แผนกำรจดั กจิ กรรมแนะแนวที่ 33 หนว่ ยกำรจดั กิจกรรม สว่ นตัวและสงั คม ชั้นประถมศกึ ษำปที ่ี 4 - 6 เรอ่ื ง ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 จำนวน 2 ช่ัวโมง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. สำระสำคญั โลกในศตวรรษท่ี 21 เป็นโลกท่มี กี ารเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักเรียนเปน็ บคุ คลหนงึ่ ทจ่ี ะต้องดาเนนิ ชีวิต ในศตวรรษท่ี 21 ดังนัน้ นกั เรียนจึงจาเป็นและควรมีทกั ษะที่จาเป็นในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้การเรียนรู้การดารงชวี ิต และการประกอบอาชพี 2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ดำ้ นสว่ นตวั และสงั คม ข้อท่ี 4 ปรับตัวและดารงชีวติ อยใู่ นสงั คมได้อย่างมคี วามสุข 3. จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 197 3.1 บอกความสาคัญของการมีทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ได้ 3.2 บอกความสมั พันธ/์ เช่ือมโยงของทกั ษะในศตวรรษที่ 21 กบั นักเรียนได้ 4. สำระกำรเรียนรู้ ทักษะท่ีสาคัญในการใช้ชวี ิตและทางานในศตวรรษท่ี 21 4.1 ทักษะการเรียนรู้และนวตั กรรม 4.2 ทักษะสารสนเทศ ส่ือ เทคโนโลยี 4.3 ทกั ษะชวี ิตและอาชพี 5. ชิน้ งำน/ภำระงำน การปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม 6. วธิ กี ำรจดั กจิ กรรม ชั่วโมงท่ี 1 6.1 ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม แล้วแจกกระดาษ A4 กลุ่มละ 1 แผ่น หนังสือ จานวน 6 เล่ม (ความสูงเท่ากัน) และเหรยี ญขนาดตา่ ง ๆ รวม 30 เหรยี ญ 6.2 จากนั้นให้แต่ละกลุ่มวางหนังสือเป็น 2 กอง กองละ 3 เล่ม ระยะห่างกันพอสมควร แล้วนากระดาษ A4 วางไว้ระหวา่ งกองหนงั สือ แลว้ ให้นักเรียนคอ่ ย ๆ วางเหรยี ญลงบนกระดาษให้ได้มากทีส่ ดุ 6.3 ครูให้นักเรียนร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ท่ีได้ แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มหาวิธีการแก้ปัญหา เพือ่ ให้วางเหรียญได้มากทสี่ ดุ 6.4 ครูใหน้ กั เรยี นรว่ มกันสรปุ ถึงทกั ษะท่นี ักเรียนใชใ้ นการทากจิ กรรม การวางแผน การแกป้ ญั หาและ ความสมั พนั ธ/์ เช่ือมโยงของทักษะทใี่ ช้กบั ตนเองได้
ช่ัวโมงที่ 2 198 6.5 ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั ทบทวนถึงทักษะท่นี กั เรียนใชใ้ นการทากจิ กรรม การวางแผน การแก้ปัญหา และความสัมพนั ธ/์ เชือ่ มโยงของทักษะทใ่ี ช้กบั ตนเองได้ในกิจกรรมครั้งท่ีแล้ว 6.6 ให้นักเรยี นร่วมกันอภิปรายเกย่ี วกับทักษะในศตวรรษที่ 21 แลว้ แบ่งกลุม่ ครูแจกปา้ ยคาให้ แต่ละกลมุ่ (จานวนกลุม่ ละเท่ากนั ) 6.7 ครูติดป้ายทักษะการเรียนรแู้ ละนวตั กรรม ทกั ษะสารสารเทศ สือ่ เทคโนโลยี และทักษะชวี ติ และอาชีพบนกระดาน จากนั้นใหน้ ักเรียนนาป้ายคาที่ไดร้ บั ไปตดิ ใต้ทักษะข้างตน้ 6.8 ครใู ห้ข้อมลู เพมิ่ เตมิ ตามใบความรเู้ ร่ือง ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 และเฉลยกจิ กรรมข้างตน้ 6.9 ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรุปการเรียนรู้จากกิจกรรม ความสัมพันธ์/เช่ือมโยงของทักษะที่ใช้กับตนเองได้ ในกจิ กรรมครั้งที่แลว้ เพอื่ นาไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวัน 7. สอ่ื /อุปกรณ์ 7.1 กระดาษ A4 กลุ่มละ 1 แผ่น 7.2 หนงั สอื จานวน 6 เล่ม (ความสงู เท่ากัน) 7.3 เหรยี ญขนาดตา่ ง ๆ รวม 30 เหรยี ญตอ่ กล่มุ 7.4 ป้ายคาเร่ือง ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 (ขนาด A4) 8. กำรวดั และประเมินผล 8.1 วิธีประเมนิ 8.1.1 สงั เกตการปฏิบัติกิจกรรม 8.1.2 ตรวจผลงานกล่มุ 8.2 เคร่อื งมือประเมนิ 8.2.1 แบบสงั เกตการปฏิบตั ิกจิ กรรม 8.2.2 แบบตรวจผลงานกลมุ่ 8.3 เกณฑก์ ำรประเมิน 8.3.1 การสงั เกตการปฏบิ ัติกจิ กรรม เกณฑ์ ตวั บง่ ช้ี ผ่าน ให้ความรว่ มมือในการจัดกิจกรรม ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมด้วยความรับผิดชอบ และมคี วามมงุ่ มนั่ ในการปฏบิ ัติงาน ไม่ผา่ น ไม่ให้ความรว่ มมือในการจัดกิจกรรม ปฏบิ ัติกิจกรรมไม่ครบทกุ รายการ 8.3.2 การประเมนิ ผลงาน เกณฑ์ ตัวบ่งชี้ ผา่ น การประเมินผลงาน มคี วามถูกต้อง ความสมบรู ณ์ครบถว้ น และสง่ ตรงตอ่ เวลา ไมผ่ า่ น ผลงานกลมุ่ ไม่ถกู ต้องสมบูรณ์ครบถว้ น และส่งงานไมต่ รงต่อเวลา
ใบควำมรู้ เร่อื ง ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 199 ทีม่ า : http://www.okmd.or.th/okmd-opportunity/new- gen/262/
ปำ้ ยคำ เรอื่ ง ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ทกั ษะกำรเรียนร้แู ละนวตั กรรม ทกั ษะสำรสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี ทกั ษะชีวติ และอำชพี มคี วามยืดหยุ่น คดิ สรา้ งสรรค์ อัพเดททุกข้อมลู ขา่ วสาร รจู้ กั ปรับตวั รเิ ริ่มส่ิงใหม่ ใส่ใจนวัตกรรม รเู้ ทา่ ทนั สื่อ ใสใ่ จดแู ลตวั เอง รจู้ ักเข้าสังคม มีวจิ ารณญาณ รอบร้เู ทคโนโลยีสารสนเทศ เรียนรวู้ ัฒนธรรม มคี วามเป็นผู้นา แก้ปญั หาเปน็ ฉลาดสือ่ สาร หม่นั หาความรู้รอบดา้ น ส่ือสารดี 200 เตม็ ใจร่วมมือ
แผนกำรจดั กจิ กรรมแนะแนวท่ี 34 หน่วยกำรจัดกจิ กรรม ส่วนตัวและสงั คม ชน้ั ประถมศึกษำปที ่ี 4-6 เรือ่ ง สำรเสพติด จำนวน 2 ช่ัวโมง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. สำระสำคญั ปัจจุบันปัญหาเสพติดเป็นปัญหาบ่อนทาลายความม่ันคงด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ที่สาคัญ นับเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ท่ีจะเข้ามาทาลายความสงบสุขของครอบครัวชุมชนและสังคม โดยรวมการเรยี นรู้เก่ยี วกบั ยาเสพติดเป็นแนวทางที่สาคัญแนวทางหนึ่งในการลดปญั หาดงั กลา่ ว 2.สมรรถนะกำรแนะแนว : ดำ้ นส่วนตัวและสังคม ข้อที่ 1 รกั และเหน็ คุณค่าในตนเองและผอู้ นื่ 3. จุดประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 201 3.1 บอกความหมายของสารเสพตดิ ได้ 3.2 มีทกั ษะในการปอ้ งกันสารเสพติดได้ 3.3 ระบวุ ิธีการป้องกนั ปัญหาสารเสพตดิ ได้ 4. สำระกำรเรยี นรู้ 4.1 สารเสพตดิ 4.2 ทักษะในการปอ้ งกนั สารเสพติด 5. ช้ินงำน/สำระงำน 5.1 ทดสอบความรู้เร่อื งสารเสพตดิ 5.2 เลน่ เกม เสอื กินววั 6.วิธกี ำรจัดกจิ กรรม ช่ัวโมงที่ 1 6.1 ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันพูดคุยเกยี่ วกับอันตรายจากสารเสพติดแล้วใหน้ ักเรียนชว่ ยกันยกกรณี ตวั อย่างทีเ่ กดิ ขึน้ ในสงั คมท่ีปรากฏในขา่ วหรือสื่ออ่นื ๆ 6.2 ให้นักเรยี นร่วมกันบอกความหมายของสารเสพติดตามท่นี กั เรยี นเขา้ ใจ แลว้ ครูอธบิ าย ให้นักเรยี นทราบว่า สารเสพติด หมายถงึ ยา หรอื สารเคมี หรอื วัตถชุ นิดใดๆก็ตาม เมอ่ื เสพเข้าสู่ร่างกาย แลว้ ไม่ว่าจะโดยวิธรี ับประทาน สบู ฉีด ดม หรอื อ่นื ๆ แลว้ กอ่ ใหเ้ กิดผลต่อร่างกายและจติ ใจของผเู้ สพสารเสพตดิ 6.3 ให้นักเรยี นศกึ ษาประเภทของสารเสพตดิ ใบงาน 6.4 นกั เรียนสรปุ ความรเู้ ก่ียวกับประเภทของสารเสพติด และทาใบงาน เร่ือง ประเภทของสารเสพติด 6.5 นักเรียนและครูร่วมกันสนทนาเก่ียวกับลักษณะของผู้ที่ติดสารเสพติด และยกตัวอย่างพฤติกรรม หรอื ลักษณะอาการท่สี ามารถสงั เกตไดอ้ ย่างชัดเจนของผู้ตดิ สารเสพติด
6.6 ให้นักเรยี นศึกษาความร้เู พิ่มเติมเกย่ี วกับลักษณะและอาการของผู้ติดสารเสพติดจากหนังสือ 202 ช่วั โมงท่ี 2 6.7 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ เพื่อศึกษาความรู้เก่ียวกับความสัมพันธ์ของการใช้ สารเสพติดกับการเกิดโรคและอุบัติเหตุจากหนังสือเรียนและแหล่งสืบค้นอื่นๆ โดยครูกาหนดประเด็ นศึกษา ดงั นี้ กลุม่ ท่ี 1 การใชส้ ารเสพติดกบั การเกิดโรค กล่มุ ท่ี 2 การใชส้ ารเสพติดกบั การเกดิ อุบัติเหตุ 6.8 ครูให้ข้อเสนอแนะกับนักเรียนในการทางานร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่จะต้องมีการแบ่งหน้าท่ีกัน รับผิดชอบให้ชัดเจนและมีความตรงต่อเวลา เพื่อให้การทางานร่วมกันสาเร็จตามท่ีได้ตั้งเป้าหมายไว้ 6.9 ให้นกั เรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกนั สบื คน้ รวบรวมขอ้ มลู ตา่ งๆ แลว้ นามาอภปิ รายและสรุปความรู้รว่ มกัน 6.10 ให้สมาชิกในแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนการนาเสนอความรู้หน้าช้ันเรียนในรูปแบบต่างๆ ที่เปน็ มติของกลุ่มโดยครูเนน้ ยา้ ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลมุ่ เตรยี มความพร้อมในการนาเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 6.11 นักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลงานหน้าช้ันเรียนและเปิดโอกาสให้เพ่ือนต่างกลุ่มตั้งคาถาม ท่ีเป็นข้อสงสัยของกลุ่ม แล้วตอบคาถามให้ถูกต้องและชัดเจน หากการตอบคาถามยังมีข้อบกพร่องให้ครูแก้ไข หรืออธิบายเพิ่มเติมให้ถูกตอ้ ง 6.12 ครูชมเชยนักเรียนท่ีตั้งใจทากิจกรรมในชั้นเรียนและเน้นย้าให้นักเรียนนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์กบั ตนเองและบุคคลอ่ืน 6.13 ให้นักเรียนทาใบงาน เรื่อง การป้องกันปัญหาสารเสพติด เมื่อเสร็จแล้วให้นักเรียนตรวจสอบ ความถูกต้อง กอ่ นนาส่งครูตรวจ 7. สื่อ/อปุ กรณ์ 7.1 แบบทดสอบความรู้เรอ่ื ง สารเสพติด 7.2 ใบความรู้ เรอื่ ง สารเสพติด 7.3 ใบงานเรอื่ ง การป้องกนั ปัญหาสารเสพติด 8. กำรวัดและประเมนิ ผล 8.1 วธิ ีประเมิน 8.1.1 สังเกตการปฏบิ ัติกิจกรรม 8.1.2 ตรวจผลงานทดสอบความรู้ เร่ือง สารเสพติด 8.2 เครือ่ งมือประเมิน 8.2.1 แบบสงั เกตการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 8.2.2 แบบทดสอบความรู้ เร่ือง สารเสพติด
8.3 เกณฑก์ ำรประเมิน 8.3.1 การสังเกตการปฏิบัติกิจกรรม เกณฑ์ ตวั บง่ ช้ี ผ่าน ใหค้ วามร่วมมือในการจัดกจิ กรรม ปฏิบตั ิกิจกรรมด้วยความรับผดิ ชอบ และมีความมงุ่ มนั่ ในการปฏบิ ัตงิ าน ไมผ่ ่าน ไม่ใหค้ วามรว่ มมือในการจดั กิจกรรม ปฏบิ ตั ิกิจกรรมไม่ครบทุกรายการ 8.3.2 การประเมินผลการทดสอบ เกณฑ์ ตัวบง่ ช้ี ผ่าน ทดสอบไดค้ ะแนน ร้อยละ 70 ขึน้ ไป และส่งงานตรงต่อเวลา ไมผ่ า่ น ทดสอบไดค้ ะแนนน้อยกวา่ รอ้ ยละ 70 และสง่ งานไม่ตรงตอ่ เวลา 203
แบบทดสอบควำมรู้ เรื่องสำรเสพตดิ 204 คำช้แี จง ใหน้ ักเรียนเขียนเครอ่ื งหมำย X ทบั ตัวอักษรหนำ้ ข้อทีถ่ กู ทส่ี ุด 1. ข้อใด ไมใ่ ช่ลักษณะสาคัญของส่งิ เสพติด ก. เสยี เงินโดยใช่เหตุ ข. เกดิ อาการดือ้ ยา ค. สขุ ภาพร่างกายทรุดโทรมลง ง. เกดิ อาการขาดยาถอนยา หรืออยากยา จ. มคี วามตอ้ งการเสพทั้งทางรา่ งกายและจิตใจ 2. สิง่ เสพตดิ ที่มโี ทษต่อรา่ งกายประเภทกดประสาทคือข้อใด ก. กัญชา ข. โคเคอีน ค. มอรฟ์ ีน ง. ใบกระท่อม จ. แอมเฟตามิน 3. กัญชาแอล.เอส.ด.ี เป็น สิ่งเสพตดิ ให้โทษท่ีกดประสาทประเภทใด ก. ประเภทกดประสาท ข. ประเภทหลอนประสาท ค. ประเภทกระตนุ้ ประสาท ง. ประเภทออกฤทธผ์ิ สมผสาน จ. ประเภทกดประสาทและกระต้นุ ประสาท 4. ยาเสพตดิ ประเภท 1 แบง่ ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ให้โทษพ.ศ. 2522คอื ข้อใด ก. กัญชา ข. มอร์ฟีน ค. โคเดอนี ง. เฮโรอนี จ. พืชกระท่อม 5. องคก์ ารอนามัยโลกได้จดั ใหแ้ อลกอฮอลเ์ ปน็ สารเสพตดิ เพราะเหตุใด ก. เม่อื ดื่มแล้วจะติด ข. มีโทษเช่นเดยี วกบั สิ่งเสพติดอ่นื ๆ ค. ทาให้เศรษฐกิจของชาติตกตา่ ง. ถูกทง้ั ก และ ข จ. ผดิ ทั้ง ก และ ข
6. ด้านใด ไม่ถือวา่ เป็น โทษของยาเสพติด 205 ก. ด้านสงั คม ข. ดา้ นเศรษฐกิจ ค. ดา้ นมนุษยสัมพันธ์ ง. ดา้ นสขุ ภาพอนามยั จ. ด้านความมัน่ คงของชาติ 7. สาเหตใุ ดทเ่ี ป็นสาเหตุสาคัญมากทีส่ ดุ ทท่ี าใหเ้ ยาวชนไปสยู่ าเสพตดิ ก. แฟน ข. เพอ่ื น ค. ชมุ ชน ง. โรงเรียน จ. ครอบครวั 8. สถานท่ีใดทีใ่ ชว้ ิธกี ารแก้ไขผ้ตู ิดยาเสพตดิ แบบพ้ืนบ้านคือข้อใด ก. ถ้ากระบอก ข. สถานอี นามยั ค. โรงพยาบาลศนู ย์ ง. โรงพยาบาลประจาจังหวดั จ. ศูนย์บาบดั และฟื้นฟผู ูต้ ดิ ยาเสพตดิ 9. ขอ้ ใด ไม่ใชว่ ตั ถปุ ระสงค์ของการบาบัดรักษาผูต้ ดิ ยาเสพติด ก. การคงภาวการณ์ตดิ ยาเสพตดิ ไว้ ข. การชว่ ยใหเ้ ลกิ ใชย้ าเสพตดิ อยา่ งเดด็ ขาด ค. การช่วยให้ใชย้ าเสพติดประเภทอ่ืนทดแทน ง. การคงภาวการณแ์ ละใชย้ าเสพติดประเภทอนื่ ทดแทน จ. การใชม้ าตรการตามกฎหมายเพอ่ื ป้องกันและปราบปรามให้หมดสิ้น 10. กิจกรรมชมุ ชนบาบัดแบบใดท่ีเปน็ การซักถามของสมาชิกตอ่ หนา้ สมาชกิ เพ่ือสอบสวนพฤติกรรมท่ีไมเ่ หมาะสม ก. การสมั ภาษณ์ ข. การเผชญิ หน้า ค. การประชุมตอนเช้า ง. การว่ากล่าวตักเตอื น จ. การเรยี นรปู้ ระสบการณ์ แบบเฉลย 1 ก 2 ก 3 จ 4 ง 5 ง 6 ค 7 ข 8 ก 9 ข 10 ก
ใบงำนเร่ือง กำรป้องกนั ปัญหำสำรเสพติด 206 ชอ่ื -สกลุ .................................................................................ช้นั ......................เลขที.่ .................. คำชี้แจง ให้นกั เรยี นเติมคำตอบลงในช่องว่ำงให้ถกู ต้อง 1. ความหมายของ \"ยาเสพติด\" คอื ............................................................................................................................. ......................................... 2. ยาเสพติดใหโ้ ทษ แบ่งตามลกั ษณะการออกฤทธ์ทิ มี่ ตี ่อร่างกายตามประเภทอะไรบ้าง ........................................................................................................................................... ........................... 3. ยกตัวอย่างยาที่ทาให้ประสาทหลอนมาสัก 3 ชอื่ ...................................................................................................................................................................... 4. โทษของยาเสพติดด้านสุขภาพอนามยั มอี ะไรบ้าง บอกมา 3 อยา่ ง ....................................................................................... ............................................................................... 5. สาเหตสุ าคัญทที่ าให้เยาวชนติดยาเสพติด คืออะไร ............................................................................................................................. ......................................... 6. การท่สี งั คมไมย่ อมรบั ครอบครัวตัวเองยงั แสดงท่าทีดูถูกเปน็ สาเหตใุ นการติดยาเสพติดดา้ นใด ............................................................................................................................. ......................................... 7. วตั ถุประสงค์ของการบาบดั รกั ษาผตู้ ดิ ยาเสพติดคืออะไรบ้าง ............................................................................................................................. ........................................ 8. ยาเสพตดิ ชนิดรา้ ยแรงสามารถทาให้เกดิ ความรู้สึกเปน็ สุขเคลบิ เคลิม้ มากกว่าปกติท่ีเรียกกันในภาษาองั กฤษ ว่าอะไร ............................................................................................................................. ........................................ 9. ปจั จัยทสี่ ่งเสริมให้มีการใช้ยาเสพติดทเี่ กี่ยวข้องกับบุคลกิ ภาพค่านิยมของสงั คมและวัฒนธรรมคอื ปจั จยั ใด ............................................................................................................................. ........................................ 10. สถานฟืน้ ฟูผตู้ ิดยาเสพติดให้โทษโดยเฉพาะทเ่ี รียกว่าอะไร ................................................................................................................................................. .................... 12. ทักษะชีวิตที่จาเป็นต้องใชใ้ นการป้องกันตนเองจากยาเสพตดิ มที ักษะท่ีจาเปน็ อะไรบา้ ง ให้ระบุอยา่ งน้อย 3 ทกั ษะ 1............................................................................2................................................ ........3......................................... 11. ใหน้ กั เรียนเสนอวธิ ีการป้องกันปัญหายาเสพติด จะมแี นวทางป้องกนั ตนเองจากพิษภัยยาเสพติดได้อยา่ งไรบ้าง ............................................................................................................................. ..................................................... ................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ...................................................
ใบปฏิบตั กิ จิ กรรม 207 เรือ่ ง กำรป้องกนั สำรเสพติด กจิ รรมภำคสนำม การป้องกันสารเสพติด จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ เพอ่ื ให้นกั เรยี นมีแนวคดิ การป้องกันสารเสพตดิ คำช้ีแจง 1. นกั เรยี นอ่านแบบประเมนิ โอกาสแล้วตอบคาถาม 2. สารวจผลการประเมินตามสภาพความเปน็ จริง 3. สรุปแนวคดิ ท่ีไดจ้ ากกจิ กรรม วิธีดำเนนิ กิจกรรม 1. ครูใช้หอ้ งกิจกรรมทีไ่ มม่ โี ตะ๊ เกา้ อี้ ใหน้ กั ศึกษา เลน่ เกม “เสือกินวัว” วธิ ีกำร ให้นักเรียนทุกคนจับมือล้อมกันเป็นวงกลมเสมือนร้ัว พยายามก้ันไม่ให้เสือเข้าไปกินวัว แต่อาจยอม แลกเปลย่ี นวัวกบั ส่งิ ของท่เี สอื เสนอใหไ้ ด้ ถา้ พอใจ รอบแรก ขออาสาสมคั ร 5 คน แสดงเป็นวัวอยู่กลางวง และอาสาสมัครอีก 5คน แสดงเป็นเสอื มีหน้าที่ ทาทุกวถิ ีทาง เช่น ใช้แรงดันพูดจาหวา่ นล้อมต่อรอง หรือ ใช้ของแลกเปล่ียนเพื่อผ่านด่านวงกลมเข้าไป กินวัวท่ีอยู่ กลางวงให้ได้ (ห้ามใชว้ ธิ ีรุนแรง) รอบท่ีสอง ขออาสาสมัครเสือเพ่ิมขึ้นเป็น 10-15 คน พยายามหาแนวทางเข้าไปกินวัวท่ีอยู่กลางวงให้ได้ (ให้จานวนเสือและร้ัว ใกลเ้ คยี งกัน) 2. ครใู หส้ ัญญาณเรม่ิ และหยุดกจิ กรรม ทง้ั สองรอบ 3. แบง่ นักเรยี นเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 – 5 คน อภปิ รายและตอบคาถามตามใบปฏบิ ัติกิจกรรม 4. ตวั แทนกลมุ่ รายงานครูรวบรวมขอ้ สรุปและอภิปรายเพ่ิมเติมตามใบความรู้แนวคดิ ที่ควรได้ 5. ให้นักเรียนแต่ละคนคิดคาพูดในเชิงปฏิเสธหรือหลีกเล่ียงจากสารเสพติดที่เป็นข้อเตือนใจ ของนักศึกษาเองสั้นๆ แล้วให้แต่ละคนพูดออกมาโดยกาหนดวา่ คาพูดของนักศึกษา จะตอ้ งไมซ่ ้ากับเพื่อน ถ้าเผอิญ ซ้ากับเพ่ือนแล้วคิดคาพูดใหม่ไม่ทัน ให้พูดว่า ผ่าน แล้วจึงกลับมาถามนักศึกษาใหม่อีกคร้ังเม่ือถามนักศึกษาคน อน่ื ๆ ไปจนหมดแลว้
คำถำม : ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่ม ร่วมอภิปรำยและตอบคำถำมต่อไปนี้ 208 1. ในรอบแรกเสือเข้าไปกินววั ได้หรอื ไม่ เพราะเหตุใด …………………………............................................................................................................................. .............. .................................................................................................................... ................................................... ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ 2. ในรอบที่สองเสือเข้าไปกินววั ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... 3. ถ้าเสือเปรียบเสมือนสารเสพติด และรั้วเปรยี บเสมือนเกราะปอ้ งกนั สารเสพตดิ นักศึกษามี แนวคิดในการสรา้ งร้วั ให้แข็งแรง เพ่อื ต่อตา้ นไม่ให้สารเสพติด เข้าถงึ ตัวนกั ศกึ ษาได้อยา่ งไร ........................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................... สาระทไี่ ดจ้ ากกจิ กรรม ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................ ประเดน็ ในการวิเคราะห์ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ สรปุ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ................................................ *********************************************************
ใบควำมรู้ 209 เรอ่ื ง สำรเสพติด 1. ควำมหมำยของสำรเสพตดิ สิ่งเสพติด หรือ ยาเสพติด หรือสารเสพติด ในความหมายของ องค์การอนามัยโลกเป็นความหมาย เดียวกัน ซึ่งหมายถึงสารท่ีเสพเข้าไปแล้วจะเกิดความต้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อไปโดยไม่สามารถหยุด เสพได้ และจะต้องเพิม่ ปรมิ าณมากขึ้นเร่ือยๆ จนในทสี่ ุดจะทาให้เกดิ โรคภัยตอ่ ร่างกายและจติ ใจขึน้ ยำเสพตดิ หมำยถึง สารใดกต็ ามที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ หรอื สารท่สี งั เคราะห์ขนึ้ เม่ือนาเข้าสู่รา่ งกาย ไมว่ า่ จะโดยวธิ รี ับประทาน ดม สบู ฉีด หรือดว้ ยวธิ ีการใดๆ แลว้ ทาให้เกิดผลตอ่ ร่างกายและจิตใจนอกจากน้ี ยงั จะทาให้เกิดการเสพติดได้หากใช้สารนั้นเป็นประจาทกุ วัน หรือวันละหลายๆ ครงั้ ลักษณะสำคัญของสำรเสพติดจะทำให้เกิดอำกำร และอำกำรแสดงตอ่ ผเู้ สพดงั นี้ 1. เกดิ อาการด้อื ยา หรือต้านยา และเม่ือตดิ แล้ว ตอ้ งการใช้สารนัน้ ในประมาณมากขึ้น 2. เกิดอาการขาดยาถอนยา หรอื อยากยา เมื่อใชส้ ารนนั้ เท่าเดมิ ลดลง หรอื หยุดใช้ 3. มีความต้องการเสพทั้งทางรา่ งกายและจิตใจอย่างรนุ แรงตลอดเวลา 4. สขุ ภาพร่างกายทรดุ โทรมลงเกิดโทษต่อตนเอง ครอบครวั ผู้อ่นื ตลอดจนสงั คมและประเทศชาติ ควำมหมำยตำมกฎหมำย ยาเสพติดให้โทษหมายความว่า สารเคมี หรือวัตถุชนิดใดๆ ซ่ึงเม่ือเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดย รบั ประทานดม สูบฉีด หรือด้วยประการใดๆ แล้ว ทาให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสาคัญเช่นต้องเพ่ิม ขนาดการเสพเร่ือยๆ มีอาการถอนยาเมื่อขาดยามีความต้องการเส พทั้งทางร่างกายและจิตอย่างรุนแรง อยู่ตลอดเวลาและสขุ ภาพโดยทั่วไปจะทรุดโทรมลงกลบั ให้รวมถงึ พืช หรอื ส่วนของพืชท่เี ป็น หรือให้ผลผลิต 2. กำรแบ่งประเภทของยำเสพตดิ ใหโ้ ทษ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษสามารถแบ่งออกตามหลักเกณฑ์ตา่ งๆไดห้ ลายรปู แบบสรุปไดด้ งั นี้ 1. แบง่ ตามลกั ษณะการออกฤทธ์ขิ องสิ่งเสพตดิ ท่ีมตี อ่ ร่างกาย 1.1 ประเภทกดประสาท (Depressant) ได้แก่ฝ่ิน มอร์ฟีน เฮโรอีน เซโคนัลบาร์ บิทูเรต ฟีโนบารบ์ ิตาล โปรไมดพ์ าราดีไฮด์และเมธาโดนเป็นตน้ 1.2 ประเภทกระตุ้นประสาท (Stimulant) ไดแ้ กใ่ บกระทอ่ มแอมเฟตามินโคเคอีนเป็นต้น 1.3 ประเภทหลอนประสาท(Hallucinogen) ได้แก่กัญชาแอล.เอส.ดี. (L.S.D.= lysergic acid amide) ดี.เอ็ม.ที (D.M.T = Dimethyl Try amine) เอส.ที.พี. (S.T.P. = Serenity Tranquilly and Peace) เปน็ ต้น 1.4 ประเภทออกฤทธ์ิผสมผสาน (Mixed) ได้แก่กัญชาอาจออกฤทธ์ิกดประสาทกระตุ้นประสาทหรือ หลอนประสาทพรอ้ มกันไปในขณะเดยี วกนั
2. แบ่งตามแหลง่ ที่เกิด 210 2.1 ยาเสพติดธรรมชาติ (Natural Drugs) เป็นยาเสพติดที่ได้มาจากพืชหรือพันธุ์ไม้บางชนิดโดยตรง ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติเช่นฝ่ินกัญชาพืชกระท่อมโคเคอีนเป็นต้นและสามารถที่จะนามาแปรสภาพเป็นลักษณะอย่าง อ่นื โดยกรรมวธิ ีต่างๆทางเคมเี ช่นการนาฝ่ินมาทามอรฟ์ ีนเฮโรอนี เปน็ ต้น 2.2 ยาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs) เป็นยาเสพติดที่ได้มาจากการปรุงขึ้นโดยกรรมวิธี ทางเคมีและนามาใช้แทนยาเสพติดธรรมชาติได้เช่นเมธาโดน (Methadone) เพธีดีน (Pethadine) ไฟเซฟโตน (Physeptone) เป็นตน้ 3. แบง่ ตามพระราชบัญญัตยิ าเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. 2522 3.1 ประเภท1 ยาเสพตดิ ให้โทษชนดิ รา้ ยแรงเช่นเฮโรอีน (Heroin) 3.2 ประเภท2 ยาเสพติดให้โทษท่ัวไปเชน่ มอรฟ์ ีน (Morphine) โคเคน (Cocaine)โคเดอีน (Codeine) ฝ่ินยา (Medicinal Opium) 3.3 ประเภท 3 ยาเสพติดใหโ้ ทษท่มี ียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ผสมอยู่ดว้ ยตามทไ่ี ด้ขึ้นทะเบียนตารับ ยาไวใ้ นมาตรา 43 เชน่ ยาแก้ไอผสมโคเดอีน (Codeine Cough Syrup) 3.4 ประเภท 4 สารเคมีท่ใี ชใ้ นการผลติ ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 หรือ 2 3.5 ประเภท5 ยาเสพตดิ ให้โทษทีม่ ิได้อยใู่ นประเภท 1 ถงึ ประเภท 4 เชน่ กัญชาพชื กระทอ่ ม 4. แบง่ ตามทางการแพทย์ โดยแบ่งตามคุณสมบัตขิ องสง่ิ เสพติดได้ 7 ประเภทคือ 4.1 ฝนิ่ หรอื สารทม่ี ีสว่ นประกอบของฝิ่นเชน่ มอรฟ์ ีนเฮโรอนี โคเดอีนเพธดี ีนไฟเซฟโตนเป็นตน้ 4.2 ยานอนหลับชนดิ ตา่ งๆเชน่ ฟโี นบาร์บิตาลเซโคนัลโบรไมด์พาราดีไฮดก์ ลตู ิดาไมด์เปน็ ต้น 4.3 ยากล่อมประสาทเชน่ ไดอะซแี พม (Diazepam) เมโปรบาเมต (Meprobamate)เป็นต้น 4.4 ยากระตนุ้ ประสาทเช่นแอมเฟตามีนโคเดอีนและใบกระท่อม 4.5 ยาท่ีทาให้ประสาทหลอนเชน่ กัญชา แอล.เอส.ดดี .ี เอ็ม.ทีเอส.ที.พีและพวกเห็ดบางชนิดเป็นต้น 4.6 สารระเหยต่างๆเชน่ เบนซิน 4.7 แอลกอฮอล์ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกได้จัดให้แอลกอฮอล์เป็นสารเสพติดอย่างหนึ่งด้วย เพราะแอลกอฮอล์เม่อื ด่ืมจนติดแลว้ จะมีโทษเชน่ เดียวกับส่งิ เสพติดชนดิ อื่นๆด้วย 3. โทษของยำเสพตดิ โทษของยาเสพติดยาเสพตดิ ในลกั ษณะภาพรวมทส่ี าคัญ 4 ประการสรุปไดด้ งั นี้ 1. ด้านสุขภาพอนามยั ผู้ตกเป็นทาสยาเสพติดเกอื บทุกประเภทไมว่ ่าจะเปน็ ฝ่นิ เฮโรอีนหรือมอรฟ์ ีนร่างกายจะซูบซีดผอมเหลอื ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกความคิดอ่านช้าความจาเสื่อมเม่ือขาดยาจะมีอาการหงุดหงิดโกรธง่าย หาวนอนง่าย น้ามกู นา้ ตาไหลปวดกระดูกปวดกลา้ มเนือ้ ขาดสติอาเจียนนอนไมห่ ลบั เบ่ืออาหารและจะเสยี ชวี ิตในท่สี ดุ 2. ด้านเศรษฐกิจ เน่ืองจากยาเสพติดทุกประเภทผู้เสพจะต้องเพ่ิมยาให้มากขึ้นตลอดเวลาและหยุดเสพไม่ได้ดังน้ันจึงต้อง สูญเสียเงินทองสาหรับซื้อยามาเสพไม่มีท่ีส้ินสุดและผู้ติดยาจะมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงไม่สามารถประกอบ
อาชี พ ได้ ดั งเช่ น คน ป กติ ทั่ วไป ครอบ ครั วแ ล ะรัฐต้ องสู ญ เสี ย แ รงงา น ไป ดั งนั้ น จึ งส่ งผ ล เสี ย ห าย ต่ อเศรษ ฐกิ จ 211 ทง้ั ของตนเองครอบครวั และประเทศชาติโดยสว่ นรวม 3. ดา้ นสังคม ยาเสพติดยังเป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาสังคมอย่างมากมายโดยเฉพาะอย่างย่ิงปัญหาอาชญากรรมเพราะ ผู้ติดยาจาเป็นต้องใช้เข็มฉีดยาเสพติดเป็นประจาทุกวันและจะต้องเพ่ิมปริมาณมากขึ้นตลอดเวลา แต่เนื่องจาก ยาเสพติดมีราคาแพงดังนั้นการประกอบอาชีพโดยสุจริตตามปกติทั่วๆไปน้ันย่อมเป็นการยากท่ีจะหาเงินมาซ้ือ ยาเสพติดได้อย่างเพียงพอและในสภาพความเป็นจริงผู้ติดยาจะไม่มีใครคบค้าหรือร่วมสมาคมด้วยจึงทาให้โอกาส หาเงินโดยสุจริตเป็นไปได้อย่างยากลาบากย่ิงขึ้นเหตุนี้จึงเป็นจุดเร่ิมต้นของการประกอบอาชญากรรมโดยเฉพาะ อย่างย่ิงอาชญากรรมที่เก่ียวกับทรัพย์นอกจากน้ันยังเป็นสาเหตุของปัญหาสังคมอ่ืนๆมากมายเช่นปัญหาวัยรุ่น ปญั หาโสเภณีปัญหาการพนันปัญหาครอบครัวปญั หาการแพร่ระบาดของโรคเอดสเ์ ปน็ ตน้ 4. ดา้ นความมนั่ คงของชาติ ความร้ายแรงของยาเสพติดมีผลโดยตรงต่อความม่ันคงของประเทศชาติเป็นอย่างมากเพราะถ้าประเทศใด มปี ระชากรติดยาเสพติดจานวนมากประเทศน้ันจะอ่อนแอเศรษฐกิจเสยี หายมปี ัญหาสังคมต่างๆมากมายโดยเฉพาะ อยา่ งยิ่งปญั หาอาชญากรรมสง่ิ ต่างๆเหลา่ น้ีย่อมไมเ่ ปน็ ผลดีต่อความม่นั คงของประเทศ 4. สำเหตขุ องกำรตดิ ยำเสพตดิ มีหลายประการด้วยกันโดยสรุปสาเหตุได้ดังน้ี (มูลนิธิลี-ทับทิม จาปารัตน์, 2538, หน้า 28; อ้างถึงใน วรา เวชาภนิ นั ท์, 2542, หน้า 8) 1. สาเหตจุ ากการถูกชกั ชวน เน่ืองจากเยาวชนมีสัญชาตญาณอยากรู้อยากลองต้องการได้รับการยกย่องและมีส่วนร่วมของกิจกรรม ในหมู่คณะฉะนั้นถ้าเพื่อนฝูงชักชวนให้ลองย่อมจะขัดมิได้มิฉะนั้นจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้จึงทาให้เยาวชนต้องยอมเข้า ไปสู่ยาเสพตดิ จากการชักชวนของเพ่อื น 2. สาเหตุจากความกดดนั ในครอบครัว สาเหตุนี้เป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้เยาวชนไปสู่ยาเสพติดเพราะความกดดันในครอบครัวท่ีแตกต่างกัน แตล่ ะครอบครัวเช่น 2.1 พ่อแม่ทะเลาะกันทุกวันลูกเกิดความราคาญใจที่เห็นสภาพเช่นน้ีทาให้เบื่อบ้านจึงทาให้ใช้เวลาท่ีมี ไปคบเพ่ือนนอกบ้านจนกวา่ จะถงึ เวลานอนจึงกลับบ้านทาใหช้ ักชวนกันไปส่ยู าเสพตดิ ในท่ีสดุ 2.2 พ่อแม่หย่าร้างต่างคนต่างมีภรรยาหรือสามีใหม่ทาให้ขาดความสนใจลูกลูกรู้สึกว้าเหว่จึงหันไปสู่ ยาเสพตดิ 2.3 พ่อแม่ไม่เข้าใจลูกเยาวชนที่หันไปสู่ยาเสพติดมิใช่ว่ามีเฉพาะเยาวชนท่ียากจนหรืออยู่ในสถานเลี้ยง เดก็ กาพรา้ ฯลฯเยาวชนท่ีพอ่ แมร่ ่ารวยลูกติดยาเสพติดก็มีเพราะพอ่ แมไ่ มเ่ ข้าใจลกู คดิ ว่าเด็กมีความต้องการเพียงแค่ เงินแต่ความจริงเด็กหรือเยาวชนต้องการครอบครัวที่อบอุ่นต้องการให้พ่อแม่ยกย่องเม่ือทาความดีเช่นสอบไล่ ได้ที่ดีๆแต่ปรากฏว่าเมื่อกลับมาบ้านพ่อแม่มีภารกิจมากไม่มีเวลาให้ลูกเลยไม่ได้รับรู้เก่ียวกับกิจกรรมของลูก เป็นเช่นน้บี อ่ ยๆเด็กกเ็ สยี ใจในทสี่ ดุ กก็ ลายเป็นคนเงยี บขรึมว้าเหว่และไปสู่ยาเสพติด
2.4 พ่อแม่ที่แสดงออกในทางรักลูกไม่เท่ากันการแสดงออกต่อลูกทุกคนของพ่อแม่ควรเหมือนกัน 212 พ่อแม่ไม่ควรตั้งความหวังไว้กับลูกสูงนักควรยอมรับสภาพความเป็นจริงเก่ียวกับสติปัญญาความเอาใจใส่ของเด็ก ฉะนั้นเมื่อมีลูก 2-3 คนอาจจะมีบางคนเรียนเก่งลูกบางคนเรียนไม่เก่งก็ไม่ควรได้รับการตาหนิจากพ่อแม่เพราะ สตปิ ญั ญาคนไมเ่ ท่ากนั 3. สาเหตจุ ากความจาเปน็ ในบางอาชีพบางอย่าง เช่นผู้ทางานกลางคืนเป็นพาร์ตเนอร์นักร้องพนักงานอาบอบนวดนักดนตรีคนขับรถบรรทุก ผู้มีอาชีพเหล่าน้ีใช้ยาเสพติดโดยหวังผลให้สามารถประกอบการงานได้เช่นบางคนใช้เพราะฤทธย์ิ าช่วยไมใ่ ห้ง่วงบาง คนใช้ยาเพื่อยอ้ มใจใหเ้ ปน็ คนกล้า 4. สาเหตจุ ากปัญหาเศรษฐกจิ คือการไม่มีงานทาหรือรายได้ไม่พอรายจ่ายแม้จะทราบว่ายาเสพติดผิดกฎหมายแต่เพ่ือความอยู่รอด ของตนเองจึงยอมไปสู่ยาเสพติดโดยเป็นผู้จาหน่ายโดยในชั้นแรกคิดว่าเป็นเพียงคนช่วยส่งแต่ความที่อยู่ใกล้ชิดยา ใน ที่ สุ ด จึงเป็ น ท้ั งผู้ ส่งแ ละผู้ติ ด ยาบ างคน แ ม้ จะมี พอกิน พอใช้ แต่ อย ากจะรวย ก็เป็ น ท างให้ ไป สู่ ยาเสพ ติด ได้ เช่นเดียวกัน 5. สาเหตุจากสิ่งแวดลอ้ ม เนื่องจากมีผู้ติดยาเสพติดจานวนไม่น้อยมีความต้ังใจท่ีจะเลิกเสพโดยเข้ารับการรักษาพยาบาลจากทั้ง ภาครัฐและเอกชนเมื่อหายแล้วปรากฏว่าสงั คมไม่ยอมรับเชน่ แม้แต่ครอบครัวตัวเองยังแสดงท่าทีดถู ูกเหยียดหยาม รงั เกียจเนอ่ื งจากความมีประวตั เิ คยติดยาเสพติดเยาวชนเหลา่ นจี้ งึ ต้องกลบั ไปสู่สังคมยาเสพติดเชน่ เดมิ 6. สาเหตจุ ากขาดความรู้เรื่องยาเสพตดิ มีคนจานวนมากทดลองใช้ยาเสพติดเพราะไม่รู้เรื่องยาเสพติดเข้าใจโดยการโฆษณาว่าเฮโรอีนเป็น ยาเสพติดแต่ไม่ทราบว่าผงขาวคือเฮโรอีนเมื่อเพ่ือนมาชักชวนว่าให้ลองเสพผงขาวแล้วจะทาให้เท่ียวผู้หญิงสนุก จงึ ไดล้ องเสพ ********************************************************************
แผนกำรจดั กจิ กรรมแนะแนวที่ 35 หน่วยกำรจดั กจิ กรรม ส่วนตวั และสังคม ช้ันประถมศึกษำปีที่ 4 - 6 เรอ่ื ง บคุ ลกิ ภำพที่ใช่ จำนวน 3 ช่วั โมง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. สำระสำคญั บุคลิกภาพคือลักษณะนิสัย และภาพลักษณ์เฉพาะของแต่ละบุคคล คนท่ีมีบุคลิกภาพที่ดี จะทาให้เป็น ท่ียอมรับในสังคม บุคลิกภาพเสมือนภาพลักษณ์ภายนอกที่สาคัญ ถือว่าเป็นหน้าตาและกระจกส่องภาพพจน์ ของตนเองที่มีต่อสายตาผู้อ่ืน การสร้างบุคลิกภาพท่ีดีของตนเองน้ันไม่ยากเลย ข้ึนอยู่กับความพร้อมและ ความต้องการของตนบุคลิกภาพ\" หมายถึง คุณลักษณะทางกาย ทางจิตใจ และความรู้สึกนึกคิดที่สะท้อน ออกมาให้ผู้อื่นเห็นและเกิดความประทับใจ 2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ด้ำนส่วนตัวและสงั คม ขอ้ ท่ี 1 รูจ้ ักและเข้าใจตนเอง ข้อที่ 2 รักและเห็นคุณคา่ ในตนเองและผูอ้ น่ื ข้อท่ี 4 ปรับตัวและดารงชีวติ อย่ใู นสังคมได้อยา่ งมคี วามสขุ 3. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ 213 3.1 สารวจบคุ ลิกภาพทดี่ ี ท่ีคนในสังคมใหก้ ารยอมรับ 3.2 บอกบุคลกิ ภาพทีด่ ีของตนเองและบคุ ลกิ ภาพทตี่ ้องพัฒนาของตนเองได้ 3.3 เสนอแนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพทเ่ี หมาะสมกับตนเอง 4. สำระกำรเรียนรู้ 4.1 การสารวจบุคลิกภาพ 4.2 การพัฒนาบุคลิกภาพท่ีเหมาะสม 5. ช้ินงำน/ภำระงำน 5.1 สารวจบุคลกิ ภาพ 5.2 บนั ทึกผลบคุ ลกิ ภาพ 5.3 ทาแผนผงั ความคิดบคุ ลิกภาพที่ดี 5.4 ทาแบบวดั บุคลิกภาพ website https://www.16personalities.com/th 5.5 นาเสนอ แบง่ ปันการพัฒนาบคุ ลกิ ภาพ
6. วธิ กี ำรจัดกิจกรรม 214 ช่ัวโมงท่ี 1 6.1 นาเข้าสู่บทเรียนโดยครูนาคลิปสั้นๆ ของคนท่ีมีคนบุคลิกภาพท่ีดีให้นักเรียนดูและร่วมกันอภิปราย ถึงบุคลิกภาพที่ปรากฏเช่น การเดินการยืน การพูด ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้เรื่อง บุคลิกภาพ และนักเรียน ร่วมกันอภิปราย 6.2 แบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 4 -5 คนระดมความคิด สารวจบุคลิกภาพที่ดีท่ีคนในสังคมให้การยอมรับ วา่ มีอะไรบ้างพร้อมทง้ั อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ และบนั ทึกการสารวจในกระดาษ A4 6.3 นักเรียนศึกษาใบความรู้เกี่ยวกับบุคลิกภาพที่ดี และนามาเปรียบเทียบกับผลงานของกลุ่ม วา่ มีบุคลิกภาพใดบ้างท่กี ลุม่ ยังขาดและควรเพ่ิมเติม 6.4 นักเรียนรวบรวมบุคลิกภาพผลงานของกลุ่มและในใบความรู้มาสร้างแผนผังความคิดเก่ียวกับ บุคลิกภาพท่ีดีท่คี นในสงั คมต้องการ 6.5 นาเสนอผลงานหนา้ ชน้ั เรยี น ช่วั โมงที่ 2 6.6 นกั เรยี นทาแบบวัดบคุ ลิกภาพใน website https://www.16 personalities.com/th 6.7 ครูสอบถามผลการวัดบุคลิกภาพของนักเรียนและให้นักเรียนบันทึกผลการวัด พร้อมทั้งครู ให้ข้อเสนอแนะ ประโยชน์จากการทาแบบวดั บุคลกิ ภาพในเว็บไซต์ 6.8 นกั เรียนสนทนาแลกเปลี่ยนกบั เพื่อนเกีย่ วกบั บคุ ลกิ ภาพทด่ี ีของตนเองและบคุ ลิกภาพทตี่ ้องการ พัฒนาให้ดีข้นึ ว่ามีอะไรบ้างบอกเหตผุ ล เพราะอะไรถึงต้องการพัฒนา ชั่วโมงท่ี 3 6.9 นักเรียนละกลุ่มเดิมร่วมกันเสนอแนวทางพัฒนาบุคลิกภาพท่ีเหมาะสมกับตนเอง และสาธิต สถานการณจ์ าลองการบคุ ลิกภาพท่พี ฒั นาแลว้ แบบสั้น ๆ ไมเ่ กนิ 5 นาที 6.10 สมุ่ ตวั อย่างนกั เรยี นนาเสนอ และสาธิตการพฒั นาบุคลิกภาพหนา้ ช้ันเรยี น 6.11 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปการมีบุคลิกภาพที่ดีและการพัฒนาบุคลิกภาพท่ีเหมาะสมเพื่อให้ อยรู่ ว่ มกับผู้อนื่ ไดอ้ ย่างมีความสขุ 7. ส่ือ/อปุ กรณ์ 7.1 ใบความรู้เร่อื ง บุคลิกภาพ 7.2 ใบความรเู้ ร่อื ง การพัฒนาบคุ ลกิ ภาพ 7.3 แบบสารวจบคุ ลกิ ภาพ 7.4 หอ้ งคอมพิวเตอรห์ รือใช้ smart phone
8. กำรวดั และประเมินผล 215 8.1 วิธีประเมิน 8.1.1 สังเกตการปฏิบตั ิกิจกรรม 8.1.2 ตรวจผลงาน/ใบงาน 8.2 เครอ่ื งมือประเมนิ 8.2.1 แบบสงั เกตการปฏบิ ัติกิจกรรม 8.2.2 แบบประเมินผลงาน/ใบงาน 8.3 เกณฑ์กำรประเมนิ 8.3.1 การสังเกตการปฏบิ ตั ิกิจกรรม เกณฑ์ ตวั บง่ ชี้ ผา่ น ให้ความรว่ มมือในการจัดกิจกรรม ปฏิบตั ิกิจกรรมดว้ ยความรบั ผดิ ชอบ และมคี วามม่งุ มัน่ ในการปฏิบัตงิ าน ไม่ผา่ น ไมใ่ หค้ วามรว่ มมือในการจัดกิจกรรม ปฏิบัติกจิ กรรมไม่ครบทกุ รายการ 8.3.2 การประเมนิ ผลงาน/ใบงาน เกณฑ์ ตัวบ่งช้ี ผา่ น ใบงานถูกตอ้ ง ครบถว้ นสมบรู ณ์ การประเมินแบบวดั บุคลิกภาพ มคี วามถูกตอ้ ง ความสมบรู ณ์ครบถว้ น ไม่ผา่ น ใบงานไมถ่ กู ต้อง ขาดความสมบูรณ์ ผลงานในการทาแบบวดั บคุ ลกิ ภาพ ไมถ่ ูกต้องสมบูรณ์
ใบควำมรู้ 216 เร่ือง บุคลกิ ภำพ บุคลิกภำพ (personality) เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลที่บ่งบอก ความแตกต่างระหว่างบุคคล บุคลิกภำพ หมำยถึง ลักษณะโดยรวมของแต่ละบุคคล ท้ังลักษณะภายในและภายนอกและปัจจัยต่างๆ อันมอี ทิ ธิพลตอ่ ความรสู้ ึกของผู้พบเหน็ องคป์ ระกอบและลักษณะของบคุ ลกิ ภำพ 1. ลักษณะทางกาย ได้แก่ รูปร่าง หน้าตา สัดส่วน ผิวพรรณ สีผม ความสูง น้าหนัก เป็นลักษณะ ประจาตวั ของบคุ คล 2. ลกั ษณะทางใจ ได้แก่ ความคิด ความจา จนิ ตนาการ ความสนใจ ความตั้งใจ การตัดสินใจสตปิ ญั ญา เปน็ เรอื่ งเกีย่ วกบั สมอง 3. อุปนิสยั ไดแ้ ก่ ความสุภาพออ่ นโยน ความซ่อื สัตยเ์ ช่อื ถือได้ ความเคารพสิทธิ สว่ นบคุ คลไม่เห็นแก่ตัว มศี ลี ธรรมจรรยา ซ่งึ เป็นกริ ิยาทส่ี อดคล้องกับสภาพของสังคม 4. อารมณ์ ได้แก่ ความรู้สกึ แห่งจิตทีก่ ่อใหเ้ กดิ อาการตา่ งๆ เช่น ต่ืนเต้น ตกใจ โกรธ กล้าหาญหวาดกลัว ร่าเรงิ หดหู่ หงุดหงดิ วิตกกังวล 5. การสมาคม คอื กริ ิยาทา่ ที อาการท่ีบคุ คลแสดงต่อผูอ้ ่ืน เช่น เปน็ คนชอบคบหาสมาคมกับผอู้ น่ื หรอื เปน็ คนเกบ็ ตัว เหน็ ใจผูอ้ ื่น ไม่แยแสผู้อ่ืน ควำมสำคญั ของกำรมบี คุ ลิกภำพท่ดี ี การเปน็ ผู้มบี คุ ลกิ ภาพที่ดนี ัน้ มลี กั ษณะสาคัญทีเ่ ป็นประโยชน์ตอ่ การดาเนินชีวิตในแง่มุมต่างๆ ดงั นี้ 1. มคี วามสามารถในการรบั รู้ และเขา้ ใจสภาพความเป็นจริงได้อยา่ งถูกต้อง 2. การแสดงออก หรอื การแสดงอารมณจ์ ะอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม 3. มีความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพ และสื่อสารกับบุคคลอื่นๆไดเ้ ปน็ อย่างดี 4. มีความสามารถในการทางาน ทอ่ี านวยประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และตอ่ สงั คมได้ดี 5. มีความรกั ความผกู พนั ต่อผู้อืน่ ได้รับการยอมรบั ของกลุ่ม ผูท้ ม่ี บี คุ ลิกภาพดีย่อมเป็นทีย่ อมรับของคน ทวั่ ไป และต้องการท่ีจะให้อยู่ในกลมุ่ 6. มีความสามารถในการพัฒนาตนเอง และพฒั นาทางการแสดงออกของตนต่อผู้อน่ื ไดด้ ีขึน้ 7. สร้างความมั่นใจให้กบั ตนเองทงั้ ในการทางาน การติดต่อสือ่ สารหรือสรา้ งสมั พันธภาพต่อผู้อ่นื
8. ความสาเร็จ ผู้ทีม่ บี คุ ลิกภาพดีจะได้เปรียบคนอนื่ เสมอ เพราะสามารถสร้างความศรัทธา นา่ เชอ่ื ถอื แก่ ผพู้ บเห็น ได้รบั ความรว่ มมอื และการตดิ ตอ่ ด้วยดี ชว่ ยให้ทางานไดส้ าเรจ็ ง่ายขนึ้ 9. เอกลักษณ์ของบุคคล บคุ ลกิ ภาพทาให้คนมลี กั ษณะเฉพาะตัว ซึ่งสามารถใช้เป็นแบบอย่างท่ดี แี ละ แบบอยา่ งทไ่ี ม่ดีได้ ทีม่ า https://www.im2market.com/2017/11/26/4681 217
ใบควำมรู้ เรื่อง กำรพฒั นำบุคลกิ ภำพ (Personality) 1. ควำมหมำยและควำมสำคญั ของบุคลกิ ภำพ 218 คาว่า \"บุคลิกภาพ\" หมายถึง คุณลักษณะทางกาย ทางจิตใจ และความรู้สึกนึกคิดที่สะท้อนออกมา ให้ผู้อ่ืนเห็นและเกิดความประทับใจมากน้อยเพียงใดมีความสาคัญคือ บุคลิกภาพนับเป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญ ที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ท่ีพบเห็นเป็นอย่างยิ่ง จึงส่งผลต่อการยอมรับนับถือ การให้ความ ร่วมมอื การสนบั สนุน และความไวว้ างใจจากผอู้ ่นื 2. ประเภทของบุคลิกภำพ 2.1 บุคลิกภำพภำยนอก คือ ส่ิงที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคน สามารถที่จะปรับปรุง แกไ้ ขไดง้ า่ ย ใช้เวลาไม่นาน แบง่ ไดเ้ ป็น 4 หมวด คือ 1. รูปรา่ งหนา้ ตา 2. การแตง่ กาย 3. กิรยิ าทา่ ทาง 4. การพูด 2.2 บคุ ลิกภำพภำยใน คือ สิง่ ทอ่ี ยภู่ ายในจิตใจ หรอื อปุ นสิ ยั ใจคอที่มองไม่เหน็ สมั ผัสไมไ่ ด้ แก้ไขไดย้ าก เชน่ 1. ความเชือ่ มน่ั ในตนเอง 2. ความซื่อสัตย์สจุ ริต
3. ความคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ 219 4. ความรับผดิ ชอบ 3. หลักและวิธีเสริมสรำ้ งบุคลกิ ภำพ การยืน เดิน น่ัง เป็นส่วนสาคัญท่ีบอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล งามอิริยาบถ คือ การเดิน ยืน น่ัง เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อยา่ งถูกต้องสวยงาม การรจู้ กั ทาตัวให้เข้ากับบคุ คล สถานท่ี และเวลา อยา่ งถูกต้องถือวา่ มมี ารยาททางสังคมที่ดี เชน่ การรูจ้ ัก กราบไหว้ทถ่ี ูกวิธีและถูกกาลเทศะ การรู้จกั ธรรมเนยี มของชาวตา่ งชาติ การปฏบิ ัตติ นในงานเลี้ยงตา่ งๆ การไป เยี่ยมคนป่วย การมอบดอกไม้แสดงความยินดีหรือใหผ้ อู้ าวโุ ส เปน็ ตน้ บางคร้ังเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ ทุกวินาทีน้ันเราต้องพร้อมเสมอท่ีจะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อมคือ ไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัวเกินกว่า เหตุ สามารถควบคุมท่าทางของตนเองไดเ้ ป็นอย่างดี 4. แนวทำงในกำรพฒั นำบุคลกิ ภำพ 4.1 กำรรกั ษำสุขภำพอนำมยั - ออกกาลังกายสมา่ เสมอ - รบั ประทานอาหารทีม่ ปี ระโยชน์ - ควบคุมนา้ หนกั ไมใ่ ห้เพ่ิมหรอื ลดผิดปกติ - ละเว้นการสูบบหุ รหี่ รือยาเสพตดิ ให้โทษทกุ ชนดิ - ไม่ด่ืมสง่ิ ของทีม่ ีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอนี - พักผ่อนนอนหลบั ให้เพยี งพอ วันละ 7-8 ชม. - รกั ษาอารมณใ์ หส้ ดชน่ื แจม่ ใสอยเู่ สมอ 4.2 กำรดแู ลรำ่ งกำย - รกั ษาความสะอาดในช่องปากและฟัน - ดูแลรักษาเสน้ ผมและทรงผมให้เรียบร้อยทง้ั ด้านความสะอาดและรปู ทรง - โกนหนวดเคราใหเ้ กลยี้ งเกลา ตดั และขรบิ ใหเ้ รยี บร้อย - รักษาผิวพรรณใหส้ ะอาดสดช่ืนอยเู่ สมอ อย่าใหผ้ วิ แหง้ กรา้ น - รกั ษากล่ินตัว - ร้จู กั การแต่งหน้าแตพ่ องาม
- ดูแลเล็บมือ เล็บเท้า ให้สะอาดอยเู่ สมอ 220 - ปรบั เปลี่ยนเส้อื ผา้ และชุดชนั้ ในทีส่ วมใสท่ ุกวนั - ควรมีการเชค็ ร่างกายเปน็ ประจาทุกปี - เม่ือรา่ งกายมอี าการผิดปกตริ ีบไปปรกึ ษาแพทย์ 4.3 กำรแตง่ กำย - สวมใส่เสอื้ ผา้ ที่สะอาด ซักรีดให้เรียบ - สสี ันไมฉ่ ูดฉาด ควรเลือกสใี หเ้ หมาะสมกบั รูปรา่ งและผวิ พรรณของตนเอง - กระเป๋าถือและรองเทา้ ควรใชห้ นังที่มคี ุณภาพดี สเี รยี บ สารวจส้นรองเท้าจดั การซ่อมแซม ใหเ้ รยี บร้อย - แต่งหนา้ ให้แนบเนยี น ไมแ่ ตง่ เข้มผิดธรรมชาติ เลือกใช้เคร่อื งสาอางคท์ มี่ คี ุณภาพดี - เลบ็ และการทาเล็บไม่ควรไวเ้ ลบ็ ยาวจนเกินไป ควรเลือกสีกลางๆ อย่าปล่อยให้สีถลอก จะไมน่ ่าดู - ผม หมัน่ สระใหส้ ะอาดอย่างนอ้ ยสปั ดาห์ละ 1-2 คร้งั แปรงหวใี ห้เรยี บร้อย เลือกทรงผม ท่ีรบั กับใบหน้า - เคร่อื งประดบั ควรใช้เพอื่ เสรมิ การแตง่ กายให้ดูดีข้ึนแต่ไม่ควรใชเ้ ครือ่ งประดับมากจนเกินไป จนดูสะดุดตารกรุงรังไปหมด - ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพภูมศิ าสตร์และวัฒนธรรม - ควรแตง่ กายใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ 4.4 อำรมณ์ รจู้ ักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ไปตามใจตนเอง คนทีค่ วบคุมอารมณ์ตนเองได้จะได้เปรยี บ และจะเอาชนะเหตุการณ์ต่างๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ ได้ในการปฏบิ ัตงิ านเป็นเร่อื งธรรมดาทีจ่ ะต้องมีเหตุการณ์มา กระทบกระเทือนอารมณก์ นั อยู่เสมอ ฉะนน้ั บคุ คลใดท่ตี ้องการจะพฒั นาบุคลิกภาพของตนให้ดขี น้ึ จะต้องเปน็ คน รจู้ ักอดทนใจเยน็ เม่ือมีเหตุการณ์ทีไ่ มถ่ ูกใจเกิดข้ึน 4.5 ควำมเช่ือม่นั ในตนเอง - ยอมรับในความสามารถของตนเอง - อย่าเลง็ ผลเลศิ ในการทางานจนเกินไป - อย่าถือคติวา่ การทางานสิง่ ใดเมอื่ ทาแล้วต้องดีทส่ี ดุ - อยา่ นาความเก่งของผูอ้ ืน่ มาทับถมตนเอง - หมน่ั ฝึกจิตใจตนเองให้ชนะความกลัวให้ได้
5. กำรพัฒนำบคุ ลกิ ภำพดำ้ นควำมร้สู กึ นกึ คดิ 221 ความรู้สึกนึกคิดของแตล่ ะคนยอ่ มไม่เหมอื นกนั ถ้ามีความรูส้ ึกนึกคดิ ในดา้ นดีไม่มอง คนในแง่ร้าย จติ ใจก็เปน็ สขุ ไมม่ ีความกังวล ดงั นน้ั เลขานุการจงึ ควรพัฒนาบคุ ลิกภาพดา้ นความรู้สึกนกึ คิดดงั นี้ 1. มีความเชือ่ มั่นในตนเองในการกระทาในสิ่งต่าง ๆ 2. มีความซ่ือสัตย์ กระทาตนให้ผู้อื่นเช่ือถือเราแล้วความไว้วางใจจะตามมามีเรื่องสาคัญเขาก็จะ ให้เราทา 3. มีความสามารถทจ่ี ะทาสง่ิ เหลา่ นัน้ ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจใหเ้ ราทา 4. มีความกระตอื รือร้นทอี่ ยากจะทาเตรียมตัวใหพ้ ร้อมอย่เู สมอ 5. มีความคิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ รู้จกั ปรบั ปรุงงานอยู่เสมอ 6. มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทาอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจ ะต้องทาให้เสร็จทัน ตามกาหนดเวลา 7. มีความรอบรู้ 8. หว่ งตัวเอง เตมิ ชวี ติ ให้กับตวั เอง 9. มคี วามจาแมน่ 10. วางตวั เหมาะสมกับกาลเทศะ 6. กำรพัฒนำบุคลกิ ภำพดำ้ นกำยบริหำรทรวดทรง องค์ประกอบของทรวดทรง ขึ้นอยู่กับกลไกของการเคลื่อนไหวของร่างกายและโครงสร้าง ของร่างกายไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบที่จะมีรูปร่างงามทั้งนั้น ผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างสมาร์ท ผู้หญิงก็ต้องการ มีเอวบาง ร่างน้อย มีสุขภาพดี การมีรูปร่างงาม สุขภาพดี เกิดจากการพัฒนาตัวเราเอง เราเป็นผู้วางแผนในชีวิต ของเราเอง ทรวดทรงอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่ส่วนสัดและท่าทาง ทาให้คนทุกคนดูแตกต่าง กันไป บุคลิกท่ีไม่ดีแสดงว่าเจ้าของเรือนร่างขาดความเช่ือม่ันในตัวเอง ถ้าได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับ บุคลิกภาพของตนเองแล้ว จะไม่เพียงทาให้มีรูปร่างสง่างามเท่าน้ัน ยังสามารถทาให้การปฏิบัติงาน เกิดความเช่อื มนั่ งานกม็ ปี ระสิทธิภาพอีกดว้ ย ท่ีมา : website https://www.16personalities.com/th
แผนผงั ควำมคิด บุคลกิ ภำพทด่ี ที ี่คนในสงั คมให้กำรยอมรับ ชอ่ื ....................................................................................................ช้นั ...................เลขท่.ี .............. คาช้แี จง ให้นกั เรียนรวบรวมบุคลิกภาพผลงานของกลมุ่ และในใบความร้มู าสร้างแผนผงั ความคิดเก่ียวกบั บคุ ลกิ ภาพที่ดีท่ีคนในสงั คมต้องการ นาเสนอผลงานหน้าชน้ั เรียน 222 บคุ ลิกภาพที่คนใน สังคมใหก้ ารยอมรบั
แผนกำรจัดกจิ กรรมแนะแนวที่ 36 หนว่ ยกำรจดั กิจกรรม ส่วนตัวและสังคม ชนั้ ประถมศกึ ษำปีท่ี 4 - 6 เร่อื ง วัยรนุ่ วยั วนุ่ จำนวน 3 ชว่ั โมง ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. สำระสำคญั วัยแรกรุ่น เป็นวัยท่ีมีอายุประมาณ 9-12 ปี เป็นวัยแห่งการเปล่ียนแปลงในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ร่างกาย อารมณ์ สติปัญญาการเรียนรู้ การเข้าสังคม และเพศ วัยนี้ยังไม่มีอารมณ์เพศ หรือ ความรู้สึกทางเพศ แสดงออกยงั ไมช่ ดั จึงควรเตรยี มความพร้อมในด้านตา่ งๆ เพ่อื กา้ วไปสู่วยั รุ่น 2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ดำ้ นสว่ นตวั และสังคม 223 ขอ้ ที่ 1 ร้จู กั และเขา้ ใจตนเอง ข้อท่ี 4 ปรับตัวและดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข 3. จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 3.1 บอกการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและจติ ใจของตนเองได้ 3.2 บอกพฒั นาการของวัยรนุ่ ในช่วยอายุ 11-13 ปี ได้ 3.3 ระบวุ ธิ ีการปรบั ตัวทดี่ ีและเหมาะสมกับพฒั นาการวยั ร่นุ ชว่ งอายุ 11- 13 ปี ได้ 4. สำระกำรเรยี นรู้ -พัฒนาการของวยั รนุ่ อายุช่วง 10-13 ปี 5. ชน้ิ งำน/ภำระงำน 5.1 เลน่ เกม ฉันควรอยู่ตรงไหน 5.2 Mind mapping พฒั นาการของเด็กวยั แรกรนุ่ 5.3 ใบงานเรอื่ ง การเปลี่ยนแปลงของฉนั 6. วธิ ีกำรจัดกิจกรรม ช่ัวโมงที่ 1 6.1 ครกู ล่าวทกั ทายนกั เรยี นและถามนกั เรียนวา่ ใครชอบไม่ชอบสว่ นไหนของร่างกายตนเองในช่วงวัยเรยี น เพราะอะไรถึงชอบ และเพราะอะไรถึงไมช่ อบ และนักเรียนสงั เกตเห็นการเปล่ียนแปลงอะไรในร่างกายของตนเองบา้ ง 6.2 ครูให้นักเรียนเล่นเกม ฉันควรอยู่ตรงไหน เป็นเกมที่ให้นักเรียนสังเกตการณ์เปล่ียนแปลง ของตนเองแล้วเลอื กไปยืนตามจุด เห็นด้วย ไม่แนใ่ จ ไม่เหน็ ด้วย (ดรู ายละเอียดเกมภาคผนวก)
6.3 นักเรียนศึกษาใบความรู้เรื่อง พัฒนาการของเด็กวัยแรกรุ่น นักเรียนสรุปองค์ความรู้เป็น 224 Mind mapping รายบคุ คล 6.4 ครูและนักเรยี นรว่ มกันสรปุ กจิ กรรมและนัดหมายการจดั กิจกรรมในครั้งต่อไป ชั่วโมงท่ี 2 6.5 ครูให้นักเรียนดูคลิปเรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของวัยแรกรุ่น คลิปตัวอย่างเช่น https://www.youtube.com/watch?v=LK8wKT_6R1w&t=122s 6.6 ครูแบง่ กลุ่มนกั เรยี นเป็นชาย หญิง ทาใบงาน การเปล่ยี นแปลงของฉัน 6.7 นักเรยี นนาผลงานจากใบงานสรปุ และอภปิ รายร่วมกันเกี่ยวกับการเปลีย่ นแปลงดังกล่าว 6.8 ครูขออาสาสมัครแต่ละกลมุ่ ออกมานาเสนอผลงานใบงานหนา้ ช้ันเรียน ประมาณ 2 กลมุ่ ชาย 1 กลุ่ม หญิง 1 กลุม่ ชว่ั โมงท่ี 3 6.9 ครูให้นักเรียนดูคลิปวีดีโอ การยอมรับและการปรับตัวที่ดีของวัยรุ่น ตัวอย่างที่มาคลิปท่ีให้ดู https://www.youtube.com/watch?v=Z2MjFdVbKkA 6.10 ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนเป็นชายหญิงล้วน 7กลุ่ม ส่งตัวแทนมาจับสลาก เป็นสถานการณ์ท่ีให้นักเรียน คิดหาวิธกี ารปรบั ตวั ทเี่ หมาะสมกับพัฒนาการวัยแรกรุน่ ชว่ งอายุ 10 – 13 สถานการณไ์ ดแ้ ก่ - เมื่อฉนั รู้ว่าประจาเดือนมาครัง้ แรก (ชาย) - ฉนั เสยี งแตกหน่มุ นมแตกพาน (หญงิ ) - เม่อื ฉันมีหนวด และมขี นขึ้นทีอ่ วยั วะเพศ (ชาย) - ตื่นมาก็พบวา่ ฝันเปียก (ชาย) - ทางัยดีเต้านมขยายใหญข่ นึ้ สะโพกกผ็ าย เสื้อผ้าเรมิ่ คับ (หญงิ ) - เร่มิ มีประจาเดือนครงั้ แรก (หญิง) - ฉนั หน้าตาเปล่ยี นไป หลอ่ ข้ึน (ชาย) - ฉันหน้าตาเปลี่ยนไป สวยขน้ึ (หญิง) 6.11 แต่ละกลุ่มนาเสนอหน้าชั้นเรยี นกลุ่มละไม่เกนิ 3 นาที 6.12 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปพัฒนาการของวัยแรกรุ่น และการเข้าใจการเปลี่ยนแปลง พร้อมท้ัง มวี ธิ ีการปรบั ตวั ที่เหมาะสมกบั วัยและการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กดิ ข้นึ กับตนเอง 7. ส่อื /อปุ กรณ์ 7.1 คลปิ วิดีโอเรือ่ ง การเปล่ยี นแปลงทางร่างกายและจติ ใจของวัยแรกรนุ่ 7.2 เกม ฉนั ควรอยู่ตรงไหน 7.3 ใบงานเรื่อง การเปลีย่ นแปลงของฉัน
7.4 ใบความรู้เรอ่ื ง พฒั นาการของเด็กวยั แรกร่นุ 225 7.5 สลากสถานการณ์ที่ให้นักเรียนคิดหาวิธีการปรับตวั 8. กำรวัดและประเมินผล 8.1 วิธปี ระเมนิ 8.1.1 สังเกตการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม 8.1.2 ตรวจผลงาน/แผนผังความคดิ 8.2 เครื่องมือประเมนิ 8.2.1 แบบสังเกตการปฏิบตั ิกิจกรรม 8.2.2 แบบตรวจผลงาน/แผนผงั ความคดิ 8.3 เกณฑ์กำรประเมนิ 8.3.1 การสงั เกตการปฏิบัติกจิ กรรม เกณฑ์ ตวั บง่ ชี้ ผ่าน ให้ความรว่ มมือในการจดั กิจกรรม ปฏิบตั ิกจิ กรรมดว้ ยความรบั ผิดชอบ และมคี วามมงุ่ ม่ันในการปฏิบัติงาน ไมผ่ า่ น ไม่ให้ความร่วมมือในการจดั กิจกรรม ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมไม่ครบทุกรายการ 8.3.2 การประเมินผลผลงานแผนผงั ความคดิ /ใบงาน เกณฑ์ ตวั บ่งช้ี ผ่าน การประเมินผลงานแผนผงั ความคิด/ใบงาน มีความถูกต้อง ความสมบรู ณค์ รบถว้ น และส่งตรงต่อเวลา ไมผ่ ่าน ผลงานแผนผงั ความคดิ /ใบงาน ไมถ่ ูกต้องสมบรู ณ์ครบถว้ น และส่งงานไมต่ รงต่อเวลา
เกม 226 ฉันควรอยู่ตรงไหน วธิ เี ลน่ 1. ครกู าหนดพืน้ ทใ่ี ห้นักเรยี นเลือกไปยืน โดยครเู ขียนติดกระดาษ A4 ไว้ 3 จุดคือ เห็นดว้ ย หนา้ หอ้ ง ไม่เหน็ ด้วยหลงั หอ้ ง ไม่แน่ใจตรงกลางห้อง 2. ครูอ่านสถานการณ์ให้นกั เรยี นฟัง - ฉนั แขนขายาวขน้ึ - ฉันสูงขึน้ อยา่ งรวดเรว็ - ฉันมตี วั ใหญข่ ึน้ - ฉนั ไม่ชอบอยใู่ นกฎเกณฑ์ - ฉันเร่ิมรวู้ ่าฉันชอบหรอื ถนดั เรื่องอะไร - ฉันต้องการการยอมรับจากเพื่อน - ฉนั เลือกสนทิ กบั เพ่อื นท่ีมีความชอบและสนใจเหมือนฉนั - ฉันเรยี นรู้ เขา้ ใจเหตุการณ์ตา่ งๆแบบลกึ ซึ้ง คิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์สง่ิ ตา่ งๆได้ดว้ ยตวั เอง - ฉนั มีการเปลย่ี นแปลงทางร่างกายอยา่ งเห็นไดช้ ัด 3. นักเรียนพิจารณาว่าสถานการณด์ ังกล่าวนักเรยี นจะเลือกไปยนื อยตู่ รงไหน *******************************************************
ใบควำมรู้ เรือ่ ง พัฒนำกำรของเดก็ วัยแรกรุน่ วัยรุ่นเป็นวยั ที่มกี ารเปลี่ยนแปลงเกิดข้นึ ในหลายๆดา้ น โดยเฉพาะในเด็กวัยแรกรุน่ ในช่วงอายุ 10-13 ปี 227 แรก ซ่ึงจะเป็นวัยท่ีเกิดปัญหาขึ้นได้มากจึงต้องอาศัยการปรับตัวเพ่ือให้สามารถดาเนินชีวิตได้ต่อไปพร้อม เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ท่ีมีสุขภาพดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในวัยน้ีเพศหญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นได้เร็วกว่าผู้ชาย ประมาณ 2 ปีและจะพัฒนาไปจนถึงอายุประมาณ 18 ปีก็จะเร่ิมเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยจะมีการเปล่ียนแปลงใน พฒั นาการดา้ นตา่ งๆดังน้ี 1. พฒั นำกำรทำงร่ำงกำย ประกอบไปด้วยการเปล่ียนแปลงของร่างกายและเพศ สาเหตุเพราะวัยน้ีจะมีการสร้างและหลั่งฮอร์โมนเพศ มากข้ึน ซ่ึงในสว่ นของรา่ งกายจะเติบโตขนึ้ อย่างรวดเร็ว แขนขาจะยาวข้ึนอย่างต่อเนื่อง ในเพศหญิงจะมีไขมัน มากกว่าชายที่มีกล้ามเนื้อมากกว่า ส่งผลให้เพศชายมีความแข็งแรงกว่า ส่วนในด้านการเปลี่ยนแปลงทางเพศ วัยรุ่นผู้ชายจะเร่ิมเป็นหนุ่มข้ึน นมแตกพาน เสียงแตก หนวดเคราข้ึน และเริ่มมีการหลั่งน้าอสุจิหรือท่ีเรียกว่า ฝนั เปยี ก วัยรุ่นหญิงจะเปน็ สาวมากขึ้น เตา้ นมมีการขยายใหญข่ ้ึน สะโพกผาย เรม่ิ มปี ระจาเดอื นคร้งั แรก 2. พัฒนำกำรทำงด้ำนจติ ใจ แบ่งยอ่ ยออกมำเป็น 2 ประเภท o สติปญั ญา มีการพฒั นาดา้ นสติปญั ญามากขึ้นสามารถเรียนรู้ เขา้ ใจเหตุการณต์ า่ งๆแบบลึกซ้งึ คดิ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ส่ิงต่างๆไดด้ ว้ ยตัวเอง o ความคิดถึงตวั เอง วยั รุ่นจะเริ่มแสดงออกถึงส่งิ ที่ตนเองช่นื ชอบหรือถนัด เช่น วชิ าทชี่ อบเรยี น กีฬาท่ีชอบเล่น ของสะสมที่สนใจ เลือกคบเพื่อนที่มีความชอบอะไรที่เหมือนๆกัน จึงทาให้เกิดการเรียนรู้และ ถ่ายทอดกันในกลุม่ เพ่อื น ท้ังสว่ นของแนวคดิ ค่านยิ ม ระบบจรยิ ธรรม ซงึ่ ส่งิ เหล่าคือเอกลกั ษณ์เฉพาะตัว o ภาพลักษณ์ของตนเอง คือการใส่ใจมองในภาพของตนเองในด้านต่างๆ เช่น หน้าต่าง รูปร่าง ความสวยหล่อ ผิวพรรณ ขอ้ ดีหรือข้อดอ้ ยของร่างกายตวั เอง o การได้รับการยอมรับ วัยน้ีมีความต้องการด้านการยอมรับจากกลุ่มเพ่ือนเป็นอย่างมาก เพราะจะทาให้เกิดความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย เห็นคุณค่าของตนเอง ม่ันใจในตนเอง ย่ิงมีคนรู้จักมากข้ึน ก็ยิง่ รูส้ ึกดี
o ความเป็นตัวของตวั เอง ในวัยนี้จะเริ่มรู้สกึ อสิ ระ เสรภี าพ ไม่ชอบท่ีตอ้ งอยใู่ นภายใต้กฎเกณฑ์ หรือกติกาใดๆ ชอบที่จะคิดเอง ทาเอง พ่ึงตนเอง หากถูกบังคับก็จะแสดงปฎิกิริยาตอบโต้ในทันที และยังเปน็ วัยที่อยากร้อู ยากเหน็ จงึ มีความเส่ียงทีจ่ ะถกู หลอกไดง้ า่ ย ดังน้ันในวัยน้ีพ่อแม่จึงควรให้ความสนิทดูแลอย่างใกล้ชิดแต่ไม่ควรเข้าไปจู้จ้ีหรือเข้าไปทาให้เด็กรู้สึกอึดอัด พวกเคา้ ก็จะย่ิงตอ่ ต้านรวมท้ังทาตัวแปลกแยกห่างเหิน มอี ะไรกจ็ ะไมก่ ล้าบอกซง่ึ จะสง่ ผลเสียมากกวา่ ผลดี --------------------------------------------------------------------------- ทม่ี า : http://www.kindererholung.co 228
ใบงำน กำรเปล่ยี นแปลงของฉนั (ชำย) ชอ่ื -สกุล...........................................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี............. 1. ใหเ้ ขียนแผนผงั ความคดิ การเปลยี่ นแปลงของนักเรยี นท้งั ด้านร่างกาย อารมณ์ สตปิ ัญญา ความสามารถ ทำงกำย ทำงอำรมณ์ 229 ทำงสติปัญญำ ควำมสำมำรถ 2. ให้บอกพัฒนาการของวยั รนุ่ ในช่วยอายุ 11-13 ปี มีพฒั นาการอยา่ งไรบ้างใหแ้ สดงความคดิ เหน็ ………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ใหน้ กั เรียนระบวุ ิธีการปรบั ตัวทดี่ ีและเหมาะสมกับพัฒนาการวัยรนุ่ ช่วงอายุ 11- 13 ปี มวี ิธีการอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ใบงำน กำรเปลย่ี นแปลงของฉัน (หญิง) ชอ่ื -สกลุ ...........................................................................................ชั้น...............เลขท่.ี ............ 1. ใหเ้ ขียนแผนผงั ความคิดการเปล่ยี นแปลงของนักเรยี นทงั้ ด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา ความสามารถ ทำงกำย ทำงอำรมณ์ 230 ทำงสติปญั ญำ ควำมสำมำรถ 2. ให้บอกพัฒนาการของวยั รุน่ ในชว่ ยอายุ 11-13 ปี มพี ัฒนาการอย่างไรบ้างให้แสดงความคดิ เห็น ………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ใหน้ กั เรยี นระบุวิธีการปรบั ตวั ที่ดีและเหมาะสมกับพัฒนาการวัยรุ่น ช่วงอายุ 11- 13 ปี มีวธิ กี ารอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………..
แผนกำรจดั กิจกรรมแนะแนวที่ 37 หน่วยกำรจดั กิจกรรม ส่วนตวั และสังคม ชั้นประถมศึกษำปีที่ 4 - 6 เรอื่ ง ท่องโลกออนไลน์อย่ำงปลอดภยั จำนวน 3 ชั่วโมง ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. สำระสำคัญ 231 โลกปจั จบุ นั เปน็ โลกส่ือสารไร้พรมแดนดว้ ยเทคโนโลยีและอนิ เตอร์เนต็ สามารถทาให้คนเราซึ่งอยู่คนละมุม โลกติดต่อกันได้อย่าสะดวกสบายไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูล ภาพ เสียง ไฟล์ต่างๆ รวมท้ังวีดีโอคอลที่ทาให้ คนที่พูดคุยกันเห็นหน้าเห็นตากันเหมือนพูดคุยกันอยู่ซึ่งๆ หน้า สะดวก สบาย ประหยัดค่าใช้จ่ายแต่สิ่งเหล่าน้ี ก็แฝงมาดว้ ยอนั ตรายจากมจิ ฉาชพี เราควรคานึงถึงความปลอดภยั ของการใช้อินเตอรเ์ นต็ 2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ดำ้ นส่วนตัวและสงั คม ข้อท่ี 4 ปรบั ตวั และดารงชีวิตอยใู่ นสงั คมได้อย่างมีความสขุ 3. จุดประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 3.1 วเิ คราะหข์ ้อดี ข้อเสยี ของส่ือออนไลนไ์ ด้ 3.2 บอกและใช้ website ท่ีเปน็ ประโยชน์ต่อการศึกษาของตนเองได้ 3.3 เลอื กใชข้ ้อมูลจากส่ือออนไลน์อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ 4. สำระกำรเรยี นรู้ 4.1 การเลอื กใชข้ อ้ มลู จากสื่อออนไลนอ์ ย่างปลอดภยั และสร้างสรรค์ 4.2 website ทเี่ ป็นประโยชน์ตอ่ การศกึ ษา 5. ชิน้ งำน/ภำระงำน 5.1 ใบงาน เร่อื ง ประโยชนโ์ ทษของอินเตอรเ์ น็ต 5.2 ใบงานเร่ือง “การสบื คน้ จากอินเตอรเ์ นต็ ” 6. วธิ กี ำรจดั กิจกรรม ช่ัวโมงท่ี 1 6.1 ครูกล่าวทักทายนักเรียน และเริ่มประเด็น คาว่า ออนไลน์ โดยถามนักเรียนใครเคยได้ยืนคานี้บ้าง และคาว่า ออนไลน์ ในความหมายของนักเรยี นคอื อะไร สุ่มถาม 2-3 คน 6.2 ครูอธิบายความหมายของคาว่า ออนไลน์ คือ การเชื่อมต่อผ่านระบบเครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ ตวั อยา่ งสื่อออนไลน์ เชน่ Weblogs Social Networking 6.3 ครูให้นกั เรยี นชมคลิปวิดีโอ ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต ของ NRRU.MOOC ประมาณ 5 นาที 6.4 ครใู ห้นกั เรียนดูคลปิ วิดีโอ การ์ตูน เรื่อง ภยั เงียบ (อันตราย จากส่อื อินเตอร์เนต็ ) ประมาณ 8 นาที
6.5 ครใู ห้นกั เรียนจบั คู่ ทาใบกิจกรรม ประโยชนโ์ ทษของอินเตอรเ์ นต็ ประมาณ 20 นาที 232 6.6 ครสู ุ่มนกั เรยี น 2-3 คู่นาเสนอใบกิจกรรม ประโยชน์โทษของอนิ เตอร์เนต็ 6.7 ครูและนกั เรยี นร่วมสรุปการทากจิ กรรมในชว่ั โมง ช่ัวโมงที่ 2 6.8 ครูและนักเรียนกล่าวทักทาย และนาเสนอรูปภาพ เว็บไซต์ google.com และ YouTube.com ให้นักเรยี นดู และถามนกั เรยี นเคยเหน็ หรือไม่ เหน็ ทไ่ี หน ให้นกั เรยี นแสดงความคิดเหน็ 6.9 ครสู อบถามนักเรยี นถงึ การใชง้ านอนิ เตอร์เน็ต ใช้ช่วงใดและเข้าเว็บไซตใ์ ดบา้ งในชวี ิตประจาวัน 6.10 ครใู ห้นักเรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน ให้สบื คน้ ข้อมลู เกีย่ วกบั การศกึ ษา ตามประเด็น เช่น 1) วธิ ีการเรียนเกง่ 2) ประวตั โิ รงเรียน 3) อาชพี ทตี่ นเองสนใจ 4) อ่นื ๆ 6.11 ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุ่มจัดทาใบกิจกรรม “การสบื ค้นจากอินเตอรเ์ น็ต” 6.12 ครูสมุ่ นักเรียน 3-5 กลุ่ม นาเสนอใบกิจกรรม “การสืบค้นจากอนิ เตอรเ์ น็ต” 6.13 ครใู หน้ ักเรียนศึกษาใบความรู้ เวบ็ ไซต์ การศึกษาท่ีควรรู้ 6.14 ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรปุ วิธกี ารสืบคน้ ข้อมูล ช่ัวโมงท่ี 3 6.15 ครกู ลา่ วทักทายนักเรยี นและร่วมกนั ทบทวนบทเรียนจากช่ัวโมงที่ผา่ นมา 6.16 ครูเลา่ เรอื่ งเกี่ยวกับความรู้ท่ีถกู เผยแพรใ่ นสอ่ื อนิ เตอร์ทไี่ ม่เปน็ ความจริงและผลท่เี กิดขึ้น กับผทู้ ่ีเช่ือ 6.17 ครูใหน้ กั เรยี นดูวดิ โี อเร่อื ง ใช้สอื่ อนิ เตอร์เนต็ อย่างปลอดภัยสไตล์พลากงุ้ 6.18 ครสู อบถามความคดิ เห็นเกย่ี วกบั วดิ ีโอทีน่ ักเรยี นไดเ้ รียน 6.19 ครใู ห้นักเรียนศกึ ษาใบความรู้เรือ่ ง การใช้งานอินเตอรเ์ นต็ อย่างถกู ต้อง 6.20 ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรุปกจิ กรรมทอ่ งโลกออนไลน์อยา่ งสร้างสรรค์ 7. สอื่ /อปุ กรณ์ 7.1 คลปิ วดิ โี อ ประโยชนข์ องอนิ เตอรเ์ น็ต ของ NRRU.MOOC 7.2 คลิปวิดโี อ การ์ตูน เรอ่ื งภัยเงียบ (อันตราย จากสื่ออนิ เตอรเ์ น็ต) 7.3 ใบกิจกรรม ประโยชนโ์ ทษของอินเตอรเ์ นต็ 7.4 รูปภาพ เวบ็ ไซต์ google.com และ YouTube.com 7.5 ใบกจิ กรรม “การสบื คน้ จากอนิ เตอรเ์ น็ต” 7.6 ใบความรู้ เวบ็ ไซต์ การศึกษาท่ีควรรู้
7.7 วดิ ีโอเรื่อง ใช้ส่ืออนิ เตอร์เน็ตอย่างปลอดภยั สไตล์พลากุ้ง 233 7.8 ใบความรู้เรื่อง การใช้งานอินเตอร์เน็ตอยา่ งถูกต้อง 8. กำรวัดและประเมินผล 8.1 วธิ ีประเมนิ 8.1.1 สงั เกตการปฏิบัติกิจกรรม 8.1.2 ตรวจผลงาน 8.2 เคร่อื งมือประเมนิ 8.2.1 แบบสังเกตการปฏิบัติกิจกรรม 8.2.2 แบบตรวจผลงาน 8.3 เกณฑ์กำรประเมิน 8.3.1 การสังเกตการปฏบิ ัติกิจกรรม เกณฑ์ ตัวบ่งช้ี ผ่าน ให้ความร่วมมือในการจดั กิจกรรม ปฏิบตั กิ ิจกรรมดว้ ยความรบั ผิดชอบ และมคี วามม่งุ มนั่ ในการปฏิบัตงิ าน ไมผ่ ่าน ไม่ใหค้ วามรว่ มมือในการจดั กิจกรรม ปฏบิ ัติกจิ กรรมไม่ครบทกุ รายการ 8.3.2 การประเมนิ ผลใบงาน เกณฑ์ ตัวบ่งชี้ ผา่ น การประเมินใบงาน มีความถูกตอ้ ง ความสมบูรณ์ครบถว้ น และสง่ ตรงตอ่ เวลา ไม่ผา่ น ใบงานไม่ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วน และส่งงานไมต่ รงต่อเวลา
ใบควำมรู้ เร่อื ง กำรใชอ้ ินเทอร์เน็ตอย่ำงปลอดภัย 234 ทีม่ ำ : http://mohaney20.blogspot.com/
ใบงำน เรอ่ื ง ประโยชน์และโทษของอนิ เตอรเ์ นต็ คำชี้แจง ให้นกั เรียนระบปุ ระโยชน์หรอื ข้อดีและโทษหรือข้อเสยี ของการใช้อนิ เตอรเ์ นต็ หรอื การใชง้ านระบบ ออนไลนใ์ นปจั จบุ ัน ชื่อ-สกลุ ............................................................................................ช้นั ..................เลขที่.................... ประโยชน์ โทษ 235 ประโยชน์ และโทษ ของอินเตอรเ์ น็ต
ใบควำมรู้ 236 เร่ือง ประโยชน์และโทษของอนิ เตอร์เนต็ ประโยชน์และโทษของอนิ เทอรเ์ นต็ 1. ไปรษณยี ์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (Electronic mail=E-mail) ไปรษณยี อ์ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ หรอื E-mail เปน็ การสง่ จดหมายผา่ นเครือข่ายอินเตอร์เนต็ โดยผู้ส่งสสามารถสง่ ข้อความไปยงั ท่ีอยู่ของผ้รู ับ ในรปู แบบของอีเมล์ เม่อื ผ้สู ่งเขียนจดหมาย แล้วสง่ ไปยังผรู้ ับ ผ้รู ับจะไดร้ ับจดหมายภายในเวลาไม่กว่ี ินาที แม้จะอยหู่ ่างกันคนละซีกโลก กต็ าม นอกจากน้ียังสามารถส่งแฟ้มขอ้ มูลหรือไฟล์แนบไปกับอเี มล์ได้ดว้ ย 2. กำรขอเขำ้ ระบบจำกระยะไกลหรือเทลเน็ต (Telnet) เปน็ บริการอินเน็ตรูปแบบหนึ่งโดยทเี่ รา สามารถเขา้ ไปใชง้ านคอมพิวเตอรอ์ ีกเครื่องหนึง่ ท่ีอยู่ไกลๆได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้าเราอยทู่ ่โี รงเรยี นทางานโดยใช้ อินเตอร์เน็ตของโรงเรยี นแล้วกลบั ไปทบี่ ้าน เรามีคอมพวิ เตอรท์ บ่ี ้านและต่ออินเตอรเ์ นต็ ไวเ้ ราสามารถเรียกข้อมลู จากทโ่ี รงเรียนมาทาท่ีบ้านได้ เสมอื นกับเราทางานท่โี รงเรยี นน่ันเอง 3. กำรโอนถ่ำยข้อมูล(File Transfer Protocolหรือ FTP) เป็นบริการอีกรูปแบบหน่ึงของระบบ อินเตอร์เน็ต เราสามารถค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเคร่ืองของเราได้ ทั้งข้อมูลประเภท ตวั หนงั สือ รูปภาพและเสียง 4. กำรสืบค้นข้อมูล (Gopher,Archie, World wide Web) หมายถึง การใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตใน การค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมายแล้วช่วยจัดเรียงข้อมูลข่าวสารหัวข้ออย่างมีระบบ เป็นเมนู ทาให้เราหาข้อมูลได้ ง่ายหรือสะดวกมากขน้ึ 5. กำรแลกเปล่ยี นขำ่ วสำรและควำมคิดเห็น (Usenet) เป็นการให้บริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดง ความคิดเห็นทผี่ ู้ใช้บริการอนิ เตอรเ์ นต็ ทั่วโลกสามารถพบปะกนั แสดงความคดิ เห็นของตน โดยมกี ารจดั การผู้ใช้เป็น กลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป (Newsgroup) แลกเปล่ียนความคิดเห็นกันเป็นหัวข้อต่างๆ เช่น เร่ืองหนังสือ เรื่องการเล้ียง สตั ว์ ต้นไม้ คอมพิวเตอร์และการเมือง เป็นต้น ปัจจุบันมี Usenet มากกว่า15,000 กลุ่ม นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ให้ ทุกคนจากทว่ั มุมโลกแสดงความคิดเหน็ อยา่ งกวา้ งขวาง 6. กำรสื่อสำรด้วยข้อควำม (Chat, IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุยกันระหว่างผู้ใช้ อินเตอร์เน็ต โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการส่ือสารที่ไดัรับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง การสนทนากันผ่าน อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน แต่ละคนก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกันไปมาได้ในเวลา เดยี วกัน แมจ้ ะอยู่คนละประเทศหรอื คนละซีกโลกกต็ าม 7.กำรซ้ือขำยสินค้ำและบริกำร (E- Commerce = Electronic Commerce) เป็นการจับจ่าย ซ้ือ – สินค้าและบริการ เช่น ขายหนังสือ คอมพิวเตอร์ การท่องเท่ียว เป็นต้น ปัจจุบันมีบริษัทใช้อินเตอร์เน็ตใน การทาธุรกิจและให้บริการลูกค้าตลอด 24ช่ัวโมง ในปี2540 การค้าขายบนอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าสูงถึง
1แสนล้านบาท และจะเพ่ิมเป็น1ล้านล้านบาทในอีก5ปีข้างหน้า ซ่ึงเป็นโอกาสทางธุรกิจแบบใหม่ท่ีน่าสนใจและ เปดิ ทางให้ทกุ คนเขา้ มาทาธุรกจิ ได้โดยใชท้ นุ ไม่มากนัก 8. กำรให้ควำมบันเทิง (Entertain) ในอินเตอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงในทุกรูปแบบต่างๆ เช่น เกมส์ เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด24ช่ัวโมง และจากแหล่งตา่ งๆทวั่ ทกุ มมุ โลก ท้งั ประเทศไทย สหรฐั อเมรกิ า ยโุ รปและออสเตรเลีย เป็นต้น โทษของอินเตอร์เนต็ 237 1. โรคตดิ อินเทอเน็ต(Webaholic) อินเตอรเ์ น็ตก็เป็นส่ิงเสพติดหรอื ? การเลน่ อนิ เตอรเ์ น็ต ทาให้คุณเสียงาน ผ้ใู ดเป็นผู้ทต่ี ิดการพนัน การติด การพนันประเภทที่ถอนตวั ไมข่ ้ึน มลี ักษณะคล้ายคลึงกับ การติดอินเตอร์เน็ต เพราะทั้งสองอย่าง เก่ียวข้องกับการ ล้มเหลว ในการควบคุมความต้องการของตนเอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเคมีใดๆ (อย่างสุรา หรือยาเสพติด) ผูท้ ี่มอี าการอย่างนอ้ ย 4 อยา่ ง เป็นเวลานานอยา่ งนอ้ ย 1ปีถอื ได้ว่า มีอาการตดิ อนิ เตอร์เน็ต • รู้สกึ หมกมนุ่ กบั อนิ เตอรเ์ น็ต แม้ในเวลาทไ่ี ม่ไดต้ อ่ กับอินเตอร์เน็ต • มคี วามตอ้ งการใช้อินเตอรเ์ น็ตเป็นเวลานานขน้ึ • ไม่สามารถควบคุมการใช้อนิ เตอร์เน็ตได้ • รู้สกึ หงดุ หงิดเม่อื ตอ้ งใชอ้ นิ เตอรเ์ น็ตนอ้ ยลงหรือหยุดใช้ • ใชอ้ ินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปญั หาหรอื คดิ วา่ การใชอ้ ินเตอรเ์ นต็ ทาใหต้ นเองรสู้ กึ ดขี นึ้ • หลอกคนในครอบครวั หรือเพอื่ น เร่ืองการใชอ้ ินเตอร์เนต็ ของตัวเอง • การใช้อินเตอร์เน็ตทาให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ต ถงึ แม้วา่ ต้องเสียคา่ ใช้จา่ ยมา • มอี าการผดิ ปกติ อยา่ งเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลกิ ใชอ้ นิ เตอรเ์ นต็ • ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าท่ีตัวเองได้ต้ังใจไว้ มีผ ล กระทบต่อการเรียน อาชีพ สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนคนนั้น ถึงแม้ว่าการวิจัยท่ีผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การติดเทคโนโลยี อย่างเช่น การติดเล่นเกมส์ ส่วนใหญ่จะเกิดข้ึนกับเพศชายแต่ผลลัพธ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญงิ วัยกลางคนและไมม่ งี านทา 2.เร่ืองอณำจำรผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content) เร่ืองของขอ้ มูลต่างๆท่ีมีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรอื รวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้น เป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเทอเน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเน่ืองจากสมัยก่อนเป็นยุคท่ี WWW ยังไม่ พัฒนามากนักทาให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นท่ีโจ่งแจ้งบนอินเทอเน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถ เข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มท่ี เพราะว่าอินเทอเน็ตน้ันเป็น โลก
ทไี่ ร้พรมแดนและเปิดกว้างทาให้สื่อเหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเรว็ จนเราไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ท่ีทาส่ิง 238 เหล่าน้ีข้นึ มาได้ 3. ไวรัส ม้ำโทรจนั หนอนอินเตอรเ์ นต็ และระเบิดเวลำ ไวรัส : เป็นโปรแกรมอิสระ ซึ่งจะสืบพันธุ์โดยการจาลองตัวเองให้มากข้ึนเรื่อยๆ เพื่อที่จะทาลายข้อมูล หรืออาจทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานช้าลงโดยการแอบใช้สอยหน่วยความจาหรือพื้นท่ีว่างบนดิสก์ โดยพลการม้าโทรจัน : ม้าโทรจันเป็นตานานนักรบที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ แล้วแอบเข้าไปในเมืองจนกระท่ังยึดเมือง ได้สาเร็จ โปรแกรมน้ีก็ทางานคล้ายๆกัน คือโปรแกรมน้ีจะทาหน้าท่ีไม่พึงประสงค์ มันจะซ่อนตัวอยู่ในโปรแกรมท่ี ไม่ได้รับอนุญาต มันมักจะทาในส่ิงท่ีเราไม่ต้องการ และส่ิงท่ีมันทานั้น ไม่มีความจาเป็นต่อเราด้วย หนอน อิ น เต อ ร์ เน็ ต : ถู ก ส ร้ า งขึ้ น โด ย Robert Morris, Jr. จ น ดั งก ร ะ ฉ่ อ น ไป ท่ั ว โล ก มั น คื อ โป ร แ ก ร ม ท่ีจะสืบพันธุ์โดยการจาลองตัวเองมากขึ้นเร่ือยๆ จากระบบหน่ึง ครอบครองทรัพยากรและทาให้ระบบช้าลง ระเบิดเวลา : คือรหัสซึ่งจะทาหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นรูปแบบเฉพาะของการโจมตีน้ันๆ ทางานเมื่อสภาพการโจมตี น้นั ๆ มาถึง ยกตวั อย่างเช่น ระเบิดเวลาจะทาลายไฟลท์ งั้ หมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2542 ---------------------------------------------------------------------------- ทีม่ า: https://manat52.wordpress.com รปู ภำพ google.com Youtube.com
ใบงำน เร่ือง “กำรสืบคน้ จำกอินเตอร์เนต็ ” คำช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นสรุปขอ้ มลู ทีน่ ักเรียนสำมำรถสืบคน้ ได้ ชอ่ื -สกลุ ............................................................................................ชั้น..................เลขท่.ี ................... เรอื่ ง………………………………………………………………… ท่มี ำ (แหล่งอำ้ งอิง)…………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… 239 ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………
เว็บไซต์ความร้ทู ่ัวไป ใบควำมรู้ 1. LifeHacker.co.uk เรือ่ ง เว็บไซต์ กำรศกึ ษำทีค่ วรรู้ 2. MentalFloss.com 3. UnplugTheTV.com เว็บไซตแ์ บง่ ปันความรู้ 4. Sleepyti.me 6. UReddit.com 5. KeepMeOut.com 7. EdX.org เวบ็ ไซตส์ อนทาอาหาร เว็บไซตเ์ คลด็ ลับดแู ลสขุ ภาพ 8. StudentRecipes.com 11. The Ultimate Health Food Guide 9. Recipepuppy.com 12. WebMD.com 10. Instructables.com 13. NHS.uk 14. DontPassItOn.co.uk 15. ASHASexualHealth.org 240
ใบควำมรู้ เรอื่ ง 10 เว็บแหลง่ กำรเรยี นรู้ ทไ่ี มค่ วรพลำด DataCamp.com 241 ภาพ : https://www.datacamp.com/ เนือ่ งจากในทุกวันนี้เครอื ข่ายข้อมลู ตา่ งๆ นน้ั มมี ากมายมหาศาล ดงั น้นั เว็บ Data camp จงึ เปน็ อกี หน่ึง สื่อการเรยี นรูท้ ่ีจะชว่ ยทาใหเ้ ราสามารถเข้าถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ได้ง่ายยง่ิ ขน้ึ Ed.TED.com
ภาพ : http://ed.ted.com/ 242 เว็บที่ 2 Ed.TED.com TED เป็นแหลง่ รวบรวมบทเรียนมากมายใหเ้ ราไดเ้ ขา้ อ่านกนั ค่ะ นอกจากนีเ้ รายังสามารถอัพโหลดวิดโี อของ ตวั เองลงไปในเว็บไซต์ได้อีกด้วย และสามารถให้คนอ่นื เข้ามาดูคลปิ ของเรา แสดงความคดิ เหน็ แลกเปล่ียนข้อมูลกัน ได้ Udemy.com ภาพ : https://www.udemy.com/
เว็บที่ 3 Udemy.com เป็นอีกหน่ึงเว็บท่ีมีการรวบรวมบทเรียนเอาไว้กว่า 30,000 บทเรียน ซึ่งจะมีความแตกต่างไปตามหัวขอ้ วิชาที่ หลากหลาย ซ่ึงสามารถสรา้ งหรอื ปรับปรงุ แก้ไขโดยผู้เชย่ี วชาญไดต้ ลอดเวลา ถงึ ทาให้ข้อมูลตา่ งๆถูกอพั เดทอย่ตู ลอด Digital-Photography-School.com ภาพ : http://digital-photography-school.com/tips/ 243 เว็บที่ 4 Digital-Photography-School.com เว็บน้ีสาหรับเพ่ือนๆ ที่ชื่นชอบในการถ่ายรูปโดยเฉพาะเลยค่ะ เพราะภายในเว็บจะมีรวบรวมบทความ เก่ียวกับทักษะ เทคนิคการถ่ายรูปมาให้เราได้เรียนรู้กันอย่างมากมายเลย แล้วยังสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยน ประสบการณถ์ ่ายภาพกันไดอ้ กี ด้วย KhanAcademy.org ภาพ : https://www.khanacademy.org/
เว็บท่ี 5 KhanAcademy.org เนื้อหาในเว็บไซต์นี้มีให้เพ่ือนๆได้เลือกเรียนกันหลากหลายเร่ืองเลยค่ะโดยจะเป็นการใช้วิดีโอช่วย ในการสอน แถมยังมีการเก็บสถิตกิ ารเรียนรขู้ องเราไว้ด้วย Quora.com ภาพ : https://www.quora.com/ 244 เวบ็ ที่ 6 Quora.com หากมีเรื่องอะไรสงสัยล่ะก็ ต้อง Quora เลย! เพราะท่ีนี่จะเปิดโอกาสให้เราสามารถเข้าไปถามเกี่ยวกับอะไร ก็ได้ที่อยากรู้ ซึ่งก็จะมีผู้รู้เข้ามาช่วยในการตอบคาถามให้บางคร้ังถ้าเกิดไม่กล้าถามเอง ลองๆ หาดูอาจจะพบว่า มีคนเคยถามไปก่อนหน้าแล้วกไ็ ด้นะ Instructables.com ภาพ : http://www.instructables.com/
เวบ็ ที่ 7 Instructables.com สาหรบั เว็บน้ีจะเน้นใช้วิดีโอเป็นสือ่ การเรยี นรูใ้ นหัวข้อต่างๆ แบบไร้ขอบเขตอยา่ งสนุกสนานและเขา้ ใจง่าย ซง่ึ ถ้าใครมคี วามรเู้ ดด็ ๆ อยากแชรก์ ็สามารถโพสต์วดิ ีโอของตวั เองได้เชน่ กนั ค่ะ Coursera.org ภาพ : https://www.coursera.org/ 245 เวบ็ ท่ี 8 Coursera.org สาหรบั เว็บไซตน์ ีจ้ ะมีบทเรยี นมาากว่า 800 บทเรยี น ซง่ึ จะครอบคลมุ เน้ือหาเกี่ยวกับพวกวิศวกรรม การเงนิ ประวัติศาสตร์ และอ่ืนๆ อกี มากมาย ซง่ึ เรียกไดว้ า่ ไม่ว่าเราจะสนใจเกีย่ วกับเร่ืองอะไรก็สามารถค้นหา คาตอบได้เลยทีเ่ วบ็ น้ี Project Gutenberg.org ภาพ : http://www.gutenberg.org/wiki/Main_Page
เวบ็ ท่ี 9 Project Gutenberg.org เรียกได้ว่าเปรียบเหมือนกับห้องสมุดออนไลน์ขนาดใหญ่ที่มี E-book ฟรีๆ ให้ดาวน์โหลดกันมากกว่า 50,000 เล่ม และถ้าเราลองอยากเขียนหนังสอื เองบา้ ง ก็ยงั สามารถสร้าง E-book บนเว็บนีแ้ ล้วแชร์ให้ผอู้ ่ืนอ่าน ก็ ได้เช่นกนั Lifehack.org 246 เว็บที่ 10 Lifehack.org อีกหน่ึงเว็บน่าเรียนรู้ ที่จะช่วยให้เราเรียนได้นอกห้องเรียน มีเร่ืองให้เราได้ศึกษาหาคาตอบมากมาย ซงึ่ บางเรอ่ื งก็อาจจะเปน็ เร่อื งทีไ่ ม่มอี ยู่ในหนังสือ แต่เราสามารถหาอ่านได้จากทนี่ ่ี ----------------------------------------------------------------------- ท่มี ำ : http://www.ops.moe.go.th/ops2017
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320