14 แผนภมู ทิ ่ี4.1 แผนภูมิการเปรยี บเทยี บผลระดบั ความพึงพอใจของการนอนท่ีนอนชนดิ เดิมต่อนวตั กรรมที่นอนหลอดซับพอร์ต กันเป้ือน แผนภูมิเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของการใช้งานที่นอนเดมิ และนวตั กรรมท่ีนอนหลอดซับพอร์ตกันเปื้ อน (ค่าเฉล่ยี ) 65 4 4.5 4.75 4.5 4 4 5 4.25 4.25 2.5 3.5 4.25 4 3.75 3 2.25 2.5 2.75 2.5 2 1.75 1.5 2 1 0 ทน่ี อนแบบเดิม นวตั กรรมทนี่ อนหลอดซบั พอร์ตกนั เปือ้ น จากแผนภูมพิ บว่า ระดบั ความพงึ พอใจในการใช้งานนวตั กรรมท่ีนอนหลอดซับพอร์ตกนั เปือ้ นมีระดบั ความพึงพอใจ เฉลีย่ มากกว่าระดบั ความพึงพอใจในการใชง้ านท่ีนอนชนิดเดมิ สรุปผลการศกึ ษา การศึกษาวจิ ัยคร้ังน้ีมวี ัตถุประสงค์เพื่อพฒั นานวัตกรรมที่นอนหลอดซับพอรต์ กันเปือ้ น ของนักศึกษาพยาบาลศา สตรบัณฑิตชัน้ ปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช ผู้วิจัยใช้การศึกษาการวิจัยกึ่งทดลอง(Quasi Experimental Research )โดยเก็บขอ้ มลู จากการประชาการคือ ผปู้ ว่ ยตดิ เตยี งที่มีแผลกดทับและมีผดู้ ูแล กลุ่มตัวอยา่ งท่ีใช้ในงานวิจัยคร้ังนี้ คือ ผปู้ ว่ ยติดเตยี งที่อาศัยอยใู่ น อำเภอบา้ นโป่ง จงั หวดั ราชบรุ ี และ อำเภอทองผาภูมิ จงั หวดั กาญจนบุรี จำนวน 4 คน โดย ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครือ่ งมอื ในการเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งเก็บข้อมลู มาได้ 4 ชุดโดยใช้ประเมินความพงึ พอใจในการนอนที่นอนท่ัวไปโดยประเมนิ กอ่ นใชง้ านใช้นวัตกรรม โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู เกยี่ วกับสถานภาพและข้อมลู พน้ื ฐานของผ้ตู อบแบบสอบถาม ไดแ้ ก่ เพศ อายุ คะแนนADL น้ำหนัก สว่ นสูง ระยะเวลาทนี่ อนตดิ เตียง ชนิดของที่นอนเดิมทใ่ี ช้ ตอนท่ี 2 การประเมินความพึงพอใจในการนอนทนี่ อนแบบท่ัวไปของผ้ใู ชน้ วตั กรรม ตอนท่ี 3 การประเมนิ ความพงึ พอใจในการนอนทนี่ อนนวัตกรรมที่นอนหลอดซบั พอร์ต กนั เปือ้ น 243
15 เอกสารอ้างอิง จฬุ ารตั น์ บนั ลือหาญ.(2558).โครงการทนี่ อนหมอนหลอดปลอดภัยจากแผลกดทับ.โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตำบลบา้ นโคก ตะเคียนงาม.สบื ค้นจาhttps://www.govesite.com/uploads/20171118111659ECctOc3/ ปรชั ญพร คำเมอื งลอื .(2563). การฟืน้ ฟผู ู้ปว่ ยท่ีมแี ผลกดทบั . คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่. https://w1.med.cmu.ac.th/rehab/images/Study พรทิพย์ สารีโส.(2560). ประสทิ ธิผลการป้องกนั การเกดิ แผลกดทบั ของท่นี อนชนดิ ไม่มีการเคลอ่ื นทข่ี องลมและชนดิ ทม่ี ีการ เคลอื่ นทข่ี องลม.วารสารสภาการพยาบาล,31(3),195-285.สืบค้นจาก https://he02.tci- thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/49845 ปรัชญพร คำเมอื งลอื .(2564).การฟน้ื ฟผู ูป้ ว่ ยท่ีมแี ผลกดทบั .เวชศาสตร์ฟน้ื ฟู คณะแพทยศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ สบื คน้ จากhttps://w1.med.cmu.ac.th/rehab/images/Study_guide/ พมิ พ์นิภา ศรีนพคณุ .(2564).ประสทิ ธภิ าพของโปรแกรมการพยาบาล นวัตกรรมท่นี อนยางหา่ งหายแผลกดทบั ในผู้ป่วยกลุ่ม เสย่ี งตอ่ การเกิดแผลกดทบั .พยาบาลสาร,48(4),294-395.สืบค้นจาก https://www.google.com/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=&ved=2ahUKEwjaoMXj- P35AhVpumMGHaAgB28QFnoECA4QAQ&url=https%3A%2F%2Fhe02.tci- ชวลี แยม้ วงษ.์ (2562).อุบัติการณแ์ ละปจั จยั เสยี่ งต่อการเกดิ แผลกดทบั ในผูป้ ่วยที่เข้ารบั การรกั ษาในแผนกอายุรศาสตร์. วารสารสภาการพยาบาล,20(1),33-47.สืบคน้ จากhttps://he02.tci- thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/5576/4850 244
1 ถังขยะท้ิง Antigen test kit (ATK)และขยะตดิ เชอ้ื สดุ าวดี บุญมาก1*, วรรณดิ า เจยี มจำเริญ2, ชาลิสา พูนดี3, ชุตนิ ันท์ มาเทศ4, ฐิตาภา ล่าทา5, เมธาพร วฒุ พิ งศ์วโิ รจน์6,รงุ่ อรณุ เอย่ี มสะอาด7,ศศิกานต์ คล้ายขำ8, อภิญญา พราหมณค์ ล้ำ9 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรชั คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั บรมราชชนก *[email protected] บทคัดยอ่ เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาขยะมีปริมาณมากและส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของประชาชน โดยสาเหตุเกิดจากการทิ้งขยะที่ไมถ่ ูกตามหลักวิธีและไม่แยกขยะส่งผลให้เกิดเชื้อโรคเพิ่มมากขึ้นจากการที่ขยะปะปนกัน ซึ่ง รฐั บาลได้มีนโยบายควบคมุ การท้ิงขยะโดยส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ การแยกประเภทของขยะให้ถูกต้องเพ่ือลดปัจจยั เสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรค ซึ่งการทิ้งขยะติดเชื้อมีขั้นตอนและวิธีการที่แตกต่างจากขยะทั่วไป การจัดการขยะติดเชื้อของสถานพยาบาล โดยเน้นเรื่อง ความสะอาดและปลอดภัย วิธีการเก็บรวบรวม ขั้นตอนการขนย้ายขยะติดเชื้อ ผู้ปฏิบัติงาน วัสดุอุปกรณ์ จนถึงวิธีการกำจดั ต้องเป็นไปตามกฎหมายกำหนด ซึ่งในบุคคลทั่วไปไม่เห็นถึงความสำคัญในการแยกยะติดเชื้ออกจากขยะทั่วไปทำให้เกิดความ เส่ียงในการแพร่ของโรคเพิ่มขน้ึ การวิจัยนี้เป็นแบบวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม ถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเชื้อ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของ ถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK) และขยะติดเชื้อ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัญฑิตชั้นปีที่ 3 จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ ถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK) และขยะติดเชื้อ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินประสิทธิภาพนวัตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติใช้แจกแจงความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์ ประสิทธภิ าพที่มตี ่อการใชถ้ ังขยะท้ิง Antigen Test Kit (ATK) และขยะตดิ เชื้อ ดว้ ยค่าเฉลยี่ และสถติ ิค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน ผลวิจยั พบว่า ผลจากแบบประเมนิ ประสิทธภิ าพนวัตกรรม ถังขยะทง้ิ Antigen Test Kit (ATK) และขยะตดิ เช้ือ ในกล่มุ ตวั อยา่ ง คือนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบัณฑติ ชัน้ ปีท่ี 3 จำนวน 50 คน วผั ลประสิทธิภาพนวตั กรรมตอ่ กลมุ่ ตวั อยา่ งต่อการใชถ้ ังขยะท้งิ Antigen Kit และขยะติดเช้อื พบวา่ ผลรวมอยใู่ นระดบั มากทส่ี ุด (X = 4.30, S.D = 2.32) คำสำคัญ : Antigen test kit (ATK), ถังขยะ, ขยะติดเชื้อ 245
2 Garbage can for disposing of ATK and infectious waste Sudawadee Boonmak1* , Wannida Jiamjamroen2 , Chalisa Poondee3 , Chutinun Mates4 , Thitapha Lata5 , Maytaporn Wuttipongwirote6 , Rungarun aeamsaard7 , Sasikarn klaikum8 , Apinya Pramklum9 Abstract Thailand is facing the problem of a large amount of waste that affects the health of the people. This was caused by the disposing of garbage that was not according to the method and separating the waste, resulting in more pathogens from the mixed garbage. The government has a policy to control waste disposal by encouraging proper classification of waste to reduce risk factors causing disease. The disposal of infectious waste has different procedures and methods from general waste. The management of infectious waste in hospitals by focusing on cleanliness and safety collection methods. Procedures for transporting infectious waste operators, materials and methods of disposal must comply with the law. The general public does not see the importance of separating infectious agents from general waste, increasing the risk of spreading the disease. This research is a quasi-experimental research with the aim of creating innovative garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste. To study the effectiveness of garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste. The sample group consisted of 50 third-year bachelor of nursing students. The research instruments were garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste. The tool used for data collection was the Innovation Performance Assessment Form. Statistics were used to distribute frequency, percentage, and efficacy analysis on the use of Antigen Test Kit (ATK) trash and infectious waste with mean and standard deviation statistics. The results showed that Results from the innovation efficiency assessment form, garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste. In the sample group of 50 third-year bachelor of nursing students, the results of innovation efficiency per sample on the use of garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste were found at the highest level (X = 4.30, S.D = 2.32). Keywords Antigen test kit (ATK), Garbage, infectious waste 246
3 บทนำ 1.1 หลักการและเหตุผล จุดเริ่มต้นการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธ์ุใหม่ เกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ซึ่งเป็น เมอื งที่มีประชากรมากทส่ี ดุ ในภาคกลางของประเทศจนี กว่า 19 ล้านคน โดยเมอ่ื วนั ท่ี 30 ธนั วาคม 2562 มกี ารรายงานว่า พบ การระบาดของกลุ่มโรคทางเดินหายใจแบบไม่ทราบสาเหตุ หลังจากพบการระบาดของ เชื้อไวรัสสายพันธุใ์ หม่ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนและองค์การอนามัยโลก ไดอ้ อกมาระบุวา่ ไวรสั ชนดิ ดังกล่าว คอื เชือ้ ไวรัสโคโรนา หรือ “โควดิ -ไนน์ทนี ” (COVID- 19) ตามการประกาศช่ืออยา่ งเปน็ ทางการที่ใชเ้ รยี กโรคทางเดินหายใจทีเ่ กิดจากไวรสั โคโรนาสายพันธุ์ใหมข่ ององค์การอนามัย โลก และพบการแพร่เชื้อจากคนส่คู น ผา่ นละอองฝอยขนาดเล็ก (aerosol) จากเหตกุ ารณด์ งั กล่าวทำใหเ้ ร่ิมมผี ู้ป่วยเพมิ่ ขน้ึ เป็น วงกว้าง มีการแพร่ระบาดลุกลามไปยังประเทศต่างๆ ส่งผลกระทบไปทั่วโลกมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่าง รวดเร็ว แม้สถานการณ์ในภาพรวมของประเทศไทยอยู่ในระดับคงตัวมีแนวโน้มลดลง เฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยในระบบบริการ อย่างไรก็ตามยังคงพบผตู้ ิดเช้ือจากการดำเนนิ การเชิงรกุ ในหลายพนื้ ท่ีและเรม่ิ พบการตดิ เช้ือภายในครอบครัว เพ่ือนร่วมงาน/ ร่วมกิจกรรม และบุคคลสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพมหานครมากขึ้น ทำให้ต้องดำเนินการเฝ้าระวังเชิงรุกอย่างต่อเนื่องทั้งใน พืน้ ที่เสีย่ ง อีกทั้งสถานการณก์ ารระบาดในระดับโลกยังคงมคี วามรนุ แรง และมคี วามเป็นไปได้ท่จี ะพบการแพร่ระบาดเช่นน้ีใน ประเทศไทยเปน็ ระยะ รูปแบบการแพร่ระบาดอาจจะแตกตา่ งกันในแตล่ ะจังหวัด ซ่ึงแต่ละประเทศมีมาตรการการปอ้ งกันและ ควบคมุ การแพร่ระบาดของโควิดทแี่ ตกต่างกนั (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ , 2564) มาตรการด้านสาธารณสุขในประเทศไทยมีมาตรการการล็อกดาวน์ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของ ประชาชนและธุรกิจในวงกว้าง ความรุนแรงของโรคและการแพร่กระจายบีบบังคับให้ทุกคนต้องปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการมี ปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อ่ืน คนจำนวนไม่น้อยต้องกักตัวทำงานที่บ้าน บ้างต้องด้ินรนหาวิธสี รา้ งรายได้ช่องทางอ่ืน บางคนต้อง เปลี่ยนอาชีพ ต้องประหยัดอดออม และใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น นอกจากนั้น การดำเนินชีวิตในแต่ละวันยังเปลีย่ นแปลงไปตั้งแต่ เช้าจนถึงเขา้ นอน มีมาตรฐานใหมท่ ี่กลายเป็นความจำเป็นในการดำรงชีวติ ประจำวนั เช่น การใส่หนา้ กากอนามัย การพกเจล แอลกอฮอล์เพื่อทำความสะอาดมือ ตลอดจนการหลกี เลีย่ งการสัมผัสวตั ถุสาธารณะ หรือหลีกเล่ียงการอยูก่ ับผู้คนเพื่อป้องกัน การตดิ เชือ้ ซ่ึงส่งผลต่อการเกิดขยะเพมิ่ มากขน้ึ (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2564) การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ปริมาณของขยะติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นจากแหล่งกำเนิดท่ี ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและความช่วยเหลือของภาคประชาชน เช่น โรงพยาบาลสนาม สถานบริการสาธารณสุข ผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospital) ศูนย์ฉีดวัคซีน (Vaccine Pop-Up) การแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และการแยกกักตัว ในชุมชน (Community Isolation) โดยขยะติดเชื้อที่พบมากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น หน้ากากอนามัย ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ชุดป้องกันอันตรายสว่ นบุคคล (PPE) และแผน่ ป้องกันใบหน้า (Face Shield) นอกจากนี้ ในกรณีของสถานที่กักตัว หากผู้ป่วยได้ส่ังอาหารเดลิเวอร่ีมารับประทาน กล่องบรรจุอาหารและภาชนะที่ใช้แล้ว รวมท้ัง กระดาษทิชชู่ ก็มีแนวโน้มได้รับการปนเปือ้ นเชื้อและกลายเป็นมูลฝอยติดเชือ้ ด้วย ซึ่งขยะเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการจัดการ อยา่ งถูกตอ้ ง เพ่อื ป้องกนั การแพร่กระจายของเชอ้ื โรคการจดั การขยะตดิ เชอื้ ของโรงพยาบาลสนามและสถานทีพ่ กั คอย สถานที่ กักตัวในครอบครัวที่มีสมาชิกติดเชื้อ โดยหลักการแล้วไม่แตกต่างจากการจัดการขยะตดิ เชื้อของสถานพยาบาล โดยเน้นเรื่อง ความสะอาดและปลอดภัย วิธีการเก็บรวบรวม ขั้นตอนการขนย้ายขยะติดเชื้อ ผู้ปฏิบัติงาน วัสดุอุปกรณ์ จนถึงวิธีการกำจัด ต้องเปน็ ไปตามกฎหมายกำหนด สว่ นกลุม่ รักษาตัวทีบ่ ้าน (Home Isolation) กม็ ีวธิ แี นะนำการกำจดั ขยะติดเช้ือสำหรับทำเอง ได้ทีบ่ า้ น การคัดแยกให้บรรจุใสใ่ นถงุ ขยะติดเชื้อ (ถงุ แดง) มัดปากถงุ แลว้ พน่ นำ้ ยาฆ่าเชื้อใสถ่ ุงอกี ช้ัน เกบ็ รวบรวมไว้ในจุดที่ 247
4 ปลอดภัย และประสานหนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวขอ้ งเขา้ มารับขยะตดิ เช้ือ เช่น องคก์ รปกครองส่วนท้องถ่นิ บรษิ ทั เอกชน โรงพยาบาล ชมุ ชน หรอื โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพอื่ นำไปกำจดั ต่อไป (มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2564) ปัจจุบันมีการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) อย่างแพร่หลายและอยู่ในชีวิตประจำวันซึ่งจะก่อให้เกิดขยะขึ้น ซึ่งขยะที่ได้จากการตรวจ Antigen Test Kit (ATK) นั้นจะมีประเภทท่ีแตกต่างกันซึ่งควรมกี ารคดั แยกเพื่อความปลอดภยั แต่ พบมีผู้ทิ้งชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) แบบที่ใช้แล้วลงถังขยะทั่วไป โดยไม่มีการผูกมัดถุงขยะให้มิดชิดหรือเขียนป้าย บอกเตือน เนื่องจากชุดตรวจ ATK ส่วนที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง น้ำมูก หรือน้ำลาย ที่ใช้ทดสอบถือเป็นขยะติดเชื้อ โดยการท้งิ ควรแยกเป็น 2 ส่วน คือ ขยะที่ไม่ได้ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือ สารคัดหลั่ง และขยะที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือสารคัด หล่ังท่ใี ช้ทดสอบ เชน่ ตลับหรอื แผน่ ทดสอบ หลอดใสน่ ำ้ ยา ฝาหลอดหยดไม้ Swap และยังมีขยะทป่ี นเปื้อนสารคัดหล่งั อนื่ ๆอกี ที่ทิ้งไม่ถูกต้อง เช่น หน้ากากอนามัย กระดาษทิชชู่ที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง ซึ่งขยะประเภทนี้ถอื เป็นขยะท่ีมคี วามเสี่ยงสูง ต้อง แยกจัดการจากขยะทว่ั ไป เพราะมีโอกาสแพร่กระจายเชือ้ โรคได้ (โรงพยาบาลบางปะกอก, 2565) วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช มีมาตรการในการป้องกันโควิดโดยให้นักศึกษามีการตรวจโควิดด้วยตนเอง และมีสถานทีก่ กั ตวั สำหรบั นกั ศกึ ษาทป่ี ่วยเปน็ โควิด สง่ ผลใหเ้ กดิ ขยะประเภทขยะตดิ เชื้อเพมิ่ มากขึ้น ซงึ่ ภายในวทิ ยาลัยไม่มีถัง ขยะติดเชื้อที่สามารถทิ้งขะติดเชื้อและอุปกรณ์ภายหลังการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการ แพรก่ ระจายเชื้อเพมิ่ มากขึ้นภายในวทิ ยาลยั ผจู้ ัดทำจึงเล็งเห็นความสำคัญของการแยกขยะตดิ เชือ้ ภายหลังการตรวจโควิดด้วย ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK)และการแยกขยะประเภทขยะติดเช้ืออ่นื ๆเช่น หน้ากากอนามัย ทิชชูท่ ปี่ นเป้ือนสารคัดหล่ัง เพอื่ ออกแบบอปุ กรณถ์ ังขยะที่มีความเหมาะสมกับการทงิ้ ขยะอย่างถูกต้องและปลอดภัย 1.2 วัตถปุ ระสงค์ 1.2.1 เพอ่ื สร้างสรรคน์ วตั กรรม ถงั ขยะทิง้ Antigen Test Kit (ATK)และขยะตดิ เชือ้ 1.2.2 เพอ่ื ศึกษาประสทิ ธิภาพของถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK)และขยะตดิ เชอื้ 1.3 สมมตุ ฐิ าน 1.3.1 ภายหลงั การใชถ้ ังขยะท้ิง Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเช้ือ ผใู้ ชส้ ามารถทิง้ ขยะติดเชอ้ื ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง มากกวา่ ก่อนการใช้ 1.4 ตัวแปรศกึ ษา ตัวแปรตน้ นวตั กรรมทิง้ Antigen Test Kit (ATK) ตัวแปรตาม ประสทิ ธิภาพการใชถ้ งั ขยะโดยการใช้วธิ กี ารสงั เกต ตวั แปรควบคมุ นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบ์ ณั ฑติ ชน้ั ปที ี่ 3 จำนวน 50 คน 1.5 ขอบเขตของการศกึ ษา 1.5.1 ขอบเขตดา้ นเนื้อหา - การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับ เรื่อง การแยกชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ภายหลังการใช้งาน และการทงิ้ ขยะติดเช้อื อืน่ ๆอยา่ งถกู ตอ้ งของนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบ์ ันฑิตช้นั ปที ี่ 3 วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี จักรรี ชั 1.5.2 ขอบเขตด้านพน้ื ทท่ี ศ่ี ึกษา - วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี จักรรี ัช 248
5 1.5.3 ขอบเขตด้านประชากร - นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบันฑิตชนั้ ปที ี่ 3 วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช นักศกึ ษา จำนวน 50 คน 1.5.4 ขอบเขตดา้ นเวลา - ระยะเวลาในการดำเนนิ การวิจยั ตัง้ แต่วันที่ 6 เดือนกรกฏาคม พ.ศ.2565 ถงึ วันท่ี 5 ตลุ าคม พ.ศ. 2565 1.6 คำนยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ Antigen test kit (ATK) คอื ชุดทดสอบโควิด-19 ที่รวดเรว็ และสะดวกต่อการใชง้ านโดยตรวจหาโปรตีนหรือ แอนติเจนของเช้ือกอ่ โรคโควดิ -19 โดยการเกบ็ ตวั อยา่ งจากทางจมกู ลกึ ถงึ คอหรอื เก็บจากลำคอ เหมาะสำหรับผสู้ ัมผสั โรคระดับ ความเสย่ี งสงู ท่ีมอี าการ เพ่อื คัดแยกตนเองออกจากผู้อืน่ และตดิ ตอ่ ขอเขา้ รับการรักษาหากมีการสมั ผสั โรคระดับความเสย่ี งสงู แตไ่ มม่ ีอาการ อาจใช้การทดสอบนต้ี รวจเบือ้ งตน้ ขยะตดิ เช้ือ หมายถงึ มลู ฝอยทม่ี ีเชื้อโรคปะปนอยู่ ซ่ึงถ้ามีการสมั ผสั หรือใกลช้ ดิ กบั ขยะนนั้ แล้วสามารถทำให้เกิดโรค ได้ ซงึ่ หมายรวมถึงขยะดงั ตอ่ ไปน้ี ทเ่ี กดิ ข้นึ หรือใช้ในกระบวนการตรวจวินิจฉัยทางการแพทยแ์ ละการรักษาพยาบาล การให้ ภูมิคุ้มกนั โรคและการทดลองเกี่ยวกับโรคและการตรวจชันสูตรศพหรอื ซากสตั ว์ ขยะติดเช้ือท่ีปนเปื้อนสารคดั หลง่ั เช่น นำ้ มกู เสมหะ และน้ำลายของผู้ปว่ ยโรคโควิด-19 ขยะติดเชือ้ เช่น กระดาษทชิ ชู หนา้ กากอนามยั ชดุ ตรวจแอนตเิ จนแบบเรว็ (Antigen Test Kit) ขยะท่ัวไป หมายถึง มลู ฝอยทเ่ี กดิ จากบ้านพกั ร้านคา้ สวสั ดิการ บรเิ วณสาธารณะ และสำนกั งานในโรงพยาบาลที่ไม่ เกี่ยวขอ้ งกบั การให้การตรวจวนิ จิ ฉัย การดูแลรักษาพยาบาล เชน่ เศษกระดาษ เศษใบไม้แห้ง เศษวสั ดุ ต่าง ๆ ขวด หรือภาชนะ พลาสตกิ ทไี่ มส่ ามารถนำกลบั มาใชใ้ หม่ได้ ประสิทธิภาพ หมายถึง กระบวนการ วธิ กี าร หรอื การกระทำใด ๆ ท่นี ำไปสผู่ ลสำเรจ็ โดยใช้ทรพั ยากรตา่ ง ๆ อันได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน เงินทนุ และวธิ ีการดำเนินการหรือประกอบการ ท่มี ีคณุ ภาพสูงสุดในการดำเนินการไดอ้ ย่างเตม็ ศกั ยภาพ อยา่ งไรกต็ ามการดำเนนิ การใด ๆ น้นั กข็ นึ้ อยกู่ ับทรัพยากร ณ ขณะน้นั ดว้ ยวา่ มีคณุ ภาพและปรมิ าณเพียงใด หากมี คุณภาพมากการจะใชอ้ ยา่ งเต็มศักยภาพไดน้ น้ั จะต้องใชใ้ นปริมาณนอ้ ยจงึ จะเรียกได้ว่ามปี ระสทิ ธภิ าพ ตา่ งกนั กับทรัพยากรทมี่ ี ปริมาณมากแตค่ ณุ ภาพต่ำทจ่ี ะตอ้ งเลอื กวธิ ีการดงึ ศกั ยภาพของทรพั ยากรออกมาใหไ้ ดม้ ากทสี่ ุดจึงจะเรียกวา่ มปี ระสิทธภิ าพ 1.7 ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ - ค่า 1.7.1 ผใู้ ช้สามารถทง้ิ ขยะตดิ เชือ้ ภายในชดุ ตรวจ Antigen Test Kit (ATK) และขยะตดิ เช้ืออื่นๆ ได้อยา่ ง ถกู ตอ้ ง 1.7.2 สามารถลดปรมิ าณขยะตดิ เชื้อได้ 1.7.3 นวตั กรมมสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมการตรวจคัดกรองโควิดภายในชมุ ชนได้ 1.8 สถานทท่ี ำโครงการ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรชั 1.9 งบประมาณ วสั ดใุ นการทำนวัตกรรม 1,500 บาท 249
6 วธิ ีการดำเนนิ งาน การศึกษาครั้งนี้ เป็นวิจัยแบบกึ่งทดลอง(Quasi Experimental Research) ศึกษาประสิทธิภาพถังขยะทิ้งชุดตรวจ Antigen test kit (ATK) โดยการสังเกตจากผู้ใช้งานถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อว่านวัตกรรม มีประสทิ ธภิ าพมากน้อยเพยี งใด 3.1 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ประชากร คือ นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรรี ัช จำนวน 390 คนโดยใช้เกณฑ์ การคดั เลอื กเข้ารว่ มการศึกษา (inclusion criteria) ได้เเก่ 1) เป็นบคุ คลท่ัวไป อายุ 18 ปีข้ึนไป 2) อยใู่ นพืน้ ใกลเ้ คยี งกับผวู้ ิจยั 3) มคี วามสมัครใจในการเข้ารว่ มงานวิจัย เกณฑ์การคดั เลอื กออกจากการศกึ ษา (exclusion criteria) ได้เเก่ 1) ผเู้ ข้ารว่ มวจิ ยั ขอถอนตวั กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์บัณฑิตชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัชโดยการเลือก ตวั อย่างเจาะจง จำนวน 50 คน 3.2 เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ัยคร้งั นี้คือ 1. เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการดำเนินงานวิจยั 1.1 ถงั ขยะทง้ิ Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อ 2. เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลในการวิจัย 2.1 แบบประเมินประสทิ ธิภาพนวตั กรรมจากพฤติกรรมการใช้ถังขยะทง้ิ Antigen test kit (ATK)และขยะ ติดเชื้อ ของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตชัน้ ปที ่ี 3 จำนวน 50 คน เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู แบ่งเปน็ 2 สว่ น ดงั นี้ สว่ นท่ี 1 ข้อมลู ส่วนบคุ คล ได้แก่ เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา ส่วนที่ 2 แบบสอบถามประเมินประสิทธิภาพนวตั กรรมของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรม ราชชนนี จกั รรี ชั จำนวน 16 ขอ้ แบ่งระดับประสิทธิภาพนวัตกรรมการใช้นวัตกรรมถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อ จากการ สอบถามและสงั เกตนกั ศึกศาพยาบาลศาสตรบณั ฑิต เกณฑ์การให้คะแนนแบ่งเปน็ 5 ระดับ คือ มากที่สุด = 5 มาก = 4 ปาน กลาง = 3 นอ้ ย = 2 น้อยทสี่ ดุ = 1 เกณฑ์การประเมนิ โดยใชค้ ่าทางสถิตคิ ะแนนเฉลยี่ เลขคณติ กำหนดช่วงวดั ดังน้ี คะแนนเฉลี่ย 4.21 - 5.00 หมายถึง อยู่ในเกณฑ์มากท่สี ดุ คะแนนเฉลย่ี 3.41 – 4.20 หมายถึง อยู่ในเกณฑ์มาก คะแนนเฉล่ยี 2.61 - 3.40 หมายถึง อย่ใู นเกณฑป์ านกลาง คะแนนเฉล่ยี 1.81 – 2.60 หมายถึง อยใู่ นเกณฑน์ อ้ ย คะแนนเฉล่ีย 1.00 – 1.80 หมายถึง อยู่ในเกณฑน์ อ้ ยทส่ี ุด สว่ นท่ี 3 ข้อเสนอแนะและปรับปรงุ นวัตกรรม 250
7 3.3 การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่อื งมือ การตรวจสอบเครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลครง้ั นี้ ผวู้ จิ ยั ไดท้ ำการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมอื ดงั น้ี ผู้วิจัยนำเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยไปตรวจสอบ หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ทา่ น ประกอบด้วย ดร.บรรณฑวรรณ หริ ัญเคราะห์ ดร.พิมพ์ลดา อนันต์สิริเกษม อาจารย์ ดนัย ดุสรักษ์ ทำการตรวจสอบความเป็นไปได้ของข้อคำถาม ความถูกต้องตามเนื้อหา นำวิเคราะห์หาค่าดัชนีความ สอดคล้องระหว่างรายการข้อคำถามกับ วัตถุประสงค์การวิจัยด้วยค่า IOC (Index of Item Objective Congruence) ซึ่ง จะตอ้ งไดค้ ่ามากกวา่ เท่ากับ 0.50 3.4 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ขั้นตอนการดำเนินการวจิ ยั ขน้ั ตอนก่อนการทดลอง 1. ประชุมวางแผน(plan) ศึกษาข้อมูล ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยสืบค้นจากตำรา งานวิจัย เอกสารทาง วิชาการ เพ่ือค้นควา้ ศึกษาปัญหาในการทิ้งขยะทีไ่ ด้จากการตรวจ Antigen test kit (ATK) เเละนำข้อมูลที่ได้รับมา พฒั นาเปน็ ผลงานถังขยะท้ิง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชือ้ 2. ออกเเบบถงั ขยะทง้ิ Antigen test kit (ATK)และขยะติดเช้อื จัดเตรยี มวสั ดุ อปุ กรณ์ ในการทำถังขยะ วสั ดุอปุ กรณ์ 1. ถงั สีพลาสติกกลม 2 ใบ 2. สติกเกอร์รูปส่วนประกอบ Antigen test kit (ATK) 3. ท่อ PVC 3. ป้ายให้ความรู้ 4. น้ำยาฆา่ เชอื้ 5. ที่พน่ ละอองฝอย ข้ันตอนเเละวธิ ีทำ 1. ออกแบบลักษณะถงั ขยะใหเ้ หมาะสมกับวัตถุประสงคแ์ ละปญั หา 2. สบื คน้ ข้อมลู ทั่วไปเก่ียวกบั ถังขยะ และการควบคุมการแพรก่ ระจายเช้ือโควดิ 3. นำรูปแบบนวัตกรรมไปปรกึ ษาอาจารยป์ ระจำกลมุ่ และนำรูปแบบนวตั กรรมไปปรึกษา การประดิษฐ์กับช่าง 4. ตรวจสอบนวัตกรรมใหเ้ ปน็ ไปตามทีอ่ อกแบบ 5. นำแผน่ ความรูต้ ิดบรเิ วณปา้ ยดา้ นหลงั ถังขยะ 6.ทดสอบชิน้ งานนวัตกรรมก่อนการนำไปใช้กับกลุ่มตัวอยา่ ง 3. ผู้วิจัยติดต่อขออนุญาตทำการวิจัยท่ีวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช ขออนุญาตในการศึกษาและเก็บข้อมลู เพ่อื ศึกษาวิจยั ในเรอื่ งดังกลา่ ว พรอ้ มขอการรับรองจรยิ ธรรมการวจิ ัยในมนุษย์ 4. ผู้วิจัยอธิบายบทบาทของผู้วิจัยและวิธีการเก็บข้อมูล รวมถึงวิธีการปฏิบัติตลอดจนเก็บข้อมูลพื้นฐานก่อนลงมือ ปฏิบัติและอธิบายวิธีการทำความเข้าใจในการใช้ถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชื้อ เพื่อให้กลุ่ม ตัวอย่างเตรยี มความพรอ้ มความเข้าใจของตนเองในการวิจัย 251
8 ขั้นการทดลอง 1.เก็บข้อมูลทั่วไปโดยการสังเกตพฤติกรรมการทิ้งชุดตรวจ Antigen test kit (ATK) ในนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑติ ช้ันปที ี่ 3 กอ่ นการใช้การใช้นวตั กรรม 2.อธิบายลักษณะการใช้งานของถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชื้อกับนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช ทดลองใช้เเละติดตามผลของ การใช้ถังขยะ โดยใช้เวลาทำการทดลอง 2 สปั ดาห์ ในการเกบ็ รวบรวม สังเกตุพฤตกิ รรมการ ทง้ิ Antigen test kit (ATK) เเละบันทกึ ผล 3. เมื่อเสร็จส้นิ ผวู้ จิ ัยเก็บข้อมูลพฤกรรมการทิ้งขยะการทิ้งขยะโดยใช้ถังขยะท้ิง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชื้อ ในนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่3 จากการสังเกตพฤติกรรมการใช้ถังขยะ เเละให้ผู้เข้าร่วมประเมิน ประสทิ ธิภาพของนวตั กรรมหลงั การใชง้ าน แล้วเกบ็ รวบรวมผลการทดสอบ ขน้ั หลงั การทดลอง ผู้วิจัยนำผลที่ได้จากการทดลองพฤติกรรมเปรยี บเทียบก่อนและหลังการการทิง้ ขยะโดยใช้ ถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชื้อ ในนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตชน้ั ปที ่ี 3 และวเิ คราะห์ดว้ ยวิธีการทางสถติ ิตอ่ ไป 3.5 การพทิ กั ษส์ ิทธิ์กลุม่ ตัวอย่าง การจัดทำนวัตกรรมครั้งนี้ผู้จัดทำส่งโครงร่างการจัดทำนวัตกรรมเข้ารับการพิจารณาจากคณาจารย์คณะกรรมการ จริยธรรมการวจิ ัยในมนุษย์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช เพื่อขออนุญาตในการเกบ็ ข้อมูลการทดลอง เมื่อได้รับ อนญุ าตให้ทำการเก็บข้อมลู ผวู้ จิ ัยไดใ้ หค้ วามสำคัญในการพิทักษส์ ิทธิ์ของกลุม่ ตวั อยา่ ง โดยการใช้หลกั การเคารพในความเป็น บุคคล หลักผลประโยชน์ และหลักความยุติธรรม ดังนี้ ผู้จัดทำ แนะนำตัว ชี้แจงในการเข้าร่วมการทดลองใช้นวัตกรรม ให้ ผู้เขา้ รว่ มทราบวัตถุประสงคแ์ ละข้ันตอนการผลิตนวัตกรรม พร้อมทั้งลงนามยนิ ยอมและขอความรว่ มมือในการรวบรวมข้อมลู โดยชแ้ี จงสทิ ธิท์ ่ีกลุ่มตวั อยา่ งสามารถเข้าร่วมการทดลองใช้ หรือสามารถปฏิเสธท่จี ะไมเ่ ข้ารว่ มการทดลองในคร้ังน้ีได้ โดยไม่มี ผลตอ่ การบรกิ ารใด ๆ ที่จะได้รบั สำหรับข้อมูลทไ่ี ด้จากทดสอบนวัตกรรมคร้ังน้จี ะไม่มกี ารเปิดเผยให้เกดิ ความเสียหายแก่กลุ่ม ตวั อย่างทท่ี ำการทดลองนวตั กรรม โดยผู้จัดทำจะนำเสนอนวตั กรรมในภาพรวมและนำมาใชป้ ระโยชน์ในการศึกษาเท่าน้ัน 3.6 สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู 1. วเิ คราะห์ข้อมลู ทั่วไปโดยใช้สถติ ใิ ช้แจกแจงความถ่ี รอ้ ยละ… 2. การวเิ คราะห์ประสทิ ธภิ าพถงั ขยะทง้ิ Antigen test kit (ATK)และขยะตดิ เช้อื ในนกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้ันปีที่ 3 โดยใช้ค่าเฉล่ียส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 252
9 3.7 แผนการดำเนินงาน เดือนกรกฏาคม-สิงหาคม เดอื นกันยายน-ตลุ าคม กจิ กรรม 1-20 21-10 11-31 1-20 21-10 11-31 1.ประชุมการวางแผนงานในการทำนวตั กรรม 2.ศกึ ษาคน้ ควา้ นวตั กรรมและนำมาประยกุ ตใ์ ช้กับแนวคิดของ กลมุ่ 3.ออกแบบช้นิ งานนวัตกรรมและนำเสนอข้อมูลเพิม่ เติมกบั อาจารยท์ ป่ี รึกษา 4.ประชุมกนั วางแผนกับสมาชกิ ในกลุ่มกำหนดรูปแบบและการ ดำเนนิ กจิ กรรม เพือ่ แบ่งหน้าท่ีความรับผดิ ชอบในแตล่ ะฝา่ ย 5.ออกแบบโครงร่างช้ินงานนวตั กรรม 6.นำเสนอรูปแบบช้ินงานนวตั กรรม เพือ่ ใหอ้ าจารย์ท่ีปรกึ ษาให้ คำแนะนำ และนำไปปรับปรุงแกไ้ ข 7.นำเสนอช่ือและโครงร่างนวตั กรรม คร้ังท่ี 1 8.นำช้นิ งานนวัตกรรมท่ีได้ปรับแกต้ ามคำแนะนำของเสนอ อาจารยอ์ กี คร้งั 9.โครงร่างนวตั กรรม ครั้งท่ี 2 10.ซือ้ วสั ดุอุปกรณเ์ พื่อทจี่ ะไปจดั ทำนวตั กรรมทางการพยาบาล 9.จดั ทำผลงานนวตั กรรม “ถงั ขยะทิง้ Antigen Test Kit (ATK)และขยะตดิ เชอ้ื ” 10.นำเสนอช้นิ งานนวัตกรรมเพ่ือใหอ้ าจารยท์ ่ปี รึกษาแนะนำ และ นำไปปรับปรุงแกไ้ ข 11.นำชิน้ งานนวัตกรรมไปทดลองใช้กลมุ่ ตวั อยา่ ง 12.รวบรวมข้อมลู การทดลองนวัตกรรมกับกล่มุ ตัวอยา่ ง สรุปงาน หรือผลงานนวตั กรรม สรปุ แบบประเมนิ ความพึงพอใจ และจัดทำ รูปเลม่ 13.นำเสนอผลงานนวัตกรรม 253
10 ผลการดำเนนิ งาน การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษา “ถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชื้อ” มีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างสรรค์ นวัตกรรม ถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเชื้อ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK)และขยะตดิ เช้ือ โดยผลการดำเนินงานแบ่งเป็น 2 สว่ น ดงั นี้ ส่วนท่ี 1 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ทว่ั ไปโดยใช้สถติ ิใชแ้ จกแจงความถี่ รอ้ ยละ สว่ นที่ 2 ผลการวิเคราะห์ประสิทธภิ าพต่อนวตั กรรมถังขยะทงิ้ Antigen test kit (ATK)และขยะตดิ เชอื้ โดยใช้ ค่าเฉลยี่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ส่วนท่ี 1 ผลวเิ คราะหข์ ้อมูลท่วั ไปโดยใชส้ ถติ ิใชแ้ จกแจงความถ่ี รอ้ ยละ ผลการวิเคราะห์ข้อมลู พบวา่ กล่มุ ตวั อย่างจำนวน 50 คน ผลการดำเนนิ งาน พบวา่ กลุ่มตัวอย่างในงานวจิ ยั ครง้ั น้ี ส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญิง รอ้ ยละ 96 อยใู่ นชว่ งอายุ 16-20 ปี ร้อยละ 56 จบการศึกษาระดับปรญิ ญาตรหี รือเทียบเทา่ ร้อยละ 86 (ดังตารางที่ 1) ตารางท่ี 1 แสดงจำนวน ร้อยละ ของข้อมลู ทว่ั ไปของกลุ่มตวั อย่าง ข้อมลู ทว่ั ไป จำนวน รอ้ ยละ เพศ ชาย 2 4 หญงิ 48 96 อายุ 16-20 ปี 28 56 21-25 ปี 20 40 25-30 ปี 12 30 ปี 1 2 การศึกษา ไมไ่ ด้รบั การศกึ ษา 00 ประถมศึกษา 00 มธั ยมศกึ ษาตอนต้น 00 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 7 14 254
ประกาศนยี บตั รข้นั สงู 11 ปรญิ ญาตรหี รือเทยี บเทา่ สงู กว่าปริญญาตรี 00 43 86 00 ส่วนท่ี 2 ผลการวเิ คราะหป์ ระสิทธิภาพการใชน้ วตั กรรม โดยใชค้ า่ เฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน การวดั ผลประสฃื ิทธภิ าพนวัตกรรมของกลมุ่ ตัวอยา่ งตอ่ การใช้ถังขยะทงิ้ Antigen Kitและขยะติดเช้ือ พบวา่ ผลรวม อยใู่ นระดับมากท่ีสดุ (���̃��� = 4.30, S. D = 2.32) พบว่ากลุ่มตัวอย่างมคี ะแนนการวดั ประสิทธภิ าพในประเด็นต่าง ๆดังนี้ ด้าน โครงสร้าง วัสดุที่นำมาใช้มีน้ำหนักเบาเฉลี่ยเท่ากับ 4.44 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 ขนาดของสิ่งประดิษฐ์มีความ เหมาะสมเฉลีย่ เทา่ กบั 4.5 ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.64 ตกั ารออกแบบส่ิงประดิษฐ์มีความเหมาะสมเฉลย่ี เทา่ กบั 4.6 ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64 วัสดุของสิ่งประดษิ ฐ์มีความทนทานเฉลี่ยเท่ากับ 4.42 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.76 มี รูปลักษณ์สวยงาม น่าใช้งานเฉลี่ยเท่ากบั 4.52 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.65 ด้านการใช้งาน นวัตกรรมถังขยะทิ้ง ATK สามารถแยกขยะตดิ เชอื้ และขยะท่วั ไปเฉลยี่ เทา่ กับ 4.5 ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.61 นวัตกรรมถงั ขยะ ATK สามารถลด จำนวนขยะติดเชื้อได้เฉลี่ยเท่ากับ 4.52 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 นวัตกรรมนี้ไม่มีความซับซ้อนในการใช้งานเฉลยี่ เท่ากับ 4.58 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70 นวัตกรรมมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.60 นวัตกรรมถังขยะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เฉลี่ยเท่ากับ 4.6 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 ด้าน ความคุม้ คา่ ท่านมีความตอ้ งการใช้นวัตกรรมน้ีในอนาคตเฉล่ียเท่ากับ 4.62 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.60 ประสิทธิภาพ โดยรวมของนวตั กรรมถงั ขยะ ATK เฉล่ียเท่ากับ 4.62 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.60 (ดังตารางที่ 2) ตารางที่ 2 ตารางแสดงการแจกแจงความถ่ี คา่ เฉลย่ี และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ของประสทิ ธภิ าพตอ่ ถังขยะท้ิง Antigen test kit (ATK) และขยะตดิ เชอื้ ระดับความพึงพอใจ ประเด็นขอ้ คดิ เห็น ���̃��� S.D การแปลผล ด้านโครงสรา้ ง 4.44 0.61 มากที่สุด 1.วสั ดุทนี่ ำมาใชม้ ีน้ำหนกั เบา 4.5 0.64 มากท่สี ุด 2.ขนาดของสง่ิ ประดิษฐม์ คี วามเหมาะสม 4.6 0.64 มากทีส่ ดุ 3.การออกแบบสง่ิ ประดษิ ฐม์ คี วามเหมาะสม 255
12 4.วัสดุของส่งิ ประดิษฐ์มีความทนทาน 4.42 0.76 มากทส่ี ุด 5.มีรปู ลกั ษณส์ วยงาม นา่ ใช้งาน 4.52 0.65 มากท่สี ุด ด้านการใชง้ าน 6.นวตั กรรมถังขยะท้งิ ATK สามารถแยกขยะตดิ เชอ้ื 4.5 0.61 มากที่สุด และขยะทว่ั ไป 7.นวัตกรรมถังขยะ ATK สามารถลดจำนวนขยะติด 4.52 0.61 มากที่สุด เชอ้ื ได้ 8.นวัตกรรมนไี้ มม่ ีความซับซอ้ นในการใช้งาน 4.58 0.70 มากที่สุด 9.นวตั กรรมมปี ระโยชน์ตอ่ ผ้ใู ชง้ าน 4.64 0.60 มากท่ีสุด 10.นวัตกรรมถังขยะสามารถนำไปใช้ใน 4.6 0.61 มากที่สุด ชวี ิตประจำวันได้ ด้านความคมุ้ ค่า 4.62 0.60 มากที่สดุ 11.ทา่ นมคี วามต้องการใช้นวตั กรรมนใ้ี นอนาคต 4.62 0.60 มากที่สดุ 12.ความพึงพอใจโดยรวมของนวตั กรรมถังขยะ ATK 4.55 0.05 มากทีส่ ุด คะแนนรวม 256
13 อภิปรายผลการวจิ ัย สรปุ ผล ประโยชน์ และขอ้ เสนอแนะ งานวจิ ัย เร่อื ง นวัตกรรมถงั ขยะท้งิ Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชอื้ คร้ังนม้ี ีวตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื สร้างสรรค์ นวัตกรรม ถงั ขยะท้งิ Antigen Test Kit (ATK)และขยะตดิ เช้ือ เพอ่ื ศึกษาประสทิ ธิภาพของถังขยะท้ิง Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเช้อื ข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา แบบประเมนิ ประสิทธภิ าพนวัตกรรม จำนวน 12 ขอ้ มา ใชเ้ ก็บข้อมลู ในกลุ่มตวั อยา่ งนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตชน้ั ปีที่ 3 จำนวน 50 คน ซึ่งสามารถสรปุ ผลการศกึ ษาดงั น้ี สรปุ ผลการศกึ ษา 1) ข้อมลู ทวั่ ไป โดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ผลการวิจัยนวัตกรรมถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อ จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า กลุ่ม ตัวอย่างจำนวน 50 คน ผลการดำเนินงาน พบว่ากลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 96 อยู่ในช่วง อายุ 16-20 ปีรอ้ ยละ 56 จบการศกึ ษาระดับปริญญาตรหี รือเทยี บเทา่ รอ้ ยละ 86 3) ผลการวิเคราะหค์ วามพงึ พอใจต่อถังขยะท้ิง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเช้ือ โดยใช้ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน การวัดผลประสิทธิภาพนวัตกรรมของกลุ่มตัวอย่างต่อการใช้ถังขยะทิ้ง Antigen Kitและขยะติดเชื้อ พบว่า ผลรวม อยู่ในระดับมากทีส่ ดุ (X ̃ = 4.30, S. D = 2.32) พบว่ากลุ่มตวั อยา่ งมคี ะแนนการวัดประสิทธภิ าพในประเดน็ ตา่ ง ๆดังนี้ ด้าน โครงสร้าง วัสดุที่นำมาใช้มีน้ำหนักเบาเฉลี่ยเท่ากับ 4.44 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 ขนาดของสิ่งประดิษฐ์มีความ เหมาะสมเฉลีย่ เทา่ กับ 4.5 คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.64 ตัการออกแบบส่ิงประดษิ ฐม์ ีความเหมาะสมเฉลยี่ เท่ากบั 4.6 ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64 วัสดุของสิ่งประดษิ ฐ์มีความทนทานเฉลี่ยเท่ากับ 4.42 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.76 มี รูปลักษณ์สวยงาม น่าใช้งานเฉลี่ยเท่ากับ 4.52 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.65 ด้านการใช้งาน นวัตกรรมถังขยะทิ้ง ATK สามารถแยกขยะติดเชอื้ และขยะท่ัวไปเฉลี่ยเทา่ กับ 4.5 คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 นวัตกรรมถังขยะ ATK สามารถลด จำนวนขยะติดเชื้อได้เฉลี่ยเท่ากับ 4.52 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 นวัตกรรมนี้ไม่มีความซับซ้อนในการใช้งานเฉลยี่ เท่ากับ 4.58 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70 นวัตกรรมมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.60 นวัตกรรมถังขยะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวนั ได้เฉลี่ยเท่ากับ 4.6 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 ด้าน ความคมุ้ ค่า ทา่ นมีความต้องการใช้นวัตกรรมน้ีในอนาคตเฉล่ยี เท่ากบั 4.62 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.60 ประสิทธิภาพ โดยรวมของนวตั กรรมถงั ขยะ ATK เฉลย่ี เท่ากบั 4.62 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.60 ซึ่งจากการศกึ ษาเรื่อง นวัตกรรมถังขยะทิง้ Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชือ้ เป็นไปตามสมมติฐานการวิจยั นวัตกรรมถังขยะทิง้ Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อ 257
ซ เอกสารอา้ งอิง กฤษณ์ ถิรพนั ธเุ์ มธ.ี ( 9 มีนาคม 2563). น้ำยาฆา่ เชอื้ กบั โควิด-19โคโรนา่ ไวรสั . มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล คณะเภสชั ศาสตร์. จาก https://pharmacy.mahidol.ac.th กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2564). สรุปสถานการณก์ ารระบาดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย. จาก chrome-extension://efaidnbmnnnibpcajpcglclefindmkaj /https://udch.go.th/uploads/doc/covid-19 พรทพิ ย์ มธรุ วาทิน. (ม.ป.ป.). ความรู้ความเข้าใจของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมบู่ า้ น ในจงั หวัดเชียงใหม่ ในเรอ่ื งการใช้หนา้ กากอนามัยให้ปลอดภัย จากโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019. จาก https://www.chiangmaihealth.go.th/cmpho_web/document/220304164638738469.pdf มนัสชนก ไชยรตั น์. (ม.ป.ป.). พฤติกรรมผู้บรโิ ภคทเี่ ปลีย่ นแปลงไปช่วงสถานการณ์ COVID-19 ในพ้ืนที่ กรุงเทพมหานคร. จาก chrome-extension://efaidnbmnnnibpcajpcglclefindmkaj/https:// mmm.ru.ac.th/MMM/IS/vlt15-1/6114993677.pdf มนันญา ภ่แู กว้ . (2563). ปญั หามลู ฝอยตดิ เชอ้ื จากโรคระบาดโควดิ – 19. จาก https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/ewt_dl_link.php?nid=2599 มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ศนู ยล์ ำปาง. (2564). การจัดการขยะติดเชอื้ ความทา้ ทายในยคุ โควดิ –19. จาก https://tu.ac.th/thammasat-080964-infectious-waste-challenges-in-covid19 โรงพยาบาลบางปะกอก. (2565). แยกทง้ิ ชดุ ตรวจ ATK ให้ถกู วิธ.ี จาก https://bangpakok3.com/care_blog/view/169 วกิ พิ เี ดยี สารานุกรมเสรี. (ม.ป.ป.). ประสิทธิภาพ. จาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E 0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9 ศริ ิพร คาวานลิ และณรงค์ศักดิ์ หนูสอน. (2563). ขยะมลู ฝอย: ในชว่ งสถานการณ์ COVID-19 เปน็ อย่างไร. 34(2).จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/phn/article/download/245801/166768/ สวรรยา ธรรมอภิพลและคณะ.(2564).ความรแู้ ละพฤติกรรมในการจดั การขยะตดิ เช้ือประเภทหนา้ กาก อนามัยของชุมชน บา้ นกลาง-ไผ่ขาด จงั หวดั นครปฐม ในชว่ งวกิ ฤตการระบาดของโรคติดเชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019. เขา้ ถงึ เม่ือ 12 สงิ หาคม 2565. จาก https://so03.tcithaijo.org/index.php /journalcim/ article/download/249523/172958 DDproperty Editorial Team. (2564). น้ำยาฆ่าเชอื้ ไวรัสโควิด-19 หาได้งา่ ย ๆ ในบ้านคณุ . จาก https://www.ddproperty.com/คู่มือซอ้ื ขาย/ยาฆ่าเชอ้ื ไวรสั โควิด-19-หาไดง้ า่ ย-ในบา้ นคณุ -24350 258
9 259
เสื้อชว่ ยพยงุ คัทลยี า พุ่มชยั 1,ชลธิชา ฟ�กโต2,ชลิตา นพศรี3,ชาลสิ า ช่ืนวเิ ศษ4 ,ณัฐพร ดาบเเก้ว5 ,นงนภัส อ่วมคาํ 6 , พรี ยา อนิ ทรพรหม7 และภทั รดา ปทุมสตู 8ิ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรชั คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั พระบรมราชชนก *[email protected] บทคัดย่อ ในป�จจุบันสังคมในประเทศไทยกําลังเข้าสู่ สังคมของผู้สูงอายุ (Aged Society) ตั้งแต่ป� พ.ศ. 2548 ตามคํานิยามของ องค์การสหประชาชาติที่กําหนดสัดส่วนของประชากรที่มีอายุ 60 ป�ขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของจํานวนประชากร ซึ่งจะเข้าสู่ สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete - Aging Society) ซึ่งผู้สูงอายุนั้นเป�นวัยที่อยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต มีโอกาสเกิดการ เจ็บป่วยได้ง่ายโดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะนําไปสู่โรคต่างๆเช่น ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังจนเกิด สภาวะรา่ งกายเสอ่ื มโทรมทาํ ให้ไม่สามารถใช้ชีวติ ประจําวันได้เหมือนคนปกติ กล่าวคอื ผู้ปว่ ยจะช่วยเหลือตนเองได้น้อยหรืออาจไม่ สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลยแม้แต่นอ้ ย ผู้ป่วยจึงไม่อาจเลี่ยงที่จะต้องนอนอยู่บนเตยี งเป�นเวลานานๆ อาจเกิดจากการป่วยเป�น โรคร้าย อุบัติเหตุจากการรักษา เช่น การผ่าตัดใหญ่ ความผิดปกตขิ องระบบประสาท ฯลฯ ด้วยสาเหตุดังกล่าว ทําให้ร่างกายของ ผู้ป่วยอ่อนแอและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ป�จจุบันมีเครื่องช่วยอํานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งเครื่องช่วย อาํ นวยความสะดวกในการเคลื่อนยา้ ยนน้ั อาจมรี าคาท่ีคอ่ นข้างสูง ทําใหค้ นทีม่ ีกาํ ลงั ทรพั ย์น้อยไม่สามารถจับตอ้ งได้ ดังนนั้ คณะผวู้ ิจยั ได้เลง็ เห็นป�ญหาน้ี จึงจัดทําโครงการนวตั กรรมในหัวข้อ \"เสือ้ ชว่ ยพยุง\" ชดุ ทีช่ ่วยพยุงผู้ป่วยเพื่อช่วยพยุง ผู้ป่วยขณะที่อยู่บ้านให้มีความสะดวกต่อญาติที่เป�นผู้ทําการพยุงและปลอดภัยต่อตัวผู้ป่วย ในกรณีผู้ป่วยติดเตียงเสื้อช่วยพยุงจะ ช่วยพยงุ ตัวผปู้ ่วย คำสำคัญ : ผ้ปู ว่ ยติดเตยี ง,การพยงุ ,เสือ้ 260
1. ความเปน� มาและความสำคัญของปญ� หา ในป�จจุบันสังคมในประเทศไทยกําลังเข้าสู่ สังคมของผู้สูงอายุ (Aged Society) ตั้งแต่ป� พ.ศ. 2548 ตามคํานิยามของ องค์การสหประชาชาตทิ ี่กําหนดสัดส่วนของประชากรที่มีอายุ 60 ป�ขึ้นไปมากกว่ารอ้ ยละ 10 ของจํานวนประชากร ซึ่งจะเข้าสู่ สังคมสูงอายโุ ดยสมบูรณ์ (Complete - Aging Society) เมือ่ มีสัดส่วนของประชากรท่ีมีอายุ 60 ปข� ้ึนไปเกินรอ้ ยละ 20และเข้า สู่สงั คมสงู อายุระดบั สดุ ยอด (Super - Aging Society) เมอ่ื มีสดั ส่วนของประชากรท่มี ีอายุ 60 ปข� ้ึนไปเกินร้อยละ 28 ตามลาํ ดบั สําหรับสถานการณผ์ ู้สงู อายุไทย ในป� พ.ศ. 2564 มปี ระชากรผู้สูงอายสุ งู ถงึ รอ้ ยละ 17.81 ของจํานวนประชากรไทยทั้งประเทศ ตามการคาดประมาณการประชากรประเทศไทยของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2562)คาดการณ์ว่าในป� พ.ศ. 2566 จะมีประชากรผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ 20.66 ของจํานวนประชากรไทยทั้ง ประเทศ โดยสถานการณ์ผูส้ ูงอายุเขตสขุ ภาพที่ 6 ในป� 2562-2564 ซึ่งผูส้ งู อายนุ ้ันเป�นวัยทอี่ ยู่ในช่วงบัน้ ปลายของชีวติ มีโอกาส เกดิ การเจ็บปว่ ยไดง้ ่ายโดยเฉพาะการเกดิ อบุ ัติเหตุทอี่ าจจะนําไปสโู่ รคตา่ งๆเช่น ผปู้ ว่ ยติดเตียง ผ้ปู ว่ ยจะมีอาการเจ็บป่วยเร้ือรัง จนเกิดสภาวะร่างกายเสือ่ มโทรมทําให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจําวันได้เหมือนคนปกติ กล่าวคือผู้ป่วยจะช่วยเหลือตนเองไดน้ ้อย หรืออาจไม่สามารถชว่ ยเหลือตนเองได้เลยแมแ้ ตน่ อ้ ย ผู้ป่วยจงึ ไม่อาจเลีย่ งทีจ่ ะตอ้ งนอนอยู่บนเตยี งเปน� เวลานานๆ อาจเกิดจาก การป่วยเป�นโรครา้ ย อบุ ัติเหตุจากการรักษา เช่น การผา่ ตัดใหญ่ ความผดิ ปกติของระบบประสาท ฯลฯ ด้วยสาเหตุดงั กล่าว ทํา ใหร้ ่างกายของผปู้ ว่ ยออ่ นแอและไม่สามารถชว่ ยเหลือตนเองได้ ปจ� จบุ ันมีเครือ่ งชว่ ยอํานวยความสะดวกในการเคล่อื นย้ายผู้ป่วย ซึ่งเครื่องช่วยอํานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายนั้นอาจมีราคาที่ค่อนข้างสูง ทําให้คนที่มีกําลังทรพั ย์น้อยไม่สามารถจับตอ้ ง ได้ ดงั น้นั คณะผ้วู จิ ยั ได้เลง็ เหน็ ป�ญหานี้ จึงจดั ทําโครงการนวตั กรรมในหัวข้อ \"เสื้อช่วยพยุง\" ชดุ ที่ชว่ ยพยุงผู้ป่วยเพื่อช่วยพยุง ผู้ป่วยขณะที่อย่บู า้ นใหม้ ีความสะดวกต่อญาติทีเ่ ป�นผู้ทาํ การพยุงและปลอดภัยตอ่ ตัวผ้ปู ว่ ย ในกรณผี ูป้ ่วยติดเตยี งเส้ือช่วยพยุงจะ ช่วยพยุงตัวผู้ป่วย โดยเสื้อพยุงมีตัวล็อกช่วยให้กระชับกับตัวของผู้ป่วย บริเวณไหลด่ ้านหลังของเสื้อจะมชี ่องสอดสําหรับใส่มอื ใหก้ ับผู้ดแู ลผู้ป่วยเพือ่ ให้สามารถช่วยพยงุ ตวั ผ้ปู ว่ ย อีกทง้ั เส้อื พยุงเป�นฟรไี ซสเ์ พื่อใหเ้ หมาะกบั สดั สว่ นของผ้ปู ว่ ย ภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว คือ การเกิดแผลกดทับผู้ป่วยที่มีการนอนอยู่บนเตียงเป�นเวลานาน นอนติดเตียง ไม่ค่อยพลิกตะแคงตัวหรือเป�นผู้ป่วยทีไ่ ม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทําให้ผิวหนังตามตําแหน่งต่างๆ โดยเฉพาะ บรเิ วณปมุ่ กระดูก เช่น กระดูก กนั กบ กระดูกเชงิ กราน กระดูกสนั หลงั ข้อศอกและสน้ เทา้ ท่ีถกู กดทบั เป�นเวลานานเกิดเป�นแผล ความชุกการเกดิ แผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง สง่ ผลเสยี ต่อทางสุขภาพจิตและคณุ ภาพชีวิตของผปู้ ่วยและผูด้ ูแล (ผกามาศ พีธรา กร, 2564) 2. วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื วัดประสิทธผิ ลของเส้ือช่วยพยงุ ต่อความพึงพอใจของญาติผูด้ แู ลผู้ปว่ ยตดิ เตยี ง 2. เพอื่ ประเมินความพึงพอใจของผ้ดู แู ลผ้ปู ว่ ยตอ่ การใช้นวตั กรรมเสือ้ ชว่ ยพยุง 3.กลุม่ เปา้ หมาย 1.ผ้ใู ช้บรกิ ารทเี่ ป�นผดู้ แู ลผปู้ ่วยติดเตยี งวัยสูงอายุ 261
4. กระบวนการพัฒนา (ตามขั้นตอน plan do check act) 4.1 ขัน้ การวางแผน (Plan) 1. สมาชกิ ในกลุ่มแต่ละคน ศกึ ษาปญ� หานวตั กรรมทีส่ นใจ คนละ 1 ชิ้นงาน 2. สมาชกิ ในกลุม่ แต่ละคนนาํ เสนอหวั ขอ้ นวัตกรรมกับอาจารย์ทีป่ รึกษาประจํากลมุ่ 3. อาจารยท์ ่ปี รึกษาประจํากลุ่มและสมาชิกเลอื กชนิ้ งานนวัตกรรมท่ีสนใจ 1 ชิน้ งาน 4. สมาชกิ ภายในกลุ่มร่วมออกแบบช้นิ งานนวตั กรรมเพ่มิ เตมิ จากเดมิ ให้สมบรู ณ์ 5. นาํ เสนอรูปแบบนวตั กรรม เพอื่ ขอคําแนะนาํ และปรบั ปรุงแก้ไขช้ินงานวัตกรรม 6. วางแผนการดาํ เนินงานและลงมอื ปฏิบัติ 4.2 ขนั้ การดาํ เนินการ (Do) การออกแบบ ตัวอยา่ งการออกแบบ 262
วสั ดุและอุปกรณ์ 1.ผา้ แคนวาส 2 เมตร 2.ดา้ ย 3 หลอด 3.ตวั ล็อคยึดแนน่ ตวั ผ้ปู ว่ ย 3 ตัว 4.กรรไกร 2 อนั 5.จกั รเย็บผา้ 1 เคร่อื ง 6.ดนิ สอ 2 แท่ง ขั้นตอนการดําเนนิ งานวจิ ัย 1.จัดหาซือ้ อุปกรณใ์ นการผลิตชน้ิ งาน คือ ผ้าแคนวาสขนาด 1.5*2 เมตร จดั ซอื้ ตวั ล็อคยดึ แน่นตวั ผปู้ ่วย 2. รา่ งแบบตวั ชดุ ลงในผา้ ให้ขนาดเทา่ ออกเป�น 2 สว่ น คอื ฝ�งตัวชดุ ดา้ นหน้า และด้านหลัง โดยตัวชดุ มที ้ังหมด2ขนาด คอื ขนาด 42*36 นิว้ และ 44*38 เพ่อื หาขนาดที่พอดตี อ่ ตวั ผปู้ ่วย 3.เมอื่ รา่ งแบบเสรจ็ แล้ว ทาํ การเยบ็ ด้วยเครื่องจักร นําตวั เสอื้ ทร่ี า่ งเสร็จแลว้ ไปเย็บประกอบเข้ากนั 4.จากนน้ั ทาํ หูจับดา้ นข้างของลาํ ตัวโดยเยบ็ พาดไปดา้ นหลังของชดุ และดา้ นบนไหลช่ ดุ ขา้ งละ 2 อนั โดยจะอย่บู ริเวณช่วงเอวและช่วงไหล่ อยา่ งแน่นหนาและกระชบั มอื 5.เพ่มิ ตวั ล็อคบรเิ วณดา้ นหน้าลําตัวโดยการเย็บเข้ากับเสอื้ โดยจะเย็บยดึ ติดกับเสอื้ จาํ นวน 3 ตวั ลอ็ ค 6.จากน้นั นาํ ไปทดลองกับกลุม่ ตวั อยา่ ง ข้นั ตอนการดําติดตาม (Check) 1.ประเมินช้นิ งาน โดยใช้แบบประเมินความพงึ พอใจ 2.สรุปผลการประเมินโดยใชค้ ะแนนการประเมินตามความเปน� จริง ขั้นตอนการนาํ ผลการประเมินไปปรบั ปรงุ พฒั นา (Act) ปรบั ปรงุ แก้ไขในสว่ นที่มีปญ� หา และตามข้อเสนอแนะจากแบบประเมินความพึงพอใจ 5. รายละเอียดและวธิ ีการใชง้ านนวัตกรรม 5.1 นำนวัตกรรมไปใช้กับกลุ่มเป้ามาย โดยมีขนั้ ตอนในการใช้ ดังน้ี 1.พลกิ ตะแคงตวั ผปู้ ว่ ยทีละดา้ นเพือ่ สวมเส้ือชว่ ยพยงุ 2.ติดเข็มกลัดใหเ้ รยี บร้อยเพ่อื ความปลอดภยั 3.เช็คความแน่นหนาเพอื่ ตรวจสอบการเลือ่ นหลดุ ของสาย 5.2 สำรวจความพึงพอใจกับตัวนวตั กรรมโดยใช้โดยใชแ้ บบประเมินความพงึ พอใจกบั ผดู้ ูแลทีท่ ดลองใชน้ วัตกรรมเสื้อ ชว่ ยพยุง 263
6. ผลการทดลองใช้นวตั กรรมและการอภปิ รายผล จากผลการวเิ คราะห์ จากกลุ่มตวั อยา่ งจํานวน 5 คน พบวา่ สว่ นใหญ่เปน� เพศหญงิ ร้อยละ 80 ประกอบ อาชพี รบั จา้ งทั่วไป รอ้ ยละ 80 มีโรคประจําตัวคือโรคเส้นเลือดในสมองตบี และอมั พฤกษค์ รงึ่ ซกี รอ้ ยละ40 ตามลาํ ดับ ความพงึ พอใจตอ่ การใช้ นวตั กรรมเสอ้ื ชว่ ยพยุง” สามารถสรปุ ผลไดด้ งั นี้ ดา้ นการใช้งาน 1.อาํ นวยความสะดวกตอ่ ผู้ช่วยพยงุ ผ้ปู ่วยตดิ เตยี ง อยู่ในระดับความพงึ พอใจมากทส่ี ดุ 2.ช่วยผ่อนแรงขณะพยุงและพลกิ ตะแคงผู้ปว่ ย อยู่ในระดับความพึงพอใจมากท่ีสุด 3.นวตั กรรรมน้มี ีความปลอดภยั อยู่ในระดับความพึงพอใจปานกลาง ดา้ นรปู แบบ 1.รปู รา่ ง และการออกแบบมีความเหมาะสม แขง็ แรง คงทน ใช้งานสะดวก อยใู่ นระดบั ความพึงพอใจปาน กลาง 2.สามารถใช้ได้จรงิ ในชีวิตประจาํ วนั อย่ใู นระดบั ความพงึ พอใจปานกลาง 3.ขนาดของเสื้อมีความเหมาะสมต่อการใช้งาน อยู่ในระดับความพึงพอใจปานกลาง 4.เนื้อผ้านุ่มเบา เหมาะกับการสวมใส่ อยใู่ นระดบั ความพึงพอใจปานกลาง ด้านการนําไปใชป้ ระโยชน์ 1.นําไปใชไ้ ดง้ า่ ย สะดวกและรวดเรว็ อยู่ในระดับความพงึ พอใจมากท่สี ุด 2.ใส่ง่ายสะดวกต่อการใช้งาน อย่ใู นระดบั ความพงึ พอใจปานกลาง 3.นวตั กรรมมีความนุ่ม ไม่รดั ตงึ หรอื แน่นเกนิ ไป อยใู่ นระดบั ความพึงพอใจมากท่ีสุด 4.นาํ ไปซักทําความสะอาด และนํากลบั มาใช้งานใหม่ได้ อยู่ในระดบั ความพึงพอใจมากท่ีสดุ อภปิ รายผล จากการศึกษา พบว่า การวัดประสิทธิผลของเสื้อช่วยพยุงต่อความพึงพอใจของผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงของกลุ่ม ตัวอย่าง จํานวน 5 คนต่อการใช้ นวัตกรรมเสื้อช่วยพยุง พบว่า ความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรม ในภาพรวมอยู่ใน ระดับพึงพอใจมากที่สุด ( ������������������ = 4.35 , S.D. = 0.53 ) ซ่ึงสามารถช่วยลดแรงของผู้ดแู ลผู้ปว่ ยติดเตียงได้ และเป�นไป ตามสมมติฐานการวิจัยนวัตกรรมเส้ือชว่ ยพยงุ 7. ขอ้ เสนอแนะ จากการรวบรวมขอ้ มลู กลามตวั อยา่ งท่ใี ชน้ วัตกรรมเส้อื ชว่ ยพยงุ ไดใ้ หค้ ำเสนอแนะเพิ่มเตมิ ท่ีเป�นประโยชน์ ในในพัฒนานวตั กรรม คือนวัตกรรมเสือ้ ชว่ ยพยุงควรมหี ลายขนาดเพื่อให้ผูป้ ่วยใส่กระชบั และพอดีตัวมากข้นึ 264
8. เอกสารอ้างองิ 1.กาญจนา ป�ญญาด.ี อปุ กรณเ์ คลอ่ื นยา้ ยผู้ป่วยพึ่งพิง [อินเตอรเ์ น็ต]; 2561 [เข้าถึงเมื่อ31 กรกฎาคม 2565].เขา้ ถงึ ได้ จาก: http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/57920334.pdf 2.ฉตั รศริ ิ ป�ยะพมิ ลสิทธิ์. ทฤษฎีขีดจํากัดเขา้ สู่ศนู ย์กลาง ( Central Limit Theorem )[อนิ เตอร์เน็ต] ; 2545 [เข้าถงึ เมอื่ 5 สิงหาคม 2565]. เข้าถึงได้จาก: http://www.watpon.in.th/Elearning/stat32.htm 3.เติมศักดิ์ สขุ วิบลู ย์. ขอ้ คํานึงในการสร้างเครอ่ื งมอื ประเภทมาตรประมาณคา่ (rating scale)เพอ่ื งานวจิ ัย [อินเตอรเ์ นต็ ] ; 2560 [เข้าถงึ เม่อื 31 สิงหาคม 2565]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: https://view.officeapps.live.com/op/view.aspx? 4.ผกามาศ พธี รากร. ผู้ปว่ ยติดเตยี งทม่ี ภี าวะพ่งึ พิง [อินเตอร์เน็ต] ; 2564 [เข้าถึงเม่ือ 21 กรกฎาคม 2565].เข้าถงึ ไดจ้ าก: https://www.chiangmaihealth.go.th/cmpho_web/document/210318161604249238.pdf 5.ศิรกิ ัญญา อุสาหพริ ยิ กุล. การปอ้ งกนั การเกิดแผลกดทับในผ้ปู ว่ ยสงู อายกุ ล่มุ เสย่ี งที่มภี าวะพง่ึ พาโดยผ้ดู แู ลมสี ่วน รว่ มในการดแู ล [อินเตอร์เน็ต] ; 2564 [เขา้ ถงึ เม่อื 29 กรกฎาคม 2565]. เขา้ ถึงได้จาก: https://rsujournals.rsu.ac.th/index.php/ajnh/article/view/1353/1695 6.สุนรี ัตน์ ภเู่ อ่ยี ม. อปุ กรณเ์ คล่ือนยา้ ยผูป้ ว่ ยพ่ึงพิง [อนิ เตอร์เน็ต] ; 2561 [เขา้ ถงึ เม่ือ31 กรกฎาคม 2565].เขา้ ถงึ ได้จาก: http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/57920334.pdf 7.อนริ จุ น์ สาระกิจ. การออกแบบอุปกรณก์ ายภาพบาํ บัดผู้ปว่ ยตดิ เตียง [อินเตอรเ์ นต็ ] ; 2560 [เข้าถงึ เมอื่ 29 กรกฎาคม 2565]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: file:///C:/Users/ASUS/Downloads/30f2019050114545335.pdf 8.อรวี องค์อาจ. ผ้าเลอื่ น เคล่ือนง่าย สะดวกคนย้าย สบายคนนอน[อินเตอร์เน็ต] ; 2560 [เข้าถึงเม่ือ31 สิงหาคม 2565]. เข้าถงึ ไดจ้ าก: https://he02.tcithaijo.org/index.php/trcnj/article/download/39964/32994/0 9.อัญชษฐฐา ศิรคิ าํ เพ็ง และภักดี โพธิ์สิงห์ .การดูแลผสู้ ูงอายุระยะยาวท่ีมีภาวะพึ่งพิงในยุคประเทศไทย 4.0 อนิ เตอรเ์ น็ต] ; 2560 [เข้าถงึ เมอื่ 31 กรกฎาคม 2565]. เขา้ ถงึ ได้จาก: file:///C:/Users/ASUS/Downloads/sariga2527,+Journal+editor,+22.+%E0%B8%AD%E0%B8%B1 %E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%90%E0%B8%B2+235 -244.pdf 265
ช้นิ งานนวตั กรรม “เส้อื ชว่ ยพยงุ ” 266
นวัตกรรม Little Pigs Edema ธัญญารตั น์ ถือศิล , นรรี ตั น์ คดิ รมั ย์ , นสุ รา สรุ วิ งค์ , พนติ ตา พุ่มภู่ศรี , พรรณภทั ร พพิ ฒั น์พรวงค์ วัลลภา อุยยาหาญ และวรางคณา สายสิทธิ์ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครปฐม, นครปฐม บทคดั ยอ่ นวตั กรรม Little Pigs Edema จดั ทำขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือประเมินผู้ป่วยเบอื้ งต้นถึงภาวะความ สมดุลของสารน้ำออกจากร่างกายเพ่ือมุ่งให้ผู้ที่สนใจมีความรู้ความเขา้ ใจในหลกั การประเมินภาวะบวมกดบุ๋ม มากยิ่งขึ้น และมีความแม่นยำท่ีถูกต้องตามหลักทฤษฎี โดยสร้างนวัตกรรมให้ผู้ที่สนใจได้เข้าถึงระดับความ รุนแรงของภาวะบวม โดยวิธีการใช้นิ้วกดที่ผิวหนังนาน 5 วินาทีในบริเวณที่มีอาการบวม ซึ่งตำแหน่งท่ี ตรวจสอบได้งา่ ยที่สุดคอื หน้าแข้ง ขอ้ เทา้ และหลงั เทา้ การกดเพ่อื ประเมนิ อาการบวมแบ่งออกเปน็ 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ 1+ กดบมุ๋ ลกึ 2 มิลลิเมตร มองไม่เหน็ ชดั เจนหายไปอยา่ งรวดเรว็ ระดับ 2+ กดบุม๋ ลึก 4 มิลลิเมตร สงั เกตได้ยากรอยบุ๋มหายไปภายใน 15 วนิ าที ระดบั 3+ กดบุ๋มลึก 6 มิลลิเมตร สังเกตได้ชัดรอยบมุ๋ อยูน่ านกวา่ 1 นาที ระดับ 4+ รอยบุ๋มลกึ 8 มิลลิเมตร ชัดเจนอยู่นานกว่า 2 นาที ซึ่งจะชว่ ยในการประเมินผู้ป่วยในกลุ่ม โรคหัวใจ โรคไตและผ้ปู ่วยทางด้าน อายุรกรรมท่ัวไป ผลการนำนวัตกรรม Little Pigs Edema ไปใช้ พบว่าความพงึ พอใจระดับมากท่ีสุดในดา้ นนวตั กรรมมี ความงา่ ยในการใช้ นวัตกรรมมคี วามนา่ สนใจในการนำไปใช้ และความสะดวกในการใชน้ วตั กรรม มีคะแนน เฉล่ียความพึงพอใจ ภาพรวมอยใู่ นระดับมากท่สี ุด คะแนนเฉลี่ย 5 1.ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเป็นปัญหาทางดา้ นสาธารณสุขที่สำคญั และมีแนวโน้มสูงขึน้ อย่างตอ่ เน่อื ง เป็นโรคที่ไมส่ ามารถรักษาให้หายขาด ได้เนื่องจากมีพยาธสิ ภาพของโรคทำให้เกิดความบกพร่องและสูญเสีย หน้าที่การทางานของไต ทำให้ของเสียในร่างกายเกิดการคั่งและส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ใน ประเทศไทยพบว่ามีรายงานอัตรา ความชุกของผู้ป่วยโรคไตเพ่ิมขึ้น ปี พ.ศ.2562-2564 มีอัตราความชกุ ของ ผปู้ ่วยเปน็ 1,073.3 คน 1,198.8 คน และ 1,306.6 คน ต่อประชากรหน่ึงลา้ นคน ภาวะหวั ใจล้มเหลวเป็นกลุ่ม อาการซึง่ มสี าเหตจุ าก ความผดิ ปกตขิ องการทํางานในหัวใจ อาจเกิดจากการมีความผิดปกติของโครงสร้างหรือ การทําหน้าทข่ี องหัวใจ ส่งผลทาํ ใหห้ ัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย หรือรบั เลือดกลับเข้าสู่หัวใจได้ ตามปกตอิ าการท่พี บบอ่ ยของภาวะหัวใจลม้ เหลว ได้แก่ อาการเหนือ่ ย (dyspnea) อาการเหนือ่ ยหายใจ สำหรับประเทศไทยสาเหตุการเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจอื่นซึ่งรวมภาวะหัวใจล้มเหลว มีจำนวนและอัตรา ตายต่อประชากร 100,000 คน เพิ่มขึ้นจาก 4,634 คน (7.1 %) ในปี 2558 เป็น 7,605 คน (11.6 %) ในปี 2562 ทั้งนี้อุบัติการณ์ การเกิดภาวะหวั ใจล้มเหลว ในประเทศ สหรัฐอเมรกิ า มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยวา่ มี ภาวะ หัวใจล้มเหลวรายใหม่ประมาณปีละ 550,000 ราย และมีผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากภาวะภาวะหัวใจ 1 267
ล้มเหลวเร้อื รัง หายใจไมส่ ะดวกขณะนอนราบ (orthopnea), อาการหายใจ ไม่สะดวกขณะนอนหลบั และต้อง ต่ืนข้นึ เนือ่ งจากอาการ หายใจไมส่ ะดวก (paroxysmal nocturnal dyspnea, PND), อาการบวมในบริเวณที่ เป็นรยางค์สว่ นลา่ งของรา่ งกาย (dependent part) เช่น เท้า ขา เป็นลกั ษณะ บวมกดบุม๋ , ออ่ นเพลีย หลกั การประเมินภาวะบวมกดบมุ๋ โดยวิธีการใช้นิ้วกดที่ผิวหนังนาน 5 วนิ าทใี นบริเวณที่มีอาการบวม ซึ่งตำแหน่งที่ตรวจสอบได้ง่ายที่สุดคือ หน้าแข้ง ข้อเท้า และหลังเท้า การกดเพื่อประเมินอาการบวมแบ่ง ออกเป็น 4 ระดับ ไดแ้ ก่ ระดับ 1+ กดบุ๋มลกึ 2 มิลลเิ มตร มองไมเ่ หน็ ชดั เจนหายไปอยา่ งรวดเรว็ ระดบั 2+ กด บุ๋มลึก 4 มิลลิเมตร สังเกตไดย้ ากรอยบ๋มุ หายไปภายใน 15 วนิ าที ระดับ 3+ กดบุ๋มลกึ 6 มลิ ลเิ มตร สังเกตได้ ชดั รอยบมุ๋ อยนู่ านกวา่ 1 นาที ระดับ 4+ รอยบมุ๋ ลึก 8 มิลลเิ มตร ชดั เจนอยู่นานกว่า 2 นาที ซึง่ จะช่วยในการ ประเมินผู้ปว่ ยในกลุ่มโรคหวั ใจ โรคไตและผู้ป่วยทางดา้ นอายุรกรรมทว่ั ไป ดงั นั้นผปู้ ระเมนิ จะต้องมีความรู้และ ทักษะในการประเมนิ ภาวะบวมไดเ้ ป็นอยา่ งดี ซึ่งในบทความนจี้ ะกล่าวถงึ หลกั การปฏิบัตกิ ารประเมนิ ภาวะบวมกดบุ๋มเพอ่ื ใหเ้ กิดการพัฒนาการ ปฏบิ ัติงานดงั กลา่ ว นกั ศกึ ษาคณะพยาบาลศาสตรช์ ้นั ปีที่3 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครปฐม จงึ ได้จดั ทำนวัตกรรม เร่อื ง Little Pigs Edema 2. วตั ถุประสงค์ 2.1 เพื่อพฒั นานวัตกรรม Little Pigs Edema 2.2 เพือ่ ศึกษาความเป็นไปได้ของการนำ นวตั กรรม Little Pigs Edema ไปใช้ 3. กลุ่มเปา้ หมายในการประเมินความเป็นไปได้ของการนำไปใช้ นกั ศึกษาชน้ั ปที ่ี 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครปฐม จำนวน 10 คน 4. ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะไดร้ ับ 4.1 นักศกึ ษาพยาบาลมีนวตั กรรมเสมอื นจริงในการประเมนิ pitting edema 4.2 เปน็ สอ่ื สำหรับการเรยี นการสอนทั้งภาคทฤษฎแี ละภาคปฏิบัติ 5. กระบวนการพฒั นา (ตามขน้ั ตอน plan do check act) ข้นั ที่ 1 ขั้นวางแผน (Plan) 1) ประชมุ สมาชิกกลุ่ม กำหนดหวั ขอ้ ท่ีต้องการและตั้งกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้งา่ ยตอ่ การดำเนนิ งาน แบง่ หนา้ ทร่ี ับผิดชอบในการดำเนินงาน 2) ศึกษาและสืบค้นข้อมูล เพ่ือนำไปพฒั นาเป็นนวตั กรรม 3) วางแผนและจัดหาอุปกรณ์ในการพฒั นาวัตกรรม 2 268
ขนั้ ท่ี 2 ขัน้ ตอนการปฏิบัติ (Do) พฒั นานวตั กรรม Little Pigs Edema โดยนำอปุ กรณ์มาจำลองเสมือนจริงสำหรับการประเมนิ ภาวะ บวมกดบ๋มุ ได้ คือ ตัวต๊กุ ตามหมูและนิว้ มือทม่ี คี วามนุ่มและยืดหยุน่ ได้ (ดงั ภาพที่ 1 และ 2) ภาพท่ี 1 ตุ๊กตาหมู สำหรับจำลองเปน็ หนา้ แข้งในการประเมนิ pitting edema ภาพท่ี 2 นิ้วมือจำลอง สำหรบั ใช้เป็นน้ิวมือประเมนิ pitting edema ขั้นที่ 3 ขั้นตอนการตรวจสอบ (Check) นำนวัตกรรม Little Pigs Edema ไปทดลองใช้ และปรบั ปรุงใหเ้ หมาะสม คือ การสวมใสร่ องเท้าให้ ตวั หมู เพ่อื ให้มีความเหมือนกับหน้าแขง้ เสมอื นจรงิ สำหรับการประเมนิ pitting edema มากข้นึ (ภาพที่ 3) 3 269
ภาพที่ 3 นวตั กรรม Little Pigs Edema ข้นั ที่ 4 ข้นั ตอนการดำเนนิ งานให้เหมาะสม (Act) หลังจากการนำนวตั กรรมน้ีไปทดลองใช้และให้ทำแบบประเมินความพงึ พอใจโดยมีความพึงพอใจมาก ทสี่ ุด ซ่งึ มคี ะแนนเฉลย่ี เทา่ กบั 5 ซึ่งหมายความว่านวตั กรรมชน้ิ นม้ี ีประโยชน์และสามารถทำให้ผูเ้ ข้ามาศกึ ษามี ความรู้และความสามารถในการประเมนิ ภาวะบวมกดบุม๋ 5. รายละเอยี ดและวิธีการใช้งานนวตั กรรม 5.1 ใชน้ ้วิ มือจำลอง ซ่ึงมสี เกลบอกระดับความรุนแรงของภาวะบวม (ภาพท่ี 4) ภาพที่ 4 นวิ้ มอื จำลอง 5.2 ใช้น้ิวจำลองกดลงไปท่ีตวั นวตั กรรม Little Pigs Edema และดูระดบั ความรนุ แรงที่สเกลของน้ิวจำลอง (ภาพท่ี 5) 4 270
ภาพท่ี 5 ตัวอย่างการประเมนิ pitting edema โดยใชน้ วัตกรรม Little Pigs Edema 6. ผลการทดลองใช้นวตั กรรมและการอภิปรายผล จากการนำนวตั กรรมนีไ้ ปทดลองใชก้ บั ผทู้ ท่ี ดลองใชน้ วัตกรรม Little Pigs Edema พบว่ามคี วามพึงพอใจ มากท่ีสดุ ในดา้ นนวตั กรรมมีความงา่ ยในการใช้ นวัตกรรมมคี วามนา่ สนใจในการนำไปใช้ และความสะดวกใน การใชน้ วตั กรรม มีคะแนนเฉลยี่ ความพึงพอใจ ภาพรวมอยู่ในระดับมากทส่ี ุด คะแนนเฉลย่ี 5 7. ขอ้ เสนอแนะ นำไปตอ่ ยอดเป็นงานวิจยั ในชัน้ เรียนตอ่ ไป 8. บรรณนุกรม ธนาพร ค้มุ สวา่ ง. (2563). การจัดการภาวะนำ้ เกินและการปรับยาขับปัสสาวะด้วยตนเองของผปู้ ่วยภาวะหวั ใจ ลม้ เหลว. บทความการศึกษาตอ่ เนอ่ื ง, 30(3), 213-226. อรวกิ าญจน์ ชัยมงคล. (2565). บทบาทพยาบาลในการดแู ลผู้ปว่ ยภาวะหัวใจล้มเหลว ณ หน่วยบรกิ ารผปู้ ่วย นอก. วชิรสารการพยาบาล, 24(1), 75-95. อารยา ดำรงกจิ . (2565). การพยาบาลผปู้ ว่ ยไตวายเรอื้ รังระยะสุดท้ายร่วมกับภาวะหัวใจลม้ เหลวทีไ่ ด้รับการ ลา้ งไตทางช่องท้อง. วารสารอนามนั ส่ิงแวดล้อม และอนามัยชมุ ชน, 7(2), 93-99. 5 271
เครอื่ งหักหลอดแกว้ ยาอตั โนมตั ิ จารวุ รรณ จันทร์คณาโชค1, ฟ้าใส ขวยเขิน2 , ภทรพร รอดไทรป่า3, ภทั รวดี เพชรเเตง่ 4, ภาวิณี ทองดอนน้อย5, สุภา พร ทองสุข6, อโนชา พรประสาตร์7, อรุณี หงษเ์ วยี งจนั ทร์8 1วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรัช คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั พระบรมราชชนก *[email protected] บทคดั ย่อ การศกึ ษาประสิทธผิ ลนวตั กรรมในคร้ังนมี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศกึ ษาสภาพปัญหาเกย่ี วกบั การเกิดอบุ ัตเิ หตกุ ารหกั หลอดแก้ว ยา พัฒนานวัตกรรมเครือ่ งหกั หลอดแกว้ ยาอัตโนมัตแิ ละทดสอบประสิทธิผลของนวัตกรรมเครื่องหักหลอดแกว้ ยาอตั โนมัติในด้าน อตั ราการเกดิ อบุ ตั ิเหตุของมคี มบาดจากการหกั หลอดแกว้ ยาและความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมเครอ่ื งหกั หลอดแก้วยาอตั โนมัติ นวัตกรรมคร้ังน้ีเป็นวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi-Experimental Designs) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ พยาบาลวิชาชีพท่ี ปฏบิ ัตงิ านในสถานบรกิ ารและมีประสบการณ์ในการเตรยี มยาที่ ปฏบิ ัติงานบนหอผปู้ ่วยศัลยกรรมและอายรุ กรรม โรงพยาบาลบ้าน โป่ง จังหวัดราชบุรี จํานวน 30 คน โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัญหาเก่ียวกับการเกิด อุบัติเหตุการหักหลอดแกว้ ยา ระยะท่ี 2 การทดสอบประเมนิ ประสิทธผิ ลหลังการใชน้ วัตกรรม ประกอบดว้ ย แบบบนั ทึกความถ่ใี น การเกิดอุบัติเหตุ และแบบประเมินความพึงพอใจของนวัตกรรมเครื่องหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิง พรรณนา ผลการศึกษาทดสอบผลของนวัตกรรม พบว่า ความถ่ีการเกิดอุบัติเหตุ อัตราการเกิดอบุ ตั ิเหตุของการหกั หลอดแก้วยาเป็น แบบปากฉลาม คิดเปน็ รอ้ ยละ 5.83 หลอดแกว้ ยาแตกรา้ ว คิดเป็นร้อยละ 3.33 และไม่พบอุบัตเิ หตุหลอดแก้วยาบาดมอื จากการใช้ นวัตกรรม และพบความพึงพอใจของนวัตกรรม “เครื่องหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติ” ในภาพรวมเฉลีย่ เท่ากับ 4.03(S.D.=0.63) คิด เป็นรอ้ ยละ 81.33 คาสาคัญ: หลอดแก้วยา อัตราการเกดิ อุบตั เิ หตุ 272
1. ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา พยาบาลวิชาชีพ เป็นกลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขท่ีต้องมีความรับผิดชอบสูง จากการสํารวจพบว่า พยาบาลวชิ าชีพทวั่ โลกมีมากกว่า 59 ลา้ นคน1 เผชญิ กับความเรง่ รีบความเครียดตลอดเวลา รวมถงึ สารเคมีหรอื สารอนั ตรายตา่ ง ๆ และยงั มอี ีกหลายปัจจัยทง้ั สภาพแวดลอ้ มและลกั ษณะการทํางานที่ไมป่ ลอดภยั 2 ซง่ึ แตกตา่ งไปในแต่ละโรงพยาบาล ที่จะส่งผลต่อ สุขภาพหรือการบาดเจ็บระหว่างการทํางาน โดยพยาบาลวิชาชีพมากกว่า 35 ล้านคนมีการทํางานที่ต้องสัมผัสกับอุปกรณ์หรือ เครื่องมือทางการแพทย์ท่ีมีความแหลมคม3 ซ่ึงมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการบาดเจ็บของพยาบาลวิชาชีพ ส่งผลกระทบต่อ คณุ ภาพชีวิตและทาํ ใหป้ ระสิทธิภาพการทํางานลดลง เนอื่ งจากในการปฏบิ ตั ิงานของเจ้าหนา้ ทใ่ี นแต่ละเวร กจิ กรรมบางกิจกรรมอาจก่อให้เกดิ อนั ตราย การเตรียมยาฉดี ก็เป็น กิจกรรมการพยาบาลหนงึ่ ทีพ่ ยาบาลทุกคนตอ้ งปฏบิ ัติ การบริหารยาจําเป็นต้องมีการหกั หลอดแกว้ ยาหรือทีเ่ รียกว่ายาชนดิ แอมพูล (Ampule) หรอื ที่เรียกส้ันๆว่า “แอมป์ยา” หรือ “หลอดแก้วยา” การหกั หลอดแก้วยามกั ควบค่กู ับการเตรยี มยาเสมอ การเตรียม ยาในลักษณะของหลอดแก้วยา (Ample) ซึ่งขนาดสําหรับคอขวดของหลอดแก้วยา พบได้หลายขนาด คือ 0.5 มล. 1.0 มล. 2.0 มล. 3.0 มล. 5.0 มล. และ 10.0 มล. เป็นต้น4 ในการหักหลอดยาบางคร้ังมักเกิดอุบัติเหตุ หลอดแก้วยาบาดนิ้วมือของพยาบาล จากการศกึ ษาของพาล์มเมอร์และบอล อา้ งถงึ ในกาญจนา ชาญประเสริฐ4 การหักหลอดแกว้ ยาทาํ ให้เหลือเศษแก้วแหลมข้นึ 51.7% ยังมีเศษแก้วที่ตกลงไปในขวดของหลอดแก้วยาที่บรรจุยา ซึ่งในการหักหลอดแก้วยานั้นสามารถทําให้เกิดบาดแผลบริเวณมือได้ เน่ืองจากบริเวณขอบที่ได้ทําการหักมีลักษณะเป็นขอบแหลมพยาบาลหรือบุคคลากรทางการแพทย์จึงได้รับบาดเจ็บ และจาก การศึกษาของปาร์คเกอร์ อ้างถึงในกาญจนา ชาญประเสริฐ4 พบว่า การบาดเจ็บท่ีเกิดขึ้นจากการหักหลอดแก้วยา 6% ลักษณะ ของบาดแผลท่ีได้รับมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ไม่เท่ากันบางครั้งกท็ ําใหเ้ ส้นเอ็นและเส้นประสาทบริเวณท่ีเกิดบาดแผลเสียหายได้ และการศกึ ษาของ เกา, เส่า, ชวง และฮวง อ้างถงึ ในกาญจนา ชาญประเสริฐ4 พบว่า บาดแผลทีไ่ ดร้ บั จากการหกั หลอดแก้วยาเป็น อนั ดับที่ 4 ของสาเหตุจากการบาดเจ็บของพยาบาลและบุคคลากรทางการแพทย์ ลักษณะของการเกิดอุบัติการณ์ส่วนใหญ่ถูกหลอดแก้วยาหรือเศษแก้วบาด ร้อยละ 90.91 เกิดอุบัติการณ์ในขณะกําลัง เตรียมอุปกรณ์ ร้อยละ 78.41 มีตําแหน่งอวัยวะท่ีเกิดอุบัติการณ์เกิดขึ้นท่ีบริเวณปลายน้ิวมือร้อยละ 1005 ปัจจัยท่ีทําให้เกิด อุบัตกิ ารณจ์ ากการถูกหลอดแกว้ ยาบาด คอื การปฏิบัติงานด้วยวิธีทไ่ี มถ่ ูกต้อง ประสบการณ์ในการทํางาน สภาพร่างกายที่เหนื่อย อ่อนล้า ชว่ งเวลาของการปฏบิ ตั ิงาน การไมไ่ ดร้ บั การสนับสนุนนอปุ กรณใ์ นการป้องกนั อบุ ัติเหตุ การจดั อตั รากาํ ลงั ในการปฏิบัตงิ าน ที่ไม่เพยี งพอ การจดั สิ่งแวดลอ้ มท่ไี มเ่ อื้ออํานวย6 วิธีในการหักหลอดแกว้ ยามีด้วยกนั หลากหลายวธิ ี อาจมีบางวธิ ีการท่ีต้องใช้ตะไบ เล่ือย เล่ือยหลอดแก้วยาแล้วหักหรือใช้สําลี 2 ก้อน ผ้าก๊อซ ซองใส่ syringe ผ้าสะอาด ฯลฯ7 ประกอบส่วนบนและส่วนล่างของ หลอดแก้วยาแล้วหัก ในบางครง้ั ไม่สามารถหักได้เนื่องจากหลอดแก้วยาแต่ละชนิดมีขนาด ความหนาบางที่แตกต่างกันใชเ้ วลานาน ในการหกั หลอดแก้วยา และเกดิ อุบัตเิ หตจุ ากการหกั หลอดแก้วยาได้ เช่น ถกู หลอดแก้วยาบาดมือ เกิดการบาดเจ็บ เกดิ บาดแผลที่ น้ิวมือสง่ ผลตอ่ การปฏิบัตงิ านเป็นอย่างย่ิงเน่ืองจากบาดแผลอาจเสย่ี งต่อการติดเชื้อเน่ืองจากต้องปฏิบัติงานกับผู้ป่วยบนหอผู้ป่วย และเกิดสูญเสียจํานวนยาท่ีบรรจุอยู่ภายในหลอดยาแก้ว เป็นด้น จะเห็นได้ว่าปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบหลายอย่างทางด้าน ร่างกายและด้านจิตใจแต่ผลกระทบหลักท่ีตามมาคือได้รับบาดเจ็บท่ีบริเวณมือ จึงต้องมีการป้องกันและการรับมือจากอุบัติเหตุที่ เกดิ ข้นึ จากการถกู หลอดแก้วยาบาด สามารถทาํ ได้โดยใชผ้ ้าสะอาดหรือสาํ ลีรองเพอ่ื ปอ้ งกันอุบตั ิเหตุเศษแกว้ ทม่ิ ตาํ หรอื บาดมอื เมอื่ ทําการหักหลอดแก้วยาแลว้ จะมีหลอดแกว้ ยาทีผ่ า่ นการหักหรือผ่านการใชง้ านแล้วใหบ้ รรจลุ งในภาชนะท่ีแก้วแทงไม่ทะลเุ พื่อนาํ ไป ท้งิ ตามหลักการควบคมุ การติดเชือ้ (Infection control)8 273
ผลของการทบทวนวรรณกรรมพบวา่ มนี วัตกรรมกล่องหักแอมป์ยา ของเจียมจิตต์ เฉลิมชตุ ิเดชและภคมน กีรติเดชากิจ9 มกี ารประดิษฐ์เป็นแบบกล่องและมกี ้านสับลงมาบบี ใหห้ ักแอมป์ ผลการทดลองพบวา่ ได้ทาํ การทดลองใช้นวัตกรรมเป็นระยะเวลา 6 เดอื น ทดลองใชท้ ี่หอผปู้ ่วยกุมารเวชกรรม 2 จํานวน 10 คน มีการใช้กลอ่ งหกั แอมป์ยาแทนการใชม้ อื หักแอมป์ยา ในขนั้ ตอนการ เตรียมยาสําหรับให้ผู้ป่วยพบว่ามีความสะดวก รวดเร็วซึ่งใช้เวลาในการหัก 0.5 วินาที จากเดิมใช้มือนานประมาณ 10 วินาที ใช้ เวลาในการเตรียมยาลดลง และปลอดภัยต่อผปู้ ่วยและบคุ ลากร อยา่ งไรก็ตามยงั พบข้อจํากัดในการใช้หกั แอมป์ยาทบี่ รรจยุ าขนาด 10 ml มโี อกาสแตก 30% ซึ่งได้ติดตามวิเคราะห์ปัญหาร่วมกนั พบว่าบุคลากรผใู้ ช้บางคนขาดทกั ษะในการใช้ คือ วางแอมป์ยาไม่ พอดีกับเส้นแนวท่ีกําหนดไว้ เป็นต้น ต่อมานวัตกรรมการหักแอมพ์ยาด้วยไซริงก์ ของรุ่งตะวัน โคตรวงศ์10 เป็นการทดลองด้วย กระบวนการ CQI โดยนําอุปกรณท์ ั้งหมดของการฉีดยา เชน่ ฝาเข็มฉดี ยา กล่องฉีดยา สําลี มาเปน็ อุปกรณ์ทดลองในการหักแอมป์ ยา ซึง่ ได้แนวคิดมาจากการแกไ้ ขปัญหาของหญิงต้ังครรภท์ ่ีมีหัวนมสนั้ ด้วยการตัดไซริงค์ ทําให้จกุ ของแอมป์ยายาวข้นึ และไมต่ ้องใช้ มอื จับทีแ่ อมปย์ า ผลการทดลองพบวา่ เจ้าหนา้ ทีใช้ไซริงก์หกั หลอดแกว้ ยามคี วามพงึ พอใจมากท่ีสุด รอ้ ยละ 42.8 พอใจมากรอ้ ยละ 57.1 ไม่พบการบาดเจ็บจากการ ใช้ไซริงก์หักหลอดแก้วยา และนอกจากการใช้ไซริงก์หักหลอดยา ทําให้หลอดยาไม่แตกแล้ว ยัง สง่ ผลดีต่อผู้ป่วยคือ ผู้ปว่ ยได้รับยาครบตามขนาดการรักษาของแพทย์ ยังมีขอ้ จํากัดคอื ตัวนวัตกรรมยังต้องใช้แรงเป็นจาํ นวนมาก ในการช่วยหักและไม่สามารถทํางานได้อยา่ งอัตโนมตั ิ หากมกี ารหกั แอมปย์ าในเวลาเร่งเรีบก็ยงั มีโอกาสเกดิ อุบัตเิ หตจุ ากของมคี วาม บาดได้ จากการทบทวนวรรณกรรมขา้ งต้นนั้น นวตั กรรมยังมีการใช้แรงจากมอื ในการหกั หลอดแก้วยา และอาจเกดิ อุบตั ิเหตุจาก การหกั หลอดแกว้ ยาได้ คณะผู้จัดทําจึงได้ศึกษาสภาพปญั หาเกีย่ วกบั การเกดิ อบุ ัตเิ หตกุ ารหกั หลอดแก้วยาของพยาบาลวิชาชพี จึงมี แนวคิดในการจัดทํานวัตกรรมเคร่ืองหักหลอดแก้วยาอตั โนมัติขึ้นมา โดยลดการสมั ผัสกับหลอดแก้วยาในขณะหักเพื่อปอ้ งกันการ เกิดอุบัติเหตจุ ากการหกั หลอดแก้วยาให้แกพ่ ยาบาลวิชาชีพท่ีปฏบิ ัติงานอยู่บนหอผู้ป่วยและตอ้ งทําการเตรยี มยาใหแ้ ก่ผ้ปู ่วย เพ่อื ให้ เกิดความสะดวกสบายในการหักหลอดแกว้ ยา ลดการเกิดการบาดเจบ็ จากการหกั หลอดแก้วยา 2. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ศกึ ษาสภาพปญั หาเกีย่ วกับการเกดิ อบุ ัติเหตุการหกั หลอดแก้วยา 2. เพ่อื พัฒนานวตั กรรมเครื่องหักหลอดแก้วยาอตั โนมตั ิ 3. เพือ่ ทดสอบประสิทธิผลของนวัตกรรมเครอื่ งหกั หลอดแกว้ ยาอัตโนมัติในดา้ นอัตราการเกิดอุบตั ิเหตุของมีคมบาดจากการ หักหลอดแกว้ ยาและความพงึ พอใจต่อการใช้นวตั กรรมเคร่อื งหักหลอดแกว้ ยาอตั โนมตั ิ 3. กลมุ่ เป้าหมาย พยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบัติงานในสถานบรกิ ารสุขภาพและมปี ระสบการณ์ในการเตรยี มยาจากหลอดแกว้ ยาทป่ี ฏิบัตงิ านในหอ ผู้ป่วยศัลยกรรมและอายุรกรรม โรงพยาบาลบา้ นโป่ง จ.ราชบุรี จาํ นวน 30 คน 274
4. กระบวนการพัฒนา (ตามขน้ั ตอน plan do check act) 4.1 ขัน้ ตอนการเตรียม (PLAN) 1. ศึกษาปัญหากําหนดหัวข้อนวัตกรรมท่ีสนใจ ในการปฏิบัติการเตรียมยาบนหอผู้ป่วยจะพบเจอปัญหาเร่ืองการหัก หลอดแก้วยา เนื่องจากพยาบาลวิชาชีพจะต้องทําการเตรียมยาให้แก่ผู้ป่วยมักมีการหักหลอดแก้วยาเพื่อทําการเตรียมยา และทํา การหักหลอดแก้วยาดว้ ยมือเปล่าจึงทาํ ให้เกิดบาดแผลช้ินเน่ืองจากมกี ารบาดของหลอดแกว้ ยาท่ีได้ทาํ การหักเพ่ือนํายาที่ได้ไปใชใ้ น การเตรียมยา ให้แก่ผู้ป่วย ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาต่อยอดจากขวดน้ํายาในการช่วยหักหลอดแก้วยามาเป็นเครื่องหัก หลอดแกว้ ยาอัตโนมัตเิ พอ่ื ความปลอดภยั ระหว่างการเตรียมยาและเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเตรียมยาใหแ้ กผ่ ู้ปว่ ยและศึกษา คน้ ควา้ หาขอ้ มูลวจิ ัยเพมิ่ เติม นํามาสร้างพัฒนาช้นิ งานนวตั กรรมโดย พัฒนาแนวคิดจากการสิ่งประดิษฐ์ที่ชว่ ยในการหักหลอดแก้ว ยาเรอื่ ง “ ทีห่ ักด.ี ..ใช้ไม่บาดนวิ้ มือ” ซงึ่ เป็นปัญหา สําคัญหนึง่ อยา่ งในการปฏบิ ัติงานของพยาบาลวชิ าชีพบนหอผปู้ ว่ ย 2. เสนอหัวขอ้ /แนวคิดเกยี่ วกบั นวตั กรรมกบั อาจารยท์ ีป่ รกึ ษา 3. กาํ หนดโครงออกแบบรา่ งนวตั กรรม 4. กาํ หนดวัตถุประสงค์ และขอบเขตการดาํ เนนิ งาน 5. กาํ หนดตัวชี้วดั และตัง้ เปา้ หมาย 6. กําหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง ลกั ษณะผลงานนวัตกรรม 4.2 การดาเนินการ (DO) โครงรา่ ง การประดิษฐ์ 1. ปรึกษา ผ้เู ชี่ยวชาญเก่ยี วกบั ทเ่ี รียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ - อุตสาหกรรม และ วศิ วกรรมศาสตร์ในการเขยี น นวัตกรรมเกย่ี วกับการผลิตชน้ิ งานนวัตกรรม เช่น การเขียนโปรแกรม 2. ออกแบบโครงร่างนวัตกรรมเพอ่ื ทาํ การประดิษฐ์ ภาพที่ 1 โครงรา่ งนวตั กรรม Version 1 และ Version 2 3. จดั ซอ้ื อุปกรณ์ในการจดั ทาํ ชน้ิ งานนวัตกรรม 4. ลงมอื เขยี นโปรแกรม Arduino R3 โดยผู้เช่ยี วชาญทีเ่ รยี นอิเล็กทรอนกิ ส์ - อุตสาหกรรม และวศิ วกรรมศาสตร์ 5. นําขอ้ มลู ที่ทาํ การเขียนโปรแกรมเสรจ็ ลงบอรด์ ควบคุมวงจร 275
6. จดั ทําอุปกรณ์โดยมีการอา้ งอิงรปู แบบอุปกรณ์มาจากแทนเจาะเหล็ก 7. นําอปุ กรณ์ทจี่ ัดทํามาตอ่ เข้ากับวงจรทไี่ ดล้ งโปรแกรมไว้ 8. จากน้ันนาํ ระบบท้งั หมดกับอปุ กรณแ์ ลว้ ต่อเขา้ กบั แหล่งจา่ ยไฟ 9. ทดสอบอุปกรณ์ในประเดน็ อตั ราการเกดิ อุบตั ิเหตุจากการหักหลอดยาแก้ว ความสะดวกในการปฏบิ ตั งิ านและ ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการหักหลอดยาแก้ว 4.3 ขน้ั ตอนการติดตาม ตรวจสอบ ประเมิน (CHECK) ประกอบด้วย 2 ขน้ั ตอน ได้เเก่ 1. ทาํ การทดสอบอุปกรณโ์ ดยคณะผจู้ ดั ทาํ ในประเด็น อัตราการเกดิ อบุ ตั ิเหตจุ ากการหกั หลอดยาแกว้ ความพึงพอใจใน การปฏิบัติงาน และให้อาจารยป์ ระจํากลมุ่ ตรวจสอบความถกู ต้องของเน้อื หา รูปแบบของนวัตกรรม และตรวจสอบอปุ กรณ์ ก่อน นาํ ชนิ้ งานของนวตั กรรมไปใช้กับพยาบาลวชิ าชพี 2. ทาํ การทดสอบอุปกรณใ์ นสถานการณจ์ ริง โดยทดสอบกับพยาบาลวชิ าชีพ โดยมรี ายละเอียดดงั นี้ ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง ประชากร คือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในสถานบริการสุขภาพและมีประสบการณ์ในการเตรียมยาจาก หลอดแกว้ ยา กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยศัลยกรรมและอายุรกรรม โรงพยาบาลบ้านโป่ง จ . ราชบรุ ี จํานวน 30 คน การกาหนดขนาดตวั อย่าง ผู้วิจัยเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งแบบโควตา้ (Quota sampling) ผู้วจิ ัยกําหนดคุณสมบัตแิ ละจาํ นวนของกล่มุ ตวั อย่างที่ใช้ ในการศึกษาและเก็บตัวอย่างโดยการเลือกแบบบังเอิญ ได้ตัวเลือกขนาดกลุ่มตัวอย่างพยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบัติงานในหอ ผ้ปู ่วยศัลยกรรม โรงพยาบาลมะการักษ์ 30 คน ดังน้ัน กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศกึ ษาครั้งนี้มีจํานวน 30 ราย ลักษณะของ กลมุ่ ตวั อย่างมีคุณสมบัตติ ามเกณฑท์ ี่กําหนดดังนี้ เกณฑค์ ดั เข้า (Inclusion criteria): กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคคลากรทางการแพทย์ที่ปฎิบัติงานในหน่วยงานท่ีมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากของมีคม และมคี มและยินดเี ขา้ ร่วมการวจิ ยั เกณฑ์คดั ออก (Exclusion criteria): 1. ไม่สามารถให้ความร่วมมือได้ตลอดระยะเวลาการวิจยั 2. ปฎเิ สธการใหข้ ้อมลู เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นนวตั กรรม เคร่ืองมือที่ใช้ในนวัตกรรมครั้งนี้ประกอบด้วยเครื่องมือ คือ บบสอบถามการเกิดอุบัติเหตุจากจากการหักหลอดแก้วยา แบบประเมินความพงึ พอใจใน และแบบบนั ทกึ อุบตั ิเหตุ หลงั การใช้บรกิ ารนวัตกรรม “เครอื่ งหักหลอดแกว้ ยาอตั โนมัติ” 276
แบบสารวจกอ่ นทานวัตกรรม 1. แบบสอบถามการเกิดอุบัติเหตุจากจากการหักหลอดแก้วยา ประกอบข้อคําถาม 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ข้อมูลของผู้ตอบ สอบถาม ประกอบด้วย อีเมลของผูต้ อบแบสอบถาม เพศ ประสบการณ์การทาํ งาน โรงพยาบาลและหนว่ ยงาน/แผนกท่ีปฎิบตั ิงาน สว่ นที่ 2 แบบประเมินปัญหาเก่ียวกับการเกิดอุบัติเหตุจากการหักหลอดแก้วยา ประกอบด้วยคําถามทั้งหมด 7 ข้อ ประกอบด้วย ขนาดหลอดแก้วยาท่ีมีปัญหา ขนาดของหลอดแก้วยาท่ีใช้บ่อย ปัญหาเก่ียวกับการหักหลอดแก้วยา สิ่งท่ีควรระวังพิเศษเมื่อหัก หลอดแกว้ ยา อตั ราการเกดิ อบุ ตั เิ หตุ ปัจจัยที่ทําให้เกิดอบุ ตั เิ หตุและผลกระทบจากการเกิดหักหลอดแก้วยา แบบสอบถามมีลกั ษณะ เปน็ คาํ ถามปลายเปดิ และเลอื กตอบตามความเปน็ จริงกับที่ผู้ตอบแบบสอบถามพบเจอ แบบประเมินหลังทดลองใชน้ วตั กรรม 1. แบบประเมนิ ความพงึ พอใจในการใชบ้ รกิ ารนวตั กรรม ประกอบดว้ ยข้อคาํ ถามทง้ั หมดจํานวน 9 ขอ้ แบง่ เป็น 3 ดา้ น ประกอบด้วย ด้านการออกแบบนวตั กรรม ด้านโครงสร้างนวัตกรรม และดา้ นประโยชนใ์ นการใช้งาน แบบสอบถามนม้ี ีลกั ษณะเป็น แบบมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับ ดังน้ี 5 หมายถึง พงึ พอใจมากท่ีสุด, 4 หมายถึง พึงพอใจมาก, 3 หมายถึง พงึ พอใจปานกลาง, 2 หมายถึง พึงพอใจน้อย, 1 หมายถงึ พงึ พอใจนอ้ ยที่สดุ 2.แบบบันทึกอุบัติเหตุ ประกอบข้อคําถาม 2 ส่วน ส่วนท่ี 1 คือ ข้อมูลพ้ืนฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย เพศ ประสบการณใ์ นการทาํ งาน โรงพยาบาลและหนว่ ยงาน/แผนกที่ปฎิบัติงาน ส่วนที่ 2 คือ แบบบันทึกความถี่การเกดิ อุบัติเหตุ ประกอบด้วย วันเดอื นปี จาํ นวนคร้ังที่เตรียมยา จํานวนหลอดแก้วยาที่หักท้ังหมด จํานวนครง้ั ที่เกิดอุบัติเหตุ ขนาดของหลอดแก้ว ยาทเ่ี กดิ อบุ ัตเิ หตุและหมายเหตุ แบบบนั ทึกเป็นคาํ ถามปลายเปิดและตอบตามความเป็นจรงิ กับท่ผี ้ตู อบแบบสอบถามพบเจอ คณุ ภาพของเครอื่ งมอื แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการนวัตกรรม “เคร่ืองหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติ” และ แบบสอบถามการเกิด อุบัติเหตุจากจากการหักหลอดแก้วยา น้ีได้รับการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) จากผู้เช่ียวชาญจํานวน 3 ทา่ น คืออาจารย์พยาบาลทม่ี ีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิตหรือพัฒนานวัตกรรม การปฏบิ ัติงานทต่ี ้องหกั หลอดแก้ว ยาเป็นประจาํ และมีความเชี่ยวชาญด้านการวดั ประเมินผล เพื่อดูความครอบคลุมของเนื้อหา ( Content Validity ) และตรวจสอบความชัดเจนของภาษาท่ีใช้และนําเคร่ืองมือมา ปรับปรุงแก้ไข พบว่ามีดัชนีความสอดคล้อง (Index of consistency ) อยู่ระหว่าง 0-1 ซ่ึงไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กําหนดไว้คือ เกณฑท์ ี่กําหนดไว้คือ คา่ Index of consistency เทา่ กับ 0.50-1.00 ถอื ว่ามคี วามตรงตามเนอื้ หา คะแนนรวมแตล่ ะแบบสอบถาม มดี งั น้ี 1.แบบสอบถามสารวจการเกดิ อุบตั ิเหตุจากการหกั หลอดแก้วยา ขอ้ มูลพ้ืนฐานของผตู้ อบแบบสอบถาม คะแนนตํ่าสดุ เท่ากับ -0.33 มกี ารปรบั ปรงุ แก้ไขตามข้อเสนอแนะ คะแนนสงู สดุ เท่ากบั 0.33 มีการปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะ ปจั จัยด้านหลอดแกว้ ยาทมี่ ปี ัญหา คะแนนต่ําสดุ เทา่ กับ -0.67 มกี ารปรบั ปรงุ แก้ไขตามขอ้ เสนอแนะ 277
คะแนนสูงสดุ เทา่ กบั 0.67 มคี า่ คะแนนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กาํ หนด 2.แบบบนั ทึกขอ้ มูลในการเกิดอุบตั เิ หตหุ ลังการใชน้ วัตกรรมเครอื่ งหักหลอดแกว้ ยาอตั โนมตั ิ ข้อมูลพนื้ ฐานของผ้ตู อบแบบสอบถาม คะแนนตาํ่ สดุ และสงู สดุ เท่ากัน เทา่ กบั 0.67 ค่าคะแนนเปน็ ไปตามเกณฑท์ ี่ กําหนด ปัจจยั ด้านหลอดแก้วยาทมี่ ีปญั หา คะแนนต่าํ สุดเทา่ กับ -1.00 ตัดขอ้ คําถามออก 3.แบบประเมนิ ความพงึ พอใจนวตั กรรม\"เคร่ืองหกั หลอดแกว้ ยาอัตโนมัติ คะแนนตํา่ สดุ เท่ากับ -0.67 มีการปรับปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะ คะแนนสงู สดุ เท่ากับ 1.00 มคี า่ คะแนนเป็นไปตามเกณฑท์ ก่ี าํ หนด การพทิ ักษส์ ทิ ธก์ิ ลุ่มตัวอยา่ ง ในการวิจัยคร้ังน้ีคณะผู้จดั ทําคํานึงถึงการพทิ ักษส์ ิทธิ์กลุม่ ตัวอย่าง โดยก่อนทําการวิจัยคณะผู้จัดทาํ ได้เสนอโครงร่างวิจัย ประสทิ ธิผลของนวัตกรรม “เคร่ืองหักหลอดแก้วยาอตั โนมตั ิ” ใหค้ ณะกรรมการจริยธรรมการวจิ ัยในคน วิทยาลัยพยาบาลบรมราช ชนนี จักรีรัช เพ่ือพิจารณาความเหมาะสมทางจริยธรรมก่อนการทําการเก็บรวบรวมข้อมูล หลังจากคณะกรรมการจริยธรรมการ วิจยั วิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนี จักรีรัชได้อนุมัติผลแลว้ น้ัน คณะผู้จัดทาํ ขออนุญาตผอู้ ํานวยการโรงพยาบาลบา้ นโปง่ เก็บขอ้ มูล ในกลมุ่ ตัวอยา่ ง หลังจากไดร้ บั การอนมุ ตั ิ คณะผ้จู ัดทาํ เข้าพบกบั กลุม่ ตวั อย่างและดําเนนิ การแนะนําตัว ช้ีแจงวัตถุประสงค์ ขนั้ ตอน การใช้นวัตกรรมและการเก็บขอ้ มูล การเข้าร่วมการวิจัยครงั้ น้ีเป็นไปตามความสมคั รใจของกลุ่มตัวอย่าง และสามารถถอนตัวออก จากการเปน็ กลุ่มตัวอย่างจากงานวิจยั นี้ได้ตลอดเวลาทีต่ อ้ งการโดยไม่มีผลกระทบต่อผลการทาํ งาน พร้อมทง้ั ถามความสมัครใจจาก กลุ่มตัวอย่างและลงชื่อไว้ในหนังสือยินยอมเข้าร่วมวิจัยในการเก็บข้อมูลและข้อมูลท่ีได้จะถูกเก็บเป็นความลับ และนําเสนอใ น ภาพรวมเพอื่ ประโยชนท์ างการศึกษาเท่านั้น ขนั้ ตอนและวธิ เี กบ็ รวบรวมข้อมูล การจัดทํานวตั กรรมครงั้ นผ้ี จู้ ดั ทําไดด้ ําเนนิ การโดยเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยดาํ เนินการตามข้นั ตอน ดังนี้ ข้นั เตรยี มการ 1. คณะผ้จู ัดทาํ เตรียมชิ้นงานนวัตกรรม “เครอ่ื งหกั หลอดแกว้ ยาอตั โนมตั ิ” และเคร่ืองมือในการเกบ็ ขอ้ มลู ทีไ่ ดพ้ ัฒนาตาม คําแนะนาํ จากคณะกรรมการผทู้ รงคุณวุฒิแล้ว เพื่อเตรยี มความพรอ้ มในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 2. คณะผจู้ ัดทําขออนุมัติทําการศึกษาจากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัยในมนษุ ย์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรัช เมื่อได้รับการอนุมัติทําการศึกษาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัชแล้ว คณะผู้วิจยั ขออนญุ าตจากผู้อํานวยการโรงพยาบาลบ้านโปง่ เพื่อดําเนินการเกบ็ ข้อมูลในกลุ่มตัวอย่าง ณ โรงพยาบาลบา้ นโป่ง หอ ผูป้ ว่ ยศัลยกรรมและอายุรกรรม 3. คณะผู้จัดทําเข้าพบกับกลุ่มตัวอย่างและดําเนินการแนะนําตัว ช้ีแจงวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการใช้นวัตกรรมการเก็บ ขอ้ มูล การพิทกั ษ์สิทธ์ิ พร้อมท้ังถามความสมัครใจจากกล่มุ ตวั อยา่ ง และลงชือ่ ไว้ในหนังสือยินยอมเข้ารว่ มวิจัย 278
ขน้ั ดาเนินการ 1.ให้ประชากรท่ที ํางานในสถานบรกิ ารสุขภาพท่ีมปี ระสบการณใ์ นการเตรียมยาจากหลอดแก้วยา ทาํ แบบสอบถามสาํ รวจ การเกดิ อบุ ัติเหตจุ ากการหกั หลอดแก้วยา 2.ช้แี จงการใช้อปุ กรณ์ นวตั กรรมเคร่ืองหักหลอดแกว้ ยาอตั โนมัติ” 3.เมอ่ื กลุ่มตวั อยา่ งได้ทดลองใช้นวัตกรรม “เครื่องหกั หลอดแกว้ ยาอัตโนมัติ” และทําแบบสอบถามเกี่ยวกบั อัตราการเกิด อุบัตเิ หตุและความพงึ พอใจตอ่ การใช้นวัตกรรมแล้วเปิดโอกาสให้กลุ่มตัวอยา่ ง ได้แสดงความคดิ เห็นหรอื แนวทางที่เปน็ ประโยชน์ใน การพฒั นา/ปรบั ปรุงชน้ิ งานนวตั กรรมท่ีเหมาะสมกบั บริบทการใช้งานจรงิ 3. คณะผู้จดั ทํารวบรวมขอ้ มลู ทง้ั หมด ตรวจดคู วามสมบูรณข์ องแบบสอบถามท้งั หมดลงรหสั ข้อมลู และวเิ คราะหท์ างสถิติ วเิ คราะหค์ ่าสถิตโิ ดยใช้โปรแกรมสําเร็จรปู โดยใชส้ ถิตใิ นการวเิ คราะห์ ดงั น้ี 1. วิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ ได้แก่ อัตราการเกิดอุบัติเหตุและผลประเมินความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรม “เครื่องหักหลอดแก้วยาอตั โนมัติ” โดยการใช้ จํานวน ร้อยละ คา่ เฉลีย่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 4.4 ข้นั ตอนการนาผลการประเมนิ ไปปรบั ปรุงพัฒนา (ACT) ตรวจสอบปญั หา จดุ ด้อย และจากเครือ่ งมอื การวดั ประเมนิ นวตั กรรม แบง่ ประเด็นตามหวั ข้อและรว่ มมอื ปรึกษาอาจารย์ ประจาํ กลุ่ม และผเู้ ชย่ี วชาญเพอื่ รว่ มแกไ้ ขปญั หา 5. รายละเอยี ดและวิธีการใชง้ านนวตั กรรม ใชโ้ ปรแกรม Arduino เป็นกลไกในการหกั หลอดแกว้ ยา Step 1 นํานวัตกรรมเสยี บเข้ากับแหลง่ จ่ายไฟอาทิ เพาเวอรแ์ บงค์ Adaptor Step 2 ทาํ การเช็ดแอลกอฮอลลบ์ ริเวณปากขวดและบรเิ วณหัวตวั Step 3 นาํ หลอดแก้วยาขนาด 5 m.ใสล่ งในฐานของตวั นวัตกรรม โดยนาํ ด้านที่มอื จดุ หันออกทางดา้ นนอกและปิดฝา ครอบ Step 4 กดป่มุ ดา้ นบนของตวั นวตั กรรม เพอ่ื เริม่ การทํางาน Step 5 นาํ หลอดแกว้ ยาท่หี กั สําเรจ็ ออกจากฐานและนําไปใช้งาน 6. ผลการทดลองใชน้ วัตกรรมและการอภปิ รายผล การศกึ ษาคร้ังนเ้ี ปน็ การศกึ ษา ประสิทธผิ ลของนวตั กรรม “เคร่อื งหกั หลอดแก้วยาอัตโนมตั ิ\" มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พือ่ พฒั นา นวตั กรรมทางการพยาบาล “เครอ่ื งหักหลอดแกว้ ยาอตั โนมัต\"ิ เพอื่ ใชเ้ ปน็ เคร่อื งมือในการใชห้ กั หลอดแกว้ ยาอตั โนมตั ิ เพ่ือลดการ เกิดอบุ ตั ิเหตุ และช่วยเพ่ิมความสะดวกสบายมากยิง่ ขึน้ ในระหวา่ งท่ีเตรียมยา ผลของการดาํ เนนิ งานนาํ เสนอในรูปแบของตาราง ประกอบคําบรรยาย แบง่ เปน็ 2 ส่วน ดังน้ี ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัญหาเกยี่ วกับการเกดิ อุบตั เิ หตุการหกั หลอดแกว้ ยา 279
ตอนที่ 1 ข้อมลู พื้นฐานของผูต้ อบแบบสอบถาม ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู พบว่า พีพ่ ยาบาลทป่ี ฏบิ ตั ิงานในสถานบรกิ ารสขุ ภาพและจําเป็นต้องหกั หลอดแกว้ ยาเพอื่ เตรยี มยาจาํ นวน 17 คน ส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญงิ รอ้ ยละ 70.6 และเพศชาย รอ้ ยละ 29.4 มีอายสุ ว่ นใหญ่อยใู่ นช่วง 1-1ปคี ร่ึง รอ้ ยละ 70.7 อายชุ ่วง 2 ปี ร้อยละ 23.5 อายชุ ว่ ง 4 ปี ร้อยละ 5.9 โดยปฏบิ ตั ิงานทโ่ี รงพยาบาลมะการกั ษ์ ร้อยละ 29.4 โรงพยาบาลนครปฐม ร้อยละ 23.6 โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา รอ้ ยละ 17.7 โรงพยาบาลทองผาภมู ิ ร้อยละ 5.9 โรงพยาบาลด่านมะขามเตยี้ รอ้ ยละ 5.9 โรงพยาบาลเมตตาประชารกั ษ์ รอ้ ยละ 5.9 โรงพยาบาลเลาขวัญ รอ้ ยละ 5.9 และแผนกท่ีปฏบิ ตั ิงาน แผนกฉุกเฉนิ รอ้ ยละ 35.3 แผนกหอ้ งผา่ ตดั ร้อยละ 11.8 แผนกศลั ยกรรมชาย ร้อยละ 5.9 แผนกศัลยกรรมหญงิ ร้อยละ 5.9 แผนกอายุรกรรมชาย ร้อยละ 5.9 แผนกอายรุ กรรมหญงิ ร้อยละ 5.9 แผนกอนื่ ๆ รอ้ ยละ 23.6 (ดงั ตารางท่ี 1) ตอนท่ี 2 แบบประเมินสภาพปัญหาเกี่ยวกับการเกิดอบุ ตั เิ หตกุ ารหักหลอดแกว้ ยา หลอดแก้วยาท่มี ปี ญั หาท่ีสดุ ในการหักกอ่ นการใชง้ าน คือ 50 CC ร้อยละ 70.6 ,รองลงมา คือ 2 cc รอ้ ยละ 23.5 และ 10 cc ร้อยละ 5.9 หลอดแก้วยาท่ีใช้บ่อยท่ีสุดของแต่ละโรงพยาบาล โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2 cc ร้อยละ 64.7 , 1 cc ร้อยละ 17.7 , 5 cc รอ้ ยละ 5.9 , 10 cc ร้อยละ 5.9 และ 50 cc รอ้ ยละ 5.9 • ปญั หาเกยี่ วกบั การหักหลอดแกว้ ยา 1. ความหนาของหลอดแก้วยา ความยากในการหัก ขนาดปริมาณของยา รอยหักมีจุดน้อย หาใบ เลื่อยสําหรับตดั ไม่เจอ เลยใช้มอื เปล่าหักแทน เน่ืองจากสถานการณค์ อ่ ยขา้ งรีบ และแอมปเ์ หนยี ว • สง่ิ ทีค่ วรระมัดระวงั การในหักหลอดแกว้ ยา 1. ไมย่ ดึ หลกั sterile ความปลอดภัย หลอดแก้วยาบาดน้วิ มือ หลอดแก้วยาแตก การหกั หลอดแก้วยา ใหถ้ กู ทาง อตั ราการเกดิ อุบตั ิเหตหุ ลอดแกว้ ยาบาด ในรอบ 1 เดือนท่แี ผนกคดิ เปน็ อัตราส่วน 1:10 • ปจั จัยท่ที ําใหเ้ กดิ อบุ ตั เิ หตมุ ากทีส่ ุด 1. ขนาดของหลอดแกว้ ยา รอ้ ยละ 52.9 2. วิธกี ารหักหลอดแกว้ ยา รอ้ ยละ 29.4 3. ความชาํ นาญของพยาบาล ร้อยละ 17.6 ระยะท่ี 2 การทดสอบประเมินประสิทธผิ ลหลังการใช้นวตั กรรม 1) แบบบันทกึ ขอ้ มูลในการเกิดอุบัตเิ หตุหลงั การใชน้ วัตกรรมเครอ่ื งหักหลอดแก้วยาอัตโนมตั ิ ตอนที่ 1 ขอ้ มลู ทัว่ ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม สาเหตุท่ีขยายขอบเขตการทดลองใช้นวัตกรรม เน่ืองจาก จํานวนพยาบาลวิชาชีพในตึกผู้ป่วยอายุรกรรมและ ศลั ยกรรม มีจํานวนไมเ่ พยี งพอกับขนาดกลุ่มตัวอย่างทกี่ ําหนด และจากการศึกษา พบวา่ ความเส่ยี งต่อการบาดเจบ็ จาก หลอดแก้วยา ซึ่งแผนกท่ีปฏบิ ัติงานสูติศาสตร์มีความจําเป็นทีต่ ้องหักหลอดแก้ว เพ่ือผสมยา ดังน้ัน ผู้จัดทําจึงเลือกกลุ่ม ตวั อย่างเพ่มิ เติมในตึกผปู้ ่วยสตู ศิ าสตร์ ตอนที่ 2 แบบบันทกึ ความถี่การเกดิ อบุ ัตเิ หตุ จากการนาํ นวัตกรรมไปทดลองท่โี รงพยาบาลบา้ นโป่ง จํานวน 30 คน โดยทําการทดสอบการหักหลอดแก้วยา คนละ 4 หลอด อัตราการเกิดอุบัติเหตุการหักหลอดแก้วยาเป็นแบบปากฉลามจํานวน 7 หลอดแก้วยา คิดเป็นร้อยละ 280
5.83 หลอดแก้วยาแตกร้าว จํานวน 4 หลอด คิดเป็นร้อยละ 3.33 และไม่พบอุบัติเหตุหลอดแก้วยาบาดมือจากการใช้ นวตั กรรม 2) แบบประเมินความพงึ พอใจของนวัตกรรม “เครอ่ื งหักหลอดแกว้ ยาอตั โนมัติ” ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู พบวา่ 1. ด้านการออกแบบนวัตกรรม : นวัตกรรมมีการพฒั นาได้สอดคลอ้ งตามแนวคิด ทฤษฎอี ยา่ งสมเหตสุ มผล คา่ เฉลี่ย 4.17 สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน 0.61 ร้อยละ 83.33, มีความสมบรู ณ์ และความพรอ้ มในการใช้งาน คา่ เฉล่ยี 4.03 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.77 และร้อยละ 80.67 2. ดา้ นโครงสรา้ งนวัตกรรม : นวตั กรรมมีโครงสรา้ งทแี่ ข็งแรง คงทน คา่ เฉลยี่ 4.23 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.97 รอ้ ยละ86.00 ,ความปลอดภยั ค่าเฉลี่ย 4.06 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.72 รอ้ ยละ 81.33, มขี นาด และนํ้าหนักเบา เหมาะสมกับ การใชง้ าน ค่าเฉลย่ี 3.97 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.52 และร้อยละ 79.33 3. ด้านประโยชน์การใช้งาน: ไม่เกิดอุบัติเหตุจากการหักหลอดแก้วยาขณะเตรียมยา ค่าเฉลี่ย 4.40 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน 0.61 ร้อยละ 88.00 ,มีความสะดวกต่อการใช้งาน ค่าเฉลี่ย 3.77 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.70 ร้อยละ 75.33, ลด ระยะเวลาในการหักหลอดแก้วยาลง ค่าเฉล่ีย 3.73 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.95 ร้อยละ 67.33 ,ความพึงพอใจในภาพรวม นวตั กรรม ค่าเฉล่ยี 4.03 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.63 รอ้ ยละ 81.33 4. รวมค่าเฉล่ยี 4.00 รวมค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน0.15 จากผลการวิจัยนวตั กรรม “เครือ่ งหกั หลอดแกว้ ยาอตั โนมัติ” สามารถนํามาอภิปรายผลการศกึ ษา ได้ 5 ขน้ั ตอนดงั นี้ 1)วิเคราะห์ความต้องการของพยาบาลวชิ าชีพ 2) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารงานวจิ ัยที่เกี่ยวข้อง 3) สร้างนวัตกรรม “เครื่องหัก หลอดแก้วยาอัตโนมัติ” 4) ตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 5) ทดลองใช้และประเมินผลของการใช้นวัตกรรม “เครื่องหักหลอดแก้วยา อัตโนมัติ” จากการศึกษาสภาพปัญหาเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุการหักหลอดแก้วยาเพ่ือนํามาพัฒนานวัตกรรมให้สอดคล้องกับ ปัญหา พบว่าปัจจัยที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุ คือ ขนาดของหลอดแก้วยา วิธีการหักหลอดแก้วยา และความชํานาญของพยาบาล ซึ่ง สอดคลอ้ งกับการศึกษาของณัฐชา เจียรนิลกุลชัย และสิรณี เกจิกรแก้ว พบวา่ ปัจจัยท่สี าํ คัญของการบาดเจ็บจากการหักหลอดแก้ว ยา ได้แก่ วิธีการแตกหกั ประสบการณ์ ขนาดของหลอด ทิศทางการหัก8 ผู้จัดทําจงึ พัฒนาเป็นนวัตกรรม “เคร่ืองหักหลอดแก้วยา อัตโนมัติ” เพ่ือลดปจั จัยต่าง ๆ ทก่ี ่อใหเ้ กิดอุบัติเหตุ และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ซ่ึงจากสมมติฐานทว่ี ่า “ไม่เกิดอุบัติเหตุจากการ หกั หลอดแก้วยาหลังจากการใช้นวัตกรรมเคร่อื งหักหลอดแกว้ ยาอัตโนมัติ” สอดคล้องกับการศกึ ษาของ Richard, et al. อ้างถึงใน ไหมไทย ไชยพันธุ์ และคณะ กล่าวว่าการลดอุบัติการณ์ถูกเข็มตํา หรือของมีคมบาดของบุคลากรทางการแพทย์แนวทางหน่ึง คือ การออกแบบอุปกรณ์ท่ใี ช้ในการรกั ษาพยาบาลและอปุ กรณ์ปอ้ งกันตา่ ง ๆ ใหม้ ีความปลอดภัยตอ่ ผปู้ ฏบิ ตั ิซ่ึงจะสง่ ผลใหผ้ ู้ปฏิบตั งิ าน ทาํ งานได้มปี ระสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน25 และสมมติฐานท่ีว่า “คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรมเคร่ืองหักหลอดแก้วยา อตั โนมัติ อย่างน้อย 3.51 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน”จากผลการทดลองพบความพึงพอใจในภาพรวม 4.00 ตามทฤษฎี ความพึงพอใจที่กลา่ วว่า แรงจงู ใจภายในที่แสดงรู้สึกเห็นดว้ ย ไม่เห็นด้วย ชอบ ไม่ชอบ เมอื่ ได้รบั การตอบสนองและความคาดหวัง จากการทํากิจกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการเป้าหมายของแต่ละบุคคล17 และจากผลของการประเมินความพึงพอใจ ในส่วน ของผลการทดลองใช้โดยพยาบาล พบว่า ไมล่ ดระยะเวลาในการหักหลอดแกว้ ยาลง ซ่ึงไมส่ อดคลอ้ งกบั นวัตกรรมกลอ่ งหักแอมป์ยา ของเจียมจติ ต์ เฉลมิ ชุติเดชและภคมณ กรี ติเดชากจิ ทว่ี า่ ใช้เวลาในการเตรียมยาลดลง คอื ใช้ระยะเวลาในการหกั 0.5 วนิ าที เดิมใช้ 281
มือนานประมาณ 10 วินาที 12 ซึ่งเปน็ เพราะกลไกการทํางานของเครือ่ งหักหลอดแก้วยา ด้วยกลไกการทาํ งานเป็นระบบอตั โนมัติ มีการสงั่ การผ่านบอรด์ Arduino และมีการป้อนคําส่งั ทีม่ ีการใช้ระยะเวลาและระยะทางในการทาํ งาน เพอื่ ลดแรงกระแทกระหวา่ ง ตัวนวัตกรรมและหลอดแกว้ ยา 7. ขอ้ เสนอแนะ จากการเก็บรวบรวมข้อมลู กลุ่มตัวอย่างท่ใี ชน้ วัตกรรม“เครือ่ งหกั หลอดแก้วยาอัตโนมัติ”ได้ให้ขอ้ เสนอแนะเพ่ิมเตมิ ทเ่ี ป็น ประโยชน์ในการพัฒนานวัตกรรม ดงั น้ี 1. ควรเปล่ียนขนาดหลอดแก้วยาให้เหมาะสมกบั การใชง้ านบนหอผู้ป่วยและควรเลอื กหักหลอกแก้วยาทมี่ ีขนาดใหญ่เช่น 50 ml ท่หี กั ค่อนข้างยาก 2. ควรพฒั นาให้มกี ารหักหลอดแก้วยาได้หลายรปู แบบ เชน่ 5 ml 10 ml 20 ml 3. ควรพัฒนาใหส้ ามารถใช้งานได้รวดเรว็ และปลอดภัยข้นึ เนื่องจากบางสถานการณ์ท่เี ร่งรีบ การหักหลอดแก้วยาด้วยวิธี ปกติ มคี วามรวดเร็วกว่า เม่อื ต้องใช้ตัวนวัตกรรมแต่คงยังต้องเชด็ แอลกอฮอล์ก่อนเข้าเคร่ืองหักหลอดแก้วยาทุกคร้ัง ซึ่งยังไม่ตอบ โจทย์ในเรอ่ื งประโยชน์ของการใชง้ าน 282
8. เอกสารอา้ งอิง [1] The United States Department of Health and Human Services. Determinants of health: HealthyPeople 2020Jinternetj. [Internet]. 2012 [cited 2022 Sep 4]. Available from: www.healthypeople.gov/ 2020 /about/DOHAbout.aspx [2] รตั ติกาล สุขพรอ้ มสรรพ์. อุบัตกิ ารณข์ องการบาดเจ็บท่เี กยี่ วเนื่องจากการทํางานของพยาบาลวิชาชพี โรงพยาบาลพะเยา จงั หวดั พะเยา. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข [อินเทอรเ์ นต็ ]. 2560[เขา้ ถึงเมอื่ 4 กันยายน 2565]; 3: 107-118. เข้าถงึ ไดจ้ าก https://he02.tcithaijo.org/index.php/tnaph/article/download/111196/86932/ [3] The United States Bureau of Labour statistics. Workplace injuries and illness-2011 [Internet]. 2011. [cited 2022 Sep 4].Available from:https://www.bls.gov/news.release/pdf/osh.pdf [4] Kanchana Chanprasert. AMPOULE BREAKER: RSU I. 38th Congress on Science and Technology of Thailand [Internet]. [date unknown] [cited 2022 Sep 14] Available from: https://www.thaiscience.info/Article%20for%20ThaiScience/Article/62/10031943.pdf [5] Hambridge, Kevin. An exploration of sharps injuries within a nursing student population in the UK. Research Theses Main Collection [Internet]. 2019.[cited 2022 Sep 14] Available from: https://pearl.plymouth.ac.uk/bitstream/handle/10026.1/15173/2019Hambridge933059PhD.pdf?seq uence=1 [6] นวัตกรรมเรอ่ื งกล้วย กลว้ ยของแอมปย์ า. [อนิ เทอรเ์ น็ต]. [ม.ป.พ.] [เขา้ ถงึ เม่ือ 14 ส.ค. 2565]. เข้าถงึ จาก: http://maelanhos.com/home/images/PDF [7] สุนทรีภรณ์ ทองไสย. Psychiatric and Mental Health Nursing. พยาบาลกับการพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ Nurse and the Development of Creative Thinking. วารสารวทิ ยาลยั พยาบาลพระปกเกลา้ จนั ทบุร.ี 2559;1:112- 119. [8] เจยี มจิตต์ เฉลมิ ชุติเดช,ภคมณ กีรตเิ ดชากจิ . กล่องหักแอมปย์ า. [อนิ เทอรเ์ นต็ ]. 2554. [เข้าถึงวันท่ี 4 กันยายน 2565. เขา้ ถงึ ได้จาก;https://bppbh.blogspot.com/2011/06/blog-post_4583.html [9] ร่งุ ตะวนั โคตรวงศ.์ นวตั กรรมการหักแอมปย์ าดว้ ยไซริงก์. วารสารวชิ าการสาธารณสุข 2558;3:543-547 [10] จารุวรรณ วงศ์วเิ ศษ, ผกาทพิ ย์ นวลใหม่. นวตั กรรมหักเเอมปย์ า. [อินเทอร์เน็ต]. [ม.ป.ป.] [เขา้ ถงึ เมอ่ื 13 ก.ค. 2565]. เขา้ ถึงจากhttp://203.157.71.172/academic/web/files/2563/innovation/MA2563-001-04-0000000151- 0000000032.pdf 283
ภาพที่ 2 เคร่อื งหกั หลอดแกว้ ยาอตั โนมัติ 284
ปฏทิ ินเตอื นใจ ต้านภัย ไขเ้ ลอื ดออก ถาวรยี ์ แสงงาม1*, ธนดล ตอเสนา1 , กติ ติพงษ์ โมคสิร1ิ , กญั จนาภรณ์ ทองนาค1, กญั ญารัตน์ ทองมาก1 และ กรรณิการ์ ศรวี งษา1 (ไมใ่ ส่คานาหน้า หรอื ตาแหนง่ ) (Font 16) 1 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบรุ รี มั ย์, บรุ รี มั ย์ *ผู้รบั ผดิ ชอบบทความ: email [email protected] บทคดั ยอ่ คาสาคญั : ไขเ้ ลือดออก ปฎิทนิ 1. ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา โรคไข้เลือดออกนบั เป็นปญั หาสาธารณสขุ ท่สี าคัญของประเทศไทยตลอดมา เพราะไขเ้ ลือดออกเป็นโรคติดตอ่ โดยมี ยุงลายเป็นพาหะ ทสี่ ร้างความสญู เสียชีวิต คา่ ใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและความสญู เสียทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ท้งั ทที่ กุ ฝา่ ยไดช้ ว่ ยกนั รณรงค์ป้องกนั และควบคมุ มาโดยตลอด และไดร้ ับความรว่ มมือจากหน่วยงานตา่ งๆ ท้ังภาครัฐและเอกชน แต่ยงั พบว่าปัญหาโรคไข้เลอื ดออกไม่ได้ลดลงมากนัก และยังคงเป็นปัญหาสาคัญในระดับประเทศเร่อื ยมา ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไขเ้ ลือดออกที่มมี าอย่างตอ่ เนื่อง ทาให้เกิดการปรบั เปล่ียน แนวคิดในการแกไ้ ขปัญหา จาก การตงั้ รบั ไปสูน่ โยบายเชิงรุกโดยใชย้ ุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมให้คนในชุมชนได้ ตระหนกั ถงึ สภาพปัญหาของโรคไข้เลือดออก เกิด ความรบั ผิดชอบต่อปัญหาท่ีเกดิ ขึ้นในชุมชนของตนเอง พร้อม ทั้งหาวธิ ีการแก้ไข ซง่ึ ปัญหาของโรคไข้เลอื ดออกเป็นเร่ืองทเ่ี กี่ยวข้อง กบั พฤติกรรมและสิง่ แวดล้อม ดงั นน้ั การดาเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไขเ้ ลือดออก จงึ ต้องปรบั เปลีย่ นใหส้ อดคลอ้ งกับ สถานการณ์ของโรคท่ี เปลยี่ นแปลงไป โดยเน้นให้ประชาชนเหน็ ความสาคญั และถือเป็นภารกิจท่ีตอ้ งช่วยกนั กระต้นุ และชักนาให้ ประชาชน องค์กรชุมชน โรงเรียน ศาสนสถาน ตลอดจนเครือข่ายสุขภาพให้มสี ่วนร่วมอยา่ งจรงิ จังและต่อเนื่อง จงึ เป็นกจิ กรรม สาคัญท่ตี อ้ งเร่งรัดดาเนินการ บ้านหนองทบั อ.บ้านดา่ น จ.บรุ รี ัมย์ เปน็ อีกพนื้ ที่หนึ่งที่มปี ัญหาการระบาดของโรคไข้เลือดออกจะเห็นได้วา่ อัตราการป่วย มีแนวโนม้ สูงข้ึนเม่ือเทียบดูจากสถิติการเกิดโรคในปที ่ผี ่านมา มีสถิติการเกิดโรคไข้เลอื ดออกจังหวัดบุรรี มั ยใ์ นปี พ.ศ. 2564 (ขอ้ มูล ณ วันท่ี 1 มกราคม – 14 สิงหาคม 2564) ปว่ ยดว้ ยโรคไข้เลอื ด 33 ราย อัตราปว่ ย 2.07 ต่อแสนประชากร และในปี พ.ศ.2565 พบผู้ป่วยเพ่ิมข้นึ เป็น 45 ราย อตั ราป่วย 2.89 ต่อแสนประชากร ดว้ ยเหตุน้กี ารควบคุมโรคจะตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื ทง้ั จากชมุ ชน โรงเรียน องค์การบริหารสว่ นตาบล โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบลและหน่วยงานอน่ื ๆ ทีเ่ ก่ยี วข้อง ดังนั้นเพ่ือเป็นการเฝ้าระวงั และควบคมุ การแพรร่ ะบาดของโรคไขเ้ ลือดออก นักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบรุ ีรมั ย์ จึงไดท้ าโครงการ ปฏทิ นิ เตอื นใจ ต้านภยั ไขเ้ ลือดออก ซงึ่ เป็นการจัดกิจกรรมที่ดาเนินการเฝ้าระวังโรค และปอ้ งกันการแพร่ระบาด การป้องกนั และ ควบคมุ โรค โดยการเผยแพร่ความรู้ ส่งเสรมิ บทบาทการป้องกันและการควบคมุ โรคไข้เลือดออก โดยการแนะนาวิธีการกาจัดแหล่ง เพาะพันธ์ยุ งุ ลายและลดการชกุ ชุมของยุงลาย เพือ่ ให้ประชาชนในชุมชนสามารถรบั มือกบั ปัญหาโรคไขเ้ ลอื ดออกได้อยา่ งยงั่ ยนื 285
2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพื่อลดอัตราป่วยด้วยโรคไขเ้ ลือดออก 2.2 เพ่อื กาจัดแหลง่ เพาะพนั ธุ์ยงุ ลายและกาจดั ลูกน้ายงุ ลาย 2.3 เพ่ือให้ประชาชนมีความรู้ ความเขา้ ใจ ในการควบคุมป้องกันโรคไขเ้ ลอื ดออกที่ถูกวิธี และเหมาะสม 2.4 ทาให้ประชาชนเกิดพฤติกรรมในการทาลายแหลง่ เพาะพันธย์ งุ ลายอย่างต่อเนื่องสม่าเสมอ 3. กล่มุ เป้าหมาย 3.1 เป้าหมายสถานท่แี ละแหลง่ ดาเนินการ ได้แก่ บา้ นเรือนประชาชน วัด โรงเรยี น ในเขตตาบลบ้านหนองทบั หมู่ 13 อ. บ้านด่าน จ.บรุ ีรัมย์ 177 ครัวเรือน 3.2 เปา้ หมายผูเ้ ข้ารว่ มกิจกรรม ไดแ้ ก่ 1) ผบู้ รหิ ารองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล 2) กานัน ผ้ใู หญ่บ้านทุกหมบู่ ้าน ผู้ช่วยผูใ้ หญบ่ ้าน สารวัตรกานัน แพทย์ประจาตาบล 3) สมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลบ้านหนองทบั 4) ผู้บรหิ ารโรงเรียน คณะครู นกั เรยี น โรงเรียนบ้านดงกระทงิ 5) ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้านและอาสาสมัครสาธารณสุขหมบู่ า้ น (อสม.) 6) ผอู้ านวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจาตาบลบ้านดงกระทิงและคณะเจา้ หนา้ ที่ 7) ประชาชนเขตตาบลบา้ นหนองทบั หมู่ 13 รวมผ้เู ขา้ ร่วมกิจกรรม/โครงการ จานวน 50-100 คน 4. กระบวนการพฒั นา (ตามขนั้ ตอน plan do check act) 4.1 ข้ันวางแผน (Plan) 1) วิเคราะห์บริบทขอ้ มลู พื้นฐาน นาผลการประชาคมมาวเิ คราะหห์ าสาเหตปุ ญั หาและอุปสรรคการป้องกันและ ควบคมุ โรคไข้เลือดออกในชุมชน 2) ศกึ ษาข้อมลู ต่างๆ ที่เกยี่ วข้อง เพอื่ วางแผนคิดคน้ นวตั กรรมเพือ่ แกป้ ญั หาไขเ้ ลือดออก 3) ระดมความคิดในการวางแผนปฏิบัตกิ าร/กิจกรรมทไี่ ด้เพื่อให้มรี ปู แบบทีช่ ดั เจน จนสามารถนาไปปฏบิ ตั ทิ ่ีเป็น รปู ธรรมตอ่ ไป 4) แต่งตัง้ คณะทางาน เพอ่ื มอบหมายหนา้ ทแี่ ละความรบั ผิดชอบ 5) คณะทางานประสานงานตามหนา้ ท่ที ีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ไดแ้ ก่ จดั ซ้ือวัสดุอปุ กรณ์ จดั เตรียมสถานท่ี ประสานงาน กับผนู้ าหมู่บ้าน ตดิ ตอ่ อสม. 6) จัดเตรียมนวตั กรรม ได้แก่ ปฏิทินเตือนใจ และ แผน่ พับใหค้ วามรู้ 7) จดั เตรียมแบบสอบถาม Pre-Post test และแบบประเมินความพึงพอใจในการจดั โครงการ 4.2 ข้ันทา (Plan) 286
คือการดาเนินงานการตามรปู แบบการป้องกันโรคไขเ้ ลือดออกโดยการมีสว่ นร่วมของอาสาสมคั รสาธารณสุข (อสม.) ประกอบด้วย 2 กจิ กรรม 1. กจิ กรรมใหค้ วามร้เู ร่ืองไข้เลือดออก การป้องกนั วิธกี ารดแู ลพ้นื ท่ี หาพ้ืนทีเ่ สี่ยงแหล่งเพราะพันธุย์ งุ ลาย 2. กิจกรรมใช้นวตั กรรมในพืน้ ท่ี เพ่อื แก้ไขปัญหา โรคไข้เลือดออก คอื “ปฏทิ ินเตอื นใจ ต้านภยั ไขเ้ ลือดออก” ซง่ึ เปน็ นวัตกรรมท่ีใชเ้ ตือนความจาในการกาจัดแหลง่ เพราะพนั ธยุ์ ุงลาย เช่น การควา่ ภาชนะ การเปล่ียนน้าในแจกัน ถังเกบ็ น้า ทกุ ๆ 7 วัน 4.3 ข้นั ตอน Check 1) ประเมนิ ความรูค้ วามเข้าใจเกี่ยวกบั โรคไข้เลือดออกโดยการตอบคาถามกอ่ นการให้ความรู้ และหลงั การให้ ความรู้ โดยผเู้ ขา้ รว่ มสามารถตอบคาถามได้ถูกต้อง 9 ใน 10 ข้อ 2) ถามผู้เข้าร่วมในด้านของความรนุ แรงโรคไขเ้ ลือดออก เพ่อื ให้ผู้เขา้ ร่วมเกดิ ความตระหนัก และเหน็ ความสาคัญ ของการปอ้ งกนั และควบคมุ โรคไขเ้ ลือดออก โดยผู้เขา้ รว่ มสามารถบอกความรุนแรงของโรคไขเ้ ลือดออกได้ และจะรว่ มด้วยช่วยกัน ปอ้ งกันไม่ให้เกิดโรคไข้เลือดออกในชุมชน 3) ถามผู้เข้าร่วมถึงวธิ ีการใช้ และการเผยแพร่นวัตกรรม โดยผู้เขา้ รว่ มสามารถบอกวิธีการใชน้ วัตกรรมได้ และจะ นานวัตกรรมไปเผยแพรแ่ กค่ นในครอบครวั ต่อไป 4.4 ขน้ั ตอน Act การถอดบทเรียน เพื่อเป็นข้อมูลสะท้อนผลในการพฒั นารปู แบบการดาเนินการปอ้ งกันโรคไขเ้ ลือดออกพื้นท่ี และ การหาข้อดขี อ้ เสียปรบั ปรุงนวตั กรรมในพืน้ ที่ 5. รายละเอียดและวิธีการใช้งานนวตั กรรม ปฏทิ นิ เตือนใจ ตา้ นภยั ไขเ้ ลอื ดออก มีขั้นตอนการผลิตดงั นี้ อปุ กรณ์การประดิษฐ์ นวัตกรรม 1. กระดาษ A 4 2 รมี 2. เคร่อื งปริ้นเตอร์ (สี) 3. กระดาษกาว 2 หน้า 5 มว้ น ดาเนนิ การออกแบบ ปฏทิ ินเตอื นใจ ตา้ นภยั ไขเ้ ลือดออก เพื่อใหส้ ามารถง่ายต่อการจดจาในการตรวจสอบภาชนะ สารวจลกู น้ายุงลาย และการคว่าภาชนะ การเปลีย่ นนา้ ในแจกัน ถังเก็บนา้ ทุกๆ 7 วนั ไดร้ ูปแบบดงั น้ี ภาพท่ี 1 ปฏิทินเตอื นใจ ตา้ นภยั ไขเ้ ลือดออก 287
วิธีการใช้งานนวตั กรรม นาปฏทิ ินเตอื นใจ ตา้ นภยั ไขเ้ ลือดออกท่ไี ด้ ไปตดิ ทบี่ า้ น ในบริเวณท่ีสังเกตเหน็ ได้งา่ ย ในการเตือนใจ เพือ่ ตรวจสอบภาชนะ สารวจลูกน้ายงุ ลาย และการควา่ ภาชนะ การเปลยี่ นนา้ ในแจกัน ถังเก็บน้า ตามวันทีท่ าเครอื่ งหมายไวท้ ี่ปฏิทิน 6. ผลการทดลองใช้นวัตกรรมและการอภิปรายผล ผลการทดลองใช้ พบวา่ ประชาชนสามารถใช้นวัตกรรมไดด้ ี นาไปติดภายในบ้านบริเวณทสี่ ังเกตง่าย เชน่ ฝาต้เู ยน็ ฝาตู้ กบั ข้าว หรือ โต๊ะเคร่ืองแป้ง เปน็ ต้น ทาให้เตอื นความจาในการในการตรวจสอบภาชนะ สารวจลกู นา้ ยงุ ลาย และการควา่ ภาชนะ การเปลี่ยนนา้ ในแจกนั ถงั เก็บน้า ตามวันท่ีทาเคร่ืองหมายไว้ท่ปี ฏิทิน มพี ฤตกิ รรมในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกาจดั และทาลายแหล่ง เพาะพนั ธล์ ูกน้ายุงลายเป็นประจา การอภิปรายผล ยงุ ลายมักวางไข่ตามผิวภาชนะเหนือระดับน้าเลก็ น้อย โดยวางไข่ฟองเด่ยี วอยูร่วมกันเปน็ กลุ่ม ตวั เมียวางไข่ครง้ั ละประมาณ 100 ฟอง ยงุ ลายวางไขม่ ากน้อยเป็นจังหวะใน 24 ช่ัวโมง ตวั อ่อนที่อยู่ในไข่จะเจรญิ เตบิ โตพร้อมท่จี ะ ฟกั ออกเป็นลูกน้ายุงลายภายใน 2 วัน ระยะท่ีเป็นลกู น้ากินระยะเวลาประมาณ 6 – 8 วัน ก็ลอกคราบเป็นตวั ยงุ แตถ่ ้า สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น ขาดความชื้น จะทาใหต้ ัวออ่ น ตายได้ ไม่มาสามารถกลายเป็นยงุ ได้ ซง่ึ ถา้ สามารถตดั วงจรชีวติ น้ี ได้ จะทาใหล้ ดจานวนยงุ ลายลงได้ในที่สดุ 7. ข้อเสนอแนะ 1. แตเ่ นื่องจากปฏทิ ินทีไ่ ด้รับ บางเกินไป ใช้ไประยะหน่ึง ขาด และหลดุ จึงต้องอาจมีสารองให้ไว้ในในแต่ละบา้ นๆละ 3- 4 แผน่ 2. สนบั สนุนการผลติ นวตั กรรมอย่างต่อเน่ืองในทุกพ้นื ทข่ี องตาบลบา้ นหนองทับและขยายผลสชู่ มุ ชนอ่ืน 3. สง่ เสรมิ การปรับเปล่ียนพฤติกรรมหรือรปู แบบการเสริมสรา้ งจิตสานกึ ให้กบั ประชาชนรว่ มรับผิดชอบสงั คมกาจดั แหลง่ เพาะพันธุ์ยุงลายอย่างสมา่ เสมอตลอดทุกเดือน 4. จากบทความทางวชิ าการพบว่า ยงุ ลายจะวางไข่เป็นฟองเด่ยี วๆติดไวท้ ีผ่ นังดา้ นในเหนือระดบั ผิวน้า บริเวณท่ีช้ืนๆไข่ ใหม่มสี ีขาวต่อมาประมาณ 12-24 ช่วั โมงจะเปลย่ี นเปน็ สดี าระยะฟกั ตัวในไขป่ ระมาณ 2.5-3.5 วัน ในสภาพความช้ืนสงู และ อณุ หภูมปิ ระมาณ 28-30 องศา สามารถอย่ใู นท่ีแห้งไดน้ านเป็นปีเมื่อระดับนา้ ทว่ มไขจ่ ึงฟกั ตัวออกมาเป็นลูกนา้ ดังนน้ั การตรวจพบ ลกู น้ายงุ ลายแล้วแค่เทน้าทง้ิ หรอื คว่าภาชนะน้ันไม่ลดการเกดิ โรคไขเ้ ลอื ดออกในพน้ื ท่ีได้ ดังนนั้ หลงั จากท่ีเทนา้ ทง้ิ หรือคว่าภาชนะ นน้ั ควรเน้นยาแนะนาให้มกี ารขัดรอบภาชนะทพี่ บลูกน้ายุงลายก่อนเทนา้ ทิง้ ในพืน้ ท่ีแหง้ ๆร่วมกบั การใส่ถุงทรายอะเบทในภาชนะท่ี บรรจุน้าขนาดใหญ่ 8. เอกสารอ้างอิง ชนิดา มทั ทวางกรู และคณะ. (2561). ปัจจยั ทีม่ คี วามสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการป้องกันและควบคมุ โรคไข้เลอื ดออกของ ประชาชน ในพนื้ ทีร่ บั ผดิ ชอบของ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลสายสี่ จังหวัดสมทุ รสาคร. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั สยาม. 288
สมหวงั วงษ์เรณูและคณะ. (2559). ความรู้ และพฤติกรรมการป้องกนั โรคไข้เลอื ดออกของประชาชนในเขตตาบลคลองนา อาเภอเมอื งฉะเชิงเทรา จังหวดั ฉะเชิงเทรา.โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตาบลคลองนา อาเภอเมืองฉะเชงิ เทรา จงั หวดั ฉะเชิงเทรา. สานักโรคตดิ ตอ่ นาโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2558). โรคไข้เลอื ดออกสาหรบั ประชาชนและเครือขา่ ยภาค ประชาสังคม. (พิมพ์ครัง้ ที่ 2). กรงุ เทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั 289
ผลการใชส้ ่ือการเรียนรู้ผ่านแอพพลิเคชั่นการฉดี ยาทางกล้ามเน้ือ ต่อความรู้การฉดี ยาทาง กลา้ มเนื้อและความพึงพอใจของนกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตช้ันปีท่ี 2 กมลชนก เทวญั รตั นโชติ1,กุลนษิ ฐ์ อินทจร2, เกวลนิ บังเกดิ 3, เกษราภรณ์ สงั ขวิลาศ4 จีรนนั ท์ จนั ทรโ์ สม5, เดอื น ขนั ตนิ ติ กิ ลุ 6, เพญ็ พชิ ชา บัวบาน7 ,ไพลิน สนุ ทร8 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรัช โทรศพั ท์ 0966954118 * [email protected] บทคดั ยอ่ นวัตกรรมแอพพลเิ คช่ันการฉดี ยาทางกลา้ มเนอื้ มีวตั ถุประสงค์เพอื่ สรา้ งสื่อการเรยี นรผู้ า่ นแอพพลเิ คชน่ั เรอ่ื งการฉดี ยา ทางกลา้ มเน้ือของนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้ันปที ่ี 2 เพ่ือศกึ ษาผลการจัดการเรยี นรผู้ า่ นแอพพลิเคช่นั เร่ืองการฉีดยาทาง กลา้ มเนือ้ ตอ่ ความรู้ และ ความพึงพอใจของนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชน้ั ปที ี่ 2 และเพอ่ื เปรยี บเทียบความรูก้ ่อนและหลัง การใช้สอ่ื การเรยี นรผู้ ่านแอพพลเิ คชน่ั เรอ่ื งการฉีดยาทางกล้ามเน้ือของนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้นั ปีที่ 2 โดยวธิ ีการใชง้ าน กรอกข้อมลู ผเู้ ขา้ การเรียนรเู้ ลอื กเข้าส่รู ายการ(Menu) ทบทวนความรู้กายวภิ าคและสรีรวิทยาของกลา้ มเน้อื (Anatomy and physiology) โดยมสี ื่อวดิ ีโอการฉดี ยา (Medicinal Injection Demonstration Video) การเตรียมยาฉีด การตรวจสอบยา ตาม หลัก 10R การเตรยี มอุปกรณ์ (Syringe, เขม็ ฉีดยา) การเตรยี มยา การจัดทา่ การวดั และเลือกบริเวณท่ฉี ดี ยา การฉดี ยา โดยมี แบบทดสอบ สถานการณ์จำลองการฉดี ยาทางกล้ามเนอ้ื มี 3 สถานการณ์และเลือกคำแนะนำทเ่ี หมาะสมกบั สถานการณ์ เปน็ แอพลิ เคชนั่ ทส่ี ะดวกเข้าถงึ ง่ายและสามารถติดตงั้ ใชใ้ นโทรศัพทไ์ ด้อกี ดว้ ย กลุ่มเปา้ หมายคือ นักศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชั้นปที ่ี 2 รนุ่ ท่ี 25 จำนวน 88 คน ผลการวิจัยพบว่าคณุ ภาพของแอพพลเิ คชน่ั การฉดี ยาเขา้ กล้ามเน้ือ สำหรับนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตช้นั ปีท่ี 2 มี ผลสรุปไดว้ า่ จากการประเมินผ่านผ้ทู รงคุณวุฒิ ตรวจสอบแบบสอบถามการวิจยั พบคา่ ความเทย่ี งตรงของแบบสอบถาม (ค่า IOC = 0.68) ดา้ นคา่ เฉลย่ี คะแนนความรู้ภายหลังการทดลองใชส้ ือ่ การเรยี นการสอนของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชั้นปีท่ี 2 จำนวน 88 คน ผลการศึกษาพบวา่ การเปรียบเทยี บคา่ เฉล่ยี คะแนนความรู้กอ่ น หลงั การใชส้ ่อื การเรยี นการสอน เพิ่มข้ึนอยา่ งมี นยั สำคญั ทางสถิติท่ีระดับ 0.00 เน่ืองจากมีการใหค้ วามรผู้ า่ นสือ่ วดี โี อ และรปู ภาพประกอบทีส่ ามารถทำใหผ้ ้เู รยี นมคี วามรู้เพมิ่ ขน้ึ ความพงึ พอใจจากการใช้งานแอพพลิเคชนั่ ของ นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชน้ั ปีท่ี 2 ทีไ่ ด้จากการใชง้ านแอพพลิเคช่นั มี ผลสรุปได้วา่ กลมุ่ ตวั อย่างมคี วามพึงพอใจโดยรวมอยูใ่ นระดบั ดมี าก มีผลสรุปไดว้ า่ โดยแบ่งเปน็ ด้านเน้อื หา แบบทดสอบ สถานการณ์จำลองการฉดี ยาเขา้ กลา้ มเน้ือ กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี วามพึงพอใจโดยรวมอยใู่ นระดบั ดีมาก (คะแนนเฉลี่ย = 4.45) ดา้ นความ ชัดเจนของส่ือการเรียนรตู้ ามการทำงาน แบบออนไลน์ ความถูกตอ้ งของคำตอบจากการแสดงผลแบบออนไลน์ กลมุ่ ตัวอย่างมคี วาม พงึ พอใจโดยรวมอยู่ในระดบั ดมี าก (คะแนนเฉลยี่ = 4.23) ด้านการใชง้ าน แอพพลิเคช่ันสามารถนำไปประยกุ ต์ใชใ้ นการฉดี ยาไดจ้ รงิ อย่ใู นระดับ ดมี าก (คะแนนเฉลย่ี = 4.52) คำสำคญั : Application; ความรู้การฉีดยาเข้ากลา้ มเน้ือ 290
1. ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา การเรยี นการสอนในรายวิชาการพยาบาลข้นั พืน้ ฐาน (Fundamental Nursing) ของนกั ศึกษาพยาบาลศาสตร บณั ฑติ ช้ัน ปที ่ี 2 ได้เรียนเกย่ี วกับแนวคดิ หลักการ การประเมนิ สุขภาพ เทคนคิ การปฏบิ ตั ิการพยาบาลข้นั พน้ื ฐานและความปลอดภยั ในการ ใหก้ ารพยาบาล (หลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ฉบับปรบั ปรุง 2561 คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั พระบรมราชชนก) โดยมกี าร เรยี นทง้ั ในภาคทฤษฎี และทดลอง โดยเฉพาะทักษะการ พยาบาลทีส่ ำคญั จะมกี ารสอบ โดยประเมนิ ทกั ษะทางคลนิ ิก (Objective Structured Clinical Examination : OSCE) เพอื่ ใหน้ กั ศกึ ษาสามารถปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลได้ถูกตอ้ ง ได้แก่ การใหส้ ารน้ำทางหลอด เลอื ดดำ การให้อาหารทางสายยาง การทำแผล การทำแผล การวดั สัญญาณชีพ การดดู เสมหะ และการฉีดยาทางกล้ามเนอ้ื โดยใน ทุกทกั ษะจะได้ปฏิบตั ิกับหนุ่ จำลองสำหรับการปฏิบตั ิการพยาบาล ทกั ษะการฉีดยาจดั เปน็ การพยาบาลขัน้ พ้ืนฐานทส่ี ำคัญ ซงึ่ นกั ศึกษาพยาบาลชั้นปที ี่ 2 ต้องฝึกทกั ษะความ ชำนาญในห้องปฏบิ ัติการพยาบาล (nursing skill laboratory) ก่อนทีจ่ ะข้นึ ฝึก ปฏิบัติจรงิ ในคลนิ ิก โดยต้องมี ความรู้เก่ยี วกบั ขนาดของยาทีใ่ ห้ อปุ กรณท์ ใี่ ชใ้ นการใหย้ า เทคนคิ การใหย้ า และตำแหนง่ ท่เี หมาะสม ในการฉดี ยาเขา้ กลา้ มเน้อื ไมว่ า่ จะเป็นบรเิ วณหัวไหล่ สะโพก หรอื ตน้ ขาเด็กเล็ก การให้ยาโดยขาดความชำนาญ อาจ ก่อใหเ้ กดิ ภาวะแทรกซ้อนและเป็นอันตรายตอ่ ผ้ปู ว่ ยได้ เชน่ เปน็ อนั ตรายต่อเส้นประสาททำให้เน้ือเยื่อ เปลี่ยนแปลงและก่อให้เกดิ การติดเชื้อ การลงน้ำ หนักมือ ความเรว็ -ชา้ ในการฉีด สามารถลดความเจบ็ ปวด ให้กบั ผูป้ ว่ ยไดด้ งั นั้น การฝึกทกั ษะการฉดี ยาทางกล้ามเนอื้ จงึ เป็นเรอื่ งสำคญั ทน่ี กั ศึกษาพยาบาลตอ้ งไดร้ ับการ ฝึกปฏบิ ัตใิ หถ้ ูกต้อง (ณัฏฐชา เจยี รนิลกลุ ชัย, 2559) เพือ่ ป้องกันอันตรายทอ่ี าจเกิด กบั ผู้ปว่ ยและนักศึกษา พยาบาลผทู้ ำการฝึกปฏบิ ตั บิ นหอผู้ปว่ ยจรงิ ครัง้ แรก การเตรียมความพรอ้ มของนกั ศึกษาพยาบาลมีความสำคัญอยา่ งยิ่งสำหรับการข้นึ ฝกึ งานบนหอผ้ปู ่วย ตอ้ งอาศยั ความรู้ และความชำนาญในทักษะด้านตา่ งๆ จึงจำเป็นอยา่ งย่ิงทตี่ ้องมีการ สง่ เสริมความสามารถใน การใชก้ ระบวนการพยาบาล ปัจจบุ ันการฝกึ ทกั ษะปฏบิ ตั ิการพยาบาลขัน้ พนื้ ฐาน จากการสอบถามข้อมูลนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตร บัณฑติ ช้ันปีท่ี 3 รนุ่ ที่ 24 พบว่าจากปที ีผ่ ่านมากอ่ นขนึ้ ฝกึ ปฏบิ ตั ิบนหอผ้ปู ว่ ยครง้ั แรก นกั ศึกษาขาดความมน่ั ใจ ในตำแหน่งทจ่ี ะทำการฉดี ยาในการขึน้ ปฏิบตั จิ รงิ งานคิดเปน็ ร้อยละ 51.2% เนอ่ื งจากกลัวฉดี ยาผดิ เพราะไมม่ ี ความมั่นใจและแม่นยำกับตำแหน่งในการฉีดยา กลัวความ ผิดพลาดเมอื่ ฉดี ไปแล้วจะเกดิ อันตรายตอ่ ผ้ปู ว่ ย รวมถึงไม่มสี อื่ การเรียนการสอนทีจ่ ะสามารถฝึกและเรียนรู้การฉีดยาไดด้ ว้ ยตนเอง และพบว่านักศกึ ษามี ความเหน็ ท่อี ยากจะใหม้ ีสื่อการเรยี นการสอนเร่ืองการฉีดยาทีเ่ สมือนจรงิ สามารถเรยี นรไู้ ดท้ ุกที่ สามารถ ฝกึ ฝน ไดต้ ามความตอ้ งการและมคี วามสะดวกต่อการใช้งาน มากถงึ รอ้ ยละ 97.6% เพ่อื ทำใหน้ กั ศกึ ษามีทกั ษะและความชำนาญใน การฉดี ยามากย่งิ ข้นึ อีกทง้ั ยังสร้างความมนั่ ใจในการท่จี ะปฏิบัตงิ านในหอผู้ปว่ ยได้เพิม่ ขนึ้ และ ปจั จบุ ันการฝกึ ทกั ษะปฏิบัติการ พยาบาลพื้นฐานของนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบ์ ณั ฑติ ชนั้ ปีท่ี 2 ของวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนีจกั รรี ัช การทำหตั ถการส่วนใหญ่ จะไดฝ้ ึกกับหนุ่ จำลองในห้องปฏิบตั กิ าร ยกเวน้ ทักษะ การฉดี ยาทางกลา้ มเนอ้ื ทน่ี ักศึกษาจะไดฝ้ ึกการผสมยาจับเข็มจรงิ ฝกึ ฉีดกบั หมอนหรอื ผา้ และปฏิบตั ิจริงกบั เพือ่ นเพอ่ื สอบและฝกึ ทกั ษะการฉดี ยา จากการทบทวนวรรณกรรมเกยี่ วกบั การพฒั นาสอื่ การจดั การเรียนรู้พบว่ามหี ลากหลายวธิ ี เช่นสือ่ การเรยี นรู้ ออนไลน์ แบบเว็บไซต์และส่อื การเรยี นรู้แบบแอพพลเิ คชน่ั ซ่ึงปจั จบุ นั เทคโนโลยีเข้ามามบี ทบาทในการจดั ทำ สื่อการจดั การเรียนรมู้ ากข้ึน โดยเฉพาะในสถานการณก์ ารระบาดของ Covid-19 ดงั การศึกษาของ (ณฐั ธยาน์ ชาบวั คำ,2565) ทีก่ ลา่ วถึง ความตอ้ งการและความ สะดวกของตวั ผเู้ รยี นตลอดจนสง่ เสริมใหผ้ ้เู รียนมี ปฏสิ ัมพนั ธ์กบั ส่อื ให้เกิดการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองและยังเพ่ิมศักยภาพในการเรียนรู้ ด้วยตนเอง ซงึ่ เหมาะสำหรับ นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตบณั ฑติ ชน้ั ปที ่ี 2 ทต่ี อ้ งเตรยี มความพร้อมก่อนข้ึนฝกึ ภาคปฏบิ ตั ิ ทางคณะ ผู้จดั ทำจึงได้ จดั ทำเว็บไซตใ์ ห้ความรู้ทางออนไลนเ์ รื่องการฉีดยาเขา้ กลา้ มเน้อื เพอ่ื พฒั นาทกั ษะความรู้ และเปน็ การทบทวน ความรู้ ได้อย่างสะดวก รวดเรว็ และทนั สมยั เหมาะแก่นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตทีจ่ ะขน้ึ ฝึกปฏบิ ตั งิ านบน หอผปู้ ว่ ยจรงิ และการศึกษา ของ (ณฏั จริ า วินิจฉยั , 2564) พบวา่ การจัดการเรยี นรดู้ ้วยโปรแกรม Simulation ฉดี ยาตอ่ ความพงึ พอใจของนักศกึ ษาพยาบาลศา 291
สตรบณั ฑติ ชนั้ ปีที่ 2 ผลการวิจยั พบวา่ นักศึกษาพยาบาล ศาสตร์บณั ฑติ ชัน้ ปีท่ี 2 มีความพึงพอใจตอ่ การใช้โปรแกรม Simulation ฉีดยาโดยรวมอยใู่ นระดบั พงึ พอใจ มากและผลการศกึ ษาครั้งนแี้ สดงใหเ้ หน็ วา่ การเรยี นการสอนในวชิ าปฏิบัตกิ ารพยาบาลใน หอ้ งทดลองของ นักศกึ ษาพยาบาลศาสตรใ์ นปจั จบุ นั ควรมีการใชเ้ ทคโนโลยีทม่ี คี วามเสมอื นจรงิ เพอื่ ใหน้ กั ศกึ ษาไดก้ ารฝึกทักษะ ทบทวนหลักการทถี่ กู ตอ้ ง ในหอ้ งทดลอง ให้เกดิ ความมนั่ ใจ สามารถนำความรู้และทักษะทไ่ี ดไ้ ปใชใ้ นการฝึก ปฏบิ ัติงานจริงเพือ่ ปอ้ งกันเหตุการณไ์ มพ่ งึ ประสงค์ทอ่ี าจเกิดขนึ้ บนหอผ้ปู ว่ ย โดยในปจั จุบนั ท่มี กี ารระบาดของ Covid-19 มกี ารนำเทคโนโลยมี าใชใ้ นการจัดทำสื่อการเรยี นรู้ เพอ่ื ให้ สามารถเขา้ ถงึ การเรยี นรูไ้ ด้ด้วยตนเอง และเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ดังการศกึ ษาของ (บุษบา ทาธง, 2562) กล่าวคอื การจดั การเรียนการสอนโดย ประยกุ ตใ์ ช้แอพพลิเคชนั่ ไลนต์ ่อผลลัพธ์การเรยี นรูแ้ ละความพงึ พอใจ ของนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ในรายวิชา การพยาบาล บุคคลที่มปี ญั หาสุขภาพ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรม ราชชนนี ชยั นาทโดยศกึ ษาผลของการจดั การเรียนการสอนโดยประยุกตใ์ ช้ แอพพลิเคชั่นไลนม์ าใช้ในการ จดั การเรยี นการสอนเพื่อสร้างแรงจงู ใจในการเรยี นรู้ทเี่ หมาะสม มคี วามทันสมยั ซ่ึงสอดคลอ้ งกับ พฤติกรรมใน การใช้อนิ เทอรเ์ นต็ ของคนในปัจจุบัน ผลการวิจัยพบว่า ผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้ของนักศึกษาพยาบาลโดยรวมอยใู่ น ระดับ ปานกลางและความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรยี นการสอนโดยประยุกต์ใช้แอพพลิเคช่นั ไลน์อยูใ่ นระดับมากซึ่งในงานวจิ ัยได้มี ขอ้ เสนอแนะวา่ ควรขยายผลการนำรูปแบบการจดั การเรยี นการสอนโดยประยุกต์ใช้ แอพพลเิ คชนั่ ไลน์หรอื รูปแบบการจดั การสอน การสอนในรปู แบบอ่ืนๆ เช่น E-learning เปน็ ตน้ เพื่อชว่ ย สง่ เสรมิ ผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้และพัฒนาคณุ ภาพของนกั ศึกษามากขึน้ ดว้ ยเหตุน้ีคณะผู้จดั ทำ จงึ เลง็ เห็นถงึ ความสำคญั ในการสร้างแอพพลเิ คชนั่ ส่ือการเรียนรเู้ รอ่ื ง ผลการใช้ ส่อื การเรยี นรผู้ า่ น แอพพลเิ คช่ันเรือ่ งการฉีดยาทางกลา้ มเน้อื ต่อความรกู้ ารฉดี ยาทางกลา้ มเนือ้ และความพึง พอใจของนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตร บัณฑติ ชัน้ ปที ี่ 2 และมแี นวคิดการจดั ทำแอพพลเิ คชนั่ ให้ความรทู้ าง ออนไลน์ เพือ่ พัฒนาทักษะความรู้ และเป็นการทบทวนความรู้ ไดอ้ ย่างสะดวก รวดเร็วและทนั สมยั เหมาะแก่ นักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ท่จี ะขนึ้ ฝึกงานปฏบิ ตั ติ ามโรงพยาบาล 2.วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย 1. เพอ่ื สร้างสือ่ การเรยี นรผู้ า่ นแอพพลเิ คชัน่ เรอื่ งการฉีดยาทางกลา้ มเนอ้ื ของนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตชน้ั ปีที่ 2 2. เพ่อื ศกึ ษาผลการจัดการเรยี นรู้ผา่ นแอพพลเิ คชั่นเร่ืองการฉดี ยาทางกลา้ มเนือ้ ตอ่ ความรู้ และ ความพงึ พอใจของ นกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตชนั้ ปที ่ี 2 3. เพอ่ื เปรียบเทยี บความรกู้ อ่ น และหลงั การใชส้ อื่ การเรียนรูผ้ ่านแอพพลเิ คช่นั เรื่องการฉดี ยาทาง กลา้ มเนื้อของนักศึกษา พยาบาลศาสตรบัณฑิตช้นั ปีที่ 2 3. กลมุ่ เปา้ หมาย กลมุ่ นักศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตชั้นปีที่ 2 ร่นุ ท่ี 25 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรชั ทล่ี งทะเบียนเรยี นวชิ า การ พยาบาลขั้นพนื้ ฐาน ปกี ารศึกษา 2565 จำนวน 88 คน โดยการคัดเลือกกลมตวั อยา่ งเปน็ การเลอื กแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) และ กําหนดคณุ สมบตั ขิ องกลุ่มตวั อยา่ ง ดงั นี้(Inclusion criteria) จากกลุ่มตัวอย่างนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตร บณั ฑิตชัน้ ปีท่ี 2 รุ่นที่ 25 วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนีจักรรี ชั ทล่ี งทะเบียนเรยี นวชิ าการพยาบาลขั้น พื้นฐาน ปีการศึกษา 2565 จำนวน 88 คน 292
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 585
Pages: