Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore องค์ความรู้สู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม (2560)

องค์ความรู้สู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม (2560)

Published by RMUTL Knowledge Book Store, 2020-07-29 21:08:30

Description: องค์ความรู้จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
1) การพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชุมชนผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการจัดการ
2) การเพิ่มผลผลิตและคุณภาพข้าวโดยใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาไวเรนส์
3) เครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยขนาดเล็กสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์สมุนไพรพื้นบ้าน
4) การส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานในโรงงานแป้งขนมจีนด้วยอุปกรณ์ทุ่นแรงเพื่อลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน
5) การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการฝานเปลือกมะพร้าวน้ำหอมด้วยเครื่องฝานแบบกึ่งอัตโนมัติ
6) การพัฒนากระบวนการหยอดส้มลิ้ม
7) การส่งเสริมอาชีพช่างเชื่อมให้แก่ชุมชน
8) การจัดการการขายสินค้าแบบออนไลน์
9) การสร้างโปรแกรมจำลองด้านวิศวกรรมด้วยฟังก์ชั่น GUI ของโปรแกรม MATALB
10) การอนุบาลต้นกล้ากล้วยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อสร้างรายได้สู่ชุมชน
11) การใช้กิจกรรมบทบาทสมมติในการพัฒนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของหมอนวดแผนโบราณ
12) การพัฒนาและการผลิตเฟอร์นิเจอร์
13) การติดตั้งและบำรุงรักษามอเตอร์ปั๊มน้ำเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร
14) เทคนิคการตรวจสอบคุณภาพทางประสาทสัมผัสสู่ความเป็นมืออาชีพสำหรับอุตสาหกรรมก

Keywords: 9789746257855,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา,สถาบันวิจัยและพัฒนา

Search

Read the Text Version

องค์ความรู้ ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

องคค์ วามรสู้ ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา ISBN 978-974-625-785-5 จดั พมิ พโ์ ดย สถาบันวิจยั และพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา 98 หมู่ 8 ตาบลป่าปอ้ ง อาเภอดอยสะเก็ด จังหวดั เชยี งใหม่ ประเทศไทย 50220 โทรศัพท์ : 0-5326-6516 #1011 โทรสาร : 0-5326-6522 บรรณาธิการวิชาการ ดร.กญั ญณชั ศริ ิธญั ญา ผ้อู านวยการ สถาบันวจิ ยั และพัฒนา มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา ปกและรูปเลม่ ณชิ กมล โพธแิ์ กว้ อรโุ ณทัย วรรณถาวร ประสานงาน ขอ้ มลู : พศิ าล หล้าใจ เรียบเรยี ง : สวลี วลิ ะคา ภาพถ่าย : ศิวกร ธารพรศรี พิมพท์ ่ี บลูฮารท์ 8/14 ถนนสขุ สนั ต์ ตาบลสุเทพ อาเภอเมือง จงั หวัดเชยี งใหม่ 50200 โทรศัพท:์ 0-5321-6078 1 องค์ความรสู้ ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

สารบญั องค์ความรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม สารจากผอู้ านวยการสถาบนั วิจยั และพัฒนา 5 บทนา 7 1. การพฒั นาศกั ยภาพวิสาหกิจชมุ ชนผา่ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการจดั การ 11 2. การเพม่ิ ผลผลติ และคณุ ภาพข้าวโดยใชเ้ ช้ือราไตรโคเดอร์มาไวเรนส์ 25 3. เคร่ืองกลัน่ น้ามันหอมระเหยขนาดเล็กสาหรบั อุตสาหกรรมแปรรปู ผลิตภณั ฑ์สมนุ ไพร 35 พนื้ บ้าน 4. การสง่ เสรมิ ประสทิ ธภิ าพในการทางานของพนกั งานในโรงงานแปง้ ขนมจนี ดว้ ย 49 อปุ กรณท์ นุ่ แรงเพ่ือลดความสูญเปล่าในกระบวนการทางาน 5. การเพ่ิมประสทิ ธภิ าพกระบวนการฝานเปลอื กมะพรา้ วน้าหอมด้วยเคร่ืองฝานแบบ 61 กึง่ อัตโนมตั ิ 6. การพฒั นากระบวนการหยอดส้มล้มิ 71 7. การส่งเสรมิ อาชพี ช่างเชื่อมให้แกช่ ุมชน 83 8. การจัดการการขายสินค้าแบบออนไลน์ 91 9. การสร้างโปรแกรมจาลองด้านวศิ วกรรมด้วยฟังกช์ ัน่ GUI ของโปรแกรม MATALB 103 10. การอนุบาลต้นกล้ากล้วยจากการเพาะเลีย้ งเนอื้ เย่ือเพ่อื สร้างรายไดส้ ่ชู มุ ชน 117 11. การใชก้ จิ กรรมบทบาทสมมตใิ นการพัฒนาความสามารถดา้ นการพดู ภาษาองั กฤษ 127 ของหมอนวดแผนโบราณ 2องค์ความรูส้ ู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

สารบญั องคค์ วามรูส้ ูภ่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม 12. การพฒั นาและการผลิตเฟอร์นเิ จอร์ 141 13. การตดิ ตง้ั และบารงุ รกั ษามอเตอรป์ ั๊มน้าเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร 155 14. เทคนิคการตรวจสอบคุณภาพทางประสาทสัมผัสสคู่ วามเป็นมืออาชพี สาหรับ 169 อตุ สาหกรรมกาแฟ 15. กระบวนการผลิตกระดาษจากใบตะไครท้ ่เี หลือท้งิ จากการเกษตรสู่ผลติ ภัณฑท์ ่ี 183 เปน็ เอกลกั ษณข์ องชุมชน 16. การออกแบบดว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้แก่อุตสาหกรรมวสิ าหกจิ ชุมชน 193 SMEs 17. เครือ่ งอดั ถุงพลาสติกและเทคนิคการคดั แยกประเภทถงุ พลาสติก 203 18. การบรหิ ารจัดการสถาบนั การเงนิ ชมุ ชนสาหรับผบู้ รหิ าร 215 3 องค์ความรสู้ ่ภู าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

4องคค์ วามร้สู ูภ่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

5 องค์ความรูส้ ภู่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

สารจากผอู้ านวยการ สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล การวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีความสาคัญอย่างย่ิงต่อการ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ด้วยเป็นพ้ืนฐานสาคัญสาหรับที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ ดังน้ัน มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลล้านนาจึงได้ให้ความสาคัญต่อการสนับสนุน ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาโดยตลอด จนมีผลงานวิจัยที่แล้วเสร็จจานวนมากมาก อยา่ งไรก็ตามผลงานวิจยั จานวนมากมายในประเทศไทย มักขาดการเช่อื มโยงบรู ณาการระหว่างผู้ผลิต ผลงานวจิ ัยและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม จึงทาให้ผลงานวิจัยทั้งหลายไม่ได้ถูกนาไปใช้เพ่ิมขีด ความสามารถในการแขง่ ขันระดับประเทศได้เท่าท่คี วร ดังน้ัน มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จึงได้จัดทาโครงการ “การถ่ายทอดผลงานวิจัย ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา สู่ภาคประชาชนและ อุตสาหกรรม” และนามาจัดทาเป็นหนังสือคู่มือ “องค์ความรู้สู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม” ซึ่ง นอกจากจะมีข้อมูลกิจกรรมการถ่ายทอดองค์ความรู้และการบริการด้านวิชาการที่ต่างๆ ท่ี สถาบันวิจัยและพัฒนาได้ดาเนินการร่วมกับคณาจารย์ นักวิจัย ของมหาวิทยาลัยแล้ว ยังได้รวบรวม องคค์ วามรทู้ างด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละนวตั กรรม ท่สี ามารถนาไปศกึ ษาและประยุกต์ใช้ เพื่อ ยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีย่ิงขึ้น ตอ่ ไปในอนาคต ซึ่งดฉิ ันหวงั อย่างยงิ่ ว่าทา่ นผอู้ ่านจะได้ใช้ประโยชน์จากหนงั สอื คมู่ อื เลม่ น้ี โอกาสน้ี ดิฉันขอขอบพระคุณคณาจารย์ นักวิจัย พนักงาน เจ้าหน้าท่ีและบุคลากรทุกท่าน ของ มหาวิทยาลยั ท่ีไดเ้ หน็ดเหน่อื ยตรากตราร่วมกันมาโดยตลอด เพื่อผลิตผลงานวิจัยท่ีมีคุณภาพอันเป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยโปรดดลบันดาลให้ทุกท่านจง ประสบแต่ความสขุ ความเจรญิ ตลอดไป อาจารย์ ดร.กัญญาณัช ศิริธัญญา ผู้อานวยการสถาบันวิจัยและพฒั นา มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา 6องค์ความรู้ส่ภู าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

7 องค์ความรูส้ ภู่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

บทนา องค์ความรู้สภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสาคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยสัดส่วนมูลค่า ผลผลิตอุตสาหกรรมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ รวมถึงมูลค่าการส่งออกสินค้า อุตสาหกรรมตอ่ มลู คา่ การส่งออกรวม มอี ัตราการขยายตัวเพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า อุตสาหกรรมทีต่ อ้ งใชเ้ ทคโนโลยีระดับกลางและสูง แต่กระน้ัน ยังต้องมีการพึ่งพาการนาเข้า ชิ้นส่วน องคป์ ระกอบ ทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงเช่นกัน นอกจากน้ียังพบว่า ประเทศ ไทยยังขาดการส่ังสมองค์ความรู้ เพ่ือพัฒนาศักยภาพภายในให้สามารถต่อยอดองค์ความรู้ท่ีได้มา (Endogenous Efforts) ขาดการยกระดบั ห่วงโซ่แห่งคณุ คา่ (Value Chain) รวมถึงขาดการประสาน ความรว่ มมอื กัน (Synergy) ดว้ ยนวตั กรรม องค์ความรู้ และเทคโนโลยี หนทางการพฒั นาอตุ สาหกรรมของประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาวน้ัน จาเป็นต้องอาศัยการ ปฏิรูประบบการวิจัย รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย เพ่ือสร้างคุณค่า ด้วยนวัตกรรม องค์ความรู้ และเทคโนโลยี ตลอดจนเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่างๆ ท้ังศักยภาพของ อุตสาหกรรม รวมทั้งแนวโน้มและกระแสการเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต อันจักเป็นพื้นฐาน ในการยกระดบั ศักยภาพของผูป้ ระกอบการให้ดียง่ิ ขึน้ และพรอ้ มตอ่ การแขง่ ขันในอนาคต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในฐานะสถาบันอุดมศึกษา จึงต้องมีบทบาทสาคัญ ในการขับเคล่ือนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายน้ี ดังนโยบายข้อท่ี 2 ในแผนกลยุทธ์มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (พ.ศ.2557-2561) ซ่ึงได้กาหนดให้มีการพัฒนาด้านวิจัยและนวัตกรรม สร้างสรรค์ (Creativity for Innovation Solution) กล่าวคือ ให้มุ่งเน้นการพัฒนานักวิจัยท่ีมี ความสามารถเพ่ือส่งเสริมสนับสนุนการสร้างงานวิจัย สิงประดิษฐ์ นวัตกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อ ชุมชน ผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง เป็นท่ียอมรับในระดับชาติและนานาชาติ และมีศักยภาพใน การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ส่ิงแวดล้อม ชุมชนและวัฒนธรรม ตลอดจนนาผลงานวิจัย ไปยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและนาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ สถานประกอบการ รวมถึงภาคอุตสาหกรรม 8องค์ความรู้สู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

ท่ีผ่านมา สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ ทาหน้าท่ีส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยทาวิจัยและพัฒนามาโดย ตลอด ทาให้มหาวิทยาลัยมีผลงานวิจัยในรูปแบบองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และ ผลงานสร้างสรรค์ในด้านศาสตร์ต่างๆ ที่สามารถถ่ายทอดและขยายผลสู่ภาคประชาชน และภาคอุตสาหกรรม โดยกล่มุ คณาจารย์ผู้วิจัยท่มี ีความเชยี่ วชาญ สถาบันวิจัยและพัฒนา ในฐานะหน่วยงานวิจัย จึงเห็นความสาคัญที่จะต้อง เดินหน้าสร้างความต่อเน่ือง ในการส่งเสริม สนับสนุน งานวิจัยถ่ายทอด ขยายผลด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ถึงกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ท้ังภาคประชาชน ภาคอุตสาหกรรม วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฯลฯ โดยการนาผลงานวิจัยในรูปแบบ องค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม หรือ ส่ิงประดิษฐ์สร้างสรรค์ ของมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถ่ายทอดสู่ภาคประชาชน และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือบูรณาการการ ทางานระหวา่ งมหาวิทยาลัยรว่ มกับภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็น การพัฒนาศักยภาพบุคลากร อาจารย์ และ นักศึกษา ในการเพิ่มพูนประสบการณ์การ ถ่ายทอดผลงานวจิ ยั ให้กบั ภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรม และจะยังผลให้ประชาชน มีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้น สร้างความมั่นคงในการดารงชีวิต ขจัดความยากจน และพัฒนา เศรษฐกิจชมุ ชนอยา่ งย่งั ยืนตอ่ ไปได้ 9 องคค์ วามรู้สูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

10องค์ความรูส้ ภู่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

11 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

การพัฒนาศกั ยภาพวสิ าหกิจ ชุมชนผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการจัดการ 12องค์ความร้สู ภู่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

การพฒั นาศกั ยภาพวิสาหกจิ ชุมชนผา่ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการจดั การ เพราพิลาส ประสทิ ธ์บิ ุรีรกั ษ์ ความเปน็ มา แนวทางการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ถือเป็นแนวทางสาคัญหน่ึง ในการยกระดับ การพัฒนาประเทศ แก้ไขปัญหาความเหล่ือมล้าทางด้านรายได้และความ ยากจน เนื่องจากวิสาหกิจชุมชนเป็นกระบวนการท่ีมุ่งเน้นกิจกรรมที่เกิดจาก ฐานทรัพยากรภูมิปัญญาในชุมชน เน้นการผลิตขั้นพื้นฐานให้พอเพียงกับความ ต้องการของคนในชุมชน มุ่งให้เกิดการลดรายจ่าย เพ่ิมรายได้แก่ชุมชน และมี ความสามารถในการจัดการหนีส้ นิ ได้ ในพน้ื ท่ีตาบลแมแ่ ฝกใหม่ อาเภอสันทราย จังหวดั เชยี งใหม่ มีการทาเกษตรเป็น ส่วนใหญ่ ซึ่งในปี 2528 พระบาทเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี 9 ได้ทรงนามัน ฝรั่งมาทดลองปลูกและทรงส่งเสริมให้พัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจของเกษตรกรใน พื้นที่ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเจดีย์แม่ครัว ก่อต้ังข้ึนเม่ือปี พ.ศ. 2540 โดย การสนับสนุนของสานักงานเกษตรอาเภอสันทราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ สมาชิกมีรายได้เสริมในครัวเรือนให้กับครอบครัว โดยการนาผลผลิตทางการ เกษตรมาแปรรปู 13 องค์ความรู้สภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

ทั้งน้ี ในฤดูกาลผลิตมันฝรั่งหรือมันอาลูประมาณ หวั หน้าโครงการ เดือนมกราคม ถึงเดือนเมษายนของทุกปี มักมี ผลผลิตออกมาปริมาณมาก ทาให้มันฝร่ังสดล้น เพราพลิ าศ ประสทิ ธบิ์ ุรรี ักษ์ ตลาดและบางส่วนบริษัทไม่รับซ้ือ ทางกลุ่ม แม่บ้านได้นามันฝร่ังมาแปรรูปเป็นมันกัลยา คือ “มันฝร่ังตากแห้ง” และ “มันฝร่ังทอดกรอบ” จาหน่ายในหมู่บ้าน ต่อมาได้พัฒนาคุณภาพ และ ขยายตลาดออกสู่ชุมชนอ่ืน ซ่ึงมีการตอบรับที่ดีใน ปัจจบุ ัน แตช่ มุ ชนยงั ขาดการบรหิ ารจดั การที่ดี ดังนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของ วิสาหกิจชุมชนดังกล่าว และเพื่อสร้างองค์ความรู้ ให้แก่ประชาชนในกลุ่มวิสาหกิจในชุมชน ให้ได้มี โอกาสในการพัฒนาการบริหารจัดการ โดยการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหาร จัดการหน่วยงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลล้านนา ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่จัดให้มี การเรียนการสอน การวิจัย บริการวิชาการแก่ สังคม จึงได้จัดให้มีโครงการพัฒนาศักยภาพ วิสาหกิจชุมชนผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทางการจัดการ เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ให้แกป่ ระชาชนในระดบั วสิ าหกิจชุมชน ตอ่ ไป วัตถุประสงค์  เพอ่ื ถ่ายทอดความรู้ดา้ นการบริหารจดั การโดยใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเปน็ ฐาน  เพอ่ื สรา้ งองคค์ วามรู้ใหม่ให้แกป่ ระชาชนในระดับวิสาหกิจชมุ ชน 14องค์ความรู้สู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

ความหมายของบญั ชีครัวเรือน บญั ชคี รวั เรือน ประกอบกนั ดว้ ยคา 2 คา คอื การบัญชี และ ครวั เรือน การบญั ชี คือ การจดบันทกึ รายการต่าง ๆ ท่เี ก่ียวกับการรับ—จ่ายเงิน และส่ิง ท่ีมีค่าเป็นเงินไว้ใน “สมุดบัญชี” อย่างสม่าเสมอ เป็นระเบียบ ถูกต้อง และ สามารถแสดงผลการดาเนินงานในระยะเวลาหน่ึงได้ หน่วยครัวเรือน หมายถึง หน่วยเศรษฐกิจท่ีประกอบไปด้วยบุคคลตั้งแต่หน่ึง คนขึ้นไปท่ีอาศัยอยู่ด้วยกันภายในครอบครัว มีการตัดสินใจร่วมกัน ในการใช้ ทรัพยากร หรือปัจจัยทางการเงนิ เพือ่ ให้เกดิ ประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด สมาชิกหน่วยครัวเรือนอาจทาหน้าที่ เป็นทั้ง ผู้ผลิต ผู้บริโภค และ เจ้าของ ปัจจัยการผลิตไปพร้อมๆกัน หน้าท่ีที่สมาชิกในหน่วยครัวเรือนจะต้องทาก็คือ พยายามหารายได้ไว้สาหรับการจับจ่ายใช้สอย เพ่ือให้สมาชิกทุก ๆ คนใน ครวั เรือนได้รบั ความพอใจสูงสดุ หรือไดร้ บั สวสั ดกิ ารที่ดีที่สุด บัญชีครัวเรือน เป็นการนาการบัญชีมาประยุกต์ใช้ เพ่ือเป็นเคร่ืองมืออย่าง หน่ึงของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ใช้สาหรับจดบันทึกรายการต่าง ๆ ที่ เกยี่ วขอ้ งกับการรบั เงนิ - จา่ ยเงนิ ประจาวนั เกดิ ขึ้นภายในครอบครัว รวมไปถึง การบันทกึ ขอ้ มูลด้านอน่ื ๆ ของเราไดด้ ้วย เชน่ บญั ชีทรัพย์สิน พันธพุ์ ชื พันธุ์ไม้ ในบ้านเราในชุมชนเรา บัญชีความรู้ความคิดของเรา บัญชีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้รู้ใน ชุมชนเรา บัญชีเด็กและเยาวชนของเรา บัญชีภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ ของเรา เป็นต้น หมายความว่า สิ่งหรือ เร่ืองราวต่าง ๆ ในชีวิตของเรา เรา จดบันทึกได้ทุกเร่ือง หากประชาชน ทุกคนจดบันทึกจะมีประโยชน์ต่อ ตนเอง ครอบครัว ชุมชนแ ละ ปร ะ เ ท ศ จ ะ เ ป็น แ ห ล่ งเ รี ย น รู้ ครอบครัวเรียนรู้ ชุมชนเรียนรู้ และ ประเทศเรียนรู้ (พิมพ์ชนก, 2557) 15 องค์ความรูส้ ูภ่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

การพัฒนาศักยภาพวสิ าหกจิ ชมุ ชนผ่านการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศทางการจัดการ เพราพลิ าส ประสทิ ธบิ์ ุรรี กั ษ์ ข้นั ตอนการจดั ทาบัญชคี รวั เรือน สมดุ บญั ชรี ับ – จา่ ยในครัวเรอื น ใชบ้ นั ทกึ รายรับหรอื รายจ่ายที่เกดิ ขึ้น ท้ังในครวั เรือนและการประกอบอาชพี ดังน้ี แบบฟอรม์ การบนั ทกึ รายรับ วนั เดือน ปี รายการ รายรบั รวมรายรับ ประกอบอาชีพ รายรับอนื่ ๆ แบบฟอร์มการบนั ทกึ รายจา่ ย รายจ่าย รวม ประกอบอาชีพ ในครัวเรอื น รายจ่าย อาชพี สินทรพั ย์ อาหาร สาธารณปู โภค น้ามนั รถ เบด็ เตล็ด บตุ ร เงนิ กู้ อน่ื ๆ 16องคค์ วามรู้สูภ่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

การจดั ทาบัญชตี น้ ทุนประกอบอาชีพปลูกมนั สาปะหลงั แบบฟอรม์ ตน้ ทุนประกอบอาชีพ วนั รายการ อาชีพ...... อาชพี ...... อาชพี ...... ต้นทุนใน เดอื น ปี รายได้ ต้นทุน รายได้ ตน้ ทุน รายได้ ตน้ ทนุ สนิ ทรัพยถ์ าวร ช่อง “วัน เดือน ปี” เขียนวันท่ี เดือน ปี พ.ศ. ที่มีรายการรับเงิน และรายการ จา่ ยเงนิ ช่อง “รายการ” เขียนรายละเอียดของการรับเงิน และจ่ายเงินจากการประกอบ อาชพี ช่อง “รายได้” เป็นรายรับจากการประกอบอาชีพของแต่ละอาชีพท่ีทา ช่อง “ต้นทุน” เป็นช่องรายจ่ายในการประกอบอาชีพแต่ละอาชีพท่ีทา ช่อง “ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร” เป็นรายจ่ายเพื่อซื้อ หรือ สร้างเครื่องใช้ที่ ใช้งานในการประกอบอาชีพได้หลายปีและมีราคาสูง รวมถึงลงทุนในการ ประกอบอาชีพ เชน่ ซือ้ เครือ่ งพ่นยา ซอ้ื เคร่อื งสบู น้า เปน็ ตน้ การบันทกึ ตน้ ทนุ ประกอบอาชพี ปลกู มันสาปะหลงั โดยปกติเกษตรกรตอ้ งใช้ระยะเวลาในการปลูกมันสาปะหลังประมาณ 10 – 12 เดือน นับต้ังแต่เร่ิมเตรียมดินจนถึงเก็บ เก่ียวผลผลติ เกษตรกรสามารถตัดต้นมัน สาปะหลังเก็บไว้ เพื่อใช้เป็นพันธ์ุสาหรับ ปลูกในปีต่อไป และอาจมีรายได้จากการ ขายต้นพันธมุ์ นั สาปะหลงั ให้กับเกษตรกร รายอน่ื ดว้ ย 17 องค์ความรสู้ ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

การพฒั นาศกั ยภาพวิสาหกจิ ชุมชนผ่านการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศทางการจัดการ เพราพลิ าส ประสิทธิบ์ รุ รี กั ษ์ วธิ คี ิดกาไร-ขาดทนุ จากการประกอบอาชีพปลกู มันสาปะหลงั การคดิ กาไร – ขาดทนุ จากการประกอบอาชีพปลูกมันสาปะหลงั ใหน้ ายอดรวมรายได้ เปรียบเทียบกับยอดรวมต้นทนุ /คา่ ใชจ้ ่าย ดงั นี้ รายได้ ขายหวั มนั สาปะหลงั ........................ บาท ขายต้นพันธุ์มนั สาปะหลัง ......................... บาท รวมรายได้ ......................... บาท หกั ต้นทนุ /คา่ ใช้จา่ ย คา่ เชา่ ท่ีดิน ........................... บาท ค่าไถเตรยี มดิน ........................... บาท ค่าปุ๋ยและยาปราบศัตรพู ชื ........................... บาท ค่าตน้ พนั ธม์ุ นั สาปะหลงั ........................... บาท ค่าแรงงาน ........................... บาท ............................. ........................... บาท ดอกเบยี้ เงินกู้ ........................... บาท คดิ คา่ แรงงานตนเอง ........................... บาท คิดรายจา่ ยสินทรพั ยถ์ าวรเฉลย่ี ต่อปี ........................... บาท รวมต้นทุน/ค่าใชจ้ า่ ย ........................... บาท หกั ปจั จัยการผลติ คงเหลือ .......................... บาท ............................ บาท กาไร(ขาดทุน)จากการประกอบอาชพี ปลกู มันสาปะหลงั ............................ บาท วิธคี ิดกาไร-ขาดทุนจากการประกอบอาชีพปลกู มันสาปะหลัง สนิ ทรพั ย์ถาวรท่ีเกษตรกรซ้อื หรอื สร้างขึน้ ซง่ึ บนั ทึกไวใ้ นช่อง “ลงทนุ ในสนิ ทรัพยถ์ าวร” เกษตรกรต้องนามาคิดรายจา่ ยสินทรัพยถ์ าวรเฉล่ียต่อปตี ามอายกุ ารใชง้ าน เพื่อนาไปรวม เป็นต้นทนุ ในการประกอบอาชพี วิธกี ารคิดรายจ่ายสินทรัพยถ์ าวรเฉล่ยี ตอ่ ปี ให้นาจานวน เงินท่จี ่ายซ้ือสนิ ทรัพย์ถาวร หารด้วย อายกุ ารใช้งานของสินทรพั ยถ์ าวรนนั้ 18องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

การบัญชเี พื่อวสิ าหกิจชุมชนด้านต้นทนุ การผลิตมันฝร่ังทอดกรอบ การจาแนกต้นทุนตามส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ (เดชา อินเด, 2552) เป็นการจาแนก ประเภทตน้ ทนุ ตามส่วนประกอบท่ีสาคญั ในการผลติ สนิ คา้ ซ่งึ ประกอบด้วย 1) ต้นทุนวัตถุดิบ เป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญในการผลิตสินค้า ต้นทุนที่เกี่ยวกับการใช้ วัตถุดิบในการผลติ สนิ ค้า 2) ต้นทุนค่าแรงงาน คือผลตอบแทนท่ีกิจการต้องจ่ายให้แก่คนงานหรือลูกจ้างที่ทา หน้าทเี่ กี่ยวข้องกบั การผลิต 3) ค่าใช้จ่ายในการผลิต คือต้นทุนท่ีเก่ียวกับการผลิตสินค้าท่ีไม่ใช่ต้นทุนวัตถุดิบ ทางตรง และค่าแรงงานทางตรง แต่เป็นต้นทุนที่ทาให้การผลิตดาเนินไปได้ เป็น ค่าใชจ้ า่ ยตา่ งๆ ท่เี กดิ ดงั นนั้ ตน้ ทนุ การผลติ = วตั ถดุ ิบทางตรง + คา่ แรงงานทางตรง + คา่ ใชจ้ า่ ยในการผลติ ตน้ ทุนการผลติ มันฝร่ังทอดกรอบ 3 แผนก ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) แผนกจัดเตรียมและตดั แต่ง โดยทาการรบั ซือ้ มันฝรง่ั สดพันธ์ุแอตแลนติกท่ีตกเกรด จากเกษตร นามันฝรั่งสดมาแช่น้าและล้างทาความสะอาดด้วยถังล้างเพื่อล้างดิน โคลนออกด้วยน้าสะอาด 3 รอบ ปอกเปลอื กของมนั ฝรัง่ 2) แผนกทอด ทาการทอดในน้ามัน 10 นาที พอเหลืองตักขึ้นมาสะเด็ดน้ามัน นาใส่ ตะกร้าหวายแล้วนา ใส่เครื่องสะเด็ดน้ามัน นามันฝรั่งทอดใส่ถุงพลาสติกใสกันร้อน และถุงดาอีก 1 ช้ัน แล้วนาใส่ถัง พลาสติก ปิดให้สนิท เพ่ือป้องกัน ความชนื้ และพ้นจากแสงแดด 3) แผนกสาเรจ็ รูปและบรรจุ ทาการอบ ด้วยความร้อนเพื่อให้มันฝรั่งทอด กรอบปิดผนึกปากถุงบรรจุภัณฑ์ให้ สนิท พร้อมตรวจหบี ห่อ 19 องค์ความรู้สภู่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

การพัฒนาศักยภาพวสิ าหกิจชุมชนผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการจัดการ เพราพลิ าส ประสิทธิ์บุรีรักษ์ แผนกจดั เตรียม แผนก แผนก วตั ถดุ ิบ ทอด สาเร็จรปู และ บรรจภุ ัณฑ์ แบบฟอร์มตน้ ทนุ การผลติ มนั ฝร่งั แปรรปู แบบฟอรม์ การคิดตน้ ทนุ การผลติ มนั ฝรง่ั แปรรปู ชื่อลูกคา้ .............................................จานวนหน่วยที่ผลติ ................................... รายการ วัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง คา่ ใช้จ่ายในการ รวม ปรมิ าณ ราคาต่อ รวม จานวน อัตรา รวม ผลิต หนว่ ย ชม. คา่ แรง การขายและการประชาสัมพันธ์ออนไลน์ การส่ือสารประชาสัมพันธ์ขององค์กร ประกอบด้วยผู้ส่งสาร ข้อมูลหรือสาร ช่อง ทางการสื่อสาร และผูร้ ับสาร ซึ่งไม่วา่ จะสือ่ สารด้วยวิธีการใด สิ่งที่ต้องการคือผู้รับสาร ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนทันเวลา การส่ือสารด้วยส่ือด้ังเดิมอาจไม่รองรับกับความ ต้องการการส่ือสารของกลุ่มเป้าหมายได้ ดังน้ัน การใช้ส่ือสังคมออนไลน์เพื่อการ ประชาสัมพันธ์จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกของการส่ือสารผ่านเทคโนโลยี (mediated communication) ซึ่งมีรปู แบบท่ีหลากหลาย เหมาะสาหรับการประชาสัมพันธ์ในการ เลือกใช้เป็นช่องทางการสอ่ื สาร จากหนังสือ The New Rules of Marketing and Public Relation ของ Deirdre Breakenridge (2008) และบทความของเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ (2553) ได้แบ่ง ประเภทของส่ือสังคมออนไลน์ ขององค์กรท่ีพบในประเทศไทย ดงั นี้ 20องค์ความรสู้ ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

การขายและการประชาสมั พนั ธ์ออนไลน์ การประชาสัมพันธ์ผ่านบล๊อก (blog) ซ่ึงมาจากคาเต็มว่า Weblog เป็นรูปแบบการ เขียนบทความของ องค์กร ลักษณะของบล็อกคือหน้าเว็บท่ีเจ้าของบล็อกสามารถ เพิ่มเตมิ เน้อื หาใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา (กติกา สายเสนีย์, 2548) บล็อกโดยปกติโดยปกติ จะประกอบด้วยข้อความ ภาพ ลิงค์ ซึ่งบางคร้ังจะรวมส่ือต่าง ๆ เช่น เพลง หรือวิดีโอ ในหลากหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์คือบล็อกจะเปิดให้ส่ิงที่ ผ่านเข้ามามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความท่ีเจ้าของบล็อก เขียน ซึ่งทาให้ผู้เขียนสามารถโต้กลับได้โดยทันที ทั้งนี้รูปแบบของบล็อกเพื่อการ ประชาสัมพนั ธ์ สามารถแบง่ ออกได้ 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) Corporate Blog หรือบล็อกท่ีจัดทาข้ึนโดยบริษัท โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือ ส่ือสารข้อมูลข่าวสารขององค์กร และ สินค้าต่าง ๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ให้ง่าย ต่อการค้นหา ตรวจสอบ และ ทราบข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนเก่ียวข้องที่มีผลต่อ องค์กร นอกจากนี้องค์กรสามารถใช้บล็อกแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประเด็น สาคัญทางการตลาด 2) Micro Blogging หรือบล็อกขนาดเล็กที่มีลักษณะเป็นการโพสต์ข้อความส้ันๆ ไม่เกิน 140 ตัวอักษรและสามารถที่จะส่งข้อความน้ัน ๆ ไปยังโทรศัพท์มือถือ ของกลุ่มลูกคา้ ได้โดยตรง โดยไม่จาเปน็ ต้องเปิดเข้าไปอ่านในอินเตอร์เน็ตเหมือน บล็อกทั่วไป ซึ่งข้อความที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์น้ันจะเป็นข้อความที่แจ้งให้ ทราบว่า ‘คุณกาลังทาอะไรอยู่’ ‘มีสิ่งใดที่ลูกค้าไม่ควรพลาด’ เช่น การ ประชาสัมพันธ์บน Twitter 3) Blogger หรือบล็อกผู้เขียนอิสระ ซึ่ง มีผู้ติดตามเป็นจานวนมาก องค์กรจะ เชิญตัวผู้เขียนอิสระมาร่วมแถลงข่าว หรือให้ทดลองใช้สินค้าและบริการ และใหผ้ ู้เขียนมีอิสระเขียนข้อความใน เชงิ สนบั สนนุ หรือแนะนาสนิ ค้า 21 องคค์ วามรู้สูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

การพัฒนาศกั ยภาพวิสาหกิจชุมชนผา่ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการจัดการ เพราพลิ าส ประสิทธ์ิบุรีรักษ์ การประชาสมั พันธผ์ ่านแหล่งข้อมูล (data/knowledge) ซ่งึ เว็บไซตท์ ีร่ วบรวม ข้อมูลความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ในลักษณะเนื้อหาอิสระ โดยมุ่งเน้นให้บุคคลท่ีมี ความรู้ในเร่ืองต่าง ๆ เป็นผู้เข้ามาเขียนหรือแนะนาไว้ ส่วนใหญ่มักเป็น นักวิชาการ นักวิชาชีพ หรือผู้เช่ียวชาญ ที่เห็นได้ชัดเจน คือ วิกิพีเดีย (Wikipedia) การดาเนินงานประชาสัมพันธ์สามารถนาข้อมูลขององค์มาเขียนลง ในวิกิพีเดีย เป็นการแนะนาองค์กร แนะนาวิสัยทัศน์ สินค้าและบริการ หรือ ข้อมูลสาคัญ ๆ ที่ต้องการให้ประชาชนทราบ เพ่ือเป็นการกระจายข้อมูลข่าวสาร ไปยังกลุ่มบุคคลอื่น ๆ ซ่ึงอาจไม่ได้เป็นกลุ่มลูกค้าหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ดว้ ยตน้ ทนุ ทตี่ า่ อกี วิธีหนงึ่ การประชาสัมพันธ์ประเภทชุมชนออนไลน์ (community) เป็นเว็บที่เน้นการ ค้นหาเพื่อนใหม่ ๆ หรือตามหาเพ่ือนเก่า ๆ เน้นการสร้าง Profile ของตนเอง โดยการใสร่ ปู ใส่ข้อมูล เพ่ือแสดงถึงความเป็นตัวตนของเราอีกทั้งยังมีลักษณะใน การแลกเปล่ียนเร่ืองราว ถ่ายทอดประสบการณ์ร่วมกัน เช่น Facebook Google+ Tumblr หรือ Myspace สาหรับในยุคปัจจุบันที่นิยมใช้กันอย่าง แพร่หลายได้แก่ Facebook โดยการประชาสัมพันธ์ผ่าน Facebook เป็นการ ประชาสัมพันธ์ รูปแบบท่ีมักจะใช้หน้า Page หรือ Fan Page ซ่ึงเปรียบเสมือน หนา้ ตาของบริษัทบน Facebook มีการแสดงรูปภาพ สัญลักษณ์ หรือข้อความท่ี บ่งบอกความเป็นตวั ตนของบริษทั ได้อยา่ งชดั เจน อีกท้ังภายในตัว Facebook ยัง สามารถทจ่ี ะบอกเล่าเรือ่ งราวดี ๆ กิจกรรมรวมถึงโปรโมช่ันของสินค้าและบริการ ขององค์กรการประชาสัมพันธ์เพ่ือส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กร การ ประชาสัมพนั ธเ์ พ่อื แก้ไขความเข้าใจผิด การประชาสัมพันธ์ประเภทสื่อ เว็บท่ีใช้ฝากหรือแบ่งปันไฟล์ประเภท Multi- media เชน่ ภาพยนตร์ คลปิ วิดีโอ เพลง สาหรับเว็บท่ีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ YouTube เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ นอกจากจะนาวิดีโอมา เผยแพร่บนเว็บไซต์แล้ว องค์กรยังสามารถสมัครสมาชิกเพื่อใช้เป็นช่องรายการ ขององค์กรได้ด้วย ส่งผลให้ผู้สนใจสามารถเข้ามาติดตามชมผ่านช่องรายการที่ องคก์ รตั้งไว้ เม่ือมีข้อมูลกรอัพเดตใหม่ ๆ ก็จะทาการส่งไปแจ้งท่ีสมาชิกให้ทราบ ทันที ถือเป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นสาระสาคัญขององค์กรอีกช่องทาง หนง่ึ นา่ สนใจในยคุ สงั คมออนไลน์ 22องคค์ วามรสู้ ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

23 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

การพัฒนาศักยภาพวสิ าหกจิ ชุมชนผ่านการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศทางการจดั การ เพราพิลาส ประสทิ ธ์บิ ุรีรักษ์ สอบถามขอ้ มลู เพิม่ เตมิ เพราพลิ าส ประสทิ ธิ์บุรีรักษ์ คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา เชยี งใหม่ โทรศพั ท์ : 0-5392-1444 24องค์ความรสู้ ภู่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

25 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

การเพม่ิ ผลผลิตและคณุ ภาพข้าว โดยใช้เชอื้ ราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ 26องค์ความรสู้ ู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

การเพ่มิ ผลผลิตและคณุ ภาพข้าว โดยใชเ้ ชอ้ื ราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ จนิ นั ทนา จอมดวง ความเป็นมา โรครากเน่า โคนเน่า และ เห่ียว เป็นอาการท่ีพืชแสดงอาการเหี่ยวบางส่วนหรือทั้งต้น ใบเหลือง ร่วง ซึ่งหากรากถูกทาลายไปมาก ต้นพืชจะเห่ียวทั้งต้น โดยที่ยังเขียวอยู่ เพราะ รากส่วนท่ีเหลือมีน้อยมาก จนไม่เพียงพอท่ีจะดูดน้า และ อาหารไปเลี้ยงลาต้นได้ และใน ท่ีสดุ ตน้ พชื ก็จะแห้งตายไป โรครากเน่า โคนเนา่ และ เห่ียว มีสาเหตุเกิดจากเช้ือราที่อาศัย อย่ใู นดนิ 5 ชนดิ ท่ีพบในดินแปลงเพาะปลูกพืชทุกหนแห่งทั่วประเทศ ได้แก่ สเคลอโรเท่ียม (Sclerotium) ฟูซาเร่ียม (Fusarium) ไรซ็อกโทเนีย (Rhizoctonia) ไฟท็อฟทอร่า (Phytophthora) และ พิเที่ยม (Pythium) การกาจัดโรคสามารถทาได้โดยใช้เช้ือราท่ีมี ประสิทธิภาพสงู เช่น เช้อื ราไตรโคเดอร์มาไวเรนส์ เช้ือราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ (Trichoderma virens) เป็นเชื้อราท่ีพบได้ตามธรรมชาติใน ดินทั่วไปโดยเฉพาะดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง ไม่เป็นสาเหตุโรคในคน สัตว์ และพืช แต่ สามารถเข้าทาลายเช้ือราสาเหตุโรคพืชได้หลายชนิด ได้แก่ สเคลอโรเที่ยม รอล์ฟซิไอ (Sclerotium rolfsii) ฟูซาเรี่ยม (Fusarium sp.) ไฟทอฟทอร่า (Phytophthora) ไรซ็อกโทเนีย (Rhizoctonia) และพเิ ที่ยม (Pythium) 27 องคค์ วามรสู้ ่ภู าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

เช้ือราสาเหตุโรคเหล่าน้ีอาศัยอยู่ในดินและเข้า หัวหนา้ โครงการ ทาลายรากพืช ทาให้รากเสียหาย และมี ปริมาณรากน้อยลงจึงทาให้ดูดน้า และ อาหาร จนิ ันทนา จอมดวง ไปเลี้ยงลาต้นได้น้อยลง พืชจึงเจริญเติบโตไม่ สมบูรณเ์ ต็มทแ่ี ละอาจถงึ ข้นั แห้งเหย่ี วจนยนื ต้น ตายไป การใส่เชื้อราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ลงไปในดินจะช่วยปกป้องรากพืช ลดการเกิด โรคเห่ียว ทาให้พืชเจริญเติบโตสมบูรณ์และ ใหผ้ ลผลติ สูงคุณภาพดี ทั้งนี้ สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ ดาเนินงานวิจัยเพ่ือประยุกต์ใช้เช้ือราไตรโค เดอร์มา ไวเรนส์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ต่อเนื่อง ถึงปัจจบุ นั โครงการดังกล่าว สามารถคัดเลือกสายพันธุ์ เชื้อราที่มีประสิทธิภาพสูง และ ปัจจุบันได้ ถ่ายทอดวธิ ีการผลิต ใชเ้ ชอื้ ราไตรโคเดอร์มา ไว เรนส์ แก่เกษตรกรเพ่ือใช้ในการดูแลป้องกัน กาจัดโรค ที่เกิดจากเชื้อราสาเหตุโรคท่ีอาศัย อยู่ในพื้นดิน ซึ่งเป็นปัญหาในพืชหลายชนิด รวมทัง้ ขา้ ว วตั ถุประสงค์  เพอ่ื ถา่ ยทอดองค์ความร้แู ละทักษะปฏบิ ัตใิ นการผลิตและใชเ้ ชื้อราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ให้แก่เกษตรกรผู้ปลกู ขา้ วเพื่อชว่ ยเพมิ่ ผลผลติ และคณุ ภาพข้าว  เพ่อื ฝกึ ปฏบิ ตั เิ กษตรกรในการคานวณตน้ ทนุ การปลูกข้าวและประมาณการผลตอบแทน จากการปลกู ข้าว 28องค์ความร้สู ่ภู าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

ลักษณะของเช้อื ราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ 1. เชอ้ื บรสิ ทุ ธิเ์ จรญิ บนอาหารพดี เี อ ในจานเล้ยี งเชอื้ 2 . ลั ก ษ ณ ะ เ ชื้ อ เ ม่ื อ ม อ ง ใ ต้ ก ล้ อ ง จุ ล ท ร ร ศ น์ มี ก า ร ส ร้ า ง หน่ ว ย ข ย า ย พั น ธ์ุ ห รื อ ส ป อ ร์ เ ป็ น ช่ อ ส ป อ ร์ รู ป ร่ า ง ก ล ม มี สเี ขียว 3. เส้นใยเชื้อราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ (ย้อมติดสีน้าเงิน) เจริญพนั รดั เส้นใย ของเชอื้ ราสาเหตุโรคพชื จุดเด่นของเช้อื ราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ 1. มีความเฉพาะเจาะจงต่อเชื้อราสาเหตุโรคพืช จึงไม่ทาลายเช้ือที่มีประโยชน์อ่ืน ๆ ท่ีอยู่ใน ดิน 2. ไมเ่ ปน็ สาเหตุโรคในคน พชื และสตั ว์ ไมก่ ่อมลพษิ ในสภาพแวดล้อมจงึ มีความปลอดภยั 3. มปี ระสทิ ธิภาพสูงในการยับยงั้ การเจริญและทาลายเช้อื ราในดินที่เป็นสาเหตุโรครากเน่าโคน เน่าหรือเหย่ี ว ใช้ได้ทงั้ ในพชื ผัก พืชไร่ ไม้ผล และไม้ดอกไม้ประดบั 4. สามารถอยู่รอดในดินได้เป็นระยะเวลานาน เจริญเพ่ิมปริมาณได้ในดินท่ีมีอินทรียวัตถุสูง และความชื้นเหมาะสม จึงช่วยป้องกัน กาจัดโรคไดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่อง 5. เติบโตง่ายในเมล็ดธัญพืชชนิดต่าง ๆ ในสภาพอณุ หภมู ิห้อง สามารถผลิตเชื้อ ได้โดยไม่มีข้ันตอนยุ่งยากและมีต้นทุน ต่า เกษตรกรสามารถเรียนรู้วิธีการเพื่อ ผลติ เช้ือใช้เองได้ 29 องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

การเพม่ิ ผลผลติ และคณุ ภาพขา้ วโดยใช้เชื้อราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ จนิ ันทนา จอมดวง ลักษณะของเชื้อราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ จากผลการวิจยั ในปี 2556 พบวา่ การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ช่วยเพิ่ม ผลผลิตและคณุ ภาพข้าวได้ ช่วยปอ้ งกนั รากข้าวไม่ให้ถูกเชื้อราสาเหตุโรคท่ีอยู่ ในดินเข้าทาลาย จึงทาให้รากดูดน้าและอาหารได้เต็มท่ี ส่งผลให้ข้าว เจริญเติบโตดี แข็งแรง ต้านทานต่อโรคทางใบ และให้ผลผลิตสูงท่ีมี คุณภาพดี และจากการทดลองนาเช้ือราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ไปหว่านในนา ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ท่ีปลูกท่ีจังหวัดสุรินทร์ในฤดูปลูกปี พ.ศ. 2558 และ 2559 โดยใช้เชือ้ ราในลักษณะที่เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดเม็ด อัตรา 1 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านทั่วไปในแปลงนาท่ีไถพรวนเรียบร้อยแล้วพร้อมจะหว่านเมล็ดข้าว พบว่า ต้นข้าวเติบโตดีมาก มีการแตกกอและให้จานวนรวงมากกว่าแปลงท่ี ไม่ได้หว่านเช้ือราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ถึง 2-4 เท่า อีกทั้งให้จานวนเมล็ด มากกว่า เมล็ดมีความสมบูรณ์ จากการถอนต้นข้าวมาเปรียบเทียบกัน พบว่า ข้าวในแปลงที่หว่านเช้ือราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ มีจานวนราก มากกว่าและมีทรงต้นท่ีใหญ่กว่าข้าวในแปลงท่ีไม่ได้หว่าน เห็นความแตกต่าง ได้อย่างชดั เจน ข้ า ว พั น ธ์ุ ข า ว ด อ ก ม ะ ลิ 1 0 5 จ า ก แปลงนาในจังหวัด สุรินทร์ ทั้งที่ใช้และ ไม่ใช้ เช้ือราไตรโค เดอรม์ า ไวเรนส์ 30องค์ความรูส้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

การผลติ เช้ือราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ไว้ใช้เอง 1 2 เกษตรกรสามารถเรยี นรู้วิธกี ารผลติ เชื้อราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ ไว้ 3 ใชเ้ อง ซงึ่ เป็นวธิ ีที่ประยุกต์จากวิธีการต้นฉบับของรองศาสตราจารย์ 4 ดร. จิระเดช แจ่มสว่าง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ เปน็ วธิ กี าร 5 อยา่ งง่ายในการผลติ เชอื้ รา ดงั นี้ 6 7 1. หุงข้าวดว้ ยหมอ้ ไฟฟา้ ใชข้ ้าวสาร 3 สว่ นต่อน้า 2 ส่วนโดย ปริมาตร จะไดข้ า้ วสกุ ที่คอ่ นขา้ งแข็ง 2. ตกั ขา้ วขณะทยี่ ังร้อนจัดใส่ถงุ พลาสตกิ ทนร้อนขนาด 8X12 นิ้ว บรรจุถุงละ 350 กรัม (3 ขดี คร่ึง) 3. พับปากถุง เกล่ยี เมล็ดข้าวให้แบนและวางถุงซอ้ น ๆ เพ่อื ใหร้ อ้ น ระออุ ย่างนอ้ ยครง่ึ ชั่วโมง จากนน้ั นาวางเรียงเพือ่ รอให้เยน็ ลง ใหใ้ ช้หลังมอื แตะบนถงุ ถา้ แตะไดโ้ ดยไม่สะดงุ้ ดงึ มือออก แสดงวา่ ใสห่ ัวเช้อื ลงไปได้ ไม่ต้องรอให้เยน็ สนิท 4. เตรียมหวั เชื้อและจมุ่ ช้อนที่จะใช้ตกั หวั เช้อื ในแอลกอฮอล์ 70% เพื่อฆา่ เชอ้ื ทีต่ ิดอยู่บนช้อน 5. ตกั หวั เชอ้ื และใสล่ งในถงุ ขา้ วสกุ เขยา่ ไปมาใหห้ วั เชื้อกระจาย ท่ัวในถุงพรอ้ มบีบขา้ วเพือ่ ใหไ้ มจ่ บั ตัวเป็นก้อน 6. ใช้เข็มหมุดเจาะรูบนถุงพลาสติกบรเิ วณใตย้ างรดั ปากถงุ ประมาณ 20-30 รู เพ่ือใหม้ กี ารระบายอากาศ 7. บม่ ถงุ ขา้ วทใ่ี ส่หัวเช้ือแลว้ ในที่ แหง้ และเยน็ เชอ้ื ราจะเจรญิ ปก คลุมทวั่ เมลด็ ข้าวมองเหน็ เปน็ สี เขยี วเขม้ ใชเ้ วลา 7 วันหลังบม่ นาไปใชป้ อ้ งกนั กาจดั โรคพืชได้ หรอื นาไปผ่งึ ลมให้แหง้ และเก็บ ไว้ใชง้ าน 31 องคค์ วามรู้สภู่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

การเพมิ่ ผลผลติ และคณุ ภาพข้าวโดยใชเ้ ชื้อราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ จินนั ทนา จอมดวง โรครากเนา่ โคนเน่า และเหยี่ ว การกาจัดโรคสามารถทาได้โดยใช้เช้ือราที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มาไว เรนส์ ดังนี้ สาหรับพืชลม้ ลกุ เชน่ พริก มะเขือเทศ ดาวเรือง มะลิ สตรอเบอรร์ ี่ ยาสบู ถ่ัวลิสง ฯลฯ ให้ ใชเ้ ชอ้ื ราชนดิ เมด็ อตั รา 2 กรมั (ครงึ่ ชอ้ นชา) ต่อเดอื น หยอดหลมุ กอ่ นหยอดเมล็ดหรือย้าย ต้นพนั ธล์ุ งปลกู โดยใชเ้ พียงคร้งั เดียวสามารถป้องกันกาจัดโรคได้ตลอดฤดูปลูก (ระยะเวลา 6-8 เดอื น) ทง้ั นี้สาหรับพืชที่ได้ลงปลูกไปแล้ว (ไม่เกิน 2 สัปดาห์) สามารถใช้เชื้อราชนิดผง อัตรา 80 กรัม ต่อน้า 20 ลิตร ซ่ึงผสมสารจับใบเพื่อให้ผงเชื้อกระจายตัวดีในน้า ใส่ถังพ่น สารนาไปพน่ ดนิ ใหช้ ุม่ ทั่วบริเวณใต้ทรงพ่มุ เชอื้ ราจะซมึ ลงดนิ ไปป้องกันรากไม่ให้เชื้อสาเหตุ โรคเขา้ ทาลายรากได้ การใชเ้ ชอ้ื ราเไตรโคเดอร์มาไวเรนส์ พร้อมๆ กับการปลูกพืช ไม่ว่าจะ หยอดเมลด็ หรอื ย้ายต้นพนั ธุ์หัวพันธ์ุลงปลูก จะให้ผลดีที่สุด การใช้เนิ่นๆ จะมีประสิทธิภาพ ดีกว่าการใชภ้ ายหลงั เม่ือพืชแสดงอาการโรคแลว้ สาหรับข้าว ให้หว่านเชือ้ ราชนดิ เมด็ หลงั การไถพรวนดนิ ในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านให้ สม่าเสมอทว่ั แปลงนา จากน้นั จงึ ยา้ ยปกั ดากล้าข้าว หรือหว่านเมล็ดพันธุ์ หรือโยนกล้าพันธ์ุ ข้าว โดยใช้ได้เพียงคร้ังเดียว สามารถป้องกันรากข้าวได้ตลอดฤดูปลูก จะส่งผลให้ต้นข้าว เติบโตดี ต้นสูง กอหนา ติดเมล็ดดี ได้ผลผลิตสูง คุณภาพดี ส่วนรากของต้นข้าว พบว่ามี ปริมาณมากกว่า ทาให้ดูดน้าและอาหารไปเล้ียงต้นไม้ได้มากเป็นผลให้มีจานวนต้นต่อกอ มากกว่า และได้จานวนรวงตอ่ กอมากกว่าเปน็ เทา่ ตัว สาหรับไม้ผล เช่น มะนาว ส้ม ทุเรียน ฯลฯ ให้หว่านเชื้อราชนิดเม็ดทั่วบริเวณใต้ทรงพุ่ม อัตรา 50 กรัม (5 ช้อนแกง) ต่อพื้นท่ี 1 ตารางเมตร พวนดินให้กลบเม็ดเช้ือแล้วให้น้า ตามปกติ หรือเลอื กใชผ้ งเชอื้ ผสมน้าอตั ราสว่ น 80 กรัม ต่อน้า 20 ลิตร พ่นให้ท่ัวใต้ทรงพุ่ม ใหเ้ ชือ้ ราซมึ ลงดนิ พน่ ทกุ 6 เดอื น ท้ังน้ีเช้ือราไตรโคเดอร์มาไวเรนส์ สามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิดท่ีมีปัญหาโรครากเน่าและ เห่ียวทเี่ กดิ จากเช้อื รา โดยใช้ร่วมกบั ปุ๋ยหมกั ป๋ยุ ชีวภาพ ปุ๋ยสารเคมี แต่ห้ามใช้โดยการผสม กับสารเคมกี าจัดศัตรูพืช อยา่ งไรกต็ าม ในกรณที ่ีเกษตรต้องการพ่นสาเคมีกาจัดศัตรูพืชบน ตน้ พชื สามารถทาไดป้ กติ เน่ืองจากละอองสารทรี่ ว่ งลงดินมีปรมิ าณตา่ จงึ ไมม่ ีผลต่อเชอ้ื 32องคค์ วามรู้สู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

33 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

การเพ่มิ ผลผลิตและคุณภาพขา้ วโดยใช้เชื้อราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ จนิ ันทนา จอมดวง สอบถามขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ จนิ ันทนา จอมดวง สถาบันวจิ ยั เทคโนโลยเี กษตร มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา โทรศพั ท์ : 0-5434-2550 34องคค์ วามร้สู ู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

35 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

เทคโนโลยีเครอ่ื งกล่ันน้ามัน หอมระเหยขนาดเลก็ สาหรับอุตสาหกรรมแปรรูป สมุนไพรพน้ื บ้าน 36องค์ความรสู้ ่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

เทคโนโลยีเครอื่ งกลน่ั นา้ มนั หอมระเหยขนาดเล็กสาหรบั อตุ สาหกรรมแปรรูปสมนุ ไพรพ้นื บ้าน จิรพัฒน์พงษ์ เสนาบุตร ความเป็นมา ในปัจจุบันน้ี มีความนิยมใช้น้ามันหอมระเหย เพื่อใช้เป็นสารแต่งกล่ินท่ังในอุตสาหกรรม อาหาร อุตสาหกรรมยา เป็นส่วนผสมเพ่ือแต่งกล่ินในสินค้าอุปโภค เช่น ยาสีฟัน สบู่ แชมพู ผงซักฟอก น้ายาปรบั ผ้าน่มุ เปน็ ตน้ รวมท้ังอตุ สาหกรรมเครื่องสาอาง เช่น น้าหอม และสิ่ง ปรุงแต่งสาหรับผม ความต้องการใช้น้ามันหอมระเหยมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนเนื่องจากผู้บริโภค เรม่ิ หันมาสนใจสนิ คา้ ประเภทตกแต่งกลิ่นจากสารสกดั จากธรรมชาติมากขึ้นกว่าผลิตภัณฑ์ที่ ใช้สารตกแต่งกลิ่นสังเคราะห์โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยา และเครื่องสาอาง และ มีการใช้ น้ามันหอมระเหยในหลากหลายผลติ ภัณฑม์ ากขนึ้ และผลิตภัณฑ์ทีม่ กี ารใช้นา้ มนั หอมระเหย เปน็ ส่วนประกอบ มีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าจับตามอง ดังน้ัน อาจารย์ และ นักศึกษา คณะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร ได้เล็งเห็นความสาคัญของน้ามันหอมระเหย จึงมี แนวคิดทาวิจัย เรื่อง การปรับปรุงประสิทธิภาพ ของเครื่องกลั่นน้ามันหอมระเหยจากพืช สมนุ ไพรพน้ื บ้านด้วยระบบคูลลิ่งคอนเดนเซอร์ ของอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์สมุนไพร พื้นบา้ น 37 องคค์ วามรสู้ ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา

คณาจารย์ได้ออกแบบและพัฒนาให้ใช้งานได้ หวั หน้าโครงการ ง่ายจากการจาลองเครื่องสกัดแบบต่อเน่ือง (soxhlet extraction) แ ล ะ ใ ช้ ร ะ บ บ ก า ร จิรพัฒนพ์ งษ์ เสนาบุตร ควบแน่นใช้ระบบคูลล่ิงคอนเดนเซอร์ทดแทน การไหลวนของน้าที่มีโดยท่ัวไป เคลื่อนย้าย สะดวก ซึ่งเหมาะกับการกล่ันพืชสมุนไพร พ้ืนบ้านท่ีใช้ตัวทาละลายเป็นน้าสาหรับการ กล่ัน เช่น ไพล ตระไคร้หอม เปลือกมะกรูด และใบยูคาลิบตัส เป็นต้น จากนั้นยังได้นาเอา องค์ความรู้การถ่ายทอดเทคโนโลยีเคร่ืองกล่ัน น้ามันหอมระเหย ให้กับชุมชนอ่ืนๆ โดยสาธิต การกลั่นน้ามันหอมระเหย และการแปรรูป น้ามันหอมระเหยเป็นผลิตภัณฑ์โอทอปชุมชน เช่น สเปรย์ไล่ยุง ยาหม่อง และสบู่ เป็นต้น เพ่ือเสริมสร้างรายได้ให้กับชุมชนและสามารถ จดทะเบียนเปน็ ผลิตภัณฑ์สนิ ค้าชมุ ชนได้ วตั ถปุ ระสงค์  เพ่อื ถา่ ยทอดเทคโนโลยีงานวจิ ยั ทางด้านเทคโนโลยกี ารกลน่ั นา้ มันหอมระเหยจากพชื สมุนไพรพน้ื บ้านให้กับชมุ ชนโดยเปน็ แนวทางให้เกดิ การเสริมสร้างรายได้  เพื่อพัฒนาศักยภาพความรดู้ ้านงานวิจัย และการบริการวชิ าการ ใหแ้ ก่ คณาจารย์ เจ้าหนา้ ท่ี และชมุ ชน ให้เกิดเปน็ นวตั กรรมท่ีสามารถพัฒนาประเทศในอนาคต 38องค์ความรูส้ ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา

วธิ ีกลน่ั น้ามนั หอมระเหย การกลั่นด้วยน้าร้อน (Water distillation & Hydro – distillation) เป็นวิธีท่ีง่ายท่ีสุดของ การกล่ันน้ามันหอมระเหย การกลั่นโดยวิธีน้ี พื้นที่ กลั่นต้องจุ่มในน้าเดือดท้ังหมด เช่น ใบไม้ กลีบ ดอกไม้อ่อนๆ ข้อควรระวังในการกลั่นโดยวิธีนี้คือ พืชจะได้รับความร้อนไม่สม่าเสมอ ตรงกลางมักจะ ได้ความร้อนมากกว่าด้านข้าง จะมีปัญหาในการ ไหม้ของตัวอย่าง กล่ินไหม้จะปนมากับน้ามันหอมระเหยและมีสารไม่พึงประสงค์ติด มาในน้ามนั หอมระเหยได้ วิธแี กไ้ ข คอื ใช้ไอนา้ หรอื อาจใช้ คอยล์ไอนา้ ปดิ จุ่มในหม้อ ต้ม แต่การใช้ คอยล์ไอน้า น้ีไม่เหมาะกับดอกไม้บางชนิด เพราะเมื่อกลีบดอกไม้ถูก คอยล์ไอน้า จะหดกลายเป็น มวลเหนียว จึงต้องใช้วิธีใส่ลงไปในน้า กลีบดอกไม้จะ สามารถหมุนเวียนไปอย่างอิสระในการกล่ัน เปลือกไม้ก็เช่นกัน ถ้าใช้วิธีกล่ันด้วยน้า น้าจะซมึ เขา้ ไปและนากลิน่ ออกมา หรือกล่ินจะแพร่กระจายออกจากเปลือกไม้ได้ง่าย ข้นึ ดงั นน้ั การเลือกใช้วิธีการกลั่นจงึ ข้ึนกบั ชนิดของพืชทนี่ ามากล่นั ด้วย การกลั่นด้วยน้าและไอน้า (Water and steam distillation) การกล่ันโดยวิธีน้ีใช้ ตะแกรงรองของท่ีจะกล่ันให้เหนือระดับน้าใน หม้อกล่ัน ต้มให้เดือด ไอน้าจะลอยตัวข้ึนไป ผ่านพืชหรือตัวอย่างที่จะกล่ัน ส่วนน้าจะไม่ถูก กับตัวอย่างเลย ไอน้าจากน้าเดือดเป็นไอน้าที่ อิ่มตัว หรือเรียกว่า ไอเปียกไม่ร้อนจัด เป็นการ กลัน่ ทสี่ ะดวกทส่ี ุด คุณภาพของน้ามันออกมาดีกว่าวิธีแรก การกล่ันแบบนี้ใช้กันอย่าง กวา้ งขวางในการผลติ นา้ มนั หอมระเหยทางการคา้ 39 องค์ความรูส้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

เทคโนโลยีเคร่ืองกลนั่ นา้ มนั หอมระเหยขนาดเล็กสาหรับอุตสาหกรรมแปรรูปสมุนไพรพ้ืนบา้ น จิรพฒั น์พงษ์ เสนาบตุ ร การกลั่นด้วยไอน้า (Direct steam distillation) วิ ธี น้ี ว า ง ข อ ง อ ยู่ บ น ตะแกรงในหม้อกลั่นซึ่งไม่มีน้าอยู่เลย ไอน้าภายนอกท่ีอาจจะเป็นไอน้าเปียก ห รื อ ไ อ ร้ อ น จั ด แ ต่ ค ว า ม ดั น สู ง ก ว่ า บรรยากาศ ส่งไปตามท่อใต้ตะแกรงให้ ไอผ่านขึ้นไปถูกกับของบนตะแกรง ไอ น้าต้องมีปริมาณเพียงพอที่จะช่วยให้น้ามันแพร่ระเหยออกมาจากตัวอย่าง ตัวอย่างบางชนิดอาจใช้ไอร้อนได้ แต่บางชนิดก็ใช้ไอเปียก น้ามันจึงจะถูก ปล่อยออกมา ข้อดีของการกลั่นวิธีน้ี คือ สามารถกล่ันได้อย่างรวดเร็ว เม่ือเอา พืชใส่หม้อกล่ันไม่ต้องเสียเวลารอให้ร้อน ปล่อยไอร้อนเข้าไปได้เลย ปริมาณ ของสารที่นาเขา้ กล่ันกไ็ ดม้ าก ปริมาณทาใหไ้ ด้นา้ มนั หอมระเหยมาก การกลั่นทั้ง 3 วิธี ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาด้วยว่า การแพร่กระจายของน้ามัน หอมระเหยและน้าร้อยผ่านเยื่อบางๆของพืช การไฮโดรไลซ์สาร องค์ประกอบ ต่างๆเนื่องจากสัมผัสกับน้าตลอดเวลา ตลอดจนการสลายตัวของสารในน้ามัน หอมระเหย อันเน่ืองมาจากความร้อนถึงแม้ว่าก่อนนาพืชมากล่ันจะต้องห่ัน หรือทาให้เซลล์แตกก่อน เพื่อให้ได้น้ามันหอมระเหยออกมาจากเซลล์ได้ง่าย แต่ถงึ กระนน้ั ก็ยงั มีนา้ มนั หอมระเหยบางสว่ นทอ่ี ยทู่ ี่ผิวและถกู ทาให้กลายเป็น ไออยา่ งรวดเรว็ ดว้ ยไอน้า แล้วนา้ มนั ส่วนท่ีเหลือภายในจะออกมาสู่ผิวได้ โดย การซึมผ่านผนังบาง ๆ ของพืช และ จะดาเนินไปได้ดีที่อุณหภูมิสูง สารประกอบพวกเอสเทอร์จะถูกไฮโดรไลซ์ให้เป็นกรด และ แอลกอฮอล์ได้ ง่าย ดังนั้น เพ่ือให้ได้น้ามันหอมระเหยท่ีมีคุณภาพดีท่ีสุด ควรกลั่นที่ อุณหภูมิต่าสุดเท่าท่ีจะทาได้ หากได้น้ามันน้อย ควรใช้อุณหภูมิสูงข้ึน ใช้ เวลาให้สั้นที่สุด การกลั่นจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ วัดอุณหภูมิและเวลา ใหอ้ ยูใ่ นช่วงทเ่ี หมาะสมทสี่ ุด 40องค์ความรู้สภู่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

อุปกรณ์ทีใ่ ช้ในการกลัน่ ในการกลั่นน้ามันหอมระเหยทั้ง 3 วิธีนี้ สามารถทาเองได้ อุปกรณ์ที่สาคัญสาหรับใช้ กลน่ั มี 2 อย่าง คอื หมอ้ กลนั่ (Still) และ เคร่อื งควบแน่น (Condenser) หม้อกลั่น (Still) น้าหรือไอน้า จะสัมผัสกับพืชในภาชนะ ซ่ึงมีรปู ร่างที่ง่ายที่สุดเป็นถังทรงกระบอก ทาด้วยเหล็กหรือ ทองแดง เส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหรือน้อยกว่าความสูง เล็กน้อย มีฝาเปิด – ปิดได้ ด้านบนมีท่อต่อสายรัดให้ไอน้า พาน้ามันหอมระเหยไปสู่เคร่ืองควบแน่น ถ้าเป็นการกลั่น แบบใช้น้าผสมไอน้า ต้องมีตะแกรงวางตัวอย่างที่จะกลั่นให้ สูงกว่าก้นหม้อกลั่น ส่วนการกล่ันด้วยไอน้า น้าจะถูกฉีด เข้าไปใต้ตะแกรงน้ัน ก้นหม้อกล่ันจะต้องมีท่อก๊อกระบาย นา้ ท่กี ลน่ั ตวั ลงหมอ้ กลน่ั และฝาควรมีฉนวนหมุ้ กนั ความร้อนสญู หาย เครื่องควบแน่น (Condenser) ส่วนผสมของ ไอน้าและน้ามันหอมระเหยท่ีออกมาจากหม้อ กลั่น จะถูกส่งผ่านไปยังเครื่องควบแน่น ซ่ึงจะ เ ป ล่ี ย น ไ อ น้ า แ ล ะ น้ า มั น ห อ ม ร ะ เ ห ย ใ ห้ เ ป็ น ของเหลว ลักษณะเป็น Coil ม้วนอยู่ใต้ถังท่ีมี น้าเย็นผ่านจากด้านล่าง สวนทางกับไอน้า และน้ามันหอมระเหย ที่นิยมอีกแบบหน่ึง คือ ให้ไอนา้ และนา้ มันหอมระเหยผ่านใน ท่อวัสดุที่เป็น Coil ควรใช้ทองแดง ผสมดีบุก 41 องคค์ วามรสู้ ่ภู าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

เทคโนโลยีเคร่อื งกลนั่ นา้ มันหอมระเหยขนาดเลก็ สาหรับอตุ สาหกรรมแปรรูปสมนุ ไพรพน้ื บา้ น จิรพัฒน์พงษ์ เสนาบตุ ร คอนเดนเซอร์ เมื่อไอสารความเย็นท่ีมีอุณหภูมิสูงความดันสูงออกจากเครื่องอัด แล้วจะเข้า คอนเดนเซอร์ซ่ึงทาหน้าท่ีเป็นตัวถ่ายเทความร้อนออกจากสารความเย็น ซึ่งสารความ เย็นนั้น รับความร้อนมาจากท่ี อีเวปอเรเตอร์ และ จากกระบวนการอัด การถ่ายเท ความร้อนให้กับไอสารความเย็นนี้ จะมีการถ่ายเทความร้อนจนไอสารความเย็นเปล่ียน สถานะเป็นของเหลวอีก โดยรูปแบบของคอนเดนเซอร์เป็นประเด็นสาคัญในการ ออกแบบซึ่งแบง่ ได้ 3 ประเภท คอื 1. ประเภทระบายความรอ้ นดว้ ยน้า (Water Cooled Condensers) 2. ประเภทระบายความรอ้ นด้วยนา้ และอากาศ (Evaporative Condensers) 3. ประเภทระบายความรอ้ นด้วยอากาศ (Air Cooled Condensers) จากประเภททั้งสามของคอนเดนเซอร์ทั้ง 2 แสดงลักษณะการถ่ายเทความร้อนออก จากคอนเดนเซอรเ์ พือ่ ทาใหไ้ อสารความเยน็ เปล่ียนสถานะเป็นของเหลว ดังนี้ คอนเดนเซอรร์ ะบายความรอ้ นด้วยน้า คอนเดนเซอร์ระบายความร้อนด้วยน้า (Water Cooled Condensers) ท่ีเห็นท่ัวไปมี 3 แบบ คือ แบบท่อซ้อนท่อ (Double Tube) โครงสร้างของคอนเดนเซอร์แบบท่อซ้อนท่อ ซ่ึง ท่อใหญ่เป็นส่วนนอกของระบบท่อคอนเดนเซอร์ จะเป็นท่อรับไอสารความเย็นที่มี อุณหภูมิสูงและความดันสูงจากเคร่ืองอัด (Compresser) โดยไอสารความเย็นจาก เคร่ืองอัดเข้าทางส่วนบนของท่อ และออกทางส่วนล่างที่จัดตาแหน่งทางเข้าของไอสาร ความเย็นไว้ทางด้านบน เพราะขณะไอสารความเย็นเข้ามาในระบบท่อคอนเดนเซอร์ จะมกี ารถา่ ยเทความรอ้ นเกิดข้ึน และ ไอสารความเย็นเริ่มเปลี่ยนสถานะกลายเป็นสาร ความเย็นเหลว อาศัยแรงดึงดูดของโลก สารความเย็นเหลวจะไหลลงสู่ท่ีต่า เมื่อไอ สารความเย็นถึงช่วงสุดท้ายของคอนเดนเซอร์ไอสารความเย็นจะเปล่ียนสถานะเป็น ของเหลวท้ังหมด และ ถูกดันโดยความดันที่มีในระบบของคอนเดนเซอร์ออกสู่ตัว ควบคมุ ปรมิ าณสารความเยน็ 42องคค์ วามร้สู ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

แบบขดท่อมีเปลือกหุ้ม (Shell and Coil) ทาจากท่อเปลือยที่ขดเป็นก้น หอยแล้วบรรจุในถัง ท่ีเป็นเหมือนเปลือกตามโครงสร้างของคอนเดนเซอร์แบบ ขดท่อมีเปลือกหุ้ม ไอสารความเย็นเข้าที่ด้านบนของเปลือกของคอนเดนเซอร์ และ หลอมตัวเมื่อกระทบกับขดท่อท่ีมีน้าอุณหภูมิต่าไหลผ่าน ทั้งน้ีสารความ เย็นเหลวท่ีตกสู่ด้านล่างของเปลือกจะถูกแรงดันที่มีในระบบดันส่งไปยังตัว ควบคุมปริมาณสารความเย็น ส่วนล่างของเปลือกซ่ึงมีสภาพคล้ายถัง นอกจากเป็นตัวรับสารความเย็นเหลวที่เกิดจากการหลอมตัวแล้ว ยังทาหน้าท่ี เหมือนถึงเก็บสารความเย็น (Receiver tank) ในกรณีท่ีภาระ (load) ลดลง แล้วสารความเย็นในระบบใช้งานไม่หมดแล้วตัวควบคุมปริมาณสารความเย็น ปล่อยให้ปริมาณสารความเย็นสู่ระบบเคร่ืองทาความเย็นก็ไม่ควรมากเกินไป เพราะหากมสี ารความเย็นเหลอื ในถังมาก หมายถึง พื้นผิวสัมผัสของขดท่อน้า หล่อเย็นที่บรรจุอยู่ภายในถังจะน้อยลง จะเป็นเหตุให้ภายในถังมีความดัน สูงขึ้น และ อุณหภูมิสงู ข้นึ การตอ่ วงจรทอ่ นา้ หล่อเย็น มักให้มีวงจรแยกกัน 2 ชุด โดยข้นึ อย่กู บั ภาระของระบบเคร่ืองทาความเย็นว่ามากหรือน้อย คือ หาก ภาระของระบบมีมาก ปริมาณสารความเย็นที่จะใช้งานมีมากหมายถึงความ ร้อนของไอสารความเย็นท่ีจะถ่ายเทสู่น้าหล่อเย็นมาก ปริมาณน้าหล่อเย็นที่ใช้ กับคอนเดนเซอร์ย่อมมาก ท้ังนี้วงจรภายในของระบบน้าหล่อเย็นต้องต่อแบบ ขนาน ในทางตรงข้าม หากภาระน้อย วงจรภายในของระบบน้าหล่อเย็นจะ ต่อแบบอนุกรมก็ได้ ท้ังนี้เพ่ือเป็นการลดค่าใช้จ่ายขณะใช้งาน (Operating Cost) ลงการเลือกขนาดของเคร่ืองทาความเย็นที่ใช้คอนเดนเซอร์แบบขดท่อมี เปลือกหุ้มนี้ โดยท่ัวไปมักใช้กับงานท่ีไม่โตนัก การใช้งานปกติมักไม่เกิน 10 ตัน การทาความสะอาดคอนเดนเซอร์แบบน้ีใช้วิธีผสมสารเคมีลงในน้าท่ีไหล ผ่านท่อนา้ หล่อเย็น 43 องคค์ วามรสู้ ูภ่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

เทคโนโลยีเครื่องกลน่ั นา้ มันหอมระเหยขนาดเลก็ สาหรับอตุ สาหกรรมแปรรูปสมนุ ไพรพน้ื บา้ น จริ พัฒนพ์ งษ์ เสนาบุตร แบบทอ่ ตรงมเี ปลือกหุ้ม (Shell and Tube) คอนเดนเซอรแ์ บบนีม้ ักใช้กับ งานเครื่องทาความเย็นขนาดใหญ่ตั้งแต่ขนาด 2 ตันขึ้นไปถึงมากกว่า 100 ตัน และความหนาของเปลือกหุ้มสาหรับเครื่องขนาดใหญ่อาจหนามากกว่า 10 เซนติเมตร (4 นิ้ว) ถึงความหนาไม่น้อยกว่า 100 เซนติเมตร (40 น้ิว) ความยาวของท่อตรงที่ใช้ระบายความร้อนจากไอสารความเย็นยาวต้ังแต่ 90 เซนติเมตร ถึง 6 เมตร จานวนและขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อขึ้นอยู่กับ เส้นผ่าศูนย์กลางของเปลือกหุ้ม ขนาดความโตของท่อต้ังแต่ 16 มิลลิเมตร (5/8 น้ิว) ถึง 50 มิลลิเมตร (2 น้ิว) แผ่นปิดหัว - ท้ายของท่อสามารถถอด เพ่ือทาความสะอาดท่อสง่ น้าหลอ่ เย็นได้การใช้งาน สาหรับคอนเดนเซอร์แบบ ท่อตรงมีเปลือกหุ้ม (Shell and Tube) มักใช้กับเครื่องทาความเย็นขนาด ใหญท่ ใ่ี ช้แอมโมเนีย (R-717) เป็นสารความเย็น เหตุผลที่ใช้แอมโมเนียเป็น สารความเยน็ เพราะราคาถกู เม่ือเปรียบเทียบกับสารความเย็นชนดิ อน่ื อย่างไรก็ตามแอมโมเนียจัดอยู่ในประเภทสารชนิดระคายเคืองการใช้งานจึง ต้องให้ความระมัดระวังมากว่าสารความเย็นชนิดอื่นรูปแบบโครงสร้างของ คอนเดนเซอร์แบท่อตรงมเี ปลือกหุ้ม พิจารณาจะมีท่ีรับน้าหล่อเย็นอยู่ด้านบน มีอุปกรณ์จ่ายน้าสาหรับแต่ละท่อเพ่ือให้น้าหล่อเย็นไปได้อย่างท่ัวถึงและมาก พอปกติไอสารความเย็นจะเข้าประมาณส่วนกลางของคอนเดนเซอร์ และสาร ความเย็นเหลวออกจากส่วนของคอมเดนเซอร์แล้วจึงเข้าอุปกรณ์ควบคุม ปริมาณสารความเยน็ ตอ่ ไป คอนเดนเซอรร์ ะบายความรอ้ นด้วยน้าผสมอากาศ ค อ น เ ด น เ ซ อ ร์ แ บ บ ร ะ บ า ย ค ว า ม ร้ อ น ด้ ว ย น้ า แ ล ะ อ า ก า ศ ผ ส ม กั น น้ี (Evaporative Condensers) มีลักษณะการทางานคล้ายหอน้าเย็นแบบ ระบายความร้อนโดยวิธีกล แต่ที่ดีกว่าคือ การระบายความร้อนโดยวิธีน้ี สามารถประหยดั น้าไดม้ ากกวา่ 44องคค์ วามร้สู ภู่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

คอนเดนเซอร์ระบายความรอ้ นดว้ ยน้าผสมอากาศ หลักการทางานของคอนเดนเซอรท์ ร่ี ะบายความร้อนด้วยน้าและอากาศ จึงต้อง มีอ่างรับน้า (Water Tank) โดยป๊ัมมีหน้าท่ีดูดน้าจากอ่างข้ึนสู่หัวฉีด (Spary nozzles) ด้านบน หัวฉดี จะฉีดฝอยน้าลงสู่ท่อไอสารความเย็น ในขณะเดียวกัน พัดลมดูดอากาศ (Fan) จะทาหน้าท่ีดูดอากาศจากภายนอกเข้าสู่ภายในระบบ (Air in) เพื่อเสริมการระบายความร้อนของท่อไอสารความเย็น อากาศที่ถูกดูด เข้าสู่ระบบจะถูกส่งออกนอกระบบ หลังจากพาความร้อนติดไปด้วย และด้วย เหตุท่ีอากาศท่ีจะถูกส่งออกนอกระบบ ผ่านฝอยน้ามาก่อน จึงต้องมีอุปกรณ์ จับเม็ดนา้ (Eliminators) ที่ติดไปกบั อากาศ เพ่ือเปน็ การลดความส้ินเปลืองน้า หล่อเย็น แต่ที่อ่างรับน้าก็มีท่อน้าเข้า หากต้องการน้าเพิ่มเติม (Make – up water) สาหรับระบบ ส่วนการนาอากาศภายนอกเข้ามาใช้ในระบบสามารถ ทาได้ท้ังระบบดูดการทางานคอนเดนเซอร์แบบระบายความร้อนด้วยน้า และ อากาศ ซ่ึงเป็นระบบของ Trane ไอสารความเย็นท่ีมีอุณหภูมิสูง (Hot gas) เมื่อออกจากเครื่องอัดจะเข้าสู่ขดท่อคอนเดนเซอร์ เมื่อไอสารความเย็นได้รับ การถ่ายเทความร้อนออก จนไอสารความเย็นเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวแล้ว สารเหลวจะไหลไปสู่ถึงรับสารเหลว (Liquid Receiver) จากน้ันสารความ เย็นเหลวจะเคลื่อนไปตามท่อสารเหลว (Liquid line) ผ่านวาล์วเปิด – ปิด (Liquid shut – off valve) ผ่านท่ีกรอง (strainer) ผ่านวาล์วเปิด – ปิดท่ี ตัวควบคุมด้วยไฟฟ้า (Solenoid stop valve) ผ่านช่องกระจกมองสาร ความเย็น (Sight Glass) ผ่านตัวควบคุมปริมาณสารความเย็น ซึ่งวงจรท่อ เคร่ืองทาความเย็นชุดนี้ใช้ Thermostatic Expansion Valve (TEV) จาก TEV สารความเย็นเหลวจะถูกลด ความดันลงจนความดันท่ีมีในอีเว ปอเรเตอร์สอดคล้องกับอุณหภูมิใช้ งานของระบบ เมื่อสารความเย็น เ ห ล ว ดึ ง ดู ด ค ว า ม ร้ อ น จ า ก ภ า ร ะ มาแล้วสารเหลวก็จะเปลี่ยนสถานะ เป็นไอและไปตามท่อดูด (Suction line) สู่เครอ่ื งอดั ตอ่ ไป 45 องคค์ วามรสู้ ูภ่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา

เทคโนโลยีเคร่ืองกลั่นน้ามนั หอมระเหยขนาดเลก็ สาหรับอตุ สาหกรรมแปรรูปสมุนไพรพืน้ บา้ น จริ พฒั นพ์ งษ์ เสนาบตุ ร คอนเดนเซอร์ระบายความร้อนด้วยอากาศ สาหรับคอนเดนเซอร์ที่ระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air Cooled Condensers) นั้น การเคล่ือนที่ของอากาศเป็นการเสริมประสิทธิผลของการถ่ายเทความร้อน อาจเป็นได้ท้ังโดยธรรมชาติหรือโดยวิธีกล คือใช้พัดลมพัดผ่านหรือดูดผ่าน คอนเดนเซอร์ หากโดยอาศัยแรงลงตามธรรมชาติ ด้วยปริมาณลมที่พัดผ่าน คอนเดนเซอร์เพ่ือพาความร้อนจากคอนเดนเซอร์ไปด้วยมีน้อย ขนาดของ คอนเดนเซอร์จึงจะต้องโตเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวถ่ายเทความร้อนออกสู่บรรยากาศด้วย เหตุท่ีคอนเดนเซอร์ท่ีอาศัยแรงลงธรรมชาติต้องมีขนาดใหญ่ เพราะประสิทธิภาพ การถ่ายเทความร้อนมีน้อย การใช้งานคอนเดนเซอร์แบบนี้จึงใช้กับงานเครื่องทา ความเย็นขนาดเล็ก เช่น ตู้เย็นขนาดเล็ก เคร่ืองทาน้าเย็น เป็นต้น รูปแบบของ คอนเดนเซอร์อาจเป็นแผง (Plate Surface) หรือเป็นแบบท่อครีบ (Finned Tubing) การ ในการกลนั่ น้ามันหอมระเหยจากพชื สมุนไพรพ้นื บ้าน มีกระบวนการดงั น้ี 1. เตรียมเคร่ืองกล่ันน้ามันหอมระเหยจากสมุนไพรพื้นบ้านโดยระบบรวมคูลล่ิง คอนเดนเซอร์ 2. เตรียมพืชสมุนไพรท่ีต้องการนามากลั่นน้ามันหอมระเหยห่ันพืชสมุนไพรมาล้าง แลว้ นาไปชงั่ เพอื่ ให้ไดป้ ริมาณ 5 กิโลกรัม 3. นาพืชสมนุ ไพรที่ช่ังมาหน่ั พอละเอียด 4. ใส่พืชสมุนไพรที่หั่นเสร็จลงไปในถังกล่ันน้ามันหอมระเหยและเติมน้า ¾ ของถัง แล้วปิดฝาถงั กลัน่ นา้ มนั หอมระเหย 5. เร่ิมเปิดแก๊สเพื่อทาการกล่ันน้ามันโดยที่เปิดแก๊สให้ได้ความร้อนที่เหมาะสมจน ทาใหเ้ กิดเป็นไอน้าทีอ่ ุณหภมู ิ 100 องศาเซลเซยี ส 6. เปดิ ระบบคูลล่ิงคอนเดนเซอรเ์ พือ่ หมนุ เวยี นระบบการควบแนน่ 7. เตรียมกรวยแยกสาหรับเก็บนา้ มนั หอมระเหยจากพชื สมนุ ไพรพน้ื บา้ น 8. แยกน้ามันหอมระเหยออกจากน้าโดยการเปิดน้าออกก่อนแล้วเหลือส่วนที่เป็น น้ามนั หอมระเหยไวจ้ ากน้นั จึงคอ่ ยปล่อยน้ามันหอมระเหยลงมาเกบ็ ไว้ 46องค์ความรู้สูภ่ าคประชาชนและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

47 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook