Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวัดและประเมินผล รวม

การวัดและประเมินผล รวม

Published by thanakit ritsri, 2022-05-23 18:49:26

Description: การวัดและประเมินผล รวม

Search

Read the Text Version

22 4. องค์ประกอบที่เก่ียวขอ้ งกบั การประเมินผลวชิ าภาษาไทย กล่าวว่าผู้สอนภาษาไทยมักจะพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการวัดและประเมินผล เช่น ปัญหา การเลือกใช้วิธีวัดที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ปัญหาการเลือกใช้เครื่องมือ และปัญหาวิธีการสร้าง เครื่องมือ ในการกำหนดวัตถุประสงค์ผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็น พื้นฐานในการสร้างเครื่องมือ แผนภูมิที่แสดงข้อมูลต่อไปนี้จะช่วยให้ผู้สอนเข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกย่ี วข้องกับตวั ผู้เรียน (Borg and Gall, 1989) พฤตกิ รรม ทาง ภาษาไทย ผลการเรียน พฤติกรรม เฉพาะ การวดั ผเู้ รียน ความ และการ ตอ้ งการ ประเมินผล และความ สนใจ โปรแกรม วัตถปุ ระสงค์ การสอน การสอน ท่มี า : อัฐพล อินตะ๊ เสนา (2561) ภาพที่ 2.1 องคป์ ระกอบที่เกี่ยวข้องกับการประเมนิ ผลวชิ าภาษาไทย 1. พฤติกรรมทางภาษาไทย เป็นเป้าหมายสำคัญที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนแสดงออกด้วย การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน อย่างมีความคิดวิจารณญาณจนติดเป็นนิสัย นอกจากนั้น ยังรวมถงึ พฤตกิ รรมด้านจิตพิสัยของผูเ้ รยี นด้วย 2. พฤติกรรมเฉพาะทางภาษาไทย เป็นการวิเคราะห์ในส่วนย่อยของพฤติกรรมทางภาษา ได้แก่ จำ เข้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินคา่ เร่ืองที่เรยี น พฤติกรรมแยกย่อยนี้จะเน้น แตกต่างกันไปสำหรับผู้เรียนที่มีวัย เพศ และอายุแตกต่างกัน ผู้สอนจึงจำเป็นที่จะต้องวิ เคราะห์ พฤติกรรมเฉพาะทางภาษาไทย เพอื่ ให้ผูเ้ รยี นได้เปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมดงั กลา่ วไปสู่เปา้ หมายที่ต้องการ 3. ความต้องการและความสนใจ ผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีความต้องการและความสนใจที่ แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัย เพศ อายุ และสภาพแวดล้อม ตลอดจนการอบรมเลี้ยงดูจากทางบ้าน 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

23 การใช้สื่อการเรียนภาษาไทยจึงควรแตกต่างกัน ผู้สอนจึงควรเลือกใช้สื่อที่สอดคล้องกับความต้องการ และความสนใจของผเู้ รียน ซึง่ จะชว่ ยใหก้ ารเรียนภาษาไทยบรรลุวตั ถุประสงค์ตามท่ีกำหนดไว้ 4. วัตถุประสงค์การสอนภาษาไทย การที่ผู้เรียนจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนตามที่ กำหนดจำเป็นต้องมีการเรียนการสอน กล่าวคือ การวางแผนด้วยการทำแผนการสอน โดยทั่วไปจะ ประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ คือ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรม สื่อ และการประเมินผล กล่าวได้ว่า การสอนเป็นแนวทางที่ชี้ให้เห็นพฤติกรรมทางภาษาของผู้เรียน ซึ่งวิเคราะห์มาจากพฤติกรรมเฉพาะที่ สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการ และความสนใจ 5. โปรแกรมการสอน เป็นแผนงานที่กำหนดไว้ในระยะยาว เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียน และวิธีวัดผลการเรียนภาษาไทย แผนงานอาจกำหนดไว้ ในระยะสั้น และระยะยาว โปรแกรมการสอนอาจรวมกิจกรรมที่จัดในเวลาเรียนและนอกเวลาเรียน กิจกรรมทั้งสองประเภทจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการใช้ภาษาของผู้เรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์การสอน ภาษาไทย 6. การวัดและประเมินผล เป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรแกรมการสอน เมื่อผู้สอน ต้องการรู้ว่า ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางภาษามากหรือน้อยก็กระทำได้ด้วยการวัดผล โดยใช้เครื่องมือที่เป็นแบบทดสอบ หรือไม่ใช่แบบทดสอบ อย่างไรก็ตามเพื่อให้ทราบผลที่แท้จริงผู้สอน จงึ ควรใชว้ ิธวี ัดผลมากกวา่ หนง่ึ วธิ แี ล้วนำผลที่ไดจ้ ากการวัดมาทำการประเมนิ ต่อ 7. ผลการเรียน เกิดจากการใช้เครื่องมือวัดอาจเป็นคะแนนหรือข้อมูลประเภทอื่น ๆ เช่น มาตราส่วนประมาณค่า หรือความคดิ เห็น ผลท่ไี ดจ้ ะชใ้ี ห้เห็นว่าผเู้ รียนเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมตามเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์มากหรือน้อยจะแสดงให้เห็นพฤติกรรมทางภาษาไทย ถ้าผลที่ได้ยังไม่ถึง เกณฑ์ผู้สอนสามารถนำมากำหนดเป็นพฤติกรรมทางภาษาไทยที่จะนำมาพัฒนา โดยใช้กิจกรรม การเรียนการสอนท่ีเหมาะสมตอ่ ไป จากแผนภูมิจึงสรุปได้ว่า องค์ประกอบแต่ละอย่างจะมีความเกี่ยวข้องกัน พฤติกรรมทาง ภาษาไทยที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงนั้นจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ให้เป็นพฤติกรรมย่อย โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียน แล้วจึงนำมากำหนดให้เป็น วัตถุประสงค์ของการสอน เพื่อนำไปสู่การจัดโปรแกรมการสอน จัดเนื้อหา กิจกรรมและสื่อการสอน ให้เร้าความสนใจ เพื่อช่วยให้ผูเ้ รียนเปลีย่ นพฤติกรรมตามทีม่ ุ่งหวังไว้ การวัดและการประเมนิ ผลจะช่วย ใหร้ ู้ผลการเรยี นท่ีแท้จรงิ ซ่ึงเป็นเครอื่ งชีค้ วามสำเรจ็ ในการเรียนภาษาไทย โดยพจิ ารณาจากผลการเรียน ถ้ามจี ุดบกพร่องกจ็ ะใชเ้ ป็นแนวทางในการกำหนดพฤตกิ รรมการเรยี นและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เหมาะสมต่อไป 5. การวัดและการประเมินผลกบั กระบวนการสอนภาษาไทย การวัดและประเมินผลจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีกระบวนการสอน ดังนั้นเพื่อให้มีความชัดเจน และ เป็นที่เข้าใจสำหรับผู้สอนภาษาไทยจึงจำเป็นต้องมีการสร้างแผนการสอน (Lesson Plan) ซึ่งจะใช้เป็น เครื่องมือช่วยชี้นำในการสอนแต่ละครั้ง แผนการสอนภาษาไทยเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการสอนท่ี นำพฤติกรรมทางภาษาไทยมากำหนดเป็นวัตถุประสงค์ แผนการสอนมีส่วนประกอบคือ วัตถุประสงค์ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

24 เน้ือหา กจิ กรรม ส่อื และการประเมินผล วตั ถปุ ระสงค์เป็นทิศทางทีม่ ุ่งให้ผเู้ รียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ภาษาสู่เป้าหมายที่มีเกณฑ์เป็นเครื่องกำหนด เนื้อหาเป็นเครื่องมือที่จะนำมาใช้เป็นสื่อเพื่อนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางภาษาไทย กิจกรรม และสื่อการเรียนจัดขึ้นเพื่อช่วยเร้าให้ผู้เรียนมคี วาม สนใจ โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและเกิดการเรียนรู้ ส่วนการวัดผลจะใช้เครื่องมือชนิดต่าง ๆ เพื่อนำผลจาก การวัดด้วยเครื่องมือมาทำการประเมิน จึงแสดงให้เห็นว่า การวัดและการประเมินผลมีความสัมพันธ์กบั กระบวนการเรียนการสอน ดังนั้นการจัดเตรียมแผนการสอนผู้สอนควรคำนึงถึงความสำคัญในเรื่อง ต่อไปนี้ (อัฐพล อนิ ตะ๊ เสนา, 2561) 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการสอนภาษาไทยให้ชัดเจน โดยระบุว่าต้องการให้ผู้เรียน เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านใด โดยทั่วไปการสอนภาษาไทยมักจะเน้นวัตถุประสงค์ทางด้านความรู้ (Cognitive Domain) ทางด้านจิตพิสัย (Affective Domain) และทางด้านทักษะ (Psychomotor Domain) ควบคู่กนั ไป 2. กำหนดเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หมายถึง เนื้อหาที่ใช้ในการสอนแต่ละคร้ัง จะตอ้ งสอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์การสอน และเนอื้ หาควรพอเหมาะกับเวลาทจี่ ะใชส้ อน และเนอ้ื หาควร เปน็ พืน้ ฐานท่ผี ู้เรยี นสามารถนำไปคน้ คว้าหาความรเู้ พิ่มเตมิ ได้ 3. กำหนดกิจกรรมการเรียนให้สอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์และเนื้อหา การจัดกิจกรรมควร ให้สนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น เพศ อายุ และความสามารถในการ เรยี นของผเู้ รียนแต่ละคน 4. กำหนดสื่อการเรียนที่จะนำมาใช้ประกอบกิจกรรมเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมตามวัตถุประสงค์ เนื้อหา และกิจกรรมการเรียนตามจุดมุ่งหมายการสอนภาษาไทย ในหลกั สตู ร และปรัชญาการสอนภาษาไทย การวดั ผลทด่ี ีควรใหผ้ ู้เรียนมีส่วนร่วมวัดผลการเรียนของตน เพ่ือจะได้ร้ขู ้อบกพรอ่ ง และสามารถใชเ้ ปน็ แนวทางในการปรบั ปรงุ การเรยี นของตนเองให้ดีข้นึ ต่อไป อนึ่ง แผนการสอนที่ดีควรมีการจัดเตรียมล่วงหน้าและปรับปรุงให้สอดคล้องกับ สภาพความเป็นจริงที่ผู้สอนและผู้เรียนกำลังเผชิญอยู่ ความรู้ เจตคติ และทักษะจากการเรียนตาม แผนการสอน สามารถจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง สังคม เศรษฐกิจ การเมืองและ วัฒนธรรม นอกจากนั้นแผนการสอนท่ีดีควรประหยดั ให้ประโยชน์ตอ่ ผูเ้ รียนและต่อผ้ทู ีเ่ ก่ยี วข้องด้วย 6. การกำหนดการวดั และประเมนิ ผลวชิ าภาษาไทยตามพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ Best และ Kahn (1993) ได้กล่าวถึงการกำหนดการวัดและประเมินผลวิชาภาษาไทยตาม พฤติกรรมการเรยี นรู้ ไว้ดงั นี้ 1. องค์ประกอบในการกำหนดการวดั ในการพิจารณาว่ารายวิชาใดควรจะใช้เครื่องมือชนิดใดในการวัดต้องพิจารณาจาก หลายองคป์ ระกอบ ดังน้ี 1.1 จุดม่งุ หมายของการสอบวัด เปน็ การนำจุดมงุ่ หมายของการนำผลการสอบไปใช้ ในเรื่องใด เช่น เพื่อตรวจสอบพื้นฐานของผู้เรียน การสอบเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน หรือการสอบ เพื่อตัดสินผลการเรียน จุดมุ่งหมายแต่ละอย่างจะใช้เครื่องมือที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งการกำหนด 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

25 ข้อสอบ หรือการกำหนดเครื่องมือ เช่น การสอบความรู้พื้นฐานของนักเรียน เครื่องมือที่ใช้วัดด้าน พทุ ธิพสิ ยั อาจจะใช้ข้อสอบทว่ี ดั จุดประสงค์ท่ีเปน็ พื้นฐาน หรือใชก้ ารสอบสัมภาษณ์ในการซักถามความรู้ แต่ถ้าเป็นการสอบเพื่อปรับปรงุ การเรียนการสอน การสอบด้านพุทธิพิสัยจะใช้ข้อสอบและอาจจะมีบาง จุดประสงค์ของพุทธิพิสัยที่แฝงอยู่ในการสอบวัดทางด้านทักษะพิสัย เช่น เป็นการเขียนรายงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบกลางภาคที่เป็นการสอบเพื่อตัดสินผลการเรียน จะต้องนำจุดประสงค์ที่ สำคัญมาสอบวัด ซึ่งมีหลายจุดประสงค์ และแต่ละจุดประสงค์ใช้เครื่องมือวัดที่ไม่เหมือนกัน เช่น มีการสังเกต การใช้ข้อสอบ หรือการให้ปฏิบัติเพื่อมุ่งวัดทักษะพิสัยที่มีทั้งด้านจิตพิสัย และพุทธิพิสัย ปนกนั อยู่ ดังนนั้ ในการสอบวดั จะต้องมีการกำหนดจดุ มุ่งหมายของการสอบเสียก่อนว่าจะนำผลการสอบ ไปใชใ้ นเรือ่ งใด 1.2 สรา้ งตารางวิเคราะหห์ ลักสูตร จดุ ประสงค์ทีส่ ำคญั ของการสร้างตารางวิเคราะห์ หลักสูตรที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ การกำหนดสัดส่วนในการวัดให้ครอบคลุมทั้งด้านพฤติกรรมและ เนื้อหาของรายวิชานั้น ๆ เช่น สามารถกำหนดได้ว่าเนื้อหาที่จะสอนจะต้องวัดพฤติกรรมด้าน พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัยในอัตราส่วนเท่าใด แต่ละเนื้อหาจะวัดพฤติกรรมย่อยของพุทธิพิสัย ด้านใดบ้าง รวมไปถึงการทำให้ทราบว่าในแต่ละเนื้อหาจะมีน้ำหนักการวัดเป็นสัดส่วนเท่าใดเมื่อเทียบ เน้อื หาเหลา่ นั้นเขา้ ด้วยกนั 1.3 จุดประสงค์การเรียนรู้ จากตารางวิเคราะหห์ ลักสูตรเปน็ แนวทางในการกำหนด จุดประสงค์ของการเรียนรู้ ให้ทราบว่ามีจุดประสงค์การเรียนรู้ใดในเนื้อหานั้น ๆ ตัวอย่าง เช่น เนื้อหา การเขียนจดหมายราชการ ในตารางวิเคราะห์หลักสูตรกำหนดด้วยพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยไว้ว่า ต้องมี ความรคู้ วามจำ เชน่ สามารถบอกรูปแบบของจดหมายได้ ด้านความเข้าใจ เช่น สามารถสรุปสาระสำคัญ ที่ต้องการเขียนจากเอกสารได้ ด้านการนำไปใช้ เช่น สามารถใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องในการสื่อสาร ส่งจดหมายได้ถูกต้อง พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย ได้แก่ สามารถเขียนจดหมายตามจุดประสงค์ท่ี กำหนดให้ได้ จากตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วทำให้ทราบว่ามีจุดประสงค์การเรียนรู้ใดบ้างที่ต้อง สอบวัด และจะกำหนดเครื่องมือวัดอย่างไร และเครื่องมือวัดนั้นควรมีข้อรายการในการตรวจสอบ ความสามารถในเรื่องใดบ้าง เช่น จากตัวอย่างเครื่องมือวัด ได้แก่ ข้อสอบสำหรับพฤติกรรม ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ และการนำไปใช้ และในจุดประสงค์ท่ีว่าสามารถเขียนจดหมายได้ เป็นการวัดดา้ น ทักษะพิสัย สามารถวัดพฤติกรรมนี้ในรูปแบบของการเขียนจดหมาย 1 ฉบับ ก็ได้ โดยจากการตรวจ ความสามารถในแบบบันทึกที่วัดพฤติกรรมท้ังด้านพุทธิพิสยั และทักษะพิสัย 1.4 การกำหนดอัตราส่วนในการตัดสินผลการเรียนของแต่ละรายวิชาในการ ประเมินผลการเรียนในแต่ละรายวิชา โดยใช้ผลจากการนำผลการวัดระหว่างภาคเรียนรวมกับคะแนน ปลายภาคเรียน ตามอัตราส่วนที่กลุ่มโรงเรียนกำหนด แล้วนำมาเปลี่ยนเป็นระดับผลการเรียน โดยที่คะแนนระหว่างภาคเรียนจะเป็นคะแนนจากการวัดผลรายจุดประสงค์ การวัดผลระหว่างภาค และจากการประเมินพฤติกรรมด้านจิตพิสัย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการประเมินผลจะต้องได้จากการวัด ซึ่งอาจจะเป็นการวัดระหว่างสอนเป็นระยะรวมกับสอบไล่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาภาษาไทยเป็นวิชา ทักษะควรมีการสอบวัดระหว่างการเรียนเป็นระยะ เปน็ การศกึ ษาผลการเรียนเพื่อจัดการสอนซ่อมเสริม และฝึกทักษะให้แก่ผู้เรียน การประเมินผลระหว่างภาคเรียนต้องให้ครอบคลุมพฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน คือ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

26 พทุ ธิพสิ ัย ทักษะพิสัย และจติ พิสัย ซ่ึงอตั ราส่วนในการสอบวัดแต่ละดา้ นน้ันสามารถวางแผนในการสอบ วัดเป็นระยะให้ชัดเจน และเครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับจุดประสงค์และความต้องการได้ การสรุป หรือ ตัดสิน โดยมีหลักเกณฑ์ในการตัดสินการประเมินรายวิชาใดก็ตาม ต้องมีการสอบวัดด้วย (Cohn and Manion, 1994) 2. การประเมนิ ผลวชิ าภาษาไทย การประเมินผลเป็นการนำผลการวัดหลาย ๆ ครั้งมาประเมิน ซึ่งการประเมินผลนี้ต้อง ไดจ้ ากรายการในการวัด ดังน้ี ส่วนท่ี 1 คะแนนจากการวัดรายจดุ ประสงค์ ส่วนที่ 2 คะแนนจากการวดั ผลระหว่างภาค ส่วนท่ี 3 คะแนนจากการประเมนิ พฤติกรรมด้านจติ พิสัย ส่วนที่ 4 คะแนนจากการวดั ผลปลายภาค จาก 4 ส่วนนี้ อัตราส่วนเป็นเท่าใดขึ้นอยู่กับข้อตกลงของกลุ่มโรงเรียนนั้น ๆ แต่ขอ้ ทค่ี วรคำนงึ สำหรบั ผ้สู อนกลุ่มวชิ าภาษาไทยกค็ ือ 1. การประเมินผลระหว่างภาคเรียน ต้องประเมินตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ได้ กำหนดไว้ และประเมินให้ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย โดยให้มีการ วัดผลเป็นระยะเพื่อเก็บคะแนนรายจุดประสงค์และมีจุดประสงค์ที่สำคัญคือ การพัฒนาความสามารถ ของผู้เรียน โดยให้มีการฝึกทักษะและแก้ไขทักษะที่บกพร่อง การวัดผลระหว่างภาคเรียนเป็นการวัด เฉพาะจดุ ประสงค์ทส่ี ำคญั และมกี ารประเมินผลด้านจติ พิสัย 2. การวัดผลปลายภาคเรียน เพื่อตรวจสอบผลการเรียนแต่ละวิชา โดยวัดให้ ครอบคลุมจุดประสงค์ที่สำคัญตามที่กลุ่มโรงเรียนกำหนด การวัดจะต้องกำหนดจุดประสงค์ของการ เรียนรู้ก่อนแล้วสร้างเครื่องมือ จากหลักการที่สำคัญดังกล่าวและระเบียบในเอกสารของคู่มือ การประเมนิ ผลการเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ จดุ สำคัญท่ีสดุ ของการวัดคือต้องวดั ให้ครอบคลุมตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ทุกด้าน ทั้งด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และต้องครอบคลุมทั้งทักษะ การฟังการพูด การอ่าน และการเขยี น 7. สรปุ ภาษาไทยเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป เพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้และใช้ในการทำงาน ผู้ที่มีความสามารถในการฟัง พูด อ่าน และเขียน จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการศึกษาและการทำงาน ดังนั้นการฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะทาง ภาษาไทยจึงมีความสำคัญและจำเป็น ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยทั้ง 3 ด้านต้อง ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ด้านทกั ษะกระบวนการ และดา้ นจิตพิสยั โดยพฤติกรรมการเรยี นรู้ดังกล่าวมา จากการวิเคราะห์หลักสูตร ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ด้วยเหตุนี้เป้าหมายในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน ผู้สอนจึงควรคาดหวังว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางภาษาไทยตามวัตถุประสงค์ ท่ีกำหนดไว้ การประเมนิ ผลทางภาษาไทยจึงเขา้ มามีบทบาทสำคัญซ่งึ ผู้สอนควรประเมนิ ผลให้สอดคล้อง 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

27 กับวัตถุประสงค์ ถ้าพิจารณาภาพรวมของการประเมินผลวิชาภาษาไทยแล้วมีโครงสร้างโดยทั่วไปเป็น ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ความแตกต่างจะอยู่ที่รายละเอียดของวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมที่ต้องการให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงลักษณะและเครื่องมือที่ใช้วัดผล และวิธีการใช้เครื่องมือ ใหต้ รงตามวัตถปุ ระสงค์ เหลา่ นถ้ี อื วา่ เปน็ ลกั ษณะเฉพาะของการประเมนิ ผลวชิ าภาษาไทยทง้ั สน้ิ คำถามท้ายบทที่ 2 1. จงนำเสนอความสำคัญของภาษาไทย และลักษณะวิชาภาษาไทย พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ พอสังเขป 3. จงอธิบายเกี่ยวกับการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อการวัดและประเมินผลการเรียนวิชาภาษาไทย พร้อมทัง้ ยกตวั อยา่ งประกอบพอสังเขป 4. จงวเิ คราะห์จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมตามสถานการณท์ ่ีกำหนดใหต้ ่อไปนี้ “ให้นักเรียนอ่านเรื่องส้ันจำนวน 1 เรื่อง เมื่ออ่านเสร็จให้นักเรียนหาคำเป็น และคำตายจาก เรื่องท่ีอ่าน หลังจากนั้นให้นักเรียนนำคำที่หาได้มาแต่งเป็นกลอนสุภาพให้ถูกต้องตามลักษณะ แบบแผนบงั คับจำนวน 2 บท” 5. จงบอกความสำคัญของการนำจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมไปใช้ในการวดั และประเมนิ ผล 6. จงอธบิ ายเก่ียวกับวิธีการวเิ คราะห์พฤตกิ รรม พรอ้ มทั้งยกตวั อยา่ งประกอบพอสงั เขป 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

28 เอกสารอา้ งองิ ทิวัตถ์ มณีโชติ. (2549). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพศ์ นู ยส์ ง่ เสรมิ วชิ าการ. ประสาท เนืองเฉลมิ . (2563). วิจัยการเรียนการสอน. พิมพค์ รง้ั ที่ 4. กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พ์จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. _______. (2564). วิจัยการเรียนการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . สมนกึ ภัททยิ ธน.ี (2553). การวัดผลการเรียนรู้. พิมพ์คร้งั ที่ 7. กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ์. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2557). แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . สมบัติ ท้ายเรือคำ. (2562). ระเบียบวิธีวิจัยสำหรับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. มหาสารคาม : สำนักพิมพม์ หาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. อัฐพล อินต๊ะเสนา. (2561). เอกสารประกอบการสอน เรื่อง การวัดและประเมินผลวิชาภาษาไทย. มหาสารคาม : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม. _______. (2562). การพัฒนารูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน ของนิสิต สาขาวิชาภาษาไทยที่เรียนในรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน (รายงานการวิจัย). มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. Best, J.W., and Kahn, J.V. (1993). Research in Education. 7th ed. Boston : Allyn and Bacon. Borg, W.R, and Gall, M.D. (1989). Educational Research : An Introduction. 5th ed. New York : Longman. Cohn, L. and Manion, L. (1994). Research Methods in Education. London : Croom Helm. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

29 บทท่ี 3 การวเิ คราะหพ์ ฤติกรรมเพื่อวัดและประเมนิ ผลการเรียนวิชาภาษาไทย 1. แนวคิด วิชาภาษาไทยเป็นวิชาพื้นฐานที่มีความสำคัญในการมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความสามารถและ ทักษะในการฟัง พูด อ่าน และเขียน ด้วยเหตุนี้การวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อวัดและประเมินผลการเรียน วชิ าภาษาไทยผู้สอนจึงควรคาดหวงั ว่าผูเ้ รียนจะเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมทางภาษาไทยตามวตั ถุประสงค์ที่ กำหนดไว้ การประเมินผลทางภาษาไทยจึงเข้ามามีบทบาทสำคญั ซึ่งผู้สอนควรประเมินผลให้สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ ดังนั้น การประเมินผลการเรียนรู้วิชาภาษาไทยจะต้องครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ กระบวนการ และด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ 2. เนอ้ื หา 2.1 ความสำคญั ของภาษาไทย 2.2 ลักษณะวชิ าภาษาไทย 2.3 การวเิ คราะห์พฤติกรรมเพ่ือวัดและประเมนิ ผลการเรียนวชิ าภาษาไทย 2.4 จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม 2.5 การนำจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมไปใชใ้ นการวัดและประเมนิ ผล 2.6 วิธกี ารวเิ คราะห์พฤตกิ รรม 3. วตั ถุประสงค์ 3.1 สามารถอธบิ ายแนวคดิ เก่ียวกับความสำคัญของภาษาไทยได้ 3.2 สามารถบอกแนวคดิ เก่ียวกับลกั ษณะวิชาภาษาไทยได้ 3.3 สามารถนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการวิเคราะหพ์ ฤติกรรมเพือ่ วัดและประเมนิ ผลการเรียน วชิ าภาษาไทยได้ 3.4 สามารถอภิปรายแนวคิดเก่ียวกับจุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมได้ 3.5 สามารถอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับการนำจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมไปใช้ในการวัดและ ประเมินผลได้ 3.6 สามารถนำเสนอแนวคิดเกยี่ วกบั วธิ กี ารวิเคราะห์พฤติกรรมได้ 4. กิจกรรมการเรียนรู้ 4.1 กจิ กรรมก่อนเรียน 4.1.1 อาจารย์และนิสิตร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับหัวข้อการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อวัดและ ประเมินผลการเรียนวชิ าภาษาไทยวา่ มีลักษณะและองค์ประกอบอะไรบ้าง 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

30 4.1.2 อาจารย์นำเข้าสู่บทเรียนเรื่อง การวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อวัดและประเมินผล การเรียนวิชาภาษาไทย 4.2 กจิ กรรมการเรยี นรใู้ นชน้ั เรยี น 4.2.1 อาจารย์ผสู้ อนบรรยายเรอ่ื ง การวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อวดั และประเมินผลการเรียน วิชาภาษาไทย 4.2.2 อาจารย์ผู้สอนและนิสิตร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อในการจัดการเรียน การสอน 4.2.3 อาจารย์และนิสิตร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับเรื่อง การวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อวัด และประเมนิ ผลการเรียนวชิ าภาษาไทย 4.3 กิจกรรมเสริม อาจารย์ให้นิสิตศึกษาเรื่อง การวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อวัดและประเมินผลการเรียนวิชา ภาษาไทยเพิม่ เติมจากแหล่งการเรียนรูอ้ ่ืน ๆ แลว้ สรุปเป็นช้นิ งานสง่ ในชว่ั โมงต่อไป 5. ส่ือการสอน 5.1 เอกสารคำสอนเร่ือง การวดั และการประเมินผลวชิ าภาษาไทย 5.2 PPT ประกอบการสอน เรอื่ ง การวิเคราะหพ์ ฤตกิ รรมเพ่ือวัดและประเมินผลการเรียนวิชา ภาษาไทย 6. การวดั และประเมินผล 6.1 การทดสอบ 6.2 การประเมินพฤติกรรมการมีส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนรู้ 6.3 การเขา้ ชน้ั เรียน 6.4 ความสามารถในการตอบคำถาม 6.5 การทำแบบฝึกหัดท้ายบท 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

31 บทที่ 3 การวิเคราะห์พฤตกิ รรมเพ่อื วัดและประเมินผล การเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความสำคัญอันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในอดีตและ เป็นหลักฐานที่สำคัญในการศึกษาความเป็นมาของชาติ เป็นเครื่องมือสื่อสารในชีวิตประจำวัน และ เป็นเครอ่ื งมอื ถ่ายทอดวฒั นธรรม ด้วยลักษณะหรือธรรมชาติของวชิ าภาษาไทยแบง่ ออกเป็นลักษณะวิชา ประเภททักษะและลักษณะวิชาประเภทเนื้อหา ในการจัดการเรียนการสอนจึงต้องกำหนดพฤติกรรม การเรียนรู้ ทั้ง 3 ด้าน นอกจากนี้ยังต้องวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์จุดประสงค์เชิง พฤติกรรมเพอ่ื ประโยชนใ์ นการสอน การสอบ หรือการวัดและประเมินผล 1. ความสำคญั ของภาษาไทย อฐั พล อินต๊ะเสนา (2561) ได้กล่าวถงึ ความสำคัญของภาษาไทยไวด้ ังนี้ 1. ภาษาไทยเป็นเครื่องแสดงความรุ่งเรืองในอดีตและเป็นหลักฐานที่สำคัญในการศึกษา ความเป็นมาของชาติ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในโลก ถ้าจะพิจารณาถึงวิวัฒนาการตลอดจนความก้าวหนา้ ในดา้ นวตั ถแุ ละจติ ใจ จะเห็นได้วา่ มนษุ ยเ์ ป็นสตั ว์โลกท่ีมีความฉลาดและมีปญั ญากว่าส่ิงมีชีวติ อ่ืน ๆ และ สิ่งที่แสดงความรุ่งเรืองทางปัญญาของมนุษย์ก็คือ ภาษา ซึ่งมีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน มีภาษาพูด เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารความคิด เพื่อแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ตามหลักฐานที่ปรากฏในยุคประวัติศาสตร์ ชาวอียิปต์เป็นชนชาติแรกที่ประดิษฐ์ตัวอักษรใช้แทนคำพูดและมีการเขียนอักษรด้วยภาพ สำหรับ การเขียนหนังสือ อียิปต์รู้จักทำกระดาษและน้ำหมึกใช้ตั้งแต่โบราณ ส่วนในสมัยสุโขทัย พอ่ ขนุ รามคำแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นในปี พ.ศ. 1826 การมีภาษาใชน้ ้ีเป็นทางท่ีทำให้คนในอดีตได้ บันทึกความร่งุ เรอื งไว้และเปน็ หลักฐานสำคัญท่ีทำให้คนรุ่นหลังไดศ้ ึกษาความเปน็ มาของชาตไิ ด้ 2. เป็นเครอ่ื งมือสื่อสารในชวี ิตประจำวนั คนไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ การที่มีภาษาเป็นของเราเองเช่นนี้ ทำให้ การสื่อสารระหว่างคนในชาติไม่มีปัญหา เพราะมีภาษาช่วยสื่อความหมาย ความคิด ความรู้สึก และ ความเข้าใจให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะส่งข่าวสาร ศึกษาเล่าเรียน ประกอบอาชีพ ก็ใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องแสดงความหมาย ความคิด ความรู้สึกทั้งสิ้น การใช้ภาษาเดียวกันเป็นเครื่อง ผูกพันความรู้สึกของมนุษย์ให้แน่นแฟ้นยิ่งกว่าสิ่งอื่น เพราะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ก่อให้เกิดความสามัคคี เป็นผลดีต่อการปกครองประชาชนให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำให้ ประเทศไทยคงความเปน็ ชาตไิ วไ้ ด้ ความสำคัญของภาษาไทยดังกล่าว เป็นสิ่งที่คนไทยควรตระหนักว่าเรามีหน้าที่รักษา ภาษาไทยให้คงอยู่ เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องใช้ภาษาให้ถูกต้อง โดยเฉพาะครูภาษาไทยควรถือว่า การสอนภาษาไทยเป็นวิธีการสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

32 และกฎเกณฑ์ของภาษาไทยที่ผู้ใช้ภาษายึดถือเป็นหลักร่วมกันทั้งชาติ เพื่อจะได้ช่วยกันรักษาภาษาไว้ ไม่ผนั แปรไปตามบคุ คลหรือสิง่ แวดล้อมรวดเร็วเกนิ ไปนกั จนกระทง่ั ภาษาขาดระเบียบแบบแผนไป 3. เปน็ เครอ่ื งมือถ่ายทอดวฒั นธรรม ชาติไทยเรามีวัฒนธรรมเก่าแก่ซึ่งถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสูอ่ ีกรุ่นหนึ่งสืบเนือ่ งกันไป โดยไม่ขาดสายเปน็ เวลาหลายรอ้ ยปี เป็นท่ีนา่ ภาคภูมใิ จยิ่งนักที่วฒั นธรรมอนั มีคณุ คา่ เหลา่ นั้นยังคงยืนยง คงทนมาได้จนถึงคนไทยรุ่นปัจจุบัน การที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะเรามีภาษาไทยเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ถา่ ยทอดวฒั นธรรมนั่นเอง “วฒั นธรรมจะยืนยงและมีความเจริญงอกงามได้ก็อยู่ที่มนุษยม์ ีภาษา ถ้าขาด ภาษาเสียอย่างเดียว วัฒนธรรมก็หมดสภาพความก้าวหน้า เพราะการถ่ายทอดวัฒนธรรมให้แก่กัน ในสังคมจะทำกนั ได้ ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่มภี าษาสำหรับส่ือสารความรู้และความรู้สึกใหแ้ ก่กันได้” ข้อความนี้ ได้แสดงถงึ ความสำคัญของภาษาไว้อย่างแจ่มชัดจนไม่ตอ้ งอธบิ ายเพิ่มเติมอกี จากที่กลา่ วมาทั้งหมดน้ี แสดงใหเ้ ห็นว่า ภาษาไทยมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งครูสอนภาษาไทย ควรตระหนัก และหาวธิ ถี า่ ยทอดทีด่ หี รอื ชแี้ นะให้ศษิ ยเ์ หน็ คณุ ค่าของภาษาไทย 2. ลกั ษณะวิชาภาษาไทย วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2553) ได้กลา่ วถงึ ลกั ษณะของวชิ าภาษาไทยทส่ี ำคญั ไว้ ดงั นี้ ลักษณะหรือธรรมชาติของวิชาภาษาไทยแบ่งออกเป็นลักษณะวิชาประเภททักษะและ ลักษณะวชิ าประเภทเน้อื หา ดังนี้ 1. ลักษณะวิชาภาษาไทยประเภททักษะ ลักษณะวิชาประเภทนี้ ได้แก่ วิชาที่ไม่มี เนื้อหาเป็นของตนเองเฉพาะและเป็นวิชาที่ผู้เรียนจะต้องแสดงความสามารถโดยอัตโนมัติหรือมีความ คล่องแคล่วในการปฏิบัติในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้จะปรากฏในวิชา ภาษาไทย ในเรอ่ื งของการทำกจิ กรรมด้านการฟงั พดู อา่ น และเขียน หรอื การใชภ้ าษา 2. ลักษณะวิชาภาษาไทยประเภทเนื้อหา ลักษณะวิชาประเภทนี้ ได้แก่ วิชาที่กำหนด หรือระบุคำบรรยายเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง วิธีการและความคิดรวบยอด ตลอดจนกำหนดสูตร กฎ หรือ หลักวิชาที่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามทฤษฎีต่าง ๆ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้จะปรากฏในวิชา ภาษาไทยในเรื่องเกี่ยวกับหลักหรือกฎเกณฑ์ในภาษาที่มีอยู่ในวิชาหลักภาษา หลักและวิธีการที่จะ นำมาใช้ปฏิบัติในการทำกิจกรรมด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน รวมทั้งเนื้อหาในวรรณคดี ประวัติ วรรณคดี วรรณกรรม และงานประพันธห์ รอื งานเขียนทีห่ ลักสตู รกำหนดใหเ้ รียน ในการวัดและประเมินผลสำหรับวิชาภาษาไทยที่มีลักษณะวิชาประเภททักษะ ซึ่งไม่มี เนื้อหากำหนดไว้แน่นอนตายตัวเหมือนลักษณะวิชาประเภทเนื้อหา สามารถใช้เนื้อหาประเภทเดียวกัน หรือเนื้อหาที่มีลักษณะทำนองเดียวกันจากเรื่องหรือแหล่งอื่น ๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อหาที่ครูหรือ ผู้สอนใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน หรือเนื้อหาจากหนังสือเรียนที่หลักสูตรกำหนดให้เป็นสื่อสำหรบั ใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอนเสมอไป เช่น การวัดผลเรื่องการฟัง ซึ่งคำอธิบายรายวิชาในตอนท่ี เกี่ยวกับการฟังระบุไว้ว่า “ฝึกการฟังโดยฟังคำบรรยายโอวาท พระธรรมเทศนา การอภิปราย คำปราศรัย แถลงการณ์ การสนทนา ข่าว บทความ บทวิจารณ์ เพื่อให้สามารถจับใจความสำคัญและ ใจความสำคัญรอง บอกเจตนาผู้ส่งสาร และวิเคราะห์วิจารณ์สิ่งที่ได้ฟัง” (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ซึ่งจากคำอธิบายรายวิชาดังกล่าวนี้เป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ได้ว่า “เมื่อผู้เรียนฟังคำบรรยาย โอวาท 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

33 พระธรรมเทศนา การอภิปราย คำแถลงการณ์ การสนทนา ข่าว บทความ บทวิจารณ์แล้วสามารถจับ ใจความสำคัญและใจความสำคัญรอง บอกเจตนาของผสู้ ่งสาร และวิเคราะห์วจิ ารณ์สิ่งทฟ่ี ังได้” จากจุดประสงค์การเรียนรู้ดังกล่าวนี้ เมื่อนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนจะต้องกำหนดให้ผู้เรียนไดม้ ีโอกาสฟังเนื้อหาในคำบรรยาย โดยผู้สอนเป็นผู้กำหนดคำบรรยายให้ ผู้เรียนฟัง แล้วให้ผู้เรียนได้ฝึกจับใจความสำคัญจากเนื้อหาในการฟังคำบรรยายนั้น เมื่อจะวัดผลเรื่องน้ี ซึ่งถ้าดูจากจุดประสงค์การเรียนรู้จะเห็นว่าผู้สอนต้องการทราบว่าผู้เรียนสามารถจับใจความสำคัญจาก การฟังคำบรรยายได้หรือไม่ โดยที่จะเป็นคำบรรยายเรื่องใดก็ได้ไม่จำกัดอยู่เฉพาะคำบรรยายที่ผู้สอน กำหนดใหฟ้ ังในกจิ กรรมการเรยี นการสอน ดังน้ันเน้อื หาทน่ี ำมาใชว้ ัดจึงควรเปน็ เนอ้ื หาในคำบรรยายที่ไม่ ซ้ำกับเนื้อหาในคำบรรยาย ซึ่งผู้สอนกำหนดให้ผู้เรียนฝึกในกิจกรรมการเรียนการสอนแล้วจึงต้ังคำถาม วัดพฤติกรรมการจับใจความสำคัญตามที่กำหนดไว้ในคำอธิบายรายวิชาหรือจุดประสงค์การเรียนรู้ (สจุ รติ เพียรชอบ และสายใจ อนิ ทรัมพรรย์, 2538) ท้งั นเ้ี พราะเร่ืองการฟงั ท่ียกตัวอย่างมานั้นมีลักษณะ วชิ าประเภททักษะ ซึง่ ไมม่ เี น้ือหาเปน็ ของตนเองเฉพาะแนน่ อนตายตัว จึงสามารถใชเ้ น้ือหาประเภทหรือ ลักษณะทำนองเดียวกับเรื่องอื่นวัดแทนได้ และอีกประการหนึ่งเนื่องจากในรายวิชานี้ระบุไว้ว่าให้ สามารถจับใจความสำคัญได้ถ้าใช้เนื้อหาที่ผู้สอนกำหนดในกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเฉพาะ ถ้าตั้งคำถามวัดพฤติกรรมเดียวกัน โดยใช้คำที่เหมือนหรือคล้ายกับตอนฝึกผู้เรียนในกิจกรรมการเรียน การสอนก็จะทำให้ผู้เรียนทีม่ ีความจำดี สามารถจำได้และตอบถูก โดยไม่ต้องใช้ความคิดในลักษณะของ การจับใจความสำคัญ แสดงว่าผู้เรียนเพียงแค่จำได้เท่านั้น ซึ่งก็เท่ากับว่าไม่สามารถวัดพฤติกรรม การจับใจความสำคัญตามที่ระบุไว้ในคำอธิบายรายวิชาหรือจุดประสงค์การเรียนรู้ในหลักสูตรได้ ทำให้ การวัดผลไม่เป็นไปตามจุดประสงค์หรือในตัวอย่างการวัดผลเรื่องการอ่านในรายวิชาเดียวกันนี้ โดยเฉพาะตอนที่คำอธิบายรายวิชาระบุไว้ว่า “...อ่านหนังสือหรืองานเขียนต่าง ๆ ทั้งบันเทิงคดีและ สารคดี เพื่อให้สามารถจับใจความสำคัญ และใจความสำรอง บอกเจตนาของผู้ส่งสารและวิเคราะห์ วิจารณ์สิ่งที่อ่าน” (สำนักวิชาการและมาตรฐานทางการศึกษา, 2557) ซึ่งกำหนดเป็นจุดประสงค์ การเรียนรู้ได้ว่า “เมื่อได้อ่านหนังสือหรืองานเขียนต่าง ๆ ทั้งบันเทิงคดีและสารคดีแล้ว ผู้เรียนสามารถ จับใจความสำคญั และใจความสำคัญรอง บอกเจตนาของผสู้ ง่ สารและวเิ คราะห์วิจารณส์ ิ่งทอี่ ่านได้” ดังนั้น เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนผู้สอนจะต้องกำหนดให้ผู้เรียนอ่านเรื่องหรือ ขอ้ ความจากหนังสือเรยี นและอา่ นงานเขียนตา่ ง ๆ ทั้งบันเทิงคดีและสารคดีท่ีเป็นเร่ืองนอกเหนือจากใน หนังสือเรียนเล่มนี้ แล้วให้ฝึกเรื่องการจับใจความสำคัญตามที่ได้ระบุไว้ในคำอธิบายรายวิชาหรือ จดุ ประสงค์การเรียนร้เู ม่ือจะวัดผล ซ่งึ ถา้ พิจารณาจากจุดประสงค์การเรียนรจู้ ะเหน็ วา่ ต้องการทราบว่า ผู้เรียนสามารถจับใจความสำคัญจากการอ่านข้อความหรือเรื่องในหนังสือหรืองานเขียนต่าง ๆ ท้งั บันเทงิ คดแี ละสารคดที ั่วไป ไม่เฉพาะจากหนังสือเรยี นซ่ึงเปน็ หนังสือเรยี นทหี่ ลักสูตรกำหนดเนื้อหาไว้ ให้เป็นตัวอย่างสำหรับการฝึกอ่านเพื่อจับใจความสำคัญเท่านั้น ดังนั้นเนื้อหาที่จะนำมาวัดจึงอาจเป็น เนื้อหาในหนังสือหรืองานเขียนต่าง ๆ ทั้งบันเทิงคดีและสารคดีทั่วไป หรือในกรณีที่ใช้เนื้อหาเรื่อง เดียวกันก็จะต้องไม่ถามตอนที่ได้ฝึกจับใจความสำคัญไปแล้ว ในกิจกรรมการเรียนการสอนหรือ ถ้าจะวัดผลโดยใช้เนื้อหาจากหนังสือเรียนก็ควรจะเลือกเนื้อหาที่ไม่ซ้ำกับเรื่องหรือตอนที่นำไปใช้ฝึก การจับใจความสำคัญในกจิ กรรมการเรียนการสอนแล้วเช่นเดียวกัน แต่อย่างไรกด็ ี ถ้าหลีกเล่ียงได้ก็ควร หลีกเลย่ี ง (สทุ ธภา บุญแซม, 2553) 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

34 วิชาภาษาไทยที่มลี ักษณะวิชาประเภทเนื้อหาเฉพาะในสว่ นที่ไม่ใช่หลกั วิชา กฎเกณฑ์หรือ ข้อเทจ็ จรงิ เช่น หลกั หรอื กฎเกณฑใ์ นหลักภาษาหรือเนื้อเรื่องในหนงั สือวรรณคดี เป็นต้น เมื่อจะวัดผลก็ สามารถใชเ้ นือ้ หาประเภทหรือลักษณะทำนองเดียวกนั จากเรื่องอ่นื ๆ มาวัดได้ ไมจ่ ำเป็นต้องใช้เน้ือหาที่ หลักสูตรกำหนดไว้ให้ในหนังสือเรียนวัดเสมอไป ดังตัวอย่างการวัดผลเรื่อง ประโยคในหลักภาษา ซึ่งสามารถยกตัวอย่างประโยคที่คิดแต่งขึ้นเองหรือจากหนังสือ งานเขียนหรือสื่อมวลชนชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในหนังสือเรียนมาใช้ถามได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวอย่างในหนังสือเรียน หรือที่เคยพูดหรือเคยยกตัวอย่างในกิจกรรมการเรียนการสอนมาถามเสมอไป โดยเฉพาะถ้าไม่ต้องการ จะถามวัดพฤติกรรมด้านความจำ หรือถ้าจะถามเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในหนังสือวรรณคดี เช่น ถามให้ วิเคราะหล์ ักษณะตัวละครก็ไม่จำเป็นต้องใหว้ เิ คราะหล์ ักษณะตัวละครจากเร่ือง รามเกียรติ์ พระอภัยมณี อิเหนา ที่มีในหนังสือเรียนวรรณคดีและผู้สอนได้เคยวิเคราะห์ให้ฟังแลว้ หรือแม้ตัวละครในหนงั สอื อ่าน นอกเวลา ซึ่งผู้สอนอาจจะได้มีโอกาสนำมาวิเคราะห์ลักษณะตัวละครเป็นตัวอย่างในกิจกรรมการเรียน การสอนในชั้นเรียนแล้วก็ไม่ควรนำมาใช้ในการวัดผล ควรจะใช้เนื้อหาลักษณะเดียวกันซึ่งได้แก่ เนื้อหาอันเป็นสถานการณ์ที่มีพฤติกรรมหรือรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับตัวละครจากเรื่องหรือแหล่ง อื่น ๆ มาใช้วดั แทน เป็นต้น (สำนกั วชิ าการและมาตรฐานทางการศกึ ษา, 2557) เห็นได้ว่า แม้วิชาภาษาไทยท่ีมีลักษณะวิชาประเภทเนื้อหา ซึ่งมีเนื้อหาเป็นของตนเอง กำหนดไว้ให้แน่นอนก็ไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อหาของมันเองวัดเสมอไป อาจใช้เนื้อหาประเภทหรือลักษณะ ทำนองเดียวกันจากเรื่องอื่นหรือแหลง่ อื่นแทนได้ในบางส่วน เช่นเดียวกับวิชาภาษาไทยที่มีลักษณะวิชา ประเภททักษะ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าลักษณะหรือธรรมชาติของวิชาภาษาไทยตามที่ได้กล่าวถึงข้างต้นน้ัน สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางกำหนดเนื้อหาสำหรับสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการวัดและประเมินผลได้ เปน็ อยา่ งดี 3. การวเิ คราะห์พฤตกิ รรมเพอ่ื วัดและประเมินผลการเรยี นวิชาภาษาไทย พฤติกรรมการเรียนรู้ของบุคคลถือเป็นจุดประสงค์สำคัญของการศึกษา พฤติกรรมดังกล่าวน้ี จะปรากฏอยู่ในจุดมุ่งหมายของการศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่ในจุดมุ่งหมายของการสอน ระดับบทเรียนนั้น ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตรง ดังนั้นครูจึงควรรู้จักลักษณะของพฤติกรรมดังกล่าวนี้เป็นอย่างดี ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ พฤติกรรมลักษณะต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในจุดมุ่งหมายของการศึกษา แล้วสรุปออกมาได้ว่าเป็นพฤติกรรม ลักษณะใดหรือด้านใด เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนตลอดจนการวัดและประเมินผล (วมิ ลรัตน์ สนุ ทรโรจน์, 2553) ประเภทของพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ พฤติกรรมการเรยี นรู้ แบง่ ออกเป็น 3 ด้าน คอื 1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมอง ได้แก่ พฤติกรรมประเภทความรู้ความคิด หรือสติปัญญา เช่น ความรู้ ความเข้าใจ การวิเคราะห์ และ การประเมินค่า เป็นต้น พฤติกรรมด้านนี้ถือเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการศึกษา และยังถือเป็นเกณฑ์ สำคัญในการตดั สนิ ความสามารถ เกง่ -อ่อน ฉลาด-โง่ ของบคุ คลอกี ดว้ ย 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

35 2. ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ ได้แก่ พฤติกรรมประเภทความรูส้ กึ หรอื อารมณ์ เช่น เจตคติที่ดีงาม ค่านิยมที่ถูกต้องหรือลักษณะนิสัยที่ดีงาม เป็นต้น พฤติกรรมด้านนี้ก็สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตัวบุคคลเช่นเดียวกัน เพราะคุณภาพของบุคคลอันมีผลต่อส่วนรวมหรือประเทศชาตินั้น มิได้เกิดจากความสามารถทางสมอง เพียงดา้ นเดียว แต่จะตอ้ งรวมถงึ การมคี ุณธรรมอยู่ในตวั ด้วย 3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ความสามารถในการใชส้ ่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายตามท่ีสมองสงั่ หรือใช้อย่างมจี ุดมุ่งหมาย พฤติกรรมด้านน้ี เกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายให้เป็นไปตามความคิด หรืออย่างมีแบบแผนและขั้นตอน ได้แก่ การปฏิบัติงานทุกชนิด เช่น งานที่ใช้ตา หู มือ และการเคลื่อนไหวรวมทั้งงานที่ต้องใช้ส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายหลายสว่ นประกอบกนั เช่น การพูด การแสดงท่าทางตา่ ง ๆ เป็นตน้ พฤติกรรมการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน ดังกล่าวข้างต้น สามารถพัฒนาให้งอกงามข้ึนได้ถา้ ผูเ้ รียน รจู้ ักลักษณะของพฤติกรรมต่าง ๆ เหลา่ น้ีอย่างแทจ้ รงิ ยอ่ มอำนวยประโยชน์ทั้งในด้านการเรียนการสอน และการวัดผล โดยเฉพาะในด้านการวัดผลนั้นทำให้สามารถเลือกเครื่องมือที่จะใช้ในการวัดได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสม พฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน ดังกล่าวนี้อาจจะปรากฏอยู่ในจุดมุ่งหมายของการศึกษาได้ 2 ลักษณะ คอื 1. พฤติกรรมแฝง (Latent Behavior) เป็นพฤติกรรมที่ปรากฏในลักษณะแฝงเร้น ไม่สามารถสังเกตเห็นได้โดยตรง ซึ่งจะระบุในรูปของคำต่อไปนี้ เช่น ความรู้ ความเข้าใจ การวิเคราะห์ ความสนใจ ความซาบซึง้ เจตคติ และทกั ษะ เปน็ ต้น 2. พฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ (Observable Behavior) เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมา ให้สังเกตเห็นได้โดยตรง ซึ่งระบุในรูปของคำที่บ่งถึงการกระทำ เช่น บอก อธิบาย เขียน พูด แสดง เป็นตน้ จุดมุ่งหมายของการศกึ ษาในบางระดับจะกำหนดไว้ในรปู ของพฤติกรรมแฝง บางระดับก็กำหนด ไว้ในรูปของพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ และบางทีก็กำหนดไว้ทั้ง 2 ลักษณะ ถ้ากำหนดในรูปของ พฤตกิ รรมแฝงก็มกั จะต้องตคี วามออกมาว่า พฤติกรรมแฝงนั้น ๆ ควรจะตอ้ งมีการแสดงออกอย่างไร นั่น ก็คือจะต้องกำหนดให้เป็นพฤติกรรมทีส่ ังเกตได้ เพื่อนำมากำหนดในรูปของพฤติกรรมที่สามารถกระทำ หรือปฏิบัติให้เห็นได้โดยตรงอีกทีหนึ่ง เราเรียกจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่กำหนดพฤติกรรมในลักษณะ ดังกล่าวนี้ว่า จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมแตกต่างจากจุดมุ่งหมายหรือ จุดประสงค์ชนิดอื่น ซึ่งมักจะกำหนดพฤติกรรมการเรียนรู้ไว้ในรูปธรรม ลักษณะสำคัญของจุดประสงค์ ชนิดนี้ก็คือ เน้นการแสดงออกที่ครูสามารถมองหรือสังเกตได้ จนสามารถบอกได้ว่านักเรียนมีลักษณะ ตรงกับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจึงนำมาใช้ช่วยในการวัดและประเมินผลได้ เป็นอยา่ งดี (นาวินี หลำประเสรฐิ และคณะ, 2555) 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

36 4. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 4.1 ความหมายของจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม (Behavioral Objectives) คือ จุดมงุ่ หมายในการเรียนการสอน ที่ถูกกำหนดขึ้น เป็นข้อความอันกล่าวถึงการกระทำหรือพฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ของนักเรียน ซึ่งครตู ้องการหรอื คาดหวังใหเ้ กิดขนึ้ เมอ่ื ส้นิ สุดการเรยี นการสอนในเรอ่ื งหรอื หนว่ ยนนั้ ๆ แล้ว 4.2 สว่ นประกอบของจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมประกอบด้วยข้อความทมี่ สี ว่ นสำคัญ 3 ส่วน คอื 4.2.1 พฤติกรรมที่คาดหวังหรือพฤติกรรมปลายทาง (Terminal or Expected Behavioral) เป็นขอ้ ความสว่ นทีก่ ล่าวถงึ การกระทำหรือพฤติกรรมของนักเรยี นอนั สามารถสงั เกตเห็นได้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมท่ีครูคาดหวังหรือปรารถนาจะใหเ้ กดิ ขึน้ ในตัวนักเรียนหลงั จากจบการเรียนการสอนใน หน่วยใดหรือเร่อื งใดเรื่องหนึ่งแลว้ โดยครจู ะต้องกำหนดลงไปใหช้ ดั เจนวา่ หลงั จากจบการเรยี นการสอน เร่อื งน้นั หรือหนว่ ยนน้ั แล้ว นักเรียนจะสามารถ “ทำ” อะไรหรือแสดงพฤติกรรมอะไรได้บา้ ง เช่น - บอกความแตกต่างระหว่างการเขียนแบบบรรยาย การเขียนแบบพรรณนา และเขียนเรอ่ื งสัน้ ได้ - เขา้ ร่วมฟงั การอภปิ รายท่ีทางโรงเรียนจดั ขน้ึ คำที่ใช้ในการกำหนดพฤติกรรมที่คาดหวังนี้ เป็นคำที่บ่งถึงการกระทำโดยตรง เช่น บอก ตอบ เขียน บรรยาย อธิบาย จำแนก ให้คำจำกัดความ แปล เปรียบเทียบ ออกแบบวิจารณ์ ประเมนิ ยกตัวอยา่ ง ฯลฯ พฤติกรรมด้านทักษะพิสัยสำหรับพฤติกรรมด้านนี้ โดยความหมายก็เป็นการ กระทำอยู่แล้ว เช่น สร้าง ปั้น ก่อ แต่ง พูด ประดิษฐ์ ออกแบบ ซ่อม ประกอบ ปรุง ทำ ฯลฯ การเขียน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของพฤติกรรมด้านน้ี จงึ ทำไดส้ ะดวกกว่าพฤติกรรมดา้ นอ่ืน (Good, 1972) 4.2.2 สถานการณ์ (Situation or Condition) เป็นข้อความส่วนที่กำหนดให้เป็น สภาวะหรือเงอื่ นไข ซง่ึ เป็นสิ่งเรา้ ทีจ่ ะกระตนุ้ ให้นกั เรยี นแสดงพฤตกิ รรมที่คาดหวังออกมา เชน่ - เมอ่ื กำหนดข้อความสัน้ ๆ ให้ 1 ขอ้ ความ - เมอื่ กำหนดหวั ขอ้ เรอ่ื งให้ 2 หวั ขอ้ - เมื่อกำหนดคำประพันธ์ประเภทฉันทใ์ ห้ 3 ชนดิ สถานการณ์ที่กำหนดให้นี้อาจเป็นเรื่องราว เนื้อหา อุปกรณ์ ข้อมูลต่าง ๆ ฯลฯ ซงึ่ นกั เรียนเคยประสบมาในระหว่างเรยี น หรือครูกำหนดขนึ้ ใหมใ่ หเ้ หมือนหรือแปลกใหม่จากเดิมก็ได้ 4.2.3 เกณฑ์ (Criteria) เป็นข้อความส่วนที่กำหนดปริมาณหรือระดับความสามารถใน การแสดงพฤติกรรมที่คาดหวังของนักเรียนออกมาตามที่ครูคิดว่าควรจะเป็น นั่นคือจะต้องมีเกณฑ์ บง่ ไว้วา่ ในสถานการณท์ ี่กำหนดใหน้ น้ั นกั เรยี นจะสามารถแสดงพฤติกรรมที่คาดหวังออกมาได้ตามท่ีครู ต้องการมากน้อยแค่ไหน จึงจะเป็นที่พอใจและยอมรับว่านักเรียนได้เรียนรู้และบรรลุถึงพฤติกรรมที่พึง ปรารถนานั้นแล้ว ดงั ตัวอย่างจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมในส่วนที่เปน็ เกณฑด์ ังน้ี - ได้ถกู ตอ้ งเหมาะสม - ไดถ้ กู ตอ้ งทกุ คำ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

37 - ได้ภายในเวลาท่กี ำหนด การกำหนดเกณฑ์ดังกล่าวนี้ย่อมอยู่ในดุลพินิจของครูผู้สอนเป็นสำคัญ ครูจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ควบคู่กันไปด้วย เช่น ระดับความสามารถของกลุ่มนักเรียน ความยากง่ายของเนื้อหา ความสำคญั ของเน้ือหา ลักษณะของวิชา และหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นต้น ถ้าครูตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำเกินไปก็เท่ากับกำหนดมาตรฐานการยอมรับไว้ต่ำ นักเรียนย่อมปฏิบัติตามเกณฑ์ได้ โดยง่าย เกณฑน์ น้ั ก็แทบจะไมม่ คี วามหมายอะไรเลย ครูจะแน่ใจได้อยา่ งไรวา่ นักเรยี นไดเ้ รียนรู้และบรรลุ ถงึ พฤตกิ รรมที่พึงปรารถนาแลว้ แตถ่ า้ ตงั้ เกณฑ์ไวส้ ูงเกินไป นกั เรยี นกย็ อ่ มจะไม่สามารถปฏิบัติถึงเกณฑ์ ได้ เกณฑ์นั้นก็ย่อมไม่มีความหมายเช่นเดียวกัน เพราะครูจะแน่ใจได้อย่างไรว่านักเรียนที่ไม่สามารถ ปฏิบัติถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้สูงมากเช่นนี้จะเป็นผู้ไม่ได้เรียนรู้และงอกงามขึ้นจนถึงขีดความสามารถแสดง พฤติกรรมที่พึงปรารถนาออกมาได้ ดังนั้นการกำหนดเกณฑ์ในจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจึงเป็นสิ่งท่ี ครูผู้สอนพงึ กระทำดว้ ยความระมดั ระวังเปน็ อยา่ งมาก (Kerlinger, 1971) ตัวอยา่ งจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เมื่อกำหนดประโยคให้ 3 ประโยค นักเรียนสามารถบอกว่าประโยคใดเป็นประโยค ความซ้อนได้ถูกต้อง เมื่อกำหนดหัวข้อเรื่องวันปีใหม่ให้ นักเรียนสามารถเขียนเป็นร้อยกรองประเภท โคลงสี่สุภาพได้ตรงความหมาย (ของหัวข้อเรื่องที่กำหนด) และถูกต้องตามลักษณะแบบแผนบังคับ อย่างน้อย 1 บท 5. การนำจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมไปใชใ้ นการวัดและประเมนิ ผล เป้าหมายที่สำคัญในการกำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ก็เพื่อประโยชน์ในการสอนและ การสอบหรือการวัดและประเมินผล จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจะช่วยให้ครูทราบว่าเรียนการสอนได้ บรรลุผลสมดังความมุ่งหมายหรือยัง บรรลุผลเพียงใด มีส่วนใดบ้างที่ยังบกพร่อง จะได้จัดการสอน ซ่อมเสรมิ และวดั ผลซ้ำ ส่วนใดบรรลุผลแล้วจะได้ไมต่ ้องกระทำซ้ำอกี เปน็ การเสียเวลา การเรียนการสอน ทุกครั้งจะดำเนินไปอย่างมีจุดหมาย ไม่เลื่อนลอย นักเรียนมีโอกาสเตรียมตัวล่วงหน้าและสามารถ มองเห็นข้อบกพร่องที่ตนควรจะต้องแก้ไข ผู้ปกครองเองก็จะมีโอกาสช่วยเตรียมตัวเด็กได้ถูกทาง ส่วนครูก็จะเตรียมการสอนไดง้ ่ายขึ้นและตรงจดุ ทั้งสามารถประเมินผลการสอนของตนได้ถกู ต้องย่ิงข้ึน ตลอดจนสามารถปรับปรงุ การเรยี นการสอนให้ดีขนึ้ ได้ จะเห็นว่า การสอนและการวดั ผลโดยอาศัยจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรมเปน็ แนวทางน้ัน เปน็ ส่ิงท่ี แยกกันไม่ออก จะต้องดำเนินควบคู่กนั ไป จึงกล่าวได้วา่ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมจะอำนวยประโยชน์ท้ัง ในด้านการสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผลในด้านการวัดและประเมินผล การนำจุดประสงค์เชิง พฤตกิ รรมไปใชม้ ีลกั ษณะดงั น้ี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) 1. ใช้เปน็ แนวทางเพ่ือกำหนดพฤติกรรมอนั เกิดจากการเรยี นรู้เร่ืองที่จะวดั และประเมินผล ได้อย่างชัดเจน เช่น ในการเรียบเรียงคำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ ครูก็กำหนดลงไปได้เลยว่า นักเรียนควรจะเกิดพฤติกรรมใดหรือควรจะทำอะไรได้บ้าง เช่น ควรจะรู้ลักษณะแผนผังบังคับของ โคลงสี่สุภาพ โดยสามารถแสดงออกด้วยการบอกลักษณะแผนผังบังคับของโคลงสี่สุภาพได้ถูกต้อง 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

38 สามารถนำความรู้เรื่องนี้ไปใช้ได้ โดยสามารถแสดงออกด้วยการแต่งโคลงสี่สุภาพได้ถูกแบบแผนบังคับ เปน็ ตน้ 2. ใช้เป็นแนวทางในการช่วยปรับปรุงการเรียนการสอนหลังการวัดและประเมินผล ผลที่ได้จากการวัดและประเมินผล ซึง่ ดำเนินตามแนวทางของจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมที่วางไว้จะช้ีบอก ไดเ้ ลยวา่ การเรียนการสอนแตล่ ะครงั้ ดี สมบูรณแ์ ล้ว หรือมจี ดุ บกพรอ่ งทไ่ี หนอย่างไร บกพรอ่ งที่การสอน ของครูหรือการเรียนของนักเรียน หรือเนื่องจากสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งครูจะต้องใช้วิจารณญาณพิจารณา หาเหตุผลเอาเอง แล้วหาวิธีแก้ไขให้ดีขึ้น เช่น หลังจากการเรียนโคลงสี่สุภาพจบแล้ว ครูก็ตั้งคำถามวัด พฤติกรรมตามที่กำหนดไว้ในข้อ 1 ผลปรากฏว่า นักเรียน ร้อยละ 80 ทำได้ครบถ้วนถูกต้องหมด ก็แปลผลได้ว่าการสอนของครูอยู่ในเกณฑ์ดี มีนักเรียนเรียนไม่ได้ตามเกณฑ์ที่วางไว้เพียง ร้อยละ 20 ความบกพร่องน่าจะอยู่ที่ตัวนักเรียน ในกรณีนี้อาจต้องจัดการสอนซ่อมเสริมให้แก่นักเรียนจำนวน ร้อยละ 20 นั้น และบางทีครูก็อาจต้องเปลี่ยนแปลงวิธีสอนใหม่สำหรับนักเรียนกลุ่มนี้ด้วย เป็นต้น หรือในบางกรณีการที่นักเรียนทำไม่ได้อาจเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมทางบ้าน หรือทางโรงเรียน เป็นต้น ในกรณีนี้ครูจะต้องใช้วิจารณญาณของตนพิจารณาหาสาเหตุที่แท้จริง และดำเนินการแก้ไขให้ตรงเหตุ เป็นราย ๆ ไป แล้วอาจลองวัดและประเมินผลในลักษณะเดิมหรือเปลี่ยนวิธี หรือใช้ข้อสอบใหม่ วัดอีกคร้งั เป็นต้น 3. ใช้เป็นแนวทางในการเลือกใช้เครื่องมือให้ตรงกับพฤติกรรมที่จะวัด พฤติกรรมท่ี คาดหวังซึ่งก็กำหนดไว้ในจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจะช่วยทำให้ทราบว่า เมื่อจะวัดและประเมินผลการ สอนเรื่องนั้น ๆ ควรจะใช้เครื่องมือชนิดใดจึงจะเหมาะสม เช่น ถ้าจุดประสงค์นั้นมีพฤติกรรมที่คาดหวัง เป็นพฤติกรรมด้านพุทธิพิสยั เครื่องมือที่ใชก้ ็จะต้องเปน็ ข้อสอบ ถ้าเป็นพฤติกรรมด้านจิตพิสัยเครื่องมอื ที่ใช้ก็จะเป็นพวกมาตราลิเคอร์ท (Likert Scale) มาตรการจัดอันดับคุณภาพ (Rating Scale) หรือถ้าเป็นพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เครื่องมือที่ใช้จะต้องเป็นแบบสำรวจรายการหรือการสังเกต เปน็ ต้น 4. ใช้ช่วยในการกำหนดขอบขา่ ยของเนือ้ หาและพฤติกรรมท่ีจะวัด ซงึ่ จะกอ่ ใหเ้ กิดการวัดท่ี ครอบคลุมครบถ้วน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมนั้นแยกย่อยละเอียดออกมาจากจุดประสงค์ใหญ่และ ไดจ้ ากเนอื้ หาในหลกั สตู รซงึ่ วเิ คราะหเ์ ป็นอย่างดีแลว้ เมือ่ นำมาใชใ้ นการวัดและประเมนิ ผลจงึ สามารถวัด เน้ือหาและพฤตกิ รรมได้ครอบคลมุ ครบถ้วน 5. ใช้เป็นแนวทางในการเขียนข้อสอบ เพราะจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจะบอกให้ทราบวา่ จะใช้เนื้อหาอะไรซึ่งจะอยู่ในตอนที่เป็นสถานการณ์ หรือแฝงอยู่ในตอนที่เป็นพฤติกรรมที่คาดหวัง ถ้าจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมนั้นไม่ได้กำหนดสถานการณ์ให้ก็จะดูได้จากพฤติกรรมที่คาดหวัง ซึ่งกล่าวรวมไว้ในพฤติกรรมนั้นแล้วว่าจะวัดพฤติกรรมอะไร และประการสุดท้ายเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมก็นำมาใช้ประกอบการพิจารณากำหนดน้ำหนักของเนื้อหา แต่ละหน่วย ในขอ้ สอบทัง้ ฉบบั น้ันได้ ตัวอยา่ งการนำจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมมาใชเ้ ป็นแนวทางในการออกข้อสอบ จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม : เมอ่ื เรียนเร่ืองโคลงส่สี ุภาพจบแลว้ นกั เรียนจะสามารถ ก. บอกลกั ษณะแผนผังบงั คบั ของโคลงส่ีสุภาพได้ถกู ต้อง ข. แตง่ โคลงสี่สภุ าพได้ถกู แบบแผนบังคับ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

39 จากจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ในข้อ ก และ ข นี้ นำไปตั้งคำถามหรือ เป็นข้อสอบวัดว่า นักเรียนจะสามารถทำตามพฤติกรรมหรือเกิดพฤติกรรมตามที่บ่งไว้ในข้อ ก และ ข ได้หรือไม่ ดงั น้ี ก. 1. โคลงสส่ี ุภาพมลี กั ษณะแผนผังบังคบั อย่างไร ก. 2. จงบอกลักษณะแผนผงั บังคบั ของโคลงสี่สุภาพมาให้ทราบ ก. 3. ข้อใดเป็นลกั ษณะแผนผงั บงั คบั ของโคลงส่สี ภุ าพทถ่ี ูกต้อง ฯลฯ ข. 1. จงแต่งโคลงสส่ี ุภาพเร่ืองอะไรกไ็ ด้ 1 บท ข. 2. จงเติมข้อความท่ีเหมาะสมและถูกต้องตามลกั ษณะบังคบั ของโคลงสี่สุภาพลง ในชอ่ งวา่ งทเี่ วน้ ไว้ ข. 3. ควรนำข้อความในข้อใด เติมลงในวรรคที่ 3 และ 4 ของโคลงสี่สุภาพ ท่กี ำหนดใหน้ ี้ 6. วิธีการวเิ คราะหพ์ ฤติกรรม พฤติกรรมการเรียนรู้ที่ปรากฏอยู่ในจุดมุ่งหมายของการสอนระดับบทเรียนมีความสำคัญ อย่างยิ่งต่อการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผลดังกล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นในตอนนี้จะได้ พิจารณาเฉพาะพฤติกรรมที่ปรากฏอยู่ในจุดมุ่งหมายของการสอนดังกล่าวแล้วเท่านั้น จุดมุ่งหมายของ การสอนมักจะเรียกชื่อว่า จุดประสงค์การสอน หรือจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งถูกกำหนดออกมาในรูป ของจุดประสงค์ทั่วไปและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม จุดมุ่งหมายของการสอนที่ถูกกำหนดไว้เรียบร้อย แล้วนี้ในบทเรียนเรื่องหนึ่ง ๆ บางทีมีทั้งจุดประสงค์ทั่วไปและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Kerlinger, 1986) เชน่ จุดประสงคก์ ารสอน จดุ ประสงคท์ ว่ั ไป เพ่ือใหน้ กั เรียน 1. เกิดความสนใจและเขา้ ใจถึงธรรมชาตขิ องการส่อื สาร 2. แลเหน็ ความสำคัญของการส่ือสารว่ามคี วามสำคญั เพียงใดในสงั คมมนษุ ย์ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม เพื่อให้นกั เรียน 1. สามารถเขียนประโยคจบความอนั บริบรู ณ์ 2. ช้ไี ด้วา่ ขอ้ ความไหนมิใช่ความอันบริบรู ณ์ และแกไ้ ขใหบ้ ริบรู ณ์ได้ ฯลฯ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม เมือ่ เรยี นบทเรยี นน้ีแลว้ นกั เรียนจะสามารถ 1. จำแนกเร่อื งในภาษาไทยทัง้ 3 เร่อื งได้ 2. เขยี นตัวอักษรทใ่ี ช้แทนเรอื่ งทง้ั 3 เร่อื งได้ ฯลฯ จะเหน็ ไดว้ ่า จดุ มงุ่ หมายของการสอนทถ่ี ูกกำหนดไวน้ ้จี ะมีเพยี ง 2 ลักษณะเทา่ นั้นคอื ลักษณะ ที่มีพฤติกรรมปรากฏในรูปของพฤติกรรมแฝง (จุดประสงค์ทั่วไป) และพฤติกรรมท่ีสังเกตเห็นได้ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

40 (จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมหรือวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม) ซึ่งเมื่อครูจะสอนหรือวัดผลก็จะต้องนำ จดุ มงุ่ หมายดังกล่าวนม้ี าพิจารณาเพื่อดำเนินการสอนและวัดผลให้ตรงตามจดุ มุง่ หมาย สำหรับในด้านการวัดผลครูจะต้องวิเคราะห์พฤติกรรมที่ปรากฏในจุดมุ่งหมายนั้น เพ่ือจะได้ นำมากำหนดชนิดและรูปแบบของเครื่องมือที่ใช้วัดได้ถูกต้องเหมาะสม ดังเช่น การวิเคราะห์พฤติกรรม ในจุดประสงคก์ ารสอนซ่ึงไดย้ กตวั อย่างไวข้ า้ งต้น ดงั น้ี (อฐั พล อนิ ต๊ะเสนา, 2564) จดุ ประสงคก์ ารสอน จดุ ประสงค์ทั่วไป เพื่อให้นักเรยี น 1. เกิดความสนใจและเขา้ ใจถึงธรรมชาตขิ องการสื่อสาร 2. แลเหน็ ความสำคญั ของการสอ่ื สารวา่ มคี วามสำคญั เพียงใดในสงั คมมนุษย์ พฤติกรรมที่ปรากฏในจุดประสงค์การสอนดังกล่าวนี้เป็นพฤติกรรมแฝง วิเคราะห์ได้ว่า เป็นพฤตกิ รรมการเรียนรดู้ ้านจิตพสิ ยั แยกย่อยออกมาเป็นพฤตกิ รรมด้านเจตคติ ดงั นั้นเครื่องมือท่ีวัดจึง ตอ้ งเป็นเคร่ืองมือวัดพฤติกรรมการเรียนรดู้ า้ นจิตพสิ ัย (ประสาท เนอื งเฉลิม, 2563) จุดประสงค์ที่กล่าวในลักษณะนี้สามารถแปลงให้เป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมได้ ซึ่งถ้าทำได้ ดังนี้ก็จะช่วยให้สามารถกำหนดชนิดและรูปแบบของเครื่องมือที่จะใช้วัดได้ง่ายขึ้นอีก การวิเคราะห์ พฤติกรรมที่กล่าวไปแล้วนั้นเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมในจุดประสงค์ทั่วไป สำหรับพฤติกรรมใน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมก็สามารถวิเคราะหไ์ ด้ในลกั ษณะเดยี วกนั ดงั ตวั อย่าง จดุ ประสงคห์ รือวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. สามารถเขียนประโยคจบความอนั บรบิ ูรณ์ 2. ชี้ได้วา่ ข้อความไหนมิใช่ความอนั บรบิ ูรณ์ และแก้ไขให้บรบิ รู ณไ์ ด้ 3. จำแนกเสยี งในภาษาไทยทงั้ 3 เสียงได้ 4. เขยี นตัวอักษรทีใ่ ช้แทนเสียงท้งั 3 เสียงได้ พฤติกรรมที่ปรากฏในจุดประสงค์การสอนลักษณะนี้เป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ วิเคราะห์ ได้ว่าเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย โดยที่ข้อ 1 วิเคราะห์ได้ว่าเป็นพฤติกรรมด้านการนำไปใช้ ข้อ 2 เป็นพฤติกรรมนำไปใช้ และข้อความส่วนแรกของข้อนั้นเป็นพฤติกรรมการวิเคราะห์ได้ ข้อ 3 เป็นพฤติกรรมการนำไปใช้และการวิเคราะห์ และข้อ 4 เป็นพฤติกรรมด้านความรู้ความจำและ การนำไปใช้ เปน็ ตน้ พฤตกิ รรมท่ปี รากฏในจุดประสงค์หรอื วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรมนี้ สามารถนำมากำหนดชนิด และรูปแบบของเครื่องมือที่จะใช้วัดได้เลย ซึ่งจะเห็นได้ว่าเครื่องมือที่ใช้วัดจะต้องเป็นเครื่องมือวัด พฤติกรรมการเรยี นรูด้ า้ นพทุ ธิพิสัย 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

41 7. สรปุ ภาษาไทยมีความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องแสดงความรุ่งเรืองในอดีตและเป็นหลักฐานท่ีสำคัญ ในการศึกษาความเป็นมาของชาติ เป็นเครื่องมือสื่อสารในชีวิตประจำวัน เป็นเครื่องมือถ่ายทอด วัฒนธรรม โดยลักษณะวิชาภาษาไทยมี 2 ลักษณะ คือ ประเภททักษะ และประเภทเนื้อหา ในการ วิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อวัดและประเมินผลการเรียนวิชาภาษาไทย ถือเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรม การเรียนรูข้ องบคุ คลซึง่ ถือเป็นจุดมุง่ หมายที่สำคัญของการจัดการศึกษา พฤติกรรมดังกลา่ วน้ีจะปรากฏ อยู่ในจุดมุ่งหมายของการศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่ในจุดมุ่งหมายของการสอนซึ่งถือว่า มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผลโดยตรง ดังนั้นครูผู้สอน จึงควรรู้จักลักษณะของพฤติกรรมดังกล่าวเป็นอย่างดี ตลอดจนสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมลักษณะ ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในจุดมุ่งหมายของการศึกษา แล้วสรุปออกมาได้ว่าเป็นพฤติกรรมลักษณะใดหรือ ด้านใด เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล ในส่วนของ พฤติกรรมการเรียนรู้สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) และด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) โดยพฤติกรรม การเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน ดังกล่าวข้างต้นสามารถพัฒนาให้งอกงามขึ้นได้ ถ้าผู้เรียนรู้จักลักษณะของ พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้อย่างแท้จริง ย่อมอำนวยประโยชน์ทั้งในด้านการเรียนการสอนและการวัดผล โดยเฉพาะในด้านการวัดผลนน้ั ทำให้สามารถเลอื กเครือ่ งมือท่ีจะใชใ้ นการวัดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม คำถามทา้ ยบทที่ 3 1. จงอธิบายเกี่ยวกับความสำคัญของภาษาไทย และลักษณะวิชาภาษาไทย พร้อมทั้งยกตัวอย่าง ประกอบพอสงั เขป 2. จงอธิบายเกี่ยวกับการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อวัดและประเมินผลการเรียนวิชาภาษาไทย พร้อมทั้ง ยกตวั อย่างประกอบพอสังเขป 3. จงวเิ คราะห์จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมตามสถานการณท์ ี่กำหนดให้ต่อไปน้ี “ให้นักเรียนอ่านเรื่องสั้นจำนวน 1 เรื่อง เมื่ออ่านเสร็จให้นักเรียนหาคำเป็นและคำตายจาก เรื่องที่อ่าน หลังจากนั้นให้นักเรียนนำคำที่หาได้มาแต่งเป็นกลอนสุภาพให้ถูกต้องตามลักษณะ แบบแผนบงั คบั จำนวน 2 บท” 4. จงบอกความสำคญั ของการนำจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมไปใช้ในการวัดและประเมินผล 5. จงอธบิ ายเก่ียวกบั วิธกี ารวิเคราะห์พฤติกรรม พรอ้ มทงั้ ยกตวั อย่างประกอบพอสังเขป 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

42 เอกสารอ้างองิ กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : กระทรวงศึกษาธกิ าร. นาวินี หลำประเสริฐ และคณะ. (2555). ภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : บริษัท พัฒนาคณุ ภาพวิชาการ (พว.) จำกัด. ประสาท เนอื งเฉลิม. (2563). การออกแบบและพัฒนาหลกั สตู ร. ขอนแก่น : คลังนานาวทิ ยา. วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. (2553). นวัตกรรมตามแนวคิดแบบ Backward Design. มหาสารคาม : ภาควิชาหลักสตู รและการสอน คณะศึกษาศาสตร์มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2557). แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. (2538). วิธีสอนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . สุทธภา บุญแซม. (2553). การศึกษาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (7E). วิทยานิพนธ์ปริญญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภฏั นครราชสมี า. อัฐพล อินต๊ะเสนา. (2561). เอกสารประกอบการสอน เรื่อง การวัดและประเมินผลวิชาภาษาไทย. มหาสารคาม : โรงพิมพม์ หาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม. _______. (2564). การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยเพือ่ พัฒนาการอ่านออกเขียนได้ และอา่ นคลอ่ งเขยี นคลอ่ ง (รายงานผลการวิจัย). มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. Good, C.V. (1972). Essentials of Educational Research : Methodology and Design. New York : Appletion-Century-Crofts. Kerlinger, F.N. (1971). Foundations of Behavioral Research. New York : Holt Rinehart and Winston, Inc. 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

43 บทท่ี 4 เครอ่ื งมือในการวดั ผลการเรียนร้ภู าษาไทย 1. แนวคิด การประเมินผลการเรียนรู้ภาษาไทยจะต้องครอบคลุม 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ หรือกระบวนการ และด้านคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ จึงต้องใช้วิธีการ วัด และประเมินผลที่หลากหลาย รวมทั้งใช้เครื่องมือวัดที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการประเมิน เช่น ใช้แบบทดสอบ แบบวัดบุคลิก แบบวัด ความสนใจ แบบวัดเจตคติ แบบสำรวจรายงาน มาตราส่วนประเมินค่า แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การสงั เกต แบบบันทึกสงั คมมิติ แฟ้มสะสมผลงาน เพอื่ ประเมินผลตามสภาพจรงิ 2. เน้อื หา 2.1 แบบทดสอบ (Test) 2.2 แบบวัดบุคลกิ ภาพ (Personality Test) 2.3 แบบวดั เจตคติ (Attitude) 2.4 แบบสำรวจรายการ (Checklist) 2.5 แบบประเมินแบบมาตราสว่ นประเมินค่า (Rating Scale) 2.6 แบบสอบถาม (Questionnaire) 2.7 แบบสมั ภาษณ์ (Interview) 2.8 แบบสงั เกต (Observation) 2.9 แฟม้ สะสมผลงาน (Portfolio) 3. วตั ถปุ ระสงค์ 3.1 สามารถอธิบายแนวคดิ เก่ียวกับเครอื่ งมือในการวดั ผลการเรยี นรภู้ าษาไทยประเภทตา่ ง ๆ ได้ 3.2 สามารถออกแบบเครือ่ งมือในการวดั ผลการเรยี นรูภ้ าษาไทยได้อยา่ งถูกต้อง 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 4.1 กจิ กรรมกอ่ นเรยี น 4.1.1 อาจารยแ์ ละนสิ ติ รว่ มกันสนทนาเกย่ี วกบั เคร่อื งมือในการวัดผลการเรยี นรู้ภาษาไทย 4.1.2 อาจารยน์ ำเข้าสูบ่ ทเรียนเร่อื ง เครื่องมือในการวัดผลการเรียนรภู้ าษาไทย 4.2 กิจกรรมการเรยี นรู้ในชน้ั เรียน 4.2.1 อาจารยผ์ ูส้ อนบรรยายเร่อื ง เครอื่ งมือในการวัดผลการเรยี นรภู้ าษาไทย - แบบทดสอบ (Test) - แบบวดั บุคลกิ ภาพ (Personality Test) 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

44 - แบบวัดเจตคติ (Attitude) - แบบสำรวจรายการ (Checklist) - แบบประเมินแบบมาตราส่วนประเมนิ ค่า (Rating Scale) - แบบสอบถาม (Questionnaire) - แบบสัมภาษณ์ (Interview) - แบบสงั เกต (Observation) - แฟม้ สะสมผลงาน (Portfolio) 4.2.2 อาจารย์ผู้สอนและนิสิตร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อในการจัดการเรียน การสอน 4.2.3 อาจารย์และนิสิตร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับเร่ือง เครื่องมือในการวัดผลการเรียนรู้ ภาษาไทย 4.3 กจิ กรรมเสรมิ อาจารย์ให้นิสิตศึกษาเรื่อง เครื่องมือในการวัดผลการเรียนรู้ภาษาไทยเพิ่มเติมจากแหล่ง การเรยี นร้อู นื่ ๆ แล้วสรุปเป็นช้ินงานส่งในชัว่ โมงต่อไป 5. สอ่ื การสอน 5.1 เอกสารคำสอนเร่ือง การวัดและการประเมินผลวชิ าภาษาไทย 5.2 PPT ประกอบการสอน เรอ่ื ง เครอื่ งมือในการวดั ผลการเรียนรู้ภาษาไทย 5.3 เคร่อื งฉายขา้ มศีรษะ 5.4 แบบฝึกทักษะ 6. การวัดและประเมนิ ผล 6.1 การทดสอบ 6.2 การประเมนิ พฤตกิ รรมการมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมการเรยี นรู้ 6.3 การเข้าชนั้ เรยี น 6.4 ความสามารถในการตอบคำถาม 6.5 การทำแบบฝึกหัดทา้ ยบท 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

45 บทที่ 4 เคร่อื งมอื ในการวดั ผลการเรียนรู้ภาษาไทย การประเมินผลการเรยี นรู้ภาษาไทยจะตอ้ งครอบคลมุ 3 ดา้ น คือ ดา้ นความรู้ ดา้ นทกั ษะ หรอื กระบวนการ และด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ จึงต้องใช้วิธีการวัด และการประเมินผลที่หลากหลาย รวมทั้งใช้เครื่องมือวัดที่หลากหลายเช่นกัน เพื่อให้สอดคล้อง กับ จุดประสงค์ที่ต้องการประเมิน เช่นใช้ แบบทดสอบ แบบวัดบุคลิก แบบวัดความสนใจ แบบวัดเจตคติ แบบสำรวจรายงาน มาตราส่วนประเมินค่า แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์การสังเกต แบบบันทึก สงั คมมติ ิ แฟ้มสะสมผลงาน เพอ่ื ประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 1. แบบทดสอบ (Test) สมนึก ภัททิยธนี (2553) กล่าวว่า แบบทดสอบเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการทดสอบ การทดสอบเป็นวิธีการที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับวัดผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณหรือคุณภาพของความรู้ ความสามารถ พฤติกรรม หรือลักษณะทาง จิตใจ ถ้าการเปลี่ยนแปลงเปน็ ไปในทิศทางท่ีพึงประสงค์ตามจุดมุง่ หมายของหลักสูตร อันเป็นผลมาจาก ประสบการณ์การเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดขึ้น เราเรียกว่าผู้เรียนเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ตาม หลกั สตู ร การแบ่งชนิดของแบบทดสอบได้มีการแบ่งกันต่าง ๆ ออกไป โดยแบ่งตามลักษณะการสร้าง บ้าง ตามจุดประสงค์ของการวัดบ้าง ตามลักษณะของวิธีการดำเนินการสอบบ้าง ต่อไปนี้จะกล่าวถึง ชนดิ ของแบบทดสอบแบบตา่ ง ๆ 1. แบบทดสอบไม่จำกัดเวลา (Power Test) ได้แก่ แบบทดสอบที่ต้องการให้ทุกคน ไดท้ ำข้อสอบได้ครบทุกข้อ โดยไมม่ ีการกำหนดเวลา ผู้เข้าสอบจะทำขอ้ สอบจนกระท่ังพอใจ 2. แบบทดสอบจำกัดเวลา (Speed Test) เป็นแบบทดสอบที่ทำในเวลารวดเร็ว เพราะผู้เข้าสอบจะไม่มีใครทำข้อสอบเสร็จทุกข้อ ฉะนั้นผู้เข้าสอบจะพยายามทำให้ได้มากข้อที่สุด ในเวลากำหนดให้ 3. แบบทดสอบกลุ่ม (Group Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้สอบกับคนทั้งกลุ่มในเวลา เดยี วกนั เป็นท่ีนยิ มทวั่ ไปเพราะเปน็ การประหยดั 4. แบบทดสอบรายบุคคล (Individual Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับคน ครง้ั ละ 1 คน 5. แบบทดสอบข้อเขียน (Paper Pencil Test) เป็นแบบทดสอบที่ผู้เข้าสอบต้อง เขยี นตอบ 6. แบบทดสอบปฏิบัติ (Performance Test) ได้แก่ แบบทดสอบที่ผู้เข้าสอบแสดง ความสามารถโดยการปฏิบตั ิ 7. แบบทดสอบที่ครูสร้าง (Teacher-made Test) ได้แก่ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น เพ่อื ใช้ในหอ้ งเรยี น ซึ่งก็คือแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของวิชาต่าง ๆ น่นั เอง 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

46 8. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบที่ทุกข้อได้ผ่านการ วิเคราะห์มาแล้ว มีเกณฑ์มาตรฐานในการดำเนินการสอบ การให้คะแนนและการแปลความหมายของ คะแนน รวมทั้งมีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) และความเที่ยงตรง (Validity) สูง ถ้าเป็นแบบทดสอบ มาตรฐานระดบั ชาติ หมายถึง คะแนนของผ้เู ขา้ สอบจะเปรยี บเทียบกบั เกณฑ์ของคะแนนของคนทั้งชาติ 9. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) ใช้ความรู้ปัจจุบันของผู้เรียนว่า หลังจากผ่านการเรียนมาแล้วมีความรู้ในเรื่องที่เรียนเพียงไร ใช้วัดเมื่อจบหน่วยการเรียน หรือ จบภาคเรยี นแลว้ 10. แบบทดสอบวัดสตปิ ัญญา (Intelligence Test หรือ Test General Mental Ability) เป็นแบบทดสอบใชว้ ดั สติปัญญาของคน 11. แบบทดสอบวัดความถนัด ( Aptitude Test หรือ Test of Specific Ability) เป็นแบบทดสอบวัดความถนดั ทางการเรียนในด้านต่าง ๆ เหมาะในการใช้แนะแนวการศึกษาและอาชีพ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความถนัด หรือศักยภาพในการเรียนรู้ของบุคคลว่ามีมากหรือน้อยเพียงใด มีความเหมาะสมที่จะเรียน หรือฝึกฝนวิชาแตกต่างกัน แบบทดสอบความถนัดจึงมุ่งที่จะค้นหา ความสามารถที่เป็นพื้นฐานเดิมของบุคคลที่จะบอกถึงความสำเร็จในอนาคตว่าจะมีทิศทางตามความ เจริญงอกงามไปในทิศทางใดและมีมากน้อยขนาดไหน ดังนั้น แบบทดสอบความถนัดจึงสร้างขึ้นมาเพื่อ วัดความสามารถที่จะเรียนรู้ในอนาคต ซึ่งแตกต่างจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัดความสามารถในการเรียนรู้ที่ผ่านมาแล้วในอดีต แบบทดสอบความถนัดอาจแบ่งได้ เปน็ 2 ประเภท คือ 11.1 แบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน ( Scholastic Aptitude Test) เปน็ แบบทดสอบทใ่ี ชว้ ดั ความสามารถของบคุ คลวา่ จะเรยี นรสู้ ่งิ หน่ึงส่ิงใดไดส้ ำเร็จหรอื ไม่ เช่น ความถนัด ทางภาษา ความถนัดทางคณิตศาสตร์ (N-factor) ความมีเหตุผล (R-factor) มิติสัมพันธ์ (S-factor) เป็นต้น เมื่อทราบความถนัดทางการเรียนของแต่ละบุคคลแล้ว ก็จะสามารถนำผลมาทำนายได้ว่า บุคคลใดสามารถจะเรียนวิชา สาขาใด ได้ประสบความสำเร็จ ทำให้สามารถนำผลการสอบไปใช้ แนะแนวการเรยี นตอ่ ใหเ้ หมาะสมกับบคุ คลน้ัน 11.2 แบบทดสอบวัดความถนัดเฉพาะหรือความถนดั พิเศษ (Specific Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถหรือความถนัดพิเศษในตัวบุคคลว่ามีความถนัดในเรื่องนั้น ๆ หรือไม่ ถ้าบุคคลมีความสามารถพิเศษในเรื่องนั้นก็สามารถที่จะเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องเหล่านั้นได้ดี เป็นพเิ ศษ เชน่ ความถนดั ทางศลิ ปะ ความถนัดทางดนตรี เป็นตน้ เมื่อทราบความถนัดพเิ ศษของบุคคลก็ ทำให้สามารถวางแนวทางการเรียนต่อหรอื เลอื กอาชีพให้เหมาะสมกับบุคคลนัน้ ได้ 12. แบบทดสอบเพื่อวัดความคิดสร้างสรรค์ (Creativity Test) แบบทดสอบเพื่อวัด ความคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์ของผสู้ อบ 13. แบบทดสอบวัดความพร้อม (Readiness Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ว่า พอเพยี งท่ีจะเรียนเรื่องนีห้ รอื ไม่ 14. แบบทดสอบวินิจฉัย (Diagnostic Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้ระหว่างเรียน เพือ่ วนิ ิจฉัยความบกพร่องทางดา้ นการเรยี นการสอน ค้นหาสาเหตขุ องความบกพร่องว่านกั เรียนไม่เข้าใจ ในจดุ ใด หรอื เรื่องใด เพ่ือเป็นแนวทางในการซ่อมเสริมในเรอ่ื งน้นั ๆ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

47 2. แบบวัดบคุ ลกิ ภาพ (Personality Test) Ary, Jacob และ Razavich (1990) กล่าวว่า บุคลิกภาพ คือ กระบวนการสร้าง หรือ การรวบรวมคุณลักษณะทั้งด้านร่างกาย และจิตใจของบุคคล ตลอดจนความสามารถ ความโน้มเอียง นิสัย อากัปกิริยาของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะบุคลิกภาพจะเป็นเครื่องกำหนดปฏิกิริยาของบุคคลที่มีต่อ ตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อวัตถุบุคคลและวัฒนธรรมของสังคมที่เขาอาศัยอยู่ ลักษณะของบุคลิกภาพ จึงแสดงออกทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ เชาว์ปัญญา ความสามารถอื่น ๆ ค่านิยม ความสนใจ เจตคติทาง สังคม แรงจูงใจ และแนวโน้มของความผิดปกติทางจิต ได้มีนักจิตวิทยาได้สร้างแบบวัดบุคลิกภาพไว้ มากมาย ต่อไปนี้จะกลา่ วถงึ แบบวดั บคุ ลกิ ภาพท่ีเปน็ ทรี่ ู้จักโดยท่ัวไปโดยสงั เขป 1. โปรเจค็ ทีฟเทคนิค (Projective Technique) โปรเจ็คทีฟเทคนิค เป็นวิธีการตรวจค้นบุคลิกภาพ เทคนิคนี้จะหลอกล่อให้ผู้ตอบเผย ความในใจออกมาโดยไมร่ ู้ตัว โดยใชส้ งิ่ เรา้ ทม่ี คี วามหมายคลุมเครือ เชน่ ภาพหยดหมกึ คำ หรือประโยค ที่ไม่สมบูรณ์ แล้วให้เล่าเรื่องหรือแปลความหมาย หรือทำให้เป็นประโยคสมบูรณ์ แต่การใช้เทคนิคนี้ มีขอบเขตจำกัดในการสร้างและการใช้ เพราะการแปลผลจะต้องใช้นักจิตวิทยา หรือผู้มีความรู้ที่ได้รับ การฝกึ ฝนมาเท่าน้นั (Best and Kahn, 1993) ตัวอย่างเชน่ 1.1 Rorscharch Inkblot Test สร้างโดย Rorscharch ลักษณะของแบบทดสอบ เป็นภาพหยดหมึก 10 ภาพ แต่ละภาพจะเป็นรูปที่มีลักษณะเหมือนกันทั้งสองข้าง คือ ลักษณะเป็น สมมาตรกัน มีรอยหยดหมึกเป็นรูปขาวดำ 5 รูป อีก 2 รูป มีสีแดงติดบ้างเล็กน้อย และที่เหลือ 3 รูป เป็นภาพที่มีสีผสมกันอยู่หลายสี วิธีสอบคือเอาภาพให้ผู้ถูกทดสอบดู แล้วถามว่าเห็นรูปอะไร ภาพเหล่าน้ันแทนอะไรได้บ้าง นอกจากจะจดบันทึกตามคำบอกเล่าที่เขาตอบสนองต่อภาพแต่ละภาพ แล้ว ผู้ทำการทดสอบยังจดบันทึกเวลาที่ใช้ ตำแหน่งของภาพทีเ่ ขาจับตามอง ข้อคิดที่เขาพูดออกมาเอง อารมณท์ ี่แสดงออกมา แล้วนำไปตีความหมายเป็นบคุ ลิกภาพตามท่คี มู่ อื การใชแ้ บบวดั ไดร้ ะบุไว้ 1 . 2 Thermatic Apperception Test (TAT) ส ร ้ า ง โ ด ย Murray แ ล ะ ค ณ ะ เป็นแบบทดสอบที่มีภาพชัดเจนกว่าของ Rorscharce มีภาพทั้งหมด 20 ภาพ เป็นภาพขาวดำทั้งหมด 19 ภาพ อกี 1 ภาพ เปน็ กระดาษเปล่า วิธีทดสอบคือ ให้ผูท้ ดสอบดูภาพแลว้ ให้เล่าเร่ืองต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น ในแต่ละภาพ โดยให้เล่าเรื่องหรือแต่งเรื่องให้ตรงกับรูปภาพแต่ละภาพ ให้เล่าว่าอะไรทำให้เกิด เหตุการณ์ในภาพ และบรรยายว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น ตัวละครแต่ละตัวในภาพกำลังรู้สึกและ คิดอย่างไร การตีความหมายให้พิจารณาจากเรื่องราวที่ผู้ตอบแต่งเรื่องมา ตัวเอกของเรื่องคือ ผู้ถูกทดสอบนั่นเอง เนื้อหาของเรื่องจะถูกวิเคราะห์ตามหลักของ Murray ที่กล่าวถึงความต้องการและ แรงกดดัน 2. อนิ เวน็ ทอรี (Inventory) อินเว็นทอรี เป็นเครื่องมือวัดบุคลิกภาพที่ให้บุคคลพิจารณาตนเอง อันประกอบด้วย ชดุ ของคำถาม หรอื ประโยคบอกเล่า ซง่ึ ผถู้ กู วดั จะต้องพิจารณาเป็นรายข้อวา่ ตวั เองมีพฤติกรรมอย่างนั้น หรือไม่ ตอ่ ไปน้เี ป็นตัวอยา่ งแบบวัดทมี่ ชี อื่ เสยี งโดยทัว่ ไป 2 . 1 Minesota Multiphasic Personality Inventory (MMPI) เ ป ็ น แ บ บ วั ด บุคลกิ ภาพทม่ี ีชือ่ เสยี งมาก เปน็ การแยกคนปกติออกจากคนผิดปกติ มที งั้ หมด 550 ข้อ ผู้รับการทดสอบ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

48 จะต้องตอบว่า “จริง” “ไม่จริง” หรือ “ตัดสินไม่ได้” เนื้อหาที่ถามเป็นพวกสุขภาพทั่ว ๆ ไป การแสดงออกของพฤตกิ รรมโรคจิตต่าง ๆ 2.2 California Psychological Inventory (CPI) เปน็ แบบทดสอบท่ดี ึงเอาครง่ึ หนึ่ง ของ MMPI แต่ CPI พัฒนาขึ้นเพื่อจะใช้กับคนปกติที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป มี 480 ข้อ ให้ตอบว่า “จริง” หรือ “ไม่จริง” 2.3 แบบวัดความสนใจ (Interest) ความสนใจ หมายถึง ความรสู้ ึกชน่ื ชอบกิจกรรม หนึ่งมากกว่ากิจกรรมอื่น ๆ เป้าของความรู้สึกเป็นกิจกรรม ดังนั้นความรู้สึกใด ๆ ที่มีต่อเป้ ากิจกรรม ถอื ว่าเปน็ ความสนใจ บางคนอาจสังเกตได้จากการทุ่มเทเวลาเพ่ือทำอะไรบางอย่างจากการกระทำที่เขา ชอบอย่างโดดเด่น หรอื ประพฤติปฏิบตั ิกับส่ิงนน้ั เป็นประจำ สามารถจำแนกได้วา่ เขาชอบอะไรมากที่สุด นนั่ คอื ส่งิ ที่เขาสนใจ (ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ, 2543) ความสนใจจึงเป็นลักษณะสำคัญที่ช่วยในการพัฒนาผู้เรียนไปสู่แนวทางที่เหมาะสม โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะ กระบวนการที่จะทำใหเ้ กิดได้นั้นผู้เรียนจะต้องหม่ันทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่าง สม่ำเสมอ จึงเกิดทักษะเหล่านั้นได้ การส่งเสริมให้ผู้เรียนสนใจในกิจกรรมที่เหมาะสมจะช่วยส่งเสริม ผู้เรียนได้มาก เช่น ผู้เรียนสนใจในกิจกรรมการอ่านหนังสือ การฟัง การดู และการเขียน ดังนั้น การวัดความสนใจในกจิ กรรมเหล่าน้ี เพื่อจะดูวา่ นักเรียนมพี ฤตกิ รรมเหล่านี้หรอื ไม่ Borg และ Gall (1989) ไดก้ ลา่ วถงึ ข้ันตอนในการสร้างแบบวดั ความสนใจไว้ดังนี้ 1. กำหนดเปา้ ของสงิ่ ที่จะวัด เช่น ความสนใจในวชิ าภาษาไทย ความสนใจในงานเขยี น ฯลฯ 2. วเิ คราะหเ์ ป้าว่ามีส่วนย่อยอะไร 3. วเิ คราะห์กจิ กรรม 4. เขียนข้อความเกยี่ วกับกิจกรรม 5. กำหนดวธิ ีการตอบ 6. ทดลองเคร่อื งมอื เพ่ือหาคุณภาพ 7. สร้างเกณฑป์ กติ เพือ่ แปลความหมายของคะแนน 8. ศึกษาตดิ ตามผล ตัวอยา่ งเช่น เปา้ หลัก : ภาษาไทย (ทักษะ) เปา้ ยอ่ ย : การอา่ น การฟงั -ดู การพูด การเขยี น กิจกรรมยอ่ ย : แยกเขยี นตามเป้าหมายยอ่ ยว่าแตล่ ะอยา่ งมีกิจกรรมอะไรบ้าง เมอ่ื นำมารวมกนั จะเปน็ กจิ กรรมทกั ษะทางภาษาไทย การอา่ น : อ่านนวนยิ าย อา่ นวรรณคดี อ่านบทความ หนังสือพิมพห์ รือข่าวต่าง ๆ ฯลฯ การฟงั -ดู : สารคดี ข่าว การโต้วาที อภปิ ราย ฯลฯ การพดู : พูดหนา้ ช้ัน เป็นพิธกี ร เปน็ ผอู้ ภปิ ราย ฯลฯ การเขยี น : เขยี นบทความ กลอน เขยี นคำขวญั สง่ เข้าประกวด ฯลฯ นำกิจกรรมต่าง ๆ มาเขียนเป็นข้อความแล้วกำหนดวิธีการตอบกิจกรรมหรือข้อความนั้น เชน่ ใช่-ไม่ใช่ ชอบ-ไมช่ อบ เคยทำบ่อย-ทำบางครง้ั -ไมเ่ คยทำเลย เป็นตน้ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

49 3. แบบวัดเจตคติ (Attitude Test) เจตคติเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึก ความเชื่อของบุคคลที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ เป็นสภาพ ความพร้อมทางจิตใจที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ซึ่งจะแสดงออกมาในลักษณะชอบหรือไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นพฤติกรรมทางจิตใจที่ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง แต่สามารถสรปุ พาดพงิ จากพฤติกรรมภายนอกท่ีแสดงออก (อัฐพล อนิ ตะ๊ เสนา, 2561) ในการวัดเจตคตินั้นผู้คิดสร้างแบบวัดที่มีชื่อเสียง เช่น ของเทอร์สโตน ลิเคอร์ท หรือออสกูด เปน็ ตน้ แต่แบบวดั เจตคติของเคอร์ทเป็นทน่ี ิยมในปจั จุบัน เพราะสรา้ งได้ง่าย และสะดวกในการแปลผล 1. วธิ ีสรา้ งแบบวัดเจตคตขิ องลิเคอร์ท 1.1 กำหนดโครงสร้างของประเด็นที่ต้องการศกึ ษา ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนทีส่ ำคัญทีส่ ุด ที่ทำให้ผลสรุปของเจตคติต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความถูกตอ้ งหรือไม่ คือ จะต้องกำหนดโครงสร้างหรือนิยาม สง่ิ ท่ีจะวัด เจตคตใิ ห้ชัดเจนว่าคืออะไร มีโครงสรา้ ง หรอื ประเด็นอะไรบ้าง โครงสร้างนจ้ี ะเป็นกรอบที่จะ ใช้เปน็ เนือ้ หาของแบบวดั เจตคติ 1.2 การเขียนข้อความคิดเห็น เป็นการเขียนข้อความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ ตามโครงสร้างหรือกรอบของประเด็นที่ต้องการศึกษาที่กำหนดไว้แล้วในข้อ 1 เพื่อให้ผู้ตอบได้แสดง ความคิดเห็น ข้อความคิดเห็นที่รวบรวมในขั้นนี้อาจเขียนจากความคิดของผู้สร้างเองหรือรวบรวมจาก วารสาร หนังสอื ตา่ ง ๆ หรือจากการสอบถามผรู้ ู้ หรอื ผู้มีประสบการณ์ในเร่อื งน้ัน ๆ ข้อความคิดเห็นควร จะครอบคลุมเรื่องราวที่จะศึกษาเจตคติให้มากที่สุด และข้อความที่จะเขียนจะต้องมีประโยคนิมาน (Favorable Statement) และประโยคนิเสธ (Unfavorable Statement) จำนวนใกล้เคียงกนั ประโยค นิมานคือประโยคที่กล่าวถึงเร่ืองนั้นในทางท่ดี ีหรือทางบวก ประโยคนิเสธเป็นประโยคท่ีกล่าวถึงเร่ืองนั้น ในทางไม่ดหี รอื ทางลบ (ประสาท เนืองเฉลมิ , 2564) ตัวอยา่ งประโยคนมิ าน - วชิ าภาษาไทยเปน็ วิชาท่นี ่าสนุก - ภาษาไทยเปน็ วชิ าท่ีมปี ระโยชน์ - คนเก่งภาษาไทยจะเรียนวิชาอืน่ เก่งดว้ ย ตัวอย่างประโยคนเิ สธ - วชิ าภาษาไทยเปน็ วิชาทีน่ ่าเบ่ือ - คนเรยี นภาษาไทยเป็นคนเชย - ภาษาไทยลา้ หลงั กวา่ ภาษาอ่ืน 2. หลกั การเขยี นข้อความคิดเห็น Koul (1984) ได้เสนอหลักการเขียนความคดิ เห็น ดังนี้ 1. หลีกเลี่ยงข้อความที่กลา่ วถงึ อดตี มากกวา่ ปัจจุบนั 2. หลกี เลย่ี งข้อความท่เี ปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ 3. หลีกเลยี่ งขอ้ ความทีต่ ีความหมายได้หลายแง่มุม 4. หลีกเล่ยี งขอ้ ความท่ีไม่มคี วามหมายเกีย่ วขอ้ งกับเร่อื งที่ศึกษา 5. หลกี เลี่ยงข้อความทท่ี ุกคนเกอื บจะเห็นด้วยหรอื ปฏเิ สธ 6. เลือกขอ้ ความท่เี ชือ่ วา่ จะคลมุ ช่วงความรสู้ กึ ท้ังหมด 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

50 7. ใช้ภาษาท่ีง่าย ชัดเจนและตรงประเด็น 8. ขอ้ ความควรสั้นและไม่ควรมากกว่า 20 คำ 9. ข้อความในแตล่ ะขอ้ ควรถามเพียงประเด็นเดยี ว 10. ควรหลีกเลี่ยงข้อความที่มีคำว่า ทั้งหมดเสมอ ๆ ไม่มีเลย หรือไม่เคยเลย เพราะจะทำใหม้ คี วามหมายคลุมเครอื 11. คำตา่ ง ๆ เช่น เพียงแต่ เท่านัน้ เกือบจะ ควรใช้อย่างระมดั ระวงั และเรียบเรียง ขอ้ ความใหส้ ละสลวย 12. ควรเปน็ ประโยคทง่ี า่ ยมากกวา่ ประโยคผสมหรือซบั ซอ้ น 13. ใชป้ ระโยคทม่ี ีศัพท์เหมาะสมกับระดับความรู้ของผู้ตอบ ศพั ทย์ ากผู้ตอบอาจจะ ไม่เข้าใจความหมายกไ็ ด้ 14. ไม่ควรใชป้ ระโยคปฏิเสธซ้อนปฏเิ สธ ตวั อยา่ งแบบวัดเจตคตติ อ่ วิชาภาษาไทย สรา้ งตามแนวของลิเคอร์ท ตารางที่ 4.1 แบบวัดเจตคตติ ่อวชิ าภาษาไทย สร้างตามแนวของลเิ คอร์ท ข้อความ เห็นด้วย เหน็ ดว้ ย ไมแ่ นใ่ จ ไม่เห็น ไม่เหน็ อยา่ งยิ่ง ดว้ ย อยา่ งยงิ่ 1. ภาษาไทยเป็นวิชาทน่ี า่ เบือ่ 2. วชิ าภาษาไทยทำให้คนฉลาด 3. วิชาภาษาไทยมปี ระโยชนน์ ้อย 4. ภาษาไทยเปน็ วชิ าท่เี ขา้ ใจง่าย 5. ภาษาไทยทำใหเ้ ราทันโลก 6. ภาษาไทยเปน็ วชิ าทล่ี า้ สมยั ทมี่ า : อฐั พล อินต๊ะเสนา (2561) การให้คะแนน 1. ขอ้ ความทางบวก เชน่ วิชาภาษาไทยทำใหค้ นฉลาด เหน็ ด้วยอย่างย่ิง 5 คะแนน เหน็ ด้วย 4 คะแนน ไม่แน่ใจ 3 คะแนน ไม่เหน็ ดว้ ย 2 คะแนน ไม่เหน็ ด้วยอย่างยิง่ 1 คะแนน 2. ขอ้ ความทางลบ เช่น ภาษาไทยเปน็ วิชาทน่ี ่าเบ่ือ เห็นด้วยอย่างยง่ิ 1 คะแนน เห็นดว้ ย 2 คะแนน 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

51 ไมแ่ นใ่ จ 3 คะแนน ไม่เหน็ ด้วย 4 คะแนน ไมเ่ ห็นดว้ ยอย่างยิง่ 5 คะแนน การแปลความหมาย ให้หาคะแนนเฉล่ยี จากแบบวัดเจตคติ แล้วนำค่าเฉลี่ยมาเทียบตามเกณฑ์ ดังนี้ คะแนนเฉลย่ี ตงั้ แต่ 4.51 – 5.00 หมายถึงเจตคติดีมาก คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 3.51 – 4.50 หมายถึงเจตคตดิ ี คะแนนเฉล่ยี ระหวา่ ง 2.51 – 3.50 หมายถึงเจตคติปานกลาง คะแนนเฉลย่ี ระหว่าง 1.51 – 2.50 หมายถึงเจตคติไม่ดี คะแนนเฉลี่ยตำ่ กวา่ 0.00 – 1.50 หมายถึงเจตคตไิ มด่ ีอยา่ งมาก 4. แบบสำรวจรายการ (Checklist) แบบสำรวจรายการ คือ ชดุ ของข้อความที่ใช้สำหรับสำรวจหรือตรวจสอบกจิ กรรม พฤติกรรม หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่สนใจว่ามีพฤติกรรมหรือกิจกรรมต่าง ๆ ตามรายการที่ต้องการสำรวจหรือไม่ แบบตรวจสอบรายการเหมาะสำหรบั ท่ีจะใช้ประเมินผลเกีย่ วกบั กระบวนการดำเนินงาน (Process) และ ผลผลิต (Product) จากการปฏิบัติงานของนักเรียน นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับนำมาใช้ในการประเมิน การปรับตวั ทางสงั คมของนักเรียน แบบสำรวจรายการใช้เปน็ เครื่องมือประกอบการสงั เกตว่ามีเหตุการณ์ เรื่องราว หรือพฤติกรรมตามรายการที่กำหนดไว้หรือไม่ ถ้ามีใส่เครื่องหมายตามคำสั่งในแบบสำรวจ รายการ (คณาจารย์ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2563) เช่น  ใช่  ไม่ใช่  มี  ไมม่ ี  ทำ  ไม่ทำ  เคย  ไมเ่ คย  ประพฤติ  ไม่ประพฤติ  ถกู ตอ้ ง  ไม่ถกู ตอ้ ง  ปฏิบตั ไิ ด้  ปฏบิ ัติไม่ได้ ฯลฯ แบบสำรวจรายการเป็นเครื่องมือที่ใช้ประกอบการสังเกตพฤติกรรมที่จะประเมิน เช่น ถ้าจะสงั เกตมารยาทในการฟงั โดยใชแ้ บบสำรวจรายการ ดงั ต่อไปนี้ 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

52 ตารางท่ี 4.2 แบบสำรวจรายการมารยาทในการฟัง รายการ ใช่ ไม่ใช่ 1. ตัง้ ใจฟัง 2. ไม่นำงานอ่นื มาทำ 3. ไมพ่ ดู คุยกัน 4. ไมพ่ ูดสอดแทรก 5. ไม่หยอกล้อกนั 6. ขออนุญาตเม่ือลกุ ออกจากท่ีหรอื ทำสิง่ อืน่ ทา่ นทำกจิ กรรมต่อไปน้ีอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ 1. ล้างมอื ก่อนรบั ประทานอาหาร  ทำ  ไม่ทำ  ไมท่ ำ 2. แปรงฟันหลังอาหาร  ทำ  ไมท่ ำ 3. รับประทานอาหารตรงเวลา  ทำ ฯลฯ ขอ้ เสนอแนะในการใชแ้ บบสำรวจรายการ 1. ใช้แบบสำรวจรายการเมื่อต้องการทราบว่าลักษณะ หรือพฤติกรรมนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ มีหรือไม่ 2. จดั แบบคุณลักษณะหรือพฤตกิ รรมทสี่ งั เกตได้ให้ชดั เจน 3. ผทู้ ่จี ะทำการสังเกตพฤตกิ รรมจะตอ้ งได้รบั การฝึกปฏิบัติ การใช้แบบสำรวจกอ่ น ในการสังเกตแต่ละครั้งใช้ตัวอย่างเดียว และควรสังเกตเฉพาะพฤติกรรมที่กำหนดไว้ในแบบ สำรวจรายการเทา่ นนั้ 5. แบบประเมนิ แบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) มาตราส่วนประเมินค่ามีลักษณะคล้ายแบบสำรวจรายการ แต่ใช้เฉพาะเมื่อต้องการแยกแยะ คุณภาพ หรือปริมาณของข้อมูลออกเป็นระบบ แทนที่จะสำรวจเพียงว่ามีหรือไม่มีพฤติกรรมนั้น ๆ การประเมินเหตุการณ์หรือพฤติกรรมแบ่งตามระดับความเข้มโดยใช้ตัวเลข เช่น 1-3 หรือ 1-5 หรือ อื่น ๆ หรืออาจจะใช้ข้อความ เช่น มากที่สุด มากปานกลาง น้อย น้อยที่สุด เป็นต้น โดยตัวเลอื กต้องให้ สอดคล้องกบั ขอ้ ความในประโยคนำหรอื ข้อคำถาม (Wiesma, 1975) 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

53 ตัวอย่างมาตราส่วนประเมินค่าโดยใช้ตวั เลข ตารางท่ี 4.3 มาตราส่วนประเมินค่าโดยใชต้ วั เลข พฤตกิ รรม ระดบั คะแนน 12345 1. ความสะอาด ……………………….....………...….. ………… ………… ………… ………… ………… 2. ความรับผดิ ชอบ …………………….......……..…… . . . . . 3. การให้ความรว่ มมือในการทำงาน ….......…..… ………… ………… ………… ………… ………… 4. ความกระตือรือร้นในการทำงาน……….......….. . . . . . ………… ………… ………… ………… ………… ..... ………… ………… ………… ………… ………… ..... กำหนดให้ 5 หมายถงึ ดมี าก 4 หมายถึง ดี 3 หมายถงึ ปานกลาง 2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถึง ตอ้ งแก้ไข ตัวอย่างมาตราส่วนประเมนิ คา่ โดยใชข้ ้อบงั คับ ตารางที่ 4.4 มาตราสว่ นประเมนิ ค่าโดยใช้ข้อบังคบั ระดับคะแนน พฤตกิ รรม ดีมาก ดี ปาน พอใช้ ตอ้ ง กลาง แก้ไข 1. ความสะอาด ………………….....………..….…….. ………….. 2. ความรบั ผิดชอบ ……………………….....…..…… ………….. ………….. ………….. ………….. ………….. 3. การใหค้ วามร่วมมือในการทำงาน ......…….… ………….. ………….. 4. ความกระตือรือรน้ ในการทำงาน…….......….. ………….. ………….. ………….. ………….. ………….. ………….. ………….. ………….. ………….. ………….. ………….. ………….. 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

54 ตวั อยา่ งแบบประเมินการเขียนเรยี งความ ตารางท่ี 4.5 แบบประเมนิ การเขยี นเรยี งความ รายการ ระดับคะแนน 2 01 1. รูปแบบถกู ต้อง . 2. เนอ้ื หาสาระ . 3. การใช้ภาษา 5 4. อกั ขรวธิ ี 5. ความสะอาดเรียบรอ้ ย ท่ีมา : สำลี รักสุทธี (2544) ตวั อย่างแบบประเมินการเขียนเรียงความ ตารางท่ี 4.6 แบบประเมนิ การเขียนเรยี งความ ช่ือ นามสกลุ ชัน้ เลขประจำตวั หัวขอ้ เรอื่ ง 1 ระดับคะแนน รายการทปี่ ระเมนิ 234 รูปแบบและองคป์ ระกอบ เน้อื หาถกู ตอ้ งตามขอ้ เท็จจริง ส่ือความหมายไดช้ ัดเจนไมว่ กวน แสดงเหตผุ ลไดอ้ ยา่ งเหมาะสม การสะกดคำ การเวน้ วรรคตอน ความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย การใช้ถอ้ ยคำอยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม การใชส้ ำนวนและโวหาร การเรียบเรยี งประโยค ท่ีมา : ประพนธ์ เรืองณรงค์ และคณะ (2545) 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

55 เมื่อนำแบบประเมินไปใช้แล้วให้นำผลการประเมินที่ได้จากแต่ละรายการมาแปลผล นิยมใช้ ค่าเฉลีย่ จากแตล่ ะรายการนำไปเทยี บกับเกณฑ์การประเมินทกี่ ำหนดไว้ตวั อยา่ ง เช่น คะแนนเฉลีย่ ตงั้ แต่ 4.51 – 5.00 หมายถึงดีมาก คะแนนเฉลย่ี ตง้ั แต่ 3.51 – 4.50 หมายถึงดี คะแนนเฉลี่ยต้ังแต่ 2.51 – 3.50 หมายถงึ ปานกลาง คะแนนเฉลี่ยต้งั แต่ 1.51 – 2.50 หมายถึงพอใช้ คะแนนเฉลย่ี ต้งั แต่ 0.00 – 1.50 หมายถึงต้องปรับปรุง 6. แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลประเภทข้อเท็จจริงต่าง ๆ หรือความรู้สึก ความคิดเห็นของผู้ตอบซึ่งมักใชก้ ันมากในการสำรวจ โดยมีรายการของคำถามทีเ่ ตรียมไว้ถามในเรื่องใด เรื่องหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การศึกษา ตัวคำถามจะเป็นสิ่งเร้าให้ผู้ตอบแสดงความรู้สึกหรือ ข้อเท็จจริง แบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบสอบถามปลายปิด และแบบสอบถาม ปลายเปิด (ประสาท เนอื งเฉลิม, 2564) 1. แบบสอบถามปลายปิด คำถามชนิดนี้ผู้สร้างได้เตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้ว ผู้ตอบจะเลือกคำตอบจากที่ กำหนดให้ว่าข้อไหนใกล้เคียงกับความจริงและความรู้สึกมากที่สดุ คำถามปลายปิดนี้จะใช้ไดก้ ับข้อมลู ท่ี เหน็ ไดง้ ่าย ไม่ซับซ้อน แบ่งยอ่ ยไดอ้ กี 5 แบบ คอื 1.1 แบบสองคำตอบ (Dichotomous Questions) เป็นคำถามที่ให้ผู้ตอบ เลือกตอบอย่างใดอย่างหนึ่งในสองคำตอบเท่านั้น เช่น ใช่-ไม่ใช่ ถูก-ผิด เคย-ไม่เคย สนใจ-ไม่สนใจ เหน็ ด้วย-ไม่เห็นดว้ ย ฯลฯ ท่านเคยไปลงคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผูแ้ ทนหรือไม่ ( ) เคย ( ) ไม่เคย ท่านคิดว่ามหาวิทยาลยั มหาสารคามควรเปดิ คณะแพทยศาสตรห์ รอื ไม่ ( ) ควร ( ) ไม่ควร เด็กท่ีพอ่ แมข่ าดการดแู ลเอาใจใสม่ ักเป็นเด็กเกเร ( ) ใช่ ( ) ไม่ใช่ ท่านอ่านหนังสือพิมพ์ทกุ วัน ( ) จรงิ ( ) ไม่จริง ท่านเคยใหผ้ ้ปู กครองสอนการบ้านหรือไม่ ( ) เคย ( ) ไมเ่ คย ถา้ ท่านมีปัญหา เคยปรึกษาผู้ปกครองหรอื ไม่ ( ) เคย ( ) ไม่เคย 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

56 1.2 แบบให้เลือกตอบ (Multiple Choices) เป็นคำถามที่กำหนดคำตอบมาให้ ตัง้ แต่ 3 คำตอบขึ้นไป และให้เลอื กหนึ่งคำตอบ แต่ละคำถามไมจ่ ำเป็นต้องมีจำนวนคำตอบให้เลือกตอบ เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคำถามข้อนั้น ๆ บางครั้งยังต้องมีตัวเลือกปลายเปิดไว้ให้เติมดว้ ย เช่น ทา่ นจบการศึกษาสงู สดุ ระดบั ใด ( ) ประถมศกึ ษา ( ) อนุปรญิ ญา ( ) มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ( ) ปริญญาตรี ( ) มัธยมศึกษาตอนปลาย ( ) สูงกวา่ ปริญญาตรี ทา่ นใช้เวลาในการรบั ประทานอาหารแต่ละครง้ั เฉล่ยี นานเท่าใด ( ) 0-30 นาที ( ) 31-60 นาที ( ) มากกว่า 1 ช่ัวโมง ท่านอ่านหนงั สือพิมพ์โดยวิธใี ด ( ) ซื้ออ่านเอง ( ) อ่านตามรา้ นขายหนงั สือ ( ) อ่านตามรา้ นอาหาร ( ) อื่น ๆ (โปรดระบุ)............ ( ) ขอยืมจากคนอ่ืนอา่ น 1.3 แบบตอบไดม้ ากกว่า 1 คำตอบ เหตใุ ดท่านจงึ เลือกเรียนคณะศึกษาศาสตร์ (ตอบได้มากกว่า 1 ขอ้ ) ( ) ชอบเป็นครู ( ) เป็นวิชาท่ถี นดั ( ) เป็นวิชาท่เี รยี นง่าย ( ) เป็นวชิ าท่จี บแล้วหางานงา่ ย ( ) อ่นื ๆ ระบุ ............. 1.4 แบบใหจ้ ัดอันดบั (Ranking) ท่านชอบเลน่ กีฬาประเภทใดมากทสี่ ุด (โดยใส่ 1 หนา้ กฬี าทีท่ ่านชอบมากทส่ี ุด และเรียงตามลำดับไปจนถึงลำดับทช่ี อบน้อยทีส่ ดุ ) ( ) ปิงปอง ( ) ฟุตบอล ( ) บาสเกตบอล ( ) วอลเลย์บอล ( ) เทนนิส ( ) กอล์ฟ ( ) ยิมนาสตกิ ( ) กรฑี า ( ) ว่ายน้ำ 1.5 แบบใช้มาตราสว่ นประเมินคา่ (Rating Scale) ตามทีไ่ ดก้ ล่าวมาแลว้ 2. คำถามปลายเปดิ คำถามชนิดนี้ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ นิยมใช้เมื่อต้องการข้อมูลประเภทความคดิ เหน็ กว้าง ๆ ซึ่งคาดคะเนคำตอบของผู้ตอบไม่ถูกว่าจะออกมาในรูปแบบใด คำถามปลายเปิดบางข้อที่ใช้ใน แบบสอบถามขั้นทดลอง สามารถพัฒนาเป็นคำถามปลายปิดในแบบสอบถามชุดจรงิ ได้ โดยการจัดกลุ่ม ของคำตอบที่มีลกั ษณะคล้ายคลึงกนั และเพิ่มหัวข้ออื่น ๆ ไว้ให้เลือก เพื่อเปิดโอกาสใหผ้ ู้ท่ีต้องการแสดง ความคิดเห็นเพิ่มเติม คำถามปลายเปิดสะดวกในการสร้าง แต่ลำบากในการรวบรวมคำตอบเพื่อการ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

57 วิเคราะห์ เนื่องจากแบบสอบถามชนิดให้เติมคำหรือข้อคำถามที่ให้ผู้ตอบคิดหาคำตอบเองต่างก็จัดเป็น แบบสอบถามปลายเปิดท้งั ส้นิ ตัวอยา่ งคำถามปลายเปดิ 1. เนอื้ หาในบทเรียนภาษาไทยทไี่ มเ่ ข้าใจมากทีส่ ดุ คือ.............................................. ..................................................................................................................................... ............................... 2. ปญั หาการเรยี นในข้อ 1. เป็นเพราะวา่ .................................................................. ............................................................................................................................. ....................................... 3. ทา่ นมขี ้อเสนอแนะในการจัดการศึกษาในโรงเรยี นของทา่ นอยา่ งไร........................... 3.1 ............................................................................................................................ ............................................................................................................................. ....................................... 3.2 ............................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ขอ้ ดีของการใชค้ ำถามปลายเปดิ 1. ผู้ตอบมีโอกาสใชค้ วามคดิ เห็นและตอบไดอ้ ยา่ งเสรี 2. สามารถสรา้ งใหว้ ัดขอ้ มลู ที่ละเอยี ดลึกซ้งึ มาก ๆ ได้ 3. สร้างคำถามได้ง่าย สะดวก และเสียเวลาน้อย ผู้ที่ไม่ค่อยมีความชำนาญก็สร้างให้มี คณุ ภาพดไี ด้ 4. ได้คำตอบท่เี ปน็ ภาษาเขียนของผตู้ อบเอง ซงึ่ จะเปน็ คำตอบตรงกบั ความเป็นจริงของ ผูต้ อบมากกวา่ คำถามปลายปิด 5. สามารถสรา้ งให้ตอบสน้ั หรอื ยาวตามความต้องการได้ โดยเวน้ ช่องว่างใหเ้ ติม ขอ้ เสียของการใชค้ ำถามปลายเปดิ 1. วิเคราะห์ผลหาข้อมูลสรุปได้ยาก เพราะคำตอบที่ได้จะกระจัดกระจายแตกต่างกัน มาก 2. ขาดความสะดวกสบายในการตอบ ผู้ตอบต้องคิดหาคำตอบและเขียนคำตอบด้วย ภาษาของตนเอง ทำให้ตอบไดช้ า้ 3. มีปัญหาในการตอบ ถ้าใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ขาดทักษะในการเขียนภาษา ทำให้ เสียเวลาในการเรยี บเรียงและเขยี นคำตอบมาก 4. คำตอบท่ไี ด้ของบางคนอาจไม่ตรงหรอื เกีย่ วข้องกับข้อมูลท่ีต้องการเลย 5. ผวู้ เิ คราะห์และสรปุ ผลมีอิทธพิ ลต่อผลการวเิ คราะห์ทีไ่ ดจ้ ากแบบสอบถามปลายเปิด มาก ถ้าหากขาดความระมดั ระวังและไมล่ ะเอยี ดรอบครอบจะทำใหผ้ ลท่ไี ด้ผดิ ไปจากความเป็นจรงิ ขอ้ เสนอแนะในการเขียนแบบสอบถาม 1. คำถามทุกข้อตอ้ งสัมพนั ธก์ ับจดุ มุ่งหมายทต่ี ้องการข้อมูล 2. คำถามควรจะใช้คำกระชับ ไม่กำกวม และภาษาง่าย ๆ 3. คำถามแต่ละขอ้ ถามเพยี งประเดน็ เดยี วเทา่ นนั้ 4. ไมค่ วรใช้คำปฏเิ สธซอ้ นปฏเิ สธ 5. ไมค่ วรใช้คำถามประเภทชีแ้ นะคำตอบ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

58 6. ควรขดี เส้นใต้คำทเ่ี น้นเป็นพเิ ศษ 7. คำตอบหรือตัวเลอื ก ควรมีใหค้ รบทกุ แง่ทุกมมุ 8. คำถามท่ีเป็นความลับ หรอื จะกระทบกระเทือนต่อผ้ตู อบควรหลีกเลย่ี ง ถา้ หลีกเล่ียง ไม่ได้ต้องใหค้ วามม่ันใจแกผ่ ตู้ อบวา่ จะไม่นำผลจากการตอบไปเปดิ เผย 9. เพ่ือเปน็ การจับเท็จผูต้ อบควรใชค้ ำถามเรื่องเดียวกัน แตถ่ ามลักษณะต่างกนั 10. แบบสอบถามควรมีลักษณะยั่วยุอยากให้ตอบ เช่น สั้น มีความชัดเจน มีความเป็น ระเบยี บ สวยงาม เป็นตน้ 11. การเรยี งลำดับคำถาม ควรเรยี งลำดบั ให้เน้อื หาตอ่ เน่อื งกัน 12. ควรจะแบ่งเรื่องที่จะถามออกเป็นส่วน เช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลที่เป็นความรู้และ ขอ้ เท็จจริง และคำถามท่เี ป็นเนอ้ื หา 13. ในตอนต้นของแบบสอบถามควรมีคำชี้แจง ในการตอบคำถามอย่างชัดเจน พร้อมให้ความมั่นใจแก่ผู้ตอบว่าจะไม่เปิดเผยนามผู้ตอบ เพื่อผู้ตอบจะได้ตอบตามความเป็นจริงและ ตอบคำถามทุกข้อ 7. แบบสมั ภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณ์ หมายถึง การสนทนาที่มีจุดมุ่งหมายแน่นอน โดยมีการกำหนดจุดมุ่งหมายไว้ ล่วงหน้า โดยผู้สมั ภาษณ์จะเป็นผู้ตั้งคำถามและผู้ถกู สัมภาษณ์จะเป็นผู้ตอบคำถาม ผู้สัมภาษณ์จะเป็นผู้ จดบันทึก หรืออาจจะใช้อุปกรณ์ช่วยในการบันทึก เช่น เทปบันทึกเสียง หรือวิดีโอเทป (Kerlinger, 1986) 1. แบบของการสัมภาษณ์ 1.1 การสัมภาษณ์แบบมีโครงร่าง (Structured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ซึ่งมี แบบฟอร์ม หรือแบบสัมภาษณ์ไว้เรยี บร้อยแล้ว คำถามต่าง ๆ จึงเป็นแบบมาตรฐาน มีคำถามเรียบเรยี ง ไว้ให้ผู้สัมภาษณ์ถาม แบบสัมภาษณ์ต้องไดร้ ับการตระเตรียมและทดลองใชม้ าก่อน เพื่อให้ได้คำถามที่ดี ปรบั ปรุงแก้ไขขอ้ คำถามทผ่ี ูฟ้ ังอาจจะไมเ่ ข้าใจตรงกบั ทีต่ ้องการถาม การสัมภาษณแ์ บบน้ีเหมาะกับข้อมูล ที่ต้องใชผ้ ้สู มั ภาษณ์หลายคน เพราะทุกคนจะได้รับการฝึกฝนการสัมภาษณ์ โดยยึดถือแบบฟอร์มในการ สัมภาษณ์เป็นหลัก จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่มีมาตรฐานเดียวกัน การสัมภาษณ์แบบมีโครงร่างแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 1.1.1 แบบปลายปิด เป็นคำถามที่กำหนดคำตอบ โดยให้ผู้ตอบเลือกตอบข้อใด ข้อหนึ่ง สะดวกสำหรับผู้ไปสัมภาษณ์เพียงแต่ทำเครื่องหมายตรงตามคำตอบที่ผู้ถูกสัมภาษณ์เลือกตอบ แต่ในการสัมภาษณ์ชนิดจำกัดคำตอบนี้อาจจะได้รับข้อมูลทีไ่ ม่ตรงกับความเป็นจริงที่ผู้ตอบอาจจะตอบ โดยเฉพาะถ้าตัวเลอื กมีไม่ครอบคลุมคำตอบที่จะเป็นไปได้ท้ังหมด จึงเป็นการบงั คับใจผู้ตอบให้เลือกเอา คำตอบที่ใกล้เคียง หรือไม่ใกล้เคียงเลย แต่ไม่มีทางเลือก ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของแบบสัมภาษณ์ ปลายปิด 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

59 ตัวอยา่ งแบบสัมภาษณ์แบบปลายปิด : ท่านอยากประกอบอาชพี ใดมากทีส่ ดุ  รับราชการ  พนักงานบรษิ ัท  พนักงานรฐั วิสาหกิจ  ประกอบอาชีพส่วนตวั 1.1.2 แบบปลายเปิด คือ คำถามที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบ ตอบได้ตามที่เห็นควรว่า จะตอบอยา่ งไร ชว่ ยใหผ้ ู้ตอบมีอสิ ระในการตอบ สามารถแสดงความคิดเหน็ ได้อยา่ งเต็มท่ี แตข่ ้อเสียของ แบบสัมภาษณ์ปลายเปิดคือ การรวบรวมคำตอบทำได้ยาก เพราะคำตอบมีลักษณะกระจัดกระจาย ตอ่ ไปนี้จะเปน็ ตัวอย่างคำถามแบบปลายเปดิ (Faul and others, 2007) : ท่านอยากประกอบอาชพี อะไรมากทสี่ ุด ............................................................................... : เหตุผลที่ทา่ นเลอื กเรยี นคณะศึกษาศาสตร์ ............................................................................... 1.2 การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงร่าง (Unstructure Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่มี ความยดื หยุ่นมาก ไม่มขี ้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอน ดังน้ันการจะไดข้ ้อมลู มากน้อยขึ้นอยู่กับทักษะ ของผู้สมั ภาษณ์ และการสรา้ งความเช่ือมนั่ ให้กับผู้ทถี่ ูกสมั ภาษณ์ การสมั ภาษณ์แบบนี้แบ่งได้หลายแบบ คอื 1.2.1 แบบไมม่ ีโครงรา่ ง เช่น หมอสัมภาษณค์ นไข้แลว้ นำขอ้ มูลนั้นมาเทยี บกับทฤษฎี 1.2.2 แบบดึงเข้าหาจุดสนใจ เป็นการดึงความสนใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ให้มาสู่จุดทีเ่ รา กำหนดไว้ในใจ หรอื อยากจะได้ขอ้ มูลอะไรจะต้องเบนใหเ้ ขาพดู ในเร่ืองทเี่ กีย่ วขอ้ งเฉพาะเรื่องนน้ั 1.2.3 แบบถามลึก พยายามถามเพื่อล้วงหาคำตอบที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ตอ้ งพยายามให้เขาได้พูดในสิง่ ทซี่ ่อนเรน้ เพื่อจะใหไ้ ด้ขอ้ เทจ็ จรงิ มากทสี่ ุด 1.2.4 แบบไม่มีทิศทาง การสัมภาษณ์แบบนี้ไม่มีการชี้นำ ปล่อยให้เขาเล่าตามความ พอใจ ไม่มีการดึงเข้าหาจุดใด ๆ หน้าที่ของผู้สัมภาษณ์เพียงแต่รับฟังและคอยกระตุ้นให้เขาพูดต่อไป จนเป็นทีพ่ อใจของผูส้ ัมภาษณ์ 1.3 หลักในการสมั ภาษณ์ 1.3.1 ต้องเตรียมเครื่องมือที่จะใช้ในการสัมภาษณ์ให้พร้อม เช่น แบบสัมภาษณ์ สมุดบนั ทกึ เทปบนั ทกึ เสยี ง หรือวดิ โี อเทป 1.3.2 ก่อนไปสัมภาษณ์ควรมีการซักซ้อม โดยเฉพาะถ้าผู้สัมภาษณ์หลายคนควรได้รับ การซกั ซอ้ มให้มีแบบแผนการสัมภาษณ์เหมือนกนั 1.3.3 ถ้าเป็นไปได้อาจจะนัดวัน เวลา สถานที่ และบอกจุดประสงค์ให้กลุ่มตัวอย่าง ทราบลว่ งหนา้ 1.3.4 ผู้สมั ภาษณ์จะตอ้ งมีความรูใ้ นเรอื่ งที่จะไปสัมภาษณ์อย่างกว้างขวาง 1.3.5 ก่อนดำเนินการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องสร้างบรรยากาศรอบตัว เพ่ือไมใ่ ห้เกดิ ความอดึ อดั ใจแกผ่ ู้ถูกสัมภาษณ์ ทำใหผ้ ู้ตอบเกิดการระมดั ระวังตัวมากเกินไป 1.3.6 ควรจะให้เกยี รติแกผ่ ู้ถกู สมั ภาษณใ์ หเ้ ขารู้สึกวา่ มีความสำคญั 1.3.7 ดำเนินการสมั ภาษณ์ตามรายละเอียดในแบบฟอรม์ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

60 1.3.8 ใชภ้ าษาสภุ าพ ใชค้ ำง่าย ๆ รดั กุม ไม่ควรใช้ศัพทเ์ ทคนิค 1.3.9 ในการสมั ภาษณ์ควรจะถามครัง้ ละ 1 ปญั หา 1.3.10 อยา่ ใช้คำถามนำหรอื ชี้แนะคำตอบ 1.3.11 ผ้สู ัมภาษณ์จะต้องฟังมากกว่าพดู 1.3.12 ผูส้ ัมภาษณจ์ ะต้องไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ต่อคำตอบ 1.3.13 ถ้าจะใช้อุปกรณ์ในการบันทึก เช่น เทปบันทึกเสียงควรจะขออนุญาตผู้ถูก สัมภาษณเ์ สยี กอ่ น 1.3.14 อยา่ ใชเ้ วลาในการสัมภาษณ์นานเกนิ ไป 1.3.15 ก่อนจบการสัมภาษณ์ควรทบทวนคำถามและคำตอบอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความ ถกู ต้องและเช่ือถอื ได้ 1.4 ข้อดขี องการสัมภาษณ์ 1.4.1 ใชไ้ ด้กับคนทุกเพศ ทกุ วัย แม้ผทู้ อี่ า่ นหนังสือไม่ออก หรือเขยี นไม่ได้ก็สามารถให้ ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ได้ 1.4.2 การสัมภาษณ์เป็นการสร้างความเป็นกนั เองกับผู้สมั ภาษณ์โดยตรง 1.4.3 ผถู้ กู สัมภาษณส์ ามารถซักถามคำถามให้เข้าใจก่อนทจี่ ะตอบได้ 1.4.4 ขอ้ มลู ท่ไี ด้มีความเชื่อถือได้มากกว่าแบบสอบถาม 1.4.5 ผถู้ กู สัมภาษณ์มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและซักถามเม่ือไมเ่ ข้าใจได้ 1.4.6 ผูส้ ัมภาษณ์สามารถอ่านความรสู้ ึกนกึ คดิ ของผูใ้ หส้ ัมภาษณ์ในเร่ืองตา่ ง ๆ ได้ 8. แบบสังเกต (Observation) การสังเกต หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการรวบรวมข้อมูล เพื่อสังเกตภายใต้ สถานการณ์ที่ควบคุม การสังเกตมีบทบาทที่สำคัญมากในการประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง โดยเฉพาะ การสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียน โดยครู โดยผปู้ กครอง และเพ่ือนนกั เรยี น (Earl, 2003) 1. วิธกี ารสังเกต 1.1 การสังเกตโดยเข้าไปร่วม (Participant Observation) หมายถึง การสังเกตที่ ผู้สังเกตไปร่วมอยู่ในหมู่ผู้ที่ถูกสังเกต และมีการร่วมกระทำกิจกรรมกัน โดยผู้สังเกตเป็นสมาชิกผู้หนึ่ง ของกลุ่มนั้นด้วย การสังเกตวิธีน้ีจะได้ข้อมูลที่มีความเท่ียงตรงสูง แต่ต้องใช้ผู้สงั เกตที่มีความสามารถสูง และได้รบั การฝึกฝนมาอย่างดี แตก่ ารสังเกตอาจจะเกิดความคลาดเคลอ่ื นได้ เพราะผสู้ ังเกตท่ีเข้าไปร่วม กิจกรรมนั้นจะต้องแสดงบทบาทของการเป็นสมาชิกในกลุ่มจะลืมบทบาทของนักสังเกต ไม่ได้สังเกต พฤติกรรมที่ต้องการ อาจทำให้เสียโอกาสที่จะได้ข้อมูลเหล่านั้น หรือการเข้าไปร่วมกลุ่มนาน ๆ อาจจะ เกดิ ความลำเอียง เชน่ ความรสู้ กึ สงสาร เห็นอกเห็นใจ 1.2. การสังเกตโดยไม่เข้าไปร่วมกลุ่ม (Non-participant Observation) หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตอยู่นอกวงของผู้ถูกสังเกต การกระทำตนเป็นบุคคลภายนอก โดยไม่เข้าไปร่วม กิจกรรมที่กลุ่มกำลังทำกันอยู่ ผู้ถูกสังเกตไม่รู้ตัวว่ามีคนคอยสังเกตอยู่ จะได้พฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติ ไมเ่ สแสร้ง บางคร้ังอาจจะใชอ้ ุปกรณป์ ระกอบ เช่น โทรทศั น์วงจรปดิ หรอื กระจกมองทางเดยี ว 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

61 2. รปู แบบของการสงั เกต 2.1 การสังเกตแบบมีโครงสร้าง (Structured Observation) คือ การสังเกตที่กำหนด เค้าโครงไว้ล่วงหน้าว่าจะสังเกตอะไรบ้าง มีการวางเค้าโครงในการสังเกตไว้แน่นอน พร้อมทั้งเตรียม เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการสังเกตตามเค้าโครงที่เตรียมไว้ เช่น แบบสำรวจรายการ มาตราส่วน ประเมินค่า เปน็ ตน้ 2.2 การสังเกตแบบไม่มีเค้าโครงล่วงหน้า (Unstructured Observation) คือ การสังเกตที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ได้กำหนดเค้าโครงล่วงหน้า ไม่มีการควบคุมขอบเขต การสังเกต เป็นไปในลักษณะภาพรวมของขอบเขต การสังเกตจึงกว้างขวางมาก เหมาะที่จะใช้ศึกษาสภาพการณ์ ใหม่ ๆ ผู้สังเกตจะตอ้ งบันทึกเหตุการณ์ทุกอย่างทีเ่ กิดขึ้นใหม้ ากที่สุด โดยเริ่มบันทึกเหตุการณ์ตัง้ แต่เร่มิ สังเกตจนกระทงั่ ส้นิ สดุ การสงั เกต 3. เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการสงั เกต เคร่ืองมือที่ใช้ในการสังเกต เช่น แบบสำรวจรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า แบบบันทึก การสังเกตอาจจะแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ การสังเกตพฤติกรรมบุคคล การสังเกตผลงานของ บุคคล (Cohn and Manion, 1994) การสังเกตควรใช้เครื่องมือวัด หรือแบบประเมินให้สอดคล้องกับลักษณะที่จะประเมิน ดังน้ี 3.1 การสังเกตพฤติกรรมของบุคคล เช่น ทักษะในการอ่าน ฟัง ดู พูด เขียน หรือ อาจจะเป็นพฤติกรรม ด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ต่าง ๆ ควรใช้ แบบประเมินที่มีลักษณะเป็นแบบสำรวจรายการ หรือมาตราส่วนประเมินค่าตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ในตอนตน้ 3.2 การสังเกตผลงานของบุคคล ผลงานที่นักเรียนผลิตออกมา เช่น เรียงความ คัดลายมือ แต่งคำประพนั ธ์ การเขยี นรายงาน ฯลฯ ในการประเมนิ คณุ ภาพเพอื่ จะประเมินว่าผลงานของ นกั เรียนมคี ุณภาพมากน้อยเพยี งใด 3.3 ประเมินผลงานทีละชิ้น โดยการอ่านผลงานของนักเรียนทีละชิ้น แล้วประเมิน คณุ ภาพตามรายการที่กำหนด เชน่ ใช้แบบประเมนิ ท่ีมลี กั ษณะเป็นมาตราส่วนประเมินค่า 0563 305 การวดั และประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

62 ตวั อย่างแบบประเมินการย่อความ ตารางที่ 4.7 แบบประเมนิ การยอ่ ความ ชื่อ................................นามสกุล..........................ช้นั ......................เลขประจำตัว............................. หัวข้อเร่ือง .............................................................................................................................................. รายการทีป่ ระเมิน ระดับคะแนน 1 2 3 45 1. สว่ นข้นึ ต้นของยอ่ ความ 2. การจบั ใจความสำคัญ 3. การคดั พลความ 4. การใชส้ ำนวนภาษาของตนเอง 5. การใชป้ ระโยคถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ 6. การเวน้ วรรคตอน 7. ความเปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ย 8. การใชค้ ำอย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม รวม ท่ีมา : ประพนธ์ เรืองณรงค์ และคณะ (2545) 3.4 ประเมินผลงานโดยการจัดอันดับ ทำได้โดยการตรวจผลงานของนักเรียนและ จัดเป็นกลุ่มตามคุณภาพ เช่น กลุ่มดี กลุ่มปานกลาง กลุ่มไม่ค่อยดี หลังจากนั้นให้นำกลุ่มดีมาแจกแจง เป็นกลุ่มดีมากที่สดุ ดีมาก และดี แล้วนำกลุ่มปานกลางมาแจกแจงจัดอันดับเป็นกลุ่มเกอื บดี ปานกลาง และเกือบไมค่ อ่ ยดี ส่วนกลมุ่ ไมค่ อ่ ยดีกน็ ำมาจดั อนั ดบั เป็น 3 กล่มุ อีก ถา้ ทำดังนี้จะได้ผลงานของนักเรียน เรียงตามลำดับคุณภาพทั้งหมดเป็น 9 กลุ่ม หรือจะเริ่มจัดกลุ่มผลงานตามคุณภาพเป็น 5 กลุ่ม ในตอนแรก เช่น แจกแจงเป็น 5 กลมุ่ คือ ดมี าก ดี ปานกลาง ไม่ค่อยดี ยังใชไ้ ม่ได้ ในการจัดเรียงอันดับ คุณภาพของผลงานเป็นกลุ่ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นกี่กลุ่มก็ตาม หลังจากจัดกลุ่มแล้วก็จะให้คะแนนตามระดับ คุณภาพผลงานในกลุ่มเดียวกันจะได้คะแนนเท่ากัน การกำหนดระดับคะแนนนั้นควรกำหนดเกณฑ์ ในการใหค้ ะแนนด้วย เพอ่ื เรยี งลำดับลดหล่นั ตามคุณภาพของผลงาน 4. หลักในการสังเกต 4.1 เตรยี มตวั หาความร้ใู นเร่ืองท่จี ะไปสังเกตให้มากท่สี ุด 4.2 เตรียมเครอื่ งมอื ที่จะไปบนั ทึกให้พรอ้ ม 4.3 จะต้องมีการฝึกซ้อมการสังเกตล่วงหน้าโดยเฉพาะถ้ามีผู้สังเกตหลายคนจะต้องมี การซกั ซ้อมการสังเกตใหม้ รี ูปแบบเดยี วกัน 4.4 การสงั เกตควรกระทำดว้ ยความระมัดระวัง และจดจอ่ เปน็ พิเศษ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

63 4.5 ต้องบันทึกผลการสังเกตโดยทันที หรือโดยเร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการลืมและ ความลำเอยี งทอี่ าจเกดิ ขึ้นในภายหลัง 5. ขอ้ ดีของการสังเกต 5.1 เก็บข้อมูลจากเหตุการณท์ เี่ กดิ ขึ้นจรงิ ได้ทนั ที 5.2 เก็บข้อมูลท่กี ล่มุ ตวั อยา่ งไมไ่ ด้เล่าให้ฟงั เพราะคิดว่าเปน็ สงิ่ ท่ไี มส่ ำคญั 5.3 ช่วยเก็บข้อมูลบางอย่างที่กลุ่มตัวอย่างไม่เต็มใจจะบอกเล่า อาจจะไม่แน่ใจใน ข้อเท็จจริง หรือเพราะกลัวว่าการบอกเล่าข้อเท็จจริงจะเป็นภัยแก่ตนเอง หรือเป็นการผิดระเบียบ ขอ้ บังคับ หรอื เปน็ การเสอื่ มเสยี บุคลกิ ลักษณะของตนเอง 5.4 การสงั เกตเปน็ ประสบการณต์ รงทำให้ได้ขอ้ มูลปฐมภูมิ ซึง่ เปน็ ข้อมลู ที่เชอื่ ถือได้ 5.5 การสังเกตช่วยเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในการสนับสนุน หรือคัดค้านกับข้อมูลที่เก็บโดย วธิ อี ื่น 6. ขอ้ เสียของการสงั เกต 6.1 เสยี เวลาและส้ินเปลอื งคา่ ใช้จา่ ยในการเก็บข้อมูล 6.2 ไม่สามารถเก็บข้อมูลโดยการสังเกตได้ ถ้าเหตุการณ์ที่เราต้องการสังเกตไม่เกิดข้ึน ในระยะเวลาที่เก็บข้อมูล 6.3 การสังเกตไม่สามารถเก็บข้อมูลบางอย่างที่เจ้าของเหตุการณ์ไม่ให้ความร่วมมือ เช่น เรื่องสว่ นตวั เร่อื งภายในครอบครัว 6.4 การสังเกตอาจจะไม่ได้ข้อมูลครบถ้วน ถ้าเหตุการณ์นั้นมีขอบเขตกว้าง มีบุคคลที่ เกี่ยวข้องมาก เพราะผู้สังเกตไม่สามารถอยู่ในหลาย ๆ แห่งพร้อมกันได้ในเวลาเดียว และผู้สังเกต ไมส่ ามารถเพง่ เล็งให้ความสนใจบคุ คลหลาย ๆ คนไดพ้ ร้อมกัน 7. ความเทยี่ งตรงและความเชอ่ื มนั่ ของการสงั เกต ความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของการสังเกตจะขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของผู้สังเกต และวิธีการสังเกตเป็นสำคัญ ความสามารถของผู้สังเกตที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มีความรู้ ไม่มีอคติ และดำเนินการสังเกตโดยยึดถือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ 9. แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) แฟ้มสะสมผลงานของนักเรียน คือ การสะสมผลงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อแสดงถึงผลงาน ความกา้ วหน้า และสัมฤทธ์ผิ ลของนักเรียนในส่วนหน่ึง หรือหลายส่วนของการเรียนรู้ในวิชา การรวบรวม งานจะต้องครอบคลุมถึงการที่นักเรียนมีส่วนร่วมในการเลือกเนื้อหา เกณฑ์การคัดเลือก และเกณฑ์ การตัดสินให้ระดับคะแนน รวมทั้งเป็นหลักฐานที่สะท้อนการประเมินตนเองของนักเรียนด้วย (สำนกั วิชาการและมาตรฐานทางการศกึ ษา, 2557) แฟ้มสะสมผลงานของนักเรียนจึงเป็นแหล่งเก็บผลงาน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงถึง ความพยายาม ความก้าวหน้า หรือความสัมฤทธิ์ผลในการเรียนรู้เนื้อหาวิชาต่าง ๆ ให้แก่นักเรียนหรือ บุคคลที่เกี่ยวข้องได้ทราบ แฟ้มสะสมผลงานของนักเรียนทั้งครูและนักเรียนร่วมกันสร้างด้วยกัน โดยนกั เรียนเปน็ ผเู้ ลือกเนอ้ื หาสาระในการสรา้ งแฟ้มสะสมผลงานภายใต้คำแนะนำของครู โดยทัง้ ครูและ นกั เรียนตา่ งก็มีความรับผิดชอบร่วมกันในการกำหนดความเหมาะสมของเนื้อหาสาระ และวิธีให้คะแนน 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวิชาภาษาไทย

64 ดังนั้นแฟ้มสะสมผลงานของนักเรียนประกอบด้วยผลงานของนักเรียนที่หลากหลายและมากเพียงพอ เพื่อใช้ในการประเมิน เพื่อปรับปรุงผลการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้น การเก็บรวบรวมผลงานบรรจุไว้ใน แฟม้ ต้องครอบคลมุ ลักษณะดังตอ่ ไปน้ี 1. นกั เรียนต้องมีส่วนร่วมในการคดั เลอื กรายการตา่ ง ๆ ไว้ในแฟม้ สะสมผลงาน 2. มีเกณฑ์สำหรับการคัดเลือก มีเกณฑ์สำหรับตัดสินผลงาน และหลักฐานแสดงผลการ ประเมนิ ตนเอง 1. ประเภทของแฟ้มสะสมผลงาน แฟ้มสะสมผลงานเป็นเทคนิคการวัดและประเมินผลที่สะท้อนความรู้ความสามารถท่ี แท้จริงของนักเรียน สำนักวิชาการและมาตรฐานทางการศึกษา (2557) ได้แบ่งประเภทของแฟ้มสะสม ผลงานไวด้ ังน้ี 1. แบง่ โดยใชล้ ักษณะงานเป็นเกณฑ์ ประกอบดว้ ย 1.1 แฟ้มสะสมผลงานส่วนบุคคล (Personal Portfolio) เป็นแฟ้มส่วนตัวของ บุคคลที่ใช้เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ของตนเอง เป็นข้อมูลเฉพาะของแต่ละคน เช่น ประวัติการทำงาน ผลงานต่าง ๆ ความสนใจ เป็นต้น ถ้าเป็นแฟ้มสะสมผลงานของนักเรียนก็จะมุ่งเน้นถึงผลงานต่าง ๆ ที่นักเรียนได้คัดเลือกเก็บเอาไว้เพื่อแสดงความสามารถของตนเอง อาจจะเป็นแบบฝึกหัดการทดลอง การเขียน การแสดงออก การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ผลงานที่นักเรียนชื่นชอบ ความภูมิใจ ความสนใจ ความมงุ่ หวงั เป็นตน้ 1.2 แฟ้มสะสมผลงานวิชาการ (Academic Portfolio) แฟ้มสะสมผลงาน วิชาการ (Academic Portfolio) เป็นแฟ้มที่ใช้เก็บรวบรวมผลงานทางวิชาการ มุ่งเน้นเฉพาะการเรียน การสอน เป็นแฟ้มที่จัดทำขึ้นสำหรับผู้เรียน บางครั้งเรียกว่าแฟ้มสะสมผลงานของนักเรียน (Student Portfolio) แฟ้มนี้จะเก็บสะสมผลงานที่เกิดจากการเรียนของนักเรียนโดยที่นักเรียนเป็นผู้คัดเลือก ผลงาน ผลงานนี้ใช้ประกอบในการประเมินผลการเรียนระหว่างภาค และการประเมินผลปลายภาคได้ เปน็ อยา่ งดี 1.3 แฟ้มสะสมผลงานวิชาชีพ (Professional Portfolio) เป็นแฟ้มที่ใช้เก็บ รวบรวมผลงานด้านอาชีพ การทำงานของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในหน่วยงานต่าง ๆ เช่น แฟ้มสะสม ผลงานของพนักงาน แฟ้มการบรหิ ารงาน แฟม้ ปฏบิ ัติงาน แฟ้มคดั เลอื กบุคลากร แฟ้มความดีความชอบ เป็นตน้ 2. แบ่งโดยใชร้ ะยะเวลาเป็นเกณฑ์ ประกอบด้วย 2.1 แฟ้มสะสมผลงานระยะสั้น เป็นแฟ้มสะสมผลงานที่จัดขึ้นเพื่อคัดเลือก ผลงานไวป้ ระเมินในระยะสั้น ๆ อาจจะเป็น 2-3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน แฟ้มที่จัดทำอาจจะเปน็ แฟ้มเชิง วิชาการหรือแฟ้มการทำงานกไ็ ด้ 2.2 แฟ้มสะสมผลงานระยะยาว เป็นแฟ้มที่จัดทำขึ้นเพื่อคัดเลือกผลงานไว้ เช่นกัน แต่เป็นการประเมินในระยะยาวอาจจะเป็นตลอดเทอม หรือตลอดปีการศึกษาก็ได้ เป็นการ ประเมนิ ผลรวมเพอ่ื ตดั สนิ ใจ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

65 3. แบง่ โดยใชจ้ ำนวนผรู้ ว่ มเปน็ เกณฑ์ ประกอบดว้ ย 3.1 แฟ้มสะสมผลงานรายบุคคล เป็นแฟ้มทจ่ี ดั ทำขึน้ เพ่ือรวบรวมผลงานส่วนตัว เปน็ รายบุคคล อาจจะเปน็ แฟม้ ระยะส้ันหรือระยะยาวกไ็ ด้ 3.2 แฟ้มสะสมผลงานกลุ่ม เป็นแฟ้มที่จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมผลงานเป็นกลุ่ม เน่ืองจากงานบางชนิดตอ้ งทำเปน็ กลมุ่ จึงจำเปน็ ต้องมกี ารประเมนิ ผลงานเปน็ กลุ่มจากทไ่ี ด้รวบรวมไว้ นอกจากนี้ อุทมุ พร จามรมาน (2540) ได้จำแนกชนิดของแฟม้ สะสมผลงานไวด้ ังน้ี 1. แฟ้มสะสมผลงานที่แสดงความรู้ความสามารถเฉพาะเรื่อง เช่น ความรู้ ความสามารถในการบวกเลข ความรู้ความสามารถในการอ่านบทความทั่วไป ความรู้ความสามารถ ในการทดลองเคมบี างอย่าง 2. แฟ้มสะสมผลงานที่แสดงความรู้ความสามารถตลอดหลักสูตร ซึ่งอาจจะ ประกอบด้วยแฟ้มย่อยหลายแฟ้ม เช่น แฟ้มที่แสดงความรู้ความสามารถในกลุ่มทักษะภาษา ทักษะ คณิตศาสตร์ ทักษะทางสังคม ทักษะทางวิทยาศาสตร์ ลักษณะนิสัย ซึ่งในกรณีนี้จะใช้ได้กับโรงเรียนท่ี ปรับการเรียนการสอนเป็นกลุ่มเนื้อหาวิชา และแฟ้มแต่ละแฟ้มสะท้อนผลสัมฤทธิ์ที่สำคัญของ กลุ่มเนอ้ื หาวิชาการเหล่านี้ 2. ส่วนประกอบของแฟ้มสะสมผลงาน ส่วนที่ 1 ส่วนประกอบตอนต้น ประกอบด้วย ปก คำนำ สารบัญชิ้นงาน ประวัติผู้ทำ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ แผนการศึกษา การเพิ่มหรอื นำชิ้นงานออก เปน็ ต้น ส่วนที่ 2 ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วยชิ้นงานที่สร้างขึ้น รายละเอียดของการทำงาน เวลาที่ใช้ในการทำงาน การบันทึกผลงานการทำงาน การตรวจให้คะแนนผลงาน ความคิดเห็นเกี่ยวกับ งาน สว่ นท่ี 3 ส่วนประกอบตอนทา้ ย ประกอบดว้ ย เกณฑก์ ารตัดสนิ ผลงาน ผลการประเมิน ของครู เพื่อน และผู้ปกครอง รวมทั้งการประเมินผลตนเองของนักเรียน และผลจากการประชุมแฟ้ม ผลงาน 3. การประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน การประเมินผลโดยใชแ้ ฟ้มสะสมผลงานเป็นวิธีหนงึ่ ในการประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง (Authentic Assessment) โดยเริ่มต้นที่กระบวนการในการจัดทำแฟ้มสะสมผลงาน มีแนวทางในการ จัดทำได้หลายรปู แบบทีค่ รสู ามารถเลือกมาใช้ ในที่นี้จะเสนอข้ันตอนในการจัดทำแฟ้มสะสมผลงานเปน็ 10 ขัน้ ตอน (Creswell, 2015) ดงั น้ี ขนั้ ท่ี 1 กำหนดจดุ ประสงคแ์ ละประเภทของแฟ้มสะสมผลงาน 1. กำหนดจุดประสงค์ของแฟ้มสะสมผลงานเพื่อให้ผู้เรียนได้ประเมินตนเอง เพื่อบรรลุจุดหมายของหลักสูตร เพื่อตอบสนองจุดประสงค์ที่หลากหลาย และเพื่อประเมิน ความรับผิดชอบของครู 2. กำหนดประเภทของแฟ้มผลงาน เช่น แฟ้มผลงานส่วนบุคคล แฟ้มผลงาน เชิงวิชาการ และแฟ้มผลงานเชิงวิชาชีพ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

66 ขน้ั ท่ี 2 รวบรวมชิ้นงาน และจัดการชน้ิ งาน 1. แหล่งเก็บผลงานในการรวบรวมข้อมูลมีวัสดุ และแหล่งจัดเก็บหลายแบบ เช่น แฟม้ แขวน สมดุ งาน แฟม้ หลากสี แฟ้มขยาย กลอ่ ง อลั บั้ม แผน่ ดิสก์ 2. ชิ้นงานในกระบวนการดำเนินงานมีขั้นตอนที่จำเป็น 3 ขั้นตอน คือ การรวบรวมชิ้นงานไว้ในแฟ้มสะสมผลงานระหว่างดำเนินการ การเลือกชิ้นงานใส่แฟ้มสะสมผลงานที่ สมบูรณ์ และการสะทอ้ นขอ้ มูลยอ้ นกลบั 3. เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ประกอบการรวบรวมในการจัดทำแฟม้ สะสมผลงาน ไดแ้ ก่ สลิป จดุ สี สารบญั ทะเบียนชน้ิ งาน การตรวจสอบความสามารถด้วยตนเอง ประวตั ขิ องงาน ดชั นี และการให้ ขอ้ มลู ย้อนกลบั ขั้นท่ี 3 เลอื กช้ินงาน โดยมีแนวทางในการเลอื ก ดงั น้ี 1. ชิ้นงานที่ควรเลือก ควรเป็นชิ้นงานที่แสดงถึงความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาที่เรียน เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ โดยผู้สอน และผู้เรียนต้องเลือกชิ้นงานที่เป็นตัวแทนของ กระบวนการเรียนรู้ เนน้ ทักษะท่เี รียนจรงิ ๆ เช่น การพดู การฟงั การอา่ น เพื่อให้มีความหลากหลายทาง สติปญั ญา 2. ชิ้นงานที่เลือก ควรคำนึงถึงมาตรฐานการศึกษา โดยกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน ว่าชิ้นงานที่เลือกต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ครูและนักเรียนร่วมกันกำหนด หรือเกณฑ์มาตรฐาน ระดบั ชาติ 3. ผู้เลือกชิ้นงาน คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานบังคั บบัญชา ตัวนักเรียนเอง ครผู สู้ อน ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั เพ่ือนของนักเรยี น ผปู้ กครอง 4. การกำหนดเวลาในการเลือกชิ้นงาน เช่น วันประชุมผู้ปกครอง จบบทเรียน หนว่ ยหนงึ่ ๆ ทุก ๆ ภาคเรยี น ส้นิ ปี การสะสมเพือ่ ข้ึนปีต่อไป ขนั้ ท่ี 4 สรา้ งสรรค์ผลงาน 1. การจัดแต่งปกของแฟ้มสะสมผลงาน สามารถสร้างสรรค์โดยใช้วัสดุและ อุปกรณต์ า่ ง ๆ ประกอบ 2. การจดั รปู แบบของแฟม้ ควรมกี ารวางแผนไว้ลว่ งหนา้ 3. การจัดวางหน้าและการตกแตง่ สามารถสรา้ งสรรค์ไดห้ ลายวิธี 4. การแสดงถึงความรู้สึกและความตั้งใจ ให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น สะท้อนออกมาในการพัฒนาแฟ้มของตนเอง ข้นั ที่ 5 การสะท้อนขอ้ มลู กลับ 1. มกี ารวางแผน เพือ่ ให้นกั เรยี นมีความแจ่มชัดเก่ียวกบั เปา้ หมายของช้ินงาน 2. การติดตาม ในการรวบรวมชิ้นงานนักเรียนต้องใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ จะต้องพิจารณาไตรต่ รอง การใหค้ ำวิพากษ์วจิ ารณเ์ ป็นการยอ้ นการคิด 3. การประเมิน เช่น ควรมีประวัติหรือเรื่องราวสั้น ๆ เกี่ยวกับชิ้นงานท่ี เพิม่ เข้ามาหรอื เอาออก ขน้ั ท่ี 6 ตรวจสอบความสามารถของตนเอง 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

67 1. การเริ่มต้นสร้างเกณฑ์ และการตรวจสอบ โดยมีแบบสำรวจรายการที่ สามารถตรวจสอบดว้ ยตนเอง 2. การต้งั จุดมงุ่ หมาย เมอ่ื เร่มิ ต้นตดิ ตามการประเมินด้วยตนเองจะเป็นโอกาสให้ นกั เรยี นไดต้ ัง้ จุดมุ่งหมายของตนเอง 3. การตดั สนิ ใจข้นั สุดท้าย โดยการตรวจสอบเกณฑ์และประเมินตนเอง ข้นั ที่ 7 ประเมินค่าของผลงาน โดยมที างเลือกในการประเมนิ ดังนี้ 1. ไม่ให้เกรด แฟ้มผลงานบางอย่างพอใจที่จะดูพัฒนาการของนักเรียน ใช้เพื่อแสดงพัฒนาการด้านต่าง ๆ ตลอดเวลาของนักเรียน การคิดย้อนกลับเกี่ยวกับการทำงาน เหตุผล ในการเลือกชนิ้ งานแสดงให้เห็นสิ่งที่สำคัญท่ีสุด 2. การใหเ้ กรด เช่น ให้เกรดกอ่ นนำไปเขา้ แฟ้ม หรอื ทำการเลอื กช้ินงานเพื่อการ ใหเ้ กรด หรอื การใหเ้ กรดงานแต่ละช้นิ หรืออาจจะใหเ้ กรดเดียวสำหรับแฟม้ สะสมผลงานท้งั ฉบับ ขัน้ ที่ 8 สรา้ งความสมั พนั ธ์ การสร้างแฟ้มสะสมผลงานควรเปิดโอกาสให้บุคคลอื่น ๆ เช่น เพื่อน ครู ผู้ปกครอง หรือผู้สนใจได้มาประเมิน วิเคราะห์ วิจารณ์ ทำได้โดยการประชุมแฟ้มสะสมผลงาน เป็นการ เปิดโอกาสให้ผ้สู นใจไดร้ ับรแู้ ละอภิปรายถึงผลงานของนักเรียน ข้นั ท่ี 9 การทำให้มคี ุณคา่ การนำเข้าหรือเอาออกจะทำให้ชิ้นงานเป็นปัจจุบัน และสะท้อนอดีตของ การทำงานทแี่ สดงถงึ ความสามารถข้ันสงู เป็นการปรบั เพื่อใหท้ ันสมัย หรอื ปรับเพ่ือนำไปใช้ ข้นั ที่ 10 ประชาสัมพันธ์ผลงาน เพื่อให้คุณค่าของการใช้แฟ้มสะสมผลงานขยายขึ้นอย่างกว้างขวางในโรงเรียน ต่าง ๆ การจัดนิทรรศการแฟ้มสะสมผลงานอาจจะเป็นสื่อเชื่อมความสัมพันธ์ได้ดี เป็นการแสดง ความสามารถและผลงานของนกั เรียน 4. การสร้างเกณฑป์ ระเมินแฟม้ สะสมผลงาน เกณฑ์ในการประเมินจำเป็นต้องกำหนดให้ชัดเจน เพื่อสะท้อนผลงานหรือ ความสามารถของนักเรียน ในการสร้างเกณฑ์สำหรับตดั สินผลงานของนกั เรียนมีกระบวนการดงั ต่อไปนี้ (Ary, Jacob and Razavich, 1990) 1. ศึกษานิยามคุณภาพของชิ้นงาน การกำหนดคุณภาพหรือมิติหรือองค์ประกอบ การประเมิน 2. รวบรวมเกณฑก์ ารให้คะแนนท่ีใช้ในการประเมินในดา้ นต่าง ๆ 3. รวบรวมตัวอยา่ งของนักเรยี นกบั ผู้เชยี่ วชาญว่ามีลักษณะแตกต่างจากคุณภาพสูง ไปต่ำ 4. นำคุณลักษณะหลักที่สำคัญมาจำแนกคุณภาพงานเป็นกลุ่ม ๆ แล้วเขียน คำอธบิ ายลกั ษณะสำคญั เหลา่ นน้ั แลว้ กำหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนน (Rubric) 5. นำชิ้นงานของนักเรียนมารวมให้คะแนนกับเกณฑ์การให้คะแนนและปรับปรุง แก้ไขจนเกิดความม่ันใจวา่ คะแนนที่ได้จากการรวมตามเกณฑ์ความสามารถใชแ้ ทนการระบุคุณภาพของ ช้ินงานได้ เชน่ 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

68 - ความเข้าใจในงานท่ีทำ ใหค้ ะแนนตามคุณภาพของงาน 1 คะแนน หมายถงึ ไมม่ ีความเขา้ ใจทั้งหมด 2 คะแนน หมายถงึ เขา้ ใจบางสว่ น 3 คะแนน หมายถงึ เข้าใจ 4 คะแนน หมายถงึ สรุปอา้ งองิ ได้ ประยกุ ต์ใชไ้ ด้ ขยายความคดิ ได้ - คณุ ภาพวิธีการทำ 1 คะแนน หมายถึง วธิ กี ารไม่เหมาะสม 2 คะแนน หมายถงึ แนวทาง วธิ ีการเหมาะสมบางอย่าง 3 คะแนน หมายถงึ แนวทาง วิธกี ารใช้ได้ดี 4 คะแนน หมายถึง แนวทาง วธิ ีการดี มีประสิทธภิ าพ ตัวอย่างการประเมินด้วยแฟ้มสะสมผลงาน ตารางที่ 4.8 การประเมินการเขยี นเรยี งความ การประเมิน “การเขียนเรยี งความ” ชอื่ เลขท่ี ช้ัน ผปู้ ระเมิน วนั /เดอื น/ปี ท่ปี ระเมนิ ความสามารถ ความสามารถ ความสามารถ ความสามารถในการเรียบ งานชิ้นท่ี ในการเขียนเน้ือหา ในการใชค้ ำ ในการใช้สำนวนโวหาร เรยี งประโยคและวรรคตอน 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 341 2 3 4 1 2 3 4 ทม่ี า : อัฐพล อนิ ต๊ะเสนา (2561) เกณฑก์ ารประเมนิ - ความสามารถในการเขียนเนื้อหา 4 คะแนน หมายถงึ ถกู ต้องตามข้อเทจ็ จรงิ สือ่ ความหมายไดช้ ัดเจน ให้เหตุผล อย่างเหมาะสม 3 คะแนน หมายถึง เขียนไม่ถกู ต้องตามข้อเท็จจริง หรอื สอ่ื ความหมายไม่ชัดเจน แตม่ กี ารใหเ้ หตุผลประกอบเหมาะสม 2 คะแนน หมายถงึ เขยี นไม่ถูกต้องตามข้อเทจ็ จริง หรอื ส่ือความหมายไมช่ ดั เจน และให้เหตผุ ลประกอบไมเ่ หมาะสม 1 คะแนน หมายถงึ เขยี นไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง สอ่ื ความหมายไมช่ ดั เจนและ ไมใ่ หเ้ หตผุ ลประกอบ 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

69 - ความสามารถในการใชค้ ำ 4 คะแนน หมายถงึ การสะกดคำถูกต้อง การใช้คำถูกตอ้ งและเหมาะสม 3 คะแนน หมายถงึ การสะกดคำผิด หรือ การใชค้ ำไม่ถูกต้อง 1 ท่ี 2 คะแนน หมายถึง การสะกดคำผิด หรอื การใช้คำไมถ่ ูกตอ้ ง 2 ท่ี 1 คะแนน หมายถงึ การสะกดคำผดิ หรือ การใช้คำไม่ถูกต้องมากกวา่ 2 ท่ี - ความสามารถในการใช้สำนวนโวหาร 4 คะแนน หมายถึง มคี วามเหมาะสม 3 คะแนน หมายถงึ ไม่เหมาะสม 1 ที่ 2 คะแนน หมายถงึ ไม่เหมาะสม 2 ที่ 1 คะแนน หมายถงึ ไมเ่ หมาะสมมากกว่า 2 ท่ี - ความสามารถในการเรียบเรียงประโยคและวรรคตอน 4 คะแนน หมายถึง เรยี บเรียงประโยคและวรรคตอนถกู ต้อง 3 คะแนน หมายถึง เรยี บเรียงประโยคหรอื วรรคตอนไม่ถูกต้อง 1 ท่ี 2 คะแนน หมายถึง เรยี บเรียงประโยคหรือวรรคตอนไม่ถูกต้อง 2 ที่ 1 คะแนน หมายถึง เรียบเรียงประโยคหรอื วรรคตอนไม่ถูกต้องมากกวา่ 2 ท่ี 10. สรุป เครื่องมือหรือเทคนิคที่ใช้ในการวัดผลการเรียนรู้แต่ละชนิดใช้วัดพฤติกรรมทางการศึกษา ที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ใช้เครื่องมือจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด และเครื่องมือ แต่ละชนิดมิได้ใช้วัดได้ทุกลักษณะพฤติกรรม บางครั้งอาจใช้เครื่องมือหลายชนิดประกอบกันเพื่อจะวัด พฤติกรรมเพียงลกั ษณะใดลักษณะหนึ่งเทา่ น้ัน อย่างไรก็ตามมีเครื่องมือหลายชนดิ จะช่วยใหส้ ามารถวัด พฤติกรรมผเู้ รยี นได้ครบท้ัง 3 ดา้ น คือ ดา้ นพุทธิพสิ ยั ดา้ นจติ พสิ ยั และดา้ นทักษะพสิ ัย เคร่ืองมือที่ใช้ใน การวัดผลบางอยา่ งไม่จำเป็นต้องวัดออกมาเป็นคะแนน ทั้งน้ขี น้ึ อยู่กับพฤติกรรมที่ต้องการวัดหรือข้อมูล ท่ีต้องการ เช่น การสงั เกต การสัมภาษณ์ เครื่องมือวัดผลทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลการใช้เครื่องมือที่ดีในการรวบรวมข้อมูลย่อมทำให้ได้ ข้อมูลที่ดี มีคุณภาพ เชื่อถือได้ ซึ่งจะนำไปสู่การประเมินผลที่ดี ด้วยเครื่องมือวัดผลที่ดีมีลักษณะ คือ มีความเที่ยงตรง มีความเชื่อมั่น มีประสิทธิภาพ มีความเป็นปรนัย มีความยุติธรรม ใช้คำถามยั่วยุ ถามจำเพาะเจาะจง ถามลกึ ซึง้ มรี ะดบั ความยาก และมีอำนาจการจำแนก 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย

70 คำถามท้ายบทที่ 4 1. จงอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับเครื่องมือในการวัดผลการเรียนรู้ภาษาไทยประเภทต่าง ๆ พร้อมท้ัง ยกตัวอย่างประกอบให้ถูกตอ้ ง 2. จงออกแบบเครอื่ งมอื ในการวัดผลการเรยี นรภู้ าษาไทย ตามหัวขอ้ ต่อไปนี้ 2.1 แบบทดสอบ (Test) 2.2 แบบวดั บุคลิกภาพ (Personality Test) 2.3 แบบวดั เจตคติ (Attitude) 2.4 แบบสำรวจรายการ (Checklist) 2.5 แบบประเมินแบบมาตราสว่ นประเมินคา่ (Rating Scale) 2.6 แบบสอบถาม (Questionnaire) 2.7 แบบสัมภาษณ์ (Interview) 2.8 แบบสงั เกต (Observation) 2.9 แฟม้ สะสมผลงาน (Portfolio) 0563 305 Measurement and Evaluation of Thai Language

71 เอกสารอา้ งองิ คณาจารย์ภาควชิ าวจิ ยั และพฒั นาการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. (2563). การ วัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา. พมิ พ์ครงั้ ที่ 5. มหาสารคาม : ตักศิลาการพิมพ์. ประพนธ์ เรืองณรงค์ และคณะ. (2545). กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช่วงชั้นที่ 2 ประถมศึกษา ปที ี่ 4-6. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประสานสานมติ ร. ประสาท เนอื งเฉลิม. (2564). วิจัยการเรยี นการสอน. พิมพ์ครัง้ ท่ี 5. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2543). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สุวีรยิ าสาสน์ . สมนกึ ภัททยิ ธนี. (2553). การวดั ผลการเรียนรู.้ พิมพ์ครง้ั ท่ี 7. กาฬสนิ ธุ์ : ประสานการพมิ พ.์ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2557). แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกัด. สําลี รักสุทธี. (2544). เทคนิควิธีการจัดการเรียนและเขียนแผนการสอน โดยยึดผู้เรียนเป็นสําคัญ. กรงุ เทพฯ : พฒั นาศึกษา. อัฐพล อินต๊ะเสนา. (2561). เอกสารประกอบการสอน เรื่อง การวัดและประเมินผลวิชาภาษาไทย. มหาสารคาม : โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. อุทุมพร จามรมาน. (2540). การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับนิสิตนักศึกษาครูในสังคม เทคโนโลยีสารสนเทศ. กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. Ary, D., Jacob, L.C. and Razavich, A. (1990). Introduction to Research in Education. 4th ed. Fort Worth : Holt, Rinehart and Winston, Inc. Best, J. and Kahn, J.V. (1993). Research in Education. 7th ed. Boston : Allyn and Bacon. Borg, W.R. and Gall, M.D. (1989). Educational Research : An Introduction. 5th ed. New York : Longman. Cohn, L. and Manion, L. (1994). Research Methods in Education. London : Croom Helm. Creswell, J.W. (2015). A Concise Introduction to Mixed Methods Research. Thousand Oaks, CA : Sage Publications, Inc. Earl, L. (2003). Assessment as Learning: Using Classroom Assessment to Maximize Student Learning. Thousand Oaks, CA : Corwin Press. Faul, F. and others. (2007). G*Power 3: A Flexible Statistical Power Analysis Program for Social, Behavioral and Biomedical Sciences. Behavior Research Methods. 39(2), 175-191. 0563 305 การวัดและประเมินผลรายวชิ าภาษาไทย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook