ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 50 กริ ิยาตตยิ าวิเสสน (๒) บทกริ ยิ า ตวฺ า ปจจยั ทีเ่ ปน ทางเครือ่ งแปลก ทานเรียก ช่ือวา กริ ิยาตตยิ าเสสน (โดย), อ.ุ อนาคเต ปน กปปฺ สต- สหสฺสาธิก เอก อสงฺเขยยฺ อตกิ ฺกมติ ฺวา โคตโม นาม พุทโฺ ธ โลเก อุปฺปชชฺ ิสสฺ ต.ิ (สชฺ ยวตถฺ ุ เรอ่ื งท่ี ๘). อติกกฺ มิตวฺ า ทานเคยแปลวา โดยกา วลวง เปน กิริยาตตยิ าวเิ สสนะ ใน อปุ ฺปชชฺ สิ ฺสติ. วธิ ีอยางนี้ทานไดใ ชม าแลว. อธบิ าย : [ ๑ ] บทกริ ยิ า ตวฺ า ปจจัยทเี่ ปน กิริยาตตยิ าวเิ สสนะน้ี ทานไดใชมาแลว . อุ :- อุ. ท่ี ๑ อนาคเต ปน กปฺปสตสหสฺสาธิก เอก อสงฺเขยยฺ อตกิ ฺกมติ ฺวา โคตโม นาม พทุ โฺ ธ โลเก อุปปฺ ชชฺ สิ สฺ ติ. [ สฺชย. ๑/๑๐๖ ] \"ก็พระพุทธเจาทรงพระนามวา โคดม จักเกดิ ในโลก โดยลว งอสงไขย หน่ึง ยิง่ ดว ยแสนกัลปในอนาคต. ทราบวา อตกิ กฺ มติ ฺวา ทา นเคยใชม าอยางนี.้ อุ. ที่ ๒ ....เยน เกนจิ อากาเรน วจเี ภท กตวฺ า วา สสี กมฺปาทีหิ วา สมปฺ ฏิจฺฉต.ิ [ส. ปา. ๒/๕๒ ] \" ... รบั ... โดยเปลงวาจา วา ...ดว ยอาการอนั ใดอนั หนง่ึ หรือดวยกายวกิ ารมไี หวศรี ษะเปน ตน.\" ๑ ๑. สมเดจ็ พระวนั รัต เขมจารี แปล, จากหนงั สือท่ีพมิ พแ จก พ.ศ. ๒๔๘๕ น. ๔๓.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 51 อ.ุ ท่ี ๓ เหตุ หตุ วฺ า ปจฺจโย. [ ปรมตฺถทปี นี. น. ๔๕๕๕ ] \"ปจ จยั โดย เปน เหตุ.\" อุ.นี้ มคี ําอธบิ ายในปรมตั ถทปี นี น้ัน ตอไปน้ี เหตภุ าเวน ปจฺจโย (เหตุภาเวน ปจฺจโยติ วตุ ฺต โหติ). [ ๒ ] พวก อารพภฺ , นสิ สฺ าย, ปฏจิ จฺ ผรู ูภ าษาบาลีตางประเทศ มักแปลเปน ' โดย ...' ก็มี. ไทยเราใชเปนสมานกาลกริ ิยาบา ง กริ ิยา วเิ สสนะบาง. สรูปอธบิ าย : กริ ยิ าตตยิ าวิเสสนะ เปนบทกริ ิยา ตวฺ าปจ จยั ท่เี ปน ทางเคร่อื งแปลก. กริ ยิ าบท (๓) นบิ าตหรืออัพยยกิรยิ า คือ สกกฺ า ลพภฺ า เปนกริ ิยาบท พเิ ศษ. สกกฺ า ใชใ นพากยก มั มวาจกบาง ภาววาจกบา ง. ลพฺภา ใชในพากยก มั มวาจกเปนพื้น. กิริยาบทเหลา นที้ เี่ ปนกมั มวาจก เรยี ก ช่ือวา กมมฺ วาจก กิริยาปท, ที่เปนภาววาจก เรยี กชอื่ วา ภาววาจก กิรยิ าปท. อ.ุ :- สกฺกา: พุทธฺ า จ นาม น สกกฺ า สเน อาราเธต.ุ น หิ สกกฺ า อมฺเหสุ เอเกน (ชเนน) อปพพฺ ชติ ุ.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 52 ลพฺภา: ลพภฺ า...โภคา จ ภุ ชฺ ิตุ. (ลพฺภา) ปฺุานิ จ กาต.ุ อิท (รชชฺ ) น ลพฺภา เอว กาตุ. อล เปนนิบาต หรือ อัพยยกริ ยิ าอยางนั้นบาง อุ. :- นวหฺ ภกิ ฺขเว องเฺ คหิ สมนฺนาคต กุล อนุปคนตฺ ฺวา จ นาล อุปคนตฺ ุ, อุปคนตฺ ฺวา จ นาล อปุ นิสีทติ .ุ แต อล นบิ าต ใชใ นอรรถวารณะคอื หาม (อยาเลย) เปนตน โดยมาก. อธบิ าย : [ ๑ ] กิริยาบทนี้ ใชแตใ นพากยกมั มวาจกและภาววาจก และคงรปู อยูเดียวเหมอื นอัพยยศพั ท จงึ จดั เปนนิบาต ใชไดท กุ ลงิ ค ทกุ วจนะ. จะกลา วทีละบท :- สกฺกา สกกฺ า เมอ่ื กลา วตามหลกั ไวยากรณ ก็ไมควรใชเปน กริ ยิ า- กัมมวาจก เพราะเปน อกัมมธาตุ, แตตามภาษานิยมในคมั ภรี ทงั้ ปวง ทา นใชเ ปนกริ ยิ ากมั มวาจกดว ย, แมในโยชนาสมัตปาสาทกิ าและ อภิธัมมัตถวิภาวินี กบ็ อกเปน กมั มวาจกในพากยเ ชนนั้น. ถาถอื วา เปนกัมมวาจกไมไ ด เพราะ สกฺกา เปน อกัมมธาตุ กค็ วรถือวาเปน กัตตุวาจกได เพราะอกัมมธาตยุ อมเปนกัตตวุ าจกได, แตภาษานิยม ท่ใี ชใ นทีท่ ่ัวไป ไมย อมใหถอื เชนนนั้ คอื ไมม ใี ชเ ปนกัตตวุ าจก ใช แตเปนกัมมวาจกบา ง ภาววาจกบาง ตามรปู ประโยค. ถา มคี ําถามวา
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 53 ท่ีใชเ ปน ภาววาจกจงยกไว, สว นท่ีใชเ ปนกมั มวาจก จะไดบ ทกัมม มากลาวเปนประธานจากไหน เพราะ สกกฺ า ไมมกี รรม ? ตอบวา : ไดบ ทกมั มของบทกิริยา ตุ ปจจัยแทน เพราะในประโยค สกกฺ า ยอ ม มบี ทกริ ยิ า ตุ ปจ จยั ประกอบอยูด วยเสมอ คือใชกัมมของกิรยิ า ตุ ปจจัย น้ันน่นั แหละเปน ประธาน, และเมอื่ ประกอบเปนพากยภ าววาจก, บท กัมมนน้ั กเ็ ปน อวตุ ตกมั มบา ง การตี กมั มบาง ในบท ตุ ปจจัย นัน้ อุ. :- กมั มวาจก พุทฺธา จ นาม น สกกฺ า สเน อาราเธตุ [ จกขฺ ุปาลต-ฺ เถร. ๑/๘ ] \" กธ็ รรมดาวา พระพุทธเจา ท. อนั คนโออวดไมอาจเพอื่ ใหท รงโปรดปราน.\" พทุ ฺธา วตุ ตกัมม ใน สกฺกา. สกกฺ า กิรยิ าบท กัมมวาจก. พุทฺธาติ ปท น สกฺกาติ ปเท วตุ ฺตกมมฺ . สกกฺ าติ ปท พุทฺธาติ ปทสฺส กมฺมวาจก กิรยิ าปท. ภาววาจก น หิ สกกฺ า อมฺเหสุ เอเกน [ ชเนน ] อปพิพชติ .ุ [ เทวทตตฺ . ๑/๑๓๒] \" เพราะวา ในเรา ท. อันคนหน่งึ ไมอาจเพ่อื ไมบ วช.\" เอเกน วเิ สสนะ ของ ชเนน. ชเนน อนภหิ ิตกตั ตาใน น สกกฺ า. สกฺกา กริ ิยาบท ภาววาจก. สกกฺ าติ ปท ภาววาจก กริ ยิ าปท. เอเกนาติ ปท น สกกฺ าติ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 54 ปเท อนภหิ ติ กตตฺ า. ขอสังเกต: ก. วิธเี รยี งประโยค สกกฺ า สังเกตจากอาคตสถาน น้นั ๆ ดงั นี้ :- (ก) สกกฺ า เรยี งไวหนา หรือหลงั บท ตุ ปจจัย กับบททีเนอื่ ง ดวยบท ตุ ปจ จยั นัน้ อ.ุ :- สกฺกา เรยี งไวห นา บท ตุ ปจ จัย อุ. ๑ พทุ ฺธา จ นาม น สกกฺ า สเน อาราเธตุ. อ.ุ ๒ น หิ สกฺกา อมฺเหสุ เอเกน อปพฺพชติ .ุ อ.ุ ๓ สกกฺ า เคห อชฌฺ าวสนเฺ ติ ปฺุานิ กาตุ. [ จกขฺ ุปาลตฺเถร. ๑/๖ ] อุ. ๔ คหิ ินา หุตฺวา สกกฺ า ทุกขฺ า มุจจฺ ิตุ. [ อุกกฺ ณฺติ ภิกขฺ ุ. ๒/๑๓๔] สกฺกา เรยี งไวหลงั บท ตุ ปจจัย อ.ุ ๕ โส อมิ สฺส สนฺตเิ ก อุปปฺ าเทตุ น สกกฺ า. [ สชฺ ย. ๑/๘๕ ] อ.ุ ๖ ตยา คนตฺ ุ น สกกฺ า. [ โกสมพฺ ิก. ๑/๕๖ ] อ.ุ ๗ อโนนเตน ปวิสิตุ น สกกฺ า. [ ปณฺฑิตสามเณร. ๔/๓๑ ] (ข) บทอนภหิ ิตกัตตา เรยี งไวหลัง สกฺกา บา ง ดัง อุ. ๑,๒,๓. เรยี งไวห นา สกกฺ า บา ง ดงั อ.ุ ๔,๖,๗. แตเ รียงไวหนา บท ตุ ปจ จยั เสมอ.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 55 (ค) ถา เปนประโยคกมั มวาจก บทวตุ ตกัมม เรยี งไวหนา สกฺกา บา ง อุ ๑,๕; เรียงไวห ลัง สกกฺ า บาง อ.ุ น สกฺกา โส อคารมชเฺ ฌ ปเุ รตุ. [ จกฺขปุ าลตฺเถร. ๑/๖] (ฆ) เปนประโยคคําถาม เรียง สกกฺ า ไวหนา ประโยค อ.ุ น สกกฺ า มยา ต คเหตุ ? [ สามาวต.ี ๒/๓๓] ข. บางแหง แตห า ง ๆ สกกฺ า เขาในกริ ิยาวามวี า เปน (เปน วกิ ติกตั ตา). กิรยิ านั้น โดยปกติ เรยี งไวหลงั สกฺกา อุ. โน เจต ภิกฺขเว สกฺกา อภวสิ ฺส กสุ ล ภาเวตุ. [ ปหานภาวนาสตู ร ] \"ภิกษุ ท. ถากศุ ลนน่ั จักเปน กิจอนั บุคคลไมอาจเพอื่ ใหม ีไดไซร. \" ค. แตถา เขากบั กริ ยิ าวามวี า เปนน้ันไมไ ด ก็ตอ งเปน กัตตา ใน กิริยานั้นบาง อ.ุ ตตถฺ น อาคต คเหตุ สกกฺ า ภวิสสฺ ต.ิ [ สามาวต.ี ๒/๓๓] \"การท่ีเราอาจเพ่ือจะจบั ทาวอุเทนผูเ สด็จมาในทน่ี ้นั จกั มี.\" สกฺกา สยกตั ตา ใน ภวิสฺสต.ิ มหี ลกั ทพ่ี งึ สงั เกตคือ เม่ืออาจยกบท กัมม ของบท ตุ ปจจัยเปน ประธาน คอื เปนกตั ตา ในกิรยิ าวา มีวาเปน ได สกกฺ า กเ็ ปน วิกติกตั ตา ในกริ ิยาวามวี าเปน น้นั ; ถา ไมอ าจ, สกฺกา ก็ตอ งเปน ประธาน คือ เปน กตั ตาเอง เชน ใน อ.ุ วา ตตถฺ น อาคต คเหตุ สกกฺ า ภวสิ สฺ ติ นั้น. (แปลโดยพยัญชนะวา ' อนั วา อันเราอาจเพอื่ จะจับทาวอุเทนผู เสดจ็ มาในที่น้ันจักม.ี บางทานแปล: คเหตุ- เพอ่ื จะจบั .' คหณตตฺ -เพื่ออันจับ).
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 56 ลพภฺ า ลพภฺ า ใชคลาย สกฺกา แตพบนอยกวา . อ.ุ :- อุ. ที่ ๑ ลพภฺ า....โภคา จ ภุชฺ ติ ,ุ [ลพภฺ า] ปฺุานิ จ กาตุ. [มหาวภิ งฺค ปมภาค. ๑/๒๙ ] \"โภคะ ท. อนั เจาไดเ พอ่ื บริโภค และบุญ ท. อันเจาไดเ พ่ือทํา.\" สมนั ตปาสาทกิ า [๑/๒๔๒] แกค วาม ลพฺภา เปน ลพฺภนตฺ ิ. อุ. ท่ี ๒ ต กเุ ตตฺถ ลพภฺ า, ย เม ปเร อนภิรตึ วโิ นเทตวฺ า อภิรติ อุปปฺ าเทยฺย.ุ [ นกิ ขฺ นตฺ สุตตฺ . ๑๕/๒๗๒ ] \"ขอ ทคี่ นอนื่ พงึ บรรเทาความ ไมยนิ ดี ยังความยนิ ดีใหเ กิดแกเ รา จะไดใ นเมอ่ื ราคะนเ้ี กิดขน้ึ แลวจาก ท่ไี หน.\" ต กเุ ตตฺถ ลพฺภา ใชใ นท่หี ลายแหง, บางแหง ต ใชเ ปน เหตุ (ส.ุ ว.ิ ๒/๒/๔ วา ตนตฺ ิ ตสมฺ า), บางแหง แสดงความ ลพฺภา เปน สกกฺ า ลทฺธุ บาง เปน ลทธฺ พฺพ บาง [ ส.ุ ว.ิ ๓-๒๑๐ ]. อ.ุ ท่ี ๓ ลพฺภา หิ ปุมุหา อทิ . [เวสฺสนฺตรชาตก. ๒๘/๔๑๙] \"เพราะ ทกุ ขน ี้อันชาย (ผูย งั เท่ยี วอยูในภพ] พงึ ได.\" ชาตกกัฏฐกถา [ ๑๐/๔๓๐ ] วา ปมุ นุ าติ อิท ภเว วิจรนเฺ ตน ปุรสิ เน ลภติ พพฺ . แกความ ลพฺภา เปน ลภติ พฺพ.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 57 อุ. ที่ ๔ อทิ (รชฺช) น ลพฺภา เอว กาตุ. [ วฑิ ฑู ภ. ๓/๖] \"ราชสมบัติ นี้ อนั เจาไมได เพื่อทาํ อยา งน้ัน.\" ลพฺภา นี้ เปนสกัมมธาตุ ตรงกนั ขามกน สกกฺ า. ทง้ั วิธปี ระกอบ ประโยคกไ็ มลงรูปเหมือน, คอื ประโยค ลพฺภา ที่ใชบท ตุ ปจ จัย และยกบทกมั ม ของ ตุ ปจ จัย เปน ประธานในพากยก มั มวาจกกม็ ี ดังในตัวอยางที่ ๓ ยกบทกมั มของบท ตุ ปจ จัย คอื โภคา และ ปุ ฺ านิ เปนประธาน, ทีไ่ มใ ชบ ท ตุ ปจ จัยกม็ ี เพราะในบางประโยค ไมใ ชบ ท ตุ ปจ จัย ดังตัวอยา งท่ี ๒ และท่ี ๓, ตา งจาก สกกฺ า ซึง่ ตอ งมีบท ตุ ปจ จยั อยคู ดู วยเสมอ. ประโยค ลพฺภา ที่ไมใชบ ทกมั ม ของ บท ตุ ปจ จัยเปนประธานกม็ ี อ.ุ อย สมเณสุ สกฺยปตุ ฺติเกสุ ปพฺพชนตฺ ,ิ น เต ลพภฺ า กิ จฺ ิ กาตุ, [มหาวคฺค. ๔/๑๕๓ ] \"ชนเหลา ใดบวชในพระสมณะ ท. ผสู กั ยปตุ ติกะ, ชนเหลา นนั้ อนั ใคร ๆ ไมไดเพอ่ื จะทําอะไรๆ.\" ถามีประโยค ลพภฺ า ทปี่ ระกอบอยาง สกฺกา ภาววาจก ก็นา เปน ภาววาจกไดด วย. ภาวสาธนะ ยอมสําเร็จมาจากภาววาจก เพราะเปนภาวรูปอยาง เดียว. กภ็ าวสาธนะนั้น ใชไ ดใ นธาตทุ ัง้ ๒, อกมั มธาตจุ งยกไว, กลาว เฉพาะสกมั มธาตุ เมื่อตั้งวิเคราะหก ็ตองเปน ภาววาจก. จงึ เหน็ วาสกมั ม- ธาตเุ ปน ภาววาจกได ในทคี่ วรเปน . อล อล ใชเ ปนกริ ิยาบทได เชน เดยี วกบั สกกฺ า แตใ ชเ ปน นิบาต
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 58 ในอรรถวารณะคอื หาม (อยางเลย) เปนตนโดยมาก จนมักแหนงใจใน เมือ่ จักใชกิรยิ าบท. อล บทนี้ ทานแสดงวาสําเรจ็ รปู มาจากธาตุ เชน เดยี วกับ สกฺ กา ลพภฺ า ดงั จะกลาวในตอนทาย, เหตฉุ ะนี้ แมจะ ไมค อ ยชนิ หูชนิ ตา ก็พงึ ทราบวา เปนกิรยิ าบทได ในที่เปน กิริยาบท ไม ตองฝนของทา น. อ.ุ :- อ.ุ ที่ ๑ กมั มวาจก นวหิ ภกิ ฺขเว องฺเคหิ สมนนฺ าคต กุล อนุปคนตฺ วา จ นาล อุปคนฺตุ, อุปคนตฺ วฺ า จ นาล อุปนสี ที ิตุ. [ วิฑูฑภ. ๓/๘ ] \"ภกิ ษุ ท. ตระกูลทปี่ ระกอบดวยองค ๙ (อนั ภกิ ษ)ุ ยังไมเขา ไป ไมควรเพือ่ เขา ไป, และเขาไปแลว ไมค วรเพือ่ เขา ไปนง่ั .\" กลุ นตฺ ิ ปท น อลนตฺ ิ ปเท วตุ ตฺ กมมฺ . อลนตฺ ิ ปท กุลนตฺ ิ ปทสสฺ กมฺาวาจก กิริยาปท. อุ. ที่ ๒ ภาววาจก อล หิ โว กาลามา กงขฺ ิตุ, อล วจิ ิกจิ ฺฉติ .ุ [ ติก.องฺ. ๒๐/๒๔๓] \" ดกู อ นชาวกาลาม ท. อนั ทา น ท. ควรแทเพอ่ื สงสัย, ควรเพ่ืองงงวย.\" (อล= ยุตตฺ . มโน. ป.ู ๒/๒๓๙ ) โว อนภหิ ิตกตั ตา ใน อล. อล กิริยาบท ภาววาจก. [ ๒ ] แมบทนามกิตกบ างบทใชเปนกิรยิ า อ.ุ :- อ.ุ ที่ ๑ ลพฺภเมต วชิ านตา [ โสนนฺทชาตก ๒๘/๖๖ \"ผล (อฏิ ผล)
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 59 น่ัน อันผรู แู จง พึงได. \" (ลพภฺ =ลภ+ฺ ณฺย ไมเปน นิปาตบทเหมือน ลพภฺ า. แต ลพภฺ า ในบางแหง อาจคดิ วาเปน นามกติ ก ป.ุ ป. พหุ. ก็ได). อ.ุ ที่ ๒ เต จ ภกิ ฺขู คารยหฺ า. [ มหาวิภงฺค. ๒/๔๒๔ ] \"ภิกษุ ท. นน้ั ถกู ตเิ ตียนดวย.\" (คารยฺหา=ครหฺ +ณยฺ ). อุ. ท่ี ๓ วุฑฺฒเิ ยว ภิกฺขเว ภกิ ขฺ นู ปาฏิกงฺขา. [ อปรหิ านยิ ธมฺมสตุ ตฺ . ๒๓/๒๑] \"ภิกษุ ท., ความเจรญิ อยา งเดยี ว อันภกิ ษุ ท. พงึ หวังได. \" (ปาฏิกงฺขา=ปฏิ+กงฺข+ณ เพราะอัฏฐกถาแกอ รรถเปน ปาฏกิ ง-ฺ ขิตพฺพา [ เชน ป. ส.ู ๑/๒๓๑ ตอนแก วตถฺ ูปมสตุ ฺต]. เทียบ วหติ พโฺ พติ วาโห. วห+ณ). บทนามกติ กทใ่ี ชเปนกริ ยิ าน้ี นกั เรยี นมกั ไมก ลาใชเปน กริ ยิ า แต สงั เกตดูวาทานมงุ ใหเปน กิริยา เพราะฉะนัน้ เรียกเหมือนกริ ยิ ากิตกใ น พากย ก็สมควร. แมกริ ยิ ากิตก ที่ใชเปนนาม กบ็ อกสัมพันธเ ปนนามกันได, ไฉน นามกิตก ทใ่ี ชเ ปน กริ ิยาจะบอกเปนกิริยาไมได. [ ๓ ] ตอ ไปน้ีจะแสดงศัพท สกกฺ า ลพภฺ า และ อล ตามที่ ทานผูหน่งึ คนไดจ ากอภิธารศัพทบ างฉบับ ประกอบสนั นิษฐาน:-
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 60 สกกฺ า ลพภฺ า สกกฺ า ลพฺภา วา เปนนบิ าต มาจากกริ ยิ าอาขยาตสตั ตมีวิภัตติ แสดงรปู ทางสส กฤต คอื ศกฺ ลภฺ ธาตุ ลงสัตตมวี ภิ ัตติ สาํ เร็จเปน ศกยฺ าต,ฺ ลภยฺ าต.ฺ สนั นษิ ฐายวา ศกยฺ าตฺ ลภยฺ าตฺ ในสสกฤต, เมื่อมาสูบ าลี ตฺ หายไป คงเหลอื เพยี ง สกฺกา, ลพฺภา, เทียบ สฺยาตุ. กรุ ยฺ าตฺ มาสู บาลเี ปน สิยา กยริ า. ตามสนั นษิ ฐานน้ี เดิมจึงเปนกัตตวุ าจก. ฉะน้ี สกกฺ า ลพภา เปนอพั ยยศัพทหรอื นิบาต, และมาใชเ ปน กมั มวาจกบา ง ภาววาจกบาง ศัพททาํ นองนี้ คือเดิมเปนกริ ิยาของอาขยาต แลวมาเปนนิบาต อัพยยศพั ท มีแนวเทียบ คือ :- มฺเ มาจาก มน+ฺ ย+เอ วัตตมานาวิภัตติ อตั ตโนบท. ภเณ มาจาก ภณฺ+อ+เอ วตั ตมานาวภิ ัตติ อัตตโนบท. อฺ ทตถฺ ุ มาจาก อฺ+อตถฺ .ุ (อสฺ+ตุ ปญจมวี ภิ ัตต.ิ ) แต ลพภฺ า โดยอรรถ ทานแกห ลายอยา งดังกลาวไวก ับตัวอยา ง ในหนหลังแลว. อล อล วาเปน นบิ าต มีทางมาเปน ๒ คอื :- ก. ออกจาก อลฺ ธาตุ เปนไปในความสันทดั อาจ และอะไร ๆ พวกน,ี้ ลงนิคคหติ เมอื่ สาํ เรจ็ รูปศัพท. อลฺ ธาตุ น้ี เปน ธาตุประดิษฐ ข้นึ เพอ่ื อล ศัพท.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 61 ข. ออกจาก ฤ ธาตุ ใน สสกฤต เปน ไปในความรวดเร็ว สําเรจ็ รปู เปน อร. แลว ทาํ ใหเ ปน กัมมการก กริ ยิ าวิเสสนะ เปน อร. เกดิ รูปใหมอ กี รูปหน่งึ เปน อล, มคี วามหมายวา ควร, เหมาะ, อาจ, สามารถ. แลว กลายเปน นิบาตไป. สันนิษฐานวา ความหมายเดมิ วา เร็ว (อร) กบั ความหลาย ใหมวา ควร. เปน ตน (อล) เขากนั ได เพราะอะไร ๆ ถารวดเรว็ คลอ งแคลว ก็คงมอี รรถรสไปทางเหมาะ, สม, ควร, อยูในตัว. อนง่ึ กิรยิ าวิเสสนะน้ัน สําเรจ็ อยูท่ีนิคคหิตเปน ใหญ เชน สขุ เสติ, และศพั ทท ่ลี งนิคคหิตเพ่ือจํากดั ใหเปน กิริยาวิเสสนะ (ภาว- นปุสก) แลว เมอื่ นิคคหิตยังคงอยู กแ็ จกไมไ ดอีกตอ ไป อพั ยย), แมแ จกกนั มาแลว เม่อื ลงนคิ คหิตอกี กเ็ ปนกิรยิ าวเิ สสนะหนักแนน แนน อนข้ึน เชน จิรสฺส เอา ประทบั ลงอีกครั้งเปน จิรสฺส อล จึง กลายเปน นิบาต อัพยยศพั ทไ ปฉะน.้ี เทยี บบาลี : ในบาลมี ี อรฺ ธาตเุ ปน ไปในความไป, ในอภิ- ธานัปปทีปกา ขอ ๔๐ แสดง อรฺ ในหมวดศพั ทจ ําพวกทแี่ ปลวารวดเรว็ . การใช : อล ใชใ นความหมายไดหลายอยาง , ในความหมาย หา ม เชน อล เม พทุ ฺเธน, ในความหมายวาควร วา สามารถ เชน อล กาตุ อล สว ธิ าตุ เปนตน . ในทางสัมพนั ธ กม็ ักใชเ ปน วกิ ติ- กัตตาเปน ตน เหมอื นอยา งนามศัพท, สวนท่ใี ชเปนกิริยาบทโดยแทมนี อ ย ตา งจาก สกฺกา ลพภฺ า. สรูปอธบิ าย : กิรยิ าบท คอื สกกฺ า ลพฺภา อล ท่ีใชเ ปน บท กริ ยิ าในพากย กมั มวาจกบาง ภาววาจกบาง.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 62 สมั พนั ธซอ น ๗. บททัง้ หลายในพากยางคห รือในพากยท่วั ไป ยอมมีความ หมายเนื่องถงึ กันโดยปกติ และเรยี กชือ่ วา ลิงคัตถะ สยกัตตา เปน ตน ตามที่กลาวมาแลว, แตบางแหง บทหรือแมพ ากยางคและพากย ยั ังเนอ่ื งถงึ กันดว ยความหมายอีกอยางหนงึ่ ดังตอไปน้ี :- วิวรยิ ะ-วิวรณะ (๑) เปน บทเดียวหรอื หลายบทที่ควรไข คอื ขยายเปด เผย ความใหชดั ดวยบทเดยี วหรอื หลายบทอืน่ อกี , บททีค่ วรไขอนั ตง้ั อยู เบื้องหนา เรยี กชอ่ื วา วิวริย, บทที่ไขออกไปอนั ตั้งอยเู บ้อื งหลงั เรียกชอ่ื วา ววิ รณ. เหมือนในพากย อนฺโตอคฺคิ พหิ น นหี ร-ิ ตพโฺ พ ยงั ไมชัดวา \"ไฟภายใน ไมพึงนาํ ออกภายนอก\" นั้น ภายนอกคอื ในทีไ่ หน จึงมีบทไขในตอนอธบิ ายวา สสสฺ ุสสรุ สามกิ าน อคณุ ทสิ ฺวา พหิ ตสฺมึ ตสมฺ ึ เคเห ตวฺ า มา กเถส.ิ ได ความชัดวา เหน็ โทษมิใชค ณุ ของแมผ วั พอผวั และสามแี ลว อยา ตัง้ กลา วในภายนอก คอื ในเรือนนัน้ ๆ . พหิ เปน ววิ ริยะ, เคเห เปน ววิ รณะ. วิวรยิ ะ-ววิ รณะ น้ี ใชใ นอรรถกถาที่แกบ าล,ี ในฎกี าทแ่ี ก อรรถกถา, ในอนุฎกี าที่แกฎ ีกาเปน พ้ืน, และบททม่ี าในบาลี เชน ในคาถาธมั มบทเปน ตน ตอ งเปน วิวริยะเสมอ. อ.ุ ในอรรถกถา
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 63 ลาชเทวธีตาวตั ถุ (เร่ืองที่ ๙๗) ตอนแกอ รรถบาทคาถา สุโข ปุ ฺสสฺ อจุ จฺ โย วา ปุ ฺ สฺส หิ อจุ จฺ โย วฑุ ฒฺ ิ อิธโลกปร- โลกสุขาวหนโต สุโข. อธบิ าย : [ ๑ ] บทเชนไรเรยี กวา ววิ รยิ -ววิ รณะ ไดก ลา ว ไวในหัวขอ ขา งตน แลว , แตพ ึงกาํ หนดวาตองบอกชอ่ื สัมพันธ วิวรยิ ะ -ววิ รณะดวย ช่อื สมั พนั ธโ ดยปกติดว ย ดัง อุ อมฺม ตว สสฺสุสสรุ - สามิกาน อคุณ ทสิ ฺวา พห:ิ ตสมฺ ึ ตสมฺ ึ เคเห ตฺวา มา กเถส.ิ [ วสิ าขา. ๓/๖๔ ] \"แม, เจา เหน็ โทษมิใชคุณของแมผวั พอผวั และสามี ของเจาแลว อยาตง้ั กลา วในภายนอก คือในเรอื นนั้น ๆ\" อมมฺ อาลปนะ. ตว สยกัตตา ใน กเถส.ิ กเถสิ อาขยาตบท กัตตุวาจก. ตว สามสี มั พันธ ใน สสสฺ .ุ ..สามิกาน สสฺสุ...สามกิ าน สามีสัมพันธ ใน อคุณ. อคุณ อวตุ ตกัมม ใน ทิสวฺ า. ทสิ วฺ า ปพุ พกาลกริ ิยา ใน กเถส.ิ พหิ ววิ ริยะ และ อาธาร ใน กเถส.ิ ตสฺมึ ตสฺมึ ๒ บท วิเสสนะ ของ เคเห. เคเห วิวรณะ ของ พหิ และ อาธาร ใน กเถสิ. ตวฺ า สมานกาลกริ ยิ า ใน กเถส.ิ มา ศัพท ปฏเิ สธ ใน ตฺวา กเถสิ. สัมพันธเปนภาษามคธ พึงดูตามทที่ านสัมพันธเ ปน ตัวอยางใน แบบวายกสัมพนั ธ ภาคที่ ๓ ตอนตน ตอนทา ย. [ ๒ ] วิวริยะ-ววิ รณะน้ี ใชใ นอรรถกถาทแ่ี กบาลีเปนตน เปนชน้ั ๆ ลงมาเปนพื้น, กลา วเฉพาะในอัฏฐกถาธรรมบท เมือ่ มีบทท่ีมาในคาถา บทที่มาในคาถาตองเปน วิวรยิ ะ เสมอ อ.ุ :-
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 64 อุ. ที่ ๑ ปฺุ สฺส หิ อุจฺจโย : วฑุ ฺฒิ อิธโลกปรโลกสขุ าวหนโต สุโข. [ ลาชเทวธตี า. ๕/๙ ] \"เพราะวา ความสงั่ สม คอื ความเจรญิ แหงบุญ ชือ่ วาเปน สุข เพราะเปน เครือ่ งนํามาซึ่งความสุขในโลกนีแ้ ละโลกอน่ื .\" อจุ จฺ โย เปน บทมาในคาถาบาทที่ ๔ วา สโุ ข ปุ ฺสสฺ อจุ จฺ โย ไขเปน วฑุ ฒฺ ิ บอกสมั พนั ธเ ฉพาะที่ตอ งการวา :- [ ไทย ] อจุ ฺจโย ววิ รยิ ะ และสยกตั ตา ใน โหต.ิ วฑุ ฒฺ ิ วิวรณะ ของ อุจจฺ โย และ สยกัตตา ใน โหต.ิ โหติ อาขยาตบท กัตตวุ าจก. [ มคธ ] อจุ จฺ โยติ ปท ววิ รยิ โหตีติ ปเท สยกตฺตา. วฑุ ฺฒิ วิวรณะ ของ อจุ ฺจโย และ สยกัตตา ใน โหต.ิ โหติ อาขาตบท กตั ตวุ าจก. [ มคธ] อุจจฺ โยติ ปท ววิ ริย โหตีติ ปเท สยกตฺตา. วฑุ ฺฒตี ิ ปท อุจจฺ โยติ ปทสสฺ ววิ รณ โหตีติ ปเท สยกตตฺ า. โหตีติ ปท อุจจฺ โย วุฑฒฺ ตี ิ ปททวฺ ยสสฺ กตฺตวุ าจก อาขยฺ าตปท. อ.ุ ที่ ๒ โย อตตฺ นา พาโล: อปณฺฑิโต สมาโน พาโล อหนฺติ ต อตฺตโน พาลยฺ : พาลภาว มฺติ: ชานาต.ิ [ คณฺ เิ ภทกโจร. ๓/๑๓๐ ] \"บคุ คล ใด เปน พาลอยู คือไมเปนบณั ฑติ ดว ยตน ยอ ม สําคญั คอื รู ความที่ตนเปนพาล คอื เปนผเู ขลา นัน้ วา เราเปน พาล.\" พาโล เปนตน มาในคาถาบาทที่ ๑ วา โย พาโล มฺาติ พาลฺย ไขเปน ดงั นี้: พาโล: อปณฺฑิโต พาลยฺ : พาลภาว. มฺ ติ:
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 65 ชานาต.ิ บอกสมั พนั ธว า: [ไทย] ปคุ ฺคโล สยกตั ตา ใน มฺ ติ ชานาต.ิ มฺ ติ ววิ รยิ ะ. ชานาติ วิวรณะ ของ มฺต.ิ ทง้ั ๒ บท อาขยาตบท กตั ตุวาจก. โย วิเสสนะ ของ ปุตตฺ โล. อตตฺ นา กรณ ใน พาโล อปณฑฺ โิ ต, พาโล วิวริยะ และ วิกตกิ ัตตา ใน สมาโน อปณฑิ ฺโต วิวรณะ ของ พาโล และ วิกติกัตตา ใน สมาโน. สมาโน อัพภนตร- กริ ิยา ของ ปคุ ฺคโล. อห สยกัตตา ใน อมหฺ ิ. อิติ ศพั ท อาการ ใน มฺ ติ ชานาติ.ต วเิ สสนะ ของ พาลฺย พาลภาว. อตฺตโน ภาวาทสิ มั พันธ ใน พาลยฺ . และ-ภาว. พาลฺย ววิ รยิ ะ และ อวตุ ตกัมม ใน มฺติ ชานาต.ิ พาลภาว วิวรณะ ของ พาลฺย และอวตุ ตกมั ม ใน มฺติ ชานาต.ิ [ มคธ] โยติ ปท ปุคฺคโลหติ ปทสฺส วเิ สสน. ปุคฺคโลติ ปท ปฺ ติ ชานาตตี ิ ปททฺวเย สยกตตฺ า. อตตฺ นาติ ปท พาโล อปณฺฑโิ ตติ ปททวฺ ยสฺศ กรณ. พาโลติ ปท ววิ รยิ สมาโนติ ปเท วิกติกตตฺ า. อปณฑฺ ิโตติ ปท พาโลตปิ ทสสฺ วิวรณ สมาโนติ ปเท วกิ ติกตฺตา. อปณฑฺ ิโตติ ปท ปุคคฺ โลติ ปทสสฺ อพภฺ นิตรกิริยาปท. พาโลติ ปท อมหฺ ีติ ปเท วกิ ติกตฺตา. อนหนตฺ ิ ปท อมฺหีติ ปเท สยกตฺตา (หรือ ปกติกตตฺ า). อมหฺ ีติ ปท อหนตฺ ิ ปทสสฺ กตตฺ วุ าจก อาขฺยาตปท. อติ ิสทโฺ ท มฺติ ชานาตีติ ปททวฺ เย อากาโร. ตนตฺ ิ ปท พาลยฺ พาลภาวนฺติ ปททวฺ ยสสฺ วเิ สสน. อตฺตโนติ ปท พาลฺยนฺติ จ-ภาวนฺติ จ ปททวฺ เน ภาวาทิสมพฺ นโฺ ธ. พาลฺยนฺติ ปท ววิ รยิ
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 66 มฺติ ชานาตตี ิ ปททฺเวย อวุตตฺ กมฺม. พาลภาวนฺติ ปท พาลฺยนฺติ ปทสสฺ ววิ รณ มฺ ติ ชานาตีติ ปททฺวเย อวุตตฺ กมมฺ . มฺ ตีติ ปท ววิ ริย ปุคคฺ โลต ปทสฺส กตตฺ ุวาจก อาขฺยาตปทง ชานาตตี ิ ปท มฺตีติ ปทสสฺ วิวรณ ปุคฺคโลติ ปทสสฺ กตฺตวุ าจก อาขยฺ าตปท. [ ๓ ] แมห ลายบทผสมกนั เปนพากยางคแ ละพากย กเ็ ปนวิวริยะ -ววิ รณะได อุ. ตสมฺ า ตมุ เฺ ห มา ปมาทมนยุ ุ ฺเชถ: มา ปมาเทน กาล วีตนิ ามยติ ฺถ. [ พาลนกขฺ ตฺต. ๒/๙๔ ] \"เพราะเหตนุ ัน้ ทา น ท้งั หลาย อยาตามประกอบความประมาท คอื อยางยงั กาลใหนอมลวงไป ดวยความประมาท.\" มา ปมาทมนยุ ฺุเชถ มาในคาถา ยกมาท้ังบาท เปน ววิ รยิ ะ, มา ปมาเทน กาล วตี นิ ามนิตถฺ เปน ววิ รณะ ของบาทคาถานัน้ . (บอกสัมพันธโ ดยปกติอกี สว นหนึง่ ). [ ๔ ] แมมใิ ชบ ทมาในคาถาก็มี ววิ รณะ ได อุ. มรจี ิ ทูเร ิตาน รปู คต วิย : คยฺหปุ คา วิย โหติ. [ มรจี ิกมมฺ ฏ ารกิ ตเฺ ถร. ๓/๔] \" พยบั แดดยอ มเปนเหมือนรปู คอื เหมือนควรทจ่ี ะถือเอาได. \" ความทอนน้ี อธบิ ายความบทวา มรีจิธมฺม ในคาถาวา เผณปู ม เปนอาทิ. บทวา รูปคต เปน ววิ ริยะ, บทวา คยฺหุปคา เปน วิวรณะ. [ ๕ ] วิวริยะ กบั ววิ รณะ ตองเสมอกันหรอื เทยี บเทากนั เชน เปนบทนามเสมอกัน อ.ุ อจุ จฺ โย: วุฑฒฺ ิ, เปน กิริยาชนั้ เดยี วกัน อ.ุ มฺ ติ : ชานาติ, แมเปนพากยก ด็ วยกนั อุ. มา ปมานยุ ุเฺ ชถ:
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 67 มา ปมาเทน กาล วีตินามยิตฺถ ตามทีแ่ สดงแลว. บางแหง เติมบทท่ี ละไวเขามา อุ. ....ทุกโฺ ข (โหต)ิ ทกุ ขฺ เมว อาวหติ. [ เสยฺยสกตฺเถร. ๕/๖ ] \" ยอมเปน ทกุ ข คอื ยอมนาํ มาซึ่งทกุ ขนัน่ เทียว.\" ทกุ โฺ ข เปน บทมาในบาทคาถาวา ทกุ โฺ ข ปาปสสฺ อุจจฺ โย ไขเปน ทุกขฺ เมว อาวหติ, ตองเตมิ โหติ เขา มาเปน ทุกฺโข โหต.ิ (ทกุ โฺ ข เปนวิกตกิ ตั ตา ใน โหติ แตไมเ ขยี น โหติ ไว ตอ งเขาใจเอาเอง). [ ๖ ] คาํ ท่เี ปน ไวพจน (ววิ ธิ ) เอกสฺมึ อตฺเถ วจน คํามรี ูป ตา ง ๆ กนั แตใ ชใ นอรรถเดียวกัน) ไมเ ปน ววิ รยิ ะ-ววิ รณะ. คาํ ท่ีเปน ไวพจนข องกันและกันนี้ มใี นสํานวนบาลโี ดยมาก เชนในธรรมนิยาม- สูตรวา ต ตถาคโต อภสิ มฺพชุ ฌฺ ติ อภิสเมติ, ปฏเปติ ววิ รติ วภิ ชติ อุตตฺ านีกโรต.ิ \"พระตถาคตยอ มตรัสรูต ลอด ยอมทรงทราบตลอด ธาตนุ ้นั , ครัน้ ตรัสรูต ลอด ครัน้ ทรงราบตลอดแลว ยอมทรงบอก ทรงแสดง ทรงบญั ญตั ิ ทรงกําหนด ทรงเปด เผย ทรงจาํ แนก ทรง ทาํ ใหต ื้น.\" อภสิ มฺพุชฺฌติ อภสิ เมติ เปนไวพจนกัน, อภสิ มฺพุชฌฺ ิตฺวส อภิสเมตฺวา ก็เชน เดยี วกนั , และ ๗ บท มี อาจิกขฺ ติ เปนตน ก็เปน ไวพจนกัน. ในธัมปทฏั ฐกถาก็มบี า ง เชน ในทา ยเร่อื งมรีจกิ มั มัฏฐาน-ิ กัตเถระ [ ๓ /๓] แสดงวา พระเถระบรรลพุ ระอรหตั พรอ มกับปฏสิ มั ภทิ า ในทสี่ ุดแหงคาถาแลว ' สตฺถุ สวุ ณณฺ วณฺณ สรีร โถเมนฺโร วณเฺ ณนโฺ ต วนทฺ นโฺ ต อาคโต ชมเชย สรรเสรญิ ไหวพระสรรี ะ มวี รรณะเพยี งดัง วรรณะแหงทองของพระศาสดาอยมู าแลว.' โถเมนโฺ ต วณฺเณนฺโต เปน ไวพจนกัน.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาที่ 68 สว นในอรรถกถา กม็ ใี ชบทเปน ไวพจน แตเพราะมุงแกบทมา ในคาถา จึงเรยี กเปน วิวริยะ-ววิ รณะ อุ. โก วเิ ชสสฺ ติ วิชานสิ สฺ ติ ปฏิวิชฌฺ ิสสฺ ติ สจฉฺ กิ ริสสฺ ต.ิ [ ปวีกถาปสุตปฺจสติภกิ ขฺ .ุ ๓/๒ ]\"ใคร จักรูแ จง คือจกั รูช ัด คือจกั แทงตลอด คอื จักทาํ ใหแจง ..\" วิเชสสฺ ติ เปนบทมาในคาถา บทตอ ไปเปนบทไขแหง วิเชสสฺ ต,ิ เรยี กสัมพนั ธ สงตอกนั ไปวา วเิ ชสฺสติ วิวรยิ ะ: วชิ านสิ สฺ ติ ววิ รณะ ของ วเิ ชสสฺ ติ และ วิวรยิ ะ ฯลฯ. แตถ าไมไ ดม งุ แก เปนคาํ ท่พี ูดควบกนั เชน มหปุผลา โหติ มหานสิ สา ก็ไมตอ งไข. [ ๗ ] ในโยชนาเรยี กวิวรณะอกี อยา งหน่ึงคือ คําอธิบายทอนท่ี ๒ ท่ีเปนขอ ความใน อตโฺ ถ (อธิบาย) บาง ใน เอวเมตฺถ อตโฺ ถ ทฏพฺโพ บา ง ทา นกเ็ รียกวา วิวรณะ. อุ. :- อุ. ที่ ๑ ลาภคคฺ มหตตฺ นตฺ ิ ลาภสสฺ อคคฺ มหตฺต. ฯ เป ฯ 'ลาเภน วส อคฺคมหตฺตมฺป ลาเภน เสฏตตฺ ฺจ มหนตฺ ตฺจิ ปตโฺ ตติ อตโฺ ถ. [ส. ปา. ๑/๒๒๑ ] \"บทวาลาภคคฺ มหตฺต ความวา ซ่ึงความเปน หมูใ หญเลิศแหง ลาภ. ฯลฯ อีกแหง หน่ึง อธบิ ายวา ถึงความเปน หมู เลิศและใหญด ว ยลาภ คอื ความเปนหมปู ระเสริฐ และความเปนหมใู หญ ดว ยลาภ.\" โยชนา [ ๑/๒๐๒ ] วา ลาเภนาติ อาทิ วิวรณ. ขอ ความใน อตฺโถ นี้ ทา นวา เปนววิ รณะ เพราะเปนคําอธิบาย
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 69 ทอนท่ี ๒ ทไี่ ข คอื ขยายออกไปอกี จากทอนที่ ๑ คอื ลาภสสฺ อคฺคมหตฺต. อ.ุ ที่ ๒ ต ปเนต น กสยิ า น วณิชฺชาย สมภฺ ต, อปจ โข อติ ถฺ ิกาย อติ ถฺ ีธน. ' ย อิตถฺ กิ าย าติกุลโต สามกิ ุล คจฺฉนตฺ ิยา ลทฺธพฺพ นฺหานจณุ ณฺ าทนี อตถฺ าย อติ ฺถธี น, ต ตาว เอตฺตกนตฺ ิ เอวมตฺถ อตโฺ ถ ทฏพโฺ พ. [ ส. ปา. ๑/๒๔๒ ] \"กท็ รพั ยน น้ี ัน้ ไดมาแลว ดวยการทํานา ก็หาไม, ดวยการคาขาย ก็หาไม, ที่แท ทรัพยน นั้ เปน ทรัพยส ําหรบั หญงิ ขอฝายหญิง. พงึ เห็นเนือ้ ความในคาํ วา อติ ฺถิกาย อติ ฺถีธน นี้อยางน้ีวา ' ทรัพยสาํ หรับฝายหญงิ เพอ่ื ประโยชนแกจณุ เปน เครือ่ งอาบเปนตน ใด ทห่ี ญิง ผไู ปสูตระกูลสามีจากตระกลู ญาติ พงึ ได ทรัพยน น้ั ประมาณเทานี้กอ น.\" โยชนา [ ๑/๒๑๗ ] วา ยนตฺ ิ อาทิ วิวรณ. [ ๘ ] ยงั มีวิธไี ขศพั ทใ นการแปลศัพทอ กี อยางหนึ่ง ที่โบราณ เรยี ก ' มักวา ' (= เมาะวา, เมาะ) เชน อิติ ม. ตสฺมา ในบัดน้ี ใช คาํ วา ' คือวา.' วิธไี ขศพั ทอยางน้ี มใี ชห าง ๆ ดงั เชน :- อ.ุ ท่ี ๑ นิพฺพาน หิ สุคเตน เทสต, ตสฺมา ตสสฺ มคฺค ภาเวหิ, [ สารปี ตุ ฺตเถรสสฺ สทธฺ วิ หิ ารกิ . ๗/๘๒ ] \"พระนพิ พานอนั พระสุคตทรง
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 70 แสดงแลว (หิ ม. ยสฺมา) เพราะเหตใุ ด, เพราะเหตุนัน้ ทา นจงยังหน ทางแหงพระนิพพานนน้ั ใหเจรญิ .\" อ.ุ น้ี เปนอรรถกถาแหง บาทคาถาวา นพิ พฺ าน สคุ เตน เทสิต แกเปน ประโยค นาคโสณฑิ, ดูอธิบายดว ยเร่อื งน้ัน. อ.ุ ที่ ๒ เอตฺหิ ตุมฺเห ปฏปิ ชฺชถ. [ปจฺ สตภิ กิ ขฺ .ุ ๗/๖๐ ] \" (หิ ม. ตสฺมา ) เพราะเหตุนน้ั ทา นทง้ั หลายจงปฏิบตั ทิ างน้ัน\" (ตามแกอรรถ). อ.ุ ท่ี ๓ วสฺสิกา วยิ ปปุ ผานิ มชชฺ วานิ ปมุ จฺ ติ เอว ราคฺจ โทสจฺ วิปปฺ มฺุเจถ ภิกฺขโว. [ปฺจสตภิกฺขุ. ๗/๗๙ ] \"มะลิยอมปลอยดอก ท. ที่เหีย่ ว (วิย ม. ยถา) ฉันใด, ภกิ ษุ ท., ทา น จงปลอ ยราคะโทสะเสียฉันน้ัน.\" การใช ' ม.' คอื ไขศัพท ดังใน อุ. ที่แสดงมาน้ี เปนการแสด ความรูอ รรถของศัพทใ นเวลาแปล เชน หิ ในทีน่ นั้ โดยอรรถวา ยสฺมา, ในท่นี นั้ โดยอรรถวา ตสฺมา เปนตน. ยสฺมา ตสมฺ า เปนตน ซงึ่ เปนบทววิ รณะโดยอรรถนนั้ ไมมีตวั อยู ตางจาก ววิ รยิ ะ-วิวรณะ ซ่งึ ตา งกม็ ตี ัวอยูดว ยกัน, ฉะนน้ั ในเวลาสัมพันธ ไมต องบอกวา ววิ รยิ ะ- วิวรณะ, บอกตรงโดยอรรถของศพั ทหรอื บทนัน้ ๆ ทีเดียว เชน หิ เหตุ, หรอื บอกวา หิ ม. ตสฺมา ๆ เหตุ ดงั นก้ี ็ได.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 71 ในโยชนา ทานแสดงอรรถของศัพทไวเหมือนกัน เชน โน โดย อรรถวา อมเฺ ห ทา นบอกวา โนติ ปทสฺส วิวรณ อมเฺ หติ. [ส. ปา. ๑/๒๔๔. โยชนา ๑/๒๑๘ ]. \"อมฺเห เปน วิวรณะ ของ บทวา โน.\" ฉะน้ัน จะใชค ําวา ' วิวรณะ.' แทน ม. ก็ได เพราะความ เทากนั เชน หิ ววิ รณะ ตสฺมา. อน่ึง ในประโยคทว่ี าง ตถา อนกุ กฑั ฒนัตถนบิ าตไว เพื่อชกั ถงึ ความทอนตน มาพูดในความทอ นหลงั อีก ไมต องบอก ตถา และ ความที่ ตถา ชักถึงเปน ววิ ริยะ-ววิ รณะ. เร่อื งนี้จักมีในตอนทีว่ า ดวย นิบาต. [ ๙ ] มคี าถา ๒ บาท ในอภธิ านัปปทปี กา ขอ ๑๑๔๕ แสดงวา ย ต ยโต ตโต เยน เตเนติ การเณ สิย.ุ \" บทเหลาน้คี อื ย ต ยโต ตโต เยน เตน พงึ ใชใ นเหตุ.\" วทามิ, ภททฺ โว. [กปล มจฉฺ . ๘/๖ ] \" (ต) เพราะเหตุน้นั เรา กลา วกะทา น ท., ความเจริญจงมีแกทาน ท.\" สรปู อธบิ าย : วิวริยะ เปนบททพี่ งึ ไข, วิวรณะ เปนบทของ ววิ ริยะ. สญั ญ-ี สญั ญา (๒) เปน บทเดยี วหรือหลายบท ที่กลา วอธิบายความกันอยาง ววิ ริยา-ววิ รณะ, แตวางกลบั กันเสยี บทไขกก็ ลายเปน คําวิเคราะห เพราะวางไวหนา เหมือนคําวิเคราะหศ ัพท, บททพี่ งึ ไขกก็ ลายเปน คํา
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ท่ี 72 ทีพ่ ึงวเิ คราะห เพราะวางไวหลงั เหมือนบทปลง, ทานบญั ญตั ชิ ื่อเรียก คาํ วิเคราะหวา สญั ญี, เรียกคาํ ท่ีพงึ วิเคราะหวา สญั ญา (ช่อื วา), มคี วามเทา กบั ววิ รยิ ะ-ววิ รณะ ตา งกนั แตว ิธเี รียงและช่ือที่บัญญัตขิ นึ้ เรยี กเทา น้นั . ช่อื นี้ นาบญั ญตั ิข้นึ อนุโลม สญั ญ-ี สัญญา ทเ่ี รียกใน โยชนา, แตสัญญี-สัญญา ทเี่ รียกในโยชนา กค็ ือสญั ญาวเิ สสิยะ- สญั ญาวเิ สสนะ ซึง่ แสดงในหนหลังแลว, สวนทีบ่ ญั ญัตเิ รียกวา สญั ญี-สญั ญา ในขอนี้ ในโยชนาไมไดเ รยี ก เชน เดียวกับไมคอย ไดเรยี กวิวรยิ ะ-ววิ รณะ, เรียกตามสัมพันธโดยปกตเิ ปน พืน้ , ทบ่ี ญั ญตั ิ เรียกซอนลงไปอกี กับสมั พันธต ามปกตกิ เ็ ปนการละเอียด. อ.ุ ใน อรรถกถาปโ ลตกิ ัตเถรวตั ถุ (เร่ืองท่ี ๑๑๖) วา เอวรโู ป ปุคคฺ โล ทุลฺลโภ (โหติ) โกจิเทว โลกสฺมึ วชิ ชฺ ต.ิ ในตัวอยางน้ี โกจิ- เทว โลกสฺมึ วชิ ฺชติ ยกมาจากคาถาท้ังบาท ความในบาทคาถานีม้ ี เทากบั ทลุ ฺลโภ เพราะมีนอ ยคน (โกจเิ ทว...วชิ ชฺ ต)ิ . กเ็ ทา กบั หา ไดย าก( ทุลฺลโภ ) หรอื หาไดย ากก็เทา กับมีนอ ย, ในท่นี ้เี รยี ง ทลุ ลฺ โภ ไวหนา ความทอนท่ียกมาจากคาถา บญั ญตั ิเรียกวา สญั ญี (เติม โหติ เพือ่ ใหม รี ปู เสมอกนั ) และเรียงความทอ นท่มี าในคาถาวา สญั ญา (ช่ือวา). บทหรือความทอ นท่ีมาในคาถาตองเปน สัญญาเสมอ. อธบิ าย : [ ๑ ] คําวา วิเคราะห ในทางไวยากรณหมายถึง วเิ คราะหศ ัพท เหมือนอยาง สยมฺภู ต้ังวิเคราะหวา สย ภวาตตี ิ สยมฺภู, สย ภวติ เปน บทวเิ คราะห สยมฺภู เปน บทปลง นวี้ เิ คราะหทาง ไวยากรณ, แตในท่นี ี้ สญั ญีเปนคําวิเคราะหท างความมิใชว ิเคราะหศ พั ท คอื มงุ อธบิ ายความของบทสัญญา อ.ุ เอวรโู ป ปคุ คฺ โล ทลุ ลฺ โภ (โหต)ิ
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 73 โกจิเทว โลกสฺมึ วชิ ฺชต.ิ [ปโลตกิ ตฺเถร. ๕/๘๑ ] \" บุคคลเหน็ ปาน นัน้ หาไดยาก ชอ่ื วามีนอยคนน่นั เทียวในโลก.\" (จินโฺ ต กาโก จ กสึ ทฺโท อปปฺ กตถฺ สสฺ วาจโก.' \"ศพั ทว า กา โก กึ ทม่ี ี จิ เปนทส่ี ดุ บอกอรรถคือนอ ย).\" โกจเิ ทว โลกสฺมึ วชิ ชฺ ติ เปนขอ ทพ่ี งึ วิเคราะหวา ความอยา งไร ? ทา นจึงใหวิเคราะหค วาม (รวมกนั ) วา ทุลฺลโภ, เรียงดจุ ต้ังวิเคราะห ศพั ทวา ทลุ ฺลโภ (โหต)ิ โกจิเทว โลกสฺมึ วชิ ชฺ ติ 'หาไดย าก ช่ือวา มนี อ ยนักในโลก.' [ ไทย ] ปุคฺคโล สยกัตตา ใน โหติ และ วิชชฺ ต.ิ โหติ และ วชิ ชฺ ติ อาขยาตบทกตั ตวุ าจก. เอวรปู โป วิเสสนะ ของ ปุคคฺ โล. ทุลลฺ โภ โหติ สัญญ.ี ทลุ ลฺ โภ วิกตกิ ตั ตา ในโหติ. โกจิเทว โลกสฺมึ วิชฺชติ สัญญา. โกจิ วกิ ติกัตตา ใน หตุ วฺ า. เอว ศพั ท อวธารณะ เขากบั โกจิ. หุตวฺ า สมานกาลกิริยา ใน วชิ ชฺ ต.ิ โลกสฺมึ อาธาร ใน วิชชฺ ต.ิ [ มคธ] เอวรโู ปติ ปท ปคุ ฺคโลติ ปทสฺส วิเสสน. ปุคฺคโลติ ปท โหตตี ิ จ วิชฺชตีติ จ ปททวฺ เย สยกตฺตา. ทุลฺลโภ โหตีติ ปททฺวย สฺ ี. ทลุ ฺลดภติ ปท โหตตี ิ ปเท วกิ ตกิ ตตฺ า. โหตตี ิ ปท ปุคคฺ โหติ ปทสฺส กตตฺ วุ าจก อาขยฺ าตปท. โกจิเทว โลกสฺมึ วชิ ฺชตตี ิ ปทานิ สฺา. โกจตี ิ ปท หตุ วฺ าติ ปเท วิกตกิ ตฺตาซ เอวสทฺโท อวธาณตฺโถ. หุตฺวาติ ปท วชิ ฺชตตี ิ ปเท สมานกาลกิริยาปท. โลกสมฺ ินฺติ ปท วิชชฺ ติ ปเท อาธาโร วชิ ชฺ ตีติ ปท ปคุ คฺ โลติ ปทสฺส กตฺตวุ าจก อาขฺยาตปท.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 74 (วิชฺชติ = วิทฺ+ย (ในหมวด ทิวฺ ธาตุ) + ต.ิ อกี อยางหน่ึง ทานใชเ ปน กัมมวาจก (อนั ...) ยอ มได, หาได). [ ๒ ] ขอ ทพ่ี ึงสงั เกตกค็ อื :- ก. สญั ญี-สญั ญานใี้ ชในอรรถกถาเปน พน้ื และบทที่มาในคาถา หรอื ในบาลี ตองเปน สัญญาเสมอ เพราะเปน บทต้ังพงึ วิเคราะห หรือ อธิบายความ. ข. สญั ญี ตองเรียนอยเู บอื้ งหนา, สัญญา ซง่ึ เปน บทมาในคาถา ตองเรยี งอยูเบ้อื งหลัง, ถาเรียงกลบั กนั ก็ไมใ ชสญั ญ-ี สญั ญา แตเ ปน วิวรยิ ะ-วิวรณะ ดัง อุ. ทลุ ลฺ โภ โกจเิ ทว... น้ัน ถา เรียงกลบั กันวา โกจเิ ทว โลกสมฺ ึ วชิ ฺชติ ทลุ ลฺ โภ (โหติ), โกจิเทว โลกสมฺ ึ วชิ ชฺ ติ กก็ ลายเปน วิวริยะ, ทลุ ลฺ โภ โหติ วิวรณะ แปลวา \"....มนี อยคน น่ันเทียวในโลก คอื หาไดย าก.\" แม อ.ุ ในขอท่ดี ว ย ววิ รยิ ะ-วิวรณะ ถาเรียกกลบั กนั เอาบทมาในคาถาไวเ บ้อื งหลงั ก็กลายเปน สญั ญ-ี สญั ญา. เพราะฉะน้นั ในที่น้ี พงึ กาํ หนดบททม่ี าในคาถาเปนเกณฑ. ถา บทมา ในคาถา ตั้งอยเู บอ้ื งหนา กเ็ ปน ววิ ริยะ-วิวรณะ ถาตงั้ อยเู บ้ืองหลงั กเ็ ปน สญั ญ-ี สญั ญา. พึงพจิ ารณาตวั อยา ง ดังตอไปน้ี :- อ.ุ ท่ี ๑ ยถา ปน, อคนธฺ ก ปุปฺผ โย น ธาเรติ, ตสสฺ สรเี ร คนโฺ ธ น ผรติ: เอว, เอตป,
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 75 โย น สกกฺ จฺจ สวนาทีหิ น สมาจรติ, สญั ญี ตสสฺ สกกฺ จจฺ อสมาจรนตฺ สฺส, สัญญา ย ตตถฺ กตฺตพฺพ, ต อกุพฺพโต สุตคนฺธ ธารณคนธฺ ปฏปิ ตตฺ คิ นฺธจฺ สัญญี น อาวหติ สัญญา อผล โหต.ิ [ฉตฺตปาณอิ ุปาสก. ๓/๔๖ ] \"เหมือนอยา งวา ดอกไมไมมีกลน่ิ หอม, ผใู ดทรงมัน, กลิ่นของ มันยอ มไมแผไ ปในสรรี ะของผนู ้ัน ฉันใด; พระพทุ ธวจนะ คือปฎ ก ๓ แมนัน้ , ก็ฉนั นัน้ , ยอ มไมน ํามา ซงึ่ กล่นิ คอื การสดบั กลน่ิ คือการ ทรงจาํ และกล่ินคอื ปฏิบตั ิ ช่อื วา ยอมเปน ของไมมีผล, ผใู ดยอมไม ประพฤติพระพทุ ธวจนะนน้ั ดวยกิจมกี ารสดับเปน ตนโดยเคารพ, แกผู ไมป ระพฤตโิ ดยเคารพนั้น ชือ่ วา ผูไมท ํากิจท่พี งึ ทําในพระพุทธวจนะ นน้ั .\" โย น ฯ เป ฯ สกกฺ จจฺ อสมาจรนฺตสฺส สญั ญ.ี ย ฯเปฯ อกพุ ฺพโต สญั ญา. เพราะ อกุพฺพโต เปนบทมาในคาถา. สุตคนฺธ ฯ เป ฯ น อาวหติ สัญญี. อผล โหติ สญั ญา. เพราะ อผล โหติ กค็ อื อผลา โหติ ในคาถา. อุ. ที่ ๒ ยถา ต ปุปผฺ ธาเรนคฺ สสฺ สรีเร คนฺโธ ผรติ; เอว เตปฏกกพทุ ฺธวจนสงฺขาตา สภุ าสิตา วาจาป วิวรยิ ะ สกุ พุ พฺ โต.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 76 ววิ รณะ โย สกฺกจฺจ สวนาทีหิ ตตฺถ กตตฺ พฺพ กโรติ, อสฺส ปุคฺคลสฺส ววิ รยิ ะ สผลา โหติ วิวรณะ สุตคนธฺ ธารณคนธฺ ปฏิปตตฺ ิคนฺธาน อาวหนโต มหปผฺ ลา โหติ มหานิสสา. [ฉตฺตปาณอิ ปุ าสก. ๓/๔๖ ] \"กลนิ่ ยอ มแผไ ปในสรีระของผูทรงดอกไมน้ัน ฉนั ใด ; แมว าจา สุภาษิต กลาวคอื พระพทุ ธวจนะคือปฎก ๓ กย็ อมเปน ของมผี ล คอื ยอ มเปน ของช่ือวา มีผลมาก มีอานิสงสม าก เพราะนํามาซึ่งกล่ินคือ การสดับ กลน่ิ คอื การทรงจํา และกลิ่นคือปฏิบตั ิ แกผูทาํ ดอี ยู คอื แกบคุ คลผูทํากิจที่พงึ่ ทําในพระพุทธวจนะ ดว ยกจิ ท. มกี ารสดบั เปนตน โดยเคารพ ฉันนนั้ .\" สกุ พุ พฺ โต (มาในคาถา) วิวรยิ ะ โย สกกฺ จจฺ ฯ เป ฯ อสฺส ปุคฺคสฺส ววิ รณะ ของ สกุ พุ ฺพโต. สผลา โหติ (มาในคาถา) ววิ รยิ ะ. สตุ คนฺธ- ฯ เป ฯ มหานสิ ส า วิวรณะ ของ สผลา โหต.ิ ตัวอยา งทั้ง ๒ นี้ พึงถอื เปนแบบได เพราะแสดงวิธเี รยี งเปน ๒ อยาง เทียบกนั จากคาถาท่มี ีรูปเดยี วกนั และถาจกั เรยี งกลบั กัน อ.ุ ท่ี ๑ กก็ ลายเปน ววิ ริยะ-วิวรณะ อ.ุ ที่ ๒ กก็ ลายเปน สญั ญ-ี สัญญา. อ.ุ ที่ ๓ ตสฺมา หิ สัญญี ธติ สิ มฺปนฺน
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ที่ 77 สญั ญา ธรี จฺ สีญญี โลกยิ โลกตุ ตฺ รปปฺ ฺาสมฺปนฺน สญั ญา ปฺ จฺ สญั ญี อาคมาธคิ มสมปฺ นฺน สัญญา พหุสสฺ ตุ ฺจ.... ต ตถารปู สปฺปรสิ โสภนปฺปุ ฺ ภเชถ ปยิรุปาเสถ. [ สกกฺ . ๖/๑๓๘ ] \"เพราะเหตุนัน้ แล บคุ คลควรคบ คือ ควรเขาไปนง่ั ใกลทา น ผูถึงพรอ มดวยธติ ิ ชอื่ วา ธรี ะ, และผูถึงพรอมดวยปญ ญาทั้งเปนโลกิยะ ทั้งเปนโลกตุ ระ ชือ่ วาผูมีปญ ญา, และผูถึงพรอ มอาคม (ปริยตั )ิ และอธิคม (มรรคผล) ชอ่ื วา ผูมีสุตะมาก,...ผเู ปน สัตบุรุษมีปญ ญา งามเชน น้ันนน้ั ...\" ธีร, ปฺ, พหุสสฺ ุต เปน บทมาในคาถา, และ ทั้งบททีเ่ ปน สญั ญี ท้ังบททีเ่ ปน สญั ญาตอ งบอกเปนวเิ สสนะอีกสวนหนึ่ง. สรปู อธบิ าย: สญั ญี เปนคาํ วิเคราะหแ สดงอธิบายความแหงสัญญา, สญั ญาเปนคาํ ทพ่ี ึงวิเคราะหแสดงอธิบายดวยสญั ญ.ี สญั ญ-ี สัญญาอีกอยางหนง่ึ (๓) อกี อยางหน่งึ สญั ญี เรยี กคาํ ท่แี สดงอธบิ าย ซึ่งเปน กริ ยิ าประกอบดว ย อนฺต หรือ มาน ปจ จยั เปน พื้น อนั วางอยู เบ้อื งหนา , สัญญา เรยี กคําท่พี งึ แสดงอธิบาย อันวางอยเู บือ้ งหลงั , คําท้ังคูน้ี ประกอบธาตเุ หมอื นกนั บาง ตา งกนั บาง แตต อ งมีความ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 78 เทา กนั . การประกอบอยา งนี้ ใชใ นอรรถกถาเปน พ้ืน เรยี กกันวา ทอดเหตุ. อ.ุ กมมฺ ตปปฺ เนน ตปปฺ นโฺ ต ปาป เม กตนฺติ ตปฺปติ. ใน อ.ุ นี้ กมมฺ ตปปฺ เนน ตปฺปนฺโต เปนคําแสดงอธบิ ายวา เดือดรอ น เพราะกรรม เปน สญั ญี, ปาป เม กตนตฺ ิ ตปปฺ ติ มาในคาถา ยกมา เรยี งไวเ บอื้ งหลงั ใหรบั กนั วา ชอ่ื วา เดอื ดรอนวา บาปอนั เราทําแลว เปน สญั ญา. อธบิ าย: [ ๑ ] สญั ญ-ี สัญญาอยางนี้ ใชเรยี กกนั ในหลายสํานัก จึงนํามาแสดงไว. อ.ุ :- อุ. ที่ ๑ บาลี ปาป เม กตนตฺ ิ ตปปฺ ติ ภยิ ฺโย ตปปฺ ติ ทคุ คตึ คโต. อรรถกถา โส หิ สญั ญี กมมฺ ตปปฺ เนน ตปฺปนโฺ ต สญั ญา ปาป เม กตนฺติ ตปป ต,ิ ... สัญญี วิปากตปปฺ เนน ปน ตปฺปนฺโต สัญญา ภยิ โฺ ย ตปฺปติ ทุคคฺ ตึ คโต. [เทวทตฺต. ๑/๑๔๖/๑๔๗ ] \"กผ็ ูทาํ บาปนนั้ เดือดรอน (โดยเดอื ดรอน) เพราะกรรม ชอื่ วา ยอมเดอื ดรอ นวา บาปอันเราทาํ แลว. เดือดรอนเพราะวิบาก ชือ่ วา ถงึ ทคุ ติ ยอมเดอื ดรอนยง่ิ .\"
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ที่ 79 อ.ุ ที่ ๒ บาลี อุตฺตฏิ เ นปฺปมชฺเชยยฺ ธมฺม สจุ ริต จเร ธมฺมจารี สุข เสติ อสฺมึ โลเก ปรมหฺ ิ จ ธมมฺ จเร สุจริต น ต ทจุ จฺ รติ จเร ธมฺมจารี สขุ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมหฺ ิ จ. อรรถกถา (คัดแตเฉพาะท่ีตองการ) สัญญี ปณ ฑฺ จารกิ วตฺต หิ ปริหาเปตฺวา ปณีตโิ ภชนานิ ปรเิ ยสนโฺ ต สัญญา อตุ ตฺ ฏิ เ ปมชชฺ ต นาม. \"กภ็ กิ ษยุ ังบิณฑจารกิ วัตรใหเ สอ่ื ม แสวงหาโภชนะอนั ประณตี ช่ือวา ยอ มประมาทในกอนขา วที่พึงลุกข้นึ รับ.\" สญั ญี สปทาน ปณ ฑฺ าย จรนโฺ ต ปน สญั ญา นปปฺ มชฺชติ นาม. \"แตเทยี่ วไปเพือ่ บณิ ฑะ ตามลาํ ดบั ตรอก ช่อื วา ยอมไมป ระมาท.\" สญั ญี เอว กโรนโฺ ต สัญญา อตุ ตฺ ิฏเ นปฺปมชเฺ ชยยฺ . \"ทาํ อยางนนั้ ชือ่ วาไมพ ึงประมาทในกอนขา วที่พงึ ลกุ ข้ึนรบั .\" สญั ญี อเนสน ปหาย สปทาน จรนฺโต สัญญา ตเมว ภิกขฺ าจริยธมฺม สจุ รติ จเรยยฺ . \"ละอเนสนา เทยี่ วไปตามลาํ ดับตรอก ชื่อวา พึงพระพฤตธิ รรม
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาที่ 80 คือ ภิกษาจาร นัน้ นัน่ เทยี วเปนสจุ รติ .\" สัญญี ภกิ ขฺ าจริยธมฺม จรนฺโต สัญญา ธมมฺ จารี. \"ประพฤติภิกขาจรยิ าธรรม ชอ่ื วา ธรรมจาร.ี \" สัญญี เวสยิ าทิเภเท อโคจเร จรนฺโต สญั ญา ภกิ ขฺ าจริยธมฺม ทจุ จฺ รติ จรติ นาม. \"เท่ยี วไปในอโคจร ตา งดว ยหญิงแพศยาเปน ตน ชือ่ วา ประพฤตภิ ิกขาจริยธรรม เปนทุจรติ .\" [ สทุ โฺ ธทน. ๖/๓๓-๓๔] [ ๒ ] สัญญ-ี สัญญาในลักษณะที่กลาวนี้ บางอาจารยใ หใ ชเ รียก เฉพาะแหงท่ีมีบทมาในคาถาเปนคําที่พึงอธิบาย และถามีนามศพั ทวางอยู ดวยแลวกไ็ มต องใชเ รยี ก. พิเคราะหด เู ห็นวา การทีจ่ ะเรยี กวาสัญญ-ี สัญญา ควรกําหนด ดวยลกั ษณะอันควรเรียก, แตโ ดยมากมีในอรรถกถาที่ยกคาํ ในคาถามา แสดงอธิบาย, อาจารยจึงยกแตทีม่ ีคําในคาถามาสอน, และถา มนี ามศัพท ถึงอาจารยไ มบอกวา น่สี ัญญา ก็ตอ งแปลช่อื วาอยนู ั่นเอง อาจารยจงึ บอก แตท ่ไี มมีนามศพั ทวาน่ีสัญญา เพื่อใหนกั เรยี นสังเกตแปลใหถกู . ก็คําทีม่ นี ามศพั ทบา ง ไมม บี าง แตแปลวา ชอ่ื วา ยังมอี กี มาก แต กห็ าเรยี กวา สัญญาไม เชน คํามาในคาถาทีแ่ สดงอธบิ ายดว ยบทเหตอุ ยู เบ้ืองหนา อันเรียกวา หนุนเหตุ อุ... อรหตฺตปาปนสงฺขาตาย ธรุ วหนสีลตาย โธรยหฺ สีล. ...ภเชถ ปยริ ุปาเส.[สกกฺ ๖-๑๓๘] \"บุคคลควรคบ คอื ควรเขาไปนงั่ ใกล. ..ผูชื่อวามีปกตนิ าํ ธุระไป เพราะ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาท่ี 81 ความเปน ผมู ีอันนําธรุ ะไปเปน ปกติ กลาวคือการใหถ ึงพระอรหัต...\" บทเหตุคอื ธุวหนสลี ตาย ไมใชลกั ษณะท่ีเปนสัญญี, โธรยหฺ ลลี จงึ ไมเปนสญั ญา, แปลวาชื่อวา เพียงเสรมิ ความเชนเดยี วกบั บทปลงของ สมาสนามท่ีไมม ีอัญญบท, เร่อื งนีไ้ ดก ลาวในขอ สญั ญวี ิเสสยิ ะ-สญั ญา- วเิ สสนะในหลงั แลว . แทท ีจ่ รงิ ชื่อคดู ังเชน วิวรยิ ะ- วิวรณะ, สญั ญา นี้ ใน โยชยายงั มีใชอกี คืออปุ มา-อุปเมยฺย. อ.ุ ตสฺส ปุรสิ สฺส นิทฺทายนกาโล วยิ ภวงคฺ กาโล. [อภิธมฺมตถฺ . จตตุ ถฺ ปรจิ ฺเฉท. น. ๑๓๘] \"กาลแหง ภวังค ราวกะกาลแหก ารหลบั ของบุรุษนัน้ .\" ทา นเรยี กวา นทิ ทิ ายน- กาโล อปุ มา, ภวงคฺ กาโล อุปเมยยะ. แตเรยี กตามอรรถโดยปกติ กม็ าก เชน นิรฑุ โฺ ฒ หิ เอส จกขฺ สุ ทโฺ ท ทฏ ุกามตานิทานกมมฺ ช- ภตู ปฺปสาทลกขฺ เณ จกฺขุปปฺ สาเทเยว มยรุ าทสิ ทฺทา วยิ สกุณวิเสสทสี ุ. [อภิธมฺมตฺถ. ปมปรจิ ฺเฉท. น. ๗๖ ] \"แทจริง ศัพทวา จกั ขุนัน่ ลงแลว ในจักขุปสาท ที่มีปสาทแหงภูตะ เกดิ แกก รรมท่มี คี วามเปนผูใ คร เพ่อื จะเหน็ เปน นิทานนัน่ เทียวเปน ลกั ษณะ เหมือนศพั ทว า มยรุ ะ เปนตน ลงในสกณุ วเสสเปนตน .\" ทานบอก มยรุ าทิสททฺ า ลงิ คตั ถะ, วยิ ศพั ท อุปมาโชตก. [โยชนา. ๑/๓๐๕]. สรปู อธบิ าย: - สัญญี เปน คาํ วเิ คราะหแสดงอธบิ ายความแหง สัญญา, สัญญาเปนคาํ ท่ีพงึ วิเคราะหแสดงอธิบายดว ยสัญญ.ี
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 82 เบด็ เตล็ด ๘. มบี ทและศัพทเ บด็ เตลด็ เล็กนอ ย คอื :- บทตง้ั (๑) บทนามบาง บทกริ ิยาบา ง ศพั ทนบิ าตบาง เปน บทตั้งเน่อื งใน อติ ศิ ัพท เรยี กวา สรปู เขากับอติ ศิ พั ทนน้ั , สรปู นี้ ไมเ ชงิ เปน ชอื่ เพราะบทตั้งยอ มมชี ือ่ ตามสัมพนั ธใ นประโยคทยี่ กมา, เปนแตบอกความเนื่องในอติ ศิ พั ท อุ. ตตฺถ ภยนฺติ ภายิตพฺพ. ในตัวอยา งนี้ เปน อรรถกถา (มหาธนวาณิชวตั ถุ ท่ี ๑๐๑) ยก ภย จากบาทคาถาวา วาณฺโชว ภย มคฺค มาตัง้ แกอรรถ. ภย สรปู ในอติ ิศพั ท. ยกมาตง้ั หลายบทจนถงึ ทัง้ บาทคาถา หรอื ทัง้ พากย หรอื มากกวานน้ั กม็ ี. อธบิ าย : [ ๑ ] คาํ วา บทนาม หมายถึง บทนามทงั้ ๓, คาํ วา บทกิรยิ า หมายถงึ บทกิรยิ าทกุ อยา ง ท้งั ในพากยางค ทง้ั ในพากย. บทเหลา นนั้ บทเดียวก็ตาม หลายบทกต็ าม แมศัพทท ่ยี กมาต้ังแกอรรถ เรยี กวา สรปู . บทสรูปในลักษณะนี้ นกั เรียนไดท ราบตัง้ แตเ รม่ิ หดั แปลธัมมปทฏั ฐกถาแลว , นาํ มาแสดงไวดวยเพ่ือใหบรบิ ูรณ. แทจริง บทเดยี ว หรอื หลายบทที่ยกมาตง้ั แกอรรถนนั้ กม็ สี มั พนั ธเ ดิมโดย เฉพาะของตน เชนในตัวอยา งน้ัน ภย เปน วิเสสนะ ของ มคฺค ในบาทคาถาวา วาณิโชว มคคฺ , น้ีเปน สัมพันธเ ดิมของ ภย แต
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 83 เมอื่ ยกมาตั้งแกอ รรถ ก็มสี ัมพนั ธใหมกับอิตศิ พั ท จงึ ไมตองบอกสมั พันธ เดมิ บอกแตสัมพนั ธใหมว า สรูปในอติ ศิ พั ท. สว นบทแกต องบอก สมั พนั ธ อนวุ ัตสมั พันธเดิมของบทต้ัง ดังใน อ.ุ น้ี บอก ภายิตพฺพ วา วเิ สสนะของ มคคฺ . น้เี ปน ขอที่พึงทราบ. อ.ุ :- อ.ุ ที่ ๑ ตตฺถ ภยนฺ-ติ ภายิตฺพฺพ. [ มหาธนวานชิ . ๕/๒๒] \"บรรดาบท เหลานัน้ บทวา ภย ไดแ ก ทพ่ี งึ กลัว.\" ตตถฺ าติ ปท ปเทสตู ิ ปทสสฺ วิสสน. ปเทสตู ิ ปท นิทฺธารณ. ภยนฺติ ปท อติ สิ ทเฺ ท สรปู . อิตสิ ทฺโท ปทสฺสาติ ปเท สรปู . ปทสสฺ าติ ปท ปเทสตู ิ ปทสสฺ นิทธฺ ารณิย, อตฺโถติ ปทสฺส สมพฺ นฺโธ. อตฺโถติ ปท ลงิ คตฺโถ. ภายิตพฺพนตฺ ิ ปท มคฺคนตฺ ิ ปทสฺส วเิ สสน. อิตสิ ทฺโท อตโฺ ถติ ปเท สรปู . อ.ุ ท่ี ๒ ตโต น สขุ มเนวฺตี-ติ ตโต ติวิธสจุ ริตโต ต ปุคฺคล สุขมเนฺวติ. [มฏกณุ ฑฺ ล. ๑/๓๖] \" บาทคาถาวา ตโต น สขุ มเนฺวติ ความวา สุขยอมไปตามบคุ คลนัน้ เพราะสุจริต ๓ อยา งนน้ั .\" ตโต น สุขมเนวฺ ตตี ิ ปทานิ อิติสทเฺ ท สรปู . อิตสิ ทโฺ ท คาถาปาทสฺสาติ ปเท สรูป. คาถาปทาสสฺ าติ ปท อตโฺ ถติ ปทสฺส สมฺพนฺโธ. อตโฺ ถติ ปท ลิงคฺตโฺ ถ. [ ๒ ] หรือบทศพั ทเล็กนอยทยี่ กมาอาง เพ่ือสาธกความ ซ่ึง
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 84 เน่อื งในอิติศัพท กส็ งเคราะหเขาในบทตั้ง [ ๓ ] บทที่มใิ ชบทดงั กลาวในขอ [๑] - [ ๒ ] พึงบอกสัมพันธ ตามควรแกอ รรถ. อ.ุ กนิ นฺ ุ โข อห ' อนิจจฺ ทุกขฺ อนตฺตาติ ตลิ กฺขณ อาโรเปตวฺ า โยคกฺเขม กาตุ นาสกขฺ ึ. [ ปาฏกิ าชีวก. ๓/๔๒] \"เรายกข้ึนสูไ ตรลักษณวา ' ไมเทย่ี ง ทกุ ข อนตั ตา' ไมไดอาจเพือ่ ทํา ความเกษมจากโยคะหรือหนอแล.\" อนจิ จฺ ทกุ ขฺ อนตฺตาติ ตปิ ท ลิงคฺ ตฺโถ. (หรอื อนจิ ฺจ ทุกขฺ อนตฺตาติ ตปิ ท ขนฺธปฺจกนฺติ ปทสสฺ วิเสสน. ขนธฺ - ปจฺ กนตฺ ิ ปท ลิงคฺ ตโฺ ถ). สรปู อธบิ าย :- บทตงั้ ทเี่ นื่องในอิตศิ พั ท บอกสรูปในอติ ศิ ัพท. กตปิ ยศพั ท (๒) ศพั ทเ ล็กนอย เชน กสิ ฺส กสิ มฺ ี เปนรูปวภิ ตั ติอน่ื ของ กึ ศัพท ใชในอรรถตามวภิ ตั ตขิ องตน, กิมตฺถ ยทตถฺ ยาวทตฺต เปนตน เปน รปู ภาวนปุสกลิงค ใชใ นอรรถสมั ปทาน บาง กริ ยิ าวิเสสนะบาง , ภตู ปุพพฺ วางตน ขอความ ใชเ ปน ลิงคัตกะ. อธบิ าย : [ ๑ ] กึ ศพั ท คงเปนรูป กึ อยแู ตใ น นป.ุ ป. ท.ุ เอก. เทา น้ันเปนพ้ืน, รปู อื่นทมี่ ใี ชบ า งคอื กิสฺส กสิ มฺ ึ. อุ. ที่ ๑ กิสฺส ปน เถโร เอเกนูนมกาสิ. [ สมนตฺ . ๑๗/๗ ] \"กพ็ ระเถระ ไดทาํ ใหห ยอนหนง่ึ เพื่ออะไร.\" กิสสฺ สมั ปทาน.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาที่ 85 อ.ุ ที่ ๒ กิสสฺ ปน นสิ สฺ นเฺ ทน ตาเยต ปสาธน ลทธฺ [ วสิ าขา. ๓-๕๗ ] \"กป็ าสธนะน้นั นางไดแลว เพราะความหล่ังออกแหง อะไร. (หรือแหง กรรมอะไร. กสิ สฺ วเิ สสนะของ กมฺมสสฺ ). อุ. ที่ ๓ กสิ ฺมึ วตฺถุสฺมึ [ว.ิ จุลฺลวคฺค. ๒/๓๘๓] \"ในเพราะวัตถุอะไร.\" [ ๒ ] กมิ ตถฺ ยาวทตถฺ เปน ตน จาํ พวกมี อตฺถ เปน เบื้องปลาย นยิ มประกอบเปนรปู ภาวนปสุ กลงิ ค ไมใ ชบัญญัตวิ า จตุตถวี ิภัตติอยาง ปรุ ิสตฺถ, ถา เปน จตุตถวี ิภตั ติ ตอ งเปน กิสฺส ยสฺส เปน ตน ไมใช กิมตฺถ, ยทตฺถ. บทเหลา น้ีใชเ ปน สมั ปทานเปน ตน เรียกช่ือตามอรรถท่ีใช. อุ. ที่ ๑ สมั ปทาน ยทตฺถ โภคมจิ ฺเฉยยฺ ปณฺฑโิ ต ฆรมาวส. [องฺ. จตกฺ ฺ. ๒๑/๙๐] \"บณั ฑิตครอบครองเรอื น พึงปรารถนาเรือน พึงปรารถนาโภคะ เพ่ือประโยชนใด.\" อุ. ที่ ๒ กิรยิ าวเิ สสนะ ยาวทตฺถ ภุ ฺช. [ สามาวต.ี ๒/๑๐ ] \"ทา นจงบริโภคเพียงพอ ตอ งการ.\" (ยาวทตถฺ กําหนดเพยี งไรแหงความตอ งการ). อ.ุ ที่ ๓ กิมตฺถ อาคตาสิ. [ วิสาขา. ๓/๗๒] กริ ิยาวิเสสนะ) \"ทา น มาตอ งการอะไร. \" (สมั ปทาน) \"ทา นมาเพ่อื ประโยชนอ ะไร.\"
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 86 กมิ ตถฺ ใน อ.ุ น้ี มคี วามเทากบั กึการณา ในคําวา กกึ ารณา อาคโตส.ิ [ วสิ าขา. ๓/๔๘ ] . กิมตฺถ (มีอะไรเปน ประโยชน, เพ่อื ประโยชนอ ะไร) ประกอบเปน รูป กมิ ตถฺ าย กม็ ี. [ ๓ ] ภตู ปพุ พฺ ใชว างตนขอความที่เลาเร่อื งซึ่งเคยมมี าแลว ใน อดตี กาล ตัดเรียกเปนลิงคตั ถะเฉพาะบท นอกนัน้ เรียกสัมพนั ธไป โดยปกติ. อุ. ภูตปพุ ฺพ ภกิ ขฺ เว เทวาสุรสงฺคาโม สมปุ พพฺ ยุฬฺโห อโหสิ. [ ส. ส. ๑๕/๓๒๐] \"เรือ่ งเคยมีมาแลว ภิกษุ ท. สงครามแหงเทพ และอสรู ไดเ กดิ ประชดิ กนั แลว .\" แต ภตู ปพุ ฺพ ทีใ่ ชอ รรถอื่น กเ็ รยี กตามอรรถท่ีใช อ.ุ สาลคิ พภฺ ผาเลตฺวา ทาน นาม เนว อตเี ต ภูตปุพพฺ . [ สฺชย. ๑/๙๒ ] \"ชอื่ วาการผาทอ งขาวสาลีให ไมเคยมแี ลว ในอดตี .\" สรปู อธบิ าย: กตปิ ยศัพท พงึ สงั เกตเรียกตามอรรถทใี่ ชในทีน่ ัน้ ๆ.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 87 ลักษณะความเปนตนบางอยาง ๙. มลี กั ษณะความ , บทหรือศพั ทบ างอยา งในประโยค คือ:- นาคโสณฑิ (๑) มีความ ๒ ทอน, ทอ นตน กลา วผลซ่ึงชวนใหถ ามถงึ เหตุ วาเปนอยา งนั้น เพราะอะไร จึงกลาวเหตใุ นทอนหลงั , โดยปกติ ทานวาง การณโชตกนบิ าต (ห,ิ จ, ปน) ในความทอนหลงั นัน้ , แตบ างทีทานก็ไมไ ดว างไว. เมอื่ จะแสดงอธิบายความอยา งแกอรรถ (หรอื แปล) ใหเห็นวา เปน ประโยคเหตุ, กต็ อ งประกอบ ยสมฺ า หรือ หิ (เหตุ) เขา เพ่อื ใหชดั วาเปน ความทอ นเหตุ. อ.ุ ใน สาริปตุ ตฺ ตเฺ ถรสฺสสทฺธวิ หิ าริกวตถฺ .ุ (เรอ่ื งที่ ๒๐๙) วา สนตฺ มิ คฺคเมว พรฺ หู ย, นพิ พฺ าน สุคเตน เทสิต. ความทอ นตนคือ 'สนตฺ มิ คคฺ เมว พฺรูปหย' ' สูจงพนู ทางแหง ความสงบน้นั แล' กลา วผล, ความทอนหลงั คอื ' นิพพฺ าน สคุ เตน เทสติ ' ' นิพพานอนั พระสุคตทรงแสดงแลว ' กลา วเหตุ แตห าได วางการณโชตกนิบาตไวไม, เพื่อแสดงอธบิ ายใหช ดั พึงประกอบ วา :- สนตฺ ิมคคฺ เมว พรฺ ปู หย, นิพฺพาน หิ สุคเตน เทสติ .
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาที่ 88 อีกอยางหนึ่งประกอบวา สนฺติมคคฺ เมว พรฺ หู ย, ยสมฺ า นพิ ฺพาน สุคเตน เทสติ . ประกอบ ยสมฺ า กเ็ ทา กับ หิ หรอื ประกอบ หิ ก็เทา กบั ยสมฺ า นน่ั เอง เพราะตา งกส็ องความปฏโิ ลมวา เปน เหตุของทา นตน โบราณทานจึงเรยี กวา นาคโสณฑิ เพราะเหมือนนงวงชางที่ทอดลงมา แลว กง็ อกลบั ข้ึนไป. กลา วสั้น ขอความทกี่ ลา วผลกอ น กลา วเหตุ ภายหลงั , นาคโสณฑิ เปน ช่อื ของความทอ นหลัง เพราะสองความ ปฏิโลม คือยอมกลับไปหาทอนตน . นาคโสณฑนิ ้ี ไมใ ชช ื่อสัมพันธ, ชื่อสัมพันธเรียกตามอรรถ ท่ีใช. อธบิ าย : [ ๑ ] นาคโสณฑมิ ลี ักษณะอยางไร ไดแ สดงไวชัดเจน ในหัวขอพรอมท้งั ตัวอยางแลว , จะอธบิ ายแตท แ่ี ปลกออกไป ประโยค เชน นีใ้ นการแปลศพั ทหรอื แปลโดยพยัญชนะ ทานสอนกันมาใหแปล แบบงวงชา ง คือแปลทอ นตนท่กี ลาวผลกอน แลวจึงแปลทอนหลังที่ กลา วเหตุ,ใหแปลเติม หิ (เหต)ุ ตนขอ ความ, หรอื ใหแ ปลเตมิ ยสมฺ า ทส่ี ดุ ขอ ความ, ถา แปลเติม ยสมฺ า ก็จะตอ งมี ตสฺมา รบั (เวน แตจะแปลเปนสากงั ขคติ), จงึ จาํ ตองชักเอาทอนตน มาแปลอกี คร้นั หนง่ึ ใหเ ปน ประโยค ตสมฺ า, แตถ าเติม หิ แปลวา เหตวุ า, เพราะวา กไ็ มตองยอ นไปแปลทอ นตน อกี .
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 89 [ ๒ ] นักเรยี นมักเขาใจกันวา ท่เี รียกวา นาคโสณฑิ เพราะ ตองยอนไปแปลความทอนตนอกี คร้งั หนึง่ . ถาเชน นนั้ ถา แปลเติม หิ (เหตุ) ไมต องยอนไปแปลทอนตนอกี จะไมเปนนาคโสณฑิหรือ ท่แี ทจรงิ คงเปนนาคโสณฑินั่นเอง เพราะแปลงทอ นทีก่ ลา วผลกอน แปล ทอ นทกี่ ลาวเหตุภายหลงั เหตกุ ็สองความปฏิโลมกลับไปหาผลอยูน ั่นเอง, ถา แปลทอนเหตุกอ นน่ันแหละ จึงไมเปน นาคโสณฑิ เปน ผดิ ประโยค. [ ๓ ] การประกอบขอ ความทง้ั ปวงนน้ั บางทกี ลา วเหตุกอ นผล ใหเหตอุ นโุ ลมแกผล นเี้ ปน ประโยคธรรมดา, บางทีกลาวผลกอนเหตุ ใหเ หตปุ ฏิโลมตอ ผล นเี้ ปน นาคโสณฑ,ิ นาคโสณฑมิ ีในธมั มบทหลาย แหง ทา นแกอรรถเปน ยสฺมา - ตสฺมา หรือ หิ ตสมฺ า ก็มี วางแต ยสมฺ า หรือ หิ ก็ม.ี จะแสดงตัวอยาง ๓ แบบ :- แบบที่ ๑ นพิ พฺ าน หิ สคุ เตน เทสิต, ตสมฺ า ตสสฺ มคฺค ภาเวห.ิ [ สารปี ุตตฺ ตฺเถรสสฺ สทฺธวิ หิ าริก. ๗/๘๒ ] \"พระนพิ พาน อนั พระสุคต ทรงแสดงแลว เพราะเหตุใด (หิ= ยสมฺ า),เพราะเหตุนัน้ ทา นจง ยังทางแหง พระนพิ พานนั้นใหเจริญ.\" อ.ุ น้ี เปนอรรถกถาแกอรรถ \"นิพฺพาน สคุ เตร เทสตฺ . \" แบบท่ี ๒ ยสมฺ า สพพฺ สตตฺ าน ชวี ิต มรณปริโยสานเมว. [ อตุ ตฺ รตเฺ ถร.ี ๔/๑๐๕ ]. น้ีเปน อรรถกถาแกอรรถ ' มรณนฺต หิ ชวี ติ . ' ที่กลา วเหตุ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนา ที่ 90 ของทอ นตน คอื ' ภชิ ชฺ ติ ปูติ สนเฺ ทโห, ทานแตง ประโยคแกอ รรถ วา กึการณา ? มรณนฺต หิ ชีวิต. ยสมฺ า สพฺพสตตฺ าน ชีวิต มรณปรโิ ยสานเมวาติ วุตฺต โหติ \"(กายเนาจะตองแตก) เพราะ เหตุไร ? เพราะวา ชวี ิตมีความตายเปนท่ีสดุ , ที่คําอธบิ ายวา เพราะ เหตทุ ่ีชวี ิตของสัตวท้ังปวง ท. มีความตายเปน ที่สดุ นน้ั เทียว (ฉะนัน้ กายเนา จะตองแตก).\" ' มรณนฺต หิ ชีวิต ' น้ี ทานวางการณโชตก- นิบาตไวด ว ย. แบบที่ ๓ ปุ ฺ สฺส หิ อุจจฺ โย วฑุ ฒฺ ิ อธิ โลกปรโลกสุขาวหนโต สุโข. [ลาชเทวธตี า. ๕/๙]. นเี้ ปน อรรถกถาแกอ รรถ ' สุโข ปุ ฺสฺส อุจฺจโย' ท่กี ลา วเหตุของทอนตน คือ ' ตมหฺ ิ ฉนฺท กยริ าถ.' ทา น แตงประโยคแกอ รรถวา กกึ ารณา ? สุโข ปุ ฺ สฺส อจุ ฺจโยติ ปุ ฺ สสฺ หิ อจุ จฺ โย วฑุ ฒฺ ิ อิธโลกปรโลสุขาวหนโต สโุ ขติ. \"(ถามวา พงึ ทําความพอใจในบญุ น้นั ) เพราะเหตุไร ? (แกวา ) เพราะ ความส่ังสมแหง บญุ ใหเกดิ สขุ , อธบิ ายวา เพราะวา ความสง่ั สม คือ ความเจริญแหงบญุ ชอ่ื วาใหเ กิดสขุ เพราะเปน เคร่ืองนาํ มาซึ่งความสขุ ในโลกน้ีและโลกอนื่ .\" จะแปล หิ เปน ยสมฺ า และเตมิ ตสฺมา ตมหฺ ิ ฉนทฺ กยริ าถ อกี กไ็ ด. [ ๔ ] ในประโยคทองเรอ่ื ง บางทีทานแตความทอ นตน ซ้ําไว ดวย เชน มหาราช (หิ=ยสมฺ า) อคฺคราชสสฺ สนตฺ ิเก นสิ ินฺโน ปเทสราชาน ทสิ ฺวา อฏุ หนโฺ ต สตฺถริ อคารโว ภเวยยฺ , ตสฺมา
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนาท่ี 91 น อฏุ ห.ึ [ ฉตตฺ ปาณิอุปาสก. ๓/๔๔] . ขอวา ' ไมยืนข้นึ เปน ความ ทอนตน มีในคาํ ตรสั ถามของพระเจาปส เสนทิโกศลวา เอว, กสมฺ า ปุริมทวิ เส สตฺถุ สนตฺ ิเก นิสนิ โฺ น ม ทสิ วฺ า น อุฏ ห.ิ \"อยา งนัน้ , เหตไุ รในวันกอน ทานนงั่ อยูในสํานักของพระศาสดา เห็นเราแลว ไมยนื ขึน้ รบั .\" ฉตั ตปาณิอบุ าสกทูลตอบดวยถอยคําท่ียกมาเปนตัวอยา ง นั้น แปลวา \"ขาแตพระมหาราช, เพราะเหตทุ ่ขี าพระองคน ั่งในสํานัก ของพระราชาผูเลศิ เมอ่ื เหน็ เจาประเทศราชแลว ยนิ ข้นึ รับ.\" ตสฺมา น อฏุ หึ เปนประโยคพูดซาํ้ ตน . โดยมากทานไมพูดใหชํ้าอีก ดงั เชน ในกมุ ภโฆสกวตั ถุ [ ๒/๗๕ ] ตอนทกี่ ลาววา พระราชาตรัสถามเศรษฐี- บตุ รวา วเทหฺ โภ กสฺมา เอว กโรสิ ? \"ผเู จริญ, จงกลา ว, เจา ทําอยางนั้นเพราะอะไร ?\" เศรษฐบี ุตรทูลตอบวา นสิ สฺ โย เม นตฺถิ เทว. \"ขา แตเทวะ, (เพราะวา )ทพี่ ่ึงของขาพระองคไมม ี. ในการบอกสมั พันธ พึงบอกอยาแปล แลว แตจ ะใชวธิ ีเติม หิ เพราะวา , หรอื ยสมฺ า หรอื หิ เพราะเหตุใด. สรปู อธบิ าย: นาคโสณฑิ เปนช่อื ของความทอ นหลังท่กี ลา วเหตุ ของความทอนตน เพราะสอ งความยอนกลับไปเปนเหตขุ องความทอนตน . บอกสมั พันธต าม กาโกโลกนยั (๒) ในพากยหรือพากยางคเ ดียวกัน บางทีตองใชบ ท ๆ หน่ึงในอรรถหลายอยา ง แตทานวางบทเชนนนั้ ไวค รั้งเดียว, บท เชนน้โี บราณทานเรยี กวา กาโกโลกนัย คือมีนัยอยางการดขู องกา
ประโยค๑ - อธิบายวากยสัมพนั ธ เลม ๒ - หนา ท่ี 92 คือดูแลว ยงั เหลียวดูอีก. อ.ุ เตส เม นิปโก อริ ิย ปฏุ โ ปพฺรหู ิ มาริส. ใน อ.ุ น้ี เม ใช เปน อนภิหติ กตั ตา ใน ปุฏโ และ สมั ปทาน ใน ปพฺรูหิ. กาโกโลกนยั น้ี ไมใ ชช ่อื สมั พันธ, ชอื่ สมั พนั ธเ รยี กตามอรรถ ที่ใช. อธบิ าย: ลักษณะบททเี่ ปนกาโกโลกนยั ไดกลา วไวชดั เจนใน หวั ขอ ขางตนนนั้ แลว. อ:ุ - เตส เม นปิ โก อริ ยิ ปฏุ โ ปพฺรหู ิ มารสิ . [ยมกปฺปาฏหิ ารยิ . ๖/๙๖ ] \"ดกู อ นผูเชนกบั ดวยเรา, ทานผู อันเรา ถามแลว จงบอกความ เปนไปแหงบคุ คลเหลาน้นั แกเ รา.\" สรูปอธบิ าย :- กาโกโลกนยั คอื วางไวบ ทเดยี ว ใชในอรรถ หลายอยา ง. บอกสมั พนั ธตามอรรถที่ใช. สากงั ขคติ (๓) ย สพั พนาม ทไ่ี มถอื เอา ต ศพั ท ทา นเรียกวา สากังขคติ, ทา นแปลวา ' ไรเลา ,' โดยความ เปนสมั พนั ธวิเสสนะ ในอีกประโยคหนงึ่ จึงแปลงโดยอรรถดว ยใชอ ายตนิบาต เชือ่ ม ประโยคในภาษาไทยวา ผู, ที่ , ซ่งึ เปนตน . อ.ุ ใน มงคฺ ลตถฺ ทีปนี ตอนทานกถาวา หตถฺ ทิ นเฺ ตน ปวตฺติตา ทนฺตมยสลาก, ยตฺถ ทายกาน นาม องเฺ กนตฺ .ิ ย สัพพนาม ทีถ่ อื เอา ต ศพั ท ไมเ ปน สากังขคติ.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 93 สากงั ขคตนิ ไี้ มใ ชช อ่ื สัมพันธ, ชอ่ื สัมพันธเ รียกเปน วเิ สสนะ โดยปกติ, แตไ มเ ติม ต ศพั ทร ับ ปลอ ยไวแต ย ตามลําพงั . อธบิ าย: [ ๑ ] ตามอาจริยกะ (มตพิ ระอาจารย) ย-ต ศัพท ใชเน่อื งกนั ๑ ย ศพั ทใชแ ตอยา งเดยี ว ๑ ดังคาถาวา :- ยนฺติ สตุ ฺวา ตนวฺ ิ ปท ตนฺติ สตุ วฺ าน ยนฺติ จ โยเชยฺย ยตสททฺ าน นิจจฺ สมพฺ นธฺ ภิ าวโต. \"ไดย นิ วา ย แลว พึงประกอบบทวา ต (รบั ) และไดย ินวา ต แลว พึงประกอบบทวา ย (รับ) เพราะ ย, ต ศัพทเ นอ่ื งถกึ กนั เปนนิตย\" ปุพฺโพ วากโฺ ย ปาตตโฺ ถ ตุ ยส ทโฺ ท อุตตฺ รวากเฺ ย ตสทฺโทปาทาน วินา สากงโฺ ข วากยฺ สสฺ อนุ ตตฺ ชเนต.ิ \"พากยตนมเี นื้อความชดั แลว ย ศัพทในพากยหลงั เวน การ เขาไปถอื เอา ต ศัพท ชอ่ื วา สากังขคติ ยอ มยังความท่ีพากยพรอ ง (จาก ต ศพั ท) ใหเกดิ .\" [ ๒ ] แบบสากังขคติ บัดนีไ้ มคอ ยไดใชก ัน แตพระอาจารยทา น ใชม า จะแสดง อุ. และคําแปลแบบ สากังขคติ. อุ. ที่ ๑ หตฺถิทนฺเตน ปวตฺตติ า ทนฺตมยสลากา, ยตถฺ ทายกาน นาม องเฺ กนฺติ. [มงฺคลตฺถ. ๒/๓๖ ]
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนาที่ 94 แปลโดยพยัญชนะ \"สลาก ท. อันบุคคลใหเปนไปแลว ดว ยเงาของชาง ชอื่ วา ทนั ตมยสลาก (สลากอักบุคคลทาํ แลวดว ยงาของชา ง), ชน ท. ยอ ม จดซึ่งชื่อของทายก ท. ในสลาก ท. ไรเลา. แปลโดยอรรถ \"สลากทเี่ ปน ไปดว ยงาชาง เรียกสลากงา ท่ี เขาจดช่อื ทายก.\" อุ. ที่ ๒ ชนา มฺ นฺติ พาโลติ เย ธมมฺ สฺส อโกวทิ า. [ ส. ส. ๑๕/๓๒๕ ] แปลโดยพยญั ชนะ \"ชน ท. ยอ มสาํ คัญเหน็ วาคนเขลา ดังน,้ี ชน ท. ไรเลา ผูไม ฉลาดในธรรม.\" แปลโดยอรรถ \"(แต )พวกชนผูเ ขลาในธรรม ยอ มสําคญั เห็นวาเปนคนออ นแอ ไป.\" [ คาํ แปลในมงคลวเิ สสกถา พ.ศ. ๒๔๕๕] สรปู อธบิ าย: ย ศพั ทท ี่ไมถอื เอา ต ศพั ท เปน สากังขคติ, บอก สมั พนั ธเ ปน วเิ สสนะโดยปกต.ิ
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 95 นิบาต หมวดนิบาต ๑๐. นบิ าตตาง ๆ ทา นจดั หมวดแสดงในแบบวากยสัมพนั ธ ตอนตน แลว, ในทน่ี จี้ ะยอนิบาตในแบบกลา วตามหมวด, และจะ แทรกนบิ าตทแี่ สดงไว หรอื ที่ใชใ นทีต่ า ง ๆตอ , โดยมากคดั จาก อภธิ านนปั ปทีปกา ฉบบั ภาษาบาลีแปลเปน ไทย ของสมเด็จพระสังฆ- ราชเจา กรมหลวงชนิ วรสริ วิ ัฒน. ไดบอกขอ ไวในวงเล็บดว ย และ เกบ็ จากท่ีอ่ืนบา ง, ไดบ อกทม่ี าไวด ว ย. นิบาตหมวดที่ ๑ กาํ หนดดวยความ ๒ ทอ น ลงในทอนหลัง (๑) วิตฺถารโชตโก, วติ ถฺ าโร สองความพิสดาร. หิ = ความพิสดารวา , ก็ (๒) วากยฺ ารมฺภโขตโก, วากฺยารมโฺ ภ สอ งความที่เทา พากย กอน. ห,ิ จ, ปน = ก,็ แล, ก็แล. วากยารัมภะในทม่ี าตาง ๆ อโถ. อถ = ก็ (๑๑๙๐); หนฺท (๑๑๙๓). ขลุ (วากฺยาลงฺการ อลงั การ คอื วากยะ) แปลวา ก็ (๑๑๙๕). (๓) การณโชตโก, เหตุ สอ งความท่ีเปนเหตุ.
ประโยค๑ - อธิบายวากยสมั พันธ เลม ๒ - หนาท่ี 96 ห,ิ จ, ปน= เหตุวา, เพราะวา. (๔) ผลโชตโก, ผล สองความท่เี ปนผล ห,ิ จ, ปน= ดว ยวา. (๕) วิเสสโชตโก, วเิ สโส สอ งความทแ่ี ปลกออกไป. ห,ิ จ, ปน=แต, ก็แตว า, ถึงอยา งนั้น. วิเสสนะในทม่ี าตาง ๆ ตุ= แตวา (๑๑๙๗) (๖) ตปปฺ าฏิกรณโชตโก, ตปปฺ าฏกิ รณ สอ งอรรถที่ทาํ ความ ขอ น้นั ใหช ัด. ห,ิ จ, ปน = เหมือนอยา งวา. (๗) ทฬหฺ ีกรณโชตโก สอ งความเครอ่ื งทําคํากอ นใหม่นั . มี ๒ : อาคมทฬฺหีกรณ อางตาํ รารับรองใหม น่ั , ยุตตฺ ิพฬหฺ กี รณ กลา วอาง สมเอง. (เพราะทฬั หยิ ะ ขอ ที่ควรอา งรบั รองใหม ่นั มี ๒ : อาคม- ทัฬหิยะ ทฬั หยิ ะ คอื ตาํ รา ๑ ยุตตทิ ฬั หิย ทฒั หิยะ คอื คําที่กลา วเอง ๑). ห,ิ จ, = จรงิ อยู, แทจ ริง. ทฬั หกี รณโชตกในที่มาตา ง ๆ ตถาหิ จรงิ อยางน้ัน. (โยชนา อภิ. ๑/๕๖ อางสัททนตี ิ วา 'หิ ตาถหีติ อจเิ จเต ทฬฺหกี รณตเฺ ถ' ' นบิ าตเหลา น้ีคอื หิ ตถาหิ ลงในอรรถคอื ทฬั หีกรณ' ). (๘) ปกฺขนตฺ รโชตโก สองความอีกฝายหนึ่ง. จ, ปน.= ฝา ยวา , สว นวา .
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสมั พนั ธ เลม ๒ - หนา ที่ 97 (๙) อนวฺ ยโชตโก สองความอนุโลม. ห,ิ จ, ปน= อัน. (๑๐) พยฺตเิ รกโชตโก สอ งความปฏเิ สธหา ม แตคลอ ยตามกัน. ห,ิ จ, ปน= อัน. (๑๑) สมภฺ าวนโชตโก สองความสรรเสริญ. ปน= ถงึ อยา งนนั้ , แต, กแ็ ตวา. (๑๒) ครหโชตโก สอ งความต.ิ ปน = ถงึ อยา งน้นั , แต, ก็แตวา. นบิ าตหมวดที่ ๒ ลงในบทหรือความอนั เนอ่ื งถึงกัน (๑) สมจุ ฺจยตฺโถ บอกอรรถคอื ควบพากยห รอื บท. มี ๒ : วากยฺ สมจุ จฺ โย ควบพากย, ปทสมุจฺจโย ควบบท. จ (เปน พนื้ ) = กบั , และ (ใชใ นระหวา), ดวย, อนึ่ง (ใช ขา งทาย); วา = บาง; ป = ท้ัง. สมุจจนตั ถะในทมี่ าตางๆ อป = บา ง. อุ. อิตปิ อรห. (๑๑๘๓). อน่งึ สมจุ จยัตถะ ทา นแยกเรยี กเปน ๔ (๑๑๘๗) คอื : [ ๑ ] สมุจจฺ ย = ดว ย, หนึ่ง, (ไมใชใ นสมาส) อุ. :- จีวร ปณฑฺ ปาตฺจ ปจฺจย สยนาสน อทาสิ อุชภุ เู ตสุ วปิ ปฺ สนเฺ นน เจตสา.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนาที่ 98 [ ๒ ] สมาหาร = ดว ย, หนึ่ง. (ใชใ นทวนั ทวมาส) อุ. จกขฺ ุ ฺ จ โสตฺ จ จกขฺ ุโสต. [ ๓ ] อนั วาจย = หนึ่ง. (กลา วประธานเดียวกนั ) อุ. สีล รกขฺ ทานจฺ เทห.ิ [ ๔ ] อติ รีตร = ดว ย, หน่ึง (เหมอื นทวนั ทวสมาส) อ.ุ สมโณ จ ตฏิ ติ พฺราหฺมโณ จ ติฏ ติ สมณพรฺ าหมณฺ า ตฏิ นตฺ .ิ (๒) สมปฺ ณฑฺ นตฺโถ บอกอรรถ คอื บวกความเขา. จ (เปนพื้น) = ดวย, (ใชทายความ). ทานแสดงตัวอยาง (๑๑๘๗) วา ปุพโฺ พ จ สเย จ. (๔) วิกปฺปตโฺ ถ บอกอรรถ คือ แยกคือเอาอยางเดียว. มี ๒ : วากยฺ วกิ ปโฺ ป แยกพากย, ปทวกิ ปโฺ ป แยกบท. วา (เปน พืน้ ) = หรอื (ใชใ นระหวาง), บา ง, กด็ ,ี กต็ าม (ใชขางทา ย) ; ยทิวา, อุท, อถวา = หรอื วา ; ป= บาง, วาปน= กห็ รอื ; อปจ = อีกอยา งน่งึ ; กวจิ= บาง. วกิ ัปปตถะในทมี่ าตาง ๆ อโห,ก,ึ กิม, อทุ าหุ, กมิ ุต, (อุท) = หรอื , หรอื วา, หรือไม. (วิกปฺปตถฺ วาจก นบิ าตบอกออก คือ ความตรึก. ๑๑๓๘). จ = หรอื , บา ง. (๑๑๘๗ ) ทานแสดงตัวอยาง คือ โท ธสฺม จ อาเทศ ธ เปน ท บาง.
ประโยค๑ - อธบิ ายวากยสัมพันธ เลม ๒ - หนา ที่ 99 อถวา = อีกอยางหนึ่ง. บางทานเรียก อปรนยโชตก หรอื อปรนย. (ชะรอยจะเรียกตามอรรถของศพั ท ดงั ท่ที านแกว า ' อถวา อปโร นโย เวทิตพฺโพ' [ โยชนา อภ.ิ ๑/๙๐ ] , หรอื ปพุ ฺพนยปริจฺจาโค นโยส คมฺยเต [ โยชนา อภิ. ๑/๒๔๔]. หรอื ตามทีม่ คี ําแสดงวา อถวา = อถ: ปุพฺพนโย โหต,ุ วา : อปรนโย วจุ ฺจเต). อปจ อกี อยางหนง่ึ บางทานก็เรยี ก อปรนยโชตก หรือ อปรนย, (๑) ปรกิ ปฺปตฺโถ บอกอรรถ คือ กาํ หนดไวย ังไมแน. สเจ, เจ, ยท,ิ อท= ถา วา, หากวา , ผวิ า ; อปเฺ ปวนาม, ยนนฺ นู = ถา ไฉน, ถา อยางไร, บาง. ปรกิ ปั ปตถะในท่มี าตา ง ๆ เจ สเจ เรยี ก อนิยมตถฺ (๑๑๔๗). อปฺเปว, อปฺเปวนาม, นุ = ไฉนหนอ เรยี ก สสยตฺถ. (สส ยตฺถวาจก บอกอรรถ คอื สนเทห. ๑๑๕๘). มฺเ = ชะรอยวา , เหน็ จะ, สงเคราะหเรยี ก ปรกิ ปั ปตถ หรือ สงั สยัตถะ. อุ. ' มม สาวก ตมุ หฺ าก สนตฺ เิ ก วสิ สฺ าส น ลภนตฺ ิ มเฺ . [ วฑิ ฑู ภ. ๓/๑๒ ] \" สาวา ท. ของอาตมภาพ ชะรอยวา จะ ไมไ ดว สิ าสะ ในสํานกั ของสมเด็จบรมบพิตร.\" จรหิ = ถาวา. อุ โภตี จรหิ ชานาต.ิ [ ขุ. สตุ ฺ. ปรายน- วคฺค. ๒๕/๕๒๕ ] \"ถา ทา นผเู จริญยอ มร.ู \" อรรกถา [ ป. โช. ๒/๔๙๗] แกเ ปน เจ. จรหิ ในทน่ี ี้ จงึ เปน ปริกปั ปตถะ.แต จรหิ โดยมากใช กบั กึ ศัพท, จกั กลา วในขอ ท่วี า ดวย ปจุ ฉนตั ถ.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228