172 5. สรปุ ทกั ษะพสิ ยั คือ ความสามารถในการปฏิบัตงิ าน โดยงานทที่ ำจะเกี่ยวขอ้ งกบั ความสามารถทาง สมองหรือไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางสมองก็ได้ แต่จุดสำคัญคือผู้เรียนจะต้องมีการปฏิบัติงาน แล้วมีผลงานแสดงออกมาให้เห็น การวัดผลด้านทักษะพิสัยจึงเป็นการวัดกระบวนการหรือผลงาน หรือทั้งกระบวนการและผลงาน คุณลักษณะด้านทักษะพิสัยขึ้นอยู่กับธรรมชาติของงานที่ให้ปฏิบัติ ถ้าต้องการวัดกระบวนการสิ่งที่วัดอาจเป็นขั้นตอนการทำงาน ความถูกต้องของการปฏิบัติ ความเร็วใน การทำ แตถ่ า้ วัดผลงานส่งิ ทีว่ ดั อาจเป็นความสวยงาม ความคิดสร้างสรรค์ ปรมิ าณของงานทท่ี ำได้ ทักษะพิสัยเป็นจุดมุ่งหมายทางการศึกษาหนึ่งที่กำหนดขึ้นเพื่อเน้นความสามารถในการ ปฏิบัติงานของผู้เรียนนอกเหนือจากการมีความรู้ทางทฤษฎี การปฏิบัติงานวัดได้โดยพิจารณาจาก กระบวนการทำงานและผลงาน คุณลักษณะด้านทักษะพิสัยที่มุ่งวัดมีความแตกต่างตามธรรมชาติของ งาน งานบางประเภทเน้นที่กระบวนการทำงาน บางประเภทเน้นผลงาน บางประเภทเน้นทั้ง กระบวนการและผลงาน การวัดทักษะพิสัยจึงต้องมกี ารกำหนดคุณลักษณะที่ต้องการวัดให้ชัดเจนทัง้ ใน ส่วนของกระบวนการและผลงาน ขั้นตอนสำคัญของการสร้างเครื่องมือวัดผลด้านทักษะพิสัย คือ การกำหนดคุณลักษณะของพฤติกรรมการปฏิบัติที่ต้องการวัดและการ เลือกประเภทของเครื่องมือที่ เหมาะสม กำหนดรายการพฤติกรรมให้ครอบคลมุ กระบวนการการปฏิบัติงานหรือผลงาน สรา้ งเครื่องมือ ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ สร้างคู่มือการใช้เครื่องมือ เครื่องมือวัดผลด้านทักษะพิสัยมีหลาย ประเภท ไดแ้ ก่ แบบสงั เกต แบบทดสอบ แบบสัมภาษณ์ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
173 คำถามทา้ ยบทท่ี 8 1. จงอธิบายแนวคดิ เกยี่ วกับพฤติกรรมดา้ นทกั ษะพิสยั กลุ่มวิชาภาษาไทยท่ตี ้องการวัดมาพอสังเขป 2. เครือ่ งมอื วดั พฤติกรรมการเรยี นรู้ดา้ นทักษะพิสัยมีองค์ประกอบทสี่ ำคัญอะไรบา้ ง จงอธิบายพร้อมทั้ง ยกตวั อยา่ งประกอบใหช้ ดั เจน 3. หลักการกำหนดเครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัยกับพฤติกรรมการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี น มอี ะไรบา้ ง จงอธิบายพร้อมทง้ั ยกตัวอย่างประกอบใหช้ ดั เจน 4. จงสร้างเครอ่ื งมือวดั พฤตกิ รรมการเรยี นรดู้ า้ นทกั ษะพิสัย ในหวั ข้อตอ่ ไปนี้ 4.1 การฟงั 4.2 การพดู 4.3 การอา่ น 4.4 การเขียน 4.5 ภาษาและหลกั ภาษา 4.6 วรรณคดี ประวัติวรรณคดี และวรรณกรรมทไี่ ดร้ ับการยกยอ่ ง 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
174 เอกสารอา้ งอิง เกียรติภูมิ ชูเกียรติศิริ. (2554). เครื่องมือวัดด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัย. เอกสารการสอนชุดวิชา การพัฒนาเครื่องมือวัดด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัย หน่วยที่ 1-8 สาขาวิชาศึกษาศาสตร์. นนทบุรี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. รังสรรค์ มณีเล็ก. (2546). แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนาเครื่องมือสำหรับการประเมินทาง การศกึ ษา. ประมวลสาระชุดวิชาการพัฒนาเคร่อื งมอื สำหรบั การประเมนิ การศกึ ษา หนว่ ยที่ 1-7 สาขาวิชาศึกษาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. (2553). นวัตกรรมตามแนวคิดแบบ Backward Design. มหาสารคาม : ภาควชิ าหลกั สูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตรม์ หาวิทยาลัยมหาสารคาม. สมนึก ภทั ทยิ ธนี. (2553). การวดั ผลการเรยี นรู้. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 7. กาฬสินธุ์ : ประสานการพมิ พ.์ สุนันท์ ศลโกสุม และจันทิมา พรหมโชตกิ ุล. (2552). การวัดและประเมินผลกลุม่ วิชาภาษา : ภาษาไทย. เอกสารการสอนชุดวิชา หน่วยที่ 1-7 การวัดและประเมินผลกลุ่มวิชาเฉพาะ สาขาวิชา ศกึ ษาศาสตร์. พิมพ์ครัง้ ที่ 5. นนทบรุ ี : สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. สุวมิ ล ว่องวาณิช. (2552). การสรา้ งเครื่องมอื วัดผลดา้ นทักษะพิสัย. เอกสารการสอนชดุ วชิ าการพฒั นา แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยที่ 8-15 สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์. พมิ พค์ รง้ั ที่ 11. นนทบรุ ี : สำนกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. อัฐพล อินต๊ะเสนา. (2561). เอกสารประกอบการสอน เรื่อง การวัดและประเมินผลวิชาภาษาไทย. มหาสารคาม : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลัยราชภฏั มหาสารคาม. Creswell, J.W. (2015). A Concise Introduction to Mixed Methods Research. Thousand Oaks, California : Sage Publications, Inc. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
175 บทท่ี 9 การหาคณุ ภาพเครื่องมอื 1. แนวคดิ การวัดผลการศึกษามีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการนำผลการวัดที่ได้ไปอธิบายเปรียบเทียบและ สรปุ เก่ียวกับคณุ ลกั ษณะต่าง ๆ ทว่ี ัดได้ จึงตอ้ งการความถกู ต้องแมน่ ยำและเชื่อถอื ได้ ดงั นนั้ ในการวัดผล จึงต้องขจัดความผิดพลาดโดยพยายามตรวจสอบให้ละเอียดทั้งข้อคำถามแต่ละข้อและคุณลักษณะของ เครื่องมือทั้งฉบับ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเครื่องมือวัดผล ทกุ ชนดิ 2. เนอ้ื หา 2.1 ลกั ษณะของแบบทดสอบทีด่ ี 2.2 ความตรง (Validity) 2.3 ความยาก (Difficulty) 2.4 อำนาจจำแนก (Discriminating Power) 2.5 ความเท่ยี ง (Reliability) 3. วตั ถุประสงค์ 3.1 สามารถอธบิ ายเก่ียวกับลกั ษณะของแบบทดสอบทด่ี ีได้ 3.2 สามารถอภิปรายและนำเสนอความรู้เกี่ยวกับความตรง ความยาก อำนาจจำแนก และความเที่ยงได้ 4. กิจกรรมการเรียนรู้ 41. กจิ กรรมกอ่ นเรียน 4.1.1 อาจารย์และนิสิตรว่ มกันสนทนาเกี่ยวกบั เร่ืองการหาคุณภาพเครื่องมอื 4.1.2 อาจารย์นำเขา้ สู่บทเรยี นเรื่อง การหาคณุ ภาพเครือ่ งมือ 4.2 กจิ กรรมการเรียนรใู้ นชน้ั เรยี น 4.2.1 อาจารย์ผสู้ อนบรรยายเร่อื ง การหาคุณภาพเครอ่ื งมือ ในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี - ลักษณะของแบบทดสอบทด่ี ี - ความตรง (Validity) - ความยาก (Difficulty) - อำนาจจำแนก (Discriminating Power) - ความเท่ียง (Reliability) 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
176 4.2.2 อาจารย์ผู้สอนและนิสิตร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง การหาคุณภาพ เครื่องมอื 4.2.3 อาจารยแ์ ละนิสิตร่วมกนั สรปุ ความรูเ้ กยี่ วกับเร่ือง การหาคุณภาพเคร่ืองมือ 4.3 กิจกรรมเสริม อาจารย์ให้นิสิตศึกษาเรื่อง การหาคุณภาพเครื่องมือเพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้อื่น ๆ แลว้ สรปุ เป็นชิน้ งานส่งในชว่ั โมงตอ่ ไป 5. ส่ือการสอน 5.1 เอกสารคำสอนเร่ือง การวดั และการประเมนิ ผลวชิ าภาษาไทย 5.2 PPT ประกอบการสอน เรอ่ื ง การหาคณุ ภาพเครื่องมอื 6. การวดั และประเมนิ ผล 6.1 การทดสอบ 6.2 การประเมินพฤตกิ รรมการมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมการเรียนรู้ 6.3 การเข้าช้นั เรียน 6.4 ความสามารถในการตอบคำถาม 6.5 การทำแบบฝึกหัดท้ายบท 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
177 บทท่ี 9 การหาคุณภาพเคร่ืองมอื เครื่องมือวัดผลที่ดีจะต้องเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพจึงจะช่วยให้การวัดผลมีความถูกต้อง เช่ือถือได้ และผลการประเมินทไ่ี ด้ย่อมเชอื่ ถือไดด้ ว้ ย ดังนั้นเครอ่ื งมือที่ครูสร้างข้นึ เองก่อนจะนำไปใช้จริง จึงควรตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือก่อนทุกครั้ง การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือเป็นการตรวจสอบ คุณสมบัติของเครื่องมือในเรื่อง ความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น ความยาก อำนาจจำแนก และความเป็น ปรนยั 1. ลกั ษณะของแบบทดสอบทดี่ ี ในการสอบวัดครั้งหนึ่ง ๆ นั้น ข้อสอบจำเป็นจะต้องให้มีลักษณะเป็นตัวแทนที่ดีของเนื้อหา และองค์ความรู้ต่าง ๆ ของผู้เรียน เพราะการใช้ข้อสอบวัดความรู้ความสามารถของผู้เรียนนั้นเป็นเพียง ตวั แทนของเนอื้ หาทีผ่ ู้เรยี นได้เรยี นไปแล้วเทา่ น้ัน ขอ้ สอบจึงต้องเป็นตวั แทนที่ดเี พราะผลการสอบวัดเป็น การสรุปถึงความสามารถโดยส่วนรวมของผู้เรียนในวิชานั้น ๆ พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2530) ได้กล่าวถึง ลกั ษณะของแบบทดสอบท่ดี ี ดังน้ี 1. มีคุณภาพด้านความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง แบบทดสอบสามารถวัดได้ตรงตาม จดุ ประสงค์ที่ตอ้ งการ ความเทีย่ งตรงแบ่งเปน็ 4 ลกั ษณะ คอื 1.1 ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content Validity) หมายถึง แบบทดสอบที่สามารถ วัดได้สอดคล้องและครอบคลุมเนื้อหาท่ีต้องการจะวดั ข้อสอบที่มีความเที่ยงตรงตามเนื้อหาหมายความ ว่า ข้อสอบนั้นประกอบด้วยข้อคำถามที่ถามเนื้อหาได้ตรงตามที่ระบุไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสตู รอย่าง ครบถว้ น 1.2 ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) หมายถึง คุณสมบัติของ แบบทดสอบที่สามารถวัดได้สอดคล้องตรงตามที่กำหนดไว้ในทฤษฎี ในกรณีที่เป็นข้อสอบ หมายถึง ข้อสอบที่สร้างได้ครอบคลุมพฤติกรรมตามที่วิเคราะห์ได้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตรของรายวิชานั้น ๆ ถา้ พจิ ารณาจากจดุ มงุ่ หมายเชิงพฤตกิ รรมก็คอื ดูจากพฤติกรรมท่คี าดหวงั และเกณฑ์ 1.3 ความตรงเชิงเกณฑ์สัมพันธ์ (Criterion-related Validity) เป็นการพิจารณา ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเครื่องมือรวบรวมข้อมูลนนั้ กบั เกณฑ์ภายนอกบางอยา่ ง ซึง่ เปน็ สภาพความเป็นจริง ทีไ่ ดจ้ ากการปฏิบัติ 1.3.1 ความเที่ยงตรงตามสภาพ (Concurrent Validity) หมายถึง คุณสมบัติของ แบบทดสอบทใ่ี หผ้ ลการวัดสอดคล้องกบั สภาพที่เป็นจริงในขณะนนั้ ของผ้สู อบ ซ่ึงดไู ด้จากการสงั เกตหรือ การสอบภาคปฏบิ ัติ 1.3.2 ความเที่ยงตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive Validity) หมายถึง คุณสมบัติของ แบบทดสอบที่ช่วยให้สามารถทำนายผลในอนาคตไดถ้ ูกต้อง แบบทดสอบทมี่ คี วามเท่ียงตรงเชงิ พยากรณ์ สูงคือ มีคะแนนจากแบบทดสอบทั้งฉบับนั้นสอดคล้องกับคะแนนผลการเรียนในอนาคตการที่จะสร้ าง 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
178 แบบทดสอบให้มีความเที่ยงตรง คือ แบบทดสอบนั้นจะต้องถามให้ครอบคลุม (Comprehensive) หลกั สตู รท่ีกำหนดไว้ ซง่ึ มีลักษณะดังนี้ 1) ถามทุกเรอ่ื ง ทุกเนอื้ หาทมี่ ีในหลักสตู ร 2) ถามพฤติกรรมการเรยี นร้คู รบถ้วนตามจดุ มุ่งหมายของหลักสตู ร 3) ถามแต่ละเนื้อหาและพฤติกรรมอย่างได้สัดส่วนกัน พฤติกรรมใด มีความสำคญั มากเนน้ มาก กค็ วรถามมากข้อ ถ้าสำคัญนอ้ ยก็ถามข้อน้อย 2. มีคุณภาพด้านความเช่ือมั่น (Reliability) หมายถึง แบบทดสอบที่สามารถให้ผลการวดั ไดค้ งท่ี ไมว่ ่าจะนำเคร่ืองมอื น้นั ไปสอบวัดก่ีครั้งก็ตาม แบบทดสอบทมี่ ีความเชื่อม่นั หมายถงึ แบบทดสอบ ที่ให้ผลการวัดในแต่ละครั้งสอดคล้องกัน เช่น ในการสอบวัด 2 ครั้ง คนที่ได้คะแนนสูง ในครั้งแรกจะได้คะแนนสูงในครั้งที่สอง คนที่ได้คะแนนต่ำในครั้งแรกก็จะได้คะแนนต่ำในครั้งที่สอง เช่นกัน การสร้างแบบทดสอบให้มีความเชื่อม่ันสูงก็คือ ข้อคำถามของแบบทดสอบนั้นจะต้องถามในสิ่งที่ ควรถาม คือ ถามพฤติกรรมขั้นสูงและมีจำนวนมากพอที่จะครอบคลุมเนื้อหาในวิชานั้น ๆ (สมนึก ภัททิยธนี, 2553) 3. มคี วามเป็นปรนัย (Objectivity) คือ มลี ักษณะ 3 ประการ ได้แก่ 3.1 คำถามมีความแจ่มแจ้งชัดเจน 3.2 การตรวจให้คะแนนชัดเจนทำใหผ้ ู้ตรวจไมว่ ่าใครกต็ ามตรวจให้คะแนนไดต้ รงกัน 3.3 การแปลความหมายของคะแนนตรงกัน กล่าวคือ คะแนนที่ได้บอกสถานภาพของ ผู้สอบได้ตรงกับแบบทดสอบปรนัย หรืออัตนัย เช่น ข้อสอบความเรียงสามารถสร้างให้มีคุณลักษณะทั้ง 3 ประการดงั กลา่ ว แบบทดสอบนนั้ กจ็ ะมคี วามเป็นปรนยั ได้เท่าเทยี มกนั 4. มีการถามลึก (Searching) หมายถึง ไม่ถามเพียงแค่พฤติกรรมขั้นความรู้ความจำ ถามตามตำรา หรือถามตามที่ครูสอน แต่ต้องพยายามถามพฤติกรรมขั้นสูงกว่าความรู้ความจำ ได้แก่ ถามพฤติกรรมความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ และการประเมินค่า แต่ถ้าจำเป็นต้องถามความรู้ ความจำ ก็ควรถามสิ่งที่เป็นความคิดรวบยอด ถ้าข้อคำถามสามารถวัดพฤติกรรมขั้นสูงได้มากเท่าใด แบบทดสอบน้นั ก็จะมีคุณค่ามากข้ึนเท่าน้นั เพราะสามารถนำผลการสอบมาใช้ในการพฒั นาสมรรถภาพ ทางสมองของผู้เรยี นให้ก้าวหนา้ กว่าเดมิ ไดด้ ี 5. มคี วามยุตธิ รรม (Fair) หมายถึง ขอ้ คำถามของแบบทดสอบนั้นจะต้องไม่มีช่องทางแนะ ให้เด็กฉลาดใช้ไหวพริบในการเดาได้ถูก ไม่เปิดโอกาสให้คนเกียจคร้านที่ดูตำราลวก ๆ ตอบได้ คือ ตอ้ งเป็นแบบทดสอบท่ีไม่ลำเอียงติดกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยเฉพาะ การทีจ่ ะให้แบบทดสอบมีความยุติธรรม หรือความเสมอภาคได้ ข้อสอบนั้นจะต้องถามให้ครอบคลุมเนื้อหาและพฤติกรรมทุกประเภทของวิชา น้นั ๆ 6. มีลักษณะยั่วยุเป็นเยี่ยงอย่างในทางดี (Examplary) หมายถึง แบบทดสอบนั้นจะต้อง ประกอบด้วยคำถามที่จะสร้างแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้เรียน ไม่ควรถามสิ่งที่เป็นตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม ไม่ควรปฏิบัติตาม เพราะในช่วงเวลาของการสอบนั้น ผู้สอบมีโอกาสที่จะเรียนรู้จากข้อสอบได้ จึงควรถามแต่ส่งิ ทีจ่ ะนำไปเป็นแบบอยา่ งทดี่ งี ามจงึ จะเป็นการดี เช่น 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
179 คำถาม 1 “ส่งิ ใดที่สบู ได้โดยไมผ่ ิดกฎหมาย” (บหุ ร่ี กญั ชา ฝน่ิ ) คำถาม 2 “การสูบบหุ รใ่ี ห้โทษอย่างไร” คำถาม 1 เป็นคำถามท่ไี ม่ควรถาม ควรเลี่ยงไปถามคำถาม 2 จะเหมาะสมกวา่ เป็นต้น 7. มีอำนาจจำแนก (Discrimination) หมายถึง แบบทดสอบนั้นจะต้องประกอบด้วย คำถามทีส่ ามารถจำแนกผู้สอบออกเปน็ ประเภท ๆ ได้ทกุ ระดบั อย่างถ่ีถ้วน ตงั้ แต่ออ่ นสุดจนถงึ เกง่ สดุ 8. มีความยากพอเหมาะ (Difficulty) หมายถึง แบบทดสอบนั้นจะต้องไม่ยากเกินไปและ ง่ายเกินไป ผลการสอบโดยเฉลี่ยควรเท่ากับหรือสูงกว่า 50% ของคะแนนเต็มเล็กน้อย นั่นคือข้อสอบที่ ยากมากถือว่าไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถเร้าผู้สอบให้แสดงคุณลักษณะที่ต้องการวัดออกมาได้ เพราะคนเกง่ ก็ยังไมส่ ามารถทำได้ ในทำนองเดียวกันแบบสอบท่ีง่ายมากก็ถือว่าไม่มีประโยชน์ เพราะทั้ง คนเก่งคนอ่อนสามารถทำได้เหมือนกันหมดทำให้ไม่มีอำนาจจำแนก ดังนั้นแบบทดสอบจึงควรมีความ ยากพอเหมาะในแตล่ ะข้อคำถามและโดยส่วนรวมทั้งฉบบั 9. มีความเฉพาะเจาะจง (Difinite) หมายถึง แบบทดสอบนั้นจะตอ้ งประกอบด้วยคำถามท่ี มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือจนผู้สอบตีความหมายไปคนละอย่าง คำถามประเภทวกวนสองแง่สองมุม ไม่ควรใช้คำถามนั้น แต่จะต้องให้ผู้สอบเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าต้องการถามในแง่มุมใดเพื่อผู้สอบที่มี ความสามารถในเรื่องนนั้ อย่างแทจ้ รงิ จะตอ้ งตอบได้ถูก 10. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง แบบทดสอบน้ันจะต้องให้ผลการวัดที่เที่ยงตรง และเชื่อถือได้มากที่สุด ในขณะที่ใช้เวลา แรงงาน และเงินทุนในการสร้างอย่างประหยัดที่สุด การสร้าง ขอ้ สอบให้มปี ระสิทธิภาพควรคำนงึ ถึงในเรอื่ งต่อไปน้ี 10.1 ลักษณะคำถาม ควรเป็นคำถามท่ถี ามพฤติกรรมข้นั สูงให้มากขอ้ ตลอดจนถามแต่ สิ่งท่ีมีความสำคัญทจ่ี ะเป็นตวั แทนของมวลความรู้ในวชิ าน้ัน ๆ 10.2 ความเหมาะสมของจำนวนข้อกับเวลา แบบทดสอบนั้นไม่ควรให้มีจำนวนข้อ มากไป ควรมีจำนวนข้อพอเหมาะแต่มีความครอบคลุมในเนื้อหาของวิชานั้น ๆ และเวลาที่ให้ทำก็ เหมาะสมไม่มากจนเกินไป 10.3 ความถูกต้องเรียบร้อยของตัวข้อสอบ คือ เป็นแบบทดสอบที่พิมพ์ถูกต้องชัดเจน ไม่มหี น้าว่าง ซ่งึ สง่ิ เหล่าน้ีถา้ มคี วามบกพรอ่ งจะมีผลทำให้แบบทดสอบขาดประสทิ ธิภาพได้ 2. ความตรง (Validity) ความตรงอาจพิจารณาความหมายในลักษณะที่ใช้ประโยชน์ได้ 3 ประการ คือ (Alan and Skip, 2018) 1. ความตรงท่สี ามารถสรา้ งความสัมพันธ์เชิงปฏบิ ัติการกบั ตวั แปรเฉพาะได้ หมายความว่า ผลของการวดั ของเคร่อื งมือรวบรวมข้อมลู นัน้ สามารถใช้คาดคะเนไดว้ ่า จะมีการแสดงพฤติกรรมอย่างใด อย่างหนงึ่ ตามต้องการ 2. ความตรงทม่ี ีลกั ษณะท่เี ปน็ ตัวแทนสาระสำคัญท่มี ีอยใู่ นโลกของเร่ืองนน้ั คอื สาระสำคัญ ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลที่สร้างไว้วัดได้ตรงกับสาระสำคัญของสิ่งที่ตั้งเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ ของการวจิ ัยทีก่ ำหนดไว้ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย
180 3. ความตรงที่วัดค่าของคุณสมบัติพฤติกรรมของบุคคลได้ กล่าวคือ ผลของการรวบรวม ข้อมลู ท่วี ัดได้จะแสดงลักษณะอยา่ งใดอย่างหนึ่งที่เปน็ คุณสมบัติทางจิตวทิ ยาของบคุ คลนนั้ ๆ ได้ ความตรงของเครือ่ งมือเก็บรวบรวมขอ้ มลู มหี ลายชนิดไดแ้ ก่ 1. ความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือ หมายถึง ข้อคำถามหรือข้อความแต่ละข้อ และรวมทุกข้อเป็นเครื่องมือทั้งชุดถามได้ตรงและครอบคลุม เนื้อหาตามที่ต้องการให้วดั หรือไม่ เนื้อหาที่ถามทั้งหมดเป็นตวั แทนของเน้ือหาทัง้ หมดที่ต้องการให้ถาม หรือไม่ ถ้าเครื่องมือรวบรวมข้อมูลฉบับใดถามได้ครบถ้วน ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการให้ถาม เนื้อหาที่ ถามเป็นตัวแทนของเนื้อหาทั้งหมดที่ต้องการให้ถาม เครื่องมือรวบรวมข้อมูลฉบับนั้นมีความตรงตาม เนื้อหาแล้ว การตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือรวบรวมขอ้ มูลจะกระทำด้วยการวิเคราะห์ เชงิ เหตุผล อาศัยดลุ ยพนิ ิจทางวชิ าการของผเู้ ชีย่ วชาญทางเน้ือหาเป็นเกณฑ์ ซ่งึ ถ้าเป็นเคร่ืองมือรวบรวม ข้อมูลที่วัดความรู้หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญจะอาศัยตารางวิเคราะห์ หลกั สูตร ซึ่งจะจำแนกสองทางตามเนื้อหาและพฤติกรรมท่ีต้องการวดั ซ่ึงโดยท่ัวไปเน้อื หาและพฤตกิ รรม ที่ต้องการวัดผลสัมฤทธิ์นั้นจะมีแน่นอน ปรากฏตามหลักสูตรทางตำราคู่มือการสอนและวัตถุประสงค์ รายวิชา แต่ถ้าเป็นเครื่องมือที่มิใช่วัดผลสัมฤทธิ์ เช่น แบบวัดเจตคติ แบบวัดบุคลิกภาพ เนื้อหาที่วัดไม่ แน่นอนการตรวจสอบจึงต้องทำตารางโครงสร้างของสิ่งที่ต้องการวัด ให้นิยามความหมายกำหนด ขอบเขตและองคป์ ระกอบของเนื้อหาให้ชดั เจน โดยยึดกรอบแนวคดิ ใดแนวคดิ หนึ่งที่เช่ือถอื ได้เป็นเกณฑ์ จากน้ันก็ตรวจสอบดูวา่ ข้อคำถามหรือขอ้ ความแต่ละขอ้ ถามได้ตรง ครอบคลุม ครบถว้ นและเป็นตัวแทน ตามแนวคิดที่นำมาเป็นกรอบของการวิจัยเรื่องนั้นหรือไม่ ถ้าครบถ้วนก็ถือว่าเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ฉบับนั้นมีความตรงตามเนอื้ หา (สมนึก ภัททยิ ธนี, 2553) 2. ความตรงเชิงโครงสร้างทฤษฎี (Construct Validity) เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือ รวบรวมข้อมูล หรือแบบวัดที่สามารถวัดได้ตรงตามทฤษฎี หรือแนวคิดของเรื่องราวนั้น ๆ คำว่าโครงสร้างทฤษฎีมีความหมายเชิงนามธรรมที่ใช้อธิบายองค์ประกอบของสิ่งที่จะวัด (Trait) ว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่น ตามทฤษฎีจิตวิทยาเด็กที่ว่าเด็กนักเรียนทีม่ ีอายมุ ากกว่าจะมีสติปัญญา ดีกว่าเด็กนักเรียนที่มีอายุน้อยกว่า ฉะนั้นเมื่อสร้างเครื่องมือหรือแบบวัดขึ้นโดยให้มีความสัมพั นธ์ สอดคล้องกบั กรอบแนวคิดหรือโครงสรา้ งทฤษฎีท่ีกำหนดแลว้ นำเครอ่ื งมือน้ันไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ดังกล่าวแล้วพบว่าเป็นจริงตามทฤษฎี ก็แสดงว่าเครื่องมือนั้นมีความตรงตามโครงสร้างทฤษฎี การตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างทฤษฎที ำไดห้ ลายวิธี เชน่ (ศริ ชิ ัย กาญจนวาสี, 2552) 2.1 การตรวจเชิงเหตุผล (Logical) 2.2 การตรวจความสอดคล้องภายใน (Internal Consistency) 2.3 การตรวจหาความสมั พันธก์ บั เกณฑท์ ี่มโี ครงสร้างเหมอื นกัน 2.4 การตรวจสอบดว้ ยการวิเคราะหอ์ งค์ประกอบ (Factor Analysis) 2.5 การตรวจสอบดว้ ยการเทียบกับกลุ่มทีร่ ู้ (Known-Group Technique) 2.6 การตรวจโดยใชเ้ มตริกซล์ ักษณะหลาก-วิธหี ลาย (MTMMM) ซึ่งวิธีการตรวจสอบข้อ 2 – 6 จะใช้ได้เฉพาะกับเครื่องมือที่มีรูปแบบคำถามท่ี สามารถใหเ้ ปน็ คะแนนได้เท่านั้นเชน่ แบบทดสอบ แบบวดั เจตคติ แบบประเมนิ คา่ และแบบสอบถาม 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
181 3. ความตรงเชิงเกณฑ์สัมพันธ์ (Criterion-related Validity) เป็นการพิจารณา ความสมั พันธร์ ะหวา่ งเครอื่ งมือรวบรวมข้อมลู น้นั กบั เกณฑ์ภายนอกบางอย่าง ซ่ึงเปน็ สภาพความเป็นจริง ที่ไดจ้ ากการปฏิบตั ิ แบง่ เปน็ 2 ประเภทย่อย คือ (สมบัติ ท้ายเรอื คำ, 2562) 3.1 ความตรงตามสภาพการณ์ (Concurrent Validity) เป็นความสามารถของ เครอ่ื งมือท่ีวดั ได้ตรงกบั สภาพความเปน็ จริง 3.2 ความตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive Validity) เป็นความสามารถของเครื่องมือที่ สามารถวัดได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงในอนาคต หรือสามารถนำผลการวัดไปพยากรณ์ลักษณะหรือ พฤติกรรมตา่ ง ๆ ได้ เช่น การสอบคัดเลือกเขา้ มหาวิทยาลัย ถ้านกั เรียนท่ีผ่านการทดสอบดว้ ยคะแนนสูง เมอ่ื เรยี นจบได้คะแนนสงู ด้วย แสดงวา่ แบบทดสอบคัดเลอื กน้นั มีความตรงเชงิ พยากรณ์ การตรวจสอบความตรงเชงิ เกณฑ์สัมพนั ธท์ ำได้ดังน้ี 1. การหาสัมประสิทธิ์ความตรง (Validity Coefficient) โดยคำนวณค่าสัมประสิทธ์ิ สหสัมพันธ์แบบ Pearson Product Moment ระหว่างคะแนนจากแบบสอบกับคะแนนจากสภาพจริง ซ่ึงเปน็ การหาความตรงตามสภาพการณ์ (Concurrent Validity) 2. สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบ Pearson Product moment ระหว่างคะแนนในปัจจุบัน กับคะแนนในอนาคต หรือระหว่างคะแนนในอดีตกับคะแนนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการหาความตรงเชิง พยากรณ์ (Predictive Validity) 3. ความยาก (Difficulty) ความยาก คือ สัดส่วนที่แสดงว่าข้อสอบนั้นมีคนทำถูกมากหรือน้อย ถ้ามีคนทำถูกมากก็เป็น ข้อสอบง่าย ถ้ามีคนทำถูกน้อยก็เป็นข้อสอบยาก การหาค่าความยากเป็นวิธีตรวจสอบคุณภาพของ แบบทดสอบทเี่ ก่ียวกบั สมรรถภาพของสมอง Cognitive Domain และเปน็ แบบทดสอบในระบบอิงกลุ่ม (Norm-reference Test) มีลักษณะเป็นการวิเคราะห์รายข้อ (Item Analysis) ไม่ใช่เป็นการวิเคราะห์ ภาพรวมทั้งฉบับ ซึ่งในแบบทดสอบองิ เกณฑไ์ ม่ใช้ค่าความยากเป็นเกณฑ์ในการตัดสินคณุ ภาพเครื่องมือ (สว่ นในการหาคุณภาพของแบบสอบถามหรอื แบบวัดทางจิตวิทยา ทีเ่ ปน็ ลักษณะมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ไม่มีการคุณภาพในเรื่องนี้) ค่าความยากมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 นิยมเขียนแทนด้วย P มีสตู รคำนวณ ดงั น้ี (สมบตั ิ ท้ายเรือคำ, 2562) P= R หรือ P = PH + PL N 2n เม่ือ P แทน คา่ ความยาก PH แทน จำนวนผู้ตอบถกู ในกลมุ่ สูง R แทน จำนวนผตู้ อบถกู ทง้ั หมด PL แทน จำนวนผตู้ อบถูกในกลุ่มตำ่ N แทน จำนวนผู้เขา้ สอบทง้ั หมด n แทน จำนวนผู้ตอบทง้ั หมดของกลุ่มสูง หรือกลุ่มตำ่ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
182 ตารางท่ี 9.1 ความหมายของรอ้ ยละหรือสดั สว่ นท่ีคำนวณได้กับคณุ ภาพข้อสอบ ค่าความยาก ความหมายระดับความยาก คณุ ภาพข้อสอบ รอ้ ยละ สดั สว่ น งา่ ยมาก ไมด่ ีต้องตดั ท้ิงหรือปรบั ปรุงใหม่ งา่ ย พอใช้ได้ 80-100 0.80-1.00 ปานกลาง ดมี าก 60-79 0.60-0.79 ยาก พอใช้ได้ 40-59 0.40-0.59 ยากมาก ไม่ดีต้องตัดท้ิงหรือปรับปรุงใหม่ 20–39 0.20-0.39 0-19 0-0.19 ข้อสอบที่คัดเลือกมาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลควรเป็นข้อสอบที่มีความยากปานกลาง คือ ประมาณ 0.50 แต่ในทางปฏิบัติมักกำหนดเกณฑ์ระดับความยากของข้อสอบที่จะเลือกไว้ใช้ในช่วง 0.20 – 0.80 4. อำนาจจำแนก (Discriminating Power) อำนาจจำแนก คือความสามารถของเครื่องมือในการจำแนกบุคคลออกเป็นสองกลุ่มที่ตา่ งกัน คือ กลุ่มเก่ง-กลุม่ อ่อน ในเรื่องที่เป็นสมรรถภาพทางสมอง หรือกลุ่มสูง-กลุ่มต่ำ ในเรื่องที่เป็นความร้สู กึ เช่น เจตคติ ความสนใจ การหาค่าอำนาจจำแนกใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือในการวิจัย ประเภทแบบทดสอบ แบบสอบถาม และแบบวัดเจตคติ มีลักษณะเป็นการวิเคราะห์รายข้อ ค่าอำนาจ จำแนกจะมีค่าอยู่ระหว่าง (-1) ถึง (+1) นิยมแทนด้วย r วิธีการหาค่าอำนาจจำแนกขึ้นอยู่กับ ชนิดเครื่องมือถ้าเป็นการหาอำนาจจำแนกของแบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm Reference Test) จะหาจากสตู รต่อไปน้ี คือ (ประสาท เนอื งเฉลมิ , 2564) r = PH − PL n เมอ่ื r แทน ดัชนอี ำนาจจำแนก แทน จำนวนผตู้ อบถกู ในกล่มุ สงู PH แทน จำนวนผตู้ อบถกู ในกลุ่มต่ำ PL แทน จำนวนผตู้ อบทัง้ หมดของกลมุ่ สูงหรือกลมุ่ ตำ่ N การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criteria Reference Test) อาจจะเป็น S-index หรือ B-Index ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งของการทดสอบ คือถ้าทำการทดสอบสองครั้ง เช่น สอบก่อนเรียน (Pretest) – สอบหลังเรียน (Posttest) ก็จะใช้สูตร S-index ดังนี้ (สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2562) 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
183 S = R post − R pre N เมือ่ S แทน คา่ อำนาจจำแนกของขอ้ สอบ Rpost แทน จำนวนคนหลงั สอนตอบถูก Rpre แทน จำนวนคนก่อนสอนตอบถูก N แทน จำนวนผู้เขา้ สอบทั้งหมด หรือถา้ เปน็ การทดสอบคร้งั เดยี ว เช่น สอบหลังเรยี น (Posttest) กจ็ ะใชส้ ตู ร B-index ดังน้ี UL B= − N1 N 2 เมื่อ B แทน ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ N1 แทน จำนวนคนรอบรู้ (หรอื สอบผ่านเกณฑ์) U แทน จำนวนรอบรู้ ตอบถกู แทน จำนวนคนไมร่ อบรู้ (หรือสอบไมผ่ า่ นเกณฑ)์ N2 แทน จำนวนไมร่ อบรู้ ตอบถูก L นอกจากนี้การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบยังสามารถใช้สูตร rPbis และ rI(X-I) (สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนข้อนั้น (I) กับคะแนนรวมเมื่อตัดคะแนนข้อนั้นออกไป (X-I) หรือเรียกว่า Item Total Correlation) ได้ แตถ่ า้ เป็นแบบสอบถามจะใช้วิธีเทคนิคกลมุ่ รู้ชดั แล้วเปรียบเทียบค่าเฉล่ีย ระหว่างกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ ด้วยค่าสถิติ t-test หรือสามารถหาด้วยวิธีการ Item Total Correlation และตรวจสอบนยั สำคญั ด้วยสถติ ิ rXY ได้ (Ary, Jacob and Razavich, 1990) ตารางท่ี 9.2 เกณฑ์การพจิ ารณาคา่ อำนาจจำแนกของแบบทดสอบ คา่ อำนาจจำแนก (ตวั เลือก) ความหมายของคุณภาพขอ้ สอบ 0.40 – 1.00 ดมี าก 0.30 - 0.39 ดพี อสมควร 0.20 - 0.29 พอใช้ได้แต่ควรปรบั ปรุง 0.00 - 0.19 ไม่ดีต้องตดั ท้ิงหรอื ปรับปรุงใหม่ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย
184 ถ้าเป็นอำนาจจำแนก (r) ของตัวลวงสามารถใช้สูตรเดียวกันในการคำนวณ แต่ค่าอำนาจ จำแนกของตัวลวงที่ดีต้องมีค่าติดลบ เนื่องจากคนในกลุ่มต่ำต้องเลือกมากกว่าคนในกลุ่มสูง และ ในแต่ละข้อของตัวลวง ตอ้ งมีคนทัง้ หมดเลอื กไม่ต่ำกวา่ รอ้ ยละ 5 (p = .05) ขึ้นไป เกณฑ์ในการเลือกข้อคำถามเขา้ เป็นเคร่ืองมือวดั สมรรถภาพทางสมองโดยใชค้ วามยากและ อำนาจจำแนกเปน็ เกณฑแ์ สดงโดยใช้กราฟดงั น้ี (Cohen, 1977) r 1.0 0.8 0.6 0.4 0.2 ข้อคำถามดีไม่ต้องปรับปรงุ ข้อคำถามเข้าเกณฑ์แต่ตอ้ งปรบั ปรงุ ขอ้ คำถามไม่ดีไม่ควรนำมาใช้ในการรวบรวมขอ้ มูล หรือถ้าจะใชจ้ ะต้องปรบั ปรงุ ใหม่ ภาพที่ 9.1 กราฟแสดงเกณฑ์ในการเลอื กข้อคำถามโดยใชค้ วามยากและอำนาจจำแนกเป็นเกณฑ์ 5. ความเท่ียง (Reliability) ความเที่ยงที่เกี่ยวกับเครือ่ งมือรวบรวมข้อมูลทางจิตวิทยาและการศึกษา มีความเกี่ยวข้องกบั ความตรงและความคลาดเคล่อื นได้ 3 ลักษณะดังน้ี (Kerlinger, 1986) 1. ความเที่ยงที่เกี่ยวขอ้ งว่าเคร่อื งมือน้นั ใช้วัดแลว้ วดั อกี ได้ผลเหมือนเดมิ 2. ความเที่ยงทีเ่ กีย่ วข้องว่าเครื่องมือนั้นวัดได้ตรงกบั สภาพความเป็นจริงของสิง่ ที่ต้องการ วัดตามความหมายน้นั ตรงกับความถกู ตอ้ ง 3. ความเทยี่ งทเ่ี ก่ียวขอ้ งว่าเปน็ ความคลาดเคลื่อนในการวัดของเครอ่ื งมือวัด การตรวจสอบความเทยี่ งมีไดห้ ลายแนวทางได้แก่ 1. การหาความเที่ยงเชิงความคงที่ (Stability) ทำได้โดยใช้วิธีวัดซ้ำ คือ ให้ผู้ตอบ กลุ่มเดียวทำแบบวัดชุดเดียวกันสองครั้งในเวลาห่างกันพอสมควร แล้วนำคะแนนทั้งสองชุดมาหา ความสัมพันธ์กัน ถ้าค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีค่าสูงแสดงว่ามีความเที่ยงสูง การวัดความคงที่โดยการ วัดซำ้ สามารถใชไ้ ด้กับเคร่ืองมือวัดท่ีเป็นแบบทดสอบ แบบสอบถาม หรือแบบวดั เจตคตชิ นิดมาตราส่วน ประมาณคา่ โดยคำนวณหาค่าสัมประสทิ ธ์สิ หสมั พนั ธอ์ ยา่ งง่าย ดงั นี้ (Shavelson, 1988) 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
185 rxy = n ΧΥ − ( Χ)( Υ) [ n Χ 2 − ( Χ)2 ] [ n Υ 2 − ( Υ)2 ] เมื่อ n แทน จำนวนผสู้ อบ XY แทน ผลบวกของผลคณู คะแนนครั้งแรกและคร้ังทีส่ องเป็นคู่ ๆ X แทน ผลบวกของคะแนนการสอบคร้งั แรก Y แทน ผลบวกของคะแนนการสอบครั้งทส่ี อง X2 แทน กำลังสองของคะแนนครงั้ แรก Y2 แทน กำลงั สองของคะแนนครั้งทสี่ อง 2. การหาความเท่ียงเชิงความเท่าเทียมกนั (Equivalence) ทำไดโ้ ดยวธิ ใี ช้แบบทดสอบ คู่ขนาน (Parallel-form) ไปทดสอบพร้อมกันหรือเวลาใกล้เคียงกันสองฉบับกับกลุ่มเดียวกัน แล้วนำ คะแนนทั้งสองชุดมาหาความสัมพันธ์กัน ถ้าค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีค่าสูง แสดงว่ามีความเที่ยงสู ง คำนวณโดยหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่าย (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) ดังน้ี (Wiesma, 1975) rxy = n ΧΥ − ( Χ)( Υ) [ n Χ 2 − ( Χ)2 ] [ n Υ 2 − ( Υ)2 ] เมื่อ n แทน จำนวนผสู้ อบ XY แทน ผลบวกของผลคณู คะแนนจากแบบสอบชุด X และ Y แตล่ ะคู่ X แทน ผลบวกของคะแนนชดุ X Y แทน ผลบวกของคะแนนชุด Y X2 แทน กำลงั สองของคะแนน X Y2 แทน กำลังสองของคะแนน Y ในทนี่ ี้ X และ Y เปน็ แบบสอบท่คี ู่ขนานกนั 3. การหาความเที่ยงเชิงความสอดคล้องภายใน (Internal Consistency) เป็นวิธีที่ใช้ การวัดคร้งั เดยี วและมีวธิ ปี ระมาณค่าความเท่ยี งไดห้ ลายวธิ ี คือ (Kerlinger, 1986) 3.1 วิธีแบ่งครึ่ง (split-half method) วิธีนี้ใช้แบบวัดเพียงฉบับเดียว ทำการวัด ครั้งเดียว แต่แบ่งตรวจเป็นสองส่วนที่เท่าเทียมกัน เช่น แบ่งเป็นชุดข้อคู่กับข้อคี่ หรือแบ่งครึ่งแรกกับ ครึ่งหลังทั้งนี้ต้องวางแผนสร้างให้สองส่วนคู่ขนานกันก่อน วิธีวิเคราะห์ค่าความเที่ยงโดยหาค่า สัมประสิทธิ์สัมพนั ธ์อย่างง่ายระหว่างคะแนนทง้ั สองครึ่งก่อนดังนี้ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
186 rxy = n ΧΥ − ( Χ)( Υ) [ n Χ 2 − ( Χ)2 ] [ n Υ 2 − ( Υ)2 ] เมอ่ื n แทน จำนวนผสู้ อบ XY แทน ผลบวกของผลคณู คะแนนแต่ละคู่ X และ Y X แทน ผลบวกของคะแนนชดุ X Y แทน ผลบวกของคะแนนชุด Y X2 แทน กำลงั สองของคะแนน X Y2 แทน กำลังสองของคะแนน Y ในทนี่ ้ี กำหนดให้ X เป็นคะแนนข้อคู่หรอื คร่ึงแรกแล้วแตก่ รณี Y เปน็ คะแนนข้อค่หี รอื คร่ึงหลงั แลว้ แต่กรณี rxy ที่ไดเ้ ป็น rhh คอื สหสัมพันธร์ ะหว่างคะแนนครึ่งฉบับกับอีกครึ่งฉบับแล้วปรับขยาย เปน็ สหสมั พนั ธท์ งั้ ฉบบั ดว้ ยสูตรของ Spearman Brown ดังน้ี rtt = 2 rhh rtt = 1 + rhh 3.2 วิธีของ Kuder-richardson เป็นวิธีที่ทำการวัดเพียงครั้งเดียวแล้วนำคะแนนมา วิเคราะห์โดยใช้สูตรของ Kuder-richardson ซึ่งมี 2 สูตรคือ KR-20 และ KR-21 ซึ่งสูตร KR-20 ใช้ได้กบั เครือ่ งมอื ทใ่ี หค้ ะแนน 0-1 และตอ้ งทราบผลการตอบรายข้อ ดังน้ี rtt = k 1 − piqi rtt = − k 1 S 2 x เมือ่ k แทน จำนวนขอ้ สอบ แทน คา่ ความยากของข้อสอบที่ i pi แทน 1- pi qi 2 แทน คา่ ความแปรปรวนของคะแนนสอบ x S 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
187 ส่วนสูตร KR-21 ใช้ได้กับเครื่องมือที่ให้คะแนนแบบ 0-1 และข้อสอบทุกข้อต้องมี ความยากเท่ากัน หรืออนโุ ลมใหใ้ กลเ้ คยี งกัน โดยมีสตู รดงั น้ี ( )rtt =k 1 − Xk− X k −1 rtt = kS 2 x เมอื่ k แทน จำนวนข้อสอบ X แทน คา่ เฉลย่ี ของคะแนนสอบจากแบบทดสอบทัง้ ฉบับในกล่มุ บุคคลนั้น 2 S x แทน คา่ ความแปรปรวนของคะแนนท่ีไดจ้ ากการสอบ วิธีการหาความเที่ยงเชิงความสอดคล้องภายใน โดยคำนวณจากสูตรของ Kuder- richardson น้ีใชก้ ับเครื่องมือที่มีการให้คะแนนแบบผิดให้ 0 และถกู ให้ 1 ซึง่ สตู ร KR-21 คำนวณสะดวก กว่าสูตร KR-20 เพราะไม่ต้องหาสัดส่วนของคนทำถูกและคนทำผิดของแต่ละข้อ หรือ เพราะไมต่ อ้ งทราบผลการตอบรายข้อมเี พียงคะแนนสอบทง้ั ฉบับของผ้ตู อบเทา่ นนั้ 3.3 วิธีการหาด้วยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (Alpha coefficient) ของ Cronbach วธิ ีน้เี ป็นการหาความเทีย่ งแบบความสอดคล้องภายในเหมือนกับวธิ ีของ Kuder-richardson แต่จะใช้ได้ กับเครื่องมือที่เป็นแบบอัตนัยหรือมาตราส่วนประมาณค่า ซึ่งไม่ได้มีการให้คะแนนแบบ 0 - 1 มีสูตรใน การคำนวณดงั นี้ α = k 1 − S 2 − i สูตร k 1 S 2 t เมอ่ื k แทน จำนวนข้อของเคร่ืองมอื 2 S i แทน ความแปรปรวนของคะแนนแตล่ ะข้อ S 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนทง้ั ฉบบั t ซึ่งการหาค่าความเที่ยงด้วยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของ Cronbach จะได้ค่า ความเทีย่ งเทา่ กบั การหาดว้ ยสูตร KR-20 ทกุ ประการ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
188 การแปลความหมายของความเทีย่ ง ค่าความเทีย่ งท่ปี ระมาณไดต้ ามวิธีดงั กลา่ วเปน็ สัมประสิทธ์ิของความเทีย่ ง ซ่ึงมีความหมาย คลา้ ยกับค่าสัมประสทิ ธ์ิสหสัมพันธ์ กลา่ วคอื เมอื่ เอาค่าสมั ประสิทธิส์ หสัมพนั ธ์ยกกำลังสอง (rxy) และคูณ ด้วย 100 ทำเป็นร้อยละจะกลายเป็นค่าสัมประสิทธิข์ องความแปรผันร่วม ซึง่ จะบอกถึงสัดส่วนหรือร้อย ละของความแปรผันร่วมกันของตัวแปรสองตัว เช่น rxy = 0.9 ฉะนั้น (0.9)2 100 เท่ากับร้อยละ 81 จะแปลว่าตัวแปร X กับตัวแปร Y มีความแปรผันร่วมกันอยู่ร้อยละ 81 ทำนองเดียวกับ ค่าสัมประสิทธิ์ของความเที่ยงก็สามารถแปลความหมายได้เช่นกัน ถ้าพบว่าเครื่องมือรวบรวมข้อมูล มีค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยง (rtt) เท่ากับ 0.90 ก็แสดงว่า เครื่องมือนั้นใช้วัดครั้งแรกกับวัดครั้งหลังจะมี ความแปรผันร่วมกันร้อยละ 81 หรือถ้านำเครื่องมือนั้นไปวัดซ้ำอีกครั้งจะได้ผลเหมือนเดิมร้อยละ 81 (Kerlinger, 1986) 6. สรปุ การตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการก่อนท่ีจะนำเครื่องไปเก็บรวบรวม ข้อมูล ทั้งนี้เพื่อลดความคลาดเคลื่อนที่อาจจะเกิดขึ้น และเก็บรวบรวมข้อมูลจากคำชี้แจงที่ไม่มีความ ชัดเจน สามารถกำหนดระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ดีขึ้น มีความชัดเจนในการใช้ภ าษา ลดความซ้ำซ้อนของข้อคำถาม ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย การตรวจสอบคุณภาพสามารถตรวจได้ด้วย ตนเอง และการตรวจสอบโดยผเู้ ชี่ยวชาญ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือสามารถตรวจสอบในด้านความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น ค่าอำนาจจำแนก ค่าความยากง่าย นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาเกี่ยวกับความยุติธรรม ความลึก ความจำเพาะเจาะจง ความเป็นปรนัย และความมีประสิทธิภาพ การเก็บรวบรวมข้อมูลต้องวางแผนใน การเก็บรวบรวมข้อมูลให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการที่จะนำมาข้อมูลมาใช้ในในการจัด การเรยี นการสอนตอ่ ไป 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
189 คำถามท้ายบทท่ี 9 1. จงอธิบายเก่ียวกับลักษณะของแบบทดสอบท่ดี ี พร้อมท้งั ยกตัวอยา่ งประกอบพอสังเขป 2. คา่ ความตรง มลี กั ษณะทีส่ ำคัญอย่างไร จงอธบิ ายพร้อมท้งั ยกตัวอย่างประกอบพอสงั เขป 3. คา่ ความยาก มลี ักษณะท่ีสำคญั อยา่ งไร จงอธบิ ายพร้อมท้งั ยกตวั อย่างประกอบพอสังเขป 4. คา่ อำนาจจำแนก มีลักษณะทสี่ ำคญั อย่างไร จงอธบิ ายพร้อมทัง้ ยกตัวอย่างประกอบพอสงั เขป 5. ค่าความเทย่ี งมลี ักษณะท่สี ำคญั อย่างไร จงอธบิ ายพร้อมทง้ั ยกตัวอยา่ งประกอบพอสงั เขป 6. จงวเิ คราะหถ์ ึงจดุ เดน่ และขอ้ จำกัดของคณุ ภาพของแบบทดสอบแตล่ ะชนิด 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย
190 เอกสารอา้ งองิ ประสาท เนอื งเฉลมิ . (2564). วจิ ัยการเรยี นการสอน. พมิ พ์ครั้งที่ 5. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2530). การสร้างและพฒั นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์. กรุงเทพฯ : สำนักทดสอบ ทางการศกึ ษาและจิตวทิ ยา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมติ ร. ศิริชัย กาญจนวาสี. (2552). ทฤษฎีการทดสอบแบบดั้งเดิม. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สมนกึ ภัททยิ ธน.ี (2553). การวดั ผลการเรียนรู้. พิมพ์ครงั้ ที่ 7. กาฬสินธ์ุ : ประสานการพมิ พ์. สมบัติ ท้ายเรือคำ. (2562). ระเบียบวิธีวิจัยสำหรับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. มหาสารคาม. สำนกั พมิ พม์ หาวิทยาลยั มหาสารคาม. Alan C.L. and Skip M.W. (2018). Measurement and Evaluation in Physical Education and Exercise Science. 8th ed. New York : Routledge. Ary, D., Jacob, L.C. and Razavich, A. (1990). Introduction to Research in Education. 4th ed. Fort Worth : Holt, Rinehart and Winston, Inc. Cohen, J. (1977). Statistical Power Analysis for the Behavioral Sciences. New York : Academic Press. Kerlinger, F.N. (1986). Foundations of Behavioral Research. 3rd ed. New York : Holt Rinehart and Winston, Inc. Shavelson, R.L. (1988). Statistical Reasoning for the Behavioral Sciences. Boston : Allyn and Bacon, Inc. Wiesma, W. (1975). Research Method in Education. Illinois : P,E. Peacock Publishers. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
191 บทท่ี 10 สถติ ิท่ีใช้ในการวดั ผลการศึกษา 1. แนวคดิ การวดั ผลการศึกษา ผลทไ่ี ดจ้ ากการวัดจะออกมาในลักษณะของตวั เลข ซ่ึงใช้เป็นตัวแทนของ พฤติกรรมต่าง ๆ หรอื คณุ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ท่ตี อ้ งการวัดในตวั ผเู้ รยี นเพื่อตรวจสอบวา่ ผูเ้ รียนเกิดพฤติกรรม หรือการเรียนรู้ตามวัตถปุ ระสงค์ที่วางไว้หรือไม่ จำเป็นที่จะต้องแปลความหมายหรืออธิบายตัวเลขหรอื ผลการวัดนั้น ๆ ให้มคี วามชัดเจนยง่ิ ขน้ึ ซึ่งตอ้ งอาศัยวธิ ีการทางสถติ มิ าชว่ ยในการอธบิ าย 2. เน้ือหา 2.1 ร้อยละ (Percentage) 2.2 การแจกแจงความถ่ี (Frequency Distribution) 2.3 การวดั แนวโนม้ เขา้ สสู่ ว่ นกลาง (Measures of Central Tendency) 2.4 การวัดการกระจาย (Measures of Variability) 2.5 การวัดความสัมพันธ์ (Measures of Relationship) 3. วตั ถปุ ระสงค์ 3.1 สามารถอธบิ ายหลกั การเกีย่ วกับสถิตทิ ่ีใชใ้ นการวดั ผลการศกึ ษาได้ 3.2 สามารถคำนวณค่าสถิตทิ ่ใี ช้ในการวดั ผลการศกึ ษาได้อยา่ งถูกต้องตามหลักการ 3.3 สามารถนำสถิติที่ใช้ในการวัดผลการศึกษาไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่าง เหมาะสม 4. กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.1 กจิ กรรมก่อนเรยี น 4.1.1 อาจารยแ์ ละนสิ ติ รว่ มกนั สนทนาเก่ียวกับเร่ือง สถิติที่ใช้ในการวดั ผลการศึกษา 4.1.2 อาจารยน์ ำเข้าสู่บทเรียนเรอ่ื ง สถิติทใี่ ช้ในการวัดผลการศกึ ษา 4.2 กจิ กรรมการเรยี นรู้ในชั้นเรียน 4.2.1 อาจารย์ผสู้ อนบรรยายเรื่อง สถิติท่ีใช้ในการวดั ผลการศึกษา ในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี - ร้อยละ (Percentage) - การแจกแจงความถี่ (Frequency Distribution) - การวดั แนวโนม้ เข้าสสู่ ว่ นกลาง (Measures of Central Tendency) - การวดั การกระจาย (Measures of Variability) - การวัดความสมั พันธ์ (Measures of Relationship) 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย
192 4.2.2 อาจารย์ผู้สอนและนสิ ิตรว่ มกนั แลกเปลย่ี นเรยี นร้เู ก่ยี วกับเร่ือง สถิตทิ ี่ใช้ในการวัดผล การศึกษา 4.2.3 อาจารย์และนิสติ ร่วมกนั สรุปความรเู้ ก่ียวกบั เรือ่ ง สถติ ิท่ใี ช้ในการวดั ผลการศกึ ษา 4.3 กจิ กรรมเสรมิ อาจารย์ให้นิสิตศึกษาเรื่อง สถิติที่ใช้ในการวัดผลการศึกษา เพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้ อน่ื ๆ แล้วสรปุ เปน็ ชิ้นงานส่งในชว่ั โมงตอ่ ไป 5. สือ่ การสอน 5.1 เอกสารคำสอนเร่ือง การวดั และการประเมินผลวชิ าภาษาไทย 5.2 PPT ประกอบการสอน เร่อื ง สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวดั ผลการศกึ ษา 6. การวัดและประเมินผล 6.1 การทดสอบ 6.2 การประเมินพฤตกิ รรมการมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนรู้ 6.3 การเขา้ ช้ันเรยี น 6.4 ความสามารถในการตอบคำถาม 6.5 การทำแบบฝึกหดั ทา้ ยบท 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
193 บทที่ 10 สถิติที่ใช้ในการวดั ผลการศึกษา การวัดผลการศึกษาเป็นการได้มาซึ่งจำนวนหรือปริมาณที่อยู่ในรูปคะแนนเพื่อใช้แทน คุณลักษณะที่วัดผล การวัดเหล่านั้นเมื่อนำมาคำนวณหาค่าต่าง ๆ ในทางสถิติจะช่วยให้การแปล ความหมายของผลการวดั มีความหมายชัดเจนขนึ้ และชว่ ยให้การใชผ้ ลการสอบถูกต้องเหมาะสมมากข้ึน ซ่งึ สถติ ิทมี่ กั นำมาใชใ้ นการวัดและประเมินผล มีดังนค้ี อื ร้อยละ การแจกแจงความถ่ี การวัดแนวโน้มเข้า สู่สว่ นกลาง การวัดการกระจายคะแนนมาตรฐาน สหสมั พนั ธ์ เป็นตน้ 1. รอ้ ยละ (Percentage) ร้อยละเปน็ สถิตทิ ่ีนยิ มใช้กันมาก โดยการเปรยี บเทยี บความถี่ หรือจำนวนท่ีตอ้ งการกับความถ่ี หรอื จำนวนทั้งหมดที่เทียบเป็น 100 โดยใช้สตู รตอ่ ไปน้ี (สมนกึ ภทั ทิยธน,ี 2553) P = ʄ × 100 N เมอ่ื P แทน ร้อยละ ƒ แทน ความถท่ี ี่ตอ้ งการแปลงเปน็ ร้อยละ N แทน จำนวนความถีท่ ้ังหมด ตัวอยา่ งงานวิจัยท่ใี ช้สถิติรอ้ ยละ ตารางที่ 10.1 จำนวนและร้อยละของผ้ตู อบแบบสอบถาม จำแนกตามตวั แปรในการวิจยั ตวั แปร ค.ศ. 2 ตำแหนง่ ค.ศ. 4 รวม n% n% ชาย 80 30.42 ค.ศ. 3 17 17.35 n% เพศ หญิง n% 171 27.58 183 69.58 74 28.57 81 82.65 449 72.42 รวม 185 71.43 620 100 ม.ต้น 263 100 98 100 209 33.71 ระดับช้นั ทส่ี อน ม.ปลาย 110 41.83 259 100 9 9.18 411 66.29 รวม 90 34.75 620 100 ทม่ี า : อฐั พล อนิ ต๊ะเสนา (2563) 153 58.17 89 90.82 169 65.25 263 100. 259 100 98 100 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
194 จากตารางที่ 10.1 พบว่า จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้มีจำนวน 620 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 72.42 และ 27.58 ตามลำดับ โดยเพศหญิงทไ่ี ดเ้ ล่อื นตำแหนง่ วิทยฐานะทงั้ 3 วิทยฐานะมีจำนวนมากกว่าเพศชาย ระดับชั้นที่สอนส่วนใหญ่สอนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย คิดเป็นร้อยละ 66.29 รองลงมาคือ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 33.71 และครูที่สอนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลายจะได้รับการเลื่อนวิทยฐานะมากกว่าครทู ี่สอนอยู่ในระดบั ช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นทุกตำแหน่ง วิทยฐานะ 2. การแจกแจงความถี่ (Frequency Distribution) เป็นวิธีการทางสถิติอย่างหนึ่งที่ใช้ในการจัดข้อมูลที่มีอยู่ให้เป็นพวก ๆ เพื่อสะดวกในการ วเิ คราะหห์ รือดำเนนิ การทางสถติ ิต่อไป การแจกแจงความถี่ควรทำกบั ข้อมลู ทจ่ี ะทำการวิเคราะห์ท่ีมีเป็น จำนวนมากหรือข้อมูลมีค่าซ้ำกันอยู่มาก เพราะจะช่วยให้ประหยัดเวลาและสรุปผลได้ชัดเจนขึ้น และ เหมาะสมที่จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป จำนวนที่แสดงว่าค่าที่เป็นไปได้ในแต่ละค่าเกิดขึ้นกี่คร้ัง เรียกวา่ “ความถ”่ี (Kerlinger, 1986) การแจกแจงความถี่ คือ การนำข้อมูลหรือคะแนนท่ีเกิดจากการทดสอบหรือการวัดผลมา จัดเรียงใหม่จากคะแนนสูงไปต่ำหรือคะแนนต่ำไปสูง เพื่อช่วยให้สะดวกในการพิจารณาหรือสะดวกใน การคำนวณหาค่าสถติ ิต่าง ๆ แต่เนื่องจากการเสนอข้อมูลหรือคะแนนมีหลายลักษณะ ในที่นี้จึงแบง่ การ แจกแจงความถ่ีออกเปน็ 3 ลกั ษณะดังน้ี 1. การเรียงลำดับคะแนน เมื่อข้อมูลมีจำนวนน้อยให้นำข้อมูลมาเรียงจากสูงไปต่ำหรือเรียงจากต่ำไปสูง เช่น คะแนนสอบของนักเรียนในรายวิชาภาษาไทย จำนวน 8 คน เปน็ ดังนี้ 12 11 15 16 12 14 17 19 จะเห็นว่าถ้าพิจารณาคะแนนตัวใดมีค่าสูงที่สุด – ต่ำที่สุด หรือคะแนนตัวใดบ้างที่ ซำ้ กัน ก็จะสะดวกในการพจิ ารณา ดังนนั้ จงึ ต้องนำคะแนนมาเรียงใหม่ ไดด้ ังน้ี 11 12 12 14 15 16 17 19 2. ตารางแจกแจงความถี่ เมื่อข้อมูลมีจำนวนมาก แต่คะแนนสูงสุดกับต่ำสุดห่างกันน้อยจะทำให้คะแนนซ้ำกัน หากพิจารณาข้อมูลเช่นเดียวกับแบบที่ 1 จะไม่สะดวก จึงควรนำข้อมูลมาแจกแจงลงในตาราง เรียกว่า ตารางแจกแจงความถี่ ในการทำตารางแจกแจงความถี่ต้องพิจารณาคะแนนทุกตัวก่อนว่าคะแนนสูงสุด ต่ำสดุ เปน็ เทา่ ไร แล้วเขยี นคะแนนลงในคอลัมน์แรก (x) จากคะแนนสูงสุดมาตำ่ สุด จากน้ันจึงหารอยขีด (tally) ความถี่ (frequency = f) และความถ่ีสะสม (cumulative frequency = cf) ดังตัวอยา่ ง (สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2562) 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
195 ตารางที่ 10.2 ตัวอย่างตารางแจกแจงความถ่ี คะแนน รอยขดี ความถ่ี ความถส่ี ะสม (x) (Tally) (f) (cf) 8 1 16 7 / 2 15 6 // 2 13 5 // 5 11 4 ///// 26 3 // 04 2 - 34 1 /// 11 / 3. ตารางแจกแจงความถโ่ี ดยจดั เปน็ ชว่ งคะแนน เมื่อข้อมูลมีจำนวนมากและคะแนนสูงสุดกับต่ำสุดห่างกันมากการแจกแจงความถี่ โดยเรียงคะแนน หรือการทำตารางแจกแจงความถี่จะไม่สะดวก จึงต้องทำการแจกแจงความถ่ี โดยจัดเป็นช่วงคะแนน เรียกว่า ตารางแจกแจงความถี่โดยจัดเป็นช่วงคะแนน ดังตัวอย่าง (Kerlinger, 1986) คะแนนในการสอบของนกั เรียนจำนวน 50 คน ปรากฏดงั น้ี 50 55 52 45 16 10 25 35 45 38 44 39 56 40 43 60 23 57 19 62 30 48 41 67 32 34 44 17 36 40 28 52 42 46 29 59 37 47 32 48 49 38 53 42 46 54 28 21 43 41 ลำดับขัน้ การแจกแจงความถโ่ี ดยจดั เป็นชว่ งคะแนน ขัน้ ที่ 1 หาพิสัย (พสิ ัย = คะแนนสงู สดุ – คะแนนต่ำสดุ ) ดังนนั้ พสิ ยั = 67 – 10 = 57 ขั้นที่ 2 กำหนดจำนวนชั้นคะแนน หรือช่วงคะแนน โดยมีหลักการว่าถ้าพิสัย มีค่าน้อย (พิสัยแคบ) ควรจัดจำนวนชั้นน้อย ถ้าพิสัยมีค่ามาก (พิสัยกว้าง) ควรจัดลำดับชั้นมาก แตไ่ มค่ วรเกนิ 20 ช้นั เชน่ ในทีน่ ี้ต้องการจัด 12 ชน้ั ขนั้ ท่ี 3 หาค่าอนั ตรภาคชั้น (Class Interval) โดยใช้สูตร ดังน้ี อนั ตรภาคชนั้ (i) = พสิ ัย จำนวนช้ัน 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย
196 ดงั นนั้ I = 57 12 = 4.75 (≈5) นน่ั คอื ในแต่ละชั้นหรือชว่ งต้องจัดคะแนนใหม้ จี ำนวน 5 ตวั ขั้นที่ 4 ทำตารางแจกแจงความถี่ โดยจัดช่วงคะแนน (s) หาจุดกึ่งกลางช่วง คะแนน (x) รอยขดี (tally) ความถ่ี (f) และความถี่สะสม (cf) ดังน้ี ตารางที่ 10.3 ตารางแจกแจงความถ่ีโดยจัดเป็นชว่ งคะแนน ชว่ งคะแนน จดุ กงึ่ กลางช่วง รอยขีด ความถ่ี ความถี่สะสม (s) คะแนน (x) Tally) (f) (cf) 65-69 1 50 60-64 67 / 2 49 55-59 62 // 4 47 50-54 57 //// 5 43 45-49 52 ///// 8 38 40-44 47 ///// /// 10 30 35-39 42 ///// ///// 6 20 30-34 37 ///// / 4 14 25-29 32 //// 4 10 20-24 37 //// 26 15-19 22 // 34 10-14 17 /// 11 12 / 3. การวดั แนวโน้มเข้าสสู่ ่วนกลาง (Measures of Central Tendency) ในการสรุปลักษณะของข้อมูลโดยทั่ว ๆ ไป จะคำนึงถึงลักษณะค่าที่เป็นตัวแทนของข้อมูล แต่ละชุด ซึ่งการหาค่าสถิติที่เป็นตัวแทนของข้อมูลแต่ละชุดคือ การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางเป็นการ หาค่าเฉลี่ย (Average) เพื่อใช้เป็นตัวแทนของข้อมูลทั้งหมด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเปรียบเทียบ ข้อมลู ต่าง ๆ โดยไมจ่ ำเปน็ ต้องพจิ ารณาขอ้ มูลท้ังหมดของแต่ละชดุ การวัดแนวโน้มเขา้ สูส่ ว่ นกลางท่ีนิยม ใช้กันทั่วไปมี 3 วิธี คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic Mean) มัธยฐาน (Median) ฐานนิยม (Mode) (Marshall and Rossman, 2006) 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
197 1. ค่าเฉลี่ยเลขคณติ (Arithmetic Mean) การหารผลรวมของข้อมูลทั้งหมดด้วยจำนวนข้อมูลทั้งหมด การหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต สามารถหาได้ 2 วธิ ี คือ 1. การคำนวณค่าเฉลีย่ สำหรบั ขอ้ มลู ท่ีไม่แจกแจงความถี่ 2. การคำนวณคา่ เฉลีย่ สำหรบั ข้อมลู ที่แจกแจงความถ่ี 1. การคำนวณค่าเฉลี่ยเลขคณิตสำหรับข้อมูลที่ไม่แจกแจงความถี่ (Shavelson, 1988) ถา้ ให้ X1, X2, X3…, XN เปน็ ขอ้ มูลตวั ท่ี 1 ถงึ ตวั ที่ N สูตรในการคำนวณ คือ X μ = N กรณเี ป็นขอ้ มูลจากประชากร = X กรณเี ปน็ ขอ้ มูลจากกลมุ่ ตัวอยา่ ง n เมอ่ื X แทน ผลรวมของขอ้ มูลในกลมุ่ ตวั อยา่ งหรือประชากร N แทน จำนวนข้อมูลในกลุ่มประชากร n แทน จำนวนข้อมลู ในกลมุ่ ตัวอยา่ ง ตวั อย่าง มีผเู้ ขา้ สอบทัง้ หมด 10 คน ไดค้ ะแนนดงั น้ี 8 9 10 6 7 8 5 7 10 6 จากสตู ร = X n = 8 + 9 + 10 + 6 + 7 + 8 + 5 + 7 + 10 + 6 10 = 76 = 7.6 10 2. การคำนวณคา่ เฉลยี่ สำหรบั ขอ้ มูลที่แจกแจงความถ่ี (Tuckman, 1978) ถ้าให้ X1,X2,X3…,XN เป็นข้อมูลชุดหนึ่งที่มีความถี่เป็น f1,f2,f3…,fN ตามลำดับค่าเฉลี่ย เลขคณิตของข้อมูลชดุ นคี้ ำนวณไดจ้ ากสูตร μ = fX กรณเี ปน็ ข้อมูลจากกลุม่ ประชากร N 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย
198 หรอื μ = f1X1 + f2X2 + f3X3 + ... + fn Xn N Χ= fX กรณเี ปน็ ข้อมูลจากกลุม่ ตวั อย่าง n f1X1 + f 2X 2 + f3X3 + ... + f n X n หรือ = n เมื่อ fX แทน ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด N แทน จำนวนขอ้ มูลท้ังหมดจากประชากรโดย N = f n แทน จำนวนขอ้ มลู ทงั้ หมดจากกล่มุ ตัวอย่างโดย n = f ตวั อย่าง มีนักเรียนเข้าสอบทั้งหมด 20 คน คะแนนเต็ม 20 คะแนน ได้คะแนนปรากฏดังในตาราง แจกแจงความถ่ี ตารางที่ 10.4 ตัวอยา่ งตารางแจกแจงความถโ่ี ดยการคำนวณค่าเฉลี่ย คะแนน (x) ความถ่ี (f) fx 20 1 20 19 2 38 18 4 72 17 0 0 16 5 80 15 1 15 14 4 56 13 2 26 12 1 12 11 0 0 fX = 319 N = 20 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
199 จากสูตร Χ = fX n = 319 20 = 15.95 2. มธั ยฐาน (Median) คา่ ทมี่ ีตำแหน่งอยกู่ ่ึงกลางของข้อมลู ทง้ั หมด เมอ่ื เรยี บเรยี งขอ้ มูลจากคา่ น้อยท่ีสุดไปหา ค่าที่มากที่สดุ หรือจากค่าที่มากท่ีสุดไปหาค่าที่น้อยที่สดุ เราอาจใช้ตัวย่อ “med” แทนค่ามัธยฐานของ ข้อมลู ค่ามัธยฐานอาจเป็นค่าใดค่าหนึ่งของข้อมูล หรืออาจเป็นค่าที่คำนวณขึ้นมาใหม่ ซ่ึงไม่ตรงกบั คา่ ของขอ้ มลู ใด ๆ ก็ได้ ค่ามธั ยฐานนยิ มใช้กับขอ้ มลู ซงึ่ สงู กว่าหรอื ตำ่ กว่าคา่ อื่นมาก 1. การหาคา่ มัธยฐานของข้อมลู ทไี่ มแ่ จกความถี่ การหามัธยฐานสำหรับข้อมูลที่ไม่แจกแจงความถี่ วิธีการหาค่ามัธยฐานให้นำ ข้อมูลทั้งหมดมาเรียงลำดับจากน้อยไปหามาก หรือมากไปหาน้อยก็ได้ แล้วพิจารณาว่า ข้อมูลตัวใด อยู่ตำแหน่งตรงกลาง ข้อมูลนั้นก็เป็นมัธยฐานที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นข้อมูลตรงกับตำแหน่งที่และการหา ค่ามัธยฐานมีกรณีควรพิจารณาดงั นี้ (Gay, Mills and Airasian, 2006) 1.1 ถา้ ข้อมลู เป็นจำนวนค่ี มธั ยฐานจะเปน็ ค่าของข้อมูลท่ีอยู่ตรงกลางข้อมูล นัน้ พอดี ใหใ้ ชส้ ูตรเพื่อหาตำแหนง่ ตรงกลาง เช่น 10 12 15 19 21 ตำแหนง่ มธั ยฐาน = 5+1 = 3 2 ค่ามธั ยฐาน = 15 1.2 ถ้าข้อมูลเป็นจำนวนคู่ มัธยฐานจะเป็นค่าเฉลี่ยของข้อมูลสองจำนวนท่ี อยูต่ รงกลาง วิธกี ารให้นำคา่ ของข้อมูลทงั้ สองจำนวนนั้นมารวมกันแล้วหารด้วยสองหรือจะใช้สูตร ดงั นี้ X + X + 1 / 2 หรอื ( X + X ตัวถัดไป) / 2 2 2 2 เชน่ กรณีขอ้ มูลต่อไปน้ี จงหามัธยฐาน 7, 8, 10, 12, 15, 19 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย
200 /ตำแหนง่ มัธยฐาน = X + X + 1 2 2 2 ตำแหนง่ มธั ยฐาน = X3 +X4 2 ค่ามธั ยฐาน = 10+12 = 11 2 2. การหามัธยฐานสำหรับข้อมูลที่แจกแจงความถี่ แต่ไม่จัดชั้น การหามัธยฐาน โดยนำขอ้ มูลมาแจกแจงความถ่ี และหาความถีส่ ะสม หลงั จากน้ันพิจารณาตำแหน่งตรงกลาง โดยใชส้ ูตร ในการคำนวณเหมือนกรณีการหามัธยฐานสำหรบั ขอ้ มูลทไี่ ม่มีการแจกแจงความถี่ (Shavelson, 1988) ตัวอยา่ ง จากตารางแจกแจงความถ่ขี องขอ้ มลู ต่อไปน้ี จงหามธั ยฐาน ตารางที่ 10.5 ตวั อย่างตารางแจกแจงความถี่แต่ไม่จดั ช้ันเพ่ือคำนวณหาค่าหามธั ยฐาน คะแนน (X) ความถ่ี (f) ความถีส่ ะสม(cf) 10 4 8 4 20 (X17-X20) 7 6 16 (X13-X16) 4 4 12 (X7-X12) 3 2 6 (X3-X6) รวม 20 2 (X1-X2) กรณนี ้ี ข้อมูลเปน็ เลขคู่ จงึ ใช้สตู ร ดังน้ี ตำแหน่งมธั ยฐาน = /X+ X + 1 2 2 2 ตำแหนง่ มธั ยฐาน X10 + X11 = 2 ตำแหนง่ X10 และ X11 มีคา่ เทา่ กบั 7 ดงั นน้ั มธั ยฐาน จงึ มคี ่าเทา่ กบั 7+7 = 7 2 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
201 3. การหามธั ยฐานสำหรบั ข้อมูลทีแ่ จกแจงความถี่และจดั ช้ัน การหามัธยฐานโดยนำ ข้อมูลมาจัดเรียงแล้วพิจารณาตำแหน่งตรงกลางดังกล่าว แต่ในกรณีที่มีข้อมูลจำนวนมากย่อมทำให้ ไม่สะดวก ดังนั้นจึงต้องจัดข้อมูลเหล่านั้นให้อยู่ในรูปตารางแจกแจงความถี่ หาความถี่สะสม แล้วจึงคำนวณหามธั ยฐานโดยใชส้ ูตร (Kumar, 1999) Mdn = L0 + n − F i 2 f เมือ่ L0 แทน ขดี จำกัดลา่ งจริงของคะแนนในชัน้ ท่มี ีมัธยฐาน i แทน ค่าอันตรภาคชัน้ (จำนวนข้อมลู ท่ีเป็นไปได้ในช้นั น้นั ) F แทน ความถี่สะสมของช่วงคะแนนที่อยใู่ ตช้ ่วงท่ีมีมธั ยฐาน (ขึน้ อยู่กบั ค่าความถท่ี ส่ี ะสมถา้ สะสมจากบนลงล่าง คา่ F จะอยูบ่ นชน้ั ที่มี มธั ยฐานแตถ่ ้าสะสมจากลา่ งข้ึนบน ค่า F จะอยู่ใต้ชัน้ มธั ยฐาน) f แทน ความถี่ของคะแนนในช้นั ทม่ี มี ธั ยฐาน n แทน จำนวนข้อมลู ท้ังหมด ตัวอย่าง จากตารางแจกแจงความถีข่ องข้อมูลต่อไปนี้ จงหามัธยฐาน ตารางท่ี 10.6 ตัวอย่างตารางแจกแจงความถ่ีแบบจัดช้ัน เพื่อคำนวณหาคา่ หามัธยฐาน คะแนน ขดี จำกดั ล่างทแี่ ทจ้ รงิ f cf* 32-34 31.50-34.50 1 40 (X40) 29-31 28.50-31.50 2 39 (X38-X38) 26-28 25.50-28.50 1 37 (X37) 23-25 22.50-25.50 2 36 (X35-X36) 20-22 19.50-22.50 7 34 (X28-X34) 17-19 16.50-19.50 9 27 (X19-X27) 14-16 13.50-16.50 6 18 (X13-X18) 11-13 10.50-13.50 4 12 (X9-X12) 8-10 7.50-10.50 5 8 (X4-X8) 5–7 4.50-7.50 3 3 (X1-X3) รวม 40 *cf = (cumulative frequency) 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
202 วธิ ีทำ หาตำแหนง่ ของมัธยฐานว่าอยู่ในความถ่สี ะสมใด โดยหาค่าจาก n = 40 = X20 2 2 ดงั นน้ั มัธยฐานจะตกอยใู่ นชัน้ คะแนน 17-19 (เพราะสะสมต้งั แต่ X19-X27) =L +I n − F = 16.50 + 3 40 − 18 2 f 2 มัธยฐาน (Mdn) 9 0 = 16.50 + (0.67) = 17.17 ดังนนั้ มัธยฐานของข้อมลู ชดุ นเ้ี ทา่ กบั 17.17 คะแนน 3. ฐานนิยม (Mode) ค่าฐานนิยมเป็นค่ากลางซึ่งจะนำมาใช้ในกรณีที่ข้อมูลมีการซ้ำกันมาก ๆ จนผิดปกติ ซึ่งค่าฐานนิยมจะเป็นค่ากลางหรอื ตัวแทนของข้อมูลที่สามารถอธิบายลักษณะที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าค่าเฉลยี่ เลขคณิตและค่ามธั ยฐาน นอกจากนค้ี า่ ฐานนิยมยงั มขี ้อพเิ ศษมากกว่าคา่ เฉลีย่ และมัธยฐานตรงท่ีสามารถ ใช้ไดก้ ับข้อมลู ทเี่ ปน็ ข้อมูลเชิงคุณภาพ และขอ้ มูลเชงิ ปริมาณ และคา่ ฐานนิยมยงั สามารถมีค่าได้มากกว่า 1 คา่ อกี ดว้ ย (ประสาท เนืองเฉลิม, 2564) การหาค่าฐานนิยมเมื่อข้อมูลไม่ได้มีการแจกแจงความถี่ในกรณีที่ข้อมูลไม่ได้มีการ แจกแจงความถี่ วิธีการหาค่าฐานนิยมสามารถทำได้โดยการนับจำนวนข้อมูล ซึ่งข้อมูลชุดใดมีจำนวน ซำ้ กันมากที่สุดกจ็ ะเปน็ ค่าฐานนยิ ม ตัวอย่าง จงหาค่าฐานนยิ มจากข้อมลู ชดุ น้ี 25, 19, 32, 29, 19, 21, 22, 21, 19, 20, 19, 22, 23, 20 วิธที ำ ฐานนิยม(Mo) = ค่าทซี่ ้ำกันมากท่สี ุด = 19 ฐานนยิ ม (Mo) ของขอ้ มูลชุดนม้ี ีคา่ เทา่ กบั 19 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
203 4. การวดั การกระจาย (Measures of Variability) การกระจาย หมายถึง วิธีการทางสถิติที่ใช้ในการหาค่าที่แสดงการกระจายของข้อมูล ข้อมูลชุดใดมีค่าการกระจายมากแสดงว่าค่าของรายการต่าง ๆ ในข้อมูลชุดนั้นแตกต่างกันมาก ข้อมูล ชุดใดมีค่าการกระจายน้อยแสดงว่าค่าของรายการต่าง ๆ ในข้อมูลชุดนั้นใกล้เคียงกันสถิติที่นิยมใช้วัด การกระจายของข้อมูลไดแ้ ก่ (Kirk, 1995) 1. พิสัย (Range) คือ คา่ ความแตกต่างระหวา่ งขอ้ มลู ท่มี ีค่าสูงสดุ กับข้อมลู ที่มีค่าต่ำสุดหาค่าได้จากสูตร พิสยั = คา่ สงู สุด – คา่ ตำ่ สดุ หรอื R = Max - Min ตวั อยา่ ง จงหาพิสยั ของคะแนนต่อไปนี้ 17 11 5 10 18 25 R = Max – Min = 25 – 5 = 20 ดงั น้นั พสิ ัยของคะแนนชุดนี้ = 20 2. ความแปรปรวน (Variance) ความแปรปรวน คือ ค่าเฉลี่ยของกำลงั สองของผลต่างระหวา่ งค่าของขอ้ มูลแต่ละค่ากับ คา่ เฉล่ยี หรือความแปรปรวน กค็ อื กำลงั สองของสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานน่ันเอง ดงั น้ัน ในการคำนวณหา ค่าความแปรปรวนก็ดำเนินการหาเช่นเดียวกับส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แต่ไม่ต้องหาค่ารากที่ 2 หรือ ถ้าทราบค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานอยู่แลว้ ก็ยกกำลงั สองก็จะได้ค่าความแปรปรวน (ประสาท เนอื งเฉลมิ , 2564) ค่าความแปรปรวนใช้สำหรับวัดค่าการกระจายของกลุ่มข้อมูล แต่มีหน่วยเปน็ กำลังสอง ของหน่วยข้อมูลนั้น ถ้าต้องการหาการกระจายของข้อมลู มักนิยมใช้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเปน็ ส่วน ใหญ่ คำนวณไดจ้ ากสูตรตอ่ ไปนี้ ความแปรปรวนของกลุม่ ประชากร 2= f(x −μ)2 N 2 N fx 2 −( fx ) 2 N2 = 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
204 ความแปรปรวนของกลุ่มตวั อยา่ ง S2 = f(x − Χ)2 n −1 S2 = n fx 2 − ( fx)2 n(n −1) 3. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็นค่าวัดการกระจายที่สำคัญทางสถิติ เพราะเป็นค่าที่ใช้บอก ถึงการกระจายของข้อมูลได้ดีกว่าค่าพิสัย และค่าส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สามารถหาได้ 2 วิธี (Creswell, 1994) การคำนวณส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 1. กรณีเป็นการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มประชากรทั้งหมด สูตรที่ใช้ในการคำนวณ คอื σ = f(X − μ)2 N เมอื่ X แทน คา่ ของข้อมลู แต่ละตัวหรอื ค่าของจุดกลางชน้ั แตล่ ะชั้น μ แทน ค่าเฉล่ยี เลขคณติ ของกลุ่มประชากร N แทน จำนวนข้อมูลทง้ั หมดของกลุ่มประชากร f แทน ความถข่ี องขอ้ มูลแตล่ ะตวั หรอื แต่ละช้ัน ในทางปฏิบัติเพื่อความสะดวกแก่การคำนวณ นิยมคำนวณโดยตรงจากข้อมูลดิบ เพราะค่าเฉลี่ยเลขคณติ มักจะเป็นตัวเลขไม่ลงตัว ซึ่งทำให้การคำนวณหาส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานมีความ คลาดเคลอ่ื น สูตรทีใ่ ช้ คอื σ = fx 2 − fx 2 หรือ N N σ = N fx 2 − ( fx) 2 N2 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
205 5. การวดั ความสัมพันธ์ (Measures of Relationship) การวัดความสัมพนั ธ์ เปน็ การศกึ ษาถงึ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งตัวแปรทีส่ นใจว่ามีความสัมพันธ์ กันหรอื ไม่ และความสัมพนั ธด์ ังกล่าวเป็นไปในทิศทางใด เชน่ การศึกษาความสัมพันธร์ ะหวา่ งความถนัด ทางการเรียนกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยช้ัน ม.3 ในการพิจารณาว่าความสัมพันธร์ ะหว่าง ตัวแปรมีมากน้อยเพียงใดนั้น ทราบได้โดยการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง เฉพาะค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่าย และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างอันดับเท่านั้นเพื่อเป็น พื้นฐานในการหาคุณภาพของเครื่องมือและอธิบายตวั แปรอย่างง่าย ๆ ซง่ึ คา่ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์จะมี ความหมาย 2 มิติ คือ มติ ขิ องขนาด (ดทู ี่ตวั เลข) และมติ ิทิศทาง (ดูท่ีเครื่องหมาย) ค่าอยู่ระหวา่ ง (-1) ถึง (+1) ถ้าค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีค่าเป็นลบแสดงว่า ตัวแปรสองตัวนั้นมีความสัมพันธ์ในทางกลับกัน คือ ถ้าตัวแปรตัวหนึ่งมีค่าสูง ตัวแปรอีกตัวหนึ่งมีแนวโน้มที่จะมีค่าต่ำ และถ้าตัวแปรตัวหนึ่งมีค่าต่ำ ตัวแปรอีกตัวก็มีแนวโน้มที่จะมีค่าสูง ดังตัวอย่างแสดงในรูปความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในเชิงเส้นตรง ระหวา่ งผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกับอตั ราการขาดเรยี น ดงั นี้ (สมบตั ิ ทา้ ยเรอื คำ, 2562) อตั ราการขาดเรยี น ACH ภาพท่ี 10.1 แสดงความสัมพันธ์ในทางกลบั กัน ถา้ ค่าสัมประสทิ ธิ์สหสัมพันธ์มีค่าเป็นบวก แสดงวา่ ตัวแปรสองตวั น้นั มีความสัมพันธ์ในทาง เดียวกันคอื ถา้ ตัวแปรตัวหน่งึ มคี ่าสูงตัวแปรอีกตัวหนึ่งมีแนวโน้มที่จะมีค่าสูงดว้ ย ดังตัวอย่างแสดงในรูป ความสมั พนั ธ์ระหว่างตัวแปรในเชิงเส้นตรงระหวา่ ง IQ กบั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนดังน้ี IQ ACH ภาพที่ 10.2 แสดงความสมั พันธ์ในทางเดียวกนั 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย
206 ถ้าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีค่าเป็นศูนย์ แสดงว่าตัวแปรสองตัวนั้นไม่มีความสัมพันธ์กัน ดังตัวอย่างแสดงในรูปความสมั พันธ์ระหว่างตัวแปรในเชิงเส้นตรงระหว่างน้ำหนกั กับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นดงั นี้ นำ้ หนัก ACH ภาพที่ 10.3 แสดงไม่มีความสัมพนั ธ์กนั ถ้านำค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มายกกำลังสอง ค่าที่ได้นั้นจะแสดงให้เห็นถึงสัดส่วนของ ความแปรปรวนของตัวแปรตัวหนึ่งที่สามารถอธิบายได้เมื่อรู้ค่าของตัวแปรอีกตัวหนึ่ง เช่น ถ้าค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่าง IQ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ 0.87 R2 = 0.7569 ตัวแปรอิสระ (IQ) มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง และสามารถพยากรณ์และอธิบาย ความแปรปรวนของตวั แปรตาม (ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น) ไดถ้ ึงรอ้ ยละ 75.69 ดงั แสดงในภาพ ภาพที่ 10.4 ประสทิ ธิภาพในการพยากรณ์ จากภาพแสดงว่าตัวแปรอิสระ (IQ) สามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรตาม (ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน) ได้ร้อยละ 75.69 ส่วนที่เหลือตัวแปรอิสระ (IQ) ไม่สามารถอธิบาย ความแปรปรวนของตัวแปรตาม (ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น) ไดค้ อื รอ้ ยละ 24.31 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
207 ในการคำนวณคา่ สัมประสิทธ์สิ หสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตวั นั้นมีหลายวธิ ีข้ึนอยู่กับชนิด ของขอ้ มลู และระดับการวดั ขอ้ มูล ดังน้ี 1. สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันโปรดักโมเมนต์ (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) ซ่ึงเป็นดชั นที ี่ช้ีใหเ้ ห็นความสมั พันธร์ ะหว่าง ตวั แปรสองชุด เม่ือตัวแปรทั้ง สองชุดนัน้ เปน็ ข้อมูลมาตราอนั ตรภาค ซึ่งคำนวณไดจ้ ากสตู รตอ่ ไปนี้ (อฐั พล อนิ ต๊ะเสนา, 2563) คำนวณจากกลมุ่ ประชากร ρ xy = N ΧΥ − ( Χ)( Υ) [ N X 2 − ( X) 2 ] [ N Υ 2 − ( Υ)2 ] คำนวณจากกล่มุ ตัวอย่าง rxy = n ΧΥ − ( Χ)( Υ) [ n Χ 2 − ( Χ)2 ] [ n Υ 2 − ( Υ)2 ] เมอื่ N หรอื n แทน จำนวนค่ขู องประชากรหรอื กลุ่มตวั อยา่ งตามลำดับ X,Y แทน ค่าของตวั แปรชดุ ที่ 1 และ ค่าของตวั แปรชดุ ท่ี 2 ตัวอย่าง จงหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหวา่ งคะแนนวิชาการวิจัยทางภาษาไทยและวิชาการ ออกแบบและวดั ผลภาษาไทย จากผลการสอบของนสิ ติ จำนวน 10 คน ซึง่ ปรากฏผลดงั นี้ ตารางที่ 10.7 ตวั อย่างคา่ สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธร์ ะหว่างคะแนนวชิ าการวิจยั ทางภาษาไทย และ วิชาการออกแบบและวัดผลภาษาไทย นิสติ การวจิ ยั ทางภาษาไทย การออกแบบ (X2) (Y2) XY คนท่ี (X) และวัดผลภาษาไทย (Y) 1 24 21 576 441 504 2 21 18 441 324 378 3 18 20 324 400 360 4 29 25 841 625 725 5 15 18 225 324 270 6 20 19 400 361 380 7 26 24 676 576 624 8 28 23 784 529 644 9 17 12 289 144 204 10 25 20 625 400 500 X = 223 Y = 200 X2 Y2 XY = 5,181 = 4,124 = 4,589 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย
208 วธิ ีทำ X = 223 Y = 200 X2 = 5,181 Y2 = 4,124 XY = 4,589 n = 10 จากสูตร rxy = n ΧΥ − ( Χ)( Υ) [ n Χ 2 − ( Χ)2 ] [ n Υ 2 − ( Υ)2 ] = 10(4,589)− (223)(200) [10(5,181)− (223)2 ] [10(4,124)− (200)2 ] = 0.80 แสดงว่าคะแนนวิชาการวิจัยทางภาษาไทยและการออกแบบและวัดผลภาษาไทย มคี วามสมั พนั ธก์ นั ค่อนขา้ งสงู 2. สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อันดับหรือสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมนแรงค์ (Spearman Rank Correlation Coefficient) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมนแรงค์ เป็นดัชนีท่ี ชี้ให้เห็นความสมั พันธร์ ะหว่างตัวแปรสองชุด เมื่อตัวแปรทั้งสองชุดนั้นเป็นข้อมูลชนิดมาตราเรียงอันดับ (อพันตรี พลู พทุ ธา, 2564) ρ = 1− 6 D2 คำนวณจากกลมุ่ ประชากร N(N2 −1) rs =1− 6 D2 n(n 2 −1) คำนวณจากกล่มุ ตัวอยา่ ง เม่อื D แทน ความแตกตา่ งระหวา่ งลำดับทขี่ องข้อมูลสองชดุ N, n แทน จำนวนคขู่ องประชากรหรอื กลมุ่ ตัวอย่างตามลำดับ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
209 ตัวอย่าง จงหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนวิชาการวิจัยการศึกษาเบื้องต้น กับวิชาการวัดผลการศึกษาของนสิ ิต จำนวน 10 คน ซง่ึ ผลสอบปรากฏดงั น้ี ตารางท่ี 10.8 คา่ สัมประสทิ ธ์ิสหสัมพนั ธ์ระหวา่ งคะแนนวชิ าการวิจัยการศึกษาเบ้ืองตน้ กับวิชา การวดั ผลการศึกษาของนิสติ วจิ ัยการศึกษา การวัดผล ตำแหนง่ ตำแหนง่ ของ D D2 นสิ ิต เบ้ืองตน้ (x) การศึกษา (y) ของ y x 0 0 1 20 19 1 4 16 2 14 18 1 2 -1.5 2.25 3 18 17 6 3.5 -0.5 0.25 4 10 10 2 9.5 -4.5 20.25 5 15 10 9 9.5 -3 9 6 16 14 5 7 2 4 7 12 16 4 5 4.5 20.25 8 11 17 7 3.5 -3 9 9 17 15 8 6 2 4 10 9 13 3 8 10 D2 = 85 วิธที ำ D2 = 85 n = 10 จากสตู ร rs =1− 6 D2 n(n 2 −1) = 1− 6(85) 10(102 −1) = 1− 0.52 = 0.48 ดังนั้น อันดับวิชาวิจัยการศึกษาเบื้องต้นมีความสัมพันธ์กับอันดับวิชาการวัดผลการศึกษา ค่อนขา้ งน้อยคือ 0.48 ค่า (rs)2= (0.48)2 = 0.23 นัน่ คือ ถา้ ทราบอันดับผลสอบวชิ าใดวิชาหน่ึงสามารถ อธบิ ายความแปรปรวนของอันดบั ของอีกวิชาหนง่ึ ได้ 23 % 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
210 ตวั อย่าง จงคำนวณหาความสัมพันธ์ระหว่างผลการตัดสินการวิ่งแข่งขันของกรรมการ 2 ท่าน ซง่ึ ปรากฏผลดงั น้ี ตารางที่ 10.9 คา่ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งผลการตดั สินการวิ่งแข่งขนั ของกรรมการ 2 ทา่ น ผู้แขง่ ขนั คนที่ ผลการตดั สนิ ของ D D2 1 คนท่ี 1 คนท่ี 2 00 2 00 3 55 00 4 44 11 5 88 -1 1 6 76 11 7 67 00 8 32 -1 1 9 11 11 10 23 -1 1 10 9 9 10 D2 = 6 ρ = 1 − 6 D2 วิธที ำ จากสตู ร N(N2 − 1) = 1− 6(6) 10(102 −1) = 1− 0.04 = 0.96 แสดงว่า ผลการตัดสินของกรรมการสองท่านมีความสอดคล้องกัน ������2= (0.96)2 = 0.92 นั่นคือ ถ้าทราบผลการตัดสินของกรรมการท่านใดท่านหนึ่ง สามารถอธิบายความแปรปรวนการตัดสิน ของกรรมการ อีกท่านหนึ่งได้ถงึ รอ้ ยละ 92 (สามารถใช้ผลการตัดสินของคณะกรรมการคนใดคนหนึ่งได้ เนื่องจากผลการทดสอบความสมั พนั ธแ์ ลว้ สอดคล้องกัน) 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
211 6. สรุป การวัดผลการศึกษา ผลที่ได้จากการวัดจะออกมาในลักษณะของตัวเลข ซึ่งใช้เป็นตัวแทน พฤติกรรมตา่ ง ๆ หรอื คณุ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ทตี่ ้องการวัดในตวั ผเู้ รยี นเพ่ือตรวจสอบวา่ ผู้เรียนเกิดพฤติกรรม หรือการเรียนรู้ตามวัตถปุ ระสงค์ทีว่ างไว้หรือไม่ จำเป็นที่จะต้องแปลความหมายหรืออธิบายตัวเลขหรือ ผลการวัดนัน้ ๆ ใหม้ คี วามชัดเจนยง่ิ ข้นึ ซึ่งต้องอาศัยวธิ กี ารทางสถติ ิมาช่วยในการอธิบาย ในการวัดและประเมินผลครูผู้สอนต้องเลือกใช้สถิตใิ หถ้ ูกต้องสำหรับการวเิ คราะหผ์ ลที่ได้จาก การวัดซึ่งจะทำให้การประเมินผลมีความถูกต้อง เชื่อถอื ได้ และสามารถนำผลการประเมินไปใช้ปรับปรุง หรอื พฒั นาการเรียนการสอน การแนะแนว หรือการบริหารจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึน้ การนำ ข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถิตินั้นประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลผล โดยที่ข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์ทางสถิติได้นั้นตอ้ ง เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ ข้อมูลที่รวบรวมได้มาแล้วแต่ยังไม่ได้นำมาจัดระเบียบ หรือจัดกระทำด้วยวิธีการ ใด ๆ เรียกว่าข้อมูลดิบ (Raw Data หรือ Raw Score) เพื่อให้ข้อมูลดิบมีความหมายยิ่งขึ้น จึงมีการใช้ สถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูล สถิติเบื้องต้นสำหรับการวัดและประเมินผลที่ครูควรรู้ ได้แก่ การแจกแจง ความถ่ี การวัดแนวโน้มเข้าสสู่ ว่ นกลาง การวัดการกระจายนัน่ เอง คำถามทา้ ยบทที่ 10 1. จงอธิบายหลกั การหลกั การเกยี่ วกับสถิติทใี่ ช้ในการวัดผลการศกึ ษาในประเดน็ ต่อไปน้ี 1.1 คา่ รอ้ ยละ 1.2 การแจกแจงความถี่ 1.3 การวดั แนวโนม้ เข้าสสู่ ่วนกลาง 1.4 การวัดการกระจาย 1.5 การวดั ความสมั พนั ธ์ 2. จงยกตวั อยา่ งค่าสถติ ิท่ีใช้ในการวัดผลการศกึ ษา พร้อมท้ังอธิบายวิธีการคำนวณให้ถกู ตอ้ ง 3. จงสังเคราะหง์ านวิจัยจำนวน 10 เรือ่ ง แลว้ สรปุ ในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี 3.1 สถิตพิ ื้นฐาน 3.2 สถติ ิทใี่ ชใ้ นการหาคุณภาพเครื่องมอื 3.3 สถิติทใ่ี ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
212 เอกสารอา้ งองิ ประสาท เนืองเฉลิม. (2564). วจิ ยั การเรยี นการสอน. พมิ พ์คร้ังท่ี 5. กรงุ เทพฯ : สำนกั พิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . สมนกึ ภทั ทิยธนี. (2553). การวัดผลการเรียนรู้. พมิ พ์ครงั้ ที่ 7. กาฬสนิ ธุ์ : ประสานการพมิ พ์. สมบัติ ท้ายเรือคำ. (2562). ระเบียบวิธีวิจัยสำหรับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. มหาสารคาม : สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. อพนั ตรี พูลพทุ ธา. (2564). การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้. มหาสารคาม : ตักศิลาการพิมพ์. อัฐพล อินต๊ะเสนา. (2563). การศึกษาผลกระทบของนิสิตที่เข้าร่วมโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนา ท้องถิ่นที่มีต่อการปฏิบัติตน กรณีศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (รายงานการวจิ ัย). มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. Creswell, J.W. (1994). Research Design : Qualitative and Qualitative Approaches. Thousand Oaks, CA : Sage Publications, Inc. Gay, L.R, Mills, G.E, and Airasian P. (2006). Educational Research : Competencies for Analysis and Applications. Columbus, Ohio : Merrill Prentice Hall. Kerlinger, F.N. (1986). Foundations of Behavioral Research. 3rd ed. New York : Holt Rinehart and Winston, Inc. Kirk, R.E. (1995). Experimental Design. 3rd ed. Pacific Grove CA : Brooks/Cole. Kumar, R. (1999). Research Methodology : A Step-By-Step Guide for Beginners. London : Sage Publications. Marshall, C. and Rossman, G. (2006). Designing Qualitative Research. 4th ed. Thousand Oaks, C.A. : Sage Publications, Inc. Shavelson, R.L. (1988). Statistical Reasoning for the Behavioral Sciences. Boston : Allyn and Bacon, Inc. Tuckman, B.W. (1978). Conducting Educational Research. 2nd ed. New York : Harcourt Brace Jovanovich, Inc. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
213 บทท่ี 11 คะแนนและการตดั สินผลการเรยี น 1. แนวคิด การแปลความหมายของคะแนน หรือการแปลงคะแนนเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นการให้ระดับ คะแนน เป็นวิธีการสรุปผลการเรียนขั้นสุดท้ายเพื่อประเมินผลและกำหนดระดับของความสามารถใน การเรียนของเด็ก เพื่อสรุปผลการเรียนของผู้เรียนว่า ผ่าน/ไม่ผ่าน เก่ง/อ่อน การให้เกรดจึงเป็นการนำ ข้อมูลที่ได้จากการวัดไปประเมินผลการเรียนของผู้เรียน องค์ประกอบที่ใช้ในการตัดเกรดย่อมขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบ 3 ประการ คือ ผลการวัด (Measurement) เกณฑ์การพิจารณา (Criteria) และ วจิ ารณญาณและคุณธรรมตา่ ง ๆ (Value Judgement) 2. เนอ้ื หา 2.1 การวัดผลการเรยี นการสอน 2.2 องค์ประกอบที่ใช้ในการตัดเกรด 2.3 ระดบั คะแนนหรอื เกรด 3. วัตถุประสงค์ 3.1 สามารถอธบิ ายเก่ยี วกบั การวดั ผลการเรียนการสอนได้ 3.2 สามารถจำแนกองคป์ ระกอบท่ีใช้ในการตดั สนิ ผลการเรยี นได้ 3.3 สามารถนำเสนอคะแนนและการตดั สนิ ผลการเรยี นได้ 4. กจิ กรรมการเรียนรู้ 4.1 กิจกรรมก่อนเรียน 4.1.1 อาจารย์และนสิ ิตร่วมกนั สนทนาเกย่ี วกบั เรอื่ งคะแนนและการตดั สินผลการเรยี น 4.1.2 อาจารย์นำเข้าส่บู ทเรยี นเรือ่ ง คะแนนและการตดั สินผลการเรียน 4.2 กิจกรรมการเรียนรู้ในช้ันเรยี น 4.2.1 อาจารยผ์ สู้ อนบรรยายเรอ่ื ง คะแนนและการตดั สินผลการเรยี น ในประเดน็ ต่อไปน้ี - การวดั ผลการเรียนการสอน - องคป์ ระกอบท่ีใช้ในการตดั เกรด - ระดบั คะแนนหรอื เกรด 4.2.2 อาจารย์ผู้สอนและนิสิตร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง คะแนนและ การตัดสนิ ผลการเรยี น 4.2.3 อาจารย์และนิสิตร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับเรื่อง คะแนนและการตัดสิน ผลการเรียน 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
214 4.3 กจิ กรรมเสรมิ อาจารย์ให้นิสิตศึกษาเรื่อง คะแนนและการตัดสินผลการเรียน เพ่ิมเติมจากแหล่งการ เรยี นรอู้ นื่ ๆ แล้วสรุปเปน็ ชนิ้ งานสง่ ในชว่ั โมงตอ่ ไป 5. ส่ือการสอน 5.1 เอกสารคำสอนเร่ือง การวัดและการประเมินผลวิชาภาษาไทย 5.2 PPT ประกอบการสอน เรือ่ ง คะแนนและการตดั สนิ ผลการเรียน 6. การวดั และประเมินผล 6.1 การทดสอบ 6.2 การประเมินพฤตกิ รรมการมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนรู้ 6.3 การเขา้ ชนั้ เรียน 6.4 ความสามารถในการตอบคำถาม 6.5 การทำแบบฝึกหัดทา้ ยบท 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
215 บทที่ 11 คะแนนและการตดั สนิ ผลการเรียน ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนเป็นรายวิชาบนพื้นฐานของตัวชี้วัดในรายวิชา พื้นฐานและผลการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติมตามที่กำหนดในหน่วยการเรียนรู้ ผู้สอนใช้วิธีการท่ี หลากหลายจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความรู้ความสามารถ ที่แท้จริงของผู้เรียน โดยวัดและประเมินการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับการจัดการเรียนการสอน สังเกตพัฒนาการและความประพฤติของผู้เรียน สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม ผู้สอนควร เน้นการประเมินตามสภาพจริง เช่น การประเมินการปฏิบัติงาน การประเมินจากโครงงาน หรือ การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน ฯลฯ ควบคู่ไปกับการใช้การทดสอบแบบต่าง ๆ อย่างสมดุล ต้องให้ ความสำคัญกับการประเมินระหว่างเรียนมากกว่าการประเมินปลายปี/ปลายภาค และใช้เป็นข้อมูล เพื่อประเมินการเลื่อนชั้นเรียนและการจบการศึกษาระดับต่าง ๆ ในหน่วยการเรียนนี้จะได้กล่าวถึง คะแนนและการตัดสนิ ผลการเรยี น ซึง่ มีรายละเอียดดงั นี้ 1. การวัดผลการเรยี นการสอน ประเภทของการวัดผลการเรียนการสอนที่ใช้ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ (ภทั รา นิคมานนท,์ 2537) 1. การวดั ผลแบบอิงกลุ่ม (Norm Referenced Measurement) การวัดผลแบบอิงกลุ่มเป็นการวัดเพื่อเปรียบเทียบคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบ หรือผลงานของบคุ คลใดบุคคลหนึ่งกบั บุคคลอื่นทีท่ ำงานหรือทำแบบทดสอบอย่างเดยี วกัน จุดมุ่งหมาย ของการวัดผลนี้ เพื่อต้องการจำแนกหรือจัดลำดับบุคคลในกลุ่มนั้น ๆ โดยยึดระดับผลสัมฤทธิ์ (Achievement) เป็นเครื่องมือในการจำแนก นั่นคือ จำแนกตามระดับคะแนนสูงสุดจนถึงต่ำสุด เช่น การคดั เลอื กนกั เรียนเข้าเรียนต่อในสถานศกึ ษา เป็นต้น การวดั ระบบนจี้ ะแปลงคะแนนออกมาในรูปของ Ercentile Rank หรือคะแนนมาตรฐานอื่น ๆ แล้วจึงนำคะแนนเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกัน เพอ่ื ประเมนิ ผลตอ่ ไป เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการวัดผลแบบนี้ต้องการกระจายบุคคลให้มีความแตกต่าง กันมาก ดังนั้นคุณภาพของข้อสอบแบบนี้จึงมีความสำคัญมาก ข้อสอบที่ใช้ควรมีเนื้อหาที่เป็นตัวอย่าง ของเน้ือหาทัง้ หมด มคี วามยากง่ายพอเหมาะไมย่ ากหรือง่ายเกนิ ไป และมีค่าอำนาจจำแนกสงู การวดั ผล แบบอิงกลุ่มนี้ต้องการข้อสอบที่มีคะแนนกระจายมาก ๆ เพื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้เข้าสอบได้ดี ความเที่ยงตรงทุกแบบของขอ้ สอบมสี ่วนสำคัญย่ิง การประเมินผลแบบอิงกลุ่มนี้เป็นการประเมินตัวนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การได้คะแนน สูงต่ำของนักเรียนถือว่าเป็นเพราะความแตกต่างของนักเรียนเองและเป็นความสามารถของข้อสอบที่ สามารถทำให้นกั เรยี นแตกต่างกันมาก (ประสาท เนืองเฉลิม, 2564) 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
216 2. การวดั ผลแบบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced Measurement) เป็นการวัดเพื่อต้องการทราบว่าบุคคลนั้น ๆ มีความสามารถถึงเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ ในจุดมุ่งหมายหรือไม่ การประเมินผลต้องนำคะแนนที่ได้จากผลงานของบุคคลใดบุคคลหน่ึง ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ท่ีกำหนดไว้ข้างต้น การวัดผลแบบอิงเกณฑ์จะใช้ได้ผลดีในสถานการณ์ท่ี ต้องการวัดสมรรถภาพเป็นรายบุคคล และเนื่องจากจุดมุ่งหมายของการวัดเพื่อช้ีว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ จึงต้องมีการกำหนดเกณฑ์เพื่อใช้ในการแปลผลจากคะแนนของผลงาน ถ้านกั เรยี นทำขอ้ สอบได้ถกู ต้องถึงเกณฑ์ท่กี ำหนดไว้ถือว่าได้เรยี นร้ตู ามจดุ มุ่งหมายแล้ว การวัดผลแบบอิงเกณฑ์เหมาะสำหรับการเรียนการสอน การใช้การวัดผลแบบนี้เน้น จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ลำดับขั้นของการสอน การสอนรายบุคคลและแบบเรียนสำเร็จรูป การวัดผล แบบนี้ความยากง่ายของข้อสอบไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ต้องเขียนข้อสอบตามเนื้อหาและจุดมุ่งหมายที่ได้ วางไว้ วราพร เอราวรรณ์ (2559) กล่าวว่า การให้เกรดแบบอิงเกณฑ์เป็นการนำคะแนนของ ผู้เรียนแต่ละคนไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ การประเมินลักษณะนี้ส่วนมากจะ ออกมาในรูปผ่านหรือไมผ่ ่าน รู้หรือไมร่ ู้ หรอื ออกมาในรปู แบบของเกรด A, B, C, D หรือ F แต่เกรดท่ีได้ จากการประเมินแบบนี้จะบอกได้แค่ว่าคนนี้ได้เกรด A สามารถทำอะไรได้บ้าง เช่น สามารถผ่าน จุดประสงค์หลัก จุดประสงค์รองทุกข้อ หรือสามารถทำคะแนนได้ถึงร้อยละ 90 ขึ้นไป เท่าน้ัน ไม่สามารถนำไปเปรยี บเทยี บกบั คนอื่น ๆ ได้ วธิ กี ารใหเ้ กรด มีดงั น้ี 1. การตดั สินให้ผ่าน – ไมผ่ ่าน หลักการสำคัญ คือ กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำในรูปของคะแนนดิบหรือเปอร์เซ็นต์ ผลที่ได้จากการประเมินในระดับนี้จะมีแค่ 1 ค่าเท่านั้น ซึ่งการให้เกรดวิธีนี้ใช้ดีมากในการประเมิน อิงเกณฑ์ โดยครูผู้สอนต้องกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำ (Minimum Requirement) ว่าผู้เรียนต้องมี ความสามารถอะไรบา้ ง จากนัน้ จงึ ตรวจสอบว่าใครผา่ นไม่ผ่านตามเกณฑท์ กี่ ำหนดไว้ 2. ใช้เกณฑท์ ี่คาดหวงั หรือตงั้ เกณฑ์ไว้ตายตวั หลักการสำคัญ คือ กำหนดเกณฑ์ในรูปของคะแนนดิบเทียบเป็นร้อยละของ คะแนนเต็ม จากนั้นนำร้อยละของคะแนนเต็มที่ได้ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด เช่น กำหนดโดย การเทียบกบั เกณฑ์ไว้ ดังนี้ รอ้ ยละ 90 – 100 ให้ A ถือวา่ เป็นพวกดเี ลิศ (Outstanding) รอ้ ยละ 75 – 89 ให้ B ถือว่าเปน็ พวกดีมาก (Very Good) รอ้ ยละ 60 – 74 ให้ C ถอื วา่ เปน็ พวกพอใช้ (Satisfactory) รอ้ ยละ 45 – 49 ให้ D ถอื วา่ เปน็ พวกท่ีออ่ นมาก แตพ่ อใหผ้ า่ นไปได้ (Very Weak) ร้อยละ 0 – 44 ให้ F ถอื วา่ เปน็ พวกทไี่ มค่ วรใหผ้ ่าน (Unsatisfactory) การกำหนดตวั เลขร้อยละหรือเกณฑ์ควรพิจารณาถึงความยากงา่ ยของข้อสอบท่ี ใช้ดว้ ย ถา้ ข้อสอบยากมากยิง่ กำหนดรอ้ ยละของคะแนนเต็มใหส้ งู กย็ ิ่งทำให้นักเรียนตกมากขนึ้ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
217 ขอ้ แตกต่างระหวา่ งการวดั ผลและประเมินผลแบบองิ เกณฑแ์ ละแบบองิ กลุ่ม ตารางที่ 11.1 ข้อแตกตา่ งระหว่างการวัดผลและประเมินผลแบบอิงเกณฑ์และแบบอิงกลุ่ม หัวข้อ แบบอิงเกณฑ์ แบบอิงกลุ่ม หลักการ 1. ยดึ การเรยี นรเู้ พื่อความรอบรู้ 1. ยดึ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคลใน 2. ทุกคนเรียนรู้จนบรรลุเปา้ หมายได้ แต่ เรอ่ื งของการเรยี นรู้ อาจใชเ้ วลาตา่ งกนั 2. ทุกคนเรียนรไู้ ด้ไมเ่ ทา่ กนั แตกตา่ งกัน ตามสภาพพนื้ ฐาน จดุ มุ่งหมาย 1. เพอ่ื ปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน 1. เพื่อประเมินผลการเรยี นการสอน 2. มงุ่ ตอบคำถามวา่ “เดก็ ทำอะไรได้ 2. มุ่งตอบคำถามว่า “เด็กมีความรู้ บ้าง” มากน้อยเพียงใดเม่ือเทยี บกบั กลมุ่ ” 3. เปรียบเทยี บความสามารถของเด็กกับ 3. เปรียบเทยี บความสามารถกันเอง เกณฑ์ทกี่ ำหนดไว้ ภายในกล่มุ ความหมาย 1. แปลไดจ้ ากคะแนนดิบ 1. แปลโดยใช้คะแนนมาตรฐาน ของคะแนน 2. คะแนนแทนระดบั ความสามารถ 2. คะแนนแทนระดับความสามารถ เมือ่ เทียบกับเกณฑ์ เมอื่ เทยี บกับกลุ่ม 3. ตดั สินผลการสอบแบบผ่าน-ไม่ผา่ น 3. ตดั สนิ ผลการสอบแบบใชร้ ะดับคะแนน คณุ ภาพของ 1. เน้นความเที่ยงตรงตามเนอ้ื หาและ 1. เน้นความเที่ยงตรงทกุ ประเภท เครอ่ื งมือ โครงสร้าง 2. เนน้ ความเช่อื มั่นของขอ้ สอบ 2. ไมเ่ น้นความเช่ือมัน่ ของข้อสอบ 3. เน้นความยากง่ายและอำนาจจำแนก 3. ไมเ่ น้นความยากงา่ ยและอำนาจ ขอ้ สอบ จำแนก ของข้อสอบ 4. วเิ คราะห์ข้อสอบโดยใชเ้ กณฑภ์ ายใน 4. วเิ คราะห์ข้อสอบโดยใช้เกณฑ์ คือ ความเกง่ – อ่อน ของนักเรยี น ภายนอก คือ ความรอบรู้และไม่ รอบรู้ ขอ้ ดี 1. เนน้ พฤตกิ รรมท่ีต้องการเน้นให้เดก็ 1. มกี ารแข่งขันความสามารถ นกั เรียนแสดงออก 2. ยดึ นักเรียนเป็นศูนยก์ ลางในการสอน 2. สง่ เสริมการเรยี นรขู้ องเด็กทุกคน 3. แปลความหมายได้ถกู ต้องเพราะใช้ 3. ประเมินได้ท้งั ผลการเรยี นของนักเรียน คะแนนมาตรฐาน และการสอนของครู 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
218 ตารางที่ 11.1 (ตอ่ ) หัวข้อ แบบองิ เกณฑ์ แบบองิ กลมุ่ ข้อเสยี 1. การตง้ั เกณฑล์ ำบาก มักจะมคี วามเป็น 1. การแขง่ ขันทำให้เกิดการทุจริตและ อัตนยั ทำใหข้ าดมนุษยสมั พนั ธ์ 2. ถ้าผสู้ อนไมย่ ดึ แนวปฏบิ ตั อิ ยา่ งจรงิ จัง 2. ประเมนิ ได้เฉพาะผลการเรียน ผลทไ่ี ดจ้ ะผิดพลาดมาก ของนักเรยี น 3. การประเมินผลแบบผา่ น – ไม่ผ่านทำ 3. ยดึ การกระจายคะแนนแบบโคง้ ปกติ ใหเ้ ดก็ ขาดความกระตือรือรน้ ไม่คำนึงวา่ เป็นเดก็ ในกลุม่ เกง่ หรอื กลุ่ม ออ่ น 2. องค์ประกอบท่ใี ชใ้ นการตดั เกรด องค์ประกอบที่ใช้ในการตัดเกรด ความถูกต้องเหมาะสมของการตัดเกรดย่อมขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบ 3 ประการ คือ (คณาจารย์ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2563) 1. ผลการวัด (Measurement) เป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษารายละเอียดของเด็ก โดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสอบ การสังเกต การปฏิบัติงาน เป็นต้น การตัดเกรดที่ดีจะต้องอาศัย ผลของการวัดทีถ่ ูกต้อง แม่นยำ มีความเที่ยงตรง ครอบคลุมและเชือ่ มั่นได้ถ้าหากผลการวัดเช่ือถือไม่ได้ หรือขาดความเที่ยงตรง เมื่อนำผลไปตัดเกรด ก็ย่อมคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ดังนั้นจึงกล่าวไดว้ ่า การใหเ้ กรดที่ดตี ้องอาศยั ผลการวดั ที่ดี 2. เกณฑ์การพิจารณา (Criteria) เป็นมาตรฐานที่ใช้เป็นหลักของการเปรียบเทียบหรือ คุณลักษณะที่ตั้งไว้ เป็นเป้าหมายหรือความมุ่งหวังที่จะให้เกิดแก่ผู้เรียนและใช้เป็นเครื่องตัดสินชี้ขาด ระดับความสามารถทีเ่ กิดข้นึ กบั เดก็ 3. วิจารณญาณและคุณธรรมต่าง ๆ (Value Judgment) เป็นคุณสมบัติในด้านต่าง ๆ ของผสู้ อนท่ีจะช่วยให้การกำหนดกระทำอย่างเหมาะสมยุตธิ รรม ผลการวดั ที่ไดเ้ ปน็ เพียงข้อมูลส่วนหน่ึง เกี่ยวกับตัวเด็กเท่าน้ัน การประเมินผลที่เที่ยงตรงจำเป็นต้องอาศัยดุลพินิจหรือการพิจารณาอย่าง รอบคอบถี่ถ้วนของผู้สอนประกอบอีกส่วนหนึ่งด้วย โดยพยายามให้ความเป็นธรรม ขจัดความลำเอียง หรืออคติส่วนตัว และควรคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงงอกงามของเด็กในด้านอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น ความสนใจ ความต้ังใจใน การเรียนรายวิชานั้น ๆ ด้วย 3. ระดบั คะแนนหรือเกรด 3.1 ความหมายของระดับคะแนนหรือเกรด นงลักษณ์ วิรัชชัย (2546) ให้ความหมายของเกรดว่า หมายถึง ตัวบ่งชี้ที่เป็นผลการ ประเมินอย่างเป็นทางการของครูผู้สอน เพื่อบอกระดับผลการเรียนรู้/ผลการปฏิบัติงานของผู้เรียนตาม มาตรฐานที่กำหนดไว้ในรายวิชา/โปรแกรมการเรียน โดยท่วั ไปนยิ มให้สญั ลักษณ์เป็นเกรดตัวอักษร เช่น 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
219 A, B, C, D, F หรือเกรดตัวเลข เช่น 4, 3, 2, 1, 0 หรือ 90 – 100, 80 – 89, ... เป็นต้น หรือเกรดจัด ประเภท เช่น ดีเยี่ยม ดมี าก ดปี านกลาง ไมด่ ี ยงั ตอ้ งปรับปรงุ ศิริชัย กาญจนวาสี (2544) ให้ความหมายว่า เกรด คือ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงระดับ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ของผ้เู รยี น ซง่ึ ไดจ้ ากการประเมินผลการเรียน สัญลักษณ์ท่ีนิยมใช้เป็นตัวอักษร ไดแ้ ก่ A, B, C, D และ F หรอื อาจใช้เปน็ ตวั เลข 4, 3, 2, 1 และ 0 ซ่งึ เปน็ ส่ือท่ีแสดงถงึ ผลสัมฤทธริ์ ะดับดี มาก ดพี อใช้ ออ่ น และออ่ นมาก Popham (1995) ให้คำอธิบายเพิ่มเติมถึงความแตกต่างระหว่างคะแนนสอบกับเกรดว่า โดยทั่วไปเมื่อครูผู้สอนจัดให้มีการสอบและตรวจให้คะแนน คะแนนผลการสอบของผู้เรียนหรือคะแนน สอบเป็นเพียงผลการคำนวณค่าร้อยละจากจำนวนข้อที่ผู้เรียนตอบข้อสอบได้ถูกต้อง โดยไม่มีการ ประเมิน แต่เมื่อครูผู้สอนให้เกรดแก่ผู้เรียน ครูผู้สอนประเมินจากคะแนนสอบว่า ผู้เรียนได้เรียนรู้ มากน้อยเพียงไร ผู้เรียนที่ได้คะแนนสอบ 99% อาจได้รับการประเมินและได้เกรด A ได้เช่นเดียวกับ ผู้เรียนที่ได้คะแนนสอบเพียง 15% ได้เพราะข้อสอบที่ใช้ในแต่ละครั้งมีความยากง่ายแตกต่างกัน ดังนนั้ การรายงานคะแนนสอบจึงใหข้ อ้ มลู สารสนเทศน้อยกว่าการรายงานเกรด 3.2 วตั ถุประสงคข์ องการตดั เกรด วัตถุประสงค์ทั่วไปของการตัดเกรด คือ เพื่อให้ได้เกรดที่บ่งชี้ผลการเรียนรู้/ผลการ ปฏิบัติงานของผู้เรียนที่มีความตรงและเป็นธรรม เพื่อใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนและการสื่อสาร กับผู้เกี่ยวข้อง การตัดเกรดเพื่อให้เกรดผู้เรียนมีวัตถุประสงค์ย่อยในการใช้เกรดรวม 4 ประการ (Ariasian, 2000 ; Popham, 1995; Friedman, 2002 อา้ งถึงใน นงลักษณ์ วิรัชชยั , 2546) ดังตอ่ ไปนี้ 1. การใช้เกรดเพื่อการบริหาร (Administratively Uses) โรงเรียน/สถานศึกษา ใช้เกรดเพื่อจัดผู้เรียนเข้าชั้นเรียนหรือแยกกลุ่มผู้เรียน เพื่อตัดสินว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ/ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเพียงพอสมควรที่จะเลื่อนระดับหรือเลื่อนข้ัน (Progress/Promote) หรือสำเร็จ การศกึ ษา (Graduate) และไดร้ บั ประกาศนียบัตรหรือไม่ รวมทัง้ ใช้เพื่อจัดอันดับผู้เรยี นในการให้รางวัล (Awards) และใช้เกรดของผู้เรียนสำหรับการตรวจสอบประสิทธิภาพของโครงการ ( Program Effectiveness) การวิจัยสถาบนั และการวางแผนของสถาบัน 2 . ก า ร ใ ช ้ เ ก ร ด เ พ ื ่ อ เ ป ็ น ส า ร ส น เ ท ศ / ก า ร ส ื ่ อ ส า ร ( Informationally /Communicatively Uses) โรงเรียน/สถานศึกษารายงานเกรดเพื่อให้ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องทราบ ว่า ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนมากน้อยเพียงใด เปิดโอกาสให้ชุมชนสามารถตรวจสอบ การดำเนินงานของโรงเรียนได้ และใช้เกรดเป็นตัวบ่งชี้ในการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อให้ความ มน่ั ใจแกผ่ เู้ ก่ียวขอ้ ง 3. การใช้เกรดเป็นเครื่องกระตุ้น (Motivate) การเรียนรู้ การใช้เกรดเพื่อกระตุ้น การเรียนรู้นี้เปรียบเสมือนดาบสองคม เพราะผู้เรียนที่ได้เกรดสูงกว่าที่คาดหวังจะเกิดแรงจูงใจที่ทำให้ ผู้เรยี นอยากเรยี นให้ได้เกรดดยี ่งิ ขึ้น สว่ นผเู้ รียนท่ไี ดเ้ กรดต่ำกวา่ ทคี่ าดหวังอาจมผี ลทำใหผ้ ู้เรียนเกิดความ ท้อถอยได้ ดังนนั้ ครผู สู้ อนจึงต้องระมัดระวังในการใช้เกรดดว้ ย นอกจากนค้ี รผู ู้สอนยังใช้เกรดเป็นเคร่ือง วนิ จิ ฉยั (Diagnosis) เป็นข้อมูลปอ้ นกลับ (Feedback) ในการวางแผนและดำเนนิ การเรียนการสอนของ ครูดว้ ย 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
220 4. การใช้เกรดสำหรับการแนะแนว (Guidance) ครูผู้สอน นักแนะแนว ผู้ปกครอง ใช้เกรดของผู้เรียนประกอบในการตัดสินใจให้คำแนะนำทิศทางการศึกษาต่อ และการเลือกประกอบ อาชีพของผูเ้ รียนรวมทงั้ การแก้ปัญหาเกยี่ วกบั การเรียนการสอนด้วย 4.3 หลกั การใหเ้ กรด ได้มีนักวิชาการได้นำเสนอหลักการใหเ้ กรดหรอื แนวทางการตัดเกรดท่ดี ีไว้ดงั น้ี อุทุมพร จามรมาน (2544) ได้เสนอหลักการใหเ้ กรด คอื 1. การใหเ้ กรดตอ้ งต้งั อยูบ่ นพืน้ ฐานของความยุติธรรมท้ังผูใ้ ห้และผู้รับ 2. การใหเ้ กรดต้องยดึ เกณฑ์เป็นหลกั เช่น วัตถุประสงค์ของการเรยี น 3. การใหเ้ กรดต้องอาศยั ขอ้ มูลที่เชอื่ ถือได้คือ มีท้งั ความตรงและความเท่ยี ง 4. การให้เกรดควรอิงปัจจัย 3 ด้าน คือความรอบรู้ในเนื้อหาวิชา ความสามารถ เมอ่ื เทยี บกับกลมุ่ ปกติและความเจริญกา้ วหนา้ เม่ือเทยี บกับตวั เองในช่วงกอ่ นและหลงั การเรียนวิชาน้นั ศิริชยั กาญจนวาสี (2544) เสนอแนวทางของการวัดผลและการกำหนดเกรดไวด้ งั น้ี 1. ปัจจัยที่ใช้กำหนดเกรด ควรประกอบด้วยปัจจัยหลักของความรู้ความสามารถ หรือทักษะของผู้เรียนตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้เป็นสำคัญ และปัจจัยเสริม เช่น การมีส่วนร่วมใน กิจกรรม เจตคติต่อการเรยี น ความรับผิดชอบ เป็นต้น ปัจจัยหลักจะต้องเป็นปัจจัยสำคัญสดุ ที่ใช้ในการ กำหนดเกรด ส่วนปัจจัยเสรมิ เป็นเพยี งสว่ นประกอบทนี่ ำมาพจิ ารณากรณที ่ปี จั จัยหลักขาดความสมบรู ณ์ 2. เครื่องมือที่ใช้วัดผลจะต้องมีคุณภาพ วัดได้ครอบคลุมคุณลักษณะตามน้ำหนัก ความสำคญั ท่ีต้องประเมิน ควรวดั ด้วยเครือ่ งมอื หลายอยา่ ง หลายครั้ง หลายเวลา (ทัง้ ระหวา่ งและสิ้นสุด การเรยี นการสอน) และมีมาตรการในการตรวจคะแนนอย่างเป็นปรนัย 3. เกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดเกรดจะต้องเหมาะสมกับธรรมชาตขิ องวิชาและระบุให้ ชดั เจน เกณฑน์ ั้นจะตอ้ งสอดคล้องกับแผนการวดั ผลและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน 4. การตัดสินผลจะตอ้ งเป็นไปอย่างยตุ ิธรรม โปร่งใส สามารถอธิบายให้ผู้เรียนและ ผู้เกี่ยวข้องยอมรับได้ด้วยหลักการและเหตุผล การใช้วิจารณญาณจะต้องเป็นไปอย่างมีคุณธรรมและ รับผดิ ชอบตอ่ ผลท่ีเกดิ ขึ้น Cross (1995) และ Ariasian (2000) (อ้างถึงใน นงลักษณ์ วิรัชชัย, 2546) ให้แนวทาง การให้เกรดหรอื การตัดเกรดทีด่ ดี งั ตอ่ ไปน้ี 1. การตัดเกรดที่ครูผูส้ อนใชต้ อ้ งสอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์ 2. การรวบรวมสารสนเทศเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานต้องใช้หลายวิธีและหลาย แหล่ง 3. การรวบรวมสารสนเทศเกี่ยวกับผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ต้องมีการดำเนินการ อยา่ งต่อเน่อื งตลอดชว่ งเวลาการเรยี นการสอน 4. ผู้เรียนและผูเ้ กี่ยวข้องได้รบั รู้รปู แบบการให้เกรดตัง้ แต่เริ่มตน้ การเรยี นการสอน 5. การตดั เกรดควรแยกรายงานเป็นเกรดด้านพุทธพิ สิ ยั และเกรดด้านจติ พสิ ัย 6. การตัดเกรดใชข้ อ้ มูลท่ีได้จากการวดั ผลการศึกษาที่มีความตรงและความเท่ยี ง 7. ข้อมูลสารสนเทศผลการปฏิบัติงาน/ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนส่วนที่สำคัญต้องมี น้ำหนกั สงู กวา่ ส่วนที่ไมส่ ำคญั 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language
221 8. ระบบการตัดเกรดต้องใชก้ ับผเู้ รียนทกุ คนโดยเสมอหน้าและเป็นธรรม 9. การกำหนดคะแนนสอบผา่ น (Passing Score) ควรอิงความรสู้ ำคญั ของรายวชิ า 10. การกำหนดคะแนนจุดตัด (Cut Points) ระหว่างเกรดควรใช้หลักวิชาประกอบ กับผลการปฏิบัติงาน/ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน และเกณฑ์มาตรฐานไม่จำเป็นต้องยึดหลักการตัดเกรด โดยใชโ้ ค้งปกตเิ สมอไป 4.4 ประเภทของเกรด Garrick Duhaney and Salend (2002) แ ล ะ Center for Teaching and Learning Services (2002) (อา้ งถึงใน นงลกั ษณ์ วริ ชั ชยั , 2546) แบง่ ประเภทของเกรดเป็นหลายแบบแตกต่างกัน ตามเกณฑท์ ่ใี ช้เปน็ 7 แบบ ดงั น้ี 1. การแบ่งประเภทตามสัญลักษณ์ของเกรด แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เกรดตัวอักษร (Letter Grade) เกรดตัวเลข (Numerical Grade) เกรดจัดประเภท (Categorical Grade) 2. การแบ่งประเภทตามเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ในการตัดเกรดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การตัดเกรดแบบอิงกลุ่ม (Norm-referenced Grading) เป็นการตัดเกรดที่ให้เกรดแก่ผู้เรียนเทียบกับ กลุ่ม เช่น ผู้เรียน 10% ที่ได้คะแนนสูงสุดได้เกรด A และการตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์ (Criterion- referenced Grading) เป็นการตัดเกรดที่ให้เกรดผู้เรียนตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ผู้เรยี นท่ที ำคะแนนได้ 95 – 100 คะแนนไดเ้ กรด A 3. การแบง่ ประเภทตามวัตถุประสงคก์ ารใชเ้ กรด แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื ประเภทแรก เกรดแบบตรวจสอบรายการ/มาตรประเมินค่า (Checklists/rating Scales) เป็นเกรดที่มีระบบ การตัดเกรดเพื่อบอกระดับความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียน และนำไปใช้ประโยชน์ในการวาง แผนการจัดการเรียนรู้ ประเภทท่ีสอง คอื เกรดบอกเร่ืองราว/เกรดบรรยาย (Anecdotal/ descriptive Grades) เป็นเกรดที่ครูผูส้ อนบรรยายทักษะ ความพยายาม เจตคติ ค่านยิ ม ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของ ผเู้ รยี นเพอ่ื เป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนาผู้เรยี นในแตล่ ะประเดน็ 4. การแบ่งประเภทของเกรดตามจำนวนเกรดในการตัดเกรดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ เกรดระบบได้/ตก (Pass/fail Grade System) ท่ีกำหนดให้มีสองระบบ คือได้และตก และเกรดระบบ พหุระดับ (Multiple System) เป็นการตดั เกรดทก่ี ำหนดใหม้ หี ลายระดบั ดงั ตัวอย่างตามตาราง 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292