ประเภทของการ์ตูน สามารถแยกเป็นประเภทต่างๆ ไดด้ งั ต่อไปน้ี ๑. การ์ตูนล้อเลียน การ์ตูนลอ้ เลียนการเมืองเป็ นการ์ตูนท่ีมุ่งสะทอ้ นเรื่องราว เหตุการณ์ ทางการเมืองดว้ ยลกั ษณะลอ้ เลียน เสียดสี ประชดประชนั มีการเขียนภาพท่ีตรงประเด็นและ ชดั เจน
๒. การ์ตูนล้อเลยี นบุคคล เป็นการ์ตูนท่ีสามารถเขียนไดโ้ ดยง่าย ผเู้ ขียนตอ้ งพยายามสงั เกตคน้ หา รายละเอียดและลกั ษณะเฉพาะตวั ของบุคคลท่ีจะเขียนลอ้ เลียน โดยเนน้ ส่วนท่ีแตกต่างจากคนทว่ั ไป มา เนน้ ใหเ้ กินจริงเพื่อเป็นจุดเด่นของภาพ
๒. การ์ตูนขําขัน เป็ นการ์ตูนที่มุ่งเน้น ความขบขนั เป็ นหลกั นิยมนาํ เหตุการณ์ใกล้ ตวั มาเขียน รูปแบบของการ์ตูนอาจมีกรอบ เดียว หรือต่อเน่ืองกนั เป็นช่อง ๒ - ๓ ช่อง
๓. การ์ตูนเรื่อง เป็ นการ์ตูนที่นาํ เสนอเร่ืองราวต่อเน่ืองกนั จนจบ ไม่จาํ กดั ความยาว อาจจบในหนา้ เดียว หรือจบในหลายสิบหนา้ กไ็ ด้ เน้ือหาสามารถเป็นไดท้ ้งั แนวขบขนั หรือแนวชีวติ
๔. การ์ตูนประกอบเร่ือง เป็ น การ์ตูนที่เขียนข้ึนมาเพื่ออธิบาย หรือ ประกอบเน้ือหา ประกอบเรื่องราว และขอ้ เขียนต่างๆ ผูเ้ ขียนอาจสร้าง ข้ึนมาเพื่อประกอบโฆษณา เพื่อ ประกอบเน้ือหาทางการศึกษา หลกั สําคัญของการ์ ตูนประเภทน้ี คือ ต้อ ง ก า ร ส่ื อ ค ว า ม ห ม า ย ห รื อ สาระสําคัญของเร่ื องน้ันๆ อย่าง ชัดเจน โดยอาจเลือกหัวใจสําคัญ ของเร่ืองมานาํ เสนอใหผ้ ชู้ มรับรู้อยา่ ง ตรงวตั ถุประสงค์
ภาพยนตร์การ์ตูน เป็นการ์ตนู ที่สร้างเป็นเร่ืองราว หรือเพอื่ การโฆษณา แลว้ ถ่ายทาํ เป็นภาพยนตร์ มีการเคล่ือน ไหวเหมือนมีชีวติ การสร้างภาพยนตร์การ์ตูนแต่ละเร่ืองมีข้นั ตอนท่ียงุ่ ยากมาก เนื่องจากตอ้ งเขียนภาพน่ิง เป็นจาํ นวนมาก ต่อการเคล่ือนไหวในอิริยาบทหน่ึง แลว้ จึงคอ่ ยเขา้ สู่กระบวนการทางภาพยนตร์ต่อไป
แต่ในการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนในปัจจุบนั มีการใชเ้ ทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มากข้ึน ทาํ ให้การ สร้างภาพยนตร์การ์ตูนมีความง่ายข้ึนและน่าต่ืนเตน้ มากข้ึน
หลกั การเขยี นภาพการ์ตูนเบอื้ งต้น ภาพการ์ตูนท่ีเราพบเห็นในทุกวนั น้ี มีเทคนิคท่ีหลากหลายอนั เกิดจากการใชอ้ ุปกรณ์ต่างๆ แลว้ แต่ความถนดั ของผเู้ ขียน
อุปกรณ์พ้นื ฐานที่ใชใ้ นการเขียนภาพการ์ตนู กระดาษ ในการสร้างงานการ์ตูนจาํ เป็นอยา่ งมาก ท่ีจะตอ้ งมีกระดาษท่ีเหมาะสมกบั เทคนิคของผวู้ าด
กระดาษอาร์ตอดั มนั และอาร์ตด้าน เป็นกระดาษผวิ เน้ือแน่น ไม่ดูดซึมหมึก และสีไม่ซึม เหมาะกบั เทคนิค การวาดดว้ ยปากกาจุ่มหมึก กระดาษวาดเขียน ๑๐๐ ปอนด์ เป็นกระดาษเน้ือค่อนขา้ งแน่น สามารถซึมซบั น้าํ ไดด้ ี ไม่ยุ่ย ดา้ นที่มีความขรุขระเหมาะแก่การวาดการ์ตูนท่ีลงสีน้าํ ส่วนดา้ นเรียบเหมาะสําหรับการวาด ลายเสน้ และระบายสีดว้ ยปากกา
ปากกา ปัจจุบนั มีการผลิตปากกาหลายชนิดออกจาํ หน่าย เช่น ปากกาหัวไฟเบอร์ ปากกาหัว- สกั หลาด ซ่ึงมีหลายขนาด เสน้ สวยงาม สีสดใส ไม่ละลายน้าํ สามารถใชก้ บั งานวาดภาพกวา้ งๆ ไดด้ ี
พู่กัน เป็ นอุปกรณ์ท่ีมีความยืดหยุ่น และนุ่มนวลในตวั เอง สามารถนาํ ไปใชใ้ น เทคนิคต่างๆ ท่ีสร้างด้วยปากกาได้ เช่น ตวดั เสน้ ไปมา หรือการทาํ แสง-เงา
หมึกดํา หรือท่ีเรียก กัน ว่ า อิ น เ ดี ย น อิ ง ค์ (Indian Ink) เป็นหมึก บรรจุขวด เมื่อแหง้ แลว้ พ้ืนผิวท่ีได้จะค่อนขา้ ง มนั มีคุณสมบตั ิในการ กนั น้ํา ผูใ้ ช้สามารถใช้ ห มึ ก โ ด ย นํ า พู่ กั น จุ่ ม และใช้ได้เลย เวลา เ ลื อ ก ซ้ื อ ต้อ ง ดู ท่ี ค ว า ม เข้มข้นของหมึก และ หมึกตอ้ งไม่ตกตะกอน
หลกั พ้ืนฐานในการเขียนภาพการ์ตูน แนวคิด หมายถึง แรงบนั ดาลใจ มโนภาพ หรือจินตนาการท่ีคิดข้ึนมาเพื่อปรารถนาจะถ่ายทอด ออกมาเป็นงานการ์ตนู หรือการจบั ประเดน็ สาํ คญั ของเหตุการณ์
การร่ างภาพ หมายถึง การ กาํ หนดโครงสร้างของรูปแบบต่างๆ ก่อนที่จะวาดเส้น ลงหมึก หรื อ ระบายสี ผูว้ าดควรร่างโครงสร้าง ท้ัง ห ม ด เ พ่ื อ ใ ห้ เ ห็ น ภ า พ ร ว ม เพ่ือที่จะได้เห็นข้อบกพร่ องของ ภาพและสามารถแก้ไขภาพได้ ในทนั ที
รูปร่างและรูปทรง การเขียนภาพการ์ตูนจะตอ้ งฝึ กทกั ษะพ้ืนฐานดว้ ยการเขียนภาพเส้นรอบนอกของ คน สตั ว์ สิ่งของต่างๆ และพฒั นาความลึกของภาพใหเ้ ป็นลกั ษณะทศั นียภาพ
อารมณ์ หรือความรู้สึก หมายถึง การ ถ่ายทอดอารมณ์จากผูเ้ ขียนไปสู่คนดู ให้เกิด ความรู้สึกคลอ้ ยตาม เช่น อารมณ์ โกรธ เศร้า ตลก ขบขนั เป็ นตน้ ผูเ้ ขียน ควรศึกษาสีหน้า จากคนรอบขา้ งว่าอารมณ์ใดควรวาดสีหน้า แบบใด หรืออาจลองทาํ หนา้ ตนเองในกระจก ตามอารมณ์แบบต่างๆ แล้วลองนํามาวาด การ์ตูน
วธิ ีการเขียนภาพการ์ตูน การเป็ นนักเขียนภาพการ์ตูนท่ีดี ควรเริ่มตน้ จากการรู้จกั การจดั องคป์ ระกอบของภาพให้ไดเ้ สียก่อน และตอ้ งรู้จกั การมโนภาพความคิดใหเ้ กิดข้ึนเสียก่อน แลว้ ค่อยนาํ ความคิดน้นั ถ่ายทอดลงบนกระดาษ ภาพการ์ตูนที่จะประสบความสาํ เร็จไดน้ ้นั ภาพน้นั ๆ จะตอ้ งมีการแสดงอารมณ์ และความรู้สึกที่ชดั เจน และหลากหลาย
การเริ่มตน้ วาดภาพการ์ตนู จะตอ้ งเริ่มที่การร่างโครงภาพโดยใชด้ ินสอ ร่างเป็นวงกลม วงรี หรือ สี่เหลี่ยมก่อน จากน้นั จึงค่อยร่างส่วนโคง้ ส่วนเวา้ แลว้ จึงค่อยลงเสน้ จริงตามเสน้ ร่าง ผวู้ าดจะตอ้ งฝึก ทกั ษะการวาดโดยใหเ้ สน้ ไม่ขาด แลว้ จึงค่อยลงมือวาดการ์ตูนน้นั ๆ ไดต้ ามความสนใจ
๔. การนํางานทศั นศิลป์ ไปใช้ ในการออกแบบงานทศั นศิลป์ ตอ้ งคาํ นึงถึงโอกาส กลุ่มเป้ าหมาย ความงามทางศิลปะ และ สถานที่เสมอ เพื่อจะไดใ้ ชง้ านน้นั ๆ ไดเ้ หมาะสมกบั เป้ าหมาย เช่น ในวนั วาเลนไทน์ ผอู้ อกแบบตอ้ ง คาํ นึงถึงสิ่งที่จะนาํ มาสื่อถึงความรัก รวมไปถึงคาํ นึงถึงอายแุ ละเพศของผเู้ ขา้ ชมเพ่ือให้สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องงาน เป็นตน้
ศิ ลปิ นและนัก ออกแบบตอ้ งคาํ นึงถึง เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพ่ือที่จะได้ออกแบบ ให้มีความเหมาะสม เขา้ กนั รวมถึงความคิด ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ข อ ง ผูอ้ อกแบบท่ีจะทาํ ให้ ง า น อ อ ก ม า ส ม บู ร ณ์ สวยงาม มีคุณค่า และ เกิดประโยชน์ใช้สอย มากที่สุด
๕หน่วยการเรียนรู้ท่ี ศิลปวจิ ารณ์
๑. ความหมายและความสําคญั ของการวจิ ารณ์ศิลปะ ศิลปวิจารณ์ จัดเป็ น เน้ือหาใหม่สําหรับสังคมไทย เน่ื องจากวัฒนธรรมไทยมี ลักษณะของความอ่อนน้อม ถ่อมตน เชื่อฟังผูท้ ่ีอาวุโสกว่า ดังน้ันการพฒั นาศิลปวิจารณ์ จึงตอ้ งเริ่มมีการฝึ กหดั ต้งั แต่ใน ช้ันเรี ยน ด้วยการฝึ กให้รู้จัก แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ ตีความผลงานศิลปะอยเู่ สมอๆ กิจกรรมดงั กล่าวจะมีส่วนช่วย สร้างความเช่ือมนั่ ใหก้ บั ผเู้ รียน ในการวิจารณ์ศิลปะให้สูงข้ึน ได้
ความหมายของการวจิ ารณ์ศิลปะ พจนานุกรมทบั ศพั ทศ์ ิลปะฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานใหค้ วามหมายไวว้ า่ ศิลปวจิ ารณ์ หมายถึง การวพิ ากษ์ วจิ ารณ์ผลงานทางศิลปะซ่ึงศิลปิ นไดส้ ร้างสรรคไ์ ว้ โดยใหค้ วามเห็นตามกฎเกณฑแ์ ละหลกั การของศิลปะแต่ละสาขา ท้งั ในดา้ นสุนทรียศาสตร์และปรัชญาสาขาอ่ืนๆ ศิลปวจิ ารณ์เป็นเรื่องของการแสดงความคิดเห็นต่อผลงานทศั นศิลป์ ในรูปแบบต่างๆ เพือ่ การเสนอแนะ ปรับปรุง แกไ้ ขผลงานใหม้ ีความสมบรู ณ์มากยง่ิ ข้ึน และเพื่อใหค้ วามเห็นตาม กฎเกณฑ์ และหลกั การของทศั นศิลป์ แต่ละสาขาท้งั ในดา้ นความงามและความคิด
ศิลปวิจารณ์ หมายถึง กิจกรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การแสดงออกของความคิดเห็นของนักวิจารณ์ โดย อาศยั วิธีการพูด การบรรยาย การอธิบาย หรือเขียนเป็ นภาษาหนงั สือ เพื่อให้คนดู คนฟังทวั่ ไป ไดร้ ับรู้ หรือเขา้ ใจในงานศิลปะน้นั ๆ เพ่ือนาํ ไปใชพ้ ิจารณาตดั สิน และประเมินคุณค่าของผลงานศิลปะ
ความสําคญั ของการวจิ ารณ์ศิลปะ นกั วจิ ารณ์ศิลปะเป็นกลุ่มคนที่มีความสาํ คญั และมีความจาํ เป็นอยา่ งยง่ิ ต่อการเจริญเติบโตในวงการศิลปะ ดว้ ยนกั วจิ ารณ์เป็นตวั แทนของคนดูท้งั หลายที่จะบอกกบั ผสู้ ร้างสรรคผ์ ลงานชิ้นน้นั ๆ วา่ เขาเองมีความเขา้ ใจ ในงานศิลปะอยา่ งไรและช่ืนชอบงานศิลปะน้นั มากนอ้ ยเพยี งใด
การวจิ ารณ์ศิลปะจะช่วยเปิ ดเผยความสมั พนั ธ์อนั ใกลช้ ิดระหวา่ งผสู้ ร้างสรรคศ์ ิลปะกบั นกั วิจารณ์ศิลปะ ในดา้ นต่างๆ ท้งั คุณค่าของรูปทรง โครงสร้าง เน้ือหาสาระท่ีซ่อนอยู่ รวมถึงการรับรู้ความรู้สึกของศิลปะใน แง่มุมต่างๆ
ความสําคญั ของการวจิ ารณ์ ศิลปะสามารถสรุปได้ดงั ต่อไปนี้ ๑. ความสําคัญด้านการเรียน การสอนศิลปะ วิชาศิลปวิจารณ์จะ ช่วยให้ผูเ้ รียนสนใจวิชาศิลปะมาก ข้ึน วิชาน้ีจะช่วยให้ผูเ้ รียนฝึ กการ สังเกต พิจารณาสิ่งรอบตัวและ ศิลปะอย่างมี เหตุผล รู้ จักการ วิเคราะห์ ตีความ และตดั สินสิ่งท่ี ซ่อนเร้นอยู่ในผลงานด้วยความ- มนั่ ใจ
๒. ความสําคญั ด้านธุรกจิ ในการจัดแสดงผลงานศิลปะ เพื่อใหเ้ กิดรายไดแ้ ละเพิ่มยอดขายงานศิลปะ ใหส้ ูงข้ึน หรือเพอ่ื เพิม่ ความเช่ือมนั่ ความเขา้ ใจในคุณค่าของงานศิลปะ ผเู้ ป็นเจา้ ของงานศิลปะ อาจตอ้ งให้ ผวู้ จิ ารณ์ศิลปะทาํ หนา้ ที่เป็นตวั กลางระหวา่ งผสู้ ร้างสรรคผ์ ลงานกบั คนดูผลงาน เพ่ือโนม้ นา้ วใหผ้ ดู้ ูผลงาน เห็นคุณค่าของงานน้นั ๆ
๓. ความสําคัญด้าน การสร้ างสรรค์ ผลงานของ ศิลปิ น นักวิจารณ์ศิลปะจะ เป็ นผชู้ ้ีแนวทางใหแ้ ก่ศิลปิ น เพ่ือสะทอ้ นให้เห็นในสิ่งท่ี ขาด หรือเกิน และให้ศิลปิ น นาํ ไปปรับใชต้ ่อไป
๔. ความสําคญั ด้านการสะสมผลงานศิลปะของผู้สนใจ หรือลูกค้า ในการที่ศิลปิ นมีการสร้าง- สรรคผ์ ลงานออกมามาก อีกท้งั ผลงานมีราคาแพง จึงส่งผลใหน้ กั สะสมลงั เลในการเลือกซ้ือผลงาน ในการน้ีอาจจาํ เป็นที่จะตอ้ งใชก้ ารวจิ ารณ์ผลงาน เพอื่ ตดั สินผลงานน้นั ๆ ซ่ึงอาจเป็นความคิดเห็น ของตน หรือคนอื่นกไ็ ด้ ส่วนนกั วจิ ารณ์จะเป็นคนสุดทา้ ยที่จะสร้างความมนั่ ใจประกอบการตดั สินใจ ของผซู้ ้ืองานศิลปะ
๒. เคร่ืองมอื ในการวจิ ารณ์ศิลปะ การวิจารณ์ศิลปะจําเป็ นท่ีจะต้องใช้คนเป็ น เคร่ืองมือเพ่ือวดั ในผลงานของผูอ้ ่ืนในรูปงานศิลปะ ค ว า ม เ ชื่ อ ถื อ ส า ม า ร ถ เ กิ ด ข้ ึ น ไ ด้ห า ก นั ก วิ จ า ร ณ์ มี จรรยาบรรณพ้ืนฐานในการปฏิบตั ิงาน
เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวจิ ารณ์งานศิลปะ ไดแ้ ก่ ๑. นักวิจารณ์ต้องมีความคุ้นเคยกับผลงานศิลปะ การสร้างความคุน้ เคยจะเกิดข้ึนไดเ้ ม่ือมีการศึกษา งานน้นั ๆ อยา่ งเป็ นระบบ ไม่วา่ ในดา้ นประวตั ิศาสตร์ศิลป์ ดา้ นสุนทรียศาสตร์ ดา้ นทฤษฎีทางศิลปะ เป็ น ตน้
๒. นักวิจารณ์ต้องมีประสาทสัมผัสเชิงวิเคราะห์ คือ มีความสามารถในการโตต้ อบความหมาย ต่างๆ ท่ีซ่อนเร้นอยภู่ ายในผลงานศิลปะ หรือความสามารถในการแยกแยะความรู้สึกต่างๆ ของตนท่ีมี ต่อผลงานได้
๓. นักวิจารณ์ต้องมีข้อมูลและเหตุผลสนับสนุนความเช่ือของตน การวิจารณ์งานศิลปะจะตอ้ งมี กระบวนการ ซ่ึงประกอบไปดว้ ยการรวบรวมขอ้ เทจ็ จริง การเสนอหลกั ฐานพิสูจน์ การตดั สิน ซ่ึงหลกั เกณฑ์ วธิ ีการน้ี จะช่วยใหผ้ วู้ จิ ารณ์หลีกเลี่ยงการใชค้ วามรู้สึกส่วนตวั และการลาํ เอียงได้
๓. ทฤษฎศี ิลปะประกอบการวจิ ารณ์ศิลปะ การพฒั นาความรู้ทาง สุนทรียศาสตร์ในปัจจุบนั ที่ มี คื อ ก า ร พั ฒ น า เ ชิ ง ความคิด โดยทฤษฎีท่ีว่า ด้ ว ย ห ลั ก ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ประเภทของศิลปะน้นั มีอยู่ หลากหลาย ประการสาํ คญั นั ก วิ จ า ร ณ์ ต้ อ ง มี ค ว า ม - พร้อมในเร่ื องของ การมี ความรู้ มีวินัย มีความ- รอบคอบ และมีประสาท สัมผสั ท่ีดี เพื่อนาํ ไปสู่การ- ป ร ะ เ มิ น คุ ณ ค่ า ข อ ง ง า น ศิลปะน้นั ๆ
ทฤษฎีประกอบการวจิ ารณ์ศิลปะ ตอ้ งใชท้ ฤษฎี ดงั ต่อไปน้ี ๑. ทฤษฎีเลยี นแบบนิยม ทฤษฎีน้ีถือว่าการวิจารณ์จะเนน้ คุ ณ ค่ า เ ชิ ง พ ร ร ณ า รู ป แ บ บ ศิ ล ป ะ จ ะ ม อ ง จ า ก ภ า พ ที่ เ ห็ น อ ย่า ง ถูกตอ้ งชดั เจนที่สุด โดยจะให้ความสําคญั กบั ความเหมือนจริง พิจารณาฝี มือ ความถูกตอ้ งตามธรรมชาติ การรับรู้ไดจ้ ากสายตา เป็ นหลกั รวมไปถึงรายละเอียดหลกั การเขียนภาพต่างๆ เช่น ทศั นียภาพวทิ ยา กายวภิ าค องคป์ ระกอบศิลป์ เป็นตน้
๒. ทฤษฎีรูปทรงนิยม ทฤษฎีน้ี จะเนน้ คุณค่า ทางศิลปะ เก่ียวกับองค์ประกอบทางทัศนธาตุ และหลกั การทางศิลปะ การพิจารณาผลงานจะดู จากการจัดภาพ การใช้หลักการทางศิลปะ กฎเกณฑท์ างศิลปะ ที่ทาํ ใหผ้ ลงานมีเอกภาพ การคิดคํานวณ การวางแผน การวิจารณ์ตาม ทฤษฎีน้ีจะไม่มีการเกี่ยวโยงไปถึงชื่อเรียก หรือ ความหมายใดๆ ในงานท้งั สิ้น
สํ า ห รั บ จุ ด เ ด่ น ข อ ง ศิ ล ป ะ แ น ว รู ปทรงนิ ยม มิได้อยู่ที่การมีรู ปแบบ เรขาคณิต หรือนามธรรมเท่าน้ัน แต่อาจ เป็ นงานท่ีเป็ นรูปแบบตามธรรมชาติก็ เป็ นได้ นกั วิจารณ์จะคน้ หาคุณค่าของงาน จากความหมาย เร่ืองราว และวสั ดุ และจะ ตดั สินจากรูปแบบการจดั ว่าดูแลว้ เขา้ กบั ค ว า ม ห ม า ย ห รื อ วัส ดุ ที่ ใ ช้ห รื อ ไ ม่ กล่าวคือ หัวใจสาํ คญั ของการวิจารณ์ตาม ทฤษฎีรูปทรงนิยม จะมองในเร่ืองเอกภาพ ในความหลากหลาย ไม่ใช่เอกภาพทาง วสั ดุ แต่ตอ้ งเป็นเอกภาพทางรูปทรง
๓. ทฤษฎีอารมณ์นิยม ทฤษฎีน้ี จะเน้นคุณค่าทางการแสดงออกของความคิด อารมณ์ และ ความรู้สึกท่ีศิลปิ นถ่ายทอดจากผลงานศิลปะไปสู่ผมู้ องผลงาน คุณค่าทางศิลปะจะอยทู่ ี่ความคิด ความรู้สึก ท่ีผลงานมีต่อตนเองเป็นหลกั โดยไม่สนใจเรื่ององคป์ ระกอบ รูปทรง หรือความเหมือนจริง นกั วจิ ารณ์ กลุ่มน้ี ยอมรับผลงานศิลปะของเด็ก เพราะเล็งเห็นถึงการทาํ งานที่เกิดจากแรงกระตุน้ ภายใน ไม่ใช่ ประดิษฐ์ ประดอยเสริมแต่งเหมือนศิลปะของผใู้ หญ่
๔. ทฤษฎีเคร่ืองมือนิยม ทฤษฎีน้ีมีความเช่ือวา่ ศิลปะเป็ นเคร่ืองมืออยา่ งหน่ึงในการช่วยส่งเสริมจริยธรรม ศาสนา การเมือง ตลอดจนจุดประสงคต์ ่างๆ ทางจิตวิทยา คุณค่าทางศิลปะของทฤษฎีน้ีอยทู่ ่ีผลต่อเน่ืองอนั เกิดจากความคิดและความรู้สึก แสดงออกผา่ นผลงานศิลปะ ดงั น้นั การสร้างสรรคศ์ ิลปะจึงมีเป้ าหมายเพ่ือ ช่วยสงั คม การเมือง และจริยธรรม เช่น เพ่ือสนองความตอ้ งการของรัฐ ชนช้นั ปกครอง เป็นตน้
๔. ทฤษฎวี จิ ารณ์ศิลปะ การสร้างสรรค์ศิลปะกับการวิจารณ์ผลงานศิลปะ เป็ นปัจจัยท่ีมีความ เกี่ยวขอ้ งเชื่อมโยงกนั ช่วยให้ผูด้ ูไดเ้ กิดความเขา้ ใจ เขา้ ถึงคุณค่าภายในผลงาน ศิลปะชิ้นน้นั ไดก้ ระจ่างข้ึน
การวิจารณ์ศิลปะ มีจุดหมาย หรือทาํ โดย มีเจตนาดว้ ยถอ้ ยคาํ ภาษา(เขียน/พดู ) เพ่ือสนอง ออกมาวา่ นกั วจิ ารณ์รู้อะไรบา้ งเกี่ยวกบั ผลงาน ศิลปะชิ้นน้ันในเชิงทฤษฎี ซ่ึงในการวิจารณ์ การพูด หรื อการเขียนอาจไม่เพียงพอ จึง จาํ เป็ นตอ้ งใชท้ ฤษฎีการวิจารณ์ทางศิลปะเป็ น เคร่ืองมือในการวจิ ารณ์งาน
ทฤษฎเี หตุผลในการวเิ คราะห์แบบมจี ุดหมาย (Objective Critical Reasons) ของมอนโร เบยี ร์สลยี ์ (Monroe C. Beardsley) ทฤษฎีน้ีมีจุดหมายเพื่อให้นกั วิจารณ์ประเมินผลงานศิลปะดว้ ยเหตุผลและเป็ นไปตามศิลป์ ลกั ษณะ ของผลงานแต่ละประเภท ดงั น้นั ก่อนการวจิ ารณ์จะตอ้ งคาํ นึงถึงผลแห่งการวเิ คราะห์ดว้ ย
เหตุผลในการวเิ คราะห์งานของมอนโร เบียร์สลีย์ มี ๔ ขอ้ ดงั ต่อไปน้ี ๑. เหตุผลในการสร้างสรรค์ผลงาน เป็ น เหตุผลที่เกิดข้ึนก่อนการสร้างสรรค์งานศิลปะ เป็ นต้นเหตุของการเกิดข้ึนของผลงานซ่ึงอยู่ เบ้ืองหลังการทํางาน เช่น อาจเป็ นความต้ังใจ ความมุ่งมั่น ความจริงใจของผูส้ ร้างสรรค์งาน ศิลปะชิ้นใดชิ้นหน่ึง เพราะการวิเคราะห์ความ เขา้ ใจเป็ นสิ่งที่ยากหากดูแต่เพียงผลงานเท่าน้ัน ดงั น้นั นกั วิจารณ์ตอ้ งใชข้ อ้ มูลอื่นๆประกอบดว้ ย เพราะหากยิง่ รู้เบ้ืองลึกของการสร้างสรรคผ์ ลงาน มากเท่าใดยง่ิ ช่วยใหก้ ารวจิ ารณ์ไดผ้ ลมากเท่าน้นั
๒. เหตุผลจากความรู้สึก เป็นความรู้สึก อารมณ์ ที่ผวู้ จิ ารณ์ไดร้ ับจากผลงานศิลปะน้นั ๆ ใชภ้ าพ เป็นศูนยก์ ลางในการวจิ ารณ์ ไม่ใชน้ กั วจิ ารณ์เป็นศนู ยก์ ลาง การวจิ ารณ์จึงตอ้ งใชค้ วามรอบคอบในการ รับรู้ภาษาศิลปะท่ีผสู้ ร้างสรรคต์ อ้ งการส่ือใหผ้ ดู้ ูเขา้ ใจเร่ืองราวตามจุดประสงค์
๓) เหตุผลอย่างมีจุดหมาย การวิจารณ์ด้วย เหตุผลขอ้ น้ีค่อนขา้ งมีน้าํ หนักและมีความน่าเช่ือถือ มาก เนื่ องจากมี หลักการและระบบสัมพันธ์ สอดคลอ้ งกบั การประเมินอย่างมีสุนทรียภาพ เป็ น แนวการวิจารณ์ท่ีมีหลักและมีระบบ สามารถ นาํ ไปใชก้ บั การวิจารณ์ศิลปะจนกระทงั่ การสร้างงาน ศิลปะได้
เกณฑ์การพิจารณาผลงานโดยใช้ทฤษฎี เหตุผลอย่างมีจุดหมาย สามารถแบ่งออกเป็ น ๒ แบบ คือ
๑. เกณฑ์การพจิ ารณาแบบท่ัวไป เป็ นการวิจารณ์ท่ีพิจารณาถึงการบรรยาย วิเคราะห์ ตีความผลงาน ศิลปะ โดยยดึ หลกั การ ไดแ้ ก่ - หลกั ท่ีวา่ ดว้ ยเร่ืองเอกภาพ คือ บรรยายถึงความสอดคลอ้ งระหวา่ งรูปทรง โครงสร้างอยา่ งครบถว้ น ในผลงาน
- หลกั ที่วา่ ดว้ ยเร่ืองความลึกซ้ึง คือ การบรรยายถึงความมุ่งมน่ั ในแนวความคิด การสร้างสรรค์ พร้อม กบั นาํ เสนอผลงานท่ีชดั เจน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302