Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

Published by วิทย บริการ, 2022-07-02 02:20:56

Description: กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

Search

Read the Text Version

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 87 9.เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการวางแผน การดาเนินกจิ กรรม และการประเมินผล การเรยี นการสอน 10. มกี ารสง่ เสรมิ ความคดิ รเิ ริม่ สร้างสรรค์ ส่งเสรมิ การคิดทาสง่ิ ใหมๆ่ ทด่ี ีมปี ระโยชนไ์ ม่ เลียนแบบใครส่งเสรมิ กจิ กรรมสทุ รยี ภาพรอ้ ยกรองวาดภาพและแสดงละคร 11. มกี ารใชก้ ารจงู ใจ ในระหวา่ งเรยี น เช่น รางวัล การชมเชย คะแนนแข่งขนั การลงโทษซ่งึ จะชว่ ยใหเ้ กิดความสนใจตั้งใจขยนั หมน่ั เพยี รในการเรียนและทากิจกรรม 8.3 เนื้อหาวชิ า มีความสมั พันธ์กันระหวา่ งวชิ าทเี่ รยี นกบั วิชาอื่นๆในหลกั สตู รเปน็ อย่างด(ี การสอนแบบบรู ณา การ) 8.4สื่อการสอน 1.อปุ กรณก์ ารสอนและการเรยี น รวมถึงห้องปฏิบัติการ การใชเ้ คร่ืองมอื ตา่ ง ๆ มีห้องสมุด ท่ีสมบูรณ์ และตาราทเ่ี ปน็ ภาษาของตนเอง 2. มีการใชส้ ่ือการสอน จาพวกโสตทศั นวัสดุ เพ่อื เร้าความสนใจ ชว่ ย ผู้เรยี นเขา้ ใจบทเรียนได้ งา่ ยข้ึน 8.5 สง่ิ แวดล้อม 1.ตอ้ งสร้างบรรยากาศให้เหมาะแก่การเรียนรู้ ทั้งในด้านส่ิงแวดล้อมและอารมณข์ องผเู้ รียน 2. มกี ารสง่ เสรมิ การดาเนินชวี ติ ตามแบบประชาธปิ ไตย เปิดโอกาสให้แสดงความคดิ เห็น มีการ รบั ฟังความคิดเหน็ ซงึ่ กันและกนั เคารพความคิดเห็นของผ้อู ่ืน ยกยอ่ งความคดิ เหน็ ทด่ี ี นักเรียน มสี ว่ นร่วมในการวางแผนร่วมกบั ครู 8.6 การประเมนิ ผล 1.ควรมกี ารประเมนิ ผลตลอดเวลา โดยวธิ ีการต่าง ๆ เชน่ การสงั เกต การซักถาม การทดสอบ เพอ่ื ให้แนใ่ จวา่ การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนบรรลุตามวตั ถุประสงค์ ของครตู รงตามจดุ ประสงค์ มากท่ีสดุ 2.การวดั ผลมีการป้อนกลบั และการเสรมิ แรงใชก้ ารวัดผลเปน็ สว่ นหน่งึ ของการเรยี นการสอน รูจ้ กั ออกขอ้ สอบท่ีถูกตอ้ ง ใหค้ ะแนนยุติธรรม 3. มกี ารวดั ผลการเรยี นการสอน โดยจะทาการวดั ผลเปน็ ระยะ ๆ ใหต้ ิดต่อกนั ท้ังนี้เพือ่ ให้ เกดิ ความสนใจ ตั้งใจเรยี นและยงั เปน็ การวัดความเขา้ ใจของนักเรยี นดว้ ย (หลกั การสอน.google.com/site/giftindependent สืบคน้ เมอ่ื 10 มถิ นุ ายน 2564) สรปุ หลกั การสอนที่ดี คือ ผ้สู อน วธิ ีการสอน และการเรยี นรู้ บรรยากาศ สง่ิ แวดลอ้ ม ตอ้ งมคี วามเกยี่ วข้อง สมั พนั ธก์ นั ผสู้ อนจะตอ้ งมจี รรยาบรรณแห่งความเปน็ ครู วิธีการสอนคอื กระบวนการปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ ง ผ้สู อนกบั ผู้เรียนจะตอ้ งสอดคลอ้ ง เหมาะสม เพอ่ื ทาใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมตามจดุ ประสงคท์ ่ี กาหนดไว้ มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นรูไ้ ด้ดี เพอื่ ใหก้ ารสอนบรรลตุ ามเป้าหมาย ผสู้ อนตอ้ งเตรียมการสอนมา อยา่ งดี ทาใหผ้ เู้ รียนเกิดการพฒั นาทุกดา้ น จัดการสอนอย่างมกี ระบวนการ และใหค้ รบองค์ประกอบการ สอน ไดแ้ ก่ การตั้งจดุ ประสงคก์ ารสอน การกาหนดเนือ้ หา การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน การใช้สอ่ื การ สอน และการวดั ผลประเมินผล ต้องสอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงค์ ตรงตามจดุ มงุ่ หมาย ของหลักสตู ร นอกจากน้ี ผู้สอนควรได้คานงึ ถงึ หลักพนื้ ฐานในการสอน ลักษณะการสอนที่ดี และปจั จัยสง่ เสริมการเรยี นรู้ตลอดจนรู้จัก ใชห้ ลักการสอนใหส้ อดคล้องกบั หลกั การเรยี นรหู้ ลกั จิตวทิ ยาบรรยากาศเปน็ ประชาธิปไตย กจ็ ะช่วยให้การ เรียนการสอนประสบผลสาเร็จได้ตามจุดมุ่งหมายของหลักสตู ร

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 88 9. การสอนสังคมศกึ ษา การสอนวิชาสงั คมศึกษาควรใชส้ ถานท่ีภายนอกห้องเรยี นบา้ ง ไม่ควรจาเจอยใู่ นหอ้ งเรยี นอยา่ งเดยี ว เชน่ ใหน้ กั เรยี นไปสมั ภาษณ์คนในชุมชนบ้าง ในการสอนวิชาสงั คมศึกษา ซง่ึ ลกั ษณะเน้อื หาวชิ าค่อนข้างมาก บางครงั้ ก็น่าเบื่อสาหรบั นกั เรียน ทา อย่างไรกจ็ ะทาใหก้ ารสอนของครู แตล่ ะช่วั โมงประสบผลสาเรจ็ ในท่ีนี้จะขอเสนอวิธกี ารท่ีชว่ ยใหก้ ารเรียนการ สอนสงั คมศึกษาประสบผลสาเรจ็ ดงั นี้ 1. การคุมชั้นเรยี น ในการเรยี นการสอนหากนักเรยี นไม่สามารถที่นง่ั ฟงั ได้นานๆ เกิน 20 นาที สง่ิ เหล่าน้ีมีผลตอ่ การเรียนของนกั เรียนอย่างหลกี เล่ียงไมไ่ ด้ วธิ ีการควบคุมพฤตกิ รรม ของนกั เรียนน้ันสามารถทา ไดห้ ลายวธิ ีเช่น -การแบง่ กลมุ่ ให้กล่มุ ควบคุมกนั เอง -การเสรมิ แรงด้วยการใหร้ างวลั -การลงโทษ ใช้วิธีการตดั สทิ ธใ์ิ นผลประโยชน์ทเี่ ด็กพงึ จะไดร้ ับเช่น ไม่ใหท้ างานร่วมกบั คนอ่ืน งดกจิ กรรมบางอย่าง ทเ่ี พอื่ นได้ทากนั 2. การจัดกจิ กรรมใหน้ กั เรยี นมสี ่วนรวมในการเรยี นการสอน ครูควรงดเวน้ การสอนดว้ ยการบรรยาย มากเกินไป ถ้าจะใช้กพ็ ยายามใชใ้ ห้นอ้ ยๆ เวลาสอนต้องยดึ นกั เรียนเปน็ ศนู ย์กลางให้นกั เรียนมสี ่วนร่วมมาก ทส่ี ดุ เชน่ แบ่งกลมุ่ ใหอ้ ภิปราย แสดงบทบาทสมมุติ จัดนทิ รรศการดว้ ยตนเอง การชว่ ยผลติ สอ่ื หรือใหน้ กั เรยี น มหี น้าท่ชี ว่ ยเกบ็ สอื่ เมอื่ สอนเสร็จหรือเตรยี มสอื่ ขณะสอน 3. สร้างความสนใจเรือ่ งทีจ่ ะเรยี นในชัว่ โมงดว้ ยการใชส้ ่ือ หรอื เกม หรอื กิจกรรมอืน่ ๆ เพื่อใหน้ กั เรยี น กระตอื รอื รน้ สนใจทจ่ี ะเรียนในเนื้อเรอ่ื งทจี่ ะสอน เพราะถา้ นักเรยี นมคี วามสนใจเม่ือเริม่ แล้ว การเรียนยอ่ ม ต่อเนื่องไปในทางทีด่ ี เช่น จะสอนประวตั ศิ าสตรเ์ รือ่ งการกเู้ อกราชของพระเจ้าตากสิน ครูอาจใชร้ ปู ภาพ หรือ อัดเสยี งจากละครโทรทัศนม์ าใหฟ้ งั เพื่อจะนาเข้าสกู่ ารสอนเรอื่ งทจี่ ะเรยี น 4. ควรเลือกเหตกุ ารณ์ทเี่ กิดขึ้น กาลงั อยูใ่ นความสนใจของคนทว่ั ไป มาเกรนิ่ นาเพื่อโยงสัมพันธก์ ับ เรอื่ งทสี่ อน หรอื นาเรอ่ื งที่เกิดข้นึ นามาอภิปรายร่วมกัน เชน่ การอดอาหารประท้วงรา่ งรฐั ธรรมนญู เม่อื พ.ศ. 2534 ของกลมุ่ นกั ศกึ ษา ประชาชน ครูจะใชเ้ รื่องนี้กลา่ วนาสนทนา เพอ่ื สอนเร่ืองรัฐธรรมนญู ในระบอบ ประชาธิปไตย หรอื ใชข้ า่ วทีเ่ กิดขนึ้ เป็นเนอื้ หาแล้วให้นักเรยี นอภิปรายรว่ มกัน โดยกาหนดหัวขอ้ ใหค้ รอบคลุ ม เรื่องทสี่ อน 5การสอนวชิ าสังคมศึกษาควรใชส้ ถานท่ภี ายนอกหอ้ งเรยี นบ้าง ไมค่ วรจาเจอยูใ่ นหอ้ งเรยี นอยา่ งเดยี ว เชน่ ให้นกั เรยี นไปสมั ภาษณค์ นในชมุ ชนบา้ ง บางคร้งั อาจให้นกั เรยี นไดป้ ฏิบตั จิ รงิ เชน่ การใช้บรกิ ารสหกรณ์ ร้านค้าหรอื การสร้างสถานการณจ์ าลองใหท้ ดลองปฏิบัตเิ ชน่ การเลือกตงั้ 6.ในการจดั การเรียนการสอนสงั คมศกึ ษาทกุ ครงั้ ครูควรพยายามทจ่ี ะใหม้ ีความหลากหลายกนั ในเรอ่ื ง ของรปู แบบและวธิ ีการ การสอนที่ใช้รปู แบบและวิธีการเดยี วกันตลอด (โรงเรยี นมงฟอร์ตวิทยาลัย แผนก ประถม. การสอนสงั คมศกึ ษา. https://mcpswis.mcp.ac.th สบื คน้ เมอื่ 10 มิถุนายน 2564) 10. การจดั การเรยี นการสอนในรายวิชาสังคมศกึ ษาแบบ Active learning การจัดการเรยี นการสอนแบบ Active learning เพื่อใหผ้ เู้ รียนรจู้ รงิ ในปัจจบุ ันซง่ึ เปน็ ยุคของการ ปฏิรปู การเรียนการสอน เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั นโยบายการปฏริ ปู การศกึ ษานน้ั ผสู้ อนจะต้องมกี ารพฒั นา ตนเองและมกี ารเตรียมความพร้อมสาหรับการเรยี นการสอนในรูปแบบ Active learning อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในการเรยี นการสอนในสถาบนั อุดมศึกษา ซง่ึ ผูเ้ รยี นเป็นเดก็ โต สิ่งทตี่ อ้ งเนน้ และปลูกฝังให้

89 มากท่ีสุดคอื ความรบั ผดิ ชอบตอ่ การเรียน และการพฒั นาและสร้างนสิ ัยในการเขา้ ชั้นเรยี นอยา่ งเสมอซง่ึ เป็น ปญั หาอย่างหนง่ึ ของนกั ศึกษาในระดับอดุ มศึกษา แต่กบั เด็กเลก็ มักไม่เกดิ ปญั หาเชน่ นี้เกดิ ข้นึ ทั้งนีถ้ ้าเรามุ่งหวัง ให้ผเู้ รยี นมสี ภาพการเรยี นรแู้ บบ Active ตวั อาจารยผ์ ู้สอนเองกจ็ ะตอ้ ง Active ไปดว้ ยเชน่ กัน จงึ จะเกดิ Active Learning แต่จะเกิดข้ึนไดก้ ต็ ้องมี Active Teaching ดว้ ยเช่นกนั เมื่อผู้เรยี น และผู้สอนมีความพรอ้ มมี การเตรยี มตวั ทัง้ ฝา่ ยก็จะเกดิ สภาพการเรียนการสอนท่ี Active learning ข้นึ มาได้ การกาหนดการเรยี นรแู้ บบ Active learning เปน็ สงิ่ สะทอ้ นให้เหน็ ถงึ ความคดิ ท่แี ตกต่างของผเู้ รยี น เราจะเหน็ วา่ รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีผสู้ อนใช้มากทีส่ ดุ คอื การพูดและนักเรียนเปน็ ผฟู้ งั แต่การเรยี นการสอน ในลักษณะนี้จะไมส่ ามารถพฒั นาใหผ้ เู้ รยี นนาความรทู้ ไ่ี ด้จากการเรยี นในหอ้ งเรียนไปปฏบิ ตั ิได้ดดังนัน้ ผสู้ อน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ต้องสร้างโอกาสให้ผเู้ รียน ได้มีส่วนร่วมทาหนา้ ทเี่ พื่อชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเขา้ ใจและเกิดเปน็ แสงไฟแหง่ การเรียนรู้ของ ผู้เรียนเปน็ สาคญั ตอ้ งใหผ้ เู้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลางของการเรียนรู้แบบ Active learning ทั้งน้ผี สู้ อนจาเปน็ ตอ้ งหา กลยทุ ธต์ ่างๆ ที่สามารถดงึ ดูดใจใหผ้ เู้ รยี นเกิดกระบวนการเรยี นรู้อย่างน่าสนใจ และเทคนคิ ตา่ งๆ ทีใ่ ชใ้ นการ เรียนการสอนเพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชนม์ ากทส่ี ดุ ดังนนั้ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ในหอ้ งเรยี นไมว่ ่าจะเปน็ การจัดกจิ กรรมรายบุคคล กจิ กรรมคู่ กิจกรรมกลมุ่ กจิ กรรมกลมุ่ โครงงานรว่ มกนั การจัดกจิ กรรมควรต้องมกี ารวางแผน ต้ังวตั ถุประสงค์ กลมุ่ เป้าหมาย จดั กจิ กรรมเมื่อไร อยา่ งไร ทส่ี าคัญกญุ แจสคู่ วามสาเรจ็ ในการจัดกจิ กรรมนั้น จะต้องอาศัย ความคิดสร้างสรรคห์ รอื กลวธิ ใี หมๆ่ พฒั นากจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยเรม่ิ จากกลุ่มเลก็ ๆ ใช้เวลาในช่วงสัน้ ๆ โดย ควรแจง้ วัตถปุ ระสงคต์ งั้ วันแรกใหผ้ ้เู รียนทราบชัดเจนและเรม่ิ กิจกรรมตั้งแตต่ น้ เทอม จดั บรรยากาศใน ห้องเรียนใหน้ กั เรยี นนั่งเป็นคหู่ รอื เปน็ กล่มุ โดยมสี มาชกิ ท่ีมคี วามสามารถหลากหลาย การจดั กจิ กรรมการ เรียนรทู้ ่ีเออื้ ตอ่ สภาพแวดล้อม คานึงถึงความแตกตา่ งระหว่างบุคคล วิเคราะหป์ ญั หาในการเรยี นรู้แล้วนามา แกป้ ัญหาหรอื พฒั นา ซ่ึงจะสง่ ผลต่อผเู้ รียนใหม้ พี ฒั นาการการเรียนรทู้ ่ีดีขน้ึ ทันตอ่ สภาวะโลกปจั จบุ นั ที่มกี าร เปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านอยา่ งรวดเรว็ กจิ กรรมพืน้ ฐานทสี่ าคัญสาหรบั การเรียนการสอนแบบ Active learning ในชน้ั เรียนน้นั ล้วนอยบู่ น พน้ื ฐานของทกั ษะต่อไปน้ี 1. การพดู และการฟงั เมื่อผ้เู รียนไดพ้ ูดในหวั ข้อใดหัวข้อหนง่ึ ไม่วา่ จะเปน็ การตอบค าถามของผสู้ อนหรอื การอธบิ าย เรอ่ื งใด เรอ่ื งหนง่ึ ใหเ้ พอื่ นรว่ มชั้นฟงั ผู้เรยี นได้ฝกึ เรียบเรยี งและประมวลความรทู้ ต่ี นไดศ้ ึกษาและเรยี นรู้ในช้ัน เรยี นเขา้ ด้วยกันเมอื่ ผเู้ รียนฟังการบรรยาย ผูส้ อนควรม่นั ใจว่าเป็นการฟงั ทม่ี ีความหมาย น่นั คอื ผสู้ อนต้อง มน่ั ใจวา่ ผู้เรยี นจะสามารถเชื่อมโยงระหวา่ งส่งิ ทผ่ี เู้ รียนรู้อยูแ่ ลว้ กบั สง่ิ ที่ผูเ้ รยี นกาลงั ฟงั ในการบรรยายแตล่ ะครงั้ ผเู้ รียน ตอ้ งการเวลาระยะหนง่ึ ในการทาความเข้าใจและเรยี บเรียงขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการฟงั อีกประเดน็ ทนี่ ่าสนใจ คอื ผเู้ รยี นตอ้ งการเหตุผลของการฟงั วิธีการงา่ ยๆ ทผี่ ู้สอนจะกระตนุ้ ความสนใจของผเู้ รียนได้ ผ้สู อน อาจใชว้ ธิ ีต้ัง คาถามท่จี ดุ ประกายความสนใจใครร่ ้ขู องผเู้ รียนกอ่ นเรมิ่ การบรรยาย ผเู้ รียนจะเกดิ ความสงสัย อยากค้นหา คาตอบ เพ่อื ให้ไดค้ าตอบนั้น ผเู้ รยี นจะใหค้ วามสนใจในสง่ิ ทผ่ี สู้ อนจะบรรยายตอ่ ไป หรอื ผสู้ อนอาจมอบหมาย งานลว่ งหนา้ ให้ผ้เู รียนอธบิ ายหวั ข้อใดหวั ข้อหนงึ่ ที่ผสู้ อนกาลังจะบรรยายแกเ่ พ่ือนรว่ มชั้นหลังจบ การบรรยาย ผู้เรยี นจะใหค้ วามสนใจในเนือ้ หาทผี่ ้สู อนจะบรรยาย ประมวลผลและเรียบเรยี งเนอื้ หาของการ บรรยายภายใน ระยะเวลาทจ่ี ากัด และส่อื สารใหเ้ พ่ือนร่วมช้ันไดเ้ ข้าใจในสิ่งที่ตนเองเข้าใจ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 90 2. การเขยี น เชน่ เดยี วกับการฟังและการพดู การเขียนคอื กระบวนการทีผ่ ู้เรียนประมวลข้อมลู ทีต่ นเองมอี ยู่ และ ถา่ ยทอดออกมาดว้ ยสานวนภาษาของตนเอง การฝึกทกั ษะการเขยี นเหมาะกับผเู้ รียนทช่ี อบเรยี นรู้ดว้ ย ตนเอง ทักษะการเขยี นถูกใช้ไดผ้ ลดีมากกับชัน้ เรียนขนาดใหญ่ ในขณะทก่ี ารมอบหมายงานกลุ่มยอ่ ยหรือการ จบั คเู่ ปน็ กิจกรรมท่ไี ม่คอ่ ยเหมาะสมนกั เพราะผเู้ รยี นทุกคนอาจไม่ไดม้ สี ว่ นรว่ มในงานเขียนของกลุ่ม 3. การอา่ น โดยปกตแิ ลว้ ผเู้ รยี นสามารถเรียนรผู้ า่ นการอา่ นได้ดี แตผ่ ู้เรียนมกั จะขาดการไดร้ ับคาแนะนาเพอ่ื การ อ่านอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ กจิ กรรมเพ่อื สง่ เสรมิ Active learning เชน่ การทาสรปุ หรือโนต้ ตรวจสอบความ เขา้ ใจ จะช่วยใหผ้ เู้ รียนสรปุ แนวคิดรวบยอดจากการอ่านและพัฒนาความสามารถในการจบั ใจความสาคัญได้ 4. การสะทอ้ น ในหอ้ งบรรยายทวั่ ๆไป ผสู้ อนจะจบการพดู บรรยายท่ีดาเนนิ มาอยา่ งตอ่ เนือ่ งเม่อื ใกลจ้ ะหมดเวลา บรรยายแล้ว ขณะนนั้ ผูเ้ รยี นจะเริ่มเกบ็ อปุ กรณก์ ารเรียนและเดินไปหอ้ งบรรยายรายวชิ าถัดไป ในบางครงั้ ผเู้ รียนกไ็ มไ่ ด้ซมึ ซบั ความรูจ้ ากการบรรยายที่เพิ่งจบลงเลย เพราะผู้เรยี นไมม่ เี วลาไดถ้ ่ายทอดในสงิ่ ทเ่ี พิง่ เรยี นรู้ โดยเชือ่ มโยงเขา้ กบั สง่ิ ท่รี ู้อยู่แลว้ หรือได้นาความรู้ทไ่ี ด้ศกึ ษามาน้นั ไปใช้ ดังนั้น การให้ผเู้ รียนไดห้ ยดุ เพื่อคดิ หรอื ถ่ายทอดความรูข้ องตนผ่านการสอนหรือติวเพ่ือนร่วมชั้นหรอื ตอบคาถามตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวข้องกับเรอ่ื งนน้ั ๆ เปน็ วธิ ี ทง่ี ่ายทสี่ ุดในการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน กจิ กรรมเพอื่ สง่ เสรมิ Active Learning ที่เหมาะสมกับผูเ้ รียน ในช้นั เรยี นใดๆ ก็คือกจิ กรรมท่ีพฒั นา ทักษะทผ่ี ้เู รยี นยงั ขาดความชานาญอยู่ อยา่ งไรกด็ ี ในบางกจิ กรรม ผูส้ อนสามารถช่วยพฒั นาทกั ษะหลายๆ ด้านไปพรอ้ มๆ กนั ได้ ดังนน้ั การทีผ่ สู้ อนให้ความสาคญั ต่อการวาง แผนการจัดกจิ กรรมเพือ่ ส่งเสรมิ Active Learning ในระหวา่ งภาคการศกึ ษาจงึ เปน็ เรือ่ งทสี่ าคัญยิ่ง การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาสงั คมศกึ ษาแบบ Active learning ได้แก่ 1. เปน็ การเรียนการสอนทเ่ี ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นมสี ่วนรว่ มในกระบวนการเรยี นรสู้ ูงสุด 2. ผู้เรียนเรยี นรู้ความรบั ผดิ ชอบร่วมกัน การมีวนิ ัยในการทางาน การแบง่ หน้าที่ความรับผิดชอบ 3. เปน็ กระบวนการสร้างสถานการณ์ใหผ้ ูเ้ รียนอ่าน พดู ฟัง คดิ อยา่ งลุม่ ลึก ผเู้ รยี นจะเปน็ ผจู้ ดั ระบบ การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง 4. เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนบรู ณาการข้อมลู ขา่ วสาร หรอื สารสนเทศ และหลักการความคดิ รวบยอด 5. ผ้สู อนจะเป็นผอู้ านวยความสะดวกในการจดั การเรยี นรู้ เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ ้วยตนเอง 6. ความรเู้ กดิ จากประสบการณ์ การสร้างองคค์ วามรู้และการสรุปทบทวนของผูเ้ รยี น การบรหิ ารจัดการเม่ือใช้การเรยี นการสอนแบบ Active learning 1. พิจารณาจดุ ประสงค์ เนื้อหา ท่ตี อ้ งการใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้ 2. ออกแบบกจิ กรรมท่ีช่วยส่งเสริมให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้ได้อย่างแทจ้ รงิ 3. ใช้กิจกรรมการเรียนเชิงรกุ เพื่อกระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนเรียน 4. ประเมินผลการเรียนอยเู่ สมอ เพอ่ื ตรวจสอบวา่ ผเู้ รยี นเรยี นรู้อะไรบ้างและมปี ระเด็นใดทีผ่ เู้ รยี น ยังสงสยั 5. หลีกเล่ยี งการสอนเพื่อใหค้ รบใหท้ ัน รบี เร่ง เพราะจะทาให้ผเู้ รยี นไมอ่ ยากเรียน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 91 ตัวอยา่ งการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ขนั้ นา 1. ครูนาภาพวัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม มาใหน้ กั เรียนดแู ล้วตอบคาถามดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ภาพน้คี อื สถานทใ่ี ด 2) เป็นหลักฐานประเภทใด 2. นกั เรยี นตอบคาถามกระตนุ้ ความคิด 3. ครูอธบิ ายเชอื่ มโยงใหน้ ักเรยี นเข้าใจวา่ นกั เรียนสามารถศกึ ษาประวตั ิศาสตรใ์ นสมัย รตั นโกสนิ ทรไ์ ด้จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ต่างๆ ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ ได้แก่ หลักฐานชนั้ ต้น หลักฐานชนั้ รอง และแหลง่ หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ ขนั้ สอน 1. ครูใหน้ ักเรยี นแตล่ ะกลุ่มดูตัวอย่างขอ้ มลู ทางประวตั ิศาสตร์ ท่ีได้จากหลกั ฐานช้ันตน้ ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ จากเอกสารประกอบการสอน 2. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ร่วมกันอภปิ รายว่า จากข้อมลู หลกั ฐานชน้ั ต้นท่อี า่ นไปทาใหร้ ขู้ อ้ มลู เกย่ี วกับอะไรบา้ ง 3. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั ทาใบงาน เร่ือง หลกั ฐานทางประวัติศาสตรส์ มัยรัตนโกสินทร์ 4. ตัวแทนแตล่ ะกลมุ่ ผลดั กันออกมานาเสนอหนา้ ช้ันเรยี น ข้นั สรุป 1. ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรปุ ความรู้เรอ่ื ง หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา ประวัติศาสตร์ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ (โรงเรยี นบา้ นหว้ ยไคร้ สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาเชยี งราย เขต2.การจัดการ เรียนการสอนในรายวิชาสงั คมศกึ ษาแบบ Active learning. http://www.huaykrai.ac.th สบื คน้ เมือ่ 26 มิถนุ ายน 2564) 11.สอนสงั คมอย่างไรในศตวรรษที่ 21 คุณภาพการศกึ ษาของไทยตกตา่ ทสี่ ดุ นับต้ังแตป่ ีพ.ศ. 2546 เป็นตน้ มาถึงปัจจบุ นั ซ่ึงเป็น ชว่ งเวลาที่มี การปรับเปล่ยี นโครงสร้างการบรหิ ารการศึกษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร โดยกระจายอานาจให้เขตพื้นท่ี การศึกษาเปน็ หนว่ ยงานทที่ าหน้าทส่ี ง่ เสริมพัฒนาและกากบั ติดตามคุณภาพการศึกษาแทนกระทรวง ทบวง กรม แตเ่ ขตพืน้ ที่การศกึ ษาไม่สามารถดาเนินการตามบทบาทหน้าท่ี ท่ีได้รบั มอบหมายอย่างจรงิ จงั ส่งผลให้ คณุ ภาพของเด็กไทยตกต่าลงแตจ่ ากการวเิ คราะห์ของนกั วชิ าการหลายทา่ น มองสาเหตุของปญั หามาทผ่ี ู้เรยี น โดยมองวา่ สาเหตทุ ่คี ุณภาพของเดก็ ไทยตกตา่ ลง เนอื่ งจากเด็กไทยอ่อนดอ้ ยในทกั ษะพน้ื ฐานทสี่ าคัญซ่ึงได้แก่ ทกั ษะการอ่าน ทักษะการเขยี น ทักษะการคดิ เลข ทักษะการคิดวเิ คราะห์ ทักษะการคดิ สร้างสรรค์ และทักษะ การทางานเป็นทมี ซ่ึงทกั ษะเหลา่ น้เี ปน็ ทักษะพ้นื ฐานทม่ี งุ่ เนน้ ให้เกดิ กบั ผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 เน่อื งจากใน ศตวรรษท่ี 21 การจดัการเรียนการสอนจะไมไ่ ดม้ ุ่งเป้าหมายสาคญั ท่ีนกั เรียนจะต้องไดค้ วามรูแ้ ตเ่ ป้าหมาย สาคญั คือ การพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ของผ้เู รียน เพอ่ื เป็นเสน้ ทางไปสทู่ ักษะการดาเนนิ ชวี ติ การจัดการเรยี นการสอนจงึ มุ่งไปทน่ี กั เรียนต้องไดค้ วามรู้ แตใ่ นยุคของการจัดการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 การสอนสงั คมศกึ ษาจะตอ้ งวางรปู แบบของกิจกรรมทจ่ี ะให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรผู้ ่านกระบวนการคิด วเิ คราะห์ โดยเริ่มตง้ั แตก่ ารวเิ คราะห์ขอ้ มูล ข้อเท็จจริง และสรปุ สาระสาคญั ของเนื้อหาในบทเรียนหลงั จากน้นั จดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รยี นได้แสดงความคิดเหน็ เชงิ วเิ คราะห์ วจิ ารณจ์ นเกิดความตระหนักในเรอื่ งทีไ่ ดเ้ รยี นรู้ นาไปสู่ การเสนอแนะแนวทางในการปฏบิ ตั ิตนต่อเรือ่ งทเ่ี รยี น และตดั สินใจเลอื กแนวทางในการปฏบิ ตั ติ นเพอื่ การ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 92 ดาเนนิ ชีวติ ได้อย่างเหมาะสมและมเี หตผุ ล ทฤษฎกี ารคดิ วเิ คราะห์ทเี่ หมาะสมกบั การพฒั นาทกั ษะกระบวนการ คิดวิเคราะหท์ างสงั คมศกึ ษาดงั กล่าวคอื ทฤษฎกี ารคดิ แบบหมวก 6 ใบ (Six Thinking Hats) ซงึ่ การวิเคราะห์ ข้อมลู ข้อเท็จจรงิ และสรุปสาระสาคัญคือ การคดิ แบบหมวกสีขาวและหมวกสีดา การแสดงความคดิ เห็นเชงิ วิเคราะห์ วจิ ารณ์ คือการคิดแบบหมวกสเี หลอื งและหมวกสีดา การเกดิ ความตระหนักคือการคดิ แบบหมวกสี แดง ส่วนการนาเสนอแนวทางการปฏบิ ัติตนและการตัดสนิ ใจคือการคิดแบบหมวกสเี ขยี ว ดังนนั้ การนาเอา ทฤษฎกี ารคดิ แบบหมวก 6 ใบ มาเป็นตัวกาหนดทศิ ทางการคิดวิเคราะหท์ างสงั คมศกึ ษา จึงเป็นแนวทางทีค่ รู สงั คมศกึ ษาควรนามาใช้เปน็ อย่างยงิ่ แต่ประเดน็ ปญั หามอี ยวู่ า่ จะวางรูปแบบการจัดการเรยี นการสอนอย่างไร ให้สอดรับกบั การนาทฤษฎีการคดิ แบบหมวก6 ใบ มาใช้ในการสอนสงั คมศกึ ษา จากคาถามดงั กลา่ ว ไดม้ ีนักวิชาการศึกษา และครผู สู้ อนหลายท่านได้คน้ คว้านวัตกรรมการเรยี นรทู้ ่าน หน่ึงในจานวนหลายท่านได้แก่อาจารยบ์ ญุ นา ทองเหลอื ครูชานาญการพเิ ศษโรงเรยี น เทศบาล 1 วัดแก่น เหล็ก(รัตนกะลัสอนุสรณ)์ สงั กัดกองการศกึ ษาเทศบาลเมอื งเพชรบรุ ไี ด้พฒั นา รูปแบบการจัดการเรยี นรู้สงั คม ศึกษาเพื่อสง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะหต์ ามทฤษฎีหมวกความคดิ 6 ใบของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษา ปที ี่ 4 โดยมขี น้ั ตอนกระบวนการเรยี นการสอน 6 ขั้นตอน ดังน้ี ขั้นที่ 1 การพัฒนาทักษะพ้ืนฐานการคดิ วิเคราะห(์ Basic Skill : B) เป็นการจัดกจิ กรรมให้นกั เรียนได้ ฝึกทักษะพน้ื ฐานการคดิ วเิ คราะห์ตามทฤษฎีหมวกความคดิ หกใบ โดยเฉพาะทักษะการตงั้ คาถามเพื่อการคิด วิเคราะหต์ ามสีของหมวก ขั้นที่2 การศึกษาความรูจ้ ากบทเรียน (Informing : I) เป็นการจัดกจิ กรรมให้นักเรยี นไดศ้ กึ ษาความรู้ ความเข้าใจสาระการเรียนรู้ โดยการตงั้ คาถามเพือ่ การคิดวเิ คราะห์ตามหมวกสีขาวและหมวกสฟี า้ ขนั้ ที่3 การคิดวเิ คราะหว์ จิ ารณ์ (Critical Thinking : C) เปน็ การจัดกจิ กรรมให้นักเรยี นได้วเิ คราะห์ วิจารณ์ถึงผลดจี ุดเดน่ ประโยชน์ และผลเสียผลกระทบ จดุ ด้อยของเรอ่ื งทเี่ รยี นร้โู ดยการตง้ั คาถามเพ่อื การคิด วเิ คราะห์ตามหมวกสี เหลืองและหมวกสีดา ขั้นท่ี4 การตระหนกัในเรอ่ื งทเี่ รียนร(ู้ Awareness : A) เปน็ การจัดกจิ กรรม ให้นกั เรียนร่วมกันแสดง ความคิดเห็นเชิงตระหนกั ถึงคุณค่าความสาคัญ ผลกระทบ และความรู้สกึ เกี่ยวกบั เร่ืองทีเ่ รยี นร้โู ดยการตั้ง คาถามเพื่อการวเิ คราะห์ตามหมวกสีแดง ขั้นที่5 การตง้ั ใจทจี่ ะปฏบิ ัติ (Intention to Act : A) เป็นการจัดกจิ กรรมใหน้ กั เรยี นรว่ มกันเสนอแนะ แนวทางหรอื วิธีการทจี่ ะปฏบิ ัตเิ ก่ยี วกบั เรอ่ื งทเี่ รียนรู้ โดยการตัง้ คาถามเพ่ือการคดิ วิเคราะห์ตามหมวกสเี ขยี ว ขัน้ ท่ี6การตัดสนิ ใจอย่างมเี หตุผล (Decision Making : D) เป็นการจัดกจิ กรรมใหน้ ักเรยี นรว่ มกันตดั สินใจ เลอื กแนวทางหรือวิธกี ารเกย่ี วกบั เรอ่ื งทเี่ รียนรอู้ ยา่ งมีเหตผุ ลโดยการตัง้ คาถามเพ่ือการคดิ วิเคราะห์ ตามหมวก สีเขียว รปู แบบการเรียนการสอนดังกลา่ วมีชื่อวา่ บีไอซเี อไอดี (BICAID Model)ผลจาก การนารูปแบบบไี อซี เอไอดี ไปทดลองใชก้ บั นกั เรยี น ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่4 โรงเรียนเทศบาล 1 วดั แก่นเหลก็ (รัตนกะลสั อนสุ รณ)์ พบว่านกั เรียนมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนด้านความสามารถในการคิดวิเคราะหพ์ ัฒนาขน้ึ จากก่อนการทดลอง ซง่ึ อยู่ในระดับต่า หลังการทดลองอยู่ในระดบั สงู และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรยี นรู้ตามรปู แบบ บีไอซเี อไอดรี ะดบั มากทส่ี ุด ซ่งึ เปน็ บรรยากาศการจดัการเรยี นการสอนท่พี งึ ประสงค์ในปจั จบุ ัน อยา่ งไรกต็ าม ในการนา รปู แบบบไี อซี เอไอดี ไปใช้ ครูผสู้ อนจะต้องถือปฏิบตั ติ ามเง่อื นไขการนารปู แบบไปใชอ้ ย่างเครง่ ครัด โดยในระบบสงั คม (Social System) การเรียนร้ตู ามรปู แบบ นักเรยี นต้องเป็นผรู้ ับผิดชอบการเรยี นรู้ต้องมี ปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างกันและกันกับครผู สู้ อน กลา้ พดู กล้าเสนอความคดิ กล้าท่จี ะซกั ถาม ดา้ นระบบสนบั สนุน (Support System) การจัดการเรยี นรูต้ ามรูปแบบผสู้ อนเป็นผจู้ ัดบรรยากาศการเรยี นให้ อบอุน่ ผ่อนคลาย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 93 เป็นกันเองและมจี ติ สานกึ ในการมสี ่วนรว่ มอยา่ งจรงิ จงั กลา้ ท่ีจะต้ังคาถามในการคิดวเิ คราะห์ตามลกั ษณะการ คดิ ตามสีของหมวกและดา้ นหลกั การตอบสนองการจดั การเรียนร้ตู ามรปู แบบ ผสู้ อนเปน็ ผู้อานวยความสะดวก ท้งั ก่อน ระหว่างและหลงั การเรียนร้ใู ชค้ าถาม กระตนุ้ การคิดวิเคราะห์ตามทฤษฎหี มวกความคิดหกใบ ดูแล และตดิ ตามใหน้ กั เรียนเรียนรูแ้ บบร่วมมอื กัน เพอ่ื ใหเ้ กดิ ภาวะการร่วมคิดท้งั ในกลมุ่ ยอ่ ยและกลุ่มใหญ่ การค้นพบรูปแบบบีไอซเี อไอดี (BICAID Model) นบั เป็นการค้นพบรปู แบบการสอน สงั คมศึกษาท่มี ี คุณค่าตอ่ การจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่21ของครสู งั คมศกึ ษาและวชิ าอน่ื ๆ ซง่ึ สามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ ในการจดั การเรียนการสอนไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และเกดิ ประสิทธผิ ลต่อผู้เรียน โดยเฉพาะทาใหผ้ เู้ รียนเกิด ทกั ษะกระบวนการคิดเชิงวเิ คราะห์ ซง่ึ เปน็ ทักษะ ที่ตอ้ งการใหเ้ กดิ กับผู้เรยี นมากทส่ี ุดในยคุ ศตวรรษท่ี21 จงึ เป็นการสมควรอย่างยงิ่ ท่ีจะนารปู แบบการจดั การเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะหต์ ามทฤษฎหี มวก ความคิด 6 ใบของนักเรียน(BICAID Model) เผยแพรใ่ หค้ รผู ู้สอนและผทู้ ี่มีความ สนใจนาไปใช้ในการจัดการเรยี นรู้ใหผ้ เู้ รยี นได้คดิ วิเคราะหอ์ ย่างมีขัน้ ตอน วิเคราะหข์ ้อมลู ข้อเท็จจรงิ แสดง ความคดิ เหน็ เชงิ วเิ คราะหเ์ รือ่ งทเ่ี รียน ตระหนักในเร่ืองทเ่ี รียน และนาเรอ่ื งท่เี รยี นไปประยกุ ตใ์ ช้ใน ชีวติ ประจาวนั ซงึ่ จะทาใหก้ ารเรยี นสังคมศกึ ษามีคณุ คา่ และประโยชน์ต่อผู้เรยี นและส่งผลใหผเู้ รยี นเกดิ การ เรยี นรู้สงั คมศกึ ษาอยา่ งมคี วามสุขและมีเป้าหมายเพื่อการนามาใชใ้ นการพัฒนาคุณภาพได้เปน็ อยา่ งดี (บญุ นา ทองเหลอื . สอนสังคมอยา่ งไรในศตวรรษที่ 21. http://edu.rajabhat.edu สบื ค้นเม่ือ 26 มิถุนายน 2564) 12. บทสรปุ หลักการสอน มเี ปา้ หมายตา่ งกนั ท่ตี ้องการใหเ้ กิดทีผ่ เู้ รยี น เชน่ ตอ้ งการให้มคี วามรู้ ตอ้ งการใหม้ ี พฤตกิ รรมทีเ่ หมาะสมตามทสี่ ังคมตอ้ งการโดยผา่ นผู้สอน ผู้ทาหน้าท่ีถ่ายทอดความต้องการของสังคมสผู่ ู้เรียน ให้ผู้เรียน ออกสู่สงั คมเป็นสมาชิกท่ตี ้องการของสังคม การสอนเป็นคาพ้ืนฐานทใี่ ชใ้ นความหมายของการ ถ่ายทอด เทคนคิ การสอนแปรผนั ตามผเู้ รยี น การสอนสงั คมศกึ ษามเี ป้าหมายการสอนใหผ้ ู้เรยี นเป็นคนมี คณุ ลกั ษณะตามคา่ นิยมของสังคม การสอนสงั คมโดยหลกั การพื้นฐานก็คือการสอนการดาเนินชวี ิต สอนทกั ษะ ชีวติ ให้สามารถดารงชีวติ ในสงั คมไดอ้ ยา่ งปกติสขุ อา้ งองิ บุญนา ทองเหลอื . สอนสังคมอยา่ งไรในศตวรรษท่ี 21. http://edu.rajabhat.edu สบื ค้นเม่ือ 26 มิถนุ ายน 2564 โรงเรยี นมงฟอร์ตวิทยาลยั แผนกประถม. การสอนสังคมศึกษา. https://mcpswis.mcp.ac.th สบื คน้ เมอ่ื 10 มถิ ุนายน 2564 โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาเชยี งราย เขต2. การจดั การเรียนการสอนใน รายวิชาสงั คมศกึ ษาแบบ Active learning. http://www.huaykrai.ac.th สบื คน้ เมอื่ 26 มิถนุ ายน 2564 หลักการสอน. google.com/site/giftindependent สบื คน้ เมื่อ 10 มถิ นุ ายน 2564

94 กิจกรรมทา้ ยบท 1. อภปิ รายการนาหลกั การสอนมาใช้ให้เหมาะสมกบั ผเู้ รยี น 2. อภปิ รายการนาหลกั การสอนมาใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั เนอ้ื หาสาระสังคมศกึ ษา 3. สอบสอนเปน็ รายบุคคล 4. นาเสนองาน หลักการสอนสงั คมใหส้ นุก มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

95 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 5มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง หวั ข้อเนอื้ หา บทนำ 1.หลักกำรจัดกำรเรียนกำรสอนทำงตรง (Direct Instruction) 1.1 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนทำงตรงแบบใชผ้ ลกำรวจิ ยั 1.2 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนทำงตรงแบบใช้ทฤษฎีกำรเรยี นรู้ 2.หลักกำรจดั กำรเรียนกำรสอนโดยยดึ ผเู้ รยี นเป็นศูนยก์ ลำง (Student-Centered Instruction) 2.1 แบบเน้นตัวผู้เรียน 2.1.1 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนตำมเอกัตภำพ 2.1.2 กำรจัดกำรเรียนรู้โดยผเู้ รยี นนำตนเอง 2.2 แบบเนน้ ควำมรู้ ควำมสำมำรถ 2.2.1 กำรจดั กำรเรียนรู้แบบรจู้ รงิ 2.2.2 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนแบบรับประกนั ผล 2.2.3 กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนแบบเนน้ มโนทศั น์ 2.3 แบบเนน้ ประสบกำรณ์ 2.3.1 กำรจัดกำรเรียนรู้แบบเน้นประสบกำรณ์ 2.3.2 กำรจดั กำรเรยี นรแู้ บบรบั ใช้สงั คม 2.3.3 กำรจัดกำรเรยี นรู้ตำมสภำพจรงิ 2.4 แบบเนน้ ปัญหำ 2.4.1 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยใชป้ ญั หำเป็นหลกั 2.4.2 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนโดยใชโ้ ครงกำรเปน็ หลกั 2.5 แบบเนน้ ทกั ษะกระบวนกำร 2.5.1 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนโดยเน้นกระบวนกำรสบื สอบ 2.5.2 กำรจดั กำรเรียนกำรสอนโดยเนน้ กระบวนกำรคิด 2.5.3 กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนโดยเนน้ กระบวนกำรกลมุ่ 2.5.4 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนโดยเน้นกระบวนกำรวจิ ยั 2.5.5 กำรจดั กำรเรียนกำรสอนโดยเนน้ กระบวนกำรเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง 2.5.6 แบบเน้นบรู ณำกำร 3.หลกั กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนโดยใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศเปน็ หลกั ( Technology Information Instruction) 3.1 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนโดยใชโ้ ปรแกรมสำเรจ็ รปู 3.2 กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนทำงไกล 3.3 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนผ่ำนเครือขำ่ ยเวิลด์ ไวด์ เวบ็ บทสรุป

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 96 วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. สำมำรถนำหลกั กำรและแนวคิดกำรเรียนกำรสอนมำใชไ้ ด้เหมำะสมกับผ้เู รยี น 2. สำมำรถนำหลักกำรและแนวคดิ กำรเรยี นกำรสอนมำใช้สรำ้ งสอ่ื กำรสอนไดต้ รงตำมเนอ้ื หำ 3. สำมำรถนำหลักกำรและแนวคดิ กำรเรียนกำรสอนมำใช้มำออกแบบวัดและประเมินผลได้ตรงตำมเนอื้ หำ 4. สำมำรถนำหลักกำรและแนวคดิ กำรเรียนกำรสอนมำใช้กำหนดวัตถปุ ระสงค์กำรเรียนรู้ได้ตรงตำมเนอ้ื หำ วธิ สี อนและกิจกรรมการเรยี นการสอน 1. วธิ ีสอน 1.1 วิธสี อนแบบใช้ครูพ่ีเลีย้ ง (Tutorial Method) 1.2 วิธีสอนแบบนริ นยั (Deductive Method) 1.3 วิธสี อนแบบศกึ ษำดว้ ยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธสี อนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธสี อนแบบแบง่ กลุ่มระดมพลงั สมอง 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1นกั ศึกษำดวู ดี ิทัศน์กำรสอนกลุ่มสำระทุกกลมุ่ ของชั้นประถมศึกษำปีท่ี 1-6 อำจำรย์กระตุ้นให้ สงั เกตและตอบคำถำมเกย่ี วกับหลักกำรและแนวคิดกำรเรยี นกำรสอนต่ำง ๆ ตั้งคำถำมใหน้ ักศึกษำชว่ ยกนั คดิ หำคำตอบว่ำปัญหำหลักกำรและแนวคิดกำรเรียนกำรสอน กอ่ เกิดปัญหำอะไรในกำรเรียน 2.2นกั ศกึ ษำคน้ หำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพ่อื ค้นหำหลักกำรและแนวคดิ กำรเรยี นกำร สอนทเี่ หมำะสม 2.3อำจำรย์ชกั ชวนค้นหำเหตผุ ล อธบิ ำยประเดน็ สำคัญเร่ืองหลกั กำรและแนวคิดกำรเรียนกำรสอน ทเ่ี หมำะสม 2.4นักศกึ ษำตง้ั กลุม่ ย่อย อภปิ รำยประเดน็ หลกั กำรและแนวคดิ กำรเรยี นกำรสอนท่เี หมำะสม 2.5อำจำรย์จัดสมั นำใหน้ กั ศกึ ษำหำเหตุผลหลกั กำรและแนวคดิ กำรเรยี นกำรสอนทเ่ี หมำะสมมำใช้ กบั เดก็ ต่ำงๆ เพื่อนร่วมชัน้ แสดงควำมคิดเห็นต่อ อยำ่ งมมี ำรยำทในกำรสัมนำ อำจำรย์ใหค้ วำมเห็น อธบิ ำยให้ นกั ศกึ ษำได้แลกเปลี่ยนเรยี นรรู้ ่วมกัน 2.6นักศึกษำ ศึกษำหลักกำรและแนวคดิ กำรเรียนกำรสอนจำกเอกสำรประกอบกำรสอน 2.7นักศกึ ษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และร่วมอภปิ รำยเพ่ือสรปุ เนื้อหำทไ่ี ด้เรียนรู้ 2.8อำจำรยม์ อบหมำยใหน้ กั ศึกษำสะทอ้ นคิดเปน็ รำยบคุ คล สือ่ การเรยี นการสอน 1. ไฟล์วีดทิ ัศน์กำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กลุม่ ของชั้นประถมศึกษำปีท่ี 1-6 2. กระดำษฟลปิ ชำร์ทเขยี นแผนผังหลกั กำรและแนวคิดกำรเรียนกำรสอนท่ีเหมำะสม 3. เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวิชำกำรสอนสงั คมศึกษำ 1 การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วัดและประเมินผลจำกกำรอภปิ รำย สมั มนำ 3. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรสะท้อนคิด

97 4. วัดและประเมินผลจำกกำรเขยี นแผนกำรสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 97 บทที่ 5 หลกั การและแนวคดิ ในการจัดการเรียนการสอนร่วมสมยั บทนา การเรยี นการสอนมหี ลากหลายเทคนิค วิธกี ารต่างกนั ไปตามบรบิ ททางสงั คมของโรงเรยี น หลาย แนวคิดพฒั นาเทคนคิ วธิ ีการเรยี นการสอนต่อไปจนสามารถสรปุ เป็น หลกั การ ทัว่ ไปทสี่ ามารถนาไปใชไ้ ด้กบั ทกุ บรบิ ททางสงั คมท่ีโรงเรยี นตัง้ อยู่ บทน้ปี ระมวลหลักการและแนวคิดเกีย่ วกบั การเรียนการสอนทว่ั ไป ที่ได้รบั ความสนใจในการนาหลกั การและแนวคิดเหลา่ นีไ้ ปใช้ ให้เหมาะสมกบั วตั ถปุ ระสงคแ์ ละสถานการณ์ของการ เรยี นการสอนในโรงเรียน การจดั หมวดหม่ขู องเนอื้ หาสาระจัดตามเกณฑ์ของการเขา้ ร่วมกจิ กรรมการเรียนการ สอนระหวา่ งผู้สอนกับผู้เรียน และเครอ่ื งมอื การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นเป็นสาคัญ จัดได้ 3 กลุ่ม ดงั นี้ 1.หลกั การจดั การเรียนการสอนทางตรง (Direct Instruction) 1.1 การจัดการเรยี นการสอนทางตรงแบบใช้ผลการวิจยั 1.2 การจัดการเรียนการสอนทางตรงแบบใช้ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 2.หลักการจัดการเรียนการสอนโดยยดึ ผู้เรยี นเป็นศูนยก์ ลาง (Student-Centered Instruction) 2.1 แบบเนน้ ตัวผู้เรยี น 2.1.1 การจดั การเรยี นการสอนตามเอกัตภาพ 2.1.2 การจดั การเรียนรู้โดยผู้เรียนนาตนเอง 2.2 แบบเน้นความรู้ ความสามารถ 2.2.1 การจัดการเรียนรู้แบบรจู้ ริง 2.2.2 การจดั การเรียนการสอนแบบรบั ประกันผล 2.2.3 การจัดการเรียนการสอนแบบเนน้ มโนทัศน์ 2.3 แบบเนน้ ประสบการณ์ 2.3.1 การจดั การเรยี นรู้แบบเน้นประสบการณ์ 2.3.2 การจัดการเรยี นรู้แบบรบั ใช้สงั คม 2.3.3 การจัดการเรียนรูต้ ามสภาพจรงิ 2.4 แบบเน้นปญั หา 2.4.1 การจดั การเรียนการสอนโดยใช้ปญั หาเปน็ หลกั 2.4.2 การจัดการเรยี นการสอนโดยใชโ้ ครงการเปน็ ห 2.5 แบบเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 2.5.1 การจดั การเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการสบื สอบ 2.5.2 การจดั การเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการคดิ 2.5.3 การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการกลุ่ม 2.5.4 การจดั การเรียนการสอนโดยเนน้ กระบวนการวจิ ยั 2.5.5 การจดั การเรยี นการสอนโดยเนน้ กระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 2.5.6 แบบเนน้ บรู ณาการ 3.หลักการจัดการเรยี นการสอนโดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเป็นหลัก( Technology Information Instruction) 3.1 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รปู

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 98 3.2 การจดั การเรยี นการสอนทางไกล 3.3 การจดั การเรียนการสอนผ่านเครือข่ายเวลิ ด์ ไวด์ เว็บ 1.หลกั การจดั การเรียนการสอนทางตรง (Direct Instruction) การจดั การเรียนการสอนในลักษณะน้ี มงุ่ ใหผ้ ้เู รียนไดเ้ รยี นรเู้ นื้อหาสาระ ขอ้ มลู ขอ้ มลู ความรู้ ข้อเท็จจรงิ รวมทง้ั ทกั ษะต่างๆ ม่งุ ตรงไปทผี่ ู้เรียน ใหผ้ ู้เรยี นได้เขา้ ใจ ผสู้ อนนาเสนอขอ้ มูลความรู้ใหช้ ัดเจน ตรง ประเดน็ และนาเสนอได้เหมาะสมกบั วตั ถุประสงค์ของการเรยี นรู้และวฒุ ภิ าวะของผเู้ รยี น ก. หลักการ 1.การจัดเนอื้ หาสาระอย่างเหมาะสม เป็นไปตามลาดบั ข้ันตอนจากขน้ั เร่มิ ตน้ พนื้ ฐานไปสขู่ ้ันสูง มคี วามสลบั ซบั ซอ้ นของเนอื้ หา 2.การตรวจสอบพ้ืนฐานความรเู้ ดิมทีผ่ เู้ รียนจาเปน็ ตอ้ งใชใ้ นการทาความเขา้ ใจความรู้ใหม่ เปน็ สิ่งจาเป็นสาหรบั การเรียนรูส้ ง่ิ ใหม่ ช่วยใหผ้ ู้เรยี นได้เรียนรู้ความรใู้ หม่ไดต้ อ่ เน่ือง รวดเร็วข้นึ 3.การนาเสนอเนื้อหาสาระอยา่ งกระชบั ชัดเจน มตี วั อย่างประกอบ เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนได้ ซกั ถามด้วยเพอื่ ความเขา้ ใจทถี่ กู ต้อง 4.การฝึกปฏบิ ัติใช้ความรหู้ รือทกั ษะทเ่ี รียนรู้เป็นสิ่งจาเป็น การฝกึ ปฏิบตั ชิ ่วยใหผ้ ูเ้ รียนนา ความรู้ ทักษะ และขอ้ มูลสู่การกระทา ทาใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจในข้อความรนู้ ัน้ ลกึ ซ้ึงมากขน้ึ 5.การไดร้ ับข้อมลู ป้อนกลบั หรือทราบผลของการปฏบิ ัตขิ องตนเอง ชว่ ยผู้เรียนใหเ้ กดิ การ เรียนรู้ และสามารถปรบั ปรงุ การปฏบิ ตั ิของตนให้อยู่ในระดบั ทต่ี ้องการได้ 6.การฝึกปฏบิ ตั อิ ยา่ งตอ่ เนอื่ งสม่าเสมอ ชว่ ยให้เกดิ ทกั ษะความชานาญ ข. นยิ าม การจัดการเรียนการสอนทางตรง หมายถึง การดาเนนิ การเพอ่ื ให้ผเู้ รยี นสามารถเรยี นร้ขู อ้ มลู ความรู้ ข้อเท็จจริงหรอื วธิ ีการ กระบวนการตา่ งๆอย่างรวดเร็วและมปี ระสทิ ธภิ าพโดยการถ่ายทอดข้อมลู เหล่าน้นั อย่างตรงไปตรงมา ดว้ ยวธิ กี ารหรอื กระบวนการที่ไดร้ บั การยอมรบั ว่าใชไ้ ดผ้ ลจากการวจิ ยั หรอื จาก ความรู้ทางทฤษฎี หรือหลกั การตา่ งๆ การถา่ ยทอดขอ้ มูล ความรตู้ ้องกระชบั ตรงประเดน็ เหมาะสมกบั เน้ือหา สาระ เวลา และผเู้ รยี น อกี ท้ังยงั ตอบวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ด้วย ค. ตวั บ่งช้ีของการจดั การเรียนการสอนทางตรง 1. มีการจูงใจผเู้ รียนให้ความสนใจต่อส่ิงทีจ่ ะนาเสนอ 2. มกี ารแจง้ วัตถปุ ระสงค์ของการเรยี นการสอน 3. มีการทบทวนความรเู้ ดมิ ทเ่ี ป็นพืน้ ฐานของความร้ใู หม่ 4. มีการนาเสนอความรใู้ หมห่ รือเน้ือหาสาระท่ีตอ้ งการถา่ ยทอดให้ผเู้ รยี นโดยผสู้ อน 5. มกี ารใหผ้ เู้ รยี นแสดงพฤตกิ รรมการเรียนรู้ 6. ผู้สอนใหข้ ้อมลู ปอ้ นกลบั เกยี่ วกับพฤตกิ รรมการเรียนรทู้ ผ่ี เู้ รยี นแสดงออก 7. ผสู้ อนประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 1.1 การจดั การเรยี นการสอนทางตรงแบบใช้ผลการวจิ ยั (Research –Based Direct Instruction) มอี งคป์ ระกอบสาคญั 6 ประการ 1. ครูเปน็ ศนู ย์กลาง หมายถงึ ครูมบี ทบาทสาคัญในควบคุม หรือกากบั ทศิ ทางการจัดการเรยี น การสอน และเปน็ ผ้ตู ดั สินใจวา่ ผเู้ รยี นควรจะเรยี นอะไรและอย่างไร

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 99 2. เป้าหมาย เน้นทก่ี ารเรียนรู้วิชาการ หรอื เนอื้ หาสาระ ซง่ึ เปน็ ความรู้ ขอ้ มลู หรอื ขอ้ เทจ็ จริง ตา่ งๆ ผู้สอนจะจดั กิจกรรมเพ่ือมงุ่ ไปทเ่ี ป้าหมายน้ี 3. ความคาดหวังในทางบวก ผสู้ อนคาดหวงั ว่าผู้เรียนทุกคนจะประสบความสาเรจ็ ในทางบวก 4. ความรว่ มมือของผเู้ รียนที่สามารถวัดประเมนิ ได้ ผเู้ รียนตอ้ งรบั ผิดชอบการทางาน และ การเรยี นร้ขู องตนเอง ในขณะเดยี วกนั กม็ บี ทบาทที่จะชว่ ยผู้เรียนคนอ่ืนๆ ดว้ ย 5. บรรยากาศท่ีปลอดภัย ผเู้ รียนอยใู่ นบรรยากาศท่เี ปน็ มิตร เปน็ กันเอง ปลอดภัยจาก ความร้สู กึ ทางลบทง้ั หลาย เช่น ถูกข่มขู่ ดูถกู เหยียดหยาม กลัวความผดิ พลาด เป็นตน้ 6. มกี ฎ ระเบียบ กตกิ า ทช่ี ัดเจนในการปฏบิ ัตงิ านและกิจกรรมต่างๆ ผสู้ อนคอยดแู ลการ ปฏิบัติกจิ กรรมขแงผเู้ รยี นอย่างใกล้ชิด แนวคิดการจดั การเรียนการสอนทางตรงนี้ มผี ้พู ฒั นาไปเปน็ การจดั การเรียนรท็ มี่ ชี ่ือต่างๆ กันไป เช่น “Basic Practice, Explicit Instruction Active teaching” แต่ละรปู แบบทีกระบวนการแตกตา่ งกนั บ้าง ดังมรี ยละเอียด ดังต่อไปนี้ รูปแบบ “Basic Practice” หรอื การจดั การเรยี นการสอนปฏิบัติการพ้นื ฐาน พัฒนาโดย เมอรฟ์ ี เวล และแมคกรีล (Murphy, Weil & Mc Greal) ประกอบด้วยข้ันตอน 5 ข้นั ตอน คือ 1. ขัน้ แนะนาบทเรยี น ประกอบดว้ ย วตั ถุประสงค์ เนอื้ หาสาระ วิธีการเรียนการสอน และ ความคาดหวังต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของผ้เู รยี น 2. ขน้ั พฒั นา ประกอบดว้ ย การนาเสนอบทเรียน ข้อมูล ความรู้ หรือทกั ษะตา่ งๆ ผสู้ อนได้ จดั เตรียมไว้อย่างกระชับ ชัดเจน อาจใช้วิธีการสาธิต หรือยกตัวอย่าง เพื่อใหผ้ เู้ รียนเข้าใจได้ อย่างกระจา่ งแจง้ ผสู้ อนตรวจสอบความกา้ วหน้าในการเรียนของผ้เู รียนเป็นระยะๆ 3. ขน้ั ฝึกปฏิบตั ภิ ายใตก้ ารควบคมุ ผเู้ รียนนาความรู้ หรอื ทกั ษะท่ไี ดเ้ รียนรมู้ าฝึกปฏิบตั ิตาม การสาธิตจากผสู้ อน 4. ขน้ั ฝกึ ปฏิบัติตามคาแนะนา ในขน้ั นผ้ี ูเ้ รียนฝึกปฏบิ ตั ิเองภายใตก้ ารดแู ลใหค้ าปรกึ ษาอย่าง ใกลช้ ิดจากผ้สู อน เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นแต่ละคนสามารถทาไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง ผสู้ อนคอยดูแลแก้ไข ความเขา้ ใจในการปฏบิ ัตใิ หถ้ กู ต้อง และใหค้ าปรกึ ษาแนะนาตามความเหมาะสมอยา่ งใกล้ชิด ผู้เรยี นแตล่ ะคน 5. ขัน้ ฝึกปฏบิ ตั อิ ยา่ งอสิ ระ ในขั้นนผี้ เู้ รียนได้ฝกึ ปฏิบตั อิ ยา่ งเสรเี พอ่ื ความเข้าใจ และความ ชานาญในการใชค้ วามรู้ หรือทกั ษะทเี่ รยี นมาไดถ้ กู ตอ้ ง ผู้สอนยงั ดแู ล แนะนาตามความเหมาะสม รปู แบบ“Explicit Instruction” หรือการจดั การเรียนการสอนแบบชดั แจง้ พัฒนาโดยโรเซชายน์ และสตเี วนส์ (Rosenshine & Stevens) ประกอบดว้ ยขัน้ ตอน 6 ข้ันตอน คือ 1. ข้นั ทบทวนความรเู้ ดิมและตรวจการบ้าน 2. ขน้ั นาเสนอเน้ือหาสาระหรอื ทักษะใหม่ 3. ขน้ั นาใหผ้ ้เู รยี นฝึกปฏิบตั ิ 4. ข้ันใหข้ ้อมลู ปอ้ นกลบั และแกไ้ ขการปฏบิ ตั ขิ องผ้เู รยี น 5. ขั้นให้ผเู้ รียนฝกึ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งอสิ ระ และ 6. ขัน้ การทบทวนการฝกึ ปฏิบตั ริ ายสปั ดาหแ์ ละรายเดือน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 100 รูปแบบ “ Active Teaching ” หรือการจดั การเรยี นการสอนแบบติดตามตอ่ เนอื่ ง พัฒนาโดย กดู๊ กราวส์ และเอ็บเมยี ร์ (Good, Grouws & Ebmeier) สาหรับการสอนคณิตศาสตรป์ ระกอบด้วยขน้ั ตอน 5 ขั้น คือ 1. ข้นั เริม่ ประกอบดว้ ย การทบทวนความรู้ หรือทกั ษะทเี่ รยี นมา 2. ขั้นพฒั นา ประกอบด้วย การตรวจสอบพืน้ ความรู้ทจี่ าเปน็ สาหรบั การเรียนรคู้ วามร้ใู หม่ ตรวจสอบความเขา้ ใจของผเู้ รียนด้วยการใชค้ าถามและให้อธิบายเพ่มิ เติม 3. ข้นั ใหป้ ฏิบัติงาน ผ้สู อนให้ผเู้ รียนปฏิบตั งิ านอย่างอสิ ระ ผเู้ รียนทราบถึงระดบั การ ปฏบิ ัตงิ านคุณภาพ หรอื ลักษณะของงานทเ่ี ปน็ ทย่ี อมรบั 4. ข้ันใหก้ ารบา้ น ผสู้ อนใหก้ ารบา้ นที่ต้องทาทุกวัน วันละ 15 นาที การบ้านประกอบด้วย การทบทวนความรู้เดมิ และการใชค้ วามรใู้ หม่ 5. ข้ันทบทวนอยา่ งต่อเนอ่ื ง ผสู้ อนจดั ใหผ้ ู้เรยี นไดร้ ่วมกันทบทวนความรู้เป็นประจาสัปดาห์ ละ 1 ครัง้ และเดอื นละ 1 ครง้ั 1.2การจดั การเรียนการสอนทางตรงแบบใช้ทฤษฎกี ารเรยี นรู้(Learning Theory –Based Direct Instruction) ผูส้ อนควรจะสอนตามทฤษฎี หรอื หลักการท่ไี ดม้ กี ารศกึ ษา พสิ จู น์ ทดสอบมาอย่างดีแล้ว รปู แบบ ทค่ี นกล่มุ น้ีใชแ้ ละนยิ มกันแพร่หลายทจ่ี ะกลา่ วถึงในทนี่ ีม้ ี 2 รปู แบบ คือ รปู แบบ “ The Mastery Teaching Program ” หรอื โปรแกรมการสอนเพอื่ การรจู้ รงิ เปน็ รูปแบบท่ีพฒั นาโดยฮันเทอร์ ผใู้ ชท้ ฤษฎกี ารเรยี นรู้และการสอนของกานเย ประกอบดว้ ยข้นั ตอนสาคัญ คือ 1. ขั้นเตรยี มความพร้อมของผเู้ รยี น 2. ข้ันการใหข้ อ้ มลู และการแสดงตัวแบบ 3. ข้นั ตรวจสอบความเข้าใจและ 4. ขน้ั ใหผ้ ้เู รียนฝกึ ปฏบิ ตั ิตามคาแนะนา รปู แบบ “The Direct Instruction System for Teaching and Learning (DISTAR)” หรือ ระบบการสอนทางตรงเพอ่ื การเรียนรู้และการสอน เปน็ รูปแบบที่พฒั นาโดย บไี รเทอร์ – องิ เกลิ แมน (Bereiter-Englemann) โปรแกรมนจี้ ัดโดยใชท้ ฤษฎกี ารเรยี นรู้กลมุ่ พฤตกิ รรมนิยมเปน็ สว่ นใหญ่ มโี ครงสร้าง ท่รี ดั กุมและรายละเอยี ดท่ชี ัดเจน แมข้ ้อความหรอื ประโยคทีค่ รูจะพดู กบั เด็กก็ไดร้ บั การเขียนอยา่ งดี ถูกต้อง ตามหลกั การเรียนรู้ ผสู้ อนจะตอ้ งดาเนินการทกุ อย่างตามท่โี ปรแกรมไดก้ าหนดไว้ โปรแกรมนีใ้ ช้ในวิชา คณิตศาสตร์และการอ่าน ตอ่ มาไดข้ ยายไปส่วู ชิ าอื่นๆ 2. หลักการจัดการเรยี นการสอนโดยยึดผู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลาง (Student - Centered Instruction) มีแนวคดิ ว่า ในการสอนผ้สู อนตอ้ งคานงึ ถึงการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นเปน็ สาคญั และชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกิด การเรียนร้ดู ว้ ยวธิ ีการต่างๆ มิใช่เพยี งการถ่ายทอดความรเู้ ท่าน้นั แตเ่ ป็นการจดั การเรียนการสอนทย่ี ึดผเู้ รยี น เปน็ ตวั ตงั้ โดยคานงึ ถงึ ความเหมาะสมกบั ผ้เู รียนและประโยชนส์ ูงสดุ ทีผ่ เู้ รียนควรจะไดร้ บั และมีการจดั กิจกรรมการเรียนรูท้ เ่ี ปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นมีบทบาทสาคญั ในการเรยี นรู้ เชน่ การใหผ้ ้เู รยี นได้เรียนรู้โดยการ กระทา และการมีสว่ นร่วมอย่างตืน่ ตวั ซงึ่ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ทีแ่ ท้จริง การมีสว่ นรว่ มอย่างต่นื ตัว หมายถงึ การมสี ่วนร่วมในการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นโดยทผี่ ้เู รียนเป็นผลู้ งมอื กระทาตอ่ สง่ิ ทเี่ รียนร(ู้ คือสงิ่ เรา้ ) มใิ ช่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 101 เป็นเพียงผู้รบั สงิ่ เร้า การมสี ่วนร่วมอย่างตนื่ ตัวควรเปน็ การต่ืนตัวทเ่ี ป็นไปอย่างรอบด้านทง้ั ทางดา้ นกาย สตปิ ัญญา สงั คม และอารมณ์ เพราะพัฒนาการทงั้ 4 ดา้ นมคี วามสัมพนั ธ์ตอ่ กันและกัน และส่งผลตอ่ การเรยี นรู้ ของผ้เู รียน ดงั นี้ 1. การมีสว่ นร่วมอย่างตื่นตวั ทางกาย (active participation: physical) หมายถึง การจัดการเรียน การสอนทใ่ี หผ้ ู้เรยี นได้เคลอ่ื นไหวทางร่างกายในการทา กจิ กรรมการเรียนรตู้ ่างๆ ดว้ ยตนเอง ประสาทการรบั รู้ ทางร่างกายต่ืนตัว พรอ้ มทจี่ ะรบั รแู้ ละเรียนร้ตู ่อไป การจดั กิจกรรมการเรียนรใู้ หห้ ลากหลาย เหมาะสมกบั วัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ และวุฒภิ าวะของผู้เรียน 2. การมีสว่ นรว่ มอยา่ งตน่ื ตวั ทางสตปิ ญั ญา (active participation: intellectual) หมายถึง การจัด กจิ กรรมการเรียนรู้ทผี่ ้เู รยี นได้ใช้ความคิด ลงมือกระทาด้วยความคิด ใช้สตปิ ญั ญาในการสร้างความเขา้ ใจ และ ความหมายในส่งิ ท่เี รียนรู้ 3. การมสี ว่ นร่วมอยา่ งตนื่ ตัวทางอารมณ์ (active participation: emotion) หมายถึง การจดั กจิ กรรมการเรียนรทู้ ผ่ี ูเ้ รียนได้ใช้ความรู้สกึ อารมณเ์ ข้ามาในการกระทาการตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้า เกิดความร้สู ึก ตา่ งๆ ต่อการเรยี นรู้ ทาให้ผเู้ รยี นเข้าใจสิ่งทเ่ี รียนรูม้ ากขน้ึ วา่ การเรยี นรูน้ มี้ คี วามหมายตอ่ ตนเอง และต่อผอู้ น่ื ดว้ ย 4. การมสี ่วนร่วมอยา่ งตื่นตัวทางสงั คม (active participation: social) หมายถงึ การจดั กจิ กรรมการ เรยี นรู้ที่ผเู้ รียนได้ใช้ความสมั พนั ธ์ทางสงั คมกบั ผู้อน่ื และสิ่งแวดล้อมรอบตวั ไดแ้ ลกเปลีย่ นเรียนจากกันและกัน ชว่ ยขยายขอบเขตการเรยี นร้ใู หก้ ว้างขวางออกไป ทาใหก้ ระบวนการเรียนรสู้ นกุ สนาน ตนื่ เต้น เร้าใจหากผเู้ รยี น ได้มีปฏิสมั พันธ์ในการเรยี นรรู้ ะหวา่ งกัน เม่อื ผูส้ อนจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ที่ใหผ้ ู้เรยี นได้มสี ่วนร่วมในการกจิ กรรมการเรยี นรูอ้ ยา่ งตืน่ ตวั ท้ัง 4 ดา้ น ไดเ้ คลอื่ นไหวร่างกาย(กาย) ใชค้ วามคิด(สตปิ ัญญา) ในการกระทาตอ่ ส่งิ เรา้ รว่ มกันระหวา่ งผเู้ รียนดว้ ยกัน (สังคม) แลว้ ผเู้ รียนเกดิ ความรสู้ ึก(อารมณ์)ในการเรียนรู้ สร้างความหมายต่อสงิ่ ท่ไี ด้เรยี นรู้ จนเกดิ เป็น ความหมายทผ่ี ู้เรยี นเขา้ ใจได้ดว้ ยตนเอง ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นร้ทู แี่ ทจ้ รงิ “การเรียนรู้ทีแ่ ทจ้ รงิ ” หมายถงึ ผลการเรยี นรู้จากกระบวนการเรียนรู้ทผ่ี ู้เรียนรับร้แู ละจดั กระทาตอ่ สิง่ เรา้ (สงิ่ ทเ่ี รยี นร)ู้ ในการสรา้ งความหมายตอ่ สง่ิ ท่ีเรียนรูน้ ้นั เชือ่ มโยงกับความรู้และประสบการร์เดิมของผเู้ รยี น จนเกิดเป็นความหมายทผ่ี ู้เรียนเข้าใจไดด้ ว้ ยตนเอง และสามารถถา่ ยทอด อธบิ ายตามความเขา้ ใจของตนเองได้ จะเหน็ ไดว้ ่า การมสี ่วนรว่ มอยา่ งตน่ื ตัวเป็นกระบวนการ ท่ีช่วยนาผเู้ รยี นไปสู่การเกดิ การเรียนรู้ที่ แท้จรงิ ซี่งปกตโิ ดยทั่วไปแลว้ คร/ู ผู้สอนจะจัดการเรยี นการสอนเชน่ น้ีได้ กต็ ้องมกี ารดาเนนิ การทส่ี าคญั ๆ 2 ประการคือ 1. ครตู อ้ งคิดจัดเตรียมกจิ กรรม/ประสบการณท์ จี่ ะเอื้อให้ผเู้ รยี นมีสว่ นรว่ มอยา่ งตื่นตัว และได้ใช้ กระบวนการเรยี นรทู้ ่ีเหมาะสมเพ่ือนาไปสกู่ ารเกิดการเรียนรทู้ แ่ี ท้จริงตามจดุ ประสงคท์ ่ตี ้ังไว้ 2. ในขณะดาเนินกจิ กรรมการเรียนการสอน ครคู วรลดบทบาทของตนเองลง และเปลีย่ นแปลง บทบาทจากการถ่ายทอดความรู้ไปเป็นผอู้ านวยความสะดวก/ช่วยใหผ้ เู้ รียนดาเนนิ กจิ กรรมการเรยี นร้ไู ด้อยา่ ง ราบร่นื และมีประสทิ ธภิ าพ การจดั การเรียนการสอนโดยยดึ ผเู้ รยี นเป็นศนู ยก์ ลาง สามารถจดั ไดห้ ลากหลายรปู แบบ ผ้สู อน สามารถนาหลกั การและแนวคิดน้ไี ปประยุกตใ์ ช้ไดใ้ นหลายลกั ษณะ สามารถขยาย หรอื ผลิต(generate) ออกไป ได้ในอีกหลากรปู แบบ เพยี งนาหลักการ วิธีการ และกระบวนการเรียนการสอนทผี่ เู้ รยี นไดล้ งมอื กระทาต่อส่ิงท่ี เรยี นรอู้ ยา่ งตนื่ ตัว สามารถสร้างความหมายของสิ่งทเ่ี รยี นรู้จนเกิดความเข้าใขได้ด้วยตนเอง และถ่ายทอด อธบิ ายให้ผอู้ ื่นเขา้ ใจ และปฏบิ ตั ิตามได้ก็จัดว่าผสู้ อนไดจ้ ัดการเรยี นการสอนทย่ี ึดผูเ้ รียนเป็นศูนย์กลางแล้ว

102 รูปแบบการจัดการเรยี นการสอนตามหลักการแนวคดิ นม้ี ีหลากรปู แบบ ในทน่ี ี่นาจดุ เน้นของการจัดการเรยี น การสอนเปน็ เกณฑใ์ นการจัด รูปแบบการเรยี นการสอนทีย่ ึดผู้เรยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง ดงั นี้ 2.1 แบบเน้นตัวผู้เรยี น 2.1.1 การจัดการเรยี นการสอนตามเอกัตภาพ ก. หลกั การ การจดั การเรยี นการสอนใหเ้ หมาะกบั ภมู หิ ลังของผเู้ รยี น ลกั ษณะของผเู้ รยี น และสนอง ความตอ้ งการของผเู้ รยี นเป็นรายบุคคล ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรยี นรูไ้ ดแ้ ละพฒั นาศกั ยภาพไปตาม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ความสามารถตามรายบุคคล ข. นิยาม การจดั การเรยี นการสอนตามเอกตั ภาพ หมายถึง การจัดสภาพการเรียรการสอนทค่ี านึงถงึ ภูมิหลงั ทางเศรษฐสังคมของผเู้ รยี นเป็นสาคัญ ไดแ้ ก่ ภูมิหลงั ทางครอบครวั ฐานะทางเศรษฐกจิ ของครอบครวั ความสามารถ ความถนดั แบบการเรยี นรู้ ความตอ้ งการและความสนใจเดมิ ของผเู้ รียน ผสู้ อนจาเปน็ ตอ้ งมกี าร วินจิ ฉยั ผเู้ รียน และทดสอบผเู้ รียนก่อนเรียน และใช้ผลการวินจิ ฉยั ในการวางแผนการเรยี นให้แกผ่ เู้ รียนเป็น รายบุคคล ผสู้ อนใหค้ วามชว่ ยเหลือผเู้ รียนดาเนินการเรียนรตู้ ามแผนและประเมินผลการเรยี นรู้ของตน ค. ตวั บ่งช้ี 1. ผ้สู อนมกี ารวินิจฉยั ความต้องการของผเู้ รยี นเปน็ รายบุคคลโดยใช้เครื่องมอื ตามความ เหมาะสม 2. ผสู้ อนมกี ารทดสอบผเู้ รียนในเรือ่ งทจี่ ะเรยี นรู้ กอ่ นการเรยี น 3. ผู้สอนมกี ารจัดกลุ่มผเู้ รยี นทีม่ ีความตอ้ งการคล้ายคลึงกนั ไว้ด้วยกนั 4. ผสู้ อนมกี ารวางแผนการเรยี นใหส้ นองความตอ้ งการของผเู้ รยี นตามขอ้ 1 5. ผู้สอนมกี ารจูงใจใหผ้ ้เู รียนเกิดความสนใจทจี่ ะเรียนร้ดู ้วยตนเองดว้ ยวธิ กี ารต่างๆ ตาม ความเหมาะสม 6. ผู้สอนมกี ารให้คาแนะนาแกผ่ เู้ รียนเกย่ี วกับระบบและวธิ กี ารในการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง ทา ความตกลงรว่ มกันในการเรยี นการสอน การให้รางวลั การลงโทษและอนื่ ๆ ทจี่ าเปน็ ตอ่ การประสบความสาเร็จ ในการเรยี นรู้ 7. ผเู้ รยี นมีการดาเนนิ การเรยี นรูต้ ามแผน ผสู้ อนดูแลและใหค้ วามชว่ ยเหลือผูเ้ รยี นเปน็ รายบคุ คล 8. ผูเ้ รียนมีการทาแบบทดสอบประเมินผลการเรียนรู้ เมอ่ื จบหน่วยการเรยี น 9. ผสู้ อนมกี ารจดั ทาแฟ้มการเรียนของผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คลและใชผ้ ลการทดสอบเปน็ ข้อมลู ในการวางแผนการเรยี นรูใ้ ห้แกผ่ ู้เรียนต่อไป 2.1.2 การจัดการเรยี นรูโ้ ดยผเู้ รียนนาตนเอง ก. หลักการ 1. ผู้เรียนพึง่ พาตนเอง และพัฒนาตนเองได้ตามจดุ มุ่งหมายของตนเอง 2. ผูเ้ รยี นนาตนเองและเลือกวิธกี ารเรียนรเู้ องของตนเองตามความถนัด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 103 ข. นิยาม การจัดการเรยี นร้โู ดยใหผ้ เู้ รยี นนาตนเอง หมายถงึ การใหโ้ อกาสผเู้ รยี นวางแผนการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง ตง้ั วตั ถปุ ระสงค์ เป้าหมายการเรียนร้ขู องตนเอง เลอื กวิธีการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ รวมถึงการ ประเมินตนเองตามคาแนะนาของผสู้ อน ผสู้ อนอยใู่ นฐานะกัลยาณมติ ร ทาหน้าทีก่ ระตนุ้ นาทางไมใ่ หผ้ ูเ้ รียน หลงทาง เสรมิ แรงเป็นครัง้ คราวตามความเหมาะสมและการประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้วย ค. ตวั บ่งชี้ 1. ผู้เรียนมกี ารวางแผนการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 2. ผเู้ รยี นมีการวนิ จิ ฉยั ความตอ้ งการเรียนรู้ของตน 3. ผู้เรียนมกี ารตงั้ เปา้ หมายในการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง 4. ผ้เู รียนมีการเลอื กวธิ เี รียนดว้ ยตนเอง 5. ผู้เรยี นมีการแสวงหาแหลง่ ความรู้ รวบรวมขอ้ มลู และวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยตนเอง 6. ผูเ้ รียนมีการประเมินผลการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง 7. ผสู้ อนมกี ารสนับสนนุ สง่ เสรมิ ให้คาแนะนา และความช่วยเหลอื แกผ่ เู้ รยี นในขนั้ ตอนต่างๆ ตามความเหมาะสมและความจาเป็น 8. ผู้สอนมกี ารวัดและประเมนิ ผลโดยใชผ้ ลการประเมินของตนเองและผเู้ รียนประกอบกัน 2.2 แบบเน้นความรู้ ความสามารถ 2.2.1 การจัดการเรยี นรูแ้ บบรู้จริง ก. หลักการ ผเู้ รยี นทุกคนสามารถท่ีจะเรยี นรู้ได้ตามวตั ถุประสงค์ หากผู้เรยี นไดร้ บั เวลาทจ่ี ะ เรยี นรู้เรื่องนั้นๆ อย่างเพียงพอตามความตอ้ งการของตน แมว้ า่ ผูเ้ รียนจะมีความสามารถหรือความถนัดตา่ งกัน กต็ าม ผสู้ อนดาเนนิ การเรยี นการสอนตามความสามารถหรอื ความถนดั ของผเู้ รียน ข. นยิ าม การจัดการเรียนรแู้ บบร้จู รงิ หมายถงึ กระบวนการในการดาเนินการใหผ้ เู้ รยี น ทุกคน ซ่ึงมีความสามารถและสติปญั ญาแตกตา่ งกัน สามารถเกิดการเรียนรู้อยา่ งแท้จริง เป็นการเรยี นรทู้ มี่ ุ่งให้ ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรไู้ ดจ้ รงิ ตามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนด และดาเนนิ การเรียนการสอนตามความถนดั หรอื ความสามารถที่แตกต่างกันของผ้เู รียน โดยเฉพาะเรอื่ งการให้ เวลา ในการเรยี นรกู้ บั ผเู้ รยี น ให้ผู้เรยี นสามารถ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์การเรยี นไปตามลาดับขน้ั ตอนเปน็ ข้ันๆไป จวบจนสามารถบรรลผุ ลตามวัตถุประสงคห์ ลกั ได้ การประเมนิ ผลการเรียนรตู้ อ้ งประเมินผลการเรียนรจู้ รงิ ตามวัตถปุ ระสงคห์ นึ่งๆ กอ่ นจึงจดั การเรยี นการสอน ตามวตั ถุประสงค์ลาดบั ตอ่ ไปได้ ค. ตัวบ่งช้ี 1. ผสู้ อนมกี ารกาหนดวัตถปุ ระสงคอ์ ย่างละเอียดในการเรยี นรูเ้ น้อื หาสาระ และ วตั ถุประสงคบ์ ง่ บอกสิง่ ทีผ่ เู้ รียนต้องกระทาใหไ้ ด้ เพอื่ แสดงวา่ ตนไดเ้ กดิ การเรียนรู้จริงในสาระน้นั 2. ผสู้ อนมกี ารวางแผนการเรียนรู้สาหรบั ผเู้ รียนแตล่ ะคนโดยเฉพาะอย่างยงิ่ เร่ือง การใชเ้ วลาในการเรยี นรขู้ องแตล่ ะบคุ คลแตกต่างกัน 3. ผ้สู อนมกี ารช้แี จงใหผ้ ู้เรียนเข้าใจเก่ยี วกับจุดมงุ่ หมาย วิธกี ารเรยี นรู้ และระเบยี บ กตกิ า ขอ้ ตกลงต่างๆ เก่ยี วกบั การทางาน 4. ผู้เรียนมีการดาเนนิ การเรียนรู้ตามแผนการเรียนรู้ทผี่ สู้ อนจัดไว้และประเมินการ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 104 เรยี นรู้ตามวัตถุประสงค์แตล่ ะข้อ 5. หากผเู้ รยี นบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์หนงึ่ ทกี่ าหนดไวแ้ ล้ว จึงจะมีการดาเนินการเรยี นรู้ ตามวตั ถุประสงคข์ อ้ ถัดไปได้ 6. หากผู้เรียนยังไม่สามารถบรรลวุ ตั ถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้ ผู้สอนจะตอ้ งมกี าร วินิจฉยั ปญั หาและความตอ้ งการของผเู้ รยี น และจัดโปรแกรมสอนซอ่ มในสว่ นท่ียังไมส่ ัมฤทธิ์ผล แลว้ จงึ ทาการ ประเมนิ ผลอกี คร้งั หนง่ึ 7. ผูเ้ รียนมีการดาเนนิ การเรยี นรไู้ ปอย่างต่อเนอ่ื ง ตามลาดบั ของวัตถุประสงค์ที่ กาหนด 8. ผสู้ อนมกี ารตดิ ตามความกา้ วหนา้ ในการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ของผ้เู รียน และเกบ็ ข้อมลู การเรียนรขู้ องผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คล 2.2.2 การจัดการเรยี นการสอนแบบรบั ประกนั ผล ก. หลกั การ 1. ผเู้ รยี นทุกคนมีศักยภาพและประสบผลสาเรจ็ ในการเรยี นรูไ้ ด้ หากไดร้ บั ความ ช่วยเหลอื ตามปญั หาและความต้องการของเขา 2. การท่ผี สู้ อนมวี ัตถุประสงคท์ ช่ี ัดเจน และสามารถพสิ ูจนท์ ดสอบได้ ผู้เรยี นไดเ้ รียนรู้ ตามเป้าหมายและความคาดหวังของตนเอง 3. การทดสอบช่วยให้ผสู้ อนไดข้ อ้ มลู เกีย่ วกับการเรยี นรขู้ องผู้เรียน เพอื่ ใชใ้ นการวาง แผนการเรยี นการสอนใหผ้ ้เุ รียนเปน็ รายบคุ คลตามปัญหาความต้องการ ข. นิยาม การจดั การเรียนการสอนแบบรบั ประกนั ผล หมายถงึ การจัดสภาพการณข์ องการ เรยี นการสอนทผ่ี สู้ อนกาหนดวตั ถุประสงค์ ทีส่ ามารถพิสจู นท์ ดสอบไดว้ า่ ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรูต้ ามทก่ี าหนดไว้ หรอื ไม่ และผสู้ อนดาเนินการทดสอบผเู้ รียนเป็นรายบุคคลตามวัตถุประสงค์นน้ั วัตถปุ ระสงค์ทีก่ าหนดจงึ ควร เปน็ วัตถปุ ระสงคท์ เี่ หมาะสมและเปน็ ไปไดส้ าหรบั ผเู้ รยี น ค. ตวั บ่งชี้ 1. ผสู้ อนมกี ารกาหนดวัตถุประสงค์ในการสอนท่ีชดั เจน และสามารถทาการ ทดสอบได้ 2. ผู้เรียนมกี ารไดร้ บั รูว้ ัตถุประสงค์ดังกล่าวท้ังก่อนการเรยี น และก่อนรบั การ ทดสอบ 3. ผสู้ อนมกี ารทดสอบผเู้ รียนเป็นรายบคุ คล เพอื่ ประเมินว่าเกดิ การเรียนร้ตู าม วัตถปุ ระสงค์ท่กี าหนดหรอื ไม่ 4. ผ้สู อนมีการดาเนินการสอนซ้า หรอื สอนใหมอ่ ีกครงั้ หน่ึงให้แกผ่ เู้ รยี นทไ่ี มผ่ า่ น วตั ถุประสงค์ จนกระทง่ั ผเู้ รยี นทกุ คนสอบผา่ นตามวตั ถปุ ระสงค์ 2.2.3 การจดั การเรียนการสอนแบบเน้นมโนทัศน์ ก. หลกั การ 1. เน้นการเรยี นรคู้ วามคิดเชิงนามธรรม สามารถถา่ ยโอนการเรยี นรไู้ ด้มากกวา่ การเรยี นรู้ แบบรปู ธรรม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 105 2. ท้ังผสู้ อนและผเู้ รียนได้เรียนรกู้ ระบวนการในการสร้างความร้คู วามเข้าใจที่ลกึ ซึง้ ซึ่งเปน็ กระบวนการทจ่ี าเป็นในการเรียนรู้ 3. มองเห็นความสมั พนั ธ์ของข้อมลู ความรตู้ า่ งๆ แทนทจี่ ะเรียนรเู้ พยี งขอ้ เทจ็ จรงิ เทา่ นนั้ ได้ เรยี นรแู้ บบองค์รวม 4. ผู้สอนไดพ้ ฒั นาทกั ษะในการสอนทสี่ ลบั ซับซอ้ นมากกวา่ การเรียนรูข้ อ้ มูล ขอ้ เท็จจริง และ ผเู้ รยี นได้พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ทหี่ ลากหลายและซับซ้อนขน้ึ ข. นยิ าม การจดั การเรยี นการสอนแบบเนน้ มโนทศั น์ หมายถงึ การวางแผนการจดั การเรยี นการ สอนโดยการระบุมโนทศั น์ หรอื ความคิดรวบยอดท่ีตอ้ งการให้ผเู้ รียนได้รบั และดาเนนิ การเรยี นการ สอนโดยใชว้ ิธีการและกระบวนการต่างๆ เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รียนเขา้ ใจความคดิ รวบยอด สามารถนาความคดิ รวบยอดไปใช้ในสถานการณใ์ หมๆ่ ได้ และการประเมนิ ผลท่มี ุ่งความเข้าใจของผเู้ รียนต่อมโนทัศน์ นน้ั ๆ ค. ตัวบ่งชี้ 1. ผ้สู อนมกี ารวิเคราะหเ์ นอ้ื หาสาระ และระบมุ โนทัศนห์ รอื ความคิดรวบยอดทีต่ ้องการสอน อย่างละเอียดและอย่างชัดเจน 2. ผู้สอนมกี ารคดิ และเขยี นรายการคาถามทส่ี าคัญๆ ทจ่ี ะชว่ ยนาผู้เรียนไปสคู่ วามคิดเชงิ นามธรรม หรือมโนทัศน์นัน้ ๆ 3. ผสู้ อนมกี ารระบกุ ระบวนการและทกั ษะต่างๆที่ผเู้ รียนจาเปน็ ต้องใชใ้ นการเรียนรมู้ โนทศั น์ นั้นๆ 4. ผู้เรยี นมีการสร้างความรูค้ วามเข้าใจในมโนทศั น์ด้วยตนเอง 5. ผเู้ รียนมีการสรุปมโนทศั น์ทเ่ี รยี นรูไ้ ดด้ ้วยตนเอง 6. ผู้เรยี นมกี ารนามโนทัศนท์ ี่ได้เรียนร้ไู ปประยุกต์ใชใ้ นสถานการณ์ใหมๆ่ 7. ผู้สอนมกี ารประเมินผลการเรียนรมู้ โนทัศนท์ ี่ผเู้ รียนไดเ้ รียนรรู้ วมทงั้ การเรียนรู้ดา้ น กระบวนการและทักษะทใ่ี ช้ในการเรยี นรู้ 2.3 แบบเน้นประสบการณ์ 2.3.1 การจดั การเรยี นร้แู บบเน้นประสบการณ์ ก. หลักการ ประสบการณเ์ ป็นแหล่งทม่ี าของการเรียนรู้ และเป็นพน้ื ฐานสาคัญของการเกิดความคิด ความรู้ และการกระทาต่างๆ กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ ประกอบด้วยขน้ั ตอนหลกั 4 ขั้นตอน คอื 1. ขัน้ การรับประสบการณร์ ูปธรรม 2. ขน้ั การสงั เกตอยา่ งไตรต่ รอง 3. ข้ันการสร้างแนวคิดเชงิ นามธรรม 4. ข้ันการทดลองประยุกตห์ ลกั การไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ข. นยิ าม การจัดการเรียนรูแ้ บบเนน้ ประสบการณ์ หมายถงึ การดาเนนิ การอนั จะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นรตู้ ามเปา้ หมายโดยให้ผเู้ รียนไดร้ ับประสบการณ์ทจี่ าเป็นต่อการเรยี นรใู้ นเร่ืองทเ่ี รียนรู้กอ่ น และให้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 106 ผู้เรียนสงั เกต ทบทวนสิ่งทเ่ี กดิ ข้นึ นาสิ่งทเี่ กดิ ขึ้นมาพจิ ารณา ไตรต่ รองจสนผู้เรยี นสามารถสร้างความคิดรวบ ยอด หรอื สมมติฐานตา่ งๆ ในเรอ่ื งทเ่ี รียนรู้ แล้วจงึ นาความคดิ หรอื สมมติฐานเหล่านไ้ี ปใช้ในสถานการณใ์ หม่ ค. ตวั บ่งชี้ 1. ผสู้ อนมีการจัดประสบการณ์การเรียนรทู้ ี่เป็นรปู ธรรมในเร่อื งที่เรยี นรู้ ใหผ้ เู้ รยี นได้ลงไปประสบ ด้วยตนเอง 2. ผ้เู รยี นมีการสะท้อนความคิด และอภปิ รายร่วมกัน เก่ียวกบั ส่งิ ทีไ่ ด้ประสบมา หรอื เกดิ ขนึ้ ใน สถานการณ์การเรียนรู้นน้ั 3. ผูเ้ รยี นมีการสร้างความคิดรวบยอด/หลักการ/สมมตฐิ านจากประสบการณ์ที่ได้รบั 4. ผู้เรียนมีการนาความคิดรวบยอด/หลักการ/สมมตฐิ านต่างๆ ท่สี รา้ งขน้ึ ไปทดลองหรือ ประยกุ ต์ใชส้ ถานการณ์ใหมๆ่ 5. ผสู้ อนมีการติดตามผล และเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนแลกเปลยี่ นผลการทดลอง/ประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ เพ่ือขยายขอบเขตของการเรียนรู้ 6. ผสู้ อนมีการวัดและประเมนิ ผลจากมมุ มองของผสู้ อน และผเู้ รยี นรว่ มกนั 2.3.2 การจัดการเรยี นร้แู บบรับใช้สังคม ก. หลักการ การเรียนรูจ้ ากประสบการณเ์ ปน็ การเรยี นรจู้ ากรปู ธรรมไปสนู่ ามธรรม อันจะชว่ ยให้ ผู้เรยี นเกดิ ความคดิ ความรู้ใหม่ด้วยตนเองแลว้ นาความรู้ไปรับใช้สงั คมตามความต้องการของชมุ ชน และสงั คม สามารถสร้างประสบการณ์ท่มี คี ณุ คา่ ตอ่ การเรยี นรู้ ประสบการณ์การรบั ใชส้ งั คม สามารถสรา้ งแรง จูงใจใหผ้ เู้ รียนเกิดจิตสานกึ ในการชว่ ยเหลือสงั คม และยังพฒั นาความรู้ ทักษะและทศั นคตขิ องผเู้ รียนไดด้ ว้ ย ข. นิยาม การจดั การเรยี นร้แู บบรบั ใช้สงั คม หมายถึงการดาเนินการช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ โดยการใหผ้ เู้ รยี นเข้าไปมปี ระสบการณใ์ นการรบั ใช้สงั คม นาประสบการณน์ ม้ี าพฒั นาความคดิ รวบยอด หลักการ หรอื สมมตฐิ านต่างๆ เพอ่ื สร้างข้อสรปุ และนาไปรับใชส้ งั คมอ่ืนๆ ตอ่ ไปได้ ค. ตัวบง่ ช้ี 1. ผู้เรียนมีการกาหนดขอบเขตของการศึกษาชมุ ชน 2. ผู้เรียนมกี ารศกึ ษาความต้องการของชุมชน และเลือกกิจกรรมทจี่ ะรบั ใชส้ งั คม 3. ผเู้ รียนมีการวางแผนการรบั ใช้สงั คมในกจิ กรรมท่เี ลอื ก 4. ผู้เรียนมกี ารจดบันทกึ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั การปฏบิ ตั ิการรับใชส้ ังคม 5. ผเู้ รียนมกี ารวิเคราะห์เหตุการณ์และส่งิ ต่างๆ ทเี่ กิดขน้ึ ในขณะปฏบิ ัตกิ ารรบั ใช้ สงั คม และมกี ารคิดพฒั นา สร้างเป็นข้อสรปุ ความคดิ รวบยอด/หลกั การ/สมมตฐิ าน 6. ผเู้ รียนมีการนาความคิดรวบยอด/หลกั การ/สมมติฐานทีไ่ ด้ไปทดลองใช้ หรอื นาไปประยกุ ตใ์ ช้ในสภาพการณใ์ หมๆ่ 7. ผู้สอนมีการติดตามผลการนาความรู้/ความคดิ /หลกั การ/สมมติฐานไปใชส้ ง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนแลกเปล่ียนผลการนาไปใช้ และอภปิ รายหาขอ้ สรปุ ความรู้ ความคดิ ใหม่ๆ หรือปรบั เปล่ียนความคิด ตามความเหมาะสม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 107 8. ผสู้ อนมีการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ โดยใชผ้ ลการประเมนิ การเรยี นรูข้ อง ตนเองของผเู้ รียนและของผู้สอนประกอบกนั การวดั และประเมินผลเปน็ ไปตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ไมใ่ ช่ วดั ผลการรบั ใชส้ งั คม 2.3.3 การจดั การเรยี นรู้ตามสภาพจริง ก. หลักการ 1. การเรียนรเู้ รอ่ื งใดๆ กต็ ามตอ้ งมคี วามสมั พันธ์กบั บริบทของเร่อื งน้นั ๆ ตามความเป็น จริง จงึ สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวนั ได้ 2. สภาพการณ์จรงิ ปัญหาจรงิ เปน็ โลกแหง่ ความจรงิ ซงึ่ ทุกคนจะต้องเผชญิ การให้ ผเู้ รียนได้เผชญิ สภาพความเป็นจรงิ เป็นโอกาสใหผ้ ู้เรยี นได้เรียนรู้ความเปน็ จริง 3. การเรียนรู้ความเป็นจรงิ ของจรงิ เป็นการเรยี นรู้ท่ีมีความหมาย เพราะสามารถ นาไปใช้ไดจ้ ริง กระตนุ้ ผู้เรียนใหเ้ กิดความใฝร่ ู้ อยากเรยี นรู้ 4. การให้ผเู้ รยี นเผชญิ ปญั หาและแก้ปญั หา จะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นพฒั นาทักษะทจี่ าเป็นต่อการ ดารงชีวิต การเรยี นรู้ตามสภาพจรงิ น้ัน ตามหลกั การแลว้ ควรเปน็ การเรียนร้ทู ่ไี มแ่ ยกออกจาก บรบิ ทเปน็ การเรยี นรเู้ ร่อื งใดเรอ่ื งหน่ึงตามสภาพและบรบิ ทจรงิ ไมด่ ึงเอาเรือ่ งนั้นออกจากบรบิ ทท่ี เป็นอยู่ ข. นิยาม การจดั การเรียนรู้ตามสภาพจรงิ คือ การดาเนินการช่วยให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรียนรู้ โดยให้ ผเู้ รียนเข้าไปเผชญิ สภาพการณจ์ รงิ ปัญหาจรงิ ในบริบทจริงและศกึ ษาเรียนรู้ แสวงหาความร้ขู อ้ มลู และวธิ กี ารต่างๆ เพอื่ แก้ไขปัญหานน้ั และรับผลการประเมนิ ตามมาตรฐานคุณภาพในชวี ติ จรงิ ค. ตวั บ่งช้ี 1. ผ้สู อนมกี ารนาผเู้ รียนเขา้ ไปเผชิญสถานการณจ์ รงิ ปญั หาจริง ในบรบิ ทจริง 2. ผู้เรียนมีการคดิ วิเคราะหป์ ัญหา แสวงหาความรู้ ขอ้ มูลและวธิ กี ารตา่ งๆ ศึกษาทาความ เข้าใจข้อมลู ความรู้ และนาข้อมลู และความรไู้ ปใช้แกป้ ญั หาในชีวิตจริง 3. ผู้เรียนมกี ารตัดสินใจกระทาการอย่างใดอย่างหนึ่งเพอ่ื แกป้ ัญหารว่ มกัน 4. ผู้เรยี นไดร้ บั ผลจากการตัดสนิ ใจและการกระทาของตนจากสังคม(ตามเกณฑม์ าตรฐาน คณุ ภาพในชวี ติ จรงิ ) 5. ผเู้ รยี นมีการอภิปราย แลกเปลีย่ นความรู้และความเข้าใจสะท้อนความคดิ เกย่ี วกบั การ เรยี นรู้ของตน 6. ผู้สอนมกี ารวัดและประเมนิ ผล ท้ังทางด้านความรู้ ทักษะและเจตคติ 2.4 แบบเน้นปญั หา 2.4.1 การจัดการเรียนการสอนโดยใชป้ ญั หาเปน็ หลกั ก.หลกั การ ปัญหาสามารถกระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นเกิดภาวะงนุ งงสงสัย และความตอ้ งการท่ีจะแสวงหา ความรเู้ พือ่ ขจัดความสงสยั ดังกล่าว การได้เผชญิ ปัญหาจรงิ ในชวี ิตจริง และรม่ กันแกป้ ญั หา

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 108 ชว่ ยให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรียนรอู้ ยา่ งมีความหมาย และสามารถพัฒนาทกั ษะต่างๆอนั จาเปน็ ต่อการดารงชวี ติ และการเรยี นรตู้ ลอดชีวิต ข.นิยาม การจัดการเรียนการสอนโดยใชป้ ญั หาเป็นหลัก เปน็ การจัดสภาพการณ์การเรียนการ สอนทใ่ี ช้ปญั หาเปน็ เคร่ืองมือ ในการช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ตามเปา้ หมายโดยผู้สอนอาจ นาผเู้ รยี นไปเผชิญสถานการณ์ปญั หาจรงิ ฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์ และแกป้ ัญหาร่วมกนั กระบวนการนผี้ เู้ รยี นเขา้ ใจในปญั หาน้ันได้ชดั เจนขน้ึ ค้นหาทางเลอื กและวิธกี ารต่างๆ หลากหลายมาใชใ้ นการแกป้ ญั หาน้นั ผเู้ รยี นเกิดความใฝร่ ู้ ทักษะกระบวนการคดิ และ กระบวนการแกป้ ัญหาตา่ งๆ ค. ตัวบ่งชี้ 1. ผสู้ อนและผเู้ รยี นมีการร่วมกันเลอื กปญั หาท่ตี รงกับความสนใจของผเู้ รยี น 2. ผู้สอนและผเู้ รยี นมกี ารออกไปเผชญิ สถานการณ์ปัญหาจรงิ 3. ผู้สอนและผเู้ รียนมีการรว่ มกนั วเิ คราะหป์ ญั หาและหาสาเหตขุ องปญั หา 4. ผู้เรียนมกี ารวางแผนการแกป้ ญั หารว่ มกัน 5. ผ้สู อนมกี ารใหค้ าปรกึ ษาแนะนา และช่วยอานวยความสะดวกแกผ่ เู้ รียนในการ แสวงหาแหล่งขอ้ มลู 6. ผู้เรียนมกี ารคน้ คว้าและแสวงหาความร้ดู ้วยตนเอง 7. ผู้สอนมกี ารกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนแสวงหาทางเลอื กในการแกป้ ัญหาทหี่ ลากหลาย 8. ผู้เรียนมกี ารลงมอื แกป้ ญั หา รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ สรปุ และประเมนิ ผล 9. ผ้สู อนมกี ารตดิ ตามการปฏบิ ตั ิงานของผู้เรยี นและใหค้ าปรกึ ษา 10. ผสู้ อนมกี ารประเมินผลการเรียนรู้ทัง้ ด้านผลงานและกระบวนการ 2.4.2 การจัดการเรยี นการสอนโดยใชโ้ ครงการเป็นหลกั ก. หลักการ 1.โครงการหรอื โครงงาน เป็นกิจกรรมทม่ี ีบรบิ ทจรงิ เช่อื มโยงอยู่ ดงั นน้ั การเรยี นรทู้ ีเ่ กดิ ขน้ึ จงึ สัมพันธก์ บั ความเปน็ จรงิ 2.การใหผ้ ูเ้ รยี นทาโครงการหรือโครงงาน และเปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นได้เขา้ โครงการสบื สอบ ผู้เรยี นได้ใชก้ ระบวนการคดิ ขน้ั สงู สลบั ซบั ซอ้ น ได้พฒั นาสตปิ ัญญาด้วย 3.การจดั การเรียนการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลัก ช่วยใหผ้ ู้เรยี นไดผ้ ลิตงานที่เป็นรปู ธรรม ออกมา ผลผลติ นีแ้ สดงออกถงึ ความรคู้ วามคิดของผเู้ รียน สามารถนามาอภิปราย แลกเปลี่ยน ขอ้ คิดเห็น 4การแสดงผลงานต่อสาธารณชน สามารถสร้างแรงจงู ใจในการเรียนรแู้ ละการทางานให้แก่ ผูเ้ รียน แรงจงู ใจมผี ลตอ่ ความสนใจ กระตอื รือรน้ อดทนในการแสวงหาความรแู้ ละใช้ความรู้ 5.การใหผ้ เู้ รยี นทาโครงการ หรอื โครงงาน นอกจากจะชว่ ยให้ผู้เรียนพฒั นาทกั ษะกระบวน การในการสืบสอบและการแกป้ ัญหาแลว้ ยงั ช่วยดงึ ศักยภาพทม่ี ีอยู่ในตัวผเู้ รยี นออกมาใช้ประโยชน์ ดว้ ย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 109 ข. นยิ าม การจดั การเรียนการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลัก หมายถึง การจดั สภาพการณข์ องการเรยี น การสอน โดยให้ผู้เรียนได้ร่วมกนั เลือกทาโครงการทต่ี นสนใจ โดยร่วมกัน สารวจ สงั เกต และกาหนด เรือ่ งท่ีตนเองสนใจ วางแผน ศกึ ษาหาข้อมูล เกบ็ ข้อมลู และนาเสนอ สรปุ ผลการเรยี นทไ่ี ดร้ บั จาก โครงการนี้มาอภิปราย แลกเปลี่ยนความรู้ และขอ้ ค้นพบ ค. ตัวบ่งชี้ 1. ผสู้ อนและผเู้ รียนมีการอภิปรายปญั หาตา่ งๆร่วมกัน ผเู้ รยี นเลือกปัญหาที่ตนสนใจ 2. ผสู้ อนมกี ารช้แี จงหรือทาความเขา้ ใจกบั ผูเ้ รียนถึงวัตถปุ ระสงคใ์ นการทาโครงการ ความ คาดหวังท่ีต้องการใหเ้ กดิ จากการทาโครงการ วธิ กี าร กระบวนการดาเนินโครงการ รวมทัง้ บทบาทของผสู้ อน และผเู้ รยี น 3. ผู้เรยี นมีการศกึ ษาหาความร้ใู นเรอื่ งท่ีจะทาจากแหล่งความรทู้ หี่ ลากหลาย 4. ผู้เรียนมีการวางแผนการจัดทาโครงการ รวมถึงความรู้ และทกั ษะที่จาเปน็ ต้องใช้ในการ ดาเนนิ โครงการใหล้ ลุ ว่ ง ผสู้ อนใหค้ าปรกึ ษาแนะนาตามความจาเป็น 5. ผู้เรยี นมกี ารเขียนโครงการและนาเสนอผู้สอน 6. ผ้เู รียนมกี ารดาเนนิ งานตามแผนที่ไดก้ าหนดจนผลผลติ ของโครงการสาเรจ็ ผ้สู อนอานวย ความสะดวก ติดตามการดาเนนิ งาน ใหคาแนะนาตามความจาเป็น 7. ผู้สอนและผเู้ รียนมกี ารนาผลงานของผู้เรียนออกมาแสดง 8. ผู้เรยี นมีการปรบั ปรุงผลงานและเขยี นรายงาน 9. ผู้เรียนมกี ารนาผลงานออกแสดงตอ่ สาธารณชน 10. ผ้สู อนมกี ารจัดใหผ้ ู้เรียนนาผลงาน ประสบการณแ์ ละขอ้ มลู ทงั้ หมดมาอภปิ ราย 11. ผู้สอนมกี ารวดั และประเมนิ ผลช้นิ งาน เนื้อหาความรู้ท่ีไดจ้ ากการทาโครงการ กระบวนการ ทกั ษะตา่ งๆทไ่ี ด้พฒั นาและทศั นคตที่เกดิ ข้ึน 2.5 แบบเน้นทกั ษะกระบวนการ 2.5.1 การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการสืบสอบ ก. หลักการ การสบื สอบดว้ ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ กระบวนการทจี่ าเป็นตอ่ การ แสวงหาและศึกษาขอ้ มูลความรตู้ า่ งๆ คาถามที่เหมาะสมสามารถนาผ้เู รียนสกู่ ารค้นพบ ความร้ใู หม่ๆได้ ข. นิยาม การจัดการเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการสบื สอบ หมายถงึ การดาเนนิ การเรยี น การสอนโดยผสู้ อนกระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นเกดิ คาถาม เกิดความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพ่อื นามาประมวลหาคาตอบหรือขอ้ สรปุ ด้วยตนเอง ผู้สอนอานวยความสะดวกในการเรยี น การสอน ค. ตวั บ่งชี้ 1.ผู้สอนมกี ระบวนการสอน/กิจกรรมการสอน ทกี่ ระตนุ้ ให้ผู้เรยี นเกดิ ความคิด วเิ คราะห์ สามารถตั้งคาถามท่ีตอ้ งการจะสบื เสาะหาคาตอบด้วยตนเองได้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 110 2. ผ้สู อนมเี อกสารวัสดุ หรอื สอื่ ทผี่ ู้เรียนสามารถใชป้ ระกอบการคิดวเิ คราะหแ์ ละ การศึกษาเร่อื งทีเ่ รียน 3. ผู้เรยี นมกี ารศกึ ษาคน้ ควา้ หาความร้/ู คาตอบโดยใชก้ ระบวนการแสวงหาความรูท้ ่ี เหมาะสม 4. ผู้สอนมกี ารชว่ ยพฒั นาทกั ษะทจ่ี าเป็นสาหรับผเู้ รยี นในการศึกษาวเิ คราะห์ และ สรปุ ข้อมลู หรอื สร้างความรทู้ มี่ คี วามหมายตอ่ ตวั ผู้เรยี น 5.ผสู้ อนมกี ารวัดและประเมนิ ผลการเรียน ทั้งทางด้านเนอื้ หาสาระ และกระบวน การสบื สอบหาความรู้ 2.5.2 การจัดการเรียนการสอนโดยเนน้ กระบวนการคดิ ก. หลกั การ กระบวนการคดิ เป็นกระบวนการทางสตปิ ญั ญา ซึ่งอาศยั สิง่ เรา้ และ สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสม การฝกึ ทกั ษะการคดิ การใช้ลกั ษณะการคดิ แบบตา่ งๆรวมทง้ั กระบวนการคิดทหี่ ลากหลายจะชว่ ยใหเ้ กดิ การคดิ อย่างจงใจและมเี ปา้ หมาย ข.นยิ าม การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการคิด หมายถึง การดาเนนิ การ เรียนการสอนโดยผสู้ อนใชร้ ปู แบบ วิธีการ และเทคนิคการสอนตา่ งๆกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ ความคดิ ขยายต่อเนือ่ งจากความคิดเดิมที่มีอยใู่ นลกั ษณะใดลกั ษณะหนง่ึ ค. ตวั บ่งช้ี 1. ผสู้ อนและผเู้ รียนมีปฏิสมั พันธ์กนั 2. ผ้สู อนมกี ารใชร้ ปู แบบ วธิ ีการ และเทคนคิ ตา่ งๆกระตุ้นใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความคดิ ขยายต่อเนอื่ งจากความคิดเดมิ ทมี่ ีอยใู่ นลกั ษณะใดลกั ษณะหนง่ึ เช่น ความคดิ มคี วาม หลากหลายมากข้ึน คดิ ละเอยี ด คิดรอบคอบ คดิ กว้างขวางออกไปจากเดมิ คดิ ลกึ ซึง้ เลง็ เหน็ การณไ์ กล มเี หตผุ ล ถูกต้อง และนา่ เช่ือถือ 3. ผูส้ อนมีการจดั กจิ กรรมสง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นไดฝ้ กึ ทักษะการคดิ และกระบวนการคดิ ตา่ งๆ ได้เหมาะสมกับพนื้ ฐานของผเู้ รยี น เริ่มตง้ั แต่ทักษะการคดิ ขนั้ พ้ืนฐาน เชน่ จาได้ อา่ น เขยี นได้ ต่อมาทกั ษะการคิดท่ีเป็นแกนสาคัญเชน่ สังเกต ตงั้ คาถาม จาแนก จัดหมวดหมู่ ใช้ เหตผุ ล ทกั ษะการคดิ ขนั้ สงู เชน่ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ คาดการณ์ ทดสอบ รเิ รมิ่ จนิ ตนาการ 4. ผู้สอนมกี ารใหโ้ อกาส และเวลาแกผ่ เู้ รยี น ในการใช้ความคิดและแสดงความ คดิ 5. ผู้สอนและผเู้ รียน หรือผู้เรยี นและผเู้ รียนมีการอภปิ รายโตต้ อบกันเกีย่ วกบั ความ คดิ ทีเ่ กดิ ขึน้ ในกระบวนการเรียนการสอน 6. ผ้สู อนและผเู้ รียนมีการร่วมกนั สรุปประเดน็ ท่ไี ดจ้ ากกระบวนคิดทเี่ กิดขึน้ ในการ เรยี นการสอน 7. ผสู้ อนมกี ารวัดและประเมนิ ผลการเรียนทัง้ ทางดา้ นเน้อื หาสาระและกระบวน การคิด

111 2.5.3 การจัดการเรยี นการสอนโดยเนน้ กระบวนการกล่มุ ก. หลกั การ กระบวนการกลมุ่ เป็นกระบวนการในการทางานร่วมกนั ของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปโดยมี วัตถปุ ระสงค์ร่วมกัน และมกี ารดาเนนิ งานรว่ มกนั โดยผ้นู ากลมุ่ และสมาชิกกลมุ่ ต่างๆ กท็ าหนา้ ที่ของ ตนอย่างเหมาะสม มีกระบวนการทางานสามารถนากลมุ่ ทางานได้ตามวัตถุประสงค์ ข.นิยาม การจดั การเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการกลุม่ หมายถึง การดาเนินการเรยี นการสอน โดยทผี่ สู้ อนใหผ้ ูเ้ รยี นทางาน/กจิ กรรมกลุม่ พรอ้ มทง้ั สอน/ฝกึ /แนะนาใหผ้ ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้เกี่ยว มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง กับกระบวนการทางานกลุ่มทดี่ ี ควบคู่ไปกบั การช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้เนอื้ หาสาระตาม วัตถุประสงค์ ค.ตัวบ่งชี้ 1. ผ้เู รยี นมกี ารปฏิสมั พันธ/์ ทางาน/ทากิจกรรม รว่ มกนั เป็นกลมุ่ เพื่อใหเ้ กิดการเรยี นร้ตู าม วตั ถุประสงค์ 2. ผู้สอนมกี ารฝึก/ชี้แนะ/สอนใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนรู้เกีย่ วกับกระบวนการทางานกลมุ่ ท่ีดีใน จดุ ใดจุดหนงึ่ ของกระบวนการ 3. ผู้เรยี นมีการวเิ คราะห์การเรียนร้ขู องตนเองทงั้ ในด้านเนอ้ื หาสาระทเ่ี รยี นและกระบวน การทางานรว่ มกัน 4. ผสู้ อนมกี ารวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ผลทงั้ ดา้ นเนอ้ื หาสาระ และกระบวนการกลมุ่ 2.5.4การจัดการเรียนการสอนโดยเนน้ กระบวนการวจิ ยั ก. หลักการ กระบวนการวจิ ยั เป็นกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรท์ ใี่ ช้ในการแสวงหาความรเู้ พอ่ื ใหไ้ ดข้ ้อมลู ความรู้ท่เี ช่อื ถอื ได้ การใหผ้ ้เู รียนไดใ้ ช้กระบวนการวิจยั ในการศกึ ษาหาความร้ชู ่วยใหผ้ ้เู รยี นเกดิ การ เรยี นรทู้ ่ีลกึ ซง้ึ และมคี วามหมายต่อตนเอง ข. นิยาม การจัดการเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการวิจัย หมายถงึ การจดั สภาพการณข์ องการ เรยี นการสอน ท่ีใหผ้ ู้เรียนใชก้ ระบวนการวิจยั หรอื ผลการวจิ ัยเปน็ เครอื่ งมือในการเรยี นรเู้ น้ือหาสาระ ต่างๆ ค. ตัวบ่งชี้ 1.ผูส้ อนมีการนาผลการวจิ ัยมาใช้ประกอบการสอนเนอ้ื หาสาระของตน 2.ผู้สอนมีการใหผ้ ูเ้ รียนประมวลผลงานวิจยั ท่เี กีย่ วขอ้ งกบั เนอื้ หาสาระทเ่ี รยี นเพอ่ื ขยาย ขอบเขต 3.ผูส้ อนมีการใชก้ ระบวนการวจิ ัยในการสอน 4. ผู้สอนมีการฝกึ ฝนทักษะการวจิ ัยทจ่ี าเปน็ หรือที่เกยี่ วขอ้ งกับสง่ิ ทีเ่ รยี นใหแ้ กผ่ เู้ รยี นตาม ความเหมาะสมกบั เนอ้ื หาสาระและสถานการณ์ 5. ผู้สอนและผเู้ รยี นมีการอภิปรายร่วมกันเกีย่ วกับกระบวนการวจิ ัยและผลการวิจัย 6. ผสู้ อนมกี ารวดั และประเมินผลการเรียนร้ทู งั้ ทางดา้ นเนอ้ื หาสาระและกระบวนการวจิ ัย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 112 2.5.5 การจัดการเรียนการสอนโดยเนน้ กระบวนการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ก. หลกั การ ผเู้ รียนทกุ คนมคี วามสนใจใฝร่ ้อู ยเู่ ปน็ ธรรมชาติ หากได้รบั การสง่ เสรมิ ให้รบั ผดิ ชอบการเรยี นรู้ ของตนและไดร้ บั การฝึกฝนทกั ษะท่จี าเปน็ ต่อการศึกษาหาความรู้ดว้ ยตนเอง ผเู้ รียนจะสามารถเรยี นร็ สง่ิ ทตี่ นสนใจไดเ้ องตลอดชวี ติ ข. นยิ าม การจัดการเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง หมายถงึ การจัดสภาพ การณก์ ารเรยี นการสอนทผ่ี ู้สอนเปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นดาเนินการศึกษาหาความรูด้ ว้ ยตนเอง ผสู้ อน ส่งเสริมใหเ้ กิดการใฝร่ ู้ แนะนา ให้คาปรึกษาตามความเหมาะสม ค. ตัวบ่งชี้ 1. ผู้เรยี นมกี ารเลอื กหวั ข้อ เนอ้ื หาวธิ ีการ และสื่อการเรยี นการสอนไดต้ ามความสนใจหรอื ความถนดั 2. ผู้สอนมกี ารจัดเตรียมหรือออกแบบเนอ้ื หา/วัสด/ุ สอื่ /กจิ กรรม ใหผ้ เู้ รียนสามารถเรยี นรู้ดว้ ย ตนเอง 3. ผู้สอนมกี ารพูดคยุ กบั ผเู้ รียนเกีย่ วกบั การศกึ ษาหาความรดู้ ้วยตนเอง โดยใหค้ าแนะนาหรอื ใหค้ วามรเู้ กี่ยวกบั หัวข้อ เนอื้ หาสาระ วธิ กี าร และส่อื การเรยี นการสอนทผี่ ู้เรยี นเลอื ก 4. ผเู้ รยี นมกี ารดาเนนิ การศกึ ษาหาความร้ดู ว้ ยตนเอง 5. ผูส้ อนมีการพบปะพดู คุยกบั ผเู้ รยี นเป็นระยะๆ มีการนาผลงานการศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง มาพดู คยุ 6. ผู้สอนมกี ารวดั และประเมินผลการเรียน ทั้งทางดา้ นเนือ้ หาและกระบวนการเรียนรู้ด้วย ตนเอง 2.6 แบบเน้นบรู ณาการ ก.หลกั การ 1. ในธรรมชาตแิ ละชวี ติ จรงิ ทุกสงิ่ ทุกอยา่ งลว้ นมีความสัมพนั ธ์กนั การเรียนรูท้ ด่ี จี ึงควรมี คณุ ลกั ษณะเช่นเดียวกนั มกี ารบรู ณาการใหเ้ ป็นองค์รวม สมั พันธก์ บั ชวี ติ จรงิ และความเปน็ จรงิ ช่วยให้ ผู้เรยี นสามารถนาความรูไ้ ปใช้ในชวี ิตจรงิ ได้ 2. การบูรณาการเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรกู้ ารแกป้ ัญหา โดยใช้ความรู้หลายๆดา้ น ความรู้ ทักษะ และ เจตคติไปพร้อมๆกนั 3. การบูรณาการชว่ ยเปิดโลกทัศน์ของทง้ั สอนและผู้เรียนใหก้ วา้ งข้ึนไมจ่ ากัดอยแู่ ต่เฉพาะ ด้าน ชว่ ยใหก้ ารเรยี นรูน้ ่าสนใจ เกดิ แรงจงู ใจในการเรียนรู้ มคี วามคิดและมมุ มองกวา้ งขนึ้ ข. นยิ าม การจัดการเรยี นการสอนโดยเนน้ การบรู ณาการ หมายถึง การนาเนือ้ หาสาระทม่ี คี วาม เกย่ี วข้องกนั มาสัมพนั ธ์ใหเ้ ป็นเร่ืองเดยี วกัน จดั กิจกรรมการเรียนร้ใู หผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจใน ลักษระทเี่ ป็นองคร์ วม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 113 ค. ตัวบ่งชี้ 1. ผสู้ อน และผเู้ รยี นมีการจัดเตรียมหน่วยบรู ณาการโดยมกี ารวิเคราะห์ อภปิ รายเก่ียวกับ หลกั สูตร เนอ้ื หาสาระและวตั ถปุ ระสงค์ และเนอื้ หาสาระภายในวชิ า/ระหวา่ งวชิ ามาสมั พนั เ์ ป็นเนื้อหา สาระเดยี วกัน 2. ผู้สอน หรือผู้สอนและผู้เรียนมกี ารร่วมกนั กาหนดกจิ กรรมการเรยี นการสอนทสี่ ามารถ สนองวตั ถปุ ระสงค์ที่กาหนด ท้งั นี้กิจกรรมควรมีลกั ษณะ ใหโ้ อกาสผเู้ รยี นไดศ้ ึกษาหาความความรู้ หรอื สรา้ งความรู้ในเนอ้ื หาสาระทีม่ าบรู ณาการได้ครบทกุ เรอ่ื ง เนน้ ความเข้าใจในความสัมพันธ์แบบ องคร์ วม 3. ผเู้ รยี นมีการดาเนนิ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ภายใตค้ าปรึกษาแนะนาของผสู้ อน 4. ผู้สอนและผเู้ รียนมีการร่วมกนั อภิปรายสะท้อนความคิด และสรปุ การเรยี นรูท้ ่ไี ดร้ บั 5. ผู้สอนมกี ารประเมนิ ผลการเรยี นรูข้ องผ้เู รยี นครบถ้วนทกุ ดา้ น 3.หลักการจดั การเรียนการสอนโดยไม่มคี รู นับต้ังแตม่ ีแนวคดิ เกย่ี วกับการเรยี นรโู้ ดยใชบ้ ทเรยี นท่ีเรียกวา่ “โปรแกรมสาเร็จรูป” ขึน้ มา แนวคิด เก่ยี วกบั การเรียนรูไ้ ดเ้ รม่ิ มงุ่ ไปท่ีตวั ผเู้ รยี นเป็นรายบคุ คลมากขน้ึ การจัดการเรยี นการสอนเรม่ิ เน้นใหผ้ ูเ้ รยี นได้ เรียนรู้ด้วยตนเองมากขึน้ โดยอาศยั สอ่ื และเทคโนโลยีตา่ งๆ เขา้ มาใบทบาทในการเรยี นรู้ ผสู้ อนทาหนา้ ทว่ี าง แผนการจดั การเรียนรใู้ หผ้ เู้ รยี น ตดิ ตามการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ผูเ้ รยี นเปน็ ผูด้ าเนนิ การเรียนรู้ดว้ ยตนเองโดยอาศยั สือ่ และเทคโนโลยีตา่ งๆ ชว่ ยการเรียนรู้ 3.1 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รูป ก.หลักการ 1. การวเิ คราะห์เนอื้ หาและจัดแบง่ เนอ้ื หาสาระออกเปน็ ส่วนย่อยๆ ตอ่ เนือ่ งและเปน็ ลาดบั ขนั้ ตอนตลอดไปจนจบกระบวนการ 2. การใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสตรวจสอบการเรยี นร้ขู องตนเอง จะชว่ ยให้ผู้เรียนเกดิ แรงจงู ใจในการ เรยี นต่อไป 3. การให้ผเู้ รยี นไดเ้ รยี นรู้ตามความสามารถของตน จะช่วยให้ผเู้ รียนประสบความสาเรจ็ ใน การเรียนiรู้ 4. การให้ผเู้ รียนได้ศึกษาเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นใส่ใจต่อการเรียนรู้ ข. นยิ าม การจดั การเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รปู หมายถงึ การดาเนนิ การใหผ้ เู้ รียนเกดิ การ เรียนร้ใู นเรอื่ งใดเรืองหนึง่ โดยการศกึ ษาบทเรียนในโปรแกรมน้นั ดว้ ยตนเอง บทเรยี นโปรแกรมมเี นอ้ื หสาระตามลาดับขัน้ ตอน เรียงตามกนั ไปในแต่ละเฟรม(frame) มกี ารทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียน ทุกเฟรม ผเู้ รยี นประเมินผลการเรียนรู้ และทราบผลการเรียนร้ดู ้วยตนเองได้ทันที ค.ตวั บง่ ชี้ 1. ผ้สู อนวเิ คราะหป์ ญั หาและความตอ้ งการของผเู้ รียนในการเรียนรสู้ าระ 2. ผู้สอนสร้าง/จัดหาแบบโปรแกรมท่ีตอบสนองความต้องการของผเู้ รยี นได้ 3. ผสู้ อนมกี ารชแ้ี จงวตั ถุประสงค์ เน้อื หา และวธิ ีการใชบ้ ทเรียนโปรแกรมใหผ้ ูเ้ รียนเขา้ ใจ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 114 4. ผู้เรยี นมีการดาเนินการเรียนรูต้ ามที่กาหนดไวใ้ นบทเรียนโปรแกรมโดยผสู้ อนทาหน้าที่ ดแู ลใหค้ วามช่วยเหลอื อานวยความสะดวกในการเรียนรู้ 5. เมื่อเรียนจบบทเรียน ผ้เู รยี นได้รับการทดสอบ และได้รบั ทราบผลการเรียนรู้ของตน 6. ผสู้ อนติดตามการเรียนร้ขู องผเู้ รียน 3.2 การจัดการเรียนการสอนทางไกล ก.หลักการ เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้การส่ือสารไรข้ อ้ จากัดในเรือ่ งเวลา ระยะทาง และสามารถ นามาใชป้ ระโยชน์ทางด้านการศึกษาไดก้ ารจดั การเรยี นการสอนทางไกล โดยใหผ้ สู้ อนถ่ายทอดความรู้ ผ่านสือ่ มวลชนและสือ่ โทรคมนาคมต่างๆ ชว่ ยผ้เู รียนที่อยหู่ า่ งไกลทางคมนาคมได้เรียนรู้ โดยคุณภาพ การเรียนรอู้ ยใู่ นมาตรฐานเดียวกนั กับการเรียนรูใ้ นห้องเรียนตามปกติ ข. นิยาม การจดั การเรียนการสอนทางไกล หมายถึง การสอนท่ผี สู้ อนและผเู้ รยี นอยู่ตา่ งสถานทกี่ นั แต่ สามารถติดต่อส่ือสาร มปี ฏิสมั พนั ธก์ ันในกิจกรรมการเรียนการสอนได้ โดยการใช้สอ่ื และเทคโนโลยใี น รปู แบบตา่ งๆ ค. ตัวบ่งช้ี 1. ผูส้ อนและผเู้ รยี นอยู่ตา่ งสถานที่กนั 2. ผสู้ อนมกี ารออกแบบการเรยี นการสอนโดยวิเคราะหแ์ ละกาหนดเนื้อหา แนวคิด วตั ถปุ ระสงค์และกจิ กรรมการเรยี นการสอนทเ่ี หมาะสมกบั การถ่ายทอดผา่ นทางสอ่ื มวลชน 3. ผู้สอนมกี ารถ่ายทอดความรู้ผ่านทางสื่อมวลชน หรือสอ่ื โทรคมนาคม 4.ผ้สู อนและผเู้ รยี นมกี ารตดิ ตอ่ สอ่ื สารมปี ฏิสัมพนั ธ์กนั ผ่านทางสอ่ื มวลชน 3.3 การจดั การเรยี นการสอนผ่านเครือขา่ ยเวลิ ด์ ไวด์ เวบ็ ก. หลกั การ เทคโนโลยตี ่างๆโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ เป็นแหล่งทรพั ยากรสารสนเทศทก่ี วา้ งขวางมาก บุคคลทวั่ ทุกมุมโลกสามารถเขา้ ถึงข้อมลู และใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้ การใหผ้ เู้ รยี นควบคมุ การ เรยี นรขู้ องตนเองโดยการสบื ค้นข้อมลู ความรู้จากเครอื ขา่ ยตา่ งๆ ได้กว้างขวาง ข. นิยาม การจดั การเรยี นการสอนผ่านเครือข่าย เวลิ ด์ ไวด์ เวบ็ หมายถงึ การออกแบบการเรยี น การสอนโดยการจดั หอ้ งเรียนเสมอื นจริง ทีจ่ าลองสภาพชนั้ เรยี นปกติเป็นชอ่ งทางในการส่ือสาร ระหว่างผสู้ อนกบั ผเู้ รียน ผูส้ อนจะออกแบบการเรียนรใู้ ห้ผู้เรียนสบื ค้นข้อมลู ความรจู้ ากเครอื ข่าย ตา่ งๆ ค.ตวั บง่ ชี้ 1.ผู้สอนมีการออกแบบการเรยี นการสอน โดยมีการวิเคราะห์ และกาหนดเน้อื หาสาระ แนวคดิ วตั ถปุ ระสงค์ กจิ กรรมการเรียนการสอน 2.ผสู้ อนมกี ารปฐมนิเทศผ้เู รยี น โดยมกี ารแจง้ วัตถุประสงค์ เน้อื หา และวธิ กี ารเรียนการสอน 3. ผสู้ อนมกี ารสารวจความพรอ้ มของผูเ้ รียน และเตรียมความพรอ้ มของผเู้ รียนโดยอาจมกี าร ทดสอบและสรา้ งเวบ็ เพจเพมิ่ ขน้ึ เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนท่มี ีความรู้พืน้ ฐานไม่เพยี งพอไดเ้ รียนเสรมิ

115 4.ผู้เรยี นดาเนนิ การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ตามระบบระเบยี บทไี่ ด้กาหนดไว้ โดยอาศยั เครือข่าย เวลิ ด์ ไวด์ เวบ็ เครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต และอื่นๆ 5.ผู้เรยี นมีการทาการทดสอบเพ่ือประเมินผลการเรียนรูผ้ ่านเครือข่าย (ทศิ นา แขมมณี.2562. หน้า 110-155) บทสรปุ การจัดการเรยี นการสอนมีหลายรูปแบบเร่ิมจากการสอนทางตรง มีการจัดการเรยี นการสอนที่เนน้ ผู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง การเน้นผู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลางนี้ มที ง้ั เนน้ ทีผ่ ้เู รยี น เนน้ ทค่ี วามสามารถของผเู้ รยี น เน้นที่ ประสบการณ์ของผู้เรยี น เนน้ ทป่ี ญั หาของสงั คม และเนน้ ทกั ษะกระบวนการ และในยุคสมยั ปัจจุบันการจดั การ เรียนการสอนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นเครื่องมือการเรียนการสอนมากขนึ้ อ้างองิ ทิศนา แขมมณ.ี 2562. ศาสตร์การสอน องค์ความรู้เพอื่ การจดั กระบวนการเรียนรู้ที่มีประสทิ ธภิ าพ. กรุงเทพมหานคร: สานักพมิ พ์จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย กิจกรรมท้ายบท 1. สัมมนาการนาหลกั การและแนวคดิ การเรยี นการสอนมาใชไ้ ดเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียน 2 เขียนแผนผงั การนาหลกั การและแนวคิดการเรียนการสอนมาใชไ้ ดเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียน 3. สะท้อนคดิ การนาหลกั การและแนวคดิ การเรยี นการสอนมาใช้ไดเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 116 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 6 หัวขอ้ เนอื้ หา 1. บทนำ: ควำมหมำยของรปู แบบ (Model) 2. ประเภทของรปู แบบ 3. รูปแบบกำรเรียนกำรสอน 3.1 ควำมหมำยของรปู แบบกำรเรยี นกำรสอน 3.2 องค์ประกอบของรปู แบบกำรเรียนกำรสอน 3.3 รปู แบบกำรเรยี นกำรสอนแบบต่ำงๆ 3.3.1 รูปแบบกำรเรียนกำรสอนที่เนน้ กำรพฒั นำด้ำนพทุ ธพิ สิ ยั (cognitive domain) 3.3.2 รูปแบบกำรเรยี นกำรสอนที่เนน้ กำรพัฒนำดำ้ นจิตพิสัย (affective domain) 3.3.3 รูปแบบกำรเรียนกำรสอนทีเ่ นน้ กำรพัฒนำดำ้ นทกั ษะพิสยั (psycho-motor domain) 3.3.4 รปู แบบกำรเรยี นกำรสอนทเ่ี นน้ กำรพัฒนำทักษะกระบวนกำร (process skills) 3.3.5 รูปแบบกำรเรยี นกำรสอนทเ่ี นน้ กำรบรู ณำกำร (integration) 4. บทสรปุ วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. สำมำรถนำรปู แบบกำรเรียนกำรสอนมำใช้ได้เหมำะสมกบั ผเู้ รยี น 2. สำมำรถนำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอนมำใช้สร้ำงสอ่ื กำรสอนไดต้ รงตำมเน้ือหำ 3. สำมำรถนำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอนมำใช้มำออกแบบวดั และประเมินผลไดต้ รงตำมเน้อื หำ 4. สำมำรถนำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอนมำใช้กำหนดวัตถปุ ระสงค์กำรเรียนรู้ไดต้ รงตำมเนือ้ หำ วธิ สี อนและกิจกรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 วิธีสอนแบบใช้ครพู ่เี ลย้ี ง (Tutorial Method) 1.2 วิธสี อนแบบนิรนยั (Deductive Method) 1.3 วิธีสอนแบบศึกษำด้วยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธีสอนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธีสอนแบบแบง่ กล่มุ ระดมพลังสมอง 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศกึ ษำดูวดี ิทศั น์กำรสอนกลุ่มสำระทกุ กล่มุ ของชนั้ ประถมศกึ ษำปที ่ี 1-6 อำจำรยก์ ระตุ้นให้ สังเกตและตอบคำถำมเก่ียวกับรปู แบบกำรเรียนกำรสอนต่ำง ๆ ตงั้ คำถำมใหน้ ักศกึ ษำชว่ ยกนั คดิ หำคำตอบว่ำ ปญั หำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอน กอ่ เกดิ ปญั หำอะไรในกำรเรียน 2.2 นักศึกษำคน้ หำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพอื่ ค้นหำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอนที่ เหมำะสม 2.3 อำจำรย์ชกั ชวนคน้ หำเหตผุ ล อธิบำยประเด็นสำคัญเรอื่ งรูปแบบกำรเรยี นกำรสอนท่ีเหมำะสม 2.4 นกั ศกึ ษำตงั้ กลมุ่ ยอ่ ย อภปิ รำยประเดน็ รปู แบบกำรเรียนกำรสอนทเ่ี หมำะสม

117 2.5 อำจำรย์จัดสัมนำให้นกั ศกึ ษำหำเหตุผลรูปแบบกำรเรยี นกำรสอนทเี่ หมำะสมมำใชก้ บั เดก็ ต่ำงๆ เพอ่ื นร่วมชนั้ แสดงควำมคดิ เหน็ ตอ่ อย่ำงมมี ำรยำทในกำรสมั นำ อำจำรย์ให้ควำมเหน็ อธบิ ำยให้นกั ศกึ ษำได้ แลกเปล่ียนเรียนรูร้ ว่ มกัน 2.6 นกั ศึกษำ ศึกษำรปู แบบกำรเรียนกำรสอนจำกเอกสำรประกอบกำรสอน 2.7 นักศึกษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และรว่ มอภปิ รำยเพื่อสรปุ เนื้อหำที่ไดเ้ รยี นรู้ 2.8 อำจำรยม์ อบหมำยให้นกั ศึกษำสะท้อนคิดเปน็ รำยบคุ คล สื่อการเรยี นการสอน 1. ไฟลว์ ีดทิ ัศน์กำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กลุม่ ของชัน้ ประถมศึกษำปที ่ี 1-6 2. กระดำษฟลปิ ชำร์ทเขยี นแผนผงั รปู แบบกำรเรียนกำรสอนทเ่ี หมำะสม 3. เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวชิ ำกำรสอนสงั คมศกึ ษำ 1 การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. วัดและประเมนิ ผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรอภปิ รำย สัมมนำ 3. วัดและประเมินผลจำกกำรสะทอ้ นคดิ 4. วดั และประเมินผลจำกกำรเขียนแผนกำรสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 116 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 6 หัวขอ้ เนอื้ หา 1. บทนำ: ควำมหมำยของรปู แบบ (Model) 2. ประเภทของรปู แบบ 3. รูปแบบกำรเรียนกำรสอน 3.1 ควำมหมำยของรปู แบบกำรเรยี นกำรสอน 3.2 องค์ประกอบของรปู แบบกำรเรียนกำรสอน 3.3 รปู แบบกำรเรยี นกำรสอนแบบต่ำงๆ 3.3.1 รูปแบบกำรเรียนกำรสอนที่เนน้ กำรพฒั นำด้ำนพทุ ธพิ สิ ยั (cognitive domain) 3.3.2 รูปแบบกำรเรยี นกำรสอนที่เนน้ กำรพัฒนำดำ้ นจิตพิสัย (affective domain) 3.3.3 รูปแบบกำรเรียนกำรสอนทีเ่ นน้ กำรพัฒนำดำ้ นทกั ษะพิสยั (psycho-motor domain) 3.3.4 รปู แบบกำรเรยี นกำรสอนทเ่ี นน้ กำรพัฒนำทักษะกระบวนกำร (process skills) 3.3.5 รูปแบบกำรเรยี นกำรสอนทเ่ี นน้ กำรบรู ณำกำร (integration) 4. บทสรปุ วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. สำมำรถนำรปู แบบกำรเรียนกำรสอนมำใช้ได้เหมำะสมกบั ผเู้ รยี น 2. สำมำรถนำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอนมำใช้สร้ำงสอ่ื กำรสอนไดต้ รงตำมเน้ือหำ 3. สำมำรถนำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอนมำใช้มำออกแบบวดั และประเมินผลไดต้ รงตำมเน้อื หำ 4. สำมำรถนำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอนมำใช้กำหนดวัตถปุ ระสงค์กำรเรียนรู้ไดต้ รงตำมเนือ้ หำ วธิ สี อนและกิจกรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 วิธีสอนแบบใช้ครพู ่เี ลย้ี ง (Tutorial Method) 1.2 วิธสี อนแบบนิรนยั (Deductive Method) 1.3 วิธีสอนแบบศึกษำด้วยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธีสอนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธีสอนแบบแบง่ กล่มุ ระดมพลังสมอง 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศกึ ษำดูวดี ิทศั น์กำรสอนกลุ่มสำระทกุ กล่มุ ของชนั้ ประถมศกึ ษำปที ่ี 1-6 อำจำรยก์ ระตุ้นให้ สังเกตและตอบคำถำมเก่ียวกับรปู แบบกำรเรียนกำรสอนต่ำง ๆ ตงั้ คำถำมใหน้ ักศกึ ษำชว่ ยกนั คดิ หำคำตอบว่ำ ปญั หำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอน กอ่ เกดิ ปญั หำอะไรในกำรเรียน 2.2 นักศึกษำคน้ หำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพอื่ ค้นหำรปู แบบกำรเรยี นกำรสอนที่ เหมำะสม 2.3 อำจำรย์ชกั ชวนคน้ หำเหตผุ ล อธิบำยประเด็นสำคัญเรอื่ งรูปแบบกำรเรยี นกำรสอนท่ีเหมำะสม 2.4 นกั ศกึ ษำตงั้ กลมุ่ ยอ่ ย อภปิ รำยประเดน็ รปู แบบกำรเรียนกำรสอนทเ่ี หมำะสม

117 2.5 อำจำรย์จัดสัมนำให้นกั ศกึ ษำหำเหตุผลรูปแบบกำรเรยี นกำรสอนทเี่ หมำะสมมำใชก้ บั เดก็ ต่ำงๆ เพอ่ื นร่วมชนั้ แสดงควำมคดิ เหน็ ตอ่ อย่ำงมมี ำรยำทในกำรสมั นำ อำจำรย์ให้ควำมเหน็ อธบิ ำยให้นกั ศกึ ษำได้ แลกเปล่ียนเรียนรูร้ ว่ มกัน 2.6 นกั ศึกษำ ศึกษำรปู แบบกำรเรียนกำรสอนจำกเอกสำรประกอบกำรสอน 2.7 นักศึกษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และรว่ มอภปิ รำยเพื่อสรปุ เนื้อหำที่ไดเ้ รยี นรู้ 2.8 อำจำรยม์ อบหมำยให้นกั ศึกษำสะท้อนคิดเปน็ รำยบคุ คล สื่อการเรยี นการสอน 1. ไฟลว์ ีดทิ ัศน์กำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กลุม่ ของชัน้ ประถมศึกษำปที ่ี 1-6 2. กระดำษฟลปิ ชำร์ทเขยี นแผนผงั รปู แบบกำรเรียนกำรสอนทเ่ี หมำะสม 3. เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวชิ ำกำรสอนสงั คมศกึ ษำ 1 การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. วัดและประเมนิ ผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรอภปิ รำย สัมมนำ 3. วัดและประเมินผลจำกกำรสะทอ้ นคดิ 4. วดั และประเมินผลจำกกำรเขียนแผนกำรสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 118 บทท่ี 6 รปู แบบการเรยี นรตู้ ามพฤตกิ รรมทางการศกึ ษา 1. บทนา: ความหมายของรปู แบบ (Model) ความหมายของคาว่า ”รปู แบบ (Model)” รปู แบบเปน็ รปู ธรรมของความคิดท่ีเปน็ นามธรรม ซ่ึง บุคคลแสดงออกมาในลักษณะใด ลกั ษณะหนง่ึ เช่น เป็นคาอธิบาย เปน็ แผนผงั ไดอะแกรม หรอื แผนภาพ เพื่อ ชว่ ยให้ตนเองและบคุ คล อนื่ สามารถเข้าใจได้ชดั เจนขึ้น รปู แบบเป็นเคร่ืองมอื ทางความคดิ ทบี่ ุคคลใชใ้ นการสืบค้นหาคาตอบ เกย่ี วกบั ความรู้ความเขา้ ใจใน ปรากฎการณท์ ั้งหลาย ความหมายและวิธีการใช้คานี้ มีลกั ษณะเช่นเดยี วกับคาว่า “สมมตฐิ าน (hypothesis)” ในกระบวนการวจิ ยั แต่ ”รปู แบบ” ไม่ใช่ “ทฤษฎ”ี รปู แบบโดยทว่ั ไปจะตอ้ งมีองค์ประกอบท่ี สาคัญดงั น้ี 1.รูปแบบ จะต้องนาไปสกู่ ารทานาย (prediction) ผลท่ตี ามมา ซง่ึ สามารถพิสจู น์ ทดสอบได้ กล่าวคือสามารถนาไปสรา้ งเครอื่ งมอื เพื่อไปพสิ จู นท์ ดสอบได้ 2.โครงสรา้ งของรปู แบบ จะตอ้ งประกอบดว้ ยความสัมพันธเ์ ชิงสาเหตุ (causal relationship) ซึ่ง สามารถใชอ้ ธิบายปรากฏการณ์เรอ่ื งนน้ั ได้ 3.รูปแบบ จะต้องสามารถช่วยสรา้ งจินตนาการ (imagination) ความคิดรวบยอด (concept) และ ความสัมพันธร์ ะหว่างองคป์ ระกอบ(interrelations)รวมทัง้ ชว่ ยขยายขอบเขตการสบื เสาะความรู้ 4.รูปแบบ ควรจะประกอบดว้ ยความสัมพนั ธ์เชิงโครงสรา้ ง (structural relationships) มากกว่า ความสมั พันธ์เชิงเช่ือมโยง(associativerelationships) 2. ประเภทของรปู แบบ รูปแบบ (Model) ที่ใชก้ นั อยูโ่ ดยทั่วไปมี 4 แบบ หรือ 4 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1.รปู แบบเชงิ เปรยี บ (Analogue Model) ได้แก่ ความคดิ ทแ่ี สดงออก ของการเปรยี บเทียบส่งิ ตา่ งๆ อยา่ งนอ้ ย2สง่ิ ข้นึ ไปรปู แบบลกั ษณะน้ีใช้กนั มากทางกายภาพสงั คมศาสตรแ์ ละพฤติกรรมศาสตร์ 2.รูปแบบเชงิ ภาษา (Semantic Model) ไดแ้ ก่ ความคิดแสดงออกผา่ นทางการ (พดู และเขยี น) รปู แบบลกั ษณะนใ้ี ช้กันมากทางด้านศึกษาศาสตร์ 3.รูปแบบเชงิ คณติ ศาสตร์ (Mathematical Model) ไดแ้ ก่ ความคิดทีแ่ สดงออก สูตรคณิตศาสตร์ ซ่ึง ส่วนมากจะเกดิ ขน้ึ หลงั จากไดร้ ูปเชงิ ภาษาแลว้ 4.รูปแบบเชงิ แผนผงั (Schematic Model) ได้แก่ ความคดิ ท่ีแสดงออกผ่านทางแยก แผนภาพ กราฟ ไดอะแกรม เปน็ ต้น 5.รปู แบบเชิงสาเหตุ (Causal Model) ได้แก่ ความคดิ ท่ีแสดงใหเ้ หน็ ถึงความสัมพนั ธ์เชงิ สาเหตุ ระหวา่ งตวั แปรต่างๆ ของสถานการณป์ ญั หาใดๆ รูปแบบดา้ นศึกษาศาสตร์มักจะเป็นแบบนเ้ี ป็นสว่ นใหญ่ รปู แบบทางด้านศึกษาศาสตร์ ส่วนมากเปน็ รูปแบบเชงิ สาเหตุ การใช้คาว่ารูปแบบการเรียนการสอนมี ความหมายในลักษณะเดียวกันกบั ระบบการเรยี นการสอน แต่นยิ มใชค้ าวา่ “ระบบ” ในความหมายทเ่ี ปน็ ระบบ ใหญข่ องวงการศกึ ษาศาสตร์ ครอบคลมุ องคป์ ระกอบทางการศึกษาระดับมหภาคต้ังแตร่ ะดบั นโยบายทาง การศึกษา ระดบั การบรหิ ารการศึกษาทงั้ ประเทศ ตลอดจนรวมถึงการเรียนการสอนในภาพรวม และนยิ มใช้คา วา่ “รปู แบบ” ในระบบการศกึ ษาย่อย ๆ ระดบั จลุ ภาค อย่างเช่น วธิ ีการสอน

119 3. รูปแบบการเรยี นการสอน 3.1 ความหมายของรปู แบบการเรยี นการสอน รปู แบบการเรยี นการสอน หมายถงึ สภาพ ลักษณะการเรียนการสอนทค่ี รอบคลมุ องคป์ ระกอบ สาคญั เก่ยี วกบั การเรียนการสอนที่ไดร้ บั การจัดไว้อยา่ งเปน็ ระเบียบตามหลกั การ แนวคิด ทฤษฎตี ่างๆทาง การศึกษา ประกอบดว้ ยกระบวนการหรอื ขนั้ ตอนการเรียนการสอนสาคญั ๆ รวมทง้ั วิธกี ารสอน เทคนิคการสอน ตา่ งๆ ท่ีชว่ ยให้สภาพการเรียนการสอนดาเนินไปตามหลกั การ แนวคิด ทฤษฎตี น้ แบบ รูปแบบจะตอ้ งไดร้ บั การ พสิ ูจน์ ทดสอบ ว่ามปี ระสิทธิภาพ สามารถใชเ้ ปน็ แบบแผนในการจัดการเรยี นการสอนใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงค์ ของรูปแบบนนั้ ๆ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 3.2 องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน รปู แบบการสอนจะตอ้ งไดร้ บั การพสิ จู น์ ทดสอบ สามารถทานายผลได้ และมีศกั ยภาพในการสร้าง ความคิดรวบยอดและความสมั พนั ธ์ใหมๆ่ ได้ รปู แบบการเรยี นการสอนมีองค์ประกอบสาคญั ๆ ดังน้ี 1) มีปรชั ญา หลกั การ แนวคิด ทฤษฎที เี่ ป็นหลกั การพน้ื ฐานของรูปแบบการสอนนนั้ ๆ 2) มกี ารบรรยาย และอธบิ ายสภาพ หรือลักษณะการจัดการเรยี นการสอนตามปรัชญา หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎที ของรปู แบบการสอนนั้นๆ 3) มกี ารจัดระบบ หรือความสมั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบของระบบให้สามารถนาผเู้ รยี นไปสู่ เป้าหมายของระบบ หรอื กระบวนการน้นั ๆ 4) มกี ารอธบิ าย หรือใหข้ อ้ มลู เกีย่ วกบั วธิ กี ารสอน และเทคนคิ การสอนตา่ งๆ ชว่ ยให้ กระบวนการเรยี นการสอนเกดิ ประสิทธิภาพสงู สดุ 3.3 รูปแบบการเรียนการสอนแบบตา่ งๆ รปู แบบการเรียนการสอนแบบตา่ งๆ ท่ีนาเสนอในบทน้ี ได้รบั การพสิ จู นท์ ดสอบประสิทธภิ าพ มาแลว้ และมผี นู้ ยิ มนาไปใช้ในการเรียนการสอนโดยทั่วไป แต่เน่อื งจากรปู แบบการเรยี นการสอนมจี านวนมาก เพอื่ ความสะดวกในการศึกษาและการนาไปใช้ จึงได้จัดหมวดหม่ขู องรูปแบบเหลา่ นน้ั ตามลกั ษณะของ วัตถปุ ระสงค์เฉพาะหรอื เจตนารมณข์ องรูปแบบ ซง่ึ สามารถจัดกลมุ่ ไดเ้ ป็น 5 หมวดดงั น้ี 3.3.1 รปู แบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ การพัฒนาดา้ นพทุ ธิพสิ ยั (cognitive domain) 3.3.2 รูปแบบการเรียนการสอนทเี่ นน้ การพฒั นาด้านจิตพสิ ัย (affective domain) 3.3.3 รปู แบบการเรียนการสอนทเี่ นน้ การพฒั นาดา้ นทกั ษะพิสยั (psycho-motor domain) 3.3.4 รูปแบบการเรยี นการสอนทเี่ น้นการพัฒนาทกั ษะกระบวนการ (process skills) 3.3.5 รปู แบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ การบูรณาการ (integration) รูปแบบการเรยี นการสอนทกุ รปู แบบประกอบด้วยสาระสาคัญ 4 ส่วน ไดแ้ ก่ ทฤษฎหี รือหลกั การ ของรูปแบบ วตั ถปุ ระสงค์ของรูปแบบ กระบวนการของรปู แบบ และผลทจ่ี ะได้รบั จากการใชร้ ปู แบบ เพอ่ื ใช้ ประกอบการตดั สินใจวา่ จะเลือกใชร้ ูปแบบใดในการจัดการเรียนการสอนให้ผเู้ รียนไดส้ มรรถนะตรงตาม วตั ถุประสงค์ของการเรียน รูปแบบการเรียนการสอนทกุ รปู แบบดงั ตอ่ ไปน้ี มลี กั ษณะยดึ ผู้เรียนเปน็ ศนู ยก์ ลางท้งั หมด มีความ แตกต่างตรงจดุ เนน้ ทตี่ ้องการพฒั นาให้เกดิ ขนึ้ ในตวั ผเู้ รยี น และปรมิ าณการมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมการเรียนรู้ ของผู้เรียน ในการจดั การเรยี นการสอนทกุ ครง้ั ผเู้ รยี นไดร้ บั การพฒั นาครบทกุ องค์ประกอบของทกั ษะทง้ั หมด ตง้ั แตพ่ ุทธิพสิ ัย จติ พสิ ยั ทกั ษะพสิ ยั ทกั ษะกระบวนการ และการบูรณาการ เพราะว่าทุกทกั ษะตา่ งมคี วาม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 120 เกี่ยวพนั กนั ต่อเนอ่ื งกนั ไปอย่างขาดจากกันไม่ได้ เพยี งแต่ว่าการจัดหมวดหมขู่ องรปู แบบ ตอ้ งการนาเสนอ จุดเน้นหลักมิตใิ ดมิตหิ นง่ึ มิตอิ ื่นๆ ในการจดั การเรียนการสอนยังคงมอี ยู่แตใ่ ห้ความสาคญั น้อยลงไปเท่าน้ัน 3.3.1 รูปแบบการเรยี นการสอนท่ีเนน้ การพัฒนาด้านพทุ ธพิ ิสยั (cognitive domain) รปู แบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรปู แบบการเรียนการสอน ทมี่ งุ่ ช่วยใหผ้ ้เู รยี นเกดิ ความรูค้ วามเข้าใจในเน้ือหาสาระต่าง ๆ ซงึ่ เน้ือหาสาระนน้ั อาจอยใู่ นรปู ของข้อมูล ขอ้ เทจ็ จริง มโนทัศนห์ รือ ความคดิ รวบยอดรปู แบบท่นี าเสนอในมี5รปู แบบดงั นี้ 1.1)รูปแบบการเรียนการสอนมโนทศั น์ 1.2)รูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของกานเย 1.3)รปู แบบการเรยี นการสอนโดยการนาเสนอมโนทัศนก์ ว้างล่วงหนา้ 1.4)รปู แบบการเรียนการสอนเน้นความจา 1.5)รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใช้ผงั กราฟกิ 1.1) รปู แบบการเรยี นการสอนมโนทัศน์ (Concept Attainment Model) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคิดของรปู แบบ จอยส์และวลี (Joyce & Weil) พัฒนารูปแบบน้ีข้ึนโดยใช้แนวคิดของบรนุ เนอร์ กดู๊ นาว และ ออสติน (Bruner, Goodnow, และ Austin) เกย่ี วกบั การเรียนรมู้ โนทัศนว์ ่า หมายถงึ การเรยี นรมู้ โนทัศน์ ของส่งิ ใดสิ่งหน่งึ นนั้ สามารถทาไดโ้ ดยการค้นหาคณุ สมบัติเฉพาะทส่ี าคญั ของสง่ิ นัน้ เพ่อื ใชเ้ ปน็ เกณฑ์ในการ จาแนกสง่ิ ทีใ่ ช่และไม่ใช่สง่ิ นั้นออกจากกันได้ ข. วัตถปุ ระสงค์ของรูปแบบ เพื่อช่วยให้ผูเ้ รยี นเกดิ การเรียนรูม้ โนทัศนข์ องเน้ือหาสาระตา่ ง ๆ อยา่ งเข้าใจ และสามารถใหค้ า นิยามของมโนทัศนน์ ้ันด้วยตนเอง ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 ผสู้ อนเตรียมขอ้ มลู สาหรบั ใหผ้ เู้ รยี นฝกึ หัดจาแนก 1.ผสู้ อนเตรียมข้อมลู 2 ชดุ ชุดหนึ่งเปน็ ตัวอย่างของมโนทัศนท์ ตี่ อ้ งการสอน อกี ชุดหนึ่งไม่ ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ทีต่ ้องการสอน 2.ในการเลอื กตัวอย่างขอ้ มลู 2 ชดุ ข้างต้น ผสู้ อนจะตอ้ งเลอื กหาตวั อยา่ งทมี่ จี านวนมาก พอทจี่ ะครอบคลมุ ลกั ษณะของมโนทศั นท์ ีต่ อ้ งการนน้ั 3.ถ้ามโนทศั นท์ ต่ี ้องการสอนเปน็ เรอื่ งยากและซบั ซ้อนหรอื เป็นนามธรรม อาจใชว้ ิธีการยก เป็นตวั อย่างเรือ่ งส้ัน ๆ ทผ่ี ้สู อนแต่งขึ้นเองนาเสนอแกผ่ ู้เรยี น 4.ผู้สอนเตรยี มส่อื การสอนให้เหมาะสม ท่ีจะใชน้ าเสนอตวั อย่างมโนทัศนเ์ พื่อแสดงใหเ้ หน็ ลักษณะต่าง ๆ ของมโนทัศนท์ ่ีตอ้ งการสอนอยา่ งชัดเจน ข้ันที่ 2 ผู้สอนอธบิ ายกตกิ าในการเรยี นให้ผเู้ รียน ร้แู ละเข้าใจตรงกนั ผสู้ อนช้แี จงวธิ ีการเรยี นรู้ ให้ผูเ้ รียนเขา้ ใจกอ่ นเรม่ิ กิจกรรม โดยอาจสาธิตวิธีการ และใหผ้ เู้ รียนลองทาตามทผ่ี สู้ อนบอก จนกระทั่งผเู้ รยี น เกิดความเขา้ ใจพอสมควร ข้นั ที่ 3 ผสู้ อนเสนอข้อมลู ตวั อยา่ งของมโนทศั นท์ ่ีต้องการสอน และขอ้ มูลท่ไี ม่ใชต่ ัวอยา่ ง ของมโนทศั นท์ ่ีตอ้ งการสอน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 121 การนาเสนอข้อมลู ตัวอย่างน้ที าได้หลายแบบ แต่ละแบบมีจดุ เด่น- จุดด้อย ดังตอ่ ไปนี้ 1) นาเสนอข้อมลู ทเี่ ปน็ ตวั อย่างของสิง่ ทจ่ี ะสอนทลี ะขอ้ มลู จนหมดทั้งชดุ โดยบอกใหผ้ เู้ รียนรู้วา่ เปน็ ตัวอย่างของสง่ิ ทจี่ ะสอน แล้วตามดว้ ยข้อมลู ที่ไม่ใชต่ ัวอยา่ งของสิ่งทจ่ี ะสอนทลี ะข้อมลู จนครบหมดทงั้ ชุด เช่นกนั โดยบอกให้ผเู้ รยี นรู้ว่าข้อมูลชดุ หลงั น้ีไมใ่ ชส่ ่งิ ทจ่ี ะสอน ผูเ้ รียนจะต้องสงั เกตตัวอย่างท้งั 2 ชุดและคดิ หา คุณสมบัติร่วมและคุณสมบัตทิ ี่แตกต่างกนั เทคนคิ วธิ นี ้สี ามารถชว่ ยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศนไ์ ด้เร็วแตใ่ ช้กระบวน การคดิ น้อย 2) เสนอขอ้ มลู ทีใ่ ช่ และไมใ่ ชต่ ัวอย่างของสิง่ ทจี่ ะสอนสลบั กนั ไปจนครบ เทคนคิ วธิ ีนี้ช่วยสรา้ ง มโนทศั นไ์ ดช้ า้ กว่าเทคนคิ แรก แต่ไดใ้ ชก้ ระบวนการคิดมากกวา่ 3) เสนอข้อมลู ที่ใชแ่ ละไมใ่ ชต่ วั อยา่ งของสิ่งทีจ่ ะสอนอย่างละ 1 ข้อมูลแล้วเสนอข้อมลู ทเ่ี หลอื ทงั้ หมดทลี ะขอ้ มลู โดยใหผ้ เู้ รยี นตอบว่าข้อมลู แตล่ ะข้อมลู ทเ่ี หลอื นัน้ ใช่หรือไมใ่ ช่ตัวอย่างที่จะสอนเมื่อผเู้ รียนตอบ ผสู้ อนจะเฉลยวา่ ถูกหรอื ผดิ วธิ ีนีผ้ เู้ รียนจะได้ใช้กระบวนการคิดในการทดสอบสมมตฐิ านของตนไปทลี ะขัน้ ตอน 4) เสนอข้อมลู ทใ่ี ช่และไม่ใช่ตวั อยา่ งส่งิ ทจี่ ะสอนอย่างละ 1 ขอ้ มูล แลว้ ใหผ้ เู้ รียนชว่ ยกันยกตัว อยา่ งขอ้ มลู ท่ผี เู้ รียนคิดว่าใช่ตวั อยา่ งของสง่ิ ทจี่ ะสอน โดยผ้สู อนจะเปน็ ผูต้ อบว่าใช่หรอื ไมใ่ ช่ วิธีนีผ้ เู้ รียนจะมี โอกาสคิดมากข้นึ อกี ขน้ั ท่ี 4 ใหผ้ ู้เรยี นบอกคณุ สมบัติเฉพาะของสง่ิ ทีต่ อ้ งการสอน จากกจิ กรรมทผี่ ่านมาในขัน้ ตน้ ๆ ผู้เรียนจะตอ้ งพยายามหาคุณสมบตั ิเฉพาะของตวั อย่างท่ีใชแ่ ละไมใ่ ช่ ส่ิงทผี่ ้เู รยี นต้องการสอนและทดสอบ คาตอบของตน หากคาตอบของตนผดิ ผูเ้ รียนกจ็ ะต้องหาคาตอบใหมซ่ งึ่ กห็ มายความว่าต้องเปล่ียนสมมตฐิ านท่ี เปน็ ฐานของคาตอบเดมิ ดว้ ยวิธีนผี้ ู้เรยี นจะค่อยๆ สรา้ ง ความคดิ รวบยอดของสิ่งนัน้ ขน้ึ มา ซึง่ ก็จะมาจาก คณุ สมบตั ิเฉพาะของสง่ิ นั้นน่ันเอง ข้นั ที่ 5 ใหผ้ ูเ้ รยี นสรปุ และให้คาจากดั ความของสงิ่ ทตี่ อ้ งการสอน เมอ่ื ผเู้ รียนไดร้ ายการของคณุ สมบตั เิ ฉพาะของสิง่ ที่ต้องการสอนแลว้ ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนชว่ ยกันเรยี บเรยี งให้เปน็ คานยิ ามหรือคาจากัดความ ขั้นที่ 6 ผสู้ อนและผเู้ รยี นอภปิ รายรว่ มกนั ถึงวธิ ีการทผ่ี เู้ รียนใชใ้ นการหาคาตอบใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รยี น รู้เกย่ี วกบั กระบวนการคดิ ของตัวเอง ง. ผลท่ีผู้เรยี นจะไดร้ บั จากการเรียนตามรูปแบบ เนือ่ งจากผเู้ รียนเกิดการเรยี นรมู้ โนทัศน์ จากการคดิ วิเคราะหแ์ ละตวั อยา่ งทหี่ ลากหลาย ดงั น้นั ผลท่ีผเู้ รยี นจะไดร้ บั โดยตรงคอื จะเกิดความเข้าใจในมโนทศั น์นน้ั และไดเ้ รยี นรทู้ กั ษะการสร้างมโนทศั น์ซง่ึ สามารถนาไปใชใ้ นการทาความเข้าใจมโนทศั นอ์ นื่ ๆตอ่ ไปได้ รวมทงั้ ชว่ ยพฒั นาทักษะการใชเ้ หตุผลโดย การอุปนยั (inductive reasoning) อกี ดว้ ย 1.2) รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของกานเย (Gagne’s Instructional Model) ก.ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรูปแบบ กานเย (Gagne) ไดพ้ ัฒนาทฤษฎีเงือ่ นไขการเรยี นรู้ (Condition of Learning) ซ่ึงมี 2 ส่วน ใหญ่ ๆ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ และทฤษฎกี ารจดั การเรียนการสอน ทฤษฎกี ารเรียนรู้ของกานเย อธบิ ายวา่ ปรากฏการณก์ ารเรียนร้มู ีองคป์ ระกอบ 2 สว่ นคอื 1) ผลการเรียนรหู้ รอื ความสามารถด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ซงึ่ มอี ยู่ 5 ประเภทคือ ทกั ษะทาง ปญั ญา (intellectual skill ) ซึ่งประกอบด้วยการจาแนกแยกแยะ การสร้างความคิดรวบยอด การ สรา้ งกฎ การสร้างกระบวนการหรอื กฎช้นั สงู ความสามารถด้านตอ่ ไปคือ กลวธิ ีในการเรยี นรู้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 122 (cognitive strategy) ภาษาหรอื คาพูด (verbal information) ทักษะการเคลอ่ื นไหว(motor skill) และเจตคติ(attitude) 2) กระบวนการเรียนรแู้ ละจดจาของมนุษย์ มนษุ ยม์ กี ระบวนการจัดกระทาข้อมลู ในสมอง ซึ่งมนษุ ยจ์ ะอาศัยขอ้ มลู ทสี่ ะสมไว้มาพิจารณาเลอื กจดั กระทาสิ่งใดสงิ่ หนึ่ง และขณะที่กระบวนการจดั กระทาขอ้ มลู ภายในสมองกาลังเกิดข้ึน เหตุการณ์ภายนอกรา่ งกายมนุษย์มีอทิ ธิพลตอ่ การส่งเสรมิ หรือ การยบั ยงั้ การเรียนร้ทู เี่ กดิ ข้นึ ภายในได้ ดงั นัน้ ในการจัดการเรยี นการสอน กานเยจึงได้เสนอแนะว่าควร มีการจดั สภาพการเรยี นการสอนให้เหมาะสมกบั การเรยี นรูแ้ ต่ละประเภท ซง่ึ มลี ักษณะเฉพาะท่ี แตกตา่ งกัน และส่งเสรมิ กระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง โดยจัดสภาพการณ์ภายนอกใหเ้ อ้ือต่อ กระบวนการเรยี นรภู้ ายในสมองของผู้เรยี น ข.วตั ถปุ ระสงค์ของรูปแบบ เพ่อื ช่วยใหผ้ เู้ รยี นสามารถเรียนรู้เนอื้ หาสาระตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างดี รวดเรว็ และสามารถจดจาส่งิ ที่ เรยี นไดน้ าน ค.กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ การเรยี นการสอนตามรปู แบบของกานเย ประกอบดว้ ยการดาเนินการเปน็ ลาดบั ขนั้ ตอนรวม 9 ขั้นดงั นี้ ข้ันที่ 1 การกระต้นุ และดึงดูดความสนใจของผเู้ รยี น เปน็ การช่วยให้ผเู้ รยี นสามารถรบั สง่ิ เรา้ หรอื สิ่งทจ่ี ะเรียนรู้ได้ดี ขั้นท่ี2 การแจ้งวัตถุประสงค์ของการเรยี นใหผ้ เู้ รยี นทราบ เป็นการชว่ ยให้ผู้เรียนได้รบั รูค้ วาม คาดหวัง ขั้นท่ี 3 การให้ระลึกถงึ ความร้เู ดมิ เปน็ การชว่ ยให้ผเู้ รียนดงึ ข้อมลู เดมิ ทอี่ ยู่ในหนว่ ยความจา ระยะยาวใหม้ าอยใู่ นหน่วยความจาเพอื่ ใชง้ าน (working memory) ซึ่งจะชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดความพรอ้ มในการ เชื่อมโยงความรใู้ หมก่ บั ความรเู้ ดมิ ข้ันที่ 4 การนาเสนอสง่ิ เร้าหรอื เน้อื หาสาระใหม่ ผสู้ อนควรจะจัดส่ิงเรา้ ให้ผเู้ รยี นเห็นความสาคัญ ของส่ิงเรา้ น้นั อย่างชดั เจน เพ่อื ความสะดวกในการเลือกรบั รขู้ องผเู้ รียน ข้ันที่ 5 การให้แนวการเรียนรู้ หรือการจดั ระบบขอ้ มูลใหม้ คี วามหมาย เพอื่ ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นสามารถ ทาความเข้าใจกบั สาระท่เี รยี นได้งา่ ยและเร็วขึน้ ข้นั ท่ี 6 การกระต้นุ ให้ผเู้ รียนแสดงความสามารถ เพอื่ ให้ผเู้ รียนมีโอกาสตอบสนองตอ่ สิง่ เร้าหรอื สาระที่เรยี น ซึง่ จะช่วยให้ทราบถึงการเรียนรทู้ เี่ กดิ ข้นึ ในตวั ผเู้ รียน ข้ันที่ 7 การใหข้ อ้ มูลป้อนกลบั เปน็ การใหก้ ารเสรมิ แรงแกผ่ ู้เรยี น และข้อมลู ที่เป็นประโยชนก์ ับ ผเู้ รยี น ข้ันที่ 8 การประเมินผลการแสดงออกของผู้เรยี น เพอ่ื ชว่ ยให้ผู้เรียนทราบว่าตนเองสามารถบรรลุ วัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด ขั้นที่ 9 การสง่ เสรมิ ความคงทนและการถ่ายโอนการเรยี นรู้ โดยการใหโ้ อกาสผเู้ รียนไดม้ ีการฝึกฝน อยา่ งพอเพียงและในสถานการณท์ ีห่ ลากหลาย เพอ่ื ช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกิดความเขา้ ใจทล่ี กึ ซงึ้ ขึ้น และสามารถถา่ ย โอนการเรียนร้ไู ปสู่สถานการณ์อน่ื ๆ ได้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 123 ง. ผลทีผ่ ู้เรยี นจะได้รบั จากการเรยี นตามรูปแบบ เนอ่ื งจากการเรียนการสอนตามรปู แบบน้ี จดั ขึน้ ให้สง่ เสริมกระบวนการเรยี นรแู้ ละจดจาของมนษุ ย์ ดังน้ัน ผเู้ รยี นจะสามารถเรยี นรสู้ าระทน่ี าเสนอไดอ้ ยา่ งดี รวดเร็วและจดจาสงิ่ ทเี่ รยี นรไู้ ด้นาน นอกจากนนั้ ผูเ้ รยี นยังได้เพมิ่ พูนทกั ษะในการจดั ระบบขอ้ มลู สรา้ งความหมายของขอ้ มูลรวมทัง้ การแสดงความสามารถของ ตนด้วย 1.3) รปู แบบการเรียนการสอนโดยการนาเสนอมโนทัศนก์ วา้ งล่วงหนา้ (Advance Organizer Model) ก.ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรูปแบบ จอยสแ์ ละวีล (Joyce & Weil) พัฒนารูปแบบน้ขี ้นึ โดยใชแ้ นวคดิ ของออซเู บล (Ausubel) เก่ียวกับ การนาเสนอมโนทศั นก์ ว้างล่วงหนา้ (Advanced Organizer) เพอ่ื การเรียนรู้อยา่ งมีความหมาย (meaningful verbal learning) ออซเู บลอธบิ ายวา่ การเรยี นรจู้ ะมคี วามหมายเมอ่ื สง่ิ ทเี่ รยี นรสู้ ามารถเชื่อมโยงกบั ความรเู้ ดิม ของผเู้ รยี น ดงั นนั้ ในการสอนส่ิงใหม่ สาระความรู้ใหม่ ผสู้ อนควรวเิ คราะหห์ าความคดิ รวบยอดยอ่ ย ๆ ของสาระ ทจี่ ะนาเสนอ จัดทาผังโครงสรา้ งของความคิดรวบยอดเหลา่ นัน้ แลว้ วเิ คราะหห์ ามโนทัศนห์ รือความคดิ รวบยอด ที่กว้างครอบคลมุ ความคิดรวบยอดย่อย ๆ ทีจ่ ะสอน หากผสู้ อนนาเสนอมโนทัศนท์ ่ีกว้างดงั กล่าวแกผ่ ูเ้ รยี นก่อน การสอนเน้อื หาสาระใหม่ ขณะท่ีผเู้ รยี นกาลงั เรยี นรสู้ าระใหม่ ผเู้ รียนจะสามารถ นาสาระใหม่น้นั ไปเกาะเกย่ี ว เชือ่ มโยงกับมโนทศั นก์ ว้างท่ีให้ไวล้ ่วงหน้าแลว้ ทาให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายต่อผเู้ รยี น ข.วตั ถุประสงค์ของรูปแบบ เพ่อื ชว่ ยให้ผู้เรยี นได้เรียนรู้เนอื้ หาสาระ ข้อมลู ตา่ ง ๆ อย่างมคี วามหมาย ค.กระบวนการเรยี นการสอน ขั้นที่1 การจดั เตรียมมโนทัศนก์ ว้าง โดยการวิเคราะหห์ ามโนทศั น์ท่กี ว้างและครอบคลมุ เนอ้ื หา สาระใหมท่ งั้ หมด มโนทัศน์ท่กี วา้ งนี้ ไมใ่ ชส่ ิ่งเดียวกบั มโนทศั นใ์ หมท่ จ่ี ะสอน แตจ่ ะเป็นมโนทศั นใ์ นระดบั ท่เี หนือ ขน้ึ ไปหรอื สูงกวา่ ซ่งึ จะมลี กั ษณะเปน็ นามธรรมมากกวา่ ปกตมิ ักจะเปน็ มโนทัศน์ของวชิ านั้นหรอื สายวชิ านั้น ควรนาเสนอมโนทัศน์กว้างนลี้ ว่ งหนา้ ก่อนการสอน จะเป็นเสมอื นการ”preview” บทเรียน ซ่งึ จะเป็นคนละ อยา่ งกบั การ ”overview” หรอื การใหด้ ูภาพรวมของสิง่ ทจ่ี ะสอน การนาเสนอภาพรวมของสิง่ ทจี่ ะสอน การ ทบทวนความรเู้ ดิม การซักถามความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียนเก่ยี วกบั เร่ืองทจ่ี ะสอน การบอก วตั ถุประสงคข์ องการเรียนการสอน เหล่าน้ี ไมน่ บั ว่าเปน็ “advance organizer” ซง่ึ จะต้องมลี กั ษณะทกี่ วา้ ง ครอบคลมุ และมีความเปน็ นามธรรมอยู่ในระดบั สงู กวา่ สงิ่ ทจี่ ะสอน ขั้นที่ 2 การนาเสนอมโนทัศน์กวา้ ง 1) ผู้สอนช้ีแจงวัตถปุ ระสงคข์ องบทเรยี น 2) ผสู้ อนนาเสนอมโนทัศนก์ วา้ งดว้ ยวิธกี ารตา่ ง ๆ เชน่ การบรรยายส้ัน ๆ แสดงแผนผงั มโนทศั น์ ยกตัวอย่าง หรอื ใชก้ ารเปรียบเทยี บ เปน็ ตน้ ขั้นที่ 3 การนาเสนอเนื้อหาสาระใหมข่ องบทเรียน ผสู้ อนนาเสนอเน้อื หาสาระทต่ี อ้ งการใหผ้ เู้ รียนได้เรียนรูด้ ว้ ยวิธีการตา่ ง ๆ ตามปกตแิ ต่ ในการนาเสนอ ผสู้ อนควรกล่าวเช่ือมโยงหรือกระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นเช่ือมโยงกับมโนทศั นท์ ใี่ ห้ไวล้ ว่ งหน้าเปน็ ระยะ ๆ ขน้ั ท่ี 4 การจดั โครงสร้างความรู้ ผ้สู อนส่งเสรมิ กระบวนการจัดโครงสร้างความรู้ของผเู้ รียน ด้วยวธิ ีการต่าง ๆ เช่น สง่ เสรมิ การผสมผสานความรู้ กระตุ้นใหผ้ เู้ รียนต่ืนตัวในการเรยี นรู้ และทาความกระจ่างในสิ่งทีเ่ รียนรู้ โดยใช้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 124 วิธีการตา่ ง ๆ เชน่ 1) อธิบายภาพรวมของเรอ่ื งทเี่ รียน 2) สรุปลกั ษณะสาคญั ของเร่อื ง 3) บอกหรอื เขียนคานิยามที่กะทัดรัดชดั เจน 4) บอกความแตกตา่ งของสาระในแงม่ ุมต่าง ๆ 5) อธบิ ายวา่ เน้อื หาสาระทเี่ รียนสนับสนนุ หรือส่งเสริมมโนทัศนก์ วา้ ง ทีใ่ ห้ไวล้ ่วงหน้า อย่างไร 6) อธิบายความเช่อื มโยงระหว่างเนอ้ื หาสาระใหมก่ บั มโนทัศนก์ ว้างทีใ่ ห้ไวล้ ว่ งหนา้ 7) ยกตวั อย่างเพ่มิ เตมิ จากสิง่ ที่เรียน 8) อธบิ ายแก่นสาคัญของสาระทเี่ รียนโดยใช้คาพดู ของตวั เอง 9) วเิ คราะหส์ าระในแง่มมุ ต่าง ๆ ง. ผลที่ผเู้ รียนจะได้รับจากการเรยี นรู้ตามรูปแบบ ผลโดยตรงทผ่ี เู้ รยี นจะได้รบั กค็ ือเกดิ การเรียนรูใ้ นเนอื้ หาสาระ และข้อมลู ของบทเรยี นอยา่ งมี ความหมาย เกดิ ความคดิ รวบยอดในสิ่งทเี่ รียน และสามารถจัดโครงสร้างความรขู้ องตนเองได้ นอกจากนัน้ ยงั ได้ พัฒนาทักษะและอปุ นิสัยในการคิดและเพิ่มพนู ความใฝ่รู้ 1.4) รปู แบบการเรียนการสอนเน้นความจา (Memory Model) ก.ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรูปแบบ รูปแบบน้ีพัฒนาขึน้ โดยอาศยั หลกั 6ประการเก่ยี วกับ 1) การตระหนักรู้ (awareness) ซงึ่ กล่าวว่า การทบี่ คุ คลจะจดจาส่ิงใดได้ดีนั้น จะตอ้ งเรมิ่ จากการ รับรสู้ งิ่ น้นั หรอื การสังเกตสงิ่ นนั้ อย่างตง้ั ใจ 2) การเช่อื มโยง(association) กับส่งิ ท่รี ูแ้ ลว้ หรอื จาได้ 3) ระบบการเชื่อมโยง (link system) คือระบบในการเช่อื มความคดิ หลายความคดิ เขา้ ด้วยกนั ใน ลักษณะที่ความคิดหนง่ึ จะไปกระต้นุ ให้สามารถจาอกี ความคดิ หนงึ่ ได้ 4) การเชื่อมโยงทน่ี า่ ขบขนั (ridiculous association) การเชื่อมโยงท่ีจะช่วยใหบ้ ุคคลจดจาไดด้ นี นั้ มกั จะเปน็ สิ่งท่แี ปลกไปจากปกตธิ รรมดา การเชอ่ื มโยงในลกั ษณะท่แี ปลก เป็นไปไม่ได้ ชวนให้ขบขัน มกั จะ ประทับในความทรงจาของบุคคลเปน็ เวลานาน 5) ระบบการใชค้ าทดแทน 6) การใช้คาสาคญั (key word) ได้แก่ การใชค้ า อักษร หรอื พยางค์เพยี งตัวเดยี ว เพ่ือชว่ ยกระตุ้น ให้จาสง่ิ อนื่ ๆ ทเ่ี กย่ี วกนั ได้ ข. วตั ถุประสงคข์ องรูปแบบ รูปแบบนีม้ วี ัตถปุ ระสงค์ช่วยให้ผเู้ รียนจดจาเน้อื หาสาระทีเ่ รียนรไู้ ดด้ แี ละได้นาน และไดเ้ รยี นร้กู ลวิธี การจา ซง่ึ สามารถนาไปใช้ในการเรยี นร้สู าระอนื่ ๆ ได้อกี ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ ในการเรียนการสอนเนอื้ หาสาระใด ๆ ผ้สู อนสามารถชว่ ยใหผ้ เู้ รียนจดจาเนื้อหาสาระนนั้ ได้ดีและได้ นานโดยดาเนินการดงั นี้ ขั้นที่ 1 การสงั เกตหรอื ศึกษาสาระอย่างตั้งใจ ผสู้ อนชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นตระหนกั รู้ในสาระท่ีเรียนโดยการใชเ้ ทคนิคตา่ งๆ เช่นให้อา่ นเอกสาร

125 แลว้ ขดี เสน้ ใตค้ า/ประเดน็ ทส่ี าคญั ให้ตง้ั คาถามจากเรื่องท่ีอา่ น ให้หาคาตอบของคาถามต่าง ๆ เปน็ ต้น ข้ันท่ี 2 การสร้างความเช่ือมโยง เม่อื ผเู้ รียนได้ศึกษาสาระทต่ี ้องการเรยี นรแู้ ลว้ ให้ผเู้ รียนเชอ่ื มโยงเน้ือหาสว่ นตา่ งๆที่ ต้องการจดจากบั ส่งิ ท่ตี นคนุ้ เคย เช่น กับคา ภาพ หรือความคิดต่าง ๆ (ตวั อย่างเชน่ เดก็ จาไม่ได้ว่าคา่ ยบางระจัน อยจู่ ังหวัดอะไร จึงโยงความคิดว่า ชาวบางระจันเปน็ คนกล้าหาญ สัตวท์ ่ถี อื ว่าเก่งกล้าคอื สงิ โต บางระจนั จึงอยู่ที่ จงั หวดั สงิ ห์บรุ ี) หรอื ใหห้ าหรอื คดิ คาสาคัญ ท่ีสามารถกระตนุ้ ความจาในข้อมลู อ่ืนๆทีเ่ กี่ยวข้องกนั เช่น สูตร 4 M หรอื ทดแทนคาทีไ่ มค่ ้นุ ดว้ ย คา ภาพ หรอื ความหมายอ่ืน หรือการใชก้ ารเชอื่ มโยงความคิดเข้าดว้ ยกัน ขั้นท่ี 3 การใช้จินตนาการ เพ่อื ใหจ้ ดจาสาระไดด้ ีขนึ้ ใหผ้ ู้เรียนใช้เทคนคิ การเชอ่ื มโยงสาระต่าง ๆ ให้เหน็ เป็นภาพที่ นา่ ขบขนั เกินความเป็นจรงิ ข้ันที่ 4 การฝึกใชเ้ ทคนิคต่าง ๆ ทท่ี าไว้ขา้ งต้นในการทบทวนความรู้และเนื้อหาสาระต่าง ๆ จนกระทงั่ จดจาได้ ง.ผลท่ีผูเ้ รียนจะได้รบั จากการเรียนตามรูปแบบ การเรยี นโดยใชเ้ ทคนคิ ช่วยความจาตา่ ง ๆ ของรปู แบบ นอกจากจะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นสามารถจดจาเนอ้ื หา สาระต่างๆ ทเ่ี รยี นไดด้ ีและไดน้ านแล้วยังชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนรกู้ ลวธิ กี ารจาซงึ่ สามารถนาไปใชใ้ นการ เรยี นรสู้ าระอืน่ ๆ ได้อีกมาก มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 1.5 รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใชผ้ งั กราฟกิ (Graphic Organizer Instructional Model) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ โจนสแ์ ละคณะ(Jones et al.) คลา้ ก(Clarke) และจอยส์และคณะ(Joyce et al.) พัฒนารูปแบบ การเรียนการสอนโดยใช้ผงั กราฟฟกิ นาแนวคดิ ทฤษฎกี ระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล (Information Processing Theory) อธิบายวา่ กระบวนการเรียนรเู้ กิดข้ึนไดจ้ ากองคป์ ระกอบสาคญั 3 สว่ น ดว้ ยกันไดแ้ ก่ความจาขอ้ มูล (information storage) ปญั ญา(cognitive processing) และเมตาคอคนชิ นั่ (metacognition) ความจาขอ้ มลู ประกอบด้วย ความจาจากการรสู้ ึกสมั ผสั (sensory memory) ซึง่ จะเกบ็ ขอ้ มลู ไวเ้ พยี งประมาณ 1 วินาทีเทา่ นั้น ความจาระยะสน้ั (short-term memory) หรอื ความจาปฏบิ ัติการ (working memory) ซง่ึ เป็นความจาทเ่ี กดิ ข้ึนหลังจากการตคี วามสิ่งเร้าทร่ี ับรมู้ าแล้ว ซึง่ จะเกบ็ ขอ้ มลู ไว้ได้ ช่วั คราวประมาณ 20 วินาที และทาหนา้ ทใ่ี นการคิด ส่วนความจาระยะยาว (long- term memory) เปน็ ความจาท่มี คี วามคงทน มคี วามจุไมจ่ ากัดสามารถคงอยเู่ ป็นเวลานาน เมอ่ื ต้องการใชจ้ ะสามารถเรียกคนื ได้ สิ่งท่ี อยใู่ นความจาระยะยาวมี 2 ลักษณะ คือ ความจาเหตุการณ์ (episodic memory) และความจาความหมาย (semantic memory) เกย่ี วกับขอ้ เทจ็ จริง มโนทัศน์ กฎ หลกั การต่าง ๆ องค์ประกอบดา้ นความจาข้อมลู น้ี จะ มปี ระสทิ ธิภาพมากนอ้ ยเพียงใด ขึ้นกับกระบวนการทางปัญญาของบุคคลนัน้ ซึ่งประกอบด้วย 1) การใสใ่ จ (attention) หากบุคคลมคี วามใสใ่ จในขอ้ มลู ท่ีรับเข้ามาทางการสัมผสั ข้อมลู น้นั กจ็ ะถูก นาเขา้ ไปสูค่ วามจาระยะส้นั ตอ่ ไป หากไมไ่ ดร้ ับการใสใ่ จ ข้อมูลน้ันกจ็ ะเลือนหายไปอยา่ งรวดเร็ว 2) การรับรู้ (perception) เมอื่ บุคคลใสใ่ จในข้อมลู ใดทรี่ ับเขา้ มาทางประสาทสมั ผสั บคุ คลกจ็ ะรับรู้ ข้อมลู น้ัน และนาขอ้ มลู น้ีเขา้ สู่ความจาระยะส้นั ตอ่ ไป ขอ้ มลู ทรี่ บั รู้นจ้ี ะเป็นความจริงตามการรับรูข้ องบุคคลนน้ั ซึ่งอาจไม่ใชค่ วามจรงิ เชิงปรนัย เนื่องจากเปน็ ความจรงิ ท่ีผา่ นการตีความจากบุคคลนน้ั มาแลว้ 3)การทาซ้า (rehearsal) หากบคุ คลมีกระบวนการรกั ษาข้อมูล โดยการทบทวนซ้าแลว้ ซา้ อกี ขอ้ มลู นั้นก็จะยงั คงถกู เกบ็ รกั ษาไว้ในความจาปฏบิ ตั กิ าร

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 126 4) การเข้ารหัส (encoding) หากบุคคลมกี ระบวนการสรา้ งตัวแทนทางความคิดเกย่ี วกับข้อมลู น้ัน โดยมีการนาข้อมลู นน้ั เขา้ ส่คู วามจาระยะยาว และเชือ่ มโยงเข้ากบั สงิ่ ทม่ี อี ยู่แลว้ ในความจาระยะยาว การ เรยี นรอู้ ย่างมคี วามหมายกจ็ ะเกดิ ขน้ึ 5) การเรียกคนื (retrieval) การเรียกคืนข้อมลู ทเ่ี กบ็ ไว้ในความจาระยะยาว เพอ่ื นาออกมาใช้ มี ความสัมพันธอ์ ย่างใกลช้ ดิ กบั การเขา้ รหสั หากการเขา้ รหสั ทาใหเ้ กดิ การเก็บความจาไดด้ มี ีประสทิ ธิภาพ การ เรยี กคนื กจ็ ะมปี ระสทิ ธิภาพตามไปดว้ ย ด้วยหลกั การดงั กลา่ ว การเรยี นรจู้ ึงเปน็ การสรา้ งความรขู้ องบุคคล ซ่ึงต้องใชก้ ระบวนการเรียนรู้ อยา่ งมคี วามหมาย 4 ข้ันตอนไดแ้ ก่ (1) การเลอื กรบั ข้อมลู ที่สมั พันธ์กนั (selecting relevant information) และ (2) การจดั ระเบียบข้อมูลเข้าสู่โครงสร้าง (coherent structure) รวมทัง้ (3) การบรู ณาการข้อมลู เดิม (integrating) และ (4) การเข้ารหสั (encoding) ขอ้ มูลการเรยี นร้เู พื่อใหค้ งอยู่ในความจาระยะยาว และ สามารถเรียกคืนมาใช้ได้โดยง่าย ดว้ ยเหตุนี้การใหผ้ ู้เรียนมโี อกาสเชอ่ื มโยงความรใู้ หม่กบั โครงสรา้ งความรู้เดมิ ๆ และนาความรู้ความเขา้ ใจมาเข้ารหัสหรือสร้างตวั แทนทางความคดิ ท่ีมคี วามหมายตอ่ ตนเองข้ึน จะส่งผลใหก้ าร เรียนรู้น้นั คงอยู่ในความจาระยะยาวและสามารถเรยี กคนื มาใช้ได้ ข.วตั ถุประสงค์ของรปู แบบ เพอื่ ช่วยใหผ้ เู้ รยี นได้เช่อื มโยงความรูใ้ หม่กบั ความรเู้ ดมิ และสร้างความหมาย และความเขา้ ใจใน เน้ือหาสาระหรือขอ้ มลู ทีเ่ รยี นรู้ และจดั ระเบยี บขอ้ มูลที่เรยี นรู้ด้วยผังกราฟิก ซง่ึ จะชว่ ยใหง้ า่ ยแกก่ ารจดจา ค.กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผงั กราฟิก มหี ลายรปู แบบ ในท่ีนจี้ ะนาเสนอไว้ 3 รูปแบบ ดงั น้ี 1) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผงั กราฟิกของ โจนสแ์ ละคณะ(Jones et al.) ประกอบด้วยขน้ั ตอนสาคญั ๆ 5 ขน้ั ตอนดงั น้ี 1.1) ผูส้ อนเสนอตัวอย่างการจัดขอ้ มลู ดว้ ยผังกราฟฟกิ ทเี่ หมาะสมกบั เนอื้ หาและ วัตถปุ ระสงค์ 1.2) ผู้สอนแสดงวิธีสร้างผงั กราฟกิ 1.3) ผสู้ อนช้ีแจงเหตผุ ลของการใช้ผงั กราฟกิ นัน้ และอธบิ ายวธิ กี ารใช้ 1.4) ผูเ้ รียนฝกึ การสร้างและใชผ้ งั กราฟกิ ในการทาความเข้าใจเนอื้ หาเป็นรายบุคคล 1.5) ผเู้ รยี นเขา้ กลุ่มและนาเสนอผังกราฟกิ ของตนแลกเปลยี่ นกนั 2) รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใชผ้ งั กราฟิกของคลา้ ก(Clark) ประกอบด้วยขนั้ ตอนการเรียนการสอนทส่ี าคญั ๆ ดังนี้ ก. ข้ันก่อนสอน 2.1) ผ้สู อนพจิ ารณาลักษณะของเน้ือหาทจี่ ะสอนสาระน้นั และวัตถุประสงคข์ อง การสอนเนื้อหาสาระน้ัน 2.2) ผสู้ อนพิจารณาและคดิ หาผงั กราฟกิ หรือวธิ ีหรอื ระบบในการจดั ระเบียบเนอ้ื หา สาระนัน้ ๆ 2.3) ผูส้ อนเลือกผังกราฟิก หรือวธิ กี ารจัดระเบียบเน้ือหาที่เหมาะสมทส่ี ดุ 2.4) ผู้สอนคาดคะเนปญั หาทอี่ าจจะเกิดข้นึ แกผ่ ู้เรยี นในการใช้ผงั กราฟิกนน้ั ข. ขนั้ สอน 2.1) ผู้สอนเสนอผงั กราฟิกทเ่ี หมาะสมกบั ลกั ษณะของเนอื้ หาสาระแก่ผเู้ รียน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 127 2.2) ผเู้ รียนทาความเขา้ ใจเน้อื หาสาระและนาเนอ้ื หาสาระใสล่ งในผงั กราฟิกตาม ความเขา้ ใจของตน 2.3) ผูส้ อนซกั ถาม แกไ้ ขความเขา้ ใจผิดของผเู้ รยี น หรือขยายความเพม่ิ เตมิ 2.4) ผสู้ อนกระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนคดิ เพ่มิ เตมิ โดยนาเสนอปญั หาทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั เน้อื หา แลว้ ใหผ้ เู้ รียนใชผ้ งั กราฟิกเป็นกรอบในการคดิ แก้ปญั หา 2.5) ผู้สอนให้ข้อมลู ปอ้ นกลับแกผ่ ้เู รียน 3) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผงั กราฟิกของจอยสแ์ ละคณะ(Joyce et al.) จอยสแ์ ละ คณะ นารูปแบบการเรยี นการสอนของคล้ากมาปรบั ใชโ้ ดยเพ่มิ เตมิ ขนั้ ตอนเปน็ 8 ขั้น ดงั น้ี 3.1) ผูส้ อนชแ้ี จงจุดม่งุ หมายของบทเรยี น 3.2) ผู้สอนนาเสนอผังกราฟกิ ท่เี หมาะสมกบั เน้อื หา 3.3) ผ้สู อนกระต้นุ ใหผ้ ้เู รยี นระลึกถงึ ความรเู้ ดมิ เพือ่ เตรียมสรา้ งความสมั พันธก์ บั ความรู้ ใหม่ 3.4) ผู้สอนเสนอเนื้อหาสาระท่ตี อ้ งการให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรู้ 3.5) ผู้สอนเช่อื มโยงเนื้อหาสาระกับผังกราฟกิ และใหผ้ ู้เรยี นนาเนื้อหาสาระ ใส่ลงในผงั กราฟิกตามความเข้าใจของตน 3.6) ผสู้ อนใหค้ วามรเู้ ชงิ กระบวนการ โดยช้ีแจงเหตผุ ลในการใชผ้ งั กราฟกิ และวธิ ีใช้ผัง กราฟกิ 3.7) ผู้สอนและผเู้ รียนอภิปรายผลการใชผ้ งั กราฟิกกบั เนอื้ หา 3.8) ผสู้ อนซกั ถาม ปรบั ความเขา้ ใจและขยายความจนผู้เรียนเกิดความเข้าใจกระจ่างชัด 4) รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใชผ้ งั กราฟิกของสปุ รียา ตันสกุล สปุ รยี า ตันสกลุ ไดศ้ กึ ษาวิจัยเรื่อง ” ผลของการใช้รูปแบบการสอนแบบการจดั ขอ้ มูลดว้ ยแผน ภาพ (Graphic Organizers) ท่ีมตี ่อสมั ฤทธิ์ผลทางการเรยี นและความสามารถทางการแกป้ ญั หาของนักศึกษา ระดับปรญิ ญาตรชี ้นั ปีที่ 2 คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล” ผลการวจิ ัยพบวา่ นกั ศึกษากลมุ่ ทดลองมคี ะแนนเฉลี่ยสมั ฤทธผ์ิ ลทางการเรยี น และความสามารถทางการแกป้ ญั หาสงู กวา่ นกั ศกึ ษากลมุ่ ควบคมุ อย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .001 รปู แบบการเรียนการสอนนี้ ประกอบดว้ ยข้นั ตอนสาคัญ7ข้ันตอนดงั นี้ 4.1) การทบทวนความรเู้ ดมิ 4.2) การชแ้ี จงวัตถปุ ระสงค์ ลกั ษณะของบทเรียน ความร้ทู ี่คาดหวงั ใหเ้ กิดแกผ่ ้เู รยี น 4.3) การกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนตระหนกั ถงึ ความรเู้ ดิมเพอื่ เตรยี มสรา้ งความสมั พันธก์ ับสง่ิ ท่ีเรียน และการจัดเนอื้ หาสาระด้วยแผนภาพ 4.4) การนาเสนอตัวอยา่ งการจดั เนื้อหาสาระดว้ ยแผนภาพ ทเ่ี หมาะกับลกั ษณะของเนอื้ หา ความรู้ทคี่ าดหวงั 4.5) ผเู้ รยี นรายบคุ คลทาความเขา้ ใจเนอื้ หาและฝึกใช้แผนภาพ 4.6) การนาเสนอปัญหาใหผ้ ูเ้ รียนใช้แผนภาพเป็นกรอบในการแกป้ ญั หา 4.7) การทาความเขา้ ใจใหก้ ระจา่ งชัด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 128 ง. ผลทีผ่ ูเ้ รยี นจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรูปแบบ ผูเ้ รยี นจะมีความเข้าใจในเนือ้ หาสาระทเ่ี รียนและจดจาสง่ิ ทเ่ี รยี นรไู้ ด้ดี นอกจากนน้ั ยงั ไดเ้ รยี นรู้ การใช้ผังกราฟกิ ในการเรยี นร้ตู ่าง ๆ ซ่ึงผูเ้ รยี นสามารถนาไปใช้ในการเรยี นรเู้ น้อื หาสาระอน่ื ๆ ได้อกี มาก 3.3.2 รูปแบบการเรยี นการสอนท่เี น้นการพัฒนาด้านจิตพิสยั (Affective Domain) รปู แบบการเรยี นการสอนในหมวดนเี้ ป็นรปู แบบท่ีมงุ่ ชว่ ยพัฒนาผเู้ รยี นใหเ้ กิดความรสู้ ึก เจตคติ คา่ นยิ ม คณุ ธรรม และจริยธรรมท่พี ึงประสงค์ ซง่ึ เป็นเรอ่ื งท่ยี ากแก่การพัฒนาหรอื ปลกู ฝงั การจัดการเรียนการสอนตาม รปู แบบการสอนทีเ่ พียงใหเ้ กดิ ความรู้ความเขา้ ใจ มักไมเ่ พยี งพอตอ่ การใหผ้ เู้ รียนเกิดเจตคตทิ ี่ดไี ด้ จาเปน็ ต้อง อาศยั หลกั การและวิธีการอ่ืน ๆ เพมิ่ เติม รปู แบบที่นาเสนอมี 3 รูปแบบ ดงั น้ี 1) รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดการพฒั นาดา้ นจติ พสิ ัยของบลมู 2) รปู แบบการเรียนการสอนโดยการซกั คา้ น 3) รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ 1) รูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดการพัฒนาดา้ นจิตพสิ ยั ของบลมู (Instructional Model Based on Bloom’s Affective Domain) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ บลมู (Bloom) ได้จาแนกจดุ มงุ หมายทางการศกึ ษาออกเปน็ 3 ดา้ น คือดา้ นความรู้ (cognitive domain) ด้านเจตคติหรอื ความรสู้ กึ (affective domain) และดา้ นทักษะ (psycho-motor domain) ซึง่ ในด้านเจตคติหรอื ความรสู้ ึกนน้ั จดั ลาดบั ข้นั การเรียนรู้ไว้ 5 ขัน้ ประกอบด้วย 1) ขัน้ การรบั รู้ (receiving or attending) ซึ่งกห็ มายถงึ การทผ่ี เู้ รียนไดร้ บั รู้คา่ นิยม ท่ตี ้องการจะ ปลูกฝังในตวั ผเู้ รียน 2) ข้ันการตอบสนอง (responding) ได้แก่การท่ผี เู้ รียนได้รบั รู้ และเกดิ ความสนใจในคา่ นิยมน้ัน แล้วมโี อกาสไดต้ อบสนองในลกั ษณะใดลกั ษณะหน่งึ 3.) ขนั้ การเหน็ คณุ ค่า (valuing) เป็นข้นั ทผ่ี เู้ รยี นได้รบั ประสบการณเ์ กีย่ วกบั ค่านิยมน้ัน แลว้ เกิด เหน็ คณุ คา่ ของคา่ นิยมน้นั ทาใหผ้ เู้ รยี นมเี จตคตทิ ดี่ ตี อ่ ค่านิยมน้ัน 4) ขนั้ การจดั ระบบ (organization) เปน็ ข้นั ทผ่ี เู้ รียนรบั ค่านยิ มท่ตี นเหน็ คุณคา่ นัน้ เข้ามาอย่ใู น ระบบคา่ นิยมของตน 5) ขัน้ การสรา้ งลกั ษณะนสิ ยั (characterization by value) เป็นขั้นทผ่ี ู้เรยี นปฏบิ ัตติ นตามค่านยิ ม ทร่ี บั มาอยา่ งสมา่ เสมอและทาจนกระทัง่ เป็นนิสยั ถึงแม้ว่าบลมู ได้นาเสนอแนวคิดดงั กล่าวเพื่อใช้ในการกาหนด วัตถุประสงค์ในการเรียนการสอนกต็ ามแตก่ ส็ ามารถนามาใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน เพือ่ ชว่ ยปลกู ฝงั คา่ นยิ มใหแ้ ก่ผเู้ รียนได้ ข. วัตถุประสงคข์ องรปู แบบ เพอ่ื ชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดการพฒั นาความรสู้ กึ /เจตคต/ิ ค่านยิ ม/คุณธรรมหรือจริยธรรม ที่พึงประสงค์ อันจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมใหเ้ ปน็ ไปตามความต้องการ ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ การสอนเพอ่ื ปลกู ฝังค่านิยมใด ๆ ใหแ้ กผ่ ้เู รียน สามารถดาเนนิ การตามลาดับข้นั ของวตั ถุประสงค์ ทางดา้ นเจตคติของบลมู ได้ ดังนี้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 129 ข้ันท่ี 1 การรับรู้คา่ นยิ ม(receiving or attending) ผู้สอนจดั ประสบการณ์ หรือสถานการณท์ ่ชี ่วยใหผ้ ูเ้ รียนไดร้ บั รู้คา่ นยิ มนัน้ อยา่ งใสใ่ จ เชน่ เสนอ กรณีตวั อย่างทเี่ ป็นประเดน็ ปญั หาขัดแยง้ เกีย่ วกบั คา่ นิยมนั้น คาถามท่ที า้ ทายความคดิ เกี่ยวกบั คา่ นิยมน้นั เป็น ตน้ ในข้นั นผ้ี ู้สอนควรพยายามกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดพฤติกรรมดงั น้ี 1) การรตู้ วั (awareness) 2) การเตม็ ใจรับรู้ (willingness) 3) การควบคุมการรบั รู้ (control) ข้ันท่ี 2 การตอบสนองต่อคา่ นิยม (responding) ผู้สอนจดั สถานการณ์ ใหผ้ เู้ รยี นมโี อกาสตอบสนองตอ่ ค่านยิ มนน้ั ในลกั ษณะใดลักษณะ หน่งึ เช่น ใหพ้ ดู แสดงความคดิ เหน็ ตอ่ ค่านิยมน้ัน ให้ลองทาตามคา่ นยิ มนั้น ใหส้ ัมภาษณ์หรือพดู คุยกบั ผู้ท่มี ี ค่านิยมนนั้ เปน็ ต้น ในขั้นนผ้ี ู้สอนควรพยายามกระต้นุ ใหผ้ ้เู รยี นเกดิ พฤตกิ รรมดงั นี้ 1) การยินยอมตอบสนอง (acquiescence in responding) 2) การเตม็ ใจตอบสนอง (willingness in responding) 3) ความพึงพอใจในการตอบสนอง (satisfaction in responding) ข้ันที่ 3 การเหน็ คณุ คา่ ของคา่ นิยม (valuing) ผสู้ อนจัดประสบการณห์ รอื สถานการณ์ที่ช่วยใหผ้ เู้ รียนได้เหน็ คณุ คา่ ของคา่ นยิ มน้ัน เชน่ การใหล้ องปฏบิ ัติตามคา่ นิยมแลว้ ไดร้ บั การตอบสนองในทางทดี่ ี เห็นประโยชนท์ เี่ กดิ ข้ึนกบั ตน หรือบคุ คลอ่นื ทป่ี ฏิบตั ิตามคา่ นยิ มนน้ั เห็นโทษหรือไดร้ ับโทษจากการละเลยไม่ปฏบิ ตั ติ ามคา่ นยิ มนนั้ เปน็ ตน้ ในขน้ั นี้ผู้สอน ควรพยายามกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดพฤตกิ รรมดังนี้ 1) การยอมรับในคณุ คา่ น้ัน (acceptance of a value) 2) การช่ืนชอบในคณุ ค่านัน้ (preference for a value) 3) ความผูกพนั ในคณุ คา่ น้นั (commitment) ข้ันท่ี 4 การจัดระบบคา่ นิยม (organization) เมอ่ื ผูเ้ รยี นเห็นคุณค่าของค่านยิ มและเกดิ เจตคติท่ีดตี ่อค่านยิ มน้นั และมีความโนม้ เอยี ง ทจ่ี ะรับคา่ นิยมน้นั มาใชใ้ นชวี ติ ของตน ผู้สอนควรกระตุ้นใหผ้ ู้เรียนพจิ ารณาค่านยิ มน้นั กบั คา่ นยิ มหรอื คุณค่า อนื่ ๆ ของตน ในขั้นนผี้ สู้ อนควรกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ พฤติกรรมสาคญั ดงั น้ี 1) การสร้างมโนทศั นใ์ นคณุ คา่ นน้ั (conceptualization of a value) 2) การจัดระบบในคุณคา่ นั้น (organization of a value system) ข้ันท่ี 5 การสรา้ งลกั ษณะนสิ ัย (characterization by value) ผู้สอนสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนปฏิบัตติ นตามคา่ นิยมนัน้ อยา่ งสม่าเสมอ โดยตดิ ตามผลการ ปฏบิ ตั ิและใหข้ อ้ มลู ป้อนกลบั และการเสริมแรงเป็นระยะ ๆ จนกระทง่ั ผู้เรยี นสามารถปฏิบัติได้จนเปน็ นิสยั ใน ขน้ั นผี้ สู้ อนควรพยายามกระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นเกดิ พฤติกรรมดงั นี้ 1) การมหี ลกั ยดึ ในการตัดสินใจ (generalization set) 2) การปฏบิ ตั ิตามหลักยดึ น้ันจนเป็นนสิ ัย (characterization) 3) การดาเนนิ การในข้ันตอนทง้ั 5 ไม่สามารถทาไดใ้ นระยะเวลาอนั สน้ั ต้องอาศยั เวลา โดยเฉพาะในขน้ั ท่ี 4 และ 5 ต้องการเวลาในการปฏิบตั ิ ซ่ึงอาจจะมากน้อยแตกต่างกนั ไปในผเู้ รียนแตล่ ะคน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 130 ง. ผลที่ผเู้ รยี นจะได้รบั จากการเรยี นตามรปู แบบ ผู้เรียนจะไดร้ บั การปลูกฝังคา่ นิยมทพ่ี งึ ประสงคจ์ นถึงระดบั ทีส่ ามารถปฏิบตั ิไดจ้ นเป็นนสิ ยั ผเู้ รียนยงั ไดเ้ รียนรู้กระบวนการในการปลกู ฝังคา่ นยิ มใหเ้ กิดขึน้ ซง่ึ ผเู้ รยี นสามารถนาไปปลกู ฝงั ค่านยิ มอืน่ ๆ ให้แกต่ นเอง หรือผู้อนื่ ตอ่ ไป 2) รูปแบบการเรยี นการสอนโดยการซกั ค้าน (Jurisprudential Model) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรูปแบบ จอยส์ และ วลี (Joyce & weil) พฒั นารปู แบบนขี้ นึ้ จากแนวคดิ ของโอลเิ วอรแ์ ละ เชเวอร์ (Oliver and Shaver) เก่ียวกบั การตดั สินใจอยา่ งชาญฉลาดในประเดน็ ปัญหาขดั แย้งตา่ ง ๆ ซงึ่ มสี ว่ นเกย่ี วพนั กบั เรื่อง ค่านยิ มทแี่ ตกต่างกัน ปัญหาดงั กลา่ วอาจเปน็ ปญั หาทางสงั คม หรอื ปญั หาสว่ นตวั ทยี่ ากแก่การตัดสินใจ การ ตดั สินใจอย่างชาญฉลาด กค็ ือการสามารถเลือกทางทเ่ี ปน็ ประโยชน์มากทสี่ ุด โดยกระทบต่อสง่ิ อ่ืน ๆ น้อยทีส่ ดุ ผเู้ รียนควรไดร้ ับการฝึกฝนให้รจู้ กั วิเคราะหป์ ัญหา ประมวลขอ้ มูล ตดั สินใจเลือกทางเลอื กอยา่ งมเี หตผุ ล และ แสดงจดุ ยนื ของตนได้ ผู้สอนสามารถใช้กระบวนการซักคา้ นอนั เป็นกระบวนการท่ีใช้กนั ในศาล มาทดสอบ ผู้เรียนวา่ จดุ ยนื ท่ตี นแสดงนั้นเป็นจดุ ยืนที่แทจ้ ริงของตนหรอื ไม่ โดยการใช้คาถามซักคา้ นท่ีชว่ ยให้ผเู้ รยี น ยอ้ นกลบั ไปพจิ ารณาความคดิ เห็นอนั เปน็ จุดยืนของตน ซงึ่ อาจทาใหผ้ เู้ รยี นปรบั เปลย่ี นความคิดเหน็ หรือจุดยืน ของตน หรอื ยนื ยนั จุดยืนของตนอยา่ งม่นั ใจขน้ึ ข.วตั ถปุ ระสงค์ของรูปแบบ รปู แบบนเ้ี หมาะสาหรับสอนสาระท่เี กี่ยวขอ้ งกบั ประเดน็ ปญั หาขัดแยง้ ต่าง ๆ ซง่ึ ยากแก่การตดั สนิ ใจ การสอนตามรปู แบบนี้จะช่วยใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรู้กระบวนการในการตดั สนิ ใจอย่างชาญฉลาด รวมทัง้ วธิ กี ารทา ความกระจ่างในความคดิ ของตน ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขัน้ ท่ี 1 นาเสนอกรณปี ญั หา ประเด็นปญั หาทนี่ าเสนอควรเป็นประเด็นทีม่ ีทางออกใหค้ ิดไดห้ ลายคาตอบ ควรเป็นประโยค ทม่ี ีคาวา่ “ควรจะ..” เช่น ควรมกี ฎหมายใหม้ กี ารทาแทง้ ได้อย่างเสรหี รอื ไม่ ควรมกี ารจดทะเบียนโสเภณหี รือไม่ ควรออกกฎหมายหา้ มคนสบู บุหร่ีหรอื ไม่ ? ควรอนญุ าตใหน้ ักเรียนประกวดนางงามหรอื ไม่ อย่างไรกต็ ามควร หลกี เลย่ี งประเดน็ ปัญหา ท่เี กยี่ วขอ้ งกับความเช่อื ทางศาสนาที่แตกตา่ งกนั วิธกี ารนาเสนออาจกระทาไดห้ ลาย วธิ ี เช่น การอา่ นเรอ่ื งใหฟ้ งั การให้ดภู าพยนตร์ การเล่าประวัตคิ วามเปน็ มา ครตู ้องระลกึ เสมอวา่ การนาเสนอ ปัญหาน้นั ตอ้ งทาให้นักเรียนไดร้ ู้ข้อเทจ็ จริงทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ปญั หา รู้วา่ ใครทาอะไร เมื่อใด เพราะเหตุใด และมี แง่มมุ ของปญั หาที่ขดั แย้งกันอย่างไร ใหผ้ ู้เรียนประมวลขอ้ เทจ็ จรงิ จากกรณีปัญหาและวเิ คราะห์หาคา่ นิยมท่ี เก่ยี วข้องกัน ขั้นที่ 2 ให้ผ้เู รียนแสดงจุดยืนของตนเอง ผู้เรยี นเลือกจุดยืนของตนเองว่าจะเขา้ กับฝา่ ยใด และบอกเหตผุ ลของการเลอื กน้ัน ขั้นที่ 3 ผสู้ อนซกั คา้ นจดุ ยืนของผูเ้ รยี น ผู้สอนใช้คาถามทมี่ ลี กั ษณะดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ 1) ถ้ามีจุดยืนอื่น ๆ ใหเ้ ลอื กอีก ผเู้ รยี นยงั ยนื ยันทจี่ ะเลือกจุดยืนเดมิ หรอื ไม่ เพราะอะไร 2) หากสถานการณ์แปรเปล่ียนไปผเู้ รียนยงั จะยืนยนั ทจ่ี ะเลอื กจุดยืนเดมิ นหี้ รือไม่ เพราะอะไร 3) ถา้ ผเู้ รียนต้องเผชญิ กับสถานการณอ์ ื่น ๆ จะยงั ยืนยันจุดยนื น้ีหรอื ไม่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 131 4) ผ้เู รียนมเี หตผุ ลอะไรท่ยี ึดมน่ั กับจุดยืนนนั้ จดุ ยนื นนั้ เหมาะสมกบั สถานการณท์ ี่เป็นปัญหา นัน้ หรอื ไม่ 5) เหตผุ ลทย่ี ึดมนั่ กบั จุดยืนนนั้ เปน็ เหตผุ ลท่ีเหมาะกบั สถานการณท์ เ่ี ปน็ อยหู่ รือไม่ 6) ผู้เรยี นมีข้อมลู เพยี งพอทจี่ ะสนบั สนุนจุดยนื น้นั หรือไม่ 7) ขอ้ มูลท่ผี เู้ รยี นใชเ้ ป็นพืน้ ฐานของจุดยืนนนั้ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ 8) ถา้ ยดึ จดุ ยืนน้แี ล้วผลทเี่ กดิ ขึน้ ตามมาคืออะไร 9) เม่อื รู้ผลทเี่ กดิ ตามมาแล้ว ผู้เรยี นยงั ยนื ยนั ที่จะยึดถอื จุดยืนนอี้ ีกหรือไม่ ขั้นที่ 4 ผู้เรียนทบทวนในคา่ นิยมของตนเอง ผู้สอนเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนพจิ ารณาปรับเปลย่ี น หรือยนื ยันในคา่ นยิ มทย่ี ึดถอื ข้ันที่ 5 ผู้เรยี นตรวจสอบและยืนยันจดุ ยนื ใหม่/เกา่ ของตนอีกครงั้ และผเู้ รยี นพยายามหา ข้อเทจ็ จรงิ ต่าง ๆ มาสนบั สนนุ ค่านยิ มของตนเพื่อยนื ยันวา่ สงิ่ ท่ีตนยดึ ถอื อยนู่ ้ันเปน็ คา่ นิยมท่แี ทจ้ ริงของตน ง.ผลทีผ่ ู้เรยี นจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรปู แบบ ผเู้ รียนจะเกิดความกระจา่ งในความคิดของตนเองเกีย่ วกับคา่ นิยม และเกิดความเข้าใจในตนเอง รวมทั้งผสู้ อนได้เรียนร้แู ละเขา้ ใจความคดิ ของผ้เู รียนชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมกี ารมองโลกในแง่มมุ กวา้ งข้นึ นอกจากนยี้ ัง ช่วยพัฒนาความสามารถในการตัดสนิ ใจของผเู้ รียนด้วย 3) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ (Role Playing Model) ก. ทฤษฎ/ี หลักการ/แนวคิดของรปู แบบ รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใชบ้ ทบาทสมมติ พัฒนาข้ึนโดย แชฟเทลและแชฟเทล (Shaftel and Shaftel) ซ่ึงใหค้ วามสาคัญกบั ปฏสิ มั พันธท์ างสังคมของบคุ คล เขากลา่ ววา่ บคุ คลสามารถเรียนรู้เกี่ยวกบั ตนเอง ได้จากการปฏสิ ัมพันธ์กบั ผอู้ น่ื และความรสู้ กึ นกึ คิดของบคุ คลกเ็ ป็นผลมาจากมกี ารปะทะสมั พันธ์กับสง่ิ แวดลอ้ ม รอบข้าง และไดส้ ง่ั สมไว้ภายในลกึ ๆ โดยทบ่ี ุคคลอาจไม่รู้ตวั เลยก็ได้ การสวมบทบาทสมมตเิ ป็นวิธีการทชี่ ว่ ยให้ บคุ คลไดแ้ สดงความรสู้ ึกนกึ คดิ ต่าง ๆ ทอ่ี ยู่ภายในออกมา ทาให้สงิ่ ทีซ่ อ่ นเรน้ อยู่เปดิ เผยออกมา และนามาศึกษา ทาความเข้าใจกันได้ ชว่ ยใหบ้ ุคคลเกิดการเรียนรู้เกย่ี วกับตนเอง เกดิ ความเขา้ ใจในตนเอง ในขณะเดียวกนั การ ที่บุคคลสวมบทบาทของผ้อู ืน่ กส็ ามารถช่วยใหผ้ ู้เรียนเกิดความเขา้ ใจในความคิด ค่านยิ ม และพฤติกรรมของ ผู้อน่ื ไดเ้ ชน่ เดียวกนั ข. วัตถุประสงคข์ องรูปแบบ เพือ่ ชว่ ยให้ผ้เู รยี นเกิดความเข้าใจในตนเอง เข้าใจในความรู้สกึ และพฤติกรรมของผ้อู ื่น และเกดิ การปรบั เปลีย่ นเจตคติ คา่ นยิ ม และพฤตกิ รรมของตนให้เปน็ ไปในทางทเ่ี หมาะสม ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ขนั้ ท่ี 1 นาเสนอสถานการณ์ปญั หาและบทบาทสมมติ ผสู้ อนนาเสนอสถานการณ์ ปัญหา และ บทบาทสมมติ ท่มี ีลกั ษณะใกลเ้ คียงกับความเปน็ จรงิ และมรี ะดบั ยากง่ายเหมาะสมกบั วัยและความสามารถ ของผเู้ รยี น บทบาทสมมติทีก่ าหนด จะมรี ายละเอียดมากนอ้ ยเพยี งใดขน้ึ อยกู่ บั วัตถปุ ระสงค์ในการเรียนการ สอน ถา้ ตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นเปดิ เผยความคิด ความรสู้ กึ ของตนมาก บทบาททใี่ ห้ควรมลี กั ษณะเปดิ กว้าง กาหนด รายละเอยี ดใหน้ อ้ ย แตถ่ า้ ต้องการจะเจาะประเด็นเฉพาะอย่าง บทบาทสมมตอิ าจกาหนดรายละเอียดควบคุม การแสดงของผูเ้ รียนใหม้ งุ่ ไปทป่ี ระเดน็ เฉพาะนัน้ ขั้นท่ี 2 เลือกผู้แสดง ผูส้ อนและผเู้ รยี นจะรว่ มกนั เลือกผ้แู สดง หรือใหผ้ เู้ รยี นอาสาสมคั รกไ็ ด้ แล้วแต่ ความเหมาะสมกบั วัตถุประสงค์และการวนิ ิจฉยั ของผู้สอน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 132 ขนั้ ท3่ี จัดฉากการจดั ฉากนนั้ จัดไดต้ ามความพรอ้ มและสภาพการณ์ทเ่ี ปน็ อยู่ ขนั้ ที่ 4 เตรยี มผสู้ งั เกตการณ์ ก่อนการแสดงผสู้ อนจะตอ้ งเตรียมผู้ชมว่า ควรสงั เกตอะไร และปฏิบตั ิ ตวั อย่างไรเพื่อใหเ้ กิดการเรียนรู้ทดี่ ี ข้ันที่ 5 แสดง ผู้แสดงมคี วามสาคญั เป็นอยา่ งยงิ่ ในการทจ่ี ะทาให้ผชู้ มเข้าใจเรือ่ งราว หรอื เหตุ การณ์ ผแู้ สดงจะตอ้ งแสดงออกตามบทบาททีต่ นไดร้ บั ใหด้ ที สี่ ุด ขั้นท่ี 6 อภิปรายและประเมนิ ผลการอภิปรายผลสว่ นใหญจ่ ะแบง่ เป็นกลมุ่ ยอ่ ย การอภิปราย จะเปน็ การแสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกับเหตุการณ์ การแสดงออกของผู้แสดง และควรเปดิ โอกาสใหผ้ ้แู สดงได้ แสดงความคดิ เหน็ ด้วย ขั้นที่ 7 แสดงเพมิ่ เตมิ ควรมกี ารแสดงเพมิ่ เตมิ หากผูเ้ รยี นเสนอแนะทางออกอ่นื นอกเหนอื จากทไี่ ด้ แสดงไปแลว้ ข้ันที่ 8 อภิปรายและประเมนิ ผลอกี คร้งั หลังจากการแสดงเพม่ิ เติม กลุ่มควรอภิปราย และ ประเมินผลเกย่ี วกับการแสดงครง้ั ใหม่ดว้ ย ขั้นที่ 9 แลกเปล่ยี นประสบการณ์และสรุปการเรยี นรู้ แตล่ ะกลมุ่ สรปุ ผลการอภปิ รายของกล่มุ ตน และหาขอ้ สรปุ รวม หรอื การเรยี นรทู้ ีไ่ ดร้ ับเกี่ยวกบั ความรู้สกึ ความคิดเห็น ค่านยิ ม คุณธรรม จรยิ ธรรมและพฤติกรรมของบุคคล ง. ผลท่ีผเู้ รยี นจะไดร้ ับจากการเรยี นร้ตู ามรูปแบบ ผ้เู รียนจะเกดิ ความเขา้ ใจทล่ี ึกซ้งึ เกี่ยวกับความรสู้ กึ นกึ คิด ความคดิ เห็น คา่ นิยม คุณธรรม จริยธรรม ของผู้อน่ื รวมท้ังมีความเข้าใจในตนเองมากขนึ้ 3.3.3 รปู แบบการเรียนการสอนทเ่ี นน้ การพัฒนาด้านทักษะพิสยั (Psycho-Motor Domain) รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เปน็ รปู แบบทม่ี ุ่งช่วยพัฒนาความสามารถของผเู้ รียนในด้าน การปฏิบัติ การกระทาหรือการแสดงออกต่าง ๆ ซึ่งจาเปน็ ตอ้ งใช้หลกั การ วิธกี าร ทแี่ ตกตา่ งไปจากการพฒั นา ทางดา้ นจติ พสิ ัยหรอื พทุ ธิพสิ ัย รปู แบบทสี่ ามารถชว่ ยให้ผเู้ รยี นเกดิ การพัฒนาทางดา้ นน้ี ทส่ี าคัญๆมี 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคดิ การพฒั นาทกั ษะปฏิบตั ิของซิมพซ์ ัน (Simpson) 2) รปู แบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏิบัติของเดฟ (Dave) 3) รปู แบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏิบัตติ ามองค์ประกอบของทกั ษะ 1) รปู แบบการเรียนการสอนตามแนวคดิ การพัฒนาทกั ษะปฏิบัติของซิมพซ์ นั (Instructional Model Based on Simpson’s Processes for Psycho-Motor Skill Development) ก.ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ ซิมพซ์ นั (Simpson) กล่าววา่ ทกั ษะเป็นเรือ่ งทม่ี ีความเก่ยี วข้องกบั พฒั นาการทางกายของผเู้ รยี น เปน็ ความสามารถในการประสานการทางานของกล้ามเนื้อหรือรา่ งกาย ในการทางานที่มีความซบั ซ้อน และ ต้องอาศยั ความสามารถในการใชก้ ล้ามเนอื้ หลาย ๆ ส่วน การทางานดงั กล่าวเกิดข้นึ ได้จากการสง่ั งานของสมอง ซง่ึ ต้องมคี วามสัมพนั ธ์กบั ความรสู้ กึ ทีเ่ กดิ ข้ึน ทักษะปฏบิ ัตนิ ส้ี ามารถพฒั นาได้ดว้ ยการฝกึ ฝน ซงึ่ หากไดร้ ับการ ฝึกฝนท่ีดแี ลว้ จะเกิดความถกู ต้อง ความคล่องแคลว่ ความเชีย่ วชาญชานาญการ และความคงทน ผลของ พฤตกิ รรมหรือการกระทาสามารถสงั เกตไดจ้ ากความรวดเรว็ ความแมน่ ยา ความเร็วหรอื ความราบรื่นในการ จัดการ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 133 ข.วตั ถุประสงค์ของรูปแบบ เพอื่ ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถปฏิบัติ หรอื ทางานทีต่ ้องอาศยั การเคลอื่ นไหว หรือการประสานงาน ของกล้ามเนื้อทงั้ หลายได้อยา่ งดี มีความถูกตอ้ งและมคี วามชานาญ ค.กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขั้นท่ี 1 ขั้นการรบั รู้ (perception) เปน็ ขน้ั การใหผ้ เู้ รียนรบั ร้ใู นส่งิ ที่จะทา โดยการให้ผู้เรียน สงั เกตการทางานนั้นอย่างตัง้ ใจ ข้ันที่ 2 ขน้ั การเตรียมความพรอ้ ม(set) เป็นขนั้ การปรับตัวให้พรอ้ ม เพอื่ การทางานหรอื แสดง พฤติกรรมนนั้ ท้ังทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์โดยการปรบั ตัวใหพ้ รอ้ มทจ่ี ะเคลื่อนไหวหรือแสดงทกั ษะนัน้ ๆ และมจี ิตใจและสภาวะอารมณท์ ีด่ ตี อ่ การทจี่ ะทาหรือแสดงทกั ษะน้นั ๆ ข้ันท่ี 3 ขนั้ การสนองตอบภายใตก้ ารควบคมุ (guided for response) เปน็ ขัน้ ทีใ่ หโ้ อกาสแก่ ผูเ้ รียนในการตอบสนองต่อสิง่ ทีร่ บั รู้ ซึง่ อาจใช้วิธีการใหผ้ เู้ รยี นเลียนแบบการกระทา หรอื การแสดงทักษะนัน้ หรืออาจใชว้ ธิ ีการใหผ้ ู้เรียนลองผดิ ลองถกู จนกระทงั่ สามารถตอบสนองได้อย่างถกู ตอ้ ง ข้ันที่ 4 ขน้ั การใหล้ งมือกระทา จนกลายเปน็ กลไกทส่ี ามารถกระทาไดเ้ องเปน็ ขนั้ ท่ชี ่วยให้ผู้เรยี น ประสบผลสาเรจ็ ในการปฏบิ ตั ิ และเกดิ ความเชื่อมัน่ ในการทาสิง่ นน้ั ๆ ขั้นที่ 5 ขน้ั การกระทาอยา่ งชานาญ (complex overt response) เปน็ ขั้นทชี่ ่วยใหผ้ ้เู รยี นได้ ฝกึ ฝนการกระทาน้นั ๆ จนผเู้ รียนสามารถทาได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่ ชานาญ เปน็ ไปโดยอตั โนมตั ิ และดว้ ยความ เช่ือมนั่ ในตนเอง ขั้นท่ี 6 ขน้ั การปรับปรงุ /ประยกุ ตใ์ ช้ (adaptation) เป็นขนั้ ทชี่ ว่ ยให้ผเู้ รียนปรบั ปรุงทกั ษะหรือ การปฏิบตั ิของตนให้ดยี ่ิงขึน้ และประยกุ ตใ์ ช้ทักษะท่ีตนไดร้ บั การพฒั นาในสถานการณต์ ่าง ๆ ข้ันที่ 7 ขั้นการคดิ รเิ ร่ิม(origination) เม่อื ผู้เรยี นสามารถปฏบิ ตั หิ รอื กระทาสิ่งใดสง่ิ หนงึ่ อยา่ ง ชานาญและสามารถประยกุ ต์ใชใ้ นสถานการณท์ ีห่ ลากหลาย ผู้ปฏิบัตจิ ะเรม่ิ เกิดความคิดใหม่ ๆ ในการกระทา หรอื ปรับการกระทาน้นั ให้เป็นไปตามท่ีตนต้องการ ง. ผลที่ผูเ้ รียนจะไดร้ ับจากการเรียนตามรูปแบบ ผู้เรียนจะสามารถกระทาหรอื แสดงออกอยา่ งคลอ่ งแคล่ว ชานาญในสิง่ ทต่ี อ้ งการใหผ้ เู้ รยี นทาได้นอกจาก น้นั ยังชว่ ยพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ และความอดทนใหเ้ กดิ ขนึ้ ในตัวผูเ้ รียนด้วย 2) รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบตั ขิ องเดฟ (Dave’s Instructional Model for Psy- Chomotor Domain) ก. ทฤษฎ/ี หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ เดฟ (Dave) ได้จัดลาดบั ข้นั ของการเรยี นรทู้ างดา้ นทกั ษะปฏิบัติไว้ 5 ข้นั ได้แก่การเลยี นแบบ การ ลงมอื กระทาตามคาสง่ั การกระทาอยา่ งถูกต้องสมบรู ณ์ การแสดงออกและการกระทาอย่างเป็นธรรมชาติ ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ รูปแบบนมี้ ุ่งใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความสามารถทางด้านทกั ษะปฏิบัตติ ่าง ๆ กลา่ วคอื ผเู้ รยี นสามารถปฏบิ ัติ หรอื กระทาอย่างถูกต้องสมบรู ณแ์ ละชานาญ ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ขั้นท่ี 1 ขน้ั การเลยี นแบบ (imitation) เป็นขนั้ ทีใ่ หผ้ เู้ รยี นสังเกตการกระทาที่ตอ้ งการใหผ้ ูเ้ รยี น ทาได้ ซงึ่ ผู้เรยี นย่อมจะรบั รู้หรอื สงั เกตเห็นรายละเอยี ดตา่ ง ๆ ได้ไมค่ รบถ้วน แตอ่ ย่างนอ้ ยผเู้ รยี นจะสามารถ บอกไดว้ ่า ขนั้ ตอนหลักของการกระทานัน้ ๆ มีอะไรบา้ ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook