รายงานการวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น เรอื่ งลมฟา้ อากาศรอบตวั โดยใชก้ ารสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นสงู เมน่ ชนูปถมั ภ์ โดย นางสาวณัฐสดุ า ฉมิ สอาด รหสั นกั ศึกษา 61031050174 รายงานการวิจยั เป็นสว่ นหนงึ่ ของรายวิชาการปฏบิ ตั ิการสอนในสถานศึกษา 1 รหัสวชิ า1005801 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ภาคเรยี นที่1 ปกี ารศกึ ษา2565
ก กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์โดยความกรุณาเป็นอย่างยิ่งจากอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์อิสระ ทับสีสด ที่ให้คำปรึกษาให้ข้อแนะนำตลอดจนปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทำวิจัยในชั้นเรียน อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่ เกิดขึ้นระหว่าง การดำเนินงานอีกด้วย ผู้วิจยั รู้สกึ ซาบซึง้ ในความเมตตา และความกรณุ าเป็นอย่างสงู ขอกราบขอบพระคุณคุณครูมัสยา เกษรวนิชวัฒนา ที่ให้ความอนุเคราะห์ด้านการวิจัย คุณครูกุลยาภรณ์ กาญจนะ ที่ให้ความอนุเคราะห์ด้านภาษา และคุณครูนิทัศน์ เกษรวนิชวัฒนา ท่ีใหค้ วามอนุเคราะหด์ ้านการวัดการประเมิน ตลอดจนให้คำปรกึ ษา คำแนะนำ และตรวจแก้ไขเคร่ืองมือ ที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนในคร้ังนี้ อันทำให้รายงานการวิจัยฉบับนี้สมบูรณ์ ยง่ิ ข้นึ ผู้วิจัยขอขอบคุณบิดา มารดา ผู้มีพระคุณ อาจารย์ คุณครูทุกท่าน และเพื่อนนักศึกษา ปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ที่คอยเป็นกำลังใจ ให้ความช่วยเหลือในทุกๆด้านการสนับสนนุ ช่วยเหลือ และให้กำลังใจในการทำวิจัยในชั้นเรียนให้สำเร็จ ลุลว่ งไปดว้ ยดี ณฐั สุดา ฉิมสอาด
ข บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้กระทำกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่น ชนูปถัมภ์ ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา2565 จำนวน 39 คน ทำการคัดเลือกด้วยการสุ่มโดยอาศัยหลักการ ความน่าจะเป็นอย่างง่าย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อพัฒนาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวของ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ 2. เพื่อทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้ พัฒนาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ งลมฟ้าอากาศรอบตัว กับนกั เรียนระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสงู เม่นชนูปถมั ภ์ 3. เพื่อศึกษา ระดบั ความพงึ พอใจของนกั เรยี นระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นสูงเม่นชนูปถัมภ์ ทม่ี ตี อ่ การทดลองใช้ พัฒนาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรือ่ งลมฟา้ อากาศรอบตัว ใช้ระเบียบวธิ ีการวิจัยกึ่งทดลอง เคร่อื งมือการวจิ ยั ซง่ึ ผ่านการประเมนิ คณุ ภาพแล้ว จากผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วยแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ แบบทดสอบ แบบสังเกต วิเคราะห์ ข้อมูลดว้ ยค่าเฉล่ีย สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และ Paired- Sample t-Test ผลการวจิ ัยพบว่าการสอนแบบ 5e ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ สร้างขึ้นตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการวิธีการวธิ ีการสอนแบบ5e ร่วมกบั เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ ของณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561), โสรัจจ์ แสนคำ (2560), ทิวากร วงษ์ เสน, อุษา ปราบหงษ์ และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ประกอบด้วยวิธีการสอนแบบ 5e ร่วมกับเทคนิค การเรียนแบบร่วมมือ ที่เน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดยการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนแสวงหา ศึกษาค้นคว้า แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ฝึกคิด ฝกึ สังเกต ฝึกถาม - ตอบ ฝกึ การสื่อสาร ฝึกการนำเสนอ ฝึกวเิ คราะห์วจิ ารณ์ ยอมรบั ฟังความคดิ เหน็ ของ ผ้อู ื่น และมกี ารช่วยเหลือซึง่ กนั และกนั โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยศาสตร์ เพ่ือสรา้ งองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีครูเปน็ ผู้กำกบั ควบคมุ ดำเนินการใหค้ ำปรึกษาชแี้ นะแนะ ชว่ ยเหลือ ให้กำลงั ใจเป็นผู้กระตุ้นส่งเสริม ให้ผเู้ รียนคิดและเรียนรู้ด้วยตนเอง และเมอื่ นำมาทดลองใชจ้ ัดกจิ กรรมการเรยี นร้เู ร่ืองลมฟ้าอากาศรอบตัว เมื่อเทียบกับเกณฑป์ ระเมนิ ของสพฐ. เมื่อนักเรียนกลมุ่ ตวั อย่างถูกจัดกิจกรรมการเรียนร้โู ดย
ค ทดลองวธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้(5e) มผี ลการเรยี นรูท้ ร่ี ะดับผ่านเกณฑ์ปานกลาง และต่ำกว่านกั เรยี น กลุ่มตัวอย่างเดียวกันแต่ถูกจัดกิจกรรมเรียนรู้โดยทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิต 0.05 หรอื ท่ีระดับความเช่ือม่ัน 95% ซ่ึงมี ผล การเรียนรู้ที่ระดับดีมาก สำหรับระดับความพึงพอใจนั้น เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวม นักเรียนกลุ่ม ตัวอยา่ งมคี วามพึงพอใจตอ่ วธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้(5e) ท่ีระดบั ปานกลาง ซ่ึงนอ้ ยกวา่ ระดับความพึง พอใจที่มีต่อแบบวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรยี นแบบร่วมมอื ซึ่งมีความ พึงพอใจทีร่ ะดับมากท่ีสดุ
ง สารบัญบทที่ หน้า ก เรื่อง ข กิตติกรรมประกาศ ง บทคดั ยอ่ ฉ สารบัญบทท่ี 1 สารบญั ตาราง 1 บทท่ี 1 บทนำ 6 6 ท่มี าและความสำคัญของปญั หา 7 คำถามการวิจัย 7 วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย 10 ผลและประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รบั 13 ขอบเขตการวจิ ยั 16 นิยามคำศพั ทเ์ ฉพาะ สมมตฐิ านการวิจัย 16 บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้อง การทำวิจัย 18 แนวคิด ทฤษฎี หลกั การ วธิ กี ารท่นี ำมาพัฒนานวัตกรรม นวัตกรรมทางการศกึ ษา 18 นวตั กรรมเฉพาะ เทคนคิ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมือ 20 ข้ันตอนการสรา้ งนวตั กรรม เครื่องมอื ทีใ่ ชร้ วบรวมขอ้ มูล 25 ความพึงพอใจ 34 38 43
จ สารบญั บทที่(ตอ่ ) เรื่อง หน้า ผลสัมฤทธิก์ ารเรียนรู้ 44 งานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 51 บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย 56 ระเบยี บวิธวี ิจยั 56 แหล่งขอ้ มูลการวิจยั 56 เคร่อื งมือการวิจัย 57 การดำเนินการรวบรวมขอ้ มลู 61 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 61 การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู 63 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 64 ผลการพัฒนาการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมือ 65 การพัฒนาผลการเรียนรู้ 67 ระดับความพึงพอใจ 71 77 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และขอ้ เสนอแนะ 74 สรุปผลการวจิ ัย 76 อภิปรายผลการวิจัย 79 ขอ้ เสนอแนะ 80 ภาคผนวก
ฉ สารบัญตาราง เร่ือง หน้า ตารางท่ี1 แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) 65 รว่ มกบั เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ จากผูเ้ ช่ยี วชาญจำนวน 3 คน ตารางท่ี2 แสดงคะแนนผลการเรียนรูเ้ รอื่ งลมฟา้ อากาศรอบตัว 68 ตารางท่ี 3 70 ตารางท่ี 4 แสดงระดับความพงึ พอใจของนกั เรยี น 71
บทที่ 1 บทนำ ท่มี าและความสำคญั ของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 บัญญัติความตามมาตรา 22 ว่าการจัดการศึกษา ต้องยึดหลกั วา่ ผู้เรียนทกุ คนสามารถเรยี นร้แู ละพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรยี นทุกคนมีความสำคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาตอ้ งส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพความ ตามมาตรา 24 (1) บัญญัติว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัด เนอ้ื หาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรยี นโดยคำนงึ ถึงความแตกต่าง ระหวา่ งบุคคล และความตอนหนง่ึ (5) ของมาตราเดยี วกันบญั ญัตวิ า่ ใหผ้ สู้ อนสามารถใชก้ ารวิจยั เป็นส่วน หนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ และความตามมาตรา 30 บญั ญตั ิวา่ ใหส้ ถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียน การสอนที่มปี ระสิทธิภาพ รวมทัง้ สง่ เสริมใหผ้ สู้ อนสามารถวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ทีเ่ หมาะสมกับผู้เรียน ในแต่ละสถานศึกษา จากความตามมาตราดังกล่าวถึงตีความว่า ภายหลังที่ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ใดๆ ด้วยวิธีและเทคนิคการสอนวธิ กี ารใดวธิ ีการหนึง่ แลว้ เมื่อทำการวัดและประเมนิ ผล พบวา่ มีผลอยา่ งใดอย่างหนึ่งคือ จำนวนผู้เรียนทงั้ ชั้นเรียน จำนวนผูเ้ รียนส่วนมากของชัน้ เรียนหรือผู้เรียน จำนวนส่วนน้อยของชั้นเรียนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ผู้สอนกำหนดขึ้น ผลการ ประเมนิ ดังกล่าวไม่สามารถลงข้อสรุปว่า ผลสมั ฤทธ์ิการเรียนรู้ของผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานท่ีผู้สอน กำหนดและถูกตัดสินให้ “ตก” ในสาระการเรียนรู้นั้น แต่ผู้สอนต้องพึงตระหนักเสมอว่าการที่ผู้เรียนมี ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดอาจเป็นเพราะว่า วิธีและเทคนิคการสอนตามที่ ผู้สอนนำมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรูอ้ าจน้ันไมส่ อดคล้องกบั ความถนัดและความสนใจของผูเ้ รียน ดังนั้น ผูส้ อนจงึ ตอ้ งค้นหาวิธีและเทคนิคการสอนวิธีใหมท่ ่ีเหมาะสมกับความถนัดและความสนใจของผู้เรียน การ ทำวิจัยของผู้สอนจะใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่า วิธีและเทคนิคการสอนวิธีใหม่ที่ผู้สอนนำมาใช้จัดกิจกรรม การเรียนร้นู นั้ มีผลการพฒั นาผลสัมฤทธิก์ ารเรยี นร้ขู องผู้เรยี นหรอื ไม่อยา่ งไรเมือ่ เปรียบเทียบเปรียบเทียบ กบั วิธแี ละเทคนิคการสอนวธิ ีเดิม ด้วยเหตุดงั กล่าวจึงตอบคำถามว่า ทำไมผู้สอนจึงตอ้ งทำวจิ ยั ทัง้ วจิ ยั เพื่อ พฒั นาและแก้ปัญหาผูเ้ รียน
2 ว 3.2 ม.1/1 กำหนดขอ้ ความเฉพาะตัวชีว้ ดั วา่ สรา้ งแบบจำลองที่อธิบายการแบง่ ชั้นบรรยากาศ และเปรียบเทียบประโยชน์ของบรรยากาศแต่ละชั้น ถูกกำหนดเป็นสาระการเรียนรู้แกนกลางว่าโลกมี บรรยากาศหอ่ หมุ้ นกั วทิ ยาศาสตร์ใช้สมบตั ิ และองค์ประกอบของบรรยากาศในการแบ่งบรรยากาศ ของ โลกออกเปน็ ชั้น ซึง่ แบ่งไดห้ ลายรปู แบบ ตามเกณฑท์ ่แี ตกต่างกัน โดยทั่วไปนักวิทยาศาสตร์ ใช้เกณฑ์การ เปลยี่ นแปลงอุณหภมู ิตามความสงู แบง่ บรรยากาศไดเ้ ป็น 5 ชั้น ไดแ้ ก่ช้นั โทรโพสเฟียร์ ชน้ั สตราโตสเฟียร์ ช้นั มีโซสเฟียรช์ ั้นเทอรโ์ มสเฟียร์ และชัน้ เอกโซสเฟียร์ บรรยากาศแต่ละช้ันมปี ระโยชนต์ อ่ ส่ิงมชี ีวติ แตกต่าง กัน โดยชั้นโทรโพสเฟียร์มีปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ชั้นสตราโตส เฟยี รช์ ่วยดูดกลนื รงั สีอัลตราไวโอเลต จากดวงอาทิตยไ์ ม่ให้มายังโลกมากเกนิ ไป ช้นั มีโซสเฟียร์ช่วยชะลอ วัตถุนอกโลกที่ผ่านเข้ามาให้เกิดการเผาไหม้กลายเป็นวัตถุขนาดเล็ก ลดโอกาสที่จะทำความเสียหายแก่ สิง่ มีชีวิตบนโลก ชั้นเทอร์โมสเฟียร์สามารถสะทอ้ นคลื่นวิทยุและ ชน้ั เอกโซสเฟียรเ์ หมาะสำหรับการโคจร ของดาวเทียมรอบโลกในระดับต่ำ ม.1/2 อธิบายปัจจยั ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของลมฟ้า อากาศจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ถูกกำหนดเป็นสาระการเรียนรู้แกนกลางว่าลมฟ้าอากาศเป็นสภาวะของ อากาศในเวลาหน่ึงของพื้นที่หนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบลมฟ้าอากาศ ไดแ้ ก่ อณุ หภมู อิ ากาศ ความกดอากาศ ลม ความชน้ื เมฆ และหยาดน้ำฟา้ โดยหยาดนำ้ ฟ้าท่พี บบ่อยใน ประเทศไทย ได้แก่ ฝน องค์ประกอบลมฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณรงั สีจากดวงอาทติ ย์และลกั ษณะพื้นผิวโลกส่งผลต่ออุณหภูมอิ ากาศ อณุ หภมู อิ ากาศและปริมาณไอ น้ำส่งผลต่อความชื้น ความกดอากาศส่งผลต่อลม ความชื้นและลมส่งผลต่อเมฆ ม.1/3 เปรียบเทียบ กระบวนการเกดิ พายุฝนฟ้าคะนองและพายุหมุนเขตร้อน และผลท่ีมีตอ่ สงิ่ มีชีวิต และส่งิ แวดล้อม รวมทั้ง นำเสนอแนวทางการปฏิบัติตนให้เหมาะสมและปลอดภัย ถูกกำหนดเป็นฃสาระการเรียนรู้แกนกลางวา่ พายฝุ นฟ้าคะนองเกิดจากการทีอ่ ากาศที่มีอุณหภมู แิ ละความช้ืนสูงเคลื่อนที่ข้นึ สรู่ ะดับความสูงที่มีอุณหภูมิ ต่ำลงจนกระทั่งไอน้ำในอากาศเกิดการควบแน่นเป็นละอองน้ำ และเกิดต่อเนื่องเป็นเมฆขนาดใหญ่ พายุ ฝนฟ้าคะนองทำให้เกิดฝนตกหนัก ลมกรรโชกแรง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและ ทรัพย์สิน พายุหมุนเขตร้อนเกิดเหนือมหาสมทุ รหรือทะเลที่น้ำมีอณุ หภูมสิ ูงตั้งแต่ 26-27 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ทำให้อากาศที่มีอุณหภูมิและความชื้นสูงบริเวณนั้นเคลื่อนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นบริเวณกว้าง อากาศจากบริเวณอืน่ เคลื่อนเข้ามาแทนที่และพัดเวยี นเข้าหาศนู ยก์ ลางของพายุ ยงิ่ ใกล้ศูนย์กลางอากาศ จะเคลอ่ื นท่ีพัดเวียนเกอื บเปน็ วงกลมและมอี ัตราเร็วสงู ท่สี ดุ พายหุ มุนเขตร้อนทำให้เกิดคลืน่ พายซุ ดั ฝงั่ ฝน ตกหนัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรพั ย์สินจึงควรปฏิตนให้ปลอดภยั โดยตดิ ตามข่าวสารการ พยากรณ์อากาศและไม่เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงภัย ม.1/4 อธิบายฃการพยากรณ์อากาศ และพยากรณ์ อากาศอย่างงา่ ยจากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ ถกู กำหนดเปน็ สาระการเรยี นรู้แกนกลางว่า การพยากรณ์อากาศ
3 เป็นการคาดการณ์ลมฟ้าอากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีการตรวจวัดองค์ประกอบลมฟ้าอากาศการ สอ่ื สารแลกเปล่ยี นข้อมูลองค์ประกอบลมฟ้าอากาศระหว่างพน้ื ท่ีการวิเคราะห์ขอ้ มูลและสร้างคำพยากรณ์ อากาศ ม.1/5 ตระหนักถึงคุณค่าของการพยากรณ์อากาศโดยนำเสนอแนวทางการปฏบิ ัติตนและการใช้ ประโยชนจ์ ากคำพยากรณ์อากาศถูกกำหนดเปน็ สาระการเรียนรแู้ กนกลางวา่ การพยากรณอ์ ากาศสามารถ นำมาใชป้ ระโยชนด์ า้ นตา่ งๆเช่น การใช้ชวี ิตประจำวัน การคมนาคม การเกษตร การปอ้ งกนั และเฝา้ ระวัง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551) สาระการเรียนรู้แกนกลาง ดงั กลา่ วกำหนดอยู่ในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.1 เลม่ 2 กลุ่มสาระการ เรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ โดยใช้ช่อื เรื่องว่า ลมฟ้าอากาศรอบตัว หนงั สือดงั กลา่ วจัดทำโดยสถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์เทคโนโลยหี รือ สสวท. (สสวท. 2560) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง การจัด การเรียนรู้ท่เี ป็นไปตามทฤษฎกี ารสรา้ งองค์ความรูโ้ ดยเป็นกจิ กรรมการเรียนรู้ทีแ่ บง่ นกั เรยี นเปน็ กลุ่มเล็กๆ ส่งเสริมให้นักเรยี นทำงานร่วมกันด้วยวธิ กี ารต่าง ๆ มีการแลกเปลีย่ นความคิดเห็น มีการช่วยเหลอื พึ่งพา ซ่ึงกนั และกัน และมคี วามรับผิดชอบรว่ มกนั ทั้งในสว่ นตนและส่วนรวม เพ่อื ใหต้ นเองและสมาชิกทุกคนใน กลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เพราะการสืบเสาะหาความรู้นอกจากจะต้องใช้หลักการเหตุผล และข้อมูลที่ได้จากการทดลองแล้วยังต้องใช้จินตนาการ ความสร้างสรรค์ และการลงความเห็นร่วมกัน แมว้ า่ คนเพียงคนเดียวสามารถค้นพบเร่อื งที่ยงิ่ ใหญไ่ ด้ แต่ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตรข์ ้นึ อยูก่ ับคนกลุ่ม ใหญ่ทีย่ อมรับความคิดเหน็ นั้นร่วมกนั การใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรยี น แบบร่วมมือ มีลำดับขั้นดังนี้ 1)ขั้นสร้างความสนใจ 2)ขั้นสำรวจและค้นหา 3)ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 4)ขัน้ ขยายความรู้ 5)ข้นั ประเมนิ ณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561) ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคคู่ เดี่ยว (Team -Pair-Solo) เพื่อส่งเสริมทักษะการเล่นซอด้วง กับนักเรียนระดับชั้นช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองตัน จังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้วิธีการพัฒนาชุดกิจกรรมโดยการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มคู่ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสามารถในการเล่นซอด้วงโดยการ เรียนแบบรว่ มมอื เทคนิคกลุ่มคู่ เดี่ยว นักเรียนที่ไมผ่ ่านเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 30.43 และนักเรียนท่ผี ่าน เกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 34.78 โดยนักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนพฤติกรรมการเล่นซอด้วงแบบกลุ่ม คู่เดี่ยว อยใู่ นระดับ ดี แต่ใช้เทคนคิ กลุ่ม คู่เดีย่ ว อยูใ่ นระดับ ดีมาก และนักเรียนมีความพงึ พอใจต่อการทดลองจัด กิจกรรมการเรยี นรดู้ ว้ ยนวตั กรรมดังกลา่ วทร่ี ะดับพึงพอใจมากที่สดุ มีคา่ เฉลีย่ เทา่ กบั 4.55
4 โสรัจจ์ แสนคำ (2560) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สารในชีวิตประจำวัน กับนักเรียนระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธนิ รามนิ ทรภักด)ี สังกดั เทศบาลเมืองราชบรุ ี จงั หวดั ราชบุรี โดยใชก้ ารจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนคิ LT ผลการวจิ ัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT ที่ผู้ศึกษาสร้างและ พัฒนาขน้ึ มีค่าเทา่ กบั 82.31/85.15 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ทก่ี ำหนดไว้ 2. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนร้แู บบร่วมมือด้วยเทคนิค LT มีผลสัมฤทธิห์ ลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียน อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ .05 คา่ สถติ ิ t – test เท่ากับ 17.723 3. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบรว่ มมือดว้ ยเทคนคิ LT พบวา่ นักเรยี นมีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั พงึ พอใจมาก มคี ่าเฉลี่ยเท่ากบั 4.35 ทวิ ากร วงษเ์ สน, อษุ า ปราบหงษ์และพจมาน ชำนาญกจิ (2560) ทำการวิจัยเรือ่ ง การพัฒนาชุด กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอื่ งการรกั ษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์และสัตว์ กับนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนพังโคนวทิ ยาคม อำเภอพงั โคน จังหวดั สกลนคร โดยใช้การสอนแบบวัฏจกั รการสบื เสาะหาความรู้ 5 ขนั้ (5e) รว่ มกบั การเรยี นแบบรว่ มมอื ดว้ ยเทคนคิ STAD ผลการวิจัยพบวา่ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ืองการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์และสัตว์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้การสอนแบบวฎั จกั รการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5e) ร่วมกับการเรียนแบบรว่ มมอื ด้วยเทคนิค STAD มีประสทิ ธภิ าพ 85.29/85.74 ซึ่งสงู กวา่ เกณฑ์ทตี่ ง้ั ไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรยี นอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ .01 3. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี นที่เรยี นด้วยชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ หลังเรียน สูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .01 4. ความพึงพอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมากที่สดุ มคี ่าเฉล่ียเท่ากับ 4.63 จากผลการทบทวนตวั อยา่ งงานวิจยั ท่ีจัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้การสอนสบื เสาะหาความรู้(5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมนักเรยี นมีระดับผลการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน รวมกนั คือ ด้านความรู้ (K) ด้านผลผลิต/กระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) ที่ระดับ ค่อนข้างดี (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. 2550) และกำหนดระดับผลการประเมินเป็น 4
5 ระดับ คือ ดีมาก มรี ้อยละของคะแนนรวมจากคะแนนเต็ม 80 – 100 ดีมาก มรี อ้ ยละของคะแนนรวมจาก คะแนนเต็ม 75 – 79 ดี มีร้อยละของคะแนนรวมจากคะแนนเต็ม 60 – 74 พอใช้ และต้องปรับปรุง มีรอ้ ยละของคะแนนรวมจากคะแนนเตม็ น้อยกว่าร้อยละ 60 พบวา่ นักเรียนมผี ลการเรียนรู้ที่ระดับ พอใช้ จากผลการทบทวนตัวอย่างงานวิจัยที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ การสอนแบบวิธีสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมนวัตกรรมที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้พบข้อเสีย ข้อบกพร่อง และสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไขของนวัตกรรม ดังนี้ตัวอย่างงานวิจัยท่ีจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การสอน แบบวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ถึงแม้ว่าจะเปน็ วธิ ีท่ีจัดการเรยี นการสอนให้ความสําคัญกับผู้เรียนหรือ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการจัดการเรียนรู้ที่ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้โดยใช้กระบวนการทาง ความคิดหาเหตุผล ทําให้ค้นพบความรู้หรือแนวทางแกป้ ัญหาที่ถูกต้องดว้ ยตนเอง แต่ด้วยความแตกต่าง ระหว่างบุคคลจึงทำให้ผู้เรียนบางคนไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่สืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง จากสาเหตุของปัญหาและความสำคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรือ่ งลมฟ้าอากาศรอบตัว ผู้วิจัยใน ฐานะผู้สอนจึงต้องทำการวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว ของนักเรียน ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 การจัดทำวจิ ัยในครัง้ นี้สร้างหรอื พัฒนา อา้ งองิ ตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วธิ ีการของ ณัฐกิตต์ิ นวลแสง (2561), โสรัจจ์ แสนคำ (2560), ทิวากร วงษ์เสน, อุษา ปราบหงษ์ และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ตวั อย่างงานวจิ ัยที่เก่ยี วข้อง ได้แก่ ณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561) ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมโดยการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนคิ คู่ เดย่ี ว (Team -Pair-Solo) เพอ่ื ส่งเสรมิ ทักษะการเลน่ ซอดว้ ง กับนกั เรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองตัน จังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้วิธีการพัฒนาชุดกิจกรรมโดยการเรียนรู้ แบบรว่ มมอื เทคนิคกลมุ่ คู่ โสรัจจ์ แสนคำ (2560) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนคิ LT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สารในชีวิตประจำวัน กับนักเรียนระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรยี นเทศบาล 5 (พหลโยธนิ รามินทรภกั ดี) สงั กดั เทศบาลเมอื งราชบรุ ี จังหวัดราชบุรี โดยใช้การจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมือดว้ ยเทคนิค LT เสน, อุษา ปราบหงษ์และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ทำการวิจัยเรอ่ื ง การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการ เรียนรู้ เรื่องการรักษาดลุ ยภาพของร่างกายมนุษยแ์ ละสัตว์ กับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนพงั
6 โคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวดั สกลนคร โดยใช้การสอนแบบวัฏจกั รการสบื เสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5e) ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมอื ดว้ ยเทคนคิ STAD จากแนวคดิ ทฤษฎี หลักการ หรือวธิ กี าร และตวั อยา่ งงานวิจยั ดังอ้างองิ ผ้วู ิจัยจงึ มีแนวคิดท่ีจะใช้ เป็นแนวทางสร้างหรือพัฒนาต่อยอดจากการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียน แบบร่วมมือ ด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอน ตามพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา ที่ 22 มาตรา ท่ี 24 วงเล็บ 5 มาตราท่ี 30 และจากข้อบกพรอ่ งของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ และความสำคัญของ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรเู้ ร่อื งลมฟา้ อากาศรอบตวั เรา ผวู้ จิ ยั จึงมแี นวคดิ ทีจ่ ะทำวิจยั สร้างหรือพัฒนาการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5e) ร่วมกับเทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมือ โดยทดลองใช้กับนักเรยี นระดับชั้น มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนปู ถัมภ์ อำเภอสงู เมน่ จังหวดั แพร่ ปีการศกึ ษา2565 ผลการวิจัยจะทำ ให้นักเรียนระดบั ชัน้ ดงั กล่าวมีผลการเรยี นรู้เร่อื งลมฟา้ อากาศรอบตัวเราเพมิ่ ข้นึ คำถามการวจิ ัย 1. การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิค การเรียนแบบร่วมมือ สำหรับจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว ของนักเรียนระดับช้ัน มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นสงู เม่นชนปู ถัมภ์ ทำอยา่ งไร 2. ผลการทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสูงเมน่ ชนปู ถมั ภ์ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 3. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ทม่ี ตี อ่ การทดลองใช้การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิคการเรียนแบบรว่ มมอื จัดกจิ กรรม การเรียนรู้เร่อื งลมฟา้ อากาศรอบตัว เป็นอยา่ งไร วัตถุประสงคก์ ารวจิ ัย 1. เพื่อพัฒนาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสงู เม่นชนูปถัมภ์
7 2. เพื่อทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้พัฒนาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับ เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว กับนักเรียนระดับชั้น มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรยี นสงู เมน่ ชนูปถัมภ์ 3. เพ ื่อศึก ษาร ะ ดับคว ามพ ึง พ อใจ ของ น ัก เร ียน ร ะ ดับชั้น มัธ ยมศึก ษาปีที่ 1 โรงเรยี นสงู เมน่ ชนูปถัมภ์ ท่มี ีตอ่ การทดลองใช้พฒั นาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิค การเรียนแบบรว่ มมือ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้เรอื่ งลมฟา้ อากาศรอบตวั ผลและประโยชนท์ ี่คาดว่าจะไดร้ ับ 1. ไดแ้ นวการจดั การเรียนรู้โดยใช้พฒั นาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การ เรียนแบบร่วมมือ สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว ให้กับนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนสูงเมน่ ชนูปถัมภ์ 2. ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้งชั้นเรียนโรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ มีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ เร่ืองลมฟ้าอากาศรอบตัวมีคุณภาพระดับดีข้ึนไป เมือ่ ใช้การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5E) รว่ มกบั เทคนคิ การเรียนแบบร่วมมอื แทนวิธีและเทคนคิ การสอนวธิ ีเดมิ 3. ความสำเร็จของงานวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ของ ผูเ้ รยี นกลุม่ สาระการเรยี นรอู้ ่ืนๆ ขอบเขตการวิจยั 1. ขอบเขตด้านแหลง่ ข้อมลู กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 39 คน วิธีการคัดเลือกเทียบเคียงกับใช้วิธีการสุ่มแบบอาศัยความน่าจะเป็น อย่างง่าย (Simple Random Sampling) เพราะถือว่านักเรียนแต่ละคนของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของแต่ละปีการศึกษาเมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมแล้ว พบว่ามาจากบริบทของชุมชนเดียวกันจึงสร้าง ข้อสรุปว่าไม่มีความแตกต่างกัน ประชากรของนักเรียนดังกล่าวจึงเป็นเอกพันธ์ (Homogeneous Population) สามารถคัดเลอื กกลมุ่ ตัวอย่างโดยใช้วธิ ีการสุ่มแบบอาศยั ความนา่ จะเป็นอยา่ งงา่ ย
8 2. ขอบเขตด้านตัวแปร 2.1 ตัวแปรอสิ ระ 1. การจัดกจิ กรรมการเรียนรูเ้ ร่ืองลมฟา้ อากาศรอบตัว กับนักเรียนระดบั ช้ันมัธยมศึกษา ปที ่ี 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถมั ภ์ อำเภอสงู เมน่ จังหวัดแพร่ โดยใช้วธิ กี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื 2. การทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว กับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโรงเรียนสูงเม่นชนปู ถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ โดยใช้วิธีการสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมือ 2.2 ตัวแปรตาม 1. ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ โดยใช้วธิ กี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมอื 2. ผลสัมฤทธ์ิการเรยี นรเู้ รื่องลมฟา้ อากาศรอบตัว จากการทดลองจดั กิจกรรมการเรียนรู้ กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ โดยใชว้ ธิ ีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื 3. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโรงเรียน สูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ที่มีต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศ รอบตวั โดยใชว้ ธิ กี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบรว่ มมือ 3. ขอบเขตดา้ นเน้อื หา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องบรรยากาศของเรา ตามตัวชี้วัดที่ ม.1/1 สร้างแบบจำลองที่ อธิบายการแบ่งชั้นบรรยากาศ และเปรียบเทียบประโยชนข์ องบรรยากาศแต่ละชั้น มาตรฐานการเรียนรู้ ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณพี ิบัติภยั กระบวนการเปลย่ี นแปลง ลมฟ้าอากาศและภูมอิ ากาศโลก รวมท้ังผลต่อส่ิงมีชีวิต และสงิ่ แวดล้อม และสาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องอุณหภูมิอากาศ ตามตัวชี้วัดที่ ม.1/2 วิเคราะห์และอธิบาย ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของลมฟ้า อากาศ มาตรฐานการเรียนรู้ ว 3.2 เข้าใจ องค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผิวโลก
9 ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม และสาระที่ 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องความกดอากาศและลม ตามตัวชี้วัดที่ ม.1/3 สร้างแบบจำลองที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความดันอากาศกับความสูงจากพื้นโลก มาตรฐานการเรียนรู้ ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลกกระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทงั้ ผลต่อสิง่ มชี วี ิตและสงิ่ แวดลอ้ ม และสาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องความชื้น ตามตัวชี้วัดที่ ม.1/3 สร้างแบบจำลองที่อธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างความดันอากาศกับความสูงจากพื้นโลก มาตรฐานการเรียนรู้ ว 3.2 เข้าใจ องค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดลอ้ ม และสาระที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเมฆและฝน ตามตัวชี้วัดที่ ม.1/3 สร้างแบบจำลองที่อธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างความดันอากาศกับความสูงจากพื้นโลก มาตรฐานการเรียนรู้ ว 3.2 เข้าใจ องค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและ สงิ่ แวดลอ้ ม และสาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพยากรอากาศ ตามตัวชี้วัดที่ ม.1/4 อธิบายวิธีการ พยากรณ์ อากาศและพยากรณ์ อากาศอยา่ งงา่ ย และตามตวั ชวี้ ัดท่ี ม.1/5 ตระหนกั ถงึ คุณคา่ การพยากรณ์ อากาศ โดยนำเสนอแนวทางการปฏิบัติตนและการใช้ประโยชน์จากคำพยากรณ์อากาศ มาตรฐานการ เรยี นรู้ ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพันธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลยี่ นแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อ สง่ิ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอ้ ม และสาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ 4. ขอบเขตดา้ นระยะเวลาและสถานท่ี ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ณ โรงเรียนสูงเม่น ชนูปถัมภ์ อำเภอสงู เมน่ จังหวัดแพร่
10 นิยามคำศัพทเ์ ฉพาะ 1. การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นไปตาม ทฤษฎี การสร้างองค์ความรู้เป็นกระบวนการทีน่ ักเรียนตอ้ งสืบเสาะสำรวจตรวจสอบและคนควา้ หาความรู้ ด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดความเขาใจและรับรูความรู้นั้นอย่างมีความหมาย สามารถสร้างเป็นองค์ความรู้ ของนักเรียนเอง และเกบ็ เป็นข้อมูลไว้ในสมองไดอ้ ย่างยาวนาน เปน็ ความเข้าใจทค่ี งทน สามารถนำมาใช้ ไดเ้ มือ่ มีสถานการณ์ใดๆ เขา้ มา การจัดการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้จะดำเนินกจิ กรรมเปน็ 5 ขั้นตอน ไดแ้ ก่ 1. ขน้ั สรา้ งความสนใจ (engagement) 2. ขนั้ สำรวจและคน้ หา (exploration) 3. ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรุป (explanation) 4. ขั้นขยายความร(ู้ elaboration) 5. ขั้นประเมนิ (evaluation) (จิณหจ์ ฑุ า พพิ ิธจนั ทร ,2560) 2. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมี สว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ุกคน ทำให้ผูเ้ รยี นได้มโี อกาสแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ กัน ชว่ ยกนั ทำความ เขา้ ใจในสิ่งทเ่ี รยี นรู้ มกี ารช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั และมีความรบั ผดิ ชอบร่วมกันท้ังในสว่ นตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเรจ็ ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งนักเรียนจะบรรลถุ ึง เป้าหมายของการเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มไปถึงเป้าหมายเช่นเดียวกัน ความสำเร็จของ ตนเองคอื ความสำเร็จของกลมุ่ ดว้ ย ซึง่ เทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื ที่ใช้ในงานวิจัยน้ี ไดแ้ ก่ - เทคนิคการพดู รอบวง (Round robin) - เทคนิคการเขียนรอบวง (Round table) - เทคนคิ การเขยี นพรอ้ มกันรอบวง (Simultaneous round table) - เทคนิครว่ มกันคดิ (Numbered heads together) - เทคนิคการคิดเด่ียว คดิ คู่ รว่ มกันคิด (Think – pair – share) - เทคนิคอภิปรายเปน็ ทีม (Team discussion) - เทคนคิ สัมภาษณเ์ ปน็ ทมี (Team – interview) - เทคนิคเครือขา่ ยความคิด (Team word – webbing) (บญั ญัติ ชำนาญกิจ, 2553)
11 3. การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่เป็นไปตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้โดยเป็นกจิ กรรมการเรียนรู้ท่ีแบ่งนักเรียนเป็น กลุ่มเล็กๆ ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกันด้วยวิธีการต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลอื พึ่งพาซง่ึ กันและกนั และมีความรบั ผดิ ชอบร่วมกนั ท้ังในสว่ นตนและส่วนรวม เพือ่ ใหต้ นเอง และสมาชิกทกุ คนในกลมุ่ ประสบความสำเรจ็ ตามเป้าหมายเพราะการสืบเสาะหาความรู้นอกจากจะต้องใช้ หลักการ เหตุผล และข้อมูลที่ได้จากการทดลองแล้วยังต้องใช้จินตนาการ ความสร้างสรรค์ และการลง ความเห็นร่วมกัน แม้ว่าคนเพียงคนเดียวสามารถค้นพบเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ความก้าวหน้าทาง วทิ ยาศาสตร์ข้นึ อย่กู บั คนกลุ่มใหญท่ ี่ยอมรบั ความ คดิ เหน็ น้นั ร่วมกนั (จณิ หจ์ ฑุ า พิพธิ จนั ทร ,2560) 4. ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ หมายถึง คะแนนเฉลี่ยรวมจากนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ทุกคนจากการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบ ร่วมมอื 5. การพัฒนาผลสมั ฤทธิ์การเรียนรู้ หมายถึง ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรยี นรู้ ระหวา่ งการทดลองการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้เรอ่ื งลมฟ้าอากาศรอบตวั โดยใช้วธิ กี ารสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5e) และวธิ ีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ กับนักเรยี น ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนสูงเมน่ ชนูปถัมภ์ อำเภอสงู เมน่ จงั หวัดแพร่ 6. ระดบั ผลการเรียนรู้ หมายถงึ ระดบั ผลการเรยี นรทู้ กี่ ำหนดตามเกณฑ์วดั และประเมนิ ผลของ สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน(2550) ดังนี้ ดเี ยีย่ ม หรือ ระดบั 4.00 มีค่ารอ้ ยละของคา่ คะแนนเฉลี่ย 80-100 ดมี าก หรือ ระดับ 3.50 มีค่ารอ้ ยละของคา่ คะแนนเฉลี่ย 75-79 ดี หรือ ระดบั 3.00 มีคา่ รอ้ ยละของคา่ คะแนนเฉลี่ย 70-74 คอ่ นข้างดี หรือ ระดับ 2.50 มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉล่ีย 65-69 ปานกลาง หรอื ระดบั 2.00 มคี า่ รอ้ ยละของค่าคะแนนเฉลยี่ 60-64 พอใช้ หรือ ระดบั 1.50 มคี ่าร้อยละของคา่ คะแนนเฉลีย่ 55-59 ผ่านเกณฑ์ขนั้ ต่ำ หรือ ระดับ 1.00 มีค่ารอ้ ยละของค่าคะแนนเฉลีย่ 50-54 ตำกว่าเกณฑ์ หรือ ระดบั 0.00 มคี ่ารอ้ ยละของคา่ คะแนนเฉลยี่ น้อยกว่า 50
12 7. การพัฒนาผลการเรียนรู้ หมายถึง ผลการเปรียบเทียบระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียน ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนปู ถมั ภ์ ปกี ารศึกษา2565 ระหว่างจดั กิจกรรมการเรยี นรู้เรอ่ื ง ลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ผลการเรียนรู้จากการจัด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเดียวกันโดยทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิค การเรยี นแบบรว่ มมอื เมอ่ื วิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบด้วย Paired – Sample t Test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (α 0.05) 8. ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศ รอบตัวเรา โดยทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ประกอบด้วยประกอบด้วยด้านเนื้อหา ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านสื่อและวัสดุอุปกรณ์ และด้านการวดั และประเมนิ ผล 9. ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสงู เมน่ ชนปู ถมั ภ์ ท่ีมีตอ่ การทดลองใช้วิธีการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการ เรียนแบบร่วมมือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยระดับความพึงพอใจแต่ละด้าน ดังกล่าวข้อ 8 โดยกำหนดเกณฑ์การประเมินความพึงพอใจตามมาตราส่วนประเมินค่าของ ลิเคิร์ท (Likert's Ratine Scale) แบบ 5 ระดับ ดังน้ี - คา่ เฉลย่ี 4.51 - 5.00 แปลว่า มีความพึงพอใจมากทส่ี ดุ - คา่ เฉล่ยี 3.51 - 4.50 แปลวา่ มีความพงึ พอใจมาก - ค่าเฉลีย่ 2.51 - 3.50 แปลว่า มีความพงึ พอใจปานกลาง - ค่าเฉลย่ี 1.51 - 2.50 แปลวา่ มีความพงึ พอใจนอ้ ย - ค่าเฉลย่ี 1.00 - 1.50 แปลวา่ มีความฟังพอใจน้อยมาก
13 สมมติฐานการวจิ ยั สมมตฐิ านการวิจัยท่ี 1 จากผลการทบทวนเอกสารและงานวิจัยวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า โดยภาพรวมแล้วการจดั กิจกรรม การเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) กับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เกณฑ์กำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์คือ มีคะแนน 85-100 มีระดับคุณภาพ ดีมาก 80-84 มีระดับ คุณภาพ ดี 75 – 79 พอใช้ และต่ำกว่า 75 ต้องปรับปรุง นักเรียนมีผลสมั ฤทธิ์การเรียนรู้ท่ีระดับคะแนน เฉลี่ย 62.81 หรือที่ระดับปรับปรุง ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินผ่านคือต้องผ่านอย่างน้อยระดับพอใช้ สาเหตุเปน็ เพราะครขู าดวิธีการสอนและขาดการพัฒนาส่อื การเรียนการสอนที่สนองต่อความแตกต่างและ ความสนใจของเด็กเป็นรายบุคคล ปัญหาด้านนักเรียน ได้แก่ นักเรียนเบื่อหน่ายการเรียน ไม่เหน็ ความสำคญั และความจำเป็นของกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เป็นปญั หาท่ีส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นของนักเรียนต่ำ จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ มีสาระสำคัญคือ การจัดการเรียนรู้ที่เปน็ ไปตามทฤษฎกี ารสร้างองค์ ความรู้โดยเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกันด้วย วิธีการต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบ ร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตาม เป้าหมาย ซึ่งสาระสำคัญดังกล่าวสัมพันธ์กับสาเหตุของปัญหาของนักเรียนดังกล่าวก่อนหน้ากล่าวคือ นักเรียนเบื่อหน่ายการเรียน ไม่เห็นความสำคัญและความจำเป็นของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นปัญหาที่ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนต่ำ ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะนำมาใช้ในการสรา้ ง หรือพัฒนาวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ สำหรับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว จากการทบทวนเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องยังพบอีกว่า ณัฐกติ ต์ิ นวลแสง (2561) ทำการวิจยั เร่ือง การพัฒนาชุดกิจกรรมมโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคู่ เดี่ยว (Team-Pair-Solo) เพื่อส่งเสริมทักษะการเล่นซอด้วง กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคลองตัน จังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้วิธีการพัฒนาชดุ กิจกรรมโดยการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนคิ กลุ่มคู่ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที .05 โสรจั จ์ แสนคำ (2560) ทำการวจิ ยั เร่อื งการพฒั นากิจกรรมการเรียนรู้แบบรว่ มมอื ด้วยเทคนิค LT ที่มีต่อ
14 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี6 โรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามนิ ทรภกั ดี) สงั กัดเทศบาลเมืองราชบุรี จังหวดั ราชบุรี โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค LT ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี .05 ทิวากร วงษ์เสน, อุษา ปราบหงษ์และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ทิวากร วงษ์เสน, อุษา ปราบหงษ์ และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ทำการวจิ ยั เร่อื งการพัฒนาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรื่องการรักษาดุลยภาพ ของร่างกายมนุษย์และสัตว์ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร โดยใช้การสอนแบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5e) ร่วมกับการเรียนแบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมกี ารพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ี่ .01 โดยการอ้างอิงแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวก่อนหน้า จงึ กำหนดสมมตฐิ านการวิจยั ข้อท่ี 1 วา่ การจัดกจิ กรรมการเรยี นร้เู รื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวโดยทดลองใช้ วธิ กี ารสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ มีผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ การเรียนรู้ เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวของนักเรียนระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ อำเภอสูงเมน่ จังหวดั แพร่ สมมตฐิ านการวิจยั ที่ 2 จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องพบวา่ ทำการวิจัยเรือ่ การพฒั นาชุดกจิ กรรมมโดย การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคู่เด่ียว (Team -Pair-Solo) เพื่อส่งเสรมิ ทักษะการเล่นซอดว้ ง กับนักเรียน ระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรยี นบ้านคลองตนั จังหวดั สมทุ รสาคร โดยใชว้ ิธกี ารพฒั นาชุดกิจกรรมโดย การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มคู่ผลการวิจยั พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรม การเรยี นรดู้ ว้ ยนวตั กรรมดังกล่าวท่ีระดบั พึงพอใจมากทสี่ ุด มคี ่าเฉลยี่ เท่ากบั 4.55 โสรจั จ์ แสนคำ (2560) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบรว่ มมือด้วยเทคนิค LT ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กับนกั เรยี นระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรยี นเทศบาล 5 (พหลโยธนิ รามนิ ทรภักดี) สังกดั เทศบาลเมือง ราชบรุ ี จงั หวัดราชบรุ ี โดยใช้ วิธกี ารจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT ผลการวิจัยพบวา่ นกั เรียนมี ความพงึ พอใจตอ่ การทดลองจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ด้วยนวตั กรรมดงั กล่าวท่ีระดับพงึ พอใจมาก มีค่าเฉล่ีย เท่ากับ 4.35 ทิวากร วงษ์เสน, อุษา ปราบบหงษ์และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์และสัตว์ กับนักเรียน ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรยี นพงั โคนวทิ ยาคม อำเภอพงั โคน จงั หวดั สกลนคร โดยใชก้ ารสอนแบบวัฏจักร
15 การสืบเสาะหาความรู้ 5e ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมอื ด้วยเทคนิค STAD ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมี ความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมดังกล่าวที่ระดับพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลีย่ เท่ากบั 4.63 โดยการอ้างองิ เฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวมา จะเห็นว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้ วิธีการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ มีผลต่อระดบั ความพึงพอใจ ของนักเรียน ดังนั้นจึงกำหนดสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 2 ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศ รอบตัวโดยทดลองใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัว มีผลต่อระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรียนสงู เม่นชนปู ถัมภ์ อำเภอสูงเมน่ จงั หวัดแพร่
บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกยี่ วข้อง ในการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัยเรื่องลมฟ้าอากาศรอบตัวเรา ผู้วจิ ยั ทบทวนเอกสารและงานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้องประกอบดว้ ยหวั ข้อหลกั ตามลำดับดงั น้ี 1. ความจำเป็นทค่ี รตู ้องทำการวจิ ยั 2. แนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธกี ารทน่ี ำมาพัฒนานวัตกรรม 3. นวัตกรรมวิธกี ารสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียนแบบรว่ มมอื 4. ขน้ั ตอนการสรา้ งนวัตกรรม 5. ขนั้ ตอนการหาคณุ ภาพของนวตั กรรม 6. เครอื่ งมือรวบรวมขอ้ มูลการวจิ ัย 7. การหาคณุ ภาพเคร่ืองมือรวบรวมข้อมูล 8. ความพงึ พอใจ 9. ผลสมั ฤทธก์ิ ารเรียนรู้ 10. งานวิจยั ทีเ่ กยี่ วข้อง แต่ละหวั ข้อหลักดังกล่าว นำเสนอลายละเอยี ดตามลำดับข้นั ดงั นี้ การทำวิจยั 1. ความจำเปน็ ทคี่ รตู อ้ งทำวิจยั ครรุ ักษ์ ภริ มย์รกั ษ์ (2544) กลา่ ววา่ การวิจยั (Research) เป็นกระบวนการสากลทีน่ ำมาใช้ในการ สืบค้นแสวงหาคำตอบอย่างมีเหตุผลที่เชื่อถือได้ จากข้อสงสัยหรือปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในบริบทของชน้ั เรียนเชน่ เดยี วกัน ความเป็นจริงท่เี กิดขน้ึ คือ ปญั หาตา่ งๆมากมายท่ตี ้องแก้ไขใหห้ มดไปหรือทเุ ลาเบาบาง ลงไปให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) จงึ มคี วามจาํ เปน็ หลายประการเพอ่ื การแกไ้ ขปัญหาในชนั้ เรียน สรุปไดด้ ังน้ี
17 1. ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้านเป็นเหตุให้พฤติกรรมผู้เรียนแต่ละคนมี ความแตกต่างกัน ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้จึงจำเป็นต้องจัดให้สอดคล้องกับความแตกต่างของ ผ้เู รยี นด้วย ซ่ึงปัญหาความแตกต่างของผ้เู รยี นนจี้ งึ มีความจำเป็นอยา่ งย่งิ ตอ่ การทำวจิ ัยในชนั้ เรียน 2. สภาพแวดลอ้ มทแ่ี ตกต่างกันของผู้เรยี นแต่ละคนทั้งในบ้านและชุมชน ท่ีผู้เรียนอาศัยอยู่ก็เป็น สาเหตทุ ี่ทำใหผ้ เู้ รยี นแต่ละคนมพี ฤตกิ รรมและปญั หาแตกตา่ งกนั และสง่ ผลใหผ้ ูเ้ รียนแตล่ ะคนมพี ฤติกรรม ที่แตกต่างกันด้วย ถ้าครูไม่ทำการวิจัย เพื่อแสวงหานวัตกรรมมาใช้ให้เหมาะกับผู้เรียนก็เป็นการยากท่ี ทัง้ ครูและผ้เู รียนจะประสบความสำเรจ็ ในการจดั กระบวนการเรียนการสอน 3. การพฒั นาหลกั สูตรและการเรียนการสอนเปน็ กระบวนการที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเน่ือง เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นได้เรียนร้แู ละพฒั นาไดอ้ ยา่ งสมบรู ณเ์ ตม็ ศกั ยภาพ ดงั นัน้ จงึ จำเปน็ ตอ้ งทำการวิจัยในช้ันเรยี น อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการจัดกระบวนการเรียนการสอนสื่อการเรียนการสอน หรือนวัตกรรมต่างๆให้ เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียน จากความจาํ เป็นของการวิจัยในชั้นเรียนนีส้ อดคลอ้ งกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษา แหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 โดยเฉพาะหมวด 4 แนวการจัดการศกึ ษาในมาตราท่ี 22 มาตรา ที่ 24 วงเลบ็ 1 และ 5 และมาตราที่ 30 ที่เน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner Center) ซึง่ กระบวนการวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชั้นเรียนจะเปน็ ปัจจยั สำคญั ในการพฒั นาการเรยี นรู้ตามแนวยุทธศาสตร์ ของการปฏริ ูปการศึกษาดงั กลา่ ว 2. ประโยชน์ ครรุ กั ษ์ ภริ มยร์ ักษ์ (2544) กล่าวว่า การวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารในช้นั เรยี นจะมปี ระโยชน์ ดังนี้ 1. ช่วยให้ครูมีพลังอำนาจในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนเพิ่มมากขึ้น สามารถแก้ปัญหาใน ชั้นเรยี นได้ทันทว่ งทแี ละมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. ช่วยให้ครูมีความมั่นใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้น และจัดกิจกรรม การเรยี นการสอนได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ 3. ช่วยให้ครูทำงานไดอ้ ยา่ งเป็นระบบมากขึ้น ประสบความสำเร็จในการทำงาน มีความรู้สกึ เปน็ เจา้ ของและภาคภมู ิใจในวธิ กี ารที่นำมาใช้ 4. ช่วยให้โรงเรียนสามารถกำหนดนโยบายหรือมาตรการต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร และการเรยี นการสอนได้อย่างเหมาะสมโดยมีผลการวิจัยรองรบั 5. ช่วยใหผ้ ู้เรียนไดร้ บั การแกไ้ ขปญั หาและพัฒนาอย่างสมบูรณ์เต็มศกั ยภาพทง้ั ในด้านความรู้ ความสามารถทักษะ และคุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์
18 แนวคิด ทฤษฎี หลักการ วธิ ีการทีน่ ำมาพัฒนานวตั กรรม จิณห์จุฑา พิพิธจันทร (2560) กล่าวไว้ว่าวิธีการการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับ เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือการจัดการเรียนรู้ที่เป็นไปตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้โดยเป็นกิจกรรม การเรียนรู้ที่แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกันด้วยวิธีการต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งใน ส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเพราะ การสืบเสาะหาความรู้นอกจากจะต้องใช้หลักการ เหตุผล และข้อมูลที่ได้จากการทดลองแล้วยังต้องใช้ จินตนาการ ความสร้างสรรค์ และการลงความเห็นร่วมกัน แม้ว่าคนเพยี งคนเดียวสามารถค้นพบเรื่องท่ี ย่งิ ใหญไ่ ด้ แต่ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตรข์ ึ้นอยู่กบั คนกลมุ่ ใหญท่ ยี่ อมรับความคิดเหน็ นัน้ รว่ มกัน นวตั กรรมทางการศกึ ษา 1. ความหมาย จณิ ห์จุฑา พิพิธจันทร (2560) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ที่เป็นไปตามทฤษฎีการสรา้ งองค์ความรู้ โดยเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกัน ด้วยวิธีการ ตา่ งๆ มกี ารแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ มีการช่วยเหลือพง่ึ พาซง่ึ กนั และกัน และมีความรบั ผิดชอบร่วมกันท้ัง ในส่วนตนและสว่ นรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเปา้ หมาย เพราะ การสืบเสาะหาความรู้นอกจากจะต้องใช้หลักการ เหตุผล และข้อมูลที่ได้จากการทดลองแล้วยังต้องใช้ จินตนาการ ความสร้างสรรค์ และการลงความเห็นร่วมกัน แม้ว่าคนเพยี งคนเดียวสามารถค้นพบเรือ่ งที่ ย่ิงใหญไ่ ด้ แต่ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตรข์ ้ึนอย่กู บั คนกลุม่ ใหญท่ ่ียอมรับความคดิ เห็นนน้ั ร่วมกัน 2. ประเภทของนวตั กรรม วัชรี อา้ ยไชย (2555) ไดจ้ ำแนกประเภทนวตั กรรมการศึกษาไว้ ดังนี้ พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ไดม้ บี ทบัญญัติท่ีเกีย่ วขอ้ งกับเทคโนโลยีการศึกษา และนวัตกรรมการศึกษาไว้หลายมาตรา มาตราที่สำคัญ คือ มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและ พัฒนาการผลติ และการพัฒนาเทคโนโลยเี พือ่ การศกึ ษา รวมท้ังการตดิ ตาม ตรวจสอบและประเมินผลการ ใชเ้ ทคโนโลยเี พอ่ื การศกึ ษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คมุ้ ค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรขู้ องคนไทยและ ในมาตรา 22 \"การจดั การศึกษาต้องยดึ หลกั วา่ ผู้เรียนทุกคนมคี วามสามารถเรียนรแู้ ละพฒั นาตนเองได้และ ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ \" การดำเนนิ การปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จได้ตามท่ีระบไุ ว้ในพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542
19 ดังกล่าว จำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา ทางการศึกษา ทง้ั ในรูปแบบของการศกึ ษาวิจัย การทดลองและการประเมินผลนวัตกรรมหรอื เทคโนโลยีท่ี นำมาใช้ว่ามีความเหมาะสมมากนอ้ ยเพยี งใด นวัตกรรมที่นำมาใช้ทัง้ ที่ผ่านมาแล้วและที่จะมีในอนาคตมี หลายประเภทข้นึ อยู่กับการประยุกตใ์ ชน้ วัตกรรมในดา้ นตา่ งๆในทีน่ จี้ ะขอกล่าวคอื นวัตกรรม 5 ประเภท 2.1 หลักสูตร วัชรี อา้ ยไชย (2555) ได้สรุปนวัตกรรมทางด้านหลักสูตรไว้ ดงั นี้ นวัตกรรมทางดา้ นหลกั สตู ร เปน็ การใชว้ ิธีการใหม่ๆ ในการพฒั นาหลกั สูตรให้สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึน้ เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมี การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสงั คมของ ประเทศและของโลก นอกจากนี้การพัฒนาหลักสูตรยังมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่บนฐานของแนวคิด ทฤษฎแี ละปรัชญาทางการจัดการสมั มนา การพฒั นาหลักสูตรตามหลักการและวิธกี ารดงั กล่าวต้องอาศัย แนวคดิ และวิธีการใหม่ๆ ที่เป็นนวตั กรรมการศึกษาเขา้ มาช่วยเหลือ จัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ ตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรรายบุคคล หลักสูตรกิจกรรมและ ประสบการณ์ และหลกั สตู รท้องถิ่น 2.2 เทคนิคและวิธีการสอน วชั รี อ้ายไชย (2555) ไดส้ รปุ นวัตกรรมการเรียนการสอน ไว้ ดังน้ี เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพฒั นาวิธสี อนแบบใหมๆ่ ที่สามารถตอบสนอง การเรียนรายบุคคล การสอนแบบผูเ้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง การเรียนแบบมสี ว่ นรว่ ม การเรยี นร้แู บบแก้ปัญหา การพัฒนาวิธีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาจัดการและสนับสนุน การเรียนการสอน ตัวอย่างนวัตกรรมที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ การสอนแบบศูนย์การเรียน การใช้กระบวนการกลมุ่ สัมพันธ์ การสอนแบบเรียนรู้รว่ มกัน และการเรียนผา่ นเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์และ อนิ เทอรเ์ นต็ และการวจิ ัยในช้ันเรียน 2.3 สอ่ื /แหลง่ เรยี นรู้ วชั รี อ้ายไชย (2555) ได้สรปุ นวัตกรรมสอ่ื การสอนไว้ ดงั นี้ เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้ มาใชใ้ นการผลติ สื่อการเรียน การสอนใหม่ ๆ จำนวนมากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเองการเรียนเป็นกลุ่ม และการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรม ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตัวอย่าง นวัตกรรมสื่อการสอน
20 ได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) มัลติมีเดีย (Multimedia) การประชุมทางไกล (Teleconference) ชดุ การสอน (Instructional Module) และวีดทิ ัศน์แบบมีปฎสิ ัมพันธ์ (Interactive Video) 2.4 การวดั และประเมินผล วัชรี อา้ ยไชย (2555) ไดส้ รปุ นวตั กรรมทางดา้ นการประเมนิ ผล ไว้ ดังน้ี เปน็ นวัตกรรมที่ใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื เพอ่ื การวัดผลและประเมนิ ผลไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพและทำ ได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล ประเมินผลของสถานศึกษา ครู และอาจารย์ ตัวอย่าง นวัตกรรม ทางด้านการประเมินผล ได้แก่ การพัฒนาคลังข้อสอบ การลงทะเบียนผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต การใช้บัตรสมาร์ทการ์ดเพื่อการใชบ้ รกิ ารของสถาบันศึกษา และการใช้คอมพิวเตอรใ์ น การตดั เกรด 2.5 การใช้ระบบเทคโนโลยีระบบสารสนเทศ วชั รี อา้ ยไชย (2555) ได้สรุปนวัตกรรมการใช้ระบบเทคโนโลยีระบบสารสนเทศไว้ ดังน้ี เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษา ให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปล่ียนแปลงของโลก นวตั กรรมการศกึ ษาท่ีนำมาใชท้ างดา้ นการบริหารจะเกย่ี วข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมลู ในหนว่ ยงาน สถานศึกษา เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และบุคลากร ในสถานศึกษา ดา้ นการเงิน บญั ชี พสั ดุ และครุภณั ฑ์ ฐานขอ้ มลู เหล่านี้ต้องการออกระบบที่สมบูรณ์มีความปลอดภัยของ ข้อมูลสูง นอกจากนี้ยังมีความเก่ียวข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย พระราชบัญญัติ ที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ซึ่งจะต้องมีการอบรม เก็บรักษาและออกแบบระบบ การสืบค้นที่ดีพอ ซึ่งผู้บริหารสามารถสืบค้นข้อมูลมาใช้งานได้ทันทีตลอดเวลาการใช้นวัตกรรมแต่ละ ดา้ นอาจมีการผสมผสานท่ีซ้อนทับกันในบางเร่ือง ซงึ่ จำเปน็ ต้องมีการพฒั นาร่วมกนั ไปพร้อม ๆ กันหลาย ด้านการพฒั นาฐานข้อมลู อาจต้องทำเป็นกลุม่ เพอ่ื ให้สามารถนำมาใช้รว่ มกนั ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ นวตั กรรมเฉพาะ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื กล่าวโดยละเอียด ดงั น้ี 1. แนวคดิ /ทฤษฎ/ี หลักการ/วิธกี าร ชุดกิจกรรมสร้างข้นึ โดยอาศัยแนวคิด ทฤษฎี หลักการ หรอื วิธีการของ ณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561) ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดกจิ กรรมมโดยการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิคคู่ เดี่ยว (Team -Pair-Solo) เพื่อส่งเสริมทักษะการเล่นซอด้วง กับนักเรียนระดับชั้น
21 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองตัน จังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้วิธีการพัฒนาชุดกิจกรรมโดย การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มคู่ ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีความสามารถในการเล่นซอด้วงโดย การเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มคู่ เดี่ยว นักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 30.43 และนักเรียนท่ี ผ่านเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 34.78 โดยนักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนพฤติกรรมการเล่นซอด้วงแบบกลุ่ม คู่ เดี่ยว อยู่ในระดับ ดี แต่ใช้เทคนิคกลุ่ม คู่เดี่ยว อยู่ในระดับ ดีมาก และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อ การทดลองจัดกจิ กรรมการเรยี นรูด้ ้วยนวตั กรรมดงั กล่าวทีร่ ะดับพึงพอใจมากท่สี ุด มคี า่ เฉล่ยี เท่ากบั 4.55 โสรัจจ์ แสนคำ (2560) ทำการวิจัยเร่ือง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือดว้ ยเทคนคิ LT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สารในชีวิตประจำวัน กับนักเรียนระดับช้ัน มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธนิ รามนิ ทรภกั ด)ี สังกัดเทศบาลเมอื งราชบรุ ี จังหวัดราชบุรี โดยใชก้ ารจัดการเรียนรูแ้ บบร่วมมือดว้ ยเทคนิค LT ผลการวิจยั พบว่า 1. ประสิทธภิ าพของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือดว้ ยเทคนคิ LT ท่ผี ศู้ ึกษา สร้างและ พัฒนาขน้ึ มีค่าเทา่ กบั 82.31/85.15 ซึง่ สูงกวา่ เกณฑ์ 75/75 ทก่ี ำหนดไว้ 2. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนท่ีเรยี นดว้ ยชุดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ ด้วยเทคนิค LT มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คา่ สถติ ิ t – test เทา่ กบั 17.723 3. ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของนกั เรยี นท่มี ีต่อการเรียนด้วยชดุ กิจกรรมการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับพึงพอใจมาก มีคา่ เฉลี่ยเทา่ กับ 4.35 ทวิ ากร วงษ์เสน, อษุ า ปราบหงษ์และพจมาน ชำนาญกิจ (2560) ทำการวิจยั เรอื่ ง การพัฒนาชุด กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรื่องการรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์และสัตว์ กบั นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพังโคนวิทยาคม อำเภอพงั โคน จงั หวัดสกลนคร โดยใช้การสอนแบบวฏั จักรการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขน้ั (5e) ร่วมกับการเรียนแบบรว่ มมอื ด้วยเทคนคิ STAD ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งการรักษาดลุ ยภาพของรา่ งกายมนษุ ย์และสตั ว์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การสอนแบบวัฎจักรการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5e) ร่วมกับการเรียนแบบ ร่วมมอื ดว้ ยเทคนคิ STAD มปี ระสิทธภิ าพ 85.29/85.74 ซ่ึงสงู กวา่ เกณฑท์ ี่ตง้ั ไว้ 2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรยี นทีเ่ รยี นดว้ ยชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ หลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .01 3. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรยี นทเ่ี รยี นด้วยชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั .01
22 4. ความพึงพอใจของนักเรยี นที่มตี อ่ การเรยี นด้วยชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ มคี วามพงึ พอใจ อยู่ในระดับมากทสี่ ดุ มคี า่ เฉลี่ยเทา่ กับ 4.63 2. ลำดับขนั้ ในการดำเนนิ กิจกรรม ผู้วิจยั ดำเนินกิจกรรม ดงั น้ี 1.ทดลองจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การเรยี นการสอนท่ีเนน้ วิธีสอนแบบสบื เสาะหา ความรู้ 2. ทำการวัดและประเมินผลจากการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้ การเรียนการสอนทเ่ี น้นวธิ สี อนแบบสบื เสาะหาความรู้ 3. ทดลองจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ารสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับ เทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมอื 4. ทำการวดั และประเมินผลจากการทดลองจดั กจิ กรรมการเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ารสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมือ 5. ภายหลังทำการวัดและประเมนิ ผลจากการทดลองจัดกิจกรรมการเรยี นร้โู ดยใช้การ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือให้นักเรียนตอบแบบวัดระดับ ความพงึ พอใจ 6. เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิก์ ารเรยี นร้รู ะหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้การเรยี น การสอนที่เน้นวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กับการทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมอื 3. ข้อดี/ข้อเสีย ขอ้ ดีวธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ ภทั รียา เจ๊ะหะ (2553) ไดส้ รุปข้อดีวธิ สี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ ดงั น้ี เป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญส่งเสริมผู้เรียนได้พัฒนาความคิดอย่างเป็นระบบโดยการ สบื คน้ ข้อมูลและเสาะแสวงหาดว้ ยตนเองเพื่อสามารถถ่ายโยงการเรยี นรทู้ ำใหเ้ กิดเป็นการจำแบบยง่ั ยนื
23 ข้อเสยี วธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ ภทั รียา เจ๊ะหะ (2553) ได้สรปุ ข้อเสียวธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ ดังนี้ การเรียนการสอนแบบนี้ใช้เวลามากในการสอนแต่ละครั้ง อาจจะทำให้ผู้เรียนเบื่อ โดยเฉพาะ ผู้เรียนที่มรี ะดบั สติปัญญาต่ำ จะทำให้ขาดแรงจูงใจในการสืบค้นเนื้อหา ประกอบกับถ้าสถานการณท์ ี่ครู สรา้ งขนึ้ ไมช่ วนสงสยั ยงิ่ จะทำให้ผูเ้ รยี นเบอื่ หน่ายบทเรียน จะทำให้การสอนแบบนีไ้ มไ่ ดผ้ ลเท่าที่ควร ข้อดเี ทคนิคการเรียนแบบรว่ มมือ Thirteen Organization (2004) ได้สรุปข้อดีของการเรยี นรู้แบบร่วมมือ ดงั นี้ 1. ใครค่ รวญในความหลากหลาย : นกั เรยี นไดเ้ รยี นรกู้ ารทำงานกับคนท่มี ีหลายแบบมปี ฏิสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่มเล็ก นักเรียนได้ค้นพบโอกาสจากการสะท้อนกลับ และการตอบกลับต่อการตอบสนองที่ หลากหลายของผู้เรียนแต่ละคน นำมาซึ่งการเพิ่มคำถาม กลุ่มเล็กได้อนุญาตให้นักเรียนเพิ่มมุมมองใน ประเดน็ ทม่ี ฐี านบนความแตกตา่ งดา้ นวฒั นธรรม จงึ เป็นการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลอื ตอ่ นกั เรียนที่ดีกว่า การเข้าใจวัฒนธรรมอ่นื ๆ และการชมี้ ุมมองเท่าน้นั 2. ยอมรับความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล : เมอ่ื มคี ำถามเพิ่มข้นึ นกั เรยี นท่ีมคี วามแตกต่างกันจะมี การตอบสนองที่หลากหลาย อย่างน้อยนักเรียนคนหนง่ึ สามารถช่วยกลมุ่ ในการสรา้ งผลผลิตท่ีสะท้อนกลับ ในพสิ ัยอันกว้างของมมุ มอง และมีความสมบูรณแ์ ละกวา้ งขวางครอบคลมุ 3. การพฒั นาความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคล : นกั เรียนจะสร้างความสัมพันธ์กบั เพ่ือนและผูเ้ รียนคน อื่นๆ จากการทำงานร่วมกันในกลุ่มกิจการ โครงการต่างๆ เหล่านี้สามารถช่วยเหลือเป็นการเฉพาะต่อ นกั เรยี นทปี่ ระสบอุปสรรคในดา้ นทักษะทางสงั คม ซึ่งพวกเขาสามารถได้รบั ผลประโยชน์จากโครงสรา้ งการ มปี ฏสิ มั พนั ธก์ ับผอู้ ืน่ 4. การรวมนักเรียนที่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ : สมาชิกแต่ละคนมีโอกาสได้รับการ ชว่ ยเหลอื ในกลมุ่ เล็ก นกั เรยี นมแี นวโน้มในการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของตอ่ วัสดอุ ุปกรณ์ และการคิด เชงิ วพิ ากษเ์ กี่ยวกบั ประเด็นความสมั พนั ธ์ เมอ่ื พวกเขาได้ทำงานเป็นทีม 5. มโี อกาสมากกวา่ สำหรับการปอ้ นกลับสว่ นบุคคล : ด้วยเหตุทม่ี ีการแลกเปล่ยี นในนักเรียนกลุ่ม เลก็ มากกวา่ การป้อนกลับส่วนบุคคล ที่นักเรยี นได้รับเปน็ สว่ นตวั กับแนวคิดและการตอบสนองของหลาย คน ซ่งึ การปอ้ นกลบั ไม่สามารถพบไดใ้ นการเรียนการสอนแบบกลุ่มใหญ่ ซึ่งมนี กั เรียนหน่ึงหรือสองคนที่ ไดแ้ ลกเปล่ียนแนวคิด สว่ นนกั เรยี นคนอ่นื ๆในหอ้ งเรียนไดแ้ ตห่ ยุดเงียบเพ่อื ฟัง เป็นผ้ฟู ังเทา่ นน้ั
24 ข้อเสยี เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ Thirteen Organization (2004) ไดส้ รุปข้อเสียของการเรยี นรู้แบบร่วมมอื ดงั น้ี 1. การเรียนรู้แบบกลุ่มเลก็ บ่อยครงั้ พบปัญหาท่ีสัมพนั ธก์ ับความคลุมเครือของวัตถุประสงค์และ มีความคาดหวังในความรับผิดชอบต่ำ การขึ้นอยู่กับกลุ่มทำงานกลุ่มเล็ก การเรียกร้องสิทธิบางประการ เป็นการหลีกเลี่ยงการสอนกับการวิจารณ์ต่างๆนั้น จะทำให้ไม่เห็นด้วยกับห้องเรียนในกลุ่มเล็กที่ทำให้ ผู้สอนหลบหลีกความรับผดิ ชอบตอ่ ผู้เรยี น 2. Vicki Randall เปน็ ครูผ้สู อนในระดับ มลู ฐาน (Elementary) โรงเรียนมธั ยม (High-School) และนักเรียนระดับวิทยาลัย (College –Level Students) เป็นผู้มีความรอบคอบในการต่อต้านการใช้ ในทางที่ผิด และใช้บ่อยเกินไปของการทำงาน เป็นกลุ่ม เนื่องจากผลประโยชน์มากมายที่ได้รับจาก การเรียนรู้แบบรว่ มมอื บางคร้ังจงึ ทำใหม้ องไม่เห็นอุปสรรคขัดขวางตา่ งๆ ซึ่งจำแนกการปฏิบัติในจุดอ่อน ด้านต่างๆ ดงั น้ี - การสร้างความรับผิดชอบของสมาชิกในกลุ่ม เพื่อการเรียนรู้ของคนอื่นๆ แต่ละคนนั้นในการ ผสมผสานความสามารถของคนในกลุ่ม ผลลัพธ์ที่ไดบ้ ่อยครั้งก็คือ นักเรียนทีเ่ กง่ จะไม่สอนงานนักเรยี นท่ี อ่อน และจะทำงานนนั้ เองเปน็ สว่ นใหญ่ - การสง่ เสริมระดับความคดิ ระดับตำ่ เพียงอย่างเดยี ว จะเป็นการปดิ กน้ั ความคิดอันเป็นประโยชน์ จำเป็นสำหรบั การวเิ คราะหห์ รือความคิดระดบั สูงเข้าดว้ ยกนั ในการทำงานกลุ่มเล็กน้นั บางคร้ังเวลาทใี่ ชไ้ ป สำหรบั ภาระกจิ หนึง่ สว่ นมากจะเป็นเพยี งความคดิ ในระดับพ้นื ฐานเทา่ นนั้ 4. วธิ กี ารใช้ วิธีการสอนแบบ 5E เป็นกลยุทธ์การสอนที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สร้างทั้งความสนใจ กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ และปูทางให้กับการพัฒนาทกั ษะโดยใช้การตั้งคำถาม (inquiry) เป็นพื้นฐานใน การให้ผู้เรียนได้นำประสบการณ์ที่เรียนรู้หรือฝึกฝน มาทดลองปฏิบัติหรือแสวง หาคำตอบ เกิดเป็น การเรยี นรจู้ ากความเข้าใจที่ผู้เรยี นค่อยๆ สรา้ งสมข้ึนมา โดยผสู้ อนจะเป็นผชู้ ว่ ยแนะนำแก้ไขและเสริมต่อ ในส่วนทจี่ ำเปน็ ตา่ งจากการสอนแบบเดมิ ทใี่ ช้การป้อนความร้จู ากผสู้ อนเป็นหลัก เทคนิคการเรียนแบบร่วมมอื เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่ม ประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้
25 และในความสำเร็จของกลุ่ม โดยทใี่ นกลมุ่ จะมกี ารแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ แบง่ ปันทรพั ยากร ให้กำลังใจ แก่กันและกนั คนเก่งจะช่วยเหลือคนทีอ่ ่อนกวา่ สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแตร่ บั ผิดชอบต่อผลการเรียนของ ตนเองเท่านั้น แต่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของ บคุ คล คอื ความสำเรจ็ ของกลุ่ม วิธีการสอนแบบ 5e รว่ มกับเทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมือ ทำให้นักเรียนเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยการเรียนรู้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อ ผลการเรียนของตนเองเท่านัน้ แต่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรยี นรขู้ องเพ่ือนสมาชกิ ทุกคนในกลุ่ม แต่ ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ และในความสำเร็จของกลุ่ม สร้างความสนใจ กระตุ้นให้เกิด การเรียนรู้ และปูทางให้กับการพัฒนาทักษะโดยใช้การตั้งคำถาม เป็นพื้นฐานในการให้ผู้เรียนได้นำ ประสบการณ์ทีเ่ รียนรูห้ รือฝกึ ฝน เทคนิคการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมือ 1. ความหมาย การจัดการเรียนรู้ที่เป็นไปตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้โดยเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่แบ่ง นกั เรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ ส่งเสริมใหน้ ักเรียนทำงานร่วมกนั ดว้ ยวธิ ีการต่างๆ มกี ารแลกเปล่ียนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซ่ึงกนั และกนั และมีความรบั ผิดชอบร่วมกนั ทงั้ ในส่วนตนและสว่ นรวม เพื่อให้ตนเอง และสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเรจ็ ตามเปา้ หมาย เพราะการสืบเสาะหาความรู้นอกจากจะตอ้ ง ใชห้ ลักการ เหตุผล และขอ้ มลู ท่ีได้จากการทดลองแล้วยงั ต้องใช้จินตนาการ ความสรา้ งสรรค์ และการลง ความเห็นร่วมกัน แม้ว่าคนเพียงคนเดียวสามารถค้นพบเรื่องที่ย่ิงใหญ่ได้ แต่ความก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตรข์ นึ้ อย่กู บั คนกลุ่มใหญ่ท่ยี อมรับความ คดิ เห็นนน้ั รว่ มกนั (จณิ หจ์ ุฑา พพิ ธิ จันทร ,2560) 2. แนวคดิ /ทฤษฎ/ี หลักการ/วธิ ีการ วธิ สี อนแบบสบื เสาะหาความรู้และเทคนิคการเรียนแบบรว่ มมือ ทนี่ ำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้สร้างขึ้นโดยอาศัย แนวคิด ทฤษฎี หลักการ หรือวิธีการ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ โดยเน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดยการแสวงหาและศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ของตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยศาสตร์และกระบวนการกลุ่มให้ผู้เรียนได้มี โอกาสทำงานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพากัน มีความรับผิดชอบร่วมกนั
26 ทั้งในส่วนตนและส่วนรวมเพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายท่ี กำหนด ซึ่งมีครูผู้สอนคอยอำนวยการและสนับสนุน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนทำกิจกรรมร่วมกัน เกิดผลประโยชน์และเกิดความสำเร็จรว่ มกนั ของกล่มุ 3. ลำดับขัน้ 3.1 การเรยี นแบบสบื เสาะหาความรู้ มลี ำดบั ข้นั 5 ขั้น มีขั้นตอนในการดำเนินการดังน้ี 3.1.1. การสร้างความสนใจ (Engagement) ขน้ั นเี้ ปน็ ของการนำเขา้ สู่บทเรยี นหรือนำเข้าสเู่ รื่องท่อี ยู่ในความสนใจทเี่ กดิ จากขอ้ สงสยั โดยครูผู้สอนจะต้องกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจใคร่รู้ เพื่อนำเข้าสู่บทเรียนหรือเนื้อหาใหม่ๆ ซ่ึงความสนใจใคร่รนู้ ้นั อาจมาจากความสนใจของนกั เรียนเอง การอภิปรายกลมุ่ หรือจากการนำเสนอของ ครูผู้สอนก็ได้ แต่จะต้องเป็นเรื่องที่นักเรียนยอมรับโดยไม่มีการบังคับ หลังจากนั้น เมื่อได้ข้อคำถามที่ นา่ สนใจแล้ว ครูผ้สู อนตอ้ งกระตุ้นใหน้ ักเรียนร่วมกนั กำหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องท่ี จะศึกษาให้มีความชัดเจนมากย่ิงข้ึน โดยใช้การรับรู้จากประสบการณ์เดิม รวมกับการศึกษาเพ่ิมเติมจาก จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในประเด็นที่จะศึกษา และมีแนวทางในการสำรวจ ตรวจสอบมากย่ิงขน้ึ 3.1.2. การสาํ รวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทำความเขา้ ใจในประเด็นหรือคำถามท่สี นใจศึกษาอย่างถอ่ งแท้แลว้ ครูผ้สู อนจะเปดิ โอกาสให้นักเรียนดำเนินการศึกษาค้นคว้า โดยการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสำรวจ การสืบค้นจากเอกสารต่าง ๆ การทดลอง และการจำลองสถานการณ์ เป็นต้น เพื่อตรวจสอบสมมุติฐาน และใหไ้ ด้ข้อมลู อยา่ งเพียงพอท่จี ะนำไปใชใ้ นการอธบิ ายและสรุป 3.1.3. การอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) เมอื่ ได้ข้อมลู อย่างเพียงพอแล้ว ครูผูส้ อนจะต้องใหน้ กั เรียนนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และ แปลผล เพอ่ื สรปุ ผลและนาํ เสนอผลท่ไี ดใ้ นรูปต่าง ๆ เชน่ การบรรยายสรปุ การสรา้ งแบบจาํ ลอง การวาด ภาพ หรือ การสรุปเป็นตารางหรือกราฟ ซึ่งผลสรุปที่ได้นั้น จะต้องสามารถอ้างอิงความรู้ มีความ สมเหตสุ มผล และมีหลกั ฐานทเี่ ชอ่ื ถือได้ 3.1.4. การขยายความรู้ (Elaboration) เปน็ ขัน้ ของการนำความรู้ทไี่ ดจ้ ากขั้นก่อนหนา้ น้ี มาเชอ่ื มโยงกับความร้เู ดิมหรอื ใช้
27 อธิบายถึงสถานการณห์ รือเหตุการณ์เกีย่ วข้อง โดยครูผู้สอนอาจจัดกิจกรรมและให้นักเรียนมสี ่วนร่วมใน กจิ กรรมนน้ั ๆ เชน่ ตัง้ คำถามจากการศกึ ษาเพื่อให้นกั เรียนรว่ มกันอภิปรายและแสดงความคิดเหน็ เพิม่ เติม ซึ่งจะทำใหน้ กั เรียนสามารถเชื่อมโยงความรเู้ ข้ากบั ประสบการณห์ รอื สถานการณ์ทเ่ี กีย่ วขอ้ งได้มากข้ึน 3.1.5. การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นของการประเมินการเรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการตา่ ง ๆ เชน่ การทำข้อสอบ การทำ รายงานสรุป หรือการใหน้ กั เรยี นประเมินตัวเอง เป็นต้น เพ่ือตรวจสอบนักเรียนวา่ มคี วามรู้ท่ีถูกต้องมาก น้อยเพียงไรจากการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ดังกล่าว ครูผู้สอนจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียน วิเคราะห์ วิจารณ์และคิดพิจารณาความรู้ที่ได้ให้รอบคอบ โดยมีครูผู้สอนช่วยตรวจสอบและปรับปรุง ความรู้ที่นักเรียนได้รับนั้นให้ถูกต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับความรู้เดิมของนักเรียนมากยิ่งขึ้น และนำนักเรียนไปสู่คำถามทีต่ อ้ งการการสำรวจตรวจสอบต่อไปอยา่ งตอ่ เนอื่ ง 3.2 เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมือ มลี ำดับขั้น 4 ข้ัน มขี ั้นตอนในการดำเนนิ การดงั นี้ 3.2.1. ขน้ั เตรยี ม แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 2-6 คน แนะนำทักษะในการเรียนรู้ร่วมกัน ระเบียบของ กล่มุ บทบาทหน้าทีข่ องสมาชิกกลุม่ หรอื อาจจะฝึกทกั ษะพน้ื ฐานของนักเรียนบางอย่าง 3.2.2. ขั้นสอน ครูนำเข้าสู่บทเรียน แนะนำเนื้อหา แนะนำแหล่งข้อมูล และมอบหมายภาระงานให้นักเรยี น แต่ละกลุ่ม โดยใช้ใบงาน 3.2.3. ข้ันทำกจิ กรรมกลุ่ม นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามใบงาน โดยแต่ละคนจะมีบทบาทหน้าที่ตามที่ได้รับ มอบหมาย เพื่อกันรับผิดชอบ เพื่อร่วมกันรับผิดชอบต่อผลงานกลุ่มในการทำกิจกรรมกลุ่ม ครูอาจใช้ เทคนิคการจัดกิจกรรม รูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นการทำกิจกรรมแบบร่วมมือ เช่น ผึ้งแตกรัง, ลูกเสือจำแลง, จก๊ิ ซอ, STAD, TGT เปน็ ตน้ ซ่ึงเมอ่ื เลอื กใช้กิจกรรมใดแลว้ ขน้ั ตอนการทำกิจกรรมของนักเรียนจะปรากฏ ในใบงาน 3.2.4. ขน้ั ตรวจสอบผลงานและทดสอบ นักเรยี นแต่ละกลุม่ ออกมานำเสนอผลงาน โดยมคี รคู อยเพิม่ เตมิ เสรมิ ในสว่ นท่ขี าดหายไป
28 4. ข้อดี/ขอ้ เสยี 4.1 ขอ้ ดี/ขอ้ เสีย การเรยี นแบบสืบเสาะหาความรู้ - ขอ้ ดี ข้อดี ของการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่งเสริมผู้เรียนได้พัฒนาความคิดอย่างเป็นระบบโดยการสืบค้นข้อมูลและเสาะแสวงหาด้วยตนเองเพ่ือ สามารถถา่ ยโยงการเรยี นรู้ ทำให้เกิดเปน็ การจำแบบยั่งยืน - ขอ้ เสีย ข้อจำกัด ของการเรยี นการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ การเรียนการสอนแบบนี้ใช้เวลามาก ในการสอนแต่ละครั้ง อาจจะทำให้ผู้เรียนเบื่อ โดยเฉพาะผู้เรียนที่มีระดับสติปัญญาต่ำ จะทำให้ขาด แรงจูงใจในการสบื คน้ เนื้อหา ประกอบกบั ถ้าสถานการณ์ทค่ี รูสร้างข้ึน ไมช่ วนสงสัยยงิ่ จะทำให้ผู้เรียนเบ่ือ หนา่ ยบทเรยี น จะทำใหก้ ารสอนแบบนีไ้ มไ่ ด้ผลเทา่ ท่ีควร 4.2 ข้อดี/ขอ้ เสยี เทคนิคการเรียนแบบรว่ มมอื - ขอ้ ดี การเรียนรู้แบบร่วมมือมีข้อดีหลายประการ ในการพัฒนาผู้เรียน ดังนี้ คือ ช่วยพัฒนาความ เชอ่ื มั่นของผเู้ รยี น พฒั นาความคดิ ของผู้เรียน เกดิ เจตคติ ทด่ี ใี นการเรยี น ชว่ ยยกระดับผลสมั ฤทธิ์ทางการ เรียน ช่วยส่งเสรมิ บรรยากาศในการเรยี น สร้างความสัมพันธ์ระหวา่ งเพื่อนสมาชิก ส่งเสริมทักษะในการ ทำงานร่วมกัน ฝึกให้รู้จักรับฟังความคิดเห็นของ ผู้อื่น ทำให้นักเรียนมีวิสัยทัศน์ หรือมุมมองกว้างขึ้น ส่งเสริมทักษะทางสงั คม ตลอดจนช่วยให้ผู้เรียนมีการปรับตวั ในสงั คมไดด้ ีขน้ึ - ข้อเสยี การสร้างความรบั ผิดชอบของสมาชกิ ในกลุ่ม เพ่อื การเรยี นรู้ของคนอื่นๆ แต่ละคนนนั้ ในการผสมผสานความสามารถของคนในกลุ่ม ผลลพั ธท์ ไ่ี ดบ้ อ่ ยครัง้ ก็คือ นกั เรียนทเ่ี กง่ จะไมส่ อนงาน นกั เรยี นทีอ่ ่อน และจะทำงานนัน้ เองเปน็ สว่ นใหญ่ การสง่ เสริมระดบั ความคิดระดับต่ำเพยี งอย่างเดียว จะเป็นการปดิ ก้ันความคิดอันเปน็ ประโยชน์ จำเปน็ สำหรบั การวเิ คราะหห์ รอื ความคิดระดับสงู เข้าด้วยกันในการทำงานกลุ่มเล็กน้ัน บางคร้ังเวลาทใี่ ช้ไป สำหรบั ภาระกิจหนึง่ ส่วนมากจะเปน็ เพียงความคิดในระดับพนื้ ฐานเทา่ น้ัน
29 5. วิธีการใช้ 5.1 วิธใี ช้การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้นั้น เป็นรูปแบบการเรียนที่พานักเรียนไปสู่การพิจารณาข้อ โต้แย้งและข้อสงสัยต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดประเด็นคําถามที่ต้องการสํารวจตรวจสอบ และจะเป็น กระบวนการเชน่ น้ตี อ่ เนือ่ งกันไปเรื่อยๆ จนเรยี กได้วา่ เป็น วัฎจักรการสบื เสาะ (Inquiry cycle) ซงึ่ จะช่วย ให้นักเรียนเกิดการเรียนร้แู ละมีทักษะในการหาความรู้ตามหลักวทิ ยาศาสตร์ ซึ่งการเรยี นแบบสืบเสาะหา ความรูท้ ง้ั 5 ข้นั ตอนนั้น มีขนั้ ตอนในการดำเนินการดังนี้ 5.1.1 การสรา้ งความสนใจ (Engagement) ข้นั นเ้ี ปน็ ของการนำเขา้ สู่บทเรียนหรือนำเข้าสู่เร่อื งที่อย่ใู นความสนใจทเ่ี กิดจากข้อสงสัย โดยครผู สู้ อนจะต้องกระตนุ้ ใหน้ กั เรียนเกิดความสนใจใครร่ ู้ เพ่อื นำเข้าสู่บทเรยี นหรอื เนือ้ หาใหม่ๆ ซง่ึ ความ สนใจใคร่รู้นั้น อาจมาจากความสนใจของนักเรียนเอง การอภิปรายกลุ่ม หรือจากการนำเสนอของ ครูผู้สอนก็ได้ แต่จะต้องเป็นเรื่องที่นักเรียนยอมรับโดยไม่มีการบังคับ หลังจากนั้น เมื่อได้ข้อคำถามท่ี นา่ สนใจแล้ว ครูผสู้ อนตอ้ งกระตุ้นให้นกั เรียนร่วมกนั กำหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องท่ี จะศึกษาให้มีความชัดเจนมากย่ิงข้ึน โดยใช้การรับรูจ้ ากประสบการณ์เดิม รวมกับการศึกษาเพิ่มเติมจาก จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในประเด็นที่จะศึกษา และมีแนวทางในการสำรวจ ตรวจสอบมากยง่ิ ข้นึ 5.1.2 การสำรวจและค้นหา (Exploration) เมือ่ ทำความเขา้ ใจในประเดน็ หรือคำถามท่สี นใจศึกษาอย่างถอ่ งแท้แล้ว ครูผู้สอนจะเปิด โอกาสให้นักเรียนดำเนนิ การศึกษาค้นคว้า โดยการรวบรวมข้อมลู ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสำรวจ การ สืบค้นจากเอกสารต่าง ๆ การทดลอง และการจำลองสถานการณ์ เป็นตน้ เพอ่ื ตรวจสอบสมมตุ ิฐานและให้ ไดข้ อ้ มูลอย่างเพยี งพอที่จะนำไปใชใ้ นการอธิบายและสรุป 5.1.3 การอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) เม่ือได้ขอ้ มลู อย่างเพยี งพอแล้ว ครูผู้สอนจะตอ้ งใหน้ ักเรียนนำขอ้ มลู ที่ไดม้ าวิเคราะห์และ แปลผล เพ่ือสรุปผลและนำเสนอผลท่ีได้ในรปู ต่าง ๆ เชน่ การบรรยายสรปุ การสร้างแบบจำลอง การวาด ภาพ หรือ การสรุปเป็นตารางหรือกราฟ ซึ่งผลสรุปที่ได้นั้น จะต้องสามารถอ้างอิงความรู้ มีความ สมเหตสุ มผล และมหี ลกั ฐานท่เี ช่อื ถอื ได้ 5.1.4 การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นขั้นของการนำความรู้ที่ได้จากขั้นก่อนหน้านี้ มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือใช้ อธิบายถึงสถานการณ์หรอื เหตุการณ์เกี่ยวข้อง โดยครูผู้สอนอาจจัดกิจกรรมและให้นกั เรียนมีส่วนรว่ มใน
30 กิจกรรมนน้ั ๆ เชน่ ต้งั คำถามจากการศกึ ษาเพื่อให้นักเรยี นร่วมกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติม ซง่ึ จะทำใหน้ ักเรียนสามารถเชือ่ มโยงความรเู้ ขา้ กับประสบการณห์ รือสถานการณท์ ี่เกีย่ วข้องได้มากข้นึ 5.1.5 การประเมนิ ผล (Evaluation) เป็นขัน้ ของการประเมินการเรียนร้ดู ้วยกระบวนการต่าง ๆ เชน่ การทำข้อสอบ การทำ รายงานสรปุ หรือการใหน้ ักเรยี นประเมนิ ตัวเอง เป็นต้น เพือ่ ตรวจสอบนกั เรยี นวา่ มีความรู้ที่ถกู ตอ้ งมาก น้อยเพียงไรจากการเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ดังกลา่ ว ครูผู้สอนจะตอ้ งเปิดโอกาสให้นักเรียน วเิ คระห์ วจิ ารณแ์ ละคิดพจิ ารณาความรทู้ ไ่ี ด้ใหร้ อบคอบ โดยมีครผู ูส้ อนช่วยตรวจสอบและปรับปรงุ ความรทู้ ่ี นักเรยี นไดร้ ับนั้นใหถ้ กู ต้องเหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั ความร้เู ดมิ ของนกั เรยี นมากย่ิงข้ึน และนำนกั เรียน ไปส่คู ำถามที่ต้องการการสำรวจตรวจสอบตอ่ ไปอย่างต่อเน่ือง 5.2 วิธใี ช้ เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมอื วนั เพ็ญ จันทรเ์ จรญิ (2542 : 119-128) กล่าวถึง วธิ กี ารเรียนแบบรว่ มมอื ทน่ี ิยมใช้กันมเี ทคนิค สำคัญ 2 แบบ คือ แบบเปน็ ทางการ (Formal cooperative learning) และแบบไมเ่ ปน็ ทางการ (Informal cooperative learning) 5.2.1. การเรียนแบบรว่ มมืออยา่ งเปน็ ทางการ มีดงั น้ี 5.2.1.1 เทคนิคการแข่งขนั ระหว่างกลุม่ ด้วยเกม (Team – Games – Tournament หรือ TGT) คือ การจดั กลุ่มนกั เรยี นเปน็ กลมุ่ เล็ก ๆ กลุ่มละ 4 คน ระดับความสามารถต่างกัน (Heterogeneous teams) คือ นกั เรยี นเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ครกู ำหนด บทเรียนและการทำงานของกลมุ่ เอาไว้ ครทู ำการสอนบทเรยี นใหน้ กั เรียนทง้ั ชน้ั แล้วใหก้ ลุ่มทำงานตามท่ี กำหนด นักเรียนในกลุม่ ชว่ ยเหลือกนั เด็กเก่งช่วยและตรวจงานของเพื่อนให้ถกู ต้องก่อนนำส่งครู แลว้ จดั กล่มุ ใหม่เปน็ กล่มุ แข่งขนั ทม่ี ีความสามารถเท่า ๆ กนั (Homogeneous tournament teams) มา แข่งขนั ตอบปญั หาซง่ึ จะมีการจดั กลุม่ ใหมท่ กุ สปั ดาห์ โดยพจิ ารณาจากความสามารถของแต่ละบคุ คล คะแนนของกลมุ่ จะได้จากคะแนนของสมาชกิ ท่เี ข้าแข่งขันรว่ มกับกลมุ่ อ่นื ๆ ร่วมกนั แลว้ มกี ารมอบ รางวลั ใหแ้ กก่ ลุ่มทไ่ี ด้คะแนนสงู ถงึ เกณฑ์ทก่ี ำหนดไว้ 5.2.1.2 เทคนคิ การแบง่ กลมุ่ แบบกลมุ่ สัมฤทธิ์ (Student Teams Achievement Divisions หรือ STAD) คือ การจดั กลุ่มเหมอื น TGT แต่ไม่มกี ารแข่งขัน โดยใหน้ ักเรยี นทุกคนตา่ ง คนต่างทำขอ้ สอบ แล้วนำคะแนนพฒั นาการ (คะแนนทด่ี ีกว่าเดิมในการสอบคร้งั ก่อน) ของแต่ละคนมา รวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม และมกี ารใหร้ างวลั 5.2.1.3 เทคนิคการจัดกล่มุ แบบชว่ ยรายบุคคล (Team Assisted Individualization หรือ TA) เทคนิคนเ้ี หมาะกบั วชิ าคณิตศาสตร์ ใชส้ ำหรบั ระดับประถมปีที่ 3 – 6 วธิ นี สี้ มาชิกกลุม่ มี
31 4 คน มีระดบั ความรู้ต่างกนั ครูเรยี กเด็กทม่ี ีความรรู้ ะดับเดียวกันของแตล่ ะกลมุ่ มาสอนตามความยาก ง่ายของเนอ้ื หา วิธีท่ีสอนจะแตกตา่ งกนั เดก็ กลับไปยงั กล่มุ ของตน และต่างคนต่างทำงานท่ไี ดร้ ับ มอบหมายแต่ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กันและกนั มกี ารให้รางวลั กลมุ่ ที่ทำคะแนนไดด้ กี ว่าเดิม 5.2.1.4 เทคนิคโปรแกรมการร่วมมอื ในการอ่านและเขยี น (Cooperative Integrated Reading and Composition หรือ CIRC) เทคนิคน้ีใชส้ ำหรับวชิ า อ่าน เขียน และทักษะอน่ื ๆ ทางภาษา สมาชิกในกลุม่ มี 4 คน มีพืน้ ความรเู้ ท่ากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เท่ากัน แต่ต่างระดบั ความรกู้ ับ 2 คนแรก ครูจะเรียกคู่ท่มี ีความรู้ระดับเทา่ กนั จากกล่มุ ทกุ กลมุ่ มาสอน ใหก้ บั เข้ากลุ่ม แลว้ เรยี กคู่ต่อไปจากทุกกลมุ่ มาสอน คะแนนของกล่มุ พิจารณาจากคะแนนสอบของสมาชิกกลุ่ม เป็นรายบคุ คล 5.2.1.5 เทคนคิ การตอ่ ภาพ (Jigsaw) เทคนิคนี้ใช้สำหรับนักเรียนช้นั ประถมปที ี่ 3 - 6 สมาชิกในกลุ่มมี 6 คน ความรู้ต่างระดับกัน สมาชิกแต่ละคนไปเรียนร่วมกันกับสมาชกิ ของกลุ่มอื่นๆ ในหัวขอ้ ทตี่ า่ งกนั ออกไป แล้วทกุ คนกลบั มากลุ่มของตน สอนเพื่อนในสิ่งทีต่ นไปเรยี นร่วมกับสมาชิกของ กลุ่มอ่นื ๆ มา การประเมินผลเป็นรายบคุ คลแล้วรวมเปน็ คะแนนของกลุ่ม 5.2.1.6 เทคนิคการต่อภาพ 2 (Jigsaw II) เทคนิคนีส้ มาชิกในกลุม่ 4 – 5 คน นักเรียนทุกคนสนใจเรียนบทเรียนเดียวกัน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้ความสนใจในหัวข้อย่อยของ บทเรียนต่างกัน ใครทสี่ นใจหวั ข้อเดียวกันจะไปประชุมกนั ค้นควา้ และอภปิ ราย แล้วกลับมาที่กลุ่มเดิม ของตนสอนเพื่อนในเรื่องที่ตนเองไปประชุมกับสมาชิกของกลุ่มอื่นมา ผลการสอบของแต่ละคนเป็น คะแนนของกลุ่ม กลมุ่ ที่ทำคะแนนรวมไดด้ ีกว่าคร้งั ก่อน (คิดคะแนนเหมือน STAD) จะไดร้ ับรางวลั ขั้นตอนการเรยี นมดี งั นี้ 1) ครแู บ่งหวั ข้อที่จะเรียนเปน็ หวั ข้อย่อยๆให้เทา่ กบั จำนวนสมาชิกของแตล่ ะกลมุ่ 2) จัดกลุ่มนักเรียนโดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่มเป็นกลุ่มบ้าน (Home group) สมาชิกแตล่ ะคนในกลมุ่ อา่ นเฉพาะหัวข้อยอ่ ยท่ีตนได้รบั มอบหมายเทา่ นนั้ โดยใชเ้ วลาตามที่ครกู ำหนด 3) จากนั้นนักเรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน เพื่อทำงาน ซักถามและทำกิจกรรม ซ่งึ เรยี กว่ากลุม่ ผ้เู ช่ยี วชาญ (Expert group) สมาชกิ ทกุ ๆ คน รว่ มมือกันอภปิ รายหรือทำงานอย่างเท่า เทียมกัน โดยใช้เวลาตามทีค่ รูกำหนด 4) นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้าน (Home group) ของตนจากนั้น ผลดั เปลี่ยนกันอธบิ ายใหเ้ พอื่ นสมาชิกในกลุม่ ฟงั เริม่ จากหวั ข้อย่อยที่ 1, 2, 3และ 4 เป็นตน้ 5) ทำการทดสอบหัวข้อยอ่ ย 1 – 4 กับนักเรยี นท้งั ห้อง คะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มรวม เปน็ คะแนนกลุม่ กลุ่มทไ่ี ดค้ ะแนนสูงสดุ จะได้รับการติดประกาศ
32 5.2.1.7 เทคนิคการตรวจสอบเป็นกลุ่ม (Group Investigation) เทคนิคนี้สมาชิกในกลุ่มมี 2 – 6 คน เป็นรูปแบบทีซ่ บั ซ้อน แต่ละกลุ่มเลือกหัวขอ้ เรื่องที่ต้องการจะศึกษาค้นคว้า สมาชิกในกลุม่ แบ่งงานกันทั้งกลุ่มมีการวางแผนการดำเนินงานตามแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์งานที่ท ำ การนำเสนอผลงานหรือรายงานตอ่ หนา้ ช้ัน การใหร้ างวลั หรอื ให้คะแนนเปน็ กลมุ่ 5.2.1.8 เทคนิคการเรยี นร่วมกัน (Learning Together) วิธีนี้สมาชิกในกลุ่มมี 4 – 5 คน ระดับความร้คู วามสามารถตา่ งกัน ใช้สำหรับนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 – 6 โดยครูทำการสอน ทั้งชนั้ เดก็ แต่ละกลุ่มทำงานตามท่ีครูมอบหมาย คะแนนของกลุ่มพจิ ารณาจากผลงานของกลุ่ม 5.2.1.9 เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือร่วมกลุ่ม (Co – op – Co - op) ซึ่งเทคนิคน้ี ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้คือ นักเรียนช่วยกันอภิปรายหัวข้อที่จะศึกษา แบ่งหัวข้อใหญ่เป็น หัวข้อย่อย แล้วจัดนักเรียนเข้ากลุ่มตามความสามารถที่แตกต่างกัน กลุ่มเลือกหัวข้อที่จะศึกษาตาม ความสนใจของกลมุ่ กลุ่มแบ่งหัวข้อยอ่ ยออกเป็นหัวข้อเลก็ ๆ เพอ่ื นักเรยี นแตล่ ะคนในกลมุ่ เลอื กไปศึกษา และมีการกำหนดบทบาทและหน้าท่ขี องแต่ละคนภายในกลุม่ แล้วนักเรียนเลอื กศึกษาเรอื่ งทต่ี นเลอื กและ นำเสนอตอ่ กลมุ่ กลมุ่ รวบรวมหัวขอ้ ต่าง ๆ จากนกั เรยี นทุกคนภายในกลมุ่ แล้วรายงานผลงานต่อชน้ั และ มีการประเมนิ ผลงานของกลุ่ม เทคนิคทั้ง 9 ดังกล่าวข้างตน้ นี้ ส่วนมากจะใช้ตลอดคาบการเรียนหรือตลอดกจิ กรรม การเรียนในแตล่ ะคาบ เรียกการเรียนแบบร่วมมอื ประเภทนี้ว่า การเรียนแบบรว่ มมืออย่างเป็นทางการ (Formal cooperative Learning) แต่ยังมีเทคนิคอื่น ๆ อีกจำนวนมากที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตลอด กิจกรรมการเรยี นการสอนในแตล่ ะคาบ อาจใชใ้ นขั้นนำ สอดแทรกในขนั้ สอนตอนใด ๆ ก็ได้ หรอื ใช้ใน ขัน้ สรุป หรอื ขั้นทบทวน หรือข้ันวัดผล เรียกการเรียนแบบรว่ มมือประเภทน้วี ่า การเรียนแบบร่วมมือ อย่างไม่เปน็ ทางการ (Informal cooperative learning) ดงั นี้ 5.2.2. การเรยี นแบบรว่ มมืออย่างไมเ่ ป็นทางการ มีดังน้ี คาเกน (Kagan 1994 อ้างใน พิมพันธ์ เดชะคุปต์, 2541 : 43)) ได้ออกแบบเทคนิค การเรียนแบบร่วมมอื อยา่ งไม่เป็นทางการไว้ถงึ 52 เทคนคิ ในท่ีนีจ้ ะขอแนะนำเทคนคิ ของการเรียนแบบ ร่วมมือแบบไม่เป็นทางการจำนวน 9 เทคนคิ ซ่ึงเปน็ เทคนิคท่ีกระทำได้ง่ายจึงสะดวกท่จี ะนำไปใช้ ดังน้ี 5.2.2.1 การพูดเป็นคู่ (Rally Robin) เป็นเทคนิคเปิดโอกาสให้นักเรียนพูดตอบ แสดงความคิดเห็นเป็นคู่ ๆ โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนใช้เวลาเท่า ๆ กัน หรือใกล้เคียงกัน ตัวอย่างเช่น กลุ่มมีสมาชิก 4 คน แบ่งเป็น 2 คู่ คู่หนึ่งประกอบด้วยสมาชิกคนที่ 1 และคนที่ 2 แต่ละคู่จะพูดพร้อมๆกันไป โดย 1 พูด 2 ฟัง ในเวลาที่กำหนด จากนั้น 2 พูด 1 ฟัง ในเวลาที่ กำหนดเช่นกัน
33 5.2.2.2 การเขยี นเปน็ คู่ (Rally Table) เป็นเทคนิคคลา้ ยกบั การพดู เปน็ คู่ ทุก ประการต่างกันเพียงการเขียนเป็นคู่ เป็นการร่วมมอื เป็นคู่ ๆ โดยผลัดกันเขียน หรือวาด (ใช้อุปกรณ์ กระดาษ 2 แผ่นและปากกา 2 ดา้ มตอ่ กลมุ่ ) 5.2.2.3 การพูดรอบวง (Round Robin) เป็นเทคนิคท่ีสมาชิกของกลุม่ ผลัดกนั พูตอบ เลา่ อธิบาย โดยไมใ่ ชก้ ารเขียน การวาด และเป็นการพดู ทผี่ ลัดกันทีละคนตามเวลาที่กำหนด จนครบ 4 คน 5.2.2.4 การเขียนรอบวง (Roundtable) เป็นเทคนิคที่เหมือนกับการพูดรอบวง แตกต่างกันที่เน้นการเขียน การวาด (ใช้อุปกรณ์ กระดาษ 1 แผ่น และปากกา 1 ด้ามต่อกลุ่ม) วิธีการคือ ผลัดกันเขียนลงในกระดาษที่เตรียมไว้ทีละคนตามเวลาที่กำหนดเทคนิคนี้อาจดัดแปลงให้ สมาชิกทุกคนเขียนคำตอบ หรือบันทึกผลการคิดพร้อม ๆ กันทั้ง 4 คน ต่างคนต่างเขียนในเวลาที่ กำหนด (ใช้อุปกรณ์ : กระดาษ 4 แผ่น และปากกา 4 ด้าม) เรียกเทคนิคนวี้ ่าการเขยี นพรอ้ มกันรอบวง (Simultaneous Roundtable) 5.2.2.5 การแก้ปัญหาด้วยการต่อภาพ (Jigsaw Problem Solving) เป็นเทคนิคที่ สมาชิกแต่ละคนคิดคำตอบของตนเองไว้จากนน้ั กลุ่มนำคำตอบของทุก ๆ คนมารว่ มกันอภปิ ราย เพื่อหา คำตอบทดี่ ที สี่ ุด 5.2.2.6 คดิ เดี่ยว คิดคู่ ร่วมกนั คิด (Think Pair Share)เปน็ เทคนคิ โดยเริม่ จากปัญหา หรอื โจทย์คำถาม โดยสมาชิกแตล่ ะคนคดิ หาคำตอบดว้ ยตนเองก่อน แล้วนำคำตอบไปอภปิ รายกับเพ่ือน เปน็ คู่ จากนนั้ จึงนำคำตอบของแต่ละคมู่ าอภิปรายพร้อมกนั 4 คน เม่อื มนั่ ใจวา่ คำตอบของตนถูกต้อง หรือดที ส่ี ุด จึงนำคำตอบเล่าใหเ้ พอ่ื นฟัง 5.2.2.7 อภิปรายเป็นคู่ (Pair Discussion) เป็นเทคนิคที่เมื่อครูถามคำถามหรือ กำหนดโจทยแ์ ลว้ ใหส้ มาชิกทีน่ ่งั ใกลก้ นั รว่ มกนั คิด และอภปิ รายเปน็ คู่ 5.2.2.8 อภิปรายเป็นทีม (Team Discussion) เป็นเทคนิคที่เมื่อครูตั้งคำถามแล้ว ใหส้ มาชิกของกลุม่ ทกุ ๆคน ร่วมกนั คิด พดู อภปิ รายพร้อมกนั 5.2.2.9 ทำเป็นกลุ่ม ทำเป็นคู่ และทำคนเดียว (Team - pair - Solo) เป็นเทคนิคท่ี เมื่อครูกำหนดปัญหา หรือโจทย์ หรืองานให้ทำ แล้วสมาชิกจะทำงานร่วมกันทั้งกลุ่มจนงานแล้วเสร็จ จากนั้นจะแบ่งสมาชิกเป็นคู่ให้ทำงานร่วมกันเป็นคู่จนงานสำเร็จแล้วถึงขั้นสุดท้าย ให้สมาชิกแต่ละ คนทำงานคนเดยี วจนสำเรจ็ การเรียนแบบร่วมมือกำลังได้รับความสนใจในหมู่นักการศึกษา ครู อาจารย์ ในปัจจุบันเป็น อย่างยิ่ง การเรียนแบบร่วมมือมีทั้งเทคนิคที่นำมาใช้ได้โดยตรงโดยไม่ต้องปรับและเทคนิคที่ต้องปรับ
34 เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนและเนื้อหาวิชา อย่างไรก็ตามการเรียนแบบร่วมมือก็นับเป็นวิธีการสอน อยา่ งหนง่ึ ท่ชี ว่ ยสง่ เสริมให้นกั เรยี นเรียนร้ดู ้วยตนเองไดเ้ ป็นอย่างดี ขน้ั ตอนการสร้างนวัตกรรม 1. ลำดบั ขนั้ ในการสรา้ งฉบับร่าง (ยกร่าง) 1) ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ยี วข้องเพ่ือศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งการวิจัยนี้จะสร้างหรือพัฒนาจะอ้างอิงตามแนวคิด ทฤษฎีหลักการ วิธีการของ ณัฐกิตติ์ นวลแสง (2561), โสรัจจ์ แสนคำ (2560), ทวิ ากร วงษ์เสน, อุษา ปราบหงษ์ และพจมาน ชำนาญกจิ (2560) 2) สรา้ งฉบับร่าง(ยกร่าง) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรียน แบบร่วมมือ โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วข้องดงั กลา่ วข้อ 1 กอ่ นหน้า 3) สร้างแบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวัตกรรมทส่ี ร้างหรอื พฒั นาขึ้นเพ่อื ให้ ผูเ้ ชยี วชาญประเมนิ ประสทิ ธภิ าพเชงิ เหตุผลของนวัตกรรมที่สร้างหรือพฒั นาข้นึ ดังกล่าว 4) นำการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมือ ที่สร้าง เปน็ ฉบับรา่ งแลว้ ไปให้ผู้เชีย่ วชาญด้านภาษา ดา้ นการวจิ ยั และด้านการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสนิ้ จำนวน 3 คน ทำการประเมนิ ความเหมาะสมด้วยแบบประเมนิ แตล่ ะข้อคำถาม (Item) ของแต่ ละประเดน็ ท่ปี ระเมนิ ตอ้ งมีคา่ เฉลย่ี อย่างนอ้ ย 3.50 จงึ จะตัดสินว่า ข้อคำถามที่ประเมินมีความเหมาะสม 5) นำการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิคการเรียนแบบรว่ มมือท่ีผ่าน การประเมินดังกลา่ วข้อ 4 มาแกไ้ ขปรบั ปรงุ ตามคำแนะนำของผูเ้ ชยี่ วชาญ 6) จัดทำรูปเล่มการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบ รว่ มมอื 7) นำการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมือ ท่ีจัดทำ เป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์กับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายการวิจัยการหาประสิทธิภาพจะใช้วิธีการ เทียบกับเกณฑป์ ระสิทธภิ าพ E1/E2 = 75/75 เมื่อ E1 หมายถงึ รอ้ ยละของคะแนนรวมทง้ั หมดจากการทำกจิ กรรม และการทดสอบยอ่ ย ระหว่างการทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรียนแบบร่วมมอื ซึ่งเกณฑป์ ระเมินผา่ นคือ ร้อยละ 75
35 E2 หมายถึง รอ้ ยละของคะแนนรวมทงั้ หมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสนิ้ สุด การทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรียนแบบรว่ มมอื ซ่งึ เกณฑ์ ประเมินผา่ นคอื รอ้ ยละ 75 เกณฑ์การตดั สินประสิทธิภาพจากการทดลองใช้การสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมอื เมอ่ื เทียบกับเกณฑ์ประสิทธภิ าพท่ี กำหนดขึน้ วา่ ถ้าคา่ ร้อยละของคะแนนทค่ี ำนวณของ E1= 75±2.55 แสดงวา่ ประสิทธภิ าพของ E1 เป็นไปตามเกณฑ์รอ้ ยละ 75 แต่ถ้ามากกว่าหรือนอ้ ยกวา่ 75±2.5 แสดงวา่ ประสิทธิภาพของ E1 สงู กวา่ หรือน้อยกว่าเกณฑ์ท่ตี ้งั ต้องปรับนวัตกรรมใหเ้ ท่ากับเกณฑ์ที่ต้ังคือ 75 สว่ นการตดั สิน ประสิทธภิ าพของ E2 ทำเช่นเดียวกบั E1 และถ้ารอ้ ยละของคะแนนระหว่าง E1และ E2 ต่างกนั มากกว่าร้อยละ 5 แสดงวา่ ประสิทธิภาพของการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมอื มีประสิทธิภาพไม่เป็นไปตามเกณฑ์ตอ้ งทำการปรับปรุงใหม่ 8) จดั ทำรูปเล่มการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรยี นแบบ รว่ มมือพร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กบั นักเรยี นระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสงู เมน่ ชนปู ถมั ภ์ ซ่งึ เปน็ กลุม่ ทเ่ี ปา้ หมายการวจิ ยั 2. ข้นั ตอนการหาประสิทธิภาพเชิงเหตผุ ล 2.1 ความหมาย บุญชม ศรีสะอาด (2546) ได้กล่าวถึง วิธีการหาประสิทธิภาพของสื่อที่สร้างขึ้น 2 วิธี ดังนี้ 1. วิธกี ารหาประสทิ ธภิ าพเชงิ เหตผุ ล (Rational Approach) กระบวนการนี้เปน็ การหาประสิทธิภาพ โดยใช้หลักของความรู้และเหตุผลในการตัดสินคุณค่าของสื่อการเรียนการสอน โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญ (Panel of Expert) เป็นผู้พิจารณาตัดสินคุณค่า ซึ่งเป็นการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อ หา (Content Validity) และความเหมาะสมในด้านการนําไปใช้ (Usability) ผลการประเมินของผูท้ รงคุณวุฒิแต่ละคน จะนํามาหาค่าประสิทธิภาพต่อไป 2.2 วธิ กี าร 1. นำเครื่องมือรวบรวมขอ้ มูลแต่ละชนิดทีส่ รา้ งเป็นฉบับรา่ งไปให้ผ้เู ช่ียวชาญดา้ นภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหาด้วยแบบประเมิน IOC แต่ละข้อคำถาม (Item) ของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมี ค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.5 จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมีความเที่ยงตรง รุ่งนภา แก้ววัน(2559) และโสรัจจ์ แสนคำ (2558) ผลการประเมนิ พบวา่
36 1.1 แต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวดั ความเหมาะสมของนวัตกรรมมคี ่า ดรรชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 ถึง 1.00 จึงลงข้อสรุปว่า แบบสอบถามเพื่อวดั ความเหมาะสมของ นวัตกรรมมีความเท่ยี งตรง 1.2 แต่ละขอ้ คำถามของแบบทดสอบมคี า่ ดรรชนีความสอดคลอ้ งระหว่าง 0.67 ถงึ 1.00 จึงลงขอ้ สรปุ วา่ แบบทดสอบสอบมีความเที่ยงตรง 1.3 แตล่ ะขอ้ คำถามของแบบสอบถามวดั ระดับความพึงพอใจมีคา่ ดรรชนี ความสอดคล้องระหว่าง 0.67 ถึง 1.00 จึงลงข้อสรุปว่าแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจมีความ เท่ยี งตรง 2. นำเคร่อื งมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดท่ผี ่านการประเมินดังกลา่ วข้อ 4 มาแกไ้ ข ปรับปรุงตามคำแนะนำของผเู้ ชีย่ วชาญ 3. จัดทำรปู เล่มเครื่องมอื รวบรวมข้อมลู แต่ละชนดิ ที่ทำการแก้ไขแลว้ 4. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดท่จี ดั ทำเปน็ รูปเล่มแล้วมาหาคา่ ความเชื่อม่ัน (Reliability) ซึ่งเป็นการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปที ่ี 1 โรงเรยี นสูงเมน่ ชนปู ถัมภ์ ซึง่ เปน็ คนละกลุม่ กับกลุ่มที่เปน็ เป้าหมายการวจิ ัย การหาค่าความเช่ือมั่น ใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficienty) โดยมีเกณฑ์ ประเมนิ ผ่านทงั้ ฉบับท่ี 0.7 ถ้านอ้ ยกวา่ ต้องทำการปรับปรุงเคร่ืองมือใหม่ 5. ปรบั ปรงุ เคร่ืองมอื รวบรวมขอ้ มลู แตล่ ะชนดิ หากพบวา่ ค่าสมั ประสิทธ์แิ อลฟา ตำ่ กวา่ 0.7 6. ยกเว้นแบบทดสอบ จดั ทำรปู เล่มเครือ่ งมือรวบรวมข้อมลู แต่ละชนดิ พรอ้ มสำหรบั การนำไปใชก้ บั นกั เรียนระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรยี นสงู เม่นชนูปถมั ภ์ ซึ่งเป็นกลุ่มเปา้ หมายการวิจัย สำหรับแบบทดสอบนั้น เมื่อทำการประเมินความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นแล้วก่อนนำไปทดลองใช้กับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป้าหมายการวิจัย ตอ้ งดำเนนิ การต่อจากขอ้ 8 เพื่อหาค่าความยากงา่ ยและค่าอำนาจการจำแนกตอ่ ดงั น้ี 7. นำแบทดสอบแต่ละข้อมาวเิ คราะห์ความยากง่ายดว้ ยโปรแกรมสำเร็จรปู ข้อคำถาม ที่ดีของแบบทดสอบประเภท 4 ตัวเลอื กจะมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 (สมุ าลี จนั ทร์ชะลอ. 2542) ถ้าเป็นประเภทแบบถูก-ผิด จะมีค่าความยากง่ายระหวา่ ง 0.60 – 0.95 (Nunnally.1967; อ้าง ถงึ ใน เยาวดี รางชัยกลุ วิบลู ยศ์ รี. 2552) 8. นำแบบทดสอบแตล่ ะขอ้ มาวเิ คราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใชโ้ ปรแกรมสำเร็จ รปู แบบทดสอบท่ีมคี า่ อำนาจการจำแนกต้ัง 0.2 เปน็ แบบทดสอบทีส่ ามารถใช้ได้
37 9. จดั ทำรปู เล่มของแบบทดสอบ พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กบั นักเรียน ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ซง่ึ เปน็ กลุม่ เป้าหมายการวิจยั 3. ขัน้ ตอนการหาประสทิ ธิภาพเชิงประจกั ษ์ 3.1 ความหมาย เป็นการนําสื่อไปทดลองใช้กับกลุ่มนักเรียนเป้าหมาย การหาประสิทธิภาพของสื่อ เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ (CAI) บทเรียนโปรแกรม เอกสารประกอบการเรียน แผนการสอน แบบฝึกทักษะ เป็นต้น ส่วนมากใช้วิธีการหาประสิทธิภาพด้วยวิธีนี้ ประสิทธิภาพที่วัดส่วนใหญ่ จะพิจารณาจาก เปอร์เซ็นต์การทําแบบฝกึ หัดหรือกระบวนการเรียน หรือแบบทดสอบย่อย โดยแสดงเปน็ ค่าตัวเลข 2 ตัว เชน่ E1 / E2 = 80/ 80, E1 / E2 = 85/ 85, E1 / E2 = 90/ 90 เปน็ ตน้ เกณฑป์ ระสิทธภิ าพ (E1 / E2 ) มคี วามหมายแตกต่างกนั หลายลักษณะในท่ีนีจ้ ะยกตัวอยาง E1 / E2 = 80/ 80 ดังน้ี 1. เกณฑ์ 80/ 80 ในความหมายที่ 1 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1 ) คือ นักเรียนทั้งหมด ทําแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบยอยได้คะแนนเฉลี:ยร้อยละ 80 ถือเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ ส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง (E2 ) คือนักเรียนทั้งหมดที่ทําแบบทดสอบหลังเรียน (Post - test) ได้คะแนน เฉล่ียร้อยละ 80 3.2 วธิ ีการ 1) ทำการศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้องเพอื่ ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลกั การ วธิ กี ารท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั การสรา้ งการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือ ซึง่ การวจิ ัยน้ีจะสรา้ งหรือพฒั นาจะอา้ งองิ ตามแนวคิด ทฤษฎหี ลักการ วิธกี ารของ ณัฐกติ ติ์ นวลแสง (2561), โสรจั จ์ แสนคำ (2560), ทิวากร วงษ์เสน, อษุ า ปราบหงษ์ และพจมาน ชำนาญกจิ (2560) 2) สรา้ งฉบับร่าง (ยกรา่ ง) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียน แบบรว่ มมอื โดยอ้างองิ จากผลการศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้องดงั กล่าวขอ้ 1 กอ่ นหนา้ 3) สร้างแบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวตั กรรมที่สร้างหรือพฒั นาขน้ึ เพอ่ื ให้ ผ้เู ชยี วชาญประเมินประสิทธิภาพเชงิ เหตุผลของนวัตกรรมทส่ี ร้างหรอื พฒั นาขนึ้ ดังกลา่ ว 4) นำการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมือที่สร้าง เป็นฉบับร่างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา ด้านภาษา และด้านการวิจัยหรือ การวัดประเมินผลดา้ นละ 1 คน รวมทง้ั สิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมนิ ความเหมาะสมด้วยแบบประเมิน แต่ละข้อคำถาม (Item)ของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามทป่ี ระเมนิ มคี วามเหมาะสม
38 5) นำการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือที่ผ่าน การประเมนิ ดังกลา่ ว ขอ้ 4 มาแกไ้ ขปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เช่ียวชาญ 6) จัดทำรูปเลม่ การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนคิ การเรียนแบบร่วมมอื 7) นำการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือที่จัดทำ เป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายการวิจัยการหาประสิทธิภาพจะใช้วิธีการ เทยี บกับเกณฑ์ประสิทธภิ าพ E1/E2 = 75/75 เม่ือ E1 หมายถงึ รอ้ ยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำกจิ กรรมและการทดสอบยอ่ ย ระหว่างการทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียน แบบร่วมมอื ซง่ึ เกณฑ์ประเมินผ่านคอื ร้อยละ 75 E2 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสิ้นสุด การทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งเกณฑ์ประเมินผ่านคือ ร้อยละ 75 เกณฑ์การตัดสินประสิทธิภาพจากการทดลองใช้การ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือเมื่อเทียบกับเกณฑ์ ประสิทธิภาพที่กำหนดขึน้ ว่า ถา้ ค่าร้อยละของคะแนนท่คี ำนวณของ E1= 75±2.55 แสดงว่า ประสิทธิภาพของ E1 เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 75 แต่ถ้ามากกว่าหรือน้อยกว่า 75±2.5 แสดงวา่ ประสิทธิภาพของ E1 สงู กว่า หรือ นอ้ ยกวา่ เกณฑ์ทต่ี ั้ง ตอ้ งปรบั นวตั กรรมให้เท่ากับ เกณฑ์ที่ตั้งคือ 75 ส่วนการตัดสินประสิทธภิ าพของ E2 ทำเช่นเดียวกับ E1 และถ้าร้อยละ ของคะแนนระหว่าง E1 และ E2 ตา่ งกันมากกว่ารอ้ ยละ 5 แสดงวา่ ประสิทธภิ าพของการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกับเทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมือมีประสิทธภิ าพไมเ่ ป็นไปตาม เกณฑต์ อ้ งทำการปรบั ปรุงใหม่ 8) จดั ทำรูปเลม่ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือ พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใชก้ ับนกั เรียนระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสูงเม่นชนูปถัมภ์ ซึ่งเป็น กลมุ่ ทเ่ี ปา้ หมายการวจิ ัย เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชร้ วบรวมขอ้ มลู 1. ความหมาย เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือสิ่งที่ใช้เป็นส่ือสำหรับนักวิจยั ใช้ในการรวบรวมขอ้ มูลตามตัวแปรในการ วจิ ัยที่กำหนดไว้ ขอ้ มลู ดังกล่าวอาจเป็นได้ทั้งขอ้ มลู เชงิ ปริมาณ และขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ
39 2. การจำแนกประเภท เครื่องมือการวิจัยที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 5 ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินการปฏิบัติ เครื่องมือแต่ละประเภทจะมีลกั ษณะที่สำคัญ และความสามารถในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ไดแ้ ตกต่างกันออกไป เพอ่ื ใหผ้ วู้ ิจัยสามารถเลือกใชเ้ ครือ่ งมือได้ เหมาะสมกบั วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั 2.1 แบบทดสอบ (test) คอื ชดุ ของคำถาม งานหรอื สถานการณ์ทีก่ ำหนด มี วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสิ่งเร้าให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนี้มีความหมาย ครอบคลุมท้ังดา้ นพทุ ธิพสิ ัย จติ พิสยั และทกั ษะพิสยั แบบทดสอบ(ขอ้ สอบ) เป็นเครอื่ งมือหลักท่ีครูต้องใช้ วัดผลการเรยี นของผูเ้ รยี นมาโดยตลอด 2.2 แบบสงั เกต (observation form) คอื เครื่องมือท่ีใชป้ ระกอบการสงั เกตเปน็ ชุด ของพฤติกรรมที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา แบบสังเกตมีหลายชนิด เช่น ระเบียนพฤติกรรม แบบตรวจสอบ รายการ (checklist) และแบบจดั อนั ดบั คณุ ภาพ (rating scale) การสงั เกตเป็นวิธกี ารซงึ่ ใช้ประสาทสัมผัส ของผ้สู งั เกต โดยเฉพาะตา และหู เพือ่ ตดิ ตามศึกษาพฤตกิ รรมที่บคุ คลท่ีแสดงออกได้ทุกด้าน แบบสังเกต เป็นเครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจยั ท่ผี ู้วิจัยสามารถใชไ้ ดต้ ลอดเวลา 2.3 แบบสัมภาษณ์ (interview form) คอื เครือ่ งมอื ทใี่ ชป้ ระกอบการสมั ภาษณ์ จะ เป็นแบบบันทึกคำให้สัมภาษณ์ ซึ่งผู้สัมภาษณ์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการรวบรวมข้อมลู ลักษณะของแบบสัมภาษณ์อาจจะคล้ายกับแบบสอบถาม นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือที่ใช้ประกอบในการ สัมภาษณเ์ ปน็ ส่อื ประเภทเครอ่ื งบนั ทกึ เสยี ง ซึ่งใช้อำนวยความสะดวกในการบันทกึ รายละเอียดของขอ้มูล ชว่ ยใหผ้ ู้สัมภาษณ์พจิ ารณายอ้ นทวนข้อมูลได้ และสามารถสรปุ ขอ้ มูลไดอ้ ย่างถูกต้องชัดเจน 2.4 แบบสอบถาม (questionnaire) คือ เครอื่ งมอื ทใี่ ช้วดั พฤติกรรมภายในของ บคุ คลเก่ียวกับความรู้สกึ ความคิดเห็น เจตคติ ความสนใจ ฯลฯ ซ่งึ กล่าวได้วา่ เป็นพฤติกรรมด้านจิตพิสัย น่ันเอง นอกจากน้ยี ังเหมาะสำหรับศกึ ษาขอ้ มูลสว่ นตวั ของบคุ คลด้วย แบบสอบถามมีลกั ษณะเป็นชุดของ คำถามที่สรา้ งข้นึ เพ่ือศกึ ษาข้อมูลตามจุดประสงค์ 2.5 แบบประเมินการปฏบิ ัติ (performance assessment form) คือ เคร่ืองมือที่ ใช้ประกอบการประเมินการให้ปฏิบัติจริงมักเป็นแบบบันทึกผลการปฏิบัติตลอดกระบวนการโดยการให้ ปฏิบัติเป็นรูปแบบ หรือวิธีการที่กำหนดขึ้นเพื่อวัดความสามารถในการปฏิบัติงานหรือปฏิบัตกิ ิจกรรมท่ี จดั เป็นพฤติกรรมด้านทกั ษะพิสัย เช่น เรม่ิ วดั ตง้ั แตค่ วามสามารถใรการเตรียมงาน วดั การลงมือปฏิบัติใน แต่ละขนั้ ตอน วดั ผลงานและวดั พฤตกิ รรมดา้ นจิตพิสยั บางประการ
40 3. ขัน้ ตอนการสรา้ ง 3.1 ลำดบั ข้ันในการสรา้ งฉบับรา่ ง (ยกร่าง) 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้อง เพือ่ ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลกั การ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ แบบทดสอบ และแบบสังเกต เคร่ืองมือรวบรวมข้อมลู แต่ละชนดิ จะสร้างตามแนวคดิ ทฤษฎี หลักการ วธิ กี ารต่าง ๆ ดังน้ี 1.1) แบบสอบถามวัดระดบั ความพึงพอใจ สร้างตามแนวคดิ ทฤษฎขี อง หลกั การ วธิ ีการทางการของ โสรจั จ์ แสนคำ (2560) 1.2) แบบทดสอบ สรา้ งตามแนวคดิ ทฤษฎีของ หลกั การ วิธีการของ โสรัจจ์ แสนคำ (2560) 1.3) แบบสังเกต (ระบชุ นิดเครื่องมือรวบรวมขอ้ มูล) สรา้ งตามแนวคดิ ทฤษฎี ของหลกั การ วธิ ีการของ ณัฏฐณี สขุ ปรีด, พรรณระพี สทุ ธิวรรณแ์ ละสักกพฒั น์ งามเอก (2560) 2. ยกเว้นแบบทดสอบเดิมท่ีมอี ยู่แล้ว สรา้ งฉบับร่าง (ยกร่าง) แบบสอบถามวดั ระดบั ความพึงพอใจ แบบทดสอบ และแบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรม โดยอ้างอิงผลการศึกษา เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งดงั กล่าวขอ้ 1 ก่อนหนา้ 3. สรา้ งแบบประเมนิ คา่ ดรรชนคี วามสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence: IOC) เพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของเครอ่ื งมอื รวบรวมข้อมลู 3.2 การหาคุณภาพเชิงเหตุผล 1. นำเคร่อื งมอื รวบรวมขอ้ มลู แต่ละชนดิ ท่ีสรา้ งเป็นฉบบั ร่างไปใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญ ด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมิน ความเทยี่ งตรงเชิงเน้อื หาด้วยแบบประเมิน IOC แตล่ ะข้อคำถาม (Item) ของแตล่ ะประเดน็ ทป่ี ระเมินต้อง มคี ่าเฉล่ยี อย่างน้อย 0.5 จงึ จะตดั สินวา่ ข้อคำถามนน้ั มีความเทย่ี งตรง รงุ่ นภา แกว้ วนั (2559) และโสรัจจ์ แสนคำ (2558) ผลการประเมินพบวา่ 1.1แต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวตั กรรมมคี า่ ดรรชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 ถึง 1.00 จึงลงข้อสรุปว่า แบบสอบถามเพื่อวัดความเหมาะสมของ นวัตกรรมมีความเทีย่ งตรง 1.2 แตล่ ะข้อคำถามของแบบทดสอบมีคา่ ดรรชนคี วามสอดคล้องระหว่าง 0.67 ถงึ 1.00 จึงลงข้อสรปุ ว่า แบบทดสอบสอบมคี วามเทย่ี งตรง
41 1.3 แตล่ ะข้อคำถามของแบบสอบถามวดั ระดับความพึงพอใจมคี า่ ดรรชนี ความสอดคล้องระหว่าง 0.67 ถึง 1.00 จึงลงข้อสรุปว่าแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจมี ความเท่ียงตรง 2. นำเครื่องมอื รวบรวมขอ้ มลู แต่ละชนดิ ทผ่ี า่ นการประเมินดังกลา่ วขอ้ 4 มาแก้ไข ปรับปรงุ ตามคำแนะนำของผู้เชยี่ วชาญ 3. จัดทำรูปเล่มเคร่อื งมอื รวบรวมขอ้ มลู แต่ละชนิดท่ีทำการแกไ้ ขแล้ว 4. นำเคร่ืองมอื รวบรวมข้อมูลแตล่ ะชนดิ ทจ่ี ดั ทำเป็นรูปเล่มแลว้ มาหาค่าความเชื่อมนั่ (Reliability) ซึ่งเปน็ การหาประสิทธิภาพเชงิ ประจักษ์ โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มทีเ่ ป็นเป้าหมายการวิจัย การหาค่าความเชื่อมัน่ ใช้ วิธีการหาคา่ สัมประสทิ ธ์แิ อลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficienty) โดยมีเกณฑ์ประเมิน ผา่ นท้ังฉบับที่ 0.7 ถ้าน้อยกว่าต้องทำการปรับปรงุ เครือ่ งมือใหม่ 5. ปรับปรุงเครื่องมือรวบรวมข้อมลู แต่ละชนดิ หากพบว่า ค่าสมั ประสทิ ธแิ์ อลฟา ตำ่ กว่า 0.7 6. ยกเว้นแบบทดสอบ จัดทำรูปเลม่ เครอ่ื งมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนดิ พร้อมสำหรับ การนำไปใช้กับนกั เรียนระดับช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นสูงเม่นชนปู ถัมภ์ ซึ่งเปน็ กลุม่ เปา้ หมายการวจิ ัย สำหรับแบบทดสอบนั้น เมื่อทำการประเมินความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นแล้ว ก่อนนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ซึ่งเป็นกลุ่มท่ี เป้าหมายการวจิ ัย ต้องดำเนนิ การตอ่ จากขอ้ 8 เพอ่ื หาคา่ ความยากงา่ ย และค่าอำนาจการจำแนกต่อ ดังนี้ 7. นำแบทดสอบแตล่ ะขอ้ มาวิเคราะห์ความยากง่ายด้วยโปรแกรมสำเรจ็ รปู ข้อคำถาม ท่ีดขี องแบบทดสอบประเภท 4 ตัวเลอื กจะมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 (สุมาลี จันทร์ชะลอ. 2542) ถ้าเปน็ ประเภทแบบถูก-ผิด จะมคี ่าความยากงา่ ยระหวา่ ง 0.60 – 0.95 (Nunnally.1967; อ้างถงึ ใน เยาวดี รางชัยกุล วบิ ลู ย์ศรี. 2552 8. นำแบบทดสอบแตล่ ะขอ้ มาวิเคราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป แบบทดสอบที่มคี ่าอำนาจการจำแนกตง้ั 0.2 เป็นแบบทดสอบท่ีสามารถใชไ้ ด้ 9. จดั ทำรปู เลม่ ของแบบทดสอบ พรอ้ มสำหรบั การนำไปทดลองใชก้ บั นกั เรยี นระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นสงู เม่นชนูปถมั ภ์ ซงึ่ เป็นกล่มุ เป้าหมายการวิจยั
42 3.3 การหาคุณภาพเชิงประจักษ์ 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้องเพอื่ ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลกั การ วธิ กี ารเกีย่ วข้องกบั การสร้างการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมือซง่ึ การวจิ ยั นจ้ี ะสร้างหรอื พฒั นาจะอา้ งอิงตามแนวคดิ ทฤษฎหี ลักการ วิธกี ารของ ณฐั กติ ต์ิ นวลแสง (2561), โสรจั จ์ แสนคำ (2560), ทิวากร วงษเ์ สน, อุษา ปราบหงษ์ และพจมาน ชำนาญกจิ (2560) 2. สร้างฉบบั ร่าง(ยกรา่ ง) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรียน แบบรว่ มมอื โดยอ้างอิงจากผลการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้องดงั กล่าวขอ้ 1 กอ่ นหนา้ 3. สร้างแบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวัตกรรมท่สี รา้ งหรือพฒั นาขน้ึ เพ่ือให้ ผเู้ ชียวชาญประเมินประสทิ ธิภาพเชิงเหตุผลของนวตั กรรมท่สี ร้างหรือพัฒนาขนึ้ ดงั กลา่ ว 4. นำการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมอื ทสี่ ร้างเปน็ ฉบบั ร่างแล้วไปให้ผู้เชีย่ วชาญด้านเทคโนโลยกี ารศึกษา ดา้ นภาษา และดา้ นการวิจยั หรือการวัด ประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมินความเหมาะสมด้วยแบบประเมิน แต่ละข้อคำถาม (Item)ของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามที่ประเมินมคี วามเหมาะสม 5. นำการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมือที่ผา่ น การประเมินดงั กล่าวขอ้ 4 มาแกไ้ ขปรับปรุงตามคำแนะนำของผเู้ ชยี่ วชาญ 6. จดั ทำรปู เลม่ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมือ 7. นำการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือที่จดั ทำ เป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์กับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสูงเม่นชนูปถัมภ์ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายการวิจัยการหาประสิทธิภาพจะใช้วิธีการ เทียบกบั เกณฑ์ประสทิ ธิภาพ E1/E2 = 75/75 เมอื่ E1 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทัง้ หมดจากการทำกจิ กรรม และการทดสอบย่อย ระหวา่ งการทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) รว่ มกบั เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมอื ซง่ึ เกณฑ์ประเมนิ ผ่านคือ ร้อยละ 75 E2 หมายถึง รอ้ ยละของคะแนนรวมท้ังหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลงั ส้นิ สดุ การทดลองใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกบั เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมอื ซง่ึ เกณฑ์ ประเมนิ ผ่านคอื ร้อยละ 75 เกณฑก์ ารตัดสนิ ประสิทธิภาพจากการทดลองใช้การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5e) ร่วมกับเทคนิคการเรยี นแบบร่วมมอื เม่อื เทียบกับเกณฑป์ ระสทิ ธิภาพที่ กำหนดขึน้ ว่า ถา้ ค่าร้อยละของคะแนนทีค่ ำนวณของ E1= 75±2.55 แสดงวา่ ประสทิ ธิภาพของ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311