ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 150 น พหลุ ีกโรนฺติ, [ องฺ. เอก. ๒๐/๑๒] \"ภกิ ษุ ท., ถา ภกิ ษุ ยอม เจรญิ จิตมเี มตตา แมช ว่ั ลดั นิ้วมือ, ภกิ ษุ ท., ภกิ ษุนีเ้ รียกวา เปน ผูไ มเ หินหางจากฌาน ทําศาสนา ทาํ โอวาท ของพระศาสดาอยู ยอม บริโภคกอนขาวของชาวแควน ไมเ ปลา, กจ็ ะกลา วไปทําอะไรถึงภิกษุ ท. ท่ที าํ จิตนัน้ ใหมาก.\" ประโยคท่ี ๒ อเิ มสมปฺ จนฺทิมสรุ ยิ าน เอว มหิทธฺ กิ าน เอว มหานุภาวาน เตชสา เตช ปริยาทิเยยยฺ าถ, โก ปน วาโท อฺ ติตถฺ ยิ าน ปรพิ ฺพชกาน. [ อง.ฺ ทสก. ๒๔/๑๓๙] \"ทาน ท. พงึ ครอบงําเดช แหงดวงจันทรและดวงอาทติ ย ผมู ฤี ทธิ์มากอยางนี้ มีอานภุ าพมากอยา งน้ี แมเ หลา นด้ี ว ยเดช, จะกลาวไปทาํ อะไรถึงพวกปรพิ าชกอญั ญเดยี รถีย. \" ประโยคที่ ๓ จิตฺตุปปฺ าทมฺป โข อห จนุ ฺท กุสเลสุ ธมเฺ มสุ พหกุ าร วทาม,ิ โก ปน วาโท กาเยน วาจาย อนวุ ริ ยิ นาสุ. [ สลเฺ ลขสุตฺต. ๑๒/๗๘ ] \"จนุ ทะ, เรากลาว แมค วามเกดิ แหง จิตในกศุ ลธรรม ท. แล วา มอี ปุ การะมาก, จะกลา วไปทําอะไรในการทําเนอื ง ๆ ทางกาย ทางวาจก.\" ผูก อ.ุ ที่ ๑ แบบประโยคท่ี ๑ ตาต มหลลฺ กสฺส หิ อตฺตโน หตถฺ ปาทาป อนสฺสวา โหนฺติ น วเส วตฺตนฺต,ิ โก ปน วาโท เย าตกา. (เย าตกา เปน
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ที่ 151 ประโยค ย สวนหนึง่ , าตกา เปน ลิงคตั ถะ หรอื สยกตั ตา ใน โหนตฺ ิ กไ็ ด, ตองเติม ต ศัพทรับที่ประโยค โก ปน วาโท, ประกอบ เปน เตส [ าตกาน] หรออื เตสุ [ าตเกสุ] กไ็ ด.) ผูก อ.ุ ท่ี ๑ แบบประโยคที่ ๒ ตาต...วตฺตนตฺ ิ, โก ปน วาโท าตกาน. . ผกู อ.ุ ที่ ๑ แบบประโยค ที่ ๓ ตาต...วตตฺ นฺติ, โก ปน วาโท าตเกส.ุ สรูปอธบิ าย: กิมงคฺ เปนกริ ยิ าวเิ สสนะหรือเหตุ. ถา แปลขึน้ กอนวา ' กลา วไปทาํ อะไร ' บางทานเรยี กเปน ลิงคัตถะ. ปเคว (๓) ปเคว ลงตน ความทอ นหลงั ทส่ี นับสนนุ ความทอนตน แต แสดงความแรงกวา เรียกช่อื วา กิรยิ าวเิ สสน, ศพั ทน ้อี รรถกถาแก อรรถวา ปมฺเว (กอ นนน่ั เทยี ว หมายความวายงิ่ กวา) โดย ชุกชมุ , วา อตวิ ยิ (เกินเปรยี บ) บา ง. อุ.โส เจ อธมมฺ จรติ ปเคว อิตรา ปชา. ความทอ นตน แสดงวา ถา พระราชาประพฤติ อธรรม, ความทอ นหลังสงความใหแรงยงิ่ ข้นึ วา ประชาชนนอกน้ีก็ ยอ มประพฤตินักเทียว. อธบิ าย: [ ๑ ] ปเคว เปนกริ ิยาวิเสสนะ ลงในความทอนหลัง เพื่ออรรถดงั แสดงแลว. อุ. :-
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาท่ี 152 อุ. ที่ ๑ โส เจ อธมมฺ จรติ ปเคว อิตรา ปชา. [ อมุ ฺมาทนตฺ ชี าตก. ๒๘/๒๐] \"ถา พระราชาทรงประพฤตอิ ธรรม ประชาชนนอกนี้ ยอ มประพฤติ แนแท. \" (พระเจาบรมวงศเ ธอ กรมพระสมมตอมรพนั ธุ ทรงแปล เรยี บเรยี งวา \"เมอื่ พระราชามไิ ดประพฤตสิ จุ ริตธรรม ประชาชนอนั เศษ กม็ ิไดประพฤตสิ จุ ริตธรรมเหมอื นกนั ๑\"). ปเควสทฺโท จรตีติ ปทสฺส กริ ิยาวิเสสน. ชาตกัฏฐกถา [ ๘/๕๑] วา ปเควาติ ตสมฺ ึ อธมมฺ จรนฺเต อติ รา ปชา ปเคว จรติ อติวยิ กโรตตี .ิ อตโฺ ถ. อ.ุ ท่ี ๒ จตูสุ ปน ทีเปสุ จกกฺ วตตฺ ิสริ ึ ทาตุ สมตฺถา มาตาปตโร นาม ปุตตฺ าน นฺตถ,ิ ปเคว ทิพฺพสมฺปตฺตึ วา ปมาชฺฌานาทิสมฺปตฺตึ วา. [ โสเรยยฺ ตเฺ ถร. ๒/๑๖๔] \"กช็ ่ือวา มารดาบิดาผูสามารถเพื่อให จกั รพรรดิสริ ิในทวปี ท้งั ๔ แกบ ุตร ท. ยอ มไมม ,ี มารดาบดิ าผสู ามารถ จะใหท พิ พสมบตั หิ รอื สมบตั มิ ีปฐมฌานเปนตน ยอ มไมม กี อนแท. \" ปเควสทโฺ ท นตถฺ ีติ ปทสฺส กริ ยิ าวเิ สสน. อ.ุ ท่ี ๓ โก นุ โข โภ โคตม เหตุ โก ปจจฺ โย; เยเนกทา ทีฆรตฺต สชฺฌายกตาป มนตฺ า นปฺปฏภนฺติ, ปเคว อสชฺายกตา. [ อง.ฺ ๑. จากหนังสอื นิบาตชาดก เลม ๑๖ พิมพเ มื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ หนา ๑๙๕.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 153 ปจฺ ก. ๒๒/๒๕๗ ] \" ขาแตพ ระโคตมผเู จรญิ , เหตอุ ะไรหนอแล ปจ จยั อะไร ที่เปน เหตไุ มแจม แจงแหง มนต ท. แมท ท่ี าํ สาธยายไวต ลอด กาลนาน, มนต. ท. ทไ่ี มไ ดท ําสาธยายไว ย่งิ ไมแจมแจงกอนเท่ียว.\" อรรถกถา [ มโน. ป.ู ๓/๘๐ ] วา ปเควาติ ปมเฺ ว. อ.ุ ที่ ๔ ยโตห ภนฺเต ชาโต นาภิชานามิ สปุ น นเฺ ตนป เมถุน ธมฺม ปฏิเสวิตา. ปเคว ชาคโร. [มหาวภิ งฺค ๑/๓๗๕ ] \"ขา แตพระองค ผเู จริญ, ต้งั แตขา พระองคเกิดแลว ไมร ูจ ักเสพเมถนุ ธรรมแมด ว ย ความฝน , ต่ืนอยู กย็ ่ิงไมร ูจกั กอ นทีเดียว.\" ปเคว ชาคโร อรรถกถา [สมนฺต. ๑/๘๕ ] แกว า ชาครนฺโต ปน ปมเ ยว น ชานามิ. [ ๒ ] รปู ประโยคความทอน ปเคว คลอ ยตามความทอ นตน ไมกลับกนั เหมอื น กิมงฺค พงึ สงั เกตจาก อ.ุ ที่แสดงแลว . แต ปเคว นี้ ทานแปลวา \"ปวยกลาวดงั หรอื \" อยากมิ งคฺ ท่ีแปลอยางนัน้ ก็มี ดังเชน จะแปลวา อุ. ท่ี ๒ วา \"จะกลาวไปทําอะไร ถึง (จกั มมี ารดาบิดาผู สามารถจะให) ทิพพสมบัติ หรอื สมบตั ิมีปฐมฌานเปน ตน .\" ถา แปล อยางนั้น ก็ตอ งกลบั รูปประโยค ทั้งต้ังประกอบกริ ยิ าอยางประโยค กมิ งคฺ . [ ๓ ] ยงั มีอีกศัพทห น่งึ ทคี่ ลายกัน คอื ปเค แตแปลวา เชา (สสกฤตวา ปรฺ เค = อติปรฺ าต). ปเคว ในทบ่ี างแหง ใชเปน กริ ยิ า- วิเสสนะธรรมดา. อุ. ปเควตร อาคจฺเฉยฺย. [ม. อ.ุ อนุรทุ ฺธ. ๑๔/๒๘๔] \"พึงมาเชาสกั หนอ ย.\" บางแหงใช ปพุ เฺ พว มคี วามคลาย ปเคว (ปมฺเว) เชน
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 154 ยา ตถารปู สสฺ ทิฏ ,ิ สาสฺส โหติ สมมฺ าทฏิ ;ิ ฯ เป ฯ โย ตถารปู สฺส สมาธ,ิ สวฺ าสฺส โหติ สมมฺ าสมาธิ; ปพุ ฺเพว โข ปนสสฺ กายกมมฺ วจกี มฺม อาชโี ว สุปรสิ ทุ โฺ ธ โหติ. [ สฬายตนวิภงฺคสตฺ ตฺ . ๑๔/๕๒๕] \"ทฏิ ฐิของบุคคลผเู ห็นปานนนั้ ใด ทฏิ ฐิของเขานั้น เปน สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สมาธิของบุคคลผเู หน็ ปานนั้นใด สมาธิของเขานนั้ เปนสัมมาสมาธิ, กก็ ายกรรม วจีกรรม อาชพี ของเขายอมบริสทุ ธิ์ดใี นกอนทีเดียวแล.\" สรปู อธบิ าย : ปเคว เปนกริ ยิ าวเิ สสนะ. ยเฺ จ-เสยฺโย (๔) ยฺเจ - เสยโฺ ย โดยปกติใชค กู ันในความ ๒ ทอนที่ แสดงความหยอ นย่งิ ตรงกนั ขาม, เสยฺโย วางในความทอ นตน ท่แี สดงความในทางดีกวา, ยฺเจ วางในความทอนหลงั ท่แี สดงความ ในทางดอ ย หรือปฏเิ สธในทางดีตรงกันขา มกับความในทอน เสยฺโย. ยฺเจ ใชคงรูปอยอู ยางเดียว จนสงเคราะหเปนนิบาต ใชในอรรถ เปนสัพพนาม ๑ เปนนบิ าต ๑. ยเฺ จ ใชเ ปนสพั พนามนี้ ย เปน วเิ สสนะเปนพนื้ , เจ ทานแสดงเปนนามมัตถนิบาตกม็ ี ทา นแสดงกบั ย เปน ยมฺปน กม็ ,ี พงึ เรยี กช่อื วา นามวาจก หรอื สัญญาโชตก อยางนามศพั ท, อีก อยา งหนึ่ง นาเรยี ก ครหโชตก อยา ง ปน ศัพท ในอรรถนนั้ , หรือปทปูรณะกไ็ ด. ยฺเจ ใชเปนนบิ าตนัน้ ทา นแสดงเฉพาะ ย บาง ยฺเจ บา ง วาเปนนิบาตในอรรถปฏเิ สธ คือปฏเิ สธ เสยโฺ ย ประกอบวา
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 155 ยเฺ จ เสยโฺ ย, มีอรรถเหมอื น น เสยโฺ น, พงึ เรียกชือ่ วา ปฏเิ สธัตถะ หรอื ปฏิเสธ เหมอื นนบิ าตหมวดปฏเิ สธ. อกี อยา งหนง่ึ ยเฺ จ อมความปฏเิ สธ เสยโฺ ย อยูใ นศัพทของตน (ไมตอง ประกอบวา ยฺจ เสยฺโย) แปลวา จะประโยชนอ ะไร, จะ ประเสริฐอะไร, เรียกชื่ออยางเดยี วกัน, เรียกวา ครหโชตกกน็ าได. อุ ุ. ทณฺโฑว กริ เม เสยโฺ ย ยเฺ จ ปุตตฺ า อนสฺสวา. อธบิ าย: [ ๑ ] ยเฺ จ-เสยโฺ ย นม้ี ีใชม าก และใชค งรปู เปน อพั ยยะ จงึ วาเปน นิบาต ดังทท่ี า นแสดงไวใ นอรรถกถา. อุ. :- อุ. ท่ี ๑ ทณโฺ ฑว กริ เม เสยโฺ ย ยฺเจ ปตุ ฺตา อนสสฺ วา. [ ส. ส. ๑๕/๒๕๙] แปล ยฺเจ เปน สพั พนาม \"บุตร ท. ใด ไมฟงคํา, ไดย ินวา ไมเ ทา เทียวของขาพเจา ประเสรฐิ กวา บุตร ท. น้ัน .\" ย วเิ สสนะ ของ ปตุ ฺตา. แปล ยเฺ จ เปน นบิ าต \"ไดยนิ วา ไมเ ทา เทียวของขา พเจา ประเสริฐกวา, บตุ ร ท. ผูไมฟ งคํา จะประเสริฐอะไร.\" แสดงสัมพันธเฉพาะ ยเฺ จ ปตุ ฺตา อนสฺสวา (ยเฺ จ เปน นบิ าต).
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาท่ี 156 ก. ปตตฺ า ลิงคัตถะ. ยเฺ จ ปฏิเสธตั ถนบิ าต. อนสสฺ วา วเิ สสนะ ของ ปุตตา. ข. ปตุ ตฺ า สยกตั ตา ใน โหนตฺ ิ. โหนฺติ อาขยาตบท กัตตุวาจก. ยฺเจ ปฏิเสธ ใน เสยโฺ ย โหนฺต.ิ อนสสฺ วา วเิ สสนะ ของ ปตุ ตฺ า. เสยโฺ ย วิกตกิ ตั ตา ใน โหนฺติ. อ.ุ ที่ ๒ เสยฺโย อโยโุ ฬ ภตุ ฺโต ตตฺโต อคฺคสิ ขิ ปู โม ยฺเจ ภฺุเชยยฺ ทสุ ฺสโี ล รฏ ปณ ฺฑ อสฺโต [วคฺคุมทุ าตีริยภกิ ฺข.ุ ๗/๑๗ ] แปล ยเฺ จ เปน สัพพนาม \"กอนเหลก็ ที่รอนเปรียบดว ยเปลวแหงไฟ อันบรรพชติ ผูท ุศลี บรโิ ภคแลว ยังดกี วา กอ นขาวของชาวเมอื ง ที่บรรพชติ ผทู ศุ ลี ไมส าํ รวม แลวพงึ บริโภค.\" แปล ยฺเจ เปนนิบาต \"กอนเหล็กทรี่ อน...ยงั ดกี วา, บรรพชิตผูท ศุ ลี ไมส าํ รวมแลว พึงบรโิ ภคกอ นขาวของชาวเมือง จะดอี ะไร.\" [ ๒ ] ย ในท่นี ้ี วาเปนนบิ าต จึงใชเปนวิเสสนะของนามนามได ทกุ ลิงคและวจนะ . ย นบิ าตนี้มีใชอ กี มาก, ท่ีใชเพลนิ ไปแลวก็มี เชน อยฺนูน (ย+นนู ) [ ๓ ] จะแสดงอรรถกถาทีแ่ ก ยเฺ จ บางแหง :- ยญฺ เจติ นปิ าโต. [ สา. ป. ๑/๓๐๗ แก ยฺเจ ปุตตฺ า อนสฺสวา].
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 157 ยนตฺ ิ ลงิ คฺ วปิ ลฺลาโส กโต. เจติ นามตฺเถ นปิ าโต. ฯ เป ฯ อถวา ยนตฺ ิ ปฏเิ สธตฺเถ นิปาโต, [ ชาตกฏ กถา ๒/๒๒] แก ยเฺ จ พาลานุกมฺโก ใน โรหนิ ีชาตก]. ยเฺ จติ ปฏเิ สธตฺเถ นิปาโต. เตน วสฺสสต หตุ น เสยโฺ ยติ อตฺโถ. [มงฺคลตฺถทปี นี. ๑/๗๕ แก ยเฺ จ วสฺสสต หุต] . ยฺเจ สาขสฺมิ ชวี ิตนตฺ ิ ยมปน... [ ชาตกฏ กถา.๑/๒๓๒]. สรปู อธบิ าย : ยเฺ จ ใชเปน สพั พนาม ย เปนวิเสสนะเปน พน้ื , เจ เรยี กช่ือวา สัญญาโชตก หรือครหโชตก หรือปทปูรณะ. ยเฺ จ ใชเ ปน นบิ าต เรียกชอ่ื ปฏเิ สธ.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 158 หลกั สัมพันธ ๑๔. ในการแสดงสมั พนั ธ มหี ลกั ที่ควรทราบตอไปน:ี้ - หลกั ทว่ั ไป (๑) ในวจวี ภิ าคท่ี ๓ สวนวากยสมั พนั ธต อนตนวา ดว ยวธิ ี สัมพนั ธขอ ๑๖๗ วา \" บททง้ั หลายในพากยางคก็ดี ในพากยก ด็ ี ยอ มมีความเนอ่ื งถึงกับส้ิน, การเรยี นใหรจู กั วา บทไหนเน่ืองกับบท ไหน เรียกวา เรียนสัมพันธ. การแสดงวธิ ีสัมพันธน น้ั มใี จความ สําคญั อยู กเ็ พียงใหรูจกั การเนอ่ื งกันของบทเหลา นั้นอยา งเดยี ว จะ รจู ักชอ่ื สงั เขปหรือพสิ ดารไมเ ปน ประมาณนกั , แมในคมั ภรี โ ยชนา พระวนิ ัยและพระอภิธรรมกใ็ ชบ อกชื่ออยางสังเขป, ในท่นี ี้จะดาํ เนิน ตามอยางนัน้ บา ง.\" ความส้ัน ๆ นีไ้ ดแสดงหลักการเรยี นสัมพนั ธไว ทัง้ หมด. (๒) คาํ พดู ในวากยสัมพนั ธแ บงเปน ๓ คือ บท, พากยางค, พากย. บททงั้ หลายในพากยางคกด็ ี ในพากยก ็ดี ยอมมคี วามเนอ่ื งถึง กันสน้ิ . การเรยี นใหร ูจกั วา บทไหนเนือ่ งกันบทไหน เรยี กวา เรียนสัมพนั ธ ตอ งอาศัยเขาใจความเปนสาํ คัญ , สว นช่ือเรียกตอ งจําใหได. (๓) ทานวา อตฺโถ อกขฺ รสฺ าโต \"ความหมายรูก นั ไดดวย อักษรคอื ภาษา \" เพราะฉะนั้น ทางทจ่ี ะเขาใจความตอ งการรูภาษา, เหมอื นอยางที่คนพูดรคู วามกนั กเ็ พราะพูดฟงรปู ภาษากัน. จะสามารถรู
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 159 และแปลภาษาดี กต็ องรูว ิธไี วยากรณและวธิ ีวากยสมั พันธข องภาษานัน้ ด.ี (วากยสมั พันธท า นจัดเปน ภาษาไวยากรณภ าคที่ ๓ ดว ย แตในทนี่ ี้แสดง แยก). (๔) ไวยากรณเ ปนเครอ่ื งช้ีบอกประเภทและเครื่องสําเรจ็ รูปเปน คํานัน้ ๆ เชน บทเหลา นี้ ภกิ ขฺ ,ุ อาราม, อาคโต, เปนศัพทอะไร สาํ เร็จ รปู มาเปนอยางนไ้ี ดอยางไร, วากยสมั พนั ธเ ปน เครื่องช้บี อกวิธีประกอบ คําเหลา นี้เขาเปน พากย. (๕) ถงึ จะพูดใหผอู ่ืนฟง บาง ก็ตอ งพดู ใหถูกภาษา ถาพดู ผดิ ผูอน่ื ก็ฟงไมรคู วาม เชน ประสงคจ ะพูดวา \"ภิกษุมาแลวสอู าราม\" ถา พูดวา ภกิ ฺขุสสฺ อารโม อาคต หรอื ถาเรียงคาํ พูดอยา งภาษาไทยวา ภิกฺขุ อาคโต อาราม กเ็ ปน ผิดไวยากรณแ ละวธิ ีวากยสัมพันธ. (๖) เมอ่ื เรยี นไวยากรณอ าจไดพบตัวอยางตาง ๆ ที่ทานยกมา อาง บางตัวอยา ง ทานตองลงเลขบอกใหแปลเปน คาํ ที่ ๑,๒ เปน ตนก็มี, นกั เรียนชนั้ ตนคงรสู ึกวนสับสน เพราะไมมเี รียงไปตามลาํ ดับเหมือนภาษา ไทย, ตอมาเมอ่ื ไดเรียนอภุ ัยพากย, ไดเ รียนรวู ธิ ที ่ที านสองไวบา ง ได หัดแปลมคธเปน ไทยแปลไทยเปนมคธบาง กค็ อ ยๆ คุนเขา, ตอมาอกี ไดแปลธรรมบท กค็ อ ยคุนมากเขาโดยลําดับ จนถงึ อาจรวู า ประกอบคาํ อยา งไรถู อยา งไรผิด จนถงึ อาจแตงเองได. คามรูว ธิ ีประกอบคํา เขา อยางนี้เรยี กวา ' วายกสัมพนั ธ' คือวิธปี ระกอบคาํ พูดเขา เปนพากย. แทที่จริงนกั เรียกทุกคนเรม่ิ รูมาตง้ั แตเรยี นไวยากรณแ ลว , เมอ่ื เหน็ คาํ ประกอบวา ภกิ ขฺ ุ อาคโต อาราม กร็ ไู ดวาประกอบผดิ , และรวู าตอ ง ประกอบวา ภิกฺขุ อาราม อาคโต จงึ ถูก, นี้ ไมใชร วู จวี ิภาค แตเ ปน
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 160 รูวากยสัมพนั ธ. ตอมา เม่อื เรียนรแู บบสมั พันธ กเ็ รียกชื่อสัมพนั ธแ ละ แสดงวธิ สี ัมพนั ธไ ดถูก. (๗) ถา เปน ประโยคสั้น ๆ งาย ๆ อยางนี้ กน็ าจะไมมีใคร บอกสัมพนั ธผดิ , แตเ พราะมีประโยคยาวๆ และซบั ซอน การบอก สมั พนั ธประโยคเชน นี้ จงึ เปน การยาก แตก็มีวธิ ที าํ ใหงาย คอื ทอน ลงเปน ทอ น ๆ คือตดั เปนพากยางค ๆ, กาํ หนดใหร วู า บทไหนอยู ในพากยางคไหน และมกี ารเนือ่ งกันอยา งไร เชน นป้ี ระโยคยาว ๆ ซับ ๆ ซอนๆ ก็จะกลายเปน สั้น ๆ งาย ๆ. กลา วส้นั กค็ ือตอ งกําหนดใหรูจ ัก พากยกอนวา เปน กตั ต,ุ กมั ม เปนตน, ใหร ูจกั ตดั พากยางควาเปน พากยางคนาม หรือคุณ หรือกริ ยิ า, ใหร จู กั บทวาเปนบทนาม บทกิริยา ตลอดถึงศพั ทน ิบาต และบทไหนเน่ืองกนั บทไหน. หลกั สังเกตพากย (๘) การรูจกั พากยอันจําเปน ตองรใู นเบ้อื งตนนนั้ กลา วตามหลกั ไวยากรณ กค็ อื รจู ักพากยตามวาจกทัง้ ๕ คือใหร ูจักวา เปนประโยค กตั ตุวาจก ประโยคกัมมวาจก ประโยคภาววาจก ประโยคเหตุกตั ตุวาจก ประโยคเหตุกัมมวาจก. (๙) ใหร ูจกั ความเน่ืองกันของพากย เพระโดยปกติ พากย ท้งั หลาย ก็คือความทอ นหนง่ึ ๆ ทีแ่ สดงขอความในเรือ่ งใดเรอื่ งหนงึ่ จึงเนื่องกนั เชนทอนตน กลาวแตโดยยอ, ทอนหลงั กลาวโดยพิสดาร ; ทอ นตนแสดงความยังไมหมด, ทอ นหลังปรารภแสดงตอ เน่ืองกันไมข าดสาย ดงั นี้เปนตน. ความเนื่องกันนอี้ าจกําหนดรไู ดทางความ ทางการวางนิบาต ในทอ นนน้ั ๆ และทางประกอบ ย - ต เปน ตน .
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาที่ 161 (๑๐) นบิ าตนนั้ บางทที า นกไ็ มไดวางไว เชน วางอนคุ คหัตถ- นบิ าตไวใ นทอ นตน , แตใ นทอ นหลังไมวางอรุจิสจู นัตถนิบาตไวกม็ ,ี วางแตอปุ มาโชตกไว ไมว างอุปเมยยโชตกกม็ ,ี เรยี งประโยคอุปมาไว ขา งหลังประโยคอปุ ไมยก็ม,ี จงึ ตอ งอาศยั สงั เกตทางความ ใหรจู กั ความ เปน ขอสาํ คัญ. (๑๑) ความเน่อื งกันของพากยท ่คี อนขางซบั ซอนยุง ยากนนั้ ก็คอื ความเน่ืองกันขอพากย ย-ต ท่เี รยี กวา ประโยต ย-ต ประโยค ย มกั ปรากฏชดั เพราะทา นวาง ย ศพั ทไว, แตป ระโยค ต บางทีทา นก็ วาง ต ศัพทไ ว บางทีก็ไมว างไว, ถา ทา นไมไ ดวางไว จําตอ งคนหาให ไดวา ไหนเปน ประโยค ต และวาง ต ศัพทท่ตี รงไหนบทไหน , และ ประโยค ต น้นั บางทีก็อยหู ลงั ประโยค ย, บางทีก็อยหู นา ประโยค ย, ยิง่ กวา นนั้ ยงั มีประโยค ย ซอนตอ ไปอกี ก็มี.การใช ย= ต ใชซ บั ซอน กันน้ี เปนความสละสลวยของทาน แตเ ปนการยากของผแู ปล, ถึงเชนนั้น ถา สังเกตจับประโยคใหไดแลว กไ็ มยาก. (๑๒) ความเนื่องกันของประโยค ย-ต นี้ เน่ืองกันดวยประโยค ย เมอ่ื เปนวเิ สสนะของประโยค ต โดยมาก, ประโยค ย ไปเปนประธาน ของประโยค ต (ประโยคกิรยิ าปรามาส) กม็ ,ี บางทีไปเปน บทโยคของ ต ศัพทในวภิ ัตตอิ ่นื บาง. น้กี ลา วโดยวธิ ตี ัวประโยค ย-ต. นอกจากนี้ จําตอ งรูจกั ประโยคพเิ ศษ เชน ประโยคกริ ยิ าปธานนัย ประโยคนาคโสณฑเิ ปนตน, ทัง้ ใหรูจกั ประโยคเลขนอกเลขใน. หลกั สังเกตพากยางค (๑๓) เม่อื รูจกั พากยแ ละความเนื่องกันของพากยก ็แลว กต็ อง
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 162 รูจักตัดพากยออกเปนสวน ๆ ตอน ๆ ที่เรียกวา พากยางค. พากยางคนน้ั กลาวตามวายกสมั พันธตอนตนแบง เปน ๓ คอื นามพากยางค คุณพาก- ยางค กิรยิ าพากยางค, ใหร จู กั วาตอนไหนเปน พากยอ ะไร. เรื่องนี้ ไดอ ธบิ ายไวในอธิบายวากยสัมพนั ธเ ลม ๑ แลว จะไมกลาวซํา้ อีก. (๑๔) วธิ ตี ดั นั้น ใหย กบทประธานเปนท่ีต้ัง แลว หาบทแตง และขยายประธาน, ถา มีบทแตประธานเปนคุณนาม เชน กุลสสฺ ปุตโฺ ต เปน นามพากยางค ถา มีบทแตงประธานเปนคุณนาม เชน ปโ ย ปตุ ฺโต เปน คณุ พากยางค, ถามบี ทขยายประธาน (กริ ิยา) เชน ปตุ ฺโต ...ปฏปิ ชฺชนโฺ ต เปนกริ ยิ าพากยางค, และบททเ่ี ขา กับบทแตและขยาย ประธานในพากยางคใ ด ก็นับเขา ในพากยางคน น้ั ทั้งหมด. (๑๕) ในกายตัด จาํ ตองรจู ักคมุ บททั้งหลายเขา เปน พากยางค นั้น ๆ. บทท่ีเรยี งคุมกนั เปนพากยางคหนงึ่ ๆ อยูตามท่ีของตนแลว กร็ ูงาย. แตบททเี่ รียงแตกพากยางคข องตนออกไป มพี ากยางคอ ่นื ค่นั อยู อยา งนี้ จําตอ งจัดคุมเขามายังท่ีของตนใหจงได. ถามีคาํ ถามสอดเขามาวา ทาํ ไม ทา นจงึ เรยี งใหแ ตกออกไปอยา งนั้น ? ตอบวา ทานเรียงตามวิธีวากย- สมั พันธ. (๑๖) ในพากยางคยาว ๆ ยังมีพากยางคชันใน คอื ความตอนที่ พงึ เปน นามพากยางคเ ปนตนนัน้ เอง แตไ ปประกอบเปนตา งวิภตั ติ, บางท่ี ไปเขา สมาสตดิ อยกู บั ศัพทอน่ื ตามความท่เี นอื่ งกนั . (พงึ สงั เกตตามตัวอยาง ทย่ี กมาตดั ในขอตอไป). พงึ สังเกตพากยางคใ หรวู าตอนไหนเปนช้ันนอก ตอนไหนเปนชั้นใน และเนือ่ งกันอยอู ยางไร, และพงึ รจู ักความเนือ่ งกนั ของพากยางคท ้งั หลาย.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 163 อนึง่ ประโยคลงิ คัตถะ ประโยคอนาทร ประโยคลักขณะ กจ็ ดั เปน พากยางคห นึง่ ๆ. (๑๐) จะยกพากยยาว ๆ ในธมั มปทฏั ฐกถามาตัดเปน ตัวอยาง สกั ๓ พากย คอื :- พากยท่ี ๑ อหึสกา เยตึ อมิ ธมมฺ เทสน สตฺถา สาเกต นสิ ฺสาย อชฺ นวเน วหิ รนฺโต ภกิ ฺขหู ิ ปุฏปหฺ อารพภฺ กเถห.ิ [ ภิกขฺ ูหปิ ฏุ ปฺห. ๖/๑๘๐ ] \"พระศาสดา เมอ่ื ทางอาศยั เมอื งสาเกตประทบั อยูในอัญชนวนั ทรงปรารภปญ หาท่ีพวกภิกษุทูลถาม จึงตรสั พระธรรมเทศนานวี้ า อหึสกา เย เปน อาท.ิ \" กิรยิ าพากยางค : สตฺถา สาเกต นิสฺสาย อฺชนวเน วหิ รนโฺ ต. พากย: อหสึ กา เยติ อิม ธมมฺ เทสน ภิกขิ ูหิ ปุฏ ปหฺ อารพฺภ กเถส.ิ พากยที่ ๒ ภควโต กริ ภกิ ฺขสุ งฺฆปรวิ ุตสสฺ สาเกต ปณฑฺ ทาย ปวสิ นกาเล เอโก สาเกตวาสี มหลลฺ กพรฺ าหมฺ โณ. นครโต นิกขฺ มนฺโต ฯ เป ฯ สตถฺ าร คเหตวฺ า อตฺตโน เคห อคมาสิ. [ ภกิ ฺขหู ิปุฏปหฺ . ๖/๑๘๐] ไดยนิ วา พราหมณแกช าวเมอื งสาเกตคนหนึ่ง ออกจากนครในกาลที่ พระผูมพี ระภาคอันภกิ ษุสงฆแวดลอ ม เสดจ็ เขาไปสเู มอื งสาเกตเพอื่ ปณฑะ ฯลฯ ไดพ าพระศาสดาไปสเู รอื นของตน.\" คณุ พากยางค: เอโก กิร สาเกตวาสี มหลลฺ กพรฺ าหฺมโณ.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 164 กริ ิยาพากยางค : ภควโต ภกิ ขฺ สุ งฺฆปริวุตสฺส สาเกต ปณ ฺฑาย ปวิสนกาเล นครโต นกิ ขฺ มนโฺ ต ฯ เป ฯ พากย : สตถฺ าร คเหตวฺ า อตตฺ โน เคห อคมาส.ิ พากยที่ ๓ สตถฺ า เตน อปริปณุ ณฺ กตฺวา วตุ ตฺ คาถ ปริปุณณฺ กตฺวา ทสเฺ สนฺโต เอวมาห. [ อฺตรปุริส. ๓/๑๓๓ ] \"พระศาสดาเมื่อทรง แสดงคาถาอันสตั วน รกนัน้ กลาวทาํ ใหไ มบรบิ ูรณแลว ทาํ ใหบรบิ รู ณ จึงตรัส อยางน.ี้ \" กริ ยิ าพากยางค : สตฺถา เตน อปรปิ ณุ ฺณ กตฺวา วตุ ฺตคาถ ปริปุณฺณ กตฺวา ทสเฺ สนฺโต. (กิริยาพากยางคช้นั ใน : เตน อปริปณุ ณฺ กตฺวา วตุ ฺต-.) พากย : เอวมาห. ขอ สังเกต : ก. สมานกาลกริ ิยา, กิริยาวเิ สสนะและอพั ภันตรกริ ิยา ในกิรยิ าท่ที ําพรอมกนั ไมตัดแยกเปน กิรยิ าพากยางคตา งหาก. ข. ตอนที่เรยี กวา พากยน นั้ แทจ รงิ กเ็ ปนตอนหนงึ่ ของพากย (พากยางค แตเปน ตอนทส่ี ดุ ของพากย ทานใชก ริ ยิ าคุมพายางค จึง เรียกวาพากย. หลกั สงั เกตบท (๑๘) ในการควบคุมบททง้ั หลายเขาเปนพากยางคน ้นั จําตองรวู าบท ไหนเนื่องกับบทไหนตามความ ไมเชนน้ันกค็ ุมเขาใหถ กู ไมได. ทางท่ี จะใหร ูวา บทไหนเนื่องกับบทไหนนน้ั กลาวเพือ่ ใหเ ขา ใจงายกค็ ือ การ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ที่ 165 รจู กั วิธแี ปลและแปลได, ถึงจะแปลศพั ทไ มออก กใ็ หรูท ี่เขา ของบท ตอ บท. (๑๙) ขอ สําคญั ตองคดิ ใหรูค วามทเี่ น่ืองกนั , เพราะเมื่อรคู วาม เน่ืองกันแลว จะวางอยูใ กลหรอื ไกลก็ตาม ตอ งคุณเขา มาเปน ทอ นเดียว กนั ได, นกั เรยี นผยู งั ไมรูวิธีวากยสมั พันธไ มต องคาํ นึงวา บทไหนจะวาง อยูท ไี่ หน ใหค าํ นงึ ถงึ ความที่เนือ่ งกนั นีแ้ หละเปน ใหญ. แตกค็ วรสําเหนียก ควรสังเกตเทยี บเคยี งอยูเนือง ๆ เพราะจักเปนทางใหเกิดความรูวากย- สัมพันธโ ดยลาํ ดบั , และเม่ือพบพากยหรือประโยคท่ีตนรวู ิธีอยู ก็จกั ทราบ วา บทไหนเน่ืองกบั บทไหน คุมความเขา กนั ไดท ันที แมบ ทนน้ั ๆ จะวางอยูทไี่ หน ๆ กต็ าม. (๒๐) อกี ประการหน่งึ ตอ งรจู ักอรรถกบั ทงั้ ทเ่ี ขาของแตละชอ่ื สมั พันธ จึงจําตองรูแ บบสัมพนั ธใ หตลอด ตองจาํ และทําความเขาใจวา บทไหนใชใ นอรรถเชนไร เรยี กชือ่ อยางไร เขาอยา งไร นี้เปนทางนาํ ใหรูวา บทไหนเนอื่ งกนั บทไหน. (๒๑) ความเนื่องกันของบทกบั บทนั้น ถา เปน บทสมาส บางที เนื่องกันไมเ ตม็ บทหรอื ไมเตม็ ศัพทสมาส ท่เี รยี กวา สมั พนั ธเขาคร่งึ บท หรอื ครงึ่ ศัพท (สมาส) เชน :- อ.ุ ที่ ๑ กหาปณการณา มยหฺ อุโปสถกิ ภาว ปฏิจฺฉาเทยยฺ . [ อนาถ- ปณ ฑฺ ิกปุตตฺ กาล. ๑/๖๐] \"พงึ ปกปดความทีเ่ ราเปน ผูรกั ษาอุโบสถ เพราะเหตแุ หงกหาปณะ.\" กหาปณการณา เปนเหตุ เขาเฉพาะ อโุ ปสถกิ -
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 166 มยฺห เปน ภาวาวทสิ ัมพันธ เขาเฉพาะ - ภาว. อ.ุ ท่ี ๒ โส นิคคฺ ณเฺ หิ กถิตกาเล อธิวาเสตวฺ าป ' ปุราณ ขาทตตี ิ (วจนสฺส) วตุ ตกเฺ ณเยว หตถฺ อปเนตฺวา. [วสิ าขา. ๓/๖๓ ] \"เศรษฐีนน้ั แมอ ดกล้นั ไดในกาลท่นี คิ รนถ ท. กลาว ชกั มือในขณะ แหง คําทีน่ างวสิ าขากลา ววา 'เคย้ี วกนิ ของเกา, นนั่ แหละ.\" นคิ คฺ ณฺเหิ เปน อนภิหติ กตั ตาเขา เฉพาะ กถิต-. วจนสฺส เปน สามสี ัมพนั ธเ ขาเฉพาะ -ขเณ, (มใี นตวั อยางสมั พันธใ นแบบวากยสัมพันธต อนตน ). อุ.ที่ ๓ เถรสฺส วสนฏานาภมิ โฺ ข อคมาสิ. [ โกณฑฺ ธานตเฺ ถร. ๕/๕๓] \"ไดทรงบายพระพักตรเ ฉพาะทอ่ี ยูของพระเถระเสดจ็ ไปแลว.\" เถรสสฺ เปน สามีสมั พนั ธเ ขา เฉพาะ วสนฏาน-. ตัวอยา งท่ี ๓ น้ี เขากับสมาสทเี่ ปนทองในสมาสใหญ. เพราะมีสมั พนั ธเขาครึ่งศพั ทฉ ะน้ี จงึ ตองสังเกตความเปนใหญ วาบทที่เน่ืองกนั บทสมาสนั้น เน่ืองทั้งหมดหรือเนอ่ื งแคไหน. และตอง คน หาหลักสงั เกตบท เชน บทสาธนะ มอี ธกิ รณสาธนะ เปน ตน ที่เขา สมาสกับอัญญาบทของตน เปน วิเสสนบพุ พบทกมั มธารยสมาส ถาเนือ่ งกับ บทท่ปี ระกอบวิภัตติเขากับนาม ก็เขา ตลอด แตถา เนอ่ื งกับบททปี่ ระกอบ วภิ ตั ติเขากับกิรยิ า ก็ตดั เขา เฉพาะ เชน ตสสฺ า วิหาร ปวสิ นสมเย. [ รูปนนทฺ ตฺเถร.ี ๕/๑๐๙] \"ในสมัยเปนท่เี ขา ไปสูวิหารของนาง.\" วิหาร เปน สมั ปาปุณยิ กัมม เขาเฉพาะ ปวิสน-. ตสสฺ า เปน สามีสมั พนั ธเ ขา ใน
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 167 ปวสิ นสมเย ท้ังหมด. และตาม อ.ุ ท่ี ๓ เถรสสฺ เขาใน วสนฏ าน- อยา งนี้เปน ตน. บทพหพุ พิหสิ มาส กพ็ ึงคิดอนุโลมตามนี.้ บางแหง มปี ญ หาท่ีตอ งวินิจฉยั และอาจวนิ ิจฉยั ตาง ๆ กัน เชน อห มฆสสฺ มาตุลธีตา เจว ปาปริจารกิ า จ. [สกกฺ ๒/๑๐๖ ]. มฆสฺส เปน สามีสัมพนั ธเขา เฉพาะ มาตลุ -และ ปาท- เพราะถือเปน สัมพนั ธเ ฉพาะศัพทต น เทา น้นั . อีกอยางหนึง่ เขาตลอด เพราะถือ ความวา มาตลุ ธีตา=ลกู ท่ลี กู นอ ง, ปาทปรจิ าริกา=ภรยิ า. (๒๒) การแสดงสมั พันธอ ฏั กถา ตองรูจ ักบทตงั้ และบทแก และวธิ ีตางๆ เชน วิวริยะ-ววิ รณะ เปนตน ตลอดถึงวธิ บี อกช่ือ บอกเขา. เรือ่ งเหลา นไี้ ดก ลาวมาแลว จะไมก ลาวซ้ําอีก. นอกจากนี้ ตองรวู ิธีหรือลักษณะพเิ ศษตาง ๆ ดวยอาศัยการศึกษา สาํ เหนียกจากพระอาจารยนั้น ๆ. หลกั สงั เกตศพั ท (๒๓) จําตองรจู กั นิบาตทว่ี างไวในทนี่ ัน้ ๆ วา บอกอรรถอะไร เรยี กชือ่ อยางไร, ตองรทู ่ีพงึ วางนิบาต เพ่ือวาบางแหง ทา นไมไ ดวางไว แตตองเติมเขา มา ก็จักเติมไดถูก, นิบาตท่ีทา นไมไดวางไวในบางครง้ั เชน อุปเมยยโชตก, อรจุ สิ รู นัตถ เปน อาทิ. ทางทจ่ี ะใหรูทีว่ างนบิ าต ก็คือรคู วามเนอื่ งกนั ของพากย ดงั กลา วในขอ (๙), เรือ่ งนี้พึงสําเหนียก จากแบบวากยสัมพนั ธตอนตน ตอนทีว่ า ดวยนบิ าต เพราะทา นไดอธบิ าย ถึงขอความที่เนอ่ื งถงึ กัน อยางไรพึงใชนบิ าตอยางไร, ถา สังเกตใหด ีแลว นอกจากจะไดความรูเรือ่ งนบิ าต ยังจะไดความรคู วามเนอื่ งกันของพากย
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 168 ท้งั หลายในทางตางๆ กนั เปน อุปกรณค วามรวู ากยสัมพันธเ ปนอยางดียิ่ง. หลกั สงั เกตขอความทลี่ ะไว (๒๔) มขี อความที่ละไว อันไมต อ งเตมิ เขามาก็มี อันตอ งเติม เขามากม็ ี. ขอความท่ีละไวอนั ไมตอ งเขา มานัน้ เพราะประสงคเพียง ยกมาอางเทา น้ันบาง เพราะซาํ้ กับขอ ความขางตน บาง และขอ ท่ีละ บางทีก็ละตรงกลาง ดวยวาง เปยยาล (ฯ เป ฯ ใชใ นภาษาบาล.ี ฯ ล ฯ ใชใ นภาษาไทย) เหลอื ไวขา งหนาแลขางหลงั เชน อสกุ สฺมึ นาม คาเม วา นคิ เม วา อติ ถฺ ี วา ปุรโิ ส วา พทุ ธ สรณ คโต โหติ ฯ เป ฯ ทานสวิภาครโต. [ อานนฺทตเถรปหฺ . ๓/๘๐] , บางทกี ล็ ะขางทา ย ดว ยวาง อิตอิ าทยัตถะ เชน อิธ ปน ภิกฺขเว เอกจฺเจ กุลปตุ ตฺ า ธมฺม ปรยิ าปณุ นฺ ฺติ สุตฺต เคยฺยนตฺ ิ อย ปรยิ ตตฺ ิธมฺโม นาม. [ จกขฺ ุปาลตฺเถร. ๑/๒๑] , ขอ ทีล่ ะไวอ ยางนี้ ไมจ าํ ตองเติม เวนไวแตท่จี าํ เปน แกการบอก สมั พันธ. อกี อยางหนึ่ง ละไดดวยวางคําแทน เชนวางตถาอนุกกฑั ฒ- นัตถนบิ าต ชกั ถงึ ความทอ นตน เพื่อไมต อ งพูดซํ้า, อยา งน้กี ไ็ มตอ งเติม เพราะมีคําแทนอยแู ลว .สว นขอ ความท่ีละไว อนั จําตองเตมิ เขามา คือบท นามบาง บทกิรยิ าบาง ศัพทนบิ าตบา ง ที่จําเปนตองมีในประโยค แต ละไวเ พราะเขา ใจไวเอง เชน นี้ จาํ ตองเตมิ เขามาตามท่ตี อ งการในประโยค. (๒๕) หลักเหลานก้ี ลาวรวบรดั โดยสังเขป ผปู ระสงคจะรใู หดี จาํ ตอ งขวนขวายดอู ธบิ ายในท่นี ้ัน ๆ ท้ังในทางแปล ท้ังในทางสมั พันธ เพราะหลกั เหลาน้ี ใชไ ดใ นการแปลดว ย. เม่อื แปลได กบ็ อกสมั พันธได หรือเมือ่ บอกสัมพันธไ ด ก็แปลได. เปนนักเรียนมักจะเพงแปลใหได
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 169 กอน แลว บอกสัมพันธไ ปตามแปล, น้หี มายถงึ แปลโดยวธิ ียกศัพท โดยพยัญชนะ ไมใ ชหมายถงึ แปลโดยอรรถ. จะบอกสัมพนั ธต ามแปล โดยอรรถไมได, เชน รชชฺ กาเรสิ แปลโดยอรรถวาครองราชย จะบอก เปนประโยคกตั ตไุ มไดเลย. เปน ครมู กั เพง สมั พันธกอน, ทราบสัมพนั ธ กอนแลว แปลถกู ท่ไี มม ีผดิ เวนไวแ ตจะแปลศัพทไ มอ อกเทาน้ัน. แตผ ิด ศัพท ยังดีกวาผดิ สมั พันธแ ละประโยค.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 170 วธิ สี ัมพันธ ๑๕. วิธสี ัมพันธ มดี ังตอ ไปนี้ :- (๑) ในวากยสัมพันธตอนตน สว นทา ยที่วาดวยวธิ ีสมั พนั ธ ขอ ๑๖๘,๑๖๙ ทานแสดงสมั พันธใ หดเู ปน ตวั อยา ง เปนภาษาไทยบา ง ภาษามคธบาง, ทานบอกชอื่ อยางสังเขป พงึ สําเหนียกจากตวั อยา ง ทีท่ า นแสดงไวน ้ันใหตลอด. ในท่นี ีจ้ ะแสดงอธิบายวิธีสัมพันธตามแบบ ของทานนัน้ . (๒) การบอกชอ่ื และบอกเขา ใชท ั่ว ๆ ไป ดงั น้ี :- ก. ประธานในพากยางค (ลงิ คัตถะ) บอกแตช่อื ไมต อง บอกเขา . ประธานในพากย บอกช่อื และบอกเขา ในกิรยิ าในพากย เชน ปุตฺโต สยกตั ตา ใน ชายต.ิ ประธานในพากยางคทแี่ ทรกเขามา (อนาทร. ลักขณะ) บอกชอ่ื และบอกเขาในกิรยิ าของตน เชน มาตาปตนู อนาทร ใน รทุ มานาน. ข. บทนามนาม และบทปรุ สิ พั พนามวิภัตติตาง ๆ บอกชื่อตาม อรรถของตน และบอกเขา ในบททีเ่ นอื่ งกนั เชน ธมมฺ อวตุ ตกัมม ใน สณุ าติ, อาลปนะ บอกแตช ื่อ. ค. บทคุณนามและบทวิเสสนสัพพนาม บอกช่ือตามอรรถของตน บอกเขาเปน ของนามบาง บอกเขาในกิรยิ าที่เน่ืองกันบา ง เชน ปโ ย วิเสสนะ ของ ปุตโฺ ต พหสุ สุโต วกิ ตกิ ตั ตา ใน โหต.ิ
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 171 ฆ. บทกริ ิยาในพากยางค คือบทกริ ยิ าทีป่ ระกอบดว ย อนตฺ , มาน ปจจยั ต ปจ จยั อนยี , ตพพฺ ปจ จัย (ตามแบบ) ใชอยางบท ุคุณนาม, บอกชอื่ และบอกเขาอยางบทคณุ นาม. ชื่อท่เี รยี กแปลกออกไป คือ อัพภนั ตรกริ ิยา เขากับนาม บอกเปน ของนาม เขากบั กริ ิยา กบ็ อก เขาในกริ ยิ า, เชน ในสมั พนั ธตวั อยางเปนภาษาไทย ขอ ๒ ตอนที่ สัมพนั ธ วิสาขา สสุร วชี มานา ิตา... ทา นบอก วชิ มานา อัพภันตรกิรยิ า ใน ิตา. ติ า อพั ภันตรกิรยิ า ของ วิสาขา. ง. บทอนาทร-ลกั ขณกริ ยิ า บอกชื่อและบอกเขา (สง ตอ ไป) ในกิรยิ าในพากยางคห รอื ในพากยใ นลาํ ดบั . ปพุ พกาลกิริยา เขาในกิริยาสืบไปทม่ี ีกตั ตาเดียวกนั แตไมนยิ ม บอกเขา ในกิริยาทที่ ําไมเต็มทีต่ ามลําพงั ตน เชน สมานกาลกริ ิยา อ.ุ ใน สมั พันธต ัวอยา งเปนภาษาไทย ขอ ๓ ตอนท่สี ัมพันธ โส ปน พาโล เถร ทสิ ฺวา อปสฺสนโฺ ต วยิ หตุ ฺวา อโธมุโข ภุชฺ เตว ทานบอก ทิสฺวา ปพุ พกาลกิรยิ า ใน ภุ ฺชติ. ปรโิ ยสานกาลกริ ิยา เขา ในกิรยิ าในลาํ ดับ ทีม่ ลี กั ษณะเชน เดยี วกบั ปพุ พกาลกิริยา. สมานกริ ิยา เขาในกิรยิ า ทท่ี ําพรอมกนั . อปรกาลกริ ิยา เขาในกริ ิยาทท่ี ํากอน. วิเสสนะบอกเขาเปนของนาม, กิรยิ าวิเสสนะ เขาในกิรยิ า. เหตุ เขา ในกริ ิยาทีต่ างกัตตากัน.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 172 อน่งึ กริ ิยาที่ประกอบดวยสมจุ จยัตถนบิ าต หรือวิกัปปต ถนบิ าต ดว ยกนั ไมบ อกเขากัน หรอื แมไมวางนิบาตเชน นัน้ ไว แตมคี วามเหมือน เชน นั้น ก็เหมือนกนั อ.ุ :- อุ. ที่ ๑ กสฺมา อิม สร โอตรติ วฺ า นหฺ าตฺวา จ ปว ติ วฺ า จ ภิสมฬุ าเล ขาทติ วฺ า ปุปผฺ านิ ปล นฺธติ วฺ า น คจฉฺ สิ. [ พหุภณฺฑิกภิกฺข.ุ ๕/๗๐ ] \"เพราะเหตไุ รจึงไมล งสูส ระนี้ อาบและดื่มแลวเคี้ยวกนิ เหงาบัว ประดบั ดอกไมไป.\" นฺหาตฺวา และ ปวติ วฺ า ปพุ พกาลกริ ิยา ใน ขาทติ วฺ า. อ.ุ ที่ ๒ โภ โคตม ตมุ ฺหาก ทาน อทตวฺ า ปูช อกตฺวา ธมมฺ อสสฺ ตุ ฺวา อุโปสถวาส อวสติ ฺวา เกวล มโนปสาทมตเฺ ตเนว สคเฺ ค นพิ ฺพตฺตา นาม โหนฺต.ิ [ มฏกณุ ฺฑล.ิ ๑/๓๓] \"ขา แตพระโคดมผเู จรญิ ,ชือ่ วา ชน ท. ผไู มใหท าน ไมทาํ การบูชาแดพระองค ไมฟงธรรมของพระองค ไมอ ยู (รักษา) อโุ บสถ เกิดแลว ในสวรรค เพราะเหตเุ พยี งใจเลอื่ มใส อยา งเดยี ว มอี ยูหรอื .\" อทตฺวา, อตกวฺ า, อสสฺ ุตฺวา และ อวสิตวฺ า ปพุ พกาลกริ ิยา ใน นพิ พฺ ตตฺ า. อุ. ท่ี ๓ โส ภูมึ หตฺเถน ปหริตฺวา โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา เจตยิ งคฺ ณ คนตฺ วฺ า [ อตฺตโนปพุ ฺพกมมฺ . ๗/๙๘] \"พราหมณน ้ัน เอามือตีแผน ดนิ รองไหค รํ่าครวญ ไปสูเ นนิ เจดยี .\"
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 173 อุ. ที่ ๔ ....อกฺโกสิตฺวา ปรภิ าสติ วฺ า ปลาเปถ. [อตฺตโน. ๗/๑๔๐] \"...ดาบริภาษใหห นไี ป.\" ฉ. กริ ิยาในพากยบอกชือ่ . ช. นิบาตบอกชื่อ, บอกเขาบาง ไมบ อกบางตามสมควร. นบิ าตท่ใี ชเปนบท เชน นิบาตบอกอาลปนะ นบิ าตบอกกาล บอกอยางบท. อติ ิศัพท ทีเ่ ปนสมาบันบอกแตชือ่ , นอกน้ันบอกเขาในบทท่ี เนอื่ งกัน. วธิ สี มั พนั ธเ ปนภาษาไทย (๓) บอกสมั พันธไปตามลาํ ดับดังน้ี :- อาลปนะ, นิบาตขอ ตน ความ, ประธาน, กิรยิ าในพากย. ตอ จากน้ีจึงบอกไปตามลาํ ดับบท. แตบางสํานกั ใชบ อกไปตามลาํ ดับบท (เหมือนสมั พนั ธเปนภาษา บาลี). (๔) บททั้งปวง (รวมท้ังนิบาตท่ีใชเ ปน บท) ยกขนึ้ บอกชอ่ื ทีเดยี ว. วธิ บี อกเขา ใชคําวา 'ใน' เปนพื้น เชน ภิกฺขสุ สฺ สามีสัมพันธ ใน จวี ร ใชค ําวา ' ของ ' แตเ ฉพาะวเิ สสนะและอัพภนั ตรกริ ยิ าของนาม เชน ปโ ย วิเสสนะ ของ ปตุ ฺโต. บทกริ ิยาในพากยบ อกแตชือ่ , แตท่อี ิติศพั ทอมอยู ซึง่ ไมค วรท่ี จะบอกเปนสรปู ในอิติศพั ทน น้ั , ถา ไมมตี ัวกัตตาปรากฏอยู จะบอกเปน กริ ิยาของกตั ตานั้นทีเดียวกไ็ ด เชน ในสัมพนั ธต ัวอยา งเปน ภาษาไทย
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 174 ขอ ๕ ตอนท่ีสัมพนั ธ ปรุ าณ ขาทติ ทานบอกวา ขาทติ อาขยาตบท กัตตุวาจก ของ สสุโร. (๕) เวลายกนบิ าตมาบอก ใชค าํ วา ศพั ทตอบา ง เชน เอวศพั ท, เรียกเฉย ๆ บา ง. นบิ าตตนขอความซึ่งไมเนอ่ื งกนั บทไหนโดยเฉพาะ บอกแตช ่ือ เชน นิ ศัพทว ิตถารโชตก. ทพี่ อจะเน่ืองในกิริยา บอกเขา ในกิริยาบา ง ก็ได เชน สเจ ปริกปั ปะใน... นิบาตท่ีเนือ่ งในบท บอกเขาในบท เชน น ศพั ทป ฏเิ สธใน.... นบิ าตทเ่ี น่ืองกบั บท คอื ท่ีวางเนื่องสนทิ อยกู ับบท เชน ว, เอว, ป, อป ใชบ อกวา ' เขากับ' เชน ทสิ วฺ าป บอกวา ป ศพั ท อเปกขตั ถะ (หรือ สมั ภาวนะ, ครหะ) เขา กบั ทสิ วฺ า. นิบาตจําพวกปทปรู ณะ ไมบ อกเขาเชนเดยี วกับอติ ศิ ัพทส มาบนั . วธิ สี มั พันธเปนภาษามคธ (๖) สัมพันธเปน ภาษามคธ ทานบอกไปตามลําดบั ทบอยา งใน โยชนา. วธิ ีบอกกอ็ ยางเดียวกับสมั พนั ธเ ปนภาษาไทย มตี างกันบา งก็คอื บทกริ ิยาในพากยบอกชื่อและบอกเปนของประธานของตนดวย, นบิ าต จาํ พวกทบ่ี อกเขา วา 'เขา กบั ' ในภาษาไทยกบ็ อกช่อื . อน่ึง บทฉฏั ฐีวิภัตติทเี่ นื่องดวยเปน เจา ของ ทา นมักเรยี กสั้นวา 'สมฺพนฺโธ,' และบอกเขาเปน ' ของ' เชน ในสมั พนั ธต ัวอยา งเปน ภาษา มคธ ขอ ๓ วา มยหฺ นตฺ ิ ปท ปตาติ ปทสฺส สมพฺ นโฺ ธ. (๗) วิธปี ระกอบเปนภาษาบาลี ดงั น้ี :-
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 175 ก. จะบอกบทใด ยกบทนั้นมาอมไวดว ยอิติศัพท, บทเดยี ววา -ติ ปท, สองบทวา -ติ จ -ติ จ ปททฺวย, ไมใ ช จ สมจุ จัยก็มี เชน ตสฺมึ ตสมฺ ินฺติ ปททวฺ ย, ตงั้ แต ๓ บทขึ้นไป ประกอบวา ปทานิ หรอื ตปิ ท จตุปฺปท เปน ตน ตามจํานวน. นบิ าตยกมาตอ ดว ย สททฺ - ศัพทเ หมือนกนั หมด เชน วาสทโฺ ท วาสททฺ า ตามจํานวน (เวนแต นบิ าตทใ่ี ชเ ปนบท ประกอบเหมือนบท). ข. วางบทเปนทเี่ ขาใหอ มไวดวยอิติศัพทเชนเดยี วกนั , บทเดียว วา -ติ ปเท หรือ ปทสฺส,สองบทวา -ติ จ -ติ จ ปททฺวเย หรอื ปททฺวยสฺส, สามบทข้ึนไปวา ปเทสุ หรือ ปทาน, ถา เปนบาทคาถา วา คาถาปาทสสฺ เปนตนกไ็ ด. ค. วางชื่อประกอบตามลงิ คของตน, วจนะอนุวัตรบทประธาน เชน วาสทโฺ ท วิกปปฺ ตฺโถ หรอื วาสททฺ า วิกปฺปตถฺ า. อพฺภนตฺ ร- กิริยา ปุพฺพกาลกริ ิยา เปน ตน ใช ปท ตอ เชน อพฺภนตฺ รกริ ยิ าปท, ปพุ ฺพกาลกิรยิ าปท. จะยกสัมพนั ธตวั อยางเปนภาษามคธขอ ๗ มาต้งั ใหด สู ักตอนหนึง่ วา เอว อมิ สฺมึ การเณ สา นิสโฺ ทสา อโหสิ ทานบอกวา เอวสทฺโท ปการตฺโถ. อมิ สสฺ ินตฺ ิ ปท การเณติ ปทสสฺ วเิ สสน. การเณติ ปท อโหสตี ิ ปเท นิมิตฺตสตตฺ มี, นิสฺโทสาติ ปเท วา ภินนฺ าธาโร. สาติ ปท อโหสีติ ปเท สยกตตฺ า. นิทโฺ ทสาติ ปท อโหสตี ิ ปเท วิกตกิ ตฺตา. อโหสตี ิ ปท สาติ ปทสสฺ กตตฺ ุวาจก อาขฺยาตปท.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 176 ภาคผนวก (คาํ ชแี้ จง: ในภาคน้ี ไดรวบรวมแสดงชอื่ สัมพันธบาง วภิ ตั ตบิ า ง ศัพทแ ละประโยคบา ง ทีใ่ ชใ นสํานวนชน้ั บาลีโดยมาก แตก พ็ ลดั เขามาในปกรณช ั้นหลัง เชน อรรถกถาโดยประปราย, และท่ีโบราณทานใชมา. ขอ เหลา น้อี าจเปน ประโยชนเ ก้ือกูลแก นกั ศกึ ษาภาษาบาลที ้ังหลาย จึงจดั เปนภาคผนวกข้นึ ตางหาก, และ ลําดบั ขอ ใหต อกนั ไป). ๑๖. มชี อื่ สมั พันธแ ละวิภตั ติพิเศษอันควรผนวก กลาวคอื : ปฐมากิรยิ าวเิ สสนะ (๑) บทปฐมาวิภัตติ ท่เี ปน เคร่อื งทาํ กริ ยิ าใหแปลกจากปกติ ืคอื เปนคุณบทแหงกิริยา โบราณเรยี กชื่อวา ปฐมากริ ิยาวเิ สสน. อ.ุ กนิ ฺตนตฺ ิ อาห อฺ ตรา เทวตาตฺยาทิ. อิติอาทิ เชน น้ี เรียกในโยชนาวา ลงิ ฺคตฺโถ คือปฐมาวิภตั ติท่ีเปน กิริยาวิเสสนะ นน้ั เอง. อธบิ าย : [ ๑ ] ปฐมากิรยิ าวเิ สสนะ เปน ช่อื ท่ีโบราณทานเรียกกันมา, โดยเฉพาะ เรียก อิติอาทิ ท่ีเน่ืองใน อาห อันมีใชใ นมังคลัตถทีปนี เปน ตน . นกั เรยี นเมือ่ พบอิติอาททิ ี่เน่ืองในอาหก็มักสงสยั บางทีแก ของทานเปนอิติอาทึ, แตเ ปนการแกใ หผ ดิ ไป เพราะทา นประกอบ
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 177 อยางนั้นเอง. แปลโดยพยญั ชนะวา ' กลาวคํามวี า...ดงั นีเ้ ปนตน.' (ไมต อ งใชอายตนนิบาตไร ๆ ). ในอภธิ มั มตั ถวภิ าวนิ ี มใี ชช มุ ชุม เรยี กในโยชนาวา ลงิ คฺ ตฺโถ กค็ ือ ลิงคัตถะ หรอื บทนามนามปฐมา- วิภตั ติท่เี ปนกริ ิยาวเิ สสนะ, โบราณเราทา นเรยี กวา ปฐมากริ ยิ าวเิ สสนะ จงึ เหมาะมาก เพราะเปนชื่อแสดงอรรถที่เนื่องในกิรยิ าดว ย. อ.ุ :- อุ. ท่ี ๑ กนิ ฺตนตฺ ิ อาห อฺ ตรา เทวตาตฺยาท.ิ [ มงฺคลตถฺ . ๑/๗] \"เพอื่ วสิ ชั นาคําถามวา ' เรือ่ งอ่นื นัน้ อะไร' จงึ กลา วคํามีวา อฺตรา เทวตา ดงั นีเ้ ปน ตน .\" อฺตรา เทวตาตยฺ าทิ (อติ ิอาทิ) ปฐมส- กริ ิยาวิเสสนะ ใน อาห. อุ. ที่ ๒ ยถาห ยาวตา ภิกขฺ เว สตฺตา...ตถาคโต เตส อคคฺ มกขฺ าย- ตีติอาท.ิ [ อภธิ มฺมตถฺ . ปมปริจเฺ ฉท. น. ๑๔] \"ดัง (ฤๅ) พระ- ผมู พี ระภาค ตรัสคํามวี า ' ภิกษุ ท., สัตว ท....มีประมาณเพียงใด, พระตถาคตปรากฏวา (หรอื อนั บัณฑิตกลาววา) เลศิ กวาสตั ว ท. นน้ั ' ดังนี้เปน ตน .\" [ ๒ ] โยชนา [ ๑/๑๐๙] ต้งั วิเคราะหอ ิติอาทิเปนตัคคณุ วา ยาวตา ....มกขฺ ายติ อติ ิ วจน อาทิ ยสสฺ วจนสสฺ ต ยาวจา... มกฺขายตตี อิ าทิ และบอก อกขฺ ายติ เปน กตั ตวุ าจก, บอก เตส วา ใชใ นอรรถปญ จมวี ภิ ตั ติ อางสูตรวา ทุติยาปฺจมีนฺจ ' (หักฉัฏฐ)ี
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 178 เปนทุตยิ า, ปจฺ มี,' และตัดบท อคฺคมกฺขายติ เปน อคฺโค อกฺขายติ เพราะเอาโอ เปน อ โดยสูตรวา ' เอโอนมวณฺโณ' ' ทํา เอ โอ เปน อ อกั ษร,' และลง ม โดยสูตรวา ' มทา สเร.' ลง ม. ท นมิ ติ สระ (เปน หนปลาย).' เรยี ก ยาวตา...ตอิ าทิ เปน ลงคตั ถะ. คคั คุณ คือ พหุพพหิ ิ ตลอดถึง สพปุพพบท. [สหปุพพบท. เชน สกล ' ธรรมชาตทเี่ ปนไปกบั ดวยสว นท่ีพึงนับ' โยชนาอภ.ิ [ ๑-๘๓] เรียกตดั คณุ ปฐมาพหพุ พิห]ิ . แตพ หพุ พิหทิ ป่ี ฏเิ สธ เรยี กอตคั คณุ , เชน อเจตน [ นตฺถิ เจตนา เอเตส สขุ าทีนนฺติ อเจตนา] โยชนา อภ.ิ [๑/๑๘๗ ] เรยี ก อตคฺคณุ จตตุ ฺถี. สรปู อธบิ าย: ปฐมากิรยิ าวิเสสนะ คือ บทปฐมาวภิ ัตตทิ ่ีเปน คณุ บทของกิรยิ า. (ปฐมา) เหตุ (๒) ศพั ทเหลา น้ี คอื เหตุ, ก,ึ ย , ต ประกอบเปน ปฐมาวภิ ตั ติ ใชใ นอรรถแหงเหตุ ตามสูตรในสทั ทนตี วิ า การณตเฺ ถ เหตุกึยเตหิ ปมา 'ลงปฐมาวิภัตติ แตห นาเหตุ, ก,ึ ย, ต ในอรรถแหง เหตุ.' อุ. :- เหตุ จเช ธน องฺควรสฺส เหต.ุ กึ กินนฺ ุ สนฺตรมาโน ว กาสุ ขนสิ สารถิ.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 179 ย โก นุ โข โภ โคตม เหตุ โก ปจจฺ โย, ยนฺตฏิ เตว นพิ ฺพาน ฯ เป ฯ เอกจฺเจ นาราเธนตฺ ิ. ต ต ตาห ตาต ยาจมิ. อธบิ าย : ศพั ทท ง้ั ๔ มเี หตเุ ปน ตนนี้ ประกอบเปนปฐมาวิภัตติ สาํ เรจ็ รปู เปน เหตุ, กึ, ย, ต ใชใ นอรรถเหตไุ ด ตามสตู รนน้ั [ การก. น. ๒๓] และเรยี กชอื่ สมั พนั ธว า เหตุ. อ.ุ :- เหตุ จเช ธาน องฺควรสสฺ เหตุ [ ขุ. ชา. อสตี ิ. ๒๘/๑๔๗] \"พงึ สละทรพั ย เพราะเหตแุ หง อวยั วะอนั ประเสรฐิ .\" กึ อ.ุ ท่ี ๑ กนิ ฺนุ สนตฺ รมาโน ว กาสุ ขาสิ สารถิ. [ ข.ุ ชา. เตมิย. ๒๘/๑๕๓] แนะนายสารถ,ี ทา นรีบขดุ หลุมสีเ่ หล่ียมเพราะเหตไุ ร.\" อ.ุ ท่ี ๒ อถ กิจฺ รหิ เต อย สารปิ ตุ ฺต โอฬารา อาสภิวาจา ภาสติ า. [ ท.ี ปาฏกิ , สมฺปสาทนยี . ๑๑/๑๙ ] \"สาระบตุ ร, เมอื่ เปน
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาท่ี 180 เชนน้นั เพราะเหตไุ รเลาเธอจงึ กลาวอาสภวิ าจาอนั โอฬารน้.ี \" (อรรถกถา [ สุ. ว.ิ ๓/๘๔ ] แกว า อถ กิ จฺ รหีติ อถ กสมฺ า). อุ. ที่ ๓ กึ ปเนตถฺ การณ, ยถา อิธ, เอว อสุ ลวปิ ากคมเน อเหตกุ คหณ น กต. [ อภธิ มมฺ ตถฺ . ปมปริจเฺ ฉท. น. ๗๙ ] \"กใ็ น กุสลากุสลวบิ าก ท. น่นั ทานอาจารยไมท าํ ศัพทวา อเหตกุ ในนิคม แหง อกศุ ลวิบาก เหมือนในนคิ มแหงกุศลวิบากนี้ เพราะเหตุไร.\" ในโยชนา [ ๑/๓๔๒] อางสตู รเดียวกันนแ้ี ละบอกสมั พันธ การณ เปน เหตุใน น กต. (กึ ในโยชนาเรยี ก ปจุ ฉา ตามภาวะเดมิ เหมือน เรียก อติ ิอาทิ วา ลิงคัตถะ,แตใน อุ. นี้ กึ เนื่องเปน วิเสสนะใน การณ จงึ เรียกตามอรรถท่ีเนื่องกนั วาวเิ สสนะ. กึ การณ ใชในอรรถกถาเปน กึ การณา เปน พน้ื ). กึ ที่เปน เหตนุ ี้ ตรงกับทีท่ า นแสดงในวจวี ภิ าค เลม นามและ อัพยยศัพท ตอนสพั พนาม สว นท่วี าดว ย กึ ศัพทวา \"กึ ศพั ท ทเ่ี ปน คาํ ถามถงึ เหตุ แปลวา ทาํ ไม.\" ในทางสมั พนั ธ ถาวาง การณ ไวด วย พงึ เรียกเปน วเิ สสนะของ การณ. ถาไมว างการณไ ว, มแี ต กึ ศพั ท ตามลาํ พัง เรยี กเปน เหตุ หรือ ปจุ ฉนัตถะ ก็ได. จะเติม การณ เขามา และเรยี กเปนวเิ สสนะก็ได, และพงึ เรยี ก การณ เปนเหต.ุ นยั แมใน ย, ต กเ็ หมือนกนั .
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาที่ 181 ย อ.ุ ที่ ๑ โน นุ โข โภ โคตม เหตุ โก ปจฺจโย; ยนฺติฏเตว นิพฺพาน, ติฏ ติ นพิ พฺ านคามี, ตฏิ ติ ภว โคตโม สมาทเปตา; อถ จ ปน โภโต โคตมสสฺ สาวกา โภตา โคตฌมน เอว โอวทิยมานา เอว อนุสาสยิ มานา; อปฺเปกจเฺ จ อจจฺ นตฺ นิฏ นิพพฺ าน อาราเธนฺติ, เอกจเฺ จ นาราเธนฺติ. [ ม. อปุ . คณกโมคคฺ ลลฺ าน. ๑๔/๘๕ ] \"ขา แตพระโคดมผูเจรญิ , เหตอุ ะไรหนอแล ปจจัยอะไร, เพราะเหตุ ปจ จยั ไรเลา พระนิพพานก็มีอยู ทางใหถงึ พระนพิ พานก็มีอยู พระ โคดมผเู จรญิ ผชู กั นําก็มอี ย,ู ถึงอยางน้ัน พระสาวก ท. ของพระโคดม ผเู จรญิ ผอู นั พระโคดมผูเจรญิ โอวาทอยูอยางน้ัน อนสุ าสนอยูอยางนั้น บางพวกก็ยงั พระนพิ พานท่ีสาํ เร็จโดยสวนเดียวใหสมั ฤทธ์ิ , บางพวกก็ ไมใหส มั ฤทธิ.์ \" ในรปู ประโยคเชนน้ี ใช เยน ก็มี เชน โก นุ โข โภ โคตม เหตุ โก ปจฺจโย; เยเนกทา ทฆี รตฺต สชฺฌายกตาป มนตฺ า นปฺปฏภ นฺติ., ปเคว อสชฌฺ ายกตา. [ อง.ฺ ปจฺ ก. ๒๒/๒๕๗] \"ขา แต พระโคดมผูเจรญิ , เหตุอะไรหนอแล ปจจยั อะไร,ทีเ่ ปน เหตไุ มแจม แจงแหงมนต ท. แมท ี่ทาํ สาธยายไวตลอดกาลนาน, มนต ท. ทไี่ มได ทาํ สาธยายไว ย่ิงไมแ จมแจง กอ นเทยี ว.\"
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ที่ 182 อุ. ที่ ๒ ย โข ตฺว สิวก สนตฺ อชฺฌตฺต โลภ อตฺถิ เม อชฌฺ ตตฺ โลโภติ ปชานาสิ; อสนตฺ วา อชฌฺ ตตฺ โลภ นตฺถิ เม อชฌฺ ตตฺ โลโภติ ปชานาส;ิ เอวมปฺ โข สวิ ก สนทฺ ฏิ โิ ก ธมโฺ ม โหติ ฯ เป ฯ. [ อง.ฺ ฉก. ๒๒/๓๙๙ ] \"สวิ กะ, ทา นรโู ลกภายในทมี่ ีอยู วา ' โลภ ภายในของเรามีอยู,' ทานรโู ลภภายในทีไ่ มมีอยูวา ' โลภภายในของเรา ไมม'ี เพราะเหตุใดแล; สวิ กะ, เพราะเหตุแมอ ยางนั้นแล ธรรม เปนสันทิฏฐกิ ะ ฯลฯ.\" ย วิเสสนะ ของ การณ, การณ เหตุ ใน ปชานาส.ิ (ย เหตุ น้ี วางเหมือนกิริยาปรามาส แตใ นอรรถ ยสมฺ า). ต ต ตาห ตาต ยาจาม.ิ [ข.ุ ชา. หลทิ ทฺ ราค. ๒๗/๒๖๕] \"พอ , เพราะเหตนุ ัน้ ฉนั ขอวงิ วอนเจา.\" (ชาตกัฏฐกถา [ ๕/๓๙๖ ] วา ต ตาหนตฺ ิ เตน การเณน ต อห) . สรปู อธิบาย : เหต,ุ ก,ึ ย, ต (ปฐมาวภิ ัตติ) ใชใ นอรรถเหต.ุ วิภตั ตเิ กา (สัตตมปี จ จัตตะ) (๓) มีวภิ ัตตเิ กา คือ รปู เหมือนสตั ตมีวิภัตติ ใชใ น ปฐมาวิภตั ติ เรียกในภาษาไทยวา สัตตมปี จ จตั ตะ. สัตตมปี จจตั ตะนี้ มีในสํานวนเกาบางแหง , มเี ฉพาะบทประธานบาง มตี ลอดถึงบทอน่ื เชน บทวเิ สสนะ กิรยิ าที่แจกดวยวิภัตตินามบาง, เปนสัตตมีปจจตั ตะ ท้งั ทอ นกม็ .ี
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 183 ตวั อยางในบาลสี ตุ ตันตปฎกหลายแหง เชนในสงั ยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวัคค ตอนโสตาปตตวิ คั คที่ ๑ ใน ทิฏ ิสย ตุ ฺต วา พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวติ ฺวา สสรติ วฺ า ทุกขฺ สฺสนตฺ กริสฺสนฺต.ิ (อรรถกถาแกเ ปน พาโล จ ปณฺฑโิ ต จ ) และ สฬายตนวคั ค ตอนโลกกามคณุ วัคคที่ ๒ วา ตสฺมาตหิ ภกิ ขฺ เว เส อายตเน เวทติ พฺ ฺเพ. (อรรถกถาแกเปน ต การณ ชานิตพพฺ ) . ในทางสัมพนั ธส อนใหเ รยี กช่อื บทเชน นี้ เฉพาะท่เี ปน บท ประธานวา สัตตมีปจ จตั ตะ. อธบิ าย : [ ๑ ] คาํ วา สตั ตมีปจจัตตะ, สัตตมี ก็แปลวา สัตตมวี ภิ ตั ติ, ปจ จัตตะ แปลวา ปฐมาวิภตั ติ, รวมกนั เปน สัตตมี- ปจจัตตะ ถือเอาความวา ปฐมาในรูปสัตตมี หรือสตั ตมที ใี่ ชในปฐมา. นี้เปน คาํ แสดงวธิ ีใชศพั ท, แตท า นสอนใหใ ชเ ปนชื่อของบทเชน นี้ทเ่ี ปน ประธาน. ในปกรณช นั้ บาลี สตั ตมีปจ จตั ตะ มีใชเ ฉพาะบทประธาน กม็ ี ใชต ลอดไปถึงบทวิเสสนะ ถงึ บทกริ ิยาทป่ี ระกอบดว ยวิภัตตินาม กม็ ,ี ใชใ นขอ ความท้ังทอนกม็ ,ี เชนนี้ ตอ งเรยี กตามอรรถท่ีใชน ้ัน ๆ อ:ุ - อ.ุ ท่ี ๑ พาเล จ ปณฺฑเิ ต จ สนฺธาวิตวฺ า สส รติ วฺ า ทุกฺขสสฺ นฺต กริสสฺ นตฺ ิ. [ ขนฺธวารวคฺค. ๑๗/๒๖๐] \"ทง้ั พาลทั้งบณั ฑติ แลน ไป ทองเทีย่ วไป จกั ทาํ ทส่ี ุดแหง ทุกข.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาที่ 184 บาลีนน้ั แสดงลัทธิสงั สารสุทธิภายนอกพุทธศาสนา อรรถกถา [สา. ป. ๒/๔๑๗ ] แกเ ปน พาโล จ ปณฑฺ โิ ต จ. (และในหนา ๒๕๔ แสดงนัตถิกวาท วา พาเล จ ปณฑฺ ิโต จ กายสฺส เภทา อจุ ฺฉชิ ฺชนตฺ ิ วนิ สสฺ นตฺ ิ น โหนตฺ ิ ปรมมฺ รณา. ขอ ความนี้ มใี นสันทกสตู ร [ ม. ม. ๑๓/๒๙๑] . อรรถกถาพระสูตรนัน้ [ ป. ส.ู ๓/๒๕๑ ] แกว า พาโล จ ปณฑฺ โิ ต จาติ พาลา จ ปณฑฺ ติ า จ ). อ.ุ ที่ ๒ โทณมเิ ต สุขทุกฺเข, ปริยนตฺ กเต สสาเร, นตฺถิ หายน- วฑฒฺ เน, นตฺถิ อกุ กฺ สาวกเ ส. เสยฺยถาป นาม สุตตฺ คเุ ฬ ขิตฺเต นพิ เฺ พิยมานเมว ปเลติ; เอวเมว พาเล จ ปณฑฺ ิเต จ นิพเฺ พยิ มานา สขุ ทกุ ขฺ ปเลนตฺ ิ. [ ขนธฺ วาคฺค. ๑๗/๒๖๐ ] \"สุขและทกุ ข เหมือน นบั ดวยทะนาน, สงสารมีทสี่ ดุ อันกาลทาํ แลว , ความเส่อื มและความ เจรญิ ไมม ี, ความเยย่ี งและความดอยไมม ,ี กลุม ดว ยที่คมซัดไปแลว ยอ มคลนี่ ั่นเทย่ี วปลวิ แมฉ นั ใด, ท้งั พาลทง้ั บณั ฑติ ก็ฉนั นนั้ เหมือนกนั ยอ มคลี่รอนไป (เอง) สสู ขุ ทุกข.\" บาลนี แี้ สดงลัทธิภายนอกพทุ ธศาสนา.อรรถกถา [ สา. ป. ๒/๔๑๘] แกเ ปน ปฐมาวิภตั ติ, เรยี งใหมดงั น:ี้ โทณมิต สขุ ทกุ ข, ปรยิ นตฺ โต สสาโร, นตถฺ ิ หายนวฑฺฒน (นายนวฑฒฺ นานิ) นตฺถิ อุกฺกส าวกส , เสยฺยถาป นาม สตุ ตฺ คุฬ ขิตฺต นพิ ฺเพิยมานเมว ปเลติ, เอวเมว พาลา จ ปณฺฑิตา จ นิพเฺ พิยมานา สขุ ทุกฺข ปเลนฺต.ิ
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาที่ 185 ื อ.ุ ท่ี ๓ ตสมฺ าตหิ ภกิ ฺขเว เส อายตเน เวทิตพเฺ พ. [ สฬาตนวคฺค. ๑๘/๑๒๒] \"ภกิ ษุ ท., เพราะเหตุนัน้ แล พึงทราบอายตนะนั้น.\" อรรถกถา [ สา. ป. ๓/๔๔ แกว า ต การณ ชานติ พพฺ . อ.ุ ท่ี ๔ วนปปฺ คมุ เฺ พ ยถา ผสุ สฺ ติ คฺเค คิมฺหาน มาเส ปสมฺ ึ คิมฺเห (ตถูปม ธมฺมวร อเทสยิ นิพฺพานคามึ ปรม หติ าย). [ขุ. ป. รตน. ๒๕/๘] \"พมุ ไมใ นปา มีดอกทาน (สะพรั่ง) ในเดือนคมิ หะท่ี ๑ (จิตร- มาส) แหง คิมหะ ท. ฉนั ใด, (พระสักยมุนี ไดท รงแสดงธรรมอัน ประเสรฐิ อยา งยิง่ อนั ใหถ ึงพระนิพพาน เพอ่ื เกือ้ กูล กม็ อี ปุ มาฉนั นั้น).\" อรรถกถาแหงพระสตู รน้ัน [ ป. โช. หนา ๒๑๐] แกเปนปฐมา- วภิ ตั ติ วา วนปปฺ คมุ โฺ พ ผสุ สฺ ติ คฺโค. อ.ุ ท่ี ๕ โย สจฺฉิกฏโ ปรมตโฺ ถ, ตโต โส ปุคคฺ โล อปุ ลพภฺ ติ สจฺฉกิ ฏปรมตเฺ ถนาติ. น เหว วตตฺ พเฺ พ. [ กถาวตถฺ .ุ ๓๗/๑] \"สกวาท:ี อรรถที่แทจ รงิ (= ภูตฏเ) อรรถอยางย่งิ ใด: บคุ คลนน้ั อนั บัณฑติ ยอมเขาไปได เพราะอรรถท่แี ทจริง อรรถอยางยิง่ น้ัน ? ปรวาท:ี บคุ คลน้ัน อนั ทา นไมพ งึ กลา วอยางนนั้ เลย.\"
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 186 อรรถกถา [ ป. ที. หนา ๑๕๑ ] แกว า เอว น วตตฺ พโฺ พ. อุ. ที่ ๖ สตุ มเย าณ. [ ขุ. ปฏ.ิ าณ. ๓๑/๑] ' ญาณอันสาํ เรจ็ ดวยสุตะ.' อรรถกถา [ สทฺ. ป. หนา ๑๕ ] แกว า สตุ มเย เปน ปจจตั ตวจนะ (ปฐมาวภิ ัตติ) ความวา สุตมย าณ, ทานอาง น เหว วตฺตพฺเพ, วนปฺปคมุ เฺ พ ยถา ผุสสฺ ติ คเฺ ค, นตถฺ ิ อตฺตากาเร เปนอาท.ิ อุ. ท่ี ๗ อสุกคามโต อสกุ คามคมนฏาเน สม, วสิ ม, กทฺทมพหุล, สกฺขรพหุล, กาฬมตฺติก, ตมฺพมตฺติก. [ปวกี ถาปสตุ ปยฺจสตภกิ ฺข.ุ ๓/๑] \"ทไ่ี ปสูบานโนนจากบา นโนน เสมอ, ทไ่ี ป ...โนน ไมเ สมอ, ทไ่ี ป....โนน มากดวยเปอ กตม, ที่ไป....โนน มากดว ยกรวด, ทีไ่ ป... โนน มีดินด,ี ทไ่ี ป...โนน มีดินแดง.\" (ใน อ.ุ น้ี บางทาน ใชเ ต็ม าน หรือ ปวีตล เขามาเปนประธาน). [ ๒ ] สนั นษิ ฐานความเปน มาแกงรูปสัตตมปี จจัตตะ มีดังน้ี :- ในคาํ นําคมั ภรี สัททนีตวิ า ภาษามคธ (มาคธี) มี ๒ อยา ง: ๑. สุทธมาคธี. ๒. อสุทมาคธี หรือ เทสียมาคธ.ี สทุ ธมาคธี วาเปน ภาษาทีพ่ ระพทุ ธเจาใชเ ทศนาสงั่ สอน อสุทธ- มาคธี วาเปน ภาษาพดุ จากนั ของขาวมคธและครู หรือเจา ลัทธิอ่ืนใช สง่ั สอน, และวา อสทุ ธมาคธี หรอื เทสยี มาคธี น้ัน ไมไพเราะหรอื ได
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 187 ระเบียบ เขายกคําของเขาลัทธมิ กั ขลิโคสาล มาตอนหนึง่ วา เหว โทณมเิ ต สุขทกุ ฺเข, ปริยนตฺ กเต สส าเร, นตถฺ ิ หายนวฑฺฒเน, นตฺถิ อุกกฺ ส าวกเ ส เปนตวั อยา ง คําแปลดังปรากฏแลว. สขุ ทุกเฺ ข, สส าเร, หายนวฑฒฺ เน, อกุ ฺกสาวกเส รปู เหมือนสัตตมีไปส้นิ แตอ รรถเปน ปฐมา ฉะนก้ี ระมัง เราจึงเรียกวา สัตตมีปจจัตตะ. อนึ่ง ในภาษาสส กฤต ศพั ทม ที ี่สุดเปน สฺ (ปฐมาวภิ ัตติ ของ สส กฤต ก็ สฺ ) และ ' : ' (วิสรคฺ ซง่ึ แทน ส)ฺ มาสูภาษาบาลีเปน ๒ รูป ืคอื เปน อุ และเปน เอ : สุ = อุ - มิถสฺ = มถิ .ุ สทยฺ สฺ = สชฺช.ุ อาคสฺ = อาค.ุ ส,ฺ : = เอ - สฺวสฺ = เสวฺ . ปุรสฺ = ปเุ ร. อนตฺ : ปรุ = อนฺเตปุร. (นัย อภธิ าน ชลิ เดอรส) เห็นจะเปน เชนน้ีเอง คือ สฺ (ปฐมาวภิ ตั ติ) ของ สสกฤต อันอาจะมาเปน รปู เอ ในบาลี ซง่ึ ในบาลี เอ เปน เครอื่ งหมายสัตตม-ี วภิ ตั ติ เราจึงเรยี กวา สตั ตมีปจ จัตตะ. [ ๓ ] ในคาํ จารกึ หลักศิลาคร้งั พระเจาอโศกมหาราช ก็ใชป ฐมา- ิวภิ ัตติเอกวจนะ ลงทายเปน เอ เขา กบั ศัพท อ การนั ต เชน เทวาน ปเย ปย ทสิลาช. \"พระราชาปย ทสี ทร่ี ักของเทวดา.\" ในคาํ จารกึ
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 188 หีบศิลาขดุ ไดท ี่ตาํ บลปป ราหว ะ แขวงเมอื งบัสตแิ ดนเนปอลกเ็ หมือนกัน เชน อิย สลลิ นิธเน. \"นี้ทฝ่ี ง พระสารีริกธาต.ุ \" อนงึ่ ฉฏั ฐีวภิ ัตติเอาวจนะ ลงทา ยเปน เอ เชน คาํ จารึกหลัก ศิลา ฯ วา เทวาน ปย ส ปย ทสิส ลาชิเน. \"ของพระราชาปย ทสี ผเู ปนท่ีรักของเทวดา ท.\" และคําจารึกหบี ศลิ า ฯ เชน พุธส ภควเต. \"ของพระผูม ีพระภาคพุทธเจา ).\" (คัดจากตน ฉบบั ลายพระหตั ถส มเด็จพระมหาสมณเจา ว. ว.). [ ๔ ] ศพั ทนบิ าตท่ใี ชในสัตตมีวภิ ตั ติ เชน กาลสตั ตมี เม่ือใช เปนประธาน บางทานก็สอนใหเรยี กชอ่ื วา สตั ตมีปต ตะ เชน อชชฺ อิทานิ, แตนบิ าตในสตั ตมีนี้ ทานผรู ไู มน ยิ มใชเปน สตั ตมีปจ จัตตะ เชน อชฺชุโปสโถ ปณฺณรโส [ ภกิ ขปุ าฏิโมกข ] สมเด็จพระมหาสมณเจา ว. ว. ทรงแปลงวา ' อโุ บสถวนั น้ที ่ี ๑๕.' [ ๕ ] การใชว ิภัตตหิ น่งึ ในอรรถของอีกวภิ ัตติหนงึ่ นั้นยังมีอีก เชน :- ปฐมาวิภัตติในทุตยิ าวิภัตติ ยสมฺ า จ สงฺคหา เอเต สมเวกขฺ นตฺ ิ ปณฺฑติ า. [ สิงฺคาล. ๑๑/๒๐๗ ] \"กบ็ ณั ฑติ ท. ยอ มพิจารณาสังคหะ ท. นนั่ เหตใุ ด.\" อรรถกถา [ สุ. วิ. ๓/๑๘๘ ] แกว า สงคฺ หา เอเต เปนปจ จัตต- วจนะ ใชใ นอุปโยควจนะ (ทตุ ยิ าวภิ ตั ต)ิ .
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 189 ปฐมาวภิ ัตติในตตยิ าวิภัตติ อ.ุ ท่ี ๑ สกกฺ า นุ โข รชชฺ กาเรตุ อหน อฆาตย อชนิ อชาปย อโสจ อโสจาปย ธมฺเมน. [ ส. ส. รชชฺ . ๑๕/๑๖๘ ] \"อันเรา อาจหรอื หนอแล เพ่อื เปน ผูไมฆ า เอง ไมใหฆา ไมทําความเสื่อมทรัพย (ของผูอ่นื ) เอง ไมใ หทาํ ความเส่ือมทรัพย (ของผอู นื่ ) ไมโ ศกเอง ไมใหผูอ่ืนโศก ใหทาํ ความเปน พระราชาโดยธรรม. อรรถกถา [สา. ป. ๑/๒๑๒๑ ] แกวา อหน อฆาตยนฺติ อหนนฺเตน อฆาเฏนเฺ คน. อชิน อชาปยตฺ ิ ปรสสฺ ธนชานึ อกโรนเฺ ตน อกเรนฺเตน. อโสจ อโสจาปยนตฺ ิ อโสเจนเฺ ตน อโสจยนเฺ ตน. อหน เปน ตน วกิ ตกิ ัตตา ใน หตุ วฺ า. หุตฺวา สมานกาลกริ ิยา ใน กาเรตุ. อุ. ท่ี ๒ ตสฺมา หิ อตฺตกาเมน มหตฺตมภกิ งฺขตา สทฺธมฺโม ครุกาตพโฺ พ สร พทุ ธฺ านสาสน. [ ส. ส. คารว. ๑๕/๒๐๖ ] \"เพราะเหตุนน้ั แล พระสทั ธรรม อันบุคคลผูรักตน จาํ นงความ เปนใหญ ระลกึ ถงึ คาํ ส่งั สอนของพระพทุ ธเจา ท. พงึ ทาํ ความเคารพ.\" ๑. อรรถกถานี้ แก ปพฺพตสสฺ ในบาทคาถา วา ปพฺพตสสฺ สวุ ณณฺ สฺส วา ปพพฺ โต ภวเยยฺ .
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 190 อรรถกถา [สา. ป. ๑/๓๒๘ ] แกวา สร พทุ ธฺ าน สาสนนตฺ .ิ พทุ ธฺาน สาสน สรนเฺ ตน. สร วเิ สสนะของ ปคุ คฺ เลน. ทุติยาวิภัตติ ในสตั ตมีวิภัตติ เอว สนตฺ ป โข เต โปฏปาท อฺ า จ สฺ า ภวิสสฺ ติ อฺโ อตฺตา. [ ท.ี สี. โปฏ ปาทง ๙/๓๒๑] \"โปฏฐปาทะ, เมอ่ื อยา งนนั้ แมมอี ยูแล สญั ญา จกั เปน อยางอนื่ ตนจักเปนอยา งอื่น แกท า น.\" อรรถกถา [ส.ุ วิ. ๑/๔๒๘] แกวา เอว สนฺตนตฺ ิ เอว สนฺเต. ภุมมฺ ฏเ หิ เอต อปุ โยควจน. อนงึ่ ยงั มีวธิ ีใชในการอกี มาก เชน ฉัฏฐกี มั ม, ฉฏั ฐี (เปน) กรณะ (เขา กับ) ปูรฺ ธาตุ) เปนตน . สรปู อธบิ าย: สตั ตมีปจ จตั ตะ คอื บทวิภัตตริ ูปสตั ตมวี ภิ ตั ติ ใชเ ปน ปฐมาวภิ ัตติ เรียกช่ือตามอรรถท่ีใชนนั้ ๆ. ฉัฏฐปี จ จัตตะ (๔) ในฉัฏฐวี ภิ ัตติ ใชใ นปฐมาวภิ ัตติ เรียกวา ฉฏั ฐีปจจัตตะ. อ.ุ ทุชชฺ วี ิตมชีวมิ ฺหา เยส โน ย ททามหฺ าเส. ตวั อยา งน้ี เยส โน ใชใ นอรรถเหมือน เย มย. อธบิ าย : [ ๑ ] ฉัฏฐปี จ จัตตะน้ี กเ็ ชน เดียวกับสัตตมีปจจัตตะ ตางแตเ ปน ฉัฏฐวี ภิ ตั ติ อ.ุ :-
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 191 อุ. ที่ ๑ ทชุ ฺชีวติ มชวี ิมหฺ า เยส โน ม ททามหฺ เส. [ ขุ. ชา. โลหกุมฺภ.ิ ๒๗/๑๓๗ ] \"เรา ท. ใด ไมใหแ ลว สิ, เรา ท. น้นั ไดเปน อยูชว่ั .\" (ชาต- กฏั ฐกถา [ ๔/๒๘๕ ] แกเ ปน เย มย) . อ.ุ ที่ ๒ เอกสฺสป เจ ภิกขฺ ุโน นปปฺ ฏภิ าเสยฺย ต ภิกขฺ นุ ึ อปสาเทตุ [ มหาวภิ งฺค ๒/๕๑๘] \"ถา ภิกษแุ มร ูปหนึ่ง ไมกลา วออกไป เพอ่ื จะ รุกรานภกิ ษณุ นี ้นั ไซร.\" (ในมหาวิภงั คนั้น ตอนแจกบทแสดงวา เอกสฺสป เจ ภกิ ฺขโุ น อนปสาทิเต ขาทิสสฺ ามิ ภฺุชสิ สฺ ามีติ ปฏิคคฺ ณฺหาต.ิ ในโยชนาสมนฺต. [ ๒/๑๑๙] วา ปาลิย ปน เอกสสฺ เจป ภิกขฺ โุ น นปปฺ ฏภิ าเสยยฺ าติ เอโ เอต ภกิ ขฺ นุ ึ เจป นปฺปฏภิ าเสยยฺ าติ อตฺโถ. ปจจฺ ตเฺ ต หิ สามิวจน) . [ ๒ ] สตั ตมีและฉัฏฐที ้ัง ๒ นี้ คลาย ๆ กันในบางประการ เชน เปน นทิ ธารณะได, และอีกฝา ยหน่ึงเปนลกั ขณะ อีกฝายหนึ่งเปนอนาทร. ในคําจารกึ เกา ท่ีอางกลาวในขอสัตตมีปจจัตตะแลว ฉฏั ฐีลงทา ยเปน เอ ไดเหมอื นสัตตมี. กเ็ มือ่ สตั ตมยี ังแปลเปน ปฐมาไดแลว (แตวามใิ ชส ัตตม-ี วิภัตติจริง ๆ ตามที่ไดส นั นิษฐานแลว เปน แตรปู เหมือนสัตตมี คอื เอ เพราะยังไมเคยพบ สฺมึ เลย) , ฉฏั ฐกี ็แปลเปนปฐมาได. [ ๓ ] แตม ีขอท่ตี างกันอยูบ า ง คอื สัตตมปจ จัตตะมีทางสันนิษฐาน
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 192 วา เปน ปฐมาวิภตั ติในรูปเกา. แตฉ ัฏฐปี จ จัตตะ ตามตัวอยางที่ ไดแลว ไมม ที างสันนษิ ฐานอยา งน้ัน. ทานไมใ ชเปนฉัฏฐีปจจัตตะ ในเม่อื มที างแปลงอยางอ่ืนไดกม็ ี. สรปู อธบิ าย : ฉฏั ฐปี จจัตตะ คือ บทฉฏั ฐวี ภิ ตั ติ ใชเปน ปฐมา- วิภัตติ.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 193 สัพพนามนิบาต ๑๗. มสี พั พนามนบิ าต หรอื นบิ าตรูปสัพพนาม ใชใ นสาํ นวน เกา ชัน้ บาลี ใชต ามในช้ันอรรถกถาบาง ดังตอไปนี้ :- เสยยฺ ถที (๑) เสยฺยถีท เปน นบิ าต, ในบาลีไวยากรณจัดเขา ในนบิ าต หมวดคาํ ถาม, ในวากยสมั พนั ธตอนตน ทา นเรยี กชื่อวา ปจุ ฉฺ นตโฺ ถ นิยมตโฺ ถ. แปลวา ' อยา งไรน้ี.' ตรงกบั คาํ ไทยวา ' คอื .' อุ. อริโย อฏ งฺโก มคโฺ ค เตส อคคฺ มกฺขายติ, เสยยฺ ถที สมมฺ าทิฏ .ิ .. สมฺมาสมาธ.ิ อธบิ าย : [ ๑ ] เสยฺยถีท ทา นแสดงไวในแบบวากยสัมพันธแ ลว ในนบิ าตหมวดที่ ๓ ขอ ๑๖๕ เรียกชอ่ื วา ปุจฺฉนตโฺ ถ. แตแ สดงใน ท่นี ้ีอกี เพ่ือใหคกู ับ ยททิ ซ่ึงจะกลาวตอไป. ในอรรถกถาบางแหงแกว า เสยฺยถที นตฺ ิ อนิยมิตนยิ มนิกขฺ ิตฺตอตฺถวภิ าชนฏเ นปิ าโต. [ ส.ุ ว.ิ ๒/๑๒๒ ] \"เสยยฺ ถที เปน นิบาต ในอรรถวา กําหนดอรรถทย่ี ังมไิ ด กาํ หนดและจําแนกอรรถทย่ี กข้ึนไว.\" เรยี กชื่อตามนี้ แตต ัดใหส น้ั วา วิภาชนตฺโถ หรอื นิยมตโฺ ถ. (อีกอยา งหน่งึ เห็นวาใชเปน ลิงคัตถะ ก็นา ได). แปลวา อยา งไรน้ี ตรงกบั คาํ ไทยวา ' คือ ' ในท่ที วั่ ไปใช นาํ หนา จํานวนบทท่จี ําแนกออก. อุ :-
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 194 อ.ุ ที่ ๑ อรโิ ย อฏ งคฺ ิโก มคฺโค เตส อคคฺ มกขฺ ายต.ิ เสยฺยถีท สมมฺ า- ทิฏิ...สมมฺ าสมาธ.ิ [อติ ิวตุ ฺตก ๒๕/๑๙๘ ] \" มรรคมีองค ๘ อัน ประเสรฐิ บณั ฑติ กลาววาเลิศกวาธรรมเหลานัน้ คอื สมั มาทิฏฐิ... สัมมาสมาธ.ิ อ.ุ ที่ ๒ สตฺถา...อนุปพุ ฺพกี ถ กเถสิ, เสยฺยถีท ทานกถ สีลกถ สคฺคกถ กามาน อาทนี ว โอการ สงกฺ เิ ลส เนกฺขมฺเม อานิสส ปกาเสสิ. [ จกฺข-ุ ปาลตเิ ถร. ๑/๖] \"พระศาสดา...ตรัสอนปุ ุพพกี ถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา สลี กถา สคั คกถา โทษ ความเลวทราม และความเศรา หมอง แหงกามท้ังหลาย และอานิสงสในเนกขัมมะ. ใน อ.ุ น้ี บทท่ีจําแนกออก มีกริ ยิ าอาขยาตซง่ึ รวมกันเขาเปน พากย จงึ สัมพนั ธไ ปตามปกติ. [ ๒ ] บททจี่ ําแนกออก ประกอบวภิ ัตตเิ หมือนบทต้ังเปนพ้นื อุ. :- อ.ุ ท่ี ๑ ....อรยิ อฏ งฺคกิ มคคฺ เทเสสิ ปกาเสสิ, เสยยฺ ถที สมมฺ า- ทฏิ ึ....สมฺมาสมาธ.ึ [ พระราชนิพนธคําบชู าในพิธีทาํ วตั รวันวิสาข- บูชา] \"แสดง ประกาศซง่ึ มรรคมอี งค ๘ อนั ประเสรฐิ คือ ซึ่งสัมมา- ทิฏฐิ...ซึง่ สมั มาสมาธ.ิ \" (มคฺค บทตัง้ , สมฺมาทิฏ.ึ ..บทจําแนก). อุ. ท่ี ๒ ยถาคตมคฺโคติ โข ภกิ ฺขุ อริยสฺเสต อฏงคฺ กิ สสฺ มคฺคสฺส
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 195 อธิวจน, เสยยฺ ถีท, สมฺมาทิฏยิ า...สมมฺ าสมาธสิ ฺส. [ ส. สฬา. ๑๘/๒๔๒] \"ภกิ ษ,ุ คาํ นน่ั วา ' มรรคตามที่มาแลว ' แล เปน ช่อื แหงมรรคมอี งค ๘ อนั ประเสรฐิ , คือ แหง สมั มาทิฏฐิ....แหง สัมมา- สมาธิ.\" (มคคฺ สสฺ บทตั้ง, สมมฺ าทฏิ ยิ า...บทจําแนก). ในบางแหง แตน อ ย บทตงั้ เปนวภิ ตั ติอืน่ สวนบทจําแนก ทาน ประกอบเปนปฐมาวิภัตต.ิ อุ. กลุ ลฺ นตฺ ิ โข ภกิ ขฺ เว อริยสเฺ สต. อฏ งฺคิกสสฺ มคคฺ สฺส อธวิ จน, เสยสฺ ถที , สมมฺ าทฏิ ิ....สมมฺ าสมาธิ. [ ส. สฬา. ๑๘/๒๑๙ ] \"ภิกษุ ท., คํานัน่ วา ' แพ (หรือทุน)' แล เปนช่อื แหงมรรคมีองค ๘ อันประเสริฐ คอื สัมมาทฏิ ฐิ...สมั มา- สมาธ.ิ \" (มคคฺ สสฺ บทตัง้ , สมฺมาทิฏฐ.ิ ..บทจําแนก). [ ๓ ] เสยยฺ ถีท นี้ ทา นแกความดวย กตม ศพั ทกม็ ี จงึ ควร เปน ที่สังเกตของนกั ศึกษา. (เสยยฺ ถที นตฺ ิ เต กตเมติ อตฺโถ. มโน. ปู. ๓/๗๙). อนงึ่ นา สงั เกตวา วิธจี าํ แนกบทดวยวาง เสยนฺ ถีท นี คลาย กนั กับจาํ แนกดว ยวาง อิติ ศัพท ทใี่ ชม ากในรุน อรรถกถา. เร่ืองน้ีได แสดงแลวในตอนท่ีวาดวยสรปู (บทกาํ หนดโดยวิภาค) สว นทส่ี รูปใน อิตศิ พั ทข างตน . การเรียกสมั พันธ กพ็ ึงอนุโลมบทสรูปในอิตศิ พั ทน นั้ คือ ถาบทจาํ แนกเปนปฐมาวิภตั ติ บอกเปนลิงคัตถะ สรูปใน เสยฺยถีท. ถา บทจําแนกเปน วภิ ัตติอื่น อนวุ ัตบทตงั้ เรียกเหมือนบทตัง้ และบอก สรปู ใน เสยฺยถที . สรปู อธบิ าย. เสยฺยถที เปน นบิ าต ใชใ นคําถาม เรียกชอ่ื วา
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 196 ปจุ ฺฉนตฺโถ, อกี อยางหนึ่ง เรียกช่ือวา วภิ าชนตโฺ ถ, หรือ นยิ มตโฺ ถ เพราะใชในอรรถท่ียังมไิ ดก าํ หนด จาํ แนกอรรถทยี่ กขนึ้ ไว. หรือจะใช เปนลงิ คัตถะก็นา ได. ตรงกบั คําไทยวา ' คอื .' ยททิ (๒) ยททิ ทา นวาเปน นบิ าต, ในอรรถกถาท้งั ปวง แกอ รรถ เปน สัพพนาม ในอรรถ ย ศัพท (ย+อทิ ) ใชเ ปนวเิ สสนะ (นใ้ี ด, นี้ไรเลา ) บา ง เปน กิรยิ าปรามาส (นี้ใด) บา ง. นีเ้ หมือน ย สัพพนามโดยปกติ ตา งแต ยทิท เปนวเิ สสนะของนามนาม ได ทุกลิงค ทุกวจนะ. อ.ุ :- วิเสสนะ : คหน เหต ภนฺเต; ยทิท มนสุ สฺ า. อุตตฺ าน เหต ภนเฺ ต; ยททิ ปสโว. กริ ิยาปรามาส: อปปฺ ายสุ ว ตตฺ นิกา เอสา มาณว ปฏปิ ทา, ยทิท ปาณาตปิ าตี โหติ ลุทฺโท. อีกอยางหน่งึ ทา นแปล ยทิท วา 'คือ' (ยทฺ+อทิ ) เหมอื นอยา งถามใหกําหนดอรรถท่ียงั มไิ ดกําหนด เชน เดยี วกบั เสยฺยถีย จึงใชเปน นบิ าตไดอกี อยา งหนง่ึ เรยี กชอ่ื วา ปจุ ฉฺ นตโฺ ถ เหมือนเรยี ก เสยยฺ ถนี ในแบบวากยสมั พันธต อนทวี่ า ดวยนิบาต หรือ ินยิ มตโฺ ถ เหมือนเรยี ก เสยยฺ ถีท ในอรรถกถาบางแหง (น้ไี รเลา , คอื ). อธบิ าย : [ ๑ ] บทวา ยททิ น้ี ในอรรถกถาแกเปนสพั พนาม
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 197 ในอรรถ ย ศพั ท และตดั บทเปน ย+อิท, ใชเปน บทวิเสสนะบาง กิรยิ า- ปรามาสบาง เหมือน ย สพั พนาม. แตเพราะ ยททิ คงรูปอยอู ยางเดยี ว ทัง้ ใชเ ปนวิเสสนะของบทนามทกุ ลิงคท กุ วจนะ. ในอรรถกถา ทาน จึงยกเปน นบิ าต. ไมเชนนน้ั ทานก็วา เปน ลงิ ควปิ ลลาส ดงั คาํ วา ยททิ สภาวธมฺโม. [ อภ.ิ วิ. ปมปริจเฺ ฉท. น. ๖๖ ] ในโยชนา [ ๑/๑๗๕-๑๗๖ ] วา ยททิ เปนลิงควิปล ลาส แสดงสมั พันธเปน วิเสสนะ ของ สภาวธมโฺ ม. รูปประโยค ยททิ ในท่ที ง้ั ปวง อาจจําแนกเปน ๓ ประเภท ดงั นี้ :- รปู ประโยค ยทิท ประเภทท่ี ๑ ยททิ เม่อื ใชเปนสรรนาม ในอรรถ ย ศพั ท ก็ตองมี ต ศัพท รับ, โดยปกติทานวาง ต ศพั ทไ วชัดเจน ในอนุประโยคหนา อุ. :- ยทิท เปน วิเสสนะ อ.ุ ที่ ๑ คหน เหต ภนฺเต, ยทิท มนุสสฺ า. อุตฺตาน เหต ภนเฺ ต, ยททิ ปสโว. [ม. ม. กนฺทรก. ๑๓/๔ ]\" ขา แตพระองคผูเ จริญ, แทจริง, มนษุ ย ท. นีใ้ ด, มนษุ ยน่ันซบั ซอ น (หยงั่ ยาก). ขาแต พระองคผูเ จรญิ , แทจ ริง, ปสุ ท. นใ้ี ด, ปสนุ นั่ เผิน (หยั่งงาย).\" ยททิ วิเสสนะ ของ มนสุ สฺ า. มนุสสฺ า ลิงคัตถะ. ยททิ วเิ สสนะ ของ ปสโว. ปสโว ลิงคตั ถะ. อ.ุ ที่ ๒ เอตทคคฺ ภกิ ขฺ เว มม สาวกิ าน อุปาสิกาน พหุสฺสตุ าน.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 198 ยททิ ขุชชฺ ุตฺตรา. [ องฺ. เอก. ๒๐/๓๔ ] \"ภกิ ษุ ท., ขชุ ชตุ ตรา นใี้ ด, ขุชชุตตรานั่น เปนยอกแหง อบุ าสิกา ท. ผสู าวกิ าของเราผู พหูสตู .\" ตัวอยา งทั้ง ๒ น้ี มใี นสามาวตีวัตถ.ุ แตตัวอยางหลงั ในสามาวตี- วตั ถุ เปน ธมฺมกถิกาน ตางจากบาลี, ในทนี่ ้ใี ชต ามบาล.ี อ.ุ ที่ ๓ เอส ปจจฺ ยโย ชรามรณสสฺ , ยททิ ชาติ. [ท.ี มหา. มหานิพฺพาน ๑๐/๖๗ ] \"ชาตินใี้ ด, ชาติน่ันเปน ปจจัยแหงชราและมรณะ. ยททิ เปนกิรยิ าปรามาส อุ. ท่ี ๑ อปฺปายสุ วตตฺ นกิ า เอสา มาณว ปฏิปทา, ยททิ ปาณาติปาตี โหติ ลุทโฺ ท โลหิตปาณี หตปหเต นิวฏิ โ อทยาปนฺโน ปาณภูเตสุ. [ม. อุ. สุภ. ๑๔/๓๗๗ ] \"บคุ คลเปน พราน ฆาสตั ว มีมอื เปอ นเลอื ด ตั้งอยูในการฆาการประหาร ไมถึงความเอน็ ดูในสัตว ท. นีใ้ ด, มาณพ, (ปฏิปทา) นน่ั เปน ปฏิปทาทีใ่ หเปนไปเพือ่ มีอายุนอย.\" ยททิ นตฺ ิ ปท โหตีติ ปเท กริ ิยาปรามสน. อุ. ที่ ๒ เอตทคคฺ ภกิ ฺขเว เปยฺยวชชฺ าน, ยททิ อตถฺ กิ สฺส โอหิตโสตสฺส ปุนปฺปนุ ธมมฺ เทเสต.ิ [องฺ. นวก. ๒๓/๓๗๗ ] \"ภิกษยุ อ มแสดง ธรรมบอยๆ แกผทู าํ ใจใหมีประโยชน เงย่ี โสตนีใ้ ด, ภกิ ษุ ท.,
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 199 (การแสดงธรรม) นั่น เปน ยอดแหง ความกลา ววาจาเปน ทรี่ กั ท.\" ขอสงั เกต : วธิ แี ปลแบบของไทยอยา งหน่ึง ทานสอนใหหาบท โยคของ ยทิท ทีเ่ ปนนปสุ กลงิ ค และใหแปลบทนานามถดั ยททิ วา คอื ....อยางวเิ สสลาภี เชน ยททิ ขชุ ฺชุตตฺ รา แปลยกศพั ทว า ยทิท ขนฺธปฺจก ขนั ธปญจกะนีใ้ ด ขชุ ชฺ ุตตฺ รา คือขุชชตุ ตรา, บทโยค ของ ยทิท น้ี ใชเ ปนบทโยคของ ต ศัพทที่เปนรูปนปสุ กลิงคดวย. วิธี นไี้ มถ ือ ยททิ เปน นิบาต หรอื เปนลิงคว ิปลลาส ถือวาเปน นปุส กลงิ ค ธรรมดา จึงตอนหาวธิ แี ปลเพอ่ื รกั ษาลิงค ดูขยกั ขยอนอยู. และถา บทนามนามถัด ยทิย เปนนปุสกลิงคด วยกัน เชน ยททิ ธมฺมทาน (ซ่ึงจดั แสดในขอ วา ดว ย เอตทคคฺ ) จะแปลอยางน้ัน หรือจกั ใช ยทิท เปนวเิ สสนะ ของ ธมฺมทาน ทีเดียว, ถา จะใชอ ยางหลงั วธิ แี ปล กไ็ มลงกนั , ถาจะใหล งกันกด็ ไู มจ าํ เปน.ถายก ยททิ เปน นิบาต หรือ เปน ลิงควิปลลาส ก็หมดปญ หา ไมต องแปลขยกั ขยอน. รปู ประโยค ยททิ ประเภทท่ี ๒ [ ๒ ] ประโยค ยททิ ตามตวั อยางในขอ [ ๑ ] วาง ต ศพั ท ไวใ นอนุประโยคหนา ใช เอต ศพั ทเ ปน พ้ืน และมักประกอบเปน รูป นปสุ กลิงคเ หมอื น ยทิท. ยงั มีประโยค ยททิ อีกรปู หนึง่ ไมวาง ต ศพั ท ไวใ นอนปุ ระโยคหนา และไมวางไวในตอนไหน, ในอรรถกถาแกฝาก ต ศพั ทไวแกบทนามนามถดั ยทิท, ตัด ยททิ ใหเ ปน ประโยคลงิ คตั ถะ อกี ประโยคหน่ึง โยคบทนามนามนน้ั . อุ :-
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228