ผลของการออกกาลงั กายดว้ ยเชิงมวยไทยทม่ี ตี ่อสมรรถภาพทางกาย ของนักเรียนระดบั ประถมศึกษา วิทยานพิ นธ์ ของ วันชัย พนู ชัย เสนอตอ่ บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมูบ่ า้ นจอมบงึ เพือ่ เปน็ ส่วนหน่งึ ของการศกึ ษา ตามหลักสตู รศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชามวยไทย กมุ ภาพันธ์ 2565 ลิขสิทธเ์ิ ป็นของมหาวิทยาลัยราชภฏั หมู่บ้านจอมบงึ
ผลของการออกกาลงั กายดว้ ยเชิงมวยไทยทม่ี ตี ่อสมรรถภาพทางกาย ของนักเรียนระดบั ประถมศึกษา วิทยานพิ นธ์ ของ วันชัย พนู ชัย เสนอตอ่ บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมูบ่ า้ นจอมบงึ เพือ่ เปน็ ส่วนหน่งึ ของการศกึ ษา ตามหลักสตู รศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชามวยไทย กมุ ภาพันธ์ 2565 ลิขสิทธเ์ิ ป็นของมหาวิทยาลัยราชภฏั หมู่บ้านจอมบงึ
EFFECTS OF EXERCISE WITH CHEANG MUAYTHAI ON PHYSICAL FITNESS OF PRIMARY SCHOOL STUDENTS THESIS BY WANCHAI POONCHAI Presented in partial fulfillment of the requirements for the Master of Arts Program in Muaythai February 2022 Copyright by Muban Chom Bueng Rajabhat University
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ได้พิจารณาวิทยานิพนธ์ฉบับนี้แล้ว เห็นสมควรรับเป็นส่วน หนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามวยไทย วิทยาลัยมวยไทยศึกษา และการแพทยแ์ ผนไทย มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหม่บู ้านจอมบึง คณะกรรมการสอบ ลงชอ่ื ………………………………………………… ประธานกรรมการสอบ (รองศาสตราจารย์ ดร.ไพบูลย์ ศรชี ยั สวสั ด์ิ) ลงชอ่ื ………………………………………………… อาจารยท์ ีป่ รึกษาวิทยานพิ นธ์ (ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สาราญ สขุ แสวง) ลงชื่อ………………………………………………… อาจารย์ทป่ี รกึ ษาวทิ ยานิพนธ์ร่วม (อาจารย์ ดร.วรยทุ ธ์ ทิพยเ์ ทย่ี งแท้) ลงชื่อ………………………………………………… อาจารย์ประจาหลกั สตู ร (ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งอรุณ สุทธิพงษ์) ลงช่อื ………………………………………………… อาจารย์ประจาหลกั สตู ร (อาจารย์ ดร.ประไพร จันทะบณั ฑติ ) ลงช่อื ………………………………………………… ผทู้ รงคณุ วฒุ จิ ากภายนอก (รองศาสตราจารย์ ดร.ตอ่ ศกั ดิ์ แกว้ จรัสวไิ ล) ไดร้ ับอนุมตั ิจากบัณฑิตวทิ ยาลยั ให้นับวิทยานิพนธ์น้เี ป็นสว่ นหน่ึงของการศึกษาตามหลกั สตู ร ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามวยไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง เม่ือเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ลงช่อื ………………………………………..…… (อาจารย์ ดร.นาวนิ คงรกั ษา) คณบดีบณั ฑิตวิทยาลยั วนั ที่ 11 เดือน กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2565
ชอ่ื วทิ ยานิพนธ์ ผลของการออกกาลงั กายดว้ ยเชิงมวยไทยทม่ี ีต่อสมรรถภาพทางกายของ นกั เรยี นระดบั ประถมศกึ ษา ชือ่ ผวู้ จิ ัย นายวันชยั พูนชัย หลกั สตู ร ศิลปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชามวยไทย อาจารย์ทีป่ รกึ ษา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สาราญ สุขแสวง อาจารย์ ดร.วรยทุ ธ์ ทพิ ยเ์ ท่ียงแท้ ปีทสี่ าเร็จการศึกษา 2565 คาสาคญั การออกกาลังกาย เชิงมวยไทย สมรรถภาพทางกาย นกั เรียนระดบั ประถมศึกษา บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาผลการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยของ นักเรียนระดับประถมศึกษา และ 2) เปรียบเทียบผลการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยที่มีต่อ สมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับประถมศึกษาของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม หลังการฝึก สัปดาห์ท่ี 4 และหลังการฝึกสัปดาห์ท่ี 8 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษา ชั้นปีที่ 1-6 โรงเรียนเจริญรัฐอุปถัมภ์ จานวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มควบคุม 30 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ กิจกรรมการออกกาลังกายด้วยเชิง มวยไทยสาหรับกลุ่มทดลอง และกิจกรรมออกกาลังกายแบบปกติสาหรับกลุ่มควบคุม ท่ีมีค่าดัชนีความ สอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกประเด็น และแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายของกรมพลศึกษา สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบคา่ ที ผลการวิจัย พบวา่ 1. ผลของการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยที่มีต่อสมรรถภาพทางกาย ท้ัง 5 ด้าน ของ กลุ่มทดลอง ก่อน ฝึก หลังฝึกสัปดาห์ที่ 4 และหลังฝึกสัปดาห์ท่ี 8 พบว่า 1) ค่าดัชนีมวลกาย อยู่ระหว่าง ผอม ถึง ท้วม 2) ความอ่อนตัว อยู่ในระดับ ปานกลาง, ปานกลาง, และ ปานกลาง 3) ความแข็งแรงและ ความอดทนของ กล้ามเนื้อแขนและกล้ามเนื้อส่วนบน อยู่ในระดับ ปานกลาง, ดี, และ ดี 4) ความแข็งแรง และความอดทนของกล้ามเนื้อหน้าท้อง อยู่ในระดับ ดี, ดีมาก และ ดีมาก และ 5) ความอดทนของระบบ หัวใจและระบบไหลเวียนเลือด อยู่ในระดับ ดี, ดี และ ดี ตามลาดับ เม่ือนาไปทดสอบค่าทางสถิติพบว่า แตกต่างกันอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05 2. ผลการเปรียบเทยี บผลของการออกกาลงั กายด้วยเชิงมวยไทยท่ีมีต่อสมรรถภาพทางกาย ท้ัง 5 ด้าน ของกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 พบว่า แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 ส่วนค่าดัชนีมวลกาย ไม่แตกต่างกนั
(ข) THESIS TITLE THE EFFECTS OF EXERCISES WITH CHOENGMUAYTHAI ON PHYSICAL CAPABILITY OF ELEMENTARY SCHOOL STUDENTS RESERCHER RESEARCHER'S CURRICULUM MR. WANCHAI POONCHAI ADVISORS MASTER OF ARTS PROGRAM IN MUAY THAI ASST. PROF. DR.SAMRAN SUKSAWAENG GRADUATION YEAR DR.VORAYUT THIPTIANGTAE KEYWORDS 2022 EXERCISES, CHOENGMUAYTHAI, PHYSICAL CAPABILITY, ELEMENTARY SCHOOL STUDENTS ABSTRACT The objectives of this research were 1) to study the effect of the exercises with Choengmuaythai of elementary school students and 2) to compare the effect of Choengmuaythai exercise on physical capability of elementary school students of the experimental and the controlled group, after week four and week eight of training. The sample consisted of 60 students. divided into experimental group 30 students and controlled groups 30 students in grades 1-6 of Charoenrat-Upatham school, selected by using a stratified random sampling. The research instruments were Choengmuaythai exercises for experimental group and regular exercise for controlled groups with a consistency index of 1.00 for all issues and the physical capability test of the Department of Physical Education. The statistics for data analysis were frequency distribution, percentage, mean, standard deviation, and T-test for Independent. The research results were as follow 1. For the experimental group, the effect of Choengmuaythai exercise on all 5 aspects of physical capability before training, after week four and after week eight of training was as followed 1) the body mass index was between skinny to chubby; 2) the flexibility was at the level of moderate before training, moderate after week four of training, and moderate after week eight of training; 3) the strength and endurance of the arm muscles and upper muscles were at the level of moderate before training, good after week four of training, and good after week eight of training; 4) the strength and endurance of abdominal muscles were at the level of good
(ค) before training, very good after week four of training, and very good after week eight of training; and 5) the endurance of blood circulatory system (cardiovascular system) was at the level of good before training, good after week four of training, and good after week eight of training. When the results were tested statistically, it was found that the difference was statistically significant at the level of .05. 2. When the experimental and the controlled groups were compared for the effect of Choengmuaythai exercise on their physical capability after week four and after week eight of training, the result revealed that the effects were different with statistically significance at the level of .05, while the BMI of both groups was no different.
ประกาศคุณปู การ วทิ ยานพิ นธ์ฉบบั นีส้ าเร็จลุล่วงไปด้วยความกรุณาอยา่ งดีย่ิงจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ไพบูลย์ ศรีชัยสวัสด์ิ ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาราญ สุขแสวง ประธาน กรรมการท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ ท่ีได้ให้คาปรึกษาข้อเสนอแนะตลอดจนข้อบกพร่องของวิทยานิพนธ์ อาจารย์ ดร.วรยุทธ์ ทพิ ย์เท่ยี งแท้ กรรมการทีป่ รกึ ษาวิทยานพิ นธ์ร่วม ที่ใหค้ าแนะนาปรึกษา ตลอดจน รองศาสตราจารย์ ดร.ต่อศักด์ิ แก้วจรัสวิไล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งอรุณ สุทธิพงษ์ และอาจารย์ ดร.ประไพร จันทะบณั ฑิต ซ่งึ ได้ให้ความกรุณาให้คาแนะนาและใหค้ าปรึกษาอยา่ งดี ติดตามชว่ ยเหลือ พร้อมให้ขวัญกาลังใจตลอดเวลาในการศึกษาและการจัดทาวิทยานิพนธ์ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งและขอ กราบขอบพระคณุ ท่านเป็นอย่างสงู มา ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ รองศาตราจารย์ยนต์ ชุ่มจิต ข้าราชการบานาญ มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง ท่ีให้ความเมตตาช่วยตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ เช่น การอ้างอิง การเขียน บรรณานุกรม การใช้ภาษา รูปแบบการพิมพ์และข้อบกพร่องอื่น ๆ เพื่อช่วยให้งานวิจัยฉบับนี้มีความ สมบูรณ์ย่ิงข้ึน นอกจากนี้ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ ผู้อานวยการโรงเรียนเจริญรัฐอุปถัมภ์ ที่เอื้อเฟ้ือ สถานท่ีในการเก็บรวบรวมข้อมูล ขอขอบใจนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษา ปีการศึกษา 2563 ของ โรงเรยี นเจริญรัฐอปุ ถัมภ์ ท่เี ปน็ กลมุ่ ตัวอย่างในการจัดทาวทิ ยานพิ นธ์ และขอขอบคุณคณะครูบุคลากร ทเ่ี ป็นผูช้ ่วยในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการจัดทาวทิ ยานิพนธ์ ขอขอบพระคุณ คุณพ่อหัน พูนชัย คุณแม่ชุติมณฑน์ หาขุนทด ที่ให้ชีวิตท่ีเกิดมาและอบรม เลี้ยงดูส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตท่ีผ่านมาจนได้มีวันน้ี ขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาราญ สุขแสวง คณบดีวิทยาลัยมวยไทยศึกษาและการแพทย์แผนไทยท่ีเป็นที่ปรึกษาให้คาแนะนาท่ีดีตลอด มา ขอบใจนอ้ งแอนน่ี ทีช่ ่วยมาเป็นนางแบบภาพในตน้ แบบรายการทดสอบสมรรถภาพทางกายท้ัง ๕ ดา้ นและเพ่อื น พ่ี นอ้ ง ทุกคน ท่ชี ว่ ยใหว้ ิทยานพิ นธ์ลุล่วงไปด้วยดี ประโยชน์และคุณค่าอันเกิดจากวิทยานิพนธ์น้ี ผู้วิจัยขอน้อมนพบูชาแด่บุพการีและ บูรพาจารย์ทุกท่าน ท่ีอบรมส่ังสอนให้ความรู้ ความรัก ความเมตตาแก่ผู้วิจัย และรวมถึงบรรพบุรุษ วีระชนมวยไทยทุกท่านท่ีได้สละชีพและร่างกายท่ีเจ็บปวดเพ่ือมวยไทย ขอให้มวยไทยเจริญยืนยงคงคู่ ชนชาตไิ ทย และเปน็ มรดกทางวัฒนธรรมให้นานาประเทศแลกเปล่ียนเรยี นรู้สืบไป วนั ชยั พนู ชัย
สารบญั หนา้ บทคัดยอ่ ภาษาไทย……………………………………………………………………………………………….. (ก) บทคัดย่อภาษาอังกฤษ…………………………………………………………………………….………….…. (ข) ประกาศคณุ ปู การ…………………………………………………………………………………………….…… (ค) สารบัญ…………………………………………………………………………….…………………………….…… (ง) สารบญั ตาราง……………..…………………………………………………………………………….……..…. (ช) สารบัญภาพประกอบ………..…………………………………………………………………………...……… (ญ) บทท่ี 1 บทนา.................................................................................................................. 1 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา............................................................... 1 วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั ...................................................................................... 4 สมมตฐิ านการวิจยั ………....................................................................................... 4 ขอบเขตของการวจิ ยั ............................................................................................. 4 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ.................................................................................................. 4 นิยามปฏิบัติการ.................................................................................................... 8 ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะไดร้ ับ................................................................................... 11 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย....................................................................................... 11 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ กี่ยวข้อง........................................................................... 12 เอกสารทเ่ี ก่ียวข้องกับหลักการ แนวคดิ และทฤษฎี………………………………………. 12 พฒั นาการของเด็กประถมศึกษา........................................................................... 12 การออกกาลงั กาย................................................................................................. 15 ความหมายการออกกาลงั กาย.......................................................................... 15 ความสาคัญของการออกกาลังกาย................................................................... 16 ประเภทของการออกกาลังกาย........................................................................ 18 ประโยชน์ของการออกกาลังกายกับเด็กวัยเรียน............................................... 20 สมรรถภาพทางกาย.............................................................................................. 21 ความหมายของสมรรถภาพทางกาย................................................................. 21 องคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกาย.............................................................. 23 หลกั การเสรมิ สร้างสมรรถภาพทางกาย............................................................ 27
(จ) สารบัญ (ตอ่ ) หน้า มวยไทย................................................................................................................. 29 ความหมายของมวยไทย................................................................................... 29 ความสาคญั ของมวยไทย.................................................................................. 31 ประโยชนข์ องมวยไทย...................................................................................... 32 33 เชิงมวย.................................................................................................................. 66 การเคลือ่ นทแ่ี ละการเคล่ือนไหวมวยไทย.............................................................. 71 งานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง................................................................................................ 71 74 งานวจิ ยั ในประเทศ........................................................................................... งานวิจัยตา่ งประเทศ......................................................................................... บทที่ 3 วิธดี าเนนิ การวจิ ัย............................................................................................... 77 ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง................................................................................... 77 ตัวแปรท่ศี กึ ษา...................................................................................................... 78 เครือ่ งมือที่ใช้ในการวิจยั ....................................................................................... 79 การเก็บรวบรวมข้อมูล.......................................................................................... 80 การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิติที่ใช้ในการวิจยั ........................................................... 81 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล........................................................................................ 82 ตอนที่ 1 การศึกษาผลของการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยของนักเรียนระดับ 82 ประถมศกึ ษา…………………………………........................................................... ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลของการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยท่ีมีต่อ 99 สมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับประถมศึกษา ของกลุ่มทดลองและ กลมุ่ ควบคมุ ก่อนการฝึก หลงั การฝึกสัปดาหท์ ่ี 4 และสปั ดาหท์ ่ี 8................. บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ...................................................................... 110 สรปุ ผลการวจิ ัย..................................................................................................... 110 อภิปรายผลการวจิ ยั .............................................................................................. 112 ขอ้ เสนอแนะ......................................................................................................... 114 บรรณานกุ รม..................................................................................................................... 116
(ฉ) ภาคผนวก.......................................................................................................................... หนา้ ภาคผนวก ก รายช่ือผเู้ ชยี่ วชาญ……….......................................................................…….. 121 ภาคผนวก ข คา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ของการหาคุณภาพเครื่องมอื ของกิจกรรม 122 การออกกาลงั กายด้วยเชงิ มวยไทยทีม่ ตี ่อสมรรถภาพทางกายของนักเรยี น ระดับประถมศึกษา...................................................................................... 124 ภาคผนวก ค กจิ กรรมการออกกาลังกายดว้ ยเชงิ มวยไทยสานกั เรยี นประถมศึกษา.......... 130 ภาคผนวก ง รายการทดสอบสมรรถภาพทางกายสาหรบั นักเรยี น ระดบั ประถมศกึ ษา (อายุ 7-12 ป)ี .............................................................................................. 138 ภาคผนวก จ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสาหรับนักเรียน ระดับประถมศึกษา (อายุ 7-12 ปี) ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ..................................................................... 140 ภาคผนวก ฉ แบบบนั ทกึ ผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายสาหรับนกั เรยี น ระดบั ประถมศึกษา (อายุ 7-12 ปี)....................................................................... 153 ภาคผนวก ช เกณฑ์การทดสอบสมรรถภาพทางกายสาหรับนักเรียน ระดับประถมศึกษา .(อายุ 7-12 ป)ี .............................................................................................................. 155 ภาคผนวก ซ ผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายนักเรยี นระดับประถมศกึ ษาโรงเรยี น . เจริญรฐั อุปถัมภ์........................................................................................... 161 ภาคผนวก ฌ ภาพกจิ กรรม.............................................................................................. 167 ภาคผนวก ญ ภาพประกอบเชงิ มวยไทย 65 ทา่ ............................................................... 181 ประวัติย่อผู้วิจยั
(ช) สารบญั ตาราง ตารางที่ หนา้ 83 1 ขอ้ มูลพืน้ ฐานของประชากรกลมุ่ ตวั อย่าง............................................................... 84 2 ผลทดสอบสมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดบั ประถมศึกษา กลมุ่ ทดลอง กอ่ น 86 88 การฝกึ ออกกาลงั กายด้วยเชงิ มวยไทย…………………………………………………….. 85 3 ผลทดสอบสมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดบั ประถมศึกษา กล่มุ ทดลอง หลัง 89 .90 การฝกึ ออกกาลงั กายดว้ ยเชิงมวยไทยสปั ดาหท์ ี่ 4……………………………………… 4 ผลทดสอบสมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับประถมศึกษา กลุ่มทดลอง หลัง 92 การฝึกออกกาลงั กายด้วยเชิงมวยไทยสัปดาห์ที่ 8……………………………………… 94 5 ค่าเฉล่ีย (mean) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของสมรรถภาพ 96 ทางกายด้านองค์ประกอบของร่างกาย ด้านความอ่อนตัว ด้านความแข็งแรง และความอดทนของกล้ามเนื้อแขนและกล้ามเน้ือส่วนบน ด้านความแข็งแรง และความอดทนของกล้ามเน้ือหน้าท้องและด้านความอดทนของระบบหัวใจ และระบบไหลเวียนเลือด ของกลุ่มทดลอง ก่อนการฝึกออกกาลังกาย หลังการ ฝกึ สปั ดาห์ที่ 4 และหลงั การฝึกสปั ดาหท์ ่ี 8……………………………………………….. 6 การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย (mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) . ของค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ก่อนการฝึกออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยกับหลัง .... การฝกึ สปั ดาห์ที่ 4 และหลงั การฝกึ สัปดาห์ท่ี 8 ของกลุ่มทดลอง..................... 7 การเปรยี บเทยี บค่าเฉล่ยี (mean)ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน(standard deviation) ของสมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัว ก่อนการฝึกออกกาลังกายด้วยเชิง . มวยไทยกับหลังการฝกึ สัปดาหท์ ่ี 4 และหลังการฝกึ สัปดาห์ท่ี 8 ของกลมุ่ ทดลอง………………………………………………………………………………………………….. 8 การเปรียบเทยี บค่าเฉลย่ี (mean) สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของสมรรถภาพทางกายด้านความแขง็ แรงและความอดทนของกลา้ มเน้ือแขน และกลา้ มเน้ือสว่ นบน ก่อนการฝกึ ออกกาลงั กายด้วยเชงิ มวยไทยกบั หลังการ ฝกึ สปั ดาห์ท่ี 4 และหลังการฝึกสัปดาหท์ ่ี 8 ของกลุ่มทดลอง………………………. 9 การเปรยี บเทียบค่าเฉลย่ี (mean) ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของสมรรถภาพทางกายด้านความแขง็ แรงและความอดทนของกลา้ มเน้ือหน้า ท้อง ก่อนการฝึกออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยกบั หลังการฝึกสปั ดาหท์ ่ี 4 และ หลังการฝกึ สปั ดาหท์ ี่ 8 ของกลุ่มทดลอง...........................................................
(ซ) สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หนา้ 98 10 การเปรยี บเทยี บค่าเฉลี่ย (mean) สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (standard deviation) 100 ของสมรรถภาพทางกายด้านความอดทนของระบบหวั ใจและระบบไหลเวยี น 102 เลอื ด ก่อนการฝกึ ออกกาลงั กายด้วยเชงิ มวยไทยกบั หลงั การฝกึ สัปดาห์ที่ 4 และหลังการฝึกสปั ดาห์ท่ี 8 ของกลุ่มทดลอง…….………………………………………… 104 106 11 การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (standard 108 deviation) ของค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ก่อนการฝึก หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และหลังการฝึกสัปดาหท์ ่ี 8 การออกกาลังกายของกลุม่ ทดลองและกลมุ่ ควบคุม ............................................................................................................................ 12 การเปรียบเทียบค่าเฉล่ีย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของสมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัวก่อนการฝึก หลังการฝึก สัปดาห์ที่ 4 และหลงั การฝึกสปั ดาหท์ ี่ 8 การออกกาลงั กายของกล่มุ ทดลองและ กลมุ่ ควบคุม…………………………..…………………………………………………………….. 13 การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงและความอดทนของ กล้ามเน้ือแขนและกล้ามเนื้อส่วนบน ก่อนการฝึก หลังการฝึกสัปดาห์ท่ี 4 และ หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 การออกกาลังกายของกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคมุ …….…………………………………................................................................ 14 การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงและความอดทนของ กล้ามเนือ้ หนา้ ทอ้ ง กอ่ นการฝกึ หลังการฝกึ สัปดาห์ท่ี 4 และหลังการฝึกสัปดาห์ ที่ 8 การออกกาลงั กายของกลุม่ ทดลองและกลุม่ ควบคุม………………………………. 15 การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของสมรรถภาพทางกายดา้ นความอดทนของระบบหัวใจและระบบ ไหลเวียนเลอื ด ก่อนการฝกึ หลังการฝกึ สปั ดาห์ท่ี 4 และหลังการฝกึ สปั ดาห์ที่ 8 การออกกาลังกายของกลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ ………………….......................
(ฌ) สารบัญภาพประกอบ ภาพประกอบท่ี หน้า 1 กรอบแนวคิดในการวิจยั ................................................................................................ 11 2 กาจิกไข่ (หมดั ตรงนา) .................................................................................................. 33 3 พระพายล้มสิงขร (หมดั ตรงตาม) .................................................................................. 34 4 วานรหกั ดา่ น (หมัดเหว่ียงขา้ ง) ...................................................................................... 34 5 พระกาฬเปิดโลก (หมัดหงาย) ....................................................................................... 35 6 โขกนาสา (หมัดงอตวดั ) ................................................................................................. 35 7 อินทราขว้างจักร (หมัดขว้าง) ........................................................................................ 36 8 พระลักษณห์ า้ มพล (หมดั อัด) ........................................................................................ 36 9 ผจญชา้ งสาร (ชกพร้อมกับเท้า) ..................................................................................... 37 10 หนมุ านถวายแหวน (หมัดคู่) .......................................................................................... 37 11 ลว่ งแดนเหรา (ชกพร้อมเข่า) ......................................................................................... 38 12 นาคาพ่นไฟกาฬ (หมัดสลับ) .......................................................................................... 38 13 หักดา่ นลมกรด (หมัดปนศอก) ....................................................................................... 39 14 องคตควงพระขรรค์ (หมัดควง........................................................................................ 39 15 ฤาษีลมื ญาณ (หมัดหลอก) ............................................................................................. 40 16 หนุมานจองถนน............................................................................................................. 40 17 เปดิ ทวาร (เตะนา) ......................................................................................................... 41 18 ลงดานประตู (เตะเหวยี่ ง) .............................................................................................. 41 19 กระทู้ขรัวตา (เตะถบี ) ................................................................................................... 42 20 โยธาสินธพ (ถบี เตะตรง) ............................................................................................... 42 21 มานพเลน่ ขา(เทา้ หน้าเตะเหวีย่ ง) .................................................................................. 43 22 มจั ฉาเลน่ หาง (เตะสามไม้,เตะเทา้ ,คางและถีบ) ............................................................ 44 23 กวางเล่นโป่ง (กระโดดเตะ) ........................................................................................... 44 24 .ณรงค์พยหุ บาท (ถีบเตะเหวี่ยง) .................................................................................. 45 25 จระเขฟ้ าดหาง (เตะเหวี่ยงหลงั ) .................................................................................... 45 26 กินรเี ลน่ น้า (ส้นเท้าตขี ้นึ ) .............................................................................................. 46 27 ตามด้วยแขง้ (เตะด้วยแขง้ ) ........................................................................................... 46 28 แปลงอินทรีย์(เทา้ พร้อมหมดั ) ...................................................................................... 47
(ญ) สารบญั ภาพประกอบ (ตอ่ ) ภาพประกอบท่ี หนา้ 29 พาชีสะบัดยา่ ง(เตะติดตาม) ........................................................................................... 47 30 นางสลบั บาท (เตะสลบั เท้า) .......................................................................................... 48 31 กวาดธรณี (เตะเหวย่ี งตา่ ) .............................................................................................. 48 32 กุมภัณฐ์พ่งุ หอก (เข่าตรง) .............................................................................................. 49 33 หยอกนาง (เขา่ ตะแคง) ................................................................................................. 49 34 เชยคาง (เขา่ คู่) .............................................................................................................. 50 35 พรางศัตรู (เขา่ ล่าง)...................................................................................................... 50 36 งูไลต่ กุ๊ แก (เข่าสลับ) ..................................................................................................... 51 37 ตาแกต่ ชี ุด (เข่าคูศ่ อก) ................................................................................................. 51 38 หยดุ โยธา (เข่าพรอ้ มศอก) ........................................................................................... 52 39 ภูผาสะท้าน (เขา่ อดั ) .................................................................................................... 52 40 หักคอช้างเอราวณั (โนม้ คอตีเข่า) ................................................................................. 53 41 ด้ันภผู า (เข่าพรอ้ มหมัด) ............................................................................................... 53 42 ศิลากระทบ (เข่ากระทบ) ............................................................................................ 54 43 พงุ่ หอก (ศอกนา) ......................................................................................................... 54 44 ศอกฝานหนา้ (ศอกฟนั หน้า) ........................................................................................ 55 45 พร้ายายแก่ (ศอกเหวี่ยง) .............................................................................................. 55 46 แงล่ กู คาง (ศอกตัด) ...................................................................................................... 56 47 ถางป่า (ศอกคว่า) ......................................................................................................... 56 48 ฟา้ ลั่น (ศอกปนแขน) ..................................................................................................... 57 49 ยันพยคั ฆ์ (ศอกอัด) ....................................................................................................... 57 50 จกั รนารายณ์ (ศอกกลับ) ............................................................................................... 58 51 ทรายเหวยี งหลัง (ศอกเฉียงหลัง) ................................................................................... 58 52 กวางสะบัดหน้า (ศอกสลดั ) ........................................................................................... 59 53 คชาตกมนั (ศอกฟนั หลงั ) .............................................................................................. 59 54 พสุธาสะท้าน (ตีสองศอกสลับ) ...................................................................................... 60 55 ยันโยธี (ศอกอัดหลัง) ..................................................................................................... 60
(ฎ) สารบัญภาพประกอบ (ต่อ) ภาพประกอบที่ หน้า 56 อัคคสี ่องแสง (ศอกสลบั หมัด) ........................................................................................ 61 57 กาแพงภูผา (ศอกสลับหลงั ) ........................................................................................... 61 58 นาคาคาบหาง (ศอกพรอ้ มเข่า) ...................................................................................... 62 59 ช้างประสานงา (ศอกคู่) ................................................................................................ 62 60 สู่แดนนาคา (ศอกตบหลงั ) ............................................................................................ 63 61 โยธาเคลอื่ นทพั (ศอกพุ่งหน้า) ....................................................................................... 63 62 ยันสองกร (ศอกยักหลงั ) ............................................................................................... 64 63 ฆ้อนตีทัง่ (ศอกปัก) ....................................................................................................... 64 64 ขวา้ งพสธุ า (ศอกขวาหลงั ) ............................................................................................ 65 65 ฤาษีบดยา (ศอกคา้ ปัก) ................................................................................................. 65 66 นาคาเคลื่อนกาย (ศอกควง) .......................................................................................... 66 67 การรุกและถอยเป็นเส้นตรง........................................................................................... 67 68 การรกุ และถอยฉาก....................................................................................................... 68 69 การรกุ ฉากและถอยฉาก................................................................................................. 69 70 การเคลอ่ื นทเ่ี ปน็ วงกลม................................................................................................. 69 71 การย่างสามขุม............................................................................................................... 70 72 การเปรยี บเทยี บค่าเฉล่ยี ของคา่ ดัชนมี วลกาย (BMI) ในการฝึกออกกาลังกายด้วยเชิง 91 . มวยไทยกอ่ นการฝกึ หลังการฝึกสปั ดาห์ที่ 4 และสัปดาห์ท่ี 8 ของกลุ่มทดลอง....... 73 การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของสมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัวในการฝกึ ออกกาลัง 93 . กายด้วยเชิงมวยไทยก่อนการฝึก หลงั การฝึกสัปดาห์ที่ 4 และสัปดาห์ที่ 8 ขอกลุ่ม 95 . ทดลอง.................................................................................................................... 74 การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงและความอดทน 97 ..... ของกล้ามเนื้อแขนและกล้ามเน้ือส่วนบน ในการฝึกออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทย ....... กอ่ นการฝึก หลงั การฝึกสปั ดาหท์ ่ี 4 และสปั ดาห์ท่ี 8 ของกลมุ่ ทดลอง.................. 99 75 การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงและความอดทน .... ของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ในการฝึกออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยก่อนการฝึก หลัง .... การฝึกสัปดาห์ที่ 4 และสัปดาห์ที่ 8ของกลุ่มทดลอง............................................... 76 การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของสมรรถภาพทางกายด้านความอดทนของระบบหัวใจและ .. ระบบไหลเวียนเลือดในการฝึกออกกาลังกายด้วยเชงิ มวยไทยก่อนการฝึก หลังการ .... ฝึกสปั ดาหท์ ่ี 4 และสปั ดาหท์ ่ี 8 ของกลุม่ ทดลอง....................................................
(ฏ) สารบัญภาพประกอบ (ตอ่ ) ภาพประกอบที่ หน้า 77 การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคา่ ดัชนีมวลกาย (BMI) ก่อนการฝึก หลงั การฝึกสัปดาห์ที่ 101 .. 4 และสัปดาห์ที่ 8 ของกลมุ่ ทดลองและกลุม่ ควบคุม............................................... 103 105 78 การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของสมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัวก่อนการฝึก หลัง 107 ..... การฝึกสัปดาห์ที่ 4 และสัปดาหท์ ี่ 8 ของกล่มุ ทดลองและกล่มุ ควบคมุ .................... 109 79 การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงและความอดทน ..... ของกล้ามเน้ือแขนและกล้ามเนื้อส่วนบนก่อนการฝึก หลังการฝกึ สัปดาห์ที่ 4 และ .. สปั ดาห์ท่ี 8 ของกลุ่มทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ........................................................ 80 การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงและความอดทน ..... ของกล้ามเน้ือหน้าท้องก่อนการฝึก หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และสัปดาห์ท่ี 8 ของ .... กล่มุ ทดลองและกลุ่มควบคมุ ................................................................................. 81 การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของสมรรถภาพทางกายด้านความอดทนของระบบหัวใจและ ... ระบบไหลเวยี นเลอื ดก่อนการฝึก หลังการฝึกสปั ดาห์ท่ี 4 และสัปดาห์ท่ี 8 ของกลุ่ม ... ทดลองและกลุ่มควบคุม...........................................................................................
บทท่ี 1 บทนำ ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปญั หำ ปัจจุบันความต้องการการออกกาลังกายนับว่าแพร่หลายในกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย เป็นที่นิยม ของคนทั่วโลก คนส่วนใหญ่เล่นกีฬาและออกกาลังกายก็เพื่อหวังผลด้านสุขภาพ ความแข็งแรงทาง ด้านร่างกาย และความสนุกสนาน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ออกกาลังกายเท่าน้ัน มิได้มีความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับการเสรมิ สร้างสมรรถภาพทางกายควบคู่การออกกาลงั กายอาศัยการออกกาลังกายจาก การเล่นกีฬาที่มีอยู่ให้เลือกมากมายตามความพอใจขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ เวลา สถานท่ี และสิ่งอานวย ความสะดวกท่ีจะสามารถทาให้ออกกาลังกายได้ โรงเรียนหรือสถานศึกษาถือเป็นสถานที่ที่มีสาคัญใน การให้ความรู้และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ คือสถานแรกเร่ิมในการเสริมสร้างพัฒนา สมรรถภาพทางกายของนักเรียนในโรงเรียนให้มสี ุขภาพร่างกายแขง็ แรงเจริญเติบโตเหมาะสมตรงตาม วัย ซงึ่ ในกลุ่มสาระสุขศกึ ษาและพลศึกษา มกี ารกาหนดตัวช้ีวดั ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เปน็ ตัว บ่งช้ีวัดระดับการพัฒนาการทางด้านร่างกายของนักเรียนในระดับประถมศึกษา คือการทดสอบ สมรรถภาพทางกาย ก่อนเรียน หลังเรียน ในทุกชั้นปี ดังนั้นการจะพัฒนาสุขภาพของประชาชนทุก เพศทุกวัย รวมถึงเป็นการปลูกฝังค่านิยมอันดีต่อการออกกาลังกายให้กับเด็กและเยาวชนคนไทยให้ ประสบผลสาเร็จจะต้องเกิดจากการส่งเสริมให้ประชาชนรักและดูแลสุขภาพของตัวเองดังพระบรม ราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงส่งเสริมให้ ประชาชนเห็นคุณค่าของกีฬา ในการเป็นเคร่ืองมือสาหรับพัฒนาคนทั้งร่างกายและจิตใจ ดังที่ พระราชทานพระบรมราโชวาทในวนั เปิดการแขง่ ขันกรีฑานักเรียน ประจาปี เมอื่ วันท่ี 28 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2504 (ขา่ วสานักงานรฐั มนตรี, 2560) ความวา่ “…การกีฬาน้ันนับเป็นอุปกรณ์การศึกษาที่สาคัญย่ิง เพราะเป็นการกล่อมเกลาให้เด็กมีจิตใจ อดทน กล้าหาญ รู้แพ้รชู้ นะ ปลูกฝังพลานามัยให้แข็งแรง เป็นปัจจัยส่งเสริมใหเ้ ด็กเปน็ ผู้มีสมรรถภาพ ทั้งในทางจิตใจและร่างกายเป็นผลสืบเน่ืองไปถึงการเป็นพลเมืองของชาติอันเป็นยอดแห่งความ ปรารถนา…” จากพระราชดารัสดังกล่าวกีฬาหรือการออกกาลังกายเป็นปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เด็กและ เยาวชนเป็นผู้มีสมรรถภาพท่ีดีทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เติบโตเป็น พลเมืองที่ดีของชาติสืบไป ซ่ึงจากการศึกษาของ เวิสท์ และ บูชเชอร์ (Wuest & Bucher, 2003, 14) พบวา่ สมรรถภาพทางกายมีความสาคญั ยิ่งสาหรับเด็กและผใู้ หญ่ เพราะเก่ียวข้องกับสุขภาพและสรีระ ของแต่ละบุคคลรวมไปถึงความสามารถและประสิทธิภาพในการทางานของร่างกายและสติปัญญาที่ จะพัฒนาเพิ่มข้ึนหรือลดลง นอกจากนี้การออกกาลังกายจะช่วยป้องกันการพัฒนาและกระบวนการ ต่างๆของโรคท่ีเกิดจากขาดการออกกาลังกายและเพิ่มความสามารถในการทางาน และกิจวัตร ประจาวันโดยปราศจากความเมื่อยล้า พาวเวอร์ และ ฮาว์เลย์ (Power & Howley, 2001, 42) และ การไมอ่ อกกาลังกายจะนาไปสู่การเกิดโรค เช่น โรคหัวใจขาดเลือด และภาวะผิดปกตขิ องร่างกาย เช่น ไขมันในเลือดสงู ความดันโลหติ สงู เปน็ ตน้ (American College of Sport Medicine, 2009, 4)
2 สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพจึงมีความสาคัญเป็นอย่างย่ิงและสมรรถภาพทางกายเพ่ือ สุขภาพ จะเกิดข้ึนได้ก็ต้องมาจากการออกกาลังกายหรือกิจกรรมทางพลศึกษาเพราะฉะนั้น สถานศึกษาซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเสริมและการสร้างสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพให้กับเด็ก นักเรียนในทุกระดับต้องหาวิธีการและกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีสามารถเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายเพ่ือ สุขภาพให้กับเด็กนกั เรียนได้ โดยเฉพาะในระดบั ประถมศึกษานั้นมุ่งเน้นการเสริมสร้างสมรรถภาพทาง กาย ของนักเรียนในโรงเรียนให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเจริญเติบโตเหมาะสมตรงตามวัย เพ่ือประ โยชน์ในทุก ๆ ด้าน ของเด็กและเยาวชนของชาติ นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนา สุขภาพ พลานามัย ตามแผนการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ยังเป็นการปลูกฝังศิลปะมวยไทย เป็น อาวุธป้องกันตัว และเป็น การอนุรกั ษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกประจาชาติให้คงอยู่คสู่ ังคมไทย และสงั คมโลกอยา่ งย่ังยืน การออกกาลังกายเพือ่ สุขภาพด้วยศลิ ปะมวยไทยโบราณถือว่าเป็นกิจกรรมการออกกาลงั กาย ที่ดี เนื่องจากกีฬามวยไทยเป็นศิลปวัฒนธรรมทางกีฬาของชาติท่ีแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของคนไทย ทางด้านศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว อันเกิดขึ้นจากวิถีชีวิตและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยท่ีได้คิดค้น ทา่ ทางการต่อสู้ปอ้ งกันตัวจนกลายเป็นท่ียอมรับและเกิดความนิยมอย่างแพร่หลายทง้ั ในประเทศและ ต่างประเทศ นอกจากน้ันการออกกาลังกายด้วยมวยไทยโบราณยังสามารถเข้ารว่ มกิจกรรมได้ทุกเพศ ทุกวัย ช่วยพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ และสติปัญญาให้เป็นผู้มีความสมบูรณ์ทั้ง ทางด้านร่างกายและจิตใจ สามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างมีความสุขอีกด้วย ดังนั้นการออก กาลังกายด้วยศิลปะมวยไทยโบราณจึงมีประโยชน์ต่อเยาวชนของชาติทั้งทางด้านบุคคลและด้าน วัฒนธรรมของชาติด้วย และจากการศึกษาพบว่า รูปแบบการออกกาลังกายด้วยมวยไทยท่ีดีต้องมี ความเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย และคงไว้ซึ่งรูปแบบความถูกต้องของท่ามวยไทย รวมถึงมีการ วิเคราะห์ความหนัก ความนาน และความบ่อยตามหลักการออกกาลังกายท่ีถูกต้อง (ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร,์ 2560, 80) รูปแบบการออกกาลังกายด้วยมวยไทยเป็นการออกกาลังกายแบบแอโรบิคคือการนาศิลปะ การรุก รับด้วยเชิงหมัด เชิงศอก เชิงเท้ามาประยุกต์ร่วมกับอุปกรณ์ฝึกซ้อมมวยไทยมาพัฒนาให้ เหมาะสมสาหรับเด็กนักเรียนในระดับประถมศึกษา (ต่อศักด์ิ แก้วจรัสวิไล, 2559, 77) กล่าวว่า รูปแบบการออกกาลังกายด้วยศิลปะมวยไทยโบราณ เป็นการออกกาลังกายแบบแอโรบิคโดยนาท่า มวยไทยโบราณและท่าทางการร่ายราไหว้ครูมวยไทย มาประยุกต์เป็นท่าการออกกาลังกายเพ่ือช่วย เสริมสร้างการทางานของระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ รวมถึงความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ ความอดทนของกล้ามเน้ือ ความอ่อนตัวและสัดส่วนของร่างกาย ท่าออกกาลังกายต่าง ๆ สามารถ ปฏิบัติได้ง่ายและแสดงถึงทักษะท่าทางมวยไทยที่สวยงาม โดยการออกกาลังกายมีความเหมาะสมกับ เยาวชนเน่ืองจากเป็นกิจกรรมการออกกาลังกายที่ปลอดภัยและสามารถเสริมสร้างสมรรถภาพทาง กาย และจากการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการออกกาลังกาย มีค่าความเหมาะสมอยู่ใน ระดบั มาก จึงทาให้รูปแบบการออกกาลงั กายมคี ุณภาพเน่ืองจากได้ผา่ นกระบวนการและขัน้ ตอนอย่าง เป็นระบบ โดยเริ่มจากการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการโดยศึกษาความคิดเห็นจากผู้ออก กาลังกาย ทาให้ทราบข้อมูลพื้นฐานและพฤติกรรมการออกกาลังกาย ที่จะทาให้นามาสร้างรูปแบบ การออกกาลังกายได้อย่างถูกต้อง ซ่ึงข้อมูลพ้ืนฐานเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการสร้างรูปแบบการ
3 ออกกาลังกาย ดังท่ี กุลธิดา เหมาเพ็ชร , คมกริช เชาว์พานิช , พรเพ็ญ ลาโพธ์ิ (2555, 12) กล่าวว่า การศึกษาพฤตกิ รรมการออกกาลังกายจะเป็นข้อมูลท่ีสาคัญสาหรบั การจัดกิจกรรมท่ีเกีย่ วข้องกับการ ออกกาลังกายให้มปี ระสทิ ธิภาพมากยิ่งข้ึน ดังน้ันการศึกษาสภาพปัญหาและความตอ้ งการจะทาให้ได้ ข้อมลู ที่สาคญั ในการนามาเป็นพ้นื ฐานของการสร้างรปู แบบการออกกาลังกาย แผนพัฒนากีฬาแห่งชาติฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560-2564) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหวังเป็น อย่างยิ่งว่า แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560-2564) ซ่ึงคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เห็นชอบในหลักการแลว้ เม่ือวันท่ี 29 พฤศจิกายน 2559 หน่วยงานต่าง ๆ ท้ังภาครฐั และเอกชน จะ ได้ใชเ้ ป็นกรอบแนวทางในการจัดทาแผนปฏบิ ัติการประจาปี เพ่ือช่วยผลักดันและขับเคล่ือนการพัฒนา ตามแผนสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การกีฬา เป็นส่วนสาคัญของวิถีชีวิตประชาชนทุกภาค ส่วน และเป็นกลไกสาคญั ในการสรา้ งคณุ คา่ ทางสังคมและ คุณภาพชีวติ ท่ดี ใี ห้กับคนไทย ดังนนั้ จึงหวัง เป็นอย่างย่ิงว่าทุกภาคส่วนจะได้ใช้แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติฉบับน้ีเป็นแนวทางในการพัฒนาการ กฬี าของประเทศอย่างมีประสทิ ธภิ าพต่อไป (กรมพลศึกษา, 2560, 1) จากสภาพสังคมและวัฒนธรรมท่ีเปลยี่ นแปลงไป การฝึกมวยไทยเพื่อรบกับข้าศึกและใช้ป้องกัน ตัวในสมัยโบราณก็เปล่ียนแปลงไปเป็นการฝึกมวยไทยเพื่ออนุรักษ์มวยไทย เป็นการออกกาลังกาย และใช้ป้องกันตัว เป็นท้ังมวยไทยสมัครเล่นและมวยไทยอาชีพ นอกจากน้ันการฝึกหัดมวยไทยยัง สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพให้บุคคลที่ได้ฝึกปฏิบัติได้มีบุคลิกภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์สง่างามรูปร่าง กระชับ ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพราะการออกกาลังกายด้วยมวยไทยน้ันได้มีการใช้อวัยวะทุก สัดส่วนของร่างกายและยังช่วยฝึกสมาธิที่ดีเป็นการเสริมสร้างสติปัญญาจากการฝึกหัดมวยไทยด้วย เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนเพราะการออกกาลังกายจะช่วยเสริมสร้าง พฒั นาการทางด้านการเรียนรู้เพิ่มข้ึนอีกทั้งในสถานศึกษามีการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระสุข ศึกษาและพลศึกษา ดังน้ันในฐานะที่ผู้วิจัยเป็นบุคลากรทางการศึกษา จึงมีความสนใจท่ีจะสร้าง กิจกรรมการออกกาลังกาย ด้วยทักษะเชิงหมัด เชิงศอก เชิงเข่าและเชิงเท้า ผสมผสานกับทักษะการ เคล่ือนที่และการเคล่ือนไหวมวยไทย มาเป็นกิจกรรมการออกกาลังกายหรือที่เรียกว่าการออกกาลัง กายด้วยเชิงมวยไทยกับนักเรียนระดับประถมศึกษาเพ่ือประโยชน์ในการท่ีสามารถสร้างเสริม สมรรถภาพทางกายแก่นักเรยี นได้ และมีผลต่อการพัฒนาสมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพของนกั เรียน และยังเป็นการสบื สาน อนุรกั ษ์ศาสตรแ์ ละศิลป์มวยไทยให้คงอยกู่ ับเดก็ และเยาวชนร่นุ สู่รุ่น อีกยังเป็น ศิลปะที่จะนาไปใช้ในการป้องกันตัวอีกด้วย และสาเหตุท่ีผู้วิจัยเลือกใช้กลุ่มทดลองกับเด็กในระดับ ประถมศึกษาก็เพราะว่า การออกกาลังกายด้วยมวยไทยนั้นสามารถฝึกเป็นกิจกรรมออกกาลังกายได้ เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย จึงได้กลุ่มทดลองของโรงเรียนเจริญรัฐอุปถัมภ์มีการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน มวยไทยด้วย และเพื่อต้องการให้นักเรียนได้รู้ถึงประโยชน์ของการออกกาลังกายมากขึ้น และการทดสอบสมรรถภาพทางกายของนักเรียนจะทาให้รู้ถึงสมรรถภาพทางกายของตนว่าอยู่ใน ระดบั ใด จะเปน็ การกระตุ้นให้นกั เรยี น สนใจการออกกาลังกายในรูปแบบต่าง ๆ ตอ่ ไป
4 วัตถุประสงค์ของกำรวิจยั การวิจัยเรื่อง ผลการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยท่ีมีต่อสมรรถภาพทางกายของนักเรียน ระดับประถมศกึ ษา ผู้วิจัยไดม้ ีวัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อศกึ ษาผลของการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยของนักเรยี นระดับประถมศึกษา 2. เพ่ือเปรียบเทียบผลของการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยที่มีต่อสมรรถภาพทางกายของ นกั เรียนระดบั ประถมศกึ ษาของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กอ่ นการฝึก หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และ หลังการฝกึ สปั ดาห์ที่ 8 สมมตฐิ ำนกำรวจิ ัย สมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับประถมศึกษา ก่อนและหลังการออกกาลังกายด้วยเชิง มวยไทย มีคา่ เฉลยี่ ทแี่ ตกตา่ งกนั ขอบเขตของกำรวจิ ัย ประชำกรและกลุ่มตวั อยำ่ ง ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นนักเรียนชายและหญิง ที่กาลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ประถมศึกษา ของโรงเรียนเจริญรัฐอุปถัมภ์ สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 จานวน 200 คน กลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่างที่ได้คือนักเรียนช้ันประถมศึกษาชั้นปีที่ 1-6 โรงเรียนเจริญรัฐอุปถัมภ์ จานวน 60 คน ดว้ ยวิธีแบบแบง่ ช้นั (stratified random sampling) โดยมเี กณฑด์ ังนี้ 1.เปน็ นักเรยี น อายุ 7 ปี เพศชาย 4 คน เพศหญิง 4 คน จากจานวนนกั เรยี น 28 คน 2.เปน็ นกั เรียน อายุ 8 ปี เพศชาย 4 คน เพศหญิง 4 คน จากจานวนนักเรยี น 28 คน 3.เปน็ นกั เรียน อายุ 9 ปี เพศชาย 8 คน เพศหญงิ 8 คน จากจานวนนกั เรยี น 52 คน 4.เป็นนักเรยี น อายุ 10 ปี เพศชาย 4 คน เพศหญงิ 4 คน จากจานวนนักเรียน 28 คน 5.เปน็ นักเรียน อายุ 11 ปี เพศชาย 6 คน เพศหญงิ 4 คน จากจานวนนกั เรยี น 32 คน 6.เป็นนักเรียน อายุ 12 ปี เพศชาย 6 คน เพศหญิง 4 คน จากจานวนนักเรียน 32 คน โดยผ้วู ิจัยได้ทาการทดสอบสมรรถภาพทางกายก่อนการฝึก และแบง่ กลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กล่มุ ประกอบดว้ ย กลุ่มทดลอง 30 คน กลุม่ ควบคมุ 30 คน โดยวิธกี ารจบั คู่ (matching) นยิ ำมศัพท์เฉพำะ มวยไทย หมายถึง ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของชนชาติไทยที่มีหมัด ศอก เข่า และเท้า ทนี่ ามาฝึกเปน็ มวยไทย
5 เชิงมวยไทย หมายถึง ท่าทางของการใช้นวอาวุธในการต่อสู้ การใช้เท้า เข่า หมดั และศอก เป็นท่าทางหรือแบบแผนในการฝึกใช้อาวุธในแนวทางต่าง ๆ ถือเป็นพ้ืนฐานสาคัญในศิลปะมวยไทย เชงิ มวยจะประกอบไปดว้ ยเชิงหมดั เชิงศอก เชงิ เขา่ และเชิงเทา้ ดงั นี้ เชิงหมัด หมายถึง ทักษะการใช้หมัดที่หลากหลายในการฝึกมวยไทยโบราณ ซ่ึงเชิงหมัดมี ทง้ั หมด 15 เชิง ทส่ี ามารถนามาใช้ในการออกกาลังกาย ไดแ้ ก่ 1. กาจิกไข่ คอื หมดั ตรงหน้า 2. พระพรายล้มสิงขร คือ หมัดตรงหลงั 3. วานรหกั ด่าน คือ หมดั เหวยี่ งสั้น 4. พระกาฬเปดิ โลก คือ หมดั หงาย 5. โขกนาสา คือ หมัดคว่า 6. อินทราขว้างจกั ร คือ หมัดขว้าง 7. พระลกั ษณ์หา้ มพล คอื หมดั อดั 8. ผจญชา้ งสาร คอื หมัดพร้อมเตะ 9. หนุมานถวายแหวน คือ หมดั คู่ 10. ลว่ งแดนเหรา คอื หมัดพร้อมเข่า 11. นาคาพ่นไฟกาฬ คือ หมดั สลบั 12. หกั ด่านลมกรด คอื หมัดปนศอก 13. องคตควงพระขรรค์ คือ หมดั ควง 14. ฤๅษีลมื ญาณ คอื หมัดหลอก 15. หนมุ านจองถนน คอื หมดั คว่าบน เชิงเท้ำ หมายถงึ การใชอ้ าวุธในระยะไกล เชิงเทา้ ใช้ได้สองรปู แบบคือการใชเ้ ท้าแตะและเท้า ถีบ การนาทักษะการใช้เท้าที่หลากหลายในการฝึกมวยไทยโบราณ ซึ่งเชิงเท้ามีท้ังหมด 15 เชิง ท่ี สามารถนามาใช้ในการออกกาลงั กาย ไดแ้ ก่ 1. เปิดทวาร คือ เตะตรง 2. ลงดานประตู คอื การเตะเหวย่ี ง 3. กระทู้ขรวั ตา คอื เตะถีบ 4. โยธาสนิ ธพ คอื ถีบเตะตรง 5. มานพเล่นขา คือ เทา้ หน้าเตะเหวีย่ ง 6. มจั ฉาเลน่ หาง คือ เตะสามไม้ เตะเทา้ และถีบ 7. กวางเล่นโปง่ คือ กระโดดเตะตรง 8. ณรงค์พยหุ บาท คอื ถีบแลว้ เตะเหว่ยี ง 9. จระเขฟ้ าดหาง คือ เตะเหวีย่ งหลัง 10. กินรเี ลน่ นา้ คอื สน้ เทา้ ตีขน้ึ 11. ตามด้วยแข้ง คอื เตะดว้ ยแขง้ 12. แปลงอนิ ทรีย์ คือ เตะพร้อมหมัด
6 13. พาชีสะบดั ยา่ ง คอื เตะตดิ ตาม 14. นางสลบั บาท คอื เตะสลับเท้า 15. กวาดธรณี คอื เตะเหว่ียงต่า เชิงเข่ำ หมายถึง การใช้อาวุธในระยะกลางและระยะใกล้ ซึ่งอวัยวะท่ีใช้ในการออกอาวุธคือ หัวเข่า เข่า เป็นอาวุธท่ีร้ายแรงและหนักหน่วง รองจากการเตะ การนาทักษะการใช้เข่าที่หลากหลาย ในการฝึกมวยไทยโบราณ ซง่ึ เชิงเขา่ มีทง้ั หมด 11 เชิง ทีส่ ามารถนามาใชใ้ นการออกกาลงั กาย ไดแ้ ก่ 1. กมุ ภณั ฑ์พงุ่ หอก คอื เขา่ ตรง 2. หยอกนาง คอื เข่าเฉยี ง 3. เชยคาง คอื เข่าคู่ 4. พรางศตั รู คือ เข่าข้าง 5. งไู ล่ตุ๊กแก คอื เข่าลอย 6. ตาแก่ตชี ุด คือ เขา่ พรอ้ มศอก 7. หยุดโยธา คอื ศอกคเู่ ข่า 8. ภผู าสะท้าน คือ เข่าอัด 9. หกั คอช้างเอราวณั คอื โนม้ คอตเี ข่า 10. ดนั้ ภผู า คอื เขา่ พร้อมหมัด 11. ศิลากระทบ คือ เขา่ ตบหรือเขา่ กระทบ เชิงศอก หมายถึง การใช้อาวุธในระยะใกล้อวัยวะที่ใช้คือศอก ศอกจึงเป็นอาวธุ ท่ีอันตรายใน มวยไทย การนาทกั ษะการใช้ศอกท่ีหลากหลายในการฝกึ มวยไทยโบราณ ซึ่งเชงิ ศอกมีทั้งหมด 24 เชิง ทส่ี ามารถนามาใชใ้ นการออกกาลงั กาย ได้แก่ 1. พงุ่ หอก คือ ศอกนา 2. ศอกฝานหน้า คอื ศอกฟนั หนา้ 3. พร้ายายแก่ คอื ศอกเหว่ียง 4. แงล่ ูกคาง คือ ศอกตดั 5. ถางป่า คอื ศอกคว่า 6. ฟ้าล่ัน คือ ศอกปนแขน 7. ยันพยคั ฆ์ คือ ศอกอดั 8. จักรนารายณ์ คือ ศอกกลบั 9. ทรายเหลียวหลงั คือ ศอกเฉยี งหลงั 10. กวางสะบัดหน้า คอื ศอกสลดั 11. คชาตกมัน คือ ศอกฟนั หลงั 12. พสุธาสะท้าน คอื ตศี อกสองศอกสลบั 13. ยนั โยธี คอื ศอกอดั หลงั 14. อคั คสี อ่ งแสง คือ ศอกสลบั หมดั 15. กาแพงภผู า คือ ศอกสลับหลัง
7 16. นาคาคาบหาง คอื ศอกพรอ้ มเขา่ 17. ชา้ งประสานงา คือ ศอกคู่ 18. สแู่ ดนนาคา คอื ศอกตบหลัง 19. โยธาเคลอ่ื นทัพ คอื ศอกพุง่ หน้า 20. ยันสองกร คือ ศอกยกั หลงั 21. ฆ้อนตที ง่ั คอื ศอกปกั 22. ขว้างพสุธา คือ ศอกขวา้ งหลงั 23. ฤาษบี ดยา คือ ศอกค้าปกั 24. นาคาเคลือ่ นกาย คือ ศอกควง นักเรียนระดับประถมศึกษำ หมายถึง เด็กที่กาลังศึกษาอยู่ในระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาชนั้ ปีที่ 1 ถึงช้ันประถมศึกษาชั้นปีท่ี 6 ของโรงเรียนเจริญรัฐอุปถัมภ์ สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 มีการวัดและประเมินผลหลังการจัดกิจกรรรมการเรียนรู้ 2 ภาคเรียนใน 1 ปีการศกึ ษาเพ่ือเลือ่ นชนั้ กำรออกกำลังกำย หมายถึง การใช้กล้ามเนื้อกับอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายทางานมากกว่า การเคล่ือนไหวหรอื อิรยิ าบถต่าง ๆ ตามปกติในชีวิตประจาวัน มีผลต่อการเปลยี่ นแปลงของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย แต่เป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกาย เป็นการใช้แรงกล้ามเนื้อเพื่อให้ร่างกายเกิดการ เคลื่อนไหวอย่างมีระบบแบบแผน โดยมีการกาหนด ความถี่ของการออกกาลังกาย ความแรงหรือ ความหนักของการออกกาลังกาย ความหนักหรือระยะเวลาของการออกกาลังกาย ระยะเวลาในการ อบอุ่นร่างกายและระยะผ่อนคลายร่างกายท่ีถูกต้อง ทั้งนี้การออกกาลังกายในรูปแบบใดหรือใช้ กิจกรรมใดเป็นส่ือก็ได้ โดยผลของการออกกาลังกายจะชว่ ยทาให้ร่างกายเกิดความแข็งแรงระบบการ ทางานตา่ ง ๆ ของร่างกายมปี ระสทิ ธิภาพ ดีข้ึน กิจกรรมกำรออกกำลังกำยด้วยเชิงมวยไทย หมายถึง การออกกาลังกายท่ีได้จากการนา หลักการออกกาลังกายแบบแอโรบคิ มาประยุกต์กับศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว โดยใช้เชิงหมัด เชิงศอก เชงิ เข่า เชิงเท้า การเคลอ่ื นท่แี ละการเคลือ่ นไหวมวยไทยมาเป็นกิจกรรมในการเสริมสรา้ งสขุ ภาพ สมรรถภำพทำงกำย หมายถึง ความสามารถของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ในการกระทากิจกรรม ต่าง ๆ ในชีวิตประจาวันโดยไม่เหน่ือยง่าย มีประสิทธิภาพและเมอ่ื ทากิจกรรมต่าง ๆ ไปแล้วร่างกายก็ ยงั สามารถฟ้ืนตัวสู่สภาพปกตไิ ด้อย่างรวดเรว็ สามารถวัดขดี ความสามารถได้ โดยแบบทดสอบซ่ึงใช้วัด ขีดความสามารถของสมรรถภาพทางกายคือ ดัชนีมวลกาย ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ ความอดทน ของกล้ามเน้ือ ความอ่อนตัว ความอดทนของระบบหัวใจและระบบไหลเวยี นเลือด ดัชนีมวลกำย คือ ตัวช้ีวัดมาตรฐานเพื่อประเมินสภาวะของร่างกายว่า มีความสมดุลของ นา้ หนักตวั ต่อส่วนสูงอยูใ่ นเกณฑ์ทเ่ี หมาะสมหรือไม่ ควำมอ่อนตวั คอื เปน็ ความสามารถของข้อต่อตา่ ง ๆ ของร่างกายที่เคลือ่ นไหวไดเ้ ต็มชว่ งของ การเคลอื่ นไหว การพฒั นาด้านความออ่ นตัวทาได้โดยการยืดเหยยี ดกล้ามเนื้อและเอน็ หรือการใช้แรง ต้านทานในกล้ามเน้อื และเอ็นใหต้ ้องทางานมากขึ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสดุ ควรใช้การยืดเหยียดของ
8 กล้ามเน้ือในลักษณะอยู่กับท่ี นั่นคือ อวัยวะส่วนแขนและขาหรือลาตัวจะต้องเหยียดจนกว่ากล้ามเน้ือ จะรู้สึกตงึ และอยใู่ นท่าเหยยี ดกลา้ มเนอื้ ในลกั ษณะนป้ี ระมาณ 10-15 วินาที ควำมแข็งแรงของกล้ำมเนื้อ คือ ความสามารถของกล้ามเน้ือหรือกลุ่มกล้ามเน้ือที่ออกแรง ด้วยความพยายามในครั้งหน่ึง ๆ เพ่ือต้านกับแรงต้านทาน ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือจะทาให้เกิด ความตึงตวั เพ่อื ใชแ้ รงในการดงึ หรอื ยกของต่าง ๆ ควำมอดทนของกล้ำมเน้ือ คือ ความสามารถของกล้ามเน้ือที่จะรักษาระดับการใช้แรงปาน กลางได้เปน็ เวลานาน โดยการออกแรงที่ทาให้วัตถุเคล่ือนทไี่ ด้ติดตอ่ กนั เปน็ เวลานาน ๆ หรือหลายครั้ง ติดตอ่ กนั ความอดทนของกล้ามเนื้อสามารถเพ่ิมมากขน้ึ ไดโ้ ดยการเพ่ิมจานวนครง้ั ในการปฏิบัติ ควำมอดทนของระบบหัวใจและระบบไหลเวยี นเลือด คอื ความสามารถของหัวใจและหลอด เลือดที่จะลาเลียงออกซิเจนและสารอาหารต่าง ๆ ไปยังกล้ามเน้ือท่ีใช้ในการออกแรงในขณะทางาน ทาให้ร่างกายทางานได้เป็นระยะเวลานาน และขณะเดียวกันก็นาสารท่ีไม่ต้องการ ซึ่งเกิดข้นึ ภายหลัง การทางานของกลา้ มเนอื้ ออกจากกล้ามเน้ือทใ่ี ชง้ าน นิยำมศัพทป์ ฏิบตั ิกำร กจิ กรรมการออกกาลงั กายด้วยเชงิ มวยไทย คือการนาเชิงมวยไทยในลักษณะทา่ มอื เปลา่ ท้งั 65 ท่า ฝึกต่อเน่ืองหลังจากการอบอุ่นร่างกาย 5 นาที คือเร่ิมทาการออกกาลังกายด้วยท่าเชิงมวยไทย ตง้ั แต่เชงิ หมัด 15 ทา่ เชงิ เท้า 15 ท่า เชงิ เข่า 11 ท่าและเชิงศอก 24 ท่า รวมเป็น 65 เชิง ซ่ึงแต่ละท่า จะมีจังหวะในการปฏิบตั ิ แตกตา่ งกันตามแตล่ ะเชิง โดยใช้ทักษะการเคลอ่ื นไหวมวยไทยข้ันพน้ื ฐานมา เช่ือมต่อระหว่างท่า โดยใช้กระบวนการ วนจนครบ 65 ท่า นับเป็น 1 เซท ปฏิบัติซ้าจนครบ 5 เซท แต่ละเซทใชเ้ วลาเซทละ 4 นาที รวมเวลาการฝึกกิจกรรมการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทย 20 นาที หลังจากน้ันคลายกล้ามเนื้อ อีก 5 นาที่ รวมออกกาลังกายวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 วันคือ วัน จันทร์ วันพุธและวันศุกร์ รวม 8 สัปดาห์ ทาการทดสอบสมรรถภาพก่อนฝึก หลังฝึกสัปดาห์ที่ 4 และ หลังฝึกสปั ดาหท์ ่ี 8 เพ่อื นาผลมาศึกษาและเปรียบเทียบสาหรบั กลมุ่ ทดลอง การออกกาลังกายแบบปกติ คือ นักเรียนออกกาลังกายบริหารยามเช้าก่อนเข้าเรียน และ กิจกรรมการเต้นประกอบเพลงยามเช้าของกลุ่มควบคุม ใช้เวลาในการออกกาลังกายทุกวันจันทร์ถึง ศุกร์ วันละ 10 นาที รวม 8 สัปดาห์ ทาการทดสอบสมรรถภาพทางกายก่อนฝึก หลังฝึกสัปดาห์ที่ 4 และหลงั ฝึกสปั ดาหท์ ่ี 8 เพอื่ นาผลมาเปรยี บเทยี บกับกลุ่มทดลอง แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย คือ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับ ประถมศึกษา อายุ 7–12 ปี ของกรมพลศกึ ษา ปี 2562 ประกอบดว้ ย 5 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1. แบบทดสอบดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) คือ ค่าดัชนีมวลกายมีหน่วยเป็น กิโลกรัม/ตารางเมตร ได้มาจากการช่ังน้าหนักตัว(weight) และวัดส่วนสูง (height) ของผู้รับการ ทดสอบ แล้วนาน้าหนักและส่วนสูงมาคานวณหาค่าดัชนีมวลกาย โดยนาค่าน้าหนักที่ช่ังได้เป็น กโิ ลกรัม หารดว้ ยส่วนสงู ท่วี ดั ไดเ้ ป็นเมตรยกกาลงั สอง (เมตร2) ดัชนีมวลกาย (BMI) = นา้ หนกั ตวั (กโิ ลกรัม) ส่วนสงู (เมตร2)
9 โดยมเี กณฑ์การแปลผลแยกระดบั ทงั้ เพศชายและเพศหญงิ ได้แก่ ผอมมาก ผอม สมส่วน ทว้ ม อว้ น 2. แบบทดสอบความอ่อนตัว (flexibility) คือ แบบทดสอบมาตรฐานสมรรถภาพทางกาย สาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา ของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกฬี า ปี พ.ศ. 2562 มเี กณฑม์ าตรฐานแยกเพศชายและเพศหญิง คือ ต่ามาก ต่า ปานกลาง ดี ดีมาก โดยมีการปฏบิ ตั ิดังน้ี 2.1. ให้ผรู้ บั การทดสอบยืดเหยยี ดกล้ามเน้ือแขน ขา และหลงั (กอ่ นทดสอบให้ถอดรองเท้า) 2.2. ผรู้ บั การทดสอบน่ังตวั ตรง เหยยี ดขาตรงไปขา้ งหนา้ ให้เข่าตึง ฝา่ เทา้ ทัง้ สองข้างตั้งข้นึ ในแนวตรงและใหฝ้ ่าเทา้ วางราบชิดติดกบั ผนังกล่องวดั ความอ่อนตัว ฝา่ เท้าวางห่างกันเท่ากบั ความกวา้ งของช่วงสะโพกของผรู้ บั การทดสอบ 2.3. เม่อื ไดย้ นิ สัญญาณ “เร่ิม” ใหผ้ รู้ ับการทดสอบยกแขนทั้ง 2 ข้างข้ึนในท่าขอ้ ศอก เหยยี ดตรงและควา่ มือให้ฝ่ามือทงั้ สองข้างวางควา่ ซ้อนทบั กันพอดี แล้วยนื่ แขนตรงไปขา้ งหน้า แล้วใหผ้ ู้รบั การทดสอบคอ่ ย ๆ ก้มลาตัวไปข้างหนา้ พร้อมกับเหยยี ดแขนท่ีมือคว่าซ้อนทับกันไป วางไวบ้ นกล่องวัดความอ่อนตัวใหไ้ ดไ้ กลทสี่ ุดจนไมส่ ามารถก้มลาตวั ลงไปไดอ้ ีก ใหก้ ้มลาตวั คา้ งไว้ 3 วนิ าที แล้วกลบั มาสทู่ ่านัง่ ตัวตรง ทาการทดสอบจานวน 2 ครั้งติดต่อกนั 3. แบบทดสอบความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเนื้อแขนและกล้ามเน้ือส่วนบน (strength and endurance of the forearm and upper extremity muscles) คือการท่ีนักเรียน สามารถใช้กล้ามเน้ือส่วนบนกล้ามเน้ือแขน เป็นแบบทดสอบมาตรฐานสมรรถภาพทางกายสาหรับ นักเรียน ระดับประถมศึกษา ของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปี พ.ศ. 2562 มี เกณฑม์ าตรฐานแยกเพศชายและเพศหญงิ คอื ตา่ มาก ตา่ ปานกลาง ดี ดมี าก โดยมีวิธปี ฏบิ ัติ ดงั น้ี 3.1. ใหผ้ ูร้ ับการทดสอบนอนคว่าลาตัวเหยียดตรงบนเบาะฟองน้าหรือเบาะรองอน่ื ๆ ไขวข้ าเกย่ี วกนั แล้วงอขน้ึ ประมาณ 90 องศา 3.2. ฝ่ามือทั้งสองข้างวางคว่าราบกับพื้นในระดับเดียวกับหัวไหล่ให้ปลายน้ิวช้ีตรงไป ข้างหน้า โดยให้ฝ่ามอื ท้ังสองขา้ งห่างกนั เทา่ กับช่วงไหล่ ข้อศอกงอแนบอยขู่ า้ งลาตวั 3.3. ในขณะเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ ให้ผู้รับการทดสอบออกแรงดนั พื้นยกลาตัวข้ึนโดยหัว เข่าติดพื้นและให้แขนท้ังสองเหยียดตึง ต้ังตรงกับพ้ืน ลาตัวเหยียดตรงเป็นแนวเดียวกับสะโพก และ ต้นขา เข่าทั้งสองข้างชิดติดกันใช้เป็นจุดหมุนของการเคลื่อนไหว ขณะทาการทดสอบเคล่ือนไหว สะโพกและต้นขาใหย้ กขน้ึ ทามมุ ประมาณ 45 องศากับพื้นโดยใหเ้ ปน็ แนวเส้นตรงกบั ลาตวั 3.4. เมอ่ื ไดย้ ินสัญญาณ “เริ่ม” ใหผ้ ู้รบั การทดสอบยุบข้อศอกลงให้ข้อศอกทั้งสองข้างงอทา มุม 90 องศา ในขณะท่ีแขนท่อนบนขนานกับพ้ืน แล้วให้เหยียดศอกและดันลาตัวกลับขึ้นไปเหยียด ตรงอยู่ในท่าเดิมนับเป็น 1 คร้ัง ปฏิบัติต่อเน่ืองกันจนครบ 30 วินาที โดยให้ผู้รับการทดสอบพยายาม ทาใหไ้ ดจ้ านวนคร้ังมากที่สุด 4. แบบทดสอบความแข็งแรงและความอดทนของกลา้ มเน้ือท้อง คือการท่ีนักเรียนใช้กล้ามเน้ือ หน้าท้องปฏิบัติในการทดสอบโดยการลุก-น่ัง 60 วินาที (60 seconds sit ups) เพ่ือตรวจประเมิน ความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเนื้อท้อง เป็นแบบทดสอบมาตรฐานสมรรถภาพทางกาย สาหรบั นักเรยี นระดบั ประถมศึกษา ของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเทยี่ วและกฬี า ปี พ.ศ. 2562
10 มเี กณฑ์มาตรฐานแยกเพศชายและเพศหญงิ คือ ตา่ มาก ตา่ ปานกลาง ดี ดีมาก โดยมวี ธิ ปี ฏบิ ัติ ดงั น้ี 4.1. ให้ผู้รบั การทดสอบนอนหงาย ชันเขา่ ขึ้นให้เขา่ ทง้ั สองงอเป็นมุมประมาณ 90 องศา ฝ่า เทา้ ทั้งสองข้างวางราบกับพ้นื โดยวางชดิ กนั ให้ส้นเทา้ ทัง้ สองข้างวางเปน็ เส้นตรงในแนวระดับเดียวกัน แขนท้ังสองเหยียดตรงในท่าควา่ มือวางแนบไวข้ า้ งลาตวั 4.2. ให้ผู้ช่วยทดสอบนั่งอยู่ท่ีปลายเท้าของผู้รับการทดสอบ และใช้เข่าท้ังสองวางแนบชิด กบั เทา้ ทง้ั สองของผูร้ ับการทดสอบ ใชม้ อื ทั้งสองจบั ยึดไวท้ บี่ ริเวณใตข้ ้อพบั เข่าของผู้รับการทดสอบ ปอ้ งกนั ไม่ใหล้ าตวั ขา และเทา้ เคล่อื นที่ 4.3. เม่ือได้ยินสัญญาณ “เริ่ม” ให้ผู้รับการทดสอบยกลาตัวข้ึนเคล่ือนไปสู่ท่านั่งก้มลาตัว พร้อมกับยกแขนท้ังสองข้างเหยียดตรงไปข้างหน้าให้ปลายน้ิวมือไปแตะท่ีเส้นตรงท่ีอยู่ในแนวระดับ เดียวกับส้นเท้าทั้งสองข้าง แล้วนอนลงกลับสู่ท่าเร่ิมต้นให้สะบักท้ังสองข้างแตะพื้น นับเป็น 1 ครั้ง ปฏบิ ัตติ ่อเนื่องกันจนครบเวลา 60 วนิ าที โดยให้ผู้รับการทดสอบพยายามทาใหไ้ ด้จานวนคร้งั มากทส่ี ุด 4.4. ผู้รับการทดสอบสามารถหยุดพักระหว่างการทดสอบและสามารถปฏิบัติต่อได้ตาม เวลาท่ีเหลือผลการทดสอบใหน้ ับจานวนคร้ังท่ีทาได้อย่างถกู ต้องต่อเนื่อง 5. แบบทดสอบความอดทนของระบบหัวใจและระบบไหวเวียนเลือด (cardiovascular endurance) คือการท่ีนักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมในการทดสอบในระยะเวลานานนานโดยระบบ หายใจยังทางานอยู่ในระดับปานกลางซึ่งเป็นความสามารถของหัวใจและหลอดเลือดท่ีจะลาเลียง ออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปยังกล้ามเนื้อท่ีใช้ในการออกแรงในขณะทางาน เป็นแบบทดสอบ มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาของกรมพลศึกษา กระทรวงการ ท่องเท่ียวและกีฬา ปี พ.ศ. 2562 มีเกณฑ์มาตรฐานแยกเพศชายและเพศหญิง คือ ต่ามาก ต่า ปาน กลาง ดี ดีมาก โดยมีวิธีปฏิบตั ิ ดังนี้ 5.1.ใหผ้ รู้ ับการทดสอบเตรยี มพร้อมในท่ายืนตรง เทา้ สองข้างห่างกนั เท่ากับความกว้าง ของชว่ งสะโพกของผ้รู ับการทดสอบ ให้มือท้ังสองข้างจบั ไว้ท่ีเอว 5.2.กาหนดความสูงสาหรับการยกเข่าของผู้รบั การทดสอบแตล่ ะคนโดยกาหนดใหผ้ รู้ บั การ ทดสอบยกเขา่ ขึน้ สูงใหต้ ้นขาขนานกบั ระดับพนื้ (เข่างอทามมุ กับสะโพก 90 องศา) ให้ใชย้ างเส้นหรือ เชอื กขงึ ไว้เพ่ือเปน็ จุดอา้ งองิ ระดับความสงู สาหรบั การยกเข่าในแตล่ ะครั้ง 5.3.เม่ือไดย้ นิ สญั ญาณ “เร่ิม” ใหผ้ ู้รบั การทดสอบยกเขา่ ขึน้ สูงจนแตะกบั ยางทีข่ งึ ไว้ (ต้นขา ขนานกับระดบั พื้นกงึ่ กลางต้นขาสมั ผสั กบั แนวยางเสน้ หรือเชือกท่ีขึงไว)้ แลว้ วางลง สลบั กับการ ยกขาอกี ข้างข้นึ ปฏิบัตเิ ชน่ เดยี วกัน นบั เป็น 1 ครัง้ ให้ยกเข่าขนึ้ -ลง สลับขวา-ซ้ายอยู่กับที่ (หา้ มวิง่ ) ปฏบิ ตั ติ อ่ เนือ่ งกันไปจนครบ 3 นาที โดยใหผ้ ู้รับการทดสอบพยายามยกให้ไดจ้ านวนครงั้ มากทสี่ ดุ เทา่ ที่ จะทาได้
11 ประโยชนท์ ค่ี ำดว่ำจะได้รับ การวิจยั เร่ืองผลของการออกกาลังกายด้วยเชงิ มวยไทยท่ีมีตอ่ สมรรถภาพทางกายของนกั เรียน ระดับประถมศึกษา จะมีประโยชน์ตอ่ ผทู้ ีไ่ ด้ศกึ ษา ดงั เช่น 1. ครูหรือนักวิชาการทางการศึกษาของสถาบัน โรงเรียนต่าง ๆ ได้นากิจกรรมการออกกาลัง กายด้วยเชิงมวยไทยไปเป็นกิจกรรมหนึ่งเพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับประถม ศึกษาหรือระดับมธั ยมศกึ ษาได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและประสิทธิผล 2. ครูหรือนักเรียนในโรงเรียนที่มีส่วนเก่ียวข้องได้ทราบถึงกิจกรรมการออกกาลังกายด้วยเชิง มวยไทยเพื่อนาไปต่อยอดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาสุขศึกษา พลศึกษาและนาองค์ความรู้ ไปพฒั นาตอ่ ไปในอนาคต 3. เป็นช่องทางหนึ่งในการอนุรักษ์เชิงมวยไทย มรดกไทย ให้คงอยู่คู่ชาติไทยและจะเป็น สารสนเทศให้กับผู้ที่สนใจในด้านศิลปะมวยไทย นาไปพัฒนาและทาการวจิ ัยต่อไป กรอบแนวคิดในกำรวจิ ยั ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตำม 1.กิจกรรมการออกกาลังกายดว้ ยเชงิ 1. องค์ประกอบของร่างกาย มวยไทย 2. ความออ่ นตัว 2.การออกกาลังกายแบบปกติ 3. ความแข็งแรงและความอดทนของกลา้ มเน้ือ แขนและกล้ามเนื้อส่วนบน 4. ความแขง็ แรงและอดทนของกลา้ มเนื้อท้อง 5. ความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียน เลอื ด ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจยั
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ ง การวิจัยเรื่องการออกกาลังกายด้วยเชิงมวยไทยสาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา ผู้วิจัยได้ ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือ ตารา บทความ วารสาร และเอกสาร ภาษาไทยและภาษาอังกฤษท่ี เกี่ยวข้อง ท่ีสามารถนามาประกอบงานวิจัยช้ินน้ีได้ ข้อมูลที่ศึกษาครอบคลุมถึงองค์ประกอบของการ เขียนงานวิจัยมสี าระดงั น้ี เอกสารท่เี กี่ยวข้องกับหลักการ แนวคดิ และทฤษฎี 1. พฒั นาการของเดก็ ประถมศกึ ษา 2. การออกกาลังกาย 2.1 ความหมายการออกกาลงั กาย 2.2 ความสาคญั ของการออกกาลงั กาย 2.3 ประเภทของการออกกาลังกาย 2.4 ประโยชนข์ องการออกกาลังกายกบั เด็กวยั เรียน 3. สมรรถภาพทางกาย 3.1 ความหมายของสมรรถภาพทางกาย 3.2 องคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกาย 3.3 หลกั การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 4. มวยไทย 4.1 ความหมายของมวยไทย 4.2 ความสาคัญของมวยไทย 4.3 ประโยชน์ของมวยไทย 5. เชิงมวย 6. การเคลื่อนทแ่ี ละการเคลอ่ื นไหวมวยไทย งานวิจัยทีเ่ กยี่ วข้อง 1. งานวจิ ยั ในประเทศ 2. งานวิจยั ต่างประเทศ เอกสารที่เก่ียวข้องกบั หลกั การ แนวคดิ และทฤษฎี 1. พฒั นาการของเดก็ ประถมศกึ ษา นักเรียนระดับประถมศึกษา คือเด็กท่ีกาลังศึกษาอยู่โรงเรียนหรือสถานศึกษาที่จัดการศึกษา ในระบบ มีการวัดและประเมินผลหลังการจัดกิจกรรรมการเรียนรู้ 2 ภาคเรียนใน 1 ปีการศึกษาเพื่อ เลื่อนชั้น แบ่งออกเป็น 6 ช้ันปีคือ ชั้นประถมศึกษาช้ันปีที่ 1 ถึง ช้ันประถมศึกษาช้ันปีที่ 6 ดังมี นักวชิ าการและองค์กรไดใ้ ห้ความหมายเกีย่ วกบั นกั เรียนและการศึกษาระดับประถมศึกษาไว้ดังนี้
13 “นักเรียน”หมายความว่า บุคคลซ่ึงกาลงั รับการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา หรอื มธั ยมศกึ ษา (กรมพลศกึ ษา, 2562, 21) 1.1 ความหมายพัฒนาการของเด็กประถมศกึ ษา เด็กประถมศึกษาส่วนใหญ่มีอายุอยู่ระหว่าง 6-12 ปี หากเปรียบเทียบตามหลักจิตวิทยา พัฒนาการจัดเปน็ วัยเดก็ ตอนกลาง 6-10 ปี และวัยเด็กตอนปลายหรอื ระยะแรกรุ่น 11-13 ปี ในช่วงน้ี จะมีความเปลี่ยนแปลงหลายประการในตัวเด็ก เด็กแต่ละคนมีแบบแผนและลาดบั ขนั้ ของการพัฒนาท่ี แตกต่างกัน พัฒนาการทุกด้านมีความสัมพันธ์และส่งผลกระทบถึงกัน พัฒนาการทางด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ-อารมณ์ สังคมและคุณธรรม ล้วนมีความสัมพันธ์กันและต้องส่งเสริมให้พัฒนาไป พรอ้ มกนั ทกุ ๆ ด้าน เดก็ ท่ีมีความบกพรอ่ งทางด้านร่างกายจะส่งผลให้พฒั นาการทางดา้ นอารมณ์และ สังคมบกพร่องได้ (วัลนิกา ฉลากบาง, 2555, 2-3) ได้กล่าวถึง ธรรมชาติของเด็กประถมศึกษาไว้ว่า เด็กเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ อยากรู้อยากเห็นเรียนรู้จากการประสบการณ์ตรง เด็กเรียนรู้จากการ เล่น การเล่นถือเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติของเด็กที่ทาให้เด็กมีความสนุกสนานและเกิดการรีย นรู้ ชอบแสดงตนหรือแสดงความสามรถเด็กจะมีความสุขถ้าเดก็ ได้แสดงความสามารถหรือได้รับคายกย่อง ชมมเชย เด็กประถมศึกษามีความสนใจการเล่นและกีฬา การเล่นเป็นความสนใจอันดับแรกของด็ก นกั จิตวิทยาเช่ือว่าการเลน่ เป็นการบาบัดเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านอารมณ์และพฤติกรรมได้ การ ออกกาลงั กายและการเลน่ จะทาใหเ้ ด็กสามารถควบคุมการใช้กล้ามเนือ้ และการทรงตวั ได้ดีข้ึน 1.2 การออกกาลังกายมีผลต่อพัฒนาการเดก็ ประถมศึกษา ในปัจจุบันพบว่าเด็ก ๆ มีปัญหาทางสุขภาพสูงมากข้ึนกว่าแต่ก่อน ท้ังการมีน้าหนักตัวเกิน เป็นโรคท่ีเก่ียวกับภมู ิแพ้หรืออาจจะไม่สบายบอ่ ย ๆ ซึ่งเหตกุ ารณ์เหล่านี้สามารถบง่ บอกไดเ้ ปน็ อย่างดี ว่าเด็ก ๆ ควรจะต้องมีการออกกาลังกาย หรือทากิจกรรมท่ีเหมาะสมเพ่ือช่วยเสริมสร้างให้มีสุขภาพ รา่ งกายที่สมบูรณ์แข็งแรง นอกจากน้ีการออกกาลังกายยังช่วยกระตุ้นและสง่ เสริมพัฒนาการของเด็ก ได้ทัง้ ทางร่างกายและจิตใจอกี ดว้ ย สื่อออนไลน์ได้กล่าวถึงเด็กควรเร่ิมออกกาลงั กายเม่ือใดไว้วา่ ความ จริงแล้วเด็กออกกาลังกายมาต้ังแต่เกิด การท่ีเด็กทารกถีบขา หรือใช้มือไขว่คว้านั้นก็ถือว่าเป็นการ ออกกาลังอย่างหน่ึงเช่นกัน เพราะการออกกาลังกายในเด็กน้ัน หมายถึง การเล่น รวมไปถึงการทา กจิ กรรมสนั ทนาการตา่ ง ๆ เพอ่ื ความเพลดิ เพลิน (ศิวนนั ท์ พุทธะไชยทศั น์, 2560, 3) ผลต่อความสูง โดยทั่วไปความสูงของเด็กจะสูงเพิ่มข้ึนประมาณ 25 ซม. ในขวบปีแรก หลังจากน้ันจะสูงข้ึนประมาณปีละ 5-8 ซม.เม่ือเข้าสู่ช่วงรุ่นจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งใน เด็กผู้หญิงจะเริ่มช่วง อายุ 9-10 ปี ความสูงจะเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็วจนอายุประมาณ 12 ปี ปัจจัยที่มี ผลต่อความสูงได้แก่การเจริญเติบโตของกระดูก โดยเฉพาะกลุ่มกระดูก long bone และการปิดของ บริเวณ growth plate การที่เด็กมีการเคล่ือนไหวร่างกายหรืออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอจะกระตุ้น ให้มีการหลั่งของ growth homone และ growth factor รวมท้ังการกระตุ้นโดยตรงต่อกระดูก อัน เป็นผลทาให้มีการเพ่มิ การสร้างกระดูกมากข้นึ ผลต่อสุขภาพจิต การมีกิจกรรมเคล่ือนไหวออกแรงออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ มีผลให้ เด็กเกิดความสนกุ สนาน มกี ารพฒั นาทางด้านสังคมกบั เด็กในวยั เดียวกันและกับบิดา-มาดา การท่เี ด็ก
14 มสี ุขภาพทางกายทีแ่ ข็งแรงทาให้เด็กสามารถเล่นกับเพ่อื นๆ ได้อย่างดี ไม่มีความรู้สึกวา่ ตนเองเปน็ คน อ่อนแอ อันจะมีผลตอ่ ความเชอื่ มนั่ ในตนเองสูง กล้าแสดงออก (กรมอนามยั , 2556, 3-7) จากการศึกษาความหมายคาว่า “พัฒนาการของเด็กประถมศึกษา” ของนักวิชาการและ องค์กรจากแหล่งต่าง ๆ สรุปความหมายของ นักเรียนประถมศึกษา ได้ว่า เป็นบุคคลท่ีกาลังศึกษาอยู่ ในสถานศึกษาหรือโรงเรียน ระหวา่ งช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 ถึง 6 ใช้เวลาในการศึกษา 6 ปี และมีอายุ อยู่ในวัยเด็กช่วงอายุ 6-12 ปี ซ่ึงเด็กในวัยน้ีสุขภาพกายควรพัฒนาไปควบคู่กับสมอง ซ่ึงผลวิจัยพบว่า การออกกาลังกายที่เหมาะสมกับช่วงวัยช่วยให้เพิ่มทักษะการเรียนรู้ทางสติปัญญา มีผลต่อการ เจริญเติบโตของร่างกายในการสร้างกล้ามเน้ือส่วนต่าง ๆ และกระดูก แล้วยังส่งผลให้มีมิติในด้านอา รมณื สงั คม ท่ดี อี กี ด้วย การออกกาลังกายทเ่ี หมาะสมตามวยั อายุ 2-6 ขวบ วัยนี้เร่ิมมีการเรียนรู้ และมีพัฒนาการทางด้านการวิ่งการกระโดด กิจกรรมที่ เหมาะสม ได้แก่ กระโดดกระต่ายขาเดียว กระโดดสองขา วิ่งไล่จับ กระโดดเชือก เตะลูกบอล กลิ้ง ม้วนหน้า การปีนป่ายเครื่องเล่น ว่ายน้า ขี่จักรยานโดยมีล้อช่วยการทรงตัว ขว้างรับจานร่อนหรือลูก บอล อายุ 6-10 ขวบ วยั นี้มีพัฒนาการทางดา้ นการเคล่ือนไหวท่ีครบถ้วนสมบูรณ์ ควรเลือกกีฬาที่ ทาให้เด็กได้ยืดหยุ่นร่างกาย อาจเร่ิมทากิจกรรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เล่นกิจกรรมท่ีแบ่งข้างกัน เล่นเป็นทีม มีกฎกติกาอย่างง่าย ๆ รวมถึงเน้นกิจกรรมเดิมท่ีเคยเล่นอยู่แต่ฝึกทักษะให้ดีขึ้น เช่น เปล่ียนจากการโยนรบั ลูกบอลธรรมดาเป็นการโยนลูกบอลลงหว่ งหรือตะกร้า เตะลูกบอลใหเ้ ข้าประตู กิจกรรมและการออกกาลงั กายที่เหมาะสม ไดแ้ ก่ การขีจ่ ักรยานโดยไม่มลี ้อ เต้นแอโรบกิ วิง่ จอกกิ้ง วิ่ง เรว็ กจิ กรรมปนี ปา่ ย บลั เลต่ ์ หรือว่ายน้า อายุ 10 ขวบขึ้นไป วัยนี้พัฒนาการด้านต่าง ๆ มีเพยี งพอ สามารถเข้าร่วมกจิ กรรมได้ทุกชนิด เลน่ กฬี าทชี่ ่วยพัฒนาประสาทมือ แขนขา สายตา การทรงตวั เล่นกจิ กรรมหรือออกกาลังกายที่ยงุ่ ยาก ซบั ซอ้ นมากขนึ้ เล่นกฬี าเป็นทีมรวมถึงการแข่งขันกีฬาประเภทตา่ ง ๆ ได้ เช่น แชร์บอล บาสเกตบอล วอลเลย์บอล ปิงปอง ขี่จักรยาน โดยเลือกให้เหมาะสมกับความสามารถ และเน้นในเรื่องของความ ปลอดภัยเปน็ หลกั การส่งเสริมการออกกาลังกายสาหรับเด็ก 1. สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ ไดท้ ากจิ กรรมนันทนาการ อยา่ งนอ้ ยสัปดาห์ละ 2-3 วัน โดยอาจหากิจกรรม ทท่ี าร่วมกันได้ทัง้ ครอบครวั เชน่ ไปวิง่ เล่นทสี่ วนสาธารณะ 2. ส่งเสริมใหเ้ ด็กทากิจกรรมง่าย ๆ ในชีวิตประจาวนั โดยทาใหเ้ หน็ เป็นตัวอย่าง เช่น ช่วยพ่อ แม่ทางานบา้ น รดน้าตน้ ไม้ วงิ่ เลน่ กับสนุ ัขทบ่ี ้าน เดนิ ข้นึ บนั ได วงิ่ เก็บของ ถีบจกั รยานไปซือ้ ของ 3. สลับสับเปลี่ยนลักษณะการออกกาลังกายหลาย ๆ รูปแบบเพ่ือให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มกี ารใชอ้ ยา่ งท่วั ถงึ ทุกส่วน และไมใ่ หเ้ กิดความรสู้ ึกเบื่อ 4. จัดหาเครือ่ งเล่นหรอื อปุ กรณ์การออกกาลงั กายที่เหมาะสมกบั วัยของเด็ก 5. เลือกเสอ้ื ผ้าทสี่ วมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี
15 6. ให้ความสาคัญกับความสนุกสนาน และความชอบในการร่วมกิจกรรมเป็นหลัก เพราะ สาเหตสุ ่วนใหญท่ ่เี ด็กไม่อยากออกกาลังกายก็เพราะไม่มคี วามชอบและไม่รสู้ กึ สนุกนน่ั เอง 7. ไม่ควรเปรียบเทียบระดับความสามารถกับเด็กคนอ่ืน ๆ หรือใหค้ วามสาคัญกับผลของการ แพ-้ ชนะ แต่ควรดูในเรอ่ื งของความเหมาะสมตามความสามารถและพัฒนาการเด็กมากกวา่ ขอ้ ควรระวังในการออกกาลงั กายสาหรับเดก็ 1. ก่อนออกกาลังกายทุกคร้ัง ควรวอร์มอัพและคูลดาวน์ทุกครั้ง โดยทาท่ากายบริหารต่าง ๆ ได้แก่ ทา่ กระโดดปรบมอื อยูก่ บั ที่ กระโดดสลบั เท้า กม้ แตะสลบั ปลายเท้า การนัง่ ยองกระโดด เปน็ ตน้ 2. เดก็ ควรเริ่มออกกาลังกาย จากท่เี บากอ่ นแลว้ จงึ ค่อย ๆ เพิม่ ความหนกั ขน้ึ ภายหลงั 3. เด็กควรออกกาลังกายให้รู้สึกเริ่มเหน่ือยในระดับปานกลางขึ้นไป คือ รู้สึกหายใจเร็วข้ึน เหงอ่ื ซึม ควบคุมใหอ้ ย่ใู นปริมาณทพ่ี อเหมาะ ไม่หักโหมจนเกนิ ไป 4. เลือกชนิดกีฬาท่ีไม่ยากเกินกว่าร่างกายเด็กจะรับไหว เพราะอาจส่งผลให้เด็กอ่อนเพลีย เหน่ือยลา้ 5. ควรออกกาลังกายวันละไม่เกิน 1 ช่ัวโมง แบ่งการออกกาลังกายออกเป็น 30 นาที พัก อยา่ งน้อย 5 นาที 6. ภาวะท่ีเด็กเป็นไข้ตัวร้อน มีภาวะขาดน้าในร่างกาย ถ่ายเหลวหรืออาเจียน มีอาการ อ่อนเพลยี ไมค่ วรใหอ้ อกกาลังกาย ออกแรงกลา้ มเนื้อหรอื เคล่ือนไหวรา่ งกายมากเกินไป 7. ระมัดระวังการบาดเจ็บจากการออกกาลังกาย และหลีกเล่ียงการออกกาลังกายในขณะที่ อากาศร้อนจัด 8. ควรจัดหาน้าดมื่ ให้เพียงพอสาหรบั ความต้องการของเด็ก สรุปจากการศึกษาข้อมูลความหมายของการออกกาลังกายและพัฒนาการของเด็กท่ี เหมาะสมตามวัยจากส่อื ออนไลนแ์ ละนักวิชาการหลายทา่ นผู้วจิ ัยนามาสรุปได้คอื การออกกาลังกายที่ เหมาะสมตรงตามวัยเป็นการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายให้เด็กมีการเจริญเติบโต แข็งแรง เหมาะสมตรงตามขวบวยั การเดิน ว่ิงทากิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนช่วยสรา้ งความสัมพันธ์อันดรี ะหว่าง เด็กในวัยเดียวกัน เด็กกับผู้ปกครอง นอกจากจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพทางกายและจิตใจแล้ว เด็กใน วยั เรียนจะชว่ ยให้ผลการเรียนของเด็กดขี ้นึ อย่างไมน่ า่ เช่อื และมกี ารตนื่ ตัวในการเรียนมากขน้ึ 2. การออกกาลงั กาย 2.1 ความหมายการออกกาลังกาย การออกกาลังกายเป็นสิ่งสาคัญสาหรับการเสริมสร้างสุขภาพของมนุษย์ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนการออกกาลังกายมีส่วนสาคัญอย่างย่ิงที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง กล้ามเน้ือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในขณะท่ีสานักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย (2556, 14-19) ได้ กล่าวว่า บทบาทของการเคล่ือนไหวของการออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ ทาให้เกิดความแข็งแรง สมบูรณ์ของร่างกายในด้านการป้องกันโรค คือ ช่วยลดความเส่ียงและปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคเร้ือรังท่ี สาคัญ เช่น โรคเบาหวานโรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ความอ้วน ฯลฯ อันเป็นผลมา จากขาดหรือเคลอ่ื นไหวออกกาลังกายน้อย ดังน้นั ในกระทรวงสาธารณสุข จึงเลง็ เห็นวา่ การเคลือ่ นไหว
16 ออกกาลังกายจึงเปรียบ เสมือน เป็นวัคซีนป้องกันโรคเรื้อรัง นอกจากน้ียังเป็นวิธีหนึ่งในการส่งเสริม สขุ ภาพและความสุขสบาย ทาใหม้ ีคุณภาพชวี ิตที่ดี มีสขุ ภาพท่ี แข็งแรง ทาให้คนเราดูดีขึ้นรู้สกึ ดี และ มคี วามเพลดิ เพลนิ ในชวี ติ นอกเหนือจากนก้ี ารออกกาลังกายเป็นสิ่งจาเปน็ สาหรับทกุ คนตง้ั แต่แรกเกิด จนถึงวัยชรา แม้ในคนป่วยยังต้องการการ ออกกาลังกายเพ่ือให้ฟ้ืนสภาพเร็วย่ิงขึ้นในวัยชราการออก กาลังกายจะช่วยป้องกันแลรักษาอาการของโรคที่เกิดในวัยชราได้ เช่น อาการปวดเมื่อยในส่วนที่เป็น ความหมายของการออกกาลังกายนั้น จากการค้นคว้าเอกสารงานวิจัยพบว่ามีการให้ความหมายใน แง่มุมท่หี ลากหลายกนั ไป อาทิ กุลธิดา เหมาเพชร, คมกริช เชาว์พานชิ , และ พรเพ็ญ ลาโพธ์ิ (2555, 7) การออกกาลงั กาย หมายถงึ การท่ีอวัยวะของร่างกายได้มีการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะระบบต่างๆ ของร่างกาย ทาให้ระบบ การไหลเวียนของเลือดได้มีการสูบฉีดเพ่ิมมากขึ้นและระบบกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายได้มีการยืด หดและคลายกล้ามเน้ือ ที่สาคญั ทาใหส้ ุขภาพรา่ งกายแข็งแรงปราศจากการเจ็บป่วยด้วยโรคท่ีสามารถ ป้องกันได้พร้อมที่จะทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยกิจกรรมที่เลือกใช้น้ันจะต้องเหมาะสมกับวัย เพศและความแขง็ แรง ฉลอง อภิวงศ์ (2554, 18) กล่าวว่า การออกกาลังกายเป็นกิจกรรมการเคล่ือนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างมีแบบแผน มีจังหวะเหมาะสม โดยมีการกาหนด ความถี่ ความนาน ความแรง ระยะเวลาในการอบอุ่นร่างกายและระยะผ่อนคลายร่างกายท่ีถูกต้องและมีการกระทาเป็นประจา ก่อให้เกิดการเสริมสร้างสมรรถภาพและคงไว้ให้มีสุขภาพดี เมื่อร่างกายมีความสมบูรณ์แข็งแรงทาให้ สมองแจ๋มใสอารมณเ์ บกิ บาน สามารถดารงค์ชีวติ ได้อยา่ งมีความสุขและมคี ุณภาพ จากความหมายดังกล่าวทาให้พอสรุปได้ว่า การออกกาลังกาย (exercise) หมายถึง การใช้ กล้ามเน้ือกับอวยั วะอื่น ๆ ของร่างกายทางานมากกว่าการเคลอ่ื นไหวหรืออิริยาบถต่าง ๆ ตามปกติใน ชีวิตประจาวัน มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย แต่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ร่างกาย เป็นการใช้แรงกล้ามเน้ือเพ่ือให้ร่างกายเกิดการเคลื่อนไหวอย่างมีระบบแบบแผน โดยมีการ กาหนด ความถ่ีของการออกกาลังกาย ความแรงหรอื ความหนักของการออกกาลังกาย ความหนักหรือ ระยะเวลาของการออกกาลังกาย ระยะเวลาในการอบอ่นุ ร่างกายและระยะผ่อนคลายร่างกายที่ถกู ต้อง ท้ังน้ีการออกกาลังกายในรูปแบบใดหรือใช้กจิ กรรมใดเป็นสอื่ ก็ได้ โดยผลของการออกกาลงั กายจะชว่ ย ทาให้รา่ งกายเกดิ ความแขง็ แรงระบบการทางานตา่ ง ๆ ของร่างกายมปี ระสทิ ธิภาพ ดีขน้ึ การออกกาลงั กายหรือเลน่ กีฬาเพ่อื สขุ ภาพ มจี ุดประสงค์ เพอ่ื 1. ความสนุกสนาน และผอ่ นคลายความเครยี ด 2. เสรมิ สรา้ งสมรรถภาพทางกาย 3. ป้องกันปัญหาสขุ ภาพ 4. ชะลอความเส่อื ม ฟืน้ ฟูสภาพร่างกาย 2.2 ความสาคญั ของการออกกาลังกาย ในการออกกาลังกายน้ันจะเป็นเวลาไหนก็ได้ท่ีสะดวกและสามารถทาได้ยั่งยืน เช่น อาจเป็น ช่วงเชา้ หรอื หลังเลิกงานเพราะการออกกาลังกายไม่ว่าช่วงใดกไ็ ดผ้ ลใกล้เคียงกันเพียงแต่ต้องสมา่ เสมอ รา่ งกายจะรับรู้และปรับตวั ทาให้การออกกาลังกายได้ผลดี อย่างการออกกาลงั กายในช่วงบ่ายย่งิ ทาให้
17 นอนหลับสบายร่างกายมีเวลาในการซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอจึงไม่อยากให้คนกังวล หรือกลัวการออก กาลังกายเพราะการมีกิจกรรมทางกายหรือออกกาลังกายเพ่ือสุขภาพที่เหมาะสมถูกวิธี ไม่หักโหม เกินไป ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเราอย่างแน่นอน การออกกาลังกายเป็นเรื่องสาคัญ ที่ควรทา อย่างสม่าเสมอ สัปดาห์ละ 5 ครั้ง องค์การอนามัยโลก แนะนาให้ออกกาลังกายระดับปานกลางอย่าง น้อยสัปดาห์ละ 150 นาที หรือวันละ 30 นาที และเลือกเวลาท่ีสามารถออกกาลังกายได้อย่าง สม่าเสมอต่อเน่ือง มีคากล่าวว่า การออกกาลังกายเป็นเรื่องที่ง่าย แต่การออกกาลังกายให้สม่าเสมอ เป็นเร่ืองที่ยาก เพราะมีข้อมูลยืนยันว่า ผู้ท่ีเริ่มออกกาลังกายจะหยุดออกกาลังกายมากที่สุดในช่วง 2 เดอื นแรก เมอ่ื ครบ 6 เดอื นจะพบวา่ มีผหู้ ยดุ ออกกาลังกายประมาณ 50% ปจั จัยรอบตัวท่ีมีผลตอ่ การ คงอยู่ของการออกกาลงั กาย คอื ทัศนคตทิ ี่ดตี ่อการออกกาลงั กายของคคู่ รอง พบวา่ ในผู้ออกกาลังกาย ท่ีคู่ครองมีทัศนคติที่ดีกับการออกกาลังกาย จะมีการคงอยู่ของการออกกาลังกายหลัง 6 เดือนราว 80% ตรงข้ามกับในผู้ออกกาลังกายท่ีคู่ครองมีทัศนคติท่ีไม่ดีกับการออกกาลังกาย จะมีการคงอยู่ของ การออกกาลังกายหลัง 6 เดือนราว 40% ในทางสังคม สิ่งท่ีสามารถจูงใจทาให้มีการออกกาลังกาย สม่าเสมอข้นึ คือ กล่มุ เพอื่ นฝูงที่ออกกาลังกายดว้ ยกนั เป็นประจา เป็นต้น ซง่ึ หากเปน็ การเลน่ กฬี าแล้ว ในส่วนของความท้าทายในเรือ่ งการพัฒนาทักษะเพื่อแข่งขันกัน จะเป็นสิ่งท่กี ระตุ้นให้ผู้ออกกาลงั กาย พยายามฝึก ฝนพัฒนาตนเองเพม่ิ เติม ในกรณีของการออกกาลังกายที่ไม่มีความท้าทายจากทักษะการ เล่นกีฬา ควรมีการตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว เช่น เป้าหมายเร่ืองการลดน้าหนัก น้าหนักที่ สามารถยกได้ เวลาท่ีสามารถวิ่งได้ในระยะทางที่กาหนด รวมถึงผลเลือดบางอย่าง เช่น ลดปริมาณ น้าตาล หรอื ไขมนั ในเลือด เป็นตน้ การออกกาลังกายไม่เหมือนกับการออมเงินไว้ในธนาคารที่วันนี้ออกกาลังกายมากจะชดเชย การหยุดออกกาลังกายในวันถดั ไป ยิ่งทาให้มีความเส่ียงต่ออันตรายและการบาดเจ็บมากข้ึน เม่ือเทยี บ การออกกาลังกายหนัก ๆ แล้วหยุดออกกาลังกายไปจะให้ผลดีต่อสุขภาพไม่เท่ากับการออกกาลังกาย ท่ีพอเหมาะและสม่าเสมอ มีงานวิจัยของ Motoyama ให้ผู้ท่ีมีความดันโลหิตสูงซึ่งรับประทานยาลด ความดันอยู่ เริ่มการออกกาลังกายควบคู่ไปด้วย พบว่าผลของการออกกาลังกาย ช่วยลดความดัน โลหิตเพมิ่ จากผลของการใชย้ า โดยมแี นวโน้มความดนั โลหติ ลดลงเรื่อย ๆ นับจากเดือนแรกจนได้ผลดี ทีส่ ุดประมาณเดือนที่ 9 หลังจากให้ผ้ทู ่ีออกกาลงั กายหยุดออกกาลังกาย 1 เดือน ความดันโลหิตทเ่ี คย ลดลงกลับเพ่ิมข้ึนคร่ึงหนึ่งของท่ีลดลงทั้งหมด นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ช้ีให้เห็นว่า การออกกาลังกาย จาเป็นต้องทาต่อเน่ืองตลอดอย่างสม่าเสมอเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ ปัจจุบันพบว่า ผู้ออกกาลังกาย จานวนหน่ึงมีพฤติกรรมที่เลือกออกกาลังกายเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์ เรียกผู้ออกกาลังกายใน ลกั ษณะน้ีว่า weekend warriors (ออกกาลังกายมาก กว่า 1,000 กิโลแคลอร่ีในวนั หยุดสุดสัปดาห์ 2 วันติดกัน) เพราะอาจไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาออกกาลังกายในวันจันทร์ถึงศุกร์ ผู้ที่ออกกาลังกายใน ลักษณะนี้ มักจะออกกาลังกายนานข้ึนเพ่อื ชดเชยเมื่อเทยี บกับผทู้ ี่ออกกาลังกายสัปดาห์ละหลายวนั ที่ สาคญั คือ การออกกาลังกายติดต่อกันในวนั เสาร์และอาทิตย์ ทาให้รา่ งกายไม่มีเวลาพักผ่อนเพื่อฟ้ืนฟู สภาพร่างกายให้พร้อมกับการออกกาลังกายท่ีหนัก ในงานวิจัย harvard alumni study พบว่า กลุ่ม weekend warriors มอี ตั ราการตายต่ากว่าคนทไี่ ม่ออกกาลังกายเลย (กลุ่ม sedentary) แต่ไมต่ ่ากว่า คนท่ีไม่ออกกาลังกายแต่มีกิจกรรมทางกายบ้าง (กลุ่ม insufficient active คือ ออกกาลังกาย ระหว่าง 500-999 กิโลแคลอร่ีในแต่ละสัปดาห์ โดยท่ัวไปมีคาแนะนาให้ออกกาลังกายใหไ้ ด้อย่างน้อย
18 1,000 กิโลแคลอรีตอ่ สปั ดาห์) ซึ่งช้ีให้เห็นถึงความเสี่ยงตอ่ โรคหัวใจระหวา่ งการออกกาลงั กายของกลุ่ม weekend warriors สิ่งสาคัญที่สุดที่ผู้ออกกาลังกายควรคานึง คือ การประมาณตนเองในการออก กาลังกายไม่ให้หนักเกินไป จนเป็นอันตราย หรือ เกิดการบาดเจ็บ ตัวอย่างเช่น คนที่ออกกาลัง กายสมา่ เสมอมานานกวา่ 3 เดอื น สามารถวิ่งบนสายพานไดท้ ี่ความเร็วหน่งึ ตอ่ เนือ่ ง 45 นาที แตห่ าก วันก่อนท่ีจะออกกาลังกายมกี ารพักผอ่ นไม่เพียงพอ การออกกาลงั กายคร้ังน้ันก็ควรลดปริมาณลงตาม ความเหมาะสม โดยดูความเหน่ือยล้าของร่างกายเป็นตัวบ่งชี้ ไม่ควรฝืนวิ่งต่อไป หากวิ่งไม่ไหว อาจมี อันตรายถึงชีวติ ได้ (ชมรมวิง่ บางขนุ เทียน, 2556) 2.3 ประเภทของการออกกาลังกาย นักวิทยาศาสตร์การกีฬา ได้จาแนกรูปแบบของการออกกาลังกายไว้ 5 รูปแบบ (สุทธิพงศ์ ภูเกา้ แก้ว, 2559, 10) ประกอบด้วย 1. การออกกาลังกายแบบเกร็งกล้ามเนื้ออยู่กับที่ (isometric exercise) ซึ่งจะไม่มีการ เคลื่อนที่หรือมีการเคล่ือนไหวของร่างกาย เช่น การบีบกาวัตถุ การยืนดันเสาหรือกาแพง การน่ังบน เก้าอ้ีโดยการเหยียดแขนและเท้าออกไปแล้วเกร็งกล้ามเนื้อทั้งสองส่วน ซ่ึงจะเหมาะกับผู้ท่ีทางานนั่ง โต๊ะเป็นเวลานานจนไม่มีเวลาออกกาลังกาย แต่ไมเ่ หมาะในรายที่เป็นโรคหวั ใจ หรือเป็นโรคความดัน โลหิตสูงเพราะจะมีการกลั้นหายใจในขณะปฏิบัติและเป็นการออกกาลังกายท่ีไม่ได้ช่วยส่งเสริม สมรรถภาพทางกายได้อย่างครบถ้วนโดยเฉพาะด้านระบบการหายใจ (respiretiry system) และ ระบบการไหลเวียนโลหิต (circulatory system) 2. การออกกาลังกายแบบมีการ ยืด-หด ตัวของกล้ามเนื้อ (isotonic exercise) จะมีการ เคล่ือนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายขณะที่ออกกาลังกาย เช่น การวิดพ้ืน การยกน้าหนัก การดึงข้อ จึง เหมาะกับผู้ที่มีความต้องการสร้างความแข็งแรงกล้ามเน้ือเฉพาะส่วนของร่างกาย เช่น นักเพาะกาย หรือนกั ยกน้าหนกั ส่วนผลของการออกกาลงั กายเช่นนีจ้ ะเปน็ ไปทางเดยี วกันกับชนิดแรก 3. การออกกาลังกายแบบทาให้กล้ามเนื้อทางานไปอย่างสม่าเสมอตลอดการเคลื่อนไหว (isokinetic exercise) เช่น การถีบจักรยานอยู่กับที่ การก้าวข้ึนรถแบบข้ันบันได (harvard step test) หรือการใช้เคร่ืองมือทางชีวกลศาสตร์ (เช่น cybex, biodex หรือ treadmill) เหมาะกับการใช้ ทดสอบสมรรถภาพทางกายของนักกีฬา หรือผทู้ ี่มีความสมบรู ณ์ทางร่างกายเป็นส่วนใหญ่ แต่จะต้องมี ความรู้เป็นอย่างดี เพราะมีโอกาสเกิดอันตรายต่อผู้ออกกาลังกายได้ง่าย ปัจจุบันประเทศไทยยังขาด เครอื่ งมือและบุคลากรทางด้านนเ้ี ป็นจานวนมาก 4. การออกกาลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจนในระหว่างที่มีการเคลื่อนไหว (anaerobic exercise) เช่น การวิ่ง 100 เมตร กระโดดสูง พุ่งแหลน ทุ่มน้าหนัก และขว้างจักร เป็นต้น ส่วนใหญ่ แล้วจะปฏิบัติกนั ในหมู่นักกีฬาท่ที าการฝกึ ซอ้ มหรือแขง่ ขัน จงึ ไม่เหมาะกบั บคุ คลธรรมดาท่ัวไป 5. การออกกาลงั กายแบบใชอ้ อกซเิ จน (aerobic exercise) เป็นลักษณะการออกกาลังกายที่ มกี ารหายใจเข้าและหายใจออกต่อเนื่อง ในระหว่างที่มกี ารเคลื่อนไหว เช่น การว่ิงจ๊อกกิ้ง การเดินเร็ว หรือการว่ายน้า ซ่ึงการออกกาลังกายแบบนี้เป็นท่ีนิยมกันมากในหมู่ของนักออกกาลังกาย และเป็นที่ ยอมรับของ นักวิทยาศาสตร์การกีฬา ตลอดจนในวงการแพทย์ เพราะการออกกาลังกายแบบน้ี จะ
19 สามารถบง่ บอกถึงสมรรถภาพทางกายของบคุ คลน้ัน ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยทาการทดสอบได้จากอตั รา การเตน้ ของหวั ใจ หรือความดนั โลหิต นอกจากนย้ี งั มีผลดีตอ่ ทางด้านร่างกายอกี หลายอย่าง คือ 5.1 เป็นวิธีป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีท่ีสุด และทาให้หัวใจแข็งแรงข้ึน (เฉพาะในรายที่ ไม่เคยเปน็ โรคหวั ใจมาก่อน) 5.2 เพ่มิ ความแขง็ แรงของกลา้ มเน้อื และกระดูก 5.3 ช่วยลดปรมิ าณไขมนั ในร่างกายไดเ้ ป็นอยา่ งดี 5.4 ช่วยทาให้ระบบย่อยอาหารและระบบขบั ถา่ ยทางานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 5.5 ชว่ ยเสรมิ สรา้ งบุคลกิ ภาพ 5.6 ชว่ ยเสรมิ สร้างภมู ติ า้ นทานโรค 5.7 ชว่ ยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล (cholesterol) ในเลือดลงได้ โดยทั่วไป การออกกาลังกายควรพจิ ารณาปจั จยั 4 ประการ คือ 1. วิธีการออกกาลงั กาย 2. ความหนกั ของการออกกาลงั กาย 3. ระยะเวลาการออกกาลังกาย 4. ความถี่ของการออกกาลังกาย วิธีการออกกาลังกาย เป็นปัจจัยท่ีสาคัญที่สุด เพราะพฤติกรรมของมนุษย์จะเลือกออกกาลัง กาย ที่ตนเองชอบและเข้ากับวิถีชีวิตประจาวันของตนเอง มีเพ่ือนฝูงออกกาลังกายด้วยกัน จะทาให้ การคงอยู่ของการออกกาลังกายน้ันเป็นไปได้อย่างสม่าเสมออย่างไรก็ตามแม้คน ๆ หนึ่งจะชอบการ ออกกาลังกาย อย่ างห นึ่งมากแต่ร่างกายตนเองมีโร คห รือภ าว ะประจ าตัวที่ไม่ควร ออกกาลังกาย บางอย่างท่ีจะทาใหโ้ รคหรือภาวะนั้นแย่ลง ก็ควรหลีกเลี่ยงการออกกาลังกายในลักษณะนั้น เพราะจะ ทาให้เกดิ อนั ตรายได้ เชน่ การยกน้าหนักในคนทมี่ คี วามดนั โลหติ สงู เป็นตน้ ความหนักของการออกกาลังกาย หากผู้ออกกาลังกายสามารถประเมินอัตราการเต้นของ หัวใจหรือชีพจรได้ จะเป็นแนวทางการประเมนิ ทีด่ ี และดูความก้าวหน้าของการออกกา ลังกายตนเอง ได้ โดยทั่วไปคาแนะนาของความหนักของการออกกาลังกายจะมีตัวเลขท่ตี ่างกันบ้าง ขอยกตัวเลขที่มี ผู้ใช้บ่อย ๆ คือ 70-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ซ่ึงสูตร อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด = 220 - อายุ ดังน้ันสมมติกรณีผู้ออกกาลังกายอายุ 50 ปี อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด = 220 - 50 = 170 คร้ังต่อนาที อัตราการเต้นของหัวใจที่แนะนา คือ 70-85% ของ 170 ครั้งต่อนาที คือ 119-145 ครั้งตอ่ นาที อยา่ งไรก็ตามในส่วนของความหนกั หากผู้ออกกาลังกายไม่มอี ุปกรณ์วัดอัตราการเตน้ ของ หัวใจหรือชีพจร สามารถใช้หลักง่าย ๆ ในการประเมินระดับความหนักของการออกกาลังกาย ดงั ตอ่ ไปน้ี ไดแ้ ก่การออกกาลังกายในระดบั เบาคอื การออกกาลังกายที่ผู้ออกกาลังกายยังสามารถร้อง เพลงได้ในขณะที่มีการออกกาลังกายนั้น การออกกาลังกายในระดับปานกลาง คือ การออกกาลังกาย ที่ผู้ออกกาลังกายยังสามารถพูดได้แต่ไม่สามารถร้องเพลงได้ในขณะท่ีมีการออกกาลังกายนั้นและการ ออกกาลังกายในระดับหนัก คือ การออกกาลังกายที่ผู้ออกกาลังกายไม่สามารถพูดได้ในขณะที่มีการ ออกกาลังกายน้นั
20 ระยะเวลาของการออกกาลังกาย ส่วนใหญ่แนะนาให้ออกกาลังกายต่อเนื่องอยู่ระหว่าง 30 - 45 นาที ขึ้นอยู่กับความหนักของการออกกาลงั กาย ถ้าออกกาลังกายระดบั ความหนักมาก ก็ออกกาลัง กายต่อเนื่องประมาณ 30 นาที ถ้าออกกาลังระดับความหนักปานกลาง ก็ออกกาลังกายต่อเนื่อง ประมาณ 45 นาที ความถี่ในการออกกาลังกาย มีคาแนะนาให้ออกกาลังกายต้ังแต่ 3 วันข้ึนไป อย่างน้อย 3-5 วนั ต่อสปั ดาห์จนถึงทุกวัน ซึ่งขอแนะนาให้ทามากท่ีสุดเท่าท่ีทาได้สม่าเสมอ ไม่มีการทาเผือ่ ไว้สาหรับ ในอนาคตดังที่ กล่าวไว้ข้างต้น อีกอย่างหน่ึงคือ ถ้าทาการออกกาลังกายด้วยกีฬาประเภทเดียวหรือ ลักษณะการออกกาลังกายอย่างเดียว เช่น การวิ่ง เป็นต้น ควรมีวันพัก 1-2 วันต่อสัปดาห์เพ่ือให้ รา่ งกายได้มกี ารพัก ผ่อนสว่ นของร่างกายที่ใช้งานมาก ในกรณกี ารว่ิงคือ ขาและเท้า เป็นต้น เพ่ือเป็น การปอ้ งกนั การบาดเจ็บท่ีเกิดจากการใช้งานส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากเกินไป (overuse injury) อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหน่ึงท่ีผู้ออกกาลังกายได้ยินคาแนะนาการออกกาลังกายแล้วเข้าใจผิดกัน มาก ต้องขอกลา่ วอธิบายให้เข้าใจไวใ้ นทนี่ ้ี คือ ตวั อย่างคาแนะนาทว่ี ่า ควรออกกาลังกายอย่างตอ่ เนือ่ ง ที่ระดับความหนัก 70-85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด อย่างน้อย 30 นาที คนส่วนใหญ่มัก เข้าใจว่าควรเร่ิมออกกาลงั กายทีร่ ะดบั นี้เลยแตเ่ ปน็ ระดับทคี่ วรทาเป็นประจาไปตลอดชีวิต แต่ในความ เปน็ จริง ผ้สู ูงอายุ ผู้ทไ่ี มไ่ ด้ออกกาลังกายมาเปน็ เวลานานผู้ทม่ี ีความฟิตต่า จะไม่สามารถออกกาลังกาย ในระดับน้ีได้ถึง 30 นาที รวมท้ังยังเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ในกรณีดังกล่าว การออกกาลังกายต่อเนื่อง ควรทาเริ่มต้นท่ีวันแรกอย่างน้อย 10 นาที ท่ีระดับอัตรา การเต้นของหวั ใจประมาณ 60% ก็พอ แล้วค่อยเพิ่มระยะเวลาคร้งั ละ 5 นาที หรือ อัตราการเตน้ ของ หัวใจเพ่ิมข้ึน 5% โดยการปรับแต่ละครั้งไม่เร็วกว่า 2 สัปดาห์ ดังนั้นจะต้องใช้เวลา 8-12 สัปดาห์ สาหรับผู้ออกกาลังกายที่เป็นผู้สูงอายุ หรือไม่ได้ออกกาลังกายมานาน หรือไม่ฟิต จะสามารถออก กาลังกายในระดบั ท่เี ป็นท่ีแนะนาโดยทัว่ ไปว่า ช่วยสรา้ งเสริมสุขภาพใหด้ ขี นึ้ ได้ 2.4 ประโยชนข์ องการออกกาลังกายสาหรับเด็ก 1. ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการ เพิ่มการสร้างมวลกระดูก ซึ่งมีผลต่อความสูงของ เด็ก ส่งเสริมความแข็งแรงของระบบกล้ามเน้ือและข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกาย พัฒนาระบบประสาทส่ัง การ ทาให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดแข็งแรงข้ึน มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (growth hormone) 2. ควบคมุ นา้ หนักตวั จากการชว่ ยเผาผลาญไขมนั สว่ นเกิน 3. การออกกาลังกายช่วยให้สมองสว่ นการเรยี นรทู้ างานได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพมากข้ึน 4. ส่งเสรมิ สขุ ภาพจติ ลดความตงึ เครยี ด ทาใหเ้ กิดความสนกุ สนาน 5. การออกกาลังกายเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้พบเห็นและเรียนรู้กับส่ิงแวดล้อมใหม่ ๆ รวมถงึ ได้รจู้ กั กับเพอื่ นใหม่ จึงมีความเช่ือม่นั ในตนเอง และกลา้ แสดงออก ทาไมการออกกาลังกายช่วยใหก้ ารเรียนรทู้ างวชิ าการดขี นึ้ การให้เด็กในวัยเรียนได้เคลื่อนไหวออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ จะช่วยให้ผลการเรียนของ เดก็ ดขี ึ้นอยา่ งไม่นา่ เชื่อ และมีการตื่นตัวในการเรยี นมากขึน้ ทั้งนเ้ี น่อื งจากปัจจัยดงั นี้
21 1. ช่วยให้เลือดและออกซิเจนมีการไหลเวียนไปสู่สมอง จึงมีความจาดีข้ึน และมีความตื่นตัว และจดจอ่ ในการเรยี นมากข้นึ 2. ทาให้ร่างกายกระฉับกระเฉง มอี ารมณ์แจม่ ใส 3. เสริมสรา้ งคุณค่าในตวั เอง ทาให้มที กั ษะทางสงั คมดขี ้ึนซึ่งสง่ ผลตอ่ การเรยี น 4. เด็กที่เป็นไฮเปอร์แอคทีฟ หากได้รับการออกกาลังกายที่เหมาะสม จะช่วยให้เด็กมีสมาธิ และมีการเรยี นร้ทู ดี่ ีข้นึ สรุปจากการศึกษาข้อมูลของการออกกาลังกายจากส่ือออนไลน์และนักวิชาการหลายท่าน ผู้วิจัยนามาสรุปได้คือ การออกกาลังกายเป็นการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายให้ทางานได้อย่างมี ประสิทธิภาพสามารถออกกาลังกายได้ทุกเพศทุกวัยแต่ข้ึนอยู่กับขีดความสามารถและความเหมาะสม ของแต่ละวัยจะแตกต่างกันออกไป เช่นในวัยเด็กอย่างเช่น เดิน วิ่ง กระโดด เล่นกีฬา ส่วนในวัย ผู้สูงอายุ ควรจะเป็นเดิน จ๊อกก่ิงเบา ๆ หรือเดินแกว่งแขน ยกแขนยกขาอยู่กับท่ีเป็นต้น ผลของการ ออกกาลังกายนอกจากจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพทางกายและจิตใจแล้ว เด็กในวัยเรียนจะช่วยให้ผล การเรยี นของเดก็ ดขี น้ึ อยา่ งไม่นา่ เช่อื และมีการตน่ื ตวั ในการเรยี นมากขึน้ 3. สมรรถภาพทางกาย สมรรถภาพทางกายบง่ บอกถึงขดี ความสามารถถึงอวัยวะต่าง ๆ ของรา่ งกายมนุษย์ทุกเพศทุก วัย เช่นกล้ามเน้ือแขน ขา ขอ้ ต่อ ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ ว่ามคี วามแข็งแรงอยู่ในระดับ ไหน เม่ือทากิจกรรมต่าง ๆ เป็นระยะเวลานาน เช่นออกกาลังกาย วิ่ง เดิน เล่นกีฬา เมื่อพักตามเวลา ที่กาหนดแล้วร่างกายฟ้นื ตัวกลับมาเปน็ ปกติหรอื ไม่ ในสถานศึกษามีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ในวิชาสขุ ศึกษาและพลศกึ ษา มีตวั ช้ีวัดที่นักเรียนแตล่ ะชนั้ ในระดับประถมศกึ ษาคือ ป.1-ป.6 จะตอ้ งมี การวดั สมรรถภาพทางกายของนักเรยี นทกุ คนในทกุ ระดบั ช้นั 3.1 ความหมายของสมรรถภาพทางกาย สมรรถภาพทางกาย คือขีดความสามารถทางร่างกายของบุคคลใดบุคคลหนึ่งท่ีจะสามารถ ปฏิบัติงาน ออกกาลังกายหรือเล่นกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่รู้สึกเหน่ือยล้าจนเกินไปและยัง สามารถกลับมาปฏิบัติงานอื่นหรือออกกาลังกาย เล่นกีฬาอีกโดยไม่รู้สึกล้า หรือเหน็ดเหน่ือย อ่อนเพลีย จากการศึกษาและค้นคว้ามีนักวิชาการและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องให้ความหมายของ สมรรถภาพทางกายไว้ดงั น้ี กรมพลศึกษา (2556ก, 25) มีความสาคัญต่อการดารงชีวิตประจาวัน ซ่ึงเป็นความสามารถ ของบุคคลในการควบคุมและส่ังการให้ร่างกายปฏิบัติ ภารกิจต่างๆในชีวิตประจาวันและปฏิบัติงาน การเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคล่องแคล่ว ว่องไว กระฉับกระเฉง ทนทานโดยไม่แสดง อาการเหน็ดเหน่ือย เม่ือยล้า หรืออ่อนเพลียให้ปรากฏและ สามารถฟ้ืนตัวสู่สภาพปกติได้ในเวลา อนั รวดเร็ว การมีสมรรถภาพทางกายที่ดจี ะมผี ลต่อการมีสขุ ภาพดีห่างไกลจากโรคต่างๆ เช่น โรคหวั ใจ ความดันโลหิตสูง ลดไขมันในเลือด ช่วยระบบไหลเวียนของ เลือด การหายใจ การย่อยอาหาร ช่วย
22 ควบคุมน้าหนัก ทาให้ร่างกายมีสดั ส่วนดี กล้ามเนือ้ แข็งแรง ขอ้ ต่อเคลอื่ นไหวคล่องตัว และเมอ่ื รวมกับ การมีสขุ ภาพจิตที่ดี การมีค่านิยมด้านคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมอนั ดงี าม จะส่งผลให้บคุ คลนั้น เป็นประชากรที่มีคุณภาพ เป็นคนดีของครอบครัวและ สังคม มีประสิทธิภาพในการทางาน ในการ เรยี นไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ เพอื่ เพ่มิ ผลผลติ เพม่ิ รายได้ ให้กับครอบครวั และสงั คมอีกดว้ ย ถาวร กมุทศรี และคนอ่ืน ๆ (2562, 21) กล่าวว่า สมรรถภาพทางกายในนักกีฬา หมายถึง ความสามารถในการแสดงออก ของร่างกาย เพื่อการเคล่ือนไหวปฏิบัติเทคนิค ทักษะในการเล่นกีฬา ให้ได้มาซึ่งผลจากการปฏิบัติหรือ แสดงออกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อการเล่นกีฬาอย่างเหมาะสม มคี วามสม่าเสมอตลอดการแขง่ ขัน ของแต่ละ ชนดิ กีฬา กรมพลศึกษา (2562ข, 18) กล่าวว่า สมรรถภาพทางกาย หมายถึง สภาวะของร่างกายท่ีอยู่ ในสภาพท่ีดี เพ่ือท่ีจะช่วยให้บุคคลสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอัตราความเส่ียงของปัญ หาทางสขุ ภาพทเ่ี ป็น สาเหตุมาจากขาดการออกกาลังกาย สรา้ งความสมบูรณ์และแข็งแรงของร่างกาย ในการท่ีจะเข้าร่วมกิจกรรม การออกกาลังกายได้อย่างหลากหลาย บุคคลท่ีมีสมรรถภาพทางกายท่ีดี ก็จะสามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในชีวิตประจาวัน การออกกาลังกาย การเล่นกีฬา และการแก้ไข สถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี สนธยา สีละมาด (2547) กล่าวว่า สมรรถภาพทางกาย หมายถึง การมีสภาพสรีรวิทยาท่ีช่วยให้บุคคลสามารถประกอบ กิจกรรมในชีวิตประจาวันได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ หรือการมีสภาพสรรี วทิ ยาพื้นฐานสาหรับการมคี วามสมบรู ณ์ ทางการกีฬาหรอื ทงั้ สอง ด้าน ปรวัฒน์ แขกสินทร (2562, สิงหาคม 31) กล่าวว่า สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถของร่างกายท่ีใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ เคล่ือนไหวในการในชีวิตประจาวันได้อย่างมี ประสิทธิภาพและกระฉับกระเฉง โดยไม่เกิดความเหน็ดเหนื่อยหรือหายเหนื่อยเร็ว และมีพลังงาน เหลือในรา่ งกายทจ่ี ะสามารถในการทากิจกรรมในยามฉุกเฉินหรือกิจกรรมนันทนาการตา่ ง ๆ ได้ ในขณะท่ี จตุรงค์ เหมรา (2561, 10) ได้กล่าวไว้ว่า สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการปฏิบัติภารกิจหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีพลังเหลือเพื่อ ประกอบกิจกรรมอ่ืน ๆ ท้งั ในภาวะปกติและภาวะวกิ ฤติ สาราญ สุขแสวง (2560, 18) กล่าวไว้ว่า สมรรถภาพทางกายหมายถึง ความสามารถของ รา่ งกายในการเคลื่อนไหวปฏบิ ัตภิ ารกจิ ตา่ ง ๆ ในแต่ละวนั ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยปราศจากความ เหน่ือยล้า และมีความกระฉับกระเฉงในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ หรือการเล่นกีฬาต่าง ๆ ที่ไม่รูส้ ึก เหน็ดเหน่ือยพร้อมทั้งมพี ลังงานสารองทีส่ ามารถนามาใชไ้ ดต้ ลอดเวลา กรมพลศึกษา (2562, 1) กล่าวไวว้ า่ สมรรถภาพทางกาย (physical fitness) หมายถึง สภาวะ ของรา่ งกายทอ่ี ยู่ในสภาพทีด่ ีเพอื่ ช่วยใหบ้ คุ คลสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพลดอัตราเสี่ยงของ ปัญหาสุขภาพท่ีเป็นสาเหตุจากการออกกาลังกายสร้างความสมบูรณ์และแข็งแรงของร่างกายในการ เข้าร่วมกิจกรรมการออกกาลังกายได้อย่างหลากหลาย บุคคลที่มีสมรรถภาพทางกายดีจะสามารถ ปฏบิ ัตกิ จิ ต่าง ๆ ในชวี ิตประจาวนั การออกกาลังกาย การเลน่ กฬี า และการแก้ไขสถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้ อย่างดี สมรรถภาพทางกายแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ สมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพ (health-related physical fitness) และสมรรถภาพทางกายท่ีสัมพันธ์กับทักษะ (skill-related physical fitness) (สพุ ติ ร สมาหิโต, และคนอ่นื ๆ, 2555, 12)
23 ซาฟรีท (Safrit, 1990, 301) กล่าวว่า สมรรถภาพทางกายเป็นความสามารถหลาย ๆ ด้าน ในบางครั้ง อาจจะพิจารณาจากแบบทดสอบที่นามาใช้จากความหมายของสมรรถภาพทางกายท่ีมีผู้ อธิบายไว้ส่วนหน่ึงได้พยายามที่จะแยกสมรรถภาพทางกายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและสมรรถภาพที่ เก่ียวข้องกับแบบทดสอบ ทีน่ ามาใช้บางชุดอาจจะวัดทงั้ สมรรถภาพทางกายที่เก่ียวข้องกับทักษะและ สมรรถภาพกายที่เกีย่ วข้องบางกรณีอาจจะมีองค์ประกอบด้านสขุ ภาพ เกตเซลล์ (Getchell, 1998, 2) กล่าวถงึ สมรรถภาพทางกายว่า ผู้แต่งตาราส่วนใหญ่กล่าวถึง สมรรถภาพทางกายว่าเป็นความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจาวัน โดยไม่รู้สึกเหน่ือยและยังมี พลังสารองเพื่อปฏบิ ตั ิงานในภาวะฉุกเฉนิ คาจากัดความดงั กล่าวยังไม่เพียงพอเกย่ี วกับการดารงชวี ิตใน ปจั จุบัน ดังน้ันจึงกล่าวถึงสมรรถภาพทางกายว่าเป็นความสามารถในการทางานอย่างมีประสิทธิภาพ สูงสุดของหัวใจ หลอดเลือด ปอดและกล้ามเนื้อ เป็นองค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย ประกอบด้วย ความแข็งแรง ความอดทนของกล้ามเน้อื ความอ่อนตวั ความอดทนของระบบไหลเวียน ของโลหิต จากความหมายของสมรรถภาพทางกายที่นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ นักการศึกษาและสถาบัน ที่ เกี่ยวข้องกล่าวมาข้างต้นพอจะสรุปได้ดังนี้ สมรรถภาพทางกาย หมายถึงความสามารถของบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ในการกระทากิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจาวันโดยไม่เหน่ือยง่าย มีประสิทธิภาพและเมื่อ ทากิจกรรมต่าง ๆ ไปแล้วร่างกายก็ยังสามารถฟ้ืนตัวสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว สามารถวัดขีด ความสามารถได้ โดยแบบทดสอบซ่ึงใช้วัดขีดความสามารถของสมรรถภาพทางกายคอื ความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อ ความอดทนของกล้ามเน้ือ ความแคล่วคล่องว่องไว ความอ่อนตัว ความอดทนของ ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ 3.2 องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกายได้มีนักพลศึกษา นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญ ได้ กลา่ วถึงองคป์ ระกอบต้าง ๆ ของสมรรถภาพทางกายท่ดี ไี ว้ ดงั เช่น สุทธิพงศ์ ภเู ก้าแกว้ (2559, 20) ได้กล่าวถงึ องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพ มีดงั น้ี 1. ความอดทนของระบบหายใจและระบบไหลเวยี นโลหิต(cardio respiratory endurance) 2. ความอดทนของกล้ามเนอ้ื (muscular endurance) 3. ความแข็งแรงของกล้ามเนือ้ (muscular strength) 4. ความอ่อนตัวหรอื ความยดื หยุ่น (flexibility) 5. องคป์ ระกอบของร่างกาย (body composition) กรมพลศึกษา (2562ข, 2) ให้ความหมายของสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพ หมายถึง สมรรถภาพทางกายที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาสุขภาพและเพ่ิมความสามารถในการทางาน ของร่างกาย ซ่ึงจะมีส่วนช่วยในการลดปัจจัยเส่ียงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดนั โลหิตสูง โรคปวดหลัง ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ทีเ่ กดิ จากการขาดการออกกาลังกาย สุพติ ร สมาหิโต และคนอนื่ ๆ (2555,12) ซง่ึ ประกอบด้วย
24 1. ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ (muscle strength) เป็นความสามารถของกล้ามเน้ือหรือ กลุ่มกล้ามเน้ือท่ีออกแรงด้วยความพยายามในคร้ังหน่ึง ๆ เพื่อต้านกับแรงต้านทาน ความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อจะทาให้เกิดความตึงตัว เพื่อใช้แรงในการดึงหรือยกของต่าง ๆ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จะช่วยทาใหร้ ่างกายทรงตวั เป็นรูปรา่ งข้นึ มาได้ หรือที่เรยี กวา่ ความแขง็ แรงเพอ่ื รักษาทรวดทรง ซ่งึ จะ เป็นความสามารถของกล้ามเน้อื ที่ช่วยให้ร่างกายทรงตัวต้านกับแรงโน้มถ่วงของโลกให้อยู่ได้โดยไม่ล้ม เป็นความแข็งแรงของกล้ามเน้ือท่ีใช้ในการเคลื่อนไหวข้ันพ้ืนฐาน เช่น การว่ิง การกระโดด การเขย่ง การกระโจน การกระโดดขาเดียว การกระโดดสลับเท้า เป็นต้น ความแข็งแรงอีกชนิดหน่ึงของ กล้ามเนื้อเรียกว่า ความแข็งแรง เพื่อเคล่ือนไหวในมุมต่าง ๆ ได้แก่ การเคล่ือนไหวแขนและขาในมุม ต่าง ๆ เพื่อเล่นเกมกีฬา การออกกาลังกาย หรือการเคลื่อนไหวในชีวิตประจาวัน เป็นต้น ความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือในการเกร็ง เป็นความสามารถของร่างกายหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายใน การตา้ นทานแรงที่มากระทาจากภายนอกได้โดยไม่ลม้ หรือสูญเสยี การทรงตวั ไป 2. ความอดทนของกล้ามเน้ือ (muscle endurance) เป็นความสามารถของกล้ามเนื้อท่ีจะ รกั ษาระดับการใชแ้ รงปานกลางไดเ้ ป็นเวลานาน โดยการออกแรงท่ีทาใหว้ ัตถุเคล่อื นท่ีไดต้ ิดต่อกันเป็น เวลานาน ๆ หรือหลายครั้งติดต่อกันความอดทนของกล้ามเนื้อสามารถเพิ่มมากขึ้นได้โดยการเพ่ิม จานวนคร้ังในการปฏิบัติกิจกรรม ซ่ึงขึ้นอยู่กับปัจจัย เช่น อายุ เพศ ระดับสมรรถภาพทางกาย และ ชนิดของการออกกาลังกาย 3. ความออ่ นตัว (flexibility) เปน็ ความสามารถของขอ้ ต่อตา่ ง ๆ ของร่างกายที่เคลอ่ื นไหวได้ เต็มช่วงของการเคล่ือนไหว การพัฒนาด้านความอ่อนตัวทาได้โดยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเอ็น หรือการใช้แรงต้านทานในกล้ามเน้ือและเอ็นให้ต้องทางานมากข้ึน การยืดเหยียดของกล้ามเน้ือทาได้ ท้ังแบบอยู่กับท่ีหรือแบ บที่มีการเ คล่ือนไหว เพ่ือให้ได้ ประโยชน์ สูงสุ ดควร ใช้การยืด เหยียดของ กลา้ มเนอื้ ในลกั ษณะอย่กู บั ที่ นน่ั คอื อวัยวะสว่ นแขนและขาหรอื ลาตวั จะต้องเหยยี ดจนกวา่ กลา้ มเนื้อ จะร้สู กึ ตึงและอยูใ่ นทา่ เหยยี ดกล้ามเนอ้ื ในลกั ษณะนปี้ ระมาณ 10-15 วนิ าที 4. ความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด (cardiovascular endurance) เป็น ความสามารถของหัวใจและหลอดเลอื ดท่จี ะลาเลียงออกซิเจนและสารอาหารต่าง ๆ ไปยังกล้ามเน้ือท่ี ใช้ในการออกแรงในขณะทางาน ทาให้ร่างกายทางานได้เปน็ ระยะเวลานาน และขณะเดยี วกันก็นาสาร ทีไ่ มต่ ้องการ ซึ่งเกดิ ขึ้นภายหลังการทางานของกล้ามเนอื้ ออกจากกล้ามเน้ือทใ่ี ชง้ าน ในการพัฒนาหรือ เสริมสร้างสมรรถภาพด้านน้ีจะต้องให้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยใช้ระยะเวลาติดต่อกันประมาณ 10 -15 นาที ขึน้ ไป 5. องค์ประกอบของร่างกาย (body composition) หมายถึง ส่วนต่าง ๆ ท่ีประกอบข้ึนเป็น น้าหนักตัวของร่างกาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นไขมัน (fat mass) และส่วนท่ี ปราศจากไขมัน (fat-free mass) เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ และแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย โดยท่ัวไปองค์ ประกอบของร่างกายจะเป็นดัชนีประมาณค่าท่ีทาให้ทราบถึงร้อยละของน้าหนักท่ีเป็นส่วนของไขมัน ท่ีมีอยู่ในร่างกาย ซ่ึงอาจจะหาคาตอบท่ีเป็นสัดส่วนกันได้ระหว่างไขมันในร่างกายกับน้าหนักของส่วน อ่ืน ๆ ท่ีเป็นองค์ประกอบ เช่น ส่วนของกระดูก กล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ การรักษาองค์ประกอบ ของร่างกายให้อยู่ในระดับท่ีเหมาะสมจะช่วยลดโอกาสเส่ียงต่อการเกิดโรคอ้วน ซ่ึงโรคอ้วนจะเป็น
25 จุดเริ่มต้นของการเป็นโรคท่ีเสี่ยงต่ออันตรายต่อไปอีกมาก เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย และโรคเบาหวาน เป็นตน้ บอมปา และ คาร์รีรา (Bompa & Carrera, 2015) ได้กล่าวถึงพื้นฐานองค์ประกอบ สมรรถภาพทางกายทเี่ ก่ียวข้องกับความสามารถ ของนักกฬี าในการปฏิบัตกิ ิจกรรม ในทักษะหรอื การ เคล่ือนไหวในกีฬาชนิดต่างๆ ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ ความแข็งแรง ความเร็ว ความอดทน ความ อ่อนตัว และการประสานสัมพันธ์ในการเคลื่อนไหว ซึ่งองค์ประกอบสมรรถภาพทางกายท้ัง 5 ด้านนี้ จะมีความเชื่อมโยงเก่ียวข้องกันและเป็นสมรรถภาพทางกาย ที่จะช่วยสนับสนุนนักกีฬา สามารถ ปฏบิ ตั ิทักษะกีฬาและทกั ษะดา้ นการเคลอื่ นไหวเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ โดยมรี ายละเอียดในแต่ละ ดา้ น ดงั น้ี 1. ความแข็งแรง หมายถึง ความสามารถกล้ามเน้ือท่ีหดตัวกระทาต่อแรงต้านด้วยแรงสูงสุด เช่น การดัน การยกน้าหนัก การผลัก เป็นต้น โดยท่ัวไปจาแนกความแข็งแรงสามารถออกเป็น 3 ประเภท คอื 1.1 ความแข็งแรงสูงสุด (maximum strength) เป็นความสามารถของกล้ามเน้ือในการ หดตัว แต่ละครั้งโดยได้แรงมากท่ีสุด ความแข็งแรงสูงสุดมีความสาคัญสาหรับนักกีฬาประเภทที่ ต้องการใช้กาลังและความเร็วในการเคล่ือนไหว หรือการแข่งขันกีฬาประเภทท่ีต้องการเอาชนะแรง ต้านมากๆ เชน่ มวยไทย ยูโด มวยปลา้ การแข่งขนั ยกน้าหนกั เปน็ ต้น 1.2 ความแข็งแรงแบบยืดหยุน่ (elastic strength) เป็นความสามารถของกลา้ มเนื้อท่ีออก แรงเคลื่อนไหวกระทากับแรงต้านได้อย่างรวกเร็ว โดยใช้แรงมากทส่ี ุดในช่วงระยะเวลาท่ีจากัดหรือใน ช่วงเวลา ส้ันๆ เช่น การกระโดดขึ้นตบหรือสกัดก้ันในกีฬาวอลเลย์บอล การกระโดดข้ึนโหม่งใน นักกีฬาฟตุ บอล เปน็ ตน้ 1.3 ความแข็งแรงแบบอดทน (strength endurance) เป็นความสามารถของกล้ามเน้ือ ในการออกแรงเพ่ือการเคล่ือนไหวอย่างต่อเนื่อง เป็นคุณสมบตั ิของกล้ามเนื้อท่ีรวมไวซ้ ึ่งความแข็งแรง และระยะเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมการเคล่ือนไหวได้ยาวนาน ตัวอย่าง เชน่ การแข่งขนั วิ่งระยะ 200 เมตร 400 เมตร ว่ายนา้ 100 เมตร เป็นตน้ 2. ความอดทน หมายถึง ความสามารถในการเคลอื่ นไหวหรือการปฏิบัติงานไดอ้ ย่างต่อเนื่อง ยาวนาน นักกีฬาที่มีความอดทนจะสามารถปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่องในสภาวะท่ีมี อาการเมอ่ื ยล้า เกดิ ขน้ึ สมรรถภาพดา้ นความอดทน แบง่ ออกได้ 2 ประเภท คอื 2.1 ความอดทนแบบแอโรบิค (aerobic endurance) เป็นความสามารถในการทางาน ของกล้ามเน้ือท่ีใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงาน เพื่อให้กล้ามเนื้อใช้ในการเคล่ือนไหว โดยมีระบบ หายใจและ ระบบไหลเวียนเลือดทาหน้าท่ีขนส่งไปให้กล้ามเนื้อ กีฬาประเภทที่ใช้ระยะเวลาในการ แข่งขนั ต่อเนื่อง ยาวนาน มีความจาเป็นตอ้ งมีสมรรถภาพดา้ นนี้มาก 2.2 ความอดทนแบบแอนแอโรบิค (anaerobic endurance) เป็นความสามารถของ กล้ามเน้ือในการออกแรงอย่างต่อเน่ืองเป็นระยะเวลานาน โดยใช้พลังงานที่ถูกเก็บสะสมไว้ใน กล้ามเน้ือ โดยไม่มีการใช้ออกซิเจนในการสันดาปพลังงาน ความอดทนแบบไม่ใช้ออกซิเจนเป็น สมรรถภาพที่ช่วยให้นักกีฬา สามารถออกแรงกระทาซ้าได้บ่อยครั้งข้ึนในสภาวะท่ีมีการเมื่อยล้า เพ่ิมข้นึ
26 3. ความเร็ว หมายถึง ความสามารถในการเคล่ือนไหวหรอื เคลื่อนที่จากที่หน่ึงไปยังอีกที่หน่ึง อย่างรวดเร็ว และยังหมายถึงความเร็วในการรับรู้และตอบสนองของระบบประสาท แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ เวลาปฏิกิริยา (reaction time) เวลาการเคลื่อนไหว (movement time) และเวลา ตอบสนอง (response time) โดยสามารถจาแนกได้ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 3.1 กาลังความเร็ว (power speed) เป็นความสามารถในการออกแรงด้วยความเร็ว ระดับสูง มีความจาเป็นสาหรับนักกีฬาท่ีมีการเปล่ียนจังหวะหรือทิศทางการเคลื่อนที่บ่อยๆ เช่น บาสเกตบอล ฟตุ บอล วอลเลย์บอล เป็นต้น 3.2 ความเร็วสูงสุด (maximum speed) เป็นสิ่งจาเป็นสาหรับกีฬาประเภทที่มีการ เคลื่อนไหวหรือเคล่ือนที่อย่างต่อเน่ือง ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 10 วินาที เช่น การว่ิงด้วย ความเรว็ สูงสดุ ในระยะเวลาสนั้ ๆในกีฬาประเภททีมการวิ่ง 100 เมตร และการว่ายน้า 50 เมตร 3.3 ความเร็วอดทน (speed endurance) เปน็ ความเร็วท่ีจาเป็นสาหรับนกั กีฬาประเภท ทมี่ กี ารเคล่อื นไหวรวดเร็วและปฏบิ ัตซิ า้ เปน็ ช่วง ๆ 4. ความอ่อนตัว เป็นความสามารถในการเคลื่อนไหวของข้อต่อ การยืดหยุ่นของเอ็น กล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อ ข้อต่อนั้นๆ ความอ่อนตัวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของ กล้ามเนอ้ื เอ็นกล้ามเน้ือ และพังผืดรอบข้อต่อ นักกีฬาที่มีความอ่อนตัวดีจะส่งเสริมการเคลื่อนไหวได้ อย่างมีประสิทธภิ าพและสามารถ ป้องกนั การบาดเจบ็ จากการเล่นกีฬาได้เป็นอยา่ งดี 5. การประสานสัมพันธ์ในการเคลื่อนไหว เป็นความสามารถในการปฏิบัติการเคล่ือนไหวที่มี ความสลับซับซ้อน โดยการใช้ร่างกายหลายส่วนมาประกอบกัน เพ่ือให้ปฏิบัติทักษะการเคล่ือนไหว ตามท่ี ตอ้ งการ โดยองค์ประกอบสาคัญ ของการประสานสัมพันธ์ในการเคล่ือนไหว ได้แก่ จังหวะและ ความแมน่ ยา เอดเวิร์ด และ แฟรงค์ (Edward & Frank, 1992) ได้แบ่งองค์ประกอบสมรรถภาพทางกาย ไว้ 4 ประเภท ซ่ึงประกอบด้วยดงั นี้ 1. ความแข็งแรง (strength) 2. ความอ่อนตัว (flexibility) 3. ความยดื ของกล้ามเนือ้ (muscle stretching) 4. ความอดทนของกล้ามเนื้อ (muscular endurance) ไคร์เคนดอลล์ กูร์เบอร์และจอนสัน (Kirkendall, D.R., Gurber, J.J. and Johnson, R.E., 1987) ไดจ้ าแนกองคป์ ระกอบสมรรถภาพทางกายพน้ื ฐานไว้ 5 ประเภท ซง่ึ ประกอบด้วยดงั น้ี 1. นา้ หนกั และองค์ประกอบของร่างกาย (body weight and body composition) 2. ความอ่อนตัว (flexibility) 3. ความแข็งแรงของกระดูกกล้ามเนื้อ (musculoskeletal fitness) 4. การตอบสนองของระบบกล้ามเน้อื และระบบประสาท (neuromuscular relaxation) 5. ความอดทนของระบบไหลเวียนเลอื ด (cardio respiratory endurance) นอกจากนี้ มอรโ์ รว์, และคนอ่นื ๆ (Morrow, Jr., et al, 2000, 24) ไดจ้ าแนกองคป์ ระกอบ ของสมรรถภาพทางกาย เพ่ือสุขภาพท่ดี ีไว้ 5 ประเภท ดงั นี้ 1. องคป์ ระกอบของร่างกาย (body composition)
27 2. ความแข็งแรงของกล้ามเนอ้ื (muscular strength) 3. ความอดทนของกล้ามเนือ้ (muscular endurance) 4. ความอ่อนตวั (flexibility) 5. ความอดทนของระบบไหลเวียนเลือด (cardiovascular endurance) บูมการ์ดเนอร์และแจ็คสัน (Baumgartner & Jackson, อ้างถึง สุทธิพงศ์ ภูเก้าแก้ว, 2559, 20) กล่าวถึงสมรรถภาพกลไกเกี่ยวกับแบบทดสอบว่ามีจานวนมากและมีความแตกต่างกันแต่ แบบทดสอบทัง้ หมดท่ีมีความเหมอื นกัน คอื วัดความสามารถพ้ืนฐานดงั นี้ 1. ความอดทนของกล้ามเนื้อ แขน และหัวไหล่ แบบทดสอบท่ีใช้คือ ดึงข้อ ดันพื้น งอแขน หอ้ ยตวั 2. ความอดทนของกล้ามเนื้อทอ้ ง แบบทดสอบที่ใช้ คอื ลุก-นง่ั แบบขาเหยียด หรืองอขา 3. ความคล่องแคล่วว่องไว แบบทดสอบท่ีใช้คือ วงิ่ เก็บของ 4. ความเร็ว แบบทดสอบที่ใช้ คือ ว่งิ 50 หลา 5. ความสามารถในการกระโดด แบบทดสอบที่ใช้ คือ กระโดดขีดฝาผนัง หรือ กระโดดไกล วัดกาลงั และความอดทน จากการศึกษาองค์ประกอบของสมรรถภาพทางกายสามารถจาแนกและสรุปถงึ องค์ประกอบ ของสมรรถภาพทางกายเพอ่ื สขุ ภาพ สามารถจาแนกและสรุปได้ดังน้ี 1. องคป์ ระกอบของร่างกาย 2. สัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 3. ความแขง็ แรงของกล้ามเนือ้ 4. ความอดทนของกล้ามเนือ้ 5. ความอ่อนตวั 6. ความอดทนของระบบไหลเวียนโลหติ และการหายใจ ดังนั้น องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกายมีด้วยกันหลายด้านด้วยกันตามหลักวิชาการแต่ ในวิจัยเล่มน้ีผู้วิจัยได้เลือกใช้ แบบทดสอบทางสมรรถภาพทางกายของนักเรียนตามแบบของกรมพล ศึกษา ปี 2562 ซงึ่ ปรับปรงุ เหมาะสมกบั บริบทในการจัดกจิ กรรมการเรียนร้ใู นสถานศกึ ษาระดับเลก็ ถึง ระดับกลางที่มีขีดจากัดกัดในเรื่องของพื้นที่ สนามกฬี าหรือลู่ว่ิงระยะไกล ในที่นี้ผู้วิจัยได้เลือกทดสอบ ในด้านองค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย ประกอบด้วย 1) ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ (muscle strength) 2) ความอดทนของกล้ามเน้ือ (muscle endurance) 3) ความอ่อนตัว (flexibility) 4. ความอดทนของระบบหวั ใจและไหลเวยี นเลอื ด (cardiovascular endurance) 3.3 หลกั การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย หลักการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย คือแนวทางวิธีปฏิบัติในการทาให้ร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ สามารถปฏิบัติงานหรือภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างถูกหลักวิธี จากการศึกษาและ คน้ คว้ามีนกั วชิ าการและหน่วยงานทีเ่ กี่ยวข้องให้ความหมายคือ การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทาให้มีบุคลิกภาพทาง ร่างกายแข็งแรง สามารถประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างเสริมสมรรถภาพ
28 ทางกายนั้นส่วนใหญ่นิยมนา “FITT” มาใช้ในการปฏิบัติ ประกอบไปด้วย (สมชาย ลี่ทองอิน, 2556, 18) F = Frequency = ความบ่อย I = Intensity = ความหนกั หรอื ความเหนื่อย T = Time = ความนาน T = Type = ชนดิ หรอื ประเภทของกจิ กรรม วธิ ีสรา้ งเสริมสมรรถภาพทางกาย (ศิริราชฟิตเนสเซ็นเตอร์ คณะแพทศาสตร์ศริ ิราชพยาบาล, 2555) ดงั น้ี 1. การควบคมุ นา้ หนักตัว นา้ หนกั ตวั เป็นสิง่ ท่ีประเมินสุขภาพไดใ้ นเบือ้ งตน้ เนอื่ งจากนา้ หนัก ท่ีมากหรือ น้อยเกินจะเป็นดัชนีบอกภาวะบางอย่างของร่างกายได้ เช่น ภาวะที่ร่างกายมีไขมันมาก เกนิ ไป ภาวะที่ร่างกายขาดแคลนอาหาร รวมถึงภาวะความเจบ็ ปว่ ยบางประการ เป็นต้น การประเมิน ความอ้วน หรือความผอม อาจพิจารณาได้จาก \"ดัชนีมวลกาย\" (Body Mass Index, BMI) ซ่ึงเป็น ความสัมพันธ์ ระห่วงน้าหนักตัวกับส่วนสูง การควบคุมน้าหนักตัว มีจุดประสงค์หลักเพ่ือความคุม ปรมิ าณไขมนั สว่ นเกิน ไมใ่ ชล่ ดปริมาณน้าในร่างกาย น้าหนกั ตวั ทช่ี ั่งไดจ้ ากเครื่องชั่ง ถือว่าเป็นนา้ หนัก ท่ีมีน้าและไขมันเป็นองค์ประกอบ ปัจจุบันมีผู้นิยมควบคุมน้าหนักตัวด้วยวิธีการท่ีเส่ียงและเป็น อันตราย เช่นการรับประทานยาบางชนิด การอบไอน้า การเข้าห้องเซาน่าหรือการไม่รับประทาน อาหาร วิธีการควบคุมน้าหนักตัวให้ได้อย่างรวดเร็ว ให้ได้สัปดาห์ละ 2 กิโลกรัมขึ้นไปถือว่าเป็นวิธีที่ อันตรายมาก เม่ือหยุดลดน้าหนักแล้วน้าหนักอาจจะขึ้นได้เกือบทันที การควบคุมน้าหนักตัวที่ถูกต้อง ตามหลักวิชาการและไมเ่ ป็นอันตรายควรควบคุมการรับประทานอาหารเป็น กล่าวคอื การรับประทาน อาหารประเภทแป้ง น้าตาลและไขมนั ให้พอเหมาะกบั กิจกรรมประจาวัน เพิม่ การรับประทานอาหารที่ มีใยอาหาร เช่น พืชผักและผลไม้ ที่มีรสหวานไม่มากนักและเสริมด้วยการออกกาลังกายให้เหมาะสม กบั เพศและวัยตามคาแนะนาของแพทย์ นักวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า และนักโภชนาการ 2. การเพิ่มความจุปอด การออกกาลังกายทุกประเภทช่วยเพิ่มความจุปอดไม่มากก็น้อย การ ออกกาลังกายติดต่อกันเป็นเวลานาน 20-30 นาที จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อท่ี เกี่ยวข้องกับการหายใจมีผลทาให้ความจุปอดเพ่ิมข้ึน นอกจากน้ีการบริหารปอดดว้ ยการสูดลมหายใจ เข้าให้ลึกเต็มปอดสลับกับการหายใจออกจนรู้สึกว่าลมหมดปอด จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของ กล้ามเน้ือท่ีเก่ียวข้องกับการหายใจและทาให้ปอดยืดหยุ่นดีขึ้น วิธีการนี้ควรปฏิบัติซ้าหลาย ๆ คร้ัง ควรปฏิบัติ อย่างน้อย วันละ 10-20 ครั้ง อาจแยกปฏิบัติเป็นช่วงเวลา เช่นช่วงเช้า 10 คร้ัง ช่วงเย็น 10 ครง้ั ก็ได้ 3. การเพ่ิมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ ผู้ท่ีสนใจออกกาลังกายเพื่อเพ่ิมความแข็งแรงของ กล้ามเน้ือ ควรเลือกบริหารกลมุ่ กลา้ มเนอ้ื ที่อ่อนแรงและไม่ได้ใช้งานมากนัก สาหรับผู้ท่ีมีอายุมากกว่า 30 ปี การออกกาลังกายที่มุ่งเน้นเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเน้ืออาจไม่จาเป็นเท่าการออก กาลังกายที่ส่งเสริมสมรรถภาพระบบไหลเวียนและระบบหายใจ การเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ ด้วยการฝกึ ยกนา้ หนักโดยใช้อปุ กรณย์ กน้าหนักแบบต่าง ๆ มีผลให้ความดนั โลหติ เพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นอันตรายได้ ดังน้ันผู้สูงอายุและผู้มีประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดคว ร
29 หลีกเลี่ยงการออกกาลังกายแบบนี้ผู้ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ ใด ๆ สามารถ ทาไดโ้ ดยใช้น้าหนักรา่ งกายของตนเองหรอื ใช้อุปกรณ์ทไ่ี ม่มีการเคล่ือนที่ ได้แก่ การลกุ - น่ัง การดึงข้อ การกามือใหแ้ น่น การดันฝ่ามือเขา้ หากนั วธิ ีเหลา่ นนี้ อกจากจะประหยดั เงนิ แล้วยังเสย่ี ง ต่อการบาดเจบ็ และได้รบั อนั ตรายน้อยกว่าการใช้อปุ กรณย์ กน้าหนัก 4. การเพ่ิมความอ่อนตัว กิจกรรมที่เพ่ิมความอ่อนตัวควรเป็นกิจกรรมท่ีเน้นการยืดเหยียด กล้ามเน้ือบริเวณส่วนท่ีเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มพิสัยการเคลื่อนไหว ซ่ึงสามารถทาได้หลายท่า เช่น ท่า น่ังเยยี ดขา ท่านั่งก้มตัวและทา่ มอื แตะปลายเทา้ ปฏิบัติแตล่ ะท่าค้างไวป้ ระมาณ 10-15 วินาที และให้ ปฏิบัติก่อนและหลังการออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกาลัง กายและเพิม่ สมรรถภาพทางกายได้ 5. การเพิ่มสมรรถภาพของการไหลเวียน การเพ่ิมสมรรถภาพของการไหลเวียนสามารถทาได้ โดยการฝึกออกกาลังกายที่ไม่เหน่ือยเกิน กิจกรรมที่ทาควรเป็นกิจกรรมเคลื่อนไหวด้วยความหนัก ระดับปานกลางตามกาลังของแตล่ ะคนและสามารถปฏบิ ัติได้อยา่ งต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 15-20 นาที ปฏิบัติอย่างนอ้ ยสัปดาหล์ ะ 3 วนั ตัวอย่างกิจกรรมทีช่ ่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบไหลเวียน ได้แก่ การ เดินเร็ว การวิ่งเหยาะ การปั่นจักรยาน การฝกึ เลน่ กีฬาหลายชนดิ เป็นต้น จากหลักของ “FITT” และนักวิชาการหลายท่าน สรุปได้ว่า การออกกาลังกายท่ีสามารถ รกั ษาหรือเพ่ิมกาลังเพ่ือสุขภาพได้ ต้องปฏิบัติอย่างน้อย 3 - 5 คร้ังต่อสัปดาห์ และต้องมีความเหนื่อย ในการออกกาลังกาย ในช่วง 55-85% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด และถ้าออกกาลังกายท่ีมีความ เหน่ือยน้อยกว่า 50% อัตราการเต้นหัวใจสงู สุดจะไม่มีผลต่อการเพิ่มสมรรถภาพทางกาย ส่วนเวลาที่ ใช้ในการออกกาลังกายในแตล่ ะครัง้ ก็ต้องนานติดต่อกันอย่างน้อย 15 - 30 นาที และทส่ี าคญั ประเภท ของกิจกรรมการออกกาลังกาย ต้องเป็นกิจกรรมท่ีใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ออกแรง เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้า ปั่นจักรยาน เป็นต้น ซ่ึงหลักของการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับประถมศึกษา ให้มีสุขภาพกาย สุขภาพจติ ทแ่ี ข็งแรงสมบูรณ์เพ่ือชว่ ยกระตุ้นให้กล้ามเน้ือสมองเกิดการตอบสนองต่อ กิจกรรมการเรียนรู้การฝึกสมรรถภาพทางร่างกายโดยใช้หลัก ความถี่ (frequency) คือ 3 วันต่อ สัปดาห์เพื่อช่วยลด หลักการฝึกซ้อมเกินไป (over training principle) เพื่อให้นักเรียนผู้ฝึกเกิดความ ผ่อนคลายระหว่างฝึกซ้อมและมีความกระตือรือร้นที่จะฝึกต่อหลังจากได้พักมาแล้ว นอกจากนี้การ เพม่ิ ความจุปอดและสมรรถภาพการไหลเวียน ยังสามารถช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายไดอ้ กี ด้วย 4. มวยไทย 4.1 ความหมายของมวยไทย มวยไทย หมายถึง ศลิ ปะการตอ่ สู้ศิลปะการต่อสู้ป้องกนั ตวั ของชนชาติไทยทีใ่ ชอ้ วัยวะ ต่าง ๆ ของร่างกาย เรยี กวา่ นวอาวุธ คอื อาวธุ ท้งั 9 ได้แก่ ศรี ษะ มือ (หมดั ) เทา้ เขา่ ศอก เปน็ อาวุธในการ ตอ่ สูป้ ้องกันตัวมาตง้ั แตอ่ ดตี สันนิษฐานว่าเกิดขน้ึ มาพร้อมกับชนชาติไทยเพราะชนชาติไทยในสมัยอดีต ใช้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายต่อสู้กับข้าศึก ป้องกนั ตัวเองป้องกันพอ่ แม่ พี่ น้องและบุคคลในหมู่บ้าน แล้วยังใช้ในการดารงชวี ติ เพื่อให้คงอยู่ซ่ึงเผ่าพนั ธุ์ไทย นอกจากน้ียังเป็นศิลปะท่ีแสดงออกถงึ กลยุทธ์ท่ี สามารถใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เคล่ือนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไวในการต่อสู้ป้องกันตัว
30 และมีดนตรีประกอบในขณะการแข่งขัน เป็นกีฬาที่เสริมสร้างประสิทธิภาพในการทางานของระบบ ต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยพัฒนาทางด้านจิตใจ ความสุขุมรอบคอบ ความอ่อมน้อมถ่อมตน มีความ เชื่อม่ันในตนเองสูง สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในการตัดสินใจ นั้นจะตอ้ งเด็ดขาดรวดเร็วในชั่วพริบตาเดยี วซง่ึ หากได้ฝึกหัดมวยไทยอยู่เสมอจะช่วยให้ผู้ฝึกนั้นเป็นผู้มี ประสิทธิ ภาพและมไี หวพริบในการแก้ปญั หาตา่ ง ๆ ในสงั คมไดด้ ี วิชิต ชี้เชิญ (2552, 15) กล่าวถึงทักษะกีฬามวยไทยว่าเป็นวิธีการต่อสู้ป้องกันตัวท่ีเรียกว่า มวยไทยขึ้นมาด้วยความชาญฉลาดการเรียนมวยไทยของคนไทยโบราณน้ันเป็นเครื่อง มือที่ใช้สอนคน ให้เป็นคนดีทีม่ ีความสามารถในการต่อสู้ ป้องกันตัวและป้องกนั ชาติการใช้ความรู้การตอ่ สู้ป้องกันตัว น้ีใช้เม่ือยามจาเป็นและใช้อย่างมีคุณธรรมท่ีกล่าวเช่นนี้เพราะครูที่สอนการต่อสู้ป้องกันตัวคือพระซ่ึง เป็นท่ีม่ันใจได้ว่าท่านต้องสอนคนให้เป็นคนดีมีหลักธรรมประจาใจ ดังน้ันปรัชญาการของการสอน ผเู้ รียนมวยไทยหรือการต่อสปู้ ้องกนั ตัวคือ “การสอนคนก่อนสอนทักษะการต่อสู้” “มวยไทย” เป็นศิลปะการต่อสู้ที่ใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นอาวุธธรรมชาติ ได้แก่ หมัด เท้า เข่า ศอก เป็นการต่อสู้ท่ีใช้ได้ในระยะใกล้ตัวและประชดิ ตัว เป็นการต่อสู้ท่ผี สมผสานของ ศาสตร์ และศลิ ปไ์ ด้อย่างสวยงามมหัศจรรยแ์ ละมีอันตรายอยา่ งยิ่ง มวยไทยไดว้ ิวัฒนาการมาหลายช่ัว อายุคน จึงสั่งสมวัฒนธรรมและประเพณีของไทยไว้หลาย ๆ ด้านอย่างผสมผสานกลมกลืน เช่น ความเชื่อ ใน เร่อื งจติ วญิ ญาณ คาถาอาคม ดนตรี วรรณกรรม คณุ ธรรมและจริยธรรม เปน็ ตน้ ในสมัยโบราณมวยไทยมีความส้าคัญต่อความม่ันคงของชาติ และราชบัลลังก์ของ พระมหากษตั ริย์ นกั มวยไทยในอดีตจะไดร้ ับการฝึกอบรมให้เป็นผเู้ สยี สละ ซื่อสตั ย์ สุจรติ มีความภกั ดี ตอ่ ชาติ ศาสนาและพระมหากษตั รยิ ์ เพราะในสมัยนั้นบคุ คลใดจะพกพาอาวุธเขา้ ไปในพระราชวังไมไ่ ด้ นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ นักมวยไทยในสมัยน้ันจึงได้รับการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นราช องครักษ์ ตารวจ มหาดเล็ก และครูฝึกมวยไทยให้กับลูกหลานในพระราชวงศ์และ ขุนนางช้ันสูงใน พระราชสานัก ซ่ึงพระมหากษัตริย์ไทย แทบทุกพระองค์รวมท้ัง นักรบทุกคนจะต้องผ่านการ อบรม ฝึกฝนอาวุธและการต่อสู้ระยะประชิดตัวเพ่ือใช้ต่อสู้กับข้าศึกในประวัติศาสตร์ไทย พระมหากษัตริย์ หลายพระองค์ท่ีทรงเชี่ยวชาญในศิลปะมวยไทย เช่น พ่อขุนรามคาแหงมหาราช สมเด็จพระนเรศวร มหาราช และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นต้น และสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (ขนุ หลวงสรศักดิ์) หรือพระเจ้าเสือ พระองค์โปรดและทรงฝึกฝนศิลปะมวยไทยจนเชี่ยวชาญเคยปลอม พระองค์เข้า แข่งขันชกมวยจนชนะนักมวยฝีมือดี 3 คนรวดในคราวเดียวกัน พ.ศ. 2310 หลังกรุงศรีอยุธยาแตก นายขนมต้มนักมวยไทยถูกพมา่ จับตวั ไปเปน็ เชลยและถูกจัดให้แข่งขันชกมวยกับนักมวย พม่าต่อหน้า พระพักตร์ของพระเจ้ากรุงหงสาวดี ตรงกับวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2313 นายขนมต้มใช้วิชา ศิลปะ มวยไทยเอาชนะนักมวยพม่าได้ถึง 9 คน 10 คน จนได้รับพระราชทานคาชมเชยและรางวัลจานวน มากจากพระเจ้ากรุงหงสาวดี นายขนมต้มจึงได้ช่ือว่า “บิดาของมวยไทย” (สมบูรณ์ ตะปินา. 2553, 11-12) มวยไทยเปน็ ท้ังศาสตร์และศิลป์ เป็นเคร่ืองมือ ท่ีใช้ในการฝึกคนท่ีวเิ ศษอย่างหน่ึง เพราะการ ฝึกมวยไทยช่วย พัฒนาร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสติปัญญา ให้เป็นผู้มีความ สมบูรณ์ท้ังกาย ใจ สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข นอกจากน้ีมวยไทยยังเป็นสื่อที่ทาให้ชาวตา่ งชาติเข้าใจและช่ืน ชมประเพณวี ฒั นธรรมไทยมากขน้ึ อกี ดว้ ย (กรมสง่ เสริมวฒั นธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, 2553, 5)
31 กล่าวโดยสรุปมวยไทย คือ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของคนไทยท่ีใช้หลักพ้ืนฐานคือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายท่ีธรรมชาติให้มา เรียกว่า นวอาวุธ อันได้แก่ หน่ึงศีรษะ หมัดท้ังสองข้าง ศอกท้ังสอง ข้าง เข่าท้ังสองข้างและเท้าทั้งสองข้าง ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนในการต่อสู้ป้องกันตัวเองป้องกัน ครอบครัวและเพ่ือปกป้องผืนแผ่นดิน จากภัยธรรมชาติ จากข้าศึก ซ่ึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมท่ี บรรพบรุ ษสบื ทอดกนั มาจากรนุ่ ส่รู ุ่นถือเป็นภมู ปิ ัญญาอนั ลา้ ค่า ท่ีควรส่งเสรมิ อนุรกั ษใ์ ห้คงอยู่สืบไป 4.2 ความสาคญั ของมวยไทย ปัจจุบันมวยไทยนอกจากจะรู้จักกันทั่วไปในรูปแบบการต่อสู้บนเวทีเพ่ือชกเป็นอาชีพเล้ียง ตนเองและครอบครวั แลว้ ทางภาครฐั และเอกชนยังสง่ เสริมสนับสนุนลงไปยงั สถานศกึ ษา กจิ การธรุ กิจ ที่ประกอบการเกี่ยวกับมวยไทย เรียกว่าทุกภาคส่วนส่งเสริมสนับสนุนเพ่ืออนุรักษ์ศิลปะ วัฒนธรรม ประจาชาติไทยให้คงอยู่ ซึ่งมีหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นมวยไทยเพื่อการออกกาลังกาย มวยไทยเพ่ือ การแข่งขันท้ังอาชีพและสมัครเล่น กายบริหารมวยไทย คีตะมวยไทย นาฏมวยไทย ค่ายมวยไทยท้ังใน และต่างประเทศ ยิมสม์ วยไทย ฟิตเนสมวยไทย มวยไทยเพื่อการท่องเที่ยวฯ จะเหน็ ไดว้ ่าปัจจุบันมวย ไทยมบี ทบาทสาคญั ต่อสังคมไทยและสังคมโลกกวา่ 200 ประเทศ ท่เี หน็ ความสาคัญและกอ่ ประโยชน์ มากมายนัปการตอ่ ระบบเศรษฐกิจและสงั คมชาติ ดังมผี ูใ้ หค้ วามสาคญั ของมวยไทยไว้ดงั นี้ ความสาคัญของมวยไทย คือการฝึกมวยไทยก่อให้เกิดการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม สร้างความมีระเบียบวินัยและส่งเสริมอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม เป็นศิลปะการต่อสปู้ ้องกันตัวที่สามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ในยามคับขันได้อีกด้วยนอกจากนี้ การฝึกมวยไทยยังใช้ได้ในการแสดงศิลปะมวยไทย และยังนาไปเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้แก่ตนเองอีก ด้วย (กรมส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งชาติ, 2553, 3) ความสาคัญของมวยไทยมีมวยไทยมีความสาคัญต่อ บคุ คล ชุมชนและสงั คม รวมทั้งประเทศชาติดงั น้ี ม 1. มวยไทยสาคัญต่อบคุ คลบคุ คลท่ีฝึกมวยไทยจะมีพฒั นาการทางกาย อารมณ์ สงั คม จิตใจ และสติปัญญาสามารถปรับตวั อยู่ในสงั คมได้ความสขุ 2. มวยไทยสาคัญต่อชุมชนและสังคม กิจกรรมการชกมวยไทยเป็นกิจกรรมทางสังคม ร่วมกันหลายคน เมื่อมีการแข่งขันในโอกาสต่าง ๆ ย่อมเป็นกิจกรรมการออกกาลังและนันทนาการ สนกุ สนานไปดว้ ยกัน 3. มวยไทยสาคัญต่อประเทศชาติ ประเทศไทยใช้วิชามวยไทยป้องกนั การรกุ รานจากชาติอื่น พระเจ้าตากสินและทหารกล้าใช้วิชามวยไทยกอบกู้ราชบัลลังก์จากพม่า ดังน้ันวิชามวยไทย จึงเป็น ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ในการชว่ ยปกปอ้ งกอบกอู้ ิสรภาพ พิทักษ์ราชบลั ลงั ก์และพระมหากษัตริย์ 4. มวยไทยสาคัญต่อนานาชาติปัจจุบันชาวต่างชาติหันชกมวยไทยกันมากท้ังในและ ตา่ งประเทศ ทาให้เข้าใจวิถชี วี ิต และขนบธรรมเนยี มวฒั นธรรมประเพณขี องไทยดังน้ันมวยไทยจึงเป็น มรดกของชาวโลกท่เี กดิ จากภมู ิปัญญาของคนไทย 5. มวยไทยคู่ราชบลั ลงั ก์นักมวยได้ใช้วชิ ามวยไทยเข้ารับราชการในกรมทนายเลือกหรือกรม นกั มวย รับราชการสนองคุณพระมหากษัตริย์และพทิ กั ษ์ราชบัลลังก์ 6. มวยไทยช่วยทาให้ชาติมั่นคง ความมั่นคงทางวัฒนธรรม คือเป็นความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะด้านเอกลักษณ์ไทยถือว่าเป็นทุนทางสังคมร่วมกันที่หล่อหลอมบุคลิกภาพรวมใจของคน
32 ไทยให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน มวยไทยจึงจัดเป็นส่ือในการสร้างทุนทางสังคมด้านวัฒนธรรมได้อย่างย่ังยืน (สานกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ, 2553, 4) สรุปได้ว่ามวยไทยมีความสาคัญ ต่อบุคคลท่ีที่ได้ศึกษาเรียนรู้ ปฏิบัติ ทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและสติปัญญา เป็นทูตทางวัฒนธรรมในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียม ประเพณใี ห้ชาวโลกสามารถเข้าถึง เข้าใจ รูจ้ กั ประเทศไทยไดช้ ัดเจนยง่ิ ขึน้ 4.3 ประโยชนข์ องมวยไทย การฝึกมวยไทยก่อให้เกิดประโยชน์นานัปการต่อผู้ได้ฝึกหัดมวยไทยทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ดังนี้ 1. มวยไทยช่วยพัฒนาการทางกาย ชว่ ยทาให้รา่ งกายสมบรู ณแ์ ขง็ แรงมีสมรรถภาพในการ ปฏบิ ัติงานไดด้ ี มีทรวดทรงดี มีบุคลกิ ภาพท่ีเหมาะสมในการเป็นผู้นา มที รวดทรงสง่างามสมชายชาตรี 2. มวยไทยช่วยพัฒนาการทางอารมณ์ การออกกาลังกายการฝึกซ้อมการแสดงศิลปะมวย ไทย และการแขง่ ขนั จะพบท้ังความผดิ หวัง และความสมหวงั รวมทั้งความเจบ็ ปวดทางด้านร่างกาย ดังนั้นนักกีฬามวยไทย จึงต้องมีความอดทน อดกล้ัน เป็นอย่างดีจึงจะสามารถเป็นนักกีฬา มวยไทย นักกีฬาที่มีประสบการณ์กับการพ่ายแพ้ และการชนะจากการแข่งขันบ่อย ๆ จะมีอารมณ์ มั่นคงสูงมี ความเช่ือม่ันตนเอง เพราะกีฬามวยไทยต่างกับกีฬาประเภทอ่ืน ตรงท่ีเม่ือพ่ายแพ้ในการ แข่งขันแต่ละครัง้ จะไมผ่ ิดหวังอย่างเดียว ยังตอ้ งเจ็บและรา่ งกายยงั บอบช้าดว้ ย 3. มวยไทยช่วยพัฒนาการทางด้านสังคม และเป็นศิลปวัฒนธรรมด้านหนึ่ง ผู้ฝึกหดั มวยไทย และนักกีฬามวยไทยก็เสมือนผู้รักษา ทานุบารุง และดารงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ของไทย ท้ังเป็น เครื่องยึดเหนี่ยวโน้มน้าวให้ชาวไทยรักหวงแหนและสามคั คใี นหมู่คณะ อันเป็นส่วนส่งเสริมให้ประเทศ ชาติ มีความม่ันคงสืบไป นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนที่ใช้เวลาว่างในฝึกซ้อมมวยไทย เพราะนอกจากจะได้รู้จักออกกาลังกาย และเรียนรู้ศิลปะมวยไทยไปพร้อม ๆ กันแล้วยังสร้างความ อบอุ่น ความมีน้าใจเป็นนักกีฬา รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่ประพฤติตน อันธพาเป็นนักเลง ไม่ติดยาเสพติด มวยไทยจึงเป็นส่วนช่วยขัดเกลานิสัยใจคอให้เยาวชนไม่ประพฤติผิด หันมาทาความดี อนั เป็นทางทจ่ี ะช่วยพัฒนาสังคมให้เจรญิ กา้ วหน้าต่อไป 4. มวยไทยช่วยพัฒนาการทางด้านจิตใจเนื่องจากมวยไทย เป็นศิลปวัฒนธรรมดังนั้น ขบวนการของมวยไทย จึงมีการขึ้นไหว้ครู ครอบครู ไหว้ครู การนับถือผู้ประสิทธิ์วิทยาการทางมวย ไทย ให้การเคารพนับถือผู้ท่ีมีคุณวุฒิภาวะสูงกว่า การรู้จักเสียสละ กาลังกาย กาลังใจเพื่อคนอื่น ซ่ือสัตย์สุจริต ความยุติธรรม มีมารยาท มีระเบียบ วินัย กล้าหาญ อดทน มีน้าใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ ชนะ รอู้ ภัย มสี ตปิ ัญญา ไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จะเห็นได้ว่านักมวยทั่วไปเมื่อจะฝึกซ้อม ทั่วไปจะทาการระลึกนึกถึง บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ โดยการประนมมือไหว้อุปกรณ์การฝึกซ้อม ไหว้ผู้จับเป้า หรือคู่ซ้อม เมื่อเวลาแข่งขันก็จะไหว้หรือโค้งให้คู่ต่อสู้และกราบไหว้ที่มุมของตนเอง เมื่อ สิน้ การแขง่ ขันก็จะไปแสดงความเสยี ใจกับฝ่ายของผู้แพ้ ส่วนผู้แพ้กแ็ สดงความรู้สึกให้อภัย ซ่ึงดงั กล่าว นเ้ี ป็นมารยาทอนั ดีงามของมวยไทยที่ปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านาน 5. มวยไทยช่วยสร้างเสริมคุณธรรม จากประวัติศาสตร์ทาให้เห็นเด่นชัดว่า การฝึกมวยไทย น้ัน สามารถสร้างเสริมคุณธรรมและจริยธรรมด้านต่าง ๆ ให้เกิดในตัวนักมวยไทย เช่น ความซ่ือสัตย์
33 สุจริต ดังเช่น นายทองดี ฟันขาว (พระยาพิชยั ) แสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าตากสินมหาราช และ เด็กชายบุญเกิด ที่เรียนมวยไทยกับ นายทองดี ฟันขาว (พระยาพิชัย) ได้เฝ้าติดตามรับใช้ร่วมรบเคียง บา่ เคียงไหล่กบั พระยาพิชยั จนกระทั่งเสยี ชีวิตในสนามรบเพอื่ ปกป้องคุ้มครองพระยาพชิ ัย (สานักงาน คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, 2553, 5) กล่าวโดยสรุปมวยไทยมีประโยชน์ ต่อผู้ได้ศึกษาเรียนรู้ ปฏิบัติ ด้านร่างกายช่วยให้มีสุขภาพ ร่างกายที่แข็งแรงสมบรู ณ์ มีบคุ ลิกภาพท่ีดี กอ่ ให้เกดิ คุณธรรมอันดงี ามแก่จิตใจ เสริมสร้างพัฒนาการ ทางด้านอารมณ์ ชุมชนและสังคมให้เด็กและเยาวชนของชาติห่างไกลยาเสพติดและสามารถสร้าง ช่อื เสยี งใหต้ นเองและประเทศชาตไิ ด้ 5. เชิงมวย เชิงมวย หมายถึง ท่าทางของการใช้นวอาวุธในการต่อสู้ การใช้เท้า เข่า หมัด และศอก เป็น ท่าทางหรือแบบแผนในการฝึกใช้อาวุธในแนวทางต่าง ๆ ถือเป็นพ้ืนฐานสาคัญในศิลปะมวยไทย เชิง มวยจะประกอบไปด้วยเชิงหมัด เชิงศอก เชิงเข่าและเชิงเท้าซ่ึงแต่ละเชิงจะถูกคัดเลือกมาใช้เพื่อให้ เหมาะสาหรับการออกกาลงั กายของนกั เรียนระดบั ประถมศึกษา ทั้งหมด 65 เชิง ซง่ึ ประกอบดว้ ย เชิงหมดั มีทัง้ หมด 15 เชิง ดงั น้ี 1. กาจิกไข่ คอื หมดั ตรงนา ถ้านักมวยจดเหลี่ยมขวา ให้ใช้หมัดซ้าย ที่อยู่ช้างหน้า พุ่งไปข้างหน้าตรง ๆ หรือเหวี่ยงข้าง หมายคางหรือขากรรไกร ตรงจมูก หรือลูกตาของคู่ต่อสู้โดยแรง เพ่ือให้คู่ต่อสู้เสียหลัก แล้วรีบใช้ เชิง อน่ื ต่อไป ใช้เวลารกุ รับหรอื ถอยกไ็ ด้ การป้องกนั ใหใ้ ช้หมดั หรอื แขนขวาตบลง ถ้าเปน็ หมัดเหวี่ยงใหใ้ ช้แขนขวา ปัดไปขา้ งขวา การตอบแก้ ใชเ้ ข่าขวาพุง่ ตรงหมาย ชายโครงขา้ งซ้ายคตู่ ่อสู้ ภาพประกอบที่ 2 เชิงหมดั กาจกิ ไข่ ทม่ี า : ชาญชัย ยมดษิ ฐ์, และคนอ่ืน ๆ (2553, 124)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245