Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore BU5009 พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism)

BU5009 พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism)

Published by wksrc7, 2022-04-14 12:56:47

Description: BU5009 พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism)

Keywords: พระพุทธศาสนา,โยคาจาร,เซน,สุขาวดี,ตันตระ,พระโพธิสัตว์,องค์ดาไลลาม,ติช นัท ฮันห์,ดี.ที.ซูซูกิ

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน วิชา BU5009 พระพทุ ธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism) วญิ ญู กนิ ะเสน คณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย 2565

เอกสารประกอบการสอน วิชา BU5009 พระพทุ ธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism) วิญญู กนิ ะเสน น.ธ.เอก, ป.ธ.6, อ.บ. (บรรณารักษศาสตร)์ ศน.ม. (พุทธศาสน์ศึกษา), Ph.D. (Buddhist Studies) คณะศาสนาและปรัชญา มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย 2565

คำนำ เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (Mahayana Buddhism) รหัสวิชา BU5009 จานวนหน่วยกิต 3 (บ 3-ป 0-ต 6) เป็นรายวิชาในกลุ่มวิชาพระพุทธศาสนา ของหลักสูตร ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสตร์เพ่ือการพัฒนา (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563) ว่าด้วย “ศึกษาสถานการณ์พระพุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพพาน ประวัติและการเกิดข้ึนของพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน ความสัมพันธ์และความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน แนวคิด และหลักการสาคัญของพระพุทธศาสนามหายาน เช่น แนวคิดเรื่องตรีกาย อาทิพุทธะ ศูนยตา โยคาจารย์ หลักโพธิจิต นิกายสาคัญของพระพุทธศาสนามหายาน เช่น นิกายสุขาวดี เซ็น พระพุทธศาสนามหายานในโลกตะวันตก บทบาทขององค์ดาไลลามะและนักคิดของพระพุทธศาสนา มหายาน เชน่ ดร. ด.ี ที.ซซู กู ิ พระตชิ นทั ฮันห์ เป็นต้น” นักศึกษาจาเป็ นต้องศึกษาและท าความเข้าใจความสัมพั น ธ์และความแตกต่างระห ว่าง พระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน เพื่อจะได้ยอมรับซ่ึงกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้ในฐานะเป็น พุทธสาวกและร่วมกันทาประโยชน์แก่สังคมชาติและโลกต่อไป ซึ่งนักปราชญ์เปรียบว่า พระพุทธศาสนาคือตัวนกมศี รัทธาขา้ งเถรวาทเป็นปีกหน่งึ มีศรัทธาข้างมหายานเป็นอกี ปีกหนึ่ง ปีกทั้ง 2 นั้นสามารถช่วยพยุงตัวนกให้โผผกไปสู่รวงรังของตนได้ฉันใด นิกายทั้ง 2 น้ัน คือปีกช่วยเสริมเพ่ิม กาลังใหพ้ ระพทุ ธศาสนาแผ่ไพศาลไปถึงจดุ หมายได้เช่นเดยี วกัน ฉันนนั้ ผู้เขียนได้เรียบเรียงจากตาราต่าง ๆ เก่ียวกับพระพุทธศาสนามหายาน ดังมีรายชื่อปรากฏใน บรรณานุกรมแล้ว ซึ่งนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนามหายานได้เรียบเรียงไว้ เช่น พระอาจารย์จีน ธรรมคณาธิการ (เย็นเจ่ียว) ศ.พิเศษเสฐียร พันธรังษี เสถียร โพธินันทะ อภิชัย โพธ์ิประสิทธ์ิศาสต์ พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ เป็นต้น โดยมีการปรับปรุงเนื้อหาอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่เริ่มใช้เป็น เอกสารประกอบการสอน เม่ือปี พ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบัน และพยายามคัดสรรเน้ือหาให้สอดคล้อง และครอบคลมุ รายละเอยี ดตามสังเขปรายวิชาท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตร ซง่ึ บางประเด็น ผเู้ ขียนได้เขียน ไว้อย่างย่อ ๆ เพื่อจะได้บรรยายเสริมในช้ันเรียน แต่บางประเด็นได้เขียนไว้โดยพิสดาร ซึ่งนักศึกษา สามารถอา่ น ทาความเข้าใจ และวเิ คราะห์สงั เคราะหไ์ ด้ดว้ ยตนเอง พร้อมท้งั มีแบบฝึกหดั ท้ายบทให้ไว้ ทาอีกด้วย เพ่ือเสริมสร้างทักษะและพัฒนาการเรียนรู้หลายด้าน เช่น ทักษะทางปัญญา ทักษะ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสารและ การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ เปน็ ต้น อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบต่อผลงานของตนเอง กรุณาแนะนาทักท้วงอย่างมี เมตตาธรรม กจ็ ะเปน็ พระคุณอยา่ งยงิ่ เพอ่ื จะไดน้ าไปปรับปรงุ ในโอกาสคร้ังต่อไป วิญญู กนิ ะเสน มีนาคม 2565 คณะศาสนาและปรชั ญา มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั วิทยาเขตสริ นิ ธรราชวทิ ยาลยั

สารบัญอกั ษรย่อชื่อคัมภีร์ ตำรำที่ใช้ในกำรค้นคว้ำหลักธรรมในพระพุทธศำสนำสำหรับกำรเขียนเอกสำรประกอบกำร สอนเล่มนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษำค้นคว้ำจำกพระไตรปิฎกภำษำไทย ฉบับมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย พ.ศ. 2539 และอรรถกถำฉบับมูลนิธิมหำมกุฏรำชวิทยำลัย พ.ศ. 2535 ในกำรอ้ำงอิงได้ใช้ชื่อย่อของคัมภีร์ พระไตรปฎิ กไว้ในวงเลบ็ ท้ำยข้อควำมของรำยงำนกำรวิจยั ซึ่งชื่อย่อนี้มคี ำเต็ม ดงั นี้ พระไตรปิฎก คาเตม็ คายอ่ วนิ ยปฏิ ก มหำวคฺค พระวินยั ปฎิ ก วนิ ยปิฏก จฬู วคคฺ วิ.ม. วิ.จู. สุตฺตนตฺ ปิฏก ทีฆนกิ ำย ปำฏกิ วคฺค สุตฺตนฺตปฎิ ก มชฺฌมิ นกิ ำย อุปรปิ ฺณณำสก พระสุตตันตปฎิ ก สุตตฺ นตฺ ปิฏก องฺคุตฺตรนิกำย ตกิ นปิ ำต ท.ี ปำ. สุตตฺ นฺตปิฏก องคฺ ุตตฺ รนิกำย ฉกฺกนปิ ำต ม.อุ. สุตตฺ นตฺ ปิฏก ขุททฺ กนิกำย ธมฺมปท องฺ.ตกิ . องฺ.ฉกฺก. ขุ.ธ. สำหรับกำรอ้ำงตัวเลขที่อยู่หลังช่ือย่อคัมภีร์พระไตรปิฏก ผู้วิจัยใช้แบบ 3 ตอน คือ เลขเล่ม/ เลขข้อ/เลขหน้ำ ตัวอย่ำง เช่น องฺ.ฉกฺก. 22/46/512-513. หมำยถึง พระสุตตันตปิฎก องั คุตตรนิกำย ฉักกนปิ ำต เลม่ 22 ขอ้ 46 หน้ำ 512-513. อรรถกถา องฺคุตตฺ รนกิ ำย เอกนบิ ำต องฺ.อ. ขทุ ทกนกิ ำย ขทุ ทกปำฐ ขุ.ขุ.อ. ปญจฺ ปกรณวณฺณนำ อภิ.อ. สำหรับกำรอำ้ งตัวเลขท่ีอยู่หลังชื่อย่อคัมภีร์อรรถกถำ ผู้วิจัยใช้แบบ 2 ตอน คือ เลขเล่ม/เลข หน้ำ ตัวอย่ำง เช่น ขุ.ขุ.อ. 15/171. หมำยถึง พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกำย ขุททกปำฐะ เล่ม 15 หนำ้ 171.

สารบัญ เรอ่ื ง หนา้ คานา ก สารบญั อักษรยอ่ ช่ือคมั ภรี ์ ข สารบญั ค-ซ สารบัญแผนภาพ ฌ แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1 1-2 บทที่ 1 สถานการณ์พระพทุ ธศาสนาทงั้ ก่อนและหลังพุทธปรนิ ิพพาน 3-16 1. บทนา 3 2. เหตุการณแ์ ตกแยกสมัยพุทธกาล 3 3 2.1 การแตกสามคั ครี ะหวา่ งพระฝ่ายคันถธุระและฝ่ายวปิ ัสสนาธุระ 4 2.2 การแตกสามคั คขี องภิกษชุ าวเมืองโกสัมพี 5 2.3 พระเทวทัตทาสังฆเภท 7 3. เหตุการณแ์ ตกแยกหลังสมยั พุทธกาล 7 3.1 พระสภุ ทั ทวุฑฒบรรพชิตกลา่ วจว้ งจาบพระธรรมวนิ ัย 8 3.2 ความสงสยั เก่ยี วกบั สกิ ขาบทเล็กน้อย : รอ่ งรอยวบิ ัติแห่งทฏิ ฐิสามญั ญตา 9 3.3 พระปุราณะไม่ยอมรับมติสงฆ์ที่เข้าร่วมปฐมสังคายนา : ความคิดแปลก 10 แยกเกี่ยวกบั สิกขาบท 3.4 พวกภิกษุวชั ชีบุตร กรุงเวสาลีประกาศวตั ถุ 10 ประการ : ความวิบัติแห่ง 11 12 สลี สามัญญตา 3.5 ความเห็น 5 ประการของพระมหาเทวะ : ความวบิ ตั ิแหง่ ทิฏฐสิ ามัญญตา 13 3.6 มีคนปลอมบวชในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช : ความวิบัติแห่งทิฏฐิ 13 สามญั ญตา 15 4. พระพทุ ธศาสนาแตกออกเปน็ 18 นกิ าย 16 5. บทสรุป แบบฝกึ หัดบทที่ 1 เอกสารอา้ งอิงประจาบทท่ี 1 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 2 17-18 บทที่ 2 ประวัตแิ ละการเกดิ ข้ึนของพระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน 19-53 1. บทนา 19 2. การแบง่ ยุคของพระพทุ ธศาสนา 19 3. ความหมายของมหายาน 20

ง 4. ประวัติการเกิดข้ึนและพฒั นาการของพระพุทธศาสนามหายาน 21 5. การแบง่ ออกเปน็ นิกายใหญ่ ๆ 22 22 5.1 นิกายเถรวาทหรอื ทักษิณนิกาย 22 5.2 นิกายมหายานหรอื อตุ ตรนกิ าย 23 6. การแบ่งแยกเป็นนิกายต่าง ๆ ของพระพทุ ธศาสนา 19 7. เหตุผลที่นักศึกษาพระพุทธศาสนาฝ่ายใต้พากันไม่เอาใจใส่ศึกษาพระพุทธ ศาสนาฝ่ายเหนือ 31 8. การเกิดขนึ้ ของพระพุทธศาสนามหายาน 34 9. สกิ ขาบทของพระโพธสิ ัตว์ 36 10. พระไตรปิฎกของมหายาน 36 10.1 พระวินยั ปฎิ กมหายาน 37 10.2 พระสุตตันตปฎิ กของมหายาน 38 10.3 พระอภธิ รรมปฎิ กมหายาน 38 11. พุทธประวัตมิ หายาน 39 12. บุคคลทม่ี บี ทบาทสาคญั ของพระพุทธศาสนามหายาน 39 12.1 พระเจา้ กนิษกมหาราช 40 12.2 พระอัศวโฆษ 43 12.3 พระนาคารชนุ 43 12.4-5 พระอสงั คะและพระวสพุ ันธุ 44 12.6 พระทินนาคะ 44 12.7 พระธรรมกีรติ 44 12.8 พระสมณะเฮ้ียนจังหรือพระถงั ซมั จั๋ง 47 12.9 พระอิคคิ้ว 48 12.10 พระอรหันต์จ้ีกง 49 13. บทสรปุ 51 แบบฝึกหดั บทที่ 2 52 เอกสารอา้ งองิ ประจาบทที่ 2 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 3 54-55 บทท่ี 3 ความสัมพันธ์และความแตกตา่ งระหว่างพระพทุ ธศาสนาเถรวาทและมหายาน 56-67 1. บทนา 56 2. หลกั พน้ื ฐานท่พี ระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายานมีร่วมกัน 56 3. ความแตกตา่ งระหว่างนิกายเถรวาทและมหายาน 58 4. บทสรปุ 65 แบบฝึกหดั บทที่ 3 66 เอกสารอา้ งอิงประจาบทท่ี 3 67

แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 4 จ บทท่ี 4 แนวคิดและหลักการสาคัญของพระพุทธศาสนามหายาน 68-69 1. บทนา 70-117 2. หลักตรียานและหลกั เอกยาน 70 2.1 หลักตรยี าน 70 2.2 หลกั เอกยาน 70 3. หลักโพธิสัตวจรยิ า 71 3.1 หลักมหาปณธิ าน 4 71 3.2 หลักอัปปมญั ญา 4 72 3.3 หลักคุณสมบัติ 3 72 3.4 หลกั ปารมติ าหรอื หลักบารมี 6 72 4. ทศภูมขิ องพระโพธิสัตว์ 73 5. หลักตรีกาย 76 6. หลักโพธจิ ิต 76 7. หลักการพุทธเกษตร 77 8. พระสูตรสาคญั ของพระพุทธศาสนามหายาน 78 8.1 วิมลเกียรตินิทเทศสตู ร 80 8.2 สัทธรรมปุณฑรีกสตู ร 80 8.3 ศรีมาลาเทวีสีหนาทสูตร 83 8.4 พรหมชาลสตู ร 86 8.5 วชั รปรัชญาปารมิตาสตู ร 90 8.6 ลงั กาวตารสูตร 90 8.7 ไวปลุ ยสตู รหรอื ลลติ วิสตระ 92 8.8 โมหมาลาหรือร้อยอทุ าหรณส์ ตู ร 94 9. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนามหายาน 99 9.1 การอุบัติขึน้ ของพระสมั มาสัมพุทธเจา้ 99 9.2 ประเภทของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า 100 9.3 จานวนของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า 100 9.4 การสรา้ งบารมเี พอื่ เปน็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้า 102 9.5 กายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 103 9.6 พทุ ธภาวะหลังปรนิ พิ พาน 103 10. พระโพธิสตั วใ์ นพระพุทธศาสนามหายาน 104 10.1 ฐานะและความสาคัญของพระโพธสิ ตั ว์ 105 10.2 พัฒนาการของแนวคิดเก่ียวกบั พระโพธิสตั ว์ 105 10.3 ความหมายของพระโพธสิ ตั วใ์ นพระพทุ ธศาสนามหายาน 107 10.4 ประเภทของพระโพธสิ ตั ว์ 108 109

ฉ 10.5 จานวนของพระโพธสิ ตั ว์ 112 10.6 เปรียบเทียบเร่อื งข้ันตอนของการเป็นพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนา 114 เถรวาทและมหายาน 114 11. บทสรปุ 116 แบบฝึกหัดบทท่ี 4 117 เอกสารอา้ งองิ ประจาบทที่ 4 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 5 118-119 บทที่ 5 นกิ ายสาคญั ของพระพทุ ธศาสนามหายาน 120-133 1. บทนา 120 2. นิกายมาธยมิกะ 120 120 2.1 นาคารชุน 121 2.2 มาธยมกิ ปฏปิ ทา 121 3. นกิ ายโยคาจาร 122 3.1 นกั ปราชญแ์ ละงานท่สี าคัญ 122 3.2 หลกั ธรรม 123 4. นิกายพุทธตนั ตรยาน 123 4.1 ประวตั ิ 124 4.2 คมั ภีรส์ าคัญ 125 4.3 หลกั ธรรม 125 5. นกิ ายเซน 125 5.1 ประวัติ 128 5.2 หลักธรรม 128 6. นิกายสุขาวดี 128 6.1 ประวตั ิ 128 6.2 คมั ภรี ์สาคัญ 129 6.3 หลกั ธรรม 130 6.4 วเิ คราะห์เร่ือง 131 7. บทสรปุ 132 แบบฝึกหัดบทท่ี 5 133 เอกสารอ้างอิงประจาบทที่ 5 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 6 134-135 บทท่ี 6 พระพุทธศาสนามหายานในโลกตะวันตก 136-151 1. บทนา 136 2. พระพุทธศาสนาในทวีปยโุ รป 137 137 2.1 ประวตั ิความเป็นมา

ช 2.2 สภาพการณ์ปัจจบุ ัน 138 2.3 อทิ ธิพลของพระพุทธศาสนา 141 2.4 แนวโนม้ พระพุทธศาสนาในอนาคต 142 3. พระพทุ ธศาสนาในทวีปอเมริกา 144 3.1 ประวตั คิ วามเป็นมา 144 3.2 สภาพการณป์ ัจจบุ ัน 145 3.3 อิทธิพลของพระพุทธศาสนา 145 3.4 แนวโน้มพระพทุ ธศาสนาในอนาคต 146 4. บทสรุป 148 แบบฝึกหดั บทที่ 6 150 เอกสารอ้างอิงประจาบทที่ 6 151 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 7 152-153 บทที่ 7 บทบาทขององคด์ าไลลามะและนกั คิดของพระพทุ ธศาสนามหายาน 154-169 1. บทนา 154 2. สถานภาพและบทบาทขององค์ดาไลลามะ 155 155 2.1 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองคท์ ่ี 5 156 2.2 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองค์ที่ 6 157 2.3 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองคท์ ่ี 7 157 2.4 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองค์ท่ี 8 158 2.5 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองค์ที่ 9, 10, 11, 12 159 2.6 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองคท์ ี่ 13 160 2.7 สถานภาพและบทบาทดาไลลามะองค์ที่ 14 166 3. บทสรปุ 168 แบบฝกึ หัดบทท่ี 7 169 เอกสารอ้างอิงประจาบทที่ 7 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 8 170-171 บทที่ 8 นักคดิ ของพระพุทธศาสนามหายาน 172-184 1. บทนา 172 2. ดร.ดี.ที. ซูซกู ิ (D.T. Suzuki) 172 172 2.1 ชวี ประวตั ิ 174 2.2 ผลงานเขยี นตา่ ง ๆ 174 2.3 ตาแหน่งและหน้าท่ี 175 2.4 แนวคดิ สาคญั เกี่ยวกับเซน ของ ดร.ด.ี ที. ซซู กู ิ (D.T.Suzuki) 178 3. ติช นัท ฮนั ห์ หรอื พระภิกษทุ ิก เญิต้ หั่ญ 178 3.1 ชวี ประวตั ิ

3.2 หมู่บา้ นพลมั ซ 3.3 ผลงานเขยี น 4. บทสรปุ 179 แบบฝึกหัดบทที่ 8 180 เอกสารอ้างอิงประจาบทท่ี 8 181 183 บรรณานุกรม 184 ประวตั ผิ เู้ ขียน 185-189 190-191

สารบัญแผนภาพ หนา้ แผนภาพที่ 1 แสดงการแตกนิกายในพุทธศตวรรษท่ี 2 รวม 18 นิกายตามปกรณ์บาลี 23 (คมั ภีร์ทีปวังสะ) 24 แผนภาพที่ 2 แสดงการแตกนิกายตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี 2 เป็นต้นไป รวม 21 นิกาย ตามปกรณส์ นั สกฤต

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 1 บทท่ี 1 สถานการณ์พระพุทธศาสนาทัง้ ก่อนและหลังพุทธปรินิพพาน เน้ือหาประจาบท 1. บทนำ 2. เหตุกำรณแ์ ตกแยกสมัยพทุ ธกำล 3. เหตุกำรณแ์ ตกแยกหลังสมัยพุทธกำล 4. พระพุทธศำสนำแตกออกเป็น 18 นกิ ำย 5. บทสรปุ แบบฝึกหัดบทที่ 1 เอกสำรอ้ำงองิ ประจำบทที่ 1 จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. นกั ศกึ ษำรแู้ ละเข้ำใจสถำนกำรณพ์ ระพุทธศำสนำหลังพุทธปรินิพพำน 2. นักศกึ ษำมีกำรเสรมิ ทักษะดำ้ นควำมร้คู วำมเข้ำใจในพระพุทธศำสนำมหำยำนในปัจจบุ นั 3. นักศึกษำใชห้ ลกั กำรตำมพระพทุ ธศำสนำมหำยำนเป็นเครอ่ื งมือในกำรเรียนรแู้ ละวิเครำะห์ สถำนกำรณ์ท่ีเกดิ ขึน้ ในสังคมได้ กิจกรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยำย/อภิปรำย/มอบหมำย/แบ่งกลุ่มนักศึกษำให้รับผิดชอบในกำรวิเครำะห์ด้วยกำร รวบรวม และเรยี บเรยี งเนื้อหำสำคัญ ๆ นำขอ้ มูลที่ได้มำถำ่ ยทอดเนื้อหำด้วยภำษำของตนในกำรเขียน รำยงำนและนำเสนอในชนั้ เรยี น 2. นักศึกษำฟังกำรบรรยำย/จดบันทึกสรุปเน้ือหำ/ฝึกต้ังคำถำม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรำยในชั้น เรียน 3. ศึกษำจำกเอกสำรประกอบกำรสอน/ค้นคว้ำเน้ือหำที่เก่ียวข้องเพิ่มเติมจำกหนังสือ/ ห้องสมุด และเว็บไซต/์ ทำแบบฝกึ หัดท้ำยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest ส่ือการเรยี นการสอน 1. เอกสำรประกอบกำรสอน / PowerPoint นำเสนอประกอบกำรบรรยำย 2. โปรแกรมกำรสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet เป็นตน้ การวัดผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรมโดยใชแ้ บบ Checklist กำรตรงเวลำในกำรเข้ำช้ันเรยี น กำรส่ง งำนท่ีมอบหมำย และกำรอ้ำงอิงผลงำนคนอ่ืน และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมกำรมีจิตสำธำรณะในกำร ทำกิจกรรมท้ังในและนอกห้องเรยี น 2. ประเมินควำมรู้และทักษะทำงปัญญำ โดยกำรทดสอบ Pretest และ Posttest กำรทำ แบบฝึกหัด กำรทำรำยงำนด้วยกำรรวบรวมและเรียบเรียงและวิเครำะห์เน้ือหำ และนำเสนอผล

2 กำรศกึ ษำค้นคว้ำมำถ่ำยทอดดว้ ยภำษำของตนในกำรเขยี นรำยงำนและนำเสนอในชั้นเรียนด้วยกำรใช้ เครือ่ งมอื หรือโปรแกรมกำรเรยี นกำรสอนออนไลน์ เช่น Power point เป็นต้น 3. ประเมินทักษะควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและควำมรับผิดชอบ และทักษะกำรวิเครำะห์ เชิง ตวั เลข กำรส่อื สำรและกำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จำกกำรอภปิ รำย กำร แสดงควำมคิดเห็น กำรถำม-ตอบ กำรวเิ ครำะห์เนือ้ หำที่เรยี น กำรสรุปเน้ือหำ กำรนำเสนอในชน้ั เรียน และกำรสง่ งำนใน Google Classroom

บทท่ี 1 สถานการณ์พระพุทธศาสนาทัง้ กอ่ นและหลงั พทุ ธปรนิ ิพพาน 1. บทนา พระพุทธศาสนาเกิดท่ีประเทศอินเดีย เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช พระบรมศาสดาผู้ให้ กาเนิดพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธเจ้า ซึ่งได้ทรงเร่ิมออกเผยแผ่คาสอนในภูมิภาคที่เป็นประเทศ อินเดียในปัจจุบัน ปัจจุบันพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปทั่วโลก โดยมีจานวนผู้นับถือส่วนใหญ่อยู่ใน ทวปี เอเชยี ทงั้ ในเอเชยี กลาง เอเชียตะวนั ออก และเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ เหตุการณ์แตกแยกของพระพุทธศาสนาได้เกิดข้ึนทั้งในสมัยท่ีพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ อย่างน้อย ๆ ก็ 3 ประการ คือ 1. การแตกสามัคคีระหว่างพระฝ่ายคันถธุระและฝ่ายวิปัสสนาธุระ 2. การแตกสามัคคีของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี และ 3. พระเทวทัตทาสังฆเภท และในสมัยท่ีพระพุทธเจ้า สิน้ พระชนม์แล้ว คอื ก็เกิดเหตุการณ์จาบจ้วงพระธรรมวินัย จนต้องมีการทาปฐมสังคายนา เพ่ือรักษา ความบริสทุ ธิ์ของพระธรรมวินัย หลักการทาสังคายนาก็มพี ระสงฆ์บางกลุ่มไม่ยอมรับมติของพระเถระ และนาไปสู่การแยกตัวออกไปทาสังฆกรรมในกลุ่มของตนเอง หลังจากนั้นเป็นต้นมาประมาณ 200 ปี ก็เร่ิมมีแนวคิดของพระสงฆ์กลุ่มต่าง ๆ เก่ียวกับสิกขาบท และนาไปสู่การทาทุติยสังคายนา เริ่มมีการ แยกตัวออกเป็นลทั ธติ า่ ง ๆ และแยกออกเปน็ นิกายต่าง ๆ ประมาณ 18 นิกาย 2. เหตุการณแ์ ตกแยกสมัยพุทธกาล 2.1 การแตกสามัคครี ะหวา่ งพระฝ่ายคันถธุระและฝ่ายวปิ ัสสนาธุระ ในสมัยพุทธกาลน้ัน ปรากฏว่ามีปุถุชนสงฆ์ต่างคณะเกิดการทะเลาะววิ าทกล่าวดหู ม่ินกัน ต้องมกี ารหา้ มปรามตกั เตือน มปี รากฏในมหาจุนทสตู รแห่งคัมภีร์องั คตุ ตรนิกาย ฉักกนบิ าต ดังน้ี ดังได้สดบั มา สมัยหนึ่งพระมหาจนุ ทะ พักอยู่ ณ สัญชาติยนคิ มในแควน้ เจตี ได้เรียกภิกษุ ทั้งหลายมากล่าวว่า “ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย พวกภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกในพระธรรมวินัยน้ี ย่อมพูด ก้าวร้าวรุกรานเอากับภิกษุผู้บาเพ็ญฌาน (อยู่ในฝ่ายอรัญญวาสี) ว่าภิกษุเหล่าน้ีต่างก็คิดนึกว่า ‘พวก เราบาเพ็ญฌาน ๆ’ ดังน้ี ภิกษุเหล่านี้จะชื่อว่าเพ่งพินิจซึ่งอะไร ๆ ไฉนภิกษุเหล่านี้จึงจักชื่อว่าเพ่งพินิจ พวกภิกษุผู้ธรรมกถึกย่อมไม่เล่ือมใสในพวกภิกษุผู้บาเพ็ญฌาน ฝ่ายภิกษุผู้บาเพ็ญฌานเล่า ก็ไม่ เล่ือมใสในพวกเธอ” “ดูก่อนผู้มีอายุท้ังหลาย พวกภิกษุผู้บาเพ็ญฌานในพระธรรมวินัยนี้ย่อมพูดก้าวร้าว รุกรานเหล่าภิกษุผู้ธรรมกถึกว่า ‘ภิกษุเหล่านี้ต่างคิดนึกวา่ พวกเราเป็นผู้ประกอบธรรม พวกเราเป็นผู้ ประกอบในธรรม’ ดังนี้ แต่พวกเธอกลับเป็นผู้ถือตัวเย่อหยิ่ง ปากกล้ามีวาจาจัด ขาดสติ สัมปชัญญะ มีจิตไม่ม่ันคง มีใจคะนอง มีอินทรีย์ปรากฏ ภิกษุเหล่าน้ีจะช่ือว่าเป็นผู้ประกอบในธรรมอย่างไรได้ จะ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 4 เป็นผู้ประกอบในธรรมเพื่ออะไร ไฉนจะช่ือว่าเป็นผู้ประกอบในธรรม พวกภิกษุผู้บาเพ็ญฌานย่อมไม่ เล่อื มใสในพวกภิกษุผธู้ รรมกถกึ ฝ่ายภิกษุผู้ธรรมกถึกเล่า กไ็ ม่เลื่อมใสในพวกเธอ” พวกปุถุชนสงฆ์ฝ่ายคันถธุระกับฝ่ายวิปัสสนาธุระได้ติเตียนกันและกันด้วยวาทะทั้งหลาย มีการตฉิ ินตอ่ ว่ากัน ฝา่ ยคันถธุระ หรือพวกธรรมกถกึ ไดต้ าหนิพวกบาเพ็ญฌาน ถือเอาตามนัยก็คือว่า พวกบาเพ็ญฌานไม่ได้เรียนรู้แตกฉานในพระพุทธวจนะทั้งหลาย ไม่รู้ว่าอะไรคือขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปฏิบัติกันอย่างงมงาย ไม่รู้ว่าอะไรคือฌาน รู้แต่ว่าเพ่ง แต่ไม่ทราบชัดว่าเพ่งอะไร ฝ่ายพวกบาเพ็ญ ฌานหรือฝ่ายวปิ สั สนาธุระก็กล่าวตอบติพวกธรรมกถึกว่าดีแต่เรียนรู้มาก ๆ แลว้ เกิดเย่อหย่ิงในความรู้ น้ัน สว่ นการปฏบิ ตั ิไมม่ ี อย่างน้ีชือ่ ว่าเรียนเปล่าไม่ชือ่ ว่าผู้ทรงธรรม พระมหาจุนทะผู้เป็นพระขีณาสพ หวังอยู่ซ่ึงความปรองดองเข้าใจกันดีในท้ัง 2 พวกนั้น จึงได้กล่าวข้อความชักนาให้เกิดความสามัคคีว่า เม่ือต่างฝ่ายต่างกล่าวสรรเสริญพวกเดียวกันและติ ฝ่ายตรงกันข้ามเช่นนี้ ก็ช่ือว่าไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์อะไร ดูก่อนผู้มีอายุท้ังหลาย เพราะเหตุนั้นแล ท่านทง้ั หลายพึงศกึ ษาอยา่ งน้ีว่า พวกเราผเู้ ป็นธรรมกถึก จักกล่าวสรรเสรญิ คุณของภกิ ษผุ ้บู าเพญ็ ฌาน ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนั้นเถิด ข้อนั้นเพราะเหตุใด เพราะว่าผู้ที่ถูกต้อง อมตธาตุดว้ ยนามกายแล้วและดารงอยนู่ ้ัน เป็นอัจฉริยบุคคลหาไดย้ ากในโลก ดูก่อนผู้มีอายุท้ังหลาย เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างน้ีว่า พวกเราผู้บาเพ็ญฌาน จกั กล่าวสรรเสริญคุณของเหล่าภิกษผุ เู้ ปน็ ธรรมกถึก ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านพึงศกึ ษาอย่างน้ันเถิด ขอ้ นัน้ เพราะเหตุใด เพราะว่าผู้ที่รู้แจ้งตลอดอรรถบทอันลับลึก ด้วยมรรคปญั ญา เป็นอัจฉรยิ บคุ คลหา ไดย้ ากในโลก ดังนี้ (อง.ฺ ฉกฺก. 22/46/512-513) ใน คัมภีร์มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตตรนิกาย เล่าถึงสังฆมณฑลรุ่นหลัง ๆ เกิดการ แก่งแย่งโต้เถียงกันถึงเรื่องว่า ศาสนาน้ันมีอะไรเป็นมูลสาคัญ พวกภิกษุที่ประพฤติธุดงค์เห็นว่า “ปฏิบัติเปน็ มูล” ฝ่ายพวกภิกษุที่เป็นธรรมกถึกเห็นว่า “ปรยิ ัติเป็นมูล” ฝา่ ยถือปฏิบตั ิเป็นมูลก็ยกพระ พุทธพจน์ในมหาปรินิพพานสูตรว่า “ดูก่อนสุภัททะ ภิกษุท้ังหลายในศาสนานี้แล พึงดารงอยู่โดยชอบ ในมรรคมีองค์ 8 เพียงใด โลกก็ไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายเพียงนั้น” และหลักฐานอื่นอีกว่า “มหาราช ศาสนาของพระศาสดามีการปฏิบัติเป็นมูล แผ่ไปได้เพราะปฏิบัติ ทรงอยู่ได้เพราะปฏิบัติ” ฝ่ายพวกท่ีถือปริยัติเป็นมูลน้ัน ก็นาพระสูตรมาอ้างว่า “สูตรท้ังหลายต้ังอยู่เพียงใด วินัยยังรุ่งเรือง เพียงใด สัตว์โลกท้ังหลายย่อมเห็นแสงสว่างเพียงน้ัน เหมือนเม่ือตะวันสูงขึ้นไป เม่ือไม่มีสูตรทั้งหลาย ท้ังวินัยก็เลอะเลือนด้วย ความมืดจักมีในโลก เหมือนเม่ือตะวันตกดิน เม่ือพระสูตรอันบุคคลรักษาอยู่ แลว้ การปฏิบัตยิ อ่ มเป็นอันเขารักษาด้วย” ฝ่ายพวกตรงกันขา้ มไดฟ้ งั เชน่ นีเ้ ลยนิ่งเงยี บ พวกธรรมกถึก กล่าวต่อไปว่า ในฝูงโคต้ังร้อยต้ังพัน ถ้าเมื่อไม่มีแม่โคผู้รักษาประเพณีแล้ว วงศ์ประเพณีก็สืบไปไม่ได้ อุปมาน้ีฉันใด แม้จะมีภิกษุพวกกระทาวิปัสสนาต้ังร้อยตั้งพันก็ตาม เม่ือปริยัติไม่มีแล้ว การที่จะแทง ตลอดในอริยมรรคกไ็ ม่อาจมีไดฉ้ ันนัน้ (อง.ฺ อ. 1/84) 2.2 การแตกสามัคคขี องภิกษุชาวเมืองโกสมั พี ในโกสัมพิกขันธกะ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ท่ีแขวงเมืองโกสัมพี ณ โฆสิตารามวิหาร มีคณะภิกษุอยู่ 2 พวก คือพวกหน่ึงเป็นพวกธรรมกถึก อีกพวกหน่ึงเป็นพวกวินัยธร แต่ละพวกมี จานวน 500 รูป วันหน่ึงอาจารย์ใหญ่ของฝ่ายธรรมกถึกไปฐานแล้ว เหลือน้าชาระท้ิงไว้ในภาชนะ ภายหลังอาจารย์ใหญ่ฝ่ายคณะวินัยธรไปเห็นเข้าก็ว่ากล่าวอาจารย์ธรรมกถึกว่า การกระทาเช่นน้ีเป็น

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 5 อาบัติ ฝ่ายอาจารย์ธรรมกถึกก็ยอมรับว่าตนได้ทาจริง แต่ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ และไม่เชื่อว่าเป็นอาบัติ ด้วย อาจารย์ฝ่ายวินัยธรก็ว่า เม่ือไม่รู้แล้วก็แล้วไปเถิด อาบัติไม่มี เร่ืองก็สงบลงเพียงน้ัน แต่ต่อมา อาจารยฝ์ ่ายวินัยธรกลบั ไปบอกเล่าแก่ศิษยว์ ่า อาจารย์ธรรมกถกึ นั้นแม้ต้องอาบตั กิ ็ยังไมร่ ู้ พวกศิษยฟ์ ัง แล้วก็เอาไปกล่าวประณามพวกธรรมกถกึ ว่า อาจารย์ของท่านตอ้ งอาบัตกิ ็ยังไม่รู้ ฝา่ ยพวกธรรมกถึกก็ ไมย่ อมน่งิ นาความนัน้ ไปบอกให้อาจารยฟ์ ัง อาจารยก์ ็กลับย้อนว่า อาจารยฝ์ ่ายวนิ ัยธรพดู วา่ ไมแ่ กลง้ ก็ ไม่เป็นอาบัติ บัดนี้สิกลับมาพูดว่าเป็นอาบัติ ส่อแสดงว่า เป็นการมุสาสับปรับ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างโต้เถียง กนั ไปมาอยู่เช่นน้ี พวกวินัยธรถือโอกาสทาอกุ เขปนียกรรมแก่พวกคณะธรรมกถึก เลยแตกกนั ออกเป็น 2 ฝ่าย ไม่ลงอุโบสถสังฆกรรมกัน พวกคฤหัสถ์ที่เล่ือมใสพวกไหนก็พลอยเข้าข้างตามพวก พระอรรถ กถาจารย์แสดงความพิสดารออกไปว่า แม้เหล่าเทวดาตลอดไปจนถึงชั้นพรหมมีอกนิฏฐภพเป็นที่สุดก็ แตกออกเป็น 2 ฝ่าย โกลาหลกันอย่างยิ่ง เม่ือพระพุทธเจ้าทรงทราบก็เสด็จมาระงับอธิกรณ์ แต่พวก ภิกษุทั้ง 2 ฝ่ายก็หาเชื่อฟังไม่ กลับกราบทูลว่า “ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของธรรม จงทรงรอ ไว้ก่อนเถิดพระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงขวนขวายน้อย ขอจงทรงประกอบตามสุขวิหาร ในทิฏฐธรรมเถิดพระเจา้ ข้า พวกข้าพระองค์จักปรากฏดว้ ยการหมายมน่ั การทะเลาะ การโต้เถียง การ ววิ าท” แม้คร้ังที่ 2 และคร้ังท่ี 3 ที่พระพุทธเจ้าตรสั ห้ามการทะเลาะ ภิกษุเหล่านั้นก็คงยืนกรานกราบ ทูลทานองขออย่าไดม้ าเกี่ยว เปน็ เรื่องทพ่ี วกตนจะต้องทะเลาะกัน เมื่อห้ามมิฟังแล้ว ภายหลังพระองค์ ก็เปล่งสีหนาทธรรมสังเวชต่าง ๆ มีเวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวรเป็นต้น แล้วก็เสด็จไปสู่พาลกโลณ การามเทศนโ์ ปรดพระภคุ แลว้ ก็เสดจ็ ต่อไปสปู่ ่าปาจนี วังสะ ซึง่ มีพระอนรุ ุทธะ พระนนั ทิยะ และพระกิ มพิละอยู่ก่อน ทรงแสดงธรรมบรรยายเรื่องอุปกิเลสและสมาธิ แล้วก็ยังได้เสด็จต่อไปยังบ้านปาลิเลย ยะกะ ประทับจาพรรษาอยู่ในป่ารักขติ วนั มชี ้างและวานรเป็นผอู้ ุปัฏฐากตลอดพรรษากาล ส่วนทางเมืองโกสัมพีน้ัน เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปแล้ว บรรดาอุบาสกอุบาสิกาต่างพากัน โกรธพวกภิกษุทั้ง 2 คณะ ว่าเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าละทิ้งพวกเขาไป จึงพากันนัดหมายจะไม่ถวาย อาหารบิณฑบาตและให้ความอุปการะใด ๆ ทั้งส้ิน เพ่ือทรมานให้รู้สึกตัวกลับมาสามัคคีกัน อุบายวิธีน้ี ได้ผล คือทั้งคณะธรรมกถึกและคณะวินัยธร ภายใน 2-3 วันต่างฝ่ายต่างขมาโทษซึ่งกันและกัน แต่ถึง อย่างน้ันก็ยังไม่เป็นที่พอใจของหมู่อุบาสกอุบาสิกา ยังมีปัญหาว่าต้องให้ไปขอขมาโทษต่อพระตถาคต เสียก่อน ทุกส่ิงทุกอย่างจึงจะเหมือนดังเดิม บังเอิญเวลาน้ันเป็นพรรษากาล ภิกษุท้ัง 2 คณะเลยต้อง อดทนไปจนถึงออกพรรษา ก็พอดไี ด้ข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จไปสาวัตถี จึงต่างฝ่ายต่างเดินทางไปเฝ้า ตอนแรกพระเจ้าปเสนทิโกศลจะไม่ยอมให้เข้าเมือง รังเกยี จว่าเป็นพวกทาให้สังฆมณฑลแตกร้าว แต่พระ ศาสดาตรัสว่าให้อนุญาตเข้ามา เพราะเธอทั้ง 2 ฝ่ายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงศีล ท่ีไม่เชื่อฟังพระพุทธโอวาท ก็เพราะเวลานั้นต่างฝ่ายต่างวิวาทโกรธเคืองกันอยู่ ฉะน้ันภิกษุท้ัง 2 คณะจึงได้เข้าเฝ้าทูลขอขมาโทษ พระธรรมกถกึ ยอมรบั วา่ ท่ีเหลอื น้าน้ันเป็นอาบตั ิและทถี่ ูกลงอกุ เขปนียกรรมน้ันถูกแลว้ พระพุทธองค์ตรัส ให้ประกาศความสามัคคีด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ให้ภิกษุท้ัง 2 คณะเข้าประชุมกันทาสามัคคีอุโบสถ สวดพระปาฏโิ มกข์ขนึ้ อธกิ รณว์ ิวาทกเ็ ลยเป็นอนั ระงับไป (ว.ิ ม. 5/451-478/333-374) 2.3 พระเทวทัตทาสงั ฆเภท ในสังฆเภทขันธกะ พระเทวทัตผู้เป็นพระราชบุตรแห่งพระเจ้าสุปพุทธะ พระญาติสนิท ของพระพุทธองค์ ยามเมื่อพระศาสดาเสด็จจารกิ อยู่ ณ แว่นแคว้นสักกะ ประทับสาราญพระอิรยิ าบถ ณ อนปุ ยิ นคิ ม พระเทวทตั ได้ถวายตนออกมาผนวชพร้อมกบั พระญาติเจ้าศากยะอกี 5 พระองค์ มีพระ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 6 อนุรุทธะเป็นต้น ภายหลังเจ้าทั้ง 5 องค์น้ันได้บรรลุธรรมวิเศษต่าง ๆ เป็นพระอริยบุคคลในศาสนา ส่วนพระเทวทัตนั้นบรรลเุ พียงโลกิยฌานเท่านั้น พระอรรถกถาจารย์พรรณนาว่า แท้ที่จริงพระเทวทัต น้ีได้เป็นผู้จองล้างจองผลาญกับพระบรมครูนับแต่อดีตภพหลายต่อหลายชาติหนักหนา ในชาติน้ีเป็น ชาตสิ ดุ ท้ายทีจ่ ักได้อวสานการจองล้างนัน้ เม่ือพระพุทธเจา้ ประทับสาราญอิรยิ าบถอยู่ ณ โกสัมพมี หานคร ลาภสักการะเป็นจานวน มากได้เกดิ ข้นึ เนืองนองแก่พระตถาคตและหมู่พระสาวก บรรดาท่านคหบดีทั้งหลายเมื่อจะบาเพ็ญบุญ กิริยา ก็ล้วนแต่ปรารถนาเพ่ือพระบรมครูและพระเถระมีเจ้าศากยะทั้งห้าเป็นต้น ไม่มีผู้ใดปรารถนา เพื่อพระเทวทัต ครั้งนั้นพระเทวทัตเกิดวิปฏิสารจิตเหตุเพราะขาดลาภ ราพึงว่า ก็เราแลเป็นกษัตริย์ เช่นเดียวกบั เจ้าท้ัง 5 น้ันเหมือนกัน เหตไุ ฉนหนอเราจึงไม่ได้รบั การบูชาเช่นท่านเหล่านั้น อย่ากระนั้น เลยเราจักสมาคมกับพระราชาองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วยังความเล่ือมใสให้เกิดขึ้นแก่พระราชานั้น ทีนั้น ลาภสักการะเป็นจานวนมากก็จะอุบัติมีแก่เราโดยแท้ เมื่อพระเทวทัตเกิดโลภะอกุศลจิตขึ้นแล้ว ก็เข้า คบหากับเจ้าชายอชาตศัตรูผู้เป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสารจอมชนแห่งมคธรัฐ แสดงอิทธิฤทธ์ิต่าง ๆ อนั เปน็ คุณสมบัตขิ องผู้บรรลุฌาน ยังความกลัวเกรงและเลื่อมใสใหม้ ีขึ้นในเยาวราชองค์น้ัน และแตน่ ั้น มาพระเทวทัตก็ได้รบั การบูชาจากพระยุพราชในฐานะเป็นอาจารย์ นานเข้าก็มีจิตคิดกาเริบทะยานใฝ่ สงู ใครท่ จ่ี ะได้ตาแหนง่ สงั ฆบิดาบรหิ ารการคณะสงฆ์ จงึ ไปเฝา้ พระศาสดากราบทูลวา่ ขา้ แต่พระองค์ผู้เจรญิ บัดนี้พระผูม้ ีพระภาคก็ทรงชราแล้ว ทรงเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มพี ระชนมายุลุถงึ แลว้ ทรงล่วงพระวัยโดยลาดบั แล้วพระเจ้าข้า บัดนี้ขอพระผ้มู ีพระภาค อย่าทรงขวานขวายนัก โปรดทรงพระสาราญสุขในทิฏฐธรรมเถิด จงสละภิกษุสงฆ์มอบ ให้ข้าพระองคเ์ ถดิ ข้าพระองค์จกั บรหิ ารภกิ ษสุ งฆ์ พระศาสดาทรงห้ามทัดทานว่าอย่าเลย 3 ครั้ง เธอก็ไม่เชื่อ คงยืนกรานขอพระพุทธ อานาจ 3 ครั้งเหมือนกัน ในที่สุดพระศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนเทวทัต แม้แต่พระสารีบุตรและ พระโมคคัลลานะ เราก็ไม่พึงสละภิกษุสงฆ์ให้ได้ ไฉนเล่าจะพึงสละให้แก่เธอผู้ลามกบริโภคเขฬะ” พระเทวทัตเมื่อขอไมไ่ ด้ก็ผูกอาฆาตพระองคไ์ วเ้ ป็นปฐมนับแตบ่ ดั นน้ั กาลต่อมาพระเทวทัตยังไดเ้ ส้ียมสอนยุพราชกุมารให้กระทาปิตุฆาต และพยาบาททารา้ ย พระพุทธเจ้าด้วยประการต่าง ๆ คร้ังหนึ่งพระเทวทัตแต่งตั้งหลักธรรมที่ภิกษุจะต้องประพฤติ 5 ข้อ เรียกวา่ “ปัญจวัตถุ” ประกาศให้บรษิ ทั ของตนประพฤติ แล้วนาเหล่าสานุศษิ ยเ์ ข้าเฝา้ พระพุทธเจ้า ทูล ขอให้ออกพระพทุ ธบญั ชาเปน็ กฎท่ีภิกษุทุก ๆ รูป ต้องดาเนนิ ตาม 5 ขอ้ นนั้ คือ 1) ภกิ ษุพึงเป็นผู้อยปู่ า่ เปน็ วัตรตลอดชีวติ รปู ใดไปสู่ละแวกบ้าน รปู นั้นมีโทษ 2) ภกิ ษุพงึ ถือเท่ียวบณิ ฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดรบั นิมนต์ รปู นนั้ มีโทษ 3) ภกิ ษุพึงถอื นงุ่ หม่ ผ้าบังสกุ ลุ เปน็ วตั รตลอดชีวติ รูปใดรบั ผ้าคฤหบดี รูปนั้นมโี ทษ 4) ภิกษุพึงถอื อย่โู คนไมเ้ ป็นวัตรตลอดชวี ิต รปู ใดเขา้ สู่ทมี่ งุ ทบ่ี ัง รปู นัน้ มโี ทษ 5) ภิกษไุ ม่พงึ ฉันของสดคาวมี ปลา เนือ้ เปน็ ต้นตลอดชวี ิต รูปใดฉัน รปู น้ันมีโทษ แต่พระศาสดาไม่ทรงเห็นชอบ เพราะเป็นการประพฤติปฏิบัติที่ตึงเครียดเกินไป ตรัสว่า อย่าเลยเทวทตั รูปใดปรารถนาจะถอื อยู่ป่าเป็นวตั รหรืออยู่บา้ นตลอดจนถงึ การเท่ียวถือบิณฑบาต รับ นิมนต์ ถือผ้าห่มบังสุกุลหรือรับผ้าคฤหบดี ก็แล้วแต่ใจตนสมัครจะประพฤติ ส่วนเรื่องเสนาเสนะถือ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 7 โคนไม้นั้น อนุญาตให้อย่เู พียง 8 เดอื นเท่านัน้ และถ้าเนื้อทบ่ี ริสุทธิ์โดยสว่ นสาม (คือไมไ่ ด้เหน็ ไมไ่ ด้ยิน ไม่ได้นกึ สงสัย) แลว้ กอ็ นญุ าตให้ฉันได้ เมื่อพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตเช่นนี้ พระเทวทัตจึงประกาศลัทธิของตนแก่หมู่ภิกษุว่า ลัทธินีเ้ ป็นส่ิงเลศิ ท่อี าจนาออกซงึ่ กองทกุ ข์ได้ เหล่าภิกษุบางพวกท่ีบวชใหม่มีความรอู้ ่อนก็เชื่อตาม เข้า สมัครเป็นสาวกของพระเทวทัตเป็นจานวนมาก แต่น้ันมาพระเทวทัตกับบริวารก็แยกทาสังฆกรรมอีก ส่วนหน่ึงไม่ร่วมกับใคร ๆ ต่อมาพระศาสดารับสั่งใช้พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะไปแสดง อนุศาสนี ปรับความเข้าใจในข้อธรรมกับเหล่านวกภิกษุที่ตามพระเทวทัตไป ให้ละทิฐิที่ผิดแล้วพา กลับมาได้ ส่วนพระเทวทัตเม่ือขาดบริวารแล้วก็เป็นอันหมดส้ินอานาจทุกอย่าง ต่อมาได้รู้สึกผิดจึงได้ กลับมาขอขมาตอ่ พระศาสดา แตม่ าไมท่ ันถึงกไ็ ดม้ รณภาพเสียก่อน (ว.ิ จู. 7/330-355/167-212) จากการศึกษาสถานการณ์พระพุทธศาสนาก่อนพุทธปรินิพพานดังกล่าวมาแล้ว จึงสรุปได้ว่ามี เหตุการณ์ความแตกแยกของคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนาสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ อย่างน้อย ๆ ก็ 3 ประการ คือ 1. การแตกสามัคคีระหว่างพระฝ่ายคันถธุระและฝ่ายวิปัสสนาธุระ จากการติเตียนกัน และกันด้วยวาทะต่าง ๆ มีการติฉินต่อว่ากัน อันเกิดการแก่งแย่งโต้เถียงกันถึงเรื่องว่า ศาสนานั้นมีอะไร เป็นมูลสาคัญ พวกภิกษุฝ่ายวิปัสสนาธุระท่ีประพฤติธุดงค์ก็เห็นว่า “ปฏิบัติเป็นมูล” ฝ่ายพวกภิกษุฝ่าย คันถธุระท่ีเป็นธรรมกถึกก็เห็นว่า “ปริยัติเป็นมูล” 2. การแตกสามัคคีของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ปรารภ เหตุอธิกรณ์ท่ีคณะภิกษุ 2 ฝ่าย คือฝ่ายพระธรรมกถึกและฝ่ายพระวินัยธร ได้ว่ากล่าวติเตียนซ่ึงกันและกัน ประเด็นเก่ียวกับการไปฐานแล้วเหลือน้าชาระท้ิงไว้ในภาชนะ ถึงข้ันทาอุกเขปนียกรรมแก่กัน ไม่ลงอุโบสถ สังฆกรรมกัน แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จมาเพ่ือระงับอธิการณ์ แต่ก็ไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จปลีก ออกไประทับจาพรรษาอยู่ในป่ารักขิตวัน และ 3. พระเทวทัตทาสังฆเภท เหตุเกิดจากการท่ีพระเทวทัตมี จิตคิดกาเริบทะยานใฝ่สูงใคร่ที่จะได้ตาแหน่งสังฆบิดาบริหารการคณะสงฆ์ แล้วเข้าไปกราบทูลขอต่อ พระศาสดา แต่พระองค์ทรงห้ามทัดทานว่าอย่าเลย พระเทวทัตเมื่อไม่ได้ตามคาขอ จึงผูกอาฆาต และได้ แต่งต้ังหลักธรรมที่ภิกษุจะต้องประพฤติ 5 ข้อ เรียกว่า “ปัญจวัตถุ” ประกาศให้บริษัทของตนประพฤติ แล้วเข้าไปทูลขอให้ออกพระพุทธบัญชาเป็นกฎที่ภิกษุทุก ๆ รูป ต้องดาเนินตาม แตะพระองค์ไม่ทรง เหน็ ชอบ จึงนาภิกษบุ วชใหม่ที่เป็นบริวารของตนแยกทาสังฆกรรมอีกสว่ นหนึง่ ไม่รว่ มกับใคร ๆ 3. เหตกุ ารณแ์ ตกแยกหลังสมยั พทุ ธกาล 3.1 พระสภุ ทั ทวุฑฒบรรพชติ กล่าวจว้ งจาบพระธรรมวนิ ยั ในปัญจสติกขันธกะ พระมหากัสสปะพร้อมหมู่ภิกษุประมาณ 500 รูป เดินทางมาประ สงค์จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ กรุงกุสินารา แต่ได้ทราบว่าพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ 7 แล้ว พระ มหากัสสปะและภิกษุบรวิ ารได้ทราบข่าวพุทธปรินิพพานขณะทีพ่ ักอยู่ ณ เมืองปาวา เมื่อได้ทราบข่าว น้ี พวกภิกษุท่ีเป็นปุถุชนต่างร้องไห้คร่าครวญ พวกภิกษุท่ีเป็นอริยะเกิดธรรมสังเวช ส่วนสุภัททวุฑฒ บรรพชิต (พระหลวงตา) แหง่ เมืองอาตุมา ได้กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยว่า “พอทีเถิด พวกท่านอย่า โศกเศร้า อย่าคร่าครวญไปเลย พวกเราพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะนั้น เพราะพวกเราถูกพระมหา สมณะรบกวนอยู่วา่ ‘ส่งิ น้ีควร สง่ิ นี้ไม่ควรแก่พวกเธอ’ ตอนนี้พวกเราจะทาสงิ่ ทีพ่ วกเราต้องการ จะไม่ ทาสิ่งท่ไี มต่ อ้ งการ”

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 8 พระมหากัสสปะจึงกล่าวแก่ภิกษุท้ังหลายว่า “ท่านทั้งหลาย เอาเถิด พวกเราจะ สงั คายนาพระธรรมและวินยั กันกอ่ นที่อธรรมจะร่งุ เรอื ง ธรรมจะถูกคัดคา้ น สิง่ มิใชว่ นิ ัยจะรุ่งเรือง วินัย จะถูกคัดค้าน ก่อนที่พวกอธรรมวาทีจะมีกาลัง พวกธรรมวาทีจะอ่อนกาลัง พวกอวินัยวาทีจะมีกาลัง พวกวนิ ยั วาที จะออ่ นกาลงั ” คากล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยของพระสุภัททะน้ี แสดงให้เห็นว่าขณะที่พระพุทธเจ้ายัง ทรงพระชนม์ชีพอยู่ มีคนที่คดิ นอกรีตอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่กลา้ แสดงออกเพราะเกรงพุทธานุภาพ กรณี น้ีถือเปน็ กรณีแรกหลังจากพุทธปรินิพพาน (ว.ิ จู. 7/437/363) และเป็นเพยี งตัวอย่างเดยี วท่ีปรากฏใน คัมภีร์พระไตรปิฎก ความจริงต้องมีคนท่ีคิดในลักษณะเดียวกันนี้มากกว่าน้ี แต่มีการบันทึกไว้เฉพาะ กรณที ีเ่ ป็นตน้ เหตุแหง่ ปฐมสังคายนา 3.2 ความสงสัยเกีย่ วกับสิกขาบทเล็กนอ้ ย : รอ่ งรอยวิบตั ิแห่งทิฏฐิสามญั ญตา ในปฐมสังคายนา หลังจากท่ีพระอุบาลีตอบปัญหาเก่ียวกับพระวินัยเสร็จสิ้นแล้ว พระอานนทไ์ ด้ช้แี จงแกพ่ ระสงฆว์ ่า “กอ่ นจะปรินิพพาน พระพทุ ธเจ้าได้ตรสั ไว้เป็นแนวทางให้สงฆ์อาจ ถอนสกิ ขาบทเล็กน้อยได้” มีปัญหาตามมาว่า “สิกขาบทเล็กน้อยคือสิกขาบทไหน” พระสงฆ์ได้อภิปรายประเด็นนี้ และมคี วามคิดเหน็ แตกออกเป็น 5 กล่มุ คอื 1) ยกเวน้ ปาราชกิ 4 ท่ีเหลอื เปน็ สกิ ขาบทเล็กนอ้ ย 2) ยกเวน้ ปาราชิก 4 สังฆาทเิ สส 13 ท่เี หลือเปน็ สกิ ขาบทเล็กนอ้ ย 3) ยกเว้นปาราชกิ 4 สังฆาทิเสส 13 และอนิยต 2 ที่เหลือเป็นสกิ ขาบทเลก็ น้อย 4) ยกเวน้ ปาราชกิ 4 สงั ฆาทเิ สส 13 อนิยต 2 นิสสคั คิยปาจติ ตีย์ 30 และปาจิตตีย์ 92 ที่ เหลอื เป็นสกิ ขาบทเล็กนอ้ ย (วิ.จู. 7/441/382) 5) ยกเว้นปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 อนิยต 2 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30 ปาจิตตีย์ 92 และ ปาฏิเทสนียะ 4 ทเ่ี หลือเปน็ สกิ ขาบทเล็กน้อย การที่พระสงฆ์มีความคิดเห็นต่างกันอย่างน้ี แสดงให้เห็นเช่นกันว่า ความคิดเห็นของ มนุษย์น้ันมีธรรมชาติที่ต่างกนั อยู่แลว้ โดยไมจ่ ากัดวา่ จะเป็นปุถุชนหรืออรยิ บุคคล ภกิ ษุทั้งหลายแมใ้ น ขณะท่ีพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน แต่อาศัยการวินิจฉัยของพระพุทธ องค์ ปัญหาจงึ ยุตโิ ดยง่าย พระมหากสั สปะจงึ กลา่ วตัดบทวา่ ดูก่อนอาวุโส ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบททั้งหลายของพวกเรา ที่เกี่ยวกับ คฤหัสถก์ ็มีอยู่ แม้พวกคฤหสั ถก์ ็ยอ่ มรู้ว่า มิควรแก่ท่านท้ังหลายผู้เปน็ ศากยบุตร น้ีไมค่ วร แก่ท่านท้งั หลายดังนี้ ถา้ พวกเราจักถอนสิกขาบทเลก็ น้อยไซร้ ก็จะมผี ู้กลา่ วว่า พระสมณ โคดมบัญญัติสิกขาบทเพ่ือสาวกของพระองค์ชั่วกาลแห่งควันไฟเท่าน้ัน ก็ถ้าความพรอ้ ม เพรียงของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์ไม่พึงบัญญัติสิกขาบทที่ยังมิได้ทรงบัญญัติไว้ ไม่พึงตัดทอน สิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว นี้เป็นญัตติ ท่านผู้ใดเห็นไม่สมควร ท่านผู้นั้นพึงค้าน ท่าน ผู้ใดเหน็ สมควร ท่านผู้นน้ั พึงน่งิ (วิ.จู. 7/442/383)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 9 เม่ือส้ินกระแสประกาศของพระมหากัสสปะ ที่ประชุมรับรองเป็นเอกฉันท์ คณะสงฆค์ ณะ นี้จึงได้ชื่อว่า “คณะเถรวาท” บ้าง “เถรวาที” บ้าง “สถวีรวาท” หรือ “กัสสปวงศ์” บ้าง เพราะ เคารพมติของพระเถระซง่ึ ตกลงกนั ไวใ้ นปฐมสงั คายนา ทีป่ ระชมุ ไดล้ งมตปิ รบั อาบัติทกุ กฎแก่พระอานนทเ์ ปน็ ข้อ ๆ ดังนี้ 1) ข้อที่ไม่ทูลถามว่าสิกขาบทเลก็ น้อยไดแ้ ก่อะไร 2) ขอ้ ท่เี หยียบผา้ วสั สิกสาฎกของพระผู้มพี ระภาค เป็นการไม่เคารพ 3) ปล่อยให้สตรีถวายบังคมพระพุทธสรีระก่อน และพวกนางร้องไห้จนน้าตาเป้ือนพุทธ สรรี ะ 4) ไมท่ ูลวงิ วอนใหพ้ ระศาสดาดารงอยตู่ ลอดกัปปเเ ม่ือพระพุทธองค์ทานิมิตโอภาส 5) ขวนขวายใหส้ ตรบี วชในธรรมวินัย พระอานนทไ์ ดก้ ล่าวแถลงแก้การกระทาของทา่ นท้งั 5 ขอ้ วา่ 1) เพราะไม่สานึกถงึ 2) ท่านมิไดม้ ีเจตนา ท่ีเหยียบเพราะพลาดพลงั้ มใิ ชไ่ ม่คารวะหรอื ลบหลู่ 3) เพราะเห็นว่าสตรเี หล่านั้น ไมค่ วรอยู่ในเวลาวกิ าล จงึ ให้ถวายบงั คมกอ่ น 4) เพราะถูกมารดลจิต จึงมิไดท้ ลู อาราธนา 5) เพราะเหน็ ว่า พระนางปชาบดีโคตมี เปน็ ผมู้ ีพระคุณของพระพุทธเจ้า (วิ.จ.ู 7/443/384) แต่พระอานนท์เป็นนักประชาธิปไตย เมื่อทป่ี ระชมุ ลงมติปรบั อาบตั ิ ท่านก็มิได้ขดั ขืน ท่าน กล่าววา่ ขา้ พเจา้ ไม่เห็นอาบัตนิ ั้น แต่เพราะเช่อื ทา่ นท้งั หลายอยู่ ข้าพเจ้าขอแสดงอาบตั นิ ้นั ณ บดั น้ี 3.3 พระปุราณะไม่ยอมรับมติสงฆ์ท่ีเข้าร่วมปฐมสังคายนา : ความคิดแปลกแยกเกี่ยวกับ สกิ ขาบท เมื่อพระสงฆ์มีพระมหากัสสปะเป็นประธานไดท้ าปฐมสังคายนาเสรจ็ สน้ิ แล้ว พระปุราณะ คณาจารย์ผใู้ หญ่รูปหน่ึงในคร้ังนั้นซ่ึงพักอยู่ ณ ทักขณิ าคิรีชนบทไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ ได้ไปหาพระ เถระท่ีร่วมกันทาปฐมสังคายนา ณ เวฬุวนาราม พระเถระทั้งหลายได้แจ้งมติที่ประชุมสังคายนา แต่ พระปรุ าณะกลับกลา่ วว่า “พระเถระทงั้ หลายสังคายนาพระธรรมวนิ ัยก็เป็นการดีแลว้ แต่ผมจะทรงจา ไว้ตามทีไ่ ด้ยนิ ตามที่ได้รับมาเฉพาะพกั ตร์พระผมู้ ีพระภาค” (ว.ิ จู. 7/444/385-386) เม่ือได้ช้ีแจงกันพอสมควรแล้ว ปรากฏว่า พระปุราณะมีความเห็นตรงกับพระเถระ ทั้งหลายส่วนมาก แต่มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องวัตถุ 8 ประการ ซ่ึงเป็นพระพุทธานุญาตพิเศษที่ทรง อนุญาตให้พระภิกษุทาได้ในคราวเกิดทุพภิกขภัย แต่เม่ือภัยเหล่าน้ันระงับก็ทรงบัญญัติห้ามมิให้ กระทาอีก วตั ถุ 8 ประการน้นั คอื 1) อนั โตวุฏฐะ เกบ็ ของทเ่ี ป็นยาวกาลกิ คืออาหารไวใ้ นที่อยู่ของตน 2) อนั โตปักกะ ใหม้ กี ารหุงต้มอาหารในทอ่ี ยขู่ องตน 3) สามปกั กะ พระภิกษุลงมือหุงตม้ ด้วยตนเอง 4) อุคคหิตะ การหยบิ ของเคี้ยวของฉนั ทยี่ ังไมไ่ ด้ประเคน 5) ตโตนหี ตะ ของที่นามาจากท่ีนิมนต์ ซ่ึงเป็นพวกอาหาร 6) ปุเรภัตตะ การฉันของก่อนเวลาภัตตาหาร ในกรณีที่ตนรับนิมนต์ไว้ในที่อื่น แต่ฉัน อาหารอื่นกอ่ นอาหารทตี่ นจะตอ้ งฉนั ในทีน่ มิ นต์

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 10 7) วนฏั ฐะ ของท่เี กดิ และตกอยู่ในป่า ซงึ่ ไม่มีใครเปน็ เจ้าของ 8) โปกขรัณฏฐะ ของทเี่ กิดและอย่ใู นสระ เชน่ ดอกบัว เง่าบัว วตั ถทุ ้ัง 8 น้ีเป็นพระพุทธานุญาตพิเศษในคราวทุพภิกขภัย 2 คราว คือท่ีเมืองเวสาลแี ละ ที่เมืองราชคฤห์ แต่เม่ือทุพภิกขภัยหายไปแล้ว ทรงห้ามมิให้พระภิกษุกระทา พระปุราณะและพวก ของทา่ นคงจะไดท้ ราบเฉพาะเวลาทที่ รงอนญุ าต เมื่อฝ่ายพระเถระท้ังหลายช้ีแจงให้ท่านฟัง ท่านกลับมีความเห็นว่า “พระสัมมาสัมพุทธ เจา้ ทรงมีพระสพั พัญญุตญาณไม่สมควรท่ีจะบัญญัติห้ามแล้วอนญุ าต อนุญาตแล้วกลับบัญญัติห้ามมใิ ช่ หรอื ?” พระมหากัสสปะกล่าวว่า “เพราะพระองค์ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณนั่นเอง จึงทรงรู้ว่า กาลใดควรหา้ ม กาลใดควรอนุญาต” และพระมหากสั สปะไดก้ ลา่ วเน้นให้พระปรุ าณะทราบว่า มตขิ อง ที่ประชุมได้ตกลงกันว่า “จักไม่บัญญัติส่ิงท่ีพระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติขึ้น จักไม่เพิกถอนส่ิงที่ทรง บญั ญัตไิ ว้แลว้ จักสมาทานศึกษาสาเหนียกในสกิ ขาบทท้ังหลาย ตามทีท่ รงบญั ญัตไิ ว้” พระปุราณะยืนยันว่า ท่านจักปฏิบัติตามมติของท่านท่ีได้สดับฟังมาจากพระสัมมา สัมพทุ ธเจา้ โดยตรง (พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2530, น. 130-132) การไม่ยอมรับมติสงฆ์ของพระปุราณะเป็นกรณีหน่ึงของความคิดแปลกแยกท่ีมีอยู่ ตลอดเวลาในครง้ั พุทธกาล ในพระวินัยปิฎกของฝ่ายสันสกฤต พระปุราณะเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับสิกขาบทบางข้อกับ พระมหากัสสปะ คือสิกขาบทที่ว่าด้วยเรื่อง อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ สรุปแล้วเป็นเร่ือง เกี่ยวกับการขบฉันและอาหาร บางขอ้ ภิกษุล่วงแล้วต้องปาจิตตยี ์บ้าง ทุกกฎบ้าง พระปุราณะแย้งพระ มหากัสสปะว่า สิกขาบทเหล่าน้ี พระผู้มีพระภาคมีพุทธานุญาตให้ทาได้ในกาลข้าวแพงที่เมืองเวสาลี แล้ว ฉะนั้นภิกษุใดล่วง ภิกษุน้ันไม่ต้องอาบัติ แต่พระมหากัสสปะค้านว่า เม่ือพ้นทุพภิกขภัยพระผู้มี พระภาคได้ตรัสเรียกพระอานนทม์ าถามว่า ภิกษุทั้งหลาย ยังหุงต้มภายในกุฏิ เก็บอาหารไว้ฉันภายใน กุฏิ ฯลฯ อยู่อีกหรือหนอ ? พระอานนท์ทูลวา่ ยังทากันอยู่ จึงตรัสเรียกประชุมสงฆ์ต้ังพุทธบัญญัติขึ้น ใหม่ ห้ามมิให้ทา พระปุราณะก็ไม่ยอมฟัง พระปุราณะจึงพาบริวารออกไปทาสังคายนาข้ึนอกี ต่างหาก (วจิ ติ ร เกดิ วสิ ิษฐ์, 2518, น. 54) เหตุการณ์ครั้งน้ีแสดงว่า สังฆมณฑลหลังพุทธปรินิพพานแล้วใหม่ ๆ ได้เกิดแตกแยกกัน ข้ึนเพราะเหตุแห่งทิฏฐิสามัญญตาและสีลสามัญญตาวิบัติ ไม่ใช่มาแตกแยกเม่ือทุติยสังคายนา ข้อ สาคัญเพราะเกิดจากการตีความพุทธบัญญัติหรือพุทธพจน์ในบรรดาคณาจารย์ผู้ใหญ่แตกต่างกัน สัทธิวิหาริกอันเตวาสิกของคณาจารย์รูปใด ก็ย่อมพลอยอนุโลมถือตามมติของคณาจารย์รูปน้ัน เป็น เหตุใหม้ หี มู่คณะแตกแยกออกไป แต่เมื่อสรุปแล้วมี 2 พวก คือ พวกท่ีต้องการรักษาจารีตธรรมวินัยดั้งเดิมเอาไว้ให้มาก ที่สุด และพวกที่ต้องการจะเปล่ียนแปลงอนุโลมตามกาลเทศะสมัยนิยม พวกหลังน้ีเป็นต้นเค้าของ มหายาน 3.4 พวกภิกษวุ ชั ชีบุตร กรงุ เวสาลปี ระกาศวัตถุ 10 ประการ : ความวบิ ตั ิแห่งสลี สามญั ญตา ในสัตตสตกิ ขันธกะแห่งพระวินัยปิฎก จุลวรรค หลังพุทธปรินิพพานได้ 100 ปี พวกภิกษุ วัชชีบุตร ชาวกรุงเวสาลีประกาศและถือปฏิบัติตามวัตถุ 10 ประการ ซ่ึงบางกรณีเป็นหลักการท่ี

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 11 พระพุทธเจ้าทรงกาหนดให้ถือปฏิบัติได้ในคราวท่ีสังคมเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ วัตถุ 10 ประการ ดังนี้ 1) สงิ ฺคโิ ลณกปโฺ ป : เกบ็ เกลอื ไว้ในเขนงฉัน ควร 2) ทวุ งคฺ ลุ กปโฺ ป : ฉนั อาหารในเวลาบา่ ยลว่ ง 2 องคุลี ควร 3) คามนฺตรกปฺโป : ฉนั อาหารเปน็ อนติรติ ตะ (คอื ฉนั ในที่นมิ นต์จนบอกพอ ไม่รับเพ่ิมเติม แลว้ คดิ จะเขา้ บ้านฉันอาหารทไี่ มเ่ ป็นเดนอีกได้) ควร 4) อาวาสกปฺโป : อาวาสมีสมี าเดยี วกนั ทาอุโบสถตา่ งกัน ควร 5) อนุมตฺติกปฺโป : เวลาทาสังฆกรรม ภิกษุมาไม่พร้อมกันทาก่อนได้ ภิกษุมาทีหลังจึง บอกขออนุมตั ิภายหลัง ควร 6) อาจิณฺณกปฺโป : การประพฤตติ นอยา่ งทีอ่ ุปัชฌายแ์ ละอาจารยป์ ระพฤตมิ าแลว้ ควร 7) อมถิตกปโฺ ป : ฉนั นมสดทีแ่ ปรแล้ว แตย่ ังไม่เปน็ นมสม้ ควร 8) กปเฺ ปติ ชโลคึ ปาตุ : ดืม่ สรุ าอ่อน ควร 9) กปปฺ ติ อทสก นสิ ีทน : ใช้ผ้านิสที นะ ไม่มีชาย ควร 10) กปปฺ ติ ชาตรปู รชต : รบั ทองและเงิน ควร แม้จะถูกพระยสกากัณฑกบุตรตักเตือน แต่พวกภิกษุวัชชีบุตรไม่เชื่อฟัง ทั้ง ๆ ท่ีเป็นการ ละเมิดพระวินัย ความวิบัติแห่งสีลสามัญญตาน้ี เป็นเหตุให้มีการทาทุติยสังคายนา (วิ.จู. 7/446- 456/393-420) ในการสังคายนาคร้ังท่ี 2 กระทาที่วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอนิ เดีย พระยสกากัณฑกบุตร เป็นผู้ชกั ชวน พระเถระท่ีเป็นผู้ใหญ่รว่ มมือในการน้ีท่ีปรากฏชื่อมี 8 รูป คือ (1) พระสพั พกามี (2) พระสาฬหะ (3) พระขุชชโสภิตะ (4) พระวาสภคามกิ ะ ทั้ง 4 รูปนเ้ี ป็นชาวปาจีนกะ (มีสานักอยู่ทางทิศตะวันออก) (5) พระเรวตะ (6) พระสัมภูตะสาณวาสี (7) พระยสกากัณฑกบุตร และ (8) พระสุมนะ ท้ัง 4 รูปน้ีเป็นชาวเมืองปาฐา ในการนี้พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็น ผู้ตอบปญั หาทางวินัยทเี่ กิดข้ึน มีพระสงฆป์ ระชมุ กัน 700 รปู 3.5 ความเหน็ 5 ประการของพระมหาเทวะ : ความวบิ ตั ิแห่งทิฏฐสิ ามัญญตา คัมภีร์ธรรมเภทจักรศาสตร์ แต่งโดยท่านวสุมิตร กล่าวว่า พระมหาเทวะซึ่งเป็นบุตร พ่อค้าเมืองมถุรา ได้ทาบาปกรรมหยาบช้าหลายอย่าง ฆ่าบิดามารดา ได้แสดงทิฏฐิเกี่ยวกับพระ อรหันต์ซงึ่ ถือเปน็ ทฏิ ฐนิ อกรีต 5 ประการ คอื 1) พระอรหันตอ์ าจถูกมารยัว่ ยุจนอสุจิเคล่ือนในเวลาหลบั 2) พระอรหันต์อาจมคี วามไมร่ ู้ (อัญญาณ) ในบางสิ่งได้ 3) พระอรหันตอ์ าจมีความสงสัย (กังขา) ในบางสงิ่ ได้ 4) บคุ คลจะรวู้ ่าตนไดบ้ รรลอุ รหัต ตอ้ งอาศยั ผ้อู ่นื พยากรณ์ 5) อริยมรรคอริยผลจะปรากฏเมอื่ บุคคลเปลง่ วาจาว่า “ทกุ ข์หนอ ทกุ ข์หนอ” สาเหตุที่พระมหาเทวะแสดงทิฏฐิ 5 ประการน้ี เพราะประสงค์ท่ีจะแสดงเหตุผลกลบ เกลื่อนความผิดของตัวเองในแต่ละกรณี เช่น ตวั เองถูกถามปัญหาแล้วตอบไม่ได้ ท้ังที่อ้างตวั ว่าเป็นพระ อรหันต์ จึงบอกคนถามปัญหาว่า “พระอรหันต์อาจมีความไม่รู้ในบางสิ่งได้” (พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2530, น. 145)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 12 พระมหาเทวะเม่ือเสนอทรรศนะ 5 ประการขึ้นในที่ประชุม มีพระเถระท่ีไม่เห็นพ้องด้วย ทป่ี ระชุมจงึ ไม่อาจทาสังฆกรรมได้ เกิดแบ่งเป็น 2 พวก ทุม่ เถียงเรื่องทิฏฐิ 5 ข้อน้ี คร้ังน้ันพระเจ้ากาฬา โศกราช กษัตริย์แห่งปาฏลีบุตร ต้องเสด็จมาห้าม พระมหาเทวะจึงเสนอให้ใช้วิธีเยภุยยสิกาอธิกรณ สมถะ ผลก็คือพวกพระมหาเทวะชนะ ฝ่ายพวกพระเถระไม่ยอมอยู่ในกุกกุฏาราม คณะสงฆ์จึงแตกมา เป็น 2 นิกาย คือ นิกายเถรวาทีพวกหนึ่งและนิกายมหาสังฆิกวาที ซึ่งเป็นพวกพระมหาเทวะพวกหน่ึง เน่ืองจากมีพวกมากกว่าได้ไปทาสังคายนาเรียกว่า มหาสังคีติ จาเดิมแต่นั้นมาก็มีอนุนิกายแยกออกไป จาก 2 นิกายใหญ่นี้เป็น 18 นิกาย ในทีปวงศ์ว่า พวกมหาสังฆิกะแตกนิกาย 5 ฝ่ายเถรวาทท่ีแตกนิกาย 11 นิกาย จนถึง พุทธศก 400 ปีเศษ มีนิกายในอนิ เดียอยู่ 20 นกิ ายดว้ ยกัน 3.6 มคี นปลอมบวชในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช : ความวบิ ตั ิแห่งทฏิ ฐิสามัญญตา สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชมีลาภสักการะเกิดขึ้นในสังฆมณฑลมาก พระเจ้าอโศกเองทรง เป็นผูน้ าในการถวายความอุปถัมภ์แก่ภกิ ษสุ งฆ์ ประชาชนก็อนุวัตตาม คนทั่วไปท่ีสันดานบาปหยาบช้า รวมท้ังพวกนักบวชในลัทธิอื่น เมื่อเห็นว่าภิกษุสงฆ์มีลาภสักการะมาก ก็อยากได้ลาภสักการะบ้าง จึง ปลอมเข้ามาบวชเปน็ ภิกษุในพระพุทธศาสนา ในขณะเดียวกัน เจ้าลัทธิต่าง ๆ ท่ีแสดงทิฏฐิ (วาทะ) แตกต่างกันมีอยู่ถึง 10 ลัทธิตามท่ี ปรากฏในอรรถกถาสมันตปาสาทิกา คือ (1) สัสสตวาที (2) เอกัจจสัสสติกะ (3) อันตานันติกะ (4) อมราวิกเขปิกะ (5) อธิจจสมุปปันนิกะ (6) สัญญีวาที (7) อสัญญีวาที (8) เนวสัญญีนาสัญญีวาที (9) อุจเฉทวาที (10) ทิฏฐธัมมนพิ พานวาที (คณะกรรมการตารา, 2535, น. 97-99) จากการศกึ ษาสถานการณพ์ ระพทุ ธศาสนาหลงั พุทธปรินพิ พานดังกล่าวมาแล้ว จึงสรุปได้ว่ามี เหตุการณ์ความแตกแยกของคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนาสมัยท่ีพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว คือ พระ สุภัททวุฑฒบรรพชิตกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย อันเป็นมูลเหตุแห่งการทาปฐมสังคายนาพระธรรม วินัย โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน พระอานนทเถระเป็นผู้สาธยายพระธรรม และพระอุบาลี เถระเป็นผู้สาธยายพระวินัย แต่ในระหว่างการทาสังคายนาน้ัน พระอานนท์ได้ชี้แจงแก่พระสงฆ์ว่า “ก่อนจะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นแนวทางให้สงฆ์อาจถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้” ทาให้ เกิดความสงสัยเกี่ยวกับสิกขาบทเล็กน้อย และมีไม่สามารถสรุปได้ว่าอันไหนคืออาบัติเล็กน้อย ซ่ึงถือ ว่าเป็นร่องรอยวิบัติแห่งทิฏฐิสามัญญตา จึงมีมติให้คงไว้ดังเดิมตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ แต่ พระปุราณะไมย่ อมรับมติสงฆ์ท่ีเขา้ รว่ มปฐมสงั คายนา มีความคิดเห็นขัดแย้งเร่ืองวัตถุ 8 ประการ และ กล่าวว่า “พระเถระท้ังหลายสังคายนาพระธรรมวินัยก็เป็นการดีแล้ว แต่ผมจะทรงจาไว้ตามที่ได้ยิน ตามทีไ่ ด้รบั มาเฉพาะพกั ตรพ์ ระผูม้ ีพระภาค” ตอ่ มาหลังพทุ ธปรนิ ิพพานได้ 100 ปี พวกภกิ ษุวัชชีบุตร ชาวกรุงเวสาลีประกาศและถือปฏิบัติตามวัตถุ 10 ประการ แม้จะถูกพระยสกากัณฑกบุตรตักเตือน แต่พวกภิกษุวัชชีบุตรไม่เช่ือฟัง ทั้ง ๆ ที่เป็นการละเมิดพระวินัย ถือว่าเป็นความวิบัติแห่งสีลสามัญญ ตา และเปน็ เหตุใหม้ กี ารทาทตุ ยิ สังคายนา อีกเหตุการณ์หน่ึงคือพระมหาเทวะแสดงทิฏฐิ 5 ประการน้ี เพราะประสงค์ที่จะแสดงเหตุผล กลบเกลื่อนความผิดของตัวเองในแต่ละกรณี เชน่ ตัวเองถกู ถามปญั หาแล้วตอบไม่ได้ ทั้งทอ่ี ้างตัววา่ เป็น พระอรหันต์ จึงบอกคนถามปัญหาว่า “พระอรหันต์อาจมีความไม่รู้ในบางส่ิงได้” เป็นต้น และนาไปสู่ การแตกแยกของคณะสงฆ์ออกเป็นอนุนิกายต่าง ๆ 18 นิกาย ต่อมาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชมีลาภ สกั การะเกิดขึ้นในสังฆมณฑลมาก คนท่ัวไปท่ีสันดานบาปหยาบช้า รวมท้ังพวกนักบวชในลัทธิอ่ืน เมื่อ

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 13 เห็นว่าภิกษุสงฆ์มีลาภสักการะมาก ก็อยากได้ลาภสักการะบ้าง จึงปลอมเข้ามาบวชเป็นภิกษุใน พระพุทธศาสนา ดังกล่าวมานี้ล้วนเป็นเหตุการณ์สาคัญท่ีทาให้เกิดการแตกแยกของคณะสงฆ์ และ เปน็ ร่องรอยความวบิ ัตแิ ห่งทิฏฐิสามัญญตาและสีลสามัญญตาอันเป็นเหตุนาไปสู่การแบ่งแยกออกเป็น นกิ ายต่าง ๆ ในภายหลัง 4. พระพุทธศาสนาแตกออกเป็น 18 นกิ าย หลังพุทธปรินิพพานประมาณ 200 ปี พระพุทธศาสนาแตกออกเป็น 18 นิกาย เพราะต่างมี แนวคิดว่า “การแตกนิกายแสดงถึงความเจริญงอกงามแพร่หลาย เปรียบเหมือนต้นไม้ที่แตก ก่งิ กา้ นสาขา ยง่ิ ก่ิงกา้ นสาขามากก็บ่งถงึ ความเจรญิ งอกงาม ท่ีสาคญั คือไม่มกี ารแกไ้ ขสารตั ถะแห่งพระ ธรรมวินยั ดดั แปลงแกไ้ ขเพียงวธิ ีปฏิบตั ิ” เรอื่ งน้ีปรากฏในคมั ภรี ์ทีปวงศ์ พอสรุปความได้ดงั น้ี ภิกษุวัชชีบุตรผู้เลวทราม ถูกพระเถระขับออกไปแล้ว รวบรวมพรรคพวกได้เป็นจานวนมาก จัดเป็นฝ่ายอธรรมวาที มีจานวนประมาณ 10,000 รูป ประชุมกันทาสังคายนาพระธรรม เรียก สังคายนาคร้ังนี้ว่า “มหาสังคีติ” ภิกษุที่เข้าร่วมมหาสังคีติน้ันได้ทาความขัดแย้งในพระศาสนา เป็น ผูน้ า มวี าทะแตกแยก ละทิง้ ภาวะเดมิ ได้สร้างภาวะอยา่ งอน่ื ขนึ้ มาแทน ภิกษอุ ีกเป็นจานวนมากมวี าทะ แตกแยกกันเพราะทาตามกันมา นับแต่น้ันมา ได้เกิดการแตกแยกวาทะเป็น 2 ฝ่าย คือ โคคุลิกวาท และเอกัพโยหาริกวาท โคคุลิกวาทแตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือพหุสสุติกวาทและปัญญัตติกวาท มหา สังคีติกวาทแตกออกมาเป็นเจติยวาท เถรวาทได้แตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ มหิสาสกวาทและวัชชีปุตต กวาท และวัชชีปุตตกวาทได้แตกออกอีกเป็น 4 ฝ่าย คือ ธรรมตุ ตริกวาท ภัทรยานิกวาท ฉันนอคาริก วาท และสมิตียวาท ต่อมา มหิสาสกวาทแตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ สัพพัตถิกวาท และธรรมคุตตวาท สัพพัตถิกวาทแตกออกเป็นกัสสปิกวาท และต่อมาได้แตกสาขาออกเป็นสังกันติกวาท จากนั้นได้แตก ออกเปน็ สตุ ตวาท วาทะทั้ง 11 น้ี แตกออกไปจากเถรวาท ภิกษุผู้แสดงวาทะต่าง ๆ เหล่าน้ีได้ท้ิงอรรถธรรม และสังคหะ ทอดท้ิงคัมภีร์บางส่วน แต่งคัมภีร์ข้ึนมาใหม่ วาทะที่แตกออกมา 17 วาทะ ท่ีไม่แตก ออกมา (เถรวาท) 1 รวมเป็น 18 วาทะ ต่อมา ได้มีกลุ่มอาจริยวาทเกิดข้ึนใหม่อีก 6 นิกาย คือ (1) เหมวติกะ (2) ราชคริ ิกะ (3) สิทธัตถกิ ะ (4) ปุพพเสลิยะ (5) อปรเสลิยะ (6) วาชิริยะ (อภิ.อ. ปญฺจปก รณวณณฺ นา. 55/672/123-126) นกิ ายเหล่าน้ีเกิดขึ้นจากสาเหตุ 2 ประการ คือ (1) แสดงความคดิ เห็นแตกตา่ งกนั (2) ปฏิบัติ แตกต่างกันโดยมีพื้นฐานมาจากการตีความพระธรรมวินัยแตกต่างกัน สาเหตุสาคัญก็คือความคิดเห็น แตกตา่ งกันน่ันเอง น่คี ือจดุ เริ่มต้นแหง่ ความคดิ เชงิ ปรัชญา 5. บทสรปุ เหตุการณ์ท่ีเป็นร่องรอยแห่งการแตกแยกของพระพุทธศาสนาได้เกิดข้ึนแล้วทั้งในสมัยที่ พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ เช่น การแตกสามัคคีระหว่างพระฝ่ายคันถธุระและฝ่ายวิปัสสนาธุระ การแตกสามัคคีของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี และพระเทวทัตทาสังฆเภท เป็นต้น เหล่าน้ีล้วนเป็น รอ่ งรอยท่ีปรากฏให้เห็นถึงความแตกแยกของคณะสงฆ์ท่ียังเปน็ ปถุ ุชนในสมัยพุทธกาล มีแนวคิดความ เชื่อที่เกิดจากการดูหม่ินดูแคลน ติเตียนกันและกันของกลุ่มลูกศิษย์อาจารย์ฝ่ายคันถธุระและฝ่าย

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 14 วิปัสสนาธุระ ต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าส่ิงที่ตนเองเชื่อและปฏิบัติอยู่ดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง จึงทาให้เกิดการ ทะเลาะ แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันของคณะสงฆ์ในสมัยน้ัน และอีกประการหนึ่งก็เกิดจากความ ทะเยอทะยานของพระเทวทัตที่ต้องการจะปกครองคณะสงฆ์แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงประกาศ ลัทธิของตนเก่ียวกับวัตถุ 5 ประการแก่หมู่ภิกษุว่า เป็นสิ่งเลิศที่อาจนาออกซึ่งกองทุกข์ได้ เหล่าภิกษุ บางพวกท่ีบวชใหม่มีความรู้อ่อนก็เช่ือตาม เข้าสมัครเป็นสาวกของพระเทวทัตเป็นจานวนมาก และ แยกทาสงั ฆกรรมอกี ส่วนหนงึ่ ไมร่ ่วมกับใคร ต่อมาในสมัยท่ีพระพุทธเจ้าส้ินพระชนม์แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ที่นาไปสู่การทาสังคายนาคร้ังท่ี 1 จากการที่พระสุภัททวุฑฒบรรพชิตกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย จึงทาให้พระมหากัสสปเถระพร้อม พระอรหันต์ 500 รูป ได้ทาการสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นคร้ังแรก โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็น ประธาน พระอุบาลีเถระเป็นผู้สาธยายพระวินัย และพระอานนทเถระเป็นผู้สาธยายพระธรรม หลังการ ทาสังคายนา พระปุราณะไม่ยอมรับมตคิ ณะสงฆ์ในการทาปฐมสังคายนา และต้องการจะประพฤติปฏิบัติ ตามที่ตนได้ยินได้ฟังมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกี่ยวกับวัตถุ 8 ประการ ซ่ึงถือได้ว่าเป็นร่องรอยวิบัติ แห่งทิฏฐิสามัญญตา และต่อมาหลังพุทธปรินิพพานได้ 100 ปี พวกภิกษุวัชชีบุตร ชาวกรุงเวสาลีได้ ประกาศและถือปฏิบัติตามวัตถุ 10 ประการ ซึ่งเป็นร่อยรอยความวิบัติแห่งสีลสามัญญตา และเป็นเหตุ ให้มีการทาทุติยสังคายนา ที่วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย มีพระยสกากัณฑกบุตร เป็นผู้ชักชวน มีพระเถระท่ีเป็นผู้ใหญ่ร่วมมือในการน้ีท่ีปรากฏชื่อ 8 รูป ในการน้ีพระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเปน็ ผู้ตอบปัญหาทางวินัยที่เกดิ ข้ึน มีพระสงฆ์ประชุมกัน 700 รูป นอกจากน้ียังมีประเด็นเก่ียวกับพระมหาเทวะแสดงทิฏฐเิ กี่ยวพระอรหันต์ 5 ประการ เพราะ ประสงค์ท่ีจะแสดงเหตุผลกลบเกล่ือนความผิดของตัวเองในแต่ละกรณี เช่น ตัวเองถูกถามปัญหาแล้ว ตอบไม่ได้ ทั้งท่ีอ้างตัวว่าเป็นพระอรหันต์ จึงบอกคนถามปัญหาว่า พระอรหันต์อาจมีความไม่รู้ในบาง สิง่ ได้ เปน็ ตน้ และในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็มีคนปลอมบวชเข้ามาในพระพทุ ธศาสนาเปน็ จานวน เพอื่ ต้องการลาภสักการะ จึงทาให้ต้องมีการสงั คายนาคณะสงฆเ์ ป็นการใหญ่ และนาไปสู่การแตกแยก ออกเป็นนิกายน้อยใหญ่ประมาณ 18 นิกาย หลังพุทธปรินิพพานได้ประมาณ 200 ปี ซง่ึ เป็นจุดเริ่มต้น แหง่ แนวความคิดเชงิ ปรัชญา

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 15 แบบฝึกหัดบทที่ 1 1. อธิบายเหตกุ ารณ์แตกแยกของพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล 2. อธิบายเหตุการณ์แตกแยกของพระพทุ ธศาสนาในสมัยหลงั พุทธกาล 3. อธบิ ายเหตกุ ารณ์แตกแยกทเ่ี ปน็ ความวบิ ตั ิแหง่ ทิฏฐิสามัญญตา 4. อธิบายเหตุการณ์แตกแยกทเี่ ป็นความวบิ ัตแิ หง่ สลี สามัญญตา 5. อธบิ ายบ่อเกิดทีท่ าให้พระพทุ ธศาสนาแตกออกเปน็ 18 นกิ าย

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 16 เอกสารอ้างองิ ประจาบทท่ี 1 คณะกรรมการตารา. (2535). ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล. กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ). (2530). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลยั . มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . มหามกุฏราชวิทยาลัย, มูลนิธิ. (2535). อรรถกถาภาษาบาลี. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามหามกุฏราช ราชวิทยาลยั . วิจิตร เกิดวิสิษฐ์. (2518). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฉบับมุขปาฐะภาค 1, กรุงเทพฯ: มหามกุฏ ราชวทิ ยาลยั .

แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 2 บทที่ 2 ประวัติและการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน เนอ้ื หาประจาบท 1. บทนำ 2. กำรแบ่งยคุ ของพระพทุ ธศำสนำ 3. ควำมหมำยของมหำยำน 4. ประวตั ิกำรเกิดขน้ึ และพัฒนำกำรของพระพุทธศำสนำมหำยำน 5. กำรแบ่งออกเป็นนกิ ำยใหญ่ ๆ 6. กำรแบ่งแยกเป็นนกิ ำยต่ำง ๆ ของพระพทุ ธศำสนำ 7. เหตผุ ลที่นกั ศึกษำพระพทุ ธศำสนำฝ่ำยใต้พำกนั ไมเ่ อำใจใสศ่ ึกษำพระพุทธศำสนำฝำ่ ยเหนือ 8. กำรเกดิ ขึน้ ของพระพุทธศำสนำมหำยำน 9. สิกขำบทของพระโพธสิ ตั ว์ 10. พระไตรปฎิ กของมหำยำน 11. พุทธประวัติมหำยำน 12. บุคคลที่มบี ทบำทสำคญั ของพระพุทธศำสนำมหำยำน 13. บทสรุป แบบฝึกหดั บทท่ี 2 เอกสำรอ้ำงองิ ประจำบทที่ 2 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. นักศกึ ษำรแู้ ละเข้ำใจประวัตแิ ละกำรเกดิ ขึน้ ของพระพุทธศำสนำนกิ ำยมหำยำน 2. นักศึกษำมกี ำรเสริมทกั ษะด้ำนควำมรู้ควำมเขำ้ ใจในพระพุทธศำสนำมหำยำนในปัจจบุ นั 3. นกั ศึกษำใชห้ ลักกำรตำมพระพุทธศำสนำมหำยำนเปน็ เครอ่ื งมือในกำรเรยี นรู้และวิเครำะห์ สถำนกำรณท์ ่เี กิดขึน้ ในสงั คมได้ กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยำย/อภิปรำย/มอบหมำย/แบ่งกลุ่มนักศึกษำให้รับผิดชอบในกำรวิเครำะห์ด้วยกำร รวบรวม และเรยี บเรยี งเนื้อหำสำคญั ๆ นำขอ้ มลู ท่ีได้มำถ่ำยทอดเน้ือหำด้วยภำษำของตนในกำรเขียน รำยงำนและนำเสนอในชัน้ เรียน 2. นักศึกษำฟังกำรบรรยำย/จดบันทึกสรุปเนื้อหำ/ฝึกตั้งคำถำม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรำยในช้ัน เรียน 3. ศึกษำจำกเอกสำรประกอบกำรสอน/ค้นคว้ำเนื้อหำที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจำกหนังสือ/ ห้องสมดุ และเวบ็ ไซต/์ ทำแบบฝกึ หัดทำ้ ยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest สื่อการเรียนการสอน

18 1. เอกสำรประกอบกำรสอน / PowerPoint นำเสนอประกอบกำรบรรยำย 2. โปรแกรมกำรสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet เปน็ ตน้ การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรมโดยใชแ้ บบ Checklist กำรตรงเวลำในกำรเข้ำช้ันเรียน กำรส่ง งำนที่มอบหมำย และกำรอ้ำงอิงผลงำนคนอ่ืน และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมกำรมีจิตสำธำรณะในกำร ทำกิจกรรมทัง้ ในและนอกหอ้ งเรียน 2. ประเมินควำมรู้และทักษะทำงปัญญำ โดยกำรทดสอบ Pretest และ Posttest กำรทำ แบบฝึกหัด กำรทำรำยงำนด้วยกำรรวบรวมและเรียบเรียงและวิเครำะห์เนื้อหำ และนำเสนอผล กำรศกึ ษำค้นคว้ำมำถ่ำยทอดด้วยภำษำของตนในกำรเขียนรำยงำนและนำเสนอในชั้นเรียนด้วยกำรใช้ เครอ่ื งมือหรือโปรแกรมกำรเรียนกำรสอนออนไลน์ เช่น Power point เปน็ ตน้ 3. ประเมินทักษะควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและควำมรับผิดชอบ และทักษะกำรวิเครำะห์ เชงิ ตัวเลข กำรส่อื สำรและกำรใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จำกกำรอภปิ รำย กำร แสดงควำมคดิ เห็น กำรถำม-ตอบ กำรวิเครำะหเ์ นือ้ หำที่เรียน กำรสรุปเนอ้ื หำ กำรนำเสนอในชั้นเรียน และกำรสง่ งำนใน Google Classroom

บทท่ี 2 ประวตั ิและการเกิดขนึ้ ของพระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน 1. บทนา ในปัจจุบันพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปทั่วโลก โดยมีจานวนผู้นับถือส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย ทั้งในเอเชียกลาง เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การแตกนิกายแสดงถึงความเจริญงอก งามแพร่หลาย เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีรากแก้วท่ีม่ังคงหย่ังลึกลงในปฐพี แต่ได้แตกก่ิงก้านสาขาออกไป มาก ย่ิงกิ่งก้านสาขามากก็บ่งถึงความเจริญงอกงาม ที่สาคัญคือไม่มีการแก้ไขสารัตถะแห่งพระธรรมวินัย ดัดแปลงแก้ไขเพียงวิธีปฏิบัติ ซึ่งในบทท่ี 2 นี้ก็กล่าวถึงประเด็นเก่ียวกับประวัติและการเกิดข้ึนของ พระพุทธศาสนานิกายมหายาน เร่ิมตั้งแต่การแบ่งพระพุทธศาสนาออกเป็นยุคตา่ ง ๆ ความหมาย ประวัติ และพัฒนาการของพระพุทธศาสนามหายาน การแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ สิกขาบทของพระโพธิสัตว์ พระไตรปิฎก พุทธประวัติ และบุคคลที่มีบทบาทสาคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ซึ่งจะได้กล่าวถึง เป็นลาดับไป 2. การแบง่ ยุคของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาโดยกาลสมัยและความเส่ือมคลายของผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยต้อง แตกแยกลัทธิออกโดยลาดับ แต่การพิจารณาถึงการแตกแยกน้ั น สมควรยึดหลักตามที่นัก ประวัตศิ าสตร์ไดแ้ บง่ ยุคของพระพุทธศาสนาออกเป็นยุคตา่ ง ๆ เอาไว้ ซ่งึ มที ง้ั หมด 4 ยุค ดงั น้ี 1. พระพุทธศาสนายุคต้นหรือยุคด้ังเดิม (Primitive Buddhism) เป็นยุคเริ่มจากพระพุทธเจ้า ทรงประกาศคาสอนถึงหลังพุทธปรินิพพาน 100 ปี หรือ 530 ถึง 380 ปีก่อนคริสตราช ในส่วนท่ี เก่ียวกับคาสอนพระพุทธศาสนาดั้งเดิม มิได้มีลายลักษณ์อักษรปรากฏอยู่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงด้วย วาจา และพระสาวกอ่ืน ๆ สามารถทรงจากระทาตามอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาดั้งเดิม ปฏิเสธความมีพระเจ้าผู้สร้าง ปฏิเสธการเซ่นสรวงกราบไหว้ให้ความเคารพแก่พระเจ้า ตรงข้าม พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มนุษย์ถือธรรมจรรยาเป็นหลักปฏิบัติสาหรับตนเอง ตนจะดีได้ช่ัวได้ในภพ ไหนกต็ าม เป็นเพราะกรรมทต่ี นปฏิบัตทิ ้ังส้ิน พระพุทธเจ้าไดห้ ลักยืนยันศาสนาของพระองค์อนั น้ี จาก การตรสั รู้เหน็ สจั ธรรม 4 ประการ (จตรุ าริยสจั ) (ศ.พิเศษเสฐียร พันธรงั ษี, 2543, น. 15) 2. พระพุทธศาสนายุคหีนยาน (Hinayana Buddhism) เป็นยุคท่ีพระพุทธศาสนาพัฒนา มาเป็นนิกายนิกายตา่ ง ๆ โดยเริม่ จาก 100 ปีหลังพุทธปรนิ พิ พานถึงครสิ ตศกั ราช 100 3. ยุคพัฒนาการของพระพุทธศาสนามหายาน (Development of Mahayana Buddhism) เป็นยุคท่ีนิกายหีนยานและนิกายมหายานเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเคียงคู่กัน นับเป็นศักราชใหม่ท่ีเกิดขึ้นใน พระพทุ ธศาสนาอย่ใู นชว่ งคริสตศักราช 100 ถึง 300 ปี พระพทุ ธศาสนาถูกรวมเข้าดว้ ยกันโดยนาคารชุน 4. ยุคพระพุทธศาสนามหายานรุ่งเรือง (The Predominance Development of the Mahayana) อยใู่ นชว่ งคริสตศกั ราช 300 ถงึ 500 ปี (Suzuki Beatrice, 1981, p. 22)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 20 3. ความหมายของมหายาน มหายานมาจากธาตุศัพท์ มหา + ยาน แปลว่า พาหนะที่ใหญ่ เป็นคาเรียกท่ีอาศัย เปรียบเทียบจากคาว่า หีนยาน (หีน+ ยาน) ซ่ึงแปลว่าพาหนะท่ีเลว ๆ เล็ก ๆ ภาษาจีนอ่านว่าไต้เส็ง และเซียวเส็ง ดังนั้น มหายานจึงทาให้หมายถึงการขนสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากกว่าหีนยาน (เสถียร โพธินันทะ, 2522, น. 1-2) นาคารชุน ได้อธิบายไว้ในมหาปรัชญาปารมิตาอรรถกถาว่า “พระพุทธธรรมมีเอกรสเดียว คอื รสแห่งวิมุตติ ความรอดพ้นจากปวงทุกข์ แตล่ ะชนดิ ของรสมี 2 ชนิด คอื ชนดิ แรก เพอื่ ตัวเอง ชนิด ที่ 2 เพื่อตัวเองและสรรพสัตว์ด้วย” ซึ่งหมายถึงว่า ฝ่ายหีนยานมุ่งความหลุดพ้นเฉพาะตน มุ่งแต่ อรหันตภูมิเท่าน้ัน ไมม่ ีปณิธานในการโปรดสรรพสตั ว์ แต่ฝ่ายมหายานตรงกนั ข้าม ย่อมมุ่งพุทธภูมิกัน เพอื่ ขนสตั ว์ใหพ้ น้ ทุกขจ์ นหมดส้นิ (เสถยี ร โพธินันทะ, 2522, น. 2) คาวา่ “มหายาน” ปรากฏข้ึนครั้งแรกในคมั ภีร์มหายานศรัทโธตปาทศาสตร์ของท่านอัศวโฆษ (ราวพุทธศตวรรษที่ 6) (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, น. 183) คาว่า “มหายาน” น้ีเป็นชื่อท่ีกาหนด ขน้ึ มาเรียกวิถีหรือมรรคาที่พระโพธิสัตว์ดาเนินไปหรือวิถีชีวิตของพระโพธิสัตว์ ท่ีเรียกว่า “มหายาน” เพราะมีนัยสาคญั 6 อย่าง ดังนี้ 1. เกิดจากแรงจูงใจยิง่ ใหญ่ 2. ดาเนินไปดว้ ยอบุ ายวธิ ีย่ิงใหญ่ 3. ดาเนนิ ไปด้วยจดุ ประสงค์มุ่งปรัชญาย่งิ ใหญ่ 4. ดาเนนิ ไปดว้ ยความพยายามยง่ิ ใหญ่ 5. ดาเนินไปพรอ้ มด้วยกจิ กรรมทย่ี ิ่งใหญ่ 6. ดาเนนิ ไปเพอื่ ความสาเร็จยงิ่ ใหญ่ (Geshe Namgyal Wangchen, 1987, pp. 10-11) อีกอย่างหน่ึง ความย่ิงใหญ่ของมหายานตามทัศนะของไดเซ็ทส์ ไตเตโร ซูซูกิก็คือเพราะเห็น ได้จากภาวะ 7 อยา่ ง ดงั นี้ 1. ภาวะทค่ี รอบคลมุ ใจความกว้าง 2. ความรักสากลต่อสรรพสัตว์ 3. ภาวะยิ่งใหญใ่ นดา้ นความเข้าใจเชิงพุทธิปัญญา 4. ความมีพลงั จติ มหัศจรรย์ 5. ความยง่ิ ใหญ่ในการดาเนนิ อบุ าย 6. ความย่งิ ใหญใ่ นการบรรลุภูมธิ รรมทส่ี งู กว่า 7. ความยิ่งใหญใ่ นกิจกรรม (Daisetz Teitaro Suzuki, 1973, pp. 62-65) สรุปได้ว่า มหายาน หมายถึง พาหนะใหญ่ท่ีสามารถขนสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสารได้มาก เป็น ชื่อที่กาหนดขึ้นมาเรียกวิถีการดาเนินชีวิตของพระโพธิสัตว์อันเกิดจากแรงจูงใจอันย่ิงใหญ่ ดาเนินไป ด้วยอุบายวิธี จุดประสงค์ ความพยายาม และกิจกรรมอันยิ่งใหญ่ เพ่ือความสาเร็จที่ย่ิงใหญ่ในการ ชว่ ยเหลือสรรพสัตวใ์ ห้พ้นทกุ ข์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 21 4. ประวตั กิ ารเกดิ ข้ึนและพัฒนาการของพระพทุ ธศาสนามหายาน ประวัติการเกิดขน้ึ ของพระพุทธศาสนามหายานอาจแบง่ เปน็ หัวข้อสาคัญได้ดงั นี้ 1. เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว 100 ปีเศษ สังฆมณฑลแตกแยกออกเป็น 2 นิกายใหญ่ คือนิกายเถรวาทและนิกายมหาสังฆิกะ นิกายแรกเป็นอนุรักษ์นิยม ส่วนนิกายหลังถือมติปรับปรุง เปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยให้เหมาะกับกาลเทศะ โดยไม่เปลี่ยนหลักการใหญ่ ๆ ที่เป็นรากแก้วของ พระพุทธศาสนา เปลย่ี นแปลงแต่ข้อปลีกย่อยทางปฏบิ ตั ิ วิธกี ารและนโยบาย ฉะนัน้ นิกายมหาสังฆิกะ จึงมอี าจาริยมติ อันเป็นบอ่ เกดิ แห่งพทุ ธปรชั ญา (เริ่มฟกั ตวั เป็นนกิ ายมหายาน) 2. ต้ังแต่ พ.ศ. 100 ล่วงแล้วถึงพ.ศ. 500 สังฆมณฑลในอินเดียแตกแยกเป็นนิกายใหญ่น้อย รวม 18 นิกาย ท้งั หมดเป็นอนุนิกายที่แยกออกจากนกิ ายเถรวาทและนิกายมหาสงั ฆิกะ ต่างนิกายตา่ ง มีขอ้ วตั รปฏิบตั ิปลีกยอ่ ยไม่เหมอื นกนั มีการตีความอรรถาธิบายพระพุทธพจนแ์ ตกตา่ งกนั 3. พ.ศ. 500 ล่วงแล้ว เร่ิมกาเนิดลัทธิมหายาน มหายานมีบ่อเกิดจากกลุ่มนิกายมหาสังฆิกะ หรอื จะกล่าวว่ามหายานคือมหาสังฆิกะที่ปฏิรูปข้ึนใหม่ก็ไมผ่ ิด เราไม่อาจกาหนดตัวบุคคลลงไปแน่ชัด วา่ ทา่ นผใู้ ดเปน็ ผู้ต้ังลทั ธมิ หายาน เพราะมหายานไมไ่ ดเ้ กิดจากปัจเจกชน หากเกดิ จากคณะบุคคลซึ่งมี ทงั้ บรรพชิตและคฤหัสถ์ร่วมกันกอ่ กาเนิดขึ้น มีศูนย์กลางอยู่ 2 แห่ง คอื 1) ศูนย์ที่ 1 อยู่ ณ บริเวณทักษิณภาคของอินเดีย โดยเฉพาะแคว้นอันธระ ศูนย์นี้ให้ กาเนิดมหายานประเภทปัญญาธิก คัมภีร์มหาปรัชญาปารมิตาสตู ร ซึ่งเป็นปทฏั ฐานของนิกายมาธยมิก ก็อบุ ัติข้นึ ณ อินเดียภาคใตน้ ี้ 2) ศูนย์ท่ี 2 อยู่ ณ บริเวณอุตตรภาคของอินเดีย มีแคว้นคันธาระและกาษมีระให้กาเนิด มหายานประเภทสทั ธาธกิ ะ มีประเพณีบชู าขอพง่ึ บารมพี ระโพธสิ ตั ว์ 4. พ.ศ. 600-700 ล่วงแล้ว เป็นสมัยที่มีคณาจารย์องค์สาคัญของมหายานที่เป็นปัจเจกชน อบุ ัติขึ้น พระนาคารชุนผู้เป็นต้นนิกายมาธยมิกเป็นองค์สาคัญที่สุดและเป็นคณาจารย์มหายานรปู แรก ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ในฐานเอกชน ท่านได้รวมมหายานแบบปัญญาธิกแบบสัทธาธิกเข้าไว้ แล้ว ตงั้ นกิ ายมาธยมกิ ขน้ึ เปน็ นกิ ายแรกของมหายาน 5. พ.ศ. 800-1,000 เป็นสมัยที่มหายานรุ่งเรือง คณาจารย์ไมเตรยนาถและศิษย์ได้ต้ังลัทธิโย คาจารย/์ วชิ ญาณวาทข้ึนเป็นปฏิปกั ษก์ ับนิกายมาธยมิก นับวา่ เป็นมหายานนกิ ายท่ี 2 6. พ.ศ. 1,000-1,700 เกิดมนตรยานหรือวัชรยานหรือรหัสยานข้ึนเป็นมหายานนิกายที่ 3 ปรัชญาของนกิ ายน้ี ความจริงมีมาก่อนหน้าแลว้ แต่มาปรากฏเปน็ สถาบันเอกเทศในยุคดงั กลา่ วน้ี เป็น ปรัชญาสอนในแนวว่า สงิ่ สมบรู ณอ์ นั จรงิ แทท้ ี่เปน็ แก่นสารของจกั รภพคือจติ อมตะ พระพุทธศาสนามหายานจึงมีปรัชญา 3 สาขาใหญ่ ดงั น้ี 1. ปรชั ญามาธยมิก 2. ปรัชญาโยคาจารย/์ วชิ ญาณวาท 3. ปรชั ญาจติ อมตวาท (เสถียร โพธินนั ทะ, 2511, น. 426-429) สรุปได้ว่า พระพุทธศาสนามหายานเร่ิมเกิดขึ้นเม่ือประมาณ 100 ปี หลังพุทธปรินิพพาน มี คณะสงฆ์แยกตัวออกเป็นนิกายมหาสังฆิกะถือมติปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยให้เหมาะกับ กาลเทศะ เร่ิมฟักตัวเป็นนิกายมหายาน มีพัฒนาการและเจริญรุ่งเรืองมาเรื่อย และแตกนิกายย่อย

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 22 ออกเป็นนิกายมาธยมิก เน้นเร่ืองสุญญตาหรือมัชฌิมาปฏิปทา นิกายโยคาจารเน้นเร่ืองวิชญาณวาท และนกิ ายมนตรยานหรอื วชั รยาน เน้นเรอื่ งจติ อมตวาท 5. การแบง่ ออกเปน็ นิกายใหญ่ ๆ ในปัจจุบนั พระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็นนิกายใหญ่ ๆ ได้ 2 นกิ าย ดังนี้ 5.1 นิกายเถรวาทหรอื ทกั ษิณนกิ าย นิกายน้ีเผยแผ่อยู่ในประเทศแถบสุวรรณภูมิเกือบทั้งหมด ได้แก่ ประเทศไทย พม่า ลาว เขมร ฯลฯ รวมท้ังประเทศศรีลังกาด้วย ตามหลักของนิกายมุ่งสอนให้ยึดถือหลักทฤษฎีอรหัตตมรรค เพื่อเป็นการมุ่งสู่ (ปฏิบัติตนเพ่ือบรรลุ) พระอรหันต์ หรือจุดหมายปลายทางคือนิพพาน อีกอย่างหน่ึง (พระอาจารย์จีนธรรมคณาธิการ (เย็นเจี่ยว) แปลและเรียบเรียง, 2513, น. 62) มีช่ือซง่ึ ฝ่ายมหายานตั้ง ให้ว่า “หีนยาน” แปลว่ายานเล็กหรือยานเลว เพราะนาสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสารไม่ได้มากเหมือนมหายาน แต่นามนี้เป็นที่รู้กันว่าต้ังข้ึนในสมัยที่มีการแข่งขันระหว่างนิกาย จึงมีการยกฝ่ายหนึ่ง กดฝ่ายหน่ึง ใน พ.ศ. 2493 เมื่อมีการประชุมองค์การพุทธศาสนกิ สมั พันธ์แห่งโลกครั้งท่ี 1 ในประเทศศรีลังกา ซ่ึงผู้แทน ประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนาทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันเพื่อให้พระพุทธศาสนามีกาลังเข้มแข็งขึ้น ท่ี ประชุมจึงลงมติให้เลิกใช้คาว่าหีนยาน แต่ให้ใช้คาว่าเถรวาทแทนตั้งแต่นั้นมา (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2530, น. 308) 5.2 นกิ ายมหายานหรืออุตตรนิกาย นิกายน้ีเผยแผ่ในประเทศต่าง ๆ คือประเทศจีน ญ่ีปุ่น เนปาล เวียดนามใต้ เกาหลีใต้ รวมทั้งบางส่วนของพลเมืองในแหลมสุวรรณภูมิ เนื่องจากหลักของนิกายมหายานเป็นหลักปฏิบัติให้ จติ ใจของตนมีโพธจิ ิต เพื่อกระทาตนให้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นการสะสมบารมมี ุ่งสู่พุทธภูมิ ดังน้ัน การ ทาตัวให้เป็นพระโพธิสัตว์จึงจาเป็นต้องปฏิบัติตามหลักทฤษฎีโพธิสัตว์มรรค โดยกาหนดหลักการ ปฏิบัติต่าง ๆ เช่นเดียวกบั สมัยพระพุทธองค์ยังไม่ตรัสรู้และดารงพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ในชาติต่าง ๆ ซึ่งแสดงถึงความเมตตากรุณาท่ีพระพุทธองค์ประกอบในแต่ละชาติ หลกั โพธิสัตว์จงึ เป็นหลักท่ีสอน ให้ผู้ปฏิบัติอยู่ในความบริสุทธิ์ ประกอบแต่ผลบุญ เจริญศีลภาวนา ทาประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ช่วยชีวิตคนและสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ เป็นการสะสมบารมีทุก ๆ ชาติ โดยมุ่งหวังพุทธภูมิดังกล่าว หลักมหายานได้เน้นหนักในการเสียสละตัวเองเพ่ือดารงไว้ซึ่งประโยชน์สุขส่วนรวมเป็นสิ่งสาคัญ (พระอาจารยจ์ ีนธรรมคณาธิการ (เยน็ เจี่ยว), 2513, น. 62-63) บา้ งเรยี กว่า “อาจริยวาท” แปลวา่ “วาทะของอาจารย์” เป็นคาคกู่ บั เถรวาท คอื เถรวาท หมายถึงวาทะของพระเถระรุ่นแรกที่ทันเห็นพระพุทธเจ้า ส่วนอาจริยวาทหมายถึงวาทะของอาจารย์ รุ่นต่อ ๆ มา (พระอาจารย์จีนธรรมคณาธิการ (เย็นเจี่ยว), 2513, น. 309) ผู้เขียนมีทัศนะว่า ชื่อซึ่ง ฝ่ายเถรวาทเรียกมหายานว่า “อาจริยวาท” นั้นก็ควรให้เลิกเช่นกันเพราะมีลักษณะคล้ายกับกดอีก ฝา่ ยหนึ่ง นักปราชญ์เปรียบวา่ พระพุทธศาสนาคือตัวนกมศี รทั ธาข้างเถรวาทเป็นปกี หน่ึง มีศรัทธา ข้างมหายานเป็นอีกปีกหน่ึง ปีกทง้ั 2 สามารถช่วยพยุงตัวนกให้โผผกไปสรู่ วงรังของตนไดฉ้ ันใด นกิ าย ท้ัง 2 น้ัน คือปีกช่วยเสริมเพิ่มกาลังให้พระพุทธศาสนาแผ่ไพศาลไปถึงจุดหมายได้เช่นเดียวกัน ฉันนั้น (ศ.พิเศษเสฐียร พนั ธรงั ษ,ี 2543, น. คานา)

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 23 6. การแบง่ แยกเป็นนกิ ายต่าง ๆ ของพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนาได้เกิดการแบ่งแยกเป็นนิกายต่าง ๆ ถึง 18 นิกายภายในพุทธศตวรรษที่ 2 ส่วนมากเป็นนิกายเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก นิกายที่ได้รับความนับถือและทรงอิทธิพลท่ีสุดใน ระยะ 5 ศตวรรษแรก ได้แก่ นิกายเถรวาท ซงึ่ ยึดถือปฏิบัติตามมติปฐมสงั คายนาเป็นหลักสาคญั และ นิกายนี้เองยงั ไดแ้ ตกแยกเป็นนกิ ายเล็ก ๆ อีกถึง 12 นิกาย ดังน้นั การศึกษาหลักธรรมทีส่ าคัญที่สุดจึง สามารถค้นหาได้จากเภทธรรมมติจักรศาสตร์ในฝ่ายสันสกฤตและกถาวัตถุของฝ่ายบาลี สว่ นนกิ ายต่าง ๆ ท่ีแตกแยกออกจากนิกายเถรวาทไม่สามารถหาหลักฐานได้สมบูรณ์เพียงพอ ท่ีพอค้นหาหลักธรรมได้ ละเอียดพอสมควร (พระอาจารยจ์ ีนธรรมคณาธกิ าร (เยน็ เจย่ี ว), 2513, น. 54-55) นบั ตง้ั แตพ่ ุทธศตวรรษท่ี 2 เป็นตน้ มาจนถึงรชั สมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชเกดิ มีนิกายต่าง ๆ อันออกมาจาก 2 นิกายคือนิกายเถรวาทและนิกายมหาสังฆิกะนี้ ซ่ึงท้ัง 2 นิกายน้ีเป็นนิกายสาวกยาน ในปกรณบ์ าลคี อื คัมภีร์ทีปวงั สะว่ามีถึง 18 นกิ าย แตต่ ามปกรณ์สนั สกฤตคือระบุไว้ 20 นกิ าย พระพุทธศาสนาด้ังเดมิ เถรวาท/สถวรี วาท มหาสงั ฆิกวาท มหิสาสกวาท วชั ชีปุตตกวาท โคกลุ ิกวาท เอกพั โยหาริกวาท เจติยวาท สพั พตั ถกิ วาท ธรรมคุตตวาท พหสุ สตุ กิ วาท ปญั ญตั ิกวาท กสั สปิกวาท ธรรมมตุ ตริกวาท ภทั รยานิกวาท ฉันนาคารกิ วาท สมติ ิวาท สงั กนั ตวิ าท สตุ ตวาท แผนภาพท่ี 1 แสดงการแตกนิกายในพุทธศตวรรษที่ 2 รวม 18 นกิ ายตามปกรณ์บาลี (คมั ภีรท์ ีปวงั สะ) (เสถียร โพธินนั ทะ, 2519, น. 142)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 24 พระพุทธศาสนาด้งั เดมิ เถรวาท/สถวีรวาท มหาสังฆิกวาท เอกวยหารกิ วาท โลโกตตรวาท โคกุลกิ วาท พหุศรตุ ยิ วาท ปัญญตั ิกวาท ไจติกวาท อปรเสลยิ วาท อุตตรเสลยิ วาท เหมวนั ตวาท สรวาสติวาท มหิศาสกวาท กาศยปิยวาท เสาตรนั ตวิ าท วาตสปิ ุตรยิ วาท/วัชชบี ตุ รวาท ธรรมคุปตวาท ศันนาคารกิ วาท สามมมตี ยิ วาท ภัทรยานิยวาท ธรรมโมตตรยิ วาท แผนภาพท่ี 2 แสดงการแตกนิกายตงั้ แต่พทุ ธศตวรรษท่ี 2 เป็นตน้ ไป รวม 21 นกิ ายตามปกรณ์ สันสกฤต (เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, 2519, น. 142) นักปราชญท์ างพระพทุ ธศาสนาได้ให้ทศั นะเกย่ี วกบั การแบ่งแยกเป็นนิกายตา่ ง ๆ ไวด้ ังนี้ พระคณาจารยจ์ ีนธรรมสมาธิวัตร ฯ (โพธิแ์ จ้ง) ได้กล่าวถึงสาเหตุการแบ่งแยกนิกายไว้ดังนี้ “สาเหตุท่ีสาคัญท่ีสุดที่เกิดการแบ่งแยกนิกาย เน่ืองมาจากพระบรมพุทธานุญาตก่อนปรินิพพานว่า “ดูก่อนอานนท์ สงฆ์เม่ือต้องการก็พึงถอนสิกขาบทเสียเล็กน้อย โดยการที่เราล่วงไปแล้ว ” พทุ ธานุญาตนี้เองที่มีพระสาวกบางองค์ถอื ปฏบิ ัติตาม โดยให้ถอนสิกขาบทบางขอ้ ท่ีเป็นขอ้ เล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นเสีย แต่ก็มีพระสาวกบางองค์ยังคงปฏิบัติตามข้อบัญญัติเดิมทุกประการโดยไม่มีการตัดทอนสิกขาบท แต่อย่างใด การแตกแยกในข้อปฏิบัตินี้ได้เริ่มมาต้ังแต่คร้ังพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ไม่นาน จนกระท่ัง เกิดการสังคายนาเพ่ือดารงไวซ้ ึ่งคาสั่งสอนของพระพุทธองค์ตลอดกาลนาน เพราะต่อ ๆ มา การแบ่งแยก นิกายส่วนใหญ่เนื่องมาจากการตีความหมายพระธรรมบางหมวดแตกต่างกัน ซึ่งก็คือมีความคิดเห็นไม่ลง รอยกนั หากได้พิจารณาถึงการที่พระพุทธองค์ทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้ ภิกษุพึงถอนสิกขาบท เล็กน้อยได้น้ัน เป็นพระดารัสท่ีแสดงถึงความรู้แจ้งเห็นจริง เพราะพระพุทธศาสนาหลังพระพุทธเจ้า

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 25 ปรินิพพานแล้ว มิได้แพร่หลายเฉพาะในประเทศอินเดียเท่าน้ัน แต่พระพุทธศาสนายังแผ่ขยายเข้าไป ในประเทศต่าง ๆ เกือบท่ัวภาคพ้ืนเอเชียโดยเฉพาะประเทศไทย จีน ญ่ีปุ่น ศรีลังกา พม่า ลาว เขมร เวียดนาม ฯลฯ ในแต่ละประเทศ มีบรรยากาศและขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกัน ดังนั้น การที่ พระพุทธศาสนาจะสามารถตั้งหลักแหล่งได้ จึงจาต้องดัดแปลงหลักการปฏิบัติตามกาละและเทศะ” (พระอาจารย์จีนธรรมคณาธกิ าร (เย็นเจย่ี ว) แปลและเรียบเรียง, 2513, น. 39-40) เสถียร โพธินันทะ ได้ให้ทัศนะไว้ว่า “พระพุทธศาสนาได้แบ่งออกเป็น 2 ลัทธิใหญ่ ๆ คือ ลัทธิเถรวาทและลัทธิมหายาน ในลัทธิทั้ง 2 น้ัน ยังจาแนกเป็นนิกายปลีกย่อยอีกมาก ท้ังนี้ เพราะ อาศัยทัศนะของบุคคล ขนบธรรมเนียม ภูมิประเทศท่ีแตกต่างกันเป็นมูลฐาน แต่ทุกนิกายย่อมมีพระ ธรรมวินัยเป็นที่เคารพนับถือร่วมกนั มีพระบรมศาสดาพระองค์เดียวกัน” (มูลนธิ ิสังฆประชานุเคราะห์ และสมาคมอนื่ ๆ, 2531, น. 340) นลินักษะ ทัตตะ (Nalinaksha Dutta) ได้เสนอไว้ว่า พระพุทธศาสนาได้แบ่งแยกแตกเป็น นกิ ายตา่ ง ๆ สบื เนือ่ งมาด้วยเหตผุ ล ดงั นี้ 1. พระพทุ ธศาสนาไม่มีพระมหาเถระเป็นประมุขสืบต่อจากพระศาสดา ปกครองสกลสังฆ มณฑลโดยเฉพาะ เหตุท่ีไม่มีประมุข เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตั้งพระเถระรูปใดสืบต่อ ด้วยได้ประทาน พระธรรมวินัยไว้แทนพระองคแ์ ล้วว่า “พระธรรมวินยั ทีเ่ ราแสดงแล้ว บญั ญตั ิแลว้ จักเปน็ ศาสดาของ ท่านท้ังหลาย” ในโคปกโมคคลั ลานสตู ร วัสสการพราหมณ์ อามาตย์แห่งแควน้ มคธทลู ถามพระอานนท์ ว่า พระพุทธองค์ได้ทรงกาหนดพระภิกษุรูปใดบ้างหรือไม่ เพื่อเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์นิกรแทนพระศาสดา เมื่อเสด็จปรินิพพาน พระอานนท์ตอบว่าไม่มี วัสสการพราหมณ์ถามว่า ถ้าเช่นน้ัน สังฆมณฑลเลือก พระภิกษุรูปใดเป็นประมุขสืบไป พระอานนท์ตอบปฏิเสธ วัสสการพราหมณ์แสดงความประหลาดใจว่า เม่ือพระศาสนาขาดสรณะแล้ว สังฆมณฑลจะดารงได้อย่างไร พระอานนท์ตอบว่า พระภิกษุสงฆ์ไม่ ปราศจากท่ีพึ่ง (อปฺปฏิสรณา) พระธรรมวินัยน่ันแหละเป็นที่พึ่งแห่งพระภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ได้ ประทานปาฏิโมกข์ไว้แก่พระภิกษุสงฆ์ในคามเขต เพื่อชุมนุมกันสังวัธยายในวันอุโบสถ ถ้ามีข้อแตกต่าง หรือสงสัยอย่างไรในเม่ือสังวัธยาย ให้ภิกษุผู้ฉลาดอธิบายข้อสงสัยนั้น ๆ ตามพระบัญญัติ เหตุน้ี พระธรรมจงึ เปน็ สรณะ พระอานนท์ตอบคาถามของวัสสการพราหมณ์อีกข้อหนึ่งว่า แม้สังฆมณฑลไม่มีประมุขใน พระศาสนาแทนพระองค์กด็ ี แต่ทุกคามเขตย่อมมภี ิกษุสงฆ์ทรงคุณธรรม เป็นท่ีเล่ือมใสของประชาชน เป็นสงั ฆบดิ ร ในคามเขตนั้น เพือ่ ยงั พระศาสนาในหมู่ให้ดาเนินไปด้วยดี ตามความในพระสตู รน้ี เหน็ ไดช้ ดั ว่า ในคามเขตหนึ่งมพี ระเถระเป็นสงั ฆบิดรสงั ฆปรณิ ายก คมุ้ ครอง พระภิกษุสงฆ์อยู่ในความคุ้มครองของนายกองค์ใดองค์หน่ึงย่อมประชุมกนั ในวันอโุ บสถ เพ่ือ ไต่ถามและอธิบายพระธรรมวินัยท่ีสงสัยใหเ้ ข้าใจชัดแท้จริง กาลต่อมา เม่ือต่างคามเขตมีข้ออธิบายใน ท่ีประชุมต่างหากจากคามเขตอ่ืนเป็นไปต่าง ๆ ตามอัตโนมัติ ก็เกิดมีข้อพอกพูนขึ้นในพระธรรมวินัย แล้วศิษยานุศิษย์ก็ยกว่าเป็นพระพุทธวจนะอันแท้จรงิ อย่างนี้ย่อมเป็นอยู่ทุกคามเขตท่ัวไปในประเทศ อินเดียฝ่ายเหนือ จนไม่มีพระเถระรูปใดสามารถจะทาความเห็นอันแตกต่างน้ัน ๆให้กลับเข้าร่วมเป็น มติเดียวกนั ได้

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 26 2. จัดสาวกเป็นหมวดหมู่ มีพระเถระซึง่ ทรงคุณธรรมดีทส่ี ดุ เปน็ นายก พระศาสดาทรงยกย่องพระอริยสาวกบางองค์ว่า ทรงความรู้ เป็นเอตทัคคะยอดเย่ียมใน พระธรรมวินยั เชน่ 1) พระสารีบตุ ร ยอดเยี่ยมในปัญญา 2) พระโมคคัลลานะ ยอดเย่ียมในฤทธ์ิ 3) พระอนุรทุ ธะ ยอดเย่ยี มในจกั ษุทพิ ย์ 4) พระมหากสั สป ยอดเย่ยี มในธดุ งค์ 5) พระปุณณ มนั ตานบี ตุ ร ยอดเยยี่ มในการแสดงพระธรรมเทศนา 6) พระมหากัจจายนะ ยอดเย่ียมในการแสดงอรรถาธิบาย 7) พระราหุล ยอดเยีย่ มในการศกึ ษา 8) พระเรวัต ขทิรวนีย ยอดเยยี่ มในการอยปู่ า่ เปน็ วตั ร 9) พระอานนท์ ยอดเย่ียมในการทีจ่ ะได้สดับมาก 10) พระอบุ าลี ยอดเย่ยี มในพระวินัย พระศาสดาย่อมทรงสังเกตอุปนิสัยปัญญาของบุคคล ซ่ึงพระองค์แสดงพระธรรมเทศนา และทรงเลือกเรื่องแสดงตามที่เหมาะแก่ผู้น้ัน ส่วนพระสาวก พระองค์ก็ทรงดาเนินวิธีแสดง เพ่ือให้ บรรลุพระอรหัตผลโดยนัยเดียวกัน พระองค์ทรงชี้โดยปริยายแก่บริษัทให้เห็นว่าอาจารย์ผู้ทรงส่ังสอน เหมาะแก่อุปนิสัยของพวกนั้น ๆ คือพระสาวกองค์น้ัน ๆ โดยนัยวิธีน้ีเป็นเหตุให้รวมศิษย์เป็นหมวดหมู่ มอี าจารย์สงั่ สอนโดยตรง เพราะพระศาสดาไดต้ รสั ว่า “บรรดาสัตว์ย่อมเทียบกันได้เสมอโดยธาตุ” คอื ท่ี คล้ายกันย่อมนาส่ิงท่ีคล้ายกันเข้ามาหากัน ในมัชฌิมนิกาย ปรากฏว่า พระมหาสาวก 10 องค์ คือ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหาโกฏฐิตะ เป็นต้น มีศิษย์โดยตรงองค์ละตั้งแต่ 10 ถึง 40 ก็มี พระพุทธเจ้าทรงแสดงในครั้งหน่ึงให้เห็นว่าพระภิกษุหมู่น้ัน ๆ ย่อมมีคุณลักษณะพิเศษเหมือนอย่าง พระเถระผอู้ าจารย์ เชน่ พระภิกษุทเ่ี ป็นศิษยข์ องพระสารีบุตรกเ็ ปน็ ผู้มีปญั ญามาก ศษิ ยข์ องพระโมคคลั ลานะ ก็เป็นผู้มีฤทธิ์มาก ศิษย์ของพระมหากัสสปะก็เป็นผู้นิยมในธุดงค์ ศิษย์ของพระเทวทัตก็เป็นปาปิจฉา คือ ปรารถนาลามก เปน็ ต้น หลวงจีนเห้ียนจัง (พระถังซัมจ๋ัง) ไปสืบพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย เมื่อพุทธศักราช ล่วงแล้วราว 1,000 ปี กลา่ วไว้ว่าในอภิลักขิตสมัย พระภิกษุฝ่ายอภิธรรมบูชาพระสารีบุตร พระภิกษุฝ่าย วินัยบูชาพระอุบาลี ฝ่ายสามเณรบูชาพระราหุล พระภิกษุฝ่ายพระสูตรบูชาพระปุณณมันตานีบุตร พระภิกษุฝ่ายสมาธิบูชาพระโมคคัลลานะ พวกพระภิกษุณีบูชาพระอานนท์ พระภิกษุฝ่ายมหายาน บูชา พระมัญชุศรีและพระโพธิสัตว์อื่น ๆ จะเห็นได้ว่าพระภิกษุทั้งหลายย่อมบูชาอาจารย์ที่นับถือแบ่งแยกกัน เป็นหมู่คณะ ส่วนหลักธรรมย่อมร่วมกันไม่ผิดแผกไปในชั้นต้น กาลต่อมาเมื่อพระภิกษุสงฆ์เหินห่างกัน จึงเกิดแยกเป็นนิกายขึ้น เพราะต่างฝ่ายถือความเห็นของอาจารย์เป็นที่ตั้งย่ิงสืบต่อกันมาก ก็ยิ่งเพี้ยน ออกไปทกุ ทีในท่สี ดุ มีความเห็นในหลักธรรมผิดไกลกันจนเข้ารวมกันอีกไม่ได้ 3. แบง่ พระภกิ ษุสงฆอ์ อกเปน็ หมวดหมู่ เพอื่ รักษาพระธรรมวนิ ยั เฉพาะบางตอนไว้ ในพระคมั ภรี ์และหนังสือต่าง ๆ ของพระพุทธศาสนา จะพบคาบางคาบอ่ ย ๆ เชน่ 1) สุตตนั ตกิ คือผู้ทรงจาสุตตันต (คอื หมวดพระสตุ ตันตปิฎก) 2) วินยั ธร ผทู้ รงจาพระวนิ ยั ปฎิ ก

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 27 3) มาติกาธร ผทู้ รงจามาติกา คอื พระอภธิ รรม 4) ธรรมกถกึ ผู้ทรงจาธรรมกถาหรือผู้แสดงพระธรรม 5) ทีฆภาณก มัชฌิมภาณก ฯลฯ ผู้แถลงทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย ฯลฯ (คือนิกายท้ัง 5 ใน หมวดพระสตุ ตันตปิฎก) ความมุ่งหมายท่ีแสดงตาแหน่งพระภิกษุสงฆ์เป็นพวก ๆ ตามองค์สัตถุสาสน์ท่ีตนแม่นยา อยา่ งข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าสมัยโน้น วิชาหนงั สือไมเ่ จรญิ พอทจ่ี ะจดไว้เป็นหลกั ฐาน จึงต้อง ใช้วิธีท่องบ่นให้เจนใจจนจาได้ และสืบต่อจากพระอาจารย์มาศิษย์ในทางมุขปาฐะ วิธีน้ีมีมาก่อน พุทธกาลแล้ว เชน่ พวกพราหมณ์ในนิกายต่าง ๆ จะต้องท่องบ่นคัมภีรพ์ ระเวทซึ่งเป็นคมู่ ือในนกิ ายของ ตนจนขึ้นใจ นอกจากนี้ ยังต้องได้รับความรู้เป็นคาอธิบายจากอาจารย์เป็นส่วนพิเศษอีกชั้นหนึ่ง วิธี ของภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็มีลักษณะคลา้ ยคลึงกันกับของพราหมณ์ คอื จัดให้พระภิกษุสงฆ์บาง คณะท่องบ่นพระปิฎกบางหมวดให้เจนใจ จนมีความชานาญเป็นเอตทัคคะในหมวดนั้น และมีชื่อ เฉพาะตามหนา้ ที่โดยเอกเทศ ตามที่กล่าวมานี้ ไม่ได้หมายความว่า พระภิกษุสงฆ์เหล่าน้ันจะทรงความรู้เฉพาะหมวด ท่ี ทรงความร้ใู นพระธรรมวินยั แตกฉานหลายแผนกกม็ ี จนได้ชอ่ื วา่ เป็นผู้เรียนจบบา้ ง (อาคตาคม) เป็นผู้ ได้สดับมามากบ้าง (พหุสฺสุต) เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกบ้าง (ติเปฏกี) และเป็นผู้ทรงนิกายท้ัง 5 บ้าง (ปัญจเนกายิก) ฯลฯ แม้จะมีพระเถระทรงความรู้กว้างขวางอย่างนี้ก็จริง แต่ต้องมีพระเถระรับหน้าที่พิเศษ สาหรับทรงจาคัมภรี ์บางด้านไวโ้ ดยเฉพาะให้แม่นยา ดงั จะเหน็ ได้จากขอ้ ความในตานานปฐมสังคายนา วา่ ทป่ี ระชุมพระเถระทั้งหลายได้อญั เชญิ พระอานนท์เป็นผู้แสดงพระสูตร และพระอบุ าลีแผนกวินัย นี่ ต้องหมายความว่าพระอานนท์ทรงความรู้เป็นเอตทัคคะ ในแผนกพระสูตร พระอุบาลีแผนกวินัย มิฉะนน้ั พระสงฆ์กค็ งไมเ่ ชญิ ใหเ้ ปน็ ผ้แู สดง การแบ่งปันหน้าที่สาหรับเป็นผู้รักษาพระธรรมวินัย ย่อมจะมีอยู่แล้วในครั้งพระพุทธเจ้ายัง ไม่ได้เสด็จปรินิพพาน ดังเร่ืองพระภิกษุฝ่ายธรรมกถึกกับฝ่ายวินัยธรเกิดแตกร้าวกัน พระภิกษุซึ่งมีหน้าที่ ร่วมอยู่ฝ่ายใด ย่อมมีความกลมเกลียวกันในฝ่ายน้ัน ถ้าภิกษุในฝ่ายเดียวกันมีข้อโต้เถียงกับอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ย่อมจะเข้าช่วยผู้ที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน บังเกิดความรู้สึกว่านั่นฝ่ายเรานั่นฝ่ายเขา แม้แต่ก่อนหน้าซ่ึงจะเกิด แยกกันเป็นฝา่ ยเป็นพวก ก็ปรากฏวา่ ไดแ้ บ่งแยกกันอยู่แล้ว ในพระวนิ ัยกล่าวถึงพระทัพพมัลลบุตรจัดสร้าง กุฏิที่อาศัยแห่งสงฆ์ ว่าได้จัดให้พระภิกษุที่มีวิธีทางปฏิบัติอย่างเดียวกัน (สภา) อยู่ในท่ีแห่งเดียวกัน ท้ังนี้ เพื่อให้พระภิกษุซึ่งทรงความรู้ในพระสุตตันตปิฎกจะได้ท่องบ่นพระสูตรด้วยกันได้ พระภิกษุผู้ทรงความรู้ ในพระวินัย จะได้แสดงข้อไขในสิกขาบทต่อกัน และฝ่ายพระภิกษุซึ่งทรงความรู้ ในการแสดงธรรม ก็ได้ ปรึกษาหารือกันในข้อลัทธิธรรม ดังนี้เป็นต้น เม่ือพระภิกษุสงฆ์แบ่งออกเป็นหมวด ๆ ไปฉะนี้ พระภิกษุ ผู้อยู่ในหมวดใด ก็มีความปรารถนาให้พระภิกษุในหมวดน้ันได้ขึ้นหน้าหมวดอ่ืน ในเวลาเข้าฉันอาหาร ในที่ประชมุ หรือการแสดงอนุโมทนาเม่ือฉันอาหารแล้ว บรรดาพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งแบ่งเป็นคณะมีหน้าท่ีโดยเฉพาะก็เพ่ือประโยชน์อันจาเป็นแห่ง สงั ฆมณฑล กล่าวคือต่างมีหนา้ ที่รกั ษาพระไตรปิฎกหมวดใดหมวดหน่ึงโดยอาศัยสังวธั ยายไว้ให้เจนใจ ต่อมาการท่องบ่นเกิดเป็นข้อวัตรปฏิบัติอันถือว่าเป็นพิเศษโดยเฉพาะ หนักเข้าก็กลายเป็นนิกายหนึ่ง

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 28 ขึ้นในพระศาสนา เช่น นิกายเถรวาท (วินัยธร) สืบเนื่องมาจากสงฆ์ผู้ทรงวินัย นิกายเสาตรานติก (สตุ ตนั ตกิ ) สืบเนอ่ื งมาจากคณะสงฆ์ผูท้ รงพระสุตตนั ตปฎิ ก ดังน้เี ป็นต้น 4. มีการลดหย่อนผอ่ นผันในสิกขาบทวนิ ัย ประมวลพระวินัยที่เป็นเน้ือหา ซ่ึงพระภิกษุสงฆ์จะต้องปฏิบัติสังวร เรียกว่า ปาติโมกข์ ปาติโมกข์นี้พระภิกษุจะต้องสังวัธยาย ณ ที่ประชุมสงฆ์ทุกก่ึงเดือน พระภิกษุซ่ึงอาศัยอยู่ในป่า (อารัญญก) ก็มิได้ยกเว้นจะต้องสังวัธยายเหมือนกัน ดังมีกล่าวไว้ในมัชฌิมนิกายว่า พวก (สาวกที่อยู่ป่า เป็นวัตร) ย่อมสวดปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ทุกก่ึงเดือน ปาติโมกข์ดังรูปท่ีเป็นอยู่ในเวลาน้ี ได้มีการ เพ่ิมเติมและแก้ไขตามเหตุการณ์และความจาเป็นเป็นคราว ๆ ในอนุบัญญัติ เช่น พระพุทธเจ้าทรงงด สิกขาบทบางข้อแก่พระภิกษุซึ่งอยู่ในถ่ินประเทศ ซึ่งมีลักษณะอันไม่สะดวกแก่ท่ีจะปฏิบัติอย่างพระภิกษุ ที่อยู่ในปัจจันติมบทถ่ินประเทศชายแดน อย่างแคว้นนอวันตีเป็นต้นซ่ึงอยู่ในระยะย่านกันดาร มีผู้ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาน้อย พระกจั จายนเถระและพระปุณณมันตานีบุตรได้กราบทูลขอพระพุทธเจ้า ให้ทรงลดหย่อนและงดเว้นสิกขาบทบางข้อ เช่น อัตราพระสงฆ์ชุมนุมอุปสมบทกุลบุตร การยอมให้ใช้ รองเท้าหนัง ฯลฯ ซึ่งพระสงฆ์ที่อยู่ในมัชฌิมประเทศต้องห้ามใช้ไม่ได้ พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะทรง ช่วยประชากร ให้พ้นจากการร้อยรัดแห่งทุกข์ในสังสาระ โดยทรงกาหนดข้อปฏิบัติทางจิตว่า เป็นข้อ สาคัญยิ่งที่พระภิกษุจะพึงเอาใจใส่ ส่วนข้อบังคับทางกายและวาจาพระองค์ทรงผ่อนผันแล้ว แต่ลักษณะ แห่งกาลเทศะที่จะพึงสามารถปฏิบัติได้ไม่เข้มงวดกวดขันเสมอไป เหมือนอย่างในลัทธิชินะและลัทธิ อาชีวก เป็นต้น ในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าประทานอนุญาตแก่สังฆมณฑลให้ยกเว้น อนุสกิ ขาบทไดใ้ นคราวจาเปน็ เพราะฉะน้นั พระวินยั จงึ อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลสมัย 5. การบาเพญ็ ตบะและกระทากิจพธิ ใี นลทั ธิ พระพุทธเจ้าได้สาเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ด้วยดาเนินพระองค์ในมัชฌิมาปฏิปทา คือ บาเพ็ญพระองค์เป็นสายกลางไม่ตึงเครียดไปหนักหรือหละหลวมไปนัก ไม่เหมือนอย่างดาบสซึ่งบาเพ็ญ ตบะทรมานกายทรหด เพ่ือหวังความหลุดพ้นทุกข์ด้วยร่างกาย เม่ือพระองค์เสด็จอภิเนษกรมณ์ได้ไป ทรงสาเหนียกลัทธิอยู่กับ 2 ดาบสและบาเพ็ญตบะทรมานพระกายที่เรียกว่าทุกกรกิริยาอยู่หลายปี ภายหลังทรงเห็นแจ้งว่าการทรมานกายไม่เป็นหนทางหลุดพ้นจากทุกข์อย่างที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย การบาเพ็ญตบะจึงไม่เป็นสิ่งสาคัญในลัทธิซึ่งพระพุทธเจ้าจะทรงสั่งสอนและแนะนาให้พระสาวกพึง ปฏิบัติ แม้การเป็นเช่นน้ีก็จริง แต่ปรากฏในคัมภีร์มัชฌิมนิกายและอังคุตตรนิกายว่าพระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญนักพรต ซงึ่ ถอื การปฏิบัติธุดงค์อันมกี ารทรมานกาย ความท่ีแย้งกันนี้ ถ้าจะสันนิษฐานกไ็ ด้ 2 สถาน คืออาจจะเป็นเพราะพระสาวกท่ีสมัครในการปฏิบัติอย่างนี้ เพิ่มเติมข้ึนภายหลัง หรือมิฉะน้ัน จะเป็นเพราะพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าประชาชนยังนิยมในการบาเพ็ญตบะหนักอยู่จึงทรงอนุโลม แต่อย่างไรก็ดี เป็นอันกล่าวได้ว่า การบาเพ็ญตบะทรมานกายได้มีมาแต่คร้ังก่อนพุทธกาลแล้ว และที่ พระภกิ ษุสงฆบ์ างหมถู่ ือข้อปฏบิ ตั เิ ช่นน้ี ยอ่ มเป็นเหตุให้แยกออกเป็นนิกายด้วยอีกประการหนง่ึ 6. การกระทากจิ เปน็ พธิ ตี ่าง ๆ พระพุทธเจ้าทรงหลีกการเป็นพิธีและมิได้กาหนดลงไปอย่างไร แต่ก็มีปรากฏแย้งอยู่ในปิฎก บางตอน เช่น ในมหาปรินิพพานสูตรว่าจะต้องทาพิธีอย่างนั้น ๆ ท้ังนี้มีนัยอธิบายได้อย่างเดียวกับเร่ือง บาเพ็ญตบะ เพราะการทาพิธีย่อมมีบริบูรณ์อยู่ในลัทธิพราหมณ์และเป็นอันเช่ือได้แน่ว่าพระพุทธศาสนา ในช้ันเดิมคงมีพิธีต่าง ๆ แทรกเข้ามาเป็นลาดับ เพราะประชาชนมีความนิยมอยู่ พระเถระซ่ึงเป็น

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 29 คณาจารย์จึงต้องอนุโลมตามความนิยม เพราะฉะนั้นพระภิกษุสงฆ์หมู่ใดท่ีกระทากิจเป็นพิธี ก็ย่อมแยก ออกจากพระภิกษุสงฆ์ท่ีไม่กระทาแล้วเกิดแยกออกเป็นนิกายข้ึนต่างหากผิดแปลกไปกว่านิกายอ่ืน (Nalinaksha Dutta, 1998, pp. 39-47) สรุปไดว้ ่า พระพุทธศาสนาแบ่งแยกเปน็ นิกายตา่ ง ๆ สืบเนื่องมาด้วยเหตุผล ประกอบด้วย การตคี วามหมายพระธรรมบางหมวดแตกต่างกนั ซ่ึงก็คือมคี วามคิดเหน็ ไม่ลงรอยกนั การไม่มีพระมหา เถระเป็นประมุขสืบต่อจากพระศาสดา ปกครองสกลสังฆมณฑลโดยเฉพาะจัดสาวกเป็นหมวดหมู่ มี พระเถระซึ่งทรงคุณธรรมดีที่สุดเป็นนายก แบ่งพระภิกษุสงฆ์ออกเป็นหมวดหมู่ เพ่ือรักษาพระธรรม วินัยเฉพาะบางตอนไว้ มีการลดหย่อนผ่อนผันในสิกขาบทวินัยจึงจาต้องดัดแปลงหลักการปฏิบัติตาม กาลและเทศะ การบาเพ็ญตบะและกระทากิจพธิ ใี นลทั ธิ และการกระทากจิ เป็นพธิ ีต่าง ๆ 7. เหตุผลท่ีนักศึกษาพระพุทธศาสนาฝ่ายใต้พากันไม่เอาใจใส่ศึกษาพระพุทธศาสนา ฝ่ายเหนือ เสฐียร พันธรังษี (2543, น. 1-3) ได้ให้เหตุผลที่นักศึกษาพระพุทธศาสนาฝ่ายใต้พากันไม่ เอาใจใสศ่ กึ ษาพระพุทธศาสนาฝา่ ยเหนือ ดงั นี้ 1. เหตุผลทางจิตวิทยา เราเช่ือมั่นกันว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้ภาษาบาลีหรือภาษามาคธี ท่ี เรยี กกันว่าภาษามคธแต่เพียงภาษาเดียว เป็นภาษาสั่งสอนสงฆ์สาวกทั่วไป มิได้ทรงใช้ภาษาอ่ืน จงึ ถือ วา่ ภาษาบาลเี ปน็ ภาษาพุทธพจน์อันแทจ้ รงิ ภาษาบาลเี ป็นภาษาบริสุทธจ์ิ ะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ภาษาอ่ืน ใดนอกจากภาษาบาลีเป็นภาษาแปลกปลอม คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่ีมีอยู่ในภาษาอ่ืนกลายเป็น ของไมแ่ ท้ เราเชอ่ื กนั มาเชน่ น้ีแต่แรกและไมย่ อมเชื่ออย่างอนื่ ต่อไปอีก...หรือเคราะห์ดไี ปไดห้ ลักฐานมา วา่ พระพุทธเจ้าเทศนาสั่งสอนสาวกของพระองค์ตามถิ่นประเทศท่ีเสด็จไปโดยพระสูตรอ่ืน ๆ ท่ีเรายัง ไม่เคยพบเคยเห็นในพระไตรปิฎกของเราและด้วยภาษาอื่น ๆ นอกจากภาษาบาลที ี่เรารู้ดังนี้แลว้ เราก็ พาลทีจ่ ะเข้าใจว่า นักเรยี นธรรมคนน้นั คอื คนนอกศาสนา 2. เหตุผลทางประวัติศาสตร์ หลังจากพุทธปรินิพพาน เมื่อพุทธกาลล่วงได้ 300 ปี มีการ สังคายนาพระธรรมวินัยครั้งท่ี 3 พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์บารุงอย่างถึงขนาดจากพระเจ้า อโศกมหาราช ได้โอกาสแผ่ผ่านมาทางหมู่ประเทศภาคใต้ของชมพูทวีป มีอาทิ ประเทศไทย พม่า ศรีลังกา และไปทางเหนือของชมพูทวีป มีเนปาล ข้ามภูเขาหิมาลัยไปทิเบต มีบางสายเข้าไปถึงกรีก อยี ิปต์ ซีเรียและเปอร์เซียดว้ ย...อน่ึงในดินแดนที่พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานได้ต้ังอยู่และผ่านเข้าไป ต้องคลุกเคล้าอยู่กับลัทธิของพราหมณ์และวัฒนธรรมของชาวยุโรปส่วนใต้ เป็นโอกาสให้ได้รับการ ดดั แปลงเพ่ือเหมาะแก่ภูมปิ ระเทศอยู่เสมอ ทาให้พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานถูกกล่าวหาว่าเป็นสิ่งที่ ไมบ่ ริสุทธ์ิ พระประชา ปสนฺนธมฺโม (2528) สัมภาษณ์ท่านพุทธทาสเกี่ยวกับมหายานในอัตชีวประวัติ ของท่านพทุ ธทาส เลา่ ไว้เมอ่ื วยั สนธยา ดงั น้ี ป. อาจารย์ครับ ตอนน้ีผมจะขอเรียนถามเร่ืองเก่ียวกับมหายานศึกษา และจีนวิทยา อยาก ทราบว่าอาจารย์เริ่มมาสนใจมหายานตั้งแต่เมื่อไร และอะไรเปน็ จุดเร่มิ ตน้ พ. ผมไม่ได้แตกฉานเรื่องมหายานอะไร เกี่ยวข้องบ้างเท่าน้ัน มันมีความเห็นตัดบทออกไปว่า ไม่ค่อยมีอะไรมาก หรือดีกว่าเถรวาท (หวั เราะ) เพราะฉะน้นั จึงไม่ได้ค้นควา้ อะไรถึงท่ีสดุ ถึงจะได้อะไร

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 30 มาจากมหายาน ก็ไม่ดีกว่าหรือเหนือกว่าท่ีเถรวาทมี ทีแรกทีเดียวผมก็ไม่รู้เรื่องมหายานได้ยินแต่ช่ือ และกไ็ ด้ยินไปในแง่ท่ีเป็นฝา่ ยรา้ ยฝ่ายลบ ว่ามหายานน้ีเขาเพิ่มเตมิ อะไรขนึ้ มามาก ทาให้ยุ่งยาก ไอ้เรา กอ็ ยากจะร้วู ่ามนั อะไรบา้ ง มนั จริงหรอื เปล่า พอพวกมหายานผ่านมา หรอื เราพอจะอ่านไดท้ ่ีไหน กห็ า อ่าน ศึกษาพจิ ารณา ในที่สดุ มันก็จับเคา้ ใจความสาคญั ได้ว่าเขาตอ้ งการจะให้ง่ายขึ้น สาหรับคนที่ไม่มี การศกึ ษาชาวบ้านนอกคอกนา เขาจะบัญญัติคาสอนลทั ธิอะไรต่าง ๆ ให้มันง่ายเข้า เช่นการพิจารณา พระพุทธคุณอย่างลึกซ้ึงเขาทาไม่ได้ มันก็ลดลงมาจนเหลือออกชื่อท่านก็แล้วกัน จึงมีการสวดมนต์ เพียงออกช่ือพระพุทธเจ้าบางองค์ เช่น อมิตาภะ เป็นต้น แล้วก็ขยายออกไปว่าถ้าใครสวดได้ 8 หมื่น คร้ัง หรือ 4 หม่ืนครง้ั ก็เป็นอันวา่ แน่นอนวา่ รอดตัวไปสวรรค์แน่ ไปสวรรค์ตามแบบน้นั มันกน็ ่าเห็นใจ เพราะว่าเขาจะรักษาชนกลุ่มที่ด้อยการศึกษาปัญญาน้อยเอาไว้ในวงพุทธศาสนา ไม่ให้มันแตกคอกน อกออกไปเป็นศาสนาอ่ืนที่ง่ายกว่า และอย่าลืมว่ามันเกิดข้ึนในอินเดีย แล้วก็ค่อยไปเมืองจีน มันก็น่า ชมเชยท่ีเขาจะรวบรัดเอาประชาชนที่ไม่มีการศึกษาเอาไว้ได้ ถ้าเอากันอย่างเถรวาทตรง ๆ แล้ว บาง คนมันอาจจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรก็ได้ ทีน้ี มหายานบัญญัติกันให้มันง่ายเข้ามา เพียงแต่ออกชื่อ 8 หม่ืนคร้ัง ก็ไปสุขาวดีทางทิศตะวันตกของพระพุทธเจ้าองค์ท่ีออกช่ือ (หัวเราะ) น้ีเป็นเหตุให้เขามี พระพุทธเจ้ามาก ๆ ชนิด ตามเหตุผลท่ีมาจากความต้องการของคนที่ไร้การศึกษา ฉะน้ัน จึงบัญญัติ พระพุทธเจ้าเสียมากมาย ยังไม่พอ ยังบัญญัติโพธิสัตว์ข้ึนมาช่วยพระพุทธเจ้า บัญญัติตาราขึ้นมาช่วย โพธิสัตว์ องค์หน่ึงนับเป็นพันเป็นหม่ืน ก็สมกับช่ือที่เรียกว่ามหายานแล้ว หมายความว่าจะเป็นยาน ใหญ่ขนเอาคนไปทั้งหมด ถ้าเปน็ เถรวาทคนไปได้ไม่กี่คน (หัวเราะ) เขาจึงเปรียบเทียบมหายานเท่ากับ วา่ เกวียนท่ีเทียมดว้ ยวัว แล้วก็เถรวาทน่ีเป็นเกวียนที่เทียมดว้ ยแพะหรือด้วยกระต่าย (หัวเราะ) มันขน คนไปไดน้ ้อย ป. อาจารยค์ รับ แต่ถา้ เผ่ือว่าเขาทาไว้สาหรับคนโง่เท่านั้น ทาไมคัมภีร์บางอย่างของมหายาน จงึ เป็นเร่อื งลึกซึง้ อยา่ งเชน่ มธั ยามิกะของนาครชนุ พ. น่ันก็เปน็ ส่วนหน่ึง แตไ่ ม่ใชส่ าหรบั คนโง่ คนโงไ่ ม่อาจเขา้ ใจมัธยามกิ ะ มหายานสว่ นทลี่ ึกซึ้ง มันก็ไม่แปลกไปกว่าเถรวาท มัธยามิกะมันก็สงเคราะห์เข้าในมัชฌิมาปฏิปทา คืออธิบายให้มัน เหมาะสมกับสมัยมากขึ้น จะพูดอย่างนี้ก็ได้วา่ มหายานนั้นขยายออกไปให้ใหญ่ ทางหนึ่งขยายออกไป ทางต่า คือทางประชาชนที่ไร้การศึกษา แล้วอีกทางก็ขยายออกไปในทางสูง คือในผู้ท่ีมีสติปัญญามี การศึกษาดี บางสตู รทเี่ กิดข้นึ สาหรับคนที่มีการศึกษาดีก็มีมาก แต่แลว้ ก็มันไมพ่ น้ จากที่จะใช้ความเชื่อ เป็นใหญ่ ใชศ้ รัทธาเป็นใหญ่ สูตรสาคัญ ๆ เช่น สทั ธัมมปุณฑริกสตู รก็ยังมีเค้าเงอื่ นใช้ศรัทธาเป็นใหญ่ อยู่เหมือนกัน ผมจึงพูดว่ามันไม่มีอะไรสูงกว่า ลึกกว่า แปลกกว่า ของเถรวาทอยู่นั่นเอง และก็มี องค์ประกอบสว่ นท่เี ขาต้องการพิเศษเข้าไปด้วยในสตู รนนั้ มนั จึงเป็นสูตรท่ียืดยาวและมีทุกขั้น ง่าย ๆ สาหรับคนโง่ ๆ ส่วนที่ลึกซึ้งขึ้นไปสาหรับคนมีสติปัญญา เร่ืองอานุภาพของพระพุทธเจ้า ของพระ โพธิสัตว์ มันก็ยังเป็นของสาหรับคนโง่อยู่น่ันเอง ยึดมั่นถือม่ันในพระพุทธเจ้า ในพระโพธิสัตว์ แต่ถึง อย่างน้ันก็ยังไม่วายว่า พอไปถึงเมืองจีนต้องสอนกันอีกแบบหนึ่ง จึงเกิดเซนข้ึนมา ซึ่งล้อเลียนหรือ ตอบโต้มหายานปรับปราคร่าครึของอาซ้ิม เมื่ออาซ้ิมออกชื่ออมิตาภะ 8 หม่ืนคร้ังแล้วจะได้ไปสุขาวดี มันก็มีคาล้อว่าอมิตาภะอะไรกัน แง่สาคัญในเซน อมิตาภะคือจิตเดิมแท้ ออกช่ือจิตเดิมแท้ถึง 8 หมื่น คร้ัง มนั คงร้เู ค้าเง่ือนของจติ เดิมแท้ได้บา้ ง แล้วมันก็เพ่ือหลุดพน้ ไมใ่ ชไ่ ปสวรรค์หรือสุขาวดี ฉะนั้น เซน จึงไม่มีเรื่องสวรรค์สุขาวดี ส่วนนิกายสุขาวดีของมหายานแบบสาหรับประชาชนท่ัวไปเป็นนิกาย

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 31 ต่างหาก เรียกเทียนไท้ หรือสุขาวดี ขอ้ ท่ีน่าสังเกตของเซนกค็ ือทาปัญญากับสมาธิควบคู่กันไป ไม่แยก แบ่งออกมาทีเดียวท้ัง 2 อย่าง ซ่ึงมาเทียบเคียงดูเด๋ียวน้ี เห็นได้ว่าระบบอานาปานสติสามารถรับหน้า เผชิญหน้ากับเซนได้ คือมันควบคู่กันไปหมดทั้งสมถะและทั้งวิปัสสนา ทาระบบเดียวออกมาท้ัง 2 อย่าง จากทัศนะของปราชญ์ข้างต้น สรุปได้ว่า นักเรยี นพระพุทธศาสนาฝ่ายใต้มองมหายานในแง่ที่ เป็นฝ่ายร้ายฝ่ายลบ ว่าเพ่ิมเติมอะไรขึ้นมามาก ไปต้องคลุกเคล้าอยู่กับลัทธิของพราหมณ์และ วัฒนธรรมของชาวยุโรปส่วนใต้ เป็นโอกาสให้ได้รับการดัดแปลงเพ่ือเหมาะแก่ภูมิประเทศอยู่เสมอ มี เค้าเงื่อนใช้ศรัทธาเป็นใหญ่ ส่วนท่ีลึกซึ้ง มันก็ไม่แปลกไปกว่าเถรวาท เผชิญหน้ากับเซนได้ คือควบคู่ กนั ไปหมดท้งั สมถะและทง้ั วปิ สั สนา 8. การเกดิ ขึ้นของพระพทุ ธศาสนามหายาน ราวพุทธศตวรรษท่ี 6-7 ได้มีเหตุการณ์สาคัญเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา คือ การปรากฏขึ้น ของนกิ ายมหายาน นับว่าเปน็ ววิ ัฒนาการและการปฏริ ูปประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ปัจจุบันนิกาย มหายานน้มี อี ทิ ธิพลตอ่ ความคดิ และความเชือ่ ของชนชาติจีน ญ่ีปนุ่ เกาหลี ญวน เสถียร โพธินันทะ (2513, น. 458-466) ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทาให้เกิดพระพุทธศาสนา มหายานไว้ดงั ต่อไปนี้ 1. มหายานเกิดจากนกิ ายทงั้ 18 ต่างนิกาย ต่างมีอุดมคติ ทรรศนะทางหลักธรรมและวัตรปฏิบัติท่ีผิดแผกแตกต่างกัน ออกไปมากบ้างน้อยบ้าง มหายานก็เช่นเดียวกัน จึงต้องแยกออกไปเป็นนิกายใหม่ แต่คณาจารย์ของ มหายานในสมัยแรกล้วนแต่เป็นพระภิกษุในนิกายท้ัง 18 มาก่อน โดยเฉพาะคณาจารย์ในนิกาย มหาสังฆกิ ะและกลุม่ คณะของนกิ ายมหาสงั ฆิกะ 2. มหายานเกดิ จากพระบคุ ลกิ ภาพของพระพุทธองค์ ในหลักธรรมของนิกายมหาสังฆิกะ จะเห็นได้ว่า ทัศนะต่อพระบุคลิกภาพอันย่ิงใหญ่ของ พระศาสดาในส่วนโลกุตตรภาพ แตกต่างจากนิกายเถรวาท ขณะที่ฝ่ายเถรวาทถือว่าพระวรกายเปรียบ เหมือนกับสามัญชนทั่วไปย่อมเสื่อมไปเพราะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ย่อมแตกดับในท่ีสุด แต่ที่ไม่ดับคือ พระธรรมคาสอนของพระพุทธองค์ แต่มหาสังฆิกะเห็นว่าพระบุคลิกภาพและชนม์ชีพจะแตกดับลงใน อนุปาทิเสสนิพพานน้ัน ยังไม่ได้เสียแรงที่พระองค์เป็นอภิบุรุษที่สร้างบารมีมานับอสงไขย จะมาดับสูญโดย ไม่เหลืออะไรไม่ได้ พวกเขาถือว่าภาวะของพระพุทธองค์ท้ังนามและรูปเป็นโลกุตตระ พระชนม์ชีพยังย่ังยืน ไม่มีขอบเขต ส่ิงท่ีแตกดับเป็นเพียงมายาธรรมเท่านั้น ความคิดเช่นนี้เองท่ีก่อให้เกิดลัทธิมหายาน พวกเขา เห็นตัวอย่างการบาเพ็ญบารมีของพระพุทธองคเ์ มือ่ เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ท่ีซาบซ้ึงจงึ นาเอาโพธิ จริยาท้ัง 10 ทัศน้ันมาประกาศเป็นพิเศษและตั้งอุดมคติท่ีจะให้มุ่งสาเร็จสัพพัญญุตญาณ มีโอกาสสร้าง บารมีเป็นพระโพธิสัตว์เป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์และไม่พอใจในการบรรลุพระอรหันต์ เพราะถือว่าคับ แคบเฉพาะตน 3. มหายานเกดิ จากแรงดันของศาสนาพราหมณ์ ในเม่ือพระองค์ตรัสรู้ และอยู่ระหว่างการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นหลักธรรมของ พระองค์สามารถพิชิตใจของปวงชนได้ เนื่องจากคาสอนที่ประกอบด้วยเหตุผลที่เป็นความจริง ดังนั้น

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 32 พระพุทธศาสนาจึงแพรห่ ลายไปในหม่ชู นทุกชน้ั อย่างรวดเร็ว เร็วจนลัทธอิ ื่น ๆ คาดไม่ถึง ลัทธเิ หล่านั้น ถงึ กบั เกดิ ความเสอ่ื มโดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์ คณาจารย์ลทั ธิพราหมณ์พยายามลม้ พระพุทธศาสนา แต่ไม่สาเร็จ จนมาถึงยุคพระเจ้าอโศกมหาราชพระองค์ทานุบารงุ พระพทุ ธศาสนาจนเจริญอย่างสดุ ขีด สร้างความเจ็บแค้นในใจแก่พวกพราหมณ์เป็นอย่างมาก จนโอกาสมาถึงเม่ือยุคของพระเจ้าอโศก มหาราชผ่านพ้นไป พราหมณ์ช่ือศุงคะยึดอานาจได้ จึงเร่ิมทาลายพุทธศาสนาอย่างขนานใหญ่ ส่วน ศาสนาพราหมณ์น้ันกเ็ ร่ิมปรับปรุงตัวอย่างขนานใหญ่แต่งมหากาพย์ขึ้นมา 2 เร่อื งคือมหาภารตะและ รามายณะหรือรามเกียรติเป็นที่นิยมชมชอบมากทีส่ ุด พราหมณ์ยังเลียนแบบฝ่ายพุทธท่ีมีไตรสรณคมน์ 3 ประการ จึงสร้างตรีมูรตขิ ึ้นบ้าง คอื รวมพระเจ้า 3 องค์ เข้าไป คือพระพรหม พระศวิ ะและนารายณ์ เปน็ ท่ีพงึ่ สูงสุด ฝ่ายพุทธมีสังฆาราม เป็นที่อยูอ่ าศัย ฝา่ ยพราหมณ์กส็ รา้ งสังฆารามข้ึนมาบา้ ง ฝ่ายพุทธ จารกิ แสวงบุญตามสังเวชนียสถาน ฝ่ายพราหมณ์ก็สร้างแหล่งจาริกแสวงบุญเชน่ กัน การปรับปรุงของ ฝ่ายพราหมณ์คร้ังนี้ นับว่าได้ผลมาก ทาให้อิทธิพลขยายไปท่ัวชมพูทวีป เมื่อสถานการณ์เช่นนี้ คณาจารย์ฝ่ายพุทธไม่สามารถนิ่งดูดายได้จึงปฏิรูปการเผยแพร่พุทธศาสนาเพื่อแข่งกันศาสนา พราหมณ์ โดยปฏิรูป 2 แนว คอื ก. แนวแหง่ บคุ ลาธิษฐาน ข. ปฏริ ูปตามแนวแหง่ ธรรมาธษิ ฐาน 4. มหายานเกดิ จากพุทธบริษัทฝา่ ยคฤหัสถ์ เน่ืองจากการปฏิรูปลัทธิธรรมดังกล่าว แม้จะเกิดจากพระเถระจาก 18 นิกายก็จริงอยู่ พระเถระเหล่านี้หนักไปในทางการศึกษาปรัชญา ส่วนผู้ที่ปฏิรูปทั้งทางด้านธรรมาธิษฐานและ บุคลาธิษฐานคือพุทธบริษัทฝ่ายคฤหัสถ์โดยเฉพาะหนุ่มสาว คณะพุทธบริษัทเหล่านี้พยายามเผยแผ่ ศาสนาตามสังคมด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดและสะดวกกว่าพระสงฆ์ เพราะย่อมเคร่งครัดสมณสารูป สามารถเผยแผ่ธรรมได้ทกุ กาลเทศะและคนเหล่าน้กี ็ปรารถนาโพธิญาณเชน่ กนั พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ (2543), น. 204-207) ได้กล่าวถึงปัจจัยท่ีส่งผลให้เกิด พระพุทธศาสนามหายานไว้ 2 ลกั ษณะ ดงั ต่อไปน้ี 1. ปจั จยั ภายนอก 1) พระพุทธศาสนานิกายตา่ ง ๆ นักปราชญ์ในปัจจุบันหลายท่านบอกว่า มหายานเกิดจากนิกายสังฆิกะ แต่ข้อเท็จจริง ก็คือว่า มหาสังฆิกะยังคงเจริญรุ่งเรืองต่อมาอีกหลายปีหลังมหายานเกิดข้ึนแล้ว พอสรุปได้ระดับหนึ่ง ว่า นิกายต่าง ๆ ทเ่ี ริม่ แตกออกไปตง้ั แตค่ ราวทุตยิ สังคายนา ทาให้เกิดมหายาน 2) วรรณกรรมพุทธประวัติ วรรณกรรมบาลี เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก อปทาน พุทธวงศ์ และ จริยาปิฎก วรรณกรรมสันสกฤต เช่น มหาวัสตุ คัมภีร์เหล่าน้ีเป็นที่รู้กันว่า เป็นของเถรวาท แต่ นักปราชญ์ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาถือวา่ เป็นสมบัติกลาง ไม่เป็นของนิกายใด เนื้อหาในคัมภีร์เหล่านี้ ว่าด้วยเรื่องพระพุทธเจ้า ขณะเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บาเพ็ญบารมี ต่อมา ได้พัฒนาเป็น หลกั การสาคัญของมหายาน 3) คตินยิ มบูชาพระสถูป คติการสร้างพระสถูปเพ่ือสักการบูชาเกิดขึ้นแล้วในคร้ังพุทธกาล ปรากฏชัดมากหลัง พุทธปรินิพพาน พวกเจ้ามัลละสร้างสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือแม้แต่สมัยพระเจ้าอโศก มหาราช เมื่อเสด็จจาริกแสวงบญุ ตามพทุ ธสถาน ทรงสรา้ งสถูปไว้ทกุ จุดเหมือนกัน

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 33 สถูปถือเป็นหลักฐานสาคัญเก่ียวกับการประกาศพระพุทธศาสนามหายาน เช่น มหา สถูปหรือพระมหาธาตุที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สถูปท่ีเกาะชวาและสุมาตรา ท้ังหมด ล้วนสร้างโดยศาสนิกแห่งมหายาน การสร้างสถูปไว้เป็นท่ีสักการบูชาถือเป็นยุทธศาสตร์อย่างหน่ึงใน การเผยแผม่ หายาน นอกจากการสร้างพระพมิ พ์ เทวรูปโพธสิ ตั วต์ า่ ง ๆ 4) ศาสนาพราหมณห์ รอื ฮินดู ยุคประมาณ พ.ศ. 1100 ศาสนาพราหมณ์ปฏิรูปตนเองขนานใหญ่ พวกพราหมณ์ สร้างสรรค์คัมภีร์รามายณะ คัมภีร์มหาภารตะเพ่ือให้คนทั่วไปศึกษา จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม การ เปล่ียนแปลงในศาสนาพราหมณ์มีผลกระทบตอ่ พระพุทธศาสนามาก ชาวพุทธโดยเฉพาะกลุ่มฆราวาส เกิดความต่ืนตัวท่ีจะต่อสู้กันทางความคิดกับศาสนาพราหมณ์ จึงเป็นเหตุให้เกิดพิธีกรรม ธรรมเนียม ใหม่ ๆ ขน้ึ เปน็ การผสมผสานกนั ระหวา่ งพุทธกบั พราหมณ์ 5) อิทธิพลของวัฒนธรรมต่างสานกั วัฒนธรรมต่างสานักในท่ีนี้หมายถึง ลัทธิบูชานาคในแคชเมียร์ ลัทธิบูชาพระอาทิตย์ (สูรยปูชกะ) ของพวกโซโรอัสเตอร์ในเปอรเ์ ซยี ลทั ธิเต๋าและขงจื๊อในจีน กลา่ วเฉพาะลัทธิบูชาพระอาทิตย์ น้ันสอดคล้อง กับคติของมหายานที่นับถือพระอมิตาภพุทธเจ้า พระไวโรจนพุทธเจ้า พระทีปังกรพุทธเจ้า ซึง่ หมายถึงแสงสว่าง รศั มี หรือดวงอาทิตยท์ ง้ั ส้นิ 2. ปัจจยั ภายใน 1) ทิฏฐิสามัญตาเภทะ ความคิดเห็นแตกแยกกัน ในคราวปฐมสังคายนา พระมหากัสสปะและพระปุราณะมี ความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับวัตถุ 8 ประการ ในคราวทุติยสังคายนา กลุ่มภิกษุวัชชีบุตรมีความเห็น ไม่ตรงกันกับฝ่ายธรรมวาทีซ่ึงมีพระยสกากัณฑกบุตร ในคราวตติยสังคายนา มีกลุ่มความคิดเกิดขึ้น ปรากฏช่อื 11 กลุ่ม ความแตกแยกทางความคดิ นี้ถือเปน็ จุดเร่ิมแหง่ การแตกออกเป็นนิกายต่าง ๆ 2) สลี สามญั ตาเภทะ ความแตกแยกกันทางด้านความประพฤติ เมื่อความคิดเห็นไม่ตรงกันทาให้เกิดความ ประพฤติแตกต่างกัน กลุ่มภิกษุวัชชีบุตรมีความเห็นเก่ียวกับวัตถุ 10 ประการต่างจากฝ่าย พระยสกากณั ฑกบุตร ทาใหม้ ีการต้ังนกิ ายใหม่ สรุปได้ว่า สาเหตุท่ีทาให้เกิดนิกายมหายานจึงประกอบไปด้วย เกิดจากนิกายทั้ง 18 เกิดจาก พระบุคลิกภาพของพระพุทธองค์ เกิดจากแรงดันของศาสนาพราหมณ์ และเกิดจากพุทธบริษัทฝ่าย คฤหัสถ์ นอกจากนยี้ ังมสี าเหตุมาจาก 2 ปจั จัย คือ ปจั จัยภายนอก ไดแ้ ก่ พระพุทธศาสนานกิ ายต่าง ๆ วรรณกรรมพุทธประวัติ คตินิยมบูชาพระสถูป ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู อิทธิพลของวัฒนธรรมต่าง สานัก และปัจจัยภายใน ได้แก่ ทิฏฐิสามัญตาเภทะ ความคิดเห็นแตกแยกกัน และสีลสามัญตาเภทะ ความแตกแยกกันทางดา้ นความประพฤติปฏบิ ัติ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 34 9. สกิ ขาบทของพระโพธสิ ัตว์ มหายานสอนให้บุคคลต้ังปณิธานมุ่งพุทธภูมิ เพือ่ มีโอกาสในการโปรดสรรพสัตว์ได้กว้างขวาง ฉะนนั้ จงึ มสี กิ ขาบทพเิ ศษอีกส่วนหน่ึง ซึ่งไมม่ ีในเถรวาทคอื โพธิสตั ว์สกิ ขาบท หรอื โพธิสัตว์ศลี ซง่ึ ศีล ประเภทนี้เป็นสาธารณะท่ัวไปแก่บรรพชิตและฆราวาส มิได้จากัดเพศ ใครก็ตามท่ีมีโพธิจิตต้ังความ ปรารถนาเพ่ือบรรลพุ ุทธภมู ไิ ซร้ ก็ยอ่ มบาเพ็ญตามสกิ ขาบทนี้และโพธิจรยิ าอน่ื ๆ มี ทศบารมี เป็นตน้ สกิ ขาบทของพระโพธิสัตว์ จาแนกได้ดงั น้ี (ครุกาบตั ิ มี 10 ลหุกาบตั ิ มี 48 รวมเป็น 58) 1. ครุกาบตั ิ 10 1) ผู้ฆ่าชีวิตมนุษย์ให้ตาย ด้วยมือตนเอง ใช้ผู้อื่นกระทา หรือเป็นใจสมรู้ ตลอดจนฆ่าชีวิต สัตว์เลก็ ใหญใ่ หต้ าย ตอ้ งสถานโทษหนัก 2) ผู้ถือเอาของผู้อ่ืน มีราคา 5 มาสก ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่า ที่เจ้าของไม่อนุญาต ด้วยตนเองหรือใชผ้ ้อู ่ืนกระทา ตอ้ งสถานโทษหนัก 3) ผู้เสพเมถุน นานิมิตต์ล่วงเข้าไปในทวารหนัก ทวารเบา หรือทางปากของผู้ชายหรือ ผู้หญิง ตลอดจนสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย ไม่ว่าน้าอสุจิจะเคลื่อนหรือไม่ ด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทา ต้องสถานโทษหนัก 4) ผู้อุตตริมนุษยธรรม อวดรู้ฌาน รู้มรรคผลที่ไม่มีในตน ตลอดจนพูดมุสาวาทท่ีไม่ใช่ ความจริง กระทาด้วยตนเองหรือใชผ้ ู้อืน่ กระทา ต้องสถานโทษหนัก 5) ผู้ผลิตสุราเมรัยน้าเมา ตลอดจนยาดองสุราที่ไม่ใช่รักษาโรคโดยตรง กระทาหรือผลิต เอง หรือใช้คนอื่นกระทาหรือผลติ ตอ้ งสถานโทษหนัก 6) ผู้กล่าวร้ายบริษัท 4 ใส่ไคล้อาบัติชั่ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนศึกษา มานะ (สิกขมานา) สามเณร และสามเณรี โดยไม่มีมูลด้วยตนเองหรือใช้ผู้อ่ืนกระทา ต้องสถานโทษ หนัก 7) ผู้ยกตนข่มท่าน ติเตียนนินทาภิกษุอ่ืน ยกย่องตนเองเพ่ือลาภ ด้วยตนเอง หรือใช้ผู้อ่ืน กระทา ต้องสถานโทษหนัก 8) ผู้ตระหน่ีเหนียวแน่น ไม่มมี ุทิตาจิต ตลอดจนไม่เอื้อเฟื้อต่อผู้ยากจน ขอทานกลับขับไล่ ไสสง่ กระทาดว้ ยตนเอง หรอื ใชผ้ ู้อ่ืนกระทา ตอ้ งสถานโทษหนัก 9) ผู้มุทะลุฉุนเฉียว ตลอดจนก่อการวิวาท ใช้มีด ใช้ไม้ ใช้มือทุบตีภิกษุอ่ืน กระทาด้วย ตนเอง หรอื ใช้ผูอ้ นื่ กระทา ต้องสถานโทษหนัก 10) ผู้ประทุษร้ายต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กระทาด้วยตนเอง หรือใช้ผู้อื่นกระทา ต้องสถานโทษหนัก อาบัติโทษสถานหนัก 10 ข้อข้างบนนี้ แยกไว้เป็น 3 ประเภท คือ เจตนา บังเอิญ หรือ สุดวสิ ัย คือ 1. อดุ มอาบตั ิ 2. มธั ยมอาบัติ 3. ปฐมอาบัติ ผู้ต้องช้ันอุดมอาบัติขาดจากการเป็นพระโพธิสัตว์ ต้องในกรณีหลังให้อยู่กรรมมานัตต์ ทรมานตน จึงจะพน้ อาบัตเิ ปน็ ผบู้ ริสทุ ธิ์ 2. ลหกุ าบัติ 48 1) ผไู้ ม่เคารพผูม้ อี าวโุ สชนั้ อาจารยข์ องตน 2) ผูด้ มื่ สุราเมรยั

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 35 3) ผู้บรโิ ภคโภชนาหารปลาและเนือ้ 4) ผู้บริโภคผักมีกล่ินแรงฉุน ให้โทษเกิดราคะ 5 ชนิด คือ (1) หอม (2) กระเทียม (3) กุไฉ่ (4) หลกั เกี๋ย (กระเทยี มเล็ก) (5) เฮงกื๋อ (ไมม่ ใี นประเทศไทย) 5) ผู้ไมต่ ักเตอื นผตู้ ้องอาบัติใหแ้ สดงอาบตั ิ 6) ผไู้ ม่บรจิ าคสังฆทานแก่พระธรรมกถกึ 7) ผู้ไมไ่ ปฟงั การสอนธรรม 8) ผู้คดั ค้านพระพทุ ธศาสนาในมหายานนกิ าย 9) ผู้ไม่ชว่ ยเหลอื คนปว่ ย 10) ผเู้ ก็บอาวธุ สาหรบั ฆ่ามนุษยห์ รือสัตวไ์ ว้ในครอบครอง 11) ผเู้ ปน็ ทูต สือ่ สารในทางการเมือง 12) ผคู้ ้ามนุษยไ์ ปเป็นทาส ขายสตั วไ์ ปให้เขาฆ่าหรอื ใชง้ าน 13) ผพู้ ดู นนิ ทาใสร่ ้ายผู้อน่ื 14) ผวู้ างเพลงิ เผาป่า 15) ผูพ้ ดู บดิ เบอื นขอ้ ความพระธรรมให้เสอ่ื มเสยี 16) ผพู้ ดู อุบายเพ่ือประโยชนต์ น 17) ผปู้ ระพฤตขิ ่มขบ่ี งั คับเขาใหท้ านวตั ถุ 18) ผอู้ วดอา้ งตนเป็นอาจารย์เมือ่ ตนยงั เขลาอยู่ 19) ผู้พดู กลับกลอกสองลนิ้ 20) ผู้ไม่ช่วยสตั ว์ เม่ือเหน็ สตั ว์นั้นตกอยู่ในภยนั ตราย 21) ผู้ผูกพยาบาท คาดแค้น 22) ผู้ทะนงตัว ไม่ขวนขวายศึกษาธรรม 23) ผู้เย่อหยิง่ กระด้างก้าวร้าว 24) ผู้ไม่ศกึ ษาพระธรรม 25) ผู้ไมร่ ะงบั การวิวาทเมื่อสามารถสงบได้ 26) ผู้ละโลภ เห็นแก่ตวั 27) ผนู้ ้อมลาภท่ีเขาถวายสงฆอ์ นื่ มาเพือ่ ตน 28) ผนู้ อ้ มลาภทเ่ี ขาจะถวายสงฆ์ไปตามชอบใจ 29) ผูท้ าเสนห่ ย์ าแฝดฤทธิเ์ วท ให้คนคล่งั ไคล้ 30) ผชู้ กั สื่อให้ชายหญงิ เป็นผัวเมียกนั 31) ผไู้ ม่ชว่ ยเหลอื ไถค่ า่ ตัวคนให้พน้ จากเปน็ ทาสเมอ่ื สามารถ 32) ผู้ซือ้ ขายอาวธุ สาหรับฆ่ามนุษย์และสตั ว์ 33) ผไู้ ปดกู ระบวนทัพ มหรสพ และฟังขับร้อง 34) ผไู้ ม่มขี นั ตี อดทนสมาทานต่อศีล 35) ผู้ปราศจากกตัญญูต่อบดิ า มารดา อปุ ชั ฌายาจารย์ 36) ผปู้ ราศจากสัจจต์ ่อคาปฏิญาณ จะตง้ั อยู่ในพรหมจรรย์ 37) ผปู้ ฏิบัติธดุ งควัตรในถน่ิ ทม่ี ภี ยันตราย

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพทุ ธศาสนามหายาน (BU 5009) 36 38) ผู้ไมม่ คี ารวะ ไมร่ ูจ้ กั ตา่ สงู 39) ผไู้ มม่ กี ศุ ลจติ ไมส่ รา้ งบญุ สร้างกศุ ล ทาทาน 40) ผู้มีฉันทาคติ ลาเอียงการให้บรรพชาและอปุ สมบท 41) ผเู้ ป็นอาจารย์สอนด้วยการเห็นแกล่ าภ 42) ผกู้ ระทาสังฆกรรมแกผ่ ู้มีมิจฉามรรยา 43) ผเู้ จตนาฝ่าฝนื วินัย 44) ผไู้ มเ่ คารพสมุดพระธรรมคัมภรี ์ 45) ผู้ไม่สงเคราะหโ์ ปรดเวไนยสัตว์ 46) ผยู้ ืนหรือนง่ั ทีต่ า่ แสดงธรรม 47) ผ้ยู อมจานนต่ออานาจธรรมโรธี (อานาจท่ผี ดิ ธรรม) 48) ผู้ล่วงละเมิดธรรมคาสง่ั สอนในพระพทุ ธศาสนา ก. การแสดงอาบัติเพ่ือเปน็ ผบู้ รสิ ุทธิ์ ได้แบง่ ไวเ้ ปน็ 3 ขั้น คือ 1. ตอ้ งช้นั อดุ ม ตอ้ งแสดงอาบตั ติ อ่ คณะสงฆ์ 2. ต้องชน้ั มัธยม ตอ้ งแสดงอาบัติต่อสงฆ์จานวน 3 รูป 3. ต้องชั้นปฐม ตอ้ งแสดงอาบตั ติ ่อสงฆเ์ พยี ง 1 รูป ข. สามเณรต้องปฏิบตั ิโพธิสตั ว์ศีลเช่นเดียวกนั กับภกิ ษุ ค. ฆราวาสมีความสาคัญเฉพาะข้อ 3 อันเป็นสิกขาบทมังสวิรัติเท่าน้ัน เพราะได้รับปฏิบัติใน ศลี 8 หรอื ศีล 5 อยู่แล้ว (มลู นิธสิ ังฆประชานเุ คราะหแ์ ละอ่นื ๆ, 2531, น. 340) 10. พระไตรปิฎกของมหายาน 10.1 พระวินยั ปิฎกมหายาน มหายานจะมีทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม แต่พระวินัยของมหายานนั้น นอกจากจะมี 250 ข้อแล้ว ยังไม่ได้จัดเป็นหมวดหมู่แบบเถรวาท สังฆกรรมต่าง ๆ ของฝ่ายมหายาน ต้องใช้คมั ภีรว์ ินยั ของสรวาสติวาท ธรรมคุปตะ มหาสังฆกิ ะ และมหิศาสกะ สิกขาบทในพระปาฏโิ มกข์ 250 ข้อ ของฝ่ายมหายาน มดี ังน้ี ปาราชกิ 4 สงั ฆาทเิ สส 13 อนิยต 2 นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 ปาจติ ตยี ์ 90 ปาฏิเทสนียะ 4 เสขยิ ะ 100 อธกิ รณสมถะ 7 สิกขาบทของมหายานได้เพ่ิมวินัยของพระโพธิสัตว์ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงท่ีกล่าวไว้ในพรหม ชาลสูตร เรียกว่า “พรหมชาลโพธิสัตวศีล” และซึ่งอยู่ในคัมภีร์โยคาจารภูมิศาสตร์ปกรณ์พิเศษของ นิกายโยคาจาร เรียกว่า “โยคโพธิสัตวศีล” และมีขอ้ ท่ีน่าสงั เกตอีกอยา่ งคือ วินัยของพระโพธิสตั วน์ ั้น

เอกสารประกอบการสอนวิชา พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 37 แม้จะต้องครุกาบัติ เป็นปาราชิกในโพธิสัตว์สิกขาบทก็สามารถสมาทานใหมไ่ ด้ ไม่เหมอื นกับภิกขุปาฏิ โมกข์ ซ่ึงทาคืนอีกไม่ได้ ท้ังน้ีเพราะถือว่าสิกขาบทของภิกษุอยู่ในขอบเขตจากัดของปัจจุบันชาติ ส่วน สกิ ขาบทของพระโพธสิ ตั ว์น้นั ไม่จากัดชาติ ดังนั้น กุลบุตรฝ่ายมหายานเมื่อรับอุปสัมปทากรรมแล้วก็จะต้องรับศีลโพธิสัตว์ ซึ่งส่วน ใหญน่ ิยมพรหมชาลโพธิสัตวศีลมากกว่าโยคโพธิสัตวศีล และศีลพระโพธิสัตว์นี้ได้ห้ามภกิ ษุฉนั เน้ือสัตว์ ของสดคาวและหัวหอม หัวกระเทียม เพราะสิง่ เหล่านี้ชว่ ยสง่ เสรมิ ให้เกดิ กาหนดั ราคะขวางก้ันจิตมิให้ บรรลุสมาธิ และการกินเนื้อสัตว์น้ีอาจกินถูกเนื้อของบิดามารดาในชาติก่อน ๆ ของตนก็ได้ ผู้รับศีล โพธิสตั ว์จึงต้องถือมังสวริ ตั ิอยา่ งเครง่ ครดั พระสงฆ์มหายานของจีนไดร้ ับการยอมรับกันว่าปฏิบัตใิ นข้อ นีไ้ ด้เครง่ ครดั กวา่ พวกมหายานในประเทศอน่ื ๆ 10.2 พระสตุ ตันตปิฎกของมหายาน ชื่อพระสูตรสาคัญของมหายานที่คนส่วนใหญ่รู้จักมีดังน้ี ปรัชญาปารมิตา อวตังสกสูตร คณั ฑวยุหสูตร ทศภูมกิ สูตร วมิ ลเกียรตินิทเทสสูตร ศูรางคมสูตร สทั ธรรมปุณฑรีกสตู ร ศรีมาลาเทวีสี หนาทสูตร พรหมชาลสูตร สุขาวดีวยุหสูตร ตถาคตครรภสูตร อสมปูรณอนุสตู ร อุตรสรณสูตร มหาปริ นิรวาณสตู ร สนั ธินิรโมจนสูตร ลงั กาวตารสูตร พระสตู ร 42 บท หรอื พระพุทธวจนะ 42 บท ในบรรดาพระสูตรเหล่านี้ ปรัชญาปารมิตาสูตรจัดว่าเป็นสูตรด้ังเดิมที่สุด เป็นมูลฐาน ทฤษฎีที่วา่ ด้วยเร่อื งศูนยตา นอกจากนีก้ ็มีอวตังสกสตู ร เป็นสูตรสาคัญท่ีสดุ ของนกิ ายมหายาน เพราะ เป็นพระสูตรท่ีเช่ือกันว่า พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในขณะที่พระองค์เข้าสมาธิ เขา้ ใจกันวา่ ใจความสาคัญขอ'พระสูตรน้ี นา่ จะเปน็ ของพระโพธสิ ตั ว์มากกวา่ นอกจากนี้กม็ ีพระสูตรทสี่ าคญั อีกเช่นกันคือ วิมลเกียรตินิทเทศสูตร ซ่ึงเป็นพระสตู รท่ีมี ปรัชญาเป็นมูลฐาน นิกายเซ็น (Zen) จึงชอบและนิยมมากที่สุด และพระสูตรท่ีสาคัญที่สุดซึ่งนิกาย มหายานในจีนและญ่ีปุ่นนับถือกันมากคือ สัทธรรมปุณฑรีกสูตร คาส่ังสอนในนิกายเท็นได นิจิเร็น ล้วนอาศัยพระสูตรนี้เป็นรากฐานท้ังส้ิน และวัดในนิกายเซ็น ก็ต้องสวดพระสูตรน้ีเป็นประจาทุกวัน ท้ังนี้เพราะเช่ือกันว่า พระสูตรนี้เป็นพระสูตรสุดท้ายของพระพุทธองค์จึงมีผู้แปลมาก โดยเฉพาะใน ภาษาจีนมี 3 ฉบบั แตท่ ีถ่ อื กันวา่ เปน็ ฉบบั ที่ดที ่สี ุด คือของทา่ นกมุ ารชพี พระสูตรมหายานไดแ้ บ่งหมวดไว้ 5 ประการ ดงั นี้ 1) หมวดอวตังสกะ หมวดน้ีมีพระสูตรใหญ่สูตรหน่ึงเป็นหัวใจคือ พุทธาวตังสกมหาไว ปลุ ยสตู ร 80 ผกู และมสี ตู รปกณิ ณกะยอ่ ย ๆ อีกหลายสตู ร 2) หมวดไวปุลยะ หมวดน้ีมีพระสูตรใหญ่ช่ือมหารัตนกูฏสูตร 120 ผูกเป็นหัวใจ นอกน้ัน ก็มมี หาสงั คตี ิสตู ร 10 ผูก มหายานโพธิสัตว์ปิฏกสูตร 20 ผูก ตถาคตอจินไตยรหัศย มหายาน สูตร 30 ผกู ฯลฯ 3) หมวดปรัชญา หมวดน้ีมีพระสูตรใหญ่ชื่อมหาปรัชญาปารมิตาสูตร 600 ผูกเป็น หัวใจ และมีสูตรปกิณณกะ เช่น ราชไมตรีโลกปาลปรัชญาปารมิตาสูตร 2 ผูก วัชรปรัชญาปารมิตา สูตร 1 ผูก ฯลฯ 4) หมวดสัทธรรมปุณฑรกี หมวดน้ีมีพระสูตรใหญ่ชื่อสัทธรรมปุณฑรีกสูตร 8 ผูกเป็น หวั ใจ และมสี ูตรปกิณณกะ เช่น อนิวรรตธรรมจักรสูตร 4 ผกู วชั รสมาธิสูตร 2 ผกู ฯลฯ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 38 5) หมวดปรนิ ิรวาณ หมวดนี้มีพระสูตรใหญ่ชื่อมหาปรินิรวาณสูตร 40 ผูกเป็นหัวใจ มีสูตร ปกิณณกะ เช่น มหากรุณาสูตร 5 ผูก มหามายาสูตร 5 ผูก มหาเมฆสูตร 5 ผูก ฯลฯ (เสถียร โพธินันทะ, 2511, น. 316-319) 10.3 พระอภธิ รรมปิฎกมหายาน ส่วนพระอภิธรรมของมหายานกาเนิดขึ้นเมื่อล่วงได้ 500 ปี นับแต่พุทธปรินิพพาน ใน ครั้งแรกไม่จัดเข้าเป็นปิฎก แต่พึ่งมาจัดเข้าในภายหลัง เรียกว่า “ศาสตร์” เป็นนิพนธ์ของคณาจารย์ อินเดีย เช่น นาคารชุน เทวะ อสังคะวสุพันธุ สถิรมติ ธรรมปาละ ภาววิเวก และทินนาค เป็นต้น ศาสตร์ของพวกมหายานส่วนใหญ่เป็นของนิกายโยคาจารและมาธยมิก ศาสตร์ท่ีใหญ่และยาวท่ีสุด ได้แก่ โยคาจารภูมิศาสตร์และมหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ เสถียร โพธินันทะเรียกพระอภิธรรมปิฎก ของมหายานวา่ “ปกรณว์ เิ ศษ” มากกว่า 11. พุทธประวัตมิ หายาน พุทธประวัติมหายาน ซ่ึง ศ.พิเศษเสฐียร พันธรังสี (2542, น. 335-338) ได้เรียบเรียงตาม ฉบับและทัศนะของนักปราชญ์ฝ่ายอ่ืน ๆ ผิดแผกไปจากพุทธประวัติ ฉบับซ่ึงนักปราชญ์ฝ่ายเถรวาท รจนาและศกึ ษากนั อยใู่ นหมู่นักศึกษาฝ่ายเดยี วกัน ดังนี้ 1. เรื่องมูลเหตุการออกบวชของเจ้าชายสทิ ธัตถะ พุทธประวัตมิ หายานอ้างวา่ เจ้าชายแพ้มติ เรื่องการทาสงครามในสภาศากยวงศ์เป็นสาคัญ ไม่พูดถึงเทวทูต 4 อันเป็นเหตุตามคัมภีร์ฝ่ายเถรวาท ทงั้ นี้ นา่ วเิ คราะห์ไดว้ า่ การไม่อ้างเรอ่ื งเทวทูต 4 ชวนใหเ้ ป็นทเ่ี ข้าใจว่า เพราะรูแ้ ลว้ วา่ เป็นท่รี ับรู้กันอยู่ น้าพระทัย ของเจ้าชายมีความโน้มเอียงไปข้างใฝ่สงบ ด้วยบารมีที่ทรงบาเพ็ญมาแต่อดีตกาล จึงไม่นับเป็นเหตุ สาคญั ในปัจจุบันอนั จาเป็นต้องอา้ ง สว่ นการอา้ งเรือ่ งแพ้มติในสภาศากยวงศ์เปน็ เหตุสาคญั ผู้จรนาน่าจะม่งุ ถึงเรอ่ื งเฉพาะหน้า คือเรื่องการเมืองท้งั สว่ นภายนอกและภายใน ซง่ึ ศากยวงศ์พวั พันอยู่ภายใต้อธิปตั ย์ของแควน้ โกศล 2. เรอ่ื งเทศนาสอนอชาตศัตรูกุมาร โอรสของพระเจา้ พิมพสิ าร ทรงยกนทิ านนกกระสาเข้า มาประกอบ เรอ่ื งน้ีไมม่ ีในคัมภีร์ฝา่ ยเถรวาท ความข้อนี้ ชะรอยผู้รจนาพุทธประวัติมหายานมุ่งยกธรรมอันบุคคลผู้ครองเรือนจะพึง ปฏิบัติเพื่อสังคมเป็นสาคญั อชาตศัตรกู ุมารเป็นรัชทายาทจกั สืบสมบัติต่อไปภายหน้า จาต้องเลือกคัด คบค้าแต่ราชบริพารและมิตรสหายที่ดีงาม การคบมิตรชั่ว เช่น พระเทวทัต จักทาให้ประชาราษฎร์ที่ ทรงปกครองตกเปน็ เหยอื่ อคตขิ องผูป้ กครองและจกั ทาใหร้ าชบัลลังกค์ ลอนไมม่ ่นั คง คติข้างมหายาน มองเห็นความสงบสุขของสัตว์สังคมในปัจจุบันเป็นสาคัญเห็นปานน้ี ทศั นะการปฏบิ ตั ิธรรมและสงั่ สอนธรรมจึงหนักไปตามทางดังกล่าว อีกสถานหน่ึง ข้อน่าสังเกตมากคือพุทธศาสนิกชนมหายานมจี ีนและญ่ีปุ่นเป็นต้นยึดถือการ สร้างเยาวชนเป็นฐานความม่ังคงของชาติ การสร้างสมอบรมผู้เยาว์วัยให้เดินถูกทางเป็นหลักปฐมของ การดารงชาติ ในประเทศญ่ีปนุ่ ถึงกบั กาหนดเอาวันประสูตขิ องเจ้าชายสทิ ธัตถะเปน็ วันเด็กประจาชาติ 3. เร่ืองปัจฉิมโอวาท ฝ่ายเถรวาทกาหนดตาบลนครกุสินาราเป็นที่แสดงปัจฉิมโอวาท คืออัปปมาทธรรม ฝ่ายมหายานกาหนดกรุงราชคฤห์เป็นท่ีแสดง มีเรื่องอัปปมาทธรรมด้วย และมี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า พระพุทธศาสนามหายาน (BU 5009) 39 พระโอวาทเรื่องให้เคารพพุทธปฏิมากรและวัตถุแทนพระองค์ (ท้ังที่เคยประทานพระโอวาทว่า พระธรรมวนิ ัยเป็นตัวแทนพระองค)์ เรื่องตรงนี้ ฝ่ายมหายาน อธิบายหักเร่ืองให้เห็นว่ารูปเคารพคือเคร่ืองหมายแห่งความดี (ธรรมฝ่ายดี) ของผู้เป็นเจ้าของรูป การแสดงรูป (วัตถุ) จึงเท่ากับการแสดงให้เห็นตัวแทนของธรรม คตินี้คือคตินิยมสร้างรูปพระพุทธเจ้าและรูปพระโพธิสัตว์ (ตัวแทนของพระธรรม) ทาให้ค ติข้าง มหายานมีช่ือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โพธิสัตวยาน อันมี (รูปของ) พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เป็น จานวนคณนาไมไ่ ด้ เหมอื นเมด็ ทรายในแมพ่ ระคงคา แต่ในสุดท้าย พระโอวาทอันเก่ียวด้วยเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็จบลงด้วยอัปปมาทธรรม โดย ทรงสอนใหเ้ ห็นวา่ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารท้ังหลายทั้งปวงตกอย่ใู ต้อนจิ จลักษณะเหมือนกนั หมด เรื่องปฏิมากรมีทางให้เห็นได้อีกทางหนึ่งคือ มหายานยึดถือหลัก “เนมิตกพุทธ” (นิรมาณ กาย) เทา่ กับพระกายประเภทอืน่ อกี 2 คือ ธรรมกายและสมั โภคกายดว้ ย 4. เรื่องพระสงฆ์สาวกชุมนุมสาธยายปรัชญาปารมิตาสูตร ข้างหน้าจิตกาธาน ขณะพระ เพลิงเผาพุทธสรรี ะ คมั ภีร์ฝ่ายเถรวาทไม่มีพระสูตรชื่อนี้ แต่บอกไว้เพียงว่า พระอรหันต์ขีณาสพพากัน สาธยายสงั เวคกถา เพอื่ ยงั ความสังเวชโดยธรรมให้เกิด โดยมิไดบ้ อกช่อื พระสตู รทสี่ าธยาย ปรัชญาปารมิตาสูตรเป็นหลักสาคัญของลัทธิศุนยวาท แสดงภาวะศูนย์ของขันธ์ 5 พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไม่ให้ยึดถือ พระสูตรน้ีนิยมสวดกันมากในกลุ่มมหายานจีนและญ่ีปุ่น มีความ คล้ายคลงึ กบั สงั เวคปริกติ ตนปาฐะของเถรวาท 12. บคุ คลทมี่ ีบทบาทสาคัญของพระพุทธศาสนามหายาน บุคคลผู้มีบทบาทสาคัญทางมหายานประกอบไปด้วย 1. พระเจ้ากนิษกมหาราช 2. พระอัศวโฆษ 3. พระนาคารชุน 4-5. พระอสังคะและพระวสุพันธุ 6. พระทินนาคะ 7. พระธรรมกีรติ 8. พระสถิรมติ 9. พระจันทรมนตรี 10. พระรัตนเกียรติ 11. พระธรรมปาละ 12. พระคุณประภา 13. พระวิโมกเสน 14. พระพุทธปาลิตะ 15. พระภาววิเวก 16. พระสันติเทวะ 17. พระสมณะเฮี้ยนจังหรือพระถังซัมจั๋ง 18. พระอิคคิ้ว และ 19. พระจี้กง (อภิชัย โพธิ์ประสิทธิ์ศาสต์, 2525, น. 93-106) แต่ในที่น้ีจะเลือกศึกษา เฉพาะบุคคลทางมหายานที่เด่น ๆ 12.1 พระเจ้ากนิษกมหาราช พระเจา้ กนิษกมหาราชเป็นกษัตรยิ ์ชาวกุษาณะ ซึ่งเป็นสาขาหนงึ่ ของชนเผ่างว้ ยสี ชนเผ่านี้ แต่เดิมอยู่ในเตอรกีสตานของจีน (ปัจจุบันคือมณฑลซินเกียง) (พระมหาอมร อมโรและคณะ แปลและ เรียบเรียง, 2537, น. 172-174) เป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอันย่ิงใหญ่ดุจพระเจ้าอโศกมหาราช เสวย ราชย์ในพ.ศ.653 ได้ทรงแผ่อาณาเขตต้ังแต่เตอรกีสตานถึงลุ่มแม่น้าคงคา (เสถียร โพธินันทะ, 2519, น. 241-242) รัชสมัยของพระเจ้ากนิษกะได้พลิกประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาและวรรณคดี พระพุทธศาสนาข้ึนอีกครั้งหน่ึง พยานหลักฐานก็คือการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนามหายาน และการ ดาเนินงานทางวรรณคดีซึ่งเริ่มต้นโดยพระปารศวะ พระอัศวโฆษ พระวสุมิตร และคนอ่ืน ๆ ในสมัยน้ีเอง ที่ภาษาสันสกฤตได้เจริญข้ึนแทนท่ีภาษาบาลี ในด้านศิลปะการแกะสลักแบบคันธาระอันสวยงามก็ได้ เจรญิ รุ่งเรอื งและได้มีการเร่ิมสร้างพระพุทธรูปและรูปพระโพธิสัตว์ขึน้ ในรัชสมัยของพระเจ้ากนิษกะ และ ดว้ ยพระอุตสาหะของพระองค์ พระพทุ ธศาสนาจึงไดแ้ ผ่เขา้ สู่อาเซียกลางและอาเซยี ตะวันออกได้สาเร็จ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook