คมู่ ือหลกั สูตรทอ้ งถ่นิ แบบบูรณาการ การปรับตวั ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู ิอากาศ พื้นทต่ี ำบลโคกกอ่ อำเภอเมอื งมหาสารคาม จังหวดั มหาสารคาม เครอื ข่ายนักวิจัยสหวทิ ยาการ หน่วยปฏิบตั กิ ารวิจยั การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู ิอากาศ การบรรเทา และการปรับตัว (CMARE) คณะสง่ิ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
คมู่ ือหลกั สูตรท้องถ่นิ “การปรับตวั ตอ่ การเปลีย่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ” สำหรบั พน้ื ท่ีตำบลโคกกอ่ อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวดั มหาสารคาม @สงวนลิขสทิ ธิ์ โดยเครอื ขา่ ยหน่วยปฏบิ ัตกิ ารวจิ ัยการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู ิอากาศ การบรรเทา และการปรับตวั (CMARE) พมิ พค์ รงั้ ที่ 1 เดอื นพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 จำนวน 3 เล่ม พิมพ์ครงั้ ที่ 2 เดอื นสิงหาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 3 เล่ม ทป่ี รึกษา ผู้อำนวยการโรงเรยี นโคกกอ่ พิทยาคม นายทรงศักด์ิ กะตารตั น์ รองผอู้ ำนวยการโรงเรยี นโคกก่อพทิ ยาคม นายทศพร ภูผาธรรม คณะพี่เล้ียงพัฒนาหลักสตู ร อาจารย์ ดร.ธายกุ ร พระบำรุง คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม อาจารย์ ดร.พิมพ์พร ภคู รองเพชร คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม อาจารย์ ดร.อัจฉริยา อิสสระไพบลู ย์ คณะการบัญชแี ละการจดั การ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ครอู อกแบบหลกั สูตรและนำไปใช้ในการจัดการเรียนและการสอน นางชตุ มิ า นันทะแสน กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นางสุภาพร ลาโยธี กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นางสุกัญญา ทิพรกั ษ์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นางกฤษณา นนั ขนั ตี กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นางแพรวชมภู ประมลู จักโก กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ดร.ศิรชิ ัย ทัพขวา กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม นายศุภชัย สยุ อย กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม นางกัญญา นนั ตะนะ กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย นางพจนีย์ ศรีจันทร์ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย คณะครูภูมปิ ัญญา หวั หน้ากลมุ่ เกษตรกร นายอรัญ คำสิงห์ ปราชญท์ อ้ งถิ่น นายสมหมาย พิมพ์สวรรค์ หมอยาสมุนไพร นางพรทิพย์ ศักดาราช หัวหน้ากลุ่มแมบ่ า้ น นางอมรศิลป์ มาฆะเซน็ ต์ ผ้ใู หญ่บ้าน นางราตรี แสนตรี กลมุ่ แมบ่ า้ นเพาะเหด็ บา้ นหนองหนิ นางเขม็ ทอง บุญทันแสน สมาชิกสภาองคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลโคกกอ่ นายต่อต้าน อุทัยดา ปราชญส์ มุนไพร นายประเทอื ง ศกั ดาราช ปราชญท์ อผา้ นางพ้วั นนทะคำจนั ทร์ ปราชญ์ทอผ้า นางบญุ ทุน จันทร ออกแบบกราฟกิ สาขาวิชาเทคโนโลยมี ัลตมิ ิเดยี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ศรีปทมุ อาจารย์เอกลกั ษณ์ แสงเดือนฉาย บุคลากรทางการศึกษา โรงเรยี นผดงุ นารี นายธนกิจ ฤทธิ์ศรี หนว่ ยงานสนับสนนุ สำนักงานปลัดกระทรวงการอดุ มศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวัตกรรม (สป.อว)
ก คำนำ เครือข่ายหน่วยปฏิบัติการวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบรรเทา และการปรับตัว (CMARE) ได้พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นแบบบูรณาการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ครูในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และกลุ่มภาษา ทั้งไทยและต่างประเทศ ได้นำไป เป็นคู่มือในการสอน โดยสาระในหลักสูตร เป็นการบูรณาการระหว่างชุดความรู้ท้องถิ่น และความรู้ สมัยใหม่ที่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ รวมถึงการจัดการเรียนและการสอน ของโรงเรียน ตามมาตรฐานการเรียนรู้ในกลุ่มสาระดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เรียน ได้พัฒนาความรู้ ทักษะด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ควบคู่กัน เกิดความภาคภมิใจในถิ่นกำเนิดและสามารถพัฒนา ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นและสามารถสื่อสารเรื่องราวให้สังคมภายนอกรับรู้ได้ โดยอาศัย เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั ทมี่ อี ยู่ ทง้ั แอปพลิเคชนั มือถือและส่อื ออนไลน์ตา่ ง ๆ นอกจากนี้ เครือข่ายฯ ยังได้ปรับปรุงและพัฒนาสื่อการสอนด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ครู ได้ใช้ นําไปใช้ในการจัดการเรียนและการสอน ตามกิจกรรมการเรียนที่เป็นผลจากการจัดการองค์ความรู้ รว่ มกับชุมชน และออกแบบให้เออื้ ต่อการพฒั นาตรรกะของผู้เรยี นตามแนวทาง STEM หลักสูตรน้ี มุ่งเน้นให้ครูและนักเรยี น ได้เข้าใจรากฐานของพ้ืนที่ในมติ ติ ่าง ๆ สํารวจและตรวจวดั คุณภาพสิ่งแวดล้อม เก็บข้อมูลจากบทเรียนการเรียนรู้ในรูปแบบฐานข้อมูล เพื่อใช้สร้างความเข้าใจต้นทุน ทรัพยากร วิถีชีวิตของคนและสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น เพื่อพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมอิ ากาศทเ่ี กดิ ข้นึ ในแบบแผนชวี ิตใหม่ ท่ีถูกคุกคามดว้ ยภยั ธรรมชาติ คณะผู้จัดทํา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลักสูตรท้องถิ่นแบบบูรณาการที่พัฒนาขึ้นนี้จะช่วยนำพา ให้เยาวชนได้เข้าใจพื้นที่ที่ตนเองอาศัย ตระหนักถึงคุณค่า และอุทิศตนเป็นส่วนหนึ่งในการประยุกต์ใช้ บทเรยี นการเรยี นรู้ เพ่ือแก้ไขปญั หาของทอ้ งถนิ่ ของตนเองอย่างย่ังยืน คณะผ้จู ดั ทำ
ข สารบญั บทท่ี หน้า คำนำ ก สารบญั ข สารบญั ตาราง . ค สารบัญภาพ 1 สภาพท่วั ไปของพ้นื ที่ …………………………………………………………………………………….. 1 ประวตั คิ วามเปน็ มาของพ้ืนท่ีโคกก่อ (History of Khok Kho Area) 2 ทรพั ยากรธรรมชาติ (Natural Resources) 3 แหล่งน้ำ (Water Resources) 11 สภาพทางธรณวี ิทยา (Geographic Conditions) 11 ทรัพยากรดิน (Soil Resources) 17 สภาพภูมอิ ากาศ 20 ภัยธรรมชาติ 21 ผลผลติ ทางการเกษตรท่ีโดดเดน่ (Dominant Agricultural Products) 23 2 ความเป็นอยู่ ประเพณี และวัฒนธรรม ..................................................................... 27 คำขวญั ของตำบลโคกก่อ 28 สภาพทางการปกครอง 28 สภาพทางเศรษฐกิจ 28 สภาพทางสังคม 29 3 สาเหตุ ผลกระทบ และการปรับตัว กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ 36 ภาวะโลกร้อนและการเปลย่ี นแปลงสภาพภูมิอากาศ 37 กา๊ ซเรอื นกระจกทที่ ว่ั โลกให้ความสำคญั 41 สาเหตขุ องการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ 47 ผลกระทบจากการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศต่อระบบนิเวศและส่งิ แวดลอ้ ม 56 การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 61 4 กิจกรรมการเรยี นรู้เพือ่ การปรบั ตวั กบั การเปล่ียนแปลงสภาพภมู ิอากาศเชงิ บูรณาการ 66 กจิ กรรมที่ 1 67 กิจกรรมที่ 2 82 กจิ กรรมท่ี 3 109 กิจกรรมที่ 4 152 เอกสารอ้างองิ ..................................................................................................................... 194
สารบญั ตาราง ค ตาราง หน้า 1 รายชอื่ พรรณพชื ในป่าชุมชนโคกหนิ ลาดและลกั ษณะการใช้ประโยชน์ 2 พืน้ ทแ่ี ลง้ ซ้ำซาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี พ.ศ. 2557 5 3 ผลติ ภัณฑท์ ีโ่ ดดเดน่ ในแตล่ ะหมู่บ้าน 22 4 ประเพณจี ากฐานความเชือ่ 30 5 ศกั ยภาพในการทำใหเ้ กดิ ภาวะโลกรอ้ นของแตล่ ะก๊าซเรือนกระจก 32 6 ชนดิ ของสัตวห์ น้าดนิ ที่พบในระดับคุณภาพน้ำต่าง ๆ 43 7 ประเภทแหลง่ นำ้ ตามการใชป้ ระโยชน์ 88 8 มาตรฐานคณุ ภาพนำ้ ในแหลง่ น้ำผวิ ดนิ 93 9 มาตรฐานคุณภาพน้ำบาดาลท่ีใชบ้ ริโภค 94 10 มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ (Ambient Air Quality Standards) 96 สำหรับบางสารมลพิษ 101 11 Tangent 123 12 สมการแอลโลเมตริกทใี่ ช้ในการคำนวณหามวลชวี ภาพของต้นไม้ในป่าธรรมชาติ 125 ชนดิ ต่าง ๆ มีขนาด DBH มากกวา่ 4.5 เซนตเิ มตร และของไม้ไผ่ 127 13 การเพิ่มมลู ค่าของขยะ 130 14 การนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ 134 15 ระดับไนโตรเจน 135 16 ระดับความเป็นกรดเป็นดา่ งของดนิ (pH) 135 17 คา่ การนำไฟฟ้าของดนิ ระดบั ความเคม็ และผลกระทบต่อกล่มุ พชื 18 ค่าการนำไฟฟา้ ของสารละลายดนิ ที่ไดจ้ ากการวัดด้วยอัตราสว่ น 1:5 ตามประเภท 136 136 ของเนื้อดนิ ณ อุณหภมู ิอ้างอิง 25 องศาเซลเซยี ส 136 19 ระดับอินทรียวัตถใุ นดนิ 137 20 ปริมาณฟอสฟอรัสทเี่ ป็นประโยชน์ตอ่ พืช 138 21 ปริมาณโพแทสเซียมท่ีเป็นประโยชน์ตอ่ พชื 138 22 ปรมิ าณแคลเซยี มและแมกนเี ซยี ม 139 23 ปรมิ าณจลุ ธาตอุ าหารพชื 24 มาตรฐานคุณภาพดินท่ใี ชป้ ระโยชนเ์ พ่อื การอย่อู าศยั และเกษตรกรรม 141 25 มาตรฐานคุณภาพดนิ ทใี่ ช้ประโยชน์เพ่ือการอื่นนอกเหนอื จาก การอยู่อาศยั 144 159 และเกษตรกรรม 168 26 วธิ กี ารรกั ษาตวั อยา่ งดิน 27 ตวั อยา่ งการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างงา่ ยของผลติ ภัณฑน์ มกล่อง 28 บันทกึ ค่าใชจ้ ่าย
สารบญั ภาพ ง ภาพท่ี หน้า 1 ขอบเขตพื้นทต่ี ำบลโคกกอ่ 2 ป่าชมุ ชนโคกหนิ ลาด 2 3 พืน้ ทีป่ ่าไมข้ องจงั หวดั มหาสารคาม 3 4 อา่ งเก็บนำ้ ห้วยคะคาง 10 5 อา่ งเก็บนำ้ หว้ ยหนิ เหบิ 11 6 ธรณวี ิทยาจงั หวดั มหาสารคาม 11 7 กลมุ่ ชดุ ดนิ ตำบลโคก่อ 15 8 พ้ืนที่เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาทรพั ยากรน้ำบริเวณอ่างเก็บนำ้ หว้ ยคะคาง 19 9 ภัยแลง้ 22 10 นำ้ ท่วม 23 11 เห็ดนางฟา้ 23 12 พริกพนั ธุ์จนิ ดา (โคกก่อ) 23 13 ลายเกลด็ เตา่ 25 14 บทเรยี นจากการจัดการองคค์ วามรู้ (อา่ งโคกก่อ) 30 15 บทเรียนจากการจดั การองคค์ วามรู้ โดยชมุ ชนมีส่วนรว่ ม 31 16 บรรยากาศการสะท้อนบทเรียน ผา่ นการจดั การองค์ความรู้ 32 17 การเกดิ ปรากฏการณ์เรือนกระจก 35 18 ความหมายของปรากฎการณ์เรอื นกระจก 37 19 ประมาณก๊าซเรือกระจกแต่ละชนดิ 38 20 กราฟแสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างปริมาณกา๊ ซเรือนกระจกในชัน้ บรรยากาศ 42 และอุณหภมู ิเฉลี่ยของโลก 44 21 สาเหตขุ องโลกร้อนจากการทำลายโอโซน 45 22 ชัน้ บรรยากาศ 46 23 การปลดปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกทางตรง 47 24 ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก แยกตามประเภทของกจิ กรรม 48 25 ก๊าซเรอื นกระจก 49 26 ตัวอย่างกจิ กรรมในชวี ติ ประจำวนั ทป่ี ลอ่ ย CO2 50 27 ปรมิ าณการปล่อย CO2 6 อันดบั ของโลก 53 28 ปรมิ าณการปล่อย CO2 54 29 อัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ของประเทศไทย 55 30 อากาศแปรปรวน นำ้ ทะเลสงู 56 31 เปรียบเทยี บจำนวนประชากรทข่ี าดแคลนน้ำกับอณุ หภมู ทิ ่ีเพิม่ ขึน้ 57 32 ผลกระทบต่อการสูญพันธ์ของสงิ่ มีชวี ติ ในภูมิภาคต่าง ๆ 58
จ ภาพที่ หน้า 33 ผลกระทบของการเปลยี่ นแปลงสภาพอากาศต่อเศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม การเมอื ง 60 34 โลกร้อนมีผลกระทบอย่างไรในประเทศไทย 61 35 ตวั อยา่ งข้อมลู จาก Windy App 69 36 วิธีการตรวจสอบเนอื้ ดนิ อย่างงา่ ย 77 37 เคร่อื งมือวัดคุณภาพดนิ เบื้องตน้ 78 38 วฏั จกั รของนำ้ 84 39 นาฬกิ าสตั วห์ นา้ ดิน 88 40 ไมโครพลาสติกในสงิ่ แวดล้อม 98 41 การปนเปื้อนไมโครพลาสตกิ ในส่งิ แวดล้อม 99 42 มลพิษทางอากาศจากกจิ กรรมเผา 101 43 เครอ่ื งมอื ตรวจวดั คณุ ภาพน้ำ 105 44 การเกบ็ ตวั อย่างตะกอนดนิ 105 45 ดอนปูต่ า 109 46 หลักพีทากอรสั 118 47 การวางแปลงแบบออกฉาก 119 48 ตำแหน่งวัดความโตท่รี ะดับต่าง ๆ ของตน้ ไม้ทม่ี ลี กั ษณะพิเศษ และในพนื้ ทีท่ ่ีมีความลาด 120 49 การวัดความสงู ของตน้ ไมโ้ ดยการใชไ้ คลโนมเิ ตอร์ 122 50 การใช้ไคลโนมเิ ตอร์ 122 51 Hypsometer-Clinometer 124 52 แนวคิดการจดั การขยะ 129 53 ความสัมพันธ์ของปจั จัยต่าง ๆ ในดนิ 131 54 หลักคดิ ของ BCG Model 153 55 เปรยี บเทยี บหลกั การ Linear Economy และ Circular Economy 154 56 ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 157 57 คารบ์ อนฟตุ พร้นิ ทอ์ ย่างง่ายของผลติ ภณั ฑน์ มกล่อง 159 58 ตวั อย่าง Mobile Application สำหรบั จดั การบญั ชรี ายรับ-รายจ่าย 173 59 ตัวอย่างแบรนด์ OTOP 182 60 ตวั อยา่ งแบบโลโกข้ องสนิ ค้าชุมชน 184 61 ข้นั ตอนการขอรับการรบั รองมาตรฐานผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน 186
บทที่ 1 “สภาพทัว่ ไปของพ้นื ท่ี ตาบลโคกกอ่ ”
2 บทที่ 1 สภาพทัว่ ไปของพ้นื ท่ี ◼ ประวัตคิ วามเป็นมาของพื้นท่โี คกก่อ (History of Khok Kho Area) บ้านโคกก่อ มีพื้นที่ต้ังอยู่ที่หมู่บ้านโคกเนินสงู มีป่าไม้ ต้นไม้ใหญ่ข้ึนหนาแน่น เช่น ต้นก่อ ไม้เต็ง รัง ไม้แดง ไม้ประดู่ เป็นต้น โดยเฉพาะมีต้นก่อใหญ่จำนวนมาก เพราะฉะนั้น การตั้งชื่อบ้าน จึงเรียกว่า บ้านโคกก่อ การตั้งช่ือหมูบ่ า้ นโคกก่อเลา่ กนั ตอ่ มาว่า มีกลุ่มคน อยู่ 3 กลุ่ม มาก่อตัง้ หม่บู า้ นขนึ้ กลุ่มท่ีหนึ่ง มาจากหนองแสงหล่ม กลุ่มที่สองมาจากร้อยเอ็ด กลุ่มที่สามมาจากแกดำ ทั้งสามกลุ่มนี้ นำครอบครัว มาประมาณ 20 ครอบครัว ต่อมาได้มาย้ายครอบครัว มาจากบ้านบาง บ้านบัวชี จังหวัดร้อยเอ็ด ต่อมาในปี พ.ศ. 2440 ทางการ ได้ตั้งให้เป็นบ้านโคกก่อ เป็นหมู่ที่ 1 และตั้งให้นายพล โยธาภักดี เป็นกำนัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 บ้านโคกก่อ ได้ขยายมากขึ้น ทางราชการจึงแยกบ้านโคกก่อ ออกเป็นอกี หมู่ คือ หมู่ 12 ตำบลโคกก่อ เป็นหนึ่งในจำนวน 13 ตำบลของอำเภอเมืองมหาสารคาม มี 16 หมู่บ้าน อยู่ในเขตพื้นที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลโคกก่อ ชั้น 5 ซึ่งยกฐานะเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2540 พื้นที่ตำบลโคกก่อ อยู่ห่างจากตัวเมืองมหาสารคามไปทางทิศตะวันออก เฉียงใต้ ประมาณ 19 กม. เนื้อที่ตำบลโคกก่อ มีเนื้อที่ประมาณ 54.14 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 33,836.125 ไร่ ทิศเหนือ ติดกบั ต.หนองโน ต.หนองปลงิ อ.เมืองมหาสารคาม ทิศใต้ ติดกบั ต.บัวคอ้ อ.เมืองฯ ต.หนองจิก อ.บรบอื จ.มหาสารคาม ทศิ ตะวนั ออก ติดกบั ต.หนองปลงิ ต.บัวคอ้ อ.เมืองมหาสารคาม ทศิ ตะวันตก ตดิ กบั ต.หนองโก อ.บรบอื จ.มหาสารคาม ◼ ลกั ษณะภมู ิประเทศ ล ั ก ษ ณ ะ ภ ู ม ิ ป ร ะ เ ท ศ ข อ ง ต ำ บ ล โ ค ก ก่ อ โดยทั่วไปเป็นที่สูง ทางด้านทิศใต้และลาดลงต่ำมาเรื่อย ๆ ลงทางด้านเหนอื ของตำบล แต่โดยส่วนรวมของตำบล โคกก่อแล้ว จะมีพื้นที่ลักษณะเป็นรูปลูกคลื่น ลอนต้ืน โดยตลอดทั้งตำบล จะเบาบางบ้างเล็กน้อย ระดับความ สูงของพื้นที่อยู่ระหว่าง 173-201 เมตร จาก ระดบั น้ำทะเล ภาพท่ี 1 ขอบเขตพ้นื ท่ีตำบลโคกก่อ ทมี่ า: Google Map
3 ◼ ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources) ในปจั จบุ นั ยงั ไมม่ ีการคน้ พบทรัพยากรธรรมชาตทิ ส่ี ำคัญ และเปน็ ประโยชน์ต่อการอุตสาหกรรม แต่อย่างใด ป่าไม้ในตำบลโคกก่อมีพื้นที่ป่าไม้ถาวรตาม มติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 2 9 และหมู่ที่ 13 เป็นบางส่วน คือป่าโคกหินลาด มีเนื้อที่ประมาณ 700 ไร่ นอกจากนี้ ยังมีป่าดอนปู่ตา ในพนื้ ทบ่ี ้านหนองโจด บ้านโคกก่อ และบ้านหนองหิน ป่าชมุ ชนโคกหนิ ลาด ภาพท่ี 2 ปา่ ชมุ ชนโคกหินลาด ที่มา: bloggang.com ป่าชุมชนโคกหินลาดอยู่ห่างจากตัวจังหวัดมหาสารคามไปทางทิศใต้ มีพื้นที่ที่ติดกับทางหลวง แผ่นดิน สายอำเภอวาปีปทุม-มหาสารคาม กิโลเมตรที่ 14-16 ทั้ง 2 ด้านสภาพปา่ เปน็ ป่าเต็งรัง ส่วนหนึง่ เป็นป่าต้นน้ำที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำโคกก่อ และลำน้ำห้วยคะคาง มีความยาว 35 กิโลเมตร สภาพป่า ในปัจจุบัน มิได้เป็นป่าใหญ่ผืนเดียวเช่นในอดีต แต่แบ่งออกเป็น 3 แปลง เนื่องจากมีการบุกรุกเป็นพื้นท่ี ทำกินของชาวบ้านในอดีตและรัฐบาลได้ออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. ให้กับชาวบ้านในระหว่างปี พ.ศ. 2538-2540 ตั้งอยู่บนที่ราบสูง มีลักษณะเป็นที่ราบลูกคล่ืน ประกอบด้วยเนินและทุ่งราบสลับกับป่าไม้ หรือแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ ทิศเหนือและทิศตะวันตก เป็นที่ราบสลับกับที่ดอน ดินเป็นดินทราย ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ ทางทิศใต้และทิศตะวันออกเป็นที่ราบลาดเอียงไปจรดกับทุ่งกุลาร้องไห้ ดินเป็นดินร่วนปนทราย ป่าไม้เป็นป่าเต็งรัง คือเป็นป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ ขึ้นตามที่ราบสูง ดินปนทราย เป็นกรวดพื้นล่างมีหญ้าเพ็ก (ไผ่แคระ) ป่าแป้ง มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ไม้พลวง (กุง) ไม้เต็ง (จิก) ไม้รงั (อึ้ง) ไมเ้ ฮียง (ซาด) ไม้กราด (สะแบง) ไมย้ าง ไมพ้ ะยอม พืชชัน้ ล่างได้แก่ หญ้าคา หญ้าเพก็ หญ้าโจด หญ้าเลา หญ้าอ้อ หญ้าแขม เถาวัลย์ เครือซูด ลักษณะพิเศษของพรรณพืชในป่าชุมชนโคกหินลาด
4 และพรรณพืชในป่าเต็งรังทั่วไปจะปรับให้เข้ากับไฟป่าที่ไม่เป็นประจำได้อย่างดี เรื่องอีกด้านหนึ่งไฟป่า จะช่วยปรับสภาพป่าประเภทนี้ไว้ได้ โดยไฟป่าจะช่วยย่อยสลายเศษใ บไม้ ปลายไม้ที่หล่น ทำใหม้ ีการหมุนเวียนของธาตุอาหาร ต้นไมผ้ ลิใบใหมเ่ ร็วข้ึน เพียง 2-3 สปั ดาห์ หลงั ไฟไหม้ ซ่ึงการผลิตใบ ใหม่จะมีมากก่อนฤดูฝน ช่วยปลุกคลุมดินก่อนฤดูฝนจะมา ซึ่งไฟป่าที่เกิดขึ้นกับป่าโคกหินลาดมีสาเหตุ มาจากการจุดไฟลา่ สตั ว์ การจดุ ไฟเผาหญา้ ตามบริเวณไร่นาชายป่า และการท้ิงก้นบหุ รีโ่ ดยไม่ระมัดระวัง สำหรับพัฒนาการของชุมชนโคกหินลาด ในปี พ.ศ. 2508 ได้มีการสำรวจเนื้อที่ทางอากาศ โดยกรมแผนที่ทหารพบว่า มีพื้นที่ป่าชุมชนโคกหินลาด 3,750 ไร่ มีหมู่บ้านรายล้อม 20 หมู่บ้าน ในเขต 5 ตำบล คือ ตำบลหนองปลิง ตำบลโคกก่อ ตำบลบัวค้อ ตำบลดอนหว่าน อำเภอเมือง และตำบล วังแสง อำเภอแกดำ จงั หวัดมหาสารคาม ปา่ ชุมชนโคกหนิ ลาดเป็นป่าท่ีมีประวัติความเปน็ มาอย่างยาวนาน หลายร้อยปี ป่าและชุมชนมีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ มาโดยตลอด เล่น การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิประเทศของป่า การเปลี่ยนแปลงด้านระบบนิเวศการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพชุมชน การเปลยี่ นแปลงด้านสังคมและวัฒนธรรม ซึง่ สามารถแบง่ เปน็ ยุคตา่ ง ๆ ไดด้ ังน้ี ยุคตั้งถิ่นฐาน เริ่มตั้งแต่ประมาณเกือบ 200 ปีมาแล้วปีมาแล้วป่าชุมชนโคกหินลาดมีพื้นท่ี หลายหมื่นไร่ ต่อมาได้มีประชากรอพยพย้ายถิ่นฐานมาจากพื้นที่ของจังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดร้อยเอ็ด แล้วเลือกทำเลในป่าชุมชนโคกหินลาดซึ่งเป็นคู่ใกล้ที่ลุ่ม ใกล้ลำห้วยหรือหนองน้ำเป็นที่ตั้งชุมชน เช่น หนองคู หนองปลิง หนองโจด ลำห้วยคะคาง เป็นต้น เพราะช่วงเวลานั้น ป่าชุมชนโคกหินลาด ยังมีความอุดมสมบูรณ์ มีป่าโปร่ง ป่าสมบูรณ์และแหล่งน้ำทั่วไป ป่า ยังทำหน้าที่เป็นปัจจัยการผลิต การยังชีพตามวิถีชีวิตดั้งเดิม เป็นแหล่งการเกษตร รักษาระบบนิเวศ ในความชุ่มชื้น ความสมดุล ให้ฝนตก ต้องตามฤดูกาล การรักษาดุลยภาพของทรัพยากรชุมชน นอกจากนี้ ชุมชนในสมัยนั้นยังมีระบบความเชื่อ ทางวัฒนธรรมและระบบสังคมในแง่พิธีกรรมอย่างชัดเจนว่า ป่า คือที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ช่วย ปกปักรักษาให้ความสุขแก่ชุมชน ความเชื่อเกี่ยวกับป่าสืบทอดกันมาค่อนข้างชัดเจนและปฏิบัติ อย่างตอ่ เน่อื ง ชว่ ยให้ยงั คงรักษาความเป็นป่าไว้ได้มาก ยุคบุกเบิก ระหว่างปี พ.ศ 2504-2516 เป็นปีเริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รัฐบาลสนับสนุนให้ชาวบ้านบุกเบิกจับจองพื้นที่เพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ปอ ฝ้าย อ้อย เพื่อส่งโรงงานอุตสาหกรรมและส่งออก ทำให้ป่าชุมชนโคกหินลาดถูกบุกรุกแผ้วถาง เพื่อปลูกพืชดังกล่าว นับหมื่นไร่คงเหลือพื้นที่ จำนวน 3,750 ไร่ เมื่อมีการประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2508 ขณะเดยี วกนั มกี ารเดินสำรวจเพอ่ื ออกเอกสารสทิ ธ์แิ กช่ าวบา้ นจนถึงปี พ.ศ. 2516 จึงยุตกิ ารสำรวจ ยุคทำลายป่า ระหว่างปี พ.ศ 2516-2523 ป่าโคกหินลาดเป็นที่สาธารณประโยชน์ อย่เู ปน็ ระยะเวลายาวนาน สง่ ผลกระทบตอ่ พืน้ ท่ปี ่า เกิดการบุกรุกและทำลาย ทำใหป้ ลามีสภาพเส่ือมโทรม ความอุดมสมบูรณ์ลดน้อยลง และในช่วงเวลานั้นมีการทำนาเกลือสินเธาว์อย่างมาก ในบริเวณลุ่มน้ำเสียว ใหญ่ พื้นที่อำเภอบรบือ และอำเภอวาปีปทุม ซึ่งจำเป็นต้องใช้ฟืนจำนวนมากในการต้มเกลือ ป่าไม้ ในจังหวัดมหาสารคามแทบทุกแห่งถูกตัดโค่นเพื่อนำไปขายให้แก่นายทุนเจ้าของกิจการนาเกลือ ซึ่งป่าชุมชนโคกหินลาด ป่าโคกใหญ่และปลากุดรังเป็นป่าที่ถูกทำลายมากที่สุด จนกระทั่งมีการสั่งยกเลิก
5 การทำนาเกลือ ในปี พ.ศ 2523 การทำลายป่าจึงลดลง ในปี พ.ศ 2525 จังหวัดมหาสารคามมีนโยบาย ส่งเสริมการปลูกป่ายูคาลิปตัสให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ทำให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าชุมชนโคกหินลาด และอนื่ ๆ ทั่วจังหวดั มหาสารคาม จนพ้ืนทป่ี ่าสงวนแห่งชาติและปา่ สาธารณะจำนวนมากกลายเป็นป่าเสื่อม โทรม ความอดุ มสมบูรณ์ลดน้อยลง มผี ลกระทบต่อชาวบ้านทีอ่ ยูร่ อบ ๆ บริเวณปา่ เชน่ ผลผลิตท่ีได้จากป่า ลดลง เกิดสภาพความแหง้ แลง้ โดยท่ัวไป ผลผลิตดา้ นการเกษตรกอ็ ยู่เกณฑ์ต่ำ ยุคฟนื้ ฟู ระหวา่ งปี พ.ศ. 2532- ปจั จุบนั หลังจากประกาศห้ามการทำนาเกลือบริเวณลุ่มน้ำเสียว ปี พ.ศ. 2532 สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้การตัดไม้ทำลายป่าเบาบางลง แต่ยังมีการบุกรุกของชาวบ้าน เพื่อทำไร่นา การบุกรุกของนายทุน เพื่อปลูกยูคาลิปตัส นอกจากน้ัน ในปี พ.ศ. 2539 ยังมีข้าราชการบางกลุ่มบุกรุกเข้ายึดพื้นที่กลางป่าชุมชนโคกหินลาด จำนวน 60 ไร่ แล้วนำไปขายให้กับเทศบาลเมืองมหาสารคาม เพื่อก่อสร้างเป็นที่กำจัดขยะ ขณะเดียวกันพื้นที่ป่า ก็ถูกบุกรุกจนมีสภาพเสื่อมโทรมถึง 1,128 ไร่ ในปี พ.ศ. 2540 กรมป่าไม้ จึงมอบพื้นที่ป่าให้สำนักงาน ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม นำไปออกเอกสารสิทธิ์แก่ชาวบ้านทำให้พื้นที่ป่าชุมชนโคกหินลาดในปัจจุบัน เหลอื เพยี ง 2,622 ไร่เท่านน้ั การใช้ประโยชน์และผลผลิตจากป่า พันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ในอดีตป่าชุมชนโคกหินลาด มีพันธ์ุ พืชและต้นไม้ใหญ่มากมาย ชาวบ้านที่อยู่รอบป่าได้อาศัยป่าเป็นที่ทำกินและอาศัยในป่ามาสร้าง เป็นบ้านเรือน คอกสัตว์ ทำให้ไม้ใหญ่ถูกตัดโค่นไปมาก และพื้นที่ป่าลดลง ยิ่งรัฐ มีนโยบายการปลูกป่า สาธิต โดยใชว้ ิธีการไถปรับหนา้ ดิน ย่งิ ทำใหล้ ดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว เมือ่ ชาวบ้านคัดค้านการปลูกปา่ สาธิต สำเร็จ จะมีการฟื้นฟูป่าชุมชนโคกหินลาดกันใหม่ จนปัจจุบันเริ่มฟื้นตัวและอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ต้นไม้ และพชื จงึ มคี วามหลากหลายเม่ือเทียบกับในอดีต ผู้วิจยั และชาวบ้านไดร้ ่วมกันสำรวจพรรณพืชในป่าชุมชน โคกหนิ ลาดเมื่อวันท่ี 27- 28 มถิ ุนายน 2547 ปรากฏผลดตั ารางตอ่ ไปนี้ ตารางท่ี 1 รายชื่อพรรณพชื ในป่าชุมชนโคกหินลาดและลักษณะการใชป้ ระโยชน์ ลำดับท่ี ชอ่ื พื้นบา้ น ช่อื สามัญ ประเภท ลักษณะการใชป้ ระโยชน์ 1 ส้มกบ อโุ ลก ไมย้ นื ต้น สมนุ ไพร,อาหาร 2 เมา่ ปา่ ไมย้ ืนต้น สมนุ ไพร,อาหาร 3 หาด เม่าไข่ปลา ไมย้ ืนตน้ สมนุ ไพร,อาหาร 4 แข้งปา่ มะหาด ไม้ยนื ตน้ 5 ส้มมอ มะแว้ง ไมย้ นื ตน้ สมนุ ไพร,อาหาร,ฟืน 6 สีดาป่า สมอไทย ไมย้ ืนตน้ สมนุ ไพร,อาหาร,ฟืน 7 หมาหม้อ สดี าป่า ไมย้ นื ตน้ สมนุ ไพร,อาหาร,ฟนื 8 ผกั ชีชา้ ง หมาหม้อ ไม้ยืนตน้ 9 กระถนิ ตน้ สามสิบ ไมย้ นื ตน้ สมนุ ไพร,อาหาร กระถิน สมนุ ไพร สมุนไพร,อาหาร
6 ลำดบั ท่ี ชอื่ พนื้ บา้ น ช่อื สามัญ ประเภท ลักษณะการใชป้ ระโยชน์ 10 ชา้ งนา้ ว ช้างนา้ ว ไม้ยนื ต้น สมนุ ไพร 11 ต้นถ่ม กรุทมุ่ ไมย้ นื ต้น สมนุ ไพร 12 ตน้ ยอส้ม ยอปา่ ไม้ยืนต้น สมนุ ไพร 13 เหมียดขาว เหมือด ไม้ยืนต้น สมนุ ไพร 14 มะขามปอ้ ม มะขามป้อม ไมย้ นื ตน้ 15 ขา่ ลนิ่ กัดลิน้ ไมย้ นื ต้น สมนุ ไพร,อาหาร 16 ค้อหนาม ตระค้อ ไม้ยืนตน้ สมุนไพร,อาหาร,ฟืน 17 ตน้ งว้ิ ตว้ิ เกลีย้ ง ไมย้ ืนต้น 18 คางคหี อม พงั คนี ้อย (เลก็ ) ไมย้ ืนตน้ สมนุ ไพร 19 ร้อยรากปากเสือ ไม้ยืนตน้ สมนุ ไพร,อาหาร 20 แคซาย - ไม้ยืนต้น 21 กระโดน แคคาง ไมย้ นื ต้น สมุนไพร 22 มะกล่ำตาหนู กระโดน ไม้พุ่ม สมนุ ไพร,อาหาร 23 สามสิบกลีบเลก็ มะกลำ่ ตาหนู ไมพ้ ุ่ม สมนุ ไพร,อาหาร 24 สอ่ งฟ้า ไม้พุ่ม 25 เฟอ่ื งถ้วย - ไมพ้ ุ่ม สมุนไพร 26 สา่ งเมา สอ่ งฟ้า ไมพ้ ุ่ม สมุนไพร 27 กระทกรกป่า กน้ ถว้ ย ไม้พุ่ม สมุนไพร 28 ต้องเหรง่ ไม้พุ่ม สมุนไพร 29 หมาวอ้ - ไม้พุ่ม สมนุ ไพร 30 ส่าเหล้า ใจใคร่ ไม้พุ่ม สมนุ ไพร 31 นมสาว นมนอ้ ย ไม้พุ่ม สมุนไพร,อาหาร 32 กาฝากแดง หมาว้อ ไม้พุ่ม สมนุ ไพร,อาหาร 33 ตีนต่งั ส่าเหล้า ไม้พุ่ม สมุนไพร,อาหาร 34 ฮุน่ ไฮ่ ขา้ วหลาม ไมพ้ ุ่ม สมนุ ไพร,แป้งสาโท 35 สมัดนกเอีย้ ง กาฝาก ไมพ้ ุ่ม สมนุ ไพร,อาหาร 36 เกลด็ ล่ิน ตีนต่ัง ไมพ้ ุ่ม สมุนไพร,ฟืน 37 เขม็ ขาว ฮุ่นไฮ่ ไม้พุ่ม สมนุ ไพร 38 ก้างปลา สมดั ไมพ้ ุ่ม สมุนไพร 39 เขม็ แดง เกลด็ ลิ่น ไม้พุ่ม สมนุ ไพร เข็มขาว สมุนไพร กา้ งปลา สมุนไพร,ดอกไม้ เข็มแดง สมนุ ไพร สมุนไพร,ดอกไม้,อาหาร
7 ลำดบั ท่ี ชอื่ พื้นบ้าน ชอ่ื สามัญ ประเภท ลักษณะการใช้ประโยชน์ 40 เขยี ง ผักนางแลว ไมพ้ ุ่ม สมุนไพร,อาหาร 41 หำฟาน ไม้พุ่ม สมุนไพร 42 เคย้ี วฟาน ไม้พุ่ม 43 หญ้าเพ็ก เพ็ก ไม้พุ่ม สมุนไพร,อาหาร,เล้ยี งสัตว์ 44 กน้ ครก กล้วยเต่า ไมพ้ ุ่ม สมุนไพร,อาหาร 45 ไต้ใบใหญ่ ลูกไตใ้ บ ไม้พุ่ม สมนุ ไพร 46 เลบ็ แมว เลบ็ เหยีย่ ว พชื ล้มลุก สมนุ ไพร 47 ข้าวจา้ ว ขา้ วจา้ ว พชื ล้มลกุ สมนุ ไพร,อาหาร 48 หนวดฤาษี หนวดฤาษี พชื ล้มลกุ สมนุ ไพร 49 อลี อก อลี อก พชื ล้มลกุ สมนุ ไพร,อาหาร 50 กะบกขีห้ มา กะบก พืชลม้ ลุก สมนุ ไพร 51 สาบเสอื สาบเสือ พชื ล้มลกุ สมนุ ไพร 52 ไมยราบ ไมยราบ พืชลม้ ลุก สมุนไพร 53 หมากเบน็ ตะขบป่า พชื ลม้ ลกุ สมุนไพร,อาหาร 54 หญ้าเทวดา หญา้ เทวดา พชื ล้มลกุ สมุนไพร 55 กระเจียวแดง กระเจยี วแดง พืชลม้ ลุก สมนุ ไพร,อาหาร 56 ว่านแฮง้ คำคอ พชื ล้มลกุ สมนุ ไพร 57 หญ้าดกู อึ่ง - พืชล้มลุก สมุนไพร 58 บ๋าซาด ดูกอึ่ง พืชล้มลุก สมุนไพร,อาหาร 59 ต้นตาลเดย่ี ว บ๋าซาด พืชลม้ ลุก สมุนไพร 60 มะมว่ งขแี้ มงวนั กามปู พืชลม้ ลุก สมุนไพร,ฟนื 61 หญา้ แพรก มะม่วงหัวแมงวนั พชื ล้มลุก สมุนไพร 62 หลกั ดำ แพรก พืชลม้ ลุก สมนุ ไพร 63 แหว้ หมู สลักดำ พืชล้มลุก สมนุ ไพร 64 ผกั สาบ หญา้ แห้วหมู พชื ลม้ ลุก สมุนไพร,อาหาร 65 ผกั สาบ พชื ล้มลกุ สมุนไพร 66 อลี ำ้ อลี ้ำ พชื ล้มลกุ สมนุ ไพร 67 หัวข้อ ข้าวเยน็ เหนือ พชื ล้มลกุ สมนุ ไพร 68 ว่านจงู นาง พระยาเทครัว พชื ลม้ ลกุ สมนุ ไพร,อาหาร 69 ตูบหมูบ เปราะหอม พืชล้มลกุ สมนุ ไพร ขาเปีย ขาเปยี สมนุ ไพร วา่ นอตุ พิต อุตพติ
8 ลำดับที่ ช่ือพนื้ บ้าน ชือ่ สามัญ ประเภท ลักษณะการใชป้ ระโยชน์ 70 ถว่ั ผี ถว่ั ผี พืชล้มลุก สมุนไพรสำหรับววั ควาย 71 เอน็ ยดื - พชื ล้มลกุ 72 สมุนไพร 73 เครือหมาน้อย กรุงเขมา เครอื สมุนไพร,อาหาร 74 ย่านาง ยา่ นาง เครือ สมนุ ไพร,อาหาร 75 ไส้ตนั เครือ สมุนไพร,อาหาร 76 เครอื ไส้ตนั ปลาไหลเผือก เครือ 104 เอ่ียนด่อน การฝากเหมือดแอ่ เครือ สมนุ ไพร 105 ฝากเหมือดแอ่ ไม้ยืนต้น สมุนไพร 106 หุนตมุ่ - ไม้ยืนต้น สมุนไพร 107 หมากเหล่ียม มะกอกเกลอื้ น ไม้ยนื ตน้ สมุนไพร,อาหาร,ฟนื 108 คัดเค้า ไม้ยนื ตน้ สมนุ ไพร,ฟืน 109 ติ้วหม่อน คัดเค้า ไม้ยืนตน้ สมนุ ไพร,อาหาร 110 ขเี้ หลก็ สาร ตว้ิ หมอ่ น ไมย้ นื ตน้ สมุนไพร,อาหาร 111 หนามแทง่ แสมสาร ไมย้ นื ตน้ สมุนไพร 112 ฮังหนาม ไมย้ นื ตน้ สมนุ ไพร 113 อะลาง เคด็ ไม้ยนื ต้น สมุนไพร 114 หมากพอก รงั หนาม ไมย้ นื ต้น สมนุ ไพร 115 เปลอื ย นนทรี ไมย้ ืนตน้ สมนุ ไพร 116 มะพอก ไมย้ นื ตน้ สมนุ ไพร,ฟืน 117 ไม้ดู่ ตะแบก ไม้ยืนตน้ สมุนไพร,ฟืน 118 ไมแ้ ดง ประดู่ ไม้ยนื ตน้ สมนุ ไพร,ฟนื 119 ไม้ชาด ไมย้ นื ตน้ สมุนไพร 120 เหมียดใบมน แดง ไม้ยืนตน้ สมุนไพร 121 แฮดกวง เหยี ง ไมย้ ืนต้น สมนุ ไพร 122 กอกกัน เหมอื ดโลด ไมย้ ืนตน้ สมนุ ไพร 123 แกน่ ทราย - ไมย้ นื ต้น สมนุ ไพร,ฟนื 124 สะเดาชา้ ง อด,ก๊กุ เหด็ สมุนไพร 125 หมี่ เห็ด อาหาร 126 เหด็ มนั ปู - เห็ด อาหาร เห็ดระโงก สะเดา เหด็ อาหาร เหด็ ปลวก หมีเหม็น อาหาร เหด็ หนา้ แหล่ เห็ดขมน้ิ เหด็ ระโงก เห็ดโคน เหด็ หนา้ แหล่
9 ลำดับที่ ชื่อพ้ืนบา้ น ชอื่ สามัญ ประเภท ลักษณะการใชป้ ระโยชน์ 127 เหด็ หน้าววั เหด็ หน้าววั เห็ด อาหาร 128 เหด็ หำพระ เห็ดหำฟาน เห็ด อาหาร 129 เห็ดไคหอม เหด็ ไคหอม เหด็ อาหาร 130 เหด็ เผงิ่ เห็ดตบั เตา่ เห็ด อาหาร 131 เหด็ ถา่ น เหด็ ถ่าน เหด็ อาหาร 132 เห็ดขา้ วแป้ง เหด็ ขา้ วแปง้ เหด็ อาหาร 133 เหด็ ก้นครก เห็ดกน้ ครก เห็ด อาหาร 134 เหด็ นำ้ หมาก เห็ดนำ้ หมาก เห็ด อาหาร ท่มี า: หมอยาพ้นื บา้ นและคณะกรรมการอนรุ กั ษป์ ่าชมุ ชนโคกหินลาด ปี พ.ศ. 2547 อา้ งถึงในอวยชยั (2549)
10 ภาพท่ี 3 พนื้ ทปี่ า่ ไมข้ องจังหวดั มหาสารคาม ที่มา: กรมป่าไม้ (2557)
11 ◼ แหลง่ นำ้ (Water Resources) แหลง่ น้ำสำคญั ของตำบลโคกกอ่ มดี ังน้ี 1. ลำห้วยคะคาง เป็นลำน้ำอีกสาขาหนึ่งของลำน้ำชี โดยไหลจากอ่างเก็บน้ำห้วยคะคาง ลงไปทางทิศเหนือ ไหลลงอ่างเก็บน้ำแก่งเลิงจาน และไหลลงลำน้ำชี ในตำบลลาดพัฒนา อำเภอเมือง มหาสารคาม 2. อ่างเก็บน้ำห้วยคะคาง เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง มีปริมาณการเก็บกักน้ำน้อยกว่า 100 ล้านลูกบาศก์เมตร ของกรมชลประทาน ซึ่งอยู่ในเขต หมู่ที่ 1 2 3 4 8 และ 12 สามารถใช้น้ำ เพือ่ การเกษตรในฤดูแลง้ 3. อ่างเก็บน้ำห้วยหินเหิบ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กมีปริมาณการกักเก็บน้ำน้อย ส่วนมาก จะใช้น้ำในการเกษตรเฉพาะในฤดูฝน ส่วนในฤดูแล้ง ไม่สามารถนำน้ำมาใช้ได้ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 9 และ 13 ภาพที่ 4 อา่ งเก็บนำ้ หว้ ยคะคาง ภาพที่ 5 อ่างเกบ็ น้ำห้วยหินเหิบ ◼ สภาพทางธรณวี ิทยา (Geographic Conditions) ทรัพยากรธรณี หมายถึง ทรัพย์อันอยู่ใต้แผ่นดิน เช่น แร่ธาตุ หิน ดิน กรวด ทราย น้ำบาดาล ถ่านหิน หินน้ำมัน ปโิ ตรเลยี ม และซากดกึ ดำบรรพ์ ซงึ่ มคี ณุ ประโยชนอ์ ย่างย่ิงต่อส่ิงมชี วี ิตท่ีถือกำเนิดข้ึนมา บนโลก หมวดหินมหาสารคาม (Kms) หมวดหินมหาสารคามต้ังชื่อตามจังหวัดมหาสารคาม โดยมีชัน้ หินแบบฉบบั อยู่ท่ีหลุมเจาะ น้ำบาดาลหมายเลข F-34 บริเวณบ้านเชียงเหียน อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม อายุของหมวดหิน มหาสารคามได้จากลำดับชั้นหิน การศึกษาเรณูวิทยาและการศึกษาสนามแม่เหล็กโบราณพบว่า มีอายุครีเทเชียสตอนปลาย ความหนาและการแผ่กระจาย พบการแผ่กระจายตัวในพื้นราบที่ระดับความสูงประมาณ 170 เมตร จากระดบั น้ำทะเลปานกลาง บรเิ วณอำเภอเชียงยนื อำเภอบรบือ อำเภอแกดำ อำเภอวาปีปทุม อำเภอนาดนู และอำเภอพยคั ฆภูมพิ สิ ัย
12 ลักษณะทางกายภาพของชั้นหิน จากข้อมูลหลุมเจาะต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน โดยเฉพาะหลุมเจาะสาํ รวจโพแทช 194 หลุม และข้อมูลที่มีผู้ศึกษามาก่อน หมวดหินมหาสารคามโดยรวม มีลักษณะทางกายภาพและลำดับชั้นหินจากล่างข้ึนบนดังน้ี คือ 1. แอนไฮไดรตฺชัน้ ฐาน หนาประมาณ 1-3 เมตร 2. เกลือหินชั้นล่าง ประกอบด้วย แร่เกลือหินและแร่โพแตส ความหนารวมประมาณ 300-400 เมตร 3. หินโคลนชั้นล่าง สีน้ำตาลแกมแดง น้ำตาลแกมม่วง สีเทาดำ มีจุดสีเขียวอยู่ทัว่ ไปมี สายแร่คารน์ าไลตแ์ ละเฮไลต์อยู่ทัว่ ไป ความหนาอย่รู ะหวา่ ง 10-80 เมตร 4. เกลือหินชั้นกลาง ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแร่เฮไลต์บางครั้ง พบแร่แอนไฮไดรต์ บางครง้ั พบแร่แอนไฮไดรต์หรอื แร่ยบิ ซมั อยูด่ ้วย ความหนาอย่ปู ระมาณ 20-80 เมตร 5. หินโคลนชั้นกลาง มีลักษณะคล้ายหินโคลนชั้นล่าง แต่ไม่มีสายแร่คาร์นาไลต์หนา ประมาณ 20-70 เมตร 6. เกลือหินชั้นบนนั้น ประกอบด้วยเกลือหิน แร่ยิบซัมและแอนไฮไดรต์ชั้นบาง แทรก หนาประมาณ 5-20 เมตร ขอบเขตของหมวดหินมหาสารคาม ส่วนใหญ่จะเปน็ เขตพ้ืนทด่ี นิ เคม็ เน่อื งจากช้นั หินเคลย์ ซึ่งมีเกลืออยู่ในเนื้อหินเมื่อโผล่พ้นพ้ืนดินเกลือที่อยู่ในเนื้อหินจะแยกตัวออกมา นอกจากนั้น ชั้นเกลือหิน ของหมวดหินมหาสารคาม ซ่งึ มคี ุณสมบัติละลายน้ำได้ดี มกั จะเคลือ่ นท่ีไปตามรอยแตกของช้ันหินในสภาพ ของน้ำที่มีความเค็มสูงเข้ามาในชั้นน้ำใต้ดินและขึ้นสู่ผิวดิน เมื่อน้ำแห้ง จะทิ้งคราบเกลือสีขาวพบเห็นได้ ทว่ั ไป หมวดหนิ ภูทอก (Kpt) หมวดหนิ ภทู อกในความหมายเดิม เป็นหมวดหินทีป่ ระกอบไปดว้ ยหินทราย เป็นส่วนใหญ่ ที่โผล่ให้เห็นในพื้นที่บริเวณที่ราบสูงโคราชบริเวณขอบแอ่งด้านทิศเหนือ ของแอ่งอุดรธานี-สกลนคร โดยมีชั้นหินแบบฉบับอยู่ที่ภูทอกน้อย อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย ปัจจุบัน พบหมวดหิน ภูทอก แผ่กระจายอย่างกว้างขวางบริเวณตอนกลางของที่ราบสูงโคราช เช่นที่จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธ์ุ นครราชสีมา ร้อยเอด็ รวมทั้งจังหวดั มหาสารคาม ลกั ษณะทางกายภาพของชัน้ หิน หมวดหินภูทอกในพื้นท่ี จังหวดั มหาสารคาม ประกอบด้วย หนิ ทราย แทรกชั้นอยู่กับหนิ ทรายแป้ง หนิ โคลน และหินหินเคลย์สีแดง อิฐ สีน้ำตาลแดง หินทรายขนาด เม็ดละเอียด แสดงชั้นเฉียงระดับขนาดเล็ก และแถบชั้นบาง ขนาดช้ัน ปานกลางถึงหนา ประกอบด้วย ควอตซ์ไมกา และเหล็กออกไซด์ตัวเชื่อมประสานเป็นแร่เหล็ก ความหนา และการแผ่กระจาย หมวดหินภูทอก เป็นหมวดหินที่พบแผ่กระจายบริเวณตอนกลาง ๆ ของพื้นที่จังหวัด ครอบคลมพื้นที่ประมาณ 40% ของพื้นที่ มักพบเป็นพื้นที่เนินสูง ที่ระดับความสูงประมาณ 170 เมตร จากระดบั น้ำทะเลปานกลางขน้ึ ไป ในเขตพื้นที่อำเภอกุดรัง อำเภอบรบอื อำเภอนาเชือก เปน็ ต้น
13 ตะกอนร่วนยุคควอเทอรนารี (Q) ตะกอนร่วน หมายถึง กรวด ทราย ดิน และดินเหนียว ที่ยังไม่แข็งตัวกลายเป็นหิน อายุประมาณ 1.8 ล้านปีจนถึงปัจจุบัน (ยุคควอเทอร์นารี) พบกระจายตัวเป็นบริเวณกว้างทางตอนเหนือ ของจงั หวดั ตามแนวลำน้ำชีและแม่น้ำสาขา สามารถจําแนกตะกอนรวนในพ้ืนท่ี โดยอาศัยชนิดของตะกอน และสภาวะแวดล้อมของการตกตะกอนออกเป็น 2 หนว่ ยตะกอนย่อย คอื 1. หน่วยตะกอนตะพกั ลานำ้ (Qt) ตะกอนตะพักลำน้ำปรากฏเป็นพ้ืนที่เนินกระจายตัวในพื้นที่บริเวณอำเภอเชียงยืน ประกอบด้วย กรวด ศลิ าแลง ไม้กลายเป็นหินอุลกมณี (Tektite) ปิดทับดว้ ยชั้นตะกอนกึ่งแข็งของตะกอน ทรายปนทรายแป้ง สีแดง และสีเหลือง ดินที่พบบริเวณนี้ มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์พอสมควร ปลูกพืชไร่ พืน้ ทบ่ี ริเวณนไ้ี มอ่ ยู่ในเขตนำ้ ทว่ ม-ขังเหมาะสำหรบั เป็นท่ีอยู่อาศยั 2. หน่วยตะกอนนำ้ พา (Qa) พบแผ่กระจายบริเวณที่ราบลุ่มของแม่น้ำชีเป็นสวนใหญ่ ในเขตอำเภอโกสุมพิสัย อำเภอเมืองมหาสารคาม และในบางส่วนเป็นตะกอนที่ราบลุ่มแม่น้ำมูลในพื้นที่อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ประกอบด้วย ตะกอนกรวด ทราย ทรายแป้ง และดินเหนียว เกิดจากน้ำพัดพากรวด หิน ดิน ทราย ไปสะสมตัวลักษณะเป็นภูมิประเทศที่ราบริมแม่น้ำ พื้นที่ราบนี้ มักเป็นแหล่งสะสมตัวของชั้นทรายแม่น้ำ โดยทั่วไป สภาพดินเป็นดินร่วนที่มีแร่ธาตทุ ี่จำเป็นตอ่ พืชอุดมสมบูรณ์เหมาะต่อการเพาะปลูก แต่เนื่องจาก เป็นที่ราบ จึงมักประสบกับน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนเป็นประจำ และในบางพื้นที่อาจมีสภาพเป็นดินเค็ม เน่อื งจากถูกรองรบั ด้วยหมวดหินมหาสารคาม ซึ่งมีเกลือหนิ แทรกอยู่
14 แผนที่ทางธรณีวทิ ยา จงั หวดั มหาสารคาม
15 ภาพที่ 6 ธรณวี ิทยาจังหวัดมหาสารคาม ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี (2552)
16
17 ◼ ทรัพยากรดนิ (Soil Resources) สำหรับพื้นที่ตำบลนาเชือก กลุ่มชุดดินในพื้นที่ลุ่ม พบได้ทุกภาค ในบริเวณที่ลุ่ม การระบายน้ำ ของดินไม่ดี มักมีน้ำแช่ขังในฤดูฝน ไม่เหมาะสำหรับเพาะปลูกพืชไร่ ไม้ผล และไม้ยืนต้น และดินในพื้นท่ี ดอนเขตดินแห้ง เขตดินแห้ง เป็นเขตพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะพื้นท่ีส่วนใหญ่ของภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง โดยทั่วไปมีฝนตกน้อยและตกกระจายไมส่ ม่ำเสมอ ปริมาณฝนตก เฉลี่ยนอ้ ยกว่า 1,500 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี กลมุ่ ชุดดนิ ท่ี 22 ชดุ ดิน: ชุดดินน้ำกระจาย (Ni) ชดุ ดินสนั ทราย (Sai) และชุดดนิ สที น (St) ลักษณะเด่น: กลุ่มดินร่วนหยาบลึกมากที่เกิดจากตะกอนลำน้ำเนื้อหยาบ ปฏิกิริยาดิน เปน็ กรดจดั ถงึ เปน็ กลาง การระบายน้ำเรว็ ถงึ คอ่ นข้างเร็ว ความอุดมสมบูรณต์ ำ่ ปัญหา: เนือ้ ดินคอ่ นขา้ งเป็นทราย ความอุดมสมบูรณต์ ำ่ ขาดแคลนน้ำนาน และน้ำทว่ มขัง ในฤดูฝน ทำความเสยี หายกับพชื ท่ีไม่ชอบนำ้ แนวทางการจัดการ: ปลูกข้าว ไถกลบตอซัง ปล่อยทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์ หรือไถกลบปุ๋ยพืช สด (โสนอัฟริกัน หรือโสนอินเดีย 4-6 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบเมื่ออายุ 50-70 วัน ปล่อยไว้ 1-2 สัปดาห์) รว่ มกับการใชป้ ุ๋ยอินทรีย์น้ำหรือปุ๋ยเคมสี ูตร 16-16-8 ใส่ปุ๋ยแต่งหนา้ หลังปักดำ 35-45 วัน พัฒนาแหล่งน้ำ ไว้ใช้ในช่วงที่ข้าวขาดน้ำหรือใช้ทำนาครั้งที่ 2 หรือปลูกพืชไร่ พืชผักหรือพืชตระกูลถั่วหลังเก็บเกี่ยวข้าว โดยทำร่องแบบเตยี้ ปรับปรุงดนิ ด้วยปุ๋ยหมกั หรอื ปุ๋ยคอก 2-3 ตนั /ไร่ รว่ มกบั ปยุ๋ เคมหี รอื ปุ๋ยอนิ ทรียน์ ้ำ ปลกู พืชไร่ พชื ผกั หรอื ไมผ้ ล ยกร่องกว้าง 6-8 เมตร คูน้ำกว้าง 1.0-1.5 เมตร ลกึ 0.5-1.0 เมตร และมีคันดินอัดแนน่ ลอ้ มรอบ ปรับปรุงดินด้วยปยุ๋ หมกั หรือปยุ๋ คอก 2-3 ตัน/ไร่ รว่ มกบั ปยุ๋ เคมีหรอื ปุ๋ย อินทรีย์น้ำ หรือขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม. ปรับปรุงหลุมปลูกด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 20-35 กิโลกรัม/หลุม ในช่วงเจริญเติบโต ก่อนเก็บผลผลิตและภายหลังเก็บผลผลิต ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ตามชนิดพืชที่ปลูก พัฒนาแหล่งน้ำชลประทานและจัดระบบการให้น้ำ ในแปลงปลูก กลุ่มชดุ ดนิ ที่ 24 ชุดดิน: ชดุ ดินบ้านบึง (Bbg) ชดุ ดินทา่ อุเทน (Tu) และชดุ ดนิ อุบล (Ub) ลักษณะเด่น: กลุ่มดินทรายลึกมากเกิดจากตะกอนลำน้ำที่มีเนื้อดินเป็นดินทรายหนา ปฏิกิริยาดินเปน็ กรด การระบายนำ้ ค่อนขา้ งเลวถึงดีปานกลาง ความอุดมสมบรู ณต์ ่ำ ปัญหา: เน้ือดินเป็นดินทราย ความอุดมสมบรู ณต์ ่ำ ขาดแคลนน้ำ และน้ำท่วมขงั ในฤดฝู น ทำความเสยี หายกับพชื ทไี่ ม่ชอบนำ้ แนวทางการจัดการ: ปลูกข้าว ไถกลบตอซัง ปล่อยไว้ 3-4 สัปดาห์ หรือไถกลบปุ๋ยพืชสด ร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำหรือปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 (หว่านโสนอัฟริกันหรือโสนอินเดีย 6-8 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบเมื่ออายุ 50-70 วัน ปล่อยไว้ 1-2 สัปดาห์) พัฒนาแหล่งน้ำชลประทานไว้ใช้ในช่วงที่ข้าวขาดน้ำ หรือใช้ปลูกพืชไร่ พืชผักหรือพืชตระกูลถั่วหลังเก็บเกี่ยวข้าว โดยทำร่องแบบเตี้ย ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก 3-4 ตัน/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ปลูกพืชไร่ พืชผัก หรือไม้ผล ยกร่องกว้าง 6-8
18 เมตร คูน้ำกว้าง 1.0-1.5 เมตร ลึก 0.5-1.0 เมตร และมีคันดินอัดแน่นล้อมรอบ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 3-4 ตัน/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ หรือขุดหลุมปลูก ขนาด 75x75x75 ซม. พร้อมปรับปรุงหลุมปลูกด้วยอินทรียวัตถุ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมี 25-50 กโิ ลกรัม/หลมุ ในช่วงเจรญิ เติบโต ก่อนเกบ็ ผลผลติ และภายหลังเกบ็ ผลผลิต ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก รว่ มกับปุ๋ยเคมตี ามชนดิ พชื ทป่ี ลูก พฒั นาแหลง่ น้ำและจัดระบบการให้น้ำในแปลงปลกู กลมุ่ ชุดดินท่ี 41 ชดุ ดนิ : ชดุ ดินบา้ นไผ่ (Bpi) ชดุ ดินคำบง (Kg) และชุดดินมหาสารคาม (Msk) ลักษณะเด่น: กลุ่มดินทรายหนาปานกลาง ที่เกิดจากตะกอนลำน้ำหรือตะกอนเนื้อหยาบ ทับอยู่บนชั้นดินท่ีมเี นื้อดินเป็นดนิ ร่วนปนดินเหนียว หรือดินรว่ นเหนียวปนทรายแป้ง ปฏิกิริยาดนิ เป็นกรด เล็กนอ้ ยถึงเปน็ กลาง การระบายน้ำดี อยบู่ นชนั้ ดนิ ทมี่ กี ารระบายนำ้ ดีปานกลาง ความอุดมสมบูรณต์ ่ำ ปัญหา: ดินทรายหนาปานกลาง ความอดุ มสมบูรณต์ ำ่ ขาดแคลนน้ำนาน ในระยะท่ีฝนตก หนักจะมีนำ้ ขงั หรือเกิดการชะล้างพงั ทลายสูญเสยี หน้าดนิ เกิดเป็นร่องทัว่ ไปในแปลงปลกู แนวทางการจัดการ: ปลูกพืชไร่หรือพืชผัก จัดระบบการปลูกพืชหมุนเวียนตลอดทั้งปี ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 3-4 ตัน/ไร่ หรือไถกลบปุ๋ยพืชสด (หว่านเมล็ดถั่วพร้า 10-12 กิโลกรัม/ไร่ เมล็ดถั่วพุ่ม 8-10 กิโลกรัม/ไร่ หรือปอเทือง 6-8 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบระยะออกดอก ปล่อยไว้ 1-2 สัปดาห์) ร่วมกับการใช้ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ มีวัสดุคลุมดินหรือปลูกพืชสลับเป็นแถบ พัฒนาแหล่งน้ำและจัดระบบการให้น้ำในแปลงปลูก ในพื้นที่ต่ำควรทำร่องหรือทางระบายน้ำ เพื่อป้องกัน น้ำขังบริเวณรากพืช ปลูกไม้ผล ขุดหลุมปลูกขนาด 75x75x75 ซม. ปรับปรุงหลุมปลูกดว้ ยปุ๋ยหมักหรือปยุ๋ คอก 25-50 กิโลกรัม/หลุม ทำร่องระบายน้ำระหว่างแถวปลูก เพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณรากพืช ปลูกพืช คลมุ ดิน วสั ดุคลุมดิน หรือปลูกพืชแซม ทำแนวร้วั หรอื ทำฐานหญา้ แฝกเฉพาะต้น พัฒนาแหล่งน้ำและระบบ การใหน้ ำ้ ในแปลงปลูก ในชว่ งเจรญิ เติบโต กอ่ นเก็บผลผลติ และภายหลงั เก็บผลผลติ ใช้ป๋ยุ หมักหรอื ปุ๋ยคอก ร่วมกบั ปุย๋ เคมหี รอื ปยุ๋ อินทรีย์น้ำ ตามชนิดพืชที่ปลกู พฒั นาแหลง่ น้ำและจดั ระบบการให้นำ้ ในแปลงปลูก
19 ภาพที่ 7 กลุ่มชดุ ดิน ตำบลโคก่อ ทมี่ า: กรมพัฒนาท่ีดนิ (2563)
20 ◼ สภาพภมู อิ ากาศ ลักษณะภูมิอากาศของจังหวัดมหาสารคาม ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของมรสุมที่พัดประจำฤดูกาล 2 ชนิด คือ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งพัดพามวลอากาศเย็นและแห้งจากประเทศจีนเข้าปกคลุม ประเทศไทยตั้งแต่ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาว ของประเทศไทย ทำให้จังหวัดมหาสารคามมีอากาศหนาวเย็นและแห้งทั่วไป ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดพามวลอากาศชื้นจากทะเลและมหาสมุทรเข้าปกคลุมประเทศไทยในช่วงฤดูฝน (ประมาณกลางเดือน พฤษภาคมถึงประมาณกลางเดือนตุลาคม) ทำให้มีฝนตกชุกทั่วไปตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป โดยตำบลโคกก่อ มลี กั ษณะฝนตกสลบั กับอากาศแห้ง (Wet and Dry Climate) มีปรมิ าณนำ้ ฝนเฉลี่ยต่อปี อยปู่ ระมาณ 118 มลิ ิเมตร/ปี อุณหภมู เิ ฉลยี่ ตลอดปี อยูท่ ีป่ ระมาณ 28 องศาเซลเซยี ส ในชว่ งเดือนเมษายน ของทุกปี โดยจะมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย ประมาณ 39 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิต่ำสุด วัดได้ในช่วงเดือน มกราคม อยู่ประมาณ 15 องศาเซลเซียส มีฤดูกาลต่าง ๆ แบ่งเป็น 3 ฤดู ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ไปจนถึงเดือนมิถุนายน ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ไปจนถึงเดือนตุลาคม และฤดูหนาว เร่มิ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนเดอื นกุมภาพันธ์ ฤดูกาล ฤดูกาลของจังหวัดมหาสารคาม พิจารณาตามลักษณะของลมฟ้าอากาศของประเทศไทย สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ฤดู ดังนี้ 1. ฤดูหนาว เริ่มต้นประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทยและบริเวณความกดอากาศสงู จากประเทศ จีนที่มีคุณสมบัติเย็นจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนในช่วงดังกล่าว ทำให้อากาศโดยทั่วไปบริเวณ จังหวัดมหาสารคามจะหนาวเย็นและแห้ง โดยมีอากาศหนาวจัดในบางวัน โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม ถงึ มกราคมจะเป็นช่วงทม่ี อี ากาศหนาวเย็นมากทส่ี ดุ 2. ฤดูร้อน เริ่มต้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นที่มีอากาศร้อนอบอ้าวโดยทั่วไป โดยเฉพาะเดือนเมษายนจะเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวที่สุด ของปี 3. ฤดฝู น เริม่ ต้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตลุ าคม เป็นชว่ งท่ีมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้พัดเอาความช้ืนจากทะเลและมหาสมุทรมาปกคลุมประเทศไทย โดยมีร่องความกดอากาศ ต ่ ำ ท ี ่ พ า ด อ ยู่ บ ร ิ เว ณ ภ า ค ใ ต้ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย จ ะ เ ล ื ่ อ น ข ึ ้ น ม า พ า ด ผ่ า น บ ร ิ เว ณ ภ า ค เ ห น ื อ แ ล ะ ภ า ค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้อากาศเริ่มชุ่มชื้นและมีฝนตกชุกตั้งแต่ประมาณกลางเดือน พฤษภาคมเป็นต้นไป โดยเฉพาะเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีฝนตกชุกหนาแน่นมากที่สุดในรอบปี แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากปัจจัยดังกล่าวที่ทำให้มีฝนตกชุกแล้วยังขึ้นอยู่กับอิทธิพลของพายุหมุนเขตร้อน ที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้หรือเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงดังกล่าวด้วย อุณหภูมิ เนื่องจากลักษณะพื้นที่ของจังหวัด มหาสารคามเป็นที่ราบสูงไม่มีภูเขา อากาศจึงไม่ร้อนอบอ้าวมากนักในช่วง ฤดูร้อน และอากาศ ค่อนข้างหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปี 27.1 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด เฉลี่ย 22.0 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 32.8 องศาเซลเซียส เดือนเมษายนเป็นเดือนที่มีอากาศร้อน อบอา้ วมากที่สดุ ในรอบปี วัดอณุ หภมู สิ ูงท่สี ุดที่ตรวจวัดได้ 43.3 องศาเซลเซยี ส เมอ่ื วนั ท่ี 20 เมษายน 2562
21 ส่วน ในช่วงฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวเย็นมากที่สุดในเดือนธันวาคม วัดอุณหภูมิต่ำที่สุดได้ 5.3 องศา เซลเซียส เมอ่ื วันท่ี 25 ธนั วาคม 2542 ฝน เนื่องจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือล้อมรอบไปด้วยเทือกเขา โดยมีเทือกเขาเพชรบูรณ์ อยู่ทางทิศตะวันตกและเทือกเขาดงพญาเย็นอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นแนวกัน ไม่ให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้าปกคลุมบริเวณจังหวัดมหาสารคามได้เต็มที่ในช่วงฤดูฝน ทำให้กลุ่มฝน ส่วนใหญ่ จะพดั ไปตกทางด้านตะวันตกและ ดา้ นใต้ของเทือกเขา ทำให้ปริมาณฝนเฉล่ียตลอดปีของจังหวัด มหาสารคามอยู่ระหว่าง 1,000-1,200 มิลลิเมตร โดยปริมาณฝนเฉลี่ย 1,201.90 มิลลิเมตร และจำนวนวันที่ฝนตก 102 วัน โดยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีฝนตกชุกมาก ที่สุดในรอบปี ปริมาณฝนมากทีส่ ดุ ใน 1 วนั เคยวดั ได้ 183.7 มลิ ลิเมตร เม่อื วันที่ 30 สงิ หาคม 2562 พายุหมนุ เขตรอ้ น พายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนตัวผ่านหรือเข้าสู่จังหวัดมหาสารคาม มีแหล่งกำเนิดจากทะเล จนี ใตแ้ ละมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก โดยเคล่ือนตวั ผ่านประเทศเวยี ดนาม กมั พชู า และลาวก่อน จะเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งทำให้พายุมีกําลังอ่อนลงอยู่ในขั้นพายุดีเปรสชัน เป็นสว่ นใหญ่ ทำให้ไมก่ ่อให้เกดิ ความเสยี หายมากนกั แตย่ ังคงทำให้เกดิ ฝนตกหนักถงึ หนักมากจนก่อให้เกิด น้ำท่วมฉับพลันได้ในบางพื้นที่สำหรับช่วงเวลาที่พายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนตัวผ่านจังหวัดมหาสารคาม เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่พายุหมุนเขตร้อน มีโอกาสเคลื่อนเข้าสู่จังหวัดมหาสารคามได้มากที่สุดจากสถิติในคาบ 69 ปตี ง้ั แต่ พ.ศ. 2494-2562 พบว่าพายหุ มนุ เขตร้อนทีเ่ คลื่อนตัวผ่านจังหวดั มหาสารคามมีท้ังหมด 11 ลูก และส่วนใหญ่ มีกําลังแรงเป็นพายุดีเปรสชัน โดยเคลื่อนเข้ามาในเดือนกรกฎาคม 1 ลูก (2505) เดอื นกันยายน 5 ลูก (2501, 2521(2), 2556, 2559) เดือนตุลาคม 3 ลกู (2506, 2510, 2529) และเดือน พฤศจิกายน 2 ลูก (2527, 2539) ◼ ภัยธรรมชาติ จังหวัดมหาสารคาม ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ประกอบด้วย น้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำแม่น้ำชีตอนบนและบริเวณแม่น้ำชีตอนกลาง สำหรับพื้นที่ตำบลโคกก่อ จัดเป็นพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมและน้ำแล้ง ซึ่งจำเป็นต้องมีการแก้ไข เพื่อให้สอดรับกับความต้องการ ใชท้ ง้ั เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร
ตารางที่ 2 พืน้ ทแ่ี ลง้ ซ้ำซาก ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ปี พ.ศ. 2557 22 ระดบั ความรนุ แรงต่อการเกิดภยั แล้ง เน้อื ท่ี (ไร่) 29,788 ตำบล ตงั้ แต่ 6 ครง้ั ข้นึ ไปใน 4-5 ครงั้ ไมเ่ กนิ 3 ครั้ง รอบ 10 ปี ในรอบ 10 ปี ในรอบ 10 ปี โคกก่อ 18,354 10,454 980 ที่มา: กรมพัฒนาท่ีดิน (2557) ภาพที่ 8 พื้นท่ีเปา้ หมายในการแกไ้ ขปญั หาทรพั ยากรนำ้ บริเวณอา่ งเก็บนำ้ หว้ ยคะคาง ทม่ี า: กรมชลประทาน (2561)
23 ภาพที่ 9 ภยั แล้ง ภาพท่ี 10 นำ้ ทว่ ม ทีม่ า: 1.https://kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/business/Pages/z3074.aspx 2.เหตกุ ารณน์ ้ำทว่ มในจังหวดั มหาสารคาม ปี พ.ศ. 2560, https://www.matichon.co.th/news- monitor/news_695997 ◼ ผลผลิตทางการเกษตรที่โดดเด่น (Dominant Agricultural Products) เหด็ นางฟา้ ภาพที่ 11 เหด็ นางฟา้ ที่มา: https://puechkaset.com/เห็ดนางฟา้ / ชอื่ สามญั : Sarjor-caju Mushroom ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์: Pleurotus sajor-caju (Fr.) Sing. ชื่ออ่นื : เหด็ แขก ถ่ินกำเนดิ : แถบเทอื กเขาหมิ าลัย ประเทศอินเดยี ลักษณะทางพฤกษศาตร์: เห็ดนางฟ้า เปน็ เหด็ สกลุ เดียวกับเห็ดเป๋าฮ้ือ มลี ักษณะดอกเห็ดคล้าย เห็ดเป๋าฮื้อและเห็ดนางรม ดอกเห็ด มีสีขาวจนถึงสีน้ำตาลอ่อน หมวกดอกเนื้อแน่นสีคล้ำ ก้านดอกสีขาว ขนาดยาวไม่มีวงแหวนล้อมรอบ ครีบดอกสีขาว อยู่ชิดติดกันมากกว่าครีบดอกเห็ดเป๋าฮื้อ เส้นใยค่อนข้าง ละเอียด
24 ฤดกู าล: เห็ดนางฟ้าเจริญเตบิ โตไดด้ ีในชว่ งหนา้ ร้อน ประมาณเดอื นเมษายน แหล่งปลูก : เจรญิ เตบิ โตตามตอไม้ผุ ๆ บริเวณทอ่ี ากาศชน้ื และเยน็ การกนิ : เหด็ นางฟา้ มกี ลิน่ หอม เนือ้ แนน่ รสหวาน นำไปปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่นเห็ดนางฟ้า ชุบแป้งทอด ผัดเห็ดนางฟ้า เห็ดนางฟ้าผัดกระเพรา ห่อหมกเห็ดนางฟ้า ยำเห็ดนางฟ้า เมี่ยงเห็ดนางฟ้า แหนมสดเหด็ นางฟ้า ใสใ่ นต้มโคล้งหรือตม้ ยำ เปน็ ตน้ สรรพคณุ ทางยา: ชว่ ยป้องกนั โรคมะเร็ง ลดไขมันในเสน้ เลอื ด เห็ดนางฟ้ามีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับเห็ดนางรม เห็ดทั้งสองชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์ (family) เดียวกัน ชอื่ “เห็ดนางฟ้า” เป็นชือ่ ท่ตี งั้ ขึ้นในเมอื งไทย คนไทยบางคนเรียกว่าเหด็ แขก เน่ืองจากมีผู้พบเห็น เห็ดนี้ครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย พบขึ้นตามธรรมชาติบนตอไม้เนื้ออ่อนที่กำลังผุ ในแถบเมือง แจมมู (Jammu) บริเวณเชงิ เขาหิมาลยั ชอื่ วิทยาศาสตร์ คอื Pleurotus sajor-caju (Fr.) Singer เห็ดนางฟ้า ถูกนำไปเลี้ยงในอาหารวุ้นเป็นครั้งแรกโดย Jandaik ในปี ค.ศ. 1947 ต่อมา Rangaswami และ Nadu แห่ง Agricultural University, Coimbattore ในอินเดียเป็นผู้นำเชื้อบริสุทธิ์ ของเห็ดนางฟ้าเข้ามาฝากไว้ที่ American Type Culture Collection (ATCC) ในอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1975 ได้ทราบว่าประมาณปี ค.ศ. 1977 ทางกองวิจัยโรคพืช กรมวิชาการเกษตร เป็นผู้นำเชื้อ จาก ATCC เขา้ มาประเทศไทยเพอื่ ทดลองเพาะดู ปรากฏวา่ สามารถเจริญไดด้ ี อีกสายพันธุ์หนึ่ง เป็นเห็ดที่มีผู้นำเข้ามาจากประเทศภูฐาน มาเผยแพร่แก่นักเพาะเห็ดไทย ไดม้ ีการเรยี กชื่อเหด็ นว้ี ่า เห็ดนางฟ้าภฐู าน มหี ลายสายพนั ธุ์ซง่ึ ชอบอุณหภูมทิ ี่แตกต่างกัน บางพนั ธ์ุออกได้ดี ในฤดรู อ้ น บางพนั ธุ์ออกไดด้ ใี นฤดูหนาว เป็นท่ีนิยมมาเพาะเป็นการค้ากันมาก
25 พริก ชือ่ ทางวิทยาศาสตร์: Capsicum spp. ภาพท่ี 12 พรกิ พันธ์ุจินดา ชื่อสามัญ: Chili, Pepper, Sweet Pepper, Hot Pepper, Bird (โคกก่อ) Pepper, Capsicum, Paprika ชื่อวงศ์: SOLANACAEAC พรกิ เป็นพชื ท่อี ยใู่ นตระกูลโซลานาซอี ี (Solanaceae) ซง่ึ อย่ใู น ตระกูลเดียวกันกับมะเขือ มันฝรั่ง และยาสูบพืชใน ตระกูลนี้มีอยู่ ประมาณ 90 สกุล (Genus) หรือ 2,000 ชนิด (Species) โดยทั่วไป เป็นได้ทั้งพืชล้มลุก ไม้พุ่ม และไม้ยืนต้นขนาดเล็กซึ่งกระจายอยู่ทั่วไป ของโลก สำหรับพริกจัดอยู่ในสกลุ Capsicum ซึ่งประกอบด้วยพืชชนิด ตา่ ง ๆ ประมาณ 20-30 ชนดิ สำหรบั ลกั ษณะทว่ั ไปทางพฤกษศาสตรข์ องพรกิ มดี งั น้ี ราก ระบบรากของพริกมีรากแก้ว รากหากินลึกมาก ต้นพริกที่โตเต็มที่รากฝอยจะแผ่ ออกไปหากินด้านข้างในรัศมีเกินกว่า 1 เมตร และหยั่งลึกลงไปในดินเกินกว่า 1.20 เมตรรากฝอย หากิน ของพริกจะพบอยู่อย่างหนาแน่นมากในบริเวณรอบ ๆ ต้น ใต้ผิวดินลึกประมาณ 60 เซนติเมตร ลำต้น และก่ิง ลำต้นพริกตง้ั ตรง สูงประมาณ 1-2.5 ฟุต พริก เป็นพืชทม่ี กี ารเจริญของกงิ่ เป็นแบบ Dichotomous คือ กิ่งจะเจริญจากลำ ต้นเพียง 1 กิ่ง แล้วแตกออกเป็น 2 กิ่ง และเพิ่มเป็น 4 กิ่ง 8 กิ่ง 16 กิ่ง ไปเรื่อย ๆ และมักพบว่าต้นพริกที่สมบูรณ์จะมีกิ่งแตกขึ้นมาจากต้นที่ระดับดินหลายกิ่ง จนดูคล้ายกับว่ามีหลายต้น อยู่รวมที่เดียวกันดังนั้นจึงมักไม่พบลำต้นหลัก แต่จะพบเพียงกิ่งหลัก ๆ เท่านั้น ทั้งลำต้นและกิ่งน้ัน ในระยะแรกจะเปน็ ไมเ้ นอื้ อ่อนแตเ่ มื่อมีอายุมากข้ึนก่ิงก็จะยง่ิ แข็งมาก กิง่ หรอื ต้นพรกิ ก็ยังคงเปราะและหักงา่ ย เมล็ด เมลด็ พรกิ ขี้หนู มีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่า เมล็ดมะเขือเทศแต่มีรูปร่างคล้าย ๆ กันคือ มีรูปร่างกลมแบน มีสีเหลืองไป จนถึงสีน้ำตาล ผิวเรียบ ผิวไม่ตอ่ ยมีขนเหมือน เมลด็ มะเขอื เทศ มรี ่องลึกอยูท่ างด้านหน่ึงของเมล็ด เมลด็ จะติดอยู่กบั รก โดยเฉพาะ ทางด้านฐานของผลพริกเมล็ดจะติดอยู่มากกว่าปลายผล ส่วนมากที่เปลือกของผล และเปลือกของเมล็ด มกั มีเชื้อโรค พวกโรคใบจุด และโรคใบเหย่ี วติดมา สำหรบั จำนวนเมล็ดต่อผลพรกิ 1 ผล จะไม่แน่นอน พริก มีแหล่งกำเนิดในอเมริกาเขตร้อน พันธุ์พริกที่นิยมปลูกในปัจจุบัน ถูกนำมาจาก ตัวอย่างทีเ่ กบ็ มา เพยี งเล็ก ๆ น้อย ๆ เม่ือเทียบกับการกระจายตัวของพนั ธกุ รรมในธรรมชาติ พรกิ พนั ธ์ุปลูก แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ Capsicum baccatum และ C. pubescens R. and P. ซึ่งแยกออก จากกันได้อย่างชัดเจนโดยลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และอีกกลุ่มหนึ่งที่รวม ๆ กัน อยู่ปัจจุบันยอมรับ ใหแ้ ยกอกี 3 ชนดิ (Species) ด้วยกัน ไดแ้ ก่ C. annuum L., C. frutescens L. และ C. chinense Jacq.
26 ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ “แคปไซซิน” (Capsaicin) ซึ่งจะมีอยู่มากใยบริเวณเย่ือ แกนกลางสีขาว (คือส่วนเผ็ดมากที่สดุ ) ส่วนเปลือกและเมล็ดนั้นจะมีสารนี้น้อย ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผดิ ว่า ส่วนเมล็ดและเปลือกคือส่วนที่เผ็ดที่สุด และสารชนิดนี้ จะทนทานต่อความร้อนและความเย็นอย่างมาก แม้จะนำมาต้มให้สุดหรือแช่แข็งก็ไม่ได้ทำให้สูญเสียความเผ็ดไปแต่อย่างใด โดยเราสามารถเรียงลำดับ ความเผ็ดของพริกจากมากไปหาน้อยได้ คือ พริกขี้หนู > พริกเหลือง > พริกชี้ฟ้า > พริกหยวก > พริก หวาน เปน็ ต้น การจำแนกพริกตามความเผด็ สารแคปไซซิน เป็นสารที่ให้ความเผ็ดในพริก มีหน่วยเป็นสโควิลล์ (Scoville) โดยพริก ที่มีความเผ็ดร้อยละ 1 จัดเป็นพริกที่มีความเผ็ดมากที่ 100% หรือมีค่าเท่ากับ 175,000 สโควิลล์ ซึง่ จำแนกออกเปน็ 3 ชนิด คือ 1. พรกิ เผ็ดมาก เป็นพริกที่มีความเผ็ดในชว่ ง 70,000-175,000 สโควลิ ล์ พบได้ในพริก ขนาดเลก็ มกั นำมาสกดั เปน็ น้ำมันหอมระเหย เชน่ พันธ์ุตาบาสโก เป็นตน้ 2. พริกเผ็ดปานกลาง เป็นพริกที่มีความเผ็ดในช่วง 35,000-70,000 สโควิลล์ พริกชนิดนม้ี กั นำมาประกอบอาหาร เช่น พริกขห้ี นู พรกิ ชีฟ้ า้ พริกจนิ ดา พริกหวั เรอื พริกสีทน และพริกช่อ มข. เป็นต้น 3. พริกเผ็ดน้อยหรือไม่เผ็ด เป็นพริกที่มีความเผ็ดในช่วง 0-35,000 สโควิลล์ มักเป็นพริกที่มีขนาดใหญ่ เนื้อหนา ผลมีลักษณะกลม สั้น มักนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เช่น พรกิ หยวก พรกิ หวาน เปน็ ต้น
บทที่ 2 “ความเป็นอยู่ ประเพณี และวฒั นธรรม”
28 บทท่ี 2 ความเปน็ อยู่ ประเพณี และวฒั นธรรม จากการจัดการความรู้เพื่อสะท้อนบทเรียน เพื่อจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นแบบบูรณาการ “การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” วันที่ 15 กันยายน 2563 ร่วมกับชุมชน ณ ห้องประชุม โรงเรียนโคกกอ่ พิทยาคม สามารถสรปุ เปน็ ชุดความรไู้ ดด้ ังนี้ ◼ คำขวัญของตำบลโคกก่อ “โคกก่ออ่างงามนามระบือ เลื่องลือถิ่นโคนมอุดม พริกรสเผ็ด เห็ดป่ามากมี ผ้าฝ้ายผ้าไหมเนื้อดี พื้นทีอ่ นรุ ักษ์ภูมปิ ญั ญา” ◼ สภาพทางการปกครอง ➢ จำนวนหมู่บ้าน จำนวนหมู่บ้านในตำบลโคกก่อ มีทั้งหมด 16 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านโคกก่อ หมู่ 1 และ 12 บ้านโรงบ่ม หมู่ 2 บ้านหนองหิน หมู่ 3 และ 4 บ้านภูดินหมู่ 5 หมู่ 11 หมู่ 15 บ้านหนองแสง หมู่ 6 บ้านสมศรี หมู่ 7 บ้านหนองคา่ ยหมู1่ 6 บา้ นหนองแวงน้อย หมู่ 8 บ้านโจด หมู่ 9 และ 13 บา้ นหนองสงู หมู่ 14 บ้านหวั ช้าง หมทู่ ี่ 10 ➢ ประชากร ตำบลโคกก่อ มีประชากรรวมทั้งสิ้น 8,236 คน จำนวนครัวเรือนทั้งตำบล ประมาณ 2,328 หลังคาเรือน ขนาดสมาชิกในครอบครัว โดยเฉลี่ยครอบครัวหนึ่ง ประมาณ 5 คน โดยแยกเป็นชาย 4,040 คน เปน็ หญงิ 4,196 คน ◼ สภาพทางเศรษฐกจิ ➢ อาชีพ ประชากรตำบลโคกก่อส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหลักด้านการเกษตร ได้แก่ การทำนา ทำสวน และเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากตำบลโคกก่อมีพื้นที่เป็นคลื่น จึงประสบกับปัญหาภัยแล้ง ในฤดูแล้ง อาชีพ รองลงมาคือรับจ้างและค้าขาย รายได้เฉลี่ย 10,000 บาท/คน/ปี 1. ครวั เรอื นที่ประกอบอาชพี มากกวา่ 1 อาชพี จำนวน 1,059 ครัวเรอื น 2. ครวั เรอื นทปี่ ระกอบอาชีพเพยี งอย่างเดียว จำนวน 400 ครวั เรือน 3. การประกอบอาชพี หลกั ของประชาชนทัง้ ตำบล คอื การทำนาผลผลิตโดยเฉลีย่ 250 กก./ไร่ 4. ครวั เรือนทป่ี ระกอบอาชีพทำไร่ ปลกู มนั สำปะหลงั จำนวน 623 ครวั เรือน
29 ➢ ครวั เรอื นทเี่ ลี้ยงสตั ว์ไวข้ าย สัตวท์ ่เี ล้ยี ง ววั ควาย สกุ ร จำนวน 80 ครวั เรอื น ➢ ครัวเรอื นทที่ ำการเกษตรในฤดูแล้ง จำนวน 40 ครัวเรือน ➢ รายไดเ้ ฉลีย่ ของประชากร 5,500 บาท/คน/ปี ➢ หนว่ ยธรุ กจิ ในเขต อบต. สถานนี ำ้ มัน 7 แหง่ โรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่ง ◼ สภาพทางสงั คม ➢ การศึกษา โรงเรยี นประถมศกึ ษา 6 แห่ง โรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา 1 แห่ง ศูนย์พัฒนาเดก็ เล็ก อบต. 7 แหง่ ทอ่ี ่านหนงั สือพมิ พป์ ระจำหมู่บา้ น 16 แหง่ ➢ สถาบนั และองคก์ รทางศาสนา วัด/สำนักสงฆ์ 12 แห่ง ➢ สถานบรกิ ารสาธารณสขุ สถานอี นามัยประจำตำบล 1 แหง่ ศูนย์สาธารณสขุ มลู ฐานชุมชน 16 แห่ง ➢ ความปลอดภัยในชีวติ และทรัพย์สิน ป้อมยามตำรวจ 1 แห่ง
30 ➢ ลายผา้ ประจำตำบลโคกก่อ (บ้านหนองหิน) จากการสมั ภาษณ์นางจิราภรณ์ อนิ ทะสร้อย ลายผ้านี้ ตามทจ่ี ำความได้ มีมาตัง้ แต่ ปี พ.ศ. 2524 โดยใช้ชอื่ ว่า ลายเกล็ดเตา่ ซงึ่ มาจากลกั ษณะทค่ี ล้ายเกลด็ เต่านัน่ เอง ภาพท่ี 13 ลายเกล็ดเต่า ท่ีมา: สมั ภาษณ์เมือ่ วนั ที่ 23 มกราคม 2564 นางจิรา ภรณ์ อินทะสรอ้ ย อายุ 54 ปี 141 หมู่ 4 บา้ นหนองหนิ ต.โคกกอ่ อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม 44000 ➢ ผลติ ภณั ฑท์ ่ีโดดเด่น ตารางท่ี 3 ผลิตภัณฑ์ทีโ่ ดดเด่นในแตล่ ะหมูบ่ ้าน หมบู่ า้ น ผลติ ภณั ฑ์ ภาพ บา้ นหนองหิน ข้าวปลอดสารพิษ โรงผลติ น้ำดืม่ พระจันทร์ ศนู ย์ผา้ ทอมอื บ้านหนองหิน กล่มุ เพาะเหด็ นางฟา้ บา้ นหนองหนิ กลุ่ม โฮมสเตย์ กลมุ่ พรกิ ปลอดสารพิษ กลมุ่ จัก สาน กลุ่มผ้าไหม สวนองุ่น
หมู่บา้ น ผลติ ภณั ฑ์ 31 บ้านโคกก่อ โคนมโคกก่อ ภาพ บา้ นหนองโจด ผักปลอดสารพิษ โรงงานผลิตเสน้ กว๋ ยจบั๊ - บ้านหัวชา้ ง และข้าวปลอดสารพษิ - โรงผลติ นำ้ ด่มื โรส ภาพท่ี 14 บทเรยี นจากการจดั การองค์ความรู้ (อ่างโคกกอ่ )
32 ภาพที่ 15 บทเรยี นจากการจดั การองค์ความรู้ โดยชมุ ชนมีสว่ นร่วม ➢ ประเพณี ตารางที่ 4 ประเพณีจากฐานความเชือ่ กิจกรรม เดือน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 เลี้ยงดอนปตู่ า x วันพธุ เล้ียงป่หู นอง x
33
➢ การประกอบอาชีพ 1 2 3 4 ทรพั ยากร กิจกรรม x x x x นำ้ ทำนา ปลูกผกั ปลอดภยั ▪ พรกิ ▪ ผกั หอม กระเทียม พริก ผ ป่า ▪ เกบ็ เห็ด xx x x (เพาะเองและ ธรรมชาติ) ▪ เก็บสมุนไพร x x x x ▪ เก็บตอนเช้า ▪ แมลง xx ไข่มดแดง จโิ ป่ม แ ดนิ ทำไร่ XX X ผลิตภณั ฑช์ ุมชน หมอน สีธรรมชาติ ผา้ ขาวมา้ ชดิ
34 เดอื น 8 9 10 11 12 567 x xx x xx xxX x xx x ผล ผลติ สูง ผกั กาด ตำลึง ผกั ชีลาว ถั่วฝกั ยาว แตง บวม ขา้ วโพด กาว xxx x xx x x xx x x xx x x x x x x xx x แมงแคง x x x xx x X x จัก สาน
35 ภาพท่ี 16 บรรยากาศการสะทอ้ นบทเรยี น ผา่ นการจดั การองคค์ วามรู้
บทท่ี 3 “สาเหตุ ผลกระทบ และการปรบั ตัวกบั การ เปล่ียนแปลงสภาพภมู อิ ากาศ”
37 บทท่ี 3 สาเหตุ ผลกระทบ และการปรบั ตัว กับการเปล่ียนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ ◼ ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู ิอากาศ ภาวะโลกร้อน กลายเป็นคำคุ้นหู ที่ทุกคน คงเคยได้ยินกันมาบ้างในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่หลายคนก็ยังสับสนอยู่ว่าจริง ๆ แล้ว ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปรากฏการณ์ เรอื นกระจก มนั เหมอื น หรอื แตกตา่ งกันอย่างไร หรอื จรงิ ๆ แลว้ มนั มคี วามสมั พันธก์ นั อย่างไร ภาพที่ 17 การเกดิ ปรากฏการณ์เรอื นกระจก ทีม่ า: กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ ม (2563) ภาวะโลกร้อน (Global Warming) คือ การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลก และผืนมหาสมุทร เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเกิดจาก ก๊าซเรือนกระจก เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ฯลฯ ที่สะสม อยู่ในชั้นบรรยากาศมีมากจนเกินสมดุล ซึ่งโดยปกติแล้ว ก๊าซเหล่านี้จะอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก ทำหน้าท่ี ห่อหุ้มโลกเอาไว้คล้าย ๆ เรือนกระจก หรือ Green House ที่เป็นเกราะกำบังกรองความร้อนที่จะผ่านลงมา
38 ยังพื้นโลก และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ เก็บกักความร้อนบางส่วนเอาไว้ ทำให้โลกมีอุณหภูมิพอเหมาะ สำหรับการดำรงชวี ิต ภาพที่ 18 ความหมายของปรากฎการณ์เรอื นกระจก ทม่ี า: กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ ม (2563) แต่ในปัจจุบัน ก๊าซเรือนกระจกมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้รังสี จากดวงอาทิตย์ที่เคยส่องมายังโลก ไม่สามารถสะท้อนกลับออกไปนอกโลกได้ เพราะถูกก๊าซ เรือนกระจกที่มีปริมาณมาก บดบัง เรียกสภาวะแบบนี้ว่า “ปรากฏการณ์เรือนกระจก” เม่ือความร้อน ไม่สามารถสะท้อนกลับออกไปนอกโลก ก็ทำให้อุณหภูมิเฉล่ียของโลกเพิ่มสูงขึ้น เกิดเป็นภาวะโลกร้อน ยิ่งก๊าซ เรือนกระจกมากเท่าใด โลกก็จะร้อนขึ้นเท่านั้นและเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ผลพวงที่ตามมา
39 ก็คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลก เช่นที่เรา กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และยังกระทบ ตอ่ สมดลุ ในด้านตา่ ง ๆ บนโลกใบนอี้ ย่างมากมาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) คือ การเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศ เฉลี่ย (Average Weather) ในพื้นที่หนึ่ง ลักษณะอากาศเฉลี่ย หมายความรวมถึง ลักษณะทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง กับอากาศ เช่น อุณหภูมิ ฝน ลม เป็นต้น ในความหมายตามกรอบของอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศ FCCC (Framework Convention on Climate Change) การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ คือ การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ อันเป็นผลทางตรง หรือทางอ้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ทำให้ องค์ประกอบของบรรยากาศ เปล่ียนแปลงไป นอกเหนอื จากความผนั แปรตามธรรมชาติ “การเรียนรู้ ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก” คลิป ภาวะโลกรอ้ น (Global Warming) สงั คมศึกษาฯ ม.1-6 (7 นาที) https://www.youtube.com/watch?v=4L2ZLr5BpNQ
40 คลิป Green House Effect คอื อะไร (3.15 น.) https://www.youtube.com/watch?v=xVjFeeivZbA คลิป สาระดี ๆ กบั TGO ตอนที่1 ก๊าซเรือนกระจกคืออะไร? (3.43 น.) https://www.youtube.com/watch?v=SQajrLvhlBA
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221