คํานํา บาลไี วยากรณภ าคที่ ๓ คือวากยสมั พนั ธ เปน หลกั สาํ คญั ในการ ศึกษาภาษาบาลีสว นหนงึ่ และหนังสือที่เปนอปุ กรณ กเ็ ปน เครือ่ งชว ย นักศกึ ษาใหไดรบั ความสะดวก และชวยครผู สู อนใหเบาใจ. ก็หนังสือ อปุ กรณวากยสัมพนั ธนั้น แผนกตาํ รามหากฏุ ราชวิทยาลัยไดมอบให พระโศฏนคณาภรณ (เจริญ สวุ ฑฺฒโน ป. ธ. ๙) วดั บวรนิเวศวหิ าร กรรมการ รวบรวมและเรียบเรยี งขึ้น, ผเู รียบเรียงไดจัดแบงออกเปน ๒ เลม ในชอื่ วาอธิบายวากยสมั พนั ธเลน ๑-๒ , เหตปุ รารภในเรอื่ งนี้ ไดก ลาวในคํานําหนังสืออธบิ ายวากยสัมพนั ธเ ลม ๑ และในคําปรารภ ของผูเรยี บเรยี งในเลม น้แี ลว. บดั นี้ ผูเ รยี บเรยี งไดร วบรวมและเรียบเรยี ง เลม ๒ ขึน้ เสร็จ ดังทป่ี รากฏเปนหนังสืออธบิ ายวากยสมั พนั ธเ ลม ๒ นี้ และไดม อบลิขสทิ ธิสวนที่เรียบเรยี งในหนงั สอื นใี้ หเ ปน สมบตั ิของมหา- มกุฏราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชปู ถัมถ. แผนกตาํ รา ฯ ขออนโุ มทนาผเู รียบเรียงตลอดถงึ ทา นผชู วยแนะนาํ โดยประการอื่น กระทง่ั หนงั สือนสี้ าํ เรจ็ . แผนกตาํ รา มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั มกราคม ๒๔๙๓
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 1 อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ พระโศภนคณาภรณ (สวุ ฑฒฺ โน ป. ธ.๑ ๙) วดั บวรนิเวศวหิ าร เรยี บเรยี ง ๑. ในวากยสัมพนั ธ ภาคท่ี ๓ ตอนตน ทา นไดแสดงแบบ สมั พนั ธไว ซึง่ เปนแบบทใ่ี ชเปนหลักทว่ั ไป, สว นสมั พนั ธทไ่ี มไ ดใช ท่ัวไป ยงั มอี ีก จกั ไดแสดงไวต อไป กับทง้ั ศพั ทพ ิเศษเปนตน ท่ีเห็น วาควรรู, ระเบยี บในการแสดงจักอาศยั แบบทท่ี า นวางไวเปนหลกั . นกั เรียนเมื่อรูแ บบสมั พันธทท่ี านแสดงไวในวายกสมั พันธ ภาคที่ ๓ ตอนตนนั้นแลว ก็ควรทราบสมั พันธน อกจากนนั้ ทีแ่ สดงในหนงั สือน้ี เพอ่ื การศึกษาวธิ ปี ระกอบคาํ พูดเขาเปนพากย จะไดส ะดวกดี ตาม ประสงคแ หง การศึกษาวากยสัมพนั ธ. อธบิ าย : [ ๑ ] แบบสัมพันธในวากยสัมพันธ ภาคท่ี ๓ ตอนตน เปน แบบที่ใชเปน หลักทวั่ ไป, ไดอธิบายแลว ในอธิบายวากยสัมพันธ ภาคท่ี ๓ เลม ๑. ในอธบิ ายน้นั ไดแ สดงชอื่ สัมพันธท ่ตี า งจากในแบบ แตมอี รรถ (ความหมายท่ใี ช) เปน อยา งเดียวกนั กับชอื่ สัมพันธใ นแบบ ไวใ นขอ น้ัน ๆ ท่ีมอี รรถเดียวกนั ดวย. ชอื่ สมั พันธเหลา นนั้ แสดงไว ในขอดงั ตอไปน้ี :- ๑. เวลาน้ี เปน สมเดจ็ พระญาณสงั วร.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 2 อปุ มาลงิ คัตถะ ในขอ ลงิ คตั ถะ ตุมัตถกตั ตา \" สยกัตตา สหโยคตตยิ า-สหาทิโยคตติยา \" สหัตถตติยา ตุมัตถสมั ปทาน \" สมั ปทาน ภาวสัมพนั ธ-กริ ยิ าสมั พนั ธ \" ภาวาทสิ ัมพนั ธ อาธาร-ภนิ นาธาร \" ทายอาธารทั้ง ๕ วิเสสนลิงควิปส ลาส \" วิเสสนะ (บทคุณนาม) อปุ มาวิเสสนะ \" \" \"\" สัญญาวเิ สสน \" \" \"\" ปกติกัตตา \" วกิ ติกตั ตา บทคณุ นาม) [ ๒ ] สวนสมั พันธท ่มี อี รรถตางออกไปจากในแบบ จักแสดง และอธบิ ายในเลม นี้ กับทั้งศพั ทพเิ ศษเปนตน ทค่ี วรร,ู ในการแสดง จักอาศยั ระเบยี บทท่ี านใชในแบบ: ในแบบทา นแสดงบทนามนามกอน แลว จึงบทคุณนาม, บทสัพพนาม, บทกริ ยิ า (ในพากยางค-ในพากย) และนบิ าตตามลาํ ดบั , ในที่น้ี กจ็ ักอนวุ ตั ระเบยี บนั้น. แตบ ทนามนาม ทจ่ี ะกลา วตอไป กไ็ มไ ดใชฐานะเปน การก หรือในฐานะเปน นามนาม แท ใชด จุ คุณนามในอรรถพิเศษอยางหน่ึงนัน่ เอง จึงสงเคราะหเปน บท คณุ นาม. [ ๓ ] แบบสัมพนั ธ ทา นวา ควรรจู ักกอ นแตเ รียนสมั พันธ จงึ ควรจําและทําความเขาใจใหท ัว่ ถงึ . กก็ ารเรยี นสมั พันธนน้ั เปนทาง ๑ แหง การศกึ ษาวิธปี ระกอบคําพูดเขาเปนพากย อันเปน ตัววากยสมั พันธ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 3 โดยตรง (ดขู อ (๑๔๙) ในวากยสมั พนั ธ ภาคที่ ๓ ตอนตน ), เม่อื เขาใจทรงสัมพันธน้ดี ีแลว, กบั ทั้งเรียนผกู คาํ พูดใหเ ปน พากยเอง ใหตอ งตามแบบอยา งไปดวย, การศึกษาวิธปี ระกอบคําพดู เขา เปน พากย ก็จกั เปน ไปสะดวกดี.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 4 บทนามนาม (สงเคราะหเ ขาในคณุ นาม) ๒. บทนามนาม ใชใ นอรรถพิเศษบางอยาง สงเคราะหเขา ในบทคณุ นาม เพราะแสดงลกั ษณะอยา งหนึ่งของนามนามอกี บทหนง่ึ , แตจ ัดไวอกี ขอหนงึ่ ตา งหาก เพราะใชน ามนาม หรอื คณุ นามในฐาน นามนาม ดงั นี้ :- วิเสสลาภี (๑) นามนาม ๒ บท, บทหนงึ่ กลา วความกวาง แตไ ดอ รรถ พเิ ศษทีก่ ลาวกําหนดไวดวยอีกบทหนง่ึ เหมือนอยา งกณฺฏโก 'ไมมี หนาม' กลา วความกวา ง เพราะไมมหี นามมีหลายอยาง, แตในที่ บางแหง ไดอ รรถพเิ ศษวา เวฬุ 'ไมไ ผ, ' เปนอันหา มมใิ หห มายถึง ไมมหี นามชนิดอื่น, บทท่ีกลาวกําหนดอรรถพิเศษน้ี ทานเรียกชือ่ วา วิเสสลาภี (คอื ) เพราะทําบทท่กี ลา วความกวางใหไดอ รรถพิเศษ, วเิ สสลาภี มวี ภิ ัตตอิ นุวัตบทที่กลาวความกวา ง. อ:ุ - ทกุ ขฺ อรยิ สจจฺ , ทุกฺขสมทุ โย อรยิ สจฺจ, ทกุ ขฺ นโิ รโธ อรยิ สจฺจ, ทกุ ขฺ นิโรธคามนิ ี ปฏิปทา อรยาสจจฺ . อธบิ าย : [ ๑ ] วเิ สสลาภีนี้ เปน นามบททก่ี ลาวกําหนดอรรถ คือความพเิ ศษแหงบทท่ีแสดงอรรถกวา ง เพื่อหา มเน้ือความอ่นื แหง บท ที่มีอรรถกวางน้ัน คือจํากัดใหหมายถงึ เฉพาะที่แสดงในบทวเิ สสลาภี เทา นั้น ดุจอวธารณัตถนิบาต, ในเวลาแปลใหคําเชอื่ มวา ' คือ,' ดงั จะผูกพากยางคขึน้ วา เวฬุ กณฏฺ โก, กณฺฏโก หมายถึงไมมหี นาม
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 5 หลายอยา ง แตไ ดอรรถพเิ ศษวา เวฬุ (ไมไ ผ) , เวฬุ จึงเปน วเิ สสลาภี แปลวา 'ไมม ีหนาม คือไมไผ.' วิเสสลาภีนี้ มอี รรถเชน เดยี วกับ อวาธารณปุพพบท กัมมธารย- สมาส ดงั เชนตัวอยางวา พุทฺโธ เอว รตน พทุ ธฺ รนต (รตนะคอื พระพทุ ธเจา), ในสมาสนี้ ประกอบดว ย เอว ศัพท อนั เปนอวธาร- ณัตถะ เพ่ือจะหา มเน้ือความอนื่ เสีย เพราะรตนะมมี ากชนิด แตในท่ีน้ี ไดอ รรถพิเศษวา พระพุทธเจา. พึงทราบอุ. ดงั ตอไปนี้ :- อุ. ที่ ๑ ทุกขฺ อรยิ สจฺจ, ทกุ ฺขสมทุ โย อรยิ สจจฺ , ทกุ ขฺ นิโรดธ อริยสจจฺ , ทกุ ฺขนโิ รธคามนิ ี ปฏิปทา อรยิ สจจฺ . \"อรยิ สจั คือ ทุกข, อริริยสัจ คือ ทุกขสมทุ ยั , อริยสัจ คือ ทกุ ขนิโรธ, อรยิ สจั คอื ปฏิปทา ท่ีใหถ ึงทกุ ขนิโรธ.\" ในตัวอยา งนี้ มอี ธบิ ายวา ท่ชี ื่อวา อริยสัจยงั กวาง แตใ นท่นี ี้ อรยิ สจั บทท่ี ๑ ไดอรรถพเิ ศษวา ทกุ ข ฯลฯ อริยสัจ บทที่ ๔ ไดอ รรถพิเศษวา ทกุ นโิ รธคามีนีปฏปิ ทา, ทกุ ข เปน ตน จึงเปน วิเสสลาภี, ในเวลาสัมพันธใชเรยี กวา วิเสสลาภี ของบทนามนามที่ เก่ียวเนื่องกัน เชน ทุกขฺ วเิ สสลาภี ของ อริยสจจฺ , พึงทราบอธิบาย ดงั น้ีทุกแหง ทกุ ขฺ นตฺ ิ ปท อริยสจฺจนฺติ ปทสฺส วิเสสลาภ.ี อริยสจจฺ นฺติ ปท ลงิ คตฺโถ. ฯ เป ฯ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 6 อุ. ที่ ๒ อนภิชฌฺ า ปริพพฺ าชกา ธมมฺ ปท. อพฺยาปาโท ปรพิ พฺ ชกา ธมมฺ ปท, สมมฺ าสติ ปรพิ พฺ าชกา ธมมฺ ปท, สมมฺ าสมาธิ ปรพิ พฺ า- ชกา ธมฺมปท. [ กุณฺฑลเกสีเถรี. ๔/๑๑๑ ] \" ดูกอ นปริพาชกและ ปริพาชิกา ท. ธรรมบท คอื อนภชิ ฌา, ดูกอน... ธรรมบท คือ ัอพั ยาบาท, ดูกอน....ธรรมบท คอื สมั มาสติ, ดูกอน... ธรรมบท คือ สัมมาสมาธ.ิ \" อุ. ท่ี ๓ ปฺา เว สตตฺ ม ธน. [ สปุ ฺปพุทฺธกฏุ ิ. ๓/๑๓๕ ] \" ทรพั ย ที่ ๗ คอื ปญญาแล.\" ขอสงั เกต : มักแปลกนั วา ปญ ญาแล เปน ทรพั ยท ี่ ๗. [ ๒ ] บทไขของบทปลง ทราบวา โบราณทานก็เรียกวา วิเสสลาภี เชน วจุ จฺ ตีติ วจน อตฺโถ \"สัททชาตใดอันเขากลา ว เหตุ น้นั สทั ทชาตนัน้ ชื่อ วจนะ คือ อรรถ. (อตฺโถ โบราณทานเรียกวา วิเสสลาภ)ี . บทไขของบทปลงน้ี ในโยชนาเรยี กวา ลงิ คตั ถะ ดงั จะ กลาวตอไป, แตเ รยี กตามทโ่ี บราณทานเรยี กดเู ขาทีด.ี [ ๓ ] บทวเิ สสลาภี ใชนามนาม เพราะฉะน้นั จงึ ตา งลงิ คจาก บทนามนาม ทก่ี ลา วความกวา งได เพราะคงตามลิงคเ ดิมของตน เชน อ.ุ ทแ่ี สดงมาแลว. สว นวิภตั ติ ตอ งอนุวัตบทนามนามทีก่ ลา วความกวางเสมอ, และ ไมนิยมคอื กาํ หนดแนวาตอ งเปน วภิ ตั ตนิ ้ันวภิ ตั ตน้ี, เมอ่ื นามนามบทท่ี
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 7 กลา วความกวา งเปนวิภัตติใด บทวิเสสลาภี ก็ตองเปนวิภตั ตนิ นั้ . [ ๔ ] บางแหง นาเปน วิเสสลาภ,ี แตเมื่อพิจารณาดู ใชเปน วกิ ตกิ ัตตาเหมาะกวา อุ :- อุ. ที่ ๑ โก ปน ตวฺ สามิ ? \"นาย, ทา นเปนใครเลา .\" อห เต สามิโ ก มโฆ. \"เราเปน มฆะผูส ามีของเจา.\" [ สกกฺ . ๒/๑๑๐ ] ประโยคถาม : โกติ ปท อสีติ ปเท วิกตกิ ตฺตา. ปนสทโฺ ท ปุจฉฺ นตฺโถ. ประโยคคําตอบ : มโฆติ ปท อมหฺ ีติ ปเท วิกติกตฺตา. อ.ุ ท่ี ๒ สวฺ าห กสุ ล กริตวฺ าน กมมฺ ติทสาน สหพฺยต ปตโฺ ต. [มฏกณุ ฺฑล.ิ ๑/๓๐ ] \"บตุ รนัน้ เปน ขาพเจา ทํากศุ ลกรรมแลว ถึงความเปนสหาย แหง เทพช้นั ไตรทศ ท.\" อหนฺติ ปท หตุ วฺ าติ ปเท วิกติกตตฺ า. (เตมิ หตุ ฺวา). สรปู อธบิ าย : วิเสสลาภี มีอรรถวา ทํานามนามบททก่ี ลา วความ กวา งใหไดอ รรถพเิ ศษ. บอกสัมพันธเ ปน ของบทนามนามนัน้ . สรปู (บทกาํ หนดโดยวภิ าค) (๒) เปน บทกาํ หนดโดยวภิ าค คือจาํ แนกแหงนกิ เขปบท คือบทท่ยี กขนึ้ ไวเรยี กช่ือวา สรปู (คือ), หรอื เนอื่ งในนิกเขปบท
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 8 เรียกชอื่ วา สรูปวเิ สสน เพราะมีลักษณะคลายสรูปวิเสสนะตามท่ี ทานเรยี ก (มีกลา วขางหนา ), เนอ่ื งในอติ ิศพั ท ทเ่ี ปน ปฐมาวิภตั ติ เรยี กช่ือวา ลงิ ฺคตโฺ ก ตามแบบโยชนา, ท่เี ปน วภิ ัตตอิ ่ืน ก็เรยี ก ตามชื่อนิกเขปบท อนโุ ลม ท่ที า นเรยี กวาลิงคตั ถะ และบอกสรปู ควบไปดวย. เปนสรปู วิเสสนของนกิ เขปบท อุ :- จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณโฺ ณ สขุ พล. นสิ โภ จ อโนโม จ เทวฺ อคคฺ สาวกา. เปนสรปู ในอติ ศิ พั ท อุ :- จตสโฺ ส หิ สมฺปทา นาม วตถฺ ุสมฺปทา ปจจฺ ยสมปฺ ทา เจตนาสมฺปทา คณุ าตเิ รกสมปฺ ทา-ต.ิ อธบิ าย : [ ๑ ] บทกาํ หนดโดยวภิ าคน้ี คอื กําหนดอรรถทยี่ ังมิได กําหนด ดวยวิภาคคอื จําแนกอรรถนกิ เขปบท คือบทท่ยี กขึ้นไว ดังเชน ยกขนึ้ พูดวา ธรรม ท. ๔, ก็ธรรม ท. ๔ คอื อะไร ยังไมไดก ําหนด ลงไป, ในการกําหนด ก็จาํ แนกออกทีละขอ จงึ กําหนดจําแนกวา อายุ วรรณ สขุ พล, บทท้ัง ๔ น้ี เรยี กส้ันวา บทกําหนดโดยวิภาค ใชคาํ เชื่อมในภาษาไทยวา 'คือ' เหมือนวเิ สสลาภี. ในท่นี ี้ จกั เรียกท่ีเนือ่ งในนิกเขปบทวา สรูปวิเสสนะหรือสรปู , จักเรยี กที่เนือ่ งในอติ ศิ พั ทว า ลิงคัตถะ หรือตามนิกเขปบทตามนัยใน โยชนา และบอกสรุปในอิติศพั ท. อุ. :-
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาที่ 9 ก. สรูปของนิกเขปบท อ.ุ ที่ ๑ จตตฺ าโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณโฺ ณ สขุ พล [ อายุวฑฺฒนกุมาร. ๔/๑๒๑ ] \"ธรรม ท. ๔ คอื อายุ คือ วรรณ คอื สุข คอื พละ ยอมเจริ.\" อายุ วณฺโณ สุข พลนตฺ ิ จตุปปฺ ท จตฺตาโร ธมฺมาติ ปทสฺส สรูปวเิ สสน. (หรือ สรูปล พึงทราบเหมือนอยา งน้ีทุกแหง .) อายุ วณโฺ ณ สุข พล ๔ บท สรปู วิเสสนะ ของ จตฺตาโร ธมฺมา. อุ. ท่ี ๒ นิสโภ จ อโนโม จ เทฺว อคคฺ สาวกา. [ สชฺ ย. ๑/๑๐๑] \"พระอัครสาวกทั้ง ๒ คือ พระนสิ ภะ ดว ย พระอโนมะ ดวย.\" นสิ โภติ จ อโนโมติ จ ปททฺวย เทฺว อคคฺ สาวกาติ ปทสสฺ สรปู วิเสสน. บทสรปู ในอุ. ขางบทนี้ เปน ปฐมาวิภัตติ, แตอ าจเปนวิภัตติ อืน่ จากปฐมาวิภัตติได อนวุ ตั นิกเขปบท ดงั อุ. ตอ ไปน้ี :- อุ. ท่ี ๓ อุสสฺ ตู เสยยฺ อาลสยฺ จณฺฑิกฺก ทฆี โสตฺตยิ เอกสสฺ ทธฺ านคมน ปรทารปู เสวน เอต พฺราหฺมณ เสวสสฺ ุ [ อนตถฺ ปุจฉฺ กพฺราหฺมณ. ๔/๑๑๒ ] \"ดูกอนพราหมณ, ทานจงเสพซ่ึงกรรม ๖ อยา ง (ฉพพฺ ิธกมฺม)
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 10 นค้ี ือ ความนอนจนตะวันโดง ความเกียจครา น ความดรุ าย ความหลับ นาม ความไปทางไกลแหงคนผูเดียว ความซองเสพภรยิ าผอู ่ืน.....\" อสุ สฺ รู เสยย....ปรทารูปเสนนฺติ ฉปปฺ ท เอต ฉพฺพธิ กมมฺ นตฺ ื ปทสสฺ สรปู วเิ สสน. อุ. ที่ ๔ ธมฺมจรยิ พฺรหมฺ จรยิ เอตทาหุ วสุตตฺ ม. [กปลมจฺฉ. ๘/๕ ] \"บณั ฑติ ท. กลาวซง่ึ ความประพฤตทิ ้งั ๒ (จรยิ าทวฺ ย หรอื ทวุ ธิ าจริย) นีค้ ือ ความประพฤตธิ รรม ความประพฤตเิ พยี งดังพรหม วา เปนแกวสูงสุด.\" ธมมฺ จรยิ พฺรหมฺ จริยนตฺ ิ ปททฺวย เอต จริยาทวฺ ยนฺติ ปทสสฺ สรปู วิเสสน............วสตุ ตฺ มนฺติ ปท อาหตู ิ ปเท สมภาฺ วน. อุ. ที่ ๕ ก. ยทา ภควา อฺาสิ ยส กลุ ปตุ ฺต กลลฺ จิตฺต มุทจุ ิตฺต วินีวรณ- จิตฺต อุทคฺจิตตฺ ปสนฺนจติ ตฺ ; อถ ยา พทุ ธฺ าน สามกุ ฺกงสฺ กิ า ธมฺมเทสนา, ต ปกาเสสิ ทุกขฺ สมทุ ย นโิ รธ มคฺค. [มหาวคคฺ . ๔/๓๐] \"ในกาลใด พระผมู ีพระภาคไดทรงทราบแลว ซ่ึงกลุ บตุ รชอ่ื ยสะ วามจี ติ ควร มีจิตออ น มจี ติ ปราศจากนิวรณ มจี ติ เบิกบาน มีจิต เลอ่ื มใสแลว ; ในกาลนน้ั , ธรรมเทศนาท่มี กี ารยกขน้ึ เองของพระพทุ ธ- เจา ท. ใด, พระผูมีพระภาคทรงประกาศซ่งึ ธรรมเทศนาน้นั คอื ทกุ ข สมทุ ัย นโิ รธ มรรค.\"
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 11 ทกุ ขฺ สมทุ ย นโิ รธ มคฺคนตฺ ิ จตปุ ฺปท ต ธมมฺ เทสนนฺติ ปทสฺส สรปู วเิ สสน. อ.ุ ท่ี ๕ ข. อิธ ปน ภิกขฺ เว เอกจเฺ จ กลุ ปตุ ตฺ า ธมมฺ ปรยิ าปณุ นฺติ สุตฺต เอยยฺ นตฺ ิ อย ปรยิ ตตฺ ิธมฺโม. [ จกขฺ ปุ าลติเถร. ๑/๒๑ ] \"ธรรมศัพทน ี้ ในคาํ วา ' ภิกษุท้ังหลาย, อน่ึง กลุ บตุ รบางจําพวกใน โลกน้ี ยอมเรียน ธรรม คือ สตุ ตะ เคยยะ' เปนตน ชอ่ื วา ปรยิ ตั ธิ รรม.\" อ.ุ ที่ ๕ ท้งั ๒ นี้ บางอาจารยอาจเรียกเปนวเิ สสลาภ.ี ข. สรูปในอติ ศิ พั ท อุ. ที่ ๑ จตสฺโส หิ สมปฺ ทา นาม วตฺถสุ มฺปทา ปจจฺ ยสมปฺ ทา เจตนาสมฺปทา คุณาตเิ รกสมฺปทา-ต.ิ [สขุ สามเณร. ๕/๘๘ ] \" จริงอยู ช่ือวาสมั ปทา ท. ๔ คือ วตั ถสุ ัมปทา ปจจยสมั ปทา เจตนาสัมปทา คุณาติเรกสัมปทา.\" วตฺถสุ มปฺ ทา.........คณุ าตเิ รกสมฺปทาติ จตุปฺปท ลิงฺคตโฺ ถ, อิต,ิ สทฺเท สรูป. อิตสิ ทโฺ ท จตสฺโสติ ปเท สรปู . อ.ุ ท่ี ๒ หตฺถาชาเนยโฺ ย อสฺสาชาเนยโฺ ย อุสภาชาเนยโฺ ย ขณี า- สโว-ติ อิเม จตฺตาโร เปตฺวา อวเสสา ตสนตฺ ีติ เวทิตพพฺ า.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 12 [ฉพฺพคคฺ ิยภิกฺขุ. ๔/๔๗ ] \" สัตว ท. ทเี่ หลือ เวน สัตวแ ละบุคคล วเิ ศษ ๔ เหลา น้ี คือ ชางอาชาไนย มาอาชาโยน โคอาชาไนย พระขีณาสพพึงทราบวา ยอมสะดุง .\" อุ. ที่ ๓ ตสฺส เอโก เทฺว ตโย-ติ เอว อนปุ พฺพชฺช ปพฺพชิตวฺ า จตสุ ตฺตตสิ หสสฺ มตฺตา ชฏิลา อเหสุ .ุ [ สชฺ ย ๑/๑๐๐] \" ชน ท. บวชตามซงึ่ สรทดาบสนนั้ อยางน้คี อื ๑ คน, ๒ คน, ๓ คน, ไดเปน ชฎิล ๗๔,๐๐๐ แลว.\" เอโก เทฺว ตโยติ ติปท ลิงคฺ ตฺโถ, อติ ิสทฺเท สรปู . อิตสิ ทโฺ ท เอวสทฺเท สรูป. เอโก เทวฺ ตโย ในทนี่ ี้ใชในฐานเปน นามนาม จะใชเ ปน วเิ สสนะกไ็ ด พงึ บอกสมั พนั ธเ ปนวเิ สสนะ. บทสรปู ใน อุ. ทแ่ี สดงมาน้ีประกอบดว ยปฐมาวภิ ัตติ แมนกิ เขป- บทจะประกอบดวยวิภตั ติอนื่ ก็ตาม, เพราะถอื วา เปนบทในอติ ิ, อกี อยาง หน่ึง ทา นประกอบวภิ ัตติอนวุ ตั นกิ เขปบท ดงั อ.ุ ตอ ไปนี้ :- อ.ุ ท่ี ๔ ทฺวิตาลมตตฺ ติตาลมตตฺ นฺ-ติ เอว สตฺตตาลมตฺต เวหส อพฺภุคฺคนฺตวา โอรยุ ฺห อตฺตโน สาวกภาว ชานาเปสิ. [ชมพฺ กุ า- ชีวก. ๓/๑๕๙ ] \" เหาะข้ึนสเู วหาส ๗ ชว่ั ลาํ ตาล อยา งนคี้ ือ สเู วหาส ๒ ชัว่ ลาํ ตาล, สูเ วหาส ๓ ช่ัวลําตาล เปน ตน ลงแลว ยงั มหาชนให ทราบความทตี่ นเปนสาวก ( ๗ ครั้ง).\"
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 13 ทวฺ ติ าลมตฺต ติตาลมตฺตนตฺ ิ ปททวฺ ย สมปฺ าปุณิยกมฺม, อติ ิ สทฺเท สรูป. อิตสิ ทฺโม เอวสทเฺ ท อาทยตฺโถ. อ.ุ ที่ ๕ ตทงคฺ วมิ ุตฺติยา วิกขฺ มฺภนวมิ ุตตฺ ยิ า สมจุ ฺเฉทวมิ ตุ ตฺ ิยา ปฏิ- ปสฺสทธฺ ิวมิ ุตตฺ ิยา นสิ สฺ รณวิมุตตฺ ิยา-ติ อิมาหิ ปจฺ หิ วมิ ตุ ฺตีหิ วมิ ตุ ตฺ าน. [ โคธิกตเฺ ถรปรนิ ิพฺพาน. ๓/๙๓ ] \"วมิ ุตแลว ดวยวิมุตติ ๕ เหลาน้ี คอื ดว ยตทังควมิ ตุ ติ ดวยวิกขัมภนวมิ ตุ ติ ดวยสมุจเฉท- วมิ ุตติ ดวยปฏิปสสทั ธวิ ิมตุ ติ ดว ยนสิ สรณวิมุตต.ิ \" ตทงวฺ ิมุตตฺ ยิ า...นิสสฺ รณวิมุตตฺ ยิ าติ ปฺจปท กรณ, อิตสิ ทฺเท สรปู , อติ ิสทโฺ ท อมิ าหตี ิ ปเท สรูป. [ ๒ ] สรปู น้ี ตางจากวเิ สสลาภ:ี วเิ สสลาภี ยงั บทที่มีอรรถกวาง ใหไดอรรถพิเศษ คือมุงกําหนดอรรถพเิ ศษ, สรปู เปน บทกาํ หนดโดย วภิ าค. วาถึงสรูป, โดยมาก นกิ เขปบท คอื บทที่ยกขนึ้ ไวป ระกอบเปน พหุวจนะ, บทวิภาคประกอบเปน เอกวจนะ, แตนกิ เขปบทอาจประกอบ เปน เอกวจนะตามวธิ ีผกู ประโยคกไ็ ด, พงึ เห็น อุ. เทียบกนั :- อุ. ที่ ๑ ทุวิโธ ปรฬิ าโห กายิโก จ เจตสิโก จ. [ ชีวิก. ๔/๕๙] \"ความเรารอน ๒ อยา ง คือความเรา รอนเปนไปทางกาย ๑ ความ เรา รอนเปน ไปทางใจ ๑. กายิโกติ จ เจตสโิ กติ จ ปททฺวย ทุวโิ ธ ปรฬิ าโหติ ปทสฺส สรปู วเิ สสน.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 14 กายโิ ก และ เจตสโิ ก ในที่น้ี เปน คุณบททใี่ ชในฐานเปน นามนาม ได พงึ ดูอธิบายอันวา ดวยเรือ่ งนใี้ นอธบิ ายเลม ๑. บางอาจารยบ อกสัมพันธว า กายโิ ก วิเสสนะ ของ ปริฬาโก (บทหนงึ่ ). เจตสิโก วเิ สสนะ ของ ปริฬาโห (บทหนงึ่ ). (กายโิ ก) ปริฬาโห (เจตสิโก) ปรฬิ าโห วเิ สสลาภี ของ ทวุ โิ ธ ปรฬิ าโห. เพราะถือหลักวา เรยี กวาสรปู ตอ เมือ่ นิกเขปบทพหวุ จนะ, ถา เปน เอกวจนะ เรียกวา วเิ สสลาภี. อุ. ท่ี ๒ เทฺว สนนฺ จิ ยา กมมฺ สนฺนจิ โย จ ปจจฺ ยสนฺนจิ โย จ. [ เพฬฏสีสตฺเถร. ๔/๖๒ ] \"ความสง่ั สม ท. ๒ คือ ความส่งั สอนคอื กรรม ๑. ความสัง่ สมคือปจ จยั ๑.\" กมมฺ สนฺนิจโยติ จ ปจจฺ ยสนนฺ จิ โสติ จ ปททวฺ ย เทวฺ สนนฺ จิ ยาติ ปทสสฺ สรปู วิเสสน. อุ. มลี กั ษณะเดียวกันกบั อ.ุ ตน . [ ๓ ] บทสรปู นี้ในโยชนาเรยี กวา ลงิ คัตถะ อ.ุ :- วิตกฺโก จ วิจาโร จ ปติ จ สุขจฺ เอกคคฺ ตา จาติ อิเมหิ สหิต วติ กฺกวจิ ารปต ิสขุ เอกคฺคตาสหิต. [ อภ.ิ ว.ิ ปมปรจิ ฺ- เฉท. น. ๘๕ ] \" จิตที่ประกอบดว ยธรรมเหลา นี้ คอื วติ ก ๑ วจิ าร ๑ ปต ิ ๑ สขุ ๑ เอกัคคตา ๑ ชอื่ วิตักกวิจารปต ิสขุ เอกัคคตาสหิตจติ .\" โยชนา [ ๑/๔๐๗ ] วา วิตกโฺ ก.....เอกคฺคตา จาติ ปขฺ ปท ลิงคฺ ตฺโถ. อิตตี ิ (ปท) อิเมหตี ิ ปทสฺส สรปู . อิเมหตี ิ (ปท)
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 15 สหติ นตฺ ิ ปเท สหโยคตติยา. สหิตนตฺ ิ (ปท) จติ ตฺ นตฺ ิ ปทสฺส วเิ สสน. วิตกกฺ ...สหิตนฺติ (ปท) ลงิ คฺ ตฺโถ. ตวั อยางน้ี เปน ปฐมาวภิ ตั ติ และมีอิตศิ พั ท, สวนทเี่ ปนวิภัตตอิ ื่น หรือท่ีไมม ีอิติศัพท ไดคนวาทา นจกั เรยี กอยางไร, แตไ มพบ เพราะบท ที่ตอ งการ ทา นไมบอกสัมพันธไว บอกแตบทอน่ื ๆ. (เชน เตสุ เจว ปจฺ ปณฺณาสวิตกฺกจิตฺเตสุ เอกาทสสุ ทุตยิ ชฌฺ านจติ ฺเตสุ จาติ ฉสฏ ีจติ ฺเตสุ วจิ าโร ชายติ. [ อภิ. วิ. ทตุ ยิ ปริจเฺ ฉท. น . ๑๐๘ ] \"วิจารยอมเกิดในจติ ๖๖ ดวง คอื ในวิตักกจติ ๕๕ ดวง เหลาน้ันดว ย ในทตุ ยิ ฌานจิต ๑๑ ดวงดวย.\" เทวฺ มา ภิกฺขเว เวทนา สขุ า ทกุ ขฺ า. [ อภิ. ว.ิ ตตยิ ปรจิ เฺ ฉท. น. ๑๑๗] \"ภกิ ษุ ท., เวทนา ๒ เหลานี้ คือ สขุ เวทนา ทุกขเวทนา.\") สรูปอธบิ าย : สรปู ในขอ น้ี คอื บทกาํ หนดโดยวิภาค, เปน สรปู วิเสสนะของนิกเขปบท หรือสรูปลิงคคัตถะเปนตนในอิตศิ พั ท.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 16 บทนามนามอีกอยา งหนง่ึ ๓. บทนามนามอกี อยางหน่ึง ใชเ ปนวิเสสนะบางอยางมชี ื่อ ดงั ตอ ไปน้ี :- สรปู วิเสสนะ (๑) เปนบทวเิ สสนะทีเ่ ปน สรปู เรยี กชอื่ วา สรปู วเิ สสน (คอื ) อุ. มหตา ภิกขฺ สุ งฺเฆน สทธฺ ึ ปฺจมตฺเตหิ ภกิ ขฺ ุสเตหิ โบราณทานเรียก ภิกฺขสุ เตหิ วา สรูปวิเสสนะ. อธบิ าย: [๑ ] สรูปวเิ สสนะน้ีคลา ยวิเสสลาภี แตต างกัน, วเิ สสลาภี ทําใหไดอรรถพิเศษ, สรปู วเิ สสนะ เปน บทขยายเพอื่ ทาํ ความ ที่ประสงคใ หชดั ทาํ นองบทไข, มลี งิ คแ ละวจนะตางจากบทนามนามซงึ่ เปนท่ีเขาได, แตตองมีวิภัตตเิ ดียวกัน อ:ุ - มหตา ภิกฺขสุ งเฺ ฆน สทฺธึ ปจฺ มตฺเตหิ ภิกฺขสุ เตห.ิ [ พฺรหมฺ ชาล. ๑/๙ ] \"พรอ มกับภกิ ษสุ งฆห มใู หญ คอื ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รปู .\" ภกิ ฺขสุ เตหีติ ปท ภกิ ฺขุสงเฺ ฆนาติ ปทสสฺ สรปู วิเสสน. [ ๒ ] สรูปวเิ สสนะน้ี มตี ัวอยางในธมั มปทฏั กถา เชน โส อตถฺ โต ตโย อรปู โ น ขนธฺ า. [จกขฺ ปุ าลตฺเถร. ๑/๒๑ ]\" ธรรม นนั้ โดยอรรถ คือขันธ ท. ไมม ีรูป ๓.\" บอกสัมพนั ธวา โสติ ปท ลงิ ฺคตโฺ ถ. อตถฺ โตติ ปท ขนฺธาติ ปเท ตติยาวิเสสน. ตโย อรปู โนติ ปททฺวย ขนฺธาติ ปทสฺส วิเสสน. ขนธฺ าติ ปท โสติ
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 17 ปทสสฺ สรปู วิเสสน. (ขนธฺ า ใชเปน วิกติกตั ตา ใน โหติ ทีเ่ ติม เขา มาก็ได) . [ ๓ ] บทท่มี ีลกั ษณะอยา งนี้ หรอื ท่คี ลา ย ๆ กันนี้ ในโยชนา ทานเรียกช่อื วา สรูปวิเสสน บาง สรปู บา ง ลงิ คฺ ตโฺ ถ บา ง, พึง สังเกตตาม อ.ุ ตอ ไปนี้ :- สรปู วิเสสนะ ธารณฺจ ปเนตสฺส อปายาทนิ ิพฺพตตฺ นกเิ ลสวิทธฺ สน. [อภิ. ว.ิ ปมปริจฺเฉท. น. ๖๕ ] \" ก็แล ความทรงไวแ หง ธรรมนัน้ คือ ความกาํ จดั กิเลสเปนเหตุใหเ กิดในอบายเปนตน.\" โยชนา [ ๑/๑๔๐ ] วา ธารณจฺ าติ (ปท) ลิงคฺ ตฺโถ. เอตสฺ- สาติ (ปท) ธารณนฺติ ปเท กริ ิยาสมพฺ นฺโธ. อปา... สนนตฺ ิ (ปท) ธารณนฺติ ปทสฺส สรูปวิเสสน. สรูป อุ. ที่ ๑ จติ ตฺ สฺส อาลมฺพติ ุกามตามตฺต ฉนโฺ ท [อภ.ิ ว.ิ ทุตยิ ปริจ-ฺ เฉท. น. ๑๐๒] \" ฉนั ทะ คอื กิรยิ าสักวาความทแี่ หงจิตใครเ พื่อหนว ง.\" โยชนา [๑/๕๘๓ ] วา จติ ฺตสสฺ าติ (ปท) กามตาติ ปเท สมพฺ นฺโธ. อาลมพฺ ิตุกามตามตตฺ นฺติ (ปท) ฉนโฺ ทติ ปทสฺส สรูป ฉนฺโทติ (ปท) ลิงคฺ ตโิ ถ. อุ. ที่ ๒ โลโภ ตตถฺ อภคิ ฺฌน. [ อภ.ิ ว.ิ ทตุ ิยปรจิ เฺ ฉท. น. ๑๒๐ ]
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 18 \"โลภ คือความอยากไดนักในอารมณนน้ั .\" โยชนา [ ๑/๕๘๓ ] วา โลโภติ (ปท) ลงิ ฺคตฺโถ ตตฺถาติ (ปท) อภคิ ชิ ฌฺ นนฺติ ปเท อาธาโร. อภิคชิ ฌฺ นนฺติ (ปท) โลโภติ ปทสสฺ สรปู . ลงิ คัตถะ อ.ุ ท่ี ๑ รตนตตฺ ยปณาโม หิ อตฺถโต ปณามกริ ยิ าภินปิ ฺผาทิกา กสุ ลเจตนา. [ อภ.ิ ว.ิ ปมปริจฺเฉท. น. ๖๒ ] \" แทจ รงิ การประณามพระ รัตนตรัย โดยเนื้อความ คอื กศุ ลเจตนา ทย่ี งั กริ ยิ าเครื่องประฌาม ใหส าํ เร็จ.\" โยชนา [ ๑/๕๙ ] วา รตนตตฺ ยปณาโมติ (ปท) ลงิ ฺคตโฺ ถ. ...กุสลเจตนาติ (ปท) ลงิ ฺคตโฺ ถ. อ.ุ ท่ี ๒ รูป ภูตปุ าทายเภทภินฺโน รปู กฺขนโฺ ธ [ อภ.ิ ว.ิ ปมปริจเฺ ฉท. น. ๖๖ ] \"รปู คอื รูปขันธ ตา งโดยประเภทแหงภูตรปู และอปุ า- ทายรูป.\" โยชนา [ ๑/๑๖๗ ] วา รปู รูปกขฺ นโฺ ธติ (ปททฺวย) ลิงฺคตฺโถ. อ.ุ ที่ ๓ อุปาทา นกขฺ นธฺ สงฺขาตโลกโต อตุ ตฺ รติ อนาสวภาเวนาติ โลกตุ ตฺ ร มคฺคจิตฺต. [ อภ.ิ ว.ิ ปมปริจฺเฉท. น. ๖๙ ] \" จิตใด ยอ มขา มข้นึ จากโลก กลา วคอื อุปาทานขนั ธ โดยเปน จิตไมมีอาสวะ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 19 เพราะเหตุน้ัน จิตนั้น ชอื่ โลกุตระ (ขา มข้ึนจากโลก) คอื มคั คจิต.\" โยชนา [ ๑/๒๑๙ ] วา โลกตุ ฺตรนตฺ ิ (ปท) สฺ า. มคคฺ จิตฺตนตฺ ิ (ปท) ลงิ คฺตฺโถ. อ.ุ น้ี แสดงบทไขบทปลงแหง รปู วเิ คราะห. บทไขบทปลงนี้ โบราณเรยี กวเิ สสลาภี ดงั กลา วในขอ น้ันแลว. สรูปอธบิ าย: เปน บทวเิ สสนะทเ่ี ปนสรูป เรยี กช่อื วา สรปู วเิ สสนะ. สญั ญาวิเสสนะ (คกู บั สัญญวี ิเสสิยะ) (๒) เปน บททีเ่ ปนตนชื่อวา เรียกช่อื วา สฺาวเิ สสน (ชือ่ วา), สัญญาวเิ สสนะน้ี โบราณทานเรยี กคูกบั สญั ญีวิเสสยิ ะ คอื เรยี กบทท่เี ปน ตัวเขา ของชอ่ื วา วา สัญญีวิเสสิยะ (สส กฤตวา วิเศษฺย คือตัวนามนามอนั จะใหแปลกไปดว ยวเิ ศษณ หรอื วิเสสนะ) เรยี กบทท่ีเปน ตวั ชือ่ วา วาสัญญาวิเสสนะ อ.ุ กมุ ภฺ โฆสโก นาม เสฏ ี กมุ ฺภโฆสโก สญั ญาวิเสสนะ, เสฏฐ ี สญั ญีวเิ สสิยะ. ช่ือคูนเ้ี รียกส้ันวา สญั ญี-สญั ญา บัดนี้ มกั เรยี กแตสัญญา- วิเสสนะอยางเดยี ว. บทสญั ญีวิเสสิยะ ตอ งเรียกชอ่ื ตามอรรถทเ่ี กยี่ ว เนื่องกันในประโยคดวย เชน สยกัตตา เปน ตน. อธบิ าย : [ ๑ ] เรื่องสัญญาวิเสสนะน้ี ไดอ ธบิ ายไวแ ลวในเลม ๑ ในลักษณะท่ีใชก นั อยูท่วั ไปเบอ้ื งตน , ในที่น้ี จกั กลา วใหกวางขวาง ออกไป ตลอดถงึ ที่เรียกวา สัญญ-ี สัญญา ในโยชนา. เพราะเมอ่ื เรียก วาสญั ญา กต็ อ งมีสญั ญเี ปน คูกนั (สฺา อสสฺ า อตถฺ ตี ิ สฺ ี)
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 20 ฉะนั้น เม่ือมสี ญั ญาวเิ สสนะ ก็ตอ งมสี ัญญีวิเสสิยะเปนคกู ัน, เรยี ก สั้น ๆ มสี ัญญา กต็ องมีสัญญ,ี แมจะไมเ รียก บทท่ีเปนตัวเขาของ สัญญา ก็เปนสญั ญี หรือสัญญีวเิ สสยิ ะอยูในตัว. บทนามนามที่เปน ตวั สัญญนี ี้ ไมพ งึ ทิ้งช่อื ในอรรถทใ่ี ชใ นประโยค เชน สยกัตตา เปน ตน. ดังตัวอยางงา ย ๆ วา กมุ ภฺ โฆสโก นาม เสฏี \"เศรษฐี ช่อื วา กุมภโฆสก.\" เรียกสัมพันธว า กุมฺภโฆสโกติ ปท เสฏตี ิ ปทสสฺ สฺาวิเสสน. นามสทฺโท สฺ โชตโก. เสฏตี ิ ปท สฺ ีวิเสสยิ . (และสยกตั ตาเปน อาทใิ นอะไร กต็ อ งออก). [ ๒ ] จะกลา วถงึ สญั ญ-ี สัญญา ทที่ า นเรียกในโยชนา พรอมทัง้ ตวั อยา ง และจะแสดงตวั อยางในธมั มปอัฏฐกถาดว ย. สญั ญ-ี สญั ญาน้ี กาํ หนดลักษณะส้นั ๆ , สญั ญกี ็คอื บทวิเคราะห ความ. (กลาวเพอื่ เขาใจงาย ก็คอื บทที่แปลข้นึ กอ น เปนตวั เขาของ ' ชือ่ วา ' )สญั ญา ก็คอื บทรบั รองหรอื ปลงความ. (กลาวเพอื่ เขา ใจงาย กค็ ือบทท่เี ปนตัว 'ช่ือวา .' ) สัญญ-ี สัญญา โดยปกติมีในอรรถกถาทแี่ ก บาลีเปนตน หรือในตอนที่อธบิ ายอรรถแหง คําท่กี ลา วไวข า งตน หรือท่ี ยกมาอธบิ าย และบทสัญญาตอ งเปนบททม่ี าในบาลเี ปน ตน หรือใน ความทองตน ที่ในอรรถกถาเปน ตน หรือในความทอนหลังยกมา. อกี อยางหนึง่ ในวิเคราะหศ พั ททานเรียกอญั ญบทของปลงวา สัญญี เรียกบทปลงวาสัญญา. สัญญ-ี สัญญานี้ รวมกันเปน พากยางค ก็เปนพากยางคล งิ คัตถะ นัน่ เอง. บทประธานในพากยางคลิงคตั ถะทเ่ี ปน สัญญ,ี ในโยชนา เรียกชื่อสญั ญชี ่อื เดยี วเปน พืน้ , แบบนกั เรยี นควรเรยี กคูก นั ไป. ในตัว
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 21 อยางตอไปนี้เรยี กตามโยชนา กพ็ ึงเขา ใจเอาเองอยางนี.้ ในบททงั้ ๒ น้ี สญั ญา เปน บทสาํ คัญ เพราะเปน บทมาในบาลี เปนตน หรอื ในความทอนตน ทย่ี กมาแกใ นอรรถกถา หรอื ในความ ทอ นหลงั อ.ุ :- อุ. ที่ ๑ เหตุสมปฺ ทา นาม มหากรณุ าสมาโยโค โพธิสมภฺ ารสม-ฺ ภรณจฺ . [ อภ.ิ วิ. ปมปรจิ เฺ ฉท. น. ๖๔ ] \" ความประกอบพรอ ม ดว ยพระมหากรุณา และความบําเพ็ญธรรมเคร่อื งอุปถมั ภแ กความตรสั รู ช่อื วาเหตุสัมปทา.\" โยชนา [ ๑/๑๑๒] วา เหตสุ มฺปทา นามาติ (ปท) สฺา มหากรุณาสมาโยโค โพธิสมภฺ ารณฺจาติ ปททวฺ ย สฺ .ี ขอสังเกต: ในโยชนา ทานใชบ อกชื่ออยา งสังเขปพอใหรจู กั การเนือ่ งกัน ของบทเหลา นัน้ , นิบาตท่ีเน่อื งกัน เชนนามศัพท อติ ิ ศพั ท (สญั ญาโชตก หรอื นามวาจก ) จ ศัพท (สมจุ ฉยั ) ทาน กม็ ักแสดงรวมกนั ไปทีเดยี ว สพั พานามกม็ ักไมโ ยค พึงทราบอยา งนี้ ทกุ แหง. อุ. ท่ี ๒ ฌานนตฺ ิ วิตกโฺ ก วิจาโร ปติ สขุ เอกคฺคตา. [ อภ.ิ วิ. ปมปรจิ เฺ ฉท. น. ๘๖] \"วิตก วิจาร ปติ สุข เอกคั คตา ชอื่ ฌาน.\" โยชนา [ ๑/๔๒๕ ] บอกวา ฌานนฺตีติ ฌาน นาม... ฌานน-ฺ ตีติ เอตถฺ อติ สิ ทฺโท นามวาจโก. อ.ุ นี้ แสดงสัมพันธอ ยางเดียว
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 22 กับ อ.ุ ท่ี ๓ วา ฌานนตฺ ิ ปท สฺ า. อิตสิ ทโฺ ท นามวาจโก. วิตกโฺ ก.....เอกคฺคตาติ ปจปท สฺี. อุ. ที่ ๓ จนิ ตฺ นมตฺต จติ ฺต [ อภิ. วิ. ปมปรจิ เฺ ฉท. น . ๖๖ ] \"สง่ิ (คือธรรมชาต) มาตรวา คดิ ช่อื วาจิต.\" โยชนา [ ๑/๑๗๕ ] วา จินตฺ นมตฺตนฺติ (ปท) สฺ ี. จิตตฺ นฺติ (ปท) สฺ า. อุ. ท่ี ๔ ชวี ติ นิมิตฺต รโส ชวี ติ . [ อภิ. ว.ิ ปมปริจเฺ ฉท. น. ๗๖ ] \"รส เปนนมิ ติ แหงชีวติ ช่อื วา ชวี ิต.\" โยชนา [ ๑/๓๑๑ ] วา ชีวติ นมิ ิตฺตนตฺ ิ (ปท) รโสติ ปทสสฺ วิ เิ สสน. รโสติ (ปท) สฺ ี. ชีวิตนตฺ ิ (ปท) สฺา. อุ. ท่ี ๕ (สฺาเรยี งไวหนา ) รปุ ฺปนฺเจตถฺ สิตาตวิ โิ รธิปจจฺ ยสมวาเย วิสทิสุปฺปตฺติเยว. [อภิ. ว.ิ ปมปรจิ ฺเฉท. น. ๖๗ ] \"ก็เม่อื ความประชุมแหง วโิ รธ-ิ ปจจัย มีเยน็ เปน ตน (มอี ยู), ความเกิดขึ้นไมเหมอื นกัน ช่ือความ สลาย ในคําน้ัน.\" โยชนา [ ๑/๑๙๒ ] วา รปุ ฺปนนฺติ (ปท) สฺ า. เอตถฺ าติ (ปท) รุปฺปนนตฺ ิ ปเท อาธาโร. สตี าทวิ โิ รธปิ จฺจยสมวาเยติ (ปท) ภาวสตตฺ มี. สตีติ (ปท) อปุ ฺปชชฺ ตตี ิ ปเท ลกขฺ ณกิริยา วิสทสิ ปุ ปฺ ตตฺ ิเย- วาติ (ปท) สฺ.ี
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 23 ตวั อยา งเทียบ อ.ุ ท่ี ๑ ปจฺจยาน ธมเฺ มน สเมน อปุ ฺปตตฺ ิ ปจฺจยสมฺปทา นาม. [ สขุ สามเณร. ๕/๘๘ ] \"ความเกดิ โดยธรรมโดยสมควร แหง ปจจยั ท. ชื่อวา ปจ จยสัมปทา.\" อุปปฺ ตตฺ อ ลงิ คัตถะ และสญั ญีวเิ สสิยะ. ปจฺจยสมฺปทา สญั ญา- วิเสสนะ ของ อปุ ปฺ ตตฺ .ิ นามศพั ท สัญญาโชตกเขากบั ปจ จยสัมปทา. อ.ุ ตอไป กพ็ ึงทราบอยางนี้. อ.ุ ท่ี ๒ ธีโรติ ปณฺฑโิ ต. [ อสทิสทาน. ๖/๕๘ ] \" บณั ฑติ ช่ือธรี ะ\" ธโี รติ ปท ปณฑฺ ิโตติ ปทสสฺ สฺาวเิ สสน. อติ สิ ทโฺ ท สฺาโชตโก. ปณฑฺ โฺ ตติ ปท สฺ ีวิเสสยิ . อุ. ท่ี ๓ ปรุ าณสาโลหิตาติ ปุพเฺ พ เอกโต กตสมณธมฺมา. [ ทารุจีริ- ยตฺเถร. ๔/๙๗ ] \"เทพดาผูทําสมณธรรม รวมกัน ในกอน ชือ่ วา ปุราณสาโลหิต.\" เรยี กสน้ั กตสมณธมมฺ า สญั ญ.ี ปุราณสาโลหติ า สัญญา. อุ. ที่ ๔ โอกปณุ เฺ ณหิ จวี เรหตี ิ เอตถฺ อทุ ก โอก. [เมฆิยตเฺ ถร. ๒/๑๒๒ ] \" น้ําชอ่ื วาโอก ในคํานว้ี า มีจวี ร ท. เตม็ ดว ยนํ้า.\"
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 24 เรียกสนั้ อทุ ก สญั ญี. โอก (เปนบทท่ใี ชใ นคาถาบาทวา โอกโมกตอพุ ภฺ โต.) สัญญา. [ ๒] อกี อยางหนึ่ง บทปลงของวิเคราะหศ ัพทที่มอี ัญญบท ทานเรยี กอญั ญบทวา สญั ญี เรยี กบทปลงวา สญั ญา. อ.ุ :- อ.ุ ที่ ๑ (โย ปคุ คฺ โล) สมฺมา สามจฺ สพฺพธมเฺ ม อภิสมฺพทุ ฺโธติ (โส) สมมฺ าสมพฺ ุทฺโธ ภควา. อภ.ิ วิ. ปมปริจฺเฉท. น. ๖๓] \"บุคคลใด ตรัสรยู ่ิง ซ่งึ ธรรมทงั้ ปวง ท. โดยชอบและเอง เพราะ- เหตนุ นั้ บคุ คลนนั้ ชือ่ วา สมั มาสมั พุทธะ คอื พระผูมพี ระภาค.\" โยชนา [ ๑/๘๑ ] วา โยติ (ปท) ปคุ คฺ โลติ ปทสสฺ วเิ สสน. \" ปุคคฺ โลติ (ปท) อภสิ มพฺ ุทฺโธติ ปเท กตฺตา. สมมฺ า สามญจาติ ปททฺวย อภสิ มฺพทุ โฺ ธติ ปเท ตตยิ าวิเสสน. สพฺพธมเฺ มติ (ปท) อภิสมพฺ ุทโฺ ธติ ปเท กมมฺ อภิสมฺพทุ โฺ ธ. (ปท) กตตฺ วุ าจก กติ ปท. อติ ตี ิ (สทฺโท) สมมฺ าสมฺพุทโฺ ธติ ปเท เหต.ุ โสติ (ปท) สฺ .ี (ถาโส ปคุ ฺคโล บอกวา โสติ ปท ปุคคโลติ ปทสสฺ วเิ สสน. ปุคคฺ โลติ ปท สฺ )ี . สมมฺ าสมพฺ ทุ โธติ (ปท) สฺ า. ภควาติ (ปท) ลงิ คฺ ตฺโถ. ขอสงั เกต: บทไขบทปลง ทา นเรยี กลิงคัตถะ. แตโบราณ เราเรียกวา วเิ สสลาภ.ี อ.ุ ท่ี ๒ (ย จิตฺต) อุปทานกฺขนธฺ สงขฺ าตโลกโต อุตฺตรติ อนาสว-
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาท่ี 25 ภาเวนาติ (ต จติ ฺต) โลกุตตฺ ร มคฺคจิตตฺ . [ อภ.ิ ว.ิ ปมปริจเฺ ฉท. น. ๖๙ ] \" จติ ใดยอ มขา มขึ้นจากโลกกลา วคืออุปาทานขนั ธ โดย ความท่ีไมม ีอาสวะ เพราะเหตนุ นั้ จติ นน้ั ชอ่ื วา โลกุตตระ คอื มัคคจิต.\" โยชนา [ ๑/๒๑๙] วา โลกตุ ฺตรนฺติ (ปท) สฺ า. มคฺค- จติ ตฺ นฺติ (ปท) ลิงคฺ ตโถ. อ.ุ ที่ ๓ (ตวั อยา งเทียบ) นวิ าสนตฺเถน สมถวปิ สฺสานธมโฺ ม อาราโม อสฺสาติ (โส) ธมมฺ าราโม. [ ธมมฺ ารามตเฺ ถร. ๘/๖๑ ] \" ธรรมคือสมถะและวิปส สนา เปน ทีม่ ายนิ ดี โดยอรรถวาเปน ทอ่ี าศัยอยู แหงบคุ คลน้ัน เพราะ- เหตนุ ้นั บคุ คลน้นั ช่อื วา ธัมมารามะ (มีธรรมเปน ทม่ี ายนิ ดี).\" เรยี กสนั้ โส สญั ญ.ี ธมฺมาราโม สญั ญา. อนึ่ง ตามหลักธรรมดา มสี ญั ญากต็ อ งมีสัญญเี ปนคูกนั ดงั กลาว ขา งตน, บทปลงของวิเคราะห ทม่ี อี ญั ญบท ทานเรยี กวา สัญญาก็ เพราะมีอัญญบทเปน สัญญ.ี เพราะฉะนี้ในท่ไี มมีสัญญี ทานจึงไมเรยี ก สญั ญา ดงั บทปลงของสมาทาน (ไมม ีอัญญบท) ทานเรยี กวา ลงิ คัตถะ. อ.ุ :- อุ. ที่ ๑ ปรโม อตุ ตฺ โม อวีปริโต อตโฺ ถ, ปรมสสฺ า วา อตุ ตฺ มสฺส
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 26 าณสฺส อตฺโถ โคจโรติ ปรมตโฺ ถ. [ อภ.ิ วิ. ปมปรจิ เฺ ฉท. น. ๖๖] \"อรรถอยางยง่ิ (คอื ) สูงสุด (คือ) ไมวิปริต, อีกอยา งหนึง่ อรรถ (คือ) โคจร แหงญาณอยา งย่ิง (คือ) สูงสดุ เพราะเหตนุ ั้น ชือ่ ปรมัตถะ.\" โยชนา [ ๑/๑๗๐ ] วา ปรมตโฺ ถติ (ปท) ลงิ ฺคตโถ. อ.ุ ท่ี ๒ ตสสฺ ภาโว เอกคฺคตา สมาธิ. [อภ.ิ ว.ิ ปมปรจิ เฺ ฉท. น. ๘๖ ] \" ภาวะแหง เอกคั คจิตนนั้ ชอ่ื เอกคั คตา คือ สมาธ.ิ \" โยชนา [ ๑/๔๒๒ ] วา ภาโว เอกคฺคตา สมาธตี ิ ปทตฺตย ลงิ ฺคตฺโถ. ขอ สังเกต : บทปลงท่วั ไป แปลนาํ วา ช่อื .\" คาํ นใี้ ชเ สริม ความก็มี ฉะนนั้ ในทไ่ี มใชสัญญา และใชคําวา ชื่อ พงึ ทราบวา ใชเ ปนคาํ เสรมิ ความ. สญั ญ-ี สญั ญานี้ มลี กั ษณะกลับกันกบั สรปู (สรปู วิเสสนะ) และ ถ าเพงความกลบั กัน สรปู กก็ ลายเปน สัญญ-ี สญั ญา, สัญญ-ี สัญญา ก็กลายเปนสรูป. ดงั ตัวอยางในสรูปวา จติ ฺตสสฺ อาลมฺพิตกุ ามตามตตฺ ฉนโฺ ท ถา เพงความวา กริ ยิ าสกั วาความท่ีแหง จติ ใครเ พื่อหนวง ช่อื วาฉันทะ อาลมพฺ ิตุกามตามตตฺ กเ็ ปน สัญญ,ี ฉนโฺ ท ก็เปนสญั ญา. หรอื ดังตวั อยางในสญั ญี-สญั ญา นีว้ า จนิ ตฺ นมตตฺ จติ ฺต ถาเพงความ วา จิต คอื ส่ิง (คอื ธรรมชาต) มาตรวาคิด จินฺตนมตฺต ก็เปน บทสรูปของ จติ ตฺ , จติ ฺต กเ็ ปน ลิงคัตถะ.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 27 สรปู อธบิ าย : สญั ญาวิเสสนะ เปน บททเ่ี ปน ตัวชือ่ วา คกู ับ สญั ญวี เิ สสิยะ เรียกส้นั วา สัญญ-ี สัญญา.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 28 บทคุณนาม ๔. บทคุณนามยงั ใชใ นอรรถอน่ื อีก นอกจาก ๓ อยา ง ท่แี สดง ไวใ นแบบวากยสมั พนั ธ ภาคที่ ๓ ตอนตน จะนาํ มากลาวไวในที่นี้ คอื :- สัมภาวนะ หรือ อาการ (๑) เปนคุณนามก็ดี เปน นามนามแตใ ชด จุ คุณนามก็ดี ทีเ่ ขา กบั กริ ิยาวา รู วากลา ว เปน ตน โดยอาการดุจมี อิติ ทแ่ี ปลวา ' วา ' ค่นั อยู ประกอบดวยทุติยาวิภตั ติ ในพากยทเ่ี ปน กตั ตวุ าจก และ ประกอบดว ยปฐมาวภิ ตั ติ ในพากยท ่เี ปนกมั มวาจก เรียกชอื่ วา สมภฺ าวน บา ง อากาโร บา ง อุ :- อตฺตานฺเจ ปย ชฺ า. ตมห พรมู ิ พรฺ าหฺมณ. วิราโค เตส อคฺคมกฺขายต.ิ อมต วุจฺจติ นิพพฺ าน. อธบิ าย : [ ๑ ] สัมภาวนะหรอื อาการ เพราะเหตไุ รในพากย กตั ตวุ าจก ประกอบดวยทตุ ยิ าวภิ ตั ติ และในพากยก ัมมวาจก ประ- กอบดว ยปฐมาวิภตั ติ มีอธบิ ายเชน กบั ทก่ี ลา วแลว ในวิกตกิ ัมม ใน อธบิ ายวายกสมั พันธ เลม ๑. คุณนามทใ่ี ชในอรรถน้ี แปลวา ' วา' หรอื ' วาเปน ' อุ :-
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 29 ในพากยกตั ตุวาจก อ.ุ ท่ี ๑ อตตฺ านฺเจ ปย ชฺ า. [ โพธริ าชกมุ าร. ๖/๔ ] \"ถา บคุ คล พงึ รซู ่งึ ตน วา เปน ทรี่ ักไซร. \" [แปลเรยี งความวา \"ถา บคุ คลพงึ รวู า ตนเปนทร่ี ักไซร\" บา ง แม อ.ุ อนื่ ก็พึงทราบดจุ เดียวกัน.\" ] ปยนตฺ ิ ปท ชฺ าติ ปเท สมฺภาวน. อุ. ตอ ไปก็พงึ ทราบดจุ เดียวกัน. อุ. ท่ี ๒ ตมห พรฺ มู ิ พฺราหมฺ ณ. [ กีลาโคตม.ี ๘/๑๒๑ ] \"เราเรียกบคุ คล น้ันวาเปนพราหมณ.\" อ.ุ ท่ี ๓ ปฏาจาร ตนภุ ตู โสก ตฺวา. [ปฏาจารา. ๗/๘๗ ] \"ทรง ทราบทางปฏาจารา วามีโศกสรา งแลว . [ อุ. นี้เปนพากยางค แตก ็มี อรรถเชน กับพากย. ] ในพากยกัมมวาจก อุ. ท่ี ๑ วิราโค เตส อคฺคมกขฺ ายติ. [ ปจฺ สตภิกขฺ .ุ ๗/๖๑ ] \"บรรดา ธรรมเหลา น้นั วิราคะบณั ฑิตกลา ววาเลิศ.\" [ อคคฺ เปนปฐมาวิภตั ติ มิใชท ตุ ิยาวภิ ตั ติ, เทยี บกับ เทยี บกนั ตถาคโต เตส อคคฺ มกขฺ ายต.ิ [ อภธิ มั ม. หนา ๖๔ ] ในโยชนาแกว า อคคฺ ไดแก อคโฺ ค)
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 30 อ.ุ ที่ ๒ อมต วจุ ฺจติ นพิ ฺพาน, [ สามาวตี. ๒/๖๘ ] \"นพิ พาน เรียกวา อมตะ.\" อ.ุ ที่ ๓ มนตฺ า วจุ ฺจติ ปฺา. [ โกกาลกิ . ๘/๕๙] \"ปญ ญา เรยี กวา มันตา.\" สมั ภาวนะ ลกั ษณะนี้ โบราณแปลวา 'ใหช อ่ื วา' ดัง อุ. มนฺตา วจุ จฺ ติ ปฺ า นัน้ แปลยกศพั ทว า ปฺ า ปญญา, ภควตา อนั พระผูมพี ระภาค, มนตฺ า ใหช ่ือวา มนั ตา, วจุ จฺ ติ ยอ มตรสั เรียก. [ ๒ ] ทเี่ รียกชอ่ื วา สมั ภาวนะ เพราะยกข้นึ วาดุจสมั ภาวนบุพพบท กัมมธารยสมาส, โดยนยั น้ี คาํ วา สมั ภาวนะ ในทีน่ ี้ จงึ มไิ ดห มาย ความวา สรรเสริญทค่ี ูต เิ ตียน หมายความเพียงยกขึ้นวาเชน เดยี วกบั สัมภาวบุพพท กมั มมธารยสมาสเทานั้น. อนึ่ง ที่เรียกวา อาการ เพราะแปลวา ' วา ' ดุจ อติ ิ ศพั ทที่เปนอาการ. ในโยชนาใชช อ่ื หลังน้ี เชน อุ. ตถาคโต เตส อคฺคมกฺขานติ นั้น ในโยชนาบอก สมั พันธว า อคฺค อาการใน อกขฺ ายติ. สรปู อธบิ าย : สมั ภาวนะ เปน เคร่ืองยกขน้ึ วา หรอื เปน อาการ, เขา กับกริ ยิ าวารู วากลาว เปน ตน. สรูป (๒) เปนคณุ นามกด็ ี เปน นามนามแตใชด จุ คุณนามกด็ ี ทเ่ี ขา กบั อิตศิ ัพท เรียกชือ่ วา สรปู อุ :-
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 31 สมจรยิ าย สมโณ-ติ วุจจฺ ติ อุปธึ วทิ ติ ฺวา สงโฺ ค-ติ โลเก. อธบิ าย : [ ๑ ] คณุ นามทีใ่ ชใ นอรรถน้ี เมือ่ เพงถึงความ ก็ เชน เดยี วกับสัมภาวนะ ตางแตใ นทน่ี ี้มี อิติ ศัพท จึงเรยี กชื่อสัมพนั ธ ตางไป และเรยี กเขาใจอิติศัพทน นั้ อุ. :- [ ในพากยกัมมวาจก ] สมจริยาย สมโณ-ติ วจุ จฺ ต.ิ [ อฺตาปพพฺ ชติ . ๘/๑๑๐ ] \"พราหมณผูลอยบาปแลว เรยี กวา สมณะเพราะประพฤติสงบ. \" สมโณติ ปท อติ สิ ทเฺ ท สรปู อติ สิ ทโฺ ท วุจฺจตตี ิ ปเท อากาโร. ในพากยกตั ตวุ าจก อุ. ท่ี ๑ อุปธึ วทิ ิตวิ า สงฺโค-ติ โลเก. [ มาร. ๗/๑๖๕ ] \"รอู ุปธิ วา เปนเครือ่ งของใจในโลก.\" (อ.ุ นเ้ี ปน พากยางค) . อุ. ที่ ๒,๓ สมโณ โคตโม อตตฺ โน สาวเก ปพฺพชติ า-ติ วทต.ิ นาห เอตตฺ เกน ปพพฺ ชโิ ต-ต วทาม.ิ [ อฺตรปพพฺ ชติ . ๘/๑๑๐ ] \"พระโคตาตรสั เรียกสาวกของพระองควาเปน บรรพชติ .\" \"เรากลา ว (ซึ่งบคุ คล) วา เปน บรรพชติ ดวยเหตเุ ทานหี้ ามิได. \"
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 32 ใน อ.ุ คูน ้ี อ.ุ ทห่ี นึ่งแสดงรูปเปนพหวุ จนะคือ ปพพฺ ชิตา. อ.ุ ทสี่ องแสดงรูปเปนเอกวจนะคือ ปพฺพชิโต และไมไ ดเ ขียนกรรมแหง วทามิไว ตองเขาในเอาเองคือ ปคุ คฺ ล. [ ๒ ] ในพากยเ ปนกัตตุวาจก บทสรปู ในอิตศิ พั ทประกอบเปน ปฐมาวิภัตติ ไมประกอบเปนทุติยาวภิ ัตติ เหมือนบทนามนามที่เปน อวตุ ตกมั มในกิรยิ า, ทง้ั นีเ้ พราะมีอิติศัพทค ่ัน จึงถอื เปน ขาดตอนกัน ได. เทียบดูกบั สมั ภาวนะ จะเห็นวาความเทากนั , เพราะฉะนัน้ จึง ไมพนจากคุณนามไปได. ตวั อยางเทยี บกนั เชน นาห ภิกฺขเว พหุ ภาสติ ฺวา ปเร วเิ หยมาน ปณฺฑิโต-ติ วทาม.ิ เขมนิ ปน อเวร อภยเมว ปณฑฺ ิต วทามิ. [ ฉพฺพคฺคิยา. ๗/๔๕ ] \"ภกิ ษุ ท., เรา ไมก ลาวบุคคลผูพูดมากเบยี ดเบียนคนอ่ืนวาเปน บณั ฑิต, แตเรากลาว บคุ คลผมู คี วามเกษม ไมมีเวร ไมม ีภัย เทา น้นั วาเปน บณั ฑิต.\" สรูปอธบิ าย : สรปู เปน คณุ นามหรือนามนามทใี่ ชด ุจคุณนามที่ เนื่องในอติ ศิ ัพท. ขอ สังเกตการสัมพนั ธบทวา สรณ [ ๑ ] บทวา สรณ ในพากยว า พุทธฺ สรณ คจฉฺ ามิ หรอื วา โย จ พุทฺธจฺ ธมมฺ จฺ สงฆฺ ฺจ สรณ คโต เปนอาทิ มีมติ สงั เกต :- ก. วา ในมหาสัททนตี ิ และตามสมนั ตปาสาทกิ า [ ๑/๑๙๒ ] เติม อติ ิ วา สรณนตฺ ิ คจฉฺ ามิ. เมื่อเติม อติ ,ิ สรณ จงึ สรปู ใน อิติ และ
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 33 เปน ปฐมาวิภัตติ เหมือนบทสรปู ดงั กลาวมาแลว ในขอวาดว ยสรปู . บาง- อาจารยใหเติมประโยควา พุทฺโธ สรณ โหติ กม็ ี. ข. บางอาจารยใ หเ ห็น วิกติกัมม ใน กตฺวา ที่เติมเขามา หรอื ใน คจฺฉามิ ทเี ดยี ว. [ ๒ ] เหน็ วา : ทา นเตมิ อติ ิ เพราะมงุ แกอรรถวา เปน สมั ภาวนะ ซงึ่ เหมอื นมีอติ ิศัพทแฝงอยู ฉะนนั้ บอกเปน สัมภาวนะจะเหมาะ และ เพราะ สรณ เปนสมั ภาวนะ ในพากยกฺ ัตตุวาจก จงึ เปน ทุตยิ าวภิ ตั ต.ิ กิรยิ าวเิ สสนะ [ ๓ ] เปน บทวเิ สสนะ ทเ่ี ปน เครื่องทาํ กริ ยิ าใหแปลกจากปกติ คือเปนคณุ บทแหง กิริยา เรียกช่ือวา กริ ิยาวิเสสน อ.ุ :- ลหุ นิปฺปชฺชิสสฺ ต.ิ อธบิ าย : [ ๑ ] คุณนามท่ใี ชในอรรถนี้ มีอธบิ ายเชน เดยี วกับ บทนามนามทีใ่ ชในอรรถเปนกิริยาวิเสสนะ ตามทีก่ ลาวแลวในทุตยิ าวิภัตติ ในอธิบายเลม ๑. อุ :- อ.ุ ที่ ๑ ลหุ นิปปฺ ชฺชสิ ฺสติ [วสิ าขา. ๓/๗๔ ] \"จกั สําเรจ็ พลนั .\" ลหนุ ฺตปิ ท นปิ ปฺ ชฺชสิ ฺสตตี ิ ปเท กิริยาวิเสสน. อุ. ตอไปพึงทราบดุจเดียวกนั . อ.ุ ที ๒ ปมมปฺ าห อาจริเย อปรชฌฺ ึ [ ตสิ สฺ ตฺเถร. ๑/๔๐ ] \" กระผม
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 34 ผดิ ในทานอาจารยแ มกอ น.\" อ.ุ ท่ี ๓ ปุรมิ ตร คนฺตวฺ า . [ โลฬุทายิตฺเถร. ๕/๑๑๘ ] \"ไปกอนกวา.\" [ ๒ ] บางบทชวนใหบ อกเปน วิกตกิ ัมม แตท แ่ี ทเปนกริ ิยาวเิ สสนะ มใิ ชว ิกติกมั ม. อุ. ต ทฬฺห คเหตฺวา [ จนุ ทฺ สกู ริก . ๑/๑๒๓ ] ' จบั เขามน่ั .' พึงสังเกตความตางกันดงั นี:้ วิกตกิ มั ม แมเขา กบั กริ ิยาวา ทํา แตก เ็ ปน คุณบทแสดงภาวะของนามนาม คือ บททตุ ิยาวิภัตติทเ่ี ปนกมั ม ในกิรยิ าวาทําน้นั เชนทําเหลก็ ใหเ ปนมดี เปนตน . สว นกิริยาวิเสสนะ เปนคุณบทแสดงกิริยา เชน ทฬหฺ ใน อ.ุ นั้น แสดงกริ ยิ าทจ่ี ับวามัน่ . ถา ใชผิดจะเสียความ เชน ทฬฺห ถา ใชผ ดิ เปนวิกตกิ ัมม ตองหมายความวา เขาน่ังเองเปนผูมัน่ มใิ ชก ิริยาทจี่ บั มัน่ . สรุปอธบิ าย : กริ ยิ าวิเสสนะ เปนเครื่องทํากริ ิยาใหแปลกจากปกติ, เขา กบั กิริยา.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 35 บทสัพพนาม ๕. บทสัพพนามทใ่ี ชในอรรถพิเศษ คอื :- กริ ยิ าปรามาส บทวา ย ซึ่งเปนวิเสสนะในพากย โดยปกติวางไวหนาพากย ทําพากยน้ันทงั้ พากยใ หม ีความสัมพนั ธ เปน ประธานโดยเปน โยคของ ต ศพั ทใ นอกี พากยห น่ึง เรยี กวา กริ ยิ าปรามสน บาง กริ ิยาปรามโส บา ง กิรยิ าปรามาโส บา ง อุ :- อธิ โข ต ภกิ ขฺ เว โสเภก, ย ตมุ เฺ ห เอว สฺวากฺขาเต ธมมฺ วนิ เย ปพพฺ ชิตา สมานา ขมา ข ภวเยยฺ าถ โสรตา จ. บทวา ยสฺมา ซ่ึงมีลกั ษณะเชนนนั้ ทานเรียกวา กิรยิ า- ปรามสน บทวา ยโต ทานกเ็ รยี กบา ง แตม ีหา ง ๆ. อธบิ าย : [ ๑] ย กริ ยิ าปรามาสน้ีสงั เกตไดงา ย เพราะเรียง ไวหนาพากย และไมเปนวิเสสนะของนามบทใหบทหนึ่ง แตเ ปนวเิ สสนะ ของพากยท ้ังหมด จบั ตงั้ แตต นจนกริ ิยาในพากยทีเดียว จึงเรยี กวา กิริยาปรามาส ดวยอรรถวา ลบู คลาํ หรือจบั ตอ งถงึ กิรยิ า. กริ ิยาปรามาสนี้ คลายกริ ิยาวเิ สสนะ แตต า งกัน: กิรยิ าวเิ สสนะ เปนวิเสสะของเฉพาะ กริ ิยา เชน สขุ เสติ. สขุ แตง เฉพาะกิริยาวานอนเปนสุข, สวน กิริยาปรามาส เปนวเิ สสนะของพากยทัง้ พากย ไมเ ฉพาะบทกิรยิ า, แต พากยท ัง้ ปวง ยอมมกี ริ ิยาในพากย จงึ ตงั้ ช่ือยกกริ ยิ า (ในพากย ) เปน ทตี่ งั้ วา กิรยิ าปรามาส และทําพากยนัน้ ท้ังพากยใหมีความสมั พนั ธ เปน
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 36 ประธานโดยเปน โยคของ ต ศพั ท ในอีกพากยหน่ึงในทางไวยากรณ เพราะในภาษาบาลีไมใชพากยเปนประธาร (หรือเปน วิเสสน) ตรง ๆ ใชว าง ย-ต (หรอื วางไวแต ย) เพอื่ ใหเ ล็งความวา เปน อยางนนั้ ฉะนัน้ ในเวลาแปลยกศพั ท ทานจึงสอนใหถอนเอาศัพทในพากยกิริยา- ปรามาส มาประกอบเปน โยคของ ต ศัพท ใหเ ปนประธานในพากย ต ศัพท, หรอื โดยยอก็ใชศ พั ทกลาง ๆทบ่ี ง ไปถงึ ขอความท้ังหมด ในพากย กิริยาปรามาสได เชน ปพฺพ เปนตน ประกอบใหเ ปน บทโยคของ ต ศัพท. อ.ุ :- อ.ุ ท่ี ๑ อิธ โข ต ภกิ ขฺ เว โสเภถ, ย ตฺมเห เอว สวฺ ากขฺ าเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิตา สมานา ขมา จ ภาเวยฺยาถ โสรตา จ. [ โกสมฺพกิ . ๑/๕๔ ] \" ภกิ ษุ ท., ทา นท้ังหลายเปนผูบ วชอยูในธรรม- วิ ินยั ที่กลา วเดียวดแี ลวอยา งน้ี พงึ เปนผูอดทน และเปนผเู สงย่ี มใด, ขอ (ต โยค ปพพฺ หรอื ตมุ หฺ าก เอว สวฺ ากขฺ าเต ธมมฺ วนิ เย ปพพฺ ชิตาน สมานาน ขมโสรตตฺต. ความที่แหง ทาน ท...) นั้น พงึ งามในธรรม วิ ินยั นี้แล.\" ยนฺติ ปท ภวเยฺยาถาติ ปเท กิริยาปรามาโส. ขอวา ' เปน ประธาน' นน้ั พึงเหน็ ในเวลาแปลตัด ย-ต, ดัง อ.ุ น้ัน แปลตัดวา ' ภิกษุ ท., ขอที่ทา น ท. เปน ผูบวชอย.ู .. และเปนผู เสงยี่ ม พึงงามในธรรมวินัยน้ีแล.' ประธานในประโยค คือ คาํ วา ' ขอท.ี่ ....เสง่ียม' ก็คือประโยค ย กริ ิยาปรามาสนั่นเอง.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 37 อุ. ที่ ๒ าตเมต กรุ งุ ฺคสฺส, ย ตวฺ เสปณณฺ ิ เสยฺยส.ิ [ เทวทตฺต. ๑/๑๔๒ ] \"ดกู อ นไมห มากมื่น (มะล่ืนหรอื มะกก), ขอท่เี จา กลง้ิ อนั กวาง รูแลว.\" (เจายอมกล้ิงใด ขอ [ หรอื ตว เสยฺยนฺ ] นัน่ อันกวาง รูแลว). อุ. ท่ี ๓ อนจฉฺ รยิ โข ปเนต ภกิ ขฺ ุ, ย ตว มาทิส อาจาริย ลภติ ฺวา อปฺปจ โฺ ฉ อโหส.ิ [ นิคมวาสีตสิ ฺสตฺเถร. ๒/๑๑๘ ] \"ภิกษ,ุ กข็ อที่ เธอไดอ าจารยผูเชนกบั ดว ยเรา ไดเ ปน ผมู กั นอย ไมอ ัศจรรยเลย.\" [ ๒ ] ในโยชนา เรยี กบทวา ยสมฺ า ในพากย เปน กิรยิ าปรามาส เปนพ้ืน อุ. :- อ.ุ ที่ ๑ .... ยสมฺ า ปุเร อฏ กถา อกส.ุ [ ส. ปา. ๑/๓ ] พระอรรถกถาจารยช าวสหี ล ท.... ไดทําอฏั ฐกถา ท. ในกอ น เหตใุ ด.' โยชนา [ ๑/๑๖ ] วา ยสฺมาติ ปท อกส ูติ ปเท กิริยปรามสน. อ.ุ ท่ี ๒ ยสมฺ า วิภาควนฺตาน ธมฺมาน สภาวภิ าวน วภิ าเคน วนิ า
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 38 น โหต.ิ [ อภิ. วิ. ปมปริจฺเฉท น. ๖๘ ] \"การยงั สภาวะแหง ธรรม ท. ทมี่ วี ภิ าค ใหแ จม แจง เวน วภิ าค ยอมไมมีได เหตใุ ด.\" โยชนา [ ๑/๒๐๓ ] วา ยสมฺ าติ (ปท) น โหตีติ ปเท กริ ิยาปรามสนเหตุ. ขอ สังเกต: ยสมฺ า ทเี่ ปน กริ ิยาปรามาส ทา นสองใหแปลวา ' เหตใุ ด.' สวน ตสฺมา ในประโยค ตสมฺ า คงบอกเปน เหตุ. ทท่ี า น เรียกเปนกิรยิ าปรามาส คงหมายใหค ลุมท้งั พากยอ ยาง ย. ขอวา ' ยสมฺ า ในพากย' น้นั คอื ยสมฺ า ทที่ านเรียกวา กิริยาปรามาส ตอ งอยูในประโยคที่เปน พากย [ มกี ิรยิ าในพากย] ดัง อุ. ท่ีแสดงมาแลว, ถา อยูในพากยางค ที่เปนประโยคลงิ คัตถะ ทานไมเ รยี ก อ.ุ :- อ.ุ ท่ี ๑ .... ยสฺมา ปมาณ อิธ ปณฺฑิตาน. [ ส. ปา. ๑/๓] \"คาํ น้ัน ....เปน ประมาณแกบ ณั ฑติ ท...ในศาสนานี้ เพราะ เหตุใด.\" โยชนา [ ๑/๑๙ ] วา ยสฺมาติ ปท ปมาณนตฺ ิ ปเท เหต.ุ (ปมาณนฺติ ปท วจนนตฺ ิ ปทสส วิเสสน) อธิ าติ ปท ปณฺฑิตานนตฺ ิ. ปเท อาธาโร. ปณฺฑิตานนตฺ ิ ปท ปมาณนตฺ ิ ปเท สมปฺ ทาน วจนนตฺ ิ ปท ลิงฺคตโฺ ถ.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 39 อ.ุ ที่ ๒ ยสฺมา ปเนเต จตุภูมิกา ธมมฺ า อนปุ พุ พฺ ปณีตา. [ อภิ. ว.ิ ปมาปริจฺเฉท. น. ๖๘ ] \"แตธรรมอันเปน ไปในภูมิ ๔ เหลา นี้ ประณตี โดยลําดับเพราะเหตุใด.\" โยชนา [ ๑/๒๐๗ ] วา ยสมฺ าติ (ปท) อนปุ ุพพฺ ปณตี าติ ปเท เหตุ. (ปนสทฺโท วิเสสตฺโถ). เอเต จตุภมู ิกา อนปุ พพฺ ปณีตาติ ปทตฺตย ธมมฺ าติ ปทสฺส วเิ สสน. ธมมฺ าติ (ปท) ลิงคฺ ตโถ. ตอไปนี้ จะแสดงตวั อยาง ในธมั มปทัฏฐกถาเทยี บ :- กิรยิ าปรามาส อุ. ที่ ๑ ยสมฺ า ชราพฺยาธิมรณมสิ ฺสตาย ชาติ นาเมสา ปุนปฺปุน อปุ คนตฺ ุ ทกุ ฺขา, น จ สา ตสมฺ า อทิฏเ นวิ ตฺตติ; ตสฺมา ต คเวสนโฺ ต สนธฺ าวิสสฺ . [ ปมโพธ.ิ ๕/๑๒๑ ] \" ช่ือวา ชาตินั่น คือ ความเขา ถึง (บงั เกดิ ) บอย ๆ เปนทุกข เพราะเจือดวยชรา พยาธิ มรณะ, และชาตนิ น้ั เมอื่ คหการะน้ันอันเราไมเหน็ แลว ยอ มไมกลับ เหตใุ ด ; เพราะเหตนุ ั้น เราเมอ่ื แสวงหา คหการะ นนั้ ทองเท่ียว ไปแลว.\" อุ. ที่ ๓ ยสมฺ า นาพฺพณ วิสมนเฺ วติ (ตสมฺ า หเรยฺย ปาณนิ า วสิ ) . [กุกกฺ ฏุ มติ ตฺ . ๕/๒๗] \"ยาพษิ ไมซึมซาบฝา มอื ทีไ่ มมีแผล เหตใุ ด. (เพราะเหตนุ ้ัน บุคคลพงึ นํายาพษิ ดวยมือได) .\"
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 40 เหตุ ยสมฺ า สพพฺ สตฺตาน ชีวิต มรณปริโยสานเมว. (ตสฺมา ภิชฺชติ ปตู สิ นฺเทโห). [ อตุ ตฺ รตฺเถร.ี ๕/๑๐๕ ] \"ชีวติ ของสัตวท ั้งปวง มีความตายเปนท่ีสดุ อยา งเดียว เพราะเหตใุ ด (เพราะเหตุน้ัน กายอันเนา จะแตก).\" [ ๓ ] ยโต ในพากยท านเรยี กเปนกิรยิ าปรามาส แตม หี า ง ๆ อุ.:- วิ ฺ ูน [ ส. ปา. ๑/๒๓๐ ] \" คําไร ๆ ท่ไี มนําความเลือ่ มใส...ไม ปรากฏแกว ญิ ชู น ท. ผูตรวจดอู ยใู นวินยฏั ฐกถา ช่ือสมันปาสาทิกา นี้.\" โยชนา [ ๑/๒๐๗] วา ยโตติ ปท น ทิสฺสตีติ ปเท กิรยิ า- ปรามสน. สรูปอธบิ าย : กริ ยิ าปรามสนะ หรือกริ ิยาปรามสะ หรอื กริ ยิ า ปรามาส เปนวเิ สสนะในพากย จับต้ังแตตน จนจดกริ ยิ าในพากย. บอกเขาในกิรยิ าพากย. กริ ยิ าปรามาสน้ีไดเ ฉพาะบท ย หนา พากย. ในโยชนา เรยี กบท ยสฺมา ในพากยเปนกิรยิ าปรามาส, เรียกบท ยโต ในพากยด วย แตม หี าง ๆ.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 41 บทกริ ิยา ๖. บทกริ ยิ าใชใ นอรรถพิเศษบาง บทกิรยิ าพิเศษบา ง คือ :- กิริยาปธานนยั [ ๑ ] บทกิรยิ า ตวฺ า ปจจัย ทีว่ างไวใ นทีส่ ุดขอความเรยี ก ชอื่ วา กิรยิ าปธานนโย. กิริยาปธานนยั น้ี ทา นวางไวในทส่ี ุด ข อความทอนหนาบาง ทานหลงั บาง ในขอ ความหลายทอน ที่กลา ว รวมแลว แยก หรือแยกแลว รวม, แตในทอ นที่สดุ กม็ ีกิรยิ าใน พากยเ สมอ อุ. อิเมส สตฺตาน ชาติอาทโย นาม ทณฺฑหตถฺ - โคปาลกสทิสา, ชาติ ชราย สนตฺ นิ เปเสตวฺ า, ชรา พยฺ าธิโน สนตฺ ิก, พฺยาธิ มรณสฺส สนตฺ ิก, มรณ กุธาริยา ฉนิ ฺทนฺตา วิย ชีวิต ฉนิ ฺทติ. อธบิ าย : [ ๑ ] ชอ่ื วา กริ ิยาปธานนยั นี้ ใชเรยี กบทกิรยิ า ตฺวา ปจ จยั ที่วางไวใ นทีส่ ดุ ขอ ความ, จะกลา ววาบทกิริยาตูนาทิปจ จยั เชน น้ันกไ็ ด แตพบแตกิรยิ า ตฺวา ปจจัย เปน พน้ื . ประโยคท่ีวาง บทกริ ิยา ตฺวา ปจ จัยไวเปนทส่ี ดุ น้ี จะเรียกวาพากยกไ็ มถนดั เพราะ ขดั ดว ยกริ ยิ าในท่สี ดุ เปนกิรยิ า ตฺวา ปจ จัยซง่ึ เปนชัน้ กริ ยิ าในพากยางค, จะจัดเขาในกิริยาพากยางคล งิ คัตถะก็ไมถ นัด เพราะในพากยางค ลิงคตั ถะแมจะมีบทกิรยิ าในทส่ี ุด ก็เปน บทกิรยิ าที่ใชเ ปน วิเสสนะของ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 42 บทประธานได (กิรยิ าอนตฺ มาน ปจจัย), และเรียกบทประธานวา ลงิ คัตถะ. แตใ นทีน่ ีก้ ิรยิ า ตฺวา ปจจัย ท่วี างไวใ นทส่ี ุด ไมเ ปน วิเสสนะของบทประธาน เพราะโดยรูปกเ็ ปนรูปของพากยน ั่นเอง แต แทนท่จี ะวางกิรยิ าในพากยไ วใ นทีส่ ุด กลับวางกริ ิยา ตฺวา ปจจัยไว, นาจะเปนเพราะเหตนุ ้ี จึงตอ งตัง้ ช่อื บทกริ ิยานนั้ ใหมวา กิริยาปธานนยั คือจัดเปน กริ ิยาทเี่ ปนประธาน คือกริ ยิ าใหญ, สวนบทประธานซ่งึ เปนกัตตา เรียกชื่อเหมอื นกตั ตาในกิริยาในพากย และนาจดั เปน ช้ัน พากยางค ชนิดท่เี ปนตอนหนง่ึ จากพากย (ไมใชต อนหนง่ึ ๆ ของ พากย) เพราะตั้งเปน ประโยคของตนตา งหาก เชนเดยี วกบั พากยางค ลงิ คตั ถะ. [ ๒ ] เพราะเหตุไร ทา นจงึ วางกิรยิ า ตฺวา ปจจยั ไวใ นทส่ี ุด ขอ ความ, ปญหานี้ตอนไดจ ากการสงั เกตตัวอยา งท่ีทานใช, กลาวโดยยอ วา ทานใชในขอ ความท่ีกลา วรวม ๆ แยก ๆ ซ่ึงจะตอ งแบงประโยค ออกเปนหลายทอน นาเปน เพราะเหตุนี้ จงึ วางกิริยา ตวฺ า ปจจยั ไว ในท่สี ดุ ขอ ความของทอนท่กี ลา วรวม หรอื กลาวแยก, ซ่ึงในทอนท่ีสดุ ก็คงใชกิรยิ าในพากยนั่นเอง. ทอนทวี่ างกริ ยิ า ตฺวา ปจจัยไวใ นทส่ี ุดน้นั จงึ เปนเหมอื นอนุประโยค. [ ๓ ] ในขอ ความท่ีกลา วรวม ๆ แยก ๆ นน้ั วางกริ ิยา ตวฺ า ปจ จัย ไว ในตอนไหน สงั เกตไดจากทท่ี า นใชดงั ตอ ไปนี้ :- ก. รวม - แยก: ในขอ ความหลายทอ น ทอ นตน กลาวรวม ทอ นหลังกลา วแยก, วางกริ ยิ า ตวฺ า ปจจยั ไวใ นที่สุดของทอ นที่กลาว
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 43 แยก อ.ุ :- อิเมส สตฺตาน ชาติอาทโย นาม ทณฺฑหตถฺ โตปาลกสทิสา, ชาติ ชราย สนตฺ กิ เปเสตฺวา, ชรา พยฺ าธโิ น สนตฺ กิ (เปเสตฺวา), พยฺ าธิ มรณสฺส สนตฺ กิ (เปเสตวฺ า) ๕/๕๖] \"ข้ึนชื่อวาสาภาวธรรม ท. มีชาตเิ ปนตนของสัตวเ หลานี้ เชน กับคนเลย้ี งโคมีมอื ถือทอนไม, ชาติ สงไปสูสาํ นักของชรา, ชราสงไปสสู ํานกั ของพยาธิ, พยาธิสงไปสู สํานักของมรณะ, มรณะตัดชีวติ เหมือนพวกมนษุ ยตัด (ตน ไม) ดว ย ขวาน.\" ข. รวม-แยก : ขอ ความหลายทอนเหมือนขอ ก. แตว าง กิริยา ตฺวา ปจ จยั ไวใ นทอนรวม (วางกลบั กนั กับขอ ก. ) อุ. :- อ.ุ ท่ี ๑ เตน กถิต ธมมฺ สตุ ฺวา การกปุคคฺ ลา ยถานสุ ิฏ ปฏปิ ชชฺ ิตวฺ า, เกจิ ปมฌานาทีนิ ปาปุณนตฺ ิ, เกจิ วปิ สฺสน วฑฺเฒตวฺ า มคฺคผลานิ ปาปณุ นฺต.ฺ [เทวฺ สหายกภิกฺขุ.๑ /๕๔] \"การกบุคคลผฟู งธรรมทภ่ี ิกษุ นัน้ กลาวแลว ปฏิบัตติ ามทีส่ อน, บางพวกบรรลปุ ฐมฌานเปนตน, บางพวกเจริญวปิ สสนาบรรลมุ รรคผล.\" อ.ุ ท่ี ๒ เต เอกมคเฺ คนาป อคนฺตวฺ า. เอโก ปจฺฉิมทฺวาเรน มคฺค คณฺหิ, เอโก ปุรตฺถมิ ทฺวาเรน (คณฺหิ). [ สกู รเปต. ๗/๗๐ ]
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 44 \"พระเถระเหลา น้ัน ไมไปทางมรรคาเดียวกัน, รูปหน่งึ ถอื มรรคทาง ประตทู ศิ ตะวนั ตก. รปู หนึง่ ถือมรรคาทางประตทู ิศตะวันออก.\" อุ. ท่ี ๓ เอว ขาทนตฺ า ปจฺ สุ อตตฺ ภาวสเตสุ อฺ มฺสฺส ทุกขฺ อุปฺปาเทตฺวา, อวสาเน เอกา ยกขฺ นิ ี หตุ วฺ า นพิ ฺพตฺติ. เอกา สาวตฺถยิ กลุ ธีตา หุตวฺ า นพิ พฺ ตฺติ. [ กุกกฺ ุฏณฺฑขาทกิ า. ๗/๑๐๑] \"หญิงทัง้ สองนน้ั เคี้ยวกนิ ยังทุกขใ หเ กดิ แกกันและกนั ในอตั ภาพ ๕๐๐ อยางนน้ั , ในท่ีสุดหญงิ ผหู นึง่ เกิดเปนยักษณิ ี, หญงิ ผหู น่ึงเกิดเปน กลุ ธิดา ในกรุงสาวัตถี.\" ใน อุ. น้ี อติ ฺถิโย เหตุกตั ตา ใน อปุ ฺปาเทตฺวา เพราะเปน เหตุกตั ตุวาจก. ค. แยก - รวม : ในขอ ความหลายทอน: ทอ นตนกลา วแยก ทอนหลงั กลาวรวม กลบั กนั กับขอ ก. - ข. , วางกิรยิ า ตวฺ า ปจจัยไว ในทอนแยก อุ :- เอว สตถฺ ารา เทสติ าสุ อิมาสุ คาถาสุ เอกเมกสิ ฺสา คาถาย ปริโยสาเน เอกเมก ภกิ ขฺ สุ ต นสิ นิ ฺนนสิ นิ ฺนฏ าเนเยว สห ปฏ-ิ สมฺภิทาหิ อรหตฺต ปตวฺ า เวหาส อพภฺ ุคคฺ นตฺ วา, สพฺเพป เต ภกิ ฺขู อากาเสเนว วีสสโยชนาสติก กนตฺ าร อตกิ ฺกมิตวฺ า คถาคนสสฺ สวุ ณฺณวณณฺ สรรี วณเฺ ณนฺตา ปาเท วนฺทสึ ุ. [ สมพฺ หุลภิกขฺ .ุ ๘/๗๘ ] \" เมอ่ื พระศาสดาทรงแสดงคาถาเหลานี้ อยางนน้ั ในท่ีสุดคาถา หนง่ึ ๆ ภิกษุ ๑๐๐ รูป ๆ บรรลุพระอรหัต พรอ มกนั ปฏสิ มั ภทิ า
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 45 ในท่ีทน่ี ัน่ ๆ นัน่ แหละ เหาะขน้ึ สูเวหาส, ภิกษุเหลา นนั้ แมทง้ั หมด ลว งกนั ดาร ๑๒๐ โยชน ทางอากาศทเี ดียว ชมเชยพระสรรี ะ มี วรรณะเพียงดงั วรรณะแหง ทอง ของพระตถาคต ถวายบงั คมพระบาท แลว.\" รวมความวา ในขอ ความหลายท่ีกลา วรวมแลว แยก หรอื แยกแลว รวมบาง ในทอ นทก่ี ลา วแยกบาง, แตใ นทอนท่สี ุดก็วาง กิริยาในพากยไวเสมอ. [ ๔ ] พงึ สงั เกตรุ ปู ประโยคแปลก ๆ ตาม อุ. ตอ ไปน้ี :- รปู ที่ ๑ เตป เทวโลกโต จวิตวฺ า, พนฺธุมติย เอกสมฺ ึ กุลเคเห เชฏโ เชฏโ ว หตุ ฺวา, กนฏิ โ ว หุตวฺ า ปฏิสนธฺ ึ คณหฺ สึ ุ. [ โชติกตฺเถร. ๘/๑๖๔ ] \" กุฎม พีพี่นอ งแมเหลานั้น เคลื่อนจากเทวโลก แลว, คนพีถ่ อื ปฏสิ นธเิ ปนพีเ่ ท่ยี ว, คนนอ งถอื ปฏิสนธเิ ปนนองเทยี ว ในเรือนสกุลหนึง่ ในพนั ธุมดีนคร.\" อ.ุ นี้ นา เห็นวายอ มมาจาก เตป เทวโลกโต จวิตฺวา,...เชฏโ เชฏโ ว หตุ วฺ า ปฏสิ นธฺ ึ คณหฺ ,ิ กนฏิ โ กนิฏโ ว หุตวฺ า ปฏิสนธฺ ึ คณหฺ .ิ เพ่ือมิใหตองเรียง ปฏสิ นฺธึ คณฺหิ ๒ ครง้ั จงึ ใช คณฺหึสุ ทีเดยี ว. เม่อื ดูรปู เต็มดังน้แี ลว กจ็ ะเห็นชดั วา จวิตฺวา เปนกิรยิ าปธานนัย จดั เขาในประเภทรวม-แยก (ขอ ข.) ทกี่ ลา ว มาแลว . และ เชฏโ (บทตน) และ กนฏิ โ (บทตน) เปน
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 46 กัตตา ใน คณหฺ สึ ุ เหมือนอยางกัตตาเอกพจนต ั้งแต ๒ บทขึ้นไป ใช กิริยารว มกันเปนพหพู จน. รปู ท่ี ๒ เต...เถร ขมาเปตวฺ า, โจรเชฏเกน 'อห อยฺยสสฺ สนตฺ เิ ก ปพพฺ ชิสฺสามตี ิ วตุ เฺ ต, เสสา ' มยป ปพฺพชสิ สฺ ามาติ วตฺวา, สพเฺ พว เอกจฺฉนฺทา หุตฺวา เถร ปพพฺ ชชฺ ยาจึส.ุ [ขานุโกฑฺ ฺตฺเถร. ๔/๑๓๕ ] \" โจรเหลานั้น ยังพระเถระใหอ ดโทษแลว เมือ่ โจรผูหัวหนา กลา ววา ' ขา จักบวชในสาํ นกั ของพระผูเ ปนเจา , โจรทเี่ หลือกลา ววา ' แมข าเจา ท. กจ็ ักบวช,' โจรทัง้ หมดเทยี ว เปน ผูม ีฉันทะอนั เดียวกนั ขอบวชกะพระเถระ.\" เสสา มยป ปพพฺ ชสิ สิ ามาติ วตฺวา เหมอื นเปนประโยคแทรก. เรยี กสัมพนั ธวา (เสสา) โจรา สยกัตตา ใน วตฺวา วตฺวา กริ ยิ า- ปธานนัย. สว น ขมาเปตฺวา ปุพพกาลกริ ิยาใน ยาจสึ .ุ ประโยคกริ ิยาปธานนัยนี้ มีความกลาวแยกแทรกเขา มาในระหวา ง ประโยคที่กลา วรวม. รูปท่ี ๓ ก. คามวาสโิ ก ตสสฺ า วจเน ตฺวา เอเกโก เอเกก กตฺวา สทธฺ ึ รตตฺ ฏิ านทิวาฏ าเนหิ ปณฺณสาลาสหุสสฺ กาเรตวฺ า....อปุ ฏหึสุ. [ มหากปฺปน. ๔/๑๐] \" ชาวบา น ท. ตั้งอยูใ นคาํ ของนาง . คนหนึ่ง ๆ ทาํ แหง หน่ึง ๆ , (รวมเปน ) ใหท าํ บรรณศาลาพนั หนงึ่ พรอมกบั ท่พี ัก กลางคอื และทพี่ กั กลางวนั บาํ รุง....\"
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 47 อ.ุ นี้ เอเกโก เอเกก กตฺวา คลา ยแทรกเขามาดัง อุ. รปู ที่ ๒ แตต างกนั เพราะ เอเกโก กลา วถงึ 'แตละคน' ของคนทั้งหมด ไมเ หมอื น เสสา (โจรา) และเหตฉุ ะนี้ กตวฺ า จึงเปน กริ ยิ าของทกุ คน, ไมเ หมอื น วตวฺ า ที่เปน กิริยาของ เสสา (โจรา) เทานั้น ไมร วมทั้ง หวั หนาโจรดวย. บอก เอเกโก เปน วิกติกัตตา ใน หตุ วฺ า. บอก กตวฺ า เปนสมานกาลกริ ิยา ใน กาเรตวฺ า. รูปที่ ๓ ข. ทารกา ' มย อิทานิ คเหตุ น สกฺขสิ สฺ าม, เสฺว อาคนฺตวฺ า คณฺหิสฺสามาติ เอเกโก เอเกก สาขาภงคฺ มุฏ ิมาทาย สตฺตป ชนา สตตฺ ฉิทฺทานิ ปทหติ วฺ า ปกฺกมสึ ุ. [ ตโยชน. ๕/๔๐ ] \"เด็กชาย ท. คดิ วา ' เราจักไมอาจเพ่ือจะจับในบดั นี้, พรุงนี้ เราจกั มาจบั ,' คน หนงึ่ ๆ เอาก่งิ ไมห ัก (เตม็ ) กํามอื , ท้งั ๗ คน ปด ชอ งทั้ง ๗ หลีกไป.\" เอเกโก วกิ ติกัตตา ใน หตุ ฺวา...อาทาย ปุพพกาลกริ ยิ า ใน ปท หติ ฺวา...(ชนา วิกติกตั ตา ใน หุตวฺ า (เติม) สตตฺ วเิ สสนะ ของ ชนา). [ ๕ ] ในทสี่ ุดขอความทไี่ มตอ งดว ยลกั ษณะดังกลา วแลว วางกริ ิยา ตวฺ า ปจจยั ไวกม็ ี อ.ุ :- อ.ุ ที่ ๑ เอก กริ พุทธฺ นฺตร อวีจนิ ิรเย ปจิตเฺ ว ตโต จุตา สฏ-ิ
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 48 โยชนกิ าย โลหกมุ ฺภยิ า นิพพฺ ตฺตติ วฺ า อฏ สฏ วิ สฺสสหสสฺ านิ ปจิตฺวา, เอวป เตส ทกุ ขฺ า มจุ ฺจนกาโล น ปฺ ายติ, อหมปฺ ...นิททฺ น ลภ.ึ [ อฺ ตรปรุ ิส. ๓/๑๑๔ ] \" ไดยินวา เปรตเหลา น้ันไหมใ น อวจี ินริ ยะส้ินพุทธันดร ๑ เคล่ือนจากอวจี ินิรยะนนั้ แลว บังเกิดใน โลหกมุ ภี ประกอบดว ย ๖๐ โยชน หมกไหมสน้ิ ๖๗,๐๐๐ ป; แม อยา งนน้ั กาลเปน ทพ่ี น จากทุกขของเปรตเหลา น้ัน ยังไมปรากฏ, แมเรา...ไมไดความหลับ. [ ในฉบับสหี ลและยโุ รป เปน ปจจฺ ิตฺวา, ดูก็เขา ที เพราะ ใชในฐานเปนกิรยิ าของคนทถ่ี ูกเผา เหมอื นอยาง ปจจฺ ติ คอื ลง ย ปจ จัย ]. อ.ุ ที่ ๒ ราชา ' กนิ นฺ ุ โข เอตนฺติ จินฺเตตฺวา 'ภนเฺ ต อโิ ต ตาว นกิ ขฺ มถาติ วตฺวา, เถเร ตโต นิกฺขมติ ฺวา ปมุเข เิ ต, ปนุ สา เถรสฺส ปฏ ิปสฺสเส อฏ าสิ. [โกณฑฺ ธานตเฺ ถร. ๕/๕๒] \"พระราชา ทรงคิดวา ' ขอ น้ีอยางไรหนอแล' ตรสั วา ' ขา แตทานผเู จรญิ ขอ ทา นจงออกจากท่ีน้ีกอ น,' เมอ่ื พระเถระออกจาวหิ ารน้ันยืนทหี่ นา มขุ , หญงิ นั้นไดยนื ท่ขี างหลงั ของพระเถระอกี .\" ปจิตฺวา ใน อ.ุ ท่ี ๑ และวตวฺ า ใน อุ. ที่ ๒ นา ประกอบเปน กิรยิ าในพากย วตฺวา ใน อ.ุ ท่ี ๒ ฉบบั ยโุ รปเปน อาห. [ ๖ ] กริ ยิ าปธานนัยนี้ บางทา นเห็นวาทา นเรียงไวดวยความ เผลอ, แตเ มื่อพิจารณาดู ก็จักเหน็ ไดว าหาใชด วยเผลอไม ทา นเรียง
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 49 ดว ยมหี ลักเกณฑ ดังท่ีกลา วแลวจากสังเกต เวนไดแตใ นที่บางแหง ดังท่ียกมาเปนตัวอยา งในขอ [ ๕ ]. อนึ่ง ใจขอ ความท่กี ลา วรวม ๆ แยก ๆ อนั ควรวางกิรยิ า ตวฺ า ปจจยั ในท่ีสุด ทา นวางกริ ยิ าอ่ืนกม็ ี อุ :- ตา เคเห ฌายนเฺ ต เวทนาปริคฺคหกมฺมฏาน มนสิกโรนตฺ โิ ย, กาจิ ทตุ ยิ ผล, กาจิ ตติยผล ปาปณุ ึส.ุ [สามาวต.ี ๒/๑๐ ] \" หญงิ เหลา น้ัน, เมอ่ื เรอื นอันไฟไหมอยู, กระทาํ ไวใ นใจ ซึง่ กมั มฏั ฐาน กาํ หนดเวทนาเปนอารมณ; หญงิ บางพวกบรรลุผลที่ ๒; บางพวกบรรลุ ผลท่ี ๓.\" มนสิกโรนตฺ โิ ย นาเรยี กเปน กิริยาปธานนยั แตเ มอ่ื ไมกลาเรยี ก กต็ องเรยี กเปนวเิ สสนะ. (จะเรยี กเปน อพั ภนั ตรกิริยาก็ขดั เพราะไมเ ปน กริ ิยาภายใน คอื ในระหวา ง ๆ แตเปน กิริยาในท่สี ุด.) ถาจะใหเ ปน กิริยาปธานนยั ก็ตองเติม หตุ ฺวา ให กโรนฺติโย เปน วิกติกตตฺ า ใน หตุ ฺวา ๆ เปน กิริยาปธานนยั . (บทกริ ยิ า อนตฺ มาน ปจ จัยเปน วกิ ติกตฺตา ได). แตดไู มนา เตมิ ทานวางไวพอดแี ลว. สรูปอธบิ าย: กิรยิ าปธานนัย คอื กริ ยิ า ตฺวา ปจ จัยทีว่ างไวในที่ สุดขอความ ที่กลาวรวมบา ง แยกบา ง บรรดาขอความหลายทอนท่กี ลาว รวม ๆ แยก ๆ และวางไวในทอนตน บา ง ทอ นหลังบาง ไมแ น, แต ในทอนที่สุด กม็ ีกริ ิยาในพากยเ สมอ, บทกตั ตา เรยี กวา กตั ตา หรอื สยกัตตาบาง เหตุกตั ตาบาง ตามควรแกบ ทกิรยิ า.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228