ต่อมาวนั หน่ึง กรุงราชคฤห์มกี ารจัดงานมหรสพ ๗ วัน ๗ คนื สมุ นเศรษฐจี งึ ถามเขาว่า “จะไปเทยี่ วชมมหรสพหรอื รบั จ้างทำงาน” เขาตอบว่า “มหรสพเปน็ เรอ่ื งของคนรวย สว่ นเขาเป็นคนยากจน ขา้ วสาร กรอกหมอ้ ในรนั พรุง่ นยี้ ังไมม่ กี นิ จะขอรบั จา้ งทำงานเหมอื นกบั ทุกวนั ” สุมนเศรษฐีจงึ ให้งานไถนาแก่ เขา นายปณุ ณะรับวัวและไถมาแล้ว ก่อนจะออกจากบา้ น เขาได้บอก ภรรยาให้ทำอาหารเชา้ เป็นผักต้มมากกวา่ ทุกวันเปน็ สองเท่า แล้วให้นำไป ' สง่ เขาท่ีท้องนานอกเมอื ง ขณะน้นั พระสารีบตุ รเพง่ิ ออกจากการเขา้ นิโรธสมาบตั มิ าตลอด ๗ วนั เหน็ นายปุณณะปรากฏในข่ายญาณทัศนะของทา่ น กท็ ราบว่า เขาเปน็ ผู้มีศรทั ธาแรงกลา้ ถึงแมจ้ ะมืฐานะยากจนกต็ าม แต่หากเขาไดท้ ำบญุ กับทา่ นในเชา้ วนั น้ี เขาจะได้เปน็ มหาเศรษฐใี จบญุ ค้ําจุนพระพทุ ธศาสนา ตอ่ ไปในอนาคต ท่านปรารถนาจะอนุเคราะหใ์ หเ้ ขาพน้ จากความลำบาก ยากจน จงึ ลกุ จากทห่ี ลีกเรน้ เดนิ ไปหาเขาที่ท้องนา นายปณุ ณะเหน็ พระสารีบตุ รเดินมาแลว้ กร็ บี วางคนั ไถ กม้ กราบ ด้วยความเคารพ รบี ทำไมช้ ำระฟนั นำไปถวายทา่ น รบั บาตรและผ้ากรอง นาํ้ จากมือท่านแล้ว ก็รีบนำไปกรองน้าี ดื่มมาถวายทา่ น พระสารีบตุ รรออยูท่ ่ีน่ันสกั ครู่ ก็ทราบวา่ ภรรยาของนายปณุ ณะ เตรยี มอาหารเช้าเสร็จแลว้ กำลังเดนิ ทางเกือบจะถงึ ทอ้ งนาแลว้ ทา่ นจึง เดนิ ม่งุ หน้าตรงไปยงั กรงุ ราชคฤห์ สร้างปญั ญาเป็นทีม ๓๕๓ พระสารีบตุ รตน้ แบบการหมุนธรรมจกั รเปน็ ทีม kalyanamitra.org
ในระหว่างทางนน้ั เอง ภรรยาของนายปณุ ณะได้พบเห็นพระสารบี ุตร กำลงั เดนิ บิณฑบาต กไ็ ดค้ ดิ ขึน้ วา่ ‘การทำทานเป็นสิง่ ท'ี เกิดข้ึนได.้ 'ยาก สำหรบั เรา เพราะบางคร้ังมีเนอื้ นาบุญแตไ่ มม่ ไี ทยธรรมกท็ ำไม่ได้ มีไทยธรรมแต่ไม่มเี นื้อนาบุญกไ็ มไ่ ด้ทำ แต่วนั น้มี ีครบทั้งสองอย่าง เราควรทำบญุ ก่อนเถดิ ’ ภรรยาของนายปุณณะวางภาชนะใส่อาหารลง กม้ กราบพระสารบี ตุ ร แลว้ กล่าวนมิ นต์วา่ “พระคณุ เจ้าผู้เจรญิ ขอโปรดจงอยา่ คดิ ว่าภตั ตาหารน้ี เศร้าหมองหรือประณีตเลย จงทำความสงเคราะห์แกท่ าสผู้เคารพและ ศรทั ฑตอ่ พระคุณเจ้าด้วยเถดิ ” เมือ่ ภรรยาของนายปณุ ณะถวายภัตตาหารได้ครง่ึ หนึง่ พระสารีบุตร กฒ็วารงมาอื ะปหดิ ด์ บวี าันตรแณนาพี งจยงึ งกใลน่าว^ว^ิงว^อนวา่ “พระคณุ เจ้าผเู้ จริญ โปรดอยา่ ด้วยเถิด” พระสารีบตุ รกเ็ ปดิ บาตรออกใหน้ างใส่ภตั ตาหารอกี คร่งึ หน่ึง ลงไป ภรรยาของนายปณุ ณะถวายภัตตาหารเสรจ็ แล้วกก็ ลา่ ววา่ “ขอผลานสิ งสํแห่งบญุ น้ื จงสง่ ผลใหข้ า้ พเจา้ ไดบ้ รรลธุ รรมเช่นเดียวภับท่ี พระคุณเจ้าได้บรรลุแลว้ ดว้ ยเทอญ\" พระสารบี ุตรกล่าวอนโุ มทนาวา่ “ขอจงสมปรารถนาเชน่ นนั้ ทุกประการ” นางปลาบปลืม้ ปีตใิ นการถวายทานเปน็ อันมาก กม้ กราบแลว้ กร็ บี กลบั ไปบา้ น หงุ ขา้ วเตรยี มอาหารชุดใหมเ่ สร็จแล้ว ก็รีบไปส่งใหก้ บั สามี ท่ีกำลังรอคอยดว้ ยความหวิ อยู่ที่ทอ้ งนา พระสารบี ุตรต้นแบบการหมนุ ธรรมจักรเปน็ ทีม ๓๕ไอ สร้างปญั ญาเป็นทมี kalyanamitra.org
นายปณุ ณะยงั ไม่ไดท้ านอาหารเช้า ไถนาจนหมดแรง ภรรยาก็ยงั ไมม่ าจงึ ไปนั่งรอใตร้ ม่ ไม้ด้วยความหิวจนมอื ไม้สนั ภรรยาเพง่ิ กา้ วมาถงึ ทอ้ งนา เหน็ สามีน่งั รออยกู่ ร็ ู้วา่ หิวมาก ถ้าหากไมท้าให้อารมณ์ดกี อ่ น ก็จะเกดิ ความโมโหทวิ และลงมือทำร้ายตน การถวายทานดว้ ยภัตตาหาร ส่วนของสามีในเช้าวันนก้ี จ็ ะกลายเปน็ สญู เปล่า นางจึงรอ้ งบอกแต่ไกลด้วยถอ้ ยคำออ่ นหวานวา่ “พีจ่ า๋ พจ่ี งทำใจ ใหผ้ ่องใสสกั วนั หน่งึ เถิด อยา่ ได้ทำบญุ ใหญ่ท่ีฉนั ทำแล้วให้ไรป้ ระโยชน์ เม่ือเช้าฉนั ไดพ้ บกับพระธรรมเสนาบดี ไดถ้ วายภตั ตาหารแด่ทา่ น แลว้ กลบั ไปเตรยี มมาใหม่ ขอพี่จงทำจิตใหเ้ ล่อื มใสในบุญนน้ั เถดิ ” นายปุณถเะไดย้ ินดงั นั้น ก็ตกตะลึงคดิ ว่าตัวเองหูฝาด พอไดย้ ิน ภรรยาเลา่ ซา้ํ ก็ปลื้มใจในบุญนั้นเปน็ อนั ,มาก แล้วก็เลา่ การทำบญุ ในส่วน ของตน มีการถวายไมช้ ำระฟนั และน้าํ บว้ นปาก ใหภ้ รรยาฟังบา้ ง สองสามภี รรยาปลื้มอกปล้มื ใจกับบญุ ท่ไี ด้อุปฏั ฐากและถวายทาน แด,พระธรรมเสนาบดเี ปน็ อันมาก ฝายสามีรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็ลม้ ตัวนอนหนุนตกั ภรรยาหลบั ไปดว้ ยความอ่อนเพลียแต่ใจปลมื้ ในบญุ ครัน้ เม่ือนายปุณณะตื่นนอนขึ้นมา ก็ตอ้ งกระพรบิ ตาด้วยความตก ตะลงึ เมอื่ ทอ้ งนาทไ่ี ถไวเ้ ม่อื เชา้ ตรู่ ไดผ้ นั แปรเปลีย่ นเป็นทองคำ ทแี รก ยงั คดิ วา่ ตนเองตาฝาด จงึ สอบถามภรรยาก็ได้รับการยืนยนั วา่ เป็นเรอ่ื ง จรงิ เขายงิ่ ปลืม้ ใจในบุญ นึกถึงพระคุณของพระสารบี ตุ รเป็นอนั มาก สรา้ งปญั ญาเป็นทีม 0๕๓ พระสารบี ตุ รต้นแบบการหมุนธรรมจักรเปน็ ทมี kalyanamitra.org
ต่อจากนัน้ เขาไดน้ ำเรอื่ งนืไ้ ปแจง้ ตอ่ พระราชา เมอื่ ทำการแสดง ทรัพยส์ ินแลว้ ปรากฏวา่ ทองคำทงั้ หมดทีข่ นมาจากทอ้ งนา มปี รมิ าณมาก จนลน้ พระลานหลวง กองท่วมเป็นภูเขาสงู ข้นึ ไป ๘๐ ศอก เขาจึงไดร้ บั การแตง่ ตัง้ เป็นมหาเศรษฐที ี่รํ่ารวยที่สุดในกรงุ ราชคถห์ บญุ จากการถวาย ทาvXโ นายปณุ ณะและครอบครวั ไดฉ้ ลองตำแหน่งเศรษฐดี ว้ ยการ อาราธนาพระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆม์ าทำบุญถวายภัตตาหารที่ บา้ นเปน็ เวลา ๗ วัน หลังจากฟังพระบรมศาสดาแสดงธรรมแลว้ กบ็ รรลุ ธรรมเป็นพระโสดาบนั ทั้งครอบครัว หลังจากวนั น้นั ปณุ ณเศรษฐีและครอบครวั ก็ทำหน้าทเ่ี ปน็ มหา เศรษฐใี จบญุ คํ้าจนุ พระพุทธศาสนา เป็นกำลงั หลักในการอปุ ฏั ฐากดูแล พระภกิ ษุอยใู่ นกรงุ ราชคฤห์ และนี่ก็คอื หนง่ึ ตวั อยา่ งทเี่ ปน็ ต้นแบบการ ดำเนินชวี ิตประเสรฐิ ในการสรา้ งมหาเศรษฐรี ่นุ ใหม่ไวค้ า้ํ จนุ พระพทุ ธ ศาสนาของพระสารบี ตุ ร โดยมีท่านเป็นเนอ้ื นาบุญอนั ประเสริฐน่ันเอง สิ่งท่ีเกิดข้ึนต่อมาจากการทำงานของพระสารีบตุ รท้ัง ๖ ประการน้ี ก็คอื ทำให้พระพุทธศาสนามีขนุ พลนักสร้างบารมีรุ่นใหมเ่ พ่มิ มากขน้ึ ทง้ั ทเี่ ปน็ พระภิกษรุ นุ่ ใหม่ สามเณรรุ่นใหม่ มหาเศรษฐีใจบญุ รนุ่ ใหม่ และ ชาวพทุ ธรนุ่ ใหม่เพ่มิ ข้นึ มาในกองทัพธรรมเปน็ จำนวนมาก เมือ่ มีนกั สร้างบารมรี ุน่ ใหม่เพิม่ มากข้นึ ในพระพุทธศาสนา ก็แสดง วา่ การเผยแผ่พระพุทธศาสนามิได้จำกดั อยใู่ นระดับตัวบุคคลอกี แล้ว พระสารบี ุตรต้นแบบการหมุนธรรมจกั รเปน็ ทีม 0๕(1 สรา้ งปญั ญาเป็นทีม kalyanamitra.org
แตไ่ ดข้ ยายวงกวา้ งเขา้ ไปถึงระดบั สมาชิกครอบครัวของประชาชน ทกุ ระดบั ชน้ั คร้นั ต่อมาเม่อื การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาดำเนนิ มาถึงในพรรษาท่ี ๑๖ พระบรมศาสดาทรงเห็นวา่ พระสงฆส์ าวกมีจำนวนมากพอ จะกระจาย กนั ไปเผยแผ่ท่วั ทัง้ ชมพทู วีปแล้ว พระองคก์ ็ทรงแสดงธรรมเรื่อง ทศิ ๖ เพ่อื ประกาศใช้เปน็ ยุทธศาสตร์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซง่ึ มี หลักฐานปรากฏอยู่ใน สิงคาลกสตู ร5’ นอกจากพระสารีบตุ รแลว้ ในเวลาเดยี วกนั พระอสีติสาวกรปู อนื่ ๆ ก็ไดเ้ ดินทางไปเผยแผ่ยังแควน้ ต่าง ๆ พร้อมกบั นำ ยุทธศาสตรท์ ศิ ๖ น้ี ไปใชในการกอ่ ร่างสร้างสังคมพุทธทเ่ี รียกว่า ทศิ ๖ ตามคำสอนของ พระบรมศาสดาด้วย อานุภาพของทิศ ๖ ทางสงั คมนั้น อยูท่ ีก่ ารสร้างนกั สร้างบารมี รนุ่ ใหมท่ ่ีมีคุณภาพดีใหม้ ีจำนวนเพิม่ ขึ้นอย่างรวดเรว็ ในพระพทุ ธศาสนา ซึ่งเกิดจากการพัฒนาคุณภาพคนสามรุน่ ควบค่กู นั ไป นัน่ คือ ๑) คนรนุ่ เกา่ ตง้ั ใจฟิกตนเป็นทศิ ๖ ท่ีดขี องคนรนุ่ ใหม่ ๒) คนรนุ่ ใหมต่ ้ังใจฟิกตนให้ เป็นทศิ ๖ ที่ดีของคนร่นุ ตอ่ ไป ๓) คนรนุ่ ตอ่ ไปซง่ึ เปน็ ผลผลติ จากคณุ ภาพ ของทิศ ๖ รุ่นเก่าและรนุ่ ใหม่ ก็กลายเป็นนกั สรา้ งบารมชี าวพทุ ธที่มา กสืบอ่ ทนอนดเุ กคาโรหรXู่ มนธโรตรม'อจไกั ปรโใอหยพ้ รๆะพพุทธูจศบาสนาได้รบั การเผยแผจ่ ากคนรนุ่ ท.ี ปา.สงิ คาลกสตู ร (ไทย) ๑๑/๒๔๔-๒๗๔/๒๐๐-๒๑๘ สร้างปญั ญาเป็นทีม ๓๕๕ พระสารบี ุตรต้นแบบการหมนุ ธรรมจักรเปน็ ทมี kalyanamitra.org
ทง้ั นเี้ พราะผู้คนในสงั คมทมี่ ีความร้บผิดชอบต่อทิศ ๖ ทัง้ สามรุ่นนี้ จะมคี วามเข้าใจชัดเจนวา่ เม่อื เกดิ มาแล้วแต่ละคนตา่ งตอ้ งมีหนา้ ทอ่ี ะไร บา้ งทต่ี นจะต้องรับผิดชอบให้สมบรู ณถ์ ึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนดขี องสังคม หรือเป็นมติ รแทข้ องสังคม ขณะเดยี วกัน คนเกะกะเกเรทีเ่ ขา้ มาอยูใ่ นสงั คมน้ี หากไม่เลิกนิสัย เกเรกจ็ ะอยไู่ มไ่ ด้ เพราะถอื วา่ เปน็ ผไู้ ม,มีความรับผดิ ชอบต่อทศิ ๖ จดั เปน็ มติ รเทยี มของสงั คม ไม่มีใครอยากคบคา้ สมาคมด้วย จงึ ถูกบงั คบั ใหต้ ้องปรับปรุงแกไขนิสัยตนเองเพอื่ ความอยู่รอด ดง้ นัน้ ด้วยผลลัพธจ์ ากการท่ีคนส่วนมากในสงั คมทำหน้าท่ขี อง มิตรแทป้ ระจำทศิ ๖ นเี้ อง จึงทำให้สังคมนเี้ กิดเป็นเครอื ข่ายคนดคี อย ดูแลสารทุกข์สขุ ดบิ ซึ่งกนั และกันของสมาชิกในสังคมอยา่ งดเี ย่ยี ม ส่งผล ให้คนรุน่ ใหมท่ ีม่ าเกิดในสังคมนี้ มคี ณุ ภาพสงู ขน้ึ เร่ือย ๆ จนกระทั่ง ส่งผลให้ ๑) ผูท้ สี่ ามารถรับผดิ ชอบตอ่ หน้าทใี่ นทศิ เบอ้ื งล่างไดด้ ี กก็ ลาย เป็น มหาเศรษฐใี จบญุ ค้ําจุนระบบเศรษฐกจิ ขฮงสังคมพทุ ธ เพราะมีเครือ ข่ายคนดอี ย่ใู นทิศเบอ้ื งล่างเป็นจำนวนมาก ๒) ผูท้ ี่รับผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ขี องทศิ เบือ้ งกลาง คอื ทศิ เบ้อื งหน้า ทศิ เบ้อื งขวาทิศเบือ้ งหลงั ทศิ เบอื้ งซา้ ยได้อยา่ งดเี ยีย่ ม กก็ ลายเป็นมหา ปราชญ์ใจบญุ ผคู้ า้ํ จนุ ระบบการสกึ ษาของสงั คมพทุ ธ เพราะมีเครือขา่ ย คนดอี ย่ใู นทิศเบือ้ งกลางเปน็ จำนวน1มาก พระสารีบตุ รตน้ แบบการหมนุ ธรรมจกั รเปน็ ทีม ๑๕ไอ สรา้ งปญั ญาเป็นทมี kalyanamitra.org
๓) ผู้ท่ีรบั ผิดชอบตอ่ หน้าท่ีของทิศเบอ้ื งบนไดด้ ี ก็กลายเปน็ มหาสมณะใจบญุ ผดู้ ้าํ จุนระบบศลึ ธรรมของสังคมพุทธ เพราะมีเครือขา่ ย คนดีอยูใ่ นทศิ เบื้องบน ทศิ เบ้อื งกลาง และทศิ เบื้องลา่ งเป็นจำนวนมาก ผลทไี่ ดต้ ามมาจากยุทธศาสตร์การเผยแผ่ด้วยทิศ ๖ เข่นนี ก็คอื ปฏิรูปเทส ๔ (ถ่นิ ท่ีเหมาะสมแก'การทำความด)ี ซึ่งประกอบดว้ ย ๑) อาวาสเป็นท่ีสบาย ๒) ปจั จัย ๔ เปน็ ท่ีสบาย ๓) บุคคลเปน็ ท่ีสบาย และ ๔) ธรรมเปน็ ทส่ี บาย พระพทุ ธศาสนาจึงเจริญรงุ่ เรืองอย่างเต็มที่ในถ่นิ ท่ชี าวพทุ ธปฏบิ ตั ิ หน้าทขี่ องมติ รแท้ประจำทิศ ๖ อย่างดีเย่ยี ม จนเกิดเป็นปฏิรปู เทส ๔ น้ีเอง นค่ี ือวิธที ่ี ๓ ของการหมุนธรรมจกั รด้วยการใช้ยทุ ธศาสตร์ทศิ ๖ ซ่ึงเป็นส่ิงทข่ี ยายผลออกมาจากการตรวจวดั เปน็ กจิ วัตรประจำวนั และ คุณธรรมประจำตวั ของพระสารีบุตรและอสตี ิสาวกตามยทุ ธศาสตร์ทิศ ๖ จนเกดิ เป็นเครอื ข่ายคนดีในสงั คมชาวพทุ ธทเ่ี รียกวา่ ทศิ ๖ ตามคำสอน ของพระบรมศาสดานน่ั เอง สร้างปญั ญาเปน็ ทีม ๓๕๗ พระสารบี ตุ รตน้ แบบการหมนุ ธรรมจกั รเป็นทีม kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
»• I การหมนธรรมจักรด้วยการปอ้ งกนั ภยั อนั ตราย แกพระพทธศาสนา kalyanamitra.org
๔. การหมุนธรรมจักรดว้ ยการปอ๋ งกันภยั อนั ตรายใหแ้ กพ่ ระพุทธศาสนา ในชว่ งต้นพุทธกาล พระพุทธศาสนายงั ไมแ่ พรห่ ลายออกไปทั่ว ทกุ แคว้น พระสารีบตุ รคอื พระอคั รสาวกผมู้ ีบทบาทสำคญั มากทสี่ ุด ในการวางมาตรการปอ้ งกันปัญหาภัยภายในพระพทุ ธศาสนาไวล้ ่วงหนา้ การทำงานเผยแผ่ของพระบรมศาสดาจึงเบาแรงลงมาก การหมุนกงล้อ ธรรมจกั รด้วยกำลงั ของกองทพั ธรรมจงึ เดนิ หนา้ ไปไดโดยสะดวก วธิ กี ารป้องกนั ภยั อันตรายใหแ้ กพ่ ระพุทธศาสนาของพระสารบี ุตร น้นั สามารถยกตวั อยา่ งพอเป็นสงั เขปได้ดงั นี้ ๔.® วางแนวทางสงั คายนาพระสตู รเพอื่ ความยั่งยนื ของ พระพทุ ธศาสนา ในพรรษาท่ี ๕ ของยคุ พทุ ธกาล พระบรมศาสดานำหม1ู สงฆ์ไป เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาท่เี มืองปาวา นครหลวงของแคว้นมลั ละ ขณะนัน ไดเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่ขึน้ นิครนถ์นาฏบุตร เจ้าของลัทธกิ าร ทรมานตน ผู้เปน็ หนง่ึ ในครูทงั้ ๖ ทม่ี ีชอ่ื เสยี งในยุคนัน้ ไดเ้ สยี ชีวติ ลง ทำให้ ศิษยส์ าวกเกดิ การทะเลาะววิ าท บาดหมางกนั แตกเปน็ สองนกิ าย สาวกทง้ั สองฝ่ายน้นั ตา่ งกล่าวหากันและกันว่าอีกฝ่ายเปน็ ผ้ไู มร่ ู้ ทั่วถึงคำสอนของศาสดา เปน็ ผปู้ ฏบิ ัติผิด ส่วนตนเป็นผ้ปู ฏบิ ัตถิ กู พวกคฤหสั ถ์ที่บำรงุ เล้ียงนักบวชชเี ปลือยเหล่านนั้ เหน็ ความแตกแยกน้ันแลว้ ต่างกพ็ ากนั เสอ่ื มศรทั ธา ไมเ่ ชือ่ ม่นั วา่ คำสอนของนคิ รนถ์นาฏบตุ รเปน็ พระสารีบตุ รตน้ แบบการหมุนธรรมจกั รเป็นทีม ๑๖๐ สรา้ งปัญญาเป็นทมี kalyanamitra.org
สิง่ ที่ถกู ตอ้ งจรงิ ดบั ทกุ ขไ์ ด้จรงิ พงึ่ พิงไดจ้ รงิ มฉิ ะน้นั สาวกชัน้ หลงั คง „ ไมท่ ะเลาะกันเพอื่ แยง่ ชิงความเปน็ ใหญ่จนแตกแยกเปน็ สองนิกายเช่นนี้ พระสารบี ตุ รทราบเร่อื งความแตกแยกของพวกสาวกนิครนถ์ นนั้ แลว้ กน็ ึกห่วงใยในพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา ซงึ่ เปน็ มรดก ธรรมท่กี วา่ จะค้นพบได้ กต็ อ้ งใช้เวลาบำเพญ็ เพยี รยาวนานถงึ ๒๐ อสงไขย ๑ แสนมหากปั ทา่ นจงึ คิดจะทำสังคายนาเพอ่ื รวบรวมคำสอน ของพระบรมศาสดาใหเ้ ป็นหมวดหมู่ เพือ่ ป้องกนั มิให้พระสงฆส์ าวก ทะเลาะกันว่าใครถูกใครผิด หลังจากพระบรมศาสดาปรนิ พิ พานแล้ว พระพุทธศาสนาจะไดม้ อี ายยุ ัง่ ยืนนาน มนษุ ย์และเทวดาทัง้ หลายกจ็ ะได้ รับประโยชน์ ไดร้ ับความสุข ได้รับอนุเคราะห์ ไดร้ ับการเกื้อกูลจาก พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาทป่ี ระกาศไว้ดแี ลว้ เมื่อทา่ นแจ้งความประสงคใ์ นการทำสังคายนาแก'หมู่สงฆ์แลว้ ทา่ นก็เริม่ ทำสังคายนาไปทลี ะหมวด ตัง้ แตห่ มวด ๑ จนถงึ หมวด ๑๐ เมือ่ ทา่ นทำสงั คายนาไวเ้ ปน็ แนวทางจบลงแล้ว พระบรมศาสดาก็ตรสั ชมว่า “ดูก่อนสารบี ตุ ร ดแี ล้ว ดแี ลว้ เธอได้ภาษติ สงั คตี ปิ รยิ ายแก่ภกิ ษุทั้งหลาย เป็นการดแี ล้ว”๑ พระภกิ ษุต่างพากนั ชนื่ ชมการทำสังคายนาของ พระสารีบตุ รเปน็ อันมาก ตอ่ มาหลงั จากพระบรมศาสดาเสด็จดับขนั ธปรินิพพานไปแล้ว พระมหากสั สปะ พระอานนท์ พระอุบาลี ก็ไดใ้ ชแ้ นวทางของพระสารีบตุ ร จัดหมวดหมคู่ ำสอนของพระบรมศาสดาในการทำปฐมสงั คายนาครงั้ ท่ี ๑ ออกมาเป็นพระไตรปิฎกไดส้ ำเร็จ ° ที.ปา.สังคีติสูตร (ไทย) ๑๑/๓๔๙/๓๖๖ สร้างปญั ญาเป็นทีม ๑'อG) พระสารมี ดุ รต้นแบบการหมุนธรรมจกั รเป็นทีม kalyanamitra.org
๔.๒ เรยี นพระอภธิ รรมจากพระบรมศาสดาและสอนใหแ้ พร่ . หลายออกไป ในพรรษาที่ ๗ ของยคุ พุทธกาล พระบรมศาสดาไดเ้ สดจ็ ไปโปรด เทวบตุ รพุทธมารดาทสี่ วรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์ และได้แสดงพระอภิธรรมโดย ละเอยี ดเปน็ เวลา ๓ เดอื น ซึง่ กม็ ที ั้งเทวดา และพรหม ประมาณแสนโกฏิ จากหมน่ื จักรวาล มาร่วมฟงั เป็นอนั มาก ทกุ วนั ที่พระองคเ์ สด็จไปบณิ ฑบาตทอ่ี ุตตรกรุ ุทวปี และกลบั มา เสวยภตั ตาหารทป่ี าไม้จนั ทร์ ใกลส้ ระอโนดาต ในปาทิมวันต์ เสรจ็ แล้ว พระสารีบุตรจงึ เขา้ เผืา พระองค์ได้ทรงสรปุ พระอภธิ รรมใหพ้ ระสารบี ุตร ฟงั แบบวนั ต่อวนั แล้วเสดจ็ กลับดาวดงึ ส์ สว่ นพระสารีบตุ รก็กลบั ไปแสดง พระอภธิ รรมให้พระลกู ศิษย์ ๕๐๐ รปู ไดฟ้ งั และบรรลธุ รรมเป็น พระอรหันต์ หลงั จากนัน้ การสอนพระอภิธรรมกไ็ ด้รบั การถ่ายทอดอยา่ ง แพรห่ ลายไปในหมสู่ งฆ์ท่ัวทั้งชมพูทวปี เม่อื ถงึ คราวทห่ี มสู่ งฆ์สาวกทำปฐมสงั คายนา พระไตรปฎิ กจึงครบ องค์สาม ท้งั พระวินัย พระสตร พระอภิธรรม โดยมีพระสารบี ตุ รเปน็ มว้ างแนวทางไว51เ^คตCทธ^^^ พระสารีบตุ รตน้ แบบการหมนุ ธรรมจกั รเป็นทมี ๑'อ1© สรา้ งปัญญาเป็นทมี kalyanamitra.org
๔.ฅ กราบทลู ใหพ้ ระบรมศาสดาทรงบัญญตั ิพระวินยั ปกครองสงฆ์ . ในพรรษาที่ ๑๒ ของยคุ พุทธกาล พระบรมศาสดาทรงพาหมูส่ งฆ์ ไปเผยแผ่พระธรรมคำสอนท่ีแควน้ วชั ชี ซง่ึ ขณะนนั้ ได้เกดิ ปัญหาภยั แลง้ ขาดแคลนอาหารอยา่ งหนัก ผ้คู นอดอยากลม้ ตายเปน็ อนั มาก โครงกระดกู เกลอื่ นกลาดตามทอ้ งถนน ทำใหห้ มูส่ งฆเ์ องก็ประสบปัญหาบณิ ฑบาต ฝดื เคืองไปด้วย จนกระทงั่ ตอ้ งฉนั ข้าวแดงเลย้ี งม้าทพ่ี อ่ ค้ามา้ นำมาถวาย เพอ่ื ปะทงั ชีวติ ตลอดฤดเู ข้าพรรษา ในชว่ งเวลานั้น พระสารีบุตรเกดิ ความเปน็ หว่ งใยวา่ พระพทุ ธ ศาสนาจะอายสุ ัน้ เพราะปญั หาการบิณฑบาตฝดื เคืองเช่นนี้ อาจทำให้ พระภกิ ษุสงฆ์ละท้ิงความมกั น้อยสันโดษไปเลีย้ งชีพในทางที่ผดิ ประพฤติ หลอกลวงเพื่อลาภสกั การะ อันเป็นเหตุให้ประชาชนเลอ่ื มศรัทธา ทา่ นจงึ กราบทลู วงิ วอนให้พระบรมศาสดาบัญญัตพิ ระวนิ ัยเพอ่ื ความย่งั ยืนของ พระพทุ ธศาสนา พระบรมศาสดาทรงเห็นดว้ ยกบั พระสารีบุตรในเรือ่ งน้ี แตท่ รงให้ รอเวลาออกไปก่อน โดยทรงเล่าใหฟ้ งั วา่ ศาสนาของพระสมั มาสมั พุทธเจ้า ในอดีตทั้ง ๖ พระองคน์ ้นั มที ้งั อายสุ ั้นและอายยุ ืน คือศาสนาของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า พระสิขีพทุ ธเจา้ พระเวสภพู ุทธเจ้า ไมม่ ีการบญั ญัติพระวินยั จึงอายุสั้น ส่วนศาสนาของพระกกสุ นั ธพทุ ธเจ้า พระโกนาคมน พุทธเจ้า พระภัสสปพุทธเจา้ มีการบญั ญตั ิพระวินยั จึงอายยุ ืน๑ แต่การ ๑ ว.ิ มหาวิ.เวรัญชกณั ฑ์ (ไทย) ๑/๑๘-๒๐/๑๐-®๒ เหตุที่ทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยนู่ าน และไมน่ าน สรา้ งปญั ญาเปน็ ทีม ๓'อ๓ พระสารีบตุ รตน้ แบบการหมุนธรรมจักรเปน็ ทีม kalyanamitra.org
บัญญตั พิ ระวินัยเพ่ือใชบ้ รหิ ารปกครองสงฆ์น้ัน จำเปน็ ต้องรอเวลาให้ พระพทุ ธศาสนามีหม่สู งฆม์ ากกว่านี้ และมีเหตกุ ารณ์อันสมควรบังเกิด ขน้ึ ก่อน นนั่ คอื ต้องมบี ุคคลตน้ บัญญัติ ๔ ประ๓ท ไดแ้ ก่ ๑) ผบู้ วชมา นานแตไ่ ม่!เกตน ๒) ผู้บวชแลว้ ไมม่ ใี ครสอน ฅ) ผบู้ วชแลว้ ไมร่ ูป้ ระมาณ ๔) ผ้บู วชแล้วเปน็ ปริยัตงิ ูพิษ® ท่บี วชเช้ามาสรา้ งความมวั หมองใน พระพุทธศาสนาแล้ว เมอื่ น้นั พระบรมศาสดาจงึ อาศยั ปญั หาต่าง ๆ ท่ี บุคคลตน้ บัญญัตกิ ่อขนึ้ ทำการบญั ญัติพระวนิ ัยดว้ ยความชอบธรรม การบญั ญัตพิ ระวนิ ัยดว้ ยความรอบคอบดงั กล่าว ยอ่ มเปน็ เหตุ ให้พระสงฆส์ าวกในชั้นหลังทมี่ าจากตา่ งชอื่ ต่างตระกลู ตา่ งวรรณะ ได้ เข้าใจสาเหตุทม่ี าของการบัญญัติพระวนิ ัยแตล่ ะขอ้ เมอื่ นนั้ ก็จะเกดิ การ ยอมรบิ ว่าพระวนิ ยั แตล่ ะขอ้ เปน็ การบัญญตั ขิ ึน้ โดยอาศยั ธรรมเปน็ ใหญ่ เพือ่ ความผาสกุ ของหมสู่ งฆอ์ ย่างแท้จรงิ พระวนิ ัยจึงมีความศกั ด็สิทธ มากพอ ที่จะทำใหห้ มู่สงฆช์ ัน้ หลงั เกดิ การยอมริบและปฏิบัติตามพระวินัย ด้วยความรบั ผิดชอบอยา่ งเครง่ ครัด และใหค้ วามเคารพรักในพระบรม ศาสดาอย่างเต็มใจ พระสัทธรรมจงึ จะเกดิ ความตัง้ มัน่ อยู'ในใจของแต่ละ บุคคลอยา่ งแท้จรงิ พระพทุ ธศาสนาจึงจะอายยุ ืนยาว แต่ในขณะน้ี หมู่ สงฆท์ ม่ี คี ณุ ธรรมช้นั ต่าํ ก็คอื พระโสดาบัน เป็นผูบ้ รสิ ทุ ธผดุ ผอ่ งตงั้ อยู่ใน คณุ ธรรม เปน็ ผูเ้ มม่ เี สนียดไม่มีโทษ จงึ ยังไม่ถึงเวลาทคี่ วรแกก่ ารบัญญตั ิ พระวนิ ยั “ ว.ิ มหาว.ิ เวรญั ชกัณฑ์ (ไทย) ๑/๒๑/®๓-®๔ ทรงปรารภเหตใุ ห้บญั ญตั ิสิกขาบท พระสารีบุตรตน้ แบบการหมุนธรรมจักรเป็นทีม ๑'อร' สร้างปัญญาเป็นทมี kalyanamitra.org
จากเรอ่ื งดงั กลา่ วนแ้ี สดงให้เห็นวา่ พระสารีบุตรเป็นผมู้ คี วามห่วงใย, ต่อพระพทุ ธศาสนาอย่างย่งิ ปญั ญาของท่านมองเห็นการณ์],กลอยเู่ สมอ พยายามหาทางปอ้ งกนั ภัยอันตรายใหแ้ กพ่ ระพทุ ธศาสนา เพือ่ เบาแรง การทำงานให้กับพระบรมศาสดาอย่ตู ลอดเวลาสมกับโพธิสัตวภ์ าษิตที่ว่า “ธรี ชนควรระแวงภัยท่คี วรระแวง ควรระวงั ภัยทย่ี งั ไมม่ าถึง ธรี ชนย่อมพจิ ารณาเห็นโลก’ทั้ง ๒ เพราะภยั ในอนาคต”• นค่ี ือวธิ ที ่ี ๔ การหมนุ ธรรมจกั รดว้ ยการปอ้ งกนั ภยั อนั ตรายให้แก่ พระพุทธศาสนาทีข่ ยายผลมาจากการหมนุ ธรรมจกั รดว้ ยกิจวัตรในชวี ิต ประจำวัน ดว้ ยคณุ ธรรม ดว้ ยการสร้างทิศ ๖ ของพระสารีบตุ รน่นั เอง .ชา.โกฎสิมพลชิ าดกท ๗ (โทย) £๙/๑๐๙๒/๓๙๖ สร้างปญั ญาเป็นทีม ๑ไอ๕ พระสารบี ตุ รตน้ แบบการหมนุ ธรรมจักรเปน็ ทีม kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
ภยั อันตรายของพระพทุ ธศาสนา เม่อื การหมุนธรรมจักรด้วยกำลงั ของพระบรมศาสดาเอง และ การหมุนธรรมจักรด้วยกำลงั ของพระอสีตมิ หาสาวกท้ัง ๘๐ รูป เดินหนา้ อยา่ งเต็มกำลงั พระพทุ ธศาสนาทีแ่ ต่เดิมไม,มีใครร้จู ักก็เจรญิ รงุ่ เรือง อย่างเตม็ ท่ี กลายเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่กวา่ ทกุ ลัทธิความเชอ่ื ในยุค พทุ ธกาล แตก่ ารเติบโตเป็นองคก์ รใหญ่ของพระพุทธศาสนาน้ีเอง ทำให้ หลีกเลีย่ งไม่ได้ที่จะเกิดปัญหาตามมา ๒ ประการ ไดแ้ ก่ kalyanamitra.org
ปญั หาภยั ภายใน โดยมีสาเหตุจากการกระทบกระท่งั ระหว่าง สมาชกิ ที่มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและพระพุทธศาสนากับสมาชิก ท่ไี มม่ ีความรบั ผิดชอบต่อตนเองและพระพทุ ธศาสนา ปญั หาภัยภายนอก โดยมีสาเหตุหลกั จาก ๑. ความขัดแยง้ ระหว่าง คำสอนของพระพทุ ธศาสนากบั ลทั ธิหรือศาสนาอ่ืนท่ีอาศยั การเมือง การปกครองเป็นเครอ่ื งมอื ๒. อบายมขุ ๖ พระบรมศาสดาทรงทราบถงึ ปญั หาท้ัง ๒ ประการนี้ ลว่ งหน้าตัง้ แต่ ยังไมส่ ่งสาวกออกไปเผยแผ่แลว้ แตก่ ม็ ไิ ด้ทรงนำปญั หาเหลา่ นี้มาเป็น ขอ้ แม้เงอื่ นไขในการที่จะไม่เผยแผ่พระพุทธศาสนาแมแ้ ตน่ อ้ ย เพราะทรง เลง็ เห็นประโยชนท์ ่ชี าวโลกจะได้รบั โอกาสในการฟง้ พระธรรมคำสอนจาก การตรัสรูธ้ รรมของพระองคว์ ่ามีมากกวา่ การทำงานเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาจึงมีลกั ษณะ โดดเดน่ เปน็ เอกลกั ษณ์ไม่เหมอื นใคร น่นั คอื ทำงานไปด้วย ฝกึ คน ไปด้วย แก้ปญั หาไปด้วย โดยทรงใช้ปัญหาต่าง ๆ ท่เี กดิ ข้นึ ขณะน้ัน ๆ ให้เป็นประโยชน์ในการฝึกฝนสาวกรุ่นหลงั ให้เปน็ ผู้ชาญฉลาดในการ เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาสบื ต่อจากพระองคน์ นั่ เอง ภยั อนั ตรายของพระพทุ ธศาสนา ๓๗๐ สร้างปัญญาเป็นทึม kalyanamitra.org
พระภกิ ษุท่กี อ่ ปญั หาการปกครองขึ้น ในหมู่สงฆน์ นั้ พระบรมศาสดาตรัสเรียกว่า “ต้นบญั ญัติ” แบง่ ออกเปน็ ๔ ประเภท ได้แก่ ผบู้ วชมานานแตไ่ ม่ฝึกตน ผบู้ วชแลว้ ไม่มีใครสอน ผบู้ วชแลว้ ไมร่ ปู้ ระมาณ ผบู้ วชแล้วเปน็ ปรยิ ัตงิ พู ษิ kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
๑. ปญั หาภยั ภายในพระพทุ ธศาสนา ในยุคพทุ ธกาล เม่อื พระพุทธศาสนาเจริญรงุ่ เรอื งอยา่ งเตม็ ท่ี วัดวาอารามได้เกิดขึ้นมากมายในอาณาจกั รของ ๑๖ แควน้ ใหญแ่ ละ ๗ แคว้นเลก็ มที ้ังวัดในเมอื งหลวง วัดรอบเมอื งหลวง วดั ในนิคม วดั ในหมู่บา้ น วดั ในปา กระจายอยทู่ ุกหนแหง่ ท่วั ทงั้ ชมพทู วปี การท่ีพระพุทธศาสนามพี ระภกิ ษสุ งฆ์กระจายอยูในวดั วาอารามเปน็ จำนวนมากรปู เช่นน้ี ทำใหเ้ กดิ ปัญหาอปุ ชั ฌาย์อาจารย์ในแตล่ ะวดั ปลูกฝงั ความรบั ผิดชอบต่อตนเองและพระพุทธศาสนาใหแ้ ก’คิษยข์ อง แต่ละวัดได้ดีไมเ่ ทา่ กัน เมอื่ สาวกรุน่ หลงั ในแต่ละวดั มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ พระพุทธศาสนา ไดไ้ ม่เท่ากนั เชน่ นี้ จึงกลายเปน็ สาเหตุให้เกดิ ปัญหาขึน้ มา ๓ ประการ ได้แก่ ๑) ปญั หาการปกครอง ๒) ปญั หาการอบรมสมาชกิ องค์กร ๓) ปัญหาการสร้างความสามคั คใี นองคก์ ร โดยปัญหาแตล่ ะขอ้ มรี ายละเอยี ดท่ีควรสนใจศกึ ษาดงั นี้ ภัยอนั ตรายของพระพุทธศาสนา สร้างปัญญาเปนทมี kalyanamitra.org
๑.® ปญั หาการบริหารปกครอง พระภิกษุทก่ี อ่ ปัญหาการปกครองข้ึนในหม่สู งฆ์น้นั พระบรมศาสดา ตรัสเรยี กว่า “ตน้ บญั ญัต”ิ แบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท ได้แก่ ผบู้ วชมานาน แตไ่ ม่ฟกิ ตน ผู้บวชแลว้ ไม่มีใครสอน ผบู้ วชแลว้ ไม่รู้บ่ระมาณ ผูบ้ วชแล้ว เปน็ ปริยัตงิ ูพิษ ๑) ผู้บวชมานานแต่ไม่ฟกิ ตน พระภิกษุกลมุ่ นเ้ี มื่อบวชเขา้ มาในพระพุทธศาสนาแลว้ กไ็ มต่ งั้ ใจ ฟิกหัดขดั เกลาตนเองเพื่อปราบกเิ ลสใหส้ ิน้ เชือ้ ไมเ่ หลอื เศษ กลับปลอ่ ย วนั เวลาใหล้ ่วงเลยไปดว้ ยการท่องเที่ยวไปในทอ่ี โคจร ไม่สำรวมอินทรีย์ ไมม่ ักน้อยลันโดษ ไมบ่ ำเพญ็ ภาวนา ไมส่ นใจธรรมเนยี มปฏิบตั ขิ องสงฆ์ ไม่ศกึ ษาเลา่ เรยี นพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา จึงเป็นผู้ท่ี ปแรยะกโแยยชะนไ์แมป่ไน็ ดโ้วท่าษสิง่ สใดิงถนกค-ผวดิ โhสไิง่ มใ่คดวดร-ี ทช่า่ัว สิง่ ใดบุญ-บาป สงิ่ ใดเปน็ พระภิกษุกลมุ่ นี้ เมือ่ บวชเขา้ มาใหม่ ๆ ก็มักก่อปญั หาการกระทบกระท่ัง กับพระอรหันตแ์ ละพระภิกษทุ ่ีตง้ั ใจฝกึ ตนปราบกิเลสอย่เู ปน็ ประจำ ครน้ั ต่อมาเมือ่ บวชไปนาน ๆ จนกลายเป็นพระเถระพรรษาสง มเิ พียง ไมส่ าLXธแป็นต้นแบบนดี ใี หไเก3่ ฬ ใหพ้ ระรนุ่ หลังประพฤตเิ สอ่ื มเสยี เหมือนกับตนตามมาอกี ดว้ ย ทา่ ใหเ้ กดิ ปัญหาว่นุ วายตา่ ง ๆ ตามมามากมายในการปกครองสงฆ์ ก่อความเสอ่ื มเสยี ใหแ้ ก่พระพทุ ธศาสนา อีกทงั้ ยังทำให้ประชาชนเส่ือมศรทั ธา อันเปน็ สร้างปญั ญาเปน็ ทีม 0๗๕ ภัยอนั ตรายของพระพทุ ธศาสนา kalyanamitra.org
เหตใุ ห้พระบรมศาสดาต้องตามบญั ญตั พิ ระวินยั เพือ่ แกป้ ัญหาท่ีพระภกิ ษุ กลมุ่ นก้ี อ่ ทงิ้ ไว้อย่างมากมาย ยกตวั อย่างเชน่ กรณีของพระฉัพพคั คยี ๑์ กล่มุ ภกิ ษเุ กเร ๖ รูป ผู้ก่ลแตป่ ัญหาไม่สนิ สุดจนกลายเป็นด้นบัญญัตพิ ระวินัยในพระปาฏิโมกข์ ถึง ๑๒๘ ขอ้ จากท้งั หมด ๒๒๗ ขอ้ (มากกวา่ ครึง่ ) ภูมหิ ลงั กอ่ นบวช เดมิ ทที ง้ิ ๖ คน เปน็ เพอื่ นรกั กนั มีบ้านอยู่ ในเมืองสาวตั ถี มอี าชีพทำไรไ่ ถนา มีฐานะยากจน มีความรู้น้อย ไมร่ จู้ กั มารยาทการเขา้ ลงั คม เม่ือบวชแล้วไมร่ ักการฝกึ ตวั ไม่รปู้ ระมาณ ไม่รู้ ท่ีต่าํ ทส่ี ูง ไม่รกู้ าลเทสะ ไม่รูค้ วรไมค่ วร ชอบเลน่ คะนอง ชอบวางกา้ มแยง่ ท่ีพักพระบวชใหม่ บางครง้ั กก็ ลัน่ แกลง้ จนพระบวชใหมร่ ้องไห้ กลายเป็นตน้ บญั ญตั ิให้พระบรมศาสดาต้องตามแกป้ ัญหาอยู่เป็นประจำ เม่ือพระฉัพพ้คคยี ์บวชครบห้าพรรษาแล้ว ได้รับลูกศิษย์ไว้เปน็ จำนวนมากถึง ๑,๕๐๐ รปู เวลาจะไปพกั ในสถานที่แห่งใด พวกลกู ศิษย์ ของตนกร็ ีบเดินทางลว่ งหน้าไปจบั จองทพ่ี กั ไวใิ ห้พวกตนและอุปชั ฌาย์ อาจารย์ของพวกตนก่อน ทำใหพ้ ระสารีบตุ รซงึ่ เปน็ พระอัครสาวกเบอ้ื งขวา ผมู้ ีพรรษากาลแก่กวา่ แตเ่ ดนิ ทางมาถงึ ท่พี กั ทหี ลงั ตอ้ งพบความลา่ บาก ไม่มที พี่ กั คา้ งแรม ท่านจงึ เดนิ จงกรมตลอดทงั้ คืน๒ ต่อมาเมอื่ พระพทุ ธองค์ทรงทราบเรือ่ งน้ี จงึ ทรงอาศยั เหตุน้ี กำหนด พระวินัยในการตอ้ นรับ การดแู ล การจัดที่พัก การแบ่งปันปจั จยั ๔ ’ วิ.มหาวิ.อ.ประวตั พิ วกภกิ ษฉุ พั พัคคีย์ (ไทย) ๓/๖๓®-๖๓๓ ๒ ช.ุ ชา.อ.ตติ ติรชาดก (ไทย) ๕๕/๓๕๐ ภยั อันตรายของพระพุทธศาสนา ๑๓เาอ สร้างปญั ญาเปน็ ทีม kalyanamitra.org
ด้วยความเคารพกันตามลำดบั อาวโุ ส® การปกครองสงฆ์จึงเรม่ิ ลงตวั มา „ ตามลำดบั ๆ ด้วยการบญั ญัตพิ ระวนิ ัยเพื่อจดั ระเบียบการอยู่รว่ มกันใน องคก์ ร (ภายหลังพวกพระฉพั พัคคีย์ตอ้ งอาบัติปาราชกิ ขอ้ ๒ เพราะ ลกั ห่อผ้าของช่างย้อม)๒ ๒) ผู้บวชแล้วไมม่ ีใครสอน พระภิกษกุ ล่มุ น้ีเมอ่ื บวชเข้ามาในพระพทุ ธศาสนาแล้ว มเี หตุปจั จยั หลายประการบ1ี ลำฒด้ร้บการอบโมน^ชฌฬ0าจารย์ ยกตัวอย่างเปน็ ลังเขปดงั น้ี ๒.®) บางรปู ต้งั ใจบวชด้วยศรทั ธา แต่อปุ ชั ฌาย์อาจารยม์ ภี ารกิจ มาก จงึ ไม่มเี วลาอบรมสง่ั สอนอยา่ งเตม็ ที่ หรือได้อุปชั ฌาย์อาจารยเ์ ป็น คนโง่เขลา ไม่ฉลาดในพระธรรมวนิ ัย ทำใหไ้ ม่รวู้ า่ สิ่งใดที่พระภกิ ษุทำได้ และสิ่งใดท่ีพระภิกษุห้ามทำ จงึ เปน็ เหตใุ หก้ อ่ ความผดิ พลาดตอ่ พระธรรม วนิ ยั หรือต่อสมณเพศของตน เพราะไมไ่ ด้รับการศกึ ษาเล่าเรียนท่ีดี ๒.๒) บางรปู ยังไมพ่ ้นการถอื นิสสัย ยงั ไม่ไดท้ ันจะได้เรยี นธรรม วนิ ยั ด้วยดี แตอ่ ปุ ัชฌายอ์ าจารย์หลีกไปทอี่ ่นื บา้ ง ลาสกิ ขาไปก่อนบา้ ง มรณภาพบ้าง ไปเขา้ รตี เดยี รถีย์บา้ ง จึงกลายเป็นศษิ ยก์ ำพร้าไร้สงั กดั ไรอ้ ปุ ชั ฌาย์อาจารย์ กลายเป็นพระภกิ ษพุ เนจร ร่อนเรไ่ ปท้ังในทโ่ี คจรและ อโคจร ไมม่ ที ่อี าศัยอยู่เปน็ หลกั แหลง่ หรือพากันลาสิกขา (สกึ ) บา้ ง ว.ิ จ.ุ เรองความเคารพ (ไทย) ๗/๓๑๐/๑๒๑-๑๒๒ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๑/๙๐-๙๑/๗๙-๘๐ สรา้ งปัญญาเปน็ ทมึ ๓๗๗ ภยั อนั ตรายของพระพุทธศาสนา kalyanamitra.org
๒.๓) บางรูปบวชเข้ามาแล้วแต่มีศรัทธาและปัญญาน้อย มีนิสัย ๘ ว่ายากสอนยากมาต้งั แตก่ อ่ นบวช ไมย่ อมรบั ฟง้ คำสงั่ สอนของอุปัชฌาย์ อาจารย์ ในทส่ี ุดก็ไมม่ ีใครว่ากลา่ วตักเตือน จึงกลายเป็นพระภกิ ษุด้ือร้ัน ชอบทำตามใจตนเอง ใครเตอื นก็ไม,ฟัง สรา้ งแตป่ ัญหาเสือมเสียและ ปญั หากระทบกระทัง่ ไปตลอดทาง ยกตวั อยา่ งเชน่ กรณขี องพระอทุ ายผี ู้หมกมุ่นในกาม*เป็นตน้ บัญญัติ พระวนิ ัยในพระปาฏโิ มกข์ ๑๒ ข้อ โดยแบ่งเป็นเรื่องข้สาว ๑๐ ข้อ วางตัวไมเ่ หมาะสม ๑ ข้อ เบียดเบยี นชวี ติ สตั ว์ ๑ ขอ้ ภูมหิ ลังก่อนบวช ทา่ นเคยเป็นนายขมังธนู ผชู้ อบยงิ อีกามาเสียบ ประจาน ฝีมอื ธนูดดี ุจจบั วาง ฝมี อื ก่อสร้างดี ฝีปากดี เสอื ผ้หู ญิงเก่า มีนสิ ัยมกั มากในกาม เม่ือบวชแล้วก็ไมเ่ ลกิ นสิ ัยเก่า ชอบลวนลามผู้หญงิ ทัง้ พระอรหนั ตเ์ ถรี ภิกษุณบี วชใหม่ หญิงโสด หญิงหมา้ ย หญิงที่มีสามีแลว้ และภรรยาเกา่ เขา้ ทำนองนกั เลงใหญไ่ ม่กลวั ใคร พอมาบวชแล้วข้าวของ ญาติโยมกจ็ ะกนิ สมบัติของญาตโิ ยมกจ็ ะเอา ลกู เมียของญาตโิ ยม กจ็ ะลวนลาม ไม'ตง้ั ใจฝึกตนตามพระธรรมวนิ ัย (ไม่พบหลกั ฐานว่า พระอทุ ายบี รรลเุ ปน็ พระอรหนั ต)์ ๒.๔) บางรปู บวชดว้ ยศรัทธาและตงั้ ใจฝึกตนอย่างดีแต่มีปญั ญา น้อยและไมไ่ ดอ้ าศัยอยู่กับอุปชั ฌายอ์ าจารย์ เมอ่ื ถกู ปัญหาทางโลกตาม มารบกวน จงึ ไม่มคี วามรูธ้ รรมะในการรกั ษาตน ไมม่ ีอุปัชฌายใ์ หห้ ลกั คิด เตอื นสติ ไม่มีอาจารยใ์ ห้คำปรึกษาแนะนำ ไมม่ ีหมู่คณะให้การประคับ ๑ วิ.มหาว.ิ เรอื่ งพระอทุ ายี (ไทย) ๒/๓๘๒-๓๘๓/๕๐๑-๕๐๒ ภัยอ้นตรายของพระพุทธศาสนา ๑๗G สร้างปัญญาเปน็ ทีม kalyanamitra.org
ประคอง ผลสดุ ท้ายจงึ ทนแรงบีบค้นั จากปญั หาทางโลกไม่ไหว บางราย ก็สกึ หาลาเพศไป บางรายกก็ ่อเหตรุ ้ายแรงถึงข้นั ปิดค้นั มรรคผลนิพพาน ของตนเอง ยกตวั อยา่ งเช่น กรณขี องพระสุทนิ ผู้ก่อปฐมปาราชกิ ๑ เพราะ เสพเมถนุ กับอดตี ภรรยา ภมู ิหลังของพระสุทิน พ้นื นสิ ยั เดมิ ก่อนบวช ท่านถกู เลียงดูมา อย่างลกู เศรษฐมี ที รพั ย์มาก ไดร้ ป้ การเอาอกเอาใจเป็นอยา่ งดี แม้มีศรทั ธาอยา่ ง แรงกล้าในการบวช แต่ขาดปญั ญา ทำให้ทา่ นจบั หลักการไมเ่ ปน็ ให้เหตุผล ไมเ่ ป็น และตอนนัน้ ก็ยงั มไิ ด้มกี ารบัญญัตสิ ิกขาบท แตท่ า่ นมิไดเ้ ปน็ คนมักมากในกาม เม่ือท่านบวชแลว้ ไมไ่ ดอ้ ยกู่ บั อปุ ชั ฌาย์อาจารย์■เพราะ สมยั นนั้ ยังไม่ไดบ้ วชโดยวิธีหมสู่ งฆ์บวชให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา แตพ่ ระผู้มีพระภาคทรงใหภ้ กิ ษรุ ปู หนงึ่ บวชให้ ทา่ นบวชได้ไม่นานก็สมาทาน ธดุ งค์ ๔ ข้อ อยา่ งเคร่งครัด พำนกั อยู่ใกลห้ มบู่ ้านชาววัชชตี ำบลหนงึ่ สมยั ตอ่ มา แคว้นวชั ชเี กิดทุพภิกขภยั ผ้คู นอดตายเปน็ จำนวนมาก ทา่ นหวังจะอนุเคราะหส์ งฆไ์ มใ่ หล้ ำบากด้วยบิณฑบาต ในพรรษาท่ี ๘ ท่านจงึ กลบั ไปเมืองเวสาลเี พอ่ื บิณฑบาตที่บ้านเกดิ โดยไมไ่ ด้กราบทูลถาม พระพุทธองคก์ ่อนวา่ จะมอี ปุ สรรคอนั ใดหรอื ไม่ (ซึ่งต่างจากพระรฐั ปาล)๒ ถกู พ่อแม่ ภรรยาเก่า รบเร้าให้มีบตุ รไว้สืบสกลุ มิฉะนั้น สกลุ ท1ีไม่มีทายาท ผู้ชายสืบทอด จะถูกทางการยดึ ทรัพยไ์ ปหมดสน้ิ ทา่ นทนการรบเรา้ ไมไ่ หวและเพื่อตัดความรำคาญ โดยคดิ ต้นื ๆ ว่า ถ้าใหบ้ ตุ รแล้ว บดิ ามารดา ๑ วิ.มหาวิ.พระสทุ นิ (ไทย) ๑/๒๔-๓๙/๑๗-๒๙ ๒ ม.ม.รฏั ฐปาลสูตร (ไทย) ๑๓/๒๙๙/๓๕๕-๓๕๖ พระรฐั ปาลเปน็ พระอรหนั ตแ์ ลว้ กย็ ัง กราบทูลขออนญุ าตพระบรมศาสดากลับไปเยี่ยมบิดามารดา สรา้ งปณั ณาเปน็ ทมี ๓๗(X ภยั อันดรายของพระพุทธศาสนา kalyanamitra.org
จะไม่ต้องมารบเร้าใหท้ า่ นสกึ อกี จะไดบ้ ำเพ็ญสมณธรรมได้ตามสบาย จงึ ยอมเสพเมถุนกับภรรยาเก่า กลายเป็นผู้ก่อปฐมปาราชิก มตี ราบาปไป ชั่วชีวติ สง่ ผลใหภ้ ายหลงั ตวั ทา่ นไมไ่ ด้บรรลุเปน็ พระอรหนั ต์ (แตภ่ รรยา และบุตรได้เปน็ พระอรหนั ต)์ ผบู้ วชแล้วไม่มีใครสอนน้ี ไมว่ ่าจะเกดิ จากกรณใี ดก็ตาม เม่ือเกดิ ปญั หาขน้ึ แล้วก็กลายเปน็ ความเส่อื มเสียของหม,ู สงฆ์ และกระทบ กระเทือนถึงความมน่ั คงของพระพทุ ธศาสนาทั้งสิน้ อันเป็นเหตใุ ห้ พระบรมศาสดาต้องตามบัญญตั ิพระวินยั เพ่อื แก้ปัญหาท่ีพระภิกษุกลุม่ นี้ ก่อทงั้ ไวอ้ ยา่ งมากมาย ถ) ผู้บวชแล้วไมร่ ้ปู ระมาณ พระภิกษกุ ลุ่มนี้เม่อื บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแลว้ กเ็ กดิ ความรักสบาย เกยี จคร้านการฝกึ ตน ทอดธุระในการบำเพ็ญภาวนา ลมื เลือน ไปว่าตนบวชมาเพอื่ ปราบกิเลส มใิ ช่เพือ่ ให้กิเลสปราบ เพราะกเิ ลส ทั้งหลายอาดย้ ความไม่ร้ปู ระมาณในปัจจัย ๔ เป็นแดนเกิด เราจงึ ตอ้ ง ควบคุมกิเลสดว้ ยความรู้ประมาณ แต่เมอ่ื บวชมาแล้วไมร่ ้ปู ระมาณ ทำการสะสมปจั จยั ๔ ไวเ้ พือ่ ความสุขสบายสว่ นตวั กิเลสจึงยิง่ กำเริบเสบิ สานขน้ึ ทุกวนั ในทส่ี ดุ ก็กลายเปน็ ความละโมบครอบงำใจ บางรูปก็เริ่มเรยี กรอ้ งปจั จัย ๔ จากญาติโยมมากข้ึนเรอื่ ย ๆ จนกลายเป็นเบียดเบยี นฐานะความเปน็ อย่ขู องญาตโิ ยม ภัยอันดรายของพระพทุ ธศาสนา ๑do สร้างปญั ญาเปน็ ทมี kalyanamitra.org
บางรูปก็เร่ิมไม่รบั นิมนตบ์ า้ นคนยากจน เพราะรังเกยี จว่าอาหาร ไมป่ ระณตี จากทเ่ี คยบิณฑบาตเพื่อโปรดสตั ว์ ก็กลายเปน็ บิณฑบาต เพอ่ื ให้สัตวโ์ ปรด บางรปู ก็อยากอยสู่ ุขสบายเหมือนอยู่บ้านตวั เอง จึงลงมือสร้างกุฏิ ส่วนตวั จนเกินประมาณ เมือ่ วัสดุก่อสรา้ งไม่พอก็เทีย่ วรบเร้าร้องขอจาก ญาติโยมไมจ่ บไมส่ ้นิ จนกระทั่งญาติโยมทั้งเมืองเกดิ ความหวาดผวา กลวั พระจะมาเร่ียไรอีก ครน้ั พอเห็นพระภกิ ษุตา่ งเมืองเดินมาไกล ๆ เท่าน้ัน บางคนก็รบี ปิดประตบู ้านแสดงการไมต่ ้อนรับ บางคนกร็ บี ว่ิงหนี เพราะกลัวว่าพระภิกษตุ ่างเมอื งจะมาเรยี่ ไรสรา้ งกฏุ ิหลังใหม่ บางรปู ไม่รปู้ ระมาณอยา่ งหนัก เหน็ แกป่ ระโยชนส์ ่วนตวั มากกว่า ประโยชน์ส่วนรวมของบา้ นเมือง ถงึ กับก่อคดีอาญาร้ายแรง วางแผนขโมย ไมห้ ลวงเพือ่ มาสรา้ งกุฏิสว่ นตัว สรา้ งปญั หากระทบกระทัง่ ระหว่าง ฝ่ายบ้านเมอื งกบั พระพุทธศาสนา จนตนเองเกือบถูกประหารชวี ิต ยกตวั อย่างเชน่ พระธนย้ ะผ้ขู โมยไม้หลวง๑ จนกลายเป็นต้นบญั ญัติ ก่อปาราชิกข้อท่ี ๒ ภูมหิ ลงั ก่อนบวช เดิมทที า่ นเปน็ บุตรชา่ งปันหม้อ บา้ นเกดิ ของทา่ น คอื บ้านทพ่ี ระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดท่านปกุ กุสาดิ (อดตี พระราชาแคว้นตกั กสิลา ผสู้ ละราชบัลลงั ก์ออกบวชอทุ ิศแดพ่ ระสมั มา สม้ พทุ ธเจ้า เพราะเลือ่ มใสในกติ ติตพ้ ท์ของพระพทุ ธองค์ แตไ่ มเ่ คย • วิ.มหาว.ิ เรอ่ื งพระธนยิ ะ กมุ ภการบุตร (ไทย) ๑/๘๔-๘ต'/๗๔-๗ส' สรา้ งปญั ญาเปน็ ทีม ภยั อนั ตรายของพระพทธศาสนา kalyanamitra.org
พบพระพทุ ธองค์มาก่อน ภายหลังไดฟ้ งั ธรรมจากพระพุทธองค์จงึ บรรล.ุ เป็นพระอนาคาม)ี ต่อมาภายหลังท่านทราบข่าววา่ ท่านปกุ กุสาตเิ สยี ชีวติ เพราะถกู โค ขวิดตายในระหวา่ งทางทแี่ สวงหาบาตรและจวี รเพ่อื เตรยี มบวชทา่ นรสู้ ึก ปลงกับชวี ิตจงึ มศี รัทธาออกบวชในตอนนัน้ เอง พ้ืนฐานเดิมท่านมีความรู้ก่อสรา้ ง มคี วามรกู้ ารขน้ ดิน มคี วามรู้ กฎหมาย แต่เนื่องจากยังฟกิ ตัวมาไมด่ ีพอ เมอื่ บวชแลว้ กลบั ไมร่ ู้ประมาณ เหน็ แก่ประโยชน์ส่วนตนมากกวา่ ส่วนรวม หลงั จากท่ที ่านบวชไดม้ ากกว่าหา้ พรรษาแล้ว เม่ือถงึ ฤดอู อกพรรษา ทา่ นไมเ่ ดินทางออกไปปลกี วิเวกในปากับกล่มุ เพ่ือนภกิ ษุ แตก่ ลบั สรา้ ง กฏุ ิหญ้าคา พกั อาตัยอยทู่ ี่เดมิ ตลอดสามฤดู พวกชาวบ้านเข้าใจว่าท่นี ัน่ ไมม่ ีพระภิกษุอยู่แล้ว จงึ มาร้อื กุฏขิ อง ทา่ น ขนหญ้าคาไปใชง้ าน เป็นเหตุใหก้ ฏุ ิของท่านถูกชาวบ้านรือ้ ท้ิงถึง ๓ ครั้ง ทัง้ ในฤดรู ้อน ฤดูฝน ฤดหู นาว บไทา่ นดจึงคดิโ้ วา่ คตวรสรร่ า้ งก็รฏุ ไิ า้มใหงค้ งทนทถ่าานวรจึงพล้าวงกเชลาศวโบลา้ อนไจหะ้วไหดน้รอื้า้ โรงไมห้ ลวงวา่ พระราชาอนญุ าตใหน้ ักบวชนำไมไ้ ปใช้สรา้ งกฏุ ิได้ หวั หนา้ โรงไมห้ ลวงคดิ ว่าพระภกิ ษคุ งไม่โกหก จงึ อนุญาตใหท้ า่ นขนไม้หลวงท่ี เตรียมไว้ซอ่ มกำแพงเมือง ไปสรา้ งกฏุ ิสว่ นตัวตามท่ตี ้องการ ภัยอนั ตรายของพระพุทธศาสนา สรา้ งปัญญาเปน็ ทมี kalyanamitra.org
ภายหลงั พระเจ้าพิมพิสารทราบเรอ่ื งนี้ ต้องเสด็จมาขอคำปรกึ ษา เรือ่ งนี้กับพระพทุ ธองค์โดยตรง เพราะการขโมยไม้หลวงท่ใี ชซ้ อ่ มกำแพง เมืองมโี ทษรา้ ยแรงถงึ ข้นั ประหารชวี ิต และเปน็ การกระทำผดิ กฎหมายท่ี กระทบกระเทอื นต่อความม่นั คงของราชอาณาจกั ร ซง่ึ หากเรือ่ งนม้ี ิใช่ พระเจา้ พมิ พิสาร ผเู้ ป็นพระโสดาบนั เสด็จออกหนา้ แทนฝ่ายบ้านเมอื ง มาขอคำปรกึ ษาจากพระพทุ ธองคแ์ ล้ว คดนี ้ยี อ่ มไมส่ ามารถยอมความ กนั ได้ และอาจลกุ ลามบานปลายถึงขน้ั ออกกฎหมายขบั ไลห่ มสู่ งฆท์ ั้งหมด ออกจากอาณาจักรได้เลยทีเดียว ปัญหาการขโมยไมห้ ลวงของพระธนิยะคร้ังนี้ เปน็ ขอ้ เตอื นใจวา่ ปญั หาความไมร่ ู้ประมาณนนั้ หากไมไ่ ดร้ ้ปการแกัไขอยา่ งทนั พว่ งที ก็จะ กลายเป็นคดใี หญโ่ ตระหวา่ งฝ่ายอาณาจักรกบั ฝา่ ยพุทธจักรขึ้นมาทนั ที พระพทุ ธองคท์ รงแกไขปญั หาน้ดี ้วยการบญั ญตั ิปาราชกิ ข้อที่ ๒ คอื หา้ มภิกษุถอื เอาของท่ีผอู้ ่นื ไม่ไดใ้ ห้ เร่ืองราวคดีความนจี้ ึงจบลง ส่วนพระธนยิ ะหลังจากถกู พระพทุ ธองค์ทรงตำหนแิ ลว้ พ่านกเ็ ลกิ สร้างกฏุ ิ เปลย่ี นไปอยกู่ ฏุ สิ ว่ นกลางของสงฆ์ กลบั ตัวกลบั ใจมาฟิกความรปู้ ระมาณ และตงั้ ใจบำเพ็ญเพยี รภาวนาจนกระทงั่ บรรลเุ ป็นพระอรหนั ต์องค์หน่ึงใน พระพุทธศาสนา๑ ๑ ช.ุ เถร.อ.ธนยิ เถรคาถา (ไทย) ๕๑/๒๔๙-๒๕๐ สรา้ งปญั ญาเป็นทมี ๑ฒ ภยั อนั ตรายของพระพุทธศาสนา kalyanamitra.org
๔) ผู้บวชแล้วเปน็ ปรยิ ตั ิงูพิษ พระภกิ ษุกลมุ่ นเี้ ม่อื บวชเขา้ มาในพระพทุ ธศาสนาแล้ว หลงั จาก เรียนพระปรยิ ัติธรรมจนเจนจบ ก็เกดิ ความหลงผิดวา่ ตนเองเป็นผู้ร้ทู ่ัว ถงึ ธรรมทง้ั หมดของพระบรมศาสดาแลว้ (ท้ังที่จริงยงั ไมห่ มดกเิ ลส) จึงยกตนตเี สมอเทยี บเท่ากับพระบรมศาสดา สาเหตุสว่ นใหญท่ ่พี ระภกิ ษกุ ลมุ่ นี้ยกตนตเี สมอพระบรมศาสดา ก็เพราะมีความหลงเข้าใจผดิ ว่า การตรัสรู้ธรรมของพระองคเ์ กิดจากการ นึกคิดตรติ รองเพอ่ื หาคำตอบไปทีละเรอ่ื ง ทั้งทค่ี วามจรงิ แลว้ การตรสั รู้ ธรรมของพระองค์นนั้ เกดิ จากการร้แู จง้ แทงตลอดในธรรมท้งั ปวงด้วย ญาณทศั นะอนั บรสิ ทุ ธื้ของวิชชา ๓ มิใชเ่ กิดจากการนกึ คิดตริตรองตาม ทพี่ ระภกิ ษกุ ลุ่มนห้ี ลงเข้าใจผิดแต่อยา่ งใด ในกรณที เี่ กดิ มีผู้หลงเข้าใจผดิ เรื่องการตรสั รู้เชน่ นี้ พระองค์จะทรง แกไขด้วยการกลบั ความเหน็ ผิดของบุคคลน้ัน ด้วยการแสดงธรรมแบบ บนั ลือสหี นาท คอื การประกาศใหท้ ราบความจริงว่า การตรัสรธู้ รรมของ พระองค์น้นั เกดิ ขึ้นจากความร้แู จง้ แทงตลอดในธรรมท้งั ปวงในคราวเดียว ดว้ ยอำนาจญาณทัศนะอันบรสิ ทุ ธปราศจากกเิ ลสของวชิ ชา ๓ ซึ่งถ้าหาก ใครไมล่ ะความเหน็ ผดิ ไมล่ ะวาจาท่เี ท่ียวกล่าวชกั ชวนใหผ้ ู้อ่ืนเช่อื ตามที่ ตนเขา้ ใจว่า การตรัสรู้ของพระองค์เกิดจากการนึกคิดตรติ รองทีละเรือ่ ง ผูน้ น้ั ก็จะตอ้ งตกนรกอย่างแน่นอน ภัยอันตรายของพระพุทธศาสนา ๑(^๙ สรา้ งปญั ญาเป็นทมี kalyanamitra.org
บางคนฟังพระองคบ์ นั ลือสีหนาทแลว้ ก็ยอมละท้งิ ความเห็นผิดน้ัน „ แต่บางคนกไ็ มย่ อมละทิง้ ความเหน็ ผดิ นน้ั มหิ นำชํา้ ยังกล่าววาจาจาบจ้วง ล่วงเกินพระองค์ เพ่ือปกปอ้ งมใิ ห้ตนเส่อื มเสยี หน้าเพราะความเห็นผดิ เป็นมจิ ฉาทิฐิอกี ด้วย ยกตวั อย่างเชน่ กรณีของพระอริฏฐะ๑ ผเู้ ป็นตน้ กำเนดิ คำวา่ “ปรยิ ตั งิ ูพษิ ” ภูมหิ ลังกอ่ นบวช ทา่ นเกดิ ในตระกลู พรานล่านกแรง้ มีนสิ ยั ชอบ ตีเสมอ อยากเด่นอยากตงั อยากใหค้ นยอมรบั แตจ่ บั หลักการปฏิบัติ ไมไ่ ด้ เพราะขาดความเคารพในธรรม เมอ่ื ทา่ นเรยี นปรยิ ตั ิธรรมจบแลว้ ทา่ นไมเ่ ช่ือเรอ่ื งการตรัสรู้ธรรม จึงกล่าวคดั ค้านว่า พระธรรมคำสอนของพระพทุ ธองคไ์ ม่เปน็ ความจรงิ เชน่ กลา่ วคัดคา้ นวา่ การเสพเมถนุ ธรรมไมม่ ีโทษ เป็นตน้ สาเหตทุ ีท่ า่ นมีแนวคิดแบบน้ี กเ็ พราะวา่ ท่านไม่เหน็ โทษของกาม ไม่ทราบวัตถุประสงค์แท้จริงของการบวช ไมท่ ราบหลักการของการอยู่ รว่ มกันของสงั คมสงฆ์ แยกไม1ได้ว่าชีวิตพระกับชวี ิตชาวบ้านต่างกนั อยา่ งไร พระไม่ไดท้ า่ มาหากิน แตว่ า่ ฉนั ขา้ วชาวบา้ น ส่งิ ท่ีควรเป็นเคร่อื ง ตอบแทนของชาวบ้านกค็ อื ฟิกฝนตนเองใหเ้ ปน็ เนอ้ื นาบุญ มิใช่ว่าข้าวของ เขาก็จะฉนั สมบัตขิ องเขาก็จะเอา ลกู เมยี ของเขากจ็ ะปลาํ้ พฤตกิ รรมแบบ นั้นมิใช่ความประพฤตขิ องผู้ออกบวช ม.ม.ู อลคท้ ทูปมสูตร (ไทย) ๑๒/๒๓๔-๒๔๘/๒๔๕-๒๖๗ สร้างปัญญาเป็นทีม G)CJ(± ภัยอนั ตรายของพระพุทธศาสนา kalyanamitra.org
แม้พระบรมศาสดาจะทรงไล่เลยี งเหตผุ ลไปทีละข้อ เพอ่ื เตอื นสติ ให้ได้คดิ วา่ ท่านกำลังเข้าใจผดิ เรือ่ งการรู้ท่วั ถงึ ธรรม แต่ทา่ นกไ็ มย่ อมละ ความเหน็ ผดิ นั้น มหิ นำซ้าํ ยงั คดิ วา่ ตนเองรู้มากวา่ พระพทุ ธองค์ และปักใจ เชือ่ วา่ สงิ ทพ่ี ระพทุ ธองคส์ อนน้นั เปน็ ความเหน็ ผดิ ไม่เปน็ ความจริง พระองค์ทราบวา่ มอิ าจกลับความเห็นอนั เป็นมจิ ฉาทฐิ ิของท่านได้ แน่แล้ว จงึ แกไขปญั หาน้ดี ้วยการบญั ญัติพระวินัยให้สงฆส์ วดประกาศ อุกเขปนยี กรรม คอื ตดั สทิ ธแิ หง่ ความเป็นภกิ ษุชว่ั คราว เพอื่ ให้โอกาส ทา่ นเลิกความคิดมิจฉาทฐิ ิอนั เป็นบาปน้ันก่อน จงึ คอ่ ยรับกลบั คืนเขา้ หมู่สงฆ์ใหม่ แต่สุดทา้ ยท่านก็ไมย่ อมเลกิ ความคิดมจิ ฉาทฐิ นิ ัน้ ละท้ิง ธรรมวินัยออกจากหมู่สงฆไ์ ป พระองค์ทรงนำเหตุการณน์ ้ี มาเตือนสตเิ หล่าพระภกิ ษวุ ่า การเรียน ปรยิ ตั ิธรรมจนแตกฉาน แต่จับหลักปฏบิ ัติมรรคมีองค์ ๘ไม่ถกู กเ็ หมือน จบั งูพิษทห่ี าง ยอ่ มถูกแว้งกดั ถึงตายหรือทุกข์ปางตายได้ พระวนิ ัยเร่ืองนี้ จงึ ได้กลายมาเป็นต้นกำเนดิ คำวา่ “ปรยิ ัตงิ ูพิษ” ดงั นนั้ จากเร่ืองราวของพระภิกษุตน้ บัญญัติท้งั ๔ ประเภทน้ี ได้สะท้อนให้เหน็ ภาพปญั หาการปกครองสงฆ์อยา่ งชัดเจนซ่งึ สาเหตหุ ลัก ของปญั หาน้ี ก็เกิดจากการทีต่ ้นปญั ญตั ิทงั้ ๔ ประเภท ฟิกความรบั ผิดชอบ ตอ่ ตนเองและพระพุทธศาสนามาไมม่ ากพอ จงึ กอ่ ให้เกิดปญั หาภัยภายใน พระพุทธศาสนาขนึ้ มา ภัยอันตรายของพระพุทธศาสนา ๓ GTD สรา้ งปัญญาเปน็ ทมี kalyanamitra.org
๑.๒ ปัญหาการฟิกอบรมสมาซิกองคก์ ร สำหรับปัญหาการฟกิ อบรมสมาชิกองคก์ รน้นั พระบรมศาสดาทรง ชใี้ ห้เห็นว่าปัจจัยสำคญั ท่ที ำให้พระพุทธศาสนามีอายยุ นื ยาวนนั้ ขนึ้ อยู่กับ คณุ ภาพการอบรมสมาชิกองคก์ ร แต่สาเหตทุ ่ีทำใหค้ ณุ ภาพการอบรม สมาชกิ องคก์ รยอ่ หยอ่ นลงน้ัน มอี ยู่ ๓ ประการ ๑) ขาดพระเถระที่ใสใ่ จพระภกิ ษใุ หมผ่ ตู้ ั้งใจฟกิ ตน สำหรบั สาเหตปุ ระการแรกน้ี พระบรมศาสดาไดต้ รัสแสดง กับพระมหากสั สปะ พระอสตี ิมหาสาวกผูเ้ ลิศดว้ ยการอยธู่ ุดงค์ ใน ตติยโอวาทสตู รa มีใจความสำคญั วา่ พสั ปะ ความจริงกเ็ ป็นอยา่ งน้ัน สมัยก่อน ภกิ ษุชนั้ เถระยินดีถือ การอยู่ธุดงคเ์ ปน็ วัตร เปน็ ผู้มีความมักนอ้ ยสนั โดษ เปน็ ผู้สงัดจากหมู่ I.เปน็ ผู้ ม่คลกุ คลดี ว้ ยหมู่ เป็นผปู้ รารภความเพยี ร ใสใจต่อภกิ ษุใหมผ่ ู้ใคร่ การดกี ษา ทง้ั ชักชวนและใหค้ ำแนะนำสง่ั สอนในการถเื กฝนอบรมตน เมอ่ื ภิกษใุ หม่เหลา่ น้นั มแี บบอย่าง ปฏบิ ตั ติ ามคำแนะนำของภิกษชุ ั้นเถระ การปฏิบตั ติ ามของพวกเธอน้ัน ยอ่ มเปน็ การอำนวยประโยชน์ มีแต่สขุ ชั่วกาลนาน “แต่เด๋ยี วน้ีภิกษชุ ้ันเถระไม่ไดป้ ระพฤตอิ ย่างนั้นอกี แล้ว ยินดที จี่ ะ ตอ้ นรบั ภิกษผุ มู้ ปี ัจจยั ๔ มีช่ือเสยี งมาก มยี ค'มาก ไม่ต้อนรับ ไมส่ นใจ ภกิ ษผุ ใู้ คร่ตอ่ การดีกษา และปรารถนาให้ภิกษอุ นื่ ๆ แวดล้อมตน ๑ สํ.นิ.ตตยิ โอวาทสตู ร (ไทย) ๑๖/๑๕๑/๒๔๗-๒๕๐ สรา้ งปัญญาเป็นทมี ๑(^๗ ภัยอันตรายของพระพทุ ธศาสนา kalyanamitra.org
เม่อื ภิกษใุ หม่พากันประพฤตติ ามภิกษชุ ้ันเถระเหล่านน้ั การปฏิบัตติ าม ของพวกเธอนั้น ไมอ่ ำนวยประโยชน์ มแี ต่ทุกข์ช่ัวกาลนาน', จากพระดำรัสนี้ ช้ใี หเ้ ห็นว่า ปญั หาการฝกึ อบรมสมาชกิ องค์กร เกดิ ข้ึนเม่ือพระภิกษุชั้นเถระไม่เป็นต้นแบบความประพฤตทิ ดี่ ี ภิกษุใหม่ ก็ไม่มีตน้ แบบความประพฤตทิ ่ีดี องคก์ รน้ันย่อมมีแตค่ วามทุกข์ชัว่ กาลนาน ๒) ขาดพระเถระท่เี ปน็ ผูน้ ำในการสอนภาวนา สำหรับสาเหตุประการท่ีสองนี้ พระบรมศาสดาได้ตรัสแสดงไว้ใน พระสตู รทว่ี ่าด้วย หมูค่ ณะที่ไม่มีอัครบุคคล๑ ดงั น้ี “ดกู อ่ นภกิ ษุท้ังหลาย กบ็ รษิ ทั ใดในธรรมวนิ ัยนี้ มีพวกภกิ ษเุ ถระ เป็นคนมักมาก เปน็ คนย่อหยอ่ น เป็นหวั หนา้ ในการก้าวไปลู่ทางตํ่า ทอดทิ้ง ธรุ ะในปวิเวก ไมป่ รารภความเพยี ร เพอ่ื ถึงธรรมทีย่ งั ไม่ถงึ เพอื่ บรรลุ ธรรมที่ยังไมไ่ ดบ้ รรลุ เพือ่ ทำใหแ้ จง้ ซึ่งธรรมทยี่ งั มีไดท้ ำให้แจง้ “ประชมุ ชนภายหลังต่างถือเอาภิกษเุ ถระเหลา่ นั้นเปน็ ตวั อย่าง ถงึ ประชุมชนนนั้ กเ็ ป็นผมู้ ักมาก ย่อหยอ่ น เปน็ หวั หน้าในการก้าวไปลทู่ างตา่ํ ทอดทง้ิ ธรุ ะในปวเิ วก ไม่ปรารภความเพยี ร เพอ่ื ถงึ ธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยงั ไมบ่ รรลุ เพ่ือทำให้แจง้ ซงึ่ ธรรมทย่ี งั ไมไ่ ด้ทำใหแ้ จ้ง “ดูก่อนภิกษทุ ัง้ หลาย บรษิ ัทเช่นนีเ้ รียกว่า บรษิ ทั ไมม่ ีอัครบคุ คล” อง.ฺ ทกุ .สตู รท ๓ (โทย) ๓๓/๒๘๙/๔๐๒-๔๐๓ ภยั อนั ตรายของพระพุทธศาสนา สร้างปัญญาเป็นทมึ kalyanamitra.org
จากพระดำรสั น้ี ชีใ้ หเ้ ห็นวา่ ปัญหาการฝึกอบรมสมาชกิ องคก์ ร เกดิ ขึ้น เมอื่ พระภกิ ษุชั้นเถระไมเ่ ปน็ ต้นแบบการปรารภความเพยี รเพือ่ ปราบกิเลส สมาชิกในองค์กรนน้ั ย่อมประพฤตติ นยอ่ หยอ่ น ละทงิ้ การบำเพ็ญภาวนา องค์กรนนั้ ยอ่ มมีแต่ความตกตา่ํ ถ) พทุ ธบริษทั ๔ ขาดคารวธรรม สำหรับสาเหตุประการทสี่ ามน้ี พระบรมศาสดาตรสั แสดงกับ พระมหากัสสปะไวในพระสูตรทวี่ า่ ด้วย การเลือนหายของพระสัทธรรม๑ มใี จความสำคญั ดง้ นี้ “ดูก่อน กสั สปะ ไมม่ ธี าตใุ ดในโลกนี้ ท้ังธาตดุ ิน ธาตนุ ํา้ ธาตลุ ม ธาตุไฟ จะทำให้พระสทั ธรรมเลือนหายไปได้มีแตโ่ มฆบรุ ุษในโลกนเ้ี ท่านนั้ ที่ทำใหพ้ ระสทั ธรรมเลอื นหายไปได้ เปรยี บเหมือนเรือจะอบั ปางลง ก็เพราะด้นหนนำทางไมด่ ีเทา่ น้นั ดูก่อน กัสสปะ เหตุฝายตำ ๕ ประการนี้ ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความ พนื่ เหึเอนเลือนหายของพระสัทธรรม คือ พทุ ธบรษิ ทั ๔ ขาดความเคารพ ในพระพทุ ธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในการคกื ษาไตรลกื ขา ในการ หเึ กสมาธิ ย่อมทำใหเ้ กดิ ความพนื่ เหเึ อนเลอื นหายของพระสัทธรรม” จากพระดำรัสนี้ ชใ้ี ห้เห็นว่า ปญั หาการฝกึ อบรมสมาชิกองคก์ รนั้น เกิดข้ึนเม่อื สมาชกิ ในองค์กรน้นั ขาดการปฏิบตั คิ ารวธรรมเป็นกิจวตั ร ประจำวัน พระสัทธรรมจงึ เลือนหายจากองค์กรน้ันไปตามลำดับ - สํ.นิ.สท้ ธมั มัปปฏิรปู กสูตร (ไทย) ๑๖/๑๕๖/๒๖๒-๒๖๔ สร้างปัญญาเปน็ ทีม G)Q>(X ภัยอนั ตรายของพระพุทธศาสนา kalyanamitra.org
โดยลำดบั แรกเริม่ จากการเลือนหายของปฏีเวธสัทธรรม คอื การบรรลุ มรรคผลและนิพพาน ลำดับที่สองเปน็ การเลอื นหายของปฏบิ ตั ิสทั ธรรม คอื การปฏิบัตอิ รยิ มรรคมีองค์ ๘ และลำดบั สุดท้ายเป็นการเลอื นหาย ของปรยิ ัตสิ ัทธรรม เม่ือปริยตั สิ ัทธรรมเลอื นหาย ศาสนาก็ได้ช่ือว่าอันตรธานแล้ว เพราะเม่ือปรยิ ัตเิ ลือนหาย การปฏิบตั ิกเ็ ลอื นหาย ปฏิเวธก็เลอื นหาย แสดงว่าไม่มีการฝกึ อบรมสมาชิกคนใดในองคก์ รน้ันใหต้ ง้ั ใจศึกษาและ ปฏิบัตมิ รรคมีองค์ ๘ อกี แล้ว ดังนั้น จากสาเหตทุ งั้ สามประการของปญั หาการอบรมสมาชกิ องค์กรนี้ไดส้ ะท้อนให้เหน็ ภาพอย่างชัดเจนวา่ เมือ่ ใดทพ่ี ระภกิ ษชุ ้นั เถระ ขาดความรบั ผดิ ชอบต่อการปฏบิ ตั ิมรรคมอี งค์ ๘ ของสมาชกิ องค์กร พระสัทธรรมก็จะเลอื นหาย ปญั หาภยั ภายในพระพทุ ธศาสนากจ็ ะเกิดข้ึน ในองค์ทรนนั้ ท้นทึ ๑.ฅ ปญั หาการสร้างความสามัคคใี นองคก์ ร สงิ ท่พี ระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าทรงต้องการเหน็ มากทส่ี ดุ คอื หมสู่ งฆ์ สาวกของพระองค์มีความสามัคคพี ร้อมเพรียงกนั 8 เพราะเม่อื หมสู่ งฆ์ สามัคคกี ันแล้ว ย่อมไมม่ กี ารทะเลาะววิ าทใหบ้ าดหมาง ไม่มกี ารดา่ ทอกัน ไปมา ไม,มีการขบั ไลซ่ ่งึ กันและกนั พระสทั ธรรมยอ่ มไม,เลือนหาย ท้งั มนุษย์และเทวดาก็จะได้ประโยชน์เปน็ อนั มากจากการแสดงธรรมและ การเป็นเนอ้ื นาบุญอันประเสริฐของหม่สู งฆ์ ขุ.อต.ิ สงั ฆสามัคคสตู ร (ไทย) ๒๕/๑๙/๓๖๒-๓๖๓ ภยั อนั ตรายของพระพทุ ธศาสนา ๑(X๐ สรา้ งปัญญาเปน็ ทีม kalyanamitra.org
แตท่ วา่ เมอ่ื พระพทุ ธศาสนาเจรญิ รงุ่ เรอื งข้ึน พระสงฆก์ ระจายกัน „ ออกไปเผยแผท่ วั่ แผน่ ดิน จึงมวี ัดวาอารามเกิดข้ึนมากมาย ทั้งใน แควน้ ใหญ่ ในแคว้นเล็ก ในเมืองใหญ่ ในเมืองเลก็ ในนิคม ในหมูบ่ า้ น ในปา ในภเู ขา ซึง่ แตล่ ะท้องถ่ินมีความแตกต่างกนั มาก ท้ังดา้ นภูมปิ ระเทศ ภมู ิอากาศ อาหารการกนิ ขนบธรรมเนยี มประเพณี อัธยาศยั ใจคอของผู้คน ทำให้การรบั รูข้ ้อมลู ข่าวสารจากศูนย์กลางการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา คือ วัดเชตวนาราม กรงุ สาวัตถี แดวันโกศล ทพี่ ระบรมศาสดาประทบั อยู่ ไดไี ม่ท่วั ถึง ภิกษเุ หลา่ นน้ั ย่อมมโี อกาสฟงั พระธรรมวินัยได้ไม่ครบถว้ น มโี อกาสจะตกหลน่ ไม่ท่วั ถึงทุกวดั ทำให้เกดิ ปญั หาการเล่าเรียนพระธรรม วินัยไมด่ ขี ึ้นมาได้ง่าย เม่ือการเลา่ เรยี นพระธรรมวนิ ัยไม่ดี เพราะมเี น้ือหาตก ๆ หล่น ๆ ก็มโี อกาสทำใหห้ มสู่ งฆ์ในวัดน้นั เกดิ ความเข้าใจในเรอ่ื งพระธรรมวินยั บางประการท่ไี มต่ รงกัน จึงเปน็ เหตุใหม้ ีวนิ ิจฉยั ในพระธรรมวนิ ัยไม่ตรงกัน ปฏิบัติพระธรรมวินัยไมต่ รงกนั กลา่ วสอนพระธรรมวินยั ไม่ตรงกัน ทำให้ พระสงฆ์ในวัดเดียวกนั มีศึลไม่เสมอกัน มีทฐิ ิไม่เสมอกัน จนเกิดการ กระทบกระทัง่ บานปลายกลายเป็นความแตกแยกของสงฆส์ องฝาย ทมี่ ิอาจอยู่ร่วมลังฆารามเดียวกนั ได้ขึ้นมาทนั ที ครัน้ ต่อมา แม้สงฆส์ องฝายจะพยายามระงับอธกิ รณด์ ว้ ยการสง่ ตวั แทนไปสอบถามความจรงิ เรื่องนน้ั ๆ ตอ่ หน้าพระพักตร์ของพระบรม ศาสดา แตเ่ พราะพระองค์ประทับอยไู่ กลแสนไกลเหลือเกนิ กว่าจะ เดนิ ทางไปถึง กว่าจะเดนิ ทางกลบั กก็ ินระยะเวลานานหลายเดือนในชว่ ง ระหว่างทร่ี อฟังผลนน้ั พระภกิ ษุทอี่ ยูใ่ นวดั น้ัน ญาติโยมของวัดนัน้ สร้างปัญญาเป็นทีม ภยั อนั ดรายของพระพุทธศาสนา kalyanamitra.org
ย่อมก่อการทะเลาะววิ าททมุ่ เถยี งกันทกุ วัน ทำใหเ้ กดิ ความรา้ วฉาน บาดหมางจนยากเกินกวา่ จะเยียวยาแกไข แมภ้ ายหลังท้งั สองฝา่ ยจะได้ ร้บทราบผลการวนิ ิจฉัย แต่ความแตกแยกก็รา้ วลึกไปไกลจนยากจะกลับ มาสามคั คีกันไดด้ ังเดิมเสยี แลว้ ยกตัวอยา่ งเช่น กรณขี องพระสงฆ์วดั โฆสติ าราม ๑ ทะเลาะกนั รนุ แรงจนเกิดสังฆเภท เพราะกล่าวโจทก์อาบัตเิ ลก็ น้อย เรอ่ื งมอี ยู่ว่า ในวดั โฆสิตาราม กรงุ โกสัมพี แควน้ วงั สะ มพี ระภิกษุ สองฝ่าย คอื ฝ่ายวนิ ัยธร ๕๐๐ รูป และฝา่ ยธรรมกถึก ๕๐๐ รูป อาศยั อย่รู ว่ มกนั วนั หนึง่ พระอาจารย์ใหญฝ่ ายธรรมกถกึ ใชห้ อ้ งสุขาเสร็จแล้ว ลมื คว่าํ ขนั ตักนํา้ ทำใหม้ นี ํ้าเหลอื ท่ีก้นขันอยู่หน่อยหนง่ึ ขณะน้นั พระอาจารย์ ใหญฝ่ ่ายวนิ ัยธรไปใชห้ ้องสุขาต่อจากท่าน ก็เห็นมนี ํ้าเหลอื อยู่ก้นขนั จงึ กล่าวเตือนว่า “ทา่ นต้องอาบัติ เพราะเหลือน้าํ ไวใ้ นขัน” พระธรรมกถกื กต็ อบวา่ “ผมไมท่ ราบมาก่อนวา่ การเหลือนาํ้ ในขนั เปน็ อาบัต”ิ จากนัน้ ก็รบี กลา่ วขอปลงอาบัตทิ นั ที พระวนิ ยั ธรกบ็ อกว่า “ถา้ หากไม่ไดแ้ กล้งท่าก็ไม่ถอื วา่ เปน็ อาบตั ิ อึงไม่ต้องปลงอาบัต”ิ พระธรรมกถกึ จึงเข้าใจผดิ วา่ ตนไม่ตอ้ งอาบตั ทิ ง้ั ที่ยังอาบัติอยู่ เมื่อพระวินัยธรกลับไปถงื ท่ีอยขู่ องตนเอง ก็บอกกับพระลกู ศิษย์ ของตนวา่ “พระอาจารยใ์ หญฝ่ ายธรรมกถืก แมต้ ้องอาบัติอยกู่ ย็ งั ไมร่ ้ตู ัว” วิ.มหา. (!ทย) ๕/๔๕๑-๔๕๗/๓๓๓-๓๔๒1 ข.ุ ธ.อ.เรองภกษชุ าวเมอง!กสัมพ (1ทย) ๔๐/๗๘-๙๓ ภยั อนั ตรายของพระพทุ ธศาสนา สรา้ งปญั ญาเปนทมี kalyanamitra.org
พระลกู ศิษย์ของพระวินยั ธรจึงนำเรือ่ งน้ี!ปบอกพระลกู ศิษยข์ อง พระธรรมกถกึ วา่ “พระอปุ ัชฌาย์ของท่าน,ต้องอาบตั ิแล้วกไ็ ม่รวู้ ่าเปน็ อาบตั ”ิ เม่ือพระธรรมกถกื ทราบเรอื่ งนี้แล้ว ก็กล่าวตำหนิวา่ “พระวนิ ยั ธร รปู น้ี เมอ่ื กอ่ นพดู วา่ ไมเ่ ปน็ อาบตั ิ แตเ่ ด๋ียวนกี้ ลบั มาบอกว่าเป็นอาบตั ิ พระวินยั ธรรูปน้พี ูดมุสา” พระลกู ศิษย์ของพระธรรมกถกึ จงึ นำความน!้ี ปบอกลกู ศิษย์ของ พระวนิ ัยธรว่า “อาจารยข์ องท่านพูดมสุ า” หลงั จากนั้นพระลกู ศิษย์ของ ฝา่ ยวนิ ัยธรและฝา่ ยธรรมกถกึ ก็กลา่ ววาทะโจมตีกนั ไม่หยุด ฝา่ ยพระวินยั ธรได้[อกาสเอาชนะแลว้ จึงรวมพระลูกศษิ ยฝ์ ่ายวินัยธร สวดลงอุกเขปนียกรรมแก่พระธรรมกถึก เพราะโทษทีม่ องไมเ่ หน็ อาบัติ จำเดมิ จากน้นั เปน็ ตน้ มา ญาตโิ ยมอปุ ัฏฐาก พวกภิกษุณี พวกอารกั ขเทวดา พวกอากาศเทวดา กท็ ะเลาะกนั จนแตกแยกเปน็ สองฝา่ ย หลงั จากนัน้ ความแตกแยกกล็ กุ ลามบานปลายไปในหมูเ่ ทวดา ชน้ั ลา่ ง หม่เู ทวดาช้ันสงู จนไปถึงพรหมโลก เมื่อพระบรมศาสดาทราบปัญหาของพวกภิกษุวดั โฆสติ ารามแล้ว พระองค์และพระอสตี สิ าวกหมูใ่ หญ่ก็รอนแรมเดนิ ทางไกล เพอ่ื มาระงับ ปญั หานีด้ ว้ ยพระองค์เอง แต่เมื่อเสดจ็ มาถึงแล้ว แม้พระองคไ์ ด้ทรง พยายามแสดงธรรมหลายประการ เพ่ือใหส้ งฆส์ องฝา่ ยกลับมาสามัคคี กันเหมือนเดมิ กไ็ มม่ ีฝา่ ยใดยอมฟงั คำลงั สอนของพระองค์ สร้างปญั ญาเปน็ ทีม ภยั อนั ตรายของพระพทุ ธศาสนา kalyanamitra.org
พระองคท์ รงระอาพระท้ยในความว่ายากสอนยากของพวกภกิ ษุ . วดั โฆสติ าราม จงึ เสด็จหลีกออกเร้นเพียงลำพงั ไปจำพรรษาอยู่ในปา โดยมชี า้ งและลิงคอยอุปฏั ฐากตลอดพรรษา เมอื่ ออกพรรษาแลว้ พระอานนทแ์ ละพระภกิ ษุ ๕๐๐ รปู ทเ่ี ดิน ทางมาจากเมืองสาวตั ถี ได้ชว่ ยกันออกตามหาพระองค์จนพบ และ กราบทลู ขอใหพ้ ระองค์ทรงแสดงธรรม พระองค์ทรงแสดงธรรมเรือ่ ง “ไมไ่ ดส้ หายท่ีมปี ัญญา เทีย่ วไปผู้เดียว ประเสรฐิ กว่า” เมอื่ จบพระธรรมเทศนา พระภิกษชุ าวสาวตั ถี บรรลุธรรม เปน็ พระอรหนั ตท์ งั้ ๕๐๐ รปู จากนนั้ พระองค์ก็เสด็จกลบั วดั เชตวนั พร้อม กบั หมู่สงฆ์ ฝ่ายชาวเมอื งโกสัมพีไม่เหน็ พระบรมศาสดาเปน็ เวลานาน กพ็ ากัน เลกิ อุปฏั ฐากพวกพระภิกษุโกสัมพี และย่นื คำขาดวา่ หากพระภิกษุ ท้ังวัดโฆสติ ารามไมเ่ ดนิ ทางไปขอขมาพระบรมศาสดาที่เมืองสาวัตถี พวกตนก็จะไม1ใหก้ ารอปุ ัฏฐากดูแลอกี ต่อไป พระภกิ ษวุ ดั โฆสติ าราม ทงั้ ๑,๐๐๒ รูป จึงเลิกทะเลาะกนั พากันรอนแรมเดนิ ทางไกลมาเฝาื พระบรมศาสดาท่ีวัดเชตวนั เมื่อมาถงึ วดั เชตวันพระบรมศาสดาใหภ้ ิกษุชาวโกสมั พอี ยูร่ วมกนั โดยแยกต่างหากจากภิกษุพวกอ่ืน เมอ่ื มหาชนเป็นอันมากพากันมาเพ่อื ดู วา่ ภกิ ษุพวกไหนคอื ชาวโกสมั พีที่ก่อการแตกแยกในหมสู่ งฆ์ พระพุทธองค์ จึงทรงชใี้ ห้ดูหมู่ภิกษุชาวโกสม้ พนี ้ัน ทำให้พระภิกษุชาวโกสัมพีไม่อาจยก ศรี ษะขึน้ เพราะความละอาย กม้ กราบขอขมาแทบเบือ้ งพระยคุ ลบาทของ ภยั อันตรายของพระพทุ ธศาสนา สรา้ งปัญญาเปน็ ทมี kalyanamitra.org
พระบรมศาสดา พระบรมศาสดาทรงกลา่ วงดโทษและแสดงธรรมใหฟ้ ัง หลังจบพระธรรมเทศนา พระภกิ ษุชาวกรงุ โกสมั พีท้งั หมดได้บรรลุธรรม เป็นพระอรยิ บุคคลชัน้ โสดาบันขน้ึ ไป จากการศกึ ษาปัญหาสงั ฆ เภทของหมู่สงฆว์ ดั โฆสิตารามนี้ ไดส้ ะทอ้ น ให้เหน็ วา่ แม้จะเป็นหมสู่ งฆท์ ่รี กั การฝกึ ฝนอบรมตนเอง ก็สามารถเกิด ความแตกแยกไดเ้ ช่นกนั โดยเกดิ จากสาเหตุ ๒ ประการ คือ ๑) แตกแยกเพราะศึกษาเลา่ เรียนธรรมวนิ ยั กนั มาไม1ดีจงึ มี วินจิ ฉยั เรือ่ งธรรมวินัยไม่ตรงกัน ปฏิบตั ธิ รรมวินยั ไม่ตรงกนั กล่าวสอน ธรรมวินยั ไมต่ รงกัน ทำให้เกิดความแตกแยกเพราะศลี ไมเ่ สมอกนั และ ทิฐิไม่เสมอกนั ๒) แตกแยกเพราะหม่สู งฆใ์ นวัดน้ันขาดความเป็นมติ รแท้ ต่อกนั โดยเฉพาะการกล่าวเตือนกัน ต้องทำดว้ ยความจริงใจ ต้องรจู้ ักถนอม นํ้าใจตอ่ กนั ไม่ใช่การจบั ผิดกัน เพื่อนสหธรรมกิ ถงึ จะรสู้ กึ ว่ากำลงั อยรู่ ว่ ม กบั กลั ยาณมติ ร มไิ ดอ้ ยู่รว่ มกบั ศตั รู ดงั นั้น เรอื่ งนจี้ งึ เป็นข้อเตอื นใจว่า แมจ้ ะเปน็ หมสู่ งฆท์ ร่ี ักการ ฝกึ ตน แต่ถ้าหากสมาชิกองคก์ รยังมไิ ดร้ ับการปลกู ฝงั ความรับผดิ ชอบ ตอ่ พระพทุ ธศาสนาอย่างเป็นทีมไว้มากพอ จนกระท่งั มศี ลี เสมอกนั มที ิฐิ เสมอกนั และมคี วามจริงใจต่อกนั การแตกความสามคั คีกย็ งั มโี อกาส เกดิ ข้นึ ในองค์กรนัน้ ไดเ้ สมอ สร้างปญั ญาเปน็ ทีม GNX๕ ภัยอนั ตรายของพระพทุ ธศาสนา kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
kalyanamitra.org
๒. วิธปี ้องกันแก!ขภยั ภายในพระพุทธศาสนา เมือ่ เราได้ศกึ ษาปญั หาการปกครอง ปัญหาการอบรมสมาชิกองคก์ ร และปญั หาการสร้างความสามคั คีในองคก์ รมาถึงจดุ น้ีแล้ว ก็จะพบวา่ ปญั หาภัยภายในทั้งสามประการนัน้ เปน็ อันตรายตอ่ ความมน่ั คงของ พระพทุ ธศาสนาเป็นอยา่ งย่ิง การที่จะปอ้ งกนั หรอื แกไขได้ วดั แต่ละวัดก็ตอ้ งฟกิ สมาชกิ ของตน ใหม้ ีความรบั ผดิ ชอบต่อพระพุทธศาสนาครบถ้วนท้งั ๒ ประการ นัน่ คือ ความรับผดิ ชอบประโยชนส์ ่วนตน และความรับผิดชอบประโยชน์ ส่วนรวม ความรับผดิ ชอบประโยชน์ส่วนตน คอื การฟิกฝนอบรมตนเอง เพ่ือปราบกเิ ลสให้เด็ดขาด เช่น การสำรวมอินทรยี ์ การรู้ประมาณในการ บรโิ ภค การประกอบความเพยี รเป็นเครื่องตืน่ ๑ เป็นต้น ความรบั ผดิ ชอบประโยชน์สว่ นรวม คอื การดูแลความม่ันคงของ พระพุทธศาสนาใหม้ ีอายยุ ่งั ยืนนาน เชน่ การอบรมทั่งสอนประชาชน ใหร้ ู้จกั ดี-ชั่ว, บญุ -บาป, มปี ระโยชน์-มโี ทษ การดแู ลวัดวาอารามให้เปน็ ปฏริ ปู เทส ๔ การคัดกรองคนเขา้ มาบวช การศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั อย่างทว่ั ถงึ เปน็ ตน้ สิ.สฬา.สารปี ุตตสทั ธิวหิ าริกสตู ร (ไทย) ๑๘/๑๒๐/๑๔๑-๑๔๓ ภัยอนั ดรายของพระพุทธศาสนา G)(XG? สรา้ งปญั ญาเปน็ ทีม kalyanamitra.org
ผูท้ ีป่ ฏิบตั ิได้ตามนี้ จงึ จะเป็นผูท้ ่มี คี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ พระพุทธ ศาสนาไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ สมดงั ทีพ่ ระบรมศาสดาตรัสไว้ในปจั ฉมิ โอวาทว่า “ภิกษทุ ้ังหสาย สงั ขารทั้งหลายมคี วามเสอี มไปเป็นธรรมดา เธอทง้ั หลาย จงยังประโยชนด์ นและประโยชนท์ ่านให้ถึงพร้อมดว้ ยความไม่ประมาท เถิด’\"' สำหรบั การป้องกนั แกัไขปญั หาภยั ภายในพระพุทธศาสนาในภาค ปฏบิ ัตนิ ้ัน พระบรมศาสดาทรงวางมาตรการฝึกความรับผิดชอบต่อ พระพุทธศาสนาใหแ้ ก่สมาชกิ องคก์ รไวด้ งั นี้ ๒.® วางหลกั สตู รฝกึ อบรมที่เปน็ 1มาตรฐานการศกึ ษาของหมสู่ งฆ์ ในพรรษาท่ี ๔๔ (๑ ปี กอ่ นปรินพิ พาน) พระบรมศาสดาได้วาง มาตรฐานการศึกษาของหมู่สงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนาไวอ้ ยา่ งชัดเจน โดยกำหนดหลักสูตรฝกึ อบรมสมาชกิ องค์กรไว้ ๗ ขน้ั ตอนB ด้งน้ี ร)) มกี ให้รักษาภิส ๒!๒(ๆ/ ขอ ๒) มกี ให้สำรวมอินทรีย์ ใจจะได้ไมฟ่ ังซา่ น ๓) มกี ใหร้ ปู้ ระมาณการบรโิ ภคอาหาร ๔) มกี ให้ทำสมาธิประกอบความเพียรเคร่อื งตน่ื อยเู่ นือง ๆ ๕) มกี ให.้ มสี ตสิ ัมปชัญญะประคองใจไวในกายทกุ อริ ิยาบถ * ท.ี ม.มหาปรินพิ พานสตู ร (ไทย) ๑๐/๒๑๘/๑๖๖, ท.ี ส.ี อ.พรหมชาลสูตร (ไทย) ๑๑/๑๔๙ ๒ ม.อุ.คณกโมคคลั ลานสูตร (ไทย) ๑๔/๗๔-๗๘/๗๘-๘๔ สรา้ งปัญญาเป็นทมี ภัยอนั ตรายของพระพทุ ธศาสนา kalyanamitra.org
๖) ลเี กให'ปลีกวิเวกอยูใ่ นเสนาสนะอนั สงัด ๗) ลเี กให้บำเพ็ญภาวนาบรรลุฌานที่ ๑ - ๔ หลักปฏบิ ัติท้ัง ๗ ข้อน้ี พระบรมศาสดาทรงมีพุทธประสงค์ เพื่อฟิก สมาชิกองคก์ รให้เป็นผมู้ คี วามรบั ผิดชอบตอ่ การสรา้ งคณุ ธรรมและ คุณวเิ ศษให้เกดิ ขนึ้ ในตนเอง ๒.๒ กำหนดให้พระธรรมวินยั เป็นศาสดาแทนพระองค์ ก่อนท่ีพระบรมศาสดาจะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ทรงมิไดแ้ ตง่ ตัง้ สาวกคนใดใหเ้ ป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่ทรงกำหนดใหพ้ ระธรรมวนิ ยั เป็นศาสดาแทนพระองคด์ ง้ น้ี ‘‘ดูกอ่ นอานนท์ ธรรมและวินัยใดอันเราแสดงแลว้ บัญญตั ิแลว้ แก่ เธอทง้ั หสาย ธรรมและวนิ ัยนัน้ อกั เป็นศาสดาของเธอท้งั หลาย เมื่อเรา ลว่ งลับไปแล้ว’^ การท่ีพระบรมศาสดากำหนดไว้เช่นนี้ กเ็ พราะทรงมพี ทุ ธประสงค์ ใหส้ มาชิกองค์กรมีความเคารพในการปฏบิ ตั อิ ริยมรรคมีองค์ ๘ ตอ่ ไป เหมอื นเมื่อครงั้ พระองค์ยังทรงมีพระชนมช์ พี อยู่ พระสัทธรรมทั้ง ๓ คอื ปดร้นิยคตั วสิ้ามทั 'ธ1รZรมแวปลาฏิบ๔ตั ิสอัทสธงรไรขมย ป๑ฏเิ โวธสสโัทหธารกรมปิ ทโพ่ี พระอลงคอื ์ทนรงโหย่มชไวี ปติ การตรัสรธู้ รรมของพระองค์จะได้เกิดประโยชน์สงู สุดตอ่ มวลมนษุ ยชาติ ต่อไป • ท.ี ม.มหาปรนิ ิพพานสูตร (ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔ ภยั อนั ตรายของพระพุทธศาสนา ไ©OO สร้างปัญญาเปน็ ทีม kalyanamitra.org
๒.ถ สั่งให้ภิกษุสงฆเ์ ลอื กอย่ใู นสำนักพระเลระผู้มีธรรม . ๑0 ประการ ทีค่ วรแกก่ ารเข้าไปพ่งึ พิงอาด้ย พระบรมศาสดาทรงเปน็ ตน้ แบบความรบั ผดิ ชอบตอ่ พระพุทธ ศาสนาอย่างยอดเยยี่ ม โดยทรงมรี บั ส่ังกบั พระอานนทไ์ ว้ลว่ งหน้าวา่ หากพระองคด์ ับขนั ธปรนิ พิ พานไปแลว้ ให้พระอานนทเ์ ปน็ ผู้สอนหลักเกณฑ์ ในการเลือกสำนักอาจารย์ให้แก่ภกิ ษรุ ุน่ หลงั แทนพระองค์ เชน่ ท่ีตรสั ไว้ ใน โดปกโมคคัลลานสูตร๑ ทรงใหภ้ ิกษุสงฆส์ ักการะ เคารพ นับถอื บูชา และใหเ้ ขา้ ไปอาศัยอยกู่ บั พระภกิ ษุผมู้ คี ณุ ธรรม ๑๐ ประการ ในฐานะ อาจารยท์ ตี่ นควรเคารพเลอ่ื มใสและเช่อื ฟังในคำสั่งสอนของท่าน มดี ้งน้ี ร)) เป็นผมู้ ีศึล สำรวมดว้ ยปาฏิโมกขสังวร ถึงพรอ้ มดว้ ย อาจาระและโคจรอยู่ ย่อมเป็นผูเ้ หน็ ภยั ในโทษเพยี งเลก็ นอ้ ย สมาทาน ศกึ ษาในสิกขาบทท้ังหลาย ๒) เปน็ พหูสูต ทรงการศึกษา สัง่ สมการศกึ ษา ธรรมทีง่ ามใน เบื้องตน้ งามในทา่ มกลาง งามในทส่ี ุด พร้อมทงั้ อรรถ พร้อมทงั้ พยญั ชนะ ประกาศพรหมจรรยบ์ รสิ ทุ ธบ้ื รบิ รู ณส์ ินเชงิ เหน็ ปานนนั้ ย่อมเป็นอนั เธอ ไตส้ ดับแลว้ มาก ทรงจำไวไ้ ด้ คล่องปาก เพง่ ตามไดด้ ว้ ยใจ แทงตลอดดี ด้วยความเห็น ๓) เป็นผู้สนั โดษดว้ ยจวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ และศลิ านปจั จยั เภสชั บรขิ าร * ม.อุ.โคปกโมคคัลลานสูตร (ไทย) ๑๔/๘๒/๘๙-๙๒ สรา้ งปัญญาเป็นทมี ไอ๐๑ ภยั อนั ตรายของพระพุทธศาสนา kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269