Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวัดและประเมินผล รวม

การวัดและประเมินผล รวม

Published by thanakit ritsri, 2022-05-23 18:49:26

Description: การวัดและประเมินผล รวม

Search

Read the Text Version

222 ตารางที่ 11.2 การให้เกรดเป็นสัญลกั ษณ์ จำแนกตามจำนวนเกรด 2 เกรด 3 เกรด 5 เกรด สัญลักษณ์ 8 เกรด A ระดับ ความหมาย S (ผ่าน) G (ดี) A B+ 4.0 ดีเย่ยี ม (Excellent) B B 3.5 ดีมาก (Very Good) C+ 3.0 ดี (Good) P (ผา่ น) C C 2.5 คอ่ นข้างดี (Fairly Good) D+ 2.0 พอใช้ (Fair) D D 1.5 ออ่ น (Poor) F 1.0 อ่อนมาก (Very Poor) U (ไม่ผา่ น) F (ตก) F 0.0 ตก (Fail) ท่ีมา : ศิรชิ ัย กาญจนาวาสี (2552) 5. การแบ่งประเภทของเกรดตามแหล่งที่มาของข้อมูลที่ใช้ในการตัดเกรด แบ่งเป็น 2 ประเภท ประเภทแรก คือ การตัดเกรดเดี่ยว (Single Grading) เป็นการตัดเกรดจากข้อมูลเพียง แหล่งเดียว ประเภทที่สอง คือ การตัดเกรดพหุ (Multiple Grading) เป็นการตัดเกรดของข้อมูล หลายแหล่ง/มิติ เชน่ ทักษะความสามารถ ความพยายาม และผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น การตัดเกรดอาจ ตัดเกรดแยกจากกันเป็นสามชุดตามมิติทั้งสามแยกกัน หรืออาจนำคะแนนมารวมกันแล้วตัดเกรดก็ได้ ขน้ึ อย่กู บั วัตถปุ ระสงค์ในการใชง้ าน 6. การแบ่งประเภทของเกรดตามลักษณะการตัดเกรดแบ่งเป็น 3 ประเภท ประเภท แรก คือ การตัดเกรดองิ ระดับช้นั เรียน (Level Grading) เป็นการตดั เกรดโดยเทียบระดับความยากตาม ชัน้ เรยี น เช่น เกรด B6 หมายถึง เกรดที่แสดงวา่ ผเู้ รียนมีผลการเรยี นระดับ B เทยี บกบั ระดบั ช้ันเรียนปีที่ 6 ประเภททส่ี อง คอื การตดั เกรดตามสัญญาการเรียน (Learning Contract Grading) เปน็ การตัดเกรด ตามที่ครูผู้สอนและผู้เรียนได้ทำสัญญาการเรียนไว้ในสัญญาการเรียนระบวุ ัตถุประสงคเ์ ป้าหมาย วิธีการ เรียนและกำหนดการเรียน และคุณภาพของผลการเรียนที่ต้องการ ประเภทที่สาม คือ การตัดเกรดตาม โปรแกรมการเรียนเป็นรายบุคคล (Individualized Educational Program Grading) เปน็ การตัดเกรด ตามโปรแกรมการเรียนเฉพาะตวั ผู้เรียนเปน็ รายบุคคลท่ีครูผู้สอน ผเู้ รียน และผปู้ กครองได้ร่วมกันจัดทำ ขึ้นใช้มากกบั เดก็ พิการหรอื เด็กดอ้ ยโอกาส 7. การแบ่งประเภทของเกรดตามประเภทผู้ประเมิน แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ การตัด/ ให้เกรดโดยครูผูส้ อน (Teacher Grading) การให้เกรดโดยกลุ่มเพื่อน (Peer Grading) และการให้เกรด ตนเอง (Self Grading) ซง่ึ จดั วา่ เป็นการประเมนิ ตนเองรูปแบบหน่งึ (Shavelson, 1988) 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

223 4. สรุป คะแนนและการตัดสินผลการเรียน เป็นการแปลความหมายของคะแนน/การแปลงคะแนน เป็นสัญลักษณ์ การให้ระดับคะแนน มีหลายวิธี เช่น การให้ระดับคะแนนโดยตรง คือ การพิจารณา ให้คะแนนเป็นสัญลักษณ์ A,B,C,.... เลย โดยไม่มีการให้เป็นคะแนนดิบก่อน วิธีนี้ต้องทำอย่างรอบคอบ และถ้วนทีม่ ากเพื่อใหเ้ กดิ ความยุตธิ รรม การเทยี บคะแนนกับร้อยละ เช่น 90-100% = A, 80-89% = B การใช้อันดับที่ เช่น อันดับที่ 1-10 = A, 11-20 = B การใช้วัดการกระจายของคะแนน โดยใช้พิสัย (range) คู่กับ ฐานนยิ ม (Mode) ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) คกู่ ับค่าเฉลยี่ (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ (Quartile Deviation) คู่กับมัธยฐาน (Median) การตัดสินผลการเรียนแบ่ง ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ แบบอิงเกณฑ์ วิธีนี้เหมาะกับแบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ที่ครอบคลุมทุก เนื้อหาที่สำคัญตามวัตถุประสงค์การศึกษา และแบบอิงกลุ่ม วิธีนี้มักใช้โดยการใช้การกระจายของ คะแนนเปน็ หลัก คำถามทา้ ยบทที่ 11 1. จงอธบิ ายเก่ยี วกับหลักการวัดผลการเรยี นการสอน พร้อมทง้ั ยกตวั อย่างประกอบพอสงั เขป 2. จงจำแนกองคป์ ระกอบทใี่ ช้ในการตัดเกรด พร้อมทัง้ ยกตัวอย่างประกอบพอสงั เขป 3. จงนำเสนอแนวคิดเกีย่ วกับระดับคะแนนหรือเกรด พรอ้ มทงั้ ยกตัวอยา่ งประกอบพอสังเขป 4. จงออกแบบคะแนนและการตัดสินผลการเรียนรายวิชาภาษาไทยระดับประถมศึกษาและ ระดบั มธั ยมศึกษา คนละ 1 รายวิชา 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

224 เอกสารอา้ งองิ คณาจารย์ภาควิชาวจิ ยั และพัฒนาการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. (2563). การ วดั และประเมนิ ผลการศึกษา. พิมพค์ รง้ั ที่ 5. มหาสารคาม : ตักศิลาการพมิ พ์. นงลักษณ์ วิรัชชยั . (2546). “การตัดสินผลการเรียนรู้ : เกรดและการตัดเกรด” ใน การประเมินผลการ เรียนรู้แนวใหม่ โดยมีสุวิมล ว่องวาณิช เป็นบรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ประสาท เนอื งเฉลมิ . (2564). วิจัยการเรยี นการสอน. พมิ พ์คร้งั ท่ี 5. กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. วราพร เอราวรรณ์. (2559). “การให้เกรด” ใน การวัดและการประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. มหาสารคาม : ตกั สลิ าการพิมพ์. ศิริชัย กาญจนวาสี. (2544). การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมสําหรับการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : บญุ ศริ กิ ารพิมพ์. _______. (2552). ทฤษฎีการทดสอบแบบด้ังเดมิ . พมิ พค์ รัง้ ท่ี 6. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . อุทุมพร จามรมาน. (2544). การวัดและประเมินการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกดั ฟันนพี่ ับพลชิ ชง่ิ . Popham, W.J. (1995). Classroom Assessment: What Teachers Need to Know. Boston : Allyn & Bacon. Shavelson, R.L. (1988). Statistical Reasoning for the Behavioral Sciences. Boston : Allyn and Bacon, Inc. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

225 บทท่ี 12 การวดั และประเมินผลการจัดการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 1. แนวคดิ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นกระบวนการเก็บรวบรวม ตรวจสอบ ตีความผลการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดของหลักสูตร นำผลไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้ และใช้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินผลการเรียน สถานศึกษาต้องมีกระบวนการจัดการที่เป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และ ให้ผลการประเมินที่ตรงตามความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน ถูกต้องตามหลักการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ รวมทั้งสามารถรองรับการประเมินภายในและการประเมินภายนอกตามระบบ ประกันคุณภาพการศึกษาได้ 2. เนื้อหา 2.1 จดุ มุง่ หมายของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2.2 การกำกบั ดูแลคุณภาพการศึกษา 2.3 การจดั ทำระเบยี บวา่ ด้วยการวัดและประเมินผลการเรยี นของสถานศึกษา 2.4 การจัดการระบบงานวดั และประเมนิ ผลการเรยี น 2.5 การสนับสนุนดา้ นการวัดและประเมินผลการเรียนรูจ้ ากสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาหรือ หนว่ ยงานต้นสังกดั 3. วัตถุประสงค์ 3.1 สามารถอธิบายเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 3.2 สามารถอภิปรายเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การกำกับ ดูแลคุณภาพการศึกษา การจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา และการจดั การระบบงานวัดและประเมินผลการเรยี นได้ 3.3 สามารถนำเสนอสิ่งสนบั สนนุ ดา้ นการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นร้จู ากสำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษาหรอื หน่วยงานตน้ สังกัดได้ 3.4 สามารถนำหลกั การวดั และประเมินผลการจัดการเรยี นรูต้ ามหลักสตู รแกนกลางการศึกษา ขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการเรียนการสอนได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพได้ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

226 4. กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.1 กิจกรรมกอ่ นเรียน 4.1.1 อาจารย์และนิสิตร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการวัดและประเมินผลการจัดการ เรียนรูต้ ามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 4.1.2 อาจารย์นำเข้าสู่บทเรียนเรื่องการวัดและประเมนิ ผลการจัดการเรียนรูต้ ามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 4.2 กจิ กรรมการเรยี นร้ใู นชั้นเรียน 4.2.1 อาจารย์ผู้สอนบรรยายเรื่อง การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 4.2.2 อาจารย์ผู้สอนและนิสิตร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง การวัดและ ประเมินผลการจัดการเรยี นร้ตู ามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 4.2.3 อาจารยแ์ ละนสิ ิตรว่ มกันสรปุ ความรู้เกยี่ วกับเร่ือง การวัดและประเมนิ ผลการจัดการ เรยี นรู้ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 4.3 กิจกรรมเสรมิ อาจารย์ให้นิสิตศึกษาเรื่อง การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้อื่น ๆ แล้วสรุปเป็น ชิน้ งานส่งในชวั่ โมงต่อไป 5. สือ่ การสอน 5.1 ตำราเรื่อง การวัดและประเมินผลวชิ าภาษาไทย : แนวคดิ และการประยุกตใ์ ช้ 5.2 PPT ประกอบการสอน เรื่อง การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 6. การวดั และประเมินผล 6.1 การทดสอบ 6.2 การประเมินพฤตกิ รรมการมีส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนรู้ 6.3 การเข้าช้ันเรียน 6.4 ความสามารถในการตอบคำถาม 6.5 การทำแบบฝึกหัดท้ายบท 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

227 บทที่ 12 การวดั และประเมนิ ผลการจดั การเรยี นรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นกระบวนการเก็บรวบรวม ตรวจสอบ ตีความผลการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้เรยี นตามมาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชวี้ ัดของหลักสูตร นำผลไปปรบั ปรงุ พฒั นาการจัดการเรียนรู้และ ใช้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินผลการเรียน สถานศึกษาต้องมีกระบวนการจัดการที่เป็นระบบ เพื่อให้ การดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้ผลการ ประเมินที่ตรงตามความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนถูกต้องตามหลักการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้รวมทั้งสามารถรองรับการประเมินภายใน และการประเมินภายนอกตามระบบประกันคุณภาพ การศกึ ษาได้ 1. จดุ มุ่งหมายของการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยูบนจุดมุ่งหมายพื้นฐาน 2 ประการ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551) จุดมุ่งหมายประการแรก คือ การวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยเก็บรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียนและการเรียนรู้ของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง บันทึก วิเคราะหแ์ ปลความหมายข้อมูล แลว้ นำไปใช้ในการส่งเสริมหรือปรบั ปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของผู้เรียนและ การสอนของครู การวัดและประเมินผลกับการสอนจึงเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กัน หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดการ เรียนการสอนก็ขาดประสิทธิภาพ การประเมินระหว่างการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เป็นการ วัดและประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนทุกวัน เป็นการ ประเมินเพื่อให้ร้จู ุดเดน่ จดุ ท่ีต้องปรับปรงุ จึงเป็นขอ้ มูลเพ่ือใช้ในการพัฒนาในการเก็บข้อมูล ผู้สอนต้อง ใช้วิธีการและเครื่องมือการประเมินที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การซักถาม การระดมความคิดเห็น เพื่อให้ได้มติข้อสรุปของประเด็นที่กำหนด การใช้แฟ้มสะสมงาน การใช้ภาระงานที่เน้นการปฏิบัติ การประเมนิ ความรู้เดิม การใหผ้ ู้เรียนประเมนิ ตนเอง การให้เพ่ือนประเมนิ เพ่อื น และการใช้เกณฑก์ ารให้ คะแนน (Rubrics) สิ่งสำคัญที่สุดในการประเมินเพื่อพัฒนา คือ การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนใน ลักษณะคำแนะนำที่เชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทำให้การเรียนรู้พอกพูน แก้ไขความคิด ความเขา้ ใจเดิมท่ไี ม่ถกู ตอ้ ง ตลอดจนการให้ผู้เรียนสามารถต้ังเป้าหมายและพัฒนาตนได้ จุดมุ่งหมายประการที่สอง คือ การวัดและประเมินผลเพื่อตัดสินผลการเรียน เป็นการประเมินสรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment) ซึ่งมีหลายระดับ ได้แก่ เมื่อเรียนจบ หน่วยการเรียนรู้รายวิชาเพื่อตัดสินให้คะแนน หรือให้ระดับผลการเรียน ให้การรับรองความรู้ ความสามารถของผู้เรียนว่าผ่านรายวิชาหรือไม่ ควรได้รับการเลื่อนชั้นหรอื ไม่ หรือสามารถจบหลักสูตร หรือไม่ ในการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนที่ดีต้องให้โอกาสผู้เรียนแสดงความรู้ความสามารถ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

228 ด้วยวิธีการที่หลากหลายและพิจารณาตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์ผลการปฏิบัติมากกว่าใช้เปรียบเทียบ ระหว่างผู้เรียน 2. การกำกับดแู ลคุณภาพการศกึ ษา การจัดการศึกษาในปัจจุบันนอกจากให้ทัว่ ถงึ แล้วยังมุ่งเน้นคณุ ภาพด้วย ผู้ปกครอง สังคม และ รัฐต้องการเห็นหลักฐานอันเป็นผลมาจากการจัดการศึกษา นั่นคือ คุณภาพของผู้เรียนที่เป็นไปตาม มาตรฐานของหลักสูตร หน่วยงานที่รับผิดชอบนับตั้งแต่สถานศึกษา ต้นสังกัด หน่วยงานระดับชาติ ที่ได้รับมอบหมาย จึงมีบทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพผู้เรียนตามความคาดหวังของหลักสูตร ดงั นนั้ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 จงึ กำหนดใหม้ กี ารวัดและประเมินผล การเรียนรู้ใน 4 ระดับ ได้แก่ ระดบั ชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ ทกุ ระดบั มเี จตนารมณ์เช่นเดยี วกัน คอื ตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรยี นรู้ของผู้เรียน เพ่ือนำผลการ ประเมินมาใช้เป็นขอ้ มูลในการพฒั นาอย่างต่อเนือ่ ง (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา, 2557) 1. การประเมินระดบั สถานศึกษา เป็นการตรวจสอบผลการเรียนของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คดิ วิเคราะห์และการเขียน คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์และกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน การอนมุ ัติผลการเรียน การตัดสิน การเลื่อนชั้นเรียน และเป็นการประเมินเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของ สถานศึกษาว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีสิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนา ในด้านใดรวมทั้งสามารถนำผลการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติและ ระดบั เขตพนื้ ที่การศกึ ษา ผลการประเมินระดบั สถานศกึ ษาจะเป็นข้อมลู และสารสนเทศเพื่อการปรับปรุง นโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรยี นการสอนตลอดจนเพื่อการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษา และการรายงานผลการจัด การศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน ผู้ปกครอง และชุมชน 2. การประเมนิ ระดับเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นที่การศึกษาตามมาตรฐานการเรียนรู้ ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนา คุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดำเนินการโดยประเมิน คุณภาพของผู้เรียนด้วยวิธีการและเครื่องมือที่เป็นมาตรฐานซึ่งจัดทำและดำเนินการโดยเขตพื้นท่ี การศึกษา หรือด้วยความร่วมมือกับหน่วยงาน ต้นสังกัด/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังสามารถ ดำเนินการได้ดว้ ยการตรวจสอบข้อมลู จากการประเมินระดบั สถานศึกษาในเขตพนื้ ที่การศึกษา 3. การประเมนิ ระดบั ชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการ ประเมิน ผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่าง ๆ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

229 เพอ่ื นำไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจดั การศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมลู สนับสนุนการตัดสินใจ ในระดับนโยบายของประเทศ ข้อมูลการประเมินในระดับต่าง ๆ ข้างต้น เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการ ตรวจสอบ ทบทวน พัฒนาคุณภาพผู้เรียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้อง จัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุง แก้ไข ส่งเสริมสนับสนุน เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบน พื้นฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จำแนกตามสภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียน ทั่วไป กลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ กลุ่มผู้เรียนที่มี ปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนที่ปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและ สังคม กลุ่มผู้เรียนที่พิการทางร่างกายและสติปัญญา เป็นต้น ข้อมูลจากการประเมินจึงเป็นหัวใจของ สถานศึกษาในการดำเนินการช่วยเหลอื ผู้เรียนได้ทันท่วงทอี ันเป็นโอกาส ให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและ ประสบความสำเรจ็ ในการเรยี น 3. การจัดทำระเบยี บว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรยี นของสถานศึกษา ระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาเป็ นกรอบภาระงา นแ ละ แนวปฏิบัติ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงกับการเรียนรู้เป็นกระบวนการ เดียวกัน สาระของระเบียบดังกล่าวกำหนดบนพื้นฐานของนโยบายด้านการเรียนการสอนและการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษา หลกั การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักวิชา หลักเกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและแนวปฏิบัติที่สถานศึกษากำหนดเพิ่มเติม อันจะสะท้อนคุณภาพและ มาตรฐานการปฏิบัติงานของสถานศึกษา ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในกระบวนการดำเนินงานและสร้าง ความเชื่อมั่นแก่สังคม ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามเป้าหมายการจัดการศึกษาของ สถานศึกษา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 กำหนดว่า การวดั และประเมินผล การเรียนรู้เป็นกระบวนการพัฒนาปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียน และตัดสินว่าผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ ความสามารถ คุณลักษณะอันพึงประสงค์อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอนบรรลุตามมาตรฐาน การเรียนรู้/ตัวชี้วัด ในระดับใด สามารถที่จะได้รับการเลื่อนชั้นหรือจบการศึกษาได้หรือไม่ สถานศึกษา ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาจะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของ สถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และแนวปฏิบัติที่เป็นข้อกำหนดของหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยควรมีสาระต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย (สำนักวิชาการ และมาตรฐานทางการศึกษา, 2557) 1. หลกั การดำเนนิ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ของสถานศึกษา 2. การตดั สนิ ผลการเรยี น 3. การให้ระดบั ผลการเรยี น 4. การรายงานผลการเรียน 5. เกณฑ์การจบการศึกษา 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

230 6. เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา 7. การเทียบโอนผลการเรียน 4. การจดั การระบบงานวัดและประเมนิ ผลการเรียน การจัดการระบบงานวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา ครอบคลุมงาน 2 ส่วน ได้แก่ งานวัดผลและงานทะเบียน สถานศึกษาควรกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบในแต่ละงาน สำหรับ สถานศึกษาขนาดเล็กอาจรวมทั้งสองงานและมอบหมายผู้รับผิดชอบคนเดียว (สำนักวิชาการและ มาตรฐานทางการศึกษา, 2557) งานวัดผล มีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานวัดและประเมินผลการเรียนรู้ให้คำปรึกษา เกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้กับผู้สอนและผู้เรียน ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับการสร้าง เสรมิ ความเข้มแขง็ ในเทคนิควิธกี ารวดั และประเมนิ ผลการเรียนรูใ้ ห้บุคลากรของสถานศึกษา งานทะเบียน มีหน้าที่รับผิดชอบด้านเอกสารหลักฐานการศึกษา เอกสารการประเมินผล การจัดทำจดั เกบ็ และการออกเอกสารหลกั ฐานการศกึ ษาอย่างเปน็ ระบบ ภาระงานวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายต่าง ๆ ในสถานศึกษา นับตั้งแต่ระดับนโยบายในการกำหนดนโยบายการวัดผล การจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและ ประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา เพื่อให้บุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติและยังเกี่ยวข้องกับ ผู้เรียนทุกคนตั้งแต่เข้าเรียนจนจบการศึกษาและออกจากสถานศึกษา จึงจำเป็นที่สถานศึกษาต้อง วิเคราะห์ภาระงาน กำหนดกระบวนการทำงานและผู้รับผิดชอบแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจนเหมาะสม แผนภาพที่ 12.1 นำเสนอการบริหารการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของสถานศึกษาที่กำหนดขึ้น โดยนำนโยบายการจัดการเรียนการสอนและการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตลอดจนหลักการ ดำเนินการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรตู้ ามหลักสตู รในระดับการศึกษาข้ันพนื้ ฐานมาวเิ คราะห์ภาระงาน ตารางที่ 12.1 แสดงถึงการมอบหมายภารกิจเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ให้แก่บุคลากร ฝ่ายต่าง ๆ ของสถานศกึ ษารบั ผิดชอบ การดำเนินงานวัดและประเมนิ ผลการเรียนรทู้ ่ีไมเ่ ป็นระบบ จะสง่ ผลกระทบต่อความเช่ือม่ันใน คุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา นอกจากนี้การดำเนินงานวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็น งานที่ต้องอยู่บนพื้นฐานหลักวิชาการและหลักธรรมาภิบาล สถานศึกษาต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย มีส่วนร่วมในรูปของคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง รวมทั้งกำหนดให้คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานและคณะกรรมการบริหารหลักสูตร และงานวิชาการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีส่วนรบั ผดิ ชอบ สำหรับสถานศกึ ษาขนาดเลก็ คณะกรรมการต่าง ๆ อาจแตง่ ต้ังตามความเหมาะสม 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

231 ผูเ้ กย่ี วข้อง ภารกจิ คณะกรรมการบรหิ ารหลกั สตู ร จดั ทำหลกั สูตรสถานศกึ ษาและระเบียบวา่ ดว้ ย ระบบ และงานวชิ าการสถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน การวดั และประเมินผลการเรยี นของสถานศกึ ษา การประกันคณุ ภาพ ของสถานศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษาข้นั พนื้ ฐาน ใหค้ วามเห็นชอบหลักสตู รสถานศึกษา และ ระเบยี บว่าด้วยการวดั และประเมนิ ผลการเรยี น คณะกรรมการเทยี บโอนผลการเรียน ของสถานศึกษา - ผ้สู อน/ผู้ไดร้ บั มอบหมาย การเทียบโอน - คณะอนกุ รรมการกลุ่มสาระการเรียนรู้ ผลการเรยี น และกจิ กรรมพัฒนาผเู รียน - คณะกรรมการพัฒนาและประเมิน การ - จัดการเรยี นรู้และดำเนนิ การวัด และ อ่าน คดิ วเิ คราะห์และเขยี น ประเมนิ ผลตามระเบียบว่าดว้ ย การวดั และ - คณะกรรมการพัฒนาและประเมิน ประเมนิ ผลการเรยี นของสถานศกึ ษา คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (ร.ร. ขนาด - ใหค้ วามเหน็ ชอบ/ตดั สินผลการประเมินรายปี/ เล็กอาจเปน็ คณะกรรมการ ชุดเดยี วกัน) รายภาคตามแตก่ รณี คณะกรรมการบริหารหลักสูตร และ ให้ความเห็นชอบผลการประเมิน งานวิชาการสถานศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน - อนุมัตผิ ลการประเมนิ รายปี/รายภาค ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา - ตดั สินและอนมุ ตั กิ ารเลือ่ นชน้ั ซ้ำรายวชิ า/ซ้ำช้ัน การจบการศึกษา - ครวู ดั ผล - นายทะเบียน จัดทำเอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา - ครูทปี่ รกึ ษา - รายงานผลต่อผู้เกย่ี วข้อง - ครูแนะแนว - นำขอ้ มูลไปใชว้ างแผน/พฒั นา - คณะกรรมการที่ไดร้ ับมอบหมาย ภาพท่ี 12.1 แสดงการบรหิ ารการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของสถานศึกษา 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

232 ตารางท่ี 12.1 แสดงภารกิจการวดั และประเมินผลการเรยี นรขู้ องบุคลากรฝ่ายตา่ ง ๆ ผู้ปฏิบตั ิ บทบาทหน้าที่ในการดำเนินงานการวดั 1. คณะกรรมการสถานศึกษา และประเมินผลการเรียนรู้ ขั้นพืน้ ฐาน 1.1 ให้ความเห็นชอบหลกั สตู รสถานศกึ ษาและระเบียบว่าด้วย 2. คณะกรรมการบริหาร การวดั และประเมินผลการเรียนของสถานศกึ ษา หลักสตู ร 1.2 ให้ความเห็นชอบต่อเกณฑ์และแนวปฏิบตั ใิ นการวัดและ และงานวิชาการสถานศกึ ษา ประเมิน ขน้ั พน้ื ฐาน - การเรียนรตู้ ามกลุ่มสาระการเรยี นรูท้ ้ัง 8 กลมุ่ - ความสามารถในการอา่ น คิดวิเคราะห์และเขียน - คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ของสถานศึกษา - กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น 1.3 ให้ความเห็นชอบกระบวนการและวธิ ีการสอนซ่อมเสริม การแก้ไขผลการเรยี นและอ่ืน ๆ 1.4 กำกบั ตดิ ตามการดำเนินการจัดการเรยี นการสอนตามกลุ่ม สาระการเรยี นรู้ การพฒั นาความสามารถด้านการอ่าน คดิ วิเคราะห์และเขยี น การพัฒนาคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์และ การจดั กจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียน 1.5 กำกับ ติดตามการวดั และประเมนิ ผล และการตดั สนิ ผลการเรยี น 2.1 กำหนดระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรยี นของ สถานศกึ ษา 2.2 กำหนดแผนการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรูต้ ามหลกั สูตร แกนกลางและสาระเพ่ิมเติมของรายวิชาต่าง ๆ ในแต่ละกลุ่มสาระ การเรียนรู้โดยวเิ คราะห์จากมาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้วี ดั ของกลุ่ม สาระการเรียนรูแ้ ละจัดทำรายวิชาพร้อมเกณฑ์การประเมิน 2.3 กำหนดส่ิงท่ตี ้องการประเมินในการอ่าน คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขยี น คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น พรอ้ มเกณฑ์การ ประเมิน และแนวทางการพฒั นาและส่งเสรมิ ผเู้ รยี น 2.4 กำหนดการทบทวนการพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 2.5 ให้ข้อเสนอแนะ ข้อหารือเกย่ี วกับวิธกี ารเทยี บโอนผลการเรียน ให้เป็นไปตามหลกั การและแนวทางการเทียบโอนผลการเรยี นของ กระทรวงศึกษาธกิ าร 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

233 ตารางที่ 12.1 (ต่อ) ผู้ปฏิบตั ิ บทบาทหนา้ ทีใ่ นการดำเนนิ งานการวดั 3. คณะอนกุ รรมการกลุ่มสาระ และประเมินผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้และกจิ กรรมพัฒนา ผู้เรยี น 3.1 กำหนดแนวทางการจัดการเรียนรขู้ องกลุ่มสาระการเรียนรู้ ตา่ ง ๆ การจดั กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียน พร้อมแนวทางการวดั และ 4. คณะกรรมการพัฒนาและ ประเมินผลการเรียนรู้ ประเมนิ การอา่ น คิดวิเคราะห์ 3.2 สนับสนนุ การจัดการเรยี นรู้ การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และเขยี น การวัดและประเมินผลการเรียนรแู้ ละตดั สนิ ผลการเรยี น ตามแนวทางทก่ี ำหนดไว้ 5. คณะกรรมการพัฒนาและ 3.3 พจิ ารณาให้ความเห็นชอบผลการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ประเมนิ คุณลักษณะอนั พึง สาระการเรียนรรู้ ายป/ี รายภาค และกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน ประสงค์ ของสถานศึกษา 4.1 กำหนดแนวทางในการพัฒนา การประเมิน การปรับปรุงแกไ้ ข และการตดั สินความสามารถในการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขียน 6. คณะกรรมการเทียบโอน ของผเู้ รียน ผลการเรยี น 4.2 ดำเนินการประเมินความสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะหแ์ ละ เขยี น 4.3 ตดั สินผลการพฒั นาความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์และ เขียนของผู้เรยี นรายป/ี รายภาค และการจบการศึกษาแต่ละระดับ 5.1 กำหนดแนวทางการพฒั นาและการประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ และแนวทางการปรับปรุงแกไ้ ขคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 5.2 พิจารณาตัดสินผลการประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ รายปี/รายภาค และการจบการศึกษาแต่ละระดับ 5.3 จัดระบบการปรบั ปรุงแก้ไขคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ด้วย วธิ ีการอันเหมาะสม และส่งต่อข้อมูลเพ่ือการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 6.1 จัดทำสาระ เครื่องมือ และวิธกี ารเทยี บโอนให้เป็นไป ตามแนวปฏบิ ตั ิเกี่ยวกบั การเทียบโอนผลการเรียนเข้าสู่การศึกษา ในระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ซงึ่ จดั ทำโดยสำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน (สิงหาคม 2559) 6.2 ดำเนินการเทียบโอนผลการเรียนให้กบั ผู้เรียนทร่ี ้องขอ 6.3 ประมวลผลและตัดสินผลการเทียบโอน 6.4 เสนอผลการเทียบโอนต่อคณะกรรมการบริหารหลักสตู ร และงานวชิ าการสถานศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานเพื่อให้ความเหน็ ชอบ และเสนอผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาตดั สนิ อนมุ ัติการเทยี บโอน 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

234 บทบาทหน้าทใี่ นการดำเนินงานการวดั ตารางท่ี 12.1 (ต่อ) และประเมินผลการเรยี นรู้ ผู้ปฏบิ ตั ิ 7.1 เป็นเลขานกุ ารคณะกรรมการสถานศึกษาข้นั พ้นื ฐาน 7. ผู้บริหารสถานศึกษา 7.2 เป็นประธานคณะกรรมการบริหารหลกั สูตรและงานวชิ าการ สถานศึกษาข้นั พ้นื ฐาน 8. ผูส้ อน 7.3 อนมุ ัติผลการประเมินผลการเรยี นรายปี/รายภาค และตัดสิน อนมุ ตั ิการเลือ่ นชนั้ เรียน การซำ้ ช้นั การจบการศึกษา 9. ครวู ัดผล 7.4 ใหค้ ำแนะนำ ข้อปรกึ ษาหารือเกยี่ วกับการดำเนนิ งานแก่ บคุ ลากรในสถานศกึ ษา 7.5 กำกบั ตดิ ตามใหก้ ารดำเนินการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ บรรลุเป้าหมาย 7.6 นำผลการประเมนิ ไปจัดทำรายงานผลการดำเนนิ งาน กำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาการจดั การศึกษา 8.1 จัดทำหน่วยการเรียนรแู้ ผนการจดั การเรียนรแู้ ผนการ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ในรายวิชาหรอื กจิ กรรมท่รี ับผดิ ชอบ 8.2 วัดและประเมนิ ผลระหว่างเรียนควบค่กู บั การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแผนทีก่ ำหนดพร้อมกบั ปรับปรงุ แกไ้ ขผู้เรียนทมี่ ี ข้อบกพร่อง 8.3 ประเมนิ ตัดสินผลการเรยี นรู้ของผเู้ รยี นในรายวิชาท่สี อน หรอื กิจกรรมท่รี บั ผิดชอบเมือ่ สน้ิ สุดการเรียนรายปี/รายภาค ส่งหัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนร้หู รอื กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น 8.4 ตรวจสอบสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 8.5 นำผลการประเมนิ ไปวิเคราะห์เพ่ือพัฒนาการจดั การเรียน การสอน 9.1 ส่งเสริมพัฒนาระบบและเทคนิควิธีการวัดและประเมินผล การเรียนรู้ด้านต่าง ๆ แกค่ รแู ละบุคลากรของสถานศึกษา 9.2 ให้คำปรกึ ษา ตดิ ตาม กำกบั การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ของสถานศกึ ษาให้เป็นไปตามหลักวชิ าการและแนวทางท่ี สถานศกึ ษากำหนดไว้ 9.3 ตรวจสอบ กล่นั กรอง ปรับปรงุ คุณภาพของวธิ ีการ เครื่องมือ วัดและประเมินผลการเรยี นรู้ของสถานศกึ ษา 9.4 ปฏบิ ตั ิงานร่วมกับนายทะเบียนในการรวบรวม ตรวจสอบ และประมวลผลการประเมินผลการเรียนรขู้ องผู้เรียน 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

235 ตารางที่ 12.1 (ต่อ) ผ้ปู ฏบิ ัติ บทบาทหน้าทใี่ นการดำเนนิ งานการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 10. นายทะเบยี น 10.1 ปฏบิ ตั งิ านร่วมกับครูวัดผลในการรวบรวม ตรวจสอบ และ บนั ทึกผลการประมวลข้อมลู ผลการเรียนของผู้เรยี นแต่ละคน 10.2 ตรวจสอบและสรปุ ข้อมูลผลการเรยี นของผู้เรยี นรายบคุ คล แต่ละช้นั ปีและเมือ่ จบการศึกษา เพื่อเสนอรายชือ่ ผู้มีคณุ สมบตั ิ ครบตามเกณฑ์ให้คณะกรรมการบรหิ ารหลักสูตรและงานวชิ าการ สถานศึกษาขนั้ พื้นฐานให้ความเหน็ ชอบ และเสนอให้ผู้บริหาร สถานศกึ ษาตัดสนิ และอนมุ ัติผลการเลือ่ นช้นั เรยี นและ จบการศกึ ษาแต่ละระดับ 10.3 จัดทำเอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา หมายเหตุ 1. กรณีโรงเรยี นขนาดเลก็ ท่ีแต่งต้ังคณะกรรมการเพียงชุดเดียว คณะกรรมการน้ัน ต้องปฏิบัติตามบทบาทและภารกิจข้อ 2-6 ให้ครบถว้ น 2. ให้คณะกรรมการประกันคณุ ภาพของสถานศึกษา มีหน้าทกี่ ำกบั ตดิ ตาม สนับสนนุ ให้ เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมนิ ผลการเรียน 5. การสนับสนุนด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรอื หน่วยงานตน้ สงั กัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรอื หน่วยงานต้นสังกัดมีบทบาทหน้าทีส่ นับสนุนการดำเนนิ งาน ของสถานศึกษาในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษา ซ่ึงสำนักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาควรสนับสนุนการดำเนินการของสถานศึกษาดงั น้ี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) 1. การจัดทำระเบียบว่าด้วยการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นของสถานศึกษา 2. การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรในสถานศึกษาที่เกี่ยวกับการวัดและ ประเมินผลการเรยี นร้ตู ามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 และการเทยี บโอน ผลการเรยี น 3. การส่งเสรมิ และสนับสนุนการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ การประเมนิ การอ่าน คดิ วเิ คราะห์และเขียน การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น 4. การส่งเสริมให้ครู บุคลากรในสถานศึกษามีความรูค้ วามเข้าใจในแนวปฏิบัติการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ตลอดจนความเข้าใจในเทคนิควิธีการวัดและประเมินผลรูปแบบต่าง ๆ โดยเน้น การประเมินตามสภาพจริง เช่น การประเมินการปฏิบัติงาน การประเมินด้วยแฟ้มสะสมผลงาน หรือการประเมนิ ดว้ ยการสื่อสารส่วนบุคคล เช่น การซักถาม การสมั ภาษณ์ เป็นต้น 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

236 5. การส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาพัฒนาเครื่องมือ บริหารจัดการการวัดและ ประเมินผลการเรยี นรู้และการจัดเก็บเอกสารหลกั ฐานการศึกษาอย่างเปน็ ระบบ 6. การให้คำปรึกษา แนะนำเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้การจัดทำเอกสาร หลกั ฐานการศึกษา 7. การประเมินคุณภาพผู้เรยี นทีด่ ำเนินการโดยเขตพื้นที่การศึกษาหรือหน่วยงานต้นสังกัด และระดับชาติ 8. ประสานให้มีการดำเนินการสอนซ่อมเสริมในภาคฤดูร้อนเพื่อแก้ไขผลการเรียนของ ผู้เรียน 9. อนื่ ๆ ตามความเหมาะสม 6. สรุป การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นกระบวนการเก็บรวบรวม ตรวจสอบ ตีความผลการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผเู้ รียนตามมาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ช้วี ัดของหลักสูตร นำผลไปปรบั ปรงุ พัฒนาการจัดการเรียนรู้และ ใช้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินผลการเรียน สถานศึกษาต้องมีกระบวนการจัดการที่เป็นระบบ เพื่อให้ การดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้ผลการ ประเมินที่ตรงตามความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน ถูกต้องตามหลักการวัดและประเมินผล การเรียนรู้รวมทั้งสามารถรองรับการประเมินภายใน และการประเมินภายนอกตามระบบการประกัน คุณภาพการศึกษาได้ สถานศึกษาจึงควรกำหนดหลักการดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เพ่ือเปน็ แนวทางในการตดั สินใจเกยี่ วกับการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ตามหลักสตู รสถานศึกษา 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

237 คำถามทา้ ยบทที่ 12 1. จงอธิบายเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 พร้อมทง้ั ยกตัวอยา่ งประกอบพอสังเขป 2. จงอภปิ รายในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี พรอ้ มท้งั ยกตัวอย่างประกอบให้ชดั เจน 2.1 จดุ ม่งุ หมายของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2.2 การกำกบั ดแู ลคุณภาพการศึกษา 2.3 การจดั ทำระเบียบว่าดว้ ยการวัดและประเมินผลการเรยี นของสถานศึกษา 2.4 การจดั การระบบงานวัดและประเมนิ ผลการเรียนได้ 3. จงนำเสนอสิ่งสนับสนุนด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือ หน่วยงานต้นสังกัด โดยใชเ้ ทคนิค TPACK ประกอบการนำเสนอ 4. จงออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้หลักการวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ตาม หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

238 เอกสารอ้างองิ กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั . สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2557). แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั . 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

239 บรรณานกุ รม 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

240 บรรณานกุ รม ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : กระทรวงศึกษาธกิ าร. เกียรติภูมิ ชูเกียรติศิริ. (2554). เครื่องมือวัดด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัย. เอกสารการสอนชุดวิชา การพัฒนาเครื่องมือวัดด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัย หน่วยที่ 1-8 สาขาวิชาศึกษาศาสตร์. นนทบรุ ี : สำนักพิมพม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. คณาจารยภ์ าควิชาวิจัยและพฒั นาการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. (2563). การ วัดและประเมนิ ผลการศึกษา. พิมพ์ครง้ั ที่ 5. มหาสารคาม : ตกั ศิลาการพิมพ.์ จันทมิ า พรหมโชตกิ ลุ . (2529). “การวดั และการประเมินผลภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา” ใน การสอน กลมุ่ ทกั ษะ 1 (ภาษาไทย). พิมพ์ครง้ั ท่ี 4. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. ทิวัตถ์ มณีโชติ. (2549). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์ศนู ยส์ ง่ เสรมิ วชิ าการ. ทิศนา แขมมณี. (2558). การประเมินผลขณะเรียนรู้. วารสารราชบัณฑิตสภา, 40(3), 155-174, กรกฎาคม-กนั ยายน. นงลักษณ์ วิรัชชัย. (2546). “การตัดสินผลการเรียนรู้ : เกรดและการตัดเกรด” ใน การประเมินผลการ เรียนรู้แนวใหม่ โดยมีสุวิมล ว่องวาณิช เป็นบรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . นาวินี หลำประเสริฐ และคณะ. (2555). ภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : บริษัท พฒั นาคณุ ภาพวิชาการ (พว.) จำกดั . บุญชม ศรสี ะอาด. (2546). การวจิ ัยสำหรับครู. กรงุ เทพฯ : สวุ ีริยาสาส์น. เบญจมาภรณ์ เสนารัตน์ และ สมประสงค์ เสนารัตน์. (2558). หลักการวัดและการประเมินผลทาง การศึกษา. มหาสารคาม : หา้ งหนุ้ สว่ นจำกดั อภิชาติการพมิ พ.์ ประพนธ์ เรืองณรงค์ และคณะ. (2545). กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช่วงชั้นที่ 2 ประถมศึกษา ปีท่ี 4-6. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประสานสานมิตร. ประสาท เนอื งเฉลมิ . (2563). การออกแบบและพฒั นาหลักสตู ร. ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา. ประสาท เนอื งเฉลมิ . (2563). วจิ ัยการเรียนการสอน. พิมพ์ครั้งท่ี 4. กรุงเทพฯ : สำนกั พมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. _______. (2564). วิจัยการเรียนการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2530). การสร้างและพฒั นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์. กรุงเทพฯ : สำนักทดสอบ ทางการศกึ ษาและจิตวทิ ยา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

241 รังสรรค์ มณีเล็ก. (2546). แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนาเครื่องมือสำหรับการประเมินทาง การศึกษา. ประมวลสาระชดุ วชิ าการพฒั นาเครื่องมอื สำหรับการประเมินการศึกษา หนว่ ยท่ี 1-7 สาขาวิชาศึกษาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธริ าช. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2543). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สุวรี ิยาสาสน์ . วราพร เอราวรรณ์. (2559). “การให้เกรด” ใน การวัดและการประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. มหาสารคาม : ตกั สลิ าการพมิ พ.์ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. (2553). นวัตกรรมตามแนวคิดแบบ Backward Design. มหาสารคาม : ภาควชิ าหลกั สูตรและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. ศิริชัย กาญจนวาสี. (2544). การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมสําหรับการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : บุญศิริการพิมพ.์ _______. (2552). ทฤษฎีการทดสอบแบบด้ังเดิม. พิมพค์ รงั้ ที่ 6. กรุงเทพฯ : โรงพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . สมนกึ ภัททยิ ธน.ี (2553). การวดั ผลการเรยี นรู้. พมิ พ์ครัง้ ที่ 7. กาฬสินธ์ุ : ประสานการพิมพ์. สมบัติ ท้ายเรือคำ. (2562). ระเบียบวิธีวิจัยสำหรับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. มหาสารคาม : สำนกั พิมพ์มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. สําลี รักสุทธี. (2544). เทคนิควิธีการจัดการเรียนและเขียนแผนการสอน โดยยึดผู้เรียนเป็นสําคัญ. กรุงเทพฯ : พัฒนาศกึ ษา. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2557). แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั . สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. (2538). วิธีสอนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สุทธภา บุญแซม. (2553). การศึกษาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (7E). วิทยานิพนธ์ปริญญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภฏั นครราชสมี า. สุนันท์ ศลโกสุม และจันทิมา พรหมโชติกุล. (2552). การวัดและประเมินผลกลุม่ วิชาภาษา : ภาษาไทย. เอกสารการสอนชุดวิชา หน่วยที่ 1-7 การวัดและประเมินผลกลุ่มวิชาเฉพาะ สาขาวิชา ศึกษาศาสตร์. พิมพ์ครงั้ ที่ 5. นนทบุรี : สำนักพิมพม์ หาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. สุวรรณา จุ้ยทอง. (2560). การออกแบบหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐานเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงผลิต ภาพ. วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์), 7(2), 143-152, พฤษภาคม-สงิ หาคม. 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

242 สุวมิ ล วอ่ งวาณชิ . (2552). การสร้างเคร่อื งมือวัดผลด้านทักษะพสิ ัย. เอกสารการสอนชุดวชิ าการพัฒนา แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน หน่วยท่ี 8-15 สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์. พิมพค์ ร้ังท่ี 11. นนทบรุ ี : สำนักพิมพม์ หาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. อพันตรี พลู พทุ ธา. (2564). การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้. มหาสารคาม : ตกั ศิลาการพิมพ์. อมรรัตน์ พิทักษ์วงศ์. (2551). การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ เรื่องการแต่งบทร้อยกรองของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างการจัดกิจกรรมแบบอุปนัยและนิรนัย. วิทยานิพนธ์ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. อัฐพล อินต๊ะเสนา. (2561). เอกสารประกอบการสอน เรื่อง การวัดและประเมินผลวิชาภาษาไทย. มหาสารคาม : โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม. _______. (2562). การพัฒนารูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน ของนิสิต สาขาวิชาภาษาไทยที่เรียนในรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน (รายงานการวิจัย). มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. _______. (2563). การศึกษาผลกระทบของนิสิตที่เข้าร่วมโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิน่ ที่มีต่อ การปฏิบัติตน กรณีศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (รายงานการวิจยั ). มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. _______. (2564). การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ และอา่ นคลอ่ งเขยี นคลอ่ ง (รายงานผลการวิจัย). มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. อาภรณ์ ใจเทยี่ ง. (2553). หลกั การสอน. พมิ พ์ครงั้ ที่ 5. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์. อุทุมพร จามรมาน. (2540). การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับนิสิตนักศึกษาครูในสังคม เทคโนโลยสี ารสนเทศ. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . _______. (2544). การวัดและประเมินการเรียนการสอนระดับอดุ มศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : หา้ งหุ้นส่วนจำกดั ฟนั นีพ่ บั พลชิ ชง่ิ . ภาษาองั กฤษ Alan C.L. and Skip M.W. (2018). Measurement and Evaluation in Physical Education and Exercise Science. 8th ed. New York : Routledge. Ary, D., Jacob, L.C. and Razavich, A. (1990). Introduction to Research in Education. 4th ed. Fort Worth : Holt, Rinehart and Winston, Inc. Best, J. and Kahn, J.V. (1993). Research in Education. 7th ed. Boston : Allyn and Bacon. Borg, W.R, and Gall, M.D. (1989). Educational Research : An Introduction. 5th ed. New York : Longman. Cohen, J. (1977). Statistical Power Analysis for the Behavioral Sciences. New York : Academic Press. Cohn, L. and Manion, L. (1994). Research Methods in Education. London : Croom Helm. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

243 Creswell, J.W. (1994). Research Design : Qualitative and Qualitative Approaches. Thousand Oaks, CA : Sage Publications, Inc. . (2015). A Concise Introduction to Mixed Methods Research. Thousand Oaks, CA : Sage Publications, Inc. Creswell, J.W. and Plano, C.V.L. (2011). Designing and Conducting Mixed Methods Research. Thousand Oaks, CA : Sage Publications, Inc. Cronbach, L.J. (1970). Essentials of Psychological Test. New York : Harper Collins. Earl, L. (2003). Assessment as Learning: Using Classroom Assessment to Maximize Student Learning. Thousand Oaks, CA : Corwin Press. Faul, F. and others. (2007). G*Power 3: A Flexible Statistical Power Analysis Program for Social, Behavioral and Biomedical Sciences. Behavior Research Methods. 39(2), 175-191. Gay, L.R, Mills, G.E, and Airasian P. (2006). Educational Research : Competencies for Analysis and Applications. Columbus, Ohio : Merrill Prentice Hall. Good, C.V. (1972). Essentials of Educational Research : Methodology and Design. New York : Appletion - Century - Crofts. Kerlinger, F.N. (1971). Foundations of Behavioral Research. New York : Holt Rinehart and Winston, Inc. . (1986). Foundations of Behavioral Research. 3rd ed. New York : Holt Rinehart and Winston, Inc. Kirk, R.E. (1995). Experimental Design. 3rd ed. Pacific Grove CA : Brooks/Cole. Koul, L. (1984). Methodology of Educational Research. New Delhi : Vikas Publishing House pvt ltd. Kumar, R. (1999). Research Methodology : A Step-By-Step Guide for Beginners. London : Sage Publications. Marshall, C. and Rossman, G. (2006). Designing Qualitative Research. 4th ed. Thousand Oaks, C.A. : Sage Publications, Inc. Popham, W.J. (1995). Classroom Assessment: What Teachers Need to Know. Boston : Allyn & Bacon. Shavelson, R.L. (1988). Statistical Reasoning for the Behavioral Sciences. Boston : Allyn and Bacon, Inc. Stufflebeam, D.L. and others. (1970). Educational E valuation and Decision Making. Illinois : F.E. Peacock Publishing. Tuckman, B.W. (1978). Conducting Educational Research. 2nd ed. New York : Harcourt Brace Jovanovich, Inc. 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

244 Tyler, R.W. ( 1 9 4 9 ) . Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago : The university of Chicago press. Wiesma, W. (1975). Research Method in Education. Illinois : Peacock Publishers. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

245 ภาคผนวก 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

246 การออกแบบและสร้างเครอื่ งมือท่ใี ช้วัดพฤติกรรมการเรยี นรู้ด้านพทุ ธพิ สิ ัย สาระการอา่ น รายวชิ าภาษาไทย ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 1. มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวช้วี ัดสาระการอ่าน ม.4/1 อ่านออกเสยี งบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ไพเราะ และเหมาะสมกับ เร่อื งท่ีอา่ น ม.4/2 ตคี วาม แปลความ และขยายความเรือ่ งที่อ่าน ม.4/3 วเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณเ์ รื่องท่ีอ่านในทุกๆ ด้านอย่างมเี หตุผล ม.4/5 วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเหน็ โตแ้ ย้งกบั เรื่องท่ีอ่าน และเสนอความคดิ ใหม่อยา่ ง มเี หตผุ ล ม.4/6 ตอบคำถามจากการอา่ นประเภทต่างๆ ภายในเวลาท่ีกำหนด ม.4/7 อา่ นเร่ืองต่างๆและเขยี นกรอบแนวคิด ผงั ความคดิ บันทึก ยอ่ ความ และรายงาน ม.4/9 มมี ารยาทในการอ่าน 2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้สาระการอ่าน 2.1 นกั เรียนรจู้ ดุ มงุ่ หมายในการอ่านวรรณคดี 2.2 บอกหลักการอ่านบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองประเภทต่างๆ ได้ 2.3 นักเรยี นสามารถอธิบายหลกั การอ่านตคี วามและอ่านตีความได้ถกู ต้อง 2.4 นกั เรียนเข้าใจความสำคัญของการอ่านแปลความ และอา่ นแปลความหมายในรูปแบบ ตา่ ง ๆ ไดถ้ ูกต้อง 2.5 นักเรียนรหู้ ลักการอา่ นเพ่ือขยายความและอ่านขยายความไดถ้ ูกต้อง 2.6 นกั เรยี นสามารถวิเคราะห์และวจิ ารณเ์ รื่องท่อี ่านได้อย่างมเี หตผุ ล 2.7 นกั เรียนสามารถอธบิ ายหลักการและข้ันตอนการอา่ นเพื่อแสดงความคิดเห็น 2.8 นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม 2.9 นกั เรยี นสามารถตอบคำถามจากเร่ืองท่ีอา่ นไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง 2.10 นกั เรยี นรูห้ ลักการอา่ นเพอ่ื ย่อความ 2.11 นักเรียนอ่านนิทานแล้วสามารถยอ่ ความได้ 2.12 นักเรียนรู้หลักการอ่านอยา่ งมีมารยาท 3. นยิ ามศัพท์สาระการอา่ น 3.1 อ่านตคี วาม หมายถึง การอา่ นเพื่อวิเคราะห์และความมุ่งหมายของถ้อยคำ ข้อความ บทประพนั ธ์ ท่มี คี วามหมายไมช่ ดั เจน เพอ่ื ให้ทราบความหมายของถ้อยคำหรือข้อความนนั้ ๆ 3.2 อา่ นแปลความ หมายถึง การอ่านท่มี งุ่ ให้เกดิ ความเขา้ ใจกับเน้ือหา เร่มิ จากการแปลคำ หรือศัพท์ท่ีไม่รู้ความหมาย หรอื เปน็ การแปลศพั ทจ์ ากภาษาหน่ึงไปยงั อกี ภาษาหน่ึง การถอดคำประพนั ธ์ แปลความหมายรูปภาพ เคร่อื งหมายตา่ งๆ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

247 3.3 การขยายความ หมายถึง การนำรายละเอียดมาพูดหรืออธิบายเสริมความคิดหลักหรือ ประเด็นสำคัญของเรื่องให้ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น อาจเป็นการให้ข้อมูลเพิ่มเติม ให้เหตุผลยกตัวอย่าง ประกอบ หรือมกี ารอา้ งองิ เปรยี บเทยี บให้ไดเ้ นอื้ ความกวา้ งขวางออกไป จนเปน็ ที่เข้าใจชัดเจนยง่ิ ขึน้ 3.4 การวิเคราะห์ หมายถึง การแยกแยะทางความคดิ หรือทางวตั ถุของส่ิงใดสิ่งหนึ่งหรือเร่ือง ใดเรื่องหนึ่ง เพื่อให้เห็น องค์ประกอบ เพื่อศึกษาแต่ละองค์ประกอบหรือว่าแยกแยะเพื่อให้เห็น เพ่อื ให้เห็นความสมั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบต่างๆ ทีท่ ำให้เกดิ ส่งิ นน้ั หรือเรอื่ งน้ัน 3.5 การวิจารณ์ หมายถงึ การแสดงความคดิ เห็นตชิ ม มที ัง้ แงบ่ วกและแง่ลบ 3.6 แสดงความคดิ หมายถึง การแสดงอารมณ์ ความรสู้ กึ ความคดิ จากเรอื่ งทอ่ี า่ น 3.7 ย่อความ หมายถึง การนำเรื่องราวต่างๆ มาเขียนใหม่ด้วยสำนวนภาษาของผู้ย่อเอง เมื่อเขยี นแล้วเนื้อความเดมิ จะสนั้ ลง แต่ยังมีใจความสำคัญครบถ้วนบริบรู ณ์จากการอา่ น 4. ระดับพฤติกรรมท่ีวัดสาระการอ่าน 4.1 ความรู้-จำ 4.2 ความเข้าใจ 4.3 การนำไปใช้ 4.4 วิเคราะห์ 4.5 สังเคราะห์ 4.6 ประเมินค่า 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

วิเคราะหก์ ารออกข้อสอบสาระการอา่ น ตารางที่ 1 แสดงจำนวนข้อสอบกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 สาระการอา่ น ระดับพฤติกรรม ปรนยั อตั นยั รวม สาระ/มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวช้ีวดั 248 แผนการจัดการเรียนรู้ ความ ู้รม.4/1 อา่ นออกเสยี งบทร้อยแก้ว 1. นกั เรียนรู้จดุ มุง่ หมายในการอา่ นวรรณคดี ความเข้าใจและบทรอ้ ยกรองไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง นำไปใช้ ิวเคราะห์ ัสงเคราะ ์ห ประเมิน ่คา จับ ู่ค ูถก ิผด เ ิตมคำ ตอบ ้ัสน เ ืลอกตอบ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language -2--------2 - 2 ไพเราะ และเหมาะสมกบั เรือ่ งที่ 2. บอกหลักการอ่านบทร้อยแก้วและบทร้อยกรอง 3 3 1 - - - - - - - 7 - 7 อา่ น ประเภทต่างๆ ได้ ม.4/2 ตีความ แปลความ และ 1. นักเรียนสามารถอธบิ ายหลกั การอา่ นตีความ 21- - - - - - - -3 - 3 ขยายความเร่อื งท่ีอา่ น และอา่ นตคี วามไดถ้ กู ต้อง 2. นักเรียนเข้าใจความสำคญั ของการอา่ นแปล ความ และอา่ นแปลความหมายในรปู แบบต่างๆ 2 1 - - - - - - - - 3 - 3 ไดถ้ กู ตอ้ ง 3. นกั เรยี นรหู้ ลกั การอา่ นเพื่อขยายความ 21- - - - - - - 3-3 และอ่านขยายความได้ถูกตอ้ ง ม.4/3 วิเคราะห์และวจิ ารณเ์ รอ่ื ง นักเรยี นสามารถวิเคราะห์และวิจารณเ์ ร่อื งท่ีอ่าน - - - 7 - - - - - - 7 - 7 ที่อ่านในทุกๆ ด้านอยา่ งมีเหตผุ ล ได้อย่างมเี หตผุ ล

ตาราง 1 แสดงจำนวนข้อสอบกบั จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 สาระการอา่ น (ต่อ) ระดบั พฤติกรรม ปรนยั อตั นยั รวม สาระ/มาตรฐานการเรยี นร/ู้ แผนการจัดการเรียนรู้ ความ ู้ร ตวั ชว้ี ดั ความเข้าใจ นำไปใช้ ิวเคราะ ์ห ัสงเคราะห์ ประเมินค่า จับ ่คู ถูก ิผด เ ิตมคำ ตอบ ้ัสน เ ืลอกตอบ ม.4/5 วิเคราะห์ วจิ ารณ์ แสดง 1. นกั เรียนสามารถอธบิ ายหลกั การและขน้ั ตอน 3- - - - - - - - -3 - 3 ความคิดเห็นโตแ้ ยง้ กับเรอ่ื งท่ีอ่าน การอ่านเพือ่ แสดงความคิดเหน็ 249 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทยและเสนอความคดิ ใหมอ่ ย่างมี2. นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ้ ยา่ ง เหตุผล ถูกตอ้ งและเหมาะสม -21- - - - - - -3 - 3 ม.4/6 ตอบคำถามจากการอา่ น นักเรียนสามารถตอบคำถามจากเร่ืองทีอ่ ่านได้ ประเภทตา่ งๆ ภายในเวลาท่ี อยา่ งถกู ตอ้ ง -312-1- - - -7 - 7 กำหนด ม.4/7 อา่ นเรอื่ งตา่ งๆและเขยี น 1. นักเรียนรหู้ ลกั การอ่านเพอ่ื ย่อความ 3---------3 - 3 กรอบแนวคดิ ผงั ความคดิ บันทึก ยอ่ ความ และรายงาน 2. นกั เรยี นอา่ นนทิ านแล้วสามารถย่อความได้ 1-1-------2 - 2 ม.4/9มีมารยาทในการอ่าน นกั เรียนรหู้ ลักการอ่านอยา่ งมีมารยาท --1-1-----2 - 2 รวม 16 13 5 9 1 1 - - - - 45 - 45

250 ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น สาระที่ 1 การอา่ น ประจำภาคเรียนที่ ......... ปกี ารศกึ ษา 2559 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 วชิ า ภาษาไทยพนื้ ฐาน รหัสวิชา ท31101 คะแนนเต็ม ........... คะแนน สอบวันท่ี ........ เดือน ……………….พ.ศ. …………… เวลา ..............น. (........นาที) ชื่อ/นามสกลุ .............................................................................เลขที่.....................ช้ัน ม.... /…… คำชแ้ี จง 1. ขอ้ สอบฉบับน้เี ป็นแบบปรนยั เลอื กตอบ มีจำนวน 30 ข้อ 2. ให้นกั เรยี นทำเครื่องหมาย × คำตอบท่ีถกู ต้องเพียงข้อเดียวลงในกระดาษคำตอบ 3. ให้นกั เรียนสง่ ข้อสอบ และกระดาษคำตอบกับผู้คุมสอบหลังจากหมดเวลาสอบ 1. จุดมงุ่ หมายของการอ่านวรรณคดใี นข้อใดทำใหไ้ ด้ประโยชนอ์ ย่างแทจ้ ริง ก. อา่ นเพื่อเพลิดเพลินอารมณ์ ข. อา่ นเพราะชอบว่าเปน็ เร่ืองท่ีถูกกบั นสิ ยั และชีวติ ของตน ค. อา่ นอยา่ เพง่ เล็งข้อเทจ็ จริงเหมือนอา่ นตำรา ง. อา่ นเพื่อเพ่ิมพูนประสบการณช์ วี ิต 2. จุดมงุ่ หมายของการอ่านวรรณคดที แี่ ทจ้ รงิ คอื อะไร ก. การพยายามอา่ นเพ่ือรบั รสความงาม ความไพเราะ ของบทประพันธ์ ข. การพยายามทำความเขา้ ใจ และใช้จินตภาพสรา้ งอารมณข์ ึ้นในจติ ใจ ค. การพยายามอา่ นเพ่ือความเพลิดเพลิน และใช้เวลาว่างใหเ้ กดิ ประโยชน์ ง. การพยายามตีความ กบั เร่ืองท่ีแปลก และแตกต่างกบั ที่ตนเคยประสบมา 3. การอ่านบท “นมัสการมาตาปิตุคุณ” และ “นมัสการอาจริยคุณ” ได้อย่างถูกต้องและไพเราะ สิ่งสำคญั ทผ่ี อู้ ่านจำเปน็ ตอ้ งรู้ อนั ดับแรกคืออะไร ก. ความหมายของคำ ข. ฉันทลกั ษณ์ของบทประพันธ์ ค. วิธกี ารเปลง่ เสยี ง ง. จังหวะการอา่ นตามทำนอง 4. ข้อใดอธิบายวธิ กี ารอ่านไม่ถูกต้อง ก. การอา่ นทอดเสียง – วธิ ีการอ่านโดยผอ่ นเสยี ง ข. การคร่นั เสยี ง – การอ่านท่ีทำให้เสียงสะดดุ สะเทือน ค. การเอ้ือนเสยี ง – การอ่านลากเสยี งช้า ๆ และไวห้ างเสียง ง. การหลบเสยี ง – การเอ้ือนหักหลบจากเสียงโศกเศรา้ เป็นเสยี งปกติ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

251 5. บคุ คลในขอ้ ใดใช้น้ำเสยี งในการอ่านได้ถกู ต้อง ก. แตงโม อา่ นบทรักด้วยนำ้ เสียงสั่นเครือ ข. ปุ้งกี๋ อา่ นบทเศร้าดว้ ยนำ้ เสียงนมุ่ นวล ค. มะลิ อา่ นบทตลกขบขันด้วยนำ้ เสยี งท่ีมีชวี ิตชวี า ง. นะโม อา่ นบทกล่าวเกินจริงด้วยนำ้ เสียงต่ำกว่าปกติ 6. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ทักษะการอา่ นตคี วาม ก. เป็นการอ่านทผ่ี ู้อ่านต้องใช้วจิ ารณญาณเพ่ือพจิ ารณาคำตอบและขอ้ ความ ข. เป็นการอ่านทผี่ ้อู ่านต้องรคู้ วามหมายของคำและข้อความเปน็ สำคญั ค. เปน็ การอ่านทผ่ี อู้ ่านต้องใช้สตปิ ญั ญาตคี วามหมายของคำและข้อความทัง้ หมด ง. เป็นการอ่านทผี่ ู้อา่ นต้องรวบรวมความรจู้ ากแหล่งข้อมูลตา่ ง ๆ เพื่อประกอบการอ่าน 7. ขอ้ ใดไม่ใช่หลักเกณฑ์การอ่านตคี วาม ก. การตคี วามไม่ใช่การถอดคำประพันธ์ ข. ตอ้ งพยายามทำความเข้าใจถ้อยคำท่เี ห็นวา่ มคี วามสำคัญ ค. ตอ้ งชว่ ยคิดหาคำตอบท่ีได้จากการอ่านคำหรือข้อความน้ัน ๆ ง. การเขยี นเรยี บเรยี งถ้อยคำจาการตคี วามต้องใหม้ คี วามหมายชดั เจน 8. วงศ์เทวัญอสัญหยา แปลวา่ อะไร ก. เชือ้ สายกษตั ริย์ท่สี ืบวงศม์ าจากเทว ข. เช้อื สายกษัตรยิ ท์ ส่ี บื วงศม์ าจากทหาร ค. เชอื้ สายกษตั ริย์ท่ีสบื วงศม์ าจากพระอนิ ทร์ ง. เชอื้ สายกษัตริย์ทส่ี ืบวงศ์มาจากพระอิศวร 9. การแปลความเป็นพน้ื ฐานของเรื่องใด ก. การวิจารณ์ ข. การโตแ้ ย้ง ค. การถา่ ยทอดความ ง. การตีความ 10. ข้อใดไมใ่ ช่วิธที ่ีช่วยให้การอ่านเพ่อื ขยายความได้เนอ้ื ความกว้างขึน้ ก. การยกตัวอย่างประกอบ ข. การถอดความ ค. การอา้ งองิ ง. การเปรยี บเทยี บ 11. ข้อใดกล่าวถึงการอ่านเพอ่ื ขยายความได้ถกู ต้อง ก. การอา่ นเพอ่ื แปลความหมายของขอ้ ความเพื่อให้ชดั เจนขึ้น ข. การอ่านเพ่อื ถอดความของขอ้ ความเพ่ือให้เข้าใจเน้ือความมากข้ึน ค. การอ่านเพอ่ื เพิ่มเติมเน้ือหาจากข้อความเดิมเพื่อให้มคี วามหมายกวา้ งขนึ้ ง. การอา่ นเพ่ือนำมาอธบิ ายเพมิ่ เติมใหม้ คี วามละเอยี ดเพิ่มขนึ้ จากเนื้อความเดิม 12. ข้อใดตอ่ ไปนีค้ อื การขยายความ ก. เบญจลักษณ์คือลักษณะหญงิ ทีเ่ ปน็ เบญจกัลยาณี ข. เบญจลกั ษณ์ เป็นหญิงงาม 5 ประการ ค. เบญจลกั ษณ์ เบญจ แปลว่า 5 ลักษณ์ แปลวา่ ลักษณะ ง. เบญจลกั ษณ์ เปน็ ลกั ษณะหญงิ ทมี่ ีความงาม 5 ประการ คอื ฟนั งาม ผมงาม ผวิ งาม วัยงาม และเนอื้ งาม 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

252 13. บทรอ้ ยกรอง “นมสั การอาจริยคณุ ” ปลกู ฝังคุณธรรมในเรื่องใด ก. ความรกั ข. ความซอ่ื สตั ย์ ค. ความนอบน้อม ง. ความกตัญญู 14. วรรณคดสี โมสรยกย่องให้พระราชนิพนธ์ เร่ือง อิเหนา เป็นยอดในด้านใด ก. บทละครร้อง ข. บทละครรำ ค. บทละครพูด ง. บทละครพูดคำฉนั ท์ “ปราชญผ์ ู้มคี วามรู้ย่อมใช้เวลาของตนในเร่อื งหนงั สือ มิใช่ใช้เวลาในการนอนและการขี้เกียจอยา่ งคนโง่” 15. ข้อความน้สี อนในเร่อื งใด ก. เวลาและวารไี มเ่ คยคอยใคร ข. การใชเ้ วลาให้ค้มุ คา่ ค. ให้แสวงหาความรจู้ ากการอ่านหนงั สอื ง. เวลาเปน็ ของมคี ่า 16. เวตาลยอมละความมงุ่ หมายที่จะทำให้พระวกิ รมาทติ ย์ทรงดำเนินทวนไปทวนมาจนส้นิ พระชนม์ ลงในระหว่างทาง เพราะคณุ ธรรมข้อใด ก. ความสภุ าพ อ่อนน้อมถ่อมตน และมีสติ ข. ความกลา้ หาญและความมีสติ รู้จักอดกลนั้ ความเพยี รพยายาม ค. ความเมตตาและความกรุณาต่อผู้อ่ืน ง. ความเสียสละและความมสี ติปญั ญาเฉลยี วฉลาด 17. ข้อใดเป็นสิ่งที่พงึ ระวงั ในการแสดงความคดิ เหน็ ก. กรณีตวั อยา่ งที่นำมาอา้ งควรเปน็ ตวั แทนในบางกรณี ข. การแสดงความคิดเหน็ ควรนำเสนอใหถ้ ูกต้องเหมาะสมกับกาลเทศะ ค. การแสดงความคดิ เหน็ อาจมปี ระโยชน์และคุณค่าต่อผู้อ่านหรือไม่ก็ได้ ง. ขอ้ เสนอแนะควรสอดแทรกจากแหลง่ ตา่ ง ๆ มากกว่าความคดิ ของตนเอง 18. ขอ้ ใดกลา่ วถึงหลักการอ่านแสดงความคิดเห็น ได้ไมถ่ กู ต้อง ก. ผู้อา่ นต้องมีความรใู้ นเรื่องทจ่ี ะแสดงความคดิ เห็นอยา่ งถ่องแท้ ข. ผูอ้ ่านตอ้ งระมดั ระวงั ในการใช้ถ้อยคำสำนวนในการแสดงความคดิ เห็น ค. ผอู้ ่านเสนอความคิดเหน็ โดยผอู้ ่านคำอื่นๆ หา้ มโตแ้ ย้งความคิดเห็น ง. ผู้อ่านควรเลอื กวธิ ีการอา่ นใหเ้ หมาะกับประเภทของการอ่านสารแต่ละประเภท 19. ข้อใดเป็นการแสดงความคดิ เห็น ก. เครือฟ้า อา่ นกวีนพิ นธเ์ รื่องชีวิตลกู ทะเล แลว้ รอ้ งไหด้ ว้ ยความสงสาร ข. ภาสณุ ีย์ อา่ นวธิ ีการทำอาหารญปี่ ่นุ แล้วทำให้เพ่ือน ๆ ชิม ค. สุวิภรณ์ อา่ นหนงั สือธรรมะแล้วนำมาประยกุ ตใ์ ช้กับการเรยี นอยา่ งเหมาะสม ง. ชนิดา อ่านคำทำนายในเวบ็ ไซต์ต่าง ๆ แล้วนำมาเลา่ ให้เพื่อน ๆ ฟัง เพราะเห็นวา่ ทำนาย แม่นยำ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

253 20. บคุ คลใดมีทักษะการอ่านเพือ่ แสดงความคิดเห็นน้อยทสี่ ดุ ก. อรุณวตี อา่ นฟุตบอลที่ทีมชาตไิ ทยชนะทีมโปแลนด์ แลว้ บอกว่าเปน็ เพราะมีการวางแผน และฝึกซ้อมมาดี ข. ปนัดดา อ่านสารคดเี รื่อง ชีวิตปลาแซลม่อน แล้วนำมาเล่าให้เพ่ือน ๆ ฟังวา่ ชวี ิตปลาชนิดน้ี ลำบากมากเพราะต้องว่ายน้ำทวนน้ำหลายพันไมลเ์ พ่ือมาวางไข่ ค. สุภารัตนอ์ ่านโดราเอมอนแลว้ บอกวา่ ท่โี นบีตะสอบตกเป็นประจำเพราะไม่ยอมอ่านหนังสอื ก่อนสอบ ง. รจเลขอา่ นโฆษณาขายเครื่องออกกำลงั กายแล้วตดั สนิ ใจซอ้ื คณุ แม่หนาหนักเพยี้ ง พสุธา คุณบดิ รดจุ อา- กาศกวา้ ง คุณพีพ่ า่ งศิขรา เมรมุ าศ คณุ พระอาจารยอ์ ้าง อาจสสู้ าคร 21. จากบทประพันธข์ า้ งตน้ เปรียบพระคุณของมารดาเท่ากบั อะไร ก. แผน่ ดนิ ทแ่ี ผก่ วา้ ง ข. ท้องฟ้าอนั กวา้ งใหญ่ ค. เขาพระสุเมรอุ ันสูงใหญ่ ง. น้ำอนั มากมายในท้องทะเลทกี่ ว้างและลึก 22. พระราชนิพนธ์ เรือ่ ง อเิ หนาสามารถนำความรู้ที่ไดไ้ ปประยกุ ตใ์ ช้กับการใช้ชวี ติ ประจำวันของ เราเพ่ือใหไ้ ด้ประโยชนต์ ามข้อใดเด่นชัดมากทส่ี ุด ก. การรู้จกั ประเมนิ กำลังตน ข. การรูจ้ กั ยับยัง้ ชัง่ ใจ ค. การรับผิดชอบในหนา้ ที่ ง. การถือศกั ด์ิศรี 23. “ประเพณโี สกันต์” จดั ขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไรความเขา้ ใจ ก. พดู คุยแลกเปลย่ี นความคิดเห็นระหว่างบา้ นเมือง ข. ไว้อาลัยให้กับผู้ที่เสียชีวติ ในสงคราม ค. ประชุมเพลงิ สง่ วิญญาณผู้ท่ีล่วงลับไปแล้ว ใชส้ ำหรับเจา้ นายระดบั พระองคเ์ จา้ ขนึ้ ไป ง. เพือ่ ใหเ้ ด็กมีความเจริญเติบโต ไมป่ ว่ ยไข้ และเพ่ือความเป็นสริ ิมงคล 24. “ความมีสติ” จากตัวละครในเรื่อง นิทานเวตาล สอนใหเ้ รารูจ้ ักใช้สตกิ ับสงิ่ ใดมากทีส่ ุด ก. การมที ฐิ มิ านะ ไม่ยอมในสิ่งท่ไี ม่พอใจ แม้บางครงั้ อาจสง่ ผลเสียตอ่ ผู้น้นั เอง ข. การพยายามยบั ย้ังช่ังใจ ค. การคิดก่อนพูด ไม่ใช่พดู แลว้ คดิ ง. ในการทำสงครามนั้นผูท้ ี่มีความชำนาญ มีเล่ห์เหล่ียมในกลศึกมากกว่าย่อมไดช้ ัยชนะ 25. ข้อสนั นษิ ฐานของผรู้ ู้ “นริ าศ” นา่ จะมีความหมายถึงขอ้ ใด ก. การรา้ งรา ข. ความหวัง ค. เรร่ อ่ น ง. การพลดั พราก 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

254 26. ข้อใดไม่ใชป่ ระโยชนข์ องการย่อความ ก. ชว่ ยใหไ้ มต่ ้องอ่านหนังสือซ้ำใหมต่ ลอดเรื่อง ข. ช่วยให้จดบันทึกเร่อื งราวได้รวดเรว็ ค. ช่วยให้จดจำขอ้ สำคญั จากเร่อื งท่ีอา่ นได้งา่ ย ง. ชว่ ยใหอ้ า่ นหนงั สือได้ถูกต้อง 27. ข้อใดกล่าวถูกตอ้ งตามหลักการย่อความ ก. ตอ้ งระบวุ ันท่ีทกุ คร้ังทย่ี ่อความ ข. เขยี นเรียบเรียงใหม่ด้วยสำนวนของตนเอง ค. การย่อความใชส้ รรพนามบุรษุ ที่ 1, 2 ได้ ง. เขียนความคิดเห็นเพม่ิ เติมลงไปได้ 28. ข้อใดคือรูปแบบการเขียนย่อความนิทาน ก. เรือ่ ง...............ของ............จาก..............ความว่า............... ข. เรอื่ ง................ของ.............จาก................หน้า..............ความว่า.......... ค. เรื่อง............ของ.............จาก..............ฉบบั ท่ี...........หน้า.............ความวา่ .......... ง. เรอ่ื ง............ของ..........ในโอกาส...........ฉบบั ท่ี..........ความว่า.............. 29. บคุ คลใดถอื ว่าเปน็ คนทมี่ มี ารยาทในการอา่ น ก. สายลมอ่านหนงั สอื เสยี งดังฟังชดั ในห้องสมดุ ข. สายฟ้าอ่านหนังสือเรียนในขณะประชมุ งานกีฬาสี ค. สายฝนรบั ประทานอาหารระหว่างอา่ นหนงั สือ ง. สายธารไม่อ่านส่งิ ทเ่ี ปน็ งานเขียนสว่ นตัวของผู้อน่ื กอ่ นไดร้ ับอนญุ าต 30. ถ้าเราอ่านหนงั สือเล่มหนึง่ ยงั ไมจ่ บตอ้ งการหยดุ ก่อนแลว้ คอ่ ยอา่ นตอ่ ควรทำอยา่ งไร ก. ใช้ที่คั่นหนงั สือสอดไว้ ข. พับหน้าหนังสือไว้ ค. ใชป้ ากกาขีดเขยี นไว้ ง. จดจำหน้าที่อา่ นถึงไว้ เฉลยขอ้ สอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นสาระที่ 1 การอา่ น ขอ้ เฉลย ข้อ เฉลย ข้อ เฉลย ข้อ เฉลย 1 ง 9 ง 17 ข 25 ง 2 ข 10 ข 18 ค 26 ง 3 ข 11 ง 19 ง 27 ข 4 ง 12 ง 20 ง 28 ก 5 ง 13 ง 21 ก 29 ง 6 ค 14 ข 22 ข 30 ก 7 ค 15 ข 23 ง 8 ก 16 ข 24 ค 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

255 การออกแบบและสร้างเคร่อื งมือท่ใี ช้วัดพฤตกิ รรมการเรียนรูด้ า้ นทักษะพิสัย รายวชิ าภาษาไทย ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 เรอ่ื ง การอา่ นทำนองเสนาะ 1. ตัวชี้วดั ม.4/1 อา่ นออกเสยี งบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรองได้อยา่ งถูกต้อง ไพเราะ และเหมาะสมกบั เร่อื งท่ีอา่ น 2. จดุ ประสงค์การวดั นกั เรียนมีทักษะการอา่ นทำนองเสนาะที่ดเี ม่ือเรยี นเร่ืองการอา่ นทำนองเสนาะ 3. นิยามศพั ท์ 3.1 การอา่ นทำนองเสนาะ หมายถึง วิธีการอ่านออกเสยี งอยา่ งไพเราะตามลีลาของ บทรอ้ ยกรองประเภทโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน 3.2 ทักษะการอา่ นทำนองเสนาะ หมายถึง นกั เรยี นมีความชำนาญในการอา่ นทำนองเสนาะ สามารถอ่านออกเสยี งไดไ้ พเราะตามลลี าของบทประพนั ธ์ 4. การออกแบบและสรา้ งแบบเคร่อื งมือวดั พฤติกรรมด้านทักษะพิสัยแบบเกณฑก์ ารประเมนิ (Rubric) 4.1 กำหนดคณุ ลักษณะทีต่ อ้ งการวัด คณุ ลกั ษณะด้านทักษะในการอา่ นทำนองเสนาะ คือ อ่านได้อยา่ งชำนาญ ถูกฉันทลักษณ์ ออกเสียงคำควบกล้ำถูกต้อง อ่านออกเสียงได้ไพเราะตามลีลาของบทประพันธอ์ ย่างคล่องแคลว่ 4.2 กำหนดพฤติกรรมช้บี ่งของคุณลกั ษณะทต่ี ้องการวดั 4.2.1 ความถกู ต้องในการอา่ น 4.2.2 ถกู ตอ้ งตามฉันทลักษณ์ 4.2.3 คำควบกล้ำ ร ล ถูกต้อง 4.2.4 ลีลานำ้ เสียงและความไพเราะ 4.2.5 ความคลอ่ งแคลว่ และแมน่ ยำ 4.3 กำหนดวธิ ีการและสร้างเครื่องมือในการวดั การสร้างแบบวดั ทักษะการเรียนภาษาไทย ผู้จัดทำดำเนนิ การสรา้ งแบบโดยมลี ำดบั ขั้นตอนการสรา้ ง ดงั นี้ 4.3.1 ศึกษาเทคนคิ การสรา้ งแบบวดั ทกั ษะพิสัยตามวธิ ีแบบเกณฑ์การประเมนิ (Rubric)จากเอกสารตา่ งๆ 4.3.2 สรา้ งแบบวดั ทักษะของนกั เรยี นทม่ี ีต่อวิชาภาษาไทยโดยใชม้ าตราส่วนประมาณ ค่า 3 ระดบั ตามวิธกี ารการสร้างแบบวัดทักษะแบบเกณฑ์การประเมนิ (Rubric) นำข้อความที่สร้างไปให้ ผูเ้ ช่ียวชาญทางดา้ นภาษาไทย 2 ทา่ น และด้านวดั ผล 1 ท่าน ตรวจสอบความสอดคล้องระหวา่ ง 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

256 ข้อคำถามกับพฤติกรรมชวี้ ัดด้านทักษะพสิ ยั และให้ขอ้ เสนอแนะเพอื่ นำไปแก้ไข ปรับปรงุ ใหเ้ ขา้ ใจง่าย ครอบคลุม ชัดเจน 4.3.3 นำผลการพิจารณาของผูเ้ ช่ยี วชาญมาทำการวเิ คราะหเ์ พื่อหาคา่ ดชั นี ความสอดคล้อง โดยคัดเลือกข้อที่มคี ่าตั้งแต่ 0.50-1.00 4.3.4 นำแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try out) 4.3.5 นำแบบประเมินทกั ษะพสิ ยั ของนกั เรียนที่มตี ่อวชิ าภาษาไทยทีผ่ ู้เรยี นตอบมา ตรวจใหค้ ะแนนโดยมเี กณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์น้ำหนกั ในการให้คะแนน ดังนี้ รายการประเมนิ 3 2 1 ความถูกต้องใน สามารถอ่านได้ถกู ต้อง พยายามอ่านไดบ้ า้ ง การอา่ น ทั้งหมด สามารถอ่านได้เกอื บ ผดิ มากวา่ 2 คำ ถูกต้องท้ังหมด ผิดไม่ ถูกต้องตาม การเอ้ือน การทอดเสยี ง เกนิ 2 คำ การเอื้อน การทอดเสยี ง ฉันทลักษณ์ ถูกต้องตามจังหวะ หรือ จังหวะทำนองตาม ทำนองถูกต้อง ตาม การเอื้อน การทอดเสยี ง ประเภทของคำประพนั ธ์ คำควบกล้ำ ร ล ประเภทของคำประพันธ์ หรือ จงั หวะทำนองตาม ผิดเกนิ 2 คร้ัง ถูกต้อง อ่านออกเสยี ง ร ล และ ประเภทของคำประพันธ์ อ่านออกเสียง ร ล และ คำควบกลำ้ ร ล ว ผิด 2 คร้งั คำควบกล้ำ ร ล ว ลีลานำ้ เสียง และ ถูกต้องชัดเจน ไม่ถูกตอ้ งเกนิ 2 ครั้ง ความไพเราะ สามารถอ่านได้ชดั เจน อา่ นออกเสยี ง ร ล และ พยายามอ่านได้บา้ ง ส่อื ความร้สู ึกของเร่ืองที่ คำควบกลำ้ ร ล ว น้ำเสยี งเบา ไมช่ ัดเจน ความคลอ่ งแคลว่ อา่ นได้ดี ไมถ่ ูกต้อง 2 ครัง้ ไมส่ ามารถสื่อความรสู้ กึ และแมน่ ยำ ของเรื่องไดช้ ดั เจน มคี วามม่นั ใจในการอา่ น สามารถอ่านได้ค่อนข้าง ขาดความม่ันใจในตนเอง ดี มกี ารเตรียมตวั มา ชดั เจน แตค่ ่อนข้างช้า เตรยี มตวั มาบ้าง อยา่ งดี มั่นใจตนเอง ยงั สื่อความรู้สกึ ของเรอื่ ง แต่ไม่มากนัก ไดไ้ มช่ ดั เจน ยงั ไม่ค่อยมีความมนั่ ใจ เทา่ ที่ควร เตรียมตวั มา อยา่ งดี ยงั ประหม่า เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 3 หมายถึง ดีมาก 2 หมายถงึ ดี 1 หมายถึง ปรบั ปรุง เกณฑ์การตัดสนิ หมายถงึ ดมี าก คะแนน 13 – 15 คะแนน หมายถึง ดี คะแนน 10 – 12 คะแนน หมายถึง ปรับปรงุ คะแนน 1 – 9 คะแนน 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

เลขท่ี 257 ความ ูถกต้องใน แบบประเมินการอ่านทำนองเสนาะ การ ่อานกลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ถูก ้ตองตาม ฉันทลักษณ์คำช้แี จง : ให้ทำเคร่ืองหมาย (√) ตรงกบั พฤติกรรมของนกั เรยี นทีไ่ ด้ปฏิบัติ ตามรายประเมนิ ดงั นี้ คำควบกล้ำ ร ล ูถก ้ตองรายการสังเกต ลีลาน้ำเสียงและ ความไพเราะชื่อ – สกลุ ความ3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 15 5 คล่องแคล่ว1 และแม่นยำ2 3 รวม4 เฉล่ีย5 6 7 8 9 10 11 12 รวม บนั ทกึ เพ่มิ เติม ………………………………………………………………………………………………………………………………………............. ............................................................................................................................. ....................................... ......................................................................................................................................................... ........… ลงช่อื ...................................................................ผปู้ ระเมิน (......................................................................) วนั ท.่ี ........เดือน..........................พ.ศ. .......... 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

258 เกณฑ์การอา่ นทำนองเสนาะ กลุม่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 รายการประเมนิ 3 2 1 ความถูกตอ้ งใน สามารถอ่านได้ถูกต้อง พยายามอ่านไดบ้ า้ ง การอา่ น ทง้ั หมด สามารถอ่านไดเ้ กอื บ ผิดมากว่า 2 คำ ถกู ต้องท้งั หมด ผดิ ไม่ ถูกตอ้ งตาม การเอื้อน การทอดเสยี ง เกิน 2 คำ การเอื้อน การทอดเสียง ฉันทลกั ษณ์ ถูกต้องตามจังหวะ หรือ จงั หวะทำนองตาม ทำนองถกู ต้อง ตาม การเอื้อน การทอดเสียง ประเภทของคำประพนั ธ์ คำควบกล้ำ ร ล ประเภทของคำประพันธ์ หรือ จังหวะทำนองตาม ผดิ เกิน 2 ครง้ั ถูกต้อง อา่ นออกเสียง ร ล และ ประเภทของคำประพนั ธ์ อ่านออกเสยี ง ร ล และ คำควบกลำ้ ร ล ว ผิด 2 คร้งั คำควบกล้ำ ร ล ว ลลี าน้ำเสียง และ ถกู ต้องชัดเจน ไม่ถูกตอ้ งเกนิ 2 ครั้ง ความไพเราะ สามารถอา่ นได้ชดั เจน อ่านออกเสยี ง ร ล และ พยายามอา่ นได้บา้ ง สื่อความรสู้ ึกของเรื่องที่ คำควบกลำ้ ร ล ว น้ำเสียงเบา ไมช่ ัดเจน ความคล่องแคล่ว อ่านได้ดี ไม่ถูกตอ้ ง 2 คร้ัง ไมส่ ามารถสื่อความรู้สึก และแมน่ ยำ ของเร่ืองไดช้ ดั เจน มีความม่นั ใจในการอ่าน สามารถอา่ นได้ค่อนขา้ ง ขาดความมน่ั ใจในตนเอง ดี มกี ารเตรยี มตัวมา ชดั เจน แต่คอ่ นข้างชา้ เตรยี มตัวมาบา้ ง อยา่ งดี ม่ันใจตนเอง ยงั สือ่ ความรู้สึกของเรอ่ื ง แต่ไม่มากนัก ได้ไมช่ ัดเจน ยังไมค่ ่อยมีความม่ันใจ เทา่ ที่ควร เตรียมตัวมา อย่างดี ยังประหมา่ เกณฑ์การใหค้ ะแนน 3 หมายถึง ดมี าก 2 หมายถึง ดี 1 หมายถึง ปรบั ปรุง เกณฑก์ ารตัดสิน คะแนน 13 – 15 คะแนน หมายถึง ดีมาก คะแนน 10 – 12 คะแนน หมายถึง ดี คะแนน 1 – 9 คะแนน หมายถงึ ปรับปรงุ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

259 การออกแบบและสรา้ งเคร่ืองมือทใ่ี ช้วดั พฤตกิ รรมการเรียนรดู้ ้านจติ พสิ ัย รายวิชาภาษาไทย ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 ท่ีมตี ่อการอา่ นทำนองเสนาะ 1. ตวั ชี้วัด ม.4/1 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ไพเราะ และเหมาะสมกบั เรอื่ งท่ีอ่าน 2. จดุ ประสงค์การวัด นกั เรยี นมเี จตคติทดี่ ีเมื่อเรยี นเรื่องการอา่ นทำนองเสนาะ 3. นิยามศพั ท์ การอ่านทำนองเสนาะ หมายถึง วิธกี ารอา่ นออกเสยี งอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรอง ประเภทโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เจตคติท่ดี ตี ่อการอา่ นทำนองเสนาะ หมายถงึ เมื่อนักเรยี นไดเ้ รยี นเกยี่ วกบั การอ่านทำนอง เสนาะแลว้ มที ัศนคตทิ ด่ี ีตอ่ การอา่ นทำนองเสนาะ 4. การออกแบบและสรา้ งแบบเคร่ืองมือวัดพฤติกรรมด้านเจตคตชิ นิดมาตรประเมนิ คา่ แบบลเิ คิร์ท 4.1 กำหนดคณุ ลักษณะท่ีตอ้ งการวัด คุณลกั ษณะด้านคา่ นยิ มในการอ่านทำนองเสนาะ คือ ความคดิ หรอื ทัศนคติ ความรูส้ ึก และค่านยิ มของนกั เรยี นที่มีต่อการอ่านทำนองเสนาะ ความคิดทัศนคติ คือ ความคดิ เห็น แนวความคดิ และมุมมองต่างๆ เก่ียวกับเรื่องการ อา่ นทำนองเสนาะของนักเรยี นแต่ละบุคคล ความรสู้ กึ คอื ความชอบหรือไม่ชอบด้วยเหตุผลต่างๆ ท่ีมีตอ่ การเขยี นเรยี งความ 4.2 กำหนดพฤติกรรมช้ีบ่งของคณุ ลักษณะท่ีตอ้ งการวดั ความคิดและทัศนคติ 1. นกั เรยี นอา่ นทำนองเสนาะอยา่ งมีความสุข 2. นักเรียนไดร้ ับความรู้เรื่องการอา่ นทำนองเสนาะมากข้ึน 3. นักเรยี นคิดวา่ การเรยี นอา่ นทำนองเสนาะทำให้ข้าพเจ้ารสู้ กึ ภมู ใิ จในความเปน็ ไทย มากข้นึ 4. นักเรียนคิดว่ากิจกรรมการฝึกอ่านทำนองเสนาะท่ีครนู ำมาใช้นา่ สนใจ 5. นกั เรยี นจะฝกึ อ่านทำนองเสนาะเมื่อมเี วลาวา่ ง 6. นกั เรยี นคิดวา่ การอ่านทำนองเสนาะเปน็ เรอื่ งง่าย ความรสู้ กึ 1. นักเรยี นชอบอา่ นทำนองเสนาะ 2. นกั เรยี นสนกุ และตืน่ เตน้ ที่ไดร้ ว่ มกิจกรรมในชั่วโมงเรียนท่ีสอนอ่านทำนองเสนาะ 3. นักเรยี นกระตือรือรน้ ท่ีจะฝกึ ทักษะอา่ นทำนองเสนาะ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

260 4. นกั เรยี นชอบอา่ นทำนองเสนาะมากขน้ึ หลังกจิ กรรมการเรยี นภาษาไทย 5. นักเรยี นอยากเรยี นอา่ นทำนองเสนาะทุกวนั 6. นักเรยี นอยากทำฝกึ อา่ นทำนองเสนาะต่อจนถงึ หมดเวลา 7. นกั เรียนมีพฒั นาการทางด้านการอ่านทำนองเสนาะดีขน้ึ 8. นักเรยี นสนใจและรักการอ่านทำนองเสนอ 9. นกั เรยี นอยากสอนเพ่ือนอ่านทำนองเสนาะ 4.3 กำหนดวิธีการและสรา้ งเครอ่ื งมือในการวดั การสร้างแบบสอบถามวัดเจตคตติ อ่ การเรยี นภาษาไทย ผู้จัดทำดำเนนิ การสร้างแบบ โดยมีลำดับขัน้ ตอนการสร้าง ดงั นี้ 4.3.1 ศกึ ษาเทคนิคการสร้างแบบสอบถามการวดั เจตคตติ ามวิธขี องลิเคริ ์ทจากเอกสาร ต่าง ๆ 4.3.2 สรา้ งแบบสอบถามวัดเจตคติของนักเรยี นที่มีต่อวิชาภาษาไทยโดยใช้มาตราส่วน ประมาณค่า 5ระดับ ตามวิธกี ารของ Linkert ซึง่ มีตัวเลอื กใหเ้ ลอื ก 5 ข้อนำข้อความที่สรา้ งไปให้ ผู้เชีย่ วชาญทางดา้ นภาษาไทย 2 ทา่ น และด้านวดั ผล 1 ทา่ น ตรวจสอบความสอดคล้องระหวา่ ง ขอ้ คำถามกบั พฤติกรรมชวี้ ดั ด้านเจตคติและใหข้ ้อเสนอแนะเพอื่ นำไปแกไ้ ข ปรับปรงุ ใหเ้ ข้าใจงา่ ย ครอบคลุม ชัดเจน 4.3.3 นำผลการพิจารณาของผู้เชย่ี วชาญมาทำการวเิ คราะหเ์ พ่ือหาคา่ ดัชนี ความสอดคล้อง โดยคดั เลือกขอ้ ที่มีคา่ ต้ังแต่ 0.50-1.00 4.3.4 นำแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try out) 4.3.5 นำแบบสอบถามเจตคติของนักเรียนทมี่ ีตอ่ วิชาภาษาไทยท่ีผเู้ รยี นตอบมาตรวจให้ คะแนนโดยมเี กณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์น้ำหนักในการใหค้ ะแนนตวั เลือกของข้อคำถามประเภททางบวกและประเภททางลบ ดังนี้ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

261 ขอ้ คำถามประเภททางบวก ข้อคำถามประเภททางลบ Favorable Statement Unfavorable Statement เหน็ ด้วยอยา่ งยิ่ง ให้ 5 คะแนน ไมเ่ หน็ ดว้ ยอย่างยิง่ ให้ 5 คะแนน เห็นดว้ ย ให้ 4 คะแนน ไม่แน่ใจ ให้ 4 คะแนน ไมเ่ หน็ ด้วย ให้ 3 คะแนน ไม่เห็นด้วย ให้ 2 คะแนน ไมเ่ ห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 3 คะแนน ไมแ่ น่ใจ ให้ 1 คะแนน 2 คะแนน เห็นด้วย ให้ 1 คะแนน เห็นดว้ ยอย่างยง่ิ ให้ กำหนดเกณฑใ์ นการคดิ คะแนนเฉลย่ี ของแบบสอบถามตามเกณฑ์ ดังน้ี ระดับคะแนนเฉลย่ี 4.51 – 5.00 มีเจตคตทิ ่ดี ีมากท่สี ดุ ระดบั คะแนนเฉลีย่ 3.51 – 4.50 มเี จตคติที่ดีมาก ระดบั คะแนนเฉลย่ี 2.51 – 3.50 มีเจตคตปิ านกลาง ระดบั คะแนนเฉล่ีย 1.51 – 2.50 มีเจตคติไม่ดี ระดบั คะแนนเฉลีย่ 1.00 – 1.50 มเี จตคติท่ีไม่ดีอย่างมาก 4.3.6 เมอ่ื ตรวจให้คะแนนแล้วนำมาวิเคราะหต์ ามข้นั ตอน ดังนี้ 4.3.6.1 วเิ คราะห์แบบสอบถามรายข้อ คอื หาค่าอำนาจจำแนกของแบบวดั เจตคติ รายข้อ คัดเลือกขอ้ ท่ีมคี ่าอำนาจจำแนกตงั้ แต่ 2.0 ขึน้ ไป 4.3.6.2 นำแบบสอบถามวดั เจตคตติ ่อการเรยี นภาษาไทยท่ีปรบั ปรงุ แก้ไขแล้วไปหา ค่าความเชอื่ ม่นั ของแบบสอบถามวัดเจตคติต่อการเรยี นภาษาไทย 4.3.6.3 นำแบบสอบถามวดั เจตคติตอ่ การเรยี นภาษาไทยไปเกบ็ ข้อมลู กบั กลุม่ ตัวอยา่ ง 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

262 แบบสำรวจความคิดเห็นของนกั เรยี น เร่อื ง การอา่ นทำนองเสนาะ ชอ่ื …………………………………………………………………………ช้ัน…………….………เลขท…ี่ ……………………… คำชแี้ จง : ใหน้ กั เรียนอา่ นขอ้ ความแล้วพิจารณาว่ามคี วามคดิ ในแตล่ ะข้อเป็นอย่างไร โดยใหน้ ักเรียนทำ เครือ่ งหมาย √ ลงในชอ่ งคะแนนทตี่ รงกบั ความคดิ ของนักเรยี นมากทส่ี ดุ 5 คะแนน หมายถึง เหน็ ดว้ ยอยา่ งย่ิง 4 คะแนน หมายถงึ เหน็ ดว้ ย 3 คะแนน หมายถงึ ไม่แน่ใจ 2 คะแนน หมายถึง ไม่เหน็ ดว้ ย 1 คะแนน หมายถึง ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งย่ิง ขอ้ ความ ระดบั 54321 1. นักเรียนอ่านทำนองเสนาะอย่างมีความสุข 2. นกั เรยี นชอบอา่ นทำนองเสนาะ 3. นักเรยี นสนกุ และตนื่ เตน้ ที่ไดร้ ว่ มกจิ กรรมในชว่ั โมงเรียนทส่ี อนอา่ น ทำนองเสนาะ 4. นกั เรียนกระตือรือรน้ ทจี่ ะฝกึ ทกั ษะอ่านทำนองเสนาะ 5. นักเรยี นชอบอา่ นทำนองเสนาะมากข้ึนหลังกจิ กรรมการเรยี นอ่าน 6. นักเรยี นไดร้ บั ความรเู้ รื่องการอา่ นทำนองเสนาะมากข้ึน 7. นกั เรียนอยากเรยี นอ่านทำนองเสนาะทุกวัน 8. นกั เรียนอยากทำฝกึ อ่านทำนองเสนาะตอ่ จนถงึ หมดเวลา 9. นักเรยี นคดิ ว่าการเรียนอ่านทำนองเสนาะทำให้ข้าพเจ้ารู้สกึ ภูมิใจใน ความเป็นไทยมากข้นึ 10. นักเรยี นคดิ วา่ กจิ กรรมการฝกึ อ่านทำนองเสนาะท่ีครูนำมาใช้ น่าสนใจ 11. นักเรียนมีพฒั นาการทางดา้ นการอ่านทำนองเสนาะดีขึ้น 12. นกั เรียนจะฝึกอา่ นทำนองเสนาะเมื่อมเี วลาว่าง 13. นักเรยี นคดิ ว่าการอา่ นทำนองเสนาะเปน็ เรอ่ื งงา่ ย 14. นักเรียนสนใจและรักการอ่านทำนองเสนาะ 15. นักเรียนอยากสอนเพ่อื นอา่ นทำนองเสนาะ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

263 ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… รายละเอยี ดเกณฑก์ ารให้คะแนนเจตคตติ อ่ การอา่ นทำนองเสนาะ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 (ลเิ คิร์ทสเกล 5 ระดับ) เกณฑก์ ารให้คะแนน เห็นดว้ ยอยา่ งยิ่ง หมายถึง ระดับความคิดเหน็ เห็นดว้ ยมากทีส่ ดุ ให้ 5 คะแนน เหน็ ดว้ ย หมายถึง ระดับความคิดเห็น เหน็ ด้วย ให้ 4 คะแนน ไมแ่ นใ่ จ หมายถงึ ไมแ่ น่ใจวา่ เห็นด้วยหรือไมเ่ ห็นดว้ ย ให้ 3 คะแนน ไม่เหน็ ดว้ ย หมายถึง ระดับความคดิ เหน็ ไมเ่ หน็ ด้วย ให้ 2 คะแนน ไมเ่ ห็นด้วยอย่างยิ่ง หมายถึง ระดับความคดิ เหน็ ไมเ่ ห็นดว้ ยมากทีส่ ดุ ให้ 1 คะแนน การแปรผลคะแนนระดบั คะแนนเจตคติ การตคี วามหมายจากแบบวัดมาตราสว่ นประมาณคา่ แบบลเิ คิร์ทสเกล 5 ระดับ แบ่งการพจิ ารณาออกเปน็ 3 ระดบั ไดแ้ ก่ ระดบั ต่ำ คือ ได้คะแนน 10 - 30 คะแนน ระดับปานกลาง คือ ไดค้ ะแนน 31 - 45 คะแนน ระดับสูง คอื ได้คะแนน 45 – 75 คะแนน (หรือ 46 คะแนนข้นึ ไป) 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook