่บนที่ดอนสูง พื้นที่โดยรอบเป็นนาข้าว และด้านทิศ ตะวันออกของชุมชนมีบารายขนาดใหญ่ เป็นชุมชนพักอาศัยแบบชนบท ประชากรส่วนใหญ่ประกอบ อาชีพด้านเกษตรกรรม และรับจ้าง ลักษณะของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชุมชน เช่น วัด ดอนปู่ตา และปราสาททนง เป็นต้น เป็นชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่ โดยรอบแหล่งโบราณสถานปราสาททนง ซึ่งเป็นปราสาทที่มีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่ ก่อสร้าง ดว้ ยอิฐปนหนิ ทรายและศิลาแลง จำนวน 2 กลมุ่ ต้ังเรยี งกันหนั หนา้ ไปทางทศิ ตะวนั ออกตามลำดับ คือ พลบั พลา และปราสาทประธาน วัดสว่างอารมณ์ เป็นวัดที่ได้รับรางวัลในโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา \"หมู่บ้านรักษาศีล 5\" ของจังหวัดสุรินทร์ ด้วยอาศัยการนำของ คณะสงฆ์และความร่วมมือของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ซึ่งเป็น โครงการที่สำคัญของคณะสงฆ์และภาครัฐที่บรรจุอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561 – 2580) โดยมีการดำเนินการที่สอดคล้องกับการปฏิบัติรูปกิจการคณะสงฆ์และการพัฒนาเพื่อต่อยอด กบั การเสริมสร้างความปรองดองสมานฉนั ท์ โดยใชห้ ลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในสงั คมไทย 4) ชุมชนบ้านออ้ อดุ มสิน หมทู่ ่ี 8 ตำบลไพล อำเภอลำทะเมนชัย จังหวดั นครราชสีมา เดิมคือบ้านอ้อ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปีพุทธศักราช 2380 โดยการนำของนายคูณ คงน้ำ นายหิน นาดี และนายคำ พรอ้ มด้วยเพือ่ นบ้าน ประมาณ 20 ครวั เรือน โดยไดอ้ พยพถ่นิ ฐานจากภมู ิลำเนาเดิม คือจังหวัดสุรินทร์ เพราะเหตุเกิดจากความแห้งแล้ง ซึ่งได้อพยพขึ้นมาทางด้านทิตตะวันตก ชาวบ้าน กลุ่มนี้ ได้มาพบโนนแหง่ หนึ่งซึง่ มีหนองน้ำขนาดใหญ่ ติดข้างโนน 2 แห่ง ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นออ้ เกิดขึ้นอยู่อย่างมากมาย แล้วจึงได้ปรึกษาหารือกัน ตกลงปลงใจ ตั้งหมู่บ้านขึ้น ณ ที่ตรงนั้น ลำดับ ผใู้ หญบ่ า้ นตัง้ แต่อดตี ถึงปัจจบุ นั มี 13 คน ผใู้ หญบ่ ้านคนปัจจุบนั คอื นายชวกร จงริดมะดนั บา้ นอ้ออุดมสนิ เปน็ หมู่บา้ นท่ียังอนรุ ักษ์จารตี ประเพณขี องภาคอสี าน หรือ “ฮีตสิบ สอง” อยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น บุญผะเหวต (เทศน์มหาชาติ) ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีบุญเดือน 7 หรือบุญซำฮะ และประเพณีทอดเทียน จะทอดรวมกันหรือเวียนกันทกุ หมู่บ้าน เป็นประเพณีของชาว อีสานที่สืบทอดกันมายาวนานหลายชั่วคน ประเพณีการทอดเทียนนี้ยังเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่สร้าง ความสามัคคีแก่ชาวบ้านและสร้างความสัมพันธ์ของแต่ละหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี ส่วนประเพณี เข้าพรรษา ออกพรรษา และทอดกฐิน ก็ยังคงอนุรักษ์ปฏิบัติเหมือนหมู่บ้านชาวพุทธทั่วๆ ไป เอกลักษณ์เด่น คือชาวบ้านเป็นกันเอง ไม่ถือตัว ภาษาที่ใช้พูดสื่อสารคือภาษาอีสาน และภาษาไทย โคราช เป็นเอกลักษณ์ที่อนุรักษ์ไว้มายาวนาน ซึ่งในเขตอำเภอนี้ มีหมู่บ้านเดียวที่ยังคงอนุรักษ์ภาษา พูดอยู่ หมบู่ า้ นนอกนัน้ อาจจะพดู ภาษาอีสาน ภาษเขมร และภาษาส่วย บ้าง

335 2. ปจั จัยท่ีมสี ว่ นในการสร้างชุมชนสันติสขุ ในสงั คมพหุวฒั นธรรม พบว่า 2.1 วิธีการบริหารความขัดแข้งของชุมชนในอดีต ผู้นำชุมชนจะไกล่เกลี่ยให้เกิดความ เป็นธรรมแก่คู่กรณี โดยไม่ให้ความขัดแย้งไปถึงเจ้าหน้าที่ในระดับที่เหนือขึ้นไป ด้วยอาศัยความ รว่ มมอื กัน ความรัก ความสามคั คี ของคนในชุมชน 2.2 หน่วยงานภาครัฐมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาระงับเหตุเบื้องต้นให้เกิดความสงบ เรยี บร้อย ดว้ ยการจดั ให้มีกฎกตกิ าของหม่บู ้าน และชีแ้ จงให้เกดิ ความเข้าใจตรงกันถกู ตอ้ งทุกฝ่าย 2.3 กิจกรรมที่ก่อให้เกิดสันติสุขในชุมชนประกอบด้วย กิจกรรมการไปวัดด้วยกัน กิจกรรมไปร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ด้วยกัน กิจกรรมไปร่วมงานศพด้วยกัน กิจกรรมไปปลูกป่าร่วมกัน กจิ กรรมไปพัฒนาหมูบ่ ้านรว่ มกนั กิจกรรมการไปประชมุ ร่วมกัน และกิจกรรมมีจิตอาสาร่วมกนั 2.4 ปัจจัยที่ทำให้เกิดสนั ติสุขในชุมชน ประกอบด้วย 1) ภูมิปัญญาหรอื ผญาคำสอน โบราณ 2) หลักธรรมคำสอนของพระสงฆ์ 3) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 4) กฎหมายของภาครัฐ 5) กิจกรรม ของชุมชน 3. ปญั หาอุปสรรคในการสร้างชมุ ชนสันตสิ ขุ ในสงั คมพหุวฒั นธรรม จากการลงพน้ื ที่เกบ็ ข้อมลู ภาคสนามจากชุมชนกลุม่ ตัวอยา่ ง สามารถสรปุ เป็นประเด็น ปัญหาอปุ สรรคในการสร้างชมุ ชนสันติสขุ ในสงั คมพหุวัฒนธรรม ได้ดังน้ี 3.1 ผนู้ ำไม่เข้าใจบทบาทของตนเอง 3.2 คนในชุมชนบางสว่ นไม่ค่อยมีสว่ นรว่ มและไมม่ ีความสำนึกรกั ในชมุ ชน 3.3 ประชาชนบางสว่ นไม่ค่อยมีเวลามาร่วมกจิ กรรม 3.4 ปัญหาด้านการสื่อสาร ปัญหาด้านการบริหารกำลังคน 3.5 ปัญหาการละเมิดศลี 5 ปัญหาโรคเรื้อรงั 3.6 ปญั หาดา้ นการสง่ เสริมอาชพี ปัญหาการแทรกแซงจากหน่วยงานภาครฐั 3.7 ปัญหาดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติ ปัญหาด้านหาขยะ ปัญหานำ้ ทว่ มในชว่ งฤดฝู น 3.8 ปัญหาดา้ นความเหล่อื มล้ำหรอื ไมเ่ ท่าเทียมในชุมชน 3.9 ปญั หายาเสพตดิ ปญั หาด้านครอบครวั และการว่างงาน ปัญหาหนสี้ ินครวั เรอื น อภปิ รายผลการวิจยั ปัจจัยในการสร้างชุมชนสันติสุขท่ามกลางพหุวัฒนธรรมในอีสานใต้ สามารถอภิปราย ผลได้ดังน้ี 1. สภาพบริบททางสังคมในสังคมพหุวัฒนธรรม ชุมชนกลุ่มเป้าหมายทั้ง 4 แห่งน้ัน เป็นชุมชนเก่าแก่ ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมโบราณ มีความเชื่อในเรื่องส่ิง ศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น เช่น ชุมชนปราสาททนง วัดสว่างอารมณ์ จังหวัดสุรินทร์ จะจัดพิธีบวงสรวงส่งิ ศกั ดิ์สทิ ธทิ์ ปี่ ราสาททนงทุกปี เคารพบูชาดวงวญิ ญาณของบรรพบุรษุ และปฏิบตั ิตามประเพณีสิบสอง เดือนของภาคอีสาน ส่วนการแต่งกายนั้นเปลี่ยนแปลงไปยุคสมัย แต่เมื่อเวลาที่ชุมชนมีกิจกรรมก็จะ แต่งกายให้เหมาะสมกับประเพณีนั้นๆ เช่น ชุมชนวัดโพธิ์ย่อย บ้านยาง จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อจะไป

336 ทำบุญที่วัดเนื่องในวันธัมมัสสวนะ หรือวันสำคัญต่างๆ ผู้หญิงจะแต่งกายด้วยผ้าซิ่นหรือผ้าถุงที่มี ลวดลายสวยงาม ผู้ชายจะนุ่งผ้าโสร่ง ทง้ั เด็กและผ้ใู หญ่ยงั คงปฏิบัติเช่นนต้ี ลอดมา ส่วนภาษาพูดยังคง อนุรกั ษภ์ าษาถ่นิ ในการส่อื สารได้เปน็ อย่างดี สำหรับผูน้ ำชมุ ชนทั้ง 4 แหง่ ล้วนเปน็ ผูน้ ำมคี วามเขม้ แข็ง มคี วามรคู้ วามสามารถในการนำพาชุมชนไปสูก่ ารพฒั นา 2. ปจั จยั ท่ีมสี ว่ นในการสร้างชุมชนสันตสิ ุขในสงั คมพหุวฒั นธรรม อภปิ รายผลไดด้ งั น้ี 1) วธิ ีการบริหารความขดั แขง้ ของชุมชนในอดีต การบริหารความขัดแย้งเพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความสงบสุขของชุมชนใน อดีตนั้น ต้องอาศัยคนในชุมชนนัน้ ๆ เพราะเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดและเปน็ ผู้มีส่วนไดส้ ว่ นเสยี กับความ เป็นธรรม เนื่องจากเป็นผู้รู้สาเหตุของปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหาของชุมชนด้วยตนเอง จึง อาศัยเครื่องมือคือการร่วมคิด ร่วมดำเนินการ และร่วมกันรับผิดชอบจากการแก้ปัญหาร่วมกัน เพ่ือ ไม่ให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงไปถึงขั้นดำเนินคดีฟ้องร้องกัน สอดคล้องกับ รัฐติกานต์ ปันเปอะ (2545 : บทคัดย่อ) ที่ชุมชนใช้กลไกต่างๆ ในการจัดการ แยกเป็นการป้องกันความขัดแย้ง การแก้ไข ความขัดแย้งทีเ่ กดิ ขึน้ แล้ว การควบคุมความขัดแยง้ และการระงับความขัดแย้ง รูปแบบและกลไกที่ใช้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สาเหตุ ที่มาลักษณะ ที่เกี่ยวข้องและระดับความขัดแย้ง วิธีการ รูปแบบ การ จัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ชุมชนใช้วิธีการไกล่เกลี่ย ประนีประนอม วิธีการเจรจาต่อรอง วิธีการ เรียกร้องด้วยวาจา วิธีการออกกฎระเบียบ วิธีการไม่คบหาสมาคม วิธีการวิพากษ์วิจารณ์ และวิธีการ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่างตอบแทน สอดคล้องกับ คัมภีร์ ทองพูน (มปท.: 2-3) กล่าวว่าสังคมไทย เป็นสงั คมที่มีความผูกพันในระดับครอบครวั ญาตพิ นี่ อ้ ง รวมถึงมีการชว่ ยเหลือ เอือ้ เฟื้อแบ่งปัน และเป็น สังคมที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ยึดมั่นในการปฏบิ ัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรพบรุ ุษปฏบิ ตั ิ สืบต่อกันมา หากเกิดปัญหาความขดั แย้งหรอื ทะเลาะวิวาทเกิดข้ึนในชุมชนก็จะเข้าไปหาผู้อาวุโสหรือ ที่ชาวบ้านให้ความนับถือ เพื่อช่วยเหลือในการแก้ปัญหา ต่อมาเมื่อมีการแต่งตั้งหัวหน้าหมู่บา้ น ไม่ว่า จะเป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน บทบาทดังกล่าวก็ถูกถ่ายโอนไปยังกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ในการแก้ไข ปัญหาความขัดแย้งในชุมชน และสอดคล้องกับ พัชราภรณ์ หลักทอง (2560: บทคัดย่อ) ซึ่งพบว่าชุม ชยใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยจากผู้นำชมุ ชน หรอื ผูท้ ีค่ นในชุมชนใหค้ วามเคารพนับถอื เปน็ กระบวนการ ที่ทำใหป้ ญั หาความขัดแยง้ ยุติธรรมได้อยา่ งรวดเรว็ 2) บทบาทหน้าท่ีของหน่วยงานภาครัฐ ในการดูแลจดั การความขัดแข้งให้เกิดสันติ สุขในชมุ ชน เมื่อชุมชนมีปัญหาความขัดแย้งขึ้น และไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ จะมีหน่วยงาน ของรฐั เขา้ มาศึกษา รวบรวมประเด็นปญั หาความขดั แย้ง ติดตาม และเร่งรดั การปฏบิ ัติงานเพ่ือให้การ ช่วยเหลือชุมชนอย่างทันท่วงที โดยประสานกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำท้องถิ่นหรือชุมชน เจ้าหน้าท่ี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และ ชี้แจงทำความเข้าใจแก่ทุฝ่าย สอดคล้องกับ วรเชฏฐ์ หน่อคำ (2544: บทคัดย่อ) ศึกษาพบว่าผู้นำ ท้องถิ่นใช้การป้องกันความขัดแย้งไม่ให้เกิดขึ้น และการระงับแก้ไขคลี่คลายความขัดแย้ง โดยใช้มิติ แห่งอำนาจเป็นกลไกในชุมชน เช่น สถาบันครอบครัวเครือญาติ สถาบันวัด สถาบันกลุ่มองค์กร สถาบันการเมืองการปกครอง ประเพณีความเชื่อ กฎเกณฑ์ทางสังคม ระเบียบข้อบังคับชุมชน เพ่ือ จัดการกับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สำหรับวิธีการจัดการผู้นำท้องถิ่นใช้วิธีสร้างความสัมพันธ์

337 ระหวา่ งสมาชิกในชมุ ชน การอบรมส่งั สอนของผู้อาวุโสของครอบครัว ใช้การประชุม การปรึกษาหารือ ฝึกอบรมให้ความรู้ จัดประชาคมหมู่บ้าน ทำประชาพิจารณ์ การไกล่เกลี่ยประนีประนอม และการ เจรจาต่อรอง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามบทบาทของข้าราชการฝ่าย ปกครองคือ (ฝ่ายประสานการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง : ออนไลน์) 1) การจัดการกับปัญหาความ ขัดแย้งโดยใช้วิธีการเจรจาไกล่เกลี่ย ประนีประนอม ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสมกับสังคมไทย 2) มี องคก์ รผ้รู บั ผดิ ชอบการเจรจาไกลเ่ กลี่ย โดยเร่ิมต้นตัง้ แต่หมูบ่ ้าน ตำบล อำเภอ จังหวดั กระทรวง กรม รฐั วสิ าหกิจ 3) การนำปัญหาความขดั แย้งเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาตามขนั้ ตอนท่เี หมาะสม และ สอดคล้องกับ คัมภีร์ ทองพูน (มปท.: 3) การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในตำบลและหมู่บ้าน จะได้รับ การแก้ไขมากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับบทบาทของ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการแก้ไขปัญหาความ ขัดแย้งเป็นสำคัญ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีการแสดงบทบาทในฐานะผู้ปกครองท้องถิ่นในการยุติปัญหา ความขัดแย้งไม่ให้กลายเป็นข้อพิพาทเป็นคดีความสู่ศาลมากขึ้น ซึ่งการแสดงออกถึงบทบาทของ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แต่ละวิธีย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะของความขัดแย้ง สถานการณ์ความรุนแรงของ ปัญหาและอำนาจในการจดั การปญั หาความขัดแย้ง 3) กิจกรรมท่ีกอ่ ใหเ้ กิดความร่วมมอื กันหรอื ก่อใหเ้ กิดสันตสิ ุขในชมุ ชนร่วมกนั ความร่วมมือในการความคิด ร่วมทำ อันนำมาซึ่งความสามัคคีในชุมชน ก่อให้เกิด สันติสุขชุมชนได้นั้นมีปัจจยั พื้นฐานมาจากประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ชุมชนยึดถือและปฏิบัติสืบตอ่ กนั มาอยา่ งตอ่ เนื่อง ความผูกพนั และความเอื้อเฟ้ือต่อกันในชุมชนจึงเหนียวแนน่ ตลอดมา ไมว่ ่าจะเป็น 1) กิจกรรมการไปวัดด้วยกัน 2) กิจกรรมไปร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ด้วยกัน 3) กิจกรรมไปร่วมงานศพ ด้วยกัน 4) กิจกรรมไปปลูกป่าร่วมกัน 5) กิจกรรมไปพัฒนาหมู่บ้าน เป็นต้น เมื่อชุมชนจัดกิจกรรม บ่อยๆ คนในชุมชนกจ็ ะมโี อกาสได้พบปะพูดคุยกันบ่อยคร้ังมากขึ้น เม่ือไดพ้ บปะพูดคุยกันบ่อยคร้ังจะ เพิ่มความสนิทสนมกันมากขึ้น เปรียบเสมือนเป็นญาตพิ ่ีน้องกัน ที่สอดคล้องกับพุทธภาษิตที่แปลเป็น ภาษาไทยว่า “ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง” เมื่อมีความสนิทคุ้นเคยกันแล้ว ความเกรงใจกันจะ เกิดขึ้นตามมา จะพูด จะคิด หรือจะทำอะไร ก็จะประกอบไปด้วยความดี เนื่องจากมีความเกรงใจกนั มีความเคารพซง่ึ กันและกัน การจดั กจิ กรรมตามประเพณีวฒั นธรรมนน้ั มีทง้ั ท่ีจัดข้นึ ในบา้ น ในวัด และ ในโรงเรียน ที่เรียกว่า “บวร” แล้วแต่ความเหมาะสมของเทศกาลและพิธีกรรมนั้นๆ สถาบันทั้ง ๓ แหง่ นม้ี คี วามรว่ มมือกันในการประสานสามัคคเี ป็นอยา่ งดีชุมชนจึงมสี นั ตสิ ุข สอดคลอ้ งกับ วิลาศ โพธิ สาร (2552: บทคัดย่อ) ที่ศึกษาพบว่าการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมโดยใช้วิถีพุทธเป็นแนวทาง ปฏิบัติกิจกรรม และมีวัดเป็น ศูนย์กลางสร้างอัตลักษณ์ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นทางด้านวัฒนธรรม เศรษฐกจิ และการปกครอง และยังสอดคล้องกับ สพุ จน์ แสงเงนิ (2558: บทคดั ยอ่ ) พบว่าวัฒนธรรม และประเพณีที่สมาชิกในชุมชน ยังยึดมั่นและปฏิบัติมาเป็นประจำประกอบด้วย วันลอยกระทง สงกรานต์ พิธีบวช ทอดกฐิน ศาลเจ้า เข้าพรรษา ศาลพระภูมิและตักบาตรทางน้ำ ซึ่งก่อให้เกิดผลดี ต่อชุมชน ด้านเศรษฐกิจก่อให้เกิดรายได้จากการขายของกินของใช้ ด้านสังคมเกิดความสามัคคีการ ทำงานร่วมกัน และเกิดความรักชุมชนท้องถิ่น ด้านวัฒนธรรมเป็นการเรียนรู้การอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีอนั ดงี ามไวใ้ ห้เดก็ และเยาวชน

338 4) ปจั จัยทท่ี ำใหเ้ กิดสันตสิ ุขในชุมชน ชุมชนที่มีความสงบสันติสุขนั้น พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสันติสุขชุมชน ประกอบด้วย 1) ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือสุภาษิตคำสอนโบราณ 2) หลักธรรมคำสอนทาง พระพุทธศาสนา 3) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 4) กฎหมายของภาครัฐ และ 5) กิจกรรมของชุมชน ปัจจัย เหล่านี้เป็นกลไกขับเคลื่อนกระบวนการสันติสุข จากการศึกษาพบว่าชุมชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทั้ง 4 แห่ง เปน็ ชมุ ชนเกา่ แก่ทสี่ ืบทอดธรรมเนยี มประเพณีและวฒั นธรรมอย่างต่อเน่ือง จึงถอื วา่ ชมุ ชนเคารพ ในกฎระเบียบหรือกติกาที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อน สอดคล้องกับ วิลาศ โพธิสาร (2552: บทคัดย่อ) ทำให้ เข้าใจบทบาทการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมและสังคม การมีส่วนร่วมสร้างวัฒนธรรมกับกลุ่มชาติ พนั ธ์อุ นื่ ๆ ความทรงจำร่วมจึงเปน็ แนวทางขับเคลอื่ นรูปแบบทางเลือกสำคัญในการดำรงอยู่ นอกจากน้ี ความเช่ือขนบธรรมเนยี มประเพณีเปน็ ท่ีมาของคุณธรรมท่ีชว่ ยเสริมสร้างความผูกพันสงั คม-วัฒนธรรม ให้เข้มแข็ง ปัจจุบันนี้สังคมกำลังเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยผ่านอำนาจรัฐ และทุนนิยมพยายามเข้ามาครอบงำ ดังนั้นการปรับตัวทางวัฒนธรรมจึงเป็น ความหมายใหม่ และตัวกำหนดความสำเร็จเพื่อการดำรงอยู่อย่างยั่งยืน บทบาทของ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยังคงเป็นที่พึ่งสดุ ท้ายของประชากรทั้งสองฝ่ายได้แก่เป็นที่พึ่งของชาวบ้านยามเกิดปัญหา และเป็นที่พึ่งของหน่วยงานงานราชการยามต้องการความช่วยเหลือ บทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เหล่านี้รัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่อย่างสนับสนุนอย่างเต็มที่และ ตลอดเวลา เพือ่ การพฒั นาท่ีย่ังยนื ของสงั คมไทย (มปท.: 6) ปัจจัยด้านประเพณีและความเชื่อ สอดคล้องกับ วิลาศ โพธิสาร (2552: 282) พบวา่ ความเชื่อเปน็ องคป์ ระกอบสำคญั ในการดำรงอยู่ของชุมชน ความเข้าใจของสังคมและวัฒนธรรม ของมนุษย์เป็นลักษณะนามธรรมเพราะที่เกี่ยวข้องกับอุดมคติ ทัศนคติ และค่านิยมของคนในสังคม หนึ่งๆ รวมถึงการให้คำอธิบายความเป็นไปในชีวิตและแนวทางการปฏิบัติตัวของมนุษย์ อุดมคติทาง ศาสนามีอิทธิพลครอบคลุมไปถึงพฤติกรรมด้านอื่นๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ การพักผ่อนหย่อนใจ และการสร้างสรรค์งานศิลปะ ลักษณะการผสม กลมกลืนกันระหว่างความเชื่อถือผีบรรพบุรุษ ความเชื่อตามคติในลัทธิพราหมณ์และการศรัทธาใน ศาสนาพุทธ ความเชอ่ื กับระบบนิเวศนเ์ ป็นพลังเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ทีม่ คี วามสอดคล้องกับ การพัฒนาระบบความเชื่อ ในสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเชื่อเรื่องชีวิตหลังจากความตาย การ เซ่นไหวว้ ญิ ญาณบรรพบรุ ษุ และอำนาจเหนือสิ่งธรรมชาติทส่ี ถิตอยู่ในปรากฏการณธ์ รรมชาติ ส่วน มงคล สายสูง (2546: 104-105) พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างความ เข้มแข็งขององค์กรชุมชน ที่มีการพัฒนาการเริ่มต้นมาจากพื้นฐานของการใช้ “กระบวนการกลุ่ม” เป็นสำคัญในการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในชุมชน กระบวนการกลุ่มที่เกิดขึ้นใน ระยะเริ่มต้นเกิดจากตัวของประชาชนเองในชุมชนที่พยายามหาทางออกด้วยวิธี การลองผิดลองถูกท่ี หลากหลาย ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งมีหน่วยงานของทางราชการเข้ามาเป็นปัจจัยสนับสนุน ประสานงานเพื่อให้แนวคิดในการแก้ไขปัญหาเกิดเป็นรูปธรรมที่แท้จริง หน่วยงานดังกล่าวได้แก่ โรงเรียน และสถานีอนามัย โดยการผนึกกำลังร่วมกับวัดและสมาชิกในแต่ละครอบครัว ในการร่วม คิดเพื่อระดมสมองวางแผนอย่างมีขั้นตอน ร่วมกันลงมือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกับ สภาวะแวดลอ้ มทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน รวมทัง้ รว่ มกันแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนในลักษณะของ

339 “ประชาคม” หรอื “ประชาสังคม” กลา่ วคอื “ร่วมกันคิด รว่ มกันทำ และร่วมกันแก้ไขปญั หา” ทำให้ การทำงานสามารถสร้างเครือข่ายในการพัฒนาขยายวงกว้างออกไปสู่สว่ นต่างๆ ของสังคมแห่งชุมชน และหลังจากนั้นหน่วยงานอื่นๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจรงิ จังเพิ่มมาก ขึน้ ทั้งหนว่ ยงานของภาครัฐ องคก์ รเอกชน และประชาชนในตำบล โดยมีองค์กรหลักในการพัฒนาก็ คือ “บ้าน วัด โรงเรียน และสถานีอนามัย” (บวรส) เป็นผู้ทำหน้าที่หลักในการประสานงานและ ติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การทำงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และให้เป็น สว่ นหนงึ่ ของวถิ ชี วี ติ ในการอยู่ในสังคมได้อย่างสนั ติสุขและย่ังยืน รวมทงั้ เพ่อื ใหช้ าวชุมชนสามารถที่จะ “พึ่งตนเองได้” อย่างแท้จริง ซึ่งกระบวนการเสรมิ สร้างความเขม้ แข็งขององค์กรชุมชนแหง่ นี้ นับเปน็ ตัวอย่างหนึ่งแห่งกระบวนการพัฒนาชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาแบบยั่งยืน โดยอาศัย การแก้ปัญหาตามหลักเหตุและผล โดยประโยชน์ใช้หลัก “อริยสัจ 4” คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นแนวทางสำคัญเพื่อพัฒนา “คน” ให้สามารถดำรงอยู่คู่กับ “สิ่งแวดล้อม” ได้อย่างยั่งยืนทั้งใน ปัจจบุ ันและอนาคตต่อไป ประเด็นปัญหาอุปสรรคในการสร้างชุมชนสันติสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม คือการบริหารการ จัดการที่ไม่ค่อยมีระบบหรือแบบแผนในชุมชน ทำให้เกิดการปฏิบัติแตกต่างกัน สมาชิกบางคนไม่ เขา้ ใจบทบาทอำนาจหน้าที่ของตน ประชาชนบางสว่ นไม่ให้ความรว่ มมือ ไมม่ จี ติ สาธารณะ ครอบครัว ขาดความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจฐานราก และงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐไม่ต่อเนื่อง ซ่ึง สอดคล้องกับ รพีภัทร์ สุขสมเกษม (2559: บทคัดย่อ) พบว่าปัญหาอุปสรรคที่มีต่อผลต่อการส่งเสริม ความเข้มแข็งของชุมชน คือ (1) ยังขาดการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐอื่นๆ ในพื้นที่ และ (2) การ กำหนดกรอบในการใช้งบประมาณสำหรับเงินอุดหนุนชุมชน ยังมีจำกัด นอกจากนี้แล้วชุมชนยังขาด การสนบั สนุนความรู้ดา้ นวิชาการในการประกอบอาชีพอย่างต่อเน่ือง สรุปผลการวจิ ยั ผลการวิจัยเรื่องศึกษาปัจจัยที่มีส่วนในการสร้างสันติสุขชุมชนท่ามกลางพหุวัฒนธรรมใน อีสานใต้ สรุปผลการวิจัยได้ว่า สภาพบริบททางสังคมของทั้ง 4 ชุมชนนั้น เป็นชุมชนเก่าแก่ยึดมั่นใน ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมโบราณ มีความเชื่อในเร่ืองส่ิงศกั ดิ์สทิ ธิ์ เคารพบูชาบรรพบรุ ุษ และปฏิบัติตามประเพณีสิบสองเดือนของภาคอีสาน การแต่งกายจะแต่งตามประเพณีนิยม อนุรักษ์ ภาษาถิ่นในการสือ่ สารไดเ้ ป็นอย่างดี และผู้นำชมุ ชนมคี วามเข้มแข็ง ปัจจัยที่มีส่วนในการสร้างชุมชนสันติสุข ประกอบด้วย 1) วิธีการบริหารความขัดแข้งของ ชุมชนในอดีต ผู้นำชุมชนจะไกล่เกลี่ยให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่กรณี ด้วยอาศัยความสามัคคีของคน ในชุมชน 2) หน่วยงานภาครัฐมีบทบาทในการแก้ไขปญั หาระงบั เหตุเบ้ืองต้นใหเ้ กดิ ความสงบเรยี บร้อย ดว้ ยการจัดใหม้ ีกฎกติกาของหม่บู ้าน และช้ีแจงให้เกดิ ความเข้าใจตรงกันถูกต้องทุกฝ่าย 3) กิจกรรมที่ ก่อให้เกิดสันติสุขในชุมชนประกอบด้วย กิจกรรมการไปวัดด้วยกัน กิจกรรมไปร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ ด้วยกัน กิจกรรมไปร่วมงานศพด้วยกัน กิจกรรมไปปลูกป่าร่วมกัน กิจกรรมไปพัฒนาหมู่บ้านร่วมกัน กิจกรรมการไปประชุมร่วมกัน และกิจกรรมมีจิตอาสาร่วมกัน และ 4) ปัจจัยที่ทำให้เกิดสันติสุขใน

340 ชุมชน คอื ผญาคำสอนโบราณ หลักธรรม กำนัน ผูใ้ หญ่บา้ น กฎหมายของภาครัฐ กจิ กรรมของชุมชน ประเพณีวัฒนธรรม และเทคโนโลยสี มยั ใหม่ ส่วนสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการสร้างชุมชนสันติสุข คือการบริหารการจัดการที่ไม่ค่อยมีระบบ ทำใหเ้ กิดการเลือกปฏบิ ตั ิและมีความแตกแยกกนั สมาชิกกลุ่มไม่เข้าใจบทบาทหนา้ ทข่ี องตนเอง ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะเชิงปฏบิ ัตกิ าร ผู้วิจัยขอเสนอแนะเชิงปฏิบัติการเป็นลำดับขั้นตอน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการ อย่างเป็นระบบและสามารถปฏิบัติได้ ดังต่อไปน้ี 1.1 การจัดกิจกรรมของชุมชนควรมีการประชุมวางแผนหรือประชาสัมพันธ์ในการทำ กิจกรรมของแต่ละประเพณี วัฒนธรรมอย่างมีส่วนร่วมที่แท้จริง อย่างน้อยก่อนวันจัดกิจกรรม ๒ สัปดาห์ เพอ่ื จะได้มเี วลาในการเตรียมงาน 1.2 ควรมีการสรุปผลการจัดกิจกรรมประเพณีวัฒนธรรมแต่ละครั้ง และบันทึกไว้เป็น หลักฐานเพื่อเป็นแหล่งสืบค้นข้อมูลสำหรับเยาวชนรุ่นต่อไปในการสืบทอดประเพณีวัฒนธรรม ที่จะ นำมาปฏิบัติได้ถูกต้องเหมาะสม และสามารถอธิบายเหตุผลของประเพณีวัฒนธรรมนั้นๆ ได้อย่าง ชดั เจน 1.3 ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสมาชิกของชุมชน ปราชญ์ ชาวบ้าน นักวิชาการ ผูเ้ ช่ยี วชาญภาครัฐดา้ นประเพณวี ัฒนธรรมในการประยกุ ต์ใช้ให้เหมาะสมกับกาล สมยั 2. ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครง้ั ต่อไป 2.1 จากการลงพื้นทีพ่ บว่าหน่วยงานภาครัฐไม่ได้ตดิ ตามประเมินกจิ กรรมของชุมชนอย่าง ต่อเนื่อง เนื่องจากขาดงบประมาณ จึงควรมีการทำวิจัยเพื่อติดตามและประเมินผลการทำกิจกรรม วัฒนธรรมประเพณีของ ชุมชน เพื่อจะดูว่าผลจากการทำกิจกรรมต่อการพัฒนาชุมชนให้เกิดความ เข้มแขง็ อยา่ งต่อเนือ่ งและยงั่ ยืน 2.2 จากการลงพื้นที่พบว่าชุมชนยังไม่มีศูนย์เรียนรู้พหุวัฒนธรรม จึงควรมีการวิจัยเชิง ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้พหุวัฒนธรรม ประเพณีของชุมชน เพื่อเป็น แหล่งเรยี นร้ดู า้ นพหวุ ัฒนธรรม ประเพณขี องชุมชน 2.3 การสำรวจขอ้ มูลด้านวัฒนธรรมประเพณีของชมุ ชนใหเ้ ป็นระบบ มขี ้อมูลท่ีสำคัญของ แต่ละวัฒนธรรม ประเพณี จะได้ทราบว่าสมาชิกของชุมชนมีความรู้และความเข้าใจในวัฒนธรรม ประเพณขี องชุมชนมากนอ้ ยเพียงใด เอกสารอ้างองิ หนังสือ กองพุทธศาสนศึกษา. คู่มือโครงการรักษาศีล 5. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ, 2556.

341 คัมภีร์ ทองพูน. กำนัน ผู้ใหญ่บ้านกับการแก้ไขปญั หาความขัดแย้ง. ศูนย์วิจัยและใหค้ ำปรึกษาด้าน สิทธิมนษุ ยชน คณะรฐั ศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา, มปท. เดือน คำด.ี ศาสนศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พิมพม์ หาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, 2553. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุต.โต). ความสำคัญของพระพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ สหธรรมกิ . 2555. ฝา่ ยประสานการแก้ไขปญั หาความขดั แย้ง. หลกั พ้นื ฐานในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง. [ออนไลน์], นิตยสารภาพข่าวทักษิณ, ที่มา : http://km.moi.go.th/km/26_peaceful/peaceful12. PDF. มนต์ ทองชัช. ศาสนาสำคญั ของโลกปัจจุบนั . กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพโ์ อเดียนสโตร.์ 2553. สมภาร พรมทา. มนษุ ย์กบั ศาสนา. กรุงเทพมหานคร: สำนักพมิ พ์สยาม. 2554. อานันท์ กาญจนพันธ์. พหุวัฒนธรรมในบริบทของการเปลี่ยนผ่านทางสังคมและวัฒนธรรม. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมน่ั คงของมนุษย์. 2556. วิทยานพิ นธ์ พัชราภรณ์ หลักทอง. สภาพปัญหาและแนวทางจัดการความขัดแย้งในชุมชนของคณะกรรมการ ศูนย์ยุติธรรมชุมชน ตำบลหนองหาน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี, วิทยานิพนธ์ รัฐ ประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน, มหาวิทยาลัย บูรพา, 2560. มงคล สายสงู . การสร้างกระบวนการเรียนรู้เพ่ือเสริมสร้างความเขม้ แข็งของชุมชน ตำบลน้ำเกี๋ยน กิ่งอำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย สถาบนั ราชภัฏอตุ รดติ ถ์, 2546. รพภี ัทร์ สขุ สมเกษม. ปจั จัยทม่ี ีผลต่อการส่งเสริมความเข้มแขง็ ของชุมชน กรณีศกึ ษาชุมชนในเขต เทศบาลนครปากเกรด็ จงั หวัดนนทบุรี. รายงานการวิจัย. มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2559. รัฐติกานต์ ปันเปอะ. การจัดการแก้ไขความขัดแย้งในชุมชนชนบทภาคเหนือ, วิทยานิพนธ์ บรหิ ารธุรกจิ มหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั เชียงใหม่, 2545. วรเชฏฐ์ หน่อคำ. ผู้นำท้องถิ่นกับการจัดการความขัดแย้งในชุมชนชนบท. วิทยานิพนธ์ ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาว ิช าการศึกษานอกระบบ บัณฑิตว ิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, 2544. วลิ าศ โพธิสาร. การปรับตวั ทางสังคมของชาวกูยในบรบิ ทพหุวฒั นธรรมเขตอีสานใต้. ปรัชญาดุษฎี บัณฑิต สาขาวิชาไทยศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2552. สพุ จน์ แสงเงิน. วฒั นธรรมประเพณีกบั การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเทศบาลบางม่วง จังหวัด นนทบุร.ี รายงานการวิจยั มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนคร, 2558.

คมั ภรี ์สมันตกูฏวณั ณนา: วเิ คราะห์ประเดน็ เกยี่ วกบั คติความเชือ่ ของศรีลังกา 123 Samantakūṭavaṇṇanā: Analysis an Issue on Sri Lankan’s Cult คมั ภรี ส์ มนั ตกฏู วณั ณนา: วเิ คราะหป์ ระเดน็ เกย่ี วกบั คตคิ วามเชอ่ื ของศรลี งั กา Samantakūṭavaṇṇanā: Analysis an Issue on Sri Lankan’s Cult พระมหาพจน์ สวุ โจ* และพระมหาถนอม อานนโฺ ท** Phramaha Phocana Suvaco and Phramaha Thanorm Arnando * ** อาจารย์ประจำ� มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาลัยสงฆ์บรุ ีรมั ย์ Lecturer, Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Buriram Buddhist College, Thailand ตอบรบั บทความ (Received) : 8 ก.ค. 2564 เริ่มแกไ้ ขบทความ (Revised) : 26 ต.ค.2564 รับบทความตพี มิ พ์ (Accepted) : 18 ธ.ค. 2564 เผยแพรอ่ อนไลน์ (Available Online) : 31 ม.ค. 2565

124 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพุทธศาสนา ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 (ฉบับรวมท่ี 14) ปี 2565 คัมภรี ์สมนั ตกฏู วณั ณนา: วเิ คราะหป์ ระเด็นเก่ยี วกับคติความเชือ่ ของศรีลงั กา พระมหาพจน์ สุวโจ และพระมหาถนอม อานนโฺ ท บทคดั ย่อ บทความนม้ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาสารตั ถะของคมั ภรี ส์ มนั ตกฏู - วัณณนา และวิเคราะห์ประเด็นเกี่ยวกับคติความเช่ือของศรีลังกาสมัย แตง่ คมั ภีร์สมันตกฏู วณั ณนา ผลการศึกษาพบว่าเนือ้ หาของคัมภรี ส์ มนั ตกฏู วณั ณนาเนน้ กลา่ วถงึ พทุ ธจรยิ าวตั ร นบั ตง้ั แตส่ มยั ตรสั รอู้ นตุ ตรสมั มาสัมโพธิญาณจนถึงเสด็จเกาะลังกา นอกจากน้ัน คัมภีร์ยังเสริมด้วย เร่ืองราวของเทพสุมนะในฐานะผู้อารักขาภูเขาสมันตกูฏ เหตุการณ์ พระพุทธองค์ทรงประทับรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาสมันตกูฏ คติความเช่ือเก่ียวกับบุญสถานศักด์ิสิทธ์ิรอบเกาะลังกาในฐานะเป็น ตวั แทนของพระพุทธเจา้ และคติความเชือ่ เกยี่ วกับเทพเจ้าฮนิ ดู ซงึ่ เปน็ ที่รู้จักแพร่หลายสมัยน้ัน กล่าวคือเทพอุบลวัณ (ภายหลังเรียกว่าเทพ วษิ ณุ) พระเวเทหเถระผู้แต่งคมั ภรี ส์ มันตกูฏวัณณนา ในฐานะพระสงฆ์ นักปราชญ์ได้เห็นความมากอิทธิพลของเทพวิษณุ และเกรงว่าหาก คติความเชื่อเช่นนี้แทรกซึมเข้าสู่พิธีกรรมของชาวพุทธ ย่อมจะเป็น

คมั ภรี ส์ มันตกูฏวณั ณนา: วเิ คราะห์ประเด็นเกีย่ วกับคติความเชือ่ ของศรลี งั กา 125 Samantakūṭavaṇṇanā: Analysis an Issue on Sri Lankan’s Cult เรื่องยากต่อการแก้ไข จึงแต่งคัมภีร์สมันตกูฎวัณณนาเพ่ือยกย่องรอย พระพุทธบาทบนยอดเขาสมันตกูฏในฐานะบุญสถานศักด์ิสิทธ์ิของชาว ศรีลงั กา และสรรเสริญเทพสุมนะในฐานะผูอ้ ารกั ขารอยพระพทุ ธบาท ค�ำส�ำคัญ : สมนั ตกฏู วณั ณนา ศรลี งั กา คตคิ วามเชอื่

126 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพุทธศาสนา ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 (ฉบบั รวมที่ 14) ปี 2565 Samantakūṭavaṇṇanā: Analysis an Issue on Sri Lankan’s Cult Phramaha Phocana Suvaco and Phramaha Thanorm Arnando Abstract The objectives of this academic article are to study the essence of Samantakūṭavaṇṇanā and to analyze the issue of the cult of Sri Lankan people. The results of the study show that this work focuses on the Buddha’s activity, from the time of his enlightenment until he comes to the island of Lanka. Moreover, this work also adds to the story of God Sumana as the custodian of the Samantakūṭa Mountain, the event of enshrining the Buddha’s footprint, the cult of sacred sites around the island as a representative of the Buddha, and the cult of Hindu gods. Such a Hindu god who is very famous names Upunval (sometime later called Visnu). Vedeha, the author of Samantakūṭavaṇṇanā, considers the influence of God Visnu. He fears if this cult infiltrates into Buddhist’s ritual, it will

คมั ภรี ์สมนั ตกฏู วณั ณนา: วเิ คราะหป์ ระเด็นเกี่ยวกับคตคิ วามเชือ่ ของศรีลงั กา 127 Samantakūṭavaṇṇanā: Analysis an Issue on Sri Lankan’s Cult be difficult to solve. Therefore, he decides to write this work for eulogizing the Buddha’s footprint on the Samantakūṭa Mountain as a sacred site of Sri Lanka and extolls God Sumana as the custodian of the Buddha’s footprint. Keywords : Samantakūṭavaṇṇanā, Sri Lanka, Cult

128 ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 1 (ฉบับรวมท่ี 14) ปี 2565 1. บทนำ� คัมภีร์สมันตกูฏวัณณนา เป็นคัมภีร์ภาษาบาลีมีเน้ือหากล่าวถึง ประวัติความเป็นมาของรอยพระพุทธบาทเหนือยอดเขาสมันตกูฏ (ปัจจุบันเรียกว่าศรีปาทะ) ซ่ึงขุนเขาแห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นท่ีประดิษฐาน รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ดังปรากฏเห็นหลักฐานในคัมภีร์ อรรถกถาอังคุตตรนิกายช่ือว่ามโนรถปูรณี ซ่ึงระบุไว้ว่า “ทมิฬช่ือว่า ทีฆชยันตะระลึกได้ตามธรรมดาของตน จึงทมิฬนั้นเอาผ้าแดงบูชา อากาสเจดีย์ที่สุมนคิรีวิหาร”1 สุมนคิรีวิหารในท่ีนี้หมายถึงสุมนกูฏ หรือสมันตกูฏ อันเป็นสถานท่ีอยู่ของเทพสุมนะ (บางทีเรียกว่าเทพ- สมนั ต)์ ผทู้ ำ� หนา้ ทอ่ี ารกั ขาคมุ้ ครองรอยพระพทุ ธบาท สว่ นทมฬิ นามวา่ ทีฆชยันตะน้ันปรากฏเห็นในคัมภีร์มหาวงศ์ในฐานะนักรบเอกคนหน่ึง ของพระเจา้ เอฬาระ (พ.ศ. 338-342)2 สำ� หรบั อากาสเจดยี ห์ รอื เจดยี บ์ น ยอดเขานน้ั สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะมลี กั ษณะเปน็ อาคารซงึ่ สรา้ งครอบรอย พระพุทธบาทเอาไว้ จากหลักฐานตรงนี้เชื่อได้ว่าประเพณีการสักการ บูชารอยพระพุทธบาท น่าจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายของชาวลังกาต้ังแต่ สมัยนั้นเป็นต้นมา3 ด้วยเหตุดังกล่าว พระเวเทหเถระในฐานะพระสงฆ์ นักปราชญ์จึงแต่งคัมภีร์เล่มน้ีข้ึน นัยว่าต้องการสรรเสริญจริยาวัตร 1 พระพุทธโฆสเถระ, อรรถกถาภาษาไทย พระสุตตันตปิฎก อังคุตตร- นกิ าย ทกุ จตกุ กนบิ าต มโนรถปรู ณี ภาค 2 ฉบบั มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราช- วทิ ยาลยั (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2553), 178. 2 พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต, คัมภีร์มหาวงศ์ ภาค 1 แปลโดย สเุ ทพ พรมเลศิ (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2553), 231. 3 ลงั กากมุ าร, เลา่ เรอ่ื งเมอื ง (ศร)ี ลงั กา: รวมบทความวชิ าการในวาระครบ รอบหนงึ่ ทศวรรษ (นครปฐม: สาละพมิ พการ, 2560), 324.

คมั ภรี ์สมนั ตกูฏวัณณนา: วเิ คราะหป์ ระเดน็ เกีย่ วกับคติความเชอื่ ของศรลี งั กา 129 Samantakūṭavaṇṇanā: Analysis an Issue on Sri Lankan’s Cult อันดีงามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพรรณนาความ อัศจรรย์ของรอยพระพุทธบาท เพ่ือสร้างกุศลศรัทธาแก่ชาวพุทธลังกา ทุกรปู นาม ประเด็นน่าสนใจคือ แม้เนื้อหาคัมภีร์สมันตกูฎวัณณนา จะเน้น พรรณนาจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า หรือกล่าวถึงขุนเขาสมันตกูฏใน ฐานะเป็นบุญสถานศักดิ์สิทธ์ิ เพราะเป็นสถานสถิตรอยพระพุทธบาท หรือสรรเสริญความส�ำคัญของเทพสุมนะในฐานะผู้อารักขาคุ้มครอง รอยพระพุทธบาทนับแต่บรรพกาล หรืออธิบายความงดงามอลังการ ของธรรมชาติรอบบริเวณสุมนกูฎ หรือว่าพยายามชี้บอกเรื่องราวของ เทพเจ้าฮินดูน้อยใหญ่ ผู้พากันเดินทางเข้าเฝ้าถวายสักการะแด่รอย พุทธบาท แต่หากศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกด้านบริบททางศาสนาสมัยนั้น กลับมีประเด็นให้ชวนตีความหลายด้าน โดยเฉพาะบริบทเกี่ยวกับคติ ความเชอื่ ของผคู้ นสมยั แตง่ คมั ภรี ส์ มนั ตกฏู วณั ณนา จงึ เหน็ วา่ หากมกี าร วิเคราะห์ประเดน็ เก่ยี วกับคติความเชื่อ น่าจะสามารถตอบค�ำถามได้ว่า จดุ ประสงคแ์ ทจ้ รงิ ของการแตง่ คมั ภรี ส์ มนั ตกฏู วณั ณนาคอื อะไร ? เปน็ ผล มาจากบริบททางการเมืองหรือไม่ ? หรือว่าเจตนาแท้จริงของการแต่ง คมั ภรี เ์ ปน็ การผลิตซ้ำ� ทางความเชอ่ื ของชาวพทุ ธศรีลงั กา ? 2. ศึกษาสารัตถะของคมั ภรี ส์ มนั ตกฏู วัณณนา คมั ภรี ส์ มนั ตกฏู วณั ณนาแตง่ โดยพระเวเทหเถระ หลกั ฐานดงั กลา่ ว ปรากฏเหน็ ในนคิ มคาถาของคมั ภรี เ์ ลม่ น้ี ซง่ึ พรรณนาวา่ พระเวเทหเถระ เป็นพระสงฆ์สังกัดส�ำนักอรัญวาสี เบื้องต้นได้แต่งคัมภีร์ภาษาสิงหล เล่มหน่ึงซ่ือว่าสีหฬสัททลักขณะ ต่อมาได้แต่งคัมภีร์อีกเล่มหนึ่ง

130 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 1 (ฉบบั รวมที่ 14) ปี 2565 เป็นภาษาบาลีช่ือว่าสมันตกูฏวัณณนา ตามค�ำอาราธนานิมนต์ของ พระราหุลเถระ หลักฐานยังเสริมอีกว่าพระเวเทหเถระน้ันเป็นศิษย์ของ พระอรัญญรัตนานันทมหาเถระ ซึ่งพระเถระรูปน้ีเป็นพระสงฆ์ทรง ปราชญ์ ชื่อเสียงของท่านโด่งดังไปไกลเสมือนหนึ่งดวงอาทิตย์โชติช่วง ชัชวาลเหนือท้องนภากาศ4 จะเห็นได้ว่าพระเวเทหเถระผู้แต่งคัมภีร์ สมันตกูฏวัณณนานั้น เป็นพระสงฆ์สังกัดอรัญวาสีนิกาย และเป็นศิษย์ ของพระอรัญญรัตนอานันทเถระ เนื่องจากเป็นผู้เช่ียวชาญด้านภาษา บาลี อีกท้ังแตกฉานในคัมภีร์พระพุทธศาสนา จึงแต่งคัมภีร์เล่มน้ีขึ้น ดว้ ยความสามารถแห่งตน โดยผู้ท�ำหน้าที่ตรวจทานคอื พระราหลุ เถระ หลักฐานยืนยันตัวตนพระเวเทหเถระในฐานะผู้แต่งคัมภีร์เล่มนี้ อีกแห่งหน่ึง พบเห็นในนิคมคาถาของคัมภีร์รสวาหินี ซึ่งเป็นผลงานอีก เล่มหน่ึงของท่าน ดังความวา่ พระมหาเถระชอื่ กาลงิ คะ เปน็ อปุ ชั ฌายข์ องทา่ นผใู้ ด ผนู้ นั้ ชอ่ื พระมหาเถระมงคล เปน็ พระภกิ ษผุ เู้ ปน็ พระอธกิ าร (สมภาร) ในขัณฑสีมา (เขตแดนอันก�ำหนดไว้แล้ว) ท่าน เปน็ อาจารยผ์ เู้ ชย่ี วชาญในสรรพศาสตรข์ องทา่ นผู้ใด ทา่ น เป็นพระมหาเถระยินดีอยู่แต่ในราวป่า เป็นผู้น�ำมาซ่ึงคุณ อันมาก ท่านบรรลุถึงฝั่งสมุทรคือศาสตร์ มาถึงความเป็น ครูของท่านผู้ใด ท่านผู้ใดที่ช่ือว่าเป็นธงชัยอันเอกในสีหล ทา่ นผใู้ ดไดท้ ำ� คมั ภรี ส์ ทั ทลกั ขณะสหี ลโดยภาษาสงิ หล และ ทา่ นผู้ใดคือพระเวเทหเถระ ผู้ทำ� ปกรณ์รสวาหินีน5้ี 4 Vedeha Thera, Samantakūṭavaṇṇanā, ed. C.E. Godakumbura (Oxford: The Pali Text Society, 1955), 798-802. 5 พระเวเทหเถระ, รสวาหินี แปลโดย แสง มนวิทูร (พระนคร: โรงพิมพ์

คมั ภรี ์สมนั ตกูฏวัณณนา: วิเคราะห์ประเดน็ เก่ียวกับคตคิ วามเช่ือของศรลี งั กา 131 Samantakūṭavaṇṇanā: Analysis an Issue on Sri Lankan’s Cult ข้อมูลเบ้ืองต้นชี้ให้เห็นว่าพระเวเทหเถระนั้น มีพระอุปัชฌาย์ ผู้ให้การอุปสมบทช่ือว่ากาลิงคมหาเถระ มีอาจารย์ผู้ฝึกฝนอาจาระ นามว่าพระมังคลมหาเถระ และมีครูผู้สอนส่ังศาสตร์และศิลป์นามว่า อานันทมหาเถระ นอกจากนั้น พระเวเทหเถระยังได้นิพนธ์คัมภีร์ 3 เลม่ ไดแ้ ก่ คมั ภีรส์ ีหลสทั ทลักขณะ คมั ภีร์สมนั ตกฏู วณั ณนา และคัมภีร์ รสวาหนิ ี ประเด็นเกี่ยวกับส�ำนักซ่ึงเป็นที่พ�ำนักพักอาศัยของพระเวเหเท- เถระนั้น โคทกมั บรุ ะ (C.E. Godakumbura) และเปรมกุมาร เดอ ซิลวา (D.A. Premakumara De Silva) ได้แสดงความเห็นว่า พระเถระพักอยู่ อาศยั บริเวณใกลภ้ เู ขาสมันตกูฏ ซึ่งเรยี กวา่ ปฏุ ภตั ตเสละ (บางทีเรียกว่า ปลาภตั คะละ) เหน็ ไดจ้ ากทา่ นสามารถพรรณนาความงดงามของสมนั ต- กฏู ไดอ้ ยา่ งละเอยี ด6 ดา้ นโสมปาละ ชยั วรรธนะ (Somapala Jayaward- hana) เห็นว่าส�ำนักของพระเวเทหเถระคือ อุทุมพรคิรี (บางแห่งเรียก ว่าทิมบุลาคะละ) เน่ืองจากส�ำนักแห่งนี้มีสมภารเจ้าอาวาสชื่อว่าพระ- วนรัตนอานันทเถระ พระเถระรูปนี้แลเป็นอาจารย์ของพระเวเทหเถระ นอกจากนั้น พระเถระยังมีศิษย์นักปราชญ์ร่วมอาจารย์เดียวกันอีก 2 ท่าน คือ พระโคตมเถระและพระพุทธัปปิยเถระ7 ผู้เขียนเห็นว่าทัศนะ ของโสมปาละ ชยั วรรธนะมคี วามสมเหตสุ มผลมากกวา่ เพราะหลกั ฐาน ระบุว่าส�ำนักอุทุมพรคิรีนั้นเป็นวัดป่าอรัญวาสี มีพระสงฆ์นักปราชญ์ ครุ ุสภา, 2513), 798-799. 6 Vedeha Thera, Samantakūṭavaṇṇanā, preface, xi. ; D.A. Prema- kumara De Silva, “Sri Pada: Diversity and Exclusion in a Sacred Site in Sri Lanka,” (PhD Diss., University of Edinburgh, 2005), 46. 7 Somapala Jayawardhana, Handbook of Pali Literature (Colombo: Karunaratne and Sons, 1994), 10.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook