Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวัดและประเมินผล รวม

การวัดและประเมินผล รวม

Published by thanakit ritsri, 2022-05-23 18:49:26

Description: การวัดและประเมินผล รวม

Search

Read the Text Version

72 Kerlinger, F.N. (1986). Foundations of Behavioral Research. 3rd ed. New York : Holt Rinehart and Winston, Inc. Koul, L. (1984). Methodology of Educational Research. New Delhi : Vikas Publishing House pvt ltd. Wiesma, W. (1975). Research Method in Education. Illinois : Peacock Publisher 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

73 บทที่ 5 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 1. แนวคิด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการวัดผลการ เรียนรู้ด้านเนื้อหาของวิชานั้น และทักษะต่าง ๆ ของแต่ละวิชา เพื่อให้ผู้สอนทราบว่าผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถที่เกิดจากการเรียนการสอนเป็นไปตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ ซึ่งแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนควรมีความหลากหลาย เช่น ข้อสอบแบบอัตนัย หรือความเรียง ข้อสอบแบบ กาถูก–ผดิ ขอ้ สอบแบบเติมคำ ขอ้ สอบแบบตอบสั้น ๆ ข้อสอบแบบจับคู่ ข้อสอบแบบเลอื กตอบ เปน็ ต้น 2. เนื้อหา 2.1 ขอ้ สอบแบบอัตนัยหรือความเรยี ง 2.2 ข้อสอบแบบกาถกู – ผิด 2.3 ข้อสอบแบบเตมิ คำ 2.4 ขอ้ สอบแบบตอบส้ัน ๆ 2.5 ข้อสอบแบบจับคู่ 2.6 ข้อสอบแบบเลอื กตอบ 3. วัตถปุ ระสงค์ 3.1 สามารถอธิบายหลักการของขอ้ สอบแบบอตั นัยหรอื ความเรียงได้ 3.2 สามารถนำเสนอขอ้ มูลเกีย่ วกับขอ้ สอบแบบกาถูก – ผิดได้ 3.3 สามารถอภปิ รายเกีย่ วกบั ข้อสอบแบบเตมิ คำได้ 3.4 สามารถอธบิ ายเก่ียวกับข้อสอบแบบตอบส้นั ๆ ได้ 3.5 สามารถนำเสนอข้อมลู เก่ยี วกับขอ้ สอบแบบจบั คู่ได้ 3.6 สามารถอภิปรายเกย่ี วกบั ข้อสอบแบบเลือกตอบได้ 4. กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.1 กิจกรรมกอ่ นเรียน 4.1.1 อาจารย์และนิสิตร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับหัวข้อแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน 4.1.2 อาจารย์นำเข้าสบู่ ทเรียนเร่อื ง แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 4.2 กิจกรรมการเรียนรู้ในช้นั เรยี น 4.2.1 อาจารย์ผสู้ อนบรรยายแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

74 4.2.2 อาจารย์ผู้สอนและนิสิตร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อแบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ในประเด็นต่อไปนี้ - ขอ้ สอบแบบอตั นยั หรอื ความเรยี ง - ขอ้ สอบแบบกาถกู – ผิด - ขอ้ สอบแบบเตมิ คำ - ข้อสอบแบบตอบส้นั ๆ - ขอ้ สอบแบบจับคู่ - ข้อสอบแบบเลอื กตอบ 4.2.3 อาจารย์และนิสิตรว่ มกันสรปุ ความรเู้ กย่ี วกับเร่อื ง แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการ เรียน 4.3. กิจกรรมเสรมิ อาจารย์ให้นิสิตศึกษาเรื่อง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มเติมจากแหล่ง การเรียนรอู้ ืน่ ๆ แล้วสรุปเปน็ ชิน้ งานส่งในชวั่ โมงต่อไป 5. สอ่ื การสอน 5.1 เอกสารคำสอนเร่ือง การวัดและการประเมนิ ผลวชิ าภาษาไทย 5.2 PPT ประกอบการสอน เรื่อง แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 6. การวัดและประเมนิ ผล 6.1 การทดสอบ 6.2 การประเมนิ พฤติกรรมการมีสว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ 6.3 การเขา้ ชัน้ เรยี น 6.4 ความสามารถในการตอบคำถาม 6.5 การทำแบบฝึกหดั ท้ายบท 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

75 บทท่ี 5 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพของสมอง ด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้ว แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อาจแบ่งได้ เป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบท่คี รสู รา้ งกบั แบบทดสอบมาตรฐาน แต่เนอื่ งจากครตู ้องทำหน้าที่วัดผล และประเมินนักเรียน คือ เขียนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในวิชาที่ตนได้สอน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น ดังนั้นในที่นี้จะกล่าวรายละเอียดเฉพาะแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ประเภทท่ี ครสู ร้างขึน้ ซึ่งมหี ลายแบบแต่ท่ีนยิ มใชม้ ี 6 แบบ ดงั นี้ 1. ขอ้ สอบแบบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essay Test) อฐั พล อนิ ตะ๊ เสนา (2561) กลา่ วถงึ ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรยี ง ไว้ดงั น้ี ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะคำถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขยี นบรรยายตามความรู้ และข้อคดิ เหน็ ของแต่ละคน หลกั ในการสร้าง 1. เขียนคำชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ชัดเจน ระบุจำนวนข้อคำถาม เวลาที่ใช้ ในการสอบ และคะแนนเต็มของแต่ละข้อ 2. เนื่องจากข้อสอบแบบนี้มีเฉพาะคำถาม และแต่ละข้อมักจะให้คะแนนมาก ดังนั้นควรเขยี นคำถามใหช้ ดั เจน เพื่อไมใ่ ห้ไขวเ้ ขวในการตอบ 3. ไมค่ วรตัง้ คำถามเฉพาะประเภทความรู้ความจำ หรอื ถามปัญหาทีม่ ีคำถามในหนังสือ ซึ่งเป็นการให้ตอบแบบจำกัด (Restricted Response) แต่พยายามถามประเภทสูงกว่าความรู้ความจำ คือคำถามประเภทให้วเิ คราะหห์ รือสังเคราะห์ ซง่ึ เปน็ การใหต้ อบแบบขยาย (Unrestricted Response) มักขึ้นต้นด้วยคำว่า จงอธิบาย จงอภิปราย จงเปรียบเทียบ จงบรรยาย จงวิเคราะห์ ให้ประมาณค่า ให้บอกความสมั พันธ์ ใหว้ ิจารณ์วเิ คราะห์ เปน็ ตน้ 4. กำหนดเวลาใหต้ อบนานพอสมควร เพราะผตู้ อบตอ้ งใชเ้ วลาในการรวบรวมความคิด จัดระบบความคิด และเขียนคำตอบด้วยถ้อยคำของตนเอง หากกำหนดเวลาน้อยไม่สามารถใช้พลัง ความคดิ ไดเ้ ต็มความสามารถจะกลายเปน็ วัดความจำ ทำใหก้ ารสอบขาดคณุ ภาพอย่างย่งิ 5. เลือกคำถามเฉพาะจุดที่สำคัญของเรื่อง เพราะไม่สามารถถามได้ทุก ๆ เนื้อหา ท่ีเรยี น 6. ไม่ควรมีการเลือกตอบเป็นบางข้อ เช่น 7 ข้อ ให้เลือกทำ 6 ข้อ หรือ 4 ข้อ ใหเ้ ลอื กทำ 3 ขอ้ โดยมีเหตุผลดงั นี้ 6.1 ไม่สามารถวดั เรอ่ื งที่สำคัญได้ทกุ เรอื่ ง 6.2 คำถามแต่ละข้อมีความยากง่ายไม่เท่ากัน จะมีปัญหาในการจัดตำแหน่ง ผ้เู ขา้ สอบว่าใครจะเก่งกว่ากนั โดยเฉพาะการประเมินแบบอิงกลุ่ม 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

76 6.3 ไม่ยตุ ิธรรมกับผูท้ ่สี ามารถตอบได้ทุกข้อ ซึง่ มโี อกาสได้คะแนนเท่ากับผู้ที่ตอบได้ เพยี งบางขอ้ 7. การตรวจใหค้ ะแนนควรปฏิบัติดังน้ี 7.1 เขียนแนวคำเฉลยไว้ก่อน และระบคุ ะแนนว่าประเดน็ ตอนใดควรไดก้ ี่คะแนน 7.2 ควรตรวจเฉพาะขอ้ เดียวจนครบทุกคน แล้วจงึ ตรวจข้อตอ่ ไปของทกุ คนเชน่ เดิม 7.3 ไมค่ วรดูชื่อผ้สู อบเพือ่ ป้องกันไม่ให้เกดิ อคตใิ นการใหค้ ะแนน ตวั อย่างขอ้ สอบ 1. จงอภิปรายหลักการสรา้ งคำในภาษาไทย พร้อมท้ังยกตัวอย่างประกอบ 2. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างคำเป็นกับคำตายว่ามคี วามแตกตา่ งกันอยา่ งไร 3. จงเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างประโยคความเดียว ประโยคความรวม และ ประโยคความซ้อน 4. วรรณคดี เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน สีดาลุยไฟ มีคุณค่าทางวรรณศิลป์อย่างไร จงอธิบาย 5. จงวิเคราะห์ตัวละครในวรรณกรรมเรื่องเพชรพระอุมาว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร จงอธบิ ายพรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ ขอ้ ดขี องขอ้ สอบแบบอัตนยั หรอื บรรยาย 1. สามารถวัดพฤติกรรมด้านการคิด โดยเฉพาะด้านการวิเคราะห์ และ ด้านการสงั เคราะห์ 2. ผ้ตู อบได้มโี อกาสแสดงความคดิ เหน็ หรอื เจตคตขิ องตน 3. โอกาสในการตอบเดาโดยไมม่ คี วามรู้เร่ืองนน้ั แล้วไดค้ ะแนนมีน้อย 4. วดั ความสามารถในการเขยี นและสง่ เสริมการใชภ้ าษาได้เป็นอย่างดี ข้อจำกดั ของขอ้ สอบแบบอัตนยั หรือบรรยาย 1. ออกคำถามวัดได้หลายข้อ เนื่องจากแต่ละข้อจะต้องใช้เวลาตอบนาน จึงวัดได้ ไมค่ ลมุ หลักสูตร หรอื เนื้อหาสาระทีส่ ำคญั ๆ 2. การตรวจใหค้ ะแนนมีความคลาดเคลื่อนมาก ควบคุมให้เกิดความยตุ ิธรรมได้ยาก 3. ไม่เหมาะสมท่จี ะใช้สอบกับนักเรียนจำนวนมาก ๆ เพราะใชเ้ วลาในการตรวจมาก 4. ลายมอื ของผู้ตอบ และประสทิ ธภิ าพในการเขียนบรรยายอาจมีผลตอ่ การให้คะแนน 2. ข้อสอบแบบกาถูก – ผิด (True – False Test) Tuckman (1978) กลา่ วถงึ ขอ้ สอบแบบกาถกู – ผิด ดังนี้ ลักษณะทั่วไป ข้อสอบแบบกาถูก – ผิด คือ ข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่ และมีความหมายที่ตรงกันข้าม เช่น ถูก – ผิด ใช่ – ไม่ใช่ จริง – ไม่จรงิ เหมอื นกนั – ตา่ งกนั เปน็ ตน้ หลักในการสรา้ ง 1. เขียนคำถามใหร้ ัดกุมส้นั ๆ แตม่ ีข้อมูลพอว่าจะตดั สินใจว่าถูกหรือผิด การที่เขียนสั้น เกนิ ไปอาจจะตัดสนิ ใจไม่ได้ เชน่ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

77 ไม่ดี นางวนั ทองเป็นคนดี ดีขึน้ นางวนั ทองเปน็ คนดี เพราะรกั สามีทั้งสองคน 2. ควรเขียนข้อคำถามด้วยภาษาง่าย ๆ ชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่ควรเขียนในรูปปฏเิ สธ ซอ้ น เพราะผูท้ ำข้อสอบจะสบั สนโดยใช่เหตุ เชน่ ไมด่ ี ไม่ใช่ พระนารายณท์ ่ี ไมไ่ ด้ ทรงประดิษฐ์อกั ษรไทย ดีข้นึ พระนารายณท์ รงประดิษฐอ์ กั ษรไทย 3. ไม่ควรใช้คำว่า เสมอ ๆ ไม่ค่อยจะ อาจจะ บางครั้ง บ่อย ๆ ทั้งสิ้น ฯลฯ เพราะคำเหล่าน้จี ะทำให้ผูต้ อบพจิ ารณาได้ง่ายว่าถกู หรือผิด หรือบางคร้งั ตัดสินใจไม่ไดว้ า่ ถูกหรอื ผดิ เชน่ ไมด่ ี ในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา พม่ายกกองทพั มาตไี ทยบ่อย ๆ ดีข้ึน ในสมยั กรุงศรอี ยุธยา พมา่ เคยยกกองทัพมาตไี ทย 4. ควรออกข้อสอบให้มขี อ้ ถูกกบั ข้อผดิ จำนวนใกล้เคียงกนั เพือ่ ปอ้ งกนั การคาดเดาและ ควรสลบั ขอ้ ถกู – ผดิ อย่างไม่เปน็ ระบบ 5. หลักการให้คะแนน ไม่ควรใช้วิธีการหักคะแนนหรือติดลบในข้อที่ทำผิด หรือคิดว่า ตอบผิด เพราะจะเกิดปัญหาในการเปรียบเทียบคะแนนของแต่ละคนว่าใครเก่งกว่า เช่น มีข้อสอบ กาถูก – ผิด 30 ข้อ คนแรกเลือกตอบเพียง 15 ข้อ ผลตอบถูก 15 ข้อ จะได้คะแนน 15 คะแนน คนหลังทำหมดทุกข้อ ผลตอบถูก 20 ข้อ ผิด 10 ข้อ จะได้ 10 คะแนน ดังนั้นจะสรุปว่าคนแรก เก่งกว่า คนหลังก็เป็นการตัดสินที่ผิดหลักการที่ดี วิธีที่ดีต้องให้ทำทั้ง 30 ข้อเท่ากัน โดยไม่มีการหักคะแนน จึงจะเปรียบเทียบกันได้ชัดเจนขึ้น และกรณีที่ถูก 10 ข้อ ทำผิด 20 ข้อ จะได้กี่คะแนน และ จะแปลความหมายวา่ อยา่ งไร อันที่จริงข้อสอบกาถูก – ผิด ก็เป็นข้อสอบที่ให้ความยุติธรรมแก่ผู้เข้าสอบดีในระดับ หนึง่ แตน่ ักเรียนไดค้ ะแนน เพราะการเดามโี อกาสค่อนข้างสูง ตัวอย่างขอ้ สอบ 1. พ่อขุนรามคำแหงเป็นผูป้ ระดษิ ฐ์อกั ษรไทย 2. ปัจจบุ นั พยญั ชนะไทยมที ้งั หมด 42 ตวั 3. เกษียร แปลวา่ น้ำนม 4. อศั วพาหเุ ปน็ นามปากกาของรชั กาลที่ 6 5. ม้านำ้ เป็นสัตวเ์ ลี้ยงลูกด้วยนม ขอ้ ดีของขอ้ สอบแบบ กาถูก – ผดิ 1. สรา้ งไดง้ า่ ยสะดวกรวดเรว็ 2. ถามไดจ้ ำนวนมากขอ้ และครอบคลุมเน้ือหา 3. ใช้เวลาในการสอบนอ้ ย 4. ตรวจใหค้ ะแนนไดง้ ่ายและยตุ ธิ รรม ขอ้ จำกัดของข้อสอบแบบกาถูก – ผิด 1. มกั วดั พฤตกิ รรมด้านความรคู้ วามจำมากกว่าดา้ นอ่นื ๆ 2. ไม่สามารถช้ีจุดอ่อนของดา้ นการเรยี นไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

78 3. โอกาสที่ตอบโดยการเดาแลว้ ถูกได้คะแนนมมี ากกว่าข้อสอบแบบอื่น ๆ จึงไม่เหมาะ ทจี่ ะนำไปใช้วดั โดยทัว่ ไป ดงั น้นั ควรปรับปรุงใหเ้ ป็นข้อสอบแบบเลือกตอบท่ีมีตัวเลือก 4–5 ตัวจะดีกว่า (Kirk, 1995) 3. ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion Test) Kumar (1999) กลา่ วถงึ ข้อสอบแบบเตมิ คำ ดังนี้ ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ แล้วให้ผู้ตอบเติมคำ หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้น เพื่อให้มีใจความสมบูรณ์และ ถกู ตอ้ ง หลกั ในการสรา้ ง 1. ไม่ใช้ข้อความหรือประโยคจากหนังสือแล้วตัดคำบางคำ หรือบางข้อความออก ใช้เป็นคำถาม เพราะการนำข้อความมาใช้เพียงบางส่วนอาจจะไม่กระชับความ จึงควรใช้ข้อความของ ผู้ออกข้อสอบเอง โดยเขยี นประโยคหรอื ข้อความดว้ ยภาษาเขยี นที่ง่าย และชดั เจน 2. คำตอบที่ต้องการให้เติมหรือที่ถูกจะต้องเป็นคำตอบที่เฉพาะเจาะจงไม่ตีความได้ หลายนยั เชน่ ไม่ดี สุนทรภูเ่ กดิ ใน............................................................. ดขี น้ึ สุนทรภูเ่ กดิ ในปี พ.ศ. ................................................. ไมด่ ี ไตรยางศม์ ีความสำคญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ การเรยี น เพราะ................................... ดขี ึ้น ไตรยางศม์ ีความสำคญั ต่อการเรยี นเรือ่ งการผนั วรรณยุกต์ เพราะ........... 3. แตล่ ะขอ้ ใหเ้ ติมแห่งเดียวตอนท้ายประโยคหรือข้อความ แตถ่ า้ จำเป็นอาจเว้นไว้เติม สว่ นอน่ื และมากกวา่ หน่ึงแห่งก็ได้ 4. ตำแหน่งที่ให้เติมต้องเป็นจุดที่สำคัญจริง ๆ การเว้นจุดที่สำคัญให้เติม จะไม่ช่วยให้ เกดิ ประโยชน์ต่อการทดสอบ เช่น ไม่ดี พอ่ ขนุ รามคำแหง...................อกั ษรไทย เม่ือปี พ.ศ. 1829 ดขี ้ึน พอ่ ขุนรามคำแหงทรงประดิษฐอ์ กั ษรไทย เมื่อปี พ.ศ. .............................. ไมด่ ี มัจฉานุ เป็นลกู ของหนมุ านกับ................................สพุ รรณมจั ฉา ดขี ้ึน มจั ฉานุ เป็นลกู ของหนมุ านกับนาง............................................... 5. การเว้นช่องว่างให้เติม ควรคะเนให้พอสำหรับคำตอบได้อย่างครบถ้วน และแต่ละ ข้อควรเวน้ ช่องว่างขนาดเทา่ ๆ กัน เพอื่ ป้องกนั การแนะนำคำตอบว่าจะส้ันยาวเท่าใด ตวั อยา่ งขอ้ สอบ 1. ผู้แต่งเรอื่ งพระอภัยมณี คอื .................................................................................... 2. นางเบญกาย เป็นธิดาของ...................................................................................... 3. สี่แผ่นดิน เปน็ นวนยิ ายเน้ือหาองิ ประวตั ิศาสตร์ไทยในชว่ งรชั กาล........................ 4. ไก่งามเพราะขน ..................................................................................................... 5. พระอภัยมณเี ป็นนิทานคำกลอนแตง่ ด้วยคำประพันธช์ นิดใด................................ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

79 ข้อดขี องขอ้ สอบแบบเตมิ คำ 1. สรา้ งคำไดง้ า่ ย สะดวกและรวดเรว็ 2. สามารถสรา้ งคำถามวดั ในเร่อื งหนึง่ ๆ ได้หลายข้อ 3. โอกาสเดาโดยไม่มีความรู้แลว้ ไดค้ ะแนนมนี ้อยมาก ขอ้ จำกัดของขอ้ สอบแบบเตมิ คำ 1. มักจะวัดความรู้ความจำเพียงอย่างเดียว ไม่ได้วัดสมรรถภาพทางสมองที่ลึกกว่าน้ี เช่น การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ หรอื การประเมินคา่ ฯลฯ ซงึ่ นบั วา่ เป็นจดุ ออ่ นอยา่ งยง่ิ 2. ถ้าส่วนที่ต้องเติมมีหลายเรื่อง หรือหลายประโยคจะไม่เหมาะในการสร้างข้อสอบ แบบเตมิ คำ เพราะการเว้นท่อี าจจะแนะนำคำตอบแก่นักเรยี นได้ เช่น บลมู ไดแ้ บง่ พฤติกรรมด้านพุทธิพสิ ยั ออกเป็น............ขนั้ คอื 1. ........................... 2. ........................... 3. ........................... 4. ........................... 5. ........................... 6. ........................... ข้อนถี้ ามจำนวนข้ันด้วย ก็ต้องเว้นไวม้ ากกว่า 6 ขอ้ เชน่ เวน้ ไว้ 10 ข้อ เปน็ ต้น หาก ระบุวา่ มี 6 ขอ้ จงึ เว้นไว้ใหเ้ ตมิ เพยี ง 6 ขอ้ กเ็ หมาะสมถกู ต้อง 3. ถ้าเขียนข้อความหรือประโยคนำไม่ดี ผู้ตอบจะตอบไปคนละทิศทางเพราะเข้าใจ ไม่ตรงกนั (ขาดความเปน็ ปรนยั ) เช่น รัตนตรยั คือ ................................................................................. 4. ขอ้ สอบแบบตอบส้ัน ๆ (Shot Answer Test) Shavelson (1988) กล่าวถึง ข้อสอบแบบตอบส้นั ๆ ดงั น้ี ลักษณะทั่วไป คล้ายกับข้อสอบแบบเติมคำ แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขยี นเปน็ ประโยคคำถามสมบูรณ์ (ขอ้ สอบเตมิ คำเป็นประโยคหรือข้อความทยี่ ังไม่สมบูรณ์) แล้วใหผ้ ู้ตอบ เป็นคนเขียนคำตอบ คำตอบที่ต้องการจะสั้น กะทัดรัด และได้ใจความสมบูรณ์ไม่เป็นการบรรยายแบบ ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียงจึงเหมาะกับการถามความคิดรวบยอด (Concept) หรือหลักการ (Principle) ของเร่อื งตา่ ง ๆ หลกั ในการสร้าง 1. คำตอบที่ต้องการมักจะสั้นเป็นคำเดียว วลีเดียว หรือประโยคสั้น ๆ ที่ได้ใจความ ครบถ้วนสมบรู ณ์ 2. คำตอบทไ่ี ดต้ อ้ งเปน็ ประเภทตายตัวแน่นอน 3. ใช้กบั คำถามท่เี ก่ยี วข้องกบั ศัพท์ กฎ นยิ าม สจั พจน์ ความคดิ รวบยอด หรอื หลักการ ฯลฯ ตัวอย่างขอ้ สอบ 1. ศีล แปลวา่ อะไร 2. นพ แปลวา่ อะไร 3. เรอื่ งพระอภัยมณเี ป็นบทประพันธข์ องใคร 4. คำว่า ปรนยั หมายความว่าอย่างไร 5. เสาวรจนี หมายถงึ อะไร และมีหลักในการสังเกตอย่างไร 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

80 ข้อดขี องข้อสอบแบบตอบส้นั ๆ 1. เดาคำตอบไดย้ ากเพราะต้องเขียนตอบ 2. เหมาะทจ่ี ะวัดพฤตกิ รรมทางด้านความร้คู วามจำ หรอื ให้จำขอ้ ความทกุ ประโยค ทกุ คำพูด หรือความรเู้ ก่ียวกับกฎ นิยาม ทฤษฎี หลักการ และความคิดรวบยอด 3. สามารถวัดขอ้ เทจ็ จรงิ ในเนือ้ หาวิชาที่เสนอในรูปแบบแผนท่ี รปู ภาพ รูปจำลองตา่ ง ๆ ข้อจำกัดของแบบตอบสั้น ๆ 1. มีปัญหาในการตรวจให้คะแนน เพราะคำตอบที่ผู้เขียนตอบนั้นอาจจะผิดพลาด เล็กนอ้ ยด้านภาษา ทำให้ไมไ่ ดค้ ะแนนหรอื ได้คะแนนเพยี งบางสว่ นท้งั ๆ ทีน่ ักเรยี นมคี วามรใู้ นเรื่องนัน้ 2. การเขยี นคำตอบให้จำเพาะเจาะจง และมคี ำตอบเพยี งคำตอบเดียวจริง ๆ ทำไดย้ าก จึงเปน็ ขอ้ สอบทไ่ี ม่จงใจให้ตอบยาก 3. มักจะถามได้เฉพาะพฤติกรรมที่เกี่ยวกับความรู้ ความจำ จึงไม่แสดงความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ หรอื การสังเคราะห์ (Marshall and Rossman, 2006) 5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) สำนักวชิ าการและมาตรฐานทางการศกึ ษา (2557) กลา่ วถึงขอ้ สอบแบบจับคู่ ไวด้ ังนี้ ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึง่ โดยมีคำหรือขอ้ ความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่กับคำ หรือข้อความใดในอีกชุดหน่ึง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดไว้ เช่น ให้ความสัมพันธ์ ระหว่าง ศพั ท์ กบั คำแปล เวลา กบั เหตุการณ์ หรอื เรื่องราว หรอื สถานที่ โจทยป์ ญั หา กับ ผลลพั ธห์ รือคำตอบ ช่อื เคร่อื งมอื กบั การนำไปใช้ หรอื ลักษณะเด่น - ดอ้ ย ช่อื คน กบั ผลงาน ชอ่ื สตู รเคมี กบั ชื่อสามัญ ชนดิ ของคำประพนั ธ์ กบั ตวั อยา่ งคำประพนั ธ์ ชอ่ื บทละคร กบั ชอ่ื ตัวเอกของบทละคร ฯลฯ หลกั ในการสรา้ ง 1. ตัวเลือกต้องมีจำนวนมากกว่าตัวยืน 2 - 4 ตัว เช่น ถ้าตัวยืนมี 5 ข้อ ตัวเลือก ควรจะมี 7 - 8 ตวั ถ้าตัวยนื มี 8 ขอ้ ตวั เลอื กควรจะมี 10 - 12 ตวั เปน็ ตน้ ถ้าตวั เลือกกบั ตวั ยืนมีจำนวน เท่ากัน โอกาสในการเดาถูกของขอ้ หลงั ๆ จะสูงมาก และเฉพาะขอ้ สดุ ท้ายจับคูไ่ ด้ทันที โดยไมต่ อ้ งคิดหา 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

81 คำตอบ ซึ่งผิดหลักการทดสอบประเภทเลือกคำตอบ (หลักในข้อนี้ยึดแนวข้อสอบแบบเลือกตอบ คือ สำหรับนักเรียนชั้น ป.1 - ป.2 ขอ้ สอบข้อสุดทา้ ยของแบบจบั คู่ ควรจะมีตัวเลอื ก 3 ตัว เช่น ถ้ามีข้อสอบ 5 ข้อ ควรมีตัวเลือก 7 ตัว ส่วนชั้น ป.3 - ป.6 และชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป ข้อสอบข้อสุดท้ายของ แบบจับคคู่ วรมตี ัวเลือก 4 ตัว และ 5 ตัว ตามลำดับ) (ประสาท เนืองเฉลิม, 2564) 2. ตัวยืนควรจะมี จำนวน 5 - 10 ข้อ ถ้าตัวยืนมีน้อยเกินไป เช่น 3 ข้อ การจับคู่หา คำตอบจะง่ายมาก และถ้าตัวยืนมีมากเกินไป เช่น 20 - 30 ข้อ ผู้สอบจะเกิดความสับสน การจับคู่หา คำตอบจะยากเกนิ ไป เพราะตอ้ งอ่านตัวยนื ตัวเลอื กหลายครง้ั จงึ ถอื ได้วา่ เป็นขอ้ สอบท่ีขาดคุณภาพ 3. ข้อความในแต่ละชุดต้องเป็นเอกพันธ์ เป็นเรื่องราวในลักษณะเดียวกันซึ่งในเรื่องนี้ ถือเปน็ หลักสำคัญมากของข้อสอบหมวดน้ี ถ้าข้อความในชุดเดยี วกันมหี ลายลักษณะปนกนั จะกลายเป็น ข้อสอบแบบจับคู่ในแต่ละเร่ืองทีม่ ตี ัวยนื เพียง 2 – 3 เท่านั้น ขอ้ สอบจะงา่ ยโดยใช่เหตุ กรณีที่มีหลายเรื่องหลายลักษณะปนกัน (ไม่เป็นเอกพันธ์) ควรจะแยกข้อสอบจับคู่ ออกเปน็ ตอน ๆ โดยใหแ้ ตล่ ะตอนเปน็ เรอื่ งราวในลกั ษณะเดียวกนั อยา่ งน้อยตอนละ 5 ขอ้ 4. ตัวยืนในแต่ละข้อมีโอกาสจับคู่กับตัวเลือกทุกข้อ แต่ข้อที่ถูกต้องมีเพียงข้อเดียว ห้ามใชเ้ ลย ในตัวเลือกหนงึ่ ข้อสามารถจบั คกู่ บั ตวั ยืนแล้วถูกมากกวา่ หนึ่งข้อ ถือไดว้ ่าไมย่ ุตธิ รรมแก่ผู้ตอบ เพราะผู้ตอบจะสับสนจึงไม่เหมาะกับข้อสอบชนิดน้ี (ถา้ ตอ้ งการใหต้ ัวเลือกหน่ึงข้อ จบั คกู่ บั ตัวยืนแล้วถูก มากกว่าหนงึ่ ข้อ ควรสรา้ งเป็นขอ้ สอบแบบเลอื กตอบชนิดทตี่ ัวเลือกคงที)่ 5. ข้อสอบในชุดตัวยืนและตัวเลอื กทุกข้อต้องอยู่ในหน้าเดียวกัน จะช่วยประหยัดเวลา และสะดวกในการทำข้อสอบ 6. ต้องระบคุ วามสัมพันธ์ของข้อความทั้งสองชุดให้ชดั เจน โดยเขยี นคำชี้แจงว่าจะจับคู่ โดยหยดุ ความสัมพันธแ์ บบใด 7. รูปแบบของข้อสอบจับคู่ส่วนใหญ่จะให้ผู้ตอบนำอักษรหน้าข้อความทางขวามือ ไปใส่ในวงเล็บหน้าข้อความทางซ้ายมือที่คิดว่าสัมพันธ์กัน ลักษณะเช่นนี้ผู้ทำข้อสอบจะไม่สะดวก เทา่ ทค่ี วรจงึ ควรเปล่ยี นรูปแบบใหม่ ดงั ตัวอยา่ งขา้ งลา่ งน้ี ตัวอย่างข้อสอบ (ระดบั มธั ยม) คำชี้แจง จากข้อ 1 - 5 ให้พิจารณาตัวละครในแต่ละข้อจากแถวขวามือว่า อยู่ในวรรณคดเี รื่องอะไรจากแถวซ้ายมอื แล้วเอาเฉพาะตวั อักษรหน้าข้อในแถวซ้ายมือ ใส่ในวงเลบ็ หลัง ขอ้ ความของแต่ละข้อทคี่ ดิ ว่าถกู ต้องทีส่ ุด เพียงตัวเลอื กเดยี ว (วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์, 2553) ก. กากี 1. มะเดวี (..................) ข. อิเหนา 2. มณโฑ (..................) ค. สังขท์ อง 3. ปอเชีย (..................) ง. รามเกียรต์ิ 4. ปอละเตียง (..................) จ. เวนิชวานิส 5. สุวรรณมาลี (..................) ฉ. พระอภัยมณี ช. ผชู้ นะสบิ ทศิ ซ. ขุนช้างขุนแผน ฌ. กามนิตวาสิฏฐี 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

82 ขอ้ จำกดั ของข้อสอบแบบจับคู่ 1. สรา้ งไดง้ า่ ย สะดวกรวดเรว็ 2. เหมาะทีจ่ ะนำไปวัดความจำ หรือความจรงิ ตามทอ้ งเรอื่ ง 3. ตรวจใหค้ ะแนนได้ง่าย และยุติธรรม ขอ้ จำกดั ของขอ้ สอบแบบจับคู่ 1. ข้อสอบมักจะไม่เป็นเอกพันธ์ ทำให้จับคู่ในกลุ่มเดียวกันได้เพียง 2 - 3 ข้อ จงึ เปน็ ขอ้ สอบทง่ี า่ ยมากกว่าท่ีคดิ ไว้ 2. ไมส่ ามารถวดั พฤตกิ รรม ประเภทวเิ คราะห์ หรือสงั เคราะห์ 3. ผู้ตอบมักจะสับสน เพราะไมแ่ นใ่ จว่าเป็นความสมั พันธใ์ นเร่อื งหรอื ประเด็นใด 4. ไม่เหมาะที่จะนำข้อสอบชนิดนี้ไปสร้างข้อสอบจำนวนมาก ๆ ข้อ หรือนำไปวัดให้ ครอบคลุมทุกเนื้อหา 6. ข้อสอบแบบเลอื กตอบ (Multiple Choice Test) สมนึก ภัททิยธนี (2553) กลา่ วถึง ข้อสอบแบบเลอื กตอบ ดังนี้ ลักษณะทั่วไป คำถามแบบเลือกตอบประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนำหรือคำถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนี้จะประกอบดว้ ยตวั เลือกทีเ่ ป็นคำตอบถูก และตัวเลือกที่ เป็นตัวลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้นักเรียนพิจารณา แล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดเพียง ตัวเลอื กเดียวจากตัวเลือกอื่น ๆ หลกั ในการสร้างคำ 1. เขียนตอนนำให้ประโยคคำถามสมบูรณ์ อาจจะใส่เครื่องหมายปรัศนี (?) ด้วย แต่ไม่ควรสร้างตอนนำให้เป็นแบบอ่านต่อความ เพราะทำให้คำถามไม่กระชับ เกิดปัญหาสองแงห่ รือข้อความไม่ตอ่ กัน หรือเกิดความสับสนในการคิดหา คำตอบ เช่น ไม่ดี ไกรลาสเป็นชอื่ ของ ดีขึน้ ไกรลาสเป็นชื่อของสถานท่ีใด ก. ทุ่งนา ก. ทุ่งนา ข. แม่นำ้ ข. แม่นำ้ ค. ภเู ขา ค. ภูเขา ง. ท้องฟา้ ง. ทอ้ งฟ้า จ. สวรรค์ จ. สวรรค์ 2. เนน้ เรอ่ื งจะถามให้ชดั เจนและตรงจุด เพื่อช่วยให้ผู้ทำข้อสอบไม่ไขว้เขว สามารถมีมุมความคิดในการตอบไปถูกทิศทาง (เป็นปรนัย) ไม่ต้องอ่านคำถามคำตอบย้อนขึ้นย้อนลงหลายครั้ง โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษาต้อง คำนงึ ถึงเร่อื งนีใ้ ห้มาก ๆ เชน่ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

83 ไมด่ ี ทพิ ากร คอื อะไร ก. พระอาทติ ย์ ค. พระจนั ทร์ ข. โลก ง. แกว้ สามดวง จ. ดวงดาว ข้อนี้ไม่ทราบว่าต้องการถาม คำแปล หรือต้องการถาม ดังนั้นต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะ ถามอะไร เชน่ ดขี ้ึน ถ้าถาม คำแปล ควรเขยี นว่า ทพิ ากร แปลว่าอะไร ถ้าถาม ความหมาย ควรเขยี นวา่ ทพิ ากร หมายถึงอะไร 3. ควรถามในเรอื่ งทมี่ คี ุณค่าตอ่ การวดั หรอื ทำในสง่ิ ท่ดี ีงามมีประโยชน์ คำถามแบบเลือกตอบสามารถถามพฤติกรรมในสมองได้หลาย ๆ ด้าน คือ ถามให้คิด หรือนำความรู้ที่ได้เรียนไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ไม่ใช่ถามเฉพาะความจำ หรือความจริงตามตำรา หรอื ถามรายละเอยี ดเกนิ ความจำเป็นซง่ึ ไมใ่ ช่สาระสำคญั อีกประการหนง่ึ ทีจ่ ดั วา่ ไม่มคี ณุ ค่าต่อการวัดคือ ใช้ความพยายามในการเขียนตัวเลือกน้อยเกินไป กล่าวคือ มีเพียง 2 – 3 ตัว แล้วใช้ตัวเลือกเหล่านั้น ซ้ำ ๆ กันทำใหเ้ ป็นข้อสอบที่ขาดประสทิ ธิภาพ (Best and Kahn, 1993) ถา้ ต้องการให้ตวั ถูกเป็น 2 ข้อความ ก็ควรสร้างตัวเลอื กให้มี 2 ข้อความ เพ่อื ให้ตัวเลือก เหลา่ น้นั มนี ำ้ หนกั เทา่ ๆ กนั ยากแกก่ ารเดา เชน่ ก. รวิ และ รวี ง. ศศกิ ษยั และ ศศธิ ร ข. คงคา และ รตั นากร จ. กลว้ ยหอม และ ยางพารา ค. ปักษา และ สกุณี ส่วนการถามในสิ่งที่ดีงามมีประโยชน์ จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้สิ่งที่ดีงามหรือ เป็นแบบอย่างในทางที่ดี หรือเกิดคุณค่าในการปลูกฝังสิ่งที่สังคมยอมรับ ในทางตรงกันข้ามสิ่งใดไม่ดี ก็ควรถามในแงไ่ มด่ ีหรอื กอ่ ให้เกิดโทษ เชน่ ไมด่ ี การเขียนเรยี งความดีอย่างไร ดขี ึ้น การเขยี นเรยี งความมปี ระโยชน์อยา่ งไร ก. การเขียนช่วยจัดระบบความคดิ ก. การเขียนชว่ ยจดั ระบบความคิด ข. ทำใหม้ สี มาธิ ข. ทำใหม้ สี มาธิ ค. เปน็ หน่งึ ในทักษะการสอื่ สารท่สี ำคัญ ค. เปน็ หนง่ึ ในทักษะการสอ่ื สารทสี่ ำคัญ ง. เพิม่ ประสิทธิภาพการทำงาน ง. เพม่ิ ประสิทธภิ าพการทำงาน 4. หลกี เลยี่ งคำถามปฏเิ สธ ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรพิมพ์ตัวหนาหรือขีดเส้นใต้คำปฏิเสธนั้น แต่คำปฏิเสธซ้อน ไม่ควรใช้อย่างยิ่ง เพราะปกตินักเรียนจะยุ่งยากต่อการแปลความหมายของคำถาม และตอบคำถามที่ ถามกลับ หรอื ปฏเิ สธซ้อนผิดมากกวา่ ถูก (Cohen, 1977) เช่น 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

84 ไมด่ ี ถ้าตน้ ไม้ไม่ไดร้ ับแสงแดด ใบจะไมม่ ลี กั ษณะ ดขี นึ้ ถ้าต้นไมไ้ มไ่ ด้รับแสงแดดจะมีลกั ษณะ อย่างไร อย่างไร (ซีด) หรือ ตน้ ไม้ที่ได้รับแสงแดด ใบจะมลี กั ษณะ ก. ซีด ค. เขียว อยา่ งไร (เขยี ว) ข. แห้ง ง. เหยี่ ว 5. อย่าใช้คำฟุ่มเฟอื ย ควรตั้งคำถามโดยตรง สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่ได้ใช้เป็นเงื่อนไขในการคิดก็ต้องนำมา เขยี นไวใ้ นคำถามจะชว่ ยใหค้ ำถามรัดกุม ชัดเจนขนึ้ เช่น ไม่ดี ถ้านักเรียนจะแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี 11 ทราบหรือไม่ว่ากาพย์ ยานี 11 มีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร ? ก. บังคับจำนวนคำ ค. บังคับครุ ลหุ ข. บังคับเอก โท ง. บังคบั สมั ผสั ดีข้ึน คำประพันธป์ ระเภทกาพยย์ านี 11 มลี ักษณะเปน็ อย่างไร บางครั้งใช้คำพูดฟุ่มเฟือยในตัวเลือกโดยไม่จำเป็น เช่น ใช้คำซ้ำ ๆ (ยกเว้นคำที่แสดง เหตุผลหรือคำที่เป็นอาการนาม เช่น เพราะ การ ความ รวมทั้งหน่วยที่เกิดจากการคำนวณในทาง คณติ ศาสตร์หรือวทิ ยาศาสตร์ ไมถ่ อื วา่ ซำ้ ซอ้ นฟมุ่ เฟือย) เชน่ ไม่ดี กรุงศรีอยธุ ยาแตกครง้ั ที่สองเน่ืองจาก ดขี ึน้ กรุงศรีอยุธยาแตกครัง้ ที่สอง เพราะคนไทย สาเหตุใด ขาดสิง่ ใด ก. เพราะคนไทยขาดผูน้ ำ ก. ผู้นำ ข. เพราะคนไทยขาดอาวุธ ข. อาวุธ ค. เพราะคนไทยขาดเสบียง ค. เสบียง ง. เพราะคนไทยขาดความสามัคคี ง. ความสามคั คี 6. เขียนตัวเลือกใหเ้ ปน็ เอกพจน์ หมายถงึ เขยี นตวั เลอื กทุกตวั ใหเ้ ปน็ ลักษณะใดลักษณะหน่งึ หรือมีทศิ ทางแบบเดียวกัน หรือมีโครงสร้างสอดคล้องเป็นทำนองเดียวกัน เช่น กล่าวถึง ชื่อ คุณสมบัติ ลักษณะอาการ ประโยชน์ โทษ คำ วลี ประโยค ฯลฯ ในรปู แบบทเ่ี หมอื นกนั ชว่ ยใหก้ ารใช้ตวั ถูกตวั ลวงมคี ณุ ค่ามากขึน้ เช่น ไม่ดี ข้อใดเป็นนามลกั ษณะของเทยี น ดีขน้ึ ลกั ษณะนามของ เทยี น คอื อะไร ก. เล่ม ก. เลม่ ข. อนั ข. อนั ค. เทียน ค. เทยี น ง. แท่ง ง. แท่ง 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

85 7. ควรเรียงลำดบั ตวั เลขในตัวเลอื กต่าง ๆ คือ นิยามเรียงจากค่าน้อยไปหาค่ามาก เพื่อให้ผู้ตอบพิจารณาหาคำตอบได้สะดวก ไม่หลง และป้องกันการเดาตัวเลือกที่มีค่ามาก เชน่ “ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา กวางทรายร่ายกนิ หญา้ สุกรป่าพาพวกจร ทง้ั แฝกคาแขมกกขึ้นรกเรยี้ ว” สุนขั ในไลเ่ หา่ หอน ตามเป็นหมพู่ รเู พรียกเสยี ง จากบทประพนั ธ์ข้างตน้ ปรากฏชอื่ พืชกชี่ นดิ ในคำประพันธ์ทีย่ กมานี้มีสัตว์ปา่ อยกู่ ีช่ นิด ก. 2 ชนิด ข. 3 ชนดิ ก. 1 ชนิด ข. 2 ชนดิ ค. 4 ชนิด ง. 5 ชนดิ ค. 3 ชนดิ ง. 4 ชนิด ถ้าตัวเลือกมีหลายประเภทปนกัน เช่น มาก – น้อย ใกล้ – ไกล หรือ ลดลง – เพิ่มข้ึน ไมค่ วรใช้คำเหล่านส้ี ลับกัน แต่ควรจดั เรยี งเฉพาะภายในประเภทนน้ั ๆ เช่น ไม่ดี ข้อใดคอื คำนามบอกหมวดหมู่ ดีขน้ึ (คำถามเหมือนเดมิ ) ก. โขลง ก. ใบ ข. คู่ ข. ฉบบั ค. ฉบบั ค. คู่ ง. ใบ ง. โขลง กรณีตัวเลือกเป็นข้อความทั่ว ๆ ไป ควรเรียงจากข้อความสั้นไปยาวตามลำดับ หรอื อาจเรยี งย้อนกลบั กันก็ได้ ยกเวน้ ตวั เลือกประเภทขอ้ มลู เปน็ ระบบ หรือเป็นวงจรตอ้ งเรียงตามระบบ หรือวงจรของสิง่ น้นั เชน่ เรือ่ งชนดิ ของมุม เวลา ศลี ห้า เปน็ ต้น ดงั ตัวอยา่ ง รสวรรณคดสี ันสกฤต รสใดท่ีหมายถึง รสแหง่ ความขบขัน ก. ศฤงคารรส ข. หาสยรส ค. กรณุ ารส ง. รุทรรส ในเรื่องนี้ผู้เขียนข้อสอบมักจะกังวลว่า การเรียงข้อความในตัวเลือกของแต่ละข้อ จากสั้นไปยาวหากบังเอิญ 1 เป็นตัวถูกติดต่อในตัวเลือกเดียวกันมากเกินไป เช่น ตัวเลือก ก ถูก ติดกัน 4 - 5 ข้อ เทา่ กบั แกป้ ญั หาอย่างหน่งึ ก็เกิดปญั หาอีกอย่างหน่ึง แตใ่ นความเป็นจรงิ มักจะไม่มีเช่นน้ัน คือ ตัวถูกจะกระจายกันไปเอง และโดยหลักการเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ตอบคงไม่กล้าเลือกติดต่อกันเกิน 3 ข้อ เท่ากับไม่ยั่วยุให้อยากตอบ (ตัวเลือกถูกซ้ำติดต่อกัน ไม่ควรเกนิ 3 ขอ้ ) หากจะเป็นเช่นน้นั จรงิ ๆ สามารถแก้ไขโดยการเพ่ิม เปลี่ยน คำ พยางค์ วลี ฯลฯ ในขอ้ ตวั เลือกเหลา่ นนั้ ตวั ถกู ก็จะเปลยี่ นเป็นขอ้ อ่ืน เช่น 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

86 พระราชกรณียกิจของรชั กาลที่ 5 ขอ้ ใดทำให้ (คำถามเหมือนกนั ) ตัวถูกจะเปลีย่ นจากขอ้ ข เกิดผลดตี ่อประเทศชาติมากที่สดุ เปน็ ขอ้ ค ดังนี้ ก. การเลิกทาส ก. การรถไฟ ข. การยอมเสียแผน่ ดิน ข. การเลิกทาส ค. การก่อสรา้ งทางรถไฟ ค. การยอมเสยี แผ่นดนิ ง. การคำนวณสรุ ยิ ปุ ราคา ง. การคำนวณสุรยิ ุปราคา จ. การเสด็จประพาสยโุ รป จ. การเสดจ็ ประพาสยุโร 8. ใชต้ วั เลือกปลายเปดิ และปลายปิดให้เหมาะสม โดยทั่วไปเอกสารตำราเกี่ยวกับการวัดผล และการประเมินผล ได้เสนอแนะการใช้ ตวั เลือกจากหัวขอ้ ปลายเปดิ และปลายปิด ดังน้ี ตัวเลือกปลายเปิด ได้แก่ ตัวเลือกสุดท้าย ได้คำว่า สรุปไม่แน่นอน หรือผิดหมดทุกข้อ หรือข้อความ เปน็ อย่างอ่ืนแตม่ ีความหมายในทำนองเดียวกนั ซึ่งแสดงว่าอาจมีคำตอบอืน่ ๆ ไดน้ อกเหนอื จากตัวเลือก ดังกล่าว โอกาสที่จะใช้ตัวเลือกแบบปลายเปิดนี้ ควรเป็นการถามเกี่ยวกับเรื่องราว หรือเหตุการณ์ที่ยัง ไมม่ ีผลสรุป หรอื ยงั ไม่มขี อ้ ยุตแิ น่นอน (สุจรติ เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์, 2538) เช่น 1. ใครคือผแู้ ตง่ เร่ือง โคลงพาลสี อนนอ้ ง ก. สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ข. สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ ค. พระยาตรงั ง. สรปุ แนน่ อนไม่ได้ จะเหน็ ว่าผแู้ ตง่ เรอ่ื งโคลงพาลีสอนน้องยงั ไมส่ ามารถสรุปได้แน่นอนว่าใครเป็นผู้แต่ง ที่แท้จริงระหว่างสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพราะฉะนั้นจึงไม่ สามารถสรปุ ได้ ไมม่ ตี วั เลอื กใดถกู ตอ้ งแนน่ อน จงึ ตอ้ งตอบขอ้ ง ตัวเลอื กปลายปดิ ได้แก่ ตัวเลือกสุดท้าย ใช้คำว่า ถูกหมดทุกข้อ หรือข้อความเป็นอย่างอ่ืน แต่มีความหมายในทำนองเดยี วกัน ซ่ึงแสดงวา่ ตวั เลือกตา่ ง ๆ ในขอ้ เดียวกันถกู หมดทกุ ข้อ เช่น 1. ขอ้ ใดเปน็ วรรณคดีสำคัญในสมัยสโุ ขทัย ก. ศิลาจารกึ หลักท่ี 1 ข. สภุ าษติ พระรว่ ง ค. ไตรภูมิพระร่วง (เตภมู กิ ถา) ง. ถูกหมดทุกข้อ 2. สุนทรภูไ่ ม่ได้แต่งเร่อื งใด ข. โคบตุ ร ก. นิราศเมอื งแกลง ง. ไมม่ ีขอ้ ถูก ค. อภัยณรุ าช 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

87 9. ข้อเดยี วต้องมีคำตอบเดียว บางครั้งผู้ออกข้อสอบเผอเรอหรืออาจจะเกิดจากเขียนตัวลวงไม่รัดกุม จึงพิจารณา ตวั ลวงเหล่านนั้ ไดอ้ ีกแง่หน่งึ ทำให้เกิดปญั หาสองแงส่ องมมุ เชน่ ไมด่ ี ขอ้ ใดไม่เข้าพวก ก. ลกั ษณวงศ์ ข. สิงหไตรภพ ค. พระไชยสุรยิ า ง. พระอภยั มณี จ. นิราศพระประธม ข้อนี้ต้องการให้ตอบ ข้อ จ. นิราศพระประธม เพราะเป็นผลงานวรรณกรรมของ สุนทรภู่ทั้งหมด แต่ข้อ จ. นิราศพระประธม ต่างจาก 4 ข้อแรก เพราะเป็นประเภทนิราศ ส่วนข้ออื่นๆ เปน็ ประเภทนิทาน ดงั นน้ั เพ่อื ป้องกนั ปญั หาเช่นนี้ก็ปรบั ปรุงตวั เลอื กใหมใ่ หด้ ีข้ึน เช่น ดขี ึ้น ขอ้ ใดไม่เข้าพวก ก. ลกั ษณวงศ์ ข. สิงหไตรภพ ค. พระไชยสรุ ยิ า ง. พระอภัยมณี จ. ขุนชา้ งขุนแผน ไมด่ ี จากเร่อื งกาพย์ เห่ชมเคร่อื งคาวหวาน อาหารชนิดใดเปน็ อาหารคนละประเภท กับอาหารชนดิ อ่นื ก. ไข่ ข. นม ค. ปลา ง. เนอ้ื จ. ข้าว ข้อนี้ต้องการให้นักเรียนตอบ ข้อ จ. ข้าว ซึ่งเป็นอาหารประเภทแป้ง ต่างกับอีก 4ประเภท ซึ่งเป็นอาหารโปรตีน แต่นักเรียนอาจตอบข้อ ก. ไข่ หรือ ข. นม โดยถือว่าเป็นอาหารเหลว ตา่ งกับชนิดอืน่ ๆ ก็ได้ จงึ ปรบั ปรงุ ตัวเลือกใหด้ ขี ึ้น เชน่ ดีขึน้ (คำถามเหมอื นเดิม) ก. ไขต่ ม้ ข. นมผง ค. ปลายา่ ง ง. เนอื้ ทอด จ. ข้าวสกุ ในครัง้ นอ้ี าจจะปรับปรุงคำถามใหช้ ดั เจนข้ึนอกี แทนการปรบั ปรุงตัวเลือก ดขี ึ้น เมื่อยดึ คณุ คา่ ของอาหารเปน็ เกณฑ์แลว้ สิ่งใดไม่เขา้ พวก ก. ไข่ ข. นม ค. ปลา ง. เน้ือ จ. ขา้ ว 10. เขยี นทั้งตัวถกู และตัวผดิ ใหถ้ กู หรือผดิ ตามหลกั วชิ า จากกำหนดตัวถูกหรือผิดเพราะสอดคล้องกับความเชื่อโชคลาง คำพังเพยหรือ ขนบธรรมเนียมประเพณีเฉพาะท้องถิ่นย่อมไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนมุ่งให้นักเรียนทราบความจริง ตามหลักวิชาการเป็นสำคัญ เช่น ถามเรื่องอาชีพของพลเมืองชายฝั่งทะเลจะกำหนดตัวถูกเป็นการ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

88 กสิกรรม เพราะถือว่าการประมงเปน็ อาชีพที่ผิดศีล ข้อที่ 1 ย่อมไม่ได้ หรือถามว่าถา้ ในหมู่บ้านแห่งหนง่ึ ขาดแคลนน้ำควรแก้ปัญหาอย่างไร แล้วกำหนดตัวถูกเป็นทำพิธีแห่นางแมวขอฝน ย่อมไม่ได้เช่นกัน หรือในวิชาคณติ ศาสตรจ์ ะถามนักเรยี นชั้น ป. 1 ว่าสปี ระจำวนั อาทติ ย์ ไดแ้ ก่ สอี ะไร แล้วเฉลยเป็นสีแดง ย่อมไมไ่ ด้ เพราะไม่เปน็ เชงิ ตรรกะทางคณิตศาสตร์ (Creswell and Plano, 2011) 11. เขียนตัวเลอื กให้อิสระจากกัน คือ อย่าให้ตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งเป็นส่วนหนึ่ง หรือส่วนประกอบของตัวเลือกอื่น ต้องใหแ้ ต่ละตัวเปน็ อสิ ระจากกันอย่างแท้จริง เชน่ ไมด่ ี วิหค แปลวา่ อะไร ดีขน้ึ (คำถามเหมือนเดมิ ) ก. กา ข. ไก่ ก. นก ข. หนู ค. นก ง. หนู ค. แมว ง. เสือ จ. แมว จ. กวาง ไม่ดี จากเร่ืองทุกข์ของชาวนาในบทกวีคนไทย ดขี ึ้น (คำถามเหมือนเดมิ ) สว่ นใหญ่มีอาชีพอะไร ก. รับจา้ ง ข. คา้ ขาย ก. ทำไร่ ข. ทำสวน ค. รับราชการ ง. เกษตรกรรม ค. ค้าขาย ง. เกษตร จ. อตุ สาหกรรม จ. อุตสาหกรรม 12. ควรมีตัวเลือก 4 - 5 ตวั ถ้าเขยี นตวั เลอื กเพยี ง 2 ตวั กก็ ลายเปน็ ข้อสอบแบบ กาถกู - ผดิ และเพ่อื ป้องกันไม่ให้ เดาง่ายจึงควรมีตัวเลือกมาก ๆ ที่นิยมใช้หากเป็นข้อสอบระดับประถมศึกษาปีที่ 1 - 2 ควรเลือกใช้ 3 ตัวเลือก ระดับประถมศึกษาปีที่ 3 - 6 ควรใช้ 4 ตัวเลือก และตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป ควรใช้ 5 ตวั เลือก (สมนึก ภทั ทิยธนี, 2553) 13. อยา่ แนะนำคำตอบ มีหลายกรณี ดงั นี้ 13.1 คำถามหลัง ๆ แนะนำคำตอบแรก ๆ (หรือคำถามข้อแรก ๆ แนะนำคำตอบ ข้อหลัง ๆ) เพราะจะกลายเป็นข้อสอบเฉลยคำตอบกันเอง ดังนั้นก่อนนำข้อสอบไปใช้สอบควรมีการ ตรวจสอบใหเ้ รยี บรอ้ ยก่อน โดยเฉพาะข้อสอบท่ีมกี รรมการรว่ มการเขียนหลายคน เช่น ไม่ดี ขอ้ แรก : คำประพันธ์ท่ีมี ครุ ลหุ เปน็ รอ้ ยกรองชนดิ ใด ก. ร่าย ข. ฉนั ท์ ค. กาพย์ ง. โคลง จ. กลอน ข้อหลงั : อนิ ทรวิเชียรฉันท์มแี ผนผังบังคับ ครุ ลหุ อยา่ งไร 13.2 ถามเรื่องที่นักเรียนคล่องปาก หรือพูดได้โดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะคำถาม ประเภทคำพังเพย สุภาษิต คติพจน์ หรือคำเตือนใจ (ยกเว้นถ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อจะวัดว่าผู้ตอบจำ สุภาษิต คตพิ จนไ์ ด้หรือไม่) เชน่ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

89 ไม่ดี รักวัวให้ผูก รักลกู ใหต้ ี หมายถึงอะไร ดขี ้นึ เหตใุ ดจึงต้องเรียนเรื่องสำนวน สภุ าษติ คำ พงั เพย ก. รักส่ิงใดก็ต้องระวังส่งิ นน้ั ให้ดี ข. ทำความดีแต่ไม่ได้รับการยกยอ่ ง ก. เพราะคำพดู ท่ีถือเปน็ คติ มีความลึกซง้ึ ค. คำพดู ที่ตรงไปตรงมา ข. เพราะใช้ส่ังสอนคนในสังคม ง. สอนสงิ่ ทเ่ี ขารู้ดีอย่แู ลว้ ค. เพราะเปน็ การวางแนวและแสดงค่านิยมของคน จ. ทำเลียนแบบคนใหญโ่ ต ง. เพราะเป็นคำเปรียบเทยี บเรือ่ งตา่ ง ๆ เพื่อใชต้ ิชม จ. เพราะเป็นสิ่งสะท้อนถึงความคิด ความเชื่อถือ และคา่ นยิ มของคนในสังคม 13.3 ใช้ข้อความของคำตอบถกู ซ้ำกบั คำถามหรือเกย่ี วข้องกันอย่างเหน็ ได้ชัด นักเรียนท่ไี มม่ ีความรูอ้ าจจะเดาได้ถูก เชน่ ไมด่ ี คำสรรพนาม มีหน้าท่อี ย่างไรในประโยค ก. ประธาน ข. กรรม ค. ขยายคำนาม ง. เปน็ สว่ นเตมิ เตม็ จ. เชอื่ มประโยค ควรตัดคำถามใหส้ น้ั เหลือเพยี ง “คำสรรพนาม มหี น้าท่ีอยา่ งไร” หรอื ถา้ ตอ้ งการจะใชค้ ำถามเดมิ ก็ควรดดั แปลงตวั เลอื กอนื่ ๆ ให้คล้าย ๆ กนั เชน่ ดีขนึ้ (คำถามเหมือนเดมิ ) ก. เปน็ ประธานของประโยค ข. เปน็ กรรมของประโยค ค. ขยายนาม ง. เปน็ ส่วนเติมเต็ม ง. ใชเ้ ช่อื มประโยค 13.4 ขอ้ ความของตัวถูกบางสว่ นเป็นส่วนหนึ่งของทุกตัวเลือก ทำให้ข้อความนั้น ไมม่ ีความหมาย และเป็นการเฉลยคำตอบโดยไม่รู้ตวั ไม่ดี จากเรอ่ื งสังข์ทอง รจนาเป็นคนดีหรอื ไมด่ ี ดีขนึ้ (คำถามเหมือนเดมิ ) ก. ดี เพราะ ละเอยี ดถถ่ี ว้ น ก. ดี เพราะ ละเอยี ดถถ่ี ้วน ข. ดี เพราะ ซื่อสตั ยต์ ่อสามี ข. ดี เพราะ ซ่ือสตั ยต์ อ่ สามี ค. ดี เพราะ มเี ทวดาคอยช่วย ค. ดี เพราะ มีเทวดาคอยชว่ ย ง. ดี เพราะ อยู่ในกระท่อมได้ ง. ไม่ดี เพราะ ไม่ทำเหมือนพี่ ๆ จ. ดี เพราะ มีเมตตาต่อคนทุกขย์ าก จ. ไม่ดี เพราะ รักคนรูปร่างอัปลกั ษณ์ หรือถ้าต้องการให้พิจารณาตวั เลือกในประเด็นเดียว เช่น เป็นคนดี แต่เหตุผลข้อใด ถูกต้องที่สุดกค็ วรเปลย่ี นคำถามและปรบั ปรงุ ตวั เลอื กให้สัน้ กะทดั รดั เช่น 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

90 ดีข้นึ จากเร่อื งสงั ข์ทอง รจนาเปน็ คนดี เพราะเหตุใด ก. ซอื่ สัตย์ต่อสามี ข. ละเอยี ดถี่ถว้ น ค. มีเทวดาคอยชว่ ย ง. อยูใ่ นกระท่อมได้ จ. มีเมตตาตอ่ คนทุกข์ยาก 13.5 เขียนตัวถูกหรือตัวลวงซึ่งถูกหรือผิดเด่นชัดเกินไป จะทำให้นักเรียน สังเกตเหน็ ไดช้ ัดเจนจนกลายเปน็ การแนะนำคำตอบ เชน่ ไมด่ ี ข้อใดเปน็ สัตวเ์ ลีย้ งไวใ้ ชง้ าน ดีขนึ้ (คำถามเหมือนเดมิ ) ก. ควาย ช้าง มา้ ข. ควาย แรด ม้า ก. ควาย ชา้ ง ม้า ข. ควาย กวาง มา้ ค. เสือ สงิ โต มา้ ง. เสอื สงิ โต ชา้ ง ค. ววั ม้า สนุ ขั ง. ววั ควาย สุนัข จ. เสือ ควาย แรด จ. วัว ช้าง กวาง ข้อนป้ี รับปรงุ ตวั ลวง ใหใ้ กลเ้ คียงกบั ตวั ถกู (คำเฉลย ก) ขอให้พจิ ารณาอีกตวั เลือกหน่งึ ไม่ดี จากวรรณคดเี ร่ืองไตรภูมิพระร่วงพบว่าทุก ดขี นึ้ (คำถามเหมือนเดมิ ) ศาสนาสอนอะไรอยา่ งหนง่ึ ที่เหมือนกนั ก. สอนวิธีบวช ข. สอนวิธีทำบุญ ก. สอนวิธีบวช ข. สอนวิธที ำบุญ ค. สอนให้ขึน้ สวรรค์ ง. สอนใหม้ ีความอดทน ค. สอนให้ขนึ้ สวรรค์ ง. สอนใหม้ คี วาม จ. สอนให้ทำความดี อดทน จ. สอนใหม้ ีความสามัคคี ขอ้ นี้ปรับปรุงตัวถูก (คำเฉลย จ) ให้ใกลเ้ คยี งกบั ตัวลวง 13.6 คำตอบไมก่ ระจาย คอื ข้อสอบทีม่ ตี ัวถกู ซ้ำ ๆ หรอื ผลัดเวียนกันไปเป็นช่วง ๆ การกำหนดเช่นนี้จะทำให้ข้อสอบเสียคุณภาพ นักเรียนอาจจะเดาได้โดยไม่ต้องใช้ความคิด ดังน้ัน ควรกระจายคำตอบออกไปทุก ๆ ตัวเลือก โดยมีอัตราส่วนเกือบเท่า ๆ กัน และควรสลับตัวถูก อย่างไม่เป็นระบบ ซึ่งเกิดจากการเรียงตัวเลือกส้ันไปยาว และเพ่ิมลด คำ วลี เช่น ถ้ามีข้อสอบ 100 ข้อ แบบตัวเลอื ก แตล่ ะตวั เลือกกค็ วรเป็นตวั ถกู ประมาณ 17 – 23 ข้อ (สมนกึ ภทั ทยิ ธนี, 2553) ขอ้ ดีของข้อสอบแบบเลือกตอบ 1. มีความเที่ยงตรงสูงเพราะสามารถเขียนคำถามวัดได้ครอบคลุมทุกเนื้อหาและ ทกุ พฤตกิ รรมของดา้ นพทุ ธิพิสยั 2. ตรวจให้คะแนนได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และยุติธรรม เหมาะกับจำนวนผู้เข้าสอบ มาก ๆ 3. สามารถนำมาวเิ คราะห์และปรับปรงุ ใหด้ ยี ิง่ ขึน้ จนเปน็ มาตรฐานได้ 4. ตัดปัญหาเร่ืองการอ่านเนื่องจากลายมอื ผู้ตอบอา่ นยาก 5. สามารถวินิจฉยั ขอ้ บกพร่องหรอื ความไม่เข้าใจในเนื้อหาได้อย่างเปน็ ระบบ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

91 ข้อจำกัดของขอ้ สอบแบบเลือกตอบ 1. ส้ินเปลืองคา่ ใชจ้ า่ ยสูง 2. ใช้เวลาในการสร้างมาก โดยเฉพาะการเขยี นตัวลวงใหม้ คี ุณภาพ 3. ไมเ่ หมาะทจ่ี ะวดั ความคดิ รเิ ริ่มสร้างสรรค์ (หรอื การสรา้ งสรรค)์ 7. สรุป แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการวัดผล การเรียนรู้ด้านเนื้อหาของวิชานั้น ๆ และทักษะต่าง ๆ ของแต่ละวิชา เพื่อให้ผู้สอนทราบว่าผู้เรียน มีความรู้ ความสามารถที่เกิดจากการเรียนเป็นไปตามเป้าหมายหรือมาตรฐานที่ผู้สอนตั้งไว้หรือไม่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนยังจำแนกออกได้เป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้จำแนก แตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ที่ต้องการวัด ซึ่งแบบทดสอบแต่ละชนิดต่างมีข้อดีและข้อจำกัด แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญของผู้สอนที่ใช้ในการประเมินการเรียนการสอน เช่น เพื่อจัดตำแหน่งผู้เรียน ตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียน ปรับปรุงการเรียนการสอนของครู การให้คำปรึกษาแนะแนว รวมท้ังการสรปุ ผลการเรียนเมอื่ สิน้ สุดการเรยี นการสอน คำถามทา้ ยบทท่ี 5 1. จงอธบิ ายเก่ยี วกบั ขอ้ สอบแบบอตั นัยหรอื ความเรยี งพร้อมทงั้ ยกตวั อย่างประกอบใหช้ ัดเจน 2. จงนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกบั ข้อสอบแบบกาถูก – ผิด ว่ามีลักษณะที่สำคัญอย่างไร พร้อมทั้งยกตัวอย่าง ประกอบให้ชดั เจน 3. ข้อสอบแบบเติมคำมีหลักการในการสร้างที่สำคัญอย่างไร จงอธิบายพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ ให้ชดั เจน 4. ข้อสอบอธิบายแบบตอบสั้น ๆ มีหลักการสร้างที่สำคัญอย่างไรจงอธิบายทั้งยกตัวอย่างประกอบ ใหช้ ัดเจน 5. ข้อสอบแบบจับคมู่ ีจดุ เดน่ จุดดอ้ ยอยา่ งไร จงอธบิ ายพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบให้ชดั เจน 6. ขอ้ สอบแบบเลอื กตอบเหมาะกบั การสอบเนอื้ หาใด เพราะอะไร 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

92 เอกสารอา้ งองิ ประสาท เนืองเฉลิม. (2564). วจิ ัยการเรียนการสอน. พิมพค์ รั้งท่ี 5. กรุงเทพฯ : สำนกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน.์ (2553). นวตั กรรมตามแนวคิดแบบ Backward Design. มหาสารคาม : ภาควชิ าหลักสตู รและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. สมนกึ ภัททยิ ธน.ี (2553). การวดั ผลการเรยี นร.ู้ พิมพค์ ร้ังที่ 7. กาฬสนิ ธ์ุ : ประสานการพิมพ.์ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2557). แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. (2538). วิธีสอนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . อัฐพล อินต๊ะเสนา. (2561). เอกสารประกอบการสอน เรื่อง การวัดและประเมินผลวิชาภาษาไทย. มหาสารคาม : โรงพมิ พ์มหาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม. Best, J. and Kahn, J.V. (1993). Research in Education. 7th ed. Boston : Allyn and Bacon. Cohen, J. (1977). Statistical Power Analysis for the Behavioral Sciences. New York : Academic Press. Cohn, L. and Manion, L. (1994). Research Methods in Education. London : Croom Helm. Creswell, J.W. and Plano, C.V.L. (2011). Designing and Conducting Mixed Methods Research. CA : Sage Publications, Inc. Kirk, R.E. (1995). Experimental Design. 3rd ed. Pacific Grove CA : Brooks/Cole. Kumar, R. (1999). Research Methodology : A Step-By-Step Guide for Beginners. London : Sage Publications. Marshall, C. and Rossman, G.B. (2006). Designing qualitative research. 4thed. London : Sage Publications. Shavelson, R.L. (1988). Statistical Reasoning for the Behavioral Sciences. Boston : Allyn and Bacon, Inc. Tuckman, B.W. (1978). Conducting Educational Research. 2nd ed. New York : Harcourt Brace Jovanovich, Inc. Wiesma, W. (1975). Research Method in Education. Illinois : Peacock Publishers. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

93 บทท่ี 6 การวัดพฤตกิ รรมด้านพุทธิพิสัย 1. แนวคิด พุทธิพิสัยเป็นความสามารถด้านหนึ่งของกระบวนการในการจัดการศึกษา นอกจากด้าน จิตพิสัย และทักษะพิสัย ความสามารถทางด้านพุทธิพิสัยเป็นความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการใช้ กระบวนการทางสมองเพื่อให้ได้มาซง่ึ ความรู้ความเข้าใจเมื่อไดร้ ับข้อมลู ข่าวสารและประสบการณ์ต่าง ๆ โครงสรา้ งของความสามารถด้านพุทธิพสิ ัยมลี ักษณะเป็นลำดับข้ันเร่มิ ตัง้ แต่ต่ำสุดจนถึงสูงสดุ คือ ความรู้ ความจำ ความเขา้ ใจ การนำไปใช้ การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมนิ ค่า 2. เนอ้ื หา 2.1 การกำหนดเคร่อื งมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสยั 2.2 เคร่อื งมอื วดั พฤตกิ รรมการเรียนรู้ดา้ นพทุ ธิพสิ ยั 2.3 การกำหนดเครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยกับทักษะการฟัง การพูด การอ่านและ การเขยี น 2.4 การสร้างเครื่องมือวดั พฤตกิ รรมการเรียนรู้ด้านพุทธพิ สิ ัย 2.4.1 การสร้างเครื่องมอื วัดพฤตกิ รรมการเรียนรู้ด้านพุทธพิ สิ ัยทเ่ี กย่ี วกบั การฟงั 2.4.2 การสร้างเครื่องมอื วัดพฤตกิ รรมการเรียนรูด้ า้ นพุทธิพิสยั ที่เกย่ี วกับการพูด 2.4.3 การสรา้ งเคร่ืองมือวดั พฤตกิ รรมการเรียนรดู้ า้ นพุทธิพสิ ัยทเ่ี กยี่ วกบั การอ่าน 2.4.4 การสร้างเครอ่ื งมือวัดพฤตกิ รรมการเรียนรดู้ ้านพุทธิพสิ ยั ท่เี ก่ยี วกับการเขียน 2.4.5 การสร้างเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับภาษา และหลักภาษา 2.4.6 การสร้างเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพสิ ัยที่เกยี่ วกบั วรรณคดี ประวัติ วรรณคดี และวรรณกรรมท่ีไดร้ บั การยกย่อง ซงึ่ หลักสตู รกำหนดให้เรยี นหรือเลือกเรยี น 3. วัตถปุ ระสงค์ 3.1 สามารถอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับการกำหนดเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ ด้านพุทธพิ สิ ยั ได้ 3.2 สามารถอธิบายเกี่ยวกับเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรดู้ า้ นพุทธิพสิ ัยได้ 3.3 สามารถอภิปรายเกี่ยวกับการกำหนดเครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยกับทักษะ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนได้ 3.4 สามารถสรา้ งเครื่องมือวดั พฤติกรรมการเรียนร้ดู า้ นพทุ ธพิ ิสัยได้ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

94 4. กิจกรรมการเรยี นรู้ 4.1 กจิ กรรมกอ่ นเรียน 4.1.1 อาจารย์และนิสิตร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ในรายวชิ าภาษาไทย 4.1.2 อาจารยน์ ำเขา้ สบู่ ทเรียนเรื่อง การวดั พฤติกรรมด้านพทุ ธพิ สิ ยั ในรายวิชาภาษาไทย 4.2 กิจกรรมการเรยี นร้ใู นชนั้ เรียน 4.2.1 อาจารย์ผู้สอนบรรยายเรื่อง การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยในรายวิชาภาษาไทย ในประเดน็ ต่อไปน้ี - การสรา้ งเครื่องมอื วดั พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ดา้ นพุทธพิ สิ ยั ท่ีเก่ียวกับการฟงั - การสรา้ งเครอ่ื งมือวัดพฤติกรรมการเรียนรดู้ า้ นพุทธพิ ิสยั ทเ่ี กย่ี วกับการพดู - การสรา้ งเคร่อื งมือวดั พฤติกรรมการเรียนรดู้ ้านพุทธิพสิ ัยทีเ่ ก่ียวกบั การอา่ น - การสรา้ งเครอ่ื งมือวัดพฤตกิ รรมการเรียนรู้ดา้ นพุทธพิ สิ ัยทีเ่ กย่ี วกับการเขียน - การสร้างเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับภาษา และหลักภาษา - การสร้างเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับวรรณคดี ประวัติวรรณคดี และวรรณกรรมทไ่ี ดร้ ับการยกย่อง ซ่งึ หลกั สตู รกำหนดให้เรียนหรือเลอื กเรียน 4.2.2 อาจารย์ผู้สอนและนิสิตร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง การวัดพฤติกรรม ดา้ นพทุ ธิพสิ ยั ในรายวิชาภาษาไทย 4.2.3 อาจารย์และนิสิตร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับเรื่อง การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ในรายวิชาภาษาไทย 4.3 กิจกรรมเสริม อาจารย์ให้นิสิตศึกษาเรื่อง การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยในรายวิชาภาษาไทยเพิ่มเติมจาก แหลง่ การเรยี นร้อู ่นื ๆ แลว้ สรปุ เป็นช้นิ งานสง่ ในช่ัวโมงตอ่ ไป 5. สือ่ การสอน 5.1 เอกสารคำสอนเร่ือง การวดั และการประเมนิ ผลวิชาภาษาไทย 5.2 PPT ประกอบการสอน เรือ่ ง การวัดพฤติกรรมด้านพทุ ธิพสิ ัย 6. การวัดและประเมินผล 6.1 การทดสอบ 6.2 การประเมนิ พฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ 6.3 การเข้าช้ันเรียน 6.4 ความสามารถในการตอบคำถาม 6.5 การทำแบบฝึกหดั ทา้ ยบท 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

95 บทที่ 6 การวดั พฤตกิ รรมดา้ นพุทธพิ สิ ัย พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย เป็นการกระทำที่เกี่ยวกับกระบวนการทางสมอง เช่น สติปัญญา การเรียนรู้ และการแก้ปัญหา ในการวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยผู้สอนจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ท่ี ต้องการวัดให้ชัดเจน อันจะนำไปสู่การกำหนดเครื่องมือในการวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยที่มีคุณภาพ และมีความน่าเช่ือถือ รวมทัง้ สามารถที่จะวดั ให้ครอบคลุมพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยทั้ง 6 ด้าน คอื ความจำ ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การประเมนิ คา่ และการคิดสรา้ งสรรค์ 1. การกำหนดเครื่องมอื วัดพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ดา้ นพทุ ธิพิสยั พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากสมองหรือด้านความรู้ ความคิด ซึ่งเป็นพฤติกรรมทีส่ ามารถวัดได้ในลักษณะของการเขยี นตอบโต้โดยใชก้ ระดาษและดินสอ และรูปแบบ ของการให้ปฏิบัติจริงตามสถานการณ์ที่กำหนดขึ้นอยู่กับพฤติกรรมที่ต้องการวัด (อัฐพล อินต๊ะเสนา, 2561) พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยของวิชาภาษาไทยที่ต้องการวัด การพิจารณาพฤติกรรมการเรียนรู้ ดา้ นพุทธิพสิ ัยของวิชาภาษาไทยท่ตี ้องการวัดใหพ้ จิ ารณาจากส่วนตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1. จุดประสงค์ของกลุ่มวิชาภาษาไทย การจะเลือกเครื่องมือใช้ได้เหมาะสมกับพฤติกรรม ต้องพิจารณาพฤติกรรมที่ต้องการจากจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร เช่น ในระดับมัธยมศึกษา ตอนต้นไดร้ ะบไุ วโ้ ดยตรงได้แกข่ อ้ ความทวี่ า่ ข้อ 1 “เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักภาษา” เป็นพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ข้นั ความรู้ความจำ ความเข้าใจโดยตรง ขอ้ 2 “เพือ่ ใหส้ ามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกตอ้ งเหมาะสมกับวัย” สำหรบั ข้อนี้พฤติกรรม ท่ีระบเุ ป็นพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย แตม่ ีพฤติกรรมด้านพุทธพิ สิ ยั ขัน้ การนำไปใชแ้ ฝงอยดู่ ว้ ย ข้อ 3 “เพื่อให้สามารถฟังและอ่านได้อย่างมีวิจารณญาณ” พฤติกรรมเป้าหมายของ จุดประสงค์ข้อนี้จะเป็นด้านทักษะพิสัยในเรื่องของการฟัง และการอ่าน แต่มีพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ขัน้ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ และการประเมนิ ค่าแฝงอยู่ในจุดมุ่งหมายข้อนห้ี ลายพฤติกรรม ข้อ 4 “สามารถใช้ภาษาเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้เพิ่มเติม” ในข้อนี้พฤติกรรมท่ี ต้องการมีทางด้านจิตพิสัย ทักษะพิสัย และพุทธิพิสัย สำหรับพุทธิพิสัยได้แก่ พฤติกรรมความเข้าใจ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินคา่ สำหรบั จดุ ประสงค์ของหลักสตู รในระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลายไดร้ ะบไุ ว้ดังนี้ ขอ้ ท่ี 1 “เพ่ือให้มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องหลักภาษาและการใชภ้ าษาในการสื่อสาร” ในข้อนี้ได้ระบุพฤติกรรมที่เป็นพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยอย่างชัดเจนว่า ผู้เรียนต้องมีพฤติกรรมความรู้ ความจำ ความเขา้ ใจ และการนำไปใช้ ข้อท่ี 2 “เพอ่ื ใหส้ ามารถใช้ภาษาตดิ ตอ่ ส่ือสารไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ” และ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

96 ข้อที่ 3 “เพื่อให้สามารถฟังและอ่านได้อย่างมีวิจารณญาณ” ทั้ง 2 ข้อนี้ระบุไว้ เป็นพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย แต่จะมีพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยแฝงอยู่ ได้แก่ พฤติกรรมความเข้าใจ เพราะการจะสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องสามารถฟังและอ่านได้เข้าใจ พฤติกรรมการนำไปใช้ที่มี ความสำคัญมากก็คือ ความสามารถในการใช้ภาษาในการติดต่อส่ือสารได้อยา่ งมหี ลักเกณฑ์ ถูกต้องตาม หลักภาษาเขียนได้ถูก พฤติกรรมการวิเคราะห์ ได้แก่ ความสามารถในการวิเคราะห์ได้ว่า ข้อความที่ฟัง และอ่านน้ันมีสาระสำคัญอย่างไร ใจความสำคัญ รายละเอียด และมีจุดเด่น จุดด้อยของข้อความ และมีพฤติกรรมการประเมินค่า ได้แก่ การพิจารณาข้อความที่ได้อ่านและฟังในเชิงวิชาการ ระบุขอ้ บกพรอ่ งได้ เป็นตน้ ข้อที่ 7 “เพื่อให้สามารถใช้ภาษาเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้เพิ่มเติม” ในข้อน้ี จะเหน็ ได้วา่ เปน็ พฤติกรรมดา้ นทักษะพสิ ยั แตม่ พี ทุ ธพิ ิสยั ในการประเมินค่าการวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ อยู่ในจุดประสงคข์ ้อน้ี เพราะถ้าพจิ ารณาแลว้ การคน้ คว้าหาความรู้จะต้องสามารถวเิ คราะห์เร่ืองที่อ่านได้ มีหลกั เกณฑใ์ นการเลอื กอ่านสามารถสังเคราะห์ข้อความได้ สรุปได้ว่า องค์ประกอบที่สำคัญในการกำหนดเครื่องมือด้านพุทธิพิสัยได้มาจาก การวเิ คราะหจ์ ุดประสงค์ของกลุ่มวิชา จากการวิเคราะห์จากจุดประสงค์ทำให้ได้พฤติกรรมดา้ นพุทธิพิสัย ว่าควรมีพฤติกรรมใดบ้างอย่างกว้าง ๆ ถ้าต้องการให้รู้พฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจงให้พิจารณาจาก จุดประสงค์ของรายวิชาจากการวิเคราะห์จากจุดประสงค์ทำให้ได้พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยว่า ควรมีพฤติกรรมใดบ้างอย่างกว้าง ๆ ถ้าต้องการให้รู้พฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจงให้พิจารณาจาก จดุ ประสงค์ของรายวชิ า 2. จุดประสงค์ของรายวิชา จุดประสงค์ของรายวิชานี้จะทำให้ทราบว่ารายวิชานั้น ๆ เน้นพฤติกรรมพุทธิพิสัยทางด้านใด เช่น เพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการใช้ภาษาพฤติกรรมด้านพุทธิ พิสัยที่เน้นก็คือ การนำไปใช้ หรือเพื่อให้สามารถพูดได้อย่างถูกต้องตามหลักการและวิชาการสำหรับ จุดประสงค์ในรายวิชานี้เป็นวิชาเลือกที่เกี่ยวข้องกับการพูด การพูด พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยที่ปรากฏ ตามจุดประสงค์นี้ คือ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจการนำไปใช้ เป็นพฤติกรรมพื้นฐานของการเรียน ในรายวชิ าน้ี สำหรับพฤติกรรมหลักที่ตอ้ งการสำหรับรายวชิ านค้ี ือ พฤติกรรมด้านทกั ษะพิสัย สรุปได้ว่า องค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการกำหนดเครื่องมือวัด ได้แก่ จุดประสงค์รายวชิ าขอ้ ความทท่ี ำใหร้ วู้ า่ การเรียนการสอนของครูเน้นไปในลักษณะใด 3. คำอธิบายรายวชิ า คำอธบิ ายรายวชิ าทรี่ ะบุไว้ในหลักสตู รจะมสี าระสำคญั ไว้ 3 ประการ ดงั นี้ 3.1 แนวทางในการสอน เช่น ในคำอธิบายรายวิชาภาษาไทยได้ระบุไว้ว่า “ฝึกการฟัง พูด อ่าน เขียน ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยเน้นการใช้ภาษาที่กะทัดรัดและ สละสลวย” การระบุขั้นนี้ทำให้ผู้สอนต้องเน้นในแนวทางการฝึกทักษะ และการสอบวัดในลักษณะน้ี ควรจะเป็นการวัดด้านทักษะพิสัย 3.2 เนื้อหาของรายวิชานั้น ตามรายละเอียดของรายวิชาได้ระบุเนื้อหาที่เกี่ยวกับ “การใช้ภาษาสื่อความคิด” “การใชถ้ อ้ ยคำสำนวนไดเ้ หมาะสมกับเนอื้ หาและความคดิ ” 3.3 ระบุจุดประสงค์ของรายวิชาในเชิงพฤติกรรมตรง ได้แก่ “การใช้ภาษาที่กะทัดรัด สละสลวย” “การใช้ภาษาสื่อความคิด” “เพื่อให้สามารถเลือกใช้ถ้อยคำสำนวนได้เหมาะสมกับเนื้อหา 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

97 และความคิด” “ใช้ภาษาไดอ้ ย่างสภุ าพเหมาะสมกับสภาพการณ์” “เหน็ คุณค่าและความงามของภาษา” จากจุดประสงค์ของรายวิชานี้ ทำให้ทราบพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมด้าน พทุ ธพิ สิ ัย ได้แก่ พฤติกรรมการนำไปใช้ พฤตกิ รรมการวเิ คราะห์ พฤติกรรมความเขา้ ใจ สรุปได้ว่า คำอธิบายรายวิชาจะทำให้ทราบว่าพฤติกรรมที่ต้องการของรายวิชา แตล่ ะรายวิชามีพฤติกรรมดา้ นพทุ ธพิ ิสยั ดา้ นจิตพสิ ัย และด้านทักษะพสิ ัยอะไรบ้างที่ระบุไว้ 4. ลักษณะหรือธรรมชาติของวิชาภาษาไทยจากรายวิชาแต่ละรายวิชาว่าควรจะใช้เนื้อหา อะไรบ้าง มาใช้ในการวัดพฤติกรรมที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น คำอธิบายรายวิชาระบุไว้ว่าการใช้ภาษาสื่อ ความคิดต้องตีความหมายให้ได้ว่าสื่อความคิด ได้แก่ การสื่อโดยข้อความ คำ ประโยคในสภาพการณ์ เช่นใด ซึ่งต้องกำหนดเป็นเงื่อนไขของการวัดจากส่วนประกอบดังกล่าวมาแล้วในข้อ 1- 4 ข้างต้นน้ี ต้องนำมาเขียนเป็นจุดประสงค์ของการเรียนรู้ให้ครบทั้งด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย การสอบวัดกำหนดได้จากจุดประสงค์การเรียนรู้ เพราะจากการพิจารณาจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและ จดุ ประสงคร์ ายวิชาจัดเป็นพฤติกรรมแฝง คือ เป็นพฤติกรรมท่ีไม่ได้ระบุการกระทำ เช่น พฤติกรรมด้าน ความเข้าใจ พฤติกรรมนี้สามารถแยกเป็นพฤติกรรมที่สามารถรับได้หลายรูปแบบ เช่น เป็นการวัดด้าน การแปลความหมาย การสื่อความหมาย การสรุปสาระสำคัญจากการขยายความจึงต้องนำจุดมุ่งหมาย ของหลักสูตร จุดประสงค์รายวิชา มาพิจารณาร่วมกับคำอธิบายรายวิชา และลักษณะของรายวิชา เพื่อเขียนเปน็ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (Ary, Jacob and Razavich, 1990) การกำหนดเครื่องมือวัดจึงกำหนดได้จากจุดประสงค์การเรียนรู้ในส่วนที่กำหนดเครื่องมือวัด คือส่วนทเี่ ป็นพฤตกิ รรมคาดหวงั ดงั ตวั อย่างจดุ ประสงคก์ ารเรียนรดู้ ังตอ่ ไปนี้ 1. สามารถแยกขอ้ เท็จจรงิ กบั ความคดิ เห็นออกจากกันได้ 2. สามารถบอกสาระสำคญั ของเรือ่ งท่ีอ่านได้ 3. สามารถเลือกใช้คำไดถ้ ูกต้องเหมาะสมกบั เนื้อความ 2. เครอ่ื งมือวัดพฤตกิ รรมการเรียนรดู้ า้ นพทุ ธพิ สิ ยั สุวรรณา จุ้ยทอง (2560) กล่าวถึงพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยว่ามีรูปแบบของการวัด 2 รูปแบบ ดงั น้ี 1. การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยจากการปฏิบตั ิในการวัดด้านทักษะพิสัย นั่นคือ การวัด พฤตกิ รรมด้านทักษะพิสัยให้ผ้สู อบปฏิบัติตามเง่ือนไขท่ีกำหนดแล้วสังเกตพฤติกรรม จดบันทึกตามแบบ บันทึกที่รายการของการปฏิบัติ รายการที่ปรากฏในแบบบันทึกคือ พฤติกรรมที่ต้องการวัด ซึ่งผู้ปฏิบัติ จะต้องมีพฤติกรรมด้านพุทธพิ ิสยั แฝงอยู่ เชน่ ในการให้ปฏบิ ัตเิ กย่ี วกับทกั ษะการเขยี น การอ่านออกเสียง การพูด การวัดในลักษณะนี้จะให้ผู้สอบเขียน อ่าน หรือพูด ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการวัดด้าน ทักษะพิสัย แต่การจะทำเช่นนั้นได้ผู้ตรวจสอบจะต้องมีพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า ที่ทำให้สามารถปฏิบัติได้ถกู ต้องตามหลักเกณฑ์ การวัดในลักษณะนจี้ ะเปน็ การวดั ทตี่ อ้ งใชก้ ารสังเกตและมีแบบบนั ทึกประกอบ 2. การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยโดยใช้แบบทดสอบ ลักษณะที่สำคัญของแบบทดสอบ ประกอบดว้ ย 2 สว่ น คอื สว่ นทเี่ ป็นคำถามกับสว่ นท่เี ป็นคำตอบ ข้อคำถามเป็นส่ิงกระตุ้นให้ผู้ถูกสอบได้ ตอบสนอง ส่วนการตอบสนองมี 2 แบบ แบบแรก คือ การที่ผู้สอบเขียนตอบตามความคิดเห็นของ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

98 ตนเองที่เรียกว่าข้อสอบอัตนัย หรือข้อสอบความเรียง แบบที่สองคือ ที่ผู้สอบจะกำหนดคำตอบไว้เป็น แนวทางใหเ้ ลือกตอบ 3. การกำหนดเครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยกับทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี น การกำหนดเครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยที่สัมพันธ์กับทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนตอ้ งกำหนดจากส่งิ เหล่าน้ี (Best and Kahn, 1993) 1. พฤติกรรมทตี่ ้องการ ได้จากจดุ ประสงค์ของหลักสูตรวิชาภาษาไทย จุดประสงค์รายวิชา คำอธบิ ายรายวชิ า และลกั ษณะของวชิ าภาษาไทย 2. ขอบเขตของเน้อื หาทตี่ ้องการวัด กำหนดได้จากคำอธบิ ายรายวิชา 3. พฤติกรรมที่ระบุการกระทำ เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากพฤติกรรมแฝง สำหรับบาง จุดประสงค์ที่ไม่ได้ระบุพฤติกรรมที่เป็นการกระทำจึงต้องนำพฤติกรรมแฝงมาแปลเป็นพฤติกรรมที่ บ่งบอกการกระทำ การกำหนดเคร่ืองมอื วดั ดา้ นพุทธพิ สิ ยั กำหนดแนวทางไดต้ ามตารางขา้ งล่างน้ี ตารางที่ 6.1 แสดงพฤติกรรมท่ตี ้องการวดั ขอบเขตเนื้อหา พฤติกรรมที่บอกการกระทำและ เครอ่ื งมอื ที่ใชว้ ัด ขอบเขตเน้ือหา พฤตกิ รรมทต่ี ้องการวดั พฤตกิ รรมที่บอกการกระทำ เครอื่ งมือ แบบทดสอบ การฟัง รายงาน ความเข้าใจ แปลความหมาย บทความ ตคี วามหมาย บทสนทนา ขยายความ การเลา่ เร่ือง นทิ าน ขา่ ว การวิเคราะห์ สรุปสาระสำคัญ พระธรรมเทศนา จับใจความสำคัญ การอภปิ ราย ประเภทของเร่ืองที่ฟัง ฯลฯ จดุ ประสงค์ของผู้พดู (ตามหลักสูตรกำหนด) ฯลฯ การประเมินค่า บอกขอ้ เทจ็ จริง บอกคติ บอกคณุ คา่ บอกข้อดี, บอกข้อเสยี 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

99 ตารางที่ 6.1 (ตอ่ ) ขอบเขตเนอ้ื หา พฤติกรรมท่ตี อ้ งการวัด พฤติกรรมทบ่ี อกการกระทำ เครื่องมอื การพดู ความเข้าใจ วดั โดยตรงให้ การนำไปใช้ ความถูกต้องของเนอื้ หาสาระ ปฏบิ ัติจริงเปน็ การ การพดู ในสถานการณ์ การสังเคราะห์ มีศิลปะในการพูด วดั ทกั ษะพสิ ยั การ ตา่ ง ๆ มีหลักการและวิธกี ารพูดได้ วัดทางออ้ มใช้ บคุ ลกิ ภาพในการพูด ความรู้ ความจำ รวดเร็ว คล่องแคลว่ แบบทดสอบ เนือ้ หาท่พี ดู ความเขา้ ใจ การใชภ้ าษาสภุ าพ ถอ้ ยคำสำนวน การนำไปใช้ การเลือกใช้ถอ้ ยคำ การใหป้ ฏบิ ัตจิ ริง หลักเกณฑ์ในการพดู ความเข้าใจ การวิจารณ์ เป็นการวัด ฯลฯ การวเิ คราะห์ มรรยาทในการพูด ทักษะพสิ ยั (ตามหลักสูตรกำหนด) ฯลฯ วดั ทางอ้อมโดยใช้ การประเมนิ คา่ แบบทดสอบ การอ่าน การอา่ นออกเสยี งทง้ั รอ้ ยแกว้ 1.การอา่ นออกเสียง การสังเคราะห์ ร้อยกรอง แบบทดสอบ อ่านออกเสยี งธรรมดา แปลความ ให้ปฏบิ ตั ิจริงเปน็ อา่ นออกเสยี ง ตคี วาม การวดั ดา้ นทักษะ ทำนองเสนาะ ขยายความ พสิ ยั วัดโดยออ้ ม 2. การอ่านในใจ จบั ใจความสำคัญ ใช้แบบทดสอบ รายงาน แยกขอ้ เท็จจรงิ บทความ บอกเจตนา บทสนทนา ระบุประเภท ขา่ ว วนิ จิ ฉยั เรื่อง สารคดี วจิ ารณ์ พระธรรมเทศนา บอกคณุ คา่ ฯลฯ เขียนไดต้ ามจดุ ประสงค์ (ตามหลักสตู รกำหนด) ใชภ้ าษาได้ถูกต้อง ใช้สำนวนสนั้ กะทัดรัด การเขยี น เขยี นเชงิ วจิ ารณ์ เรยี งความ เรยี บเรียงเน้ือหา ยอ่ ความ เขยี นจดหมาย เขียนย่อความ จดหมาย แต่งคำประพันธ์ แตง่ คำประพันธ์ เขียนเลา่ เร่ือง เขียนบรรยาย ฯลฯ เขียนเชงิ วชิ าการ (ตามหลกั สูตรกำหนด) 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

100 4. การสร้างเครอื่ งมือวดั พฤตกิ รรมการเรียนรดู้ ้านพทุ ธพิ ิสัย พฤติกรรมการเรียนรู้ดา้ นพุทธิพิสัยที่กำหนดในหลักสูตรกลุ่มวิชาภาษาไทย โดยพิจารณาจาก จุดประสงค์ของหลักสูตรวิชาภาษาไทย จุดประสงค์ของรายวิชาและจุดประสงค์ที่ระบุในคำอธิบาย รายวิชาทั้งวิชาบังคับ และวิชาเลือก จะปรากฏทั้งในจุดประสงค์เรื่องการฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาและ หลักภาษา รวมทั้งวรรณคดี ซึ่งหลักสูตรกำหนดให้เรียนหรือเลือกเรียน ดังนั้นการสร้างเครื่องมือวัด พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านนี้จึงต้องมีทั้งในเรื่องการฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาและหลักภาษา รวมทั้งวรรณคดี ซึ่งหลักสูตรกำหนดให้เรียนหรือเลือกเรียนโดยจะแยกกล่าวทีละเรื่องดั งต่อไปนี้ (สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2562) 1. การสรา้ งเครือ่ งมือวัดพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ดา้ นพุทธิพสิ ยั ทเ่ี กีย่ วกบั การฟัง 1.1 พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการฟัง พิจารณาจากจุดประสงค์ ของหลักสูตรวิชาภาษาไทย จุดประสงค์ของรายวิชา และจุดประสงค์ที่ระบุในคำอธิบายรายวิชา จะเห็นว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการฟัง ซึ่งต้องการให้เกิดกับผู้เรียนนั้นจะเน้น พฤติกรรมความเข้าใจ การวิเคราะห์ และการประเมินค่า เช่น ต้องการให้ฟังแล้วจับใจความสำคัญได้ ตีความได้ แยกข้อเทจ็ จริงจากข้อคิดเห็นได้ วิเคราะห์ วิจารณ์ และวินจิ ฉยั เรื่องที่ฟังได้ เปน็ ต้น 1.2 เนื้อหาที่นำมาใช้ในการสร้างเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่ เกี่ยวกับการฟัง เนื้อหาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกพฤติกรรมด้านการฟัง ซึ่งสามารถ นำมาใชใ้ นการสร้างเคร่ืองมือวัดพฤติกรรมการเรยี นรู้ด้านพุทธิพสิ ยั ท่เี กี่ยวกับการฟังมีอยู่มากมาย ได้แก่ เนื้อหาในคำอธิบาย คำบรรยาย เรื่องเล่า นิทาน ข่าว บทความ พระธรรมเทศนา การอภิปราย การสนทนา บทวิจารณ์ ฯลฯ โดยให้ฟังทั้งจากบุคคล สื่อมวลชน และเครื่องบันทึกเสียง (สมนึก ภัททิยธนี, 2553) 1.3 วธิ วี ดั พฤตกิ รรมการเรียนรูด้ า้ นพุทธิพสิ ัยท่เี ก่ียวกับการฟัง พฤติกรรมการเรียนรู้ ด้านพทุ ธพิ ิสัยที่เกย่ี วกบั การฟงั ใช้เคร่ืองมือทเี่ ป็นแบบทดสอบวัดไดด้ ี โดยจะมุ่งวดั พฤติกรรมความเข้าใจ การวิเคราะห์และการประเมินค่าดังกล่าวแล้ว ซึ่งสามารถถามในลักษณะให้แปลความหมาย ตีความหมาย ขยายความ หรือสร้างจินตนาการจากเรื่องราวหรือเนื้อความที่ได้ฟัง ถามให้สรุป สาระสำคัญจากเรื่องราวที่ได้ฟงั ถามให้แยกข้อเท็จจริงจากขอ้ คิดเหน็ ถามให้บอกประเภทของขอ้ ความ ถามให้วินิจฉัยลักษณะของข้อความหรือเรื่องได้อย่างมีเหตุผล และทำให้วิพากษ์วิจารณ์ หรือประเมิน คณุ ภาพของเร่อื งราวทไี่ ดฟ้ ัง เป็นตน้ การใช้เครื่องมือประเภทแบบทดสอบ วัดการฟังเป็นเรื่องค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะครหู รอื กรรมการผู้คมุ สอบจะต้องใหผ้ ูเ้ ขา้ สอบได้ฟงั เร่ือง หรือเนื้อหาท่ีต้องการถามเสยี กอ่ น โดยใช้ วิธอี ่านหรือพดู ให้ฟัง หรอื จะใหฟ้ งั จากเครอ่ื งบันทกึ เสยี งก็ได้ แล้วจงึ ถามคำถามทต่ี ้องการให้ผูเ้ ขา้ สอบ แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถด้านนี้ ถ้าเป็นข้อสอบแบบปรนัยจะต้องแยกเป็น 2 สว่ น ส่วนหนึ่งสร้างข้ึนสำหรบั ครูหรอื กรรมการผคู้ มุ สอบ สว่ นน้ีจะมคี ำชแ้ี จงวิธีทำและกำหนดข้อความ หรือเรื่องราวและคำถามสำหรับใช้กับข้อความหรือเรื่องราวนั้น เพื่อให้กรรมการผู้ คุมสอบอ่านให้ ผู้เข้าสอบฟัง อีกส่วนหนึ่งสร้างขึ้นสำหรับให้ผู้เข้าสอบพิจารณาเลือกคำตอบหรือตอบคำถามจาก ข้อความที่กรรมการอ่านให้ฟังแล้ว ในกรณีที่เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบก็จะมีคำถามหรือข้อความ กำหนดไว้สำหรับให้ผู้เข้าสอบเลือกตอบในกรณีที่เป็นข้อสอบแบบถูก - ผิด แบบจับคู่หรือแบบเติมคำ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

101 ก็จะกำหนดคำหรือข้อความตามลักษณะของข้อสอบชนิดนั้นนั้นเป็นแบบ ๆ ไป แต่ถ้าเป็นข้อสอบแบบ อัตนัยหรือแบบความเรียงก็ควรมีเพียงส่วนเดียวสำหรับกรรมการผู้คุมสอบคือส่วนที่กรรมการผู้คุมสอบ ต้องอ่านให้ผู้เข้าสอบฟัง ซึ่งจะมีข้อความหรือเรื่องราวและคำถามท่ีใช้ถามวัดพฤติกรรมต่าง ๆ จาก ข้อความหรือเรื่องราวนั้น อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นกระดาษคำตอบล้วน ๆ หรือเป็นทั้งข้อสอบและ กระดาษคำตอบในตัวเสรจ็ ในกรณที ีก่ ำหนดคำถามไวใ้ นกระดาษคำตอบนั้นด้วย ตามปกติวิธีการให้ผู้เข้าสอบฟังเพื่อตอบคำถามในการสอบนั้น ครูหรือกรรมการ ผู้คุมสอบมักจะเป็นผู้อ่านให้ฟัง 1 หรือ 2 ครั้ง แล้วให้เวลาในการตอบตามแต่จะกำหนดให้เหมาะสม ซึ่งถ้ากรรมการอ่านให้ฟังแล้ว เผอิญผู้เข้าสอบไม่ได้ยินหรือได้ยินไม่ถนัดเนื่องจากเสียงภายนอกรบกวน ผู้เขา้ สอบจะไม่มีโอกาสได้ฟังข้อความหรือเรื่องราวนั้นจากกรรมการอีก ทำให้การตอบคำถามข้อนั้นต้อง คาดเคลื่อนไปอย่างน่าเสียดายทั้ง ๆ ที่ผู้เข้าสอบอาจมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ฟังดี ความแปรปรวน ในการสอบซึ่งอาจเกิดขึ้นในกรณีที่ครูใช้วิธีอ่านให้ฟังด้วยปากเปล่าดังกล่าวนี้ เกี่ยวข้องกับตัวประกอบ อื่น ๆ อีกหลายประการ เช่น ความชัดเจนในการอ่านหรือพูด ความดังค่อยของเสียงสำเนียงท้องถิ่นท่ี อาจทำให้เข้าใจความหมายผิดไป ตลอดจนสภาพและขนาดของห้องสอบ ฯลฯ (วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์, 2553) การที่จะควบคุมความแปรปรวนดังกล่าวให้มมี าตรฐานใกลเ้ คียงกัน จะต้องกำหนดหลักเกณฑใ์ น การสอบใหร้ ัดกมุ โดยคำนงึ ถงึ ความแปรปรวนดังกลา่ วประกอบด้วย วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้การวัดและประเมินผลความสามารถด้านนี้เป็นมาตรฐาน ควรกระทำโดยใช้เครื่องบันทึกเสียงช่วย ด้วยการบันทึกเสียงข้อความต่าง ๆ นำไปเปิดให้ผู้เข้าสอบฟัง เป็นตอน ๆ โดยเว้นช่วงจังหวะให้พอดีหรือพอเหมาะกับเวลาที่ผู้เข้าสอบโดยใช้คิดและตอบตาม พฤตกิ รรมหรอื สิ่งท่ตี ้องการวัดจากเรือ่ งราวท่ีให้ฟังนน้ั ดงั ตัวอยา่ งขอ้ สอบปรนัยต่อไปนี้ คำช้แี จง ให้ฟงั ขอ้ ความนีแ้ ลว้ ใช้ตอบคำถามข้อ (01) - (04) เสียงที่พูดให้ฟังนี้เป็นเสียงธรรมะ เป็นเสียงที่เป็นประโยชน์ เป็นข้อเตือนใจให้เราได้เกิด ความคิดนึกในทางที่ถูกที่ชอบ เพื่อจะได้แก้ไขชีวิตให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะชีวิตของคนเรานั้น ควรจะอยู่เพื่อความดีขึ้นทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่าในเรื่องอะไรเราจะต้องมีหลักประจำใจว่า เราจะทำชีวิตของ เราให้ดีขึ้นทุกเวลา อายุมากขึ้น ชีวิตก็ควรดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่า ยิ่งอายุมากก็ยิ่งเลอะเทอะเหลวไหล เปน็ ไปในรูปนัน้ ชวี ติ กไ็ ม่มีค่า ไม่มีราคาอะไร (01) ควรต้ังชอ่ื ขอ้ ความน้วี ่าอะไร (02) ขอ้ ความนี้กลา่ วในลักษณะใดนอ้ ยท่สี ดุ 1. ชีวติ ที่มีคณุ ค่า 1. ชกั จงู 2. การพฒั นาชวี ิต 2. ช้แี จง 3. ราคาของชีวติ 3. แนะนำ 4. ธรรมะกบั ชวี ติ 4. สงั่ สอน (03) ขอ้ ความนจ้ี ดั อยูใ่ นประเภทใด (04) ขอ้ ความใดไม่ใชส่ าระสำคัญของข้อความนี้ 1. โอวาท 1. การทำชวี ติ ใหม้ คี ุณคา่ 2. บทความ 2. การมชี ีวิตอยูเ่ พอื่ ทำความดี 3. คำปราศรัย 3. การใช้ชวี ิตของเราเพ่อื ผอู้ นื่ 4. พระธรรมเทศนา 4. การรูจ้ ักปรบั ปรงุ แกไ้ ขชวี ิตใหด้ ีข้นึ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

102 คำชี้แจง ใหฟ้ งั ขอ้ ความนแ้ี ลว้ ใชต้ อบคำถามข้อ (05) - (08) การรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมทั่วโลกรวมทั้งในเมืองไทย กำลังปลุกความรู้สึกนึกคิดของคน ให้คำนึงถึงส่วนรวมมากขึน้ ในโลกปัจจุบนั และอนาคตเป็นโรคที่ใครหรือกลุม่ หน่ึงกลุม่ ใดจะอยู่กันอย่าง เอกเทศไม่ได้แล้ว การกระทำของคนคนหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมถึง กันหมด โลกยุคนี้จึงเป็นยุคของสากลที่ผูค้ นทุกชาติทุกภาษาจะต้องหันหนา้ เข้าหากัน เพื่อร่วมมือแก้ไข สภาวะทอี่ าจจะเปน็ อนั ตรายตอ่ คนรนุ่ ใหมใ่ นอนาคต (05) ผ้กู ล่าวข้อความนี้มจี ุดประสงคส์ ำคัญ (06) ผกู้ ลา่ วข้อความน้นี ่าจะรู้สึกอย่างไร อยา่ งไร มากทีส่ ุด 1. เสนอแนะวธิ ีแก้ปญั หาส่ิงแวดล้อม 1. ดีใจ 2. ช้ีให้เหน็ ความสำคัญของสงิ่ แวดล้อม 2. ชน่ื ชม 3. เตือนถึงภยั ท่ีกำลังจะเกิดจากสิง่ แวดลอ้ ม 3. กงั วล 4. ชกั ชวนให้ร่วมกันแก้ไขปรบั ปรงุ สิ่งแวดลอ้ ม 4. หว่ งใย (07) ทำไม่จึงกล่าวว่าโลกนเ้ี ป็นยุคของสากล (08) ถ้าทกุ ประเทศในโลกจะทำดังท่ีกลา่ วถงึ ในข้อความนี้ โลกจะเปน็ อย่างไรมากท่สี ุด 1. เพราะคนในโลกต้องพง่ึ พาอาศัยกนั 1. เจรญิ กา้ วหน้า 2. เพราะคนในโลกตอ้ งหนั หน้าเขา้ ปรกึ ษากัน 2. สงบสุขร่มเย็น 3. เพราะคนในโลกสามารถติดตอ่ ถึงกัน ได้หมด 3. ม่ันคงปลอดภยั 4. เพราะคนในโลกสามารถรบั ร้ถู งึ สง่ิ ตา่ ง ๆ 4. สะอาดสวยงาม ทเ่ี กิดขน้ึ ร่วมกัน 2. การสรา้ งเครอ่ื งมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ดา้ นพทุ ธิพสิ ยั ทเี่ กยี่ วกับการพูด พิจารณาจากจุกประสงค์ของหลักสูตรวิชาภาษาไทยจุดประสงค์ของรายวิชาและ จุดประสงค์ที่ระบุในคำอธิบายรายวิชา จะเห็นว่า เนื่องจากพฤติกรรมการพูดนั้นโดยตัวของมันเอง มีลักษณะเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยอยู่แล้ว ดังนั้นพฤติกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับการพูด ซง่ึ กำหนดไว้ในจุดประสงค์ดงั กล่าวข้างต้นจงึ เป็นพฤติกรรมการเรยี นรู้ด้านทักษะพิสัยเปน็ ส่วนใหญ่ เช่น ตอ้ งการให้พูดไดถ้ ูกต้องชดั เจน เหมาะสมตรงตามวัตถุประสงค์ ใชภ้ าษาในการพูดไดร้ วดเร็วคล่องแคล่ว แสดงออกได้ตรงตาวัตถุประสงค์ ใช้ภาษาพูดได้สุภาพเหมาะสมกับสภาพการณ์หรือสถานการณ์ พูดโดยใช้ภาษาในเชิงวิจารณ์ได้สมเหตุสมผล และมีประสิทธิภาพ เลือกใช้ถ้อยคำสำนวนโวหารในการ พูดไดอ้ ย่างเหมาะสมกบั เน้ือหา และความคดิ พดู ได้อย่างมีศิลปะ พดู ได้อย่างมีเนื้อหาสาระและน่าสนใจ พดู ไดถ้ กู ต้องตามหลักการและวธิ ีการ รวมทั้งสามารถใช้ภาษาเปน็ เคร่ืองมือสรา้ งความบันเทิงได้ เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมการเรียนรู้ในจุดประสงค์ที่สรุปออกมาดังกล่าวนี้ วิธีวัดที่ถูกต้องที่สุดก็คือให้ผู้เรียน แสดงออกด้านทกั ษะพสิ ยั แล้วใชเ้ คร่ืองมอื วัดด้านทกั ษะพสิ ัย (สมนกึ ภทั ทยิ ธน,ี 2553) 2.1 พฤตกิ รรมการเรียนรูด้ า้ นพทุ ธพิ ิสยั ทเ่ี ก่ียวกับการพูด แม้การวัดพฤติกรรมด้านการพูดที่ถูกต้องและตรงที่สุด จะต้องให้ผู้เรียนแสดงออก ดว้ ยการปฏิบัตจิ ริงแลว้ ใช้เคร่อื งมือดา้ นทกั ษะพิสัยวัดหรือประเมนิ แต่ก่อนท่จี ะแสดงออกด้วยการปฏิบัติ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

103 จริงได้ดังนี้ ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้หลักและวิธีต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการแสดงออกด้านการปฏิบัติจริง ได้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งหลักและวิธีการต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่ผู้เรียน จะต้องรแู้ ละเขา้ ใจเพื่อใหส้ ามารถนำมาใช้ได้ และในการแสดงออกดว้ ยการปฏิบตั จิ ริงโดยการพูดนั้นถ้ามี การกำหนดหัวข้อเรื่องให้ แล้วให้พูดตามความคิดเห็นหรือความรู้สึกของผู้พูดเองโดยผู้พูดจะต้องอาศัย ความรู้ ความคิด หรือความรู้สึกโดยใช้ภาษาของตนเองถ่ายทอดออกมาให้ผู้อื่นฟัง มิใช่เป็นการพูดจาก ความจำ ก็ถือว่าผู้พูด หรือผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมการสังเคราะห์โดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง หลักและวิธีการพูดแบบต่าง ๆ ความรคู้ วามเขา้ ใจในเรอื่ งเกย่ี วกบั ภาษาทีจ่ ะนำมาใช้ในการพดู ความรู้ใน เรอื่ งทจี่ ะพูด เป็นตน้ และสามารถนำสิ่งเหล่าน้ันมาใช้ในการพดู ได้ รวมทั้งอาจจะตอ้ งแสดงความคิดเห็น ในลักษณะวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องที่พูด ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นพฤติกรรมการเรยี นรู้ด้านพุทธพิ ิสัย ดังนั้นจะเห็นว่าเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยเกี่ยวกับ การพูด ซึ่งต้องการให้เกิดกับผูเ้ รียน จึงควรมีตัง้ แต่พฤติกรรมความรู้ความจำถึงการประเมินค่า โดยควร จะเน้นพฤติกรรมการนำไปใช้และสังเคราะห์เป็นสำคัญ ทั้งนี้เพราะเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้กับการพูด ซึ่งกำหนดในจุดประสงค์ของหลักสูตร จุดประสงค์ของรายวิชาและจุดประสงค์ที่ระบุในคำอธิบาย รายวชิ า ซง่ึ สามารถใช้เครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยวัดได้นน้ั จะเน้นพฤติกรรมท้ังสอง ด้านมีมากกว่าด้านอื่น เช่น ระบุให้พูดได้ถูกต้องตามหลักการและวิธีการ ใช้ภาษาในการพูดได้สุภาพ เหมาะสมกับสภาพการณ์ เลือกใช้ถ้อยคำสำนวนโวหารในการพูดได้เหมาะสม พูดได้อย่างมีศิลปะ และ สามารถแสดงออกเชิงสรา้ งสรรคใ์ นการพูด เป็นต้น (ประสาท เนอื งเฉลมิ , 2564) 2.2 เนื้อหาที่นำมาใช้ในการสร้างเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่ เกี่ยวกบั การพดู เนื้อหาที่กำหนดไวใ้ นหลักสูตรเพือ่ ให้ผูเ้ รยี นไดฝ้ ึกพฤติกรรมด้านการพูดซึง่ สามารถ นำมาใช้ในการสร้างเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการพูด ได้แก่ เนื้อหาที่ นำมาใช้ในการพูดลักษณะต่าง ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในหลักสูตร เช่น นิทาน เรื่องเล่า บทสนทนา บทบรรยาย บทพูดในที่ประชุม บทสัมภาษณ์ เรื่องที่นำมาใช้ในการอภิปราย โต้วาที รวมทั้งเรื่องราว อื่น ๆ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองที่นำมาใช้ในการพูดลักษณะต่าง ๆ ถ้อยคำภาษาและสำนวนโวหารที่ นำมาใช้ในการพูด หลกั และวิธกี ารพดู แบบต่าง ๆ เป็นต้น (Creswell, 2015) 2.3 วิธีวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการพูดพฤติกรรมด้าน การพูด การวัดที่ถูกต้องและตรงที่สุดคือการให้ปฏิบัติจริงแล้วให้คะแนนด้วยวิธีจัดอันดับ คณุ ภาพ เน่อื งจากการพดู เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย ดังกลา่ วแล้ว (Good, 1972) อย่างไรก็ตามเมื่อจะกำหนดให้พูด ก็จะต้องมีการกำหนดหัวข้อเรื่องและพฤติกรรม การพูดรวมทั้งอาจมีเงื่อนไขอื่นบางประการ เช่น กำหนดเวลาให้พูด เป็นต้น ซึ่งสามารถกำหนดเป็น ข้อสอบได้ โดยกำหนดเป็นข้อสอบอัตนัยหรือข้อสอบความเรียงแบบตอบยาว ดังตัวอย่างให้นักเรียน ออกไปพูดหน้าช้ัน โดยเล่าถึงโครงการชีวิตนักเรียนต้องการจะกระทำในอนาคตภายในกำหนดเวลา 4 - 5 นาที นอกจากกำหนดข้อความในลักษณะท่ีเปน็ ข้อสอบดังกล่าวนแี้ ล้ว จะตอ้ งกำหนดเกณฑ์การให้ คะแนนไว้ดว้ ย เช่น กำหนดว่าเกณฑ์การใหค้ ะแนนจะพจิ ารณาจากหวั ขอ้ ต่อไปนี้ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

104 1. บคุ ลกิ ภาพของผพู้ ูด (การแต่งกาย กิรยิ า ทา่ ทาง เสยี ง และการใช้เสียง) 2. เนื้อหาที่นำมาใช้ในการพูด (การเริ่มเรื่อง การขยายความ การลำดับความ การสรปุ เร่ือง และลกั ษณะของเน้ือหาท่ีตรงตามความหมายของหัวเร่ืองที่กำหนดให)้ 3. ถ้อยคำสำนวนภาษาทีใ่ ช้ (การใช้ถ้อยคำสำนวนภาษาเหมาะกับผู้ฟังและเรื่อง มีความถกู ตอ้ ง ชัดเจน เข้าใจง่าย น่าสนใจ หรอื น่าประทบั ใจ) ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์การให้คะแนนดังกล่าวนี้จะเห็นว่าเกี่ยวข้องกับหลักและ วิธีการพูด ซึ่งเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย และความน่าสนใจหรือน่าประทับใจที่กล่าวถึงใน เกณฑ์ข้อ 3 นั้นก็เปน็ พฤตกิ รรมการเรียนรดู้ ้านจิตพิสัย นอกจากนี้ในการตรวจจะต้องใชเ้ ครื่องมือวัดด้าน ทักษะพิสัย เช่น ใช้การจัดอันดับคุณภาพหรือใช้แบบสำรวจประกอบการสังเกต เนื่องจากการตอบ ข้อสอบดังกล่าวนี้มิได้เป็นการเขียนตอบตามแบบข้อสอบทั่ว ๆ ไป แต่กลับเป็นการแสดงออกด้วยการ ปฏิบัติจริงและการให้คะแนนด้วยวิธีดังกล่าวนี้ แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้องและตรงที่สุดก็ตามก็ไม่ได้ หมายความว่าจะยุตธิ รรมเสมอไป มคี วามผดิ พลาดที่อาจเกิดขน้ึ ได้บ่อย ๆ ทั้งจากเกณฑท์ ่ีกำหนดข้ึนและ จัดตัวผู้ให้คะแนนเองรวมทั้งต้องใช้เวลาในการสอบมาก ดังนั้นจึงควรใช้วิธีสอบแบบนี้ในการวัดผล ระหว่างเรียนเพื่อดูพัฒนาการของเด็ก และเก็บคะแนนสะสมไว้ แล้วใช้วิธีวัดทางอ้อมประกอบด้วย ซึ่งนิยมวัดโดยให้เขียนตอบแทนด้วยเครื่องมือวัดทางพุทธิพิสัยที่แยกออกมาเฉพาะ เพื่อใช้ประกอบใน การประเมินผลปลายภาคเรยี นหรือหลังจากส้ินสดุ การเรียนการสอนเรอื่ งนน้ั ๆ แลว้ ด้วยเหตุนี้เครื่องมือที่นำมาใช้วัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับ การพูดจริง ได้แก่ เครื่องมือประเภทแบบทดสอบ ดังตัวอย่างการใช้ข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบวัด ดังตอ่ ไปน้ี วดั การพดู ได้ถกู ตอ้ งตามหลักและวิธกี ารวัดการพดู ไดถ้ ตู ้องเหมาะสม (01) การพูดท่ดี ขี น้ึ อยกู่ ับอะไรน้อยท่ีสุด (02) คำพูดในข้อใดใช้ภาษาไมถ่ กู ต้อง 1. รู้หลักการพดู ท่ดี ี 1. อากาศมคี ณุ คา่ เกนิ กว่าทีค่ ิด 2. มที ศั นคติที่ดตี อ่ การพูด 2. น้ำใหค้ วามชุ่มชน้ื แกพ่ ้นื แผน่ ดนิ 3. เตรยี มตวั เปน็ อย่างดี 3. อาการเป็นสิง่ จำเปน็ กบั สง่ิ มชี ีวติ 4. แสดงออกในการพูดทดี่ ี 4. ต้นไม้ต้นนดิ ๆ ช่วยให้โลกมชี วี ิตชีวา การวัดการพูดในลักษณะนี้ ขอให้ดูรายละเอียดการใช้ภาษาให้ถูกต้องตาม หลกั เกณฑ์ ในภาษา ซ่งึ สามารถใชแ้ ละตัวอยา่ งเพ่ิมเติมในเรื่องการเขียนเพราะเป็นเรื่องแทนกนั ได้ วัดการพดู ได้ตรงตามวตั ถุประสงค์ เช่น (01) ถ้าต้องการชักชวนให้คนใช้วัสดุจากธรรมชาติห่อนมแทนโฟม ควรใช้คำพูด ในข้อใดพูดต่อทา้ ยขอ้ ความว่า “จะเห็นไดว้ ่าโฟมเป็นวัสดอุ ันตรายอยางยิง่ ต่อโลกเรา ดงั นัน้ ..........” 1. ควรเลกิ ใชโ้ ฟมได้แล้ว 2. ขอใหเ้ ลิกใชโ้ ฟมไดแ้ ล้ว 3. อยา่ ไดใ้ ช้โฟมกันอีกเลย 4. เรามาเลกิ ใช้โฟมกนั เถอะ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

105 วัดการใช้ภาษาในการพูดได้รวดเร็วคล่องแคล่ว ซึ่งสามารถวัดได้ในลักษณะของ การวัดความคล่องแคล่วในการใช้คำ โดยคาดว่าใครสามารถตอบได้คล่องและเร็ว ก็น่าจะพูดจาได้ คล่องแคลว่ ไมต่ ดิ ขดั เชน่ (01) กำหนดให้เขียนคำสามพยางค์ที่มีความหมายซึ่งขึ้นต้นด้วยอักษร ป มา ใหม้ ากทสี่ ดุ ภายในเวลา 5 นาที โดยมขี ้อแม้หรอื เงื่อนไขต่าง ๆ ดังน้ี ก. คำทกุ คำตอ้ งมีความหมาย ข. คำทกุ คำต้องเริ่มต้นดว้ ยอกั ษร ป ถา้ เรมิ่ ตน้ ด้วยสระใชไ้ มไ่ ด้ ค. คำทำนองซำ้ ๆ กัน เชน่ คำท่เี รม่ิ ต้นดว้ ยพยางคแ์ รกเหมือน ๆ กนั ให้ถือ เปน็ คำเดียว ง. การตรวจให้คะแนนไม่เกย่ี วกับเร่ืองลายมอื และการสะกดคำผิด จ. การตรวจใหค้ ะแนนใช้วิธนี บั จำนวนคำ (02) ให้หาคำที่มีความหมายหรือความสัมพันธ์สอดคล้องกับภาพที่กำหนดให้ เช่น ให้ดูภาพป่าแล้วให้เขียนคำอาการนามที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับภาพ (เช่น ความอุดมสมบูรณ์ ความร่มเย็น การทำลายธรรมชาติ ฯลฯ) เป็นตน้ (03) ให้หาคำที่จะมาเข้าคู่กับคำที่กำหนดให้ในลักษณะของคำไทยประเภทต่าง ๆ เช่น คำคู่ คำซ้อน คำประสม คำอปุ มาอุปไมย เปน็ ตน้ ดังตวั อยา่ ง แจก (แจง) ขยัน (ขันแขง็ ) ใจแขง็ เป็น (เหล็กเพชร) กลบั (กลาย) คุ้มครอง (ป้องกนั ) เหลอื งเหมอื น (ลกู จนั ) ปราด (เปรยี ว) สขุ สันต์ (หรรษา) บางเหมือน (กระดาษ) วัดการใช้ภาษาในการพูดได้สุภาพเหมาะสมกับสภาพการณ์หรือสถานการณ์ ดังตัวอยา่ ง การพดู ได้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล เช่น (01) ในการพดู รายงานหนา้ ช้นั ควรกลา่ วคำทักทายผฟู้ งั วา่ อยา่ งไร 1. ทา่ นผู้ฟังท่ีเคารพ 2. ทานผู้ฟงั ท่รี กั และเคารพทุกทา่ น 3. ท่านอาจารยท์ เี่ คารพ และเพื่อน ๆ ทร่ี ัก 4. เพอื่ นนกั เรยี นท่รี กั และอาจารย์ท่เี คารพ (02) ถ้าจะกลา่ วคำอวยพรวดั เกดิ ครบ 60 ปขี องคุณตา นักเรียนควรกลา่ วอำอวยพร วา่ อย่างไร จึงจะถูกตอ้ งเหมาะสม 1. หลานขอให้คณุ ตามีความสขุ อยูเ่ ป็นร่มโพธิ์รม่ ไทรของลกู หลานต่อไปอกี นาน ๆ 2. หลานขอให้คุณตาสขุ กายสขุ ใจ สมบูรณ์ดว้ ยพลานามยั ตลอดไปเทอญ 3. หลานขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยบันดาลให้คุณตามีความสุขในวันนี้ และทุก ๆ วัน 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

106 4. หลานขอให้คุณตามีความสุขตลอดไปจากผลของคุณงามความดีที่คุณตา ไดก้ ระทำ (03) การพูดไดถ้ กู ตอ้ งตามแบบแผนประเพณีและวฒั นธรรม เช่น เมือ่ ท่านพบเพ่ือน คณุ แม่ควรกล่าวคำทักทายว่าอย่างไร 1. สวัสดคี ะ่ คณุ ป้า 2. คณุ ป้า จะไปไหนคะ 3. คณุ ปา้ สบายดหี รือคะ 4. สวสั ดคี ่ะ ยนิ ดที ี่ได้พบคุณปา้ (04) การพูดในลักษณะสนทนาตอบโต้กัน เช่น ควรใช้คำพูดอย่างไรโต้ตอบคำพูด ต่อไปนี้ จงึ จะดแี ละเหมาะสมทีส่ ุด “โอย้ ! คณุ เหยยี บเท้าผมนะครับ ทำไมไมด่ ูให้ด”ี 1. ขอโทษคะ่ ฉนั ไม่เหน็ นี่คะ 2. ขอโทษค่ะ คณุ เจบ็ มากไหมคะ 3. เอ๊ะ ! ก็ใครใช้ให้คุณมายนื ข้างหลงั ฉันละ่ 4. ฉันไมไ่ ด้ตัง้ ใจจะเหยียบเทา้ คุณเลย พูดให้ดี ๆ หนอ่ ยซิคะ (05) ควรใช้คำพดู ในข้อได้เติมลงในชอ่ งวา่ งของบทสนทนาต่อไปน้ีจงึ จะเหมาะสมทส่ี ุด จิต : ใจจะ๊ วนั น้เี ราไปหาอะไรกนิ กนั ขา้ งนอกดีไหม ใจ : .................................................................... จิต : ใช้เวลาไม่นานหรอกนา่ เราไปแถวใกล้ ๆ นกี้ ไ็ ด้ 1. ดีเหมือนกันแตอ่ ยา่ นานนักนะ 2. ไม่ไดเ้ ด็ดขาดขืนไปกับเธองานไมเ่ สร็จแน่ 3. เอาไวว้ ันหลังไมไ่ ดห้ รอื ฉนั มงี านต้องทำอกี หลายอยา่ ง 4. ขอเปน็ วันพรุ่งนี้กแ็ ล้วกนั นะ วันนีไ้ ปไม่ไดจ้ ริง ๆ จ๊ะ 3. การสร้างเคร่ืองมอื วัดพฤติกรรมการเรียนร้ดู า้ นพุทธพิ ิสัยท่เี ก่ยี วกับการอ่าน การอ่านแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ การอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ (Kerlinger, 1986) 1. การอ่านออกเสยี ง ซ่งึ เป็นพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ด้านทักษะพิสัย แสดงออกได้ด้วย การปฏิบัติจริง มีลักษณะคล้ายพฤติกรรมการพูด เพราะต้องเปล่งเสียงออกมาให้ได้ยินเช่นเดียวกับ การพูด และการอ่านบางลักษณะก็จัดอยู่ในเรื่องการพูด เช่น การอ่านรายงาน ข่าวหรือบทพรรณนาท่ี ต้องการให้เห็นภาพหรือเกิดอารมณ์คล้อยตาม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามการอ่านออกเสียงโดยทั่ว ๆ ไป ก็คือ การกล่าวตามตัวหนังสือให้ตนเองหรือผู้อื่นฟัง และตัวหนังสือดังกล่าวนี้จะเป็ นคำ กลุ่มคำ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

107 หรอื ข้อความซ่งึ เป็นรอ้ ยแก้วหรือร้อยกรองกไ็ ด้ การอา่ นออกเสยี งตามลกั ษณะของเสยี งท่ีออกแบง่ ได้เป็น 2 แบบ คอื 1.1 การอ่านออกเสียงธรรมดา การอ่านออกเสียงในลักษณะนี้มุ่งฝึกให้ออก เสยี งพูดไดช้ ัดเจนถูกต้องตามหลักภาษาและความนยิ ม มีการเวน้ จังหวะวรรคตอนทีเ่ หมาะสม ในกรณีที่ ต้องอ่านให้ผู้อื่นฟังเป็นจำนวนมาก จะตอ้ งคำนึงถึงความดัง – ค่อยของเสยี ง เพ่ือให้ได้ยินกันอย่างท่ัวถึง และบางทีก็ต้องใช้ศิลปะในการอ่าน เช่น ในกรณีที่อ่านบทพรรณนาหรือบทละคร ผู้อ่านก็จะต้องใช้ ศลิ ปะในการอา่ น เช่น ในกรณที ีอ่ า่ นบทพรรณนาหรือบทละคร ผูอ้ า่ นก็จะต้องใชน้ ้ำเสียงใหเ้ หมาะสมกับ เน้ือหา เป็นตน้ ซึ่งการอา่ นในลักษณะนี้มักตอ้ งมีการเตรียมตวั ลว่ งหนา้ พอสมควร พฤติกรรมดังกล่าวนี้มีลักษณะคล้ายพฤติกรรมการพูด ซึ่งจัดว่าเป็นพฤติกรรม การเรียนร้ดู ้านทักษะพสิ ัย ดังกล่าวแล้ววธิ วี ดั และประเมินผลความสามารถด้านน้ที ่ีตรงท่ีสุดก็คือ จะต้อง ให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงธรรมดาในลักษณะต่าง ๆ ตามแต่ผู้สอนจะกำหนด แล้วให้คะแนนโดยใช้ เคร่ืองมือวดั พฤตกิ รรมการเรียนรู้ดา้ นทกั ษะพสิ ยั วัด วิธีวัดพฤติกรรมการเรยี นร้ดู ้านพทุ ธพิ ิสัยทเี่ กย่ี วกบั การอา่ นออกเสียงธรรมดา อย่างไรก็ตาม การวัดพฤติกรรมการอ่านออกเสียงธรรมดา โดยใช้เครื่องมือวัด พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ก็สามารถกระทำได้ในลักษณะของการวัดพฤติกรรมทางอ้อม ประกอบดว้ ยการใช้เครื่องมือประเภทข้อสอบวัด ดงั เชน่ การวัดความชดั เจนถูกต้องตามภาษาและความ นิยมหรือการเวน้ จงั หวะวรรคตอนที่เหมาะสมในการอ่าน โดยใช้แบบทดสอบวดั เรื่องการอ่านคำและการ เว้นวรรคตอน ซึง่ เป็นกฎเกณฑท์ ี่กำหนดในหลักภาษาอันเป็นการวัดท่ีคาดคะเนว่าถ้าผู้ตอบข้อสอบคนใด สามารถบอกได้ว่า คำใดอ่านผิด คำใดอ่านถูก หรือการเว้นวรรคตอนข้อความใดผิดหรือถูกก็แสดงว่า ผู้ตอบข้อสอบคนนั้นน่าจะอ่านออกเสียงคำนัน้ หรืออ่านโดยเวน้ วรรคตอนข้อความนั้นได้ถกู ต้องตามนนั้ ด้วย ดงั ตวั อยา่ ง (01) คำใดอา่ นผิด 1. จิตวทิ ยา อ่านวา่ จดิ -วดิ -ทะ-ยา 2. คมนาคม อา่ นวา่ คะ-มะ-นา-คม 3. สมรรถภาพ อ่านว่า สะ-มดั -ถะ-พาบ 4. ปรากฏการณ์ อา่ นว่า ปรา-กด-ตะ-กาน (02) กลุ่มคำที่ขีดเส้นใต้ในข้อความว่า \"ในชั่วชีวิตหน่ึง ๆ นี้ เราได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ โลกบา้ ง\" อา่ นวา่ อย่างไร 1. ในชั่วชวี ิตหนึง่ หน่ึง 2. ในชว่ั ชวี ิตหนึ่งชวี ติ หนึง่ 3. ในชั่วชีวติ หน่งึ ชั่วชีวติ หนง่ึ 4. ในชว่ั ชวี ติ หนง่ึ ในชวั่ ชวี ติ หน่งึ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

108 (03) ขอ้ ความใดเว้นวรรคตอนไมถ่ กู ต้อง 1. มูลนิธแิ ม่บา้ นอาสา จัดทำ ส.ค.ส. ภาพชีวติ และประเพณีไทยผลงานระดับนานาชาติ 2. กองแผนงาน กรมการฝกึ หัดครู รายงานการวเิ คราะหค์ ะแนนคดั เลอื ก 3. ขอเชญิ ชวน สง่ ภาพถ่ายเข้าประกวดในความหมายท่สี มั พนั ธก์ ับหวั ข้อ “คณุ ภาพ ชีวติ กบั ส่งิ แวดล้อม” 4. การลา่ สตั วป์ ่าประเภทนี้ จะกระทำได้ก็ต่อเม่ือได้รับอนญุ าตจากพนักงานเจา้ หน้าที่ และตอ้ งล่าด้วยวิธจี ับเปน็ เท่านน้ั แบบทดสอบลักษณะดังกล่าวนี้ปกติจะใช้วัดในวิชาหลักภาษาแต่สามารถนำผลการสอบ จากการวัดในลักษณะนี้มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลการอ่านออกเสียงไม่เฉพาะการอ่านออก เสียงธรรมดา ซึ่งได้กล่าวไปแล้วเท่าน้ันแต่ยังสามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลการอ่าน ออกเสียงทำนองเสนาะ ซงึ่ จะกลา่ วต่อไปได้ดว้ ย 1.2 การอ่านออกเสียงทำนองเสนาะ การอ่านออกเสียงแบบนี้ใช้ในการอ่านคำ ประพนั ธห์ รือร้อยกรอง มีลักษณะตา่ งจากการอ่านออกเสยี งธรรมดาคือ นอกจากจะมุ่งเน้นความชัดเจน ถูกต้องในการออกเสียง การเว้นจังหวะวรรคตอนที่เหมาะสมแล้ว ยังมุ่งความไพเราะเหมาะเจาะถูกต้อง ตามทำนองนั้น ๆ อีกด้วย พฤติกรรมการอ่านลักษณะนี้เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย เช่นเดียวกัน ดังนั้นวิธีวัดและประเมินผลความสามารถด้านนี้ที่ถูกต้องและตรงที่สุดก็คือ ต้องให้ผู้เรียน อ่านออกเสียงทำนองเสนาะให้ฟงั แล้วใหค้ ะแนนโดยใชเ้ ครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย วัด วิธีวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการอ่านออกเสียงทำนอง เสนาะ การวัดพฤติกรรมการอ่านออกเสียงทำนองเสนาะโดยใช้เครื่องมือวัดพฤติกรรม การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย นอกจากจะสามารถกระทำได้ในลักษณะของการวัดพฤติกรรมทางอ้อม ประกอบดว้ ยการใช้เคร่ืองมือประเภทข้อสอบวัดเรื่องการอา่ นคำและการเว้นวรรคตอน เช่นเดยี วกับที่ใช้ วัดพฤติกรรมการอ่านออกเสียงธรรมดาดังกล่าวแล้วยังใช้เครื่องมือประเภทข้อสอบวัดความชัดเจน ถูกตอ้ งตามลักษณะการอ่านคำประพนั ธ์ ซง่ึ มลี กั ษณะสัมผัสทบี่ ังคับในแผนผังบงั คับทำให้ตอ้ งอ่านต่างไป จากการอา่ นรอ้ ยแกว้ หรือความเรยี งธรรมดาได้ดว้ ย (วมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน์, 2553) ดังตัวอยา่ ง (01) คำว่า “อดิศร” ในข้อใดออกเสียงเป็น อะ-ดดิ -สอน 1. ขอศรีสวสั ดส์ิ ริ ิอดศิ ร 2. ขอคารวะอดิศรขจรเดช 3. ขอเคารพบาทบพติ รอดิศร 4. ขอบชู าอดศิ รจากสรวง 2. การอ่านในใจซ่ึงต่างจากการอา่ นออกเสียง เพราะผอู้ า่ นในใจจะต้องกวาดสายตา หรือเคลื่อนสายตาไปตามตัวหนังสือซ่ึงจะเป็นคำ กลุ่มคำหรือข้อความที่เป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรองก็ได้ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

109 โดยวิธีไม่ออกเสียง การวัดพฤติกรรมด้านการอ่านในใจนีจ้ ะไม่เน้นหรอื ระบุถึงโดยตรงเกี่ยวกับวรรณคดี ซง่ึ หลกั สูตรกำหนดใหเ้ รยี นหรือเลอื กเรยี น พฤตกิ รรมการเรียนรดู้ ้านพุทธิพสิ ัยที่เก่ยี วกบั การอา่ นในใจ พิจารณาจากจุดประสงค์ของหลักสูตรวิชาภาษาไทย จุดประสงค์ของรายวิชา และจุดประสงค์ที่ระบุในคำอธิบายรายวิชา จะเห็นว่าพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับ การอ่านในใจซึ่งต้องการให้เกิดกับผู้เรียนนั้นจะเน้นพฤติกรรมความเข้าใจ การวิเคราะห์ และ การประเมนิ ค่า เช่น ต้องการให้อ่านแล้วจับใจความสำคัญและใจความสำคัญรองได้ แยกขอ้ เท็จจริงจาก ข้อคิดเห็นได้ ตีความได้ บอกเจตนาของผู้ส่งสารได้ แสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ และวินิจฉยั เรอ่ื งทอ่ี ่านได้อย่างมเี หตุผล เปน็ ต้น เนื้อหาที่นำมาใช้ในการสร้างเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยท่ี เก่ยี วกบั การอา่ นในใจ เนื้อหาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกพฤติกรรมด้านการอ่านในใจ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการสรา้ งเคร่ืองมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เก่ียวกับการอา่ นในใจมี อยู่ในหนังสือเกือบทุกชนิดและข้อความเกือบทุกประเภท ได้แก่ เนื้อหาในคำพังเพย คำขวัญ บทความ ข่าว ประกาศ รายงาน จดหมาย ปาฐกถา นวนิยาย เรื่องสั้น คำบรรยายทางวิชาการ บทสนทนา ร้อยกรองประเภทต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งสามารถหาอ่านได้จากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร เอกสาร ตำรา ทางวชิ าการหรือหนงั สือท่วั ไป ฯลฯ และบางทีผู้สร้างเครื่องมืออาจจะแตง่ ข้อความข้นึ เองก็ได้ วิธวี ดั พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ด้านพทุ ธิพสิ ัยทเี่ กีย่ วกบั การอ่านในใจ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการอ่านในใจใช้เครื่องมือที่เป็น แบบทดสอบวัดได้ดี โดยจะมุ่งเน้นวัดพฤติกรรมความเข้าใจ การวิเคราะห์ และการประเมินค่าดังกล่าว แล้ววธิ ีวดั พฤติกรรมด้านนจี้ ะเน้นกล่าวในลักษณะของข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบ รูปแบบของข้อสอบจะมีการยกข้อความมาให้ผู้เรียนอ่านก่อน 1 ข้อความ แล้วตั้งคำถามถามพฤติกรรมความเข้าใจ การวิเคราะห์ ไปจนถึงการประเมินค่าจากข้อความนั้น ข้อความนั้นจะเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรองก็ได้ ข้อความที่มีลักษณะเป็นร้อยแก้ว จะมีลักษณะเป็น กลุ่มคำ หรือประโยค โดยเฉพาะข้อความที่เป็นประโยคก็จะมีตั้งแต่ 1 ประโยคขึ้นไป ข้อความที่ ประกอบดว้ ยจำนวนประโยค มากกวา่ 1 ประโยค อาจจะมหี ลายย่อหน้า แตโ่ ดยมากมักนิยมใช้ข้อความ ท่มี ีใจความสำคัญ 1 เรือ่ ง ซงึ่ กห็ มายถึงว่าข้อความนนั้ ควรจะมีเพียงตอนเดยี วหรอื ย่อหน้าเดยี วเท่านน้ั สำหรับข้อความที่เป็นกลุ่มคำหรือประโยคเพียง 1 ประโยค อาจใช้ข้อความ ประเภท สำนวน คำพังเพย คติคำคม โวหารประเภทอุปมาอุปไมย คำขวัญ เป็นต้น ส่วนข้อความท่ี ประกอบด้วยประโยคมากกว่า 1 ประโยค และเป็นข้อความตอนเดียวอาจเป็นส่วนหนึ่งของบทความ ข่าวสาร ประกาศ โฆษณา แจ้งความ คำสั่ง รายงาน จดหมาย ปาฐกถา แถลงการณ์ สุนทรพจน์ นวนิยาย เรื่องสั้น คำบรรยายทางวิชาการสาขาใดสาขาหนึ่ง ฯลฯ นอกจากนี้ก็มีบทสนทนา ซึ่งจัดเป็น ร้อยแก้วประเภทหนึ่ง ส่วนข้อความที่เป็นร้อยกรองนั้นจะเป็นคำประพันธ์ประเภทใดก็ได้ เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน รา่ ย ลิลิต ดอกสรอ้ ย สกั วา ฯลฯ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

110 เนื้อหาในข้อความนั้นอาจเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น บทวิพากษ์วิจารณ์ ข้อเสนอแนะ บทสนทนาความคิดเห็นต่าง ๆ บทพรรณนาที่ให้ภาพพจน์หรือแสดง ความรู้สึก ฯลฯ ข้อความที่จะช่วยให้การสร้างข้อสอบดำเนินไปด้วยดีสามารถคิดข้อคำถามได้ตรงตาม จดุ หมายในการวัดตามที่ไดก้ ล่าวไว้ขา้ งตน้ ควรเป็นขอ้ ความที่มลี กั ษณะดงั ต่อไปน้ี ก. เป็นข้อความประเภทอมความ หมายถึง เป็นข้อความที่ซ่อนความหมาย หรือแง่คิดแปลกๆ ไว้ ข้อความที่มีแง่มุมให้ถามได้ลึก มีถ้อยคำที่แยบยลหรือมีเนื้อความที่มีความหมาย เปน็ นยั มแี งม่ มุ น่าสงสยั หรือมแี งค่ ดิ บางอย่างแฝงอย่ไู ม่ใชข่ ้อความท่ีมคี วามหายเรียบ ๆ ธรรมดา ข. เนอ้ื หาหรอื ความหมายในข้อความน้นั ไม่ควรขัดต่อศลี ธรรมจรรยา และถ้า มคี ติสอนใจดว้ ยก็จะยงิ่ ดีแตไ่ ม่ถึงกบั จำเปน็ นัก ค. ข้อความนัน้ จะต้องครอบคลมุ การถูก - ผิด ของตวั เลอื กในคำถามทกุ ข้อ ง. ภาษาที่ใช้ในข้อความต้องเป็นภาษาที่จัดอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ควรใช้ภาษาท่ี ต่ำกวา่ ภาษาระดับมาตรฐาน เชน่ ไมใ่ ช้คำหยาบ คำสแลง หรือภาษาถน่ิ เป็นต้น จ. ข้อความนั้นต้องมีความยากง่ายพอเหมาะกับระดับสติปัญญาของผู้เรียน เมือ่ เลือกขอ้ ความลกั ษณะดังกล่าวขา้ งต้นได้แลว้ ให้ปฏบิ ัติดังต่อไปน้ี - อา่ นขอ้ ความนั้นซำ้ ๆ หลาย ๆ ครั้ง จนเขา้ ใจความหมายอยา่ งแจม่ ชดั - พยายามพิจารณาเนื้อหาในข้อความนนั้ อย่างละเอยี ดดวู า่ มคี ำ ข้อความ หรอื เนื้อความตอนใดทส่ี ำคัญมีแง่มมุ เหมาะทจ่ี ะถามบ้าง - วัดพฤติกรรมความเข้าใจ การวิเคราะห์ไปจนถึงการประเมินค่า เช่น ถามให้แปลความ ตีความ ขยายความ หรือสร้างจินตนาการ จับใจความสำคัญหรือสรุปสาระสำคัญ วิพากษ์วิจารณ์ และสรปุ ไดอ้ ย่างมีเหตุผล เปน็ ต้น ซึ่งคือความมุง่ หมายสำคัญของการอ่านดงั ท่ีได้กล่าวไว้ ข้างต้นแล้วนน่ั เอง ผ้ตู ้ังคำถามต้องใชว้ ิจารณญาณพินจิ พิเคราะห์ดูเองวา่ ข้อความน้ัน ๆ เหมาะที่จะใช้กับ คำถามประเภทใดบ้าง หรือเหมาะที่จะถามในลักษณะใดซึ่งในข้อความเดียวกันนั้น ผู้ ตั้งคำถาม ไม่จำเป็นต้องถามในลักษณะเดยี วกันก็ได้ แลว้ แต่วา่ ใครจะเหน็ แง่มุมใดเด่นออกมา ก็มักจะถามในแง่มุม นนั้ แต่ควรระวังอยา่ ต้ังคำถามซ้ำกันจนกลายเป็นการแนะคำตอบ ข้อความที่นำมาใช้ออกข้อสอบด้านการอ่านดังกล่าวข้างต้นแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ (จันทิมา พรหมโชติกลุ , 2529) ก. ขอ้ ความประเภทร้อยแกว้ (ทไี่ ม่ใชบ่ ทสนทนา) ข. ข้อความประเภทร้อยกรอง ค. ขอ้ ความประเภทบทสนทนา เนื่องจากข้อความทั้ง 3 ประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะตัวบางประการซึ่งแตกต่างกัน จึงจำเป็น จะตอ้ งแยกกล่าวถงึ การตัง้ คำถามจากข้อความทั้ง 3 ประเภททลี ะประเภทเรยี งตามลำดับดังต่อไปนี้ ก. การตั้งคำถามจากข้อความประเภทร้อยแก้ว (ที่ไม่ใช่บทสนทนา) วิธีถามอาจใช้วิธี หยิบยกเอาคำใดคำหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นคำประเภทอมความ ซ่อนปม หรือรวมความหมายที่สำคัญไว้ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

111 จากข้อความที่ใช้เป็นตัวเรื่อง แล้วก็ถามในลักษณะให้แปลความ ตีความ ขยายความ นำไปใช้วิเคราะห์ หรือประเมินค่าตามความหมายที่ปรากฏอยู่ในข้อความนั้นหรืออาจยกเอากลุ่มคำใดกลุ่มคำหนึ่ง ประโยคใดประโยคหนึ่งหรือข้อความส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือข้อความทั้งหมดออกมาถามในลักษณะ เดียวกับการถามคำ สิ่งที่เป็นจุดเด่นควรหยิบมาถาม ได้แก่ ใจความสำคัญของเรื่อง คติหรือความดีงาม ถูกตอ้ ง ความบกพรอ่ งท่ีเห็นชดั และแง่มมุ ที่แปลก ๆ เชน่ อาจถามดงั น้ี - คำ (กลุ่มคำ ประโยค หรอื ข้อความ) นีม้ ีความหมายทำนองเดียวกับอะไร - คำ (กลมุ่ คำ ประโยค หรือข้อความ) นอี้ าจตีความหมายอีกนยั หนึ่งไดว้ ่าอย่างไร - ข้อความนก้ี ล่าวถงึ เรือ่ งอะไร - ขอ้ ความนม้ี ลี ักษณะท่ัวไปเปน็ อย่างไร - ควรตั้งชื่อขอ้ ความน้ีวา่ อะไร - ใจความสำคญั ของขอ้ ความนีค้ ืออะไร - ใจความสำคัญของขอ้ ความนอ้ี ยู่ตอนใดของขอ้ ความ - ข้อความน้ีมีจดุ มงุ่ หมายอย่างใดสำคญั ท่สี ดุ - ข้อความนี้มีความหมายสอดคล้อง หรือขัดแย้งกับข้อความที่กำหนดไว้ในตัวเลือก ขอ้ ใด - ขอ้ ความนเ้ี หมาะกบั ใคร หรือควรใช้ในโอกาสใดมากท่ีสดุ - ผ้ปู ฏบิ ัตติ ามความหมายของขอ้ ความน้ีน่าจะเป็นคนอย่างไร - ข้อความนตี้ รงกบั ลกั ษณะทำนองใด - ขอ้ ความน้จี ัดเปน็ สว่ นหนึง่ ของขอ้ ความประเภทใด - ข้อความนี้ตอ้ งการเนน้ อะไร - ขอ้ ความนส้ี รุปสาระสำคญั ได้อยา่ งไร - อะไรเป็นตน้ เหตุของเรอ่ื งนัน้ ๆ - ขอ้ ความใด (ในตัวเลือก) เกยี่ วขอ้ งกบั เร่ืองน้มี ากที่สุด - อะไรเกิดก่อน กลาง หรือหลัง - ขอ้ ความใด (ในตัวเลอื ก) จะตอบปัญหาเรอื่ งน้ีได้ - คำสรุปของเรือ่ งนถี้ อื เหตุผลข้อใดเป็นหลัก - ขอ้ ความนใ้ี ห้คตใิ นเรอื่ งใด เพราะเหตใุ ด - ขอ้ ความนเี้ ปน็ ตัวอยา่ งของคตขิ ้อใด - ทา่ นเห็นดว้ ยกบั ความหมายในข้อความนี้หรือไม่เพราะเหตใุ ด ฯลฯ คำชแ้ี จง ให้ใช้ขอ้ ความน้ตี อบคำถามข้อ (01) “ซอื่ กินไม่หมดคดกนิ ไมน่ าน” (01) “กนิ ” ในขอ้ ความนหี้ มายถึง “กิน” อะไรมากทสี่ ุด 1. บญุ 2. ยศ 3. ศกั ด์ิ 4. ทรัพย์ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

112 คำช้ีแจง ให้ใชข้ อ้ ความนี้ตอบคำถามขอ้ (02) - (03) การเขยี น คอื ระบบการสื่อสารหรือบันทึกถ่ายทอดภาษาเพ่ือแสดงออกซ่ึงความรู้ ความคิด โดยใช้ตัวหนังสือและเครื่องหมายต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์ จุดเริ่มต้นของการเขียนอยู่ที่ความคิด เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพของการเขียนย่อมขึ้นอยู่กับสมรรถภาพทางความคิด และความสามารถในเชิง ภาษา (02) ขอ้ ความนไ้ี ม่ไดก้ ลา่ วในลักษณะใด 1. อธิบายความหมาย 2. ชี้แจงรายละเอยี ด 3. อา้ งอิงหลกั ฐาน 4. สรุปเหตุผล (03) ควรต้งั ชอ่ื ข้อความนี้ว่าอะไร 1. ความคิด 2. การเขียน 3. สมรรถภาพทางความคิด 4. ประสทิ ธิภาพของการเขียน คำช้ีแจง ใหใ้ ช้ขอ้ ความนตี้ อบคำถามข้อ (04) – (07) การฝึกใจให้พร้อมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ใจที่พร้อมคือใจที่มีปัญญา ยอมรับ ความเป็นจริงได้อยา่ งไม่หวัน่ ไหว เป็นใจที่จะก่อให้เกิดความสุขสงบเป็นล้นพ้น ไม่ว่าเหตุการณ์ภายนอก จะรุนแรงวนุ่ วายเพยี งใดก็ตาม ใจน้นั จะสขุ สงบอยไู่ ด้อยา่ งนา่ อศั จรรย์ (04) ขอ้ ความนี้มจี ดุ มุ่งหมายประการใดเปน็ สำคญั 1. ใหข้ ้อคิด 2. รำพงึ รำพนั 3. ชี้แนะแนวทาง 4. ชักชวนให้กระทำตาม (05) ขอ้ ความน้ีมีความหมายตรงกับข้อใดมากท่ีสุด 1. จิตท่ีฝกึ ดีแลว้ ย่อมนำสุขมาให้ 2. สขุ อืน่ ยิ่งกว่าความสงบน้ันไม่มี 3. ชนะอ่ืนชนะงา่ ย ชนะใจนัน้ ชนะยากนัก 4. สงบและไมถ่ ูกรบกวนคอื ธรรมชาตขิ องจิตทป่ี ระเสริฐ (06) ขอ้ ความนี้เน้นเร่ืองอะไรมากทส่ี ดุ 1. การฝึกใจ 2. ความพรอ้ ม 3. ความสงบสขุ 4. การยอมรบั ความจรงิ (07) ทหารทกี่ ำลงั จะออกรบ อ่านขอ้ ความนแ้ี ล้วนา่ จะเกดิ ความรสู้ กึ อยา่ งใดมากทสี่ ุด 1. ทอ้ แท้ 2. ฮกึ เหิม 3. สลดใจ 4. วางเฉย 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

113 ข. การตั้งคำถามจากข้อความประเภทร้อยกรอง สำหรับข้อความที่มีลักษณะเป็น ร้อยกรอง ควรถอดความออกมาเป็นภาษาร้อยแก้วง่าย ๆ เสียก่อน แล้วทำความเข้าใจในความหมาย และจับใจความสำคญั ของขอ้ ความน้นั ให้ไดแ้ ลว้ จึงค่อยคน้ หาแง่มมุ ซึง่ เหมาะท่ีจะถาม วธิ ถี ามก็อาจใช้วิธีถามคำใดคำหนง่ึ วรรคใดวรรคหนงึ่ บาทใดบาทหนึ่ง สว่ นใดส่วนหนึ่ง ของข้อความ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากลักษณะที่กล่าวแล้ว เช่น ถามบาทที่หนึ่ง และบาทที่สอง เป็นต้น หรืออาจถามข้อความทั้งหมดในลักษณะคล้ายกับการตั้งคำถามจากข้อความประเภทร้อยแก้ว ดัง ตวั อย่าง คำชแี้ จง ให้ใชบ้ ทร้อยกรองนตี้ อบคำถามข้อ (01) - (02) งานวันเกิดย่ิงใหญใ่ ครคนน้ัน ฉลองกนั ในหมูผ่ ลู้ ุม่ หลง หลงลาภยศสรรเสรญิ เพลนิ ทระนง วนั เกดิ ส่งชีพสั้นเร่งวนั ตาย อีกมุมหนึ่งซ่งึ เหงานา่ เศร้าแท้ หญิงแกแ่ กน่ ั่งหงอยและคอยหาย โอ้วันนใ้ี นวันนนั้ อันตราย แม่คลอดสายโลหติ แทบปลดิ ชนม์ (01) ข้อความนก้ี ล่าวในลักษณะใด 2. ปลกุ ใจ 1. จงู ใจ 4. เตอื นใจ 3. ปลอบใจ (02) ขอ้ ความน้ีตอ้ งการเน้นเร่อื งอะไร 2. ความเสียสละของแม่ 1. ความลืมตัวของลกู 4. ความทุกข์ของแม่ในวยั ชรา 3. อนั ตรายในวันคลอดลูก (03) ผ้กู ลา่ วข้อความนีน้ ่าจะเปน็ คนอย่างไรมากทีส่ ดุ 1. ออ่ นโยน 2. ความมีเมตตา 3. มคี วามกตัญญู 4. รจู้ ักรบั ผดิ ชอบ คำช้แี จง ใหใ้ ชข้ อ้ ความนตี้ อบคำถามขอ้ (04) - (09) อรณุ รามอรา่ มฝัน ทิวาวันจะครรไล ประดาเริม่ ประเดมิ ใจ อทุ ศิ เพอื่ จะเอ้ือชน (04) บทรอ้ ยกรองนม้ี ีลักษณะโน้มนา้ วไปทางใดมากท่ีสุด 1. แนะนำ 2. สัง่ สอน 3. ขอร้อง 4. ชกั ชวน 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

114 (05) ผ้เู ขยี นบทร้อยกรองนี้ตอ้ งการเนน้ เร่ืองอะไร 1. ความฝนั 2. ความงาม 3. ความสามคั คี 4. ความเสียสละ (06) บคุ คลในขอ้ ใดมีลักษณะท่ีจะปฏบิ ตั ติ ามความหมายในบทร้อยกรองนมี้ ากที่สุด 1. ครู 2. ทหาร 3. กสกิ ร 4. ตำรวจ (07) บทรอ้ ยกรองนี้มคี วามหมายตรงกบั ข้อใดมากทส่ี ุด 1. สละชพี เพอื่ ชาติ 2. อย่าผัดวนั ประกันพรงุ่ 3. รกั ผอู้ ื่นให้เหมอื นรักตน 4. ควรทำตนให้เปน็ ประโยชน์แกผ่ อู้ น่ื (08) ผปู้ ฏิบัตติ ามความหมายของร้อยกรองบทนน้ี ่าจะเป็นคนอย่างไร 1. ฉลาด 2. ช่างฝัน 3. มเี มตตากรณุ า 4. มองการณไ์ กล (09) ถา้ มีบคุ คลปฏิบตั ิตามความหมายของร้อยกรองบทน้ีมาก ๆ สังคมจะเปน็ อยา่ งไร 1. มีแต่ความสงบสุข 2. ปราศจากโจรผรู้ า้ ย 3. เจริญท้งั ดา้ นวตั ถุและจติ ใจ 4. ปราศจากความทกุ ข์ยากเดือดร้อน ค. การตั้งคำถามจากข้อความประเภทบทสนทนา สำหรับข้อความร้อยแก้วประเภทบท สนทนา ใช้วิธีถามความหมายของบทสนทนาทั้งบทในลักษณะเดียวกับขอ้ ความ ประเภทร้อยแก้วทั่วไป หรอื ยกคำใดคำหน่ึง กลุ่มคำใดกลุ่มคำหนึ่ง คำพดู บางประโยคของตัวละครตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัวมา ถามในลักษณะเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้น นอกจากนี้ข้อความประเภทบทสนทนายังมีลักษณะพิเศษอีก สองประการคือ แนวคิดของค่สู นทนาแตล่ ะคนอาจไม่เหมือนกนั อาจขัดแย้งหรือสอดคล้องกัน ดังน้ันใน บทสนทนา 1 บท อาจจะได้ใจความสำคัญมากกว่าหนึ่งใจความ ซึง่ สามารถนำมาตั้งคำถามถามเก่ียวกับ แนวคิดของคู่สนทนาได้มากกว่า 1 ข้อ ลักษณะดังกล่าวนี้จะผิดไปจากข้อความประเภทร้อยแก้วทั่วไป และนอกจากนี้ยังอาจถามในลักษณะให้คาดคะเนต่อด้วยการให้แต่งประโยคต่อบทสนทนานั้นให้ได้ ใจความเหมาะเข้ากันกบั บทสนทนาบทนั้นกไ็ ด้ เช่น ถามว่า - ควรต่อบทสนทนานี้ด้วยประโยคในข้อใด - แนวคิดของผ้สู นทนาคนที่ 1 (หรือคนที่ 2) คอื อะไร เป็นต้น นอกจากน้ีอาจใช้ลกั ษณะ คำถามเช่นเดยี วกับทย่ี กตัวอย่างไว้ในเร่อื งรอ้ ยแกว้ ทวั่ ไป เช่น - บทสนทนากลา่ วถึงเรื่องอะไร - คำพดู ของตวั ละคร (ตัวใดตวั หนง่ึ ) ในบทสนทนาหมายความว่าอยา่ งไร - คำพูดประโยคสุดท้ายของตวั ละครแสดงว่าเขาคดิ อย่างไร - ทำไมตัวละคร (ในบทสนทนา) จึงแสดงพฤติกรรมอย่างน้ัน 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

115 - บทสนทนานีเ้ นน้ เรื่องใดเป็นสำคัญ - บทสนทนาน้ีใหค้ ตคิ ล้ายข้อความใด (ในตวั เลอื ก) - บทสนทนาน้ใี ห้ขอ้ คิดในด้านใด - เรอ่ื ง (ในบทสนทนา) นน้ี า่ จะเกดิ ข้นึ ณ ทใ่ี ดมากทส่ี ดุ ฯลฯ ดงั ตวั อย่าง คำช้ีแจง ใหใ้ ชบ้ ทสนทนานีต้ อบคำถามข้อ (01) - (04) ชายหนุ่ม “นี่คณุ เหน็ ผูห้ ญงิ คนนนั้ ไหม เขาสวยดีนะ” หญงิ สาว “เหน็ แล้ว” ชายหนุม่ “แหม! ชกั อยากรู้จกั เสียแลว้ ซ”ิ หญงิ สาว “คุณก็เปน็ อยา่ งน้ีทุกครง้ั เห็นใครสวยเปน็ ไม่ได”้ ชายหนมุ่ “โธ่! คณุ ผมเพียงอยากร้จู ักเท่านั้นเอง” หญิงสาว “จะแนะนำใหเ้ อาไหม” ชายหนุ่ม “เอะ๊ คณุ รู้จักเขาด้วยหรอื ” หญงิ สาว “อ๋อ! รจู้ กั ดีทีเดียว เขาเปน็ แมเ่ ลยี้ งคนใหมข่ องฉนั เอง” ชายหน่มุ “อา้ ว! แล้วกัน” (01) บทสนทนานีม้ ีความหมายเขา้ ลกั ษณะใด 1. จดุ ไตต้ ำตอ 2. นำ้ ลดตอผุด 3. ขนมผสมนำ้ ยา 4. เอามะพรา้ วห้าวมาขายสวน (02) ชายหนมุ่ เปน็ คนอยา่ งไร 2. ขีเ้ ล่น 1. เจา้ ชู้ 4. จรงิ ใจ 3. ใจร้อน (03) ชายหนุม่ กบั หญงิ สาวน่าจะมคี วามสมั พันธ์ลักษณะใด 1. เป็นญาติกนั 2. เป็นเพ่ือนกัน 3. เป็นคนรกั กนั 4. เป็นสามีภรรยากนั (04) คำพดู ประโยคสุดทา้ ยของชายหนมุ่ แสดงว่าเกดิ ความร้สู กึ อย่างไร 1. ขัดใจ 2. ขนุ่ ใจ 3. เสยี ใจ 4. แปลกใจ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

116 คำชี้แจง ให้ใช้บทสนทนานี้ตอบคำถามข้อ (05) - (07) ก. “น่ีเธอ! ดูหนงั เรอื่ ง...หรือยังละ่ ” ข. “ยังไม่ได้ดูเลย เธอดแู ลว้ หรอื ” ค. “ยงั ก็กำลังจะชวนเธออยูน่ ี่ไง เขาบอกวา่ หนงั ดีมาก นาน ๆ หนงั ประเภทนจ้ี ะเข้ามา สกั ที” ข. “แหม! ฉนั จะบอกเธอยังไงดีนะ คือฉันไม่ชอบดูหนังประเภทนี้ เพราะรู้สึกว่ามันเป็น หนงั หลอกเดก็ แต่ถ้าเธออยากดฉู นั จะไปเปน็ เพ่ือนก็ได้นะ” ก. “ขอบใจ ฉนั ไปชวนคนอืน่ ดีกว่า” (05) บทสนทนานแ้ี สดงใหเ้ หน็ ความบกพรอ่ งในด้านใดของบคุ คลเดน่ ชดั ทส่ี ุด 1. นิสยั 2. วาจา 3. ความรู้ 4. มารยาท (06) ก และ ข นา่ จะนงั่ สนทนากัน ณ ทใี่ ด 1. บา้ นของ ก. 2. บา้ นของ ข. 3. ในห้องเรยี น 4. บนรถโดยสาร (07) ข ควรต่อบทสนทนานีด้ ้วยประโยคในข้อใด 1. งั้นก็ตามใจ 2. ไมเ่ ป็นไรหรอก 3. เธออย่าโกรธฉนั นะ 4. อยา่ เลย ฉันไปกบั เธอก็แล้วกัน การวัดพฤติกรรมการอ่านในใจด้วยคำถามในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ จะเห็นว่าคำถาม บางข้อมีลักษณะคล้ายกับที่ยกตัวอย่างในเรื่องการวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการ ฟัง ที่เป็นเช่นนี้เพราะพฤติกรรมเรื่องการฟัง และการอ่านในใจนี้มีลักษณะคล้ายกันจะต่างกั นก็ตรง วิธีการให้รับรู้โดยทางหูหรือทางตาเท่านั้น ดั้งนั้นจึงอาจใช้ข้อความ หรือสถานการณ์และลักษณะการ ถามเหมือนกันได้ นอกจากนี้การวดั ดังกล่าวยังนำไปใชก้ ับการย่อความได้ดว้ ย การเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย เช่น จุดประสงค์ที่ระบุว่าให้มีมารยาทในการอ่าน หรือให้เลือก อา่ นหนงั สอื ไดต้ รงตามความต้องการ เปน็ ตน้ สามารถใชเ้ ครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรยี นรู้ด้านพุทธิพิสัย วัดทางอ้อมได้ด้วย อาทิ อาจถามเกี่ยวกับหลักเรื่องความมีมารยาทในการอ่าน วิธีเลือกหนังสืออ่าน วิธี ค้นคว้าหาความรใู้ นการอ่าน และวธิ ีใช้หนังสือ หรอื สว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของหนงั สอื ฯลฯ 4. การสรา้ งเคร่อื งมอื วดั พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ด้านพุทธพิ สิ ยั ท่เี ก่ยี วกับการเขียน พิจารณาจากจุดประสงค์ของหลักสูตรวิชาภาษาไทย จุดประสงค์ของรายวิชา และ จุดประสงค์ที่ระบุในคำอธิบายรายวิชา จะเห็นว่าพฤติกรรมการเขียนซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สามารถแสดง ออกมาให้เห็นได้เช่นเดียวกับการพูดโดยตัวของมันเอง มีลักษณะเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

117 พิสัย ดังนั้นพฤติกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับการเขียนซึ่งกำหนดในจุดประสงค์ดังกล่าวข้างต้นจึงเป็น พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยเป็นส่วนใหญ่ เช่น ระบุว่าให้เขียนได้ถูกต้องชัดเจน เหมาะสม ตรงตามวัตถุประสงค์ ใช้ภาษาในการเขียนได้กะทัดรัดและสละสลวย ใช้ภาษาในการเขียนเชิงวิจารณไ์ ด้ สมเหตุสมผล และมีประสิทธิภาพ ใช้ภาษาในการเขียนติดต่อกิจธุระได้ถูกต้องเหมาะสม เขียนแสดง ความต้องการความคิดและความรู้สึกได้ถูกต้องตามมารยาทและธรรมเนียมนิยม แต่งคำประพันธ์ ชนิดต่าง ๆ ได้ เขียนในลักษณะบรรยาย สรุปความในรูปแบบต่าง ๆ และสามารถแสดงออกเชิง สร้างสรรคใ์ นการเขียน เป็นต้น ซงึ่ พฤตกิ รรมการเรียนรู้ในจดุ ประสงคท์ ีร่ ะบุขา้ งตน้ นี้ วธิ วี ดั ที่ถูกต้องและ ตรงที่สุดก็คือให้ผู้เรียนแสดงออกด้วยการปฏิบัติจริงโดยการเขียนซึ่งตอ้ งใช้เครื่องมือวัดด้านทักษะพิสยั เชน่ เดยี วกับการพูด (Marshall and Rossman, 2006) 4.1 พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการเขียน แม้ว่าพฤติกรรม การเขียนนั้นผู้เรียนจะต้องแสดงออกด้วยการปฏิบัติจริง ซึ่งต้องใช้เครื่องมือวัดด้านทักษะพิสัยดังกล่าว แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากการเขียนเป็นกระบวนการสังเคราะห์ของสมองซึ่งเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้าน พุทธิพิสัย และในกระบวนการดังกล่าวนี้ผู้เรียนจะต้องนำความรู้ความสามารถหลายอย่างมาผสมผสาน กัน เช่น ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ของภาษาในเรื่องคำ กลุ่มคำประโยค ต้องรู้จักคำ มากพอ รู้จักใช้คำได้ถูกต้องเหมาะสม รู้จักนำคำต่าง ๆ มาประกอบกันเข้าเป็นประโยค สามารถนำ ประโยคมาเรียบเรียงเป็นข้อความท่ียาวข้ึน รู้จักลำดับข้อความ จัดระเบียบความรู้ความคดิ ให้ออกมาใน ลักษณะที่ถูกต้องเหมาะสม สามารถสื่อความหมายให้ผู้อื่นรับรู้ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ก็เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถวัดการเขียนด้วย เครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย โดยถือเป็นการวัดพฤติกรรมทางอ้อมได้ด้วย และ เมื่อพิจารณาจากจุดประสงค์ของหลักสูตร จุดประสงค์ของรายวิชาและจุดประสงค์ที่ระบุในคำอธิบาย รายวชิ าประกอบดว้ ยกจ็ ะเหน็ ว่าพฤติกรรมการเรียนรูด้ า้ นพุทธิพสิ ัยทเี่ กีย่ วกับการเขยี นซึ่งต้องการให้เกิด กับผู้เรียนนั้น ควรมีตั้งแต่พฤติกรรมความรู้ความจำ จนถึงการประเมินค่า โดยควรจะเน้นพฤติกรรม การนำไปใชแ้ ละการสังเคราะห์เป็นสำคัญ ทั้งนี้เพราะพฤติกรรมการเรยี นรู้เกีย่ วกับการเขยี น ซึ่งกำหนด ในจุดประสงค์ของหลักสูตร จุดประสงค์ของรายวิชา และจุดประสงค์ที่ระบุในคำอธิบายรายวิชา ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยวัดได้นั้นจะเน้นพฤติกรรมทั้ง 2 ด้านนี้ มากกว่าด้านอื่น เช่น ระบุว่าให้ใช้ภาษาในการเขียนได้อย่างสุภาพ เหมาะสมกับสภาพการณ์เขียนได้ อย่างมีศิลปะ ใช้ภาษาติดต่อกิจธุระได้ถูกต้องเหมาะสม แต่งคำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ ได้ และสามารถ แสดงออกเชงิ สร้างสรรค์ในการเขียน เป็นต้น (นาวินี หลำประเสริฐ และคณะ, 2555) 4.2 เนื้อหาที่นำมาใช้ในการสร้างเครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยท่ี เกี่ยวกับการเขยี น เน้อื หาท่ีกำหนดไวใ้ นหลักสตู รเพ่อื ใหผ้ เู้ รียนได้ฝกึ พฤติกรรมด้านการเขยี น ซ่งึ สามารถ นำมาใช้วัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการเขียน ได้แก่ เนื้อหาที่นำมาใช้ในการเขียน ลักษณะต่าง ๆ เช่น เขียนตามคำบอก จดบันทึก เรียงความ ย่อความ ขยายความ เขียนจดหมาย กรอกแบบฟอร์ม แต่งคำประพันธ์ เขียนแสดงความคิดเห็น เขียนแสดงเหตุผล เขียนประกาศ เขียนรายงาน เขียนเล่าเรื่อง และแต่งบทประพันธ์ เป็นต้น รวมทั้งถ้อยคำภาษา และสำนวนโวหารที่ นำมาใชใ้ นการเขียน ตลอดจนหลักและวธิ ีการเขยี นแบบต่าง ๆ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

118 จากเนื้อหาท่ีกลา่ วถึงขา้ งตน้ นี้ ขอสรุปเปน็ เน้อื หาทีน่ ำมาใชว้ ัดพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ด้าน พทุ ธิพิสัยท่เี กย่ี วกบั การเขยี น เป็น 5 ประการดว้ ยกัน คือ 1. การเขยี นในลักษณะเรียงความ 2. การเขียนในลกั ษณะยอ่ ความ 3. การเขยี นจดหมาย 4. การกรอกแบบฟอร์มตา่ ง ๆ 5. การเขยี นหรอื แตง่ คำประพันธ์ 4.3 วิธีวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการเขียน วิธีวัดพฤติกรรม การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่เกี่ยวกับการเขียนนี้จะแยกกล่าวตามลักษณะของเนื้อหาที่สรุปจากหลักสูตร เปน็ 5 ประการขา้ งต้น ดงั ต่อไปนี้ 4.3.1 วิธีวัดการเขียนในลักษณะเรียงความ การเขียนในลักษณะนี้ หมายถึง การเขียนเรียบเรียงคำ และความในลกั ษณะของการเรียงความทั่ว ๆ ไป ซึ่งรวมท้ังการเรยี บเรียงคำและ ความในประโยคและข้อความต่าง ๆ ด้วย ได้แก่ การเขียนเรียงความ การเขียนรายงาน การเขียน เลา่ เรือ่ ง ฯลฯ พฤติกรรมการเขียนด้านนี้ วิธีวัดที่ดีและตรงที่สุด คือ ใช้ข้อสอบอัตนัยสอบ แล้วตรวจใหค้ ะแนนโดยการจัดอนั ดับคุณภาพ เช่น กำหนดเร่ืองให้เขยี นในลกั ษณะใดลักษณะหน่ึงพร้อม ทั้งกำหนดเกณฑ์ในการตอบหรือขอบข่ายของคำถามเพื่อเป็นแนวทางในการเขียนตอบให้ชัดเจนและ กำหนดเกณฑ์หรอื เงือ่ นไขในการให้คะแนนไว้ดว้ ย ดงั ตวั อย่าง (01) ให้เขียนเรียงความ เรื่องสิ่งแวดล้อมกับชีวิต ภายในกำหนดเวลา 2 ชั่วโมง โดยกำหนดให้มี ความยาวประมาณ 4 – 5 หน้า (ควรใช้เวลาในการวางโครงเรื่องประมาณ 30 นาที คิดและเขียนเรื่อง 60 นาที รวมทั้งทบทวนปรับปรุงแก้ไขและตรวจทานอีก 20 นาท)ี และกำหนดเกณฑ์ การใหค้ ะแนนไวด้ ังน้ี 1. เนื้อหา (เนื้อเรื่องที่เป็นความรู้ ความคิดเห็นในแง่ความถูกต้องเหมาะสม ด้านปริมาณและคุณภาพ ความชัดเจนถูกต้องสอดคล้องกับหัวข้อเรื่อง มีความน่าสนใจและ น่าประทบั ใจ) ร้อยละ 30 2. ภาษา (การใช้ถ้อยคำสำนวนภาษา ถูกต้อง ชัดเจน เหมาะสมน่าอ่านและ นา่ สนใจ) ร้อยละ 40 3. การเสนอเรื่อง (การวางโครงเรื่อง คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป การลำดับความ การขยายความ การย่อหน้า ความเชอ่ื มโยงของความและคำท่ถี กู ต้อง เหมาะสมน่าสนใจ) รอ้ ยละ 30 4. สำหรับการตรวจให้คะแนนนน้ั ควรใช้วธิ ีจดั อนั ดบั คุณภาพ วธิ ีวัดดังกลา่ วน้ีเปน็ วิธที ถี่ กู ตอ้ งทส่ี ดุ เพราะสามารถวดั การเขยี นลักษณะนีไ้ ด้ตรง ตามจดุ มุ่งหมายของหลักสูตร แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามควรคำนงึ ถึงหลักต่อไปนปี้ ระกอบดว้ ย คอื ไม่ควรให้มีการ เลือกเรื่องหรือข้อในข้อสอบ เพราะจะทำให้เกิดความยุ่งยากในตอนเปรียบเทียบเพื่อให้คะแนน และถ้าเป็นไปได้ผู้ตรวจให้คะแนนควรเป็นผู้ออกข้อสอบหรือมีส่วนในการออกข้อสอบ รวมทั้งผู้ตรวจ ให้คะแนนผู้เข้าสอบกลุ่มเดียวกันควรเป็นคน ๆ เดียวกัน ตลอดจนถ้ามีผู้ตรวจให้คะแนนมากกว่า 1 คน ได้ก็จะทำให้ขอ้ สอบมคี วามเทยี่ งตรงขน้ึ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

119 แม้ว่าการกำหนดเกณฑ์ต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นและการกระทำตามหลักที่ กล่าวถึง ประกอบด้วย จะทำให้การใช้ข้อสอบอัตนัยวัดพฤติกรรมการเขียนในลักษณะนี้มีความเป็น ปรนัยยิ่งขึน้ และมคี วามเทยี่ งตรงขึ้นกต็ ามกย็ งั เกดิ ปญั หาในการวดั ได้ในกรณีทผ่ี เู้ ข้าสอบมเี ป็นจำนวนมาก เนื่องจากจะทำให้ต้องเสียเวลาในการตรวจมากและผลที่ตามมาอย่างหนึ่งก็คือ ความยุติธรรมในการให้ คะแนน ดังนั้นถ้าต้องวัดการเขียนในลักษณะเรียงความกับผู้เข้าสอบจำนวนมากและเป็นการวัดผล เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนแล้วก็อาจจะใช้วิธีวัดสมรรถภาพหรือความสามารถของสมองที่ใช้ในการ เขยี นแทน การวัดผลผลติ จากการเขยี นซึ่งสามารถจะใช้ข้อสอบปรนยั แบบเลือกตอบวัดได้ ดังตัวอย่างวิธี วัดการเขียนในลักษณะเรียงความ โดยใช้ข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบตามแนวของ Educational Testing Service และอน่ื ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี วิธีวัดดังกล่าวการเขียนในลักษณะเรียงความด้วยข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบ ตามแนวของ Educational Testing Service (จันทิมา พรหมโชติกุล, 2529) วิธีวัดดังกล่าวนี้ต้องการ วัดทักษะในการเขียน 3 ด้านด้วยกัน คือ ความสามารถในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ การรวบรวมและการจัดระเบียบความคิดอย่างสมเหตุสมผลกับวัดความสามารถใน การใช้ถ้อยคำสำนวนให้เหมาะสมกับความหมาย โดยที่การวัดบางด้านอาจต้องใช้คำถามหลายชนิด เพราะต้องวัดกนั หลายแงห่ ลายมุม ดังมีรายละเอียดตอ่ ไปน้ี 1.1 วดั ความสามารถในการแสดงความคิด มี 4 แบบ คือ 1.1.1 ให้หาสิ่งที่บกพร่อง คำถามชนิดนี้ต้องการให้ผู้ถูกวัดค้นหาคำหรือ ข้อความที่บกพร่องในการเขียน โดยยกข้อความมาให้อ่านก่อน 1 ประโยค พร้อมกับขีดเส้นใตค้ ำบางคำ ไว้ 4 แห่งจาก 1-3 แล้ว ให้ผู้ถูกวัดพิจารณาว่า คำที่ขีดเส้นใต้ไว้ข้อใดไม่เหมาะสมกับข้อความน้ัน กใ็ หเ้ ลือกตอบข้อนน้ั แต่ถา้ เห็นว่าขอ้ ความ 3 แห่งน้นั ถกู ตอ้ งดแี ลว้ กใ็ หเ้ ลือกตอบขอ้ 4 ดงั ตวั อยา่ ง (01) เขาถกู คมุ้ กนั จากเจา้ หน้าทต่ี ำรวจเป็นอย่างดี ไม่มผี ดิ 1 23 4 (02) เขาทำงานเลวขึน้ กวา่ เดมิ มาก ไม่มผี ดิ 1 234 1.1.2 ใหป้ รับปรุงขอ้ ความ คำถามชนิดนี้ต้องการวัดความสามารถในการ ใช้ภาษาให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ให้ผู้ถูกวัดพิจารณาคำตอบโดยยึดหลักภาษาในเรื่องการใช้คำ การเรียงคำเข้าประโยค การใช้เครื่องหมายวรรคตอน และการเรียบเรียงประโยค ตามมาตรฐานของ การเขยี นทดี่ ี ซง่ึ เปน็ ทย่ี อมรับตามหลักวิชา คำถามแต่ละข้อจะมีข้อความส้ัน ๆ ให้ผู้ถูกวดั อ่านก่อน และ จะมีขีดเส้นใต้ข้อความบางตอนหรือทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นตอนที่มีความบกพร่องในการใช้ภาษาและ ทีใ่ ต้ข้อความนน้ั จะมีข้อความใหเ้ ลอื ก 4 ประการ จาก 1-4 โดยทต่ี วั เลือก 1. จะมขี อ้ ความซ้ำกบั ข้อความ เดิมเสมอ สว่ นตัวเลอื กอีก 3 ตัวเลือกนั้นจะมขี อ้ ความแตกต่างกันออกไป 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

120 ให้ผู้ถูกสอบพิจารณาข้อความเฉพาะตอนที่ขีดเส้นใต้ควรจะ เปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร ให้ข้อความทั้งหมดนั้นถูกต้องเหมาะสมและตรงความหมายมากที่สุด ถ้าผู้ถูกวัดเห็นว่าความเดิมที่ให้ไว้นั้นเหมาะสมแล้วก็ให้เลือกตอบข้อ 1 แต่ถ้าเห็นว่าข้อความตอนที่ขีด เว้นใต้ควรจะเปลี่ยนเป็นอย่างอ่ืนตามข้อ 2-3 หรือ 4 ก็ให้เลือกตอบขอ้ นั้น ๆ ในการพิจารณาคำตอบให้ ถือว่าส่วนที่ไม่ได้ขีดเส้นใต้นั้นถูกต้องแล้ว และผู้ถูกวัดจะเปลี่ยนข้อความให้ผิดไปจากเดิมไม่ ได้ ดงั ตัวอย่าง (01) ใคร ๆ กร็ ู้จกั เขาท้งั น้ันในหมูบ่ า้ นน้ี 1. ใคร ๆ ก็รจู้ กั เขาทงั้ นน้ั ในหมู่บา้ นน้ี 2. ในหมบู่ ้านนี้ ใคร ๆ ก็รู้จักเขาทง้ั นน้ั 3. เขาใคร ๆ ก็รู้จกั ทัง้ น้นั ในหมู่บา้ นน้ี 1.1.3 ให้พิจารณาความบกพร่อง คำถามชนิดนี้ต้องการให้ผู้ถูกวัด พิจารณาว่าประโยคหรือข้อความที่กำหนดให้นั้นบกพร่องหรือไม่ ถ้าบกพร่องก็ให้สามารถบอกได้ว่า เปน็ ความบกพร่องชนิดใด ผวู้ ัดจะกำหนด ความบกพร่องให้มีลักษณะอย่างไรก็ได้ตามที่เห็นควร คำถาม ประเภทนี้ให้ผู้วัดพิจารณาข้อความที่ให้ไว้ในแต่ละข้อให้รอบคอบ บางข้ออาจเขียนถูกต้องเหมาะสมดี แล้ว แต่บางข้ออาจบกพร่องในลกั ษณะใดลักษณะหน่ึงใน 4 ประการนี้ ก. ใช้คำผิด ได้แก่ ใช้คำผิดความหมาย ใช้คำกำกวมมีความหมาย หลายนัย หรือคำซึง่ ไม่เหมาะสมทจ่ี ะใชใ้ นภาษาเขยี น เปน็ ตน้ ดงั ตวั อยา่ ง (01) รถแล่นไมไ่ ด้เพราะเคร่อื งยนตเ์ กดิ ติดขดั (02) เขาเปน็ คนใชฉ้ นั เอง (03) ในสวนมผี ลไมเ้ ยอะแยะ ข. ใช้คำฟุ่มเฟือย ได้แก่ ใช้คำที่มีความหมายซ้ำ ๆ กันโดยไม่จำเป็น เช่น (01) เธอมคี วามยินดปี รดี าปราโมทย์มาก (02) เขามีบา้ นชอ่ งใหญ่โตมโหฬารพนั ลกึ ค. ใช้คำผดิ หลักภาษา ง. คำผดิ กฎเกณฑ์ในหลักภาษา เช่น (01) เขาใหข้ องขวัญกับเด็กเธอถกู เชิญไปเปน็ เกียรติแก่งาน (02) เธอถกู เชญิ ไปเป็นเกยี รติแกง่ าน ในการตอบให้ระลึกไว้ว่า ข้อความแต่ละข้อความจะมีข้อบกพร่อง เด่นชัดเพียงอย่างเดียวเสมอ และบางข้ออาจไม่มีข้อบกพร่องเหล่านี้เลยก็ได้ ให้ผู้ถูกวัดพิจารณาให้ดี แล้วเลือกตอบ ดังนี้ ให้เลือกข้อ 1 ถ้าข้อความนั้น ใช้คำผิดความหมาย คำกำกวม หรือคำซงึ่ ไมเ่ หมาะท่ีจะใชเ้ ขยี น 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

121 ให้เลอื กข้อ 2 ถา้ ข้อความน้ัน ใช้คำฟุ่มเฟอื ย ให้เลอื กข้อ 3 ถ้าข้อความนัน้ ใช้คำผดิ หลกั ภาษา ใหเ้ ลอื กขอ้ 4 ถ้าขอ้ ความนั้น ไมม่ ีขอ้ บกพร่องในข้อ ก.- ค. 1.1.4 ให้เปลี่ยนสำนวนโวหาร คำถามชนิดนี้กับสถานการณ์จริงข้อความ นั้นจะต้องเป็นทำนองเดียวกับเมื่อร่างหนังสือเสร็จ แล้วก็นำต้นฉบับมาปรับปรุงถ้อยคำสำนวนภาษา ใหด้ ขี ึ้นโดยวธิ สี ับเปลี่ยนคำบางคำ หรอื แกไ้ ขความบางตอนของประโยคเดิมเหลา่ นน้ั ใหด้ ีข้นึ วิธีตั้งคำถามชนิดนี้ ผู้วัดอาจจะนำข้อความที่ถูกต้องแล้วมาให้ผู้ถกู วดั อ่านข้อความนั้นจะตอ้ งเปน็ ข้อความที่พอจะได้และมีโอกาสที่จะปรับปรุงให้ดีข้ึนกวา่ เดมิ ได้อกี แล้วถาม ให้ผู้ถูกวัดเรียบเรียงข้อความนั้นใหม่ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ผู้วัดกำหนดให้ แต่ต้องรักษาความหมายเดิม ของขอ้ ความนัน้ ไว้เสมอ คำชี้แจง ให้นักเรียนคิดเรียบเรียงข้อความที่ให้ไว้ด้วยสำนวนโวหารใหม่ ตามข้อกำหนด อย่างใดอย่างหนึ่งใต้ข้อความ และข้อกำหนดเหล่านั้น จะมีคำหรือกลุ่มคำอยู่ 4 ประการซึ่งจะต้อง นำมาใช้กับข้อความใหม่นัน้ ใหน้ ักเรียนเลอื กตอบขอ้ ความที่ปรบั ปรงุ ใหม่ตามข้อ 1–4 ทเี่ หมาะสมทีส่ ดุ จงระวังว่า ข้อความที่แต่งใหม่นั้นจะต้องสอดคล้องกับความหมายเดิมของข้อความนัน้ ดงั เชน่ กับขอ้ ความทร่ี ะบไุ ว้และตอ้ งมีใจความสำคญั เท่ากนั ข้อความ เนือ่ งจากไมไ่ ด้คาดคิดมาก่อนเขาจงึ ดใี จมาก ข้อกำหนด ใหข้ น้ึ ตน้ ประโยคนด้ี ้วยข้อความว่า เขาดใี จมาก ขอ้ ความที่แต่งใหม่ตามขอ้ กำหนดมีดงั น้ี 1. เขาดใี จมากท่ไี ม่ได้คาดคดิ มากอ่ น 2. เขาดีใจมากและไม่ได้คาดคิดมากอ่ น 3. เขาดีใจมากดว้ ยไมไ่ ดค้ าดคิดมาก่อน 4. เขาดีใจมากเพราะไม่ได้คาดคิดมาก่อน 1.2 วดั การรวบรวมและจัดระเบียบความคดิ คำถามที่วดั ความสามารถด้านน้ี จะใช้วิธีให้ผู้ถูกวัดเรียงประโยคย่อย ๆ ซึ่งสลับที่ปนเปกันอยู่ให้เป็นเรื่องเดียวที่ติดต่อกันและได้ใจความ ถูกตอ้ งสมบรู ณด์ ังตัวอยา่ ง คำชี้แจง แบบทดสอบฉบับนี้ต้องการให้นักเรียนเรียงความย่อย ๆ ที่กำหนดให้เข้าเป็น เร่อื งเดียวกัน ข้อความเหล่าน้ตี ่างเปน็ สว่ นหน่งึ ๆ ของเรอ่ื ง แตย่ งั สลับท่ีกนั อยู่ ใหน้ กั เรียนพิจารณาให้ดี ว่าควรจะจัดเรยี งลำดบั ข้อความย่อย ๆ ท้ังหมดใหม่อยา่ งไรจึงจะอ่านไดค้ วามติดต่อเปน็ เรื่องราวเดียวกัน ท่ีถูกต้องสมบูรณ์ตามมาตรฐานการเขยี นทีด่ ี ข้อความ (1) ที่ใดมีเสียงดนตรี ที่นั้นจะมีบรรยากาศที่มีชีวิตจิตใจและเปี่ยมด้วยไมตรีจิต มติ รภาพ (2) มนุษย์เรามีความเฉลียวฉลาด สามารถคิดค้นเสียงสูงต่ำที่เกิดจากธรรมชาติ นำมาประดิษฐเ์ ป็นเสยี งดนตรี 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook