ศิลปะไร้รูปลกั ษณ์ เป็ นศิลปะที่ใชก้ ารแยกความรู้สึก หรืออารมณ์ออกจาก ความจริง มีความประสานกลมกลืนขององคป์ ระกอบ และทศั น- ธาตุมาก หรืออาจมีการเขียนภาพใหด้ ูพร่ามวั ไม่ชดั เจน มีการใช้ ลีลาแบบซ้าํ ๆ กนั ผลงานเป็นงานท่ีแทบจะไม่มีเคา้ โครงเดิมของ ธรรมชาติอยเู่ ลย การถ่ายทอดกจ็ ะไม่สนใจเรื่องราวท่ีตาเห็น
ศิลปะกง่ึ ไร้รูปลกั ษณ์ เป็ นศิลปะท่ีเกิดจากการตดั ทอน รูปทรงบางส่วนออกไปจากความจริง มี ก า ร ถ่ า ย ท อ ด อ ยู่ร ะ ห ว่ า ง ศิ ล ป ะ รูปลกั ษณ์ และศิลปะไร้รูปลกั ษณ์ อาจ เป็ นนามธรรมมากหรือนอ้ ยก็ได้ บางที รูปที่เห็นอาจเปล่ียนจากธรรมชาติจนไม่ สามารถจาํ ได้ ผูช้ มต้องใช้การสังเกต มากในการชมผลงาน
รูปแบบของานทศั นศิลป์ สามารถแบ่งออกได้ ๓ ลกั ษณะ ดงั น้ี รูปแบบงานทศั นศิลป์ ศิลปะรูปลกั ษณ์ ศิลปะกงึ่ ไร้รูปลกั ษณ์ ศิลปะไร้รูปลกั ษณ์ มคี วามเป็ นรูปธรรม มคี วามเป็ นนามธรรม มลี กั ษณะกาํ้ กง่ึ ของรูป งานท้งั สามชนิดน้ีจะอยบู่ นแกนเดียวกนั ศิลปะรูปลกั ษณ์จะอยดู่ า้ นหน่ึง ศิลปะไร้รูปลกั ษณ์ จะอยอู่ ีกดา้ นหน่ึง ตรงกลางระหวา่ งสองดา้ น เป็นศิลปะก่ึงไร้รูปลกั ษณ์ ศิลปิ นมีอิสระท่ีจะยนื อยบู่ น จุดใดจุดหน่ึงในเสน้ แกนน้ีกไ็ ด้
๒. รูปแบบงานทศั นศิลป์ ตะวนั ออก ความเจริญกา้ วหน้าทางศิลปะและวฒั นธรรมตะวนั ออกลว้ นมีรากฐานจากอินเดียและจีนท้งั สิ้น ส่วนใหญ่จะผสมผสานศิลปะกบั วฒั นธรรมทอ้ งถิ่นในแบบต่างๆ จนกลายเป็นศิลปวฒั นธรรมของ แต่ละชนชาติ
รูปแบบทศั นศิลป์ อนิ เดยี สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ ยอ้ นหลงั ไปในช่วง พ.ศ. ๒๔๖๔ นกั โบราณคดีไดเ้ ริ่มขดุ หาหลกั ฐาน ทางโบราณคดี เพอื่ พสิ ูจนค์ วามรุ่งเรืองของอินเดียในสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ และจากการขดุ คน้ ทาํ ใหไ้ ดท้ ราบความจริงเกี่ยวกบั การสร้างเมืองโบราณนบั ร้อยแห่ง แต่มีสองแห่งที่สาํ คญั คือ ซากเมือง โบราณฮารัปปา และ โมเฮนโจ - ดาโรบริเวณลุ่มแม่น้าํ สินธุและตอนบนของลุ่มแม่น้าํ คงคา ซ่ึงผล การศึกษาพบวา่ เมืองเหล่าน้ีสร้างต้งั แต่เม่ือประมาณ ๒,๕๐๐ หรือ ๒,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช
ซากเมอื งโบราณโมเฮนโจ - ดาโร ป้ อมปราการเมอื ง ท่อระบายนํา้ เสีย ซ่ึงเช่ือม ไปยงั ท่อระบายนํา้ ขนาดใหญ่ทฝ่ี ังอยู่ใต้ถนน ห้องอาบนํา้ ขนาดใหญ่ทม่ี ี ยุ้งฉาง อ่างอาบนํา้ และห้องสุขา
ลัก ษ ณ ะ ก า ร ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ง า น ของอินเดียแสดงให้เห็นถึงความ- เชื่อ และความคิดสร้างสรรค์ เช่น ที่ประทบั ตราแกะสลกั จากหินสบู่ แต่ละอนั มกั จะมีรูปลกั ษณ์เป็ นภาพ เทพเจา้ และสัตวป์ ระเภทต่างๆ เช่น วัว ค ว า ย เ สื อ มี ก า ร จ า รึ ก เ ค ร่ื อ ง ห ม า ย ห รื อ ตัว อัก ษ ร ประมาณ ๒๗๐ ตวั ซ่ึงอาจเป็ นการ กาํ เนิดของตวั อกั ษรอินเดียกเ็ ป็นได้
น อ ก จ า ก น้ ั น ย ัง พ บ เคร่ืองประดบั ทาํ ดว้ ยหินมี ค่าหลายชนิด บาชนิดทํา ด้วยกระดูกสัตว์ งาช้าง เปลือกหอย หรือประเภท ดินเผาทําเป็ นรู ปนกและ สั ต ว์ เ ป็ น ข อ ง เ ด็ ก เ ล่ น เป็ นตน้
จ า ก ห ลัก ฐ า น บ า ง ชิ้ น ท ํา ใ ห้ พ บ ว่ า อินเดียมีการติดต่อกับเมโสโปเตเมียและ อียิปต์ ซ่ึงดูได้จากประติมากรรมลอยตัว ขนาดเลก็ เป็ นรูปคร่ึงตวั ชายมีเครา ใบหนา้ คลา้ ยชนชาติเซเมติก (Semitic) ในเมโสโป- เตเมียที่พบในเมืองเมนเฮนโจ – ดาโร
สมยั ประวตั ศิ าสตร์ รูปแบบศิลปะอินเดียส่วนใหญ่มุ่งพรรณนา หรือเล่าเรื่องเป็นสาํ คญั และมกั ถ่ายทอดเป็นลกั ษณะรูปนูนต่าํ หรือภาพเขียนบนฝาผนงั ขนาดใหญ่
ศิลปะอินเดีย สามารถจาํ แนกรูปแบบออกเป็นสมยั ต่างๆ ๕ สมยั ดงั น้ี ๑) รูปแบบศิลปะแบบสาญจี (Sanchi) จดั เป็นศิลปะอินเดียท่ีมีความเก่าแก่ท่ีสุด อยใู่ นสมยั ราชวงศ์ เมารยะและศุงคะ ในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช พบศิลปะสมยั น้ีท่ีมีความโดดเด่น ไดแ้ ก่ ถ้าํ พระราชวงั สถูป และเสาแปดเหล่ียม สถูปสาญจี เป็ นสถูปท่ีเป็ นตน้ แบบของสถูปอื่นๆ มีลกั ษณะ เป็นโอคว่าํ หรือขนั คว่าํ
รูปประติมากรรมของอินเดียในระยะแรก มกั เป็ นลวดลายประกอบสถาปัตยกรรม มีท้งั ประเภทรูป ลอยตวั ภาพสลกั นูนต่าํ และรูปเคารพในศาสนฐาน หรือเทพเจา้ ที่สาํ คญั ๆ ในงานจิตรกรรม ส่วนรูปเก่าแก่ ที่มีช่ือเสียงท่ีสุด คือ จิตรกรรมผนงั ถ้าํ โยคิมารและจิตรกรรมผนงั ถ้าํ อชนั ตา
๒ ) รู ป แ บ บ ศิ ล ป ะ แ บ บ คั น ธ า ร ะ (Ganhara) จัดเป็ นรู ปแบ บ ศิ ลป ะท่ี ไ ด้รั บ อิทธิพลศิลปะของกรีกรุ่นหลงั เขา้ มาผสมผสาน กบั ศิลปะทอ้ งถ่ิน พทุ ธลกั ษณะที่ เด่น คือ การสร้างพุทธศิลป์ ดว้ ยการแกะสลกั ศิลาสีน้ํา เงินปนเทา หรือสีค่อนขา้ งเขียว ในสมยั น้ีเป็นยคุ เริ่มในการประดิษฐพ์ ระพทุ ธรูปเป็นมนุษย์
๓) รูปแบบศิลปะแบบมถุรา (Mathura) ประติมากรรมในสมยั น้ีนิยมใชห้ ินทราย สีชมพูแก่ ลกั ษณะพระพุทธรูปสมยั น้ียงั มี อิทธิพลการสร้างแบบคนั ธาระอยบู่ า้ ง แต่พระพกั ตร์เริ่มมีลกั ษณะคลา้ ยชาวอินเดีย มากข้ึน พระเศียรกลม พระจีวรบางกว่า แบบคันธาระ และจะแนบสนิทกับลาํ ตัว นอกจากน้ี ยงั มีภาพแกะสลกั บนงาชา้ ง และกระดูก
๔ ) รู ป แ บ บ ศิ ล ป ะ แ บ บ อ ม ร า ว ดี (Amaravati) มีรูปแบบศิลปะที่ผสมผสาน บางส่วนมีลักษณะคล้ายแบบมถุรา ในช่วง แรกศิลปะสมยั น้ีจะมีความต่ืนเตน้ มาก และต่อมาค่อยสงบลง แล้วกลับแสดงท่า เคลื่อนไหวใหม่อีกคร้ังหน่ึง ภาพบุคคลไม่มี รูปร่างสมบูรณ์ดงั แต่ก่อน เป็ นศิลปะที่ทาํ ตาม อุดมคติปนกบั การแสดงชีวติ จิตใจ ภาพจะเป็น ลกั ษณะวงกลมแสดงการนาํ บาตร หรือพระ เกศาพระพุทธเจา้ ข้ึนไปสู่สวรรค์ พระพุทธรูป แบบอมราวดี มกั ครองจีวรห่มเฉียง จีวรเป็ น ริ้วท้งั องค์ และเบ้ืองล่างใกลพ้ ระบาทมกั มีจีวร ขอบหนายกจากดา้ นขวามาพาดขอ้ พระหัตถ์ ซา้ ย
๕) รูปแบบศิลปะแบบคุปตะ (Gupta) ศิลปะ แบบคุปตะถือเป็ นยุคทองของศิลปะอินเดีย ซ่ึง ศิลปะในยุคสมัยน้ันเป็ นศิลปะ ที่มีรู ปแบบ พัฒ น า ม า จ า ก ศิ ล ป ะ แ บ บ เ ก่ า ลัก ษ ณ ะ พระพุทธรูปมีความสมดุล ไดส้ ัดส่วน มีความ- ละเอียดอ่อนสวยงามแบบธรรมชาติ รูปร่างและ สดั ส่วนชดั เจน
จ ะ เห็ น ไ ด้ว่า ศิ ล ป ะข อ ง อินเดีย เกิดจากแรงบันดาลใจ ในทางศาสนาและลทั ธิความเช่ือ ต่างๆ จากน้ันก็ได้ขยายอิทธิพล ไปสู่ ภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชีย- ตะวนั ออกเฉียงใต้ และเอเชีย- ตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธศาสนาและศิลปะทาง พระพุทธศาสนา ซ่ึงเจริญสูงสุด ในสมัยคุปตะและมีวิวฒั นาการ อยา่ งต่อเนื่องหลงั สมยั คุปตะ
รูปแบบทศั นศิลป์ จนี สมัยก่ อนประวัติศาสตร์ ศิลปะจีน โบราณมีการพฒั นามาอยา่ งต่อเน่ือง และยาว นาน แล ะยังมี อิ ทธิ พ ลต่อ กา ร สร้างสรรคผ์ ลงานในดินแดนต่างๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในเอเชี ยตะวันออกและเอเชี ย ตะวนั ออกเฉียงใต้ งานศิลปะของจีนมีลกั ษณะ ใส่ใจธรรมชาติ และให้ความสนใจในเพ่ือ มนุษยส์ งั คม
จากการขดุ คน้ ทางโบราณคดี โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ที่ถ้าํ โจวโข่วเต้ียน มีการพบกระดูกมนุษย์ ปักก่ิง เครื่องมือหิน เหลก็ ไฟ และเครื่องใชต้ ่างๆ มากมาย จึงสนั นิษฐานไดว้ า่ มีการต้งั ถ่ินฐานในจีน เม่ือประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ปี มาแลว้
มีการพบหลกั ฐานที่แสดง ได้ว่าสังคมชาวจีน มีการจัด องค์กรทางสังคมท่ีกา้ วหน้าบน รากฐานของการเกษตร มีความรู้ ทางฝี มือช่างในระดบั สูง มีการ ทาํ พิธีกรรมร่วมกนั รู้จกั การใช้ พู่กนั แสดงความรู้สึกนึกคิดทาง ศิลปะ รู้จกั ใส่เส้ือทอหยาบๆ มี เครื่องประดบั เป็ นลูกปัดหิน ซ่ึง เจาะรู และทาสี แดงด้วยสี สนิ ม เหล็ก มีการพบเครื่องมือทาํ ดว้ ย หินขนาดเล็ก รวมไปถึงการพบ วตั ถุเรขาคณิต ซ่ึงเป็ นศิลปะใน ยคุ หินกลาง
หลกั ฐานยุคหินใหม่ที่เห็นชดั พบท่ีหยางเซ่า มณฑลเหอหนาน เป็ นภาชนะเครื่องป้ันดินเผา ฝี มือ ประณีต เน้ือสีแดงทาสีดาํ หรือชนิด มีลวดลาย มีอายปุ ระมาณ ๒,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช และอีกแหล่งหน่ึง ท่ีคน้ พบในหลงซาน มณฑลซานตง เป็ นเครื่องป้ันดินเผา ป้ันโดยการใช้ แป้ นหมุน และรมดาํ หม้อสามขา เป็ นเคร่ืองป้ันดินเผาหลงซานท่ีมี ชื่อเสียงที่สุด
นอกจากน้ีมีการพบไถหน้ากวา้ ง ขวาน กริช โดยเฉพาะมีดสําหรับสับแบบปังตอ ซ่ึง บางชิ้นทาํ ดว้ ยหยก ทาํ ให้สามารถสันนิษฐาน ไดว้ า่ ศิลปะแบบหลงซาน อาจเป็นตน้ กาํ เนิด ท่ี ใกลเ้ คียงกบั ศิลปะจีนราชวงศ์ชาง ซ่ึงนับเป็ น ศิลปะสมยั ประวตั ิศาสตร์ของจีน
๒) สมยั ประวตั ิศาสตร์ สมยั ประวตั ิศาสตร์ของจีนจะแบ่งออกเป็ นยุคสมยั ท่ีสะทอ้ นถึงรูปแบบ ทางทศั นศิลป์ ที่สาํ คญั ดงั น้ี
๑) รูปแบบศิลปะสมยั ราชวงศ์ชาง (Shang Dynasty) ศิลปะวสั ดุที่เด่นที่สุด คือ เครื่องสาํ ริด ซ่ึงมี ทรวดทรงสวยงาม ใหญ่โตแขง็ แรง หล่อดว้ ยฝีมือยอดเยยี่ ม ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นความกา้ วหนา้ ในการหล่อ สาํ ริด ลวดลายมีท้งั แบบนูนและฝังลงไปในเน้ือสาํ ริด เช่น ลายเรขาคณิต ลายสายฟ้ า ลายกอ้ นเมฆ
ศิลปะสมยั ราชวงศช์ าง มีการแกะลวดลายซ่ึงเป็นลกั ษณะของสตั วท์ ี่โดดเด่น ไดแ้ ก่ เทาเท่ย (Tao-tieh) ซ่ึงสามารถเห็นเป็นรูปจมูก เขา และ ตา อยา่ งชดั เจน ศิลปะเช่นน้ีมกั มีปรากฏในศิลปะจีนเรื่อยมา
เครื่องหยกประเภทต่างๆ แสดงให้เห็นถงึ ความสามารถ ของช่างชาวจนี ในสมยั ราชวงศ์ชาง ที่สามารถเจียระไนและแกะสลักหยกให้เป็ นรูปลวดลายต่างๆ กัน โดยสัญลักษณ์ที่นิยมมากได้แก่ สัญลกั ษณ์สวรรค์ โลก และทศิ ท้งั สี่
๒) รูปแบบศิลปะสมัยราชวงศ์ โจว (Chou Dynasty) ความกา้ วหนา้ ของศิลปะในสมยั ราชวงศช์ าง ไดส้ ืบ ท อ ด ม า ต้ ั ง แ ต่ ส มั ย ร า ช ว ง ศ์ โ จ ว โดยเฉพาะเทคนิ คในการหล่อสําริ ด แต่เอกลักษณ์ของราชวงศ์โจวจะมี การเน้นลวดลายประดบั ประดามาก ข้ึน มีความซับซ้อนมากข้ึน เช่น ลวดลายมงั กรหลายตวั ซอ้ นกนั และเกี่ยวกระหวดั ไปมา
ในการแกะสลกั หยก ฝีมือช่างราชวงศโ์ จว จะมีความยอดเยย่ี มกวา่ ราชวงศช์ างมาก อีกท้งั มีการพฒั นาการทาํ เครื่องป้ันดินเผา ซ่ึงอาจเรียกไดว้ า่ เป็นตน้ แบบของเคร่ืองเคลือบจีน เพราะ เริ่มมีการรู้จกั กรรมวธิ ีในการเคลือบน้าํ ยาเบ้ืองตน้ และรู้จกั การเผาดว้ ยไฟอุณหภูมิสูง
๓) รูปแบบศิลปะสมัยราชวงศ์ จ๋ิน หรือ ฉิน (Chin Dynasty) ในสมยั น้ีสถาปัตยกรรมจะเนน้ ความมโหฬาร เช่น กําแพงเมืองจีน ซ่ึงมีความยาว ประมาณ ๖,๗๐๐ – ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร
ประติมากรรมดินเผาที่มีรูปแบบเป็ นรูปทหารขนาดเท่าคนจริงฝังอยู่ในสุสานจกั รพรรดิฉินส่ือหวงต้ี หรือจิ๋นซีฮ่องเตแ้ ห่งราชวงศฉ์ ิน ซ่ึงพระองคไ์ ดส้ ร้างไวล้ ่วงหนา้ ก่อนสวรรคต ๓๐ ปี หุ่นแต่ละตวั จะมีรูปร่าง หนา้ ตา ท่าทาง การแต่งกายแตกต่างกนั ออกไป กรรมวิธีการป้ัน ป้ันโดยการใชด้ ินเหนียวสีเทา แลว้ นาํ ไปเผา ไฟ เช่นเดียวกบั การทาํ เคร่ืองป้ันดินเผา
๔) รูปแบบศิลปะสมัย ราชวงศ์ฮ่ัน (Han Dynasty) ประติมากรรมเต็มรูป หรือ รูปลอยตัว เริ่มปรากฏคร้ัง แรกในสมยั น้ี มีการพฒั นา ท า ง ด้ า น ก า ร อ อ ก แ บ บ กรรมวิธีการสร้าง และมโน ภาพในงานสถาปัตยกรรม จิ ต ร ก ร ร ม ป ร ะ ติ ม า ก ร ร ม หรือศิลปะทวั่ ไป
ในส่วนของประติมากรรม มีการนําหินมาสลักเป็ นรู ป ลอยตัวและรู ปแบนแสดง เรื่องราวเก่ียวกบั เทพนิยาย ตามความเชื่อในลทั ธิเต๋า
นอกจากน้ีมีการประดิษฐ์กระดาษใชแ้ ทนผา้ ไหม และแผน่ หิน มีการสร้างทองรูปพรรณท่ี ข้ึนช่ือในความประณีต งดงาม
๕) รูปแบบศิลปะสมยั ราชวงศ์จนิ้ (Jin or Tsin Dynasty) ในสมยั น้ี พระพทุ ธศาสนาไดน้ าํ ความเช่ือใหม่มาสู่จีน และมีส่วนเปล่ียนแปลงศิลปกรรมที่จีนเคย ทาํ มาแต่เดิม ทาํ ใหพ้ ฒั นาไปสู่แบบพทุ ธศิลป์ แบบใหม่ เช่น การสร้างรูปเคารพศาสน สถาน เป็นตน้
พุ ท ธ ป ร ะ วัติ จ า ก อินเดียก็เขา้ มามีบทบาท ต่อการสร้างสรรค์งาน ศิลปะที่เกี่ยวกบั พุทธศาสนาในจีนด้วย จ ะ เ ห็ น ไ ด้ว่ า ก า ร ส ร้ า ง พระพุทธรู ปในช่ วงแรก จ ะ เ ป็ น ลัก ษ ณ ะ ข อ ง ศิลปะอินเดีย แต่ระยะ ห ลัง มี ก า ร ป รั บ เ ป ล่ี ย น ให้มีพระพุทธรู ปเป็ น ลกั ษณะเป็นของจีนเอง
๖) รูปแบบศิลปะสมยั ราชวงศ์ถงั (Tang Dynasty) ในสมยั น้ีเป็นยคุ ทองของศิลปวฒั นธรรมจีนทุก ประเภท โดยเฉพาะเครื่องเคลือบ ฝีมือช่างเครื่องเคลือบของจีนมีคุณภาพสูงกวา่ ช่างผลิตเครื่องเคลือบ จากทุกชาติในโลก โดยเคร่ืองเคลือบท่ีเป็นท่ีรู้จกั กนั ดีในยคุ สมยั น้ี มีชื่อวา่ เคร่ืองเคลือบสามสี
เคร่ืองเคลือบสามสี มีลกั ษณะแขง็ แรงและสง่างาม ซ่ึงถือเป็นลกั ษณะเฉพาะของกระเบ้ืองใน สมยั ราชวงศถ์ งั โดยมีลกั ษณะเน้ือดินละเอียด ขาวหม่น ในการเคลือบน้าํ ยาจะมีการเวน้ ส่วนฐานไวเ้ พือ่ แสดงฝีมือของช่าง อีกท้งั ลวดลายท่ีปรากฏบนเครื่องเคลือบน้ียงั แสดงใหเ้ ห็นอิทธิพลของเปอร์เซียอีกดว้ ย
ในดา้ นผลงานจิตรกรรม จักรพรรด์ิราชวงศ์ถังได้ให้ การสนับสนุนจิตรกรอย่างดี เยี่ยม ในสมัยน้ันการเขียน ภาพเหมือนเป็ นท่ีนิยมมากใน ราชสํานัก จิตรกรท่ียิ่งใหญ่ ที่สุดในสมยั ราชวงศถ์ งั คือ เหยยี นหลี่เปิ่ น (Yan Li-Pen)
จิตรกรรมสมยั ราชวงศ์ถงั มักมีการวาดรู ปเหมือนท้ังตัว คลา้ ยกับประติมากรรมในสมัย แรกๆ ประดับด้วยอาภรณ์ หรูหรา ระบายสีตามความเป็ น จริง ซ่ึงอาจเรียกได้ว่าเป็ นแนว สจั นิยม
ขณะเดี ยวกัน อิทธิ พลทาง พระพุทธศาสนา ก็ส่งเสริ มให้มี จิตรกรรมเก่ียวกบั พระพุทธศาสนา โดยมี องค์ประกอบของภาพที่ ใหญ่โตข้ึน มีลวดลายซับซ้อนกว่า ในสมยั ราชวงศอ์ ่ืนๆ การเขียนภาพ จะเขียนเก่ียวกบั พุทธประวตั ิควบคู่ ไปกับสวรรค์ ในสมัยน้ีจะเห็นได้ อยา่ งชดั เจนวา่ พระพทุ ธศาสนาเป็น แรงบนั ดาลใจอยา่ งมากในการเขียน ภาพ
๓. อทิ ธิพลของวฒั นธรรมระหว่างประเทศทมี่ ตี ่องานทศั นศิลป์ หลกั ฐานในอดีตทาํ ให้พบว่าชาติท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรมมกั มีอิทธิพลต่อชาติอ่ืนที่มี วฒั นธรรมดอ้ ยกว่าเสมอ เช่น วฒั นธรรมอินเดียท่ีไดร้ ับมาจากเมโสโปเตเมียและอียิปต์ซ่ึงมีความ- เจริญรุ่งเรืองมาก่อน และจีนท่ีไดอ้ ิทธิพลจากอินเดียในเรื่องพระพุทธศาสนา ดงั น้นั หากเปรียบกนั แลว้ อารยธรรมอินเดียจะมีความเจริญทางศิลปวฒั นธรรมท่ีพฒั นามายาวนานกวา่ จีน
อาจกล่าวไดว้ า่ ความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวฒั นธรรมของภมู ิภาคต่างๆ ในโลกตะวนั ออกลว้ นมีความ หลากหลาย แต่ความจริงแลว้ รากฐานทางวฒั นธรรมของตะวนั ออกท้งั หมดลว้ นมาจากจีนและอินเดียท้งั สิ้น
๓หน่วยการเรียนรู้ท่ี การแสดงออกทางทศั นศิลป์ ของศิลปิ น
๑. ศิลปิ นทางทศั นศิลป์ สาขาจติ รกรรม ประวตั โิ ดยสังเขป ปาโบล ปี กสั โซ เกิดท่ีประเทศสเปน เขาศึกษาศิลปะในสถาบนั ทางศิลปะและมี ความสามารถทางศิลปะเกินบุคคลในวยั เดี ยวกันจนประสบความสําเร็ จด้วย ระยะเวลาอนั รวดเร็ว หลงั จากน้นั ปี กสั โซ ได้มีโอกาสเดินทางไปยังฝรั่งเศส เพ่ือ ทาํ การศึกษาค้นควา้ เก่ียวกับการทํางาน ศิลปะ
ในช่วงแรกปี กสั โซสนใจศิลปะแนวอิมเพรสชนั นิสม์ (Impressionism) อยรู่ ะยะหน่ึงหลงั จากน้นั ปิ กสั โซ กไ็ ดพ้ ฒั นางานศิลปะใหม้ ีเอกลกั ษณ์เฉพาะตนแบบแรก ในช่วง พ.ศ. ๒๔๔๔ – ๒๔๔๗ ท่ีเรียกวา่ ช่วงสมยั สีน้าํ เงิน (Blue Period) เพราะการเขียนภาพของปี กสั โซมีการใชส้ ีน้าํ เงินและสีเทาเป็นหลกั ส่วนเรื่องราวจะเป็นภาพผคู้ นที่กาํ ลงั อยใู่ นสภาพอ่อนระโหยโรยแรงท้งั ทางร่างกาย และจิตใจ
ต่อมาในช่วง พ.ศ. ๒๔๔๘ – ๒๔๔๙ ปี กสั โซ ใชว้ ิธีการระบายสีใน โทนสีแดงและสีน้ําตาลอ่อนๆ ซ่ึงดู แลว้ ให้ความรู้สึกอบอุ่น จึงเรียกช่วงน้ี ว่า ช่วงสมยั สีกุหลาบ (Rose Period) โดยเรื่องราวในการเขียนภาพ เกี่ยวกบั ละครสตั วเ์ ป็นส่วนใหญ่
หลงั จากน้ัน การเขียนภาพของปี กสั โซดูมีความ แข็งกระดา้ งข้ึนโดยแสดงออกในรูปแบบของภาพท่ีมี เหล่ียมใบหน้าคนในภาพดูคล้ายหน้ากาก ซ่ึงได้รับ อิทธิพลจากศิลปะของแอฟริกา ในระยะน้ีปิ กสั โซเริ่ม ให้ความสนใจกับพลังทางรู ปทรงของศิลปะสมัย เ ริ่ ม แ ร ก แ ถ บ แ อ ฟ ริ ก า แ ล ะ ส เ ป น โ บ ร า ณ ม า ก ขณะเดียวกนั ก็นาํ รูปทรงเรขาคณิตมาใชก้ บั ภาพเขียน มากยงิ่ ข้ึน จนภาพมีลกั ษณะถูกแบ่งออกเป็ นแผน่ ยอ่ ยๆ จาํ นวนมาก ก่อนที่พฒั นาไปสู่แนวคิวบิสม์ (Cubism) อยา่ งเตม็ ตวั
ผลงานและเกยี รตคิ ุณ ปี กัสโซ เป็ นศิลปิ นท่ีทําการ สร้างสรรคผ์ ลงานมาอยา่ งยาวนาน และ ผลงานก็มีการสร้างข้ึนในหลายรูปแบบ หลายเทคนิค และหลายวิธีการผลงาน ช่ือ “Les Demoiselles d’Avignon” พ.ศ.๒๔๕๐ เป็ นผลงานที่สําคญั และ สร้างชื่อเสียงให้แก่ปิ กัสโซ ซ่ึงเป็ น ผลงานที่นาํ ไปสู่แนวคิด ของลทั ธิบาศก นิยมในเวลาต่อมา
ภาพ “Guernica” (เกร์นีกา) พ.ศ.๒๔๘๐ ปี กสั โซไดเ้ ขียนไวบ้ นผนงั อาคารของรัฐบาลสเปนในงาน แสดงสินคา้ โลกท่ีกรุงปารีส เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐ ภาพน้ีถือว่าเป็ นผลงานที่มีช่ือเสียงโด่งดงั ที่สุดของปี กสั โซ ลกั ษณะของผลงานจะแสดงออกถึงเรื่องราวของสงครามกลางเมืองในสเปน สะทอ้ นถึงความรุนแรง ความ กลวั และความสะเทือนใจ ความน่าสนใจของภาพน้ีอยทู่ ี่การนาํ รูปทรงที่ขดั แยง้ กนั มาจดั ลงไปในภาพ มีการ ใช้น้ําหนักของสีหลายสีมาตดั กนั จนทาํ ให้ภาพมีความสับสนอลหม่าน สอดคลอ้ งไปกบั เหตุการณ์ของ สงครามไดเ้ ป็นอยา่ งดี
วเิ คราะห์การใช้วสั ดุ อุปกรณ์ และเทคนิคของปาโบล ปี กสั โซ ๑. การเลอื กใช้วสั ดุ อปุ กรณ์ และเทคนิคในการสร้างสรรค์ผลงาน ในระยะแรกสมยั ท่ีอยสู่ เปน และฝรั่งเศส ปี กสั โซนิยมใชส้ ีน้าํ มนั ในการเขียนภาพ ต่อมาจึงมีการใชว้ สั ดุต่างๆ ผสมลงไปในผลงานดว้ ย เช่น เศษกระดาษ ไม้ เป็นตน้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302