มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 184 สามารถพฒั นาการรู้คดิ ใหผ้ เู้ รียนไดด้ ว้ ยการใหเ้ กดิ การร้คู ดิ เชิงนามธรรมในบรบิ ททเี่ ป็นรูปธรรมของ ชวี ิตประจาวันจรงิ ๆ “ โรงเรยี นควรเปน็ การใชช้ ีวติ จริงๆ มากกว่าเปน็ การเตรยี มเพือ่ ให้ไปใชช้ ีวติ ” จอหน์ ดิวอี้ (John Dewey) การเรยี นร้ขู องผเู้ รยี นควรเกี่ยวโยงกบั ปัญหา และโครงการทเี่ กิดขึ้นจริงในชวี ิตประจาวนั ผู้เรยี นได้พบ เห็นปญั หานจี้ รงิ ในชีวติ ประจาวนั ความพยายามทจ่ี ะให้โรงเรยี นกบั สถานที่ทางานในชีวิตจริงของผเู้ รยี นอยู่ใน พ้นื ท่เี ดยี วกนั สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรทู้ ี่ไดเ้ ตรียมผเู้ รียนใหม้ คี วามพร้อมมากทส่ี ุดผเู้ รยี นไดเ้ รียนรู้ วา่ งานอะไร คอื สง่ิ ท่ผี เู้ รยี นตอ้ งทาเมอื่ สาเรจ็ การศกึ ษา ดงั นั้น กลยุทธการจัดการเรยี นรู้แบบ ปญั หาเปน็ ฐาน (problem-based learning) หรอื กรณีศกึ ษา(case-based learning) สามารถใหป้ ระสบการณจ์ รงิ กบั ผู้เรยี นได้ เกิดการถ่ายโอนการเรยี นรสู้ สู่ ถานการณใ์ หม่ ไดค้ วามรู้ใหมข่ นึ้ มา (สลา สามภิ ักด.์ิ 2563. หนา้ 88- 108) เรยี นรดู้ ้วยความเขา้ ใจ ศาสตร์การเรียนรสู้ มยั ใหม่ เน้นการเรียนรดู้ ว้ ยความเขา้ ใจ วธิ วี ัดความเข้าใจความรู้ วดั จาก”ความรทู้ ่ี นาไปใช้ได”้ ไม่ใช่เพยี งรายการขอ้ เท็จจรงิ แตล่ ะเรอ่ื งทีไ่ มส่ มั พนั ธ์กันเลย แต่เปน็ การจดั ระเบยี บความร้ใู ห้เปน็ ระบบที่ขอ้ เท็จจรงิ มคี วามสัมพนั ธ์กันดว้ ยมโนทศั น์(concept)สาคัญๆ ความรนู้ ี้ ”ถกู กาหนดเงือ่ นไข” เพ่ือระบุ บรบิ ทท่นี าไปใช้ได้ เอ้ือตอ่ การทาความเข้าใจและการถ่ายโอนการเรยี นรไู้ ปสบู่ รบิ ทอื่นๆ ความรูท้ ่ีมีอย่กู อ่ นหน้า(Pre-Existing Knowledge) การให้ความสาคัญกับความเข้าใจ(understanding) วา่ เขา้ ใจอะไร เขา้ ใจอย่างไรนน้ั เกีย่ วข้องกับ กระบวนการร(ู้ knowing) มนษุ ย์ทุกคนมีความร้ชู ดุ หน่งึ อยกู่ ่อนแล้ว ความร้ชู ดุ น้ปี ระกอบด้วยทักษะ ความเชอ่ื และมโนทศั น์ ความรู้ที่มอี ยกู่ ่อน นี้ใชเ้ ป็นหลกั การพื้นฐานในกระบวนการรสู้ ่งิ ใหมๆ่ ในสภาพแวดลอ้ มใหม่ สง่ ผลอยา่ งสาคญั ต่อวิธีคดิ การจดั ระบบและการตีความต่อสง่ิ ใหมๆ่ นน้ั การจัดระบบและการตีความต่อสง่ิ ใหม่ๆ นั้นสง่ ผลต่อความสามารถในการจา การใชเ้ หตผุ ล การแกป้ ัญหา และการไดค้ วามรู้ใหม่ด้วย อาจกล่าวไดว้ า่ มนษุ ยส์ รา้ งความรแู้ ละความเขา้ ใจใหมๆ่ ขึน้ จากสงิ่ ทร่ี ้แู ละเชื่ออยู่กอ่ นแล้ว ถา้ ความรใู้ หมถ่ กู สร้างจากความรทู้ ่ีมีอยกู่ ่อนแล้ว หมายความว่า ผูส้ อนตอ้ งให้ความสาคญั กบั ความไม่ สมบรู ณ์ของความเขา้ ใจ ความเชือ่ และการใชม้ โนทศั น์อย่างไรเ้ ดียงสาทผี่ ู้เรยี นนาตดิ ตวั มาดว้ ยเมอ่ื มาเรยี นวิชา ตา่ งๆ ผ้สู อนเรม่ิ ตน้ ทค่ี วามคิดเหล่าน้ีของผเู้ รยี นกอ่ นเพอ่ื นาทางผเู้ รียนไปสู่การเตบิ โตทางวฒุ ภิ าวะของความ เข้าใจ และนาทางสู่เป้าหมายตามวัตถุประสงคข์ องการเรียนวชิ านัน้ ๆได้ โดยไมป่ ล่อยให้พฒั นาการของความ เข้าใจของผเู้ รยี นหลงทาง หรอื สบั สน (สลา สามิภกั ด.์ิ 2563. หน้า 9-12) การตดิ ตามการรู้คดิ (metacognition) การติดตามการรูค้ ิด ใชส้ ่งเสริมการเรียนรูเ้ ชิงรกุ (active learning) การเรียนรเู้ ชิงรกุ ชว่ ยผเู้ รียนให้ สามารถควบคมุ การเรียนร้ขู องตนเอง เรยี นรทู้ จ่ี ะตระหนกั ด้วยตนเองได้ว่าเมอื่ ใดมีความเข้าใจแลว้ เม่ือใด ต้องการขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ การเรียนร้เู ชงิ รุกชว่ ยผเู้ รยี นเขา้ ใจสาระทสี่ ่อื สารมาจากผูอ้ น่ื ได้ตรงตามวตั ถุประสงคข์ อง ผู้สือ่ สาร สามารถสร้างทฤษฎีจากปรากฎการณ์ และตรวจสอบประเมนิ ทฤษฎไี ด้ การติดตามการรคู้ ดิ ของ ตนเองด้วยตนเองชว่ ยผู้เรียนให้ เขา้ ใจ การเรียนรู้เชงิ รุกของตนเองได้ กาหนดเป้าหมายการเรียนรูข้ องตนเอง และติดตามประเมนิ ความความก้าวหน้าการเรียนรู้ การติดตามการรูค้ ดิ หมายถึง ความสามารถในการทานาย ผลการกระทาภารกจิ ต่างๆของบุคคล และความสามารถในการประเมนิ ระดับความเช่ยี วชาญและความเขา้ ใจ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 185 ในปัจจบุ นั ของตนเอง วิธีการติดตามการรู้คดิ ใชว้ ธิ ีการจดั การเรียนรเู้ น้นความเขา้ ใจผ่านประสบการณ์ การ ประเมนิ ตนเอง และใคร่ครวญทบทวนว่าอะไรทท่ี าแล้วได้ผล อะไรที่ต้องปรับปรงุ เพอ่ื ทาความเขา้ ใจ โดยการ ปรับขอ้ มูลใหม่กบั ความรเู้ ดมิ ทม่ี ีอยูก่ อ่ น แล้วทาความเข้าใจอกี คร้งั เพอื่ เขา้ ใจ และ/หรอื สรา้ งขอ้ มลู ใหม่ๆข้นึ มา ทีเ่ รยี กว่า องคค์ วามรู้ใหม่ ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการรคู้ ิดนน้ั ๆ และยังช่วยผเู้ รียนให้ถา่ ยโอนการเรียนรูไ้ ปสู่ สภาพแวดลอ้ มใหม่ และเหตกุ ารณ์ใหมไ่ ด้ (สลา สามภิ ักด.ิ์ 2563. หน้า 14-15) หลกั การเรียนรู้ การเรียนรขู้ องมนษุ ย์ มหี ลักการเรยี นรสู้ าคัญ 3 ประการ สมั พันธก์ ัน เชอ่ื มโยงไปพร้อมๆ กนั ในเวลา เดยี วกนั ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ดงั นี้ 1. ความรทู้ ม่ี อี ยกู่ ่อนหน้า ผเู้ รยี นมี ความร้ทู มี่ ีอยกู่ ่อนหน้า ติดตวั มาเขา้ ห้องเรียน และความรทู้ ่มี อี ยกู่ ่อนหนา้ นสี้ ่งผลตอ่ การ เรยี นรูค้ วามรูใ้ หม่ ข้อมลู ใหม่ วิชาใหมๆ่ ทผ่ี ้เู รยี นจะตอ้ งได้รับเพิ่มเติมตามชว่ งเวลาการเรยี นร้ขู องวัยหนง่ึ ๆ ความรู้ทม่ี มี าก่อนนสี้ ง่ ผลตอ่ การเรยี นรทู้ ั้งทางบวกและทางลบ กลา่ วคือถา้ ความรทู้ ี่มีอยู่กอ่ นหนา้ เปน็ ความ เข้าใจท่ีถูกต้อง ใชเ้ ป็นฐานการสร้างความรู้ใหม่ต่อเน่ืองแบบถูกต้องต่อไปได้ ถา้ ความรู้ท่ีมอี ยกู่ อ่ นหน้าเป็นความ เขา้ ใจที่ไม่ถกู ต้อง ใช้เปน็ ฐานการสร้างความรู้ใหม่ต่อเนอื่ งแบบไม่ถูกตอ้ งต่อไป กระบวนการต่อยอดทาความ เข้าใจ ความรู้ใหม่ นเี้ ปน็ กระบวนการท่ีเกดิ ขึน้ ทกุ ชว่ งชัน้ การศึกษา ความรู้ท่มี อี ยกู่ อ่ นหน้าเร่มิ จากวยั เยาว์ เดก็ เลก็ มากๆตง้ั แต่เกดิ มาจนเขา้ ชั้นอนบุ าล เด็กพัฒนาความเขา้ ใจทีซ่ บั ซอ้ นข้นึ ในสถานการณต์ า่ งๆ รอบตัว บน ฐานความเขา้ ใจท่ีมมี าก่อนทง้ั ความเข้าใจถกู และความเข้าใจผิด ความเขา้ ใจเหลา่ นส้ี ง่ ผลสงู ตอ่ การผสานมโน ทศั น์ และข้อมลู ใหมๆ่ ของเดก็ ผสู้ อนทาความเข้าใจ ความร้ทู ี่มอี ยู่ก่อนหน้า ของผเู้ รียน ศกึ ษาความรู้ทีม่ อี ยกู่ ่อน หน้าของผเู้ รยี นว่ามีความรู้ ความเข้าใจข้อมูลอะไรบ้าง ความรูค้ วามเข้าใจนนั้ ถูกต้องมากนอ้ ยอยา่ งไรบา้ ง ความรูค้ วามเขา้ ใจของผ้เู รยี นทรงพลังมากในชว่ งช้นั ประถมศึกษาตอนต้น ส่งผลต่อไปในทกุ ช่วงช้ัน การเรยี นรู้ ผสู้ อนทางานกับ ความเข้าใจทีม่ กี อ่ น ของผ้เู รียน คลค่ี ลายความเข้าใจท่ีมีก่อนน้ีให้ปรากฏวา่ ความ เขา้ ใจที่มกี อ่ นนี้ ถูกตอ้ งหรอื ไม่ถกู ตอ้ ง แล้วแก้ไขให้ถูกตอ้ งก่อนจงึ บูรณาการความรู้ใหมเ่ ข้าไปตรงส่วนไหนของ ความเข้าใจทมี่ กี อ่ น การแทนท่ีความเข้าใจทมี่ ีกอ่ นไดน้ ัน้ ผู้สอนเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนแสดงความเขา้ ใจทม่ี กี ่อน ออกมา ดว้ ยการจดั บรรยากาศการเรยี นรทู้ ่ีเสรมิ พลงั ทางบวกให้ผเู้ รียนแสดงพฤติกรรมออกมา 2. การพฒั นาศกั ยภาพของผเู้ รียนเรื่องการสืบเสาะหาความรู้ ศกั ยภาพการเรยี นรู้ พฒั นาตอ่ ไปได้ อาศยั คณุ สมบัติขัน้ พ้นื ฐาน 3 ประการน้ี ไดแ้ ก่ 1. ผู้เรยี นมี ฐานขอ้ มูลใหญ่มากเกยี่ วกบั ข้อเทจ็ จรงิ ต่างๆ 2.มีความเข้าใจขอ้ เทจ็ จรงิ และมกี รอบมโนทศั นเ์ ก่ยี วกบั ขอ้ เท็จจรงิ ไว้กากบั การทาความเข้าใจ 3.จัดระเบยี บความรใู้ ห้สามารถจาและนาไปประยกุ ตใ์ ช้ได้ การทางาน โดยมีฐานข้อมลู ท่มี ีการจดั ระบบความรู้ ประกอบกับมีความสามารถวางแผนการทางาน การสังเกตแบบแผน ข้อมลู การสรา้ งขอ้ โตแ้ ย้งทสี่ มเหตุสมผล การให้คาอธิบาย การเทยี บเคียงปญั หาทพี่ บกบั ปญั หาในลกั ษณะอ่นื ๆ ได้ ขอ้ เท็จจรงิ ต่างๆ ทผ่ี ู้เรยี นมีน้ัน ผเู้ รยี นมีความเข้าใจขอ้ เท็จจริงอย่างเช่อื มโยง สมั พันธ์กัน ทาความ เขา้ ใจความสัมพันธข์ องข้อมลู ทส่ี ามารถเชอ่ื มโยงกันได้ ผา่ นกรอบมโนทัศนห์ น่ึง ความสามารถในการคิดผ่าน มโนทัศน์ทาใหเ้ ขา้ ใจขอ้ มลู ใหม่ได้ มองเห็นแบบแผนความสัมพันธ์ หรือความไมล่ งรอย/ไม่เข้ากนั ของขอ้ มลู สามารถดงึ ความหมายจากข้อมลู ออกมาได้ เลอื ก จดจาขอ้ มูลทเี่ กย่ี วขอ้ ง และเขา้ ถงึ ความร้ทู ่เี กีย่ วขอ้ งน้ไี ด้ รวดเรว็ ฉับไว ถกู ต้องตามข้อเทจ็ จรงิ ของขอ้ มลู นน้ั
186 3.การสอนตามแนวทาง”การตดิ ตามการร้คู ิด” (metacognitive approach) การตดิ ตามการรู้คิด ชว่ ยผ้เู รียนควบคุมการเรยี นรูข้ องตนเอง กาหนดเปา้ หมายการเรยี นรู้ และ ตดิ ตามความกา้ วหนา้ การเรยี นรขู้ องตนเอง เม่ือต้องการขอ้ มลู เพิ่มเตมิ สามารถตั้งขอ้ สงั เกตเพ่ือทาความเข้าใจ กับข้อมลู ใหม่ได้ และ/หรอื ใชก้ ารเทียบเคียงเพื่อให้เขา้ ใจมากขึน้ การติดตามการรูค้ ิดเป็นเรอื่ งกระบวนการคิด ภายในความคดิ ของผู้เรียน ผสู้ อนจะตดิ ตามการร้คู ิดของผเู้ รยี นไดด้ ้วยการออกแบบการสอน วิธีการสอน และ กลยุทธติดตามการรคู้ ิดเอง แต่ละวิชา แตล่ ะหลกั สตู รใชก้ ลยทุ ธตดิ ตามการรู้คิดแตกตา่ งกัน เช่นกลยทุ ธ ต่าง ฝ่ายตา่ งสอน(reciprocal teaching) การตดิ ตามการรูค้ ดิ ชว่ ยผ้เู รยี นถา่ ยโอนการเรยี นรู้ไปใชใ้ นสภาพแวดล้อม และเหตุการณ์ใหมไ่ ด้ (สลา สามภิ ักด์ิ. 2563. หน้า22-24) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง การจดั ระบบความรู้ การจัดระบบความรู้ ใช้แนวคิดหลกั (big ideas) หรอื มโนทศั น์ (concept) เปน็ แนวทางในการคิด ทา ความเขา้ ใจศาสตรน์ ั้นๆ กระบวนการคิดมีการหยุดคิด ทบทวน นึกถึงเพอ่ื หาข้อสรปุ ของโครงสร้างความร้กู าร จดั ระบบข้อมลู ใช้วิธกี ารหาความเชือ่ มโยง เกีย่ วขอ้ งกนั ของขอ้ มลู โดยมแี นวคดิ หลกั และมโนทัศนเ์ ป็นกรอบ กากับ “การรู้มากกวา่ ” หมายถงึ การมกี ลมุ่ ขอ้ มลู ทมี่ มี โนทศั น์กากบั ในความจามากกว่า มีกลมุ่ ขอ้ มลู ทีม่ ี ลกั ษณะและความเชือ่ มโยงเฉพาะมากกว่า สามารถดึงกลมุ่ ข้อมลู และนามาใช้แกโ้ จทยป์ ญั หาได้เรว็ (สลา สามภิ ักด์ิ. 2563. หน้า46-47) ความรู้ท่ีจดั อย่างมรี ะบบ ใชช้ ่วยจัดระเบยี บข้อมูลให้เปน็ แบบแผน ความสามารถในการจดั ระเบียบ ขอ้ มลู ใหเ้ ป็นระบบ มแี บบแผนของขอ้ มูล ช่วยผเู้ รยี นพัฒนาสมรรถนะความสามารถเกี่ยวกบั เงอ่ื นไขการเข้าถึง ความรใู้ นการนาความรู้มาใชแ้ กป้ ัญหาได้ (สลา สามภิ ักดิ.์ 2563. หน้า61) มนษุ ยเ์ รยี นรู้อยา่ งไร การเนน้ ท่ีมนุษย์เรยี นรอู้ ยา่ งไร ทาใหค้ รสู ามารถเลอื กเทคนิคการสอนใหเ้ หมาะสมเพอื่ บรรลุ จดุ ประสงคท์ ่ีต้งั ไวไ้ ด้ การใหค้ วามสาคญั ที่ “ความรูพ้ ื้นฐานท้ังหลาย” และ “การคิดและทกั ษะการแกป้ ญั หา” จาเป็นตอ้ งดาเนนิ ไปในกระบวนการเรยี นรูพ้ รอ้ มๆ กนั ไป ความสามารถในการมีข้อเท็จจรงิ และทกั ษะทเี่ ป็น ระบบของผ้เู รยี นจะไดร้ บั การพฒั นาเมอ่ื นาความสามารถนไ้ี ปใช้แกโ้ จทยป์ ัญหาได้ ผสู้ อนช่วยให้ผเู้ รยี นเข้าใจวา่ ข้อเท็จจรงิ และทกั ษะนามาใชใ้ นการแก้โจทย์ปญั หาตอนไหนบ้าง และอยา่ งไร การสอนทกั ษะการคิดนา ฐานความรู้ที่เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ มาใชพ้ ฒั นาความสามารถในการแกป้ ญั หา และการถา่ ยโอนการเรยี นรู้ไปใช้ใน สถานการณใ์ หม่ได้ การเรียนรู้ด้วยความเขา้ ใจวางบนพน้ื ฐานของการจัดระบบความรู้ที่ดี และใชเ้ รยี นรคู้ วามรใู้ หมๆ่ ไดเ้ รว็ กวา่ วิธีการเรยี นใหเ้ รยี นรู้แบบศกึ ษาลงลกึ ในเรือ่ งทจี่ าเป็น และประเมินความเข้าใจด้วยการตดิ ตามการรู้คิด ผเู้ รยี นตลอด สมา่ เสมอ ความสนใจและการมสี ว่ นรว่ มของผเู้ รียนเป็นสงิ่ สาคัญใช้วดั ความสาเรจ็ การเรยี นรู้ กา มอบหมายงานและโครงงานทที่ าดว้ ยความเข้าใจเออื้ ตอ่ การเรยี นรู้สง่ิ ใหมไ่ ด้มาก การตดิ ตามการเรียนรขู้ องผเู้ รียน ใชก้ ารประเมินความก้าวหน้า (formative assessment) การ ประเมินลักษณะนี้ ประเมินต่อเน่ืองกนั ไปตลอดเวลาการเรยี นรู้ ผู้สอนจบั ความคิด ความรทู้ ่ีมีอยเู่ ดมิ เขา้ ใจ ตาแหนง่ แหง่ ท่คี วามคิด ความรู้ของผูเ้ รยี นวา่ อย่ตู รงตาแหนง่ ใดของ ระเบยี งพัฒนาการ เริม่ ต้นทคี่ วามคดิ ความรทู้ ีม่ ีมากอ่ นเรียนรศู้ าสตร์ใหม่ นาผเู้ รียนไปสคู่ วามคิด ความรู้ใหมๆ่ สถานการณ์ใหม่ของศาสตร์ใหม่ วิธกี ารประเมนิ ก้าวหนา้ ใหผ้ เู้ รียนทบทวนความคดิ ความรทู้ ีเ่ รียนมาและพฒั นาความคดิ ความร้ตู ่อไปตาม ศาสตรใ์ หมข่ องสาระวิชานน้ั (สลา สามิภกั ด.ิ์ 2563. หนา้ 29-33)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 187 บริบทและการเขา้ ถึงความรู้ คลังความรูข้ นาดใหญ่ของศาสตรห์ นงึ่ การนาความรมู้ าใชแ้ ก้โจทยป์ ัญหาไมไ่ ดน้ าความรูท้ ม่ี ที ้งั หมดมา ใช้ แต่มีลกั ษณะการเลอื กนาความรใู้ ดทม่ี อี ยมู่ าใช้แกป้ ญั หามากกว่า ใชค้ วามสามารถในการดงึ ความรูท้ ่ี เหมาะสมกับโจทยป์ ญั หาน้นั มาใช้ หมายความว่า ความร้มู เี งอื่ นไข มีบรบิ ทของการนาไปใช้นน่ั คอื ความรหู้ นง่ึ ๆ ใช้แก้ปัญหาได้เฉพาะปญั หาหนงึ่ การเรียนรู้วา่ ความรทู้ ก่ี าลงั เรียนสามารถใชไ้ ด้ เม่ือไร ที่ไหน อย่างไร ต่างหาก ที่จะช่วยผ้เู รียน เรียนรเู้ ก่ยี วกับเงอ่ื นไขของการประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ และเขา้ ถึงความรู้ได้ต่อไป(สลา สามภิ กั ด์ิ. 2563. หนา้ 52-54) 4. การออกแบบสิ่งแวดลอ้ มการเรยี นรู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ แปรผันไปตามจติ วิทยาพัฒนาการของผเู้ รยี น และความรทู้ ม่ี ีอยูเ่ ดมิ กอ่ น เข้ามาเรียน และความรูท้ มี่ ีอยเู่ ดมิ กอ่ นเรยี นยงั มบี ริบททางสงั คมวัฒนธรรม แนบติดผเู้ รยี นเขา้ มาด้วย ผสู้ อน จาตอ้ งศกึ ษาขอ้ มลู พ้ืนฐานเดมิ ของผู้เรียนกอ่ นได้แก่ ความรทู้ ่ีมีอยู่เดมิ และบรบิ ททางสงั คมวัฒนธรรมท่ตี ดิ ตวั ผู้เรยี น เพ่อื วางแผนการออกแบบส่งิ แวดลอ้ มการเรียนรใู้ หผ้ เู้ รียนสามารถถา่ ยโอนการเรียนรสู้ ูส่ ถานการณ์ใหม่ ได้ จากหลกั การพื้นฐานของทฤษฎกี ารเรียนรอู้ ธบิ ายวา่ เมอ่ื เป้าหมายการเรียนรู้แตกตา่ งกัน การออกแบบการ จดั การเรยี นรู้ก็แตกตา่ งกันตามเป้าหมายการเรียนรู้ของผ้เู รียน นัน่ หมายความวา่ การจะบรรลเุ ปา้ หมายนีไ้ ดน้ ั้น ใหค้ านึงถึง “การจัดจังหวะเวลาของการเรยี นรู้” การออกแบบสง่ิ แวดลอ้ มการเรียนรู้จงึ ให้ความสาคญั กบั การ จัดจงั หวะเวลาการเรียนรู้ 4 มมุ มองนีใ้ หส้ อดประสานกันไป ได้แก่ ใหผ้ ูเ้ รยี นเป็นศนู ย์กลางการเรยี นรู้ ความรู้ เปน็ เรอ่ื งสาคัญในมิตกิ ารถา่ ยโอนการเรียนรู้ การประเมนิ และสงั คมชุมชนท่ีผเู้ รียนอยู่ ทั้ง 4 มมุ มองน้ตี า่ ง สมั พนั ธ์กันและกัน เกี่ยวโยงกนั ไปตลอดกระบวนการเรยี นรู้ ณ ศตวรรษนี้ ผูเ้ รียนต้องเข้าใจ สถานภาพความรู้ ณ ปจั จบุ นั ของตนเอง สามารถตอ่ ยอดความรนู้ ้ี ปรบั ปรงุ และตัดสินใจเมอื่ เผชิญกบั ความไม่แนน่ อน ความรู้มี 2 ประเภท ไดแ้ ก่ บนั ทึกของความสาเรจ็ ทาง วัฒนธรรมทมี่ มี ากอ่ น ซึง่ ก็คอื ความรทู้ ี่มมี ากอ่ นหน้าน้ี และการเข้าร่วมกระบวนการผลติ ความร้ดู ว้ ยการลงมือ ทาเองดว้ ยแนวคิด เรยี นรจู้ ากการกระทา (learning by doing) สงั คมคาดหวงั ผจู้ บการศกึ ษาจะเปน็ ผูม้ ี คุณประโยชนต์ อ่ สงั คมทอ่ี ยตู่ ลอดชว่ งชีวิต สามารถมองเห็นปญั หา และสามารถแกป้ ัญหาน้ันได้ ความคาดหวัง ของสงั คมจากผสู้ าเรจ็ การศึกษา สะท้อนมาทโี่ รงเรยี นให้ความสาคัญกบั การเรยี นรขู้ องผเู้ รียน การสอนของ ผูส้ อนวา่ สอนอะไร สอนอยา่ งไร ประเมนิ การเรียนรู้ของผเู้ รยี นอย่างไร การจดั จังหวะเวลาการเรียนรู้ 4 มุมมอง ต่างเป็นองคป์ ระกอบของระบบการศกึ ษาเดียวกนั สอด ประสาน เก่ยี วขอ้ งกนั และกันไปพร้อมๆ กนั ในเวลาเดยี วกนั ของกระบวนการจดั การเรยี นรู้ จากน้ไี ปจะเปน็ การ อธบิ ายการทางานของมมุ มองต่างๆ ท้งั 4 มุมมองแยกจากกนั ว่าแตล่ ะมมุ มองทางานยังไงในระบบการศกึ ษา และอธบิ ายภาพรวมความสมั พันธข์ องการทางานร่วมกนั ของทั้งหมด 4 มุมมองนี้ 4.1 สิง่ แวดล้อมการเรยี นรู:้ ผู้เรยี นเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ คาว่า “ผู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลาง” หมายถงึ การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรูใ้ ห้ผเู้ รียน ท่คี านึงถงึ ความรู้ ทกั ษะ คา่ นยิ ม ความเช่อื ทางประเพณี วฒั นธรรมในสงั คมชุมชน ทผี่ เู้ รยี นนาตดิ ตัวมาโรงเรียนด้วย เมอื่ ใหค้ วามสาคัญเกี่ยวกับสภาพแวดลอ้ มตัวผเู้ รียนทผี่ เู้ รยี นนาติดตวั มาเขา้ หอ้ งเรยี นด้วยนัน้ การจดั กระบวนการ เรียนรจู้ ึงมลี กั ษณะเดน่ แบบ “มีความไวเชิงวฒั นธรรม (culturally responsive)” “มีความเหมาะสมทาง วฒั นธรรม (culturally appropriate)” “เข้ากนั ได้เชิงวัฒนธรรม(culturally compatible)” และมี “นัย ทางวฒั นธรรม(culturally relevant)” การจัดกระบวนการเรียนรจู้ ึงมลี ักษณะของการพยายามค้นหาว่า
188 ผูเ้ รยี นคดิ ยงั ไงกบั ปญั หา ทกี่ าลงั ค้นหาคาตอบตามการเรยี นรู้แบบปญั หาเปน็ ฐาน เพ่ือคน้ หาความรู้ ทกั ษะ คา่ นิยม ความเชื่อทางประเพณี วฒั นธรรมในสงั คมชมุ ชน ทผ่ี เู้ รียนนาติดตวั มาในห้องเรียนด้วย ในการเรยี นรู้นม้ี ี การจัดสร้างสรรคส์ ถานการณ์ใหผ้ เู้ รยี นสามารถปรบั ความคดิ เดิมทีต่ ิดตัวมาในหอ้ งเรยี นได้ ผสู้ อนระวงั การ อธิบายถึงความเขา้ ใจผิดในการเรยี นรูข้ องผเู้ รียนดว้ ย การเรยี นรลู้ กั ษณะนเี้ น้นการต่อยอดความรูท้ างมโนทัศน์ และความรูท้ างวฒั นธรรมทผ่ี เู้ รยี นนาติดตัวมาห้องเรยี น กลยุทธสาคญั ทผี่ ู้สอนใช้ในการจดั กระบวนการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ การกระตนุ้ ใหเ้ ด็กอธบิ ายการคาดการณ์ เก่ียวกับสถานการณ์ต่างๆ ของปัญหา และใหเ้ ดก็ อธบิ ายว่าทาไมจงึ คาดการณเ์ ช่นนั้น เพราะอะไรจงึ คิด เช่นนัน้ เพอ่ื พฒั นาโครงสร้างความรู้ การมอบหมายงาน ภาระงาน โครงงานจึงควรเลือก งาน ท่แี ฝงความเขา้ ใจผดิ ของ ผเู้ รยี น เพอ่ื แก้ไขความเขา้ ใจผดิ พน้ื ฐานทต่ี ดิ ตัวมากบั ผเู้ รียนให้ ถูกต้องก่อนตอ่ ยอดความรใู้ หมๆ่ เข้าไป ผสู้ อน ช่วยผู้เรยี นสอบทานความคิดพื้นฐานของตนเอง และช่วยเปลยี่ นความคิดของผเู้ รยี นใหม้ าอย่ใู นทิศทางที่ถูกตอ้ ง ของ ระเบยี งพฒั นาการความรู้ ตอ่ ไป การชกั ชวนผู้เรียนใหเ้ ข้ามมี สี ่วนร่วมในการขัดแยง้ การร้คู ดิ สารวจ มุมมองความขดั แยง้ ต่างๆ ในกระบวนการรู้คิด เพือ่ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ ถ่ายโอนการเรยี นรตู้ ่อไป การจัดกระบวน การเรยี นรมู้ ่งุ ความสนใจทค่ี วามเปลยี่ นแปลงของโครงสร้างความรู้ทีส่ ามารถควบคุมได้ สามารถถา่ ยโอน โครงสร้างความรจู้ ากบรบิ ทหน่งึ สบู่ ริบทอืน่ ตอ่ ไปได้ ผสู้ อนสังเกตการเรยี นร้ขู องผ้เู รียน ซกั ถาม สนทนา ชวน คุย และใครค่ รวญกจิ กรรมการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น นอกจากกระบวนการเรียนร้คู วามรูแ้ ล้ว วัฒนธรรมทีต่ ิดตัวผเู้ รียนมาในหอ้ งเรียรน เป็นอีกประเดน็ ทมี่ ี ผลต่อการเรยี นรู้ท้ังทางส่งเสรมิ สนบั สนุน และขดั ขวางการเรียนรู้ ผู้สอนให้ความสาคญั กบั วัฒนธรรมทต่ี ดิ ตวั ผูเ้ รยี นมาด้วย ศึกษาวัฒนธรรมท่ีตดิ ตวั ผเู้ รยี นนี้ นามาใชส้ ง่ เสรมิ การเรยี นรู้ ด้วยการใชเ้ ป็น ฐาน การทาความ เข้าใจต่อยอดความรไู้ ปจากความรเู้ ดมิ ด้วยความช่วยเหลือของวฒั นธรรมทต่ี ิดตัวผเู้ รยี น รวมทกั ษะ คา่ นยิ ม ความเชอื่ ทางประเพณี วัฒนธรรมในสังคมชมุ ชนเขา้ มาเป็นสว่ นหน่งึ ของการเรยี นรู้ การเคารพ ภาษา พน้ื ฐานของผเู้ รียนกม็ ีความสาคัญในการตอ่ ยอดความรบู้ นฐาน ภาษาพน้ื ฐานของ ทอ้ งถิน่ ของผเู้ รยี นดว้ ยการเชอ่ื มต่อการพดู จากภาษาพนื้ ฐานของทอ้ งถิน่ ในชีวิตประจาวันของผู้เรยี น ให้ สอดคล้องไปกบั การพูดดว้ ยภาษาของวิชานน้ั ๆ เชน่ ภาษาของวชิ าคณิตศาสตร์ ภาษาของวชิ าวิทยาศาสตร์ และภาษาของวชิ าอื่นๆในโรงเรียน เพ่อื ชว่ ยผเู้ รียนใหเ้ ขา้ ใจเน้อื หาวิชา ผสู้ อนใหค้ วามสาคญั กบั ความเคารพ ความเข้าใจประสบการณเ์ ดมิ และความเข้าใจเดิมทีต่ ดิ ตวั ผเู้ รียน เขา้ มาในหอ้ งเรยี นดว้ ยน้ัน นามาใช้เป็นฐานการถา่ ยโอนการเรียนรู้ นาทางผเู้ รยี นสพู่ รมแดนความรู้ใหม่ๆ ของ เนอื้ หาวิชาใหมๆ่ ทผ่ี เู้ รยี น ไมค่ นุ้ เคย ผสู้ อนทาหน้าทเ่ี ชือ่ มโยงเน้อื หาวิชาของความรใู้ หม่ในโรงเรียนใหเ้ ขา้ กบั สงิ่ ทผ่ี ู้เรียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเดมิ และใหผ้ เู้ รียนสามารถถา่ ยโอนการเรยี นร้ตู ่อได้ ผู้สอนพยายามเข้าใจส่งิ ทผี่ ู้ เรยี นรู้ และสามารถทาได้ในทกั ษะ ค่านยิ ม ความเชอ่ื ทางประเพณีท่ตี ิดตวั ผูเ้ รยี นมา และพยายามเขา้ ใจ ความชอบ ความสนใจ ความถนดั ของผูเ้ รยี นด้วย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 4.2 ส่ิงแวดลอ้ มการเรยี นร:ู้ ใหค้ วามสาคญั กับความรู้ ความรูท้ ี่มกี ารจดั ระบบอยา่ งเป็นระเบียบ ช่วยในการทาความเขา้ ใจ ข้อมูลใหม่ ภายใตก้ รอบ แนวคดิ หลักของมโนทศั น์หนงึ่ การใหค้ วามสาคญั กบั ความรูต้ ้องการให้ความสาคญั กบั การเรยี นรู้ “การรคู้ ดิ ” การทาความเขา้ ใจ และสามารถถ่ายโอนการเรยี นรสู้ สู่ ถานการณ์ใหมไ่ ด้ กระบวนการเรยี นร้คู วามรูเ้ รมิ่ จาก ขอ้ มูลของเนื้อหาวชิ านน้ั ๆ และการออกแบบการเรยี นรใู้ หผ้ เู้ รยี นทาความเข้าใจในข้อมลู ของเน้ือหาวิชานัน้ ๆ การทากจิ กรรมการเรียนรู้ เช่น การทากจิ กรรมของการเรยี นรแู้ บบปัญหาเปน็ ฐาน หรอื แบบกรณีศกึ ษา ท่ีสาคญั คอื ให้ผู้เรยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ัติจริงตามสถานการณท์ ่ีผสู้ อนจดั ให้ความสาคญั กบั การลงมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ ตาม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 189 สถานการณด์ ว้ ยหลกั “ การทางานอย่างเป็นวทิ ยาศาสตร”์ มกี ารสารวจ ตรวจสอบ ทดสอบมโนทัศนห์ รือ ทฤษฎี การใหค้ วามสาคญั กับความรู้ ยังตอ้ งออกแบบการเรียนรูใ้ ห้ผเู้ รียนสามารถตดิ ตามการรคู้ ดิ ของตนเอง ผูเ้ รยี นสามารถเขา้ ใจข้อมลู ใหม่ของเนอื้ หาวชิ าใหม่ และตง้ั คาถามเมือ่ ไมเ่ ข้าใจข้อมลู ใหมไ่ ด้แบบ “กระจ่าง ค่านิยม (Clarify the values)” ดว้ ยตนเองได้ ผู้สอนกระตุน้ การรู้คิด แนวทางการพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ การคดิ ท่นี ่าสนใจ ไดแ้ ก่ “การสร้างรปู แบบความคิดก้าวหนา้ อยา่ งค่อยเปน็ ค่อยไป (progressive formalization)” ต้ังต้นทค่ี วามรทู้ ม่ี ีอยเู่ ดมิ ของผ้เู รยี น คอ่ ยๆ ชว่ ยให้ผเู้ รยี นมีความเขา้ ใจได้ว่าความรูท้ ี่มอี ยเู่ ดมิ สามารถปรบั เปลย่ี น ปรับปรงุ รปู ร่างทางความคิดต่อไปได้ และอย่างไร ต่อยอดความรทู้ ีม่ ีอยเู่ ดมิ ของผเู้ รียน แบบค่อยเปน็ ค่อยไป ก้าวหน้าไปตลอดทีละเลก็ ละน้อย ตามโครงสรา้ งของเนือ้ หาวิชาใหมๆ่ เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนได้ มโนทัศน์ และกระบวนการของเน้ือหาวชิ านัน้ การดาเนนิ กจิ กรรมการเรยี นรูเ้ ปน็ ไปตามลาดบั ขัน้ ตอน และไป ในทิศทางเดยี วกันตลอดกระบวนการเรยี นรู้ กระบวนการจะราบร่นื สะดดุ ขลกุ ขลกั บ้างก็ดาเนินไปตาม กระบวนการตอ่ เนอื่ ง ตลอดไปแบบก้าวหนา้ ข้นึ ไปเรือ่ ยๆ ตามโครงสรา้ งความรขู้ องวิชานั้น เม่อื ความรู้ เป็นมมุ มองสาคญั หน่ึงในสง่ิ แวดลอ้ มการเรยี นร้แู ลว้ การทาความเข้าใจความรู้ใหม่ๆของ ผูเ้ รยี น วางบนฐานของความรู้ทมี่ ีอยูเ่ ดมิ ต่อยอดความรู้ท่ีมอี ยู่เดมิ นี้ตอ่ ไปตามโครงสรา้ งของข้อมูลในเนอื้ หาวชิ า ผสู้ อนใหค้ วามสาคัญ ศึกษาความร้ทู ีม่ อี ยูเ่ ดิมของผู้เรยี นกอ่ นแล้วจึงพาผเู้ รียนเขา้ สกู่ ระบวนการเรียนรรู้ ปู แบบ ความคดิ ก้าวหน้าอย่างคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป เพอื่ ช่วยผเู้ รียนสรา้ งความรขู้ องตนเองตอ่ ไปไดบ้ นฐานความรทู้ ม่ี ีอยู่เดมิ การสรา้ งความรู้ใหมข่ องผเู้ รยี นอยู่ในลักษณะใด เพอื่ ใหส้ ามารถคาดการณ์ความเขา้ ใจใหม่ของผเู้ รยี นได้ดว้ ย การสอน ความคดิ จะได้ผลดีทสี่ ุดถ้าสอนในจงั หวะเวลาทผ่ี เู้ รียนไดใ้ ช้ ความคิด น้นั ๆในระหวา่ งการ ดาเนนิ กจิ กรรมการเรียนรู้ตามโจทยป์ ญั หาท่นี ามาใช้ในกระบวนการเรียนรู้ ผสู้ อนสรา้ งสถานการณใ์ หม้ ี เหตุ ให้ ต้องใชค้ วามรู้ ผเู้ รยี นจะพบวา่ ความร้เู กยี่ วขอ้ งกบั การแก้โจทยป์ ัญหา มองเหน็ ประโยชนข์ องความรู้ แล้วจะ เขา้ ใจความรทู้ กี่ าลงั เรยี นรู้ การจัดลาดบั กจิ กรรมการเรียนร้มู เี ป้าหมายต่างกัน ตามระยะทางของความรู้ของ วิชาใดวิชาหนึ่ง เชื่อมโยง เกีย่ วขอ้ ง หรอื สัมพันธ์กบั วชิ าอ่นื ดว้ ย ความสัมพันธ์ระหวา่ งวิชาเหลา่ น้ีมีความ เกีย่ วพนั กนั มากหรือนอ้ ยแตกตา่ งกนั ไป ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งวิชาเรยี กวา่ “บูรณาการ” ผสู้ อนเขา้ ใจการบูรณา การ และอธบิ ายการบรู ณาการระหวา่ งวชิ าอย่างเป็นองคร์ วม คลี่คลายให้ผเู้ รยี นเหน็ ถงึ การบรู ณาการระหว่าง วชิ าให้ผ้เู รียนเข้าใจองคร์ วมทง้ั หมด ผ้เู รยี นจะเขา้ ใจได้ว่า วิชา ทเี่ รียนน้ีเป็นส่วนหนงึ่ ขององค์รวมทง้ั หมด เป็น เพยี งองคป์ ระกอบหนง่ึ ของโครงสรา้ งทั้งหมด ผเู้ รยี นสามารถเข้าใจได้ว่า ตวั เอง เปน็ ส่วนหนง่ึ ของโครงสรา้ ง สงั คม ตาแหนง่ แหง่ ท่ีทางสงั คมของตวั ผเู้ รยี นอยู่ ที่ ส่วนใดของโครงสรา้ งสงั คม ผเู้ รยี นสามารถเขา้ ใจความหมาย ของคาว่า บูรณาการ และองคร์ วมได้ อปุ มาการอธบิ ายองคร์ วมของการบรู ณาการเปรียบได้กบั “เรียนร้ภู ูมิ ทัศน์” ผเู้ รียนสามารถเขา้ ใจการเรียนรทู้ จ่ี ะมีชวี ติ อยู่ในสงิ่ แวดลอ้ มหน่ึงของตนเอง เรียนรู้ว่า ตาแหน่งแหง่ ทีท่ าง สงั คมของตนเองอยู่ ณ ทใี่ ดในโครงสร้างสงั คมน้ี ผูเ้ รยี นได้เรียนรู้การเดนิ ทางไปตามท่ีต่างๆ เรยี นรวู้ ่าสงั คมน้ีมี ทรพั ยากรธรรมชาตอิ ะไรบ้าง จะนาทรพั ยากรธรรมชาติมาใชท้ าอะไรไดบ้ า้ ง ทาอยา่ งไร ทาให้ใคร และทาเพ่ือ อะไร ผเู้ รยี นไดเ้ รยี นรกู้ ารเดนิ ทางจากตาแหนง่ แหง่ ทางสงั คมของตนเอง เดินทางไปไหน อยา่ งไร การเดินทาง จากบา้ นไปโรงเรยี น การเดนิ ทางจากบ้านไปทางาน การเดนิ ทางไปหาเพื่อน และอนื่ ๆ การเรียนร้ภู ูมิทัศนข์ องวิชาก็เชน่ กัน ใชห้ ลักการอธิบายเดยี วกันว่า ผเู้ รยี นได้เรียนรูว้ ่า วชิ า ที่กาลัง เรยี นน้ี สามารถบรู ณาการกบั วิชาอะไรได้บ้าง วิชาทกี่ าลังเรยี นน้ีเป็นสว่ นหน่ึงของโครงสร้างหลกั สตู ร เรยี นวิชา นี้ไดค้ วามรู้อะไร ความรนู้ ้ีบรู ณาการกบั ความรจู้ ากวชิ าอ่นื ได้อย่างไร ผลลพั ธ(์ outcome)จากการเรยี นร้ทู งั้ หมด ผู้เรยี นได้ความร้อู ะไรจากหลักสตู ร
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 190 4.3 สิง่ แวดล้อมการเรยี นร้:ู เนน้ การประเมนิ เป็นสาคัญ การจัดส่งิ แวดลอ้ มการเรยี นรทู้ ่ีใหผ้ เู้ รยี นเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ให้ความสาคัญกบั ความรู้ การประเมินการเรียนรู้มหี ลกั การสาคญั ไดแ้ ก่ การให้ข้อมูลตอบกลบั และโอกาสแก้ไขความเข้าใจ เบย่ี งเบน คลาดเคลือ่ นไปจากเปา้ หมายการเรียนร้ขู องผเู้ รยี นแตล่ ะคน การประเมินใช้ 2 วิธีนี้ คอื การประเมนิ ความก้าวหน้า(formative assessment) ใช้วิธนี ีใ้ นบรบิ ทการเรยี นการสอน เพอ่ื พัฒนากระบวนการเรียนร้ขู อง ผู้เรียนด้วยการใหข้ อ้ มูลตอบกลับ และการประเมินผลลพั ธ์(summative assessment) เพอ่ื วัดผลลพั ธ์การ เรียนรู้ว่าผ้เู รียน รู้ อะไร เมื่อกจิ กรรมการเรยี นรู้ดาเนนิ การมาจนเสรจ็ ส้ิน การประเมินความก้าวหน้า ผสู้ อนออกแบบกิจกรรมการเรียนรใู้ หผ้ ูเ้ รียนไดแ้ สดงการรคู้ ดิ ออกมาเป็นรปู ธรรมใหผ้ สู้ อนประเมนิ ความก้าวหนา้ ได้ ดว้ ยการใหข้ ้อมูลตอบกลับ มงุ่ เนน้ ทค่ี วามเขา้ ใจ การให้ ขอ้ มลู ตอบกลบั ตอ้ งใหต้ ่อเนอ่ื ง ตลอดกระบวนการเรียนรู้ ความเขา้ ใจทีต่ อ้ งการประเมินคอื ความสามารถในการ เชอื่ มโยงกิจกรรมการเรยี นรใู้ นเวลาปจั จบุ นั กับส่วนอนื่ ๆ ของหลักสตู ร ตงั้ แต่เน้ือหาสาระต่อไปในวิชาเดยี วกนั ขยายการเชอื่ มโยงไปทร่ี ะดับตา่ งๆ ในหลกั สตู รเดยี วกนั เช่อื มโยงมาท่ีเนื้อหาสาระของวิชาอนื่ ๆในหลกั สตู ร และ ขยายการเชือ่ มโยงตอ่ ไปในระดบั กว้าง ลึกซ้งึ ซบั ซอ้ นมากขน้ึ ท้ังแนวราบ และแนวด่งิ วธิ ีการใหข้ ้อมลู ตอบกลบั จากผสู้ อนสู่ผเู้ รียนมีหลากหลายรปู แบบทงั้ แบบทางการ และไม่เปน็ ทางการ แต่ท่ีสาคัญกว่าน้นั คอื ผสู้ อนต้อง ให้ข้อมลู ตอบกลับผเู้ รยี นต่อเนือ่ งตลอดกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาการขัน้ ตอ่ ไปก็คอื การออกแบบการประเมนิ ใหผ้ เู้ รยี นเรียนรทู้ ี่จะประเมินงานของตนเองได้ และประเมนิ งานของเพ่อื นร่วมช้ันเรียนไดต้ ามแนวคดิ การ ตดิ ตามการรูค้ ดิ ขอ้ มลู ตอบกลบั จะมปี ระโยชน์ตอ่ ผูเ้ รยี น เม่ือผ้เู รียนไดใ้ ช้ข้อมูลตอบกลบั มาปรบั เปล่ียน ความคดิ ในระหวา่ งการทากิจกรรมกระบวนการเรยี นรู้ของโครงงาน การประเมินความก้าวหนา้ สมา่ เสมอ ตอ่ เนอ่ื งตลอดไปในการทากจิ กรรมกระบวนการเรยี นร้ขู องโครงงาน ใหโ้ อกาสผเู้ รยี นได้เรียนร้คู ุณค่าของการ ได้โอกาสแกไ้ ข ปรบั ปรุง รปู แบบการประเมินความเขา้ ใจ ดว้ ยการมอบโจทยป์ ญั หาต่างกันใหผ้ เู้ รยี น และใหผ้ ู้เรยี นอธิบายวา่ เหตุใดจงึ คดิ แกโ้ จทยป์ ญั หานีด้ ว้ ยวธิ กี ารทผี่ เู้ รียนใช้ 4.4 สิ่งแวดลอ้ มการเรียนร:ู้ ใหค้ วามสาคญั กับชมุ ชน การใหค้ วามสาคญั กบั ชุมชน คาว่า “ชุมชน” มคี วามหมายกวา้ งในหลากหลายแง่มมุ หมายรวมถงึ ห้องเรียนในฐานะเป็นชุมชนหนงึ่ โรงเรยี นในฐานะเปน็ ชมุ ชนหน่ึง และความร้สู กึ เชื่อมโยงของผู้เรยี น ผสู้ อน ผบู้ รหิ ารในโรงเรยี นไปท่ชี ุมชนท่ใี หญ่กว่าบ้าน โรงเรียน ชมุ ชนที่อาศัย รฐั ประเทศ และกระทงั่ โลก สภาพแวดล้อมของชมุ ชนหน่งึ สง่ ผลตอ่ การเรียนรู้ นั่นคือบรรทดั ฐานทางสงั คมในการเรยี นรจู้ ากกันและกนั และ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกันในชมุ ชนนน้ั เช่น หอ้ งเรยี นเปน็ ชมุ ชนหนึง่ ความสัมพันธ์ระหวา่ งกนั ของผเู้ รียน บรรทดั ฐานทางสงั คมในการเรียนรจู้ ากกนั และกันในความสัมพนั ธ์ระหว่างกันของผเู้ รียน สง่ ผลต่อการเรยี นรู้ของ ผู้เรยี น ในห้องเรียนและโรงเรียนหนึง่ ๆ นอกจากนกี้ ารตงั้ ความคาดหวงั แตกต่างกันไปตามความตอ้ งการของ ผู้เรยี น ความรทู้ มี่ อี ยเู่ ดมิ ของผเู้ รยี น วัฒนธรรมเดิมทตี่ ิดตวั ผู้เรยี นมาในหอ้ งเรยี น และโรงเรยี น เหล่านมี้ ีผลตอ่ การเรยี นรู้ของผเู้ รยี นเชน่ กนั ชุมชนหอ้ งเรียน ชุมชนโรงเรยี น การเรยี นรู้ในห้องเรียนและในโรงเรียน จะไดผ้ ลดมี ากถา้ บรรทัดฐานทางสังคมสง่ เสริมการใหค้ ณุ ค่า ให้ ความสาคญั กับการทาความเข้าใจมากกว่าทอ่ งจา และยอมให้มเี สรภี าพในการทาผิดพลาดบา้ งเพือ่ การเรียนรู้ ห้องเรียนและโรงเรยี นตา่ งมชี ดุ ของบรรทัดฐานทางสังคม และความคาดหวงั ท่ีแตกต่างกนั บรรทดั ฐานทาง
191 สงั คมและความคาดหวังเป็นเป้าหมายไดข้ องทกุ ระดับ ตง้ั แต่บรรทัดฐานทางสงั คมและความคาดหวังระดบั รายวิชา บรรทดั ฐานทางสงั คมและความคาดหวงั ระดับผสู้ อน บรรทดั ฐานทางสังคมและความคาดหวงั ระดับ โรงเรียน บรรทดั ฐานทางสงั คมและความคาดหวังท่ตี ่างกนั ส่งผลตอ่ การจัดกระบวนการเรยี นรู้ และเก่ียวพนั ไป ถึงการประเมินด้วย ชุมชนโรงเรยี น มคี วามสาคญั เชน่ กันเมอ่ื มีนโยบายให้ดาเนนิ การบรหิ ารจดั การ การจดั กระบวนการ เรยี นรู้ การดาเนินงานอ่ืนๆของโรงเรียนตามทิศทางของโรงเรียนอ่นื ทป่ี ระสบความสาเรจ็ หรอื ตามทศิ ทางของ ประเทศอนื่ ทปี่ ระสบความสาเรจ็ อาจกลา่ วไดว้ า่ ระดับชุมชนโรงเรียนรบั มอบนโยบาย และทิศทางการบรหิ าร มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงจัดการจากโรงเรยี นตน้ แบบ หรือประเทศตน้ แบบ เปน็ ตน้ การนาแนวคดิ การบรหิ ารโรงเรียนจากชมุ ชนสังคมที่ มวี ฒั นธรรมหนงึ่ ไปใช้กบั โรงเรยี นทีม่ ีสงั คมวัฒนธรรมแตกต่างออกไปจากโรงเรยี นตน้ แบบน้ัน มปี ระเด็นตอ้ ง พจิ ารณา ยกตัวอย่าง การนาแนวคิดของโรงเรียนทมี่ วี ฒั นธรรมการเคารพ นบั ถือ ใหค้ วามสาคัญกับการเรยี น เพ่อื รู้ ไมใ่ ช่การเรียนเพื่อคะแนน มาใชใ้ นโรงเรียนที่เรียนแบบทอ่ งจา ใหค้ วามสาคัญกับผลลพั ธ์การเรยี นรู้ มากกวา่ กระบวนการเรียนรู้ เปน็ ต้น ความสัมพนั ธ์กับชมุ ชนทข่ี ยายออกไปจากขอบเขตโรงเรียนและสังคมชมุ ชนท่ีต้งั อยู่ การเรยี นร้ภู ายในโรงเรียนสามารถเชื่อมโยงกบั การเรยี นรู้ภายนอกโรงเรียนได้ และการเรียนรู้ ภายนอกโรงเรียนก็สามารถเชือ่ มโยงกบั การเรยี นรู้ภายในโรงเรยี นไดเ้ ชน่ กัน ความสญู เปลา่ ใหญห่ ลวงในวง การศึกษาก็คือผเู้ รยี นไมส่ ามารถประยกุ ตใ์ ชค้ วามรจู้ ากโรงเรยี นมาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ และผ้เู รยี นไมส่ ามารถ นาความรู้ และสบการณจ์ ากภายนอกโรงเรยี นมาใชใ้ นโรงเรยี นได้เลย เพราะโรงเรยี นแยกตัวออกจากชีวติ ของ ผู้เรียน นน่ั หมายความว่าการศกึ ษากับวิถีชีวติ ของผเู้ รยี นแยกตัวออกจากกนั ทง้ั ๆ ที่การศกึ ษาในโรงเรียนเป็น เพยี งส่วนหน่ึงของชวี ิต สถาบนั ครอบครัว เป็นสภาพแวดลอ้ มการเรียนรู้แรกสดุ และสาคัญทสี่ ดุ สาหรับผูเ้ รยี นทกุ คน ครอบครวั เปน็ แหล่งการเรยี นร้แู รกสดุ ของผู้เรยี นแม้แตใ่ นเวลาทผ่ี เู้ รยี นไม่ไดเ้ รยี นรู้อะไรเลยกต็ าม ครอบครวั ก็ ยงั ทาหนา้ ที่ แหลง่ การเรยี นรู้ ทีส่ าคญั ทีส่ ุดของทกุ คน ครอบครัวเป็นผสู้ รา้ งกจิ กรรมใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ เปน็ สถานทเี่ ช่ือมโยงระหว่างผูเ้ รียนกบั ชมุ ชน เดก็ ทกุ คนเรียนรจู้ ากการเข้าร่วม และสังเกตคนท่ีเขามปี ฏิสัมพนั ธ์ ดว้ ยรอบตวั เดก็ การสนทนาและปฏสิ ัมพันธ์กบั ผใู้ หญท่ ไ่ี ว้ใจได้ การสนทนากบั เดก็ รุ่นเดียวกนั ทีเ่ กดิ ขน้ึ รอบตัว ครอบครวั เปน็ สภาะแวดลอ้ มทม่ี ีอทิ ธิพลตอ่ การเรยี นร้ขู องเดก็ มาก สถาบันทางสงั คมอน่ื ในสงั คม ทาหนา้ ทเี่ สรมิ การเรียนรใู้ หผ้ ู้เรยี นทุกคน เป้าหมายของสถาบันทาง สงั คมอนื่ ยงั เป็นเรื่องการเรียนรู้ เชน่ พพิ ิธภณั ฑ์ วดั การเข้าคา่ ยลกู เสือและเนตรนารี เปน็ ต้น (สลา สามภิ กั ด.ิ์ 2563. หน้า170-194) บทสรุป ประสบการณ์ทผ่ี า่ นมาของผเู้ รียนสง่ ผลตอ่ การเรียนรู้ผสู้ อนทาหน้าทเี่ ชื่อมโยงความร้จู ากประสบการณ์ เดมิ ของผู้เรียน ตอ่ ยอดความรู้ใหมล่ งไปในประสบการณ์เดมิ เชอื่ มความรจู้ ากประสบการณ์เดมิ กับความรใู้ หม่ ทส่ี อนไป ประสบการณ์เดิมมีทัง้ ประสบการณท์ ปี่ ระทบั ใจทางบวก และทางลบ ผสู้ อนศกึ ษาความรู้ คา่ นิยม ทัศนคติของผ้เู รยี นดว้ ยเพอ่ื การเชอ่ื มโยงความรู้ใหมเ่ ขา้ ไป การจดั ส่งิ แวดลอ้ มการเรียนรู้ หรอื บรรยากาศการ เรยี นรแู้ บบต่างๆ เช่น ผอ่ นคลาย มกี จิ กรรมให้ทาลกั ษณะเรยี นรจู้ ากการเลน่ เพ่ือผอ่ นคลายผเู้ รยี นก่อน ชว่ ยให้ การเรยี นรบู้ รรลผุ ลตามเป้าหมายได้
192 อา้ งองิ ประสบการณ์: ความหมาย.https://www.wikipedia.org สืบคน้ เม่อื 6 เมษายน 2564 ประเภทของประสบการณ์.https://www.baanjomyut.com สืบค้นเมื่อ 6 เมษายน 25g-hk.0Tii,=k9b-v64 พิพฒั น์ สุยะ.2554. “เหตผุ ลนยิ ม – ประสบการณน์ ยิ ม(Rationalism – Empiricism)”. สารานกุ รมปรชั ญา ออนไลน์ฉบับสงั เขป สานักงานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) สนบั สนุนโครงการ http://www.parst.or.th สบื คน้ เมื่อ 6 เมษายน 2564 เวลา 23.21น. สลา สามิภกั ด.์ิ 2563.มนุษย์เรยี นรู้อย่างไร: สมอง จิต ประสบการณ์ โรงเรยี น: ฉบับขยายเน้ือหา.(แปล) สาย พณิ ศุพทุ ธมงคล(บรรณาธิการบทแปล). กรุงเทพมหานคร: โครงการจดั พมิ พ์คบไฟ กิจกรรมท้ายบท 1. สัมมนาความสาคญั ของประสบการณ์เดมิ ทมี่ ีต่อการเรียนรู้ 2. สะทอ้ นคิดศักยภาพในการเรยี นรู้ของตนเอง 3. อธิบายการเช่อื มโยงประสบการณ์เดมิ ของตนเองกบั การเรียนรู้วิชาน้ี 4. การออกแบบสง่ิ แวดลอ้ มการเรียนรู้ของตนเอง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
193 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 9 หัวขอ้ เนื้อหา 1. บทนำ 2. แนวคดิ CCR นำสฐู่ ำนสมรรถนะกำรเรยี นรู้ 3. กำรจดั กระบวนกำรเรยี นรู้ตำมแนวคดิ จิตตปัญญำศกึ ษำ(C: Contemplative Education) 4. กำรจดั กระบวนกำรเรยี นรู้ตำมแนวคิดกำรโค้ช (C:Coach) 5. กำรจัดกระบวนกำรเรยี นร้ตู ำมกำรวจิ ัยเป็นฐำน (R: Research Based Learning) 6. งำนวิจยั กำรจดั กำรเรียนรตู้ ำมแนวคิด CCR-CBE 7. บทสรุป มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วตั ถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. สำมำรถอธิบำยควำมสำคญั ของแนวคิด CCR นำส่ฐู ำนสมรรถนะกำรเรียนรู้ 2. สำมำรถวิเครำะห์กำรนำแนวคดิ CCR นำสู่ฐำนสมรรถนะกำรเรยี นรู้ไปใช้ไดถ้ ูกตอ้ ง เหมำะสมกับผู้เรยี น 3. สำมำรถสงั เครำะห์แนวคิด CCR นำสฐู่ ำนสมรรถนะกำรเรยี นรู้ไปใชไ้ ดก้ ับทกุ กลุ่มสำระ ไดแ้ ก่ ศำสนำ หนำ้ ที่ พลเมอื ง เศรษฐศำสตร์ ประวตั ศิ ำสตร์ ภูมิศำสตร์ 4. สำมำรถออกแบบกำรเรียนรู้ดว้ ยแนวคิด CCR นำส่ฐู ำนสมรรถนะกำรเรยี นรู้ได้ วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. วธิ สี อน 1.1 วิธีสอนแบบใชค้ รพู ี่เลยี้ ง (Tutorial Method) 1.2 วิธีสอนแบบอปุ นยั (Inductive Method) 1.3 วิธีสอนแบบศกึ ษำดว้ ยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธสี อนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธสี อนแบบแบง่ กลุม่ ระดมพลงั สมอง 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศกึ ษำดวู ดี ทิ ัศน์กำรสอนกลมุ่ สำระทุกกลมุ่ ของช้ันประถมศึกษำปที ่ี 1-6 อำจำรย์กระตุ้นให้ สงั เกตและตอบคำถำมเกีย่ วกบั ประสบกำรณ์เดมิ ตำ่ ง ๆ ของผู้เรียน ตัง้ คำถำมให้นักศึกษำชว่ ยกนั คดิ หำคำตอบ ว่ำประสบกำรณ์เดิม กอ่ เกิดปญั หำอะไรในกำรเรยี น 2.2 นกั ศกึ ษำคน้ หำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพ่อื คน้ หำแนวคดิ CCR นำสฐู่ ำนสมรรถนะ กำรเรียนรู้ นำไปใช้ในกำรเรียนรอู้ ยำ่ งไร 2.3 อำจำรยช์ ักชวนค้นหำเหตผุ ล อธบิ ำยประเด็นสำคญั แนวคิด CCR นำสู่ฐำนสมรรถนะกำร เรียนรู้ สง่ ผลตอ่ กำรเรียนรู้ตอ่ ผู้เรยี นอยำ่ งไร 2.4 นกั ศกึ ษำตง้ั กลุ่มย่อย อภปิ รำยประเด็นสแ่ นวคดิ CCR นำสฐู่ ำนสมรรถนะกำรเรียนรู้ งผลตอ่ กำรเรยี นรู้ต่อผเู้ รียนอย่ำงไร
194 2.5 อำจำรยจ์ ดั สมั นำให้นกั ศึกษำหำเหตผุ ลแนวคิด CCR นำสฐู่ ำนสมรรถนะกำรเรียนรู้ สง่ ผลตอ่ กำรเรียนรู้ของผเู้ รียนอย่ำงไร เพอ่ื นรว่ มชั้นแสดงควำมคิดเหน็ ต่อ อย่ำงมมี ำรยำทในกำรสมั นำ อำจำรย์ให้ ควำมเห็น อธบิ ำยให้นกั ศึกษำได้แลกเปลยี่ นเรยี นรรู้ ่วมกนั 2.6 นักศกึ ษำ ศกึ ษำควำมสำคญั ของแนวคิด CCR นำสฐู่ ำนสมรรถนะกำรเรียนรู้ ทมี่ ผี ลต่อกำร เรยี นรู้จำกเอกสำรประกอบกำรสอน 2.7 นกั ศกึ ษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และร่วมอภปิ รำยเพอ่ื สรปุ เนอ้ื หำท่ไี ดเ้ รยี นรู้ 2.8 อำจำรยม์ อบหมำยให้นกั ศกึ ษำสะท้อนคิดเป็นรำยบคุ คล ส่ือการเรียนการสอน 1. ไฟล์วดี ิทัศน์กำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กลุม่ ของช้ันประถมศกึ ษำปที ี่ 1-6 2. กระดำษฟลปิ ชำร์ทเขยี นแผนผงั แนวคดิ CCR นำส่ฐู ำนสมรรถนะกำรเรยี นรู้ทม่ี ผี ลตอ่ กำรเรียนรู้ 3. เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวิชำกำรสอนสงั คมศึกษำ 1 การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. วัดและประเมนิ ผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วัดและประเมินผลจำกกำรอภปิ รำย สมั มนำ 3. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรสะทอ้ นคิด 4. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรเขียนแผนกำรสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
195 บทท่ี 9 การจัดการเรยี นรูต้ ามแนวคดิ CCR-CBE 1. บทนา การพัฒนากระบวนการเรียนรแู้ บบบรู ณาการแนวคดิ จติ ตปญั ญาศกึ ษา การโคช้ และระบบพีเ่ ล้ียง และ การวจิ ัยเปน็ ฐาน(CCR) นาสู่ฐานสมรรถนะการเรียนรู้ อธบิ ายแนวคดิ CCR ในฐานะกระบวนการจัดการเรียนรู้ เริ่มท่ีภาพรวมของแนวคดิ CCR ต่อมาแยกการอธบิ ายกระบวนการเรียนรู้ตามแนวคดิ จิตตปญั ญาศึกษา มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง (Contemplative Education: CE) แนวคดิ การโคช้ (Coaching: C) และแนวคดิ การวิจยั เป็นฐาน(Research Base Learning: RBL) เพื่ออธบิ ายการทางานของแตล่ ะแนวคิดในฐานะกระบวนการเรยี นรู้ มหี วั ข้อต่าง ๆ ดงั น้ี แนวคิด CCR นาสฐู่ านสมรรถนะการเรยี นรู้ การจดั กระบวนการเรยี นรตู้ ามแนวคิดจติ ตปญั ญาศึกษา (C:Contemplative Education) การจัดกระบวนการเรยี นร้ตู ามแนวคดิ การโคช้ (C:Coach) และการจดั กระบวนการเรยี นรู้ตามการวจิ ยั เป็นฐาน (R: Research Based Learning) 2. แนวคิด CCR นาส่ฐู านสมรรถนะการเรียนรู้ แนวคิด CCR ในฐานะการจดั กระบวนการเรียนรู้ มลี ักษณะบรู ณาการกระบวนการเรยี นรแู้ บบทา หนา้ ท่ีไปพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกนั กล่าวคอื ดาเนินการกระบวนการจัดการเรยี นรู้ตามแนวคิด CCR ไป ดว้ ยกนั แตล่ ะแนวคิดในแนวคิด CCR ทาหน้าทีต่ ามบทบาทของสถานภาพภายในกระบวนการเรียนรู้ เร่มิ จาก เป้าหมายท่ีต้องการใหผ้ เู้ รยี นอยกู่ ับห้องเรยี น พรอ้ มสติของผ้เู รียนด้วยมิใชเ่ พยี งรา่ งกายทางชวี ภาพ การเรยี ก สติของผเู้ รียนเร่ิมจากการเลอื กใชก้ ิจกรรมของแนวคดิ จติ ตปญั ญาศกึ ษา บนฐานคตขิ องการนาทฤษฎจี ิตวิทยา พฒั นาการของผเู้ รยี นเปน็ ตัวกาหนดในการเลอื กใชก้ ิจกรรมของจิตตปญั ญาใหส้ อดคลอ้ งกบั จติ วทิ ยาพฒั นาการ ของผู้เรียน ภายใต้การกากับกระบวนการเรียกสติดว้ ยการโค้ช ต่อไปน้ีเรยี กว่าครโู ค้ช เมือ่ ตั้งเป้าหมายใหส้ ติ ของผ้เู รียนอยกู่ ับปจั จุบนั ณ เวลาปจั จบุ ัน ณ สถานทป่ี จั จบุ นั ครูโค้ชประเมินแล้วว่า ผเู้ รยี นมสี ติแลว้ ใน เบื้องตน้ จดั ไดว้ ่าเกิดการเรยี นรภู้ ายในตัวผู้เรยี นเองแล้ว ตามแนวคดิ ของจติ ตปญั ญาศึกษาวา่ ดว้ ยการเรียนรู้ ดว้ ยใจอยา่ งใครค่ รวญ นัน่ คอื ผู้เรยี น เกิดการเรียนรูภ้ ายในของตนเอง ดึงสตขิ องตนเองมาอยู่กบั ตนเอง ณ เวลา น้ี ณ หอ้ งเรยี นน้ี ภายใต้การนาทางสู่สตขิ องครูโคช้ เมือ่ ครโู คช้ นาผเู้ รียนเขา้ ส่ภู าวะสติภายในตัวผเู้ รียนได้ ครโู คช้ เชื่อมโยงสตขิ องผเู้ รียนจากภายในตวั ผู้เรียนส่กู ารเรียนร้ภู ายนอกตัวผเู้ รียนดว้ ยการจัดกระบวนกาเรยี นรู้ตามแนวคิด RBL น่ันคอื การจดั กระบวนการเรียนรู้ จากเหตุการณ์จริงในชวี ติ จรงิ รอบตัวผเู้ รียน ใหผ้ เู้ รียนคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ เชื่อมโยง อยา่ งมีเหต-ุ ผล (cause-effect) ได้ อย่างสมเหตุสมผล(reasonable) ตามหลกั การคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ (scientific thinking) ของกระบวนการวจิ ัย เปา้ หมายคือใหผ้ ู้เรียนมีวิธคี ดิ แบบกระบวนการวจิ ยั วิธคี ิดแบบกระบวนการวิจยั สามารถตอบโจทยต์ ามเปา้ หมายของการจัดการเรียนรเู้ พอ่ื สร้างทกั ษะท่ี จาเปน็ ตอ่ การดารงชวี ิตในศตวรรษท่ี 21 และนคี่ ือสมรรถนะที่ต้องการใหเ้ กดิ ในตัวผู้เรียน นอกจากนยี้ ัง ตอ้ งการให้เกิดสมรรถนะครโู คช้ ไดแ้ ก่ สามารถอานวยความสะดวกในการเรยี นรู้ แนะนา เสนอแนะ แนว ทางการนาสสู่ มรรถนะการเรยี นรู้ สวมบทบาทผู้อานวยการ ทาหนา้ ทส่ี นบั สนุน สง่ เสรมิ ใหโ้ อกาสการปรบั ตวั จนกว่าจะเกดิ การเปล่ียนผ่านการเรียนร้ไู ด้เอง ไปเปน็ ผ้เู รยี นรู้ และสมรรถนะตามแนวคดิ จติ ตปญั ญาศกึ ษา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 196 ได้แก่ สามารถเข้าใจตนเอง และผ้อู นื่ ได้ มองเห็นความแตกต่างระหวา่ งมนษุ ย์ดว้ ยความเข้าใจในความเปน็ มา ของวถิ ีมนุษย์ เคารพ นับถือศักยภาพวา่ มนุษยส์ ามารถพฒั นาความคดิ ตอ่ ไปได้ เปดิ กว้างทางความคิดตอ่ สรรพ ความรู้รอบตวั ไมด่ ่วนสรปุ ตดั สนิ และปราศจากการตัดสินเชงิ คณุ ค่า(Valued -Judge) การตงั้ เปา้ หมายนี้เปน็ หลักไว้ภายใตก้ ารจดั กระบวนการเรยี นรู้ดว้ ยแนวคิด CCR เรยี กว่าการจดั กระบวนการเรียนรู้โดยใชเ้ ป้าหมาย เปน็ หลกั หรือการเรียนรู้แบบยอ้ นกลบั (backward design) งานวิจยั ที่เกย่ี วข้อง งานวิจัยเกีย่ วกบั การจัดกระบวนการเรยี นรูด้ ้วยแนวคดิ CCR รายงานผลการวิจัยออกมาใน ทิศทางเดียวกนั ว่าเกดิ การเปลย่ี นผา่ นในทางทดี่ ขี ึ้นในตัวผเู้ รยี น อยา่ งเชน่ งานวิจัยของนนั ทวนั พัวพนั (2560) เร่ืองผลการประเมนิ แผนการเรยี นรรู้ ายวิชาการจดั การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรท์ บี่ รู ณาการแนวคดิ จิตตปญั ญาศึกษา และการเรียนรโู้ ดยใช้การวจิ ยั เปน็ ฐาน รายงานผลการวิจยั วา่ ผเู้ รียนเกิดการเปลย่ี นผ่านไปเปน็ บคุ ลกิ ทด่ี ขี ึน้ เข้าใจตนเองและผู้อื่น คดิ อยา่ งมีเหตผุ ลและเปน็ ระบบมากขึน้ งานวจิ ัยของศกึ ษา เรอื งดา (2018) เรอ่ื งผลการ จัดการเรยี นรโู้ ดยบรู ณาการแนวคดิ จติ ตปญั ญาศกึ ษา การโค้ชและระบบพเี่ ลย้ี ง และการวจิ ัย เป็นฐานท่มี ตี อ่ การปรบั เปลีย่ นพฤติกรรมการสอนของนกั ศึกษา มีดังน้ี ทัศนคติทมี่ ตี ่อผเู้ รยี น นกั ศกึ ษามีทัศนคตทิ ี่ดมี ากข้นึ และ มีมุมมองความคดิ ต่อนักเรยี นเปลี่ยนไป ทาให้นกั ศึกษามแี รงจูงใจและความตง้ั ใจทจี่ ะจดั การเรียนรใู้ ห้ดีมากข้ึน พร้อมเข้าใจผ้เู รยี นแต่ละคน ว่ามีความแตกตา่ งระหว่างบุคคล มีความเชือ่ มนั่ ในศกั ยภาพและคานึงถึงความเป็น มนุษย์ของผเู้ รียนวา่ เป็นผทู้ ี่สามารถพฒั นาได้ การจดั การเรยี นการสอน นกั ศกึ ษามีการจัดการเรียนรทู้ ี่เน้น ผ้เู รยี นเปน็ สาคัญ เปลยี่ นบทบาทตนเองจากผถู้ า่ ยทอดความรู้เปน็ ผจู้ ดั การเรียนรู้ เป็นโค้ช เป็นผอู้ านวยความ สะดวก เปน็ ผสู้ นบั สนุนการเรยี นรู้ มีทักษะและเทคนคิ การจดั การเรียนรูท้ ีด่ แี ละหลากหลายมากขึ้น มกี ารนา แนวคดิ จติ ตปัญญาศึกษา ใชจ้ ัดกจิ กรรมเพ่อื กระต้นุ การเรียนรู้ การเตรยี มผเู้ รียน พัฒนาทกั ษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณ และเสรมิ สรา้ งบคุ ลิกภาพของนกั เรยี น มีการนาแนวคิดการวจิ ยั เปน็ ฐาน โดยใชโ้ ครงงานฐานวจิ ยั เปน็ กระบวนการเรยี นรู้และ สร้างผลงานนกั เรียน ใชจ้ ดั กิจกรรมการเรียนรูด้ ว้ ยการลงมอื ปฏิบัตจิ รงิ จดั กระบวนการเรียนรูใ้ ห้นกั เรียน คน้ ควา้ ความร้แู ละสร้างองค์ความรดู้ ้วยตนเองอยา่ งมหี ลกั การ สามารถ พัฒนาการเรียนรขู้ องตนเองได้ สามารถแกป้ ญั หาได้ สามารถสรา้ งสรรค์ได้ มีการนาแนวคิดการโค้ชและระบบ พเ่ี ลี้ยง ดแู ลใหค้ าปรึกษานักเรยี น พัฒนาทกั ษะการเรยี นรแู้ ละการคดิ พฒั นาทกั ษะ/ความสามารถแตล่ ะด้าน ของนักเรียน การวัดการประเมนิ ผล นกั ศึกษามคี วามรู้ความเขา้ ใจการวัดและประเมินผลการเรียนรตู้ ามสภาพ จรงิ มากขึ้น มกี ารปรบั เปลย่ี นการวดั และประเมนิ ผลอยา่ งเปน็ ระบบ ต้ังแตก่ ารประเมินกอ่ นเรียน ระหวา่ งเรยี น และหลงั เรียน เพื่อตรวจสอบความก้าวหนา้ ในการเรียนร้ขู องผู้เรยี น มวี ธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล ทเ่ี ปดิ โอกาสให้ ผู้เรยี นมสี ่วนร่วมในการประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องตนเอง มีการประเมนิ ผลผลติ /ชิน้ งานของนักเรยี นโดยมีการ ระบเุ กณฑก์ ารประเมนิ ที่ชัดเจนมากข้ึน 3. การจดั กระบวนการเรยี นรู้ตามแนวคดิ จิตตปัญญาศกึ ษา(C: Contemplative Education) การนาแนวคดิ จติ ตปัญญาศึกษามาใชใ้ นงานวิจัยนี้ เร่ิมจากความหมายของคาวา่ จิตตปญั ญาศกึ ษา คอื อะไร และนามาใช้ในการจดั กระบวนการเรยี นรอู้ ยา่ งไรเพอ่ื ให้ผเู้ รียนบรรลสุ มรรถนะของหลกั สตู ร
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 197 ความหมายของแนวคิดจิตตปญั ญาศึกษา ศาสตราจารย์ประเวศ วะสี ไดใ้ ห้แนวคดิ เร่อื งจติ ตปญั ญาศกึ ษาว่า จติ ตปญั ญาศึกษาคือการศกึ ษาท่ที า ให้เข้าใจด้านในของตวั เอง ร้ตู ัว เข้าถงึ ความจรงิ ทาใหเ้ ปลีย่ นมมุ มองเกย่ี วกบั โลกและผู้อน่ื เกิดความเป็นอสิ ระ ความสุข ปญั ญา และความรกั อันไพศาลตอ่ เพอ่ื นมนษุ ย์และสรรพสงิ่ หรืออกี นัยหนงึ่ เกดิ ความเปน็ มนุษย์ท่ี สมบรู ณ์ โดยเนน้ การศกึ ษาจากการปฏิบตั ิ เชน่ จากการทางานศลิ ปะ โยคะความเปน็ ชมุ ชน การเปน็ อาสาสมัครเพ่อื สงั คม สุนทรยี สนทนา การเรียนรจู้ ากธรรมชาติ และจิตตภาวนา เปน็ ต้น (ประเวศ วะส.ี https://th.wikipedia.org/wiki สบี คน้ เมอ่ื 9 มนี าคม 2562) การศึกษาคอื การเรียนร้ตู ลอดชีวิต สานักงานราชบัณฑิตยสภา จงึ ได้นาวธิ กี ารเรียนรูแ้ บบหน่งึ ที่ คณะกรรมการจัดทาพจนานกุ รมศพั ท์ศกึ ษาศาสตร์ร่วมสมยั ไดอ้ ธิบายไว้มาเสนอ น่นั คอื จติ ตปัญญาศกึ ษา (Contemplative Education) จติ ตปญั ญาศกึ ษา (Contemplative Education) หมายถงึ หลักการและกระบวนการเรียนรู้ทมี่ ุ่งเนน้ ความเข้าใจความจรงิ ของชีวิตและความเปน็ มนษุ ย์ ปลกู ฝงั ความตระหนกั รภู้ ายในตนทส่ี ัมพันธก์ บั สงิ่ แวดลอ้ ม ภายนอก การนาปรัชญาและหลกั ธรรมมาพฒั นาจิตและฝึกปฏิบตั จิ นมสี ติและปัญญา มีความเมตตาและ จติ สานึกตอ่ สว่ นรวม สามารถเชือ่ มโยงศาสตรต์ ่าง ๆ มาประยกุ ต์ใหเ้ กดิ ประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวม จิตตปญั ญาศึกษาเป็นแนวทางหนงึ่ ของการพฒั นาจติ ใจ มีลกั ษณะบรู ณาการและเช่ือมโยงกบั ศาสตรท์ ี่ เป็นความรจู้ ากภายนอกตน ในการสรา้ งหลักสูตรจิตตปัญญาศึกษาควรมีการปรบั ใช้วิธีการต่าง ๆ ให้สอดคลอ้ ง กับบคุ คล สถาบนั กาลเวลา ภมู ิสงั คม บรบิ ททางศาสนา วฒั นธรรม และศาสตร์ของวิชาชพี จงึ จะเกิดผลสาเร็จ อยา่ งแท้จรงิ แนวคิดเร่ืองจิตตปัญญาศึกษานเี้ รมิ่ ตน้ ท่ีมหาวิทยาลยั นาโรปะ รัฐโคโลราโด สหรฐั อเมรกิ า ซงึ่ กอ่ ตงั้ โดย เชอเกียม ตรงุ ปะ รบิ โปเช พระตนั ตระวชั รยานจากทเิ บต ใน ค.ศ. ๑๙๗๔ และมกี ารขบั เคลอื่ นการปฏบิ ัติอย่าง แพรห่ ลาย จดั เปน็ หลักสตู รการศึกษาในมหาวิทยาลยั ตา่ ง ๆ ในสหรฐั อเมรกิ า สว่ นประเทศไทย แนวคดิ เรอ่ื งการ เรียนรภู้ ายในตน การสรา้ งจติ สานกึ ใหม่ และการพฒั นามนษุ ย์อย่างสมดลุ เปน็ องคร์ วมได้แพรห่ ลาย และเป็นท่ี สนใจในวงวิชาการ ทาให้มีการพฒั นาหลกั สูตรจติ ตปัญญาศกึ ษาข้นึ ท่มี หาวิทยาลัยมหิดลและจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ร่วมกบั สถาบันการศกึ ษาอืน่ อกี หลายแหง่ ตลอดจนการนามาปรบั ใชใ้ นการเรียนการสอนระดบั การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (สานักงานราชบัณฑิตยสภา.http://www.royin.go.th/knowledges สบื คน้ เมอื่ 2 เมษายน 2563 ) จติ ตปญั ญาศกึ ษาเปน็ แนวคดิ ทอ่ี งค์กรนกั วชิ าการด้านต่างๆ นาไปประยุกต์ใชห้ ลากหลายสาขาทาให้ เห็นขอบเขต หลกั การและแนวทางตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี ศนู ยจ์ ติ ตปัญญาศกึ ษา มหาวิทยาลัยมหิดล (2549) ให้ นิยามของคาว่าจติ ตปัญญาศกึ ษาวา่ หมายถงึ กระบวนการเรยี นดว้ ยใจอย่างใคร่ครวญ การศึกษาทเี่ นน้ การ พัฒนาด้านในอย่างแทจ้ รงิ เพอื่ ใหเ้ กิดความตะ หนักร้ขู องคณุ ค่าส่ิงต่างๆโดยปราศจากอคติเกิดความรัก ความ เมตตา อ่อนน้อมตอ่ ธรรมชาตมิ จี ิตสานึกตอ่ สว่ นรวม และสามารถเชอ่ื มโยงศาสตรต์ า่ งๆมาประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ได้ อย่างสมดลุ ย์ สมุ น อมรวิวฒั น์ (2548) ผู้แปลคาว่า “Contemplative Education” เปน็ ภาษาไทยวา่ “จิตต ปญั ญาศึกษา” ไดใ้ ห้นยิ ามคานี้ว่า เปน็ การเรียนรู้ดว้ ยใจอย่างใครค่ รวญ ทส่ี ะท้อนใหเ้ ห็นกระบวนการความเป็น พลวตั ไม่หยุดนิ่ง มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ จนิ ตนาการ นาไปสู่การต้งั คาถามอยา่ งถึงรากต่อการศกึ ษาในระบบ เนน้ การปลกู ฝงั ความตระหนักรู้ความเมตตา จติ สานกึ ตอ่ ส่วนรวม การนาปรชั ญาแนวพุทธมาพฒั นาจติ และฝกึ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 198 ปฏิบัตจิ นผ้เู รยี นเกดิ ปญั ญา สามารถเชื่อมโยงศาสตรต์ ่างๆมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ธรี ัญญ์ ไพโรจนอ์ งั สุธร (2559) ใหน้ ิยามว่าจติ ต ปญั ญาศึกษา (Contemplative Education) มมี ุมมอง ความเชอื่ พนื้ ฐาน (Worldview) ว่า “สรรพส่งิ ลว้ น เช่ือมโยงถงึ กันหมด มีความเป็นองคร์ วม (Holism, Co-creation) การรู้ทีแ่ ทม้ าจากภายในของ ตนเอง และทกุ ชวี ิตมีความกรุณาเป็นพนื้ ฐาน” มมุ มองความเชื่อพืน้ ฐานนนี้ าสหู่ นทางแหง่ จติ ภายใน (Inner Practice) สภาวะภายใน ความรู้สกึ นึกคิด แรงจงู ใจ ความตอ้ งการ การฝกึ ฝนเพือ่ การมสี ตติ ระหนกั รู้ เท่าทนั สภาวะตา่ งๆ การปลอ่ ยวาง การเตรียมจิตใหพ้ รอ้ มสาหรบั ใคร่ครวญ เปดิ รบั ผอ่ นคลาย วางใจ หนทางแหง่ จติ ภายใน นาสวู่ ธิ ปี ฏบิ ัติ (Conduct) เชน่ การรบั ฟงั อย่างลกึ ซงึ้ (Deep Listening) เพอ่ื นรับฟงั การตัง้ คาถามเพือ่ สืบคน้ การสอ่ื สารอย่างสนั ติ (NVC) สุนทรยี สนทนา (Dialogue) การสง่ มอบสงิ่ ดีงาม ความสุข จติ อาสา กจิ กรรมพลงั กลมุ่ จิตตศลิ ปก์ ารนาพาจติ ใจสู่ความสงบ โยคะ ดนตรฯี ลฯ โดยวธิ กี ารปฏบิ ัตินาสผู่ ลลพั ธ์ (Outcome) คอื การเปลย่ี นแปลงจากภายใน (Transformation) นอกจากคาว่า จติ ตปญั ญาศึกษา (Contemplative Education) ยังมีคาเรียกอน่ื ๆ ที่มีความหมายไป ในแนวทางเดยี วกัน เชน่ คาว่า การศึกษา เพื่อจติ สานึกใหม่ (Education for a New Consciousness), การศึกษาท่ีมหี ัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanized Educare) และการเรียนรเู้ พ่ือการเปลย่ี นแปลงขัน้ พนื้ ฐาน (Transformative Learning)อีกดว้ ย ฐานคดิ ของ “จิตตปัญญาศึกษา” จากนยิ ามข้างตน้ เขา้ ใจได้วา่ จิตตปัญญาศึกษาเปน็ การเรียนรู้เพือ่ การเปลยี่ นแปลงในรปู แบบหนง่ึ ท่ีมี ลักษณะเฉพาะคือ มุ่งเนน้ การพฒั นาด้านในและการเปลีย่ นแปลงขนั้ พ้ืนฐานในตนเองอย่างลกึ ซงึ้ เพ่ือให้ เกิด ปัญญาทเี่ หน็ ความเชอื่ มโยงของสรรพสง่ิ และเกดิ ความรกั ความเมตตา โดยมฐี านคดิ ทส่ี าคัญ คอื ฐานคิดที่ 1 Religions แนวคดิ เชงิ ศาสนา ความเชอ่ื ความศรทั ธา การละวางตวั ตน และ เปิดญาณ ทัศนะ เรยี นรู้ผ่านศรทั ธา ตอ่ ศาสนา เรยี นร้ผู า่ นศรทั ธาตอ่ คุรุ เรยี นรู้ผ่านการภาวนารปู แบบต่างๆ เรยี นรผู้ า่ น การทางาน การทาโยคะ ฯลฯ ฐานคิดที่ 2 Humanism แนวคดิ เชิงมนษุ ยนิยม บนฐานความเป็นมนษุ ยส์ ืบคน้ ศกั ยภาพภายในของ มนษุ ยเ์ ป็นการเรียนรูใ้ ครค่ รวญผ่านการเคารพธรรมชาตขิ องผู้เรียน (Learners-centered) การเรยี นรู้ ใครค่ รวญผ่านการเรยี นรเู้ ชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) ฐานคดิ ท่ี 3 Integral and Holism แนวคดิ บนฐานเชงิ บูรณาการ ความเป็นองคร์ วม กระบวนการ เรยี นรู้ฐานองคร์ วม การเรยี นรู้ใคร่ครวญผ่านการ ปฏิบตั บิ รู ณาการอยา่ งเปน็ องคร์ วมในธรรมชาติเกดิ เป็น แนวคิดความเปน็ องคร์ วม (Holism) หรือ ความยัง่ ยนื (Sustainability) และ นเิ วศวิทยาเชิงลกึ (Deep Ecology) การเรยี นร้ใู คร่ครวญผ่านการเหน็ เชื่อมโยงการคิด เชงิ ระบบ เครอื ขา่ ย และชุมชน แนวทางการเรียนรู้ เป้าหมายหลกั ของจิตตปญั ญาศึกษา คือ เพอื่ พฒั นาใหเ้ ปน็ มนษุ ยท์ ส่ี มบูรณ์โดยเกดิ การเปลี่ยนแปลง ในตนเอง ในองค์กร และในสงั คมตามมา โดยการเปลย่ี นแปลงข้นั พืน้ ฐานในตนเอง มเี ป้าหมายเพอ่ื ให้เปน็ ผทู้ ่ี รจู้ กั ตนเอง เรยี นรู้ทจี่ ะฟงั ตนเองและผูอ้ ่ืนมากข้นึ ต่ืนรู้ เกิดจติ สานึกใหม่ เปน็ ผมู้ คี วามรัก ความเมตตา มปี ญั ญา แห่งตน และมคี วามสุข เปา้ หมายทว่ี ่านลี้ ว้ นแลว้ แต่เปน็ คาทีเ่ ป็น “นามธรรม” แทบทงั้ สนิ้ แต่เมอื่ พิจารณา แนวทางในการเรยี นรกู้ ลบั พบว่าเปน็ แนวทางการปฏบิ ัติแทบทง้ั สิน้ นั่นหมายความว่า ตัวกลางสาคญั ท่ที าให้ เกดิ การเปล่ยี นแปลงใน ตนเองนนั้ มาจากการฝกึ ฝนปฏิบัตติ น ฆนทั ธาตทุ อง (2555: 50-51) กลา่ ววา่ มีดว้ ยกัน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 199 3 ด้านคอื 1. กระบวนการเรียนรเู้ พื่อพฒั นาความเปน็ มนุษยท์ สี่ มบูรณเ์ ชน่ การภาวนารูปแบบต่าง ๆ 2. การ สร้างทกั ษะสัมพันธ์เชิงสร้างสรรคแ์ ละการอยรู่ ่วมกนั ของกลมุ่ กลั ยาณมติ ร เช่น การสรา้ งชมุ ชน แห่งการเรียนรู้ เพ่ือการเปลยี่ นแปลง กระบวนการสุนทรียสนทนา 3. การยกระดับทางวัฒนธรรมและการใชช้ ีวิตอย่างพอเพียง เชน่ การทางานอาสาสมคั ร การเรยี นรู้ใน ชมุ ชนทใ่ี ชช้ วี ติ พอเพยี ง การแลกเปลีย่ นเรียนรู้และทางานร่วมกบั ชุมชนรอบมหาวิทยาลยั 4. เสรมิ กระบวนการสรา้ งความรดู้ ้วยตนเอง เชน่ การติดตามผู้รเู้ ป็นรายบุคคล การ สังเกตตนเอง สว่ น The Center for Contemplative Mind in Society ไดก้ ลา่ วถงึ แนวทางการฝกึ ปฏบิ ัติ ของจิตตปญั ญา ศกึ ษาวา่ ต้งั อย่บู นรากฐานของการสอื่ สารและเช่ือมโยง (Communion and Connection) และการตืน่ รู้ (Awareness) แบง่ ออกเป็น 7 ประเภทได้แก่ 1. การฝกึ ผ่านการสงบน่ิง (Stillness Practices) เช่น การเจรญิ สติ 2. การฝกึ ผา่ นกิจกรรมรเิ รม่ิ รงั สรรค์ (Generative Practices, Co-creation) เช่น การเจรญิ เมตตา 3. การฝึกผ่านกระบวนการเชงิ สร้างสรรค์ (Creation Process Practices) เชน่ ศลิ ปะดนตรี การจด บันทกึ 4. การฝกึ ผา่ นกจิ กรรมทางสงั คม (Activist Practices) เชน่ กิจกรรมจิตอาสา 5. การฝกึ ผ่าน กระบวนการสานสัมพนั ธ์ (Relational Practices) เช่น การฟงั อยา่ งลกึ ซงึ้ 6. การฝึกผ่านการเคลอ่ื นไหว (Movement Practices) เช่น การเดนิ สมาธิโยคะ 7. การฝึกผา่ นพลงั พิธีกรรมศกั ด์ิสทิ ธิ์ (Ritual/Cyclical Practices) กลา่ วโดยสรุปไดว้ ่า แนวคิดในการจัดการเรยี นรดู้ า้ นจติ ตปัญญาศึกษาเปน็ การศกึ ษาแบบองคร์ วมที่ เนน้ การเรียนรู้ในแบบต่างๆคอื แบบท่ี1การเรยี นรแู้ บบบูรณาการและผสานสรรพศาสตร์ (Integrative Tran-Disciplinary Learning) คอื การเรยี นรทู้ ไี่ มแ่ บง่ แยกศาสตร์สาขาตา่ งๆ ออกจากกัน การเรยี นรู้ดว้ ยวธิ นี ี้ตง้ั อยู่บนฐานความ เชอ่ื ท่ีแทจ้ รงิ วา่ ศาสตรส์ าขาตา่ งๆ แท้จรงิ แล้วมจี ดุ เรมิ่ ต้นเหมือนกัน นนั่ คือความพยายามที่จะอธบิ าย หรอื ทาความเขา้ ใจ ตอ่ ปรากฏการณ์ทเ่ี กิดขนึ้ แบบท่ี 2 การเรยี นรผู้ ่านประสบการณต์ รง (Experiential Learning) คือการเรียนรูท้ ผ่ี เู้ รยี นนา ตนเอง เข้าสู่การลงมือปฏบิ ตั ใิ นสถานการณจ์ รงิ และไดร้ ับการกระต้นุ ใหส้ ามารถสะทอ้ นประสบการณก์ าร เรยี นรู้ของ ตนเองเพ่อื ใหเ้ กิดการพฒั นาทกั ษะด้านใหมๆ่ รวมถงึ การเปล่ียนแปลงทัศนคติ วิธีคดิ และการมอง โลกทตี่ า่ งไป จากเดมิ แบบท่ี 3 การเรียนรทู้ นี่ าไปสู่การเปลีย่ นแปลงภายใน (Transformative Learning) คือ การเรยี นรทู้ ี่ ผู้เรยี นเฝา้ มองความเปล่ยี นแปลงภายในของตนเอง อันเกิดจากความสัมพันธท์ ่ีมตี อ่ โลกภายนอก โดยอาศัยจิตต ปญั ญาเป็นเคร่ืองมือขัดเกลาตนเอง นาพาไปสู่ความเขา้ ใจตอ่ ธรรมชาตขิ องสรรพส่งิ มองเหน็ ความเช่อื มโยง ระหวา่ งตนเองและสง่ิ ต่างๆ รอบตวั อยา่ งไม่แยกส่วน การประยุกตก์ ารเรยี นการสอนกับจิตตปัญญาศกึ ษา การจดั การเรยี นรู้แนวจิตตปัญญาศกึ ษาม่งุ เนน้ การสบื ค้น สารวจ ภายในตนเอง เพอ่ื การพฒั นาจิตใจ อย่างแทจ้ ริง ผ้เู ขียนได้ปรบั ใชแ้ นวทางของ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ฆนทั ธาตทุ อง ซ่งึ ใช้แนวทางจิตตปญั ญา ศึกษา ไปสร้างเป็นกระบวนการเรียนรเู้ รยี กวา่ “สบายตาโมเดล” โดยมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขน้ั ไดแ้ ก่ 1.ขั้นเตรียมการ ในขั้นเตรยี มการ เปน็ ขนั้ ตอนแรกทผ่ี สู้ อนดาเนินการ โดยการศกึ ษาเอกสาร หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎี เบื้องหลัง ประกอบดว้ ยการวิเคราะหค์ วามต้องการในการเรียน การกาหนดจดุ มงุ่ หมาย การ ออกแบบแผนการ จดั การเรียนรกู้ ารแสวงหาแหลง่ วทิ ยาการ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 200 2.ขั้นนาเขา้ ส่บู ทเรียน เป็นขั้นสรา้ งสงิ่ เรา้ จูงใจ (stimulating motivation) 3.ข้ันจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ เปน็ การใช้กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่ีเน้นการสะท้อนคดิ พจิ ารณา การ ใครค่ รวญดว้ ยใจ การนาไปพฒั นาใหด้ ขี ึ้น 4.ขน้ั สรปุ และประเมนิ ผล มงุ่ เน้นประเมินพฤติกรรมที่ตดิ ตวั ไปกบั ผ้เู รยี น 5.ขั้นติดตามผล มงุ่ เนน้ ใหผ้ เู้ รยี นสามารถเลือกปฏิบัตทิ ่ีนาไปใชไ้ ด้จริง แกป้ ญั หาได้ทาให้เป็นคนดีมี ความสุขกาย สุขใจ ความหมายของการสอนแบบจิตตปัญญา การสอนแบบจติ ตปญั ญาศกึ ษา จะเน้นผู้เรียนเปน็ ศูนย์กลางในการ เรยี นรู้ พัฒนาทงั้ ดา้ นจติ และ ปัญญาควบค่กู ันไป โดยใชป้ ระสบการณ์ เดิมทผ่ี เู้ รียนมปี ระสานกบั ประสบการณใ์ หม่ ใหเ้ ป็นไปตามวยั ของ ผูเ้ รียน โดยมผี สู้ อนเปน็ ผ้จู ัดกจิ กรรมการเรียนรูต้ า่ ง ๆ ใหผ้ เู้ รียนเกิด การเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง การสอนทจี่ ะบรรลุ เปา้ หมายตอ้ งให้ผเู้ รยี น ผอ่ นคลายขณะเรยี น มีส่วนรว่ ม คน้ พบความรู้ด้วยตนเอง และรสู้ ึก ถึงความกา้ วหน้า ของตนเอง กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษา การพฒั นากจิ กรรมการเรียนรทู้ ม่ี ุ่งคณุ สมบัตสิ าคัญของกจิ กรรม การเรยี นรแู้ บบจติ ปัญญาศกึ ษามี 5 ประการคือ A (Active learning) การปฏบิ ัติการคิดในการทากจิ กรรมระหว่างเรยี น B (Behaving well) การ แสดงออกระหวา่ งเรยี นดว้ ยการพดู หรอื กระทาทง้ั รายบคุ คลและร่วมกลมุ่ C (Cooperative learning) การ เรียนรแู้ บบรว่ มมือทเ่ี กิดจากการเรียนรกู้ บั เพ่อื นตามที่กาหนดกิจกรรม D (Discovery learning) การเรียนรู้ จากการค้นพบจากการทากจิ กรรม ระหวา่ งเรียน P (Progress) การกา้ วหนา้ ในการเรยี น ทก่ี าหนดแผนโดยครู และผเู้ รยี น เป้าหมายการสอนแบบจิตตปัญญาศกึ ษา การสอนแบบจิตตปญั ญาศึกษา มจี ดุ ประสงค์เพื่อใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนรู้มโนทัศนจ์ ากกิจกรรม การ สอนดว้ ยการลงมือปฏบิ ตั กิ ารและคิดด้วยตนเองเกิดการเรียนรู้สง่ิ ใหม่ดว้ ยกจิ กรรมการสอนทส่ี านประสบการณ์ ท่เี คยมปี ระกอบกบั การไดค้ วามรูใ้ หมเ่ พ่มิ ข้ึนดว้ ย การเพม่ิ พนู ปญั ญาสรา้ งเจตคติที่ดี และมีทกั ษะการเรยี นรู้ เพมิ่ ขึ้น ผลของการสอนต้องทาใหผ้ ้เู รยี นเกดิ ความตอ้ งการเรยี นจาก กจิ กรรม ลงมือปฏบิ ตั แิ ละคิดซ่ึงเป็น สงิ่ จงู ใจภายในมากกว่าการจูงใจภายนอกด้วยสิง่ ของและรางวลั (วชั รศักดม์ิ าเกดิ .http://edu.nsru.ac.th/2011/files/knowlage/17-40-42_07-09-2017_km2559_1.pdf สืบค้นเมอ่ื 2 เมษายน 2563) แนวคิดในการจัดการเรียนร้ดู ้านจิตตปญั ญาศึกษา จงึ เปน็ การศึกษาแบบองค์รวมทีเ่ นน้ การเรียนรใู้ น แบบตา่ ง ๆ คอื 1.การเรียนรแู้ บบบรู ณาการและผสานสรรพศาสตร์ (Integrative & Transdisciplinary Learning) คอื การเรยี นรทู้ ไ่ี ม่แบง่ แยกศาสตร์สาขาตา่ ง ๆ ออกจากกนั การเรียนรู้ดว้ ยวธิ นี ้ีต้ังอยบู่ นฐานความ เช่อื ที่วา่ ศาสตร์สาขาต่าง ๆ แท้จรงิ แลว้ มีจดุ เรม่ิ ตน้ เหมือนกนั นั่นคือความพยายามท่ีจะอธิบายหรอื ทาความ เขา้ ใจตอ่ ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ท่เี กดิ ขน้ึ 2. การเรียนรผู้ า่ นประสบการณต์ รง (Eexperimental Learning) คือ
201 การเรยี นรทู้ ีผ่ เู้ รยี นนาตนเองเขา้ สู่การลงมอื ปฏิบัติในสถานการณ์จรงิ และไดร้ บั การกระตุ้นใหส้ ามารถสะท้อน ประสบการณก์ ารเรยี นร้ขู องตนเองเพ่ือให้เกดิ การพฒั นาทกั ษะ ดา้ นใหม่ๆ รวมถึงการเปลย่ี นแปลงทัศนคติ วธิ ี คิดและการมองโลกในแงม่ มุ ทีแ่ ตกตา่ งไปจากเดิม 3.การเรียนรทู้ ่ีนาไปสกู่ ารเปล่ยี นแปลงภายใน (Transformative Learning) คอื การเรียนรู้ทผ่ี ู้เรยี นเฝา้ มองความเปล่ียนแปลงภายในของตนเองอันเกิดจาก ความสมั พันธ์ท่มี ตี ่อโลกภายนอกโดยอาศยั จติ ตปญั ญาเปน็ เครื่องมอื ซงึ่ การพยายามฝึกหดั ขัดเกลาตนเองด้วย วิธกี ารดงั กล่าวนีเ้ อง จะนาพาผู้เรยี นไปสคู่ วามเขา้ ใจตอ่ ธรรมชาตขิ องสรรพสงิ่ มองเห็นความเชอ่ื มโยงระหวา่ ง ตนเองและสง่ิ ตา่ ง ๆ รอบตวั อยา่ งไมแ่ ยกสว่ น เกิดความเขา้ ใจว่าการเรียนรู้ การงานและการดาเนนิ ชีวติ ดว้ ย ความสาคญั ของการพฒั นามนษุ ยท์ ่ีสมบรู ณ์ดังกล่าว มหาวทิ ยาลัยมหิดลจงึ ได้จดั ต้ัง ศนู ย์จติ ตปญั ญาศกึ ษา ขนึ้มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง เพ่อื เปน็ ศนู ยก์ ลางในการพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ทสี่ าคัญของประเทศและภูมภิ าคตอ่ ไป (รองศาสตราจารย์ ดร. อนุชาติ พวงสาลี. https://www.gotoknow.org/posts/104448 สืบค้นเมือ่ 9 มีนาคม 2562) กระบวนการเรียนรู้จติ ตปัญญาศึกษา เปน็ การศึกษาท่ีเนน้ การฝกึ ฝนปฏบิ ตั ิจนเกิดการเปลยี่ นแปลง ด้านในตนเอง หรอื ทก่ี ระบวนกรเรยี กวา่ เป็นการเรยี นรู้ดว้ ยใจอย่างใครค่ รวญ ผา่ นกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบใหม่ ทีม่ งุ่ พฒั นาด้านในทไ่ี มจ่ ากัดเฉพาะศาสนา เชน่ การทางาน การออกกาลงั กาย งานศิลปะ สุนทรยี สนทนา การ ปลกี วิเวก การปฏบิ ัติธรรมกรรมฐานและกจิ กรรมอื่น ๆ ทีโ่ ยงไปสูก่ ารรู้จิตของตวั เอง อนั ก่อใหเ้ กดิ การ เปลีย่ นแปลงขัน้ พนื้ ฐานในตนเองเพ่ือนาไปสู่การเปลยี่ นแปลงในองค์กรและสังคม (ณัฐฬส วังวิญญู http://apps.qlf.or.th/member/blog สบื คน้ เมอ่ื 12 มนี าคม 2562) 4. การจดั กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดการโค้ช (C:Coach) แนวคิดการโคช้ (Coaching) การโค้ชเพอื่ พฒั นาศักยภาพผู้เรียน การโคช้ เพ่อื พัฒนาศักยภาพผเู้ รียน หมายถึง การทผ่ี สู้ อน ในฐานะท่ีเป็นโคช้ ของผเู้ รียน (Teacher as the Coach) ดาเนินการ พฒั นาผเู้ รียนให้มคี วามรู้ ความสามารถ กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการคิดขน้ั สงู รวมทงั้ คณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ โดยใชว้ ิธกี าร สร้างกระบวนการทางความคิดเพอ่ื การเตบิ โต (Growth mindset) การสรา้ งบรรยากาศทางบวก (Affirming) การให้ขอ้ มลู เพอ่ื กระตนุ้ การเรยี นร(ู้ Feed–up) การใช้ พลังคาถาม (Power questions) การชแี้ นะเพอ่ื การร้คู ดิ (Cognitive guide) การใหค้ วามเอ้อื อาทร (Caring) การกากบั ตดิ ตาม ความกา้ วหน้าทางการเรยี นรู้ (Monitoring) การประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรู้ (assessment for learning) การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั (Feedback) และการใหข้ ้อมลู เพอื่ การเรียนรู้ต่อยอดด้วยตนเอง การโคช้ มปี ระโยขน์ทสี่ าคัญ คือ ทาใหผ้ ้เู รยี นมกี ระบวนการ ทางความคิดเพ่อื การเตบิ โต (Growth mindset) มีทกั ษะกระบวนการเรยี นรู้ ด้วยตนเอง มีทกั ษะการคิดข้นั สูง มีความเช่อื ม่นั ในตนเอง มวี ินยั ในการ เรยี นรู้ก ากับตนเอง มีทกั ษะในการประเมนิ ปรบั ปรงุ และพฒั นาตนเอง ไดอ้ ย่างตอ่ เน่ือง ซงึ่ เปน็ คณุ ลักษณะทจ่ี าเป็นอย่างมากในโลกอนาคต การโคช้ เปน็ บทบาทของผสู้ อนทจี่ ะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นรู้ และพัฒนาตนเองได้อยา่ งเตม็ ตาม ศกั ยภาพ เป็นการชว่ ยทาใหผ้ ้เู รยี น เป็นบุคคลแห่งการเรียนร้มู ีทักษะในการเรยี นรู้ ซ่งึ เปน็ พ้ืนฐานทส่ี าคญั ของ การสร้างสรรคน์ วตั กรรม อนั เปน็ ทักษะจาเปน็ ทผี่ เู้ รยี นทุกคนจาเป็นตอ้ งมี ในโลกปจั จบุ ันและอนาคต และเป็น
202 Soft skillsในการโค้ชเพื่อเสริมสร้าง Soft skills ให้เกิดกับผเู้ รียนซ่งึ เปน็ สง่ิ จาเป็นในยคุ ดิจิทลั (วชิ ยั วงษใ์ หญ่ และมารุต พฒั ผล. 2562. หน้า 2-3) ครูเป็นหัวใจของการศกึ ษา!! เดมิ ทโี ลกในยุคอะนาลอ็ ก “ครู” คอื ผรู้ ู้ เปน็ ผู้ท่ีคอยสงั่ และสอน ครจู งึ เปน็ ศนู ย์กลางของการเรยี นการ สอน ครูจงึ มคี วามสาคัญในโรงเรียนแต่ในยคุ ดจิ ิตอล ความกา้ วหน้าของเทคโนโลยสี่ ารสนเทศ การเขา้ ถึง ข้อมูล ความรูแ้ ละเร่ืองราวตา่ งๆ สามารถค้นคว้า เรยี นรูไ้ ดด้ ้วยตวั เอง ด้วยโลกที่แคบลง ทาให“้ ครู”อาจจะ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงไม่ใช่ผ้รู ู้ของเด็กๆอกี ต่อไป น่คี ือความทา้ ทายของ“คุณครู” ในศตวรรษท่ี 21 ท่ามกลางสภาพแวดลอ้ มท่ีเปล่ียนไป ท่ามกลาง แนวทางการปฏริ ปู การศกึ ษาทจ่ี ะสรา้ งสภาพแวดล้อม และการจัดการศึกษาทเ่ี หมาะสมกบั นกั เรยี นในศตวรรษ ใหม่ ทีจ่ ะเติบโตอย่างผรู้ รู้ อบท้ังทกั ษะ องคค์ วามรู้ และรเู้ ทา่ ทันการเปลย่ี นแปลงของโลกและเทคโนโลยี กว่า 1 ปีทีผ่ ่านมาโครงการ Samsung Smart Learning Center โครงการเพอื่ สงั คมของบรษิ ัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จากัด ได้รเิ รม่ิ พฒั นา “หอ้ งเรียนแหง่ อนาคต” โดยนาแนวคดิ การพัฒนาทักษะในศตวรรษ ที่ 21 มาพฒั นา เพอ่ื ใหเ้ กิด “ห้องเรยี นตน้ แบบแหง่ อนาคต” ท่ีเหมาะสมและสอดรบั กบั บรบิ ทโรงเรยี นของ ประเทศไทย โดยมคี รเู ปน็ หัวใจสาคญั ในการพฒั นา นายวาริท จรณั ยานนท์ โครงการ Samsung Smart Learning Center (https://www.samsungslc.org/article/teachers-of-the-future-a-teacher- stepped-into-the-coach/ สืบค้นเม่ือ 12มนี าคม 2562 เวลา 17.12) กลา่ ววา่ “โครงการนเี้ ทคโนโลยเี ปน็ ส่วนประกอบที่เลก็ มาก สิง่ ทส่ี าคญั ทส่ี ดุ เปน็ เรื่องของสภาวะแวดลอ้ ม ทีเ่ ออ้ื ต่อการเรียนร้แู ละศักยภาพของเดก็ ตัวเทคโนโลยจี ะทาให้เรียนรไู้ ดท้ กุ ที่ทุกเวลา และเน้นการพฒั นาครู ทายงั ไงใหค้ รสู อนน้อยและเรยี นรูไ้ ปรว่ มกัน กบั เดก็ ” 5. การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามการวิจยั เป็นฐาน (R: Research Based Learning) แนวคิดโครงงานฐานวิจัย โครงการเพาะพนั ธ์ุปญั ญา (พพปญ.) เปน็ โครงการการพฒั นาการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานฐานวจิ ัย (Research-Based Learning) หรือ RBL ภายใต้การสนบั สนุนของสานกั งานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ัย (สกว.) และ บจม. ธนาคารกสกิ รไทย มโี รงเรียนในโครงการ 80 โรงเรยี นในภาคเหนือ อสี าน กลาง และใต้ และมี มหาวิทยาลยั 8 แหง่ ซ่ึงทาหน้าทเ่ี ปน็ ศนู ยพ์ เี่ ลยี้ ง คอื มหาวทิ ยาลัยราชภัฎลาปาง มหาวทิ ยาลยั พะเยา มหาวทิ ยาลัยราชภัฏศรสี ะเกษ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี มหาวิทยาลยั มหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลยั ราชภัฏสรุ าษฎร์ธานี และมหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตหาดใหญ่ โครงการนีม้ หี นว่ ย จดั การกลางอย่ทู ี่ ภาควิชาวิศวกรรมเครอ่ื งกล มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ ซ่ึงทาหนา้ ทฝี่ ึกครูพ่เี ลีย้ ง เพอื่ ไป ทาหน้าทฝี่ กึ ครูแกนนา ครูแกนนามีหนา้ ที่ออกแบบการสอน 1 ห้องเรียน เพือ่ ใหไ้ ดน้ กั เรียนท่ีคิดเป็น มีความเป็นวิทยาศาสตร์ (คดิ เป็นเหตุเป็นผล) มีทกั ษะในการเรยี นรู้และแก้ปญั หา กระบวนการท่ีใช้ คอื กระบวนการเรียนรจู้ ากการ คน้ ควา้ และตคี วาม ท่ีเรียกว่า “วจิ ยั ” ใช้การเรียนรู้ทด่ี ี คือ การเรยี นร้แู บบทผ่ี เู้ รียนสรา้ งความรู้ และบรรจลุ งใน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 203 สมองของตนเองแบบไม่รู้ตวั จากการลงมือปฏบิ ตั ิกิจกรร (https://kruvijai.wordpress.com/2013/01/14/pblbook สืบคน้ เมอ่ื 12 มนี าคม 2562 ) การจดั การศกึ ษาแบบ Research-Based Learning (RBL) ความหมายของรปู แบบ Research –based Learning การจดั การศึกษาแบบ Research-Based Learning (RBL) หมายถึง การเรยี นรู้เป็นการจัดกจิ กรรม หรอื ประสบการณเ์ พื่อใหผ้ ู้เรียนเกดิ พฤติกรรมทพี่ งึ่ ประสงค์ กระบวนการเรยี นรปู้ ระกอบด้วยการกาหนด วัตถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ การจัดกจิ กรรมหรือประสบการณเ์ รยี นรู้ การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การจดั การศึกษาตามแนว RBL เปน็ เทคนิคทมี่ ุ่งใหผ้ เู้ รยี น เกดิ การเรยี นร้แู ละประสบผลสาเร็จใน เนือ้ หา และผรู้ สู้ ารสนเทศดว้ ยการพฒั นาทักษะการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองอย่างอสิ ระผเู้ รยี นเรียนรโู้ ดยอสิ ระจากการ แสวงหาแหลง่ เรยี นรู้ ผสู้ อนเปน็ เพยี งผสู้ ง่ เสรมิ และกระตนุ้ เป็นแหล่งสารสนเทศใดๆ ทมี่ อี ยู่ทง้ั ภายในและ ภายนอกสถาบัน ผลลพั ธข์ องการใช้ RBL ผู้เรยี นมีความรูค้ วามเขา้ ใจในเนอื้ หาทไ่ี ดจ้ ากแหล่งเรียนรู้ที่ หลากหลายผเู้ รยี นมที ักษะการรสู้ ารสนเทศซึ่งเปน็ ฐาน สาหรบั การเรยี นร้ดู ้วยตนเองตลอดชีวิต ลักษณะสาคญั ของรูปแบบ Research –based Learning ลักษณะสาคัญของรปู แบบมี 4 ลักษณะดงั ตอ่ ไปนี้ หลกั การท่ี1.แนวคิดพืน้ ฐาน เปลย่ี นแนวคดิ จาก ‘เรียนรโู้ ดยการฟงั /ตอบใหถ้ ูก’ เป็น ‘การถาม/หา คาตอบเอง’ หลกั การท่ี2.เป้าหมาย เปลี่ยนเปา้ หมายจาก ‘การเรยี นรู้โดยการจา/ทา/ใช้’ เป็นการคดิ /ค้น/แสวงหา’ หลักการท่ี3.วิธีสอน เปลี่ยนวธิ ีสอนจาก ‘การเรียนรู้โดยการบรรยาย’ เป็น ‘การใหค้ าปรึกษา’ หลักการท่ี4.บทบาทผู้สอน เปล่ยี นบทบาทผ้สู อนจาก ‘ การเป็นผูป้ ฏิบตั เิ อง’ เปน็ ‘การจดั การให้ ผูเ้ รียนปฏบิ ตั ิ องค์ประกอบของรูปแบบการเรยี นรู้แบบ Research –based Learning (RBL) สาหรับการจดั การศึกษาแบบ RBL นน้ั มีรปู แบบการจดั การศกึ ษาดงั นี้ ก.RBL ที่ใช้ผลการวจิ ัยเปน็ สาระการเรียนการสอน ประกอบด้วย (1)เรียนรผู้ ลการวจิ ัย/ใชผ้ ลการวจิ ยั ประกอบการสอน (2)เรยี นรจู้ ากการศึกษางานวจิ ัย/การสงั เคราะหง์ านการวจิ ัย ข.RBL ที่ใชก้ ระบวนการวจิ ัยเป็นกระบวนการเรยี นการสอน ประกอบด้วย (3)เรยี นรู้วิชาวิจัย/วธิ ีทาวจิ ยั (4)เรียนรจู้ ากการทาวิจยั /รายงานเชิงวจิ ยั (5)เรียนรจู้ ากการทาวิจัย/รว่ มทาโครงการวิจยั (6)เรียนรจู้ ากการทาวจิ ยั /วจิ ัยขนาดเลก็ (7)เรียนรจู้ ากการทาวิจัย/วิทยานพิ นธ์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 204 ข้ันตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ การวางแผนการสอนโดยใช้ RBL มีขั้นตอนทส่ี าคัญดังนี้ 1. กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ทัว่ ไปของรายวชิ าทส่ี อน 2. ศกึ ษา/ทาความเขา้ ใจ ผเู้ รยี นเพ่ือให้ทราบความรแู้ ละทกั ษะทเ่ี คยมีมาก่อน 3. กาหนดวตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะที่ต้องการใหเ้ กดิ การเรียนรูโ้ ดยใช้ RBL 4. กาหนดกลยทุ ธแ์ ละเทคนิคการสอน และกจิ กรรมการเรียนรู้ 5. เลือกแหลง่ เรยี นรทู้ ่ีเหมาะสม 6. กาหนดตารางเวลา-ส่ิงอานวยความสะดวก-ผชู้ ่วยเหลอื 7. ดาเนนิ การตามแผนทีว่ างไว้ 8. ตรวจสอบวา่ ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรูต้ ามทไ่ี ด้ ตง้ั วัตถปุ ระสงคไ์ ว้ 9. ประเมนิ ความสาเรจ็ ของผูเ้ รียนและกระบวนการเรียนการสอน สรุปความหมายของการจดั การเรยี นการสอนแบบโครงงานฐานวจิ ัยวา่ เป็นการจัดกระบวน การเรียนการสอนโดยการนา กระบวนการวิจยั มาใช้เป็นแนวทางในการจัดกระบวนการเรยี นการสอนตลอด ภาคการศึกษา 6. งานวจิ ัยการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคิด CCR-CBE งานวจิ ัยการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ CCR-CBE ของผู้เขียน ดาเนนิ การจัดการเรยี นการสอนดว้ ย แนวคดิ น้ีในรายวชิ าเศรษฐศาสตร์เบอื้ งต้น รายวชิ าเทคนคิ การสอนกลมุ่ สาระสงั คมศกึ ษา รายวชิ าการสอน สงั คมศึกษา 1-2 แล้ว ให้นักศึกษานาแนวคดิ น้ไี ปใชจ้ ดั การเรียนการสอนทโี่ รงเรียน ดาเนินการประเมนิ ผลลพั ธ์ การเรียนรูต้ ามแนวคิดนี้ 3 เรอื่ ง งานวจิ ัยเรอ่ื งที่ 1 เร่ือง การประเมนิ สมรรถนะครสู ังคมจอมบึง (Chombueng Social-Teacher Competency Assessment) การวิจยั เร่อื งการประเมนิ สมรรถนะครูสงั คมจอมบงึ มวี ตั ถุประสงคเ์ พอื่ ประเมนิ สมรรถนะครสู ังคม จอมบงึ และเพอ่ื ศึกษาพัฒนาการของการประเมินสมรรถนะครูสงั คมจอมบงึ การประเมนิ สมรรถนะครสู งั คม ประเมนิ 4 มติ นิ ไี้ ด้แก่สมรรถนะหลกั มติ ทิ ่ี 1 การประเมนิ สมรรถนะด้านความรใู้ นศาสตรเ์ ฉพาะและวิชาชีพครู สมรรถนะหลกั มิติท่ี 2 การประเมินสมรรถนะดา้ นความสามารถในการจดั การเรยี นรูต้ ามแนวคิด CCR-CBE สมรรถนะหลักมติ ิท่ี 3 การประเมนิ สมรรถนะด้านคุณลกั ษณะความเป็นครสู ังคม และสมรรถนะหลักมติ ิท่ี 4 การประเมนิ สมรรถนะดา้ นความสัมพันธ์กับชุมชน ตามเกณฑ์มาตรฐานหลกั สูตรครุศาสตรบณั ฑติ (ฐาน สมรรถนะ) มหาวิทยาลัยราชภฏั ทั่วประเทศ ประชากรทีใ่ ช้ในการวจิ ยั ไดแ้ ก่นกั ศึกษาช้ันปี 5 ลงทะเบียนรายวชิ า การปฏิบตั กิ ารสอนในสถานศกึ ษา 1 จานวน 13 คน มาจากการเลอื กแบบกาหนดคณุ สมบัตเิ ฉพาะ ไดแ้ ก่ผ่าน การลงทะเบียนเรียนรายวชิ าการสอนสงั คมศกึ ษา 1-2 ปกี ารศึกษา 2562 เรียนรู้แนวคิดการจดั การเรียนร้โู ดย การบรู ณาการแนวคดิ จิตตปญั ญาศึกษา การโคช้ และโครงงานฐานวจิ ัยมาแล้ว(Contemplative Education Coaching and Research Based Learning; CCR) และรบั การนเิ ทศจากผู้วิจัย เครอ่ื งมอื การเกบ็ ขอ้ มลู ไดแ้ ก่ แบบประเมนิ สมรรถนะครสู งั คม 4 มติ ิ ดังน้ี สมรรถนะหลกั มติ ิที่ 1 แบบประเมินสมรรถนะด้านความรใู้ นศาสตร์ เฉพาะและวชิ าชีพครู สมรรถนะหลกั มิติที่ 2 แบบประเมนิ สมรรถนะด้านความสามารถในการจดั การเรียนรู้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 205 ตามแนวคดิ CCR-CBE สมรรถนะหลกั มติ ทิ ่ี 3 แบบประเมนิ สมรรถนะด้านคุณลกั ษณะความเปน็ ครสู ังคม และ สมรรถนะหลักมติ ิที่ 4 แบบประเมนิ สมรรถนะดา้ นความสมั พนั ธก์ ับชุมชน ผลการวิจัย รายงานผลการวจิ ัยแยกตามสมรรถนะ ดังนี้ สมรรถนะหลกั มิติท่ี 1 การประเมนิ สมรรถนะ ดา้ นความรู้ในศาสตร์เฉพาะและวิชาชีพครู โดยภาพรวมการประเมินตนเองของนกั ศึกษาครั้งท่ี 1 และครงั้ ที่ 2 พบวา่ การประเมินตนเองอยทู่ ร่ี ะดบั 3 หมายถึงระดบั ชานาญ เมื่อพจิ ารณาพฒั นาการของการประเมนิ พบวา่ นกั ศกึ ษาประเมินตนเองในสดั ส่วนสงู กว่าครงั้ ท่ี 1 โดยเปรยี บเทยี บทกุ ตัวชว้ี ัด สมรรถนะหลกั มิติท่ี 2 การประเมินสมรรถนะด้านความสามารถในการจดั การเรียนรู้ตามแนวคิด CCR- CBE โดยภาพรวมการประเมินตนเองของนกั ศึกษาครัง้ ท่ี 1 และครั้งท่ี 2 พบว่านกั ศกึ ษาประเมินตนเองทร่ี ะดบั 3 หมายถึงระดับชานาญ เมือ่ พิจารณาพฒั นาการของการประเมนิ พบว่าจานวนนักศกึ ษาทป่ี ระเมนิ ตนเองสงู กวา่ คร้งั ท่ี 1 ในทกุ ตัวชี้วดั ยกเว้นสมรรถนะรองท่ี 3 สง่ิ สนับสนนุ การเรียนรู้ทเี่ อื้ออานวยการเรียนรู้ จานวน นักศกึ ษาทปี่ ระเมินตนเองต่ากว่าคร้งั ท่ี 1 ทุกตวั ชว้ี ัด สมรรถนะหลกั มติ ิท่ี 3 การประเมนิ สมรรถนะด้านคุณลกั ษณะความเปน็ ครสู ังคม โดยภาพรวมการ ประเมินตนเองของนกั ศึกษาครงั้ ท่ี 1 และคร้งั ที่ 2 พบวา่ นักศึกษาประเมนิ ตนเองทร่ี ะดบั เดิมคอื ระดับ 3 หมายถงึ ระดบั ชานาญ เมอ่ื พจิ ารณาพฒั นาการของการประเมนิ พบว่านักศกึ ษาประเมินตนเองสงู กวา่ ระดับเดมิ มาเปน็ ทร่ี ะดบั 4 หมายถึงระดบั เชย่ี วชาญ สมรรถนะหลักมิติที่ 4 การประเมินสมรรถนะด้านความสมั พันธ์กับชมุ ชน โดยภาพรวมการประเมิน ตนเองของนกั ศกึ ษาครง้ั ท่ี 1 และครง้ั ท่ี 2 พบว่านักศึกษาประเมนิ ตนเองทีร่ ะดบั 3 หมายถงึ ระดบั ชานาญการ และระดบั 2 หมายถงึ ระดบั กาลงั พฒั นา เม่ือพิจารณาพฒั นาการของการประเมินพบวา่ ระดับการประเมนิ ยงั คง ท่รี ะดบั เดิมคือระดับท่ี 3 และระดบั ที่ 2 ครูสงั คมจอมบงึ นกั ศึกษาประเมินตนเองท่ีระดบั 3 หมายถึงระดบั ชานาญ มากทส่ี ดุ งานวิจัยเร่ืองที่ 2 เรื่อง กรณีศึกษา: สมรรถนะครสู ังคมจอมบงึ (Case Study: Chombueng Social-Teacher Competency) การวจิ ัยเรือ่ งสมรรถนะครสู งั คมจอมบงึ กรณศ๊ ึกษา มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาสมรรถนะครสู ังคมจอมบึง สมรรถนะครสู ังคมมี 4 มติ ิ ไดแ้ ก่ สมรรถนะหลกั มิตทิ ี่ 1 การประเมนิ สมรรถนะดา้ นความรู้ในศาสตรเ์ ฉพาะและ วิชาชพี ครู สมรรถนะหลักมิตทิ ่ี 2 การประเมินสมรรถนะด้านความสามารถในการจดั การเรยี นรู้ตามแนวคิด CCR-CBE สมรรถนะหลักมิติที่ 3 การประเมินสมรรถนะดา้ นคณุ ลกั ษณะความเปน็ ครสู ังคม และสมรรถนะ หลกั มิติท่ี 4 การประเมินสมรรถนะด้านความสมั พนั ธก์ ับชุมชน ตามเกณฑ์มาตรฐานหลกั สตู รครศุ าสตรบณั ฑติ ฐานสมรรถนะ มหาวิทยาลัยราชภัฏทว่ั ประเทศ ประชากรทใี่ ชใ้ นการวิจยั ไดแ้ ก่ นักศกึ ษาปี 4 ภาคการศกึ ษาที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 จานวน 3 คน จากการคัดเลือกแบบเจาะจง ตามเกณฑ์คดั เข้า 3 มติ ริ ่วมกนั ไดแ้ ก่ 1) เกรด เฉลีย่ คะแนนเฉล่ยี สะสม 2.50 และ 2)สมรรถนะทางวิชาการ มีสมรรถนะคิดวเิ คราะห์ สังเคราะหไ์ ด้ ประยุกตใ์ ช้ความรไู้ ด้ และบรู ณาการสาระเนอ้ื หาในและระหว่างรายวิชได้ และบูรณาการเนื้อหาสาระระหวา่ ง กลุ่มสาระได้ และ 3)สมรรถนะคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ มแี นวคดิ จิตตปญั ญาในการดารงชีวติ มีพฤติกรรม ความตงั้ ใจเรยี นในชนั้ เรยี น มุ่งมัน่ ในการเรียน ตั้งคาถามในระหวา่ งเรยี นได้ การเขา้ เรยี น ความตรงตอ่ เวลาใน การเขา้ เรียนและการสง่ งาน การทางานเป็นกลุม่ ความตงั้ ใจในการตอบแบบสอบถามตามสภาพจรงิ ของตนเอง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 206 เครื่องมือการเกบ็ ขอ้ มลู ไดแ้ ก่ แบบประเมินสมรรถนะครสู ังคม 4 มติ ิ ดงั นี้ สมรรถนะหลักมิตทิ ี่ 1 แบบประเมนิ สมรรถนะดา้ นความรู้ในศาสตรเ์ ฉพาะและวชิ าชพี ครู สมรรถนะหลกั มิติที่ 2 แบบประเมินสมรรถนะด้าน ความสามารถในการจัดการเรียนรตู้ ามแนวคดิ CCR-CBE สมรรถนะหลกั มติ ิท่ี 3 แบบประเมนิ สมรรถนะด้าน คุณลักษณะความเป็นครสู งั คม และสมรรถนะหลักมติ ิท่ี 4 แบบประเมนิ สมรรถนะด้านความสัมพันธก์ ับชุมชน ผลการวจิ ัยพบวา่ ภาพรวมสมรรถนะครสู ังคมจอมบงึ ประเมินตนเองทร่ี ะดบั เช่ยี วชาญ รายงาน ผลการวิจัย แยกตามสมรรถนะหลกั ดังน้ี สมรรถนะหลักมติ ิที่ 1 การประเมนิ สมรรถนะด้านความรใู้ นศาสตรเ์ ฉพาะและวชิ าชีพครู โดยภาพรวม พบว่า ประเมนิ ตนเองทร่ี ะดบั เช่ยี วชาญ แยกการรายงานผลตามสมรรถนะรองพบวา่ สมรรถนะรองที่ 1 สามารถประยกุ ต์ใชท้ ฤษฎี หลกั การ แนวคดิ และข้อมลู ทเี่ ก่ียวข้อง ประเมนิ ตนเองทร่ี ะดับเชีย่ วชาญ-ระดับ ชานาญ สมรรถนะรองท่ี 2 สามารถใช้กระบวนการวจิ ัย ประเมนิ ตนเองทรี่ ะดบั เช่ียวชาญ สมรรถนะหลกั มติ ิที่ 2 การประเมนิ สมรรถนะดา้ นความสามารถในการจดั การเรยี นรูต้ ามแนวคิด CCR- CBE โดยภาพรวมพบว่า ประเมนิ ตนเองทร่ี ะดบั ชานาญ แยกการรายงานผลตามสมรรถนะรองพบวา่ สมรรถนะ รองที่1 สามารถออกแบบและจัดกระบวนการเรยี นรเู้ ชิงรกุ (active learning)ตามแนวคิด CCR ประเมินตนเอง ทร่ี ะดับชานาญ สมรรถนะรองที่ 2 สามารถสรา้ งแรงจงู ใจและแรงบนั ดาลใจใหผ้ ้เู รียนเกิดความต้งั ใจ ประเมิน ตนเองทรี่ ะดบั ชานาญ สมรรถนะรองที่ 3 สง่ิ สนบั สนนุ การเรยี นรทู้ เ่ี ออ้ื อานวยการเรียนรู้ ประเมนิ ตนเองที่ ระดับเช่ยี วชาญ สมรรถนะหลักมติ ิที่ 3 การประเมนิ สมรรถนะด้านคณุ ลกั ษณะความเปน็ ครสู ังคม โดยภาพรวมพบว่า ประเมินตนเองทร่ี ะดบั เชยี่ วชาญ แยกการรายงานผลตามสมรรถนะรองพบวา่ สมรรถนะรองที่ 1 สามารถ ตรวจสอบ ยอ้ นคดิ และรับฟงั ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ของผอู้ ่นื ประเมินตนเองทร่ี ะดบั เชี่ยวชาญ สมรรถนะรองท่ี 2 สามารถรับฟงั ผเู้ รยี นได้อยา่ งลกึ ซง้ึ และปฏบิ ตั ิหน้าท่ตี อ่ ผเู้ รยี นอย่างเต็มใจ ประเมนิ ตนเองท่รี ะดับเช่ยี วชาญ สมรรถนะรองที่ 3 สามารถแสดงบทบาทหน้าทีข่ องตนและเปน็ แบบอย่างทีด่ ีในการเป็นพลเมืองตน่ื รู้ (Active Citizen) ประเมนิ ตนเองทรี่ ะดบั ชานาญ สมรรถนะหลักมิติที่ 4 การประเมินสมรรถนะด้านความสมั พนั ธ์กบั ชมุ ชน ไมม่ กี ารประเมนิ งานวจิ ยั เร่ืองที่3เรื่อง การประเมินสมรรถนะครูสงั คมจอมบงึ : มติ กิ ารจัดการเรียนรู้ (Chombueng Social-Teacher Competency Assessment: Learning Management Dimension การวจิ ัยเร่ือง การประเมินสมรรถนะครูสงั คมจอมบงึ มิตกิ ารจัดการเรยี นรู้ มวี ตั ถุประสงค์เพอ่ื ประเมิน สมรรถนะครสู ังคมจอมบงึ มิติการจัดการเรยี นรู้ และเพ่ือศึกษาพัฒนาการของสมรรถนะครสู งั คมจอมบึง มติ ิ การจดั การเรยี นรู้ ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ยั ไดแ้ ก่ นกั ศกึ ษาหลักสตู รครศุ าสตรบัณฑติ สาขาวิชาสงั คมศกึ ษา ชนั้ ปีที่ 4 ลงทะเบียนรายวชิ า PC 58802 การฝึกปฏบิ ตั วิ ชิ าชพี ระหว่างเรียน 2 จานวน 32 คน ภาคการศกึ ษาที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 เคร่ืองมือเก็บข้อมลู ไดแ้ ก่ แบบประเมนิ สมรรถนะครสู งั คม สมรรถนะหลักมติ ทิ ี่ 2 ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคดิ CCR-CBE การวเิ คราะหข์ ้อมลู ใชค้ ่ารอ้ ยละ และการวเิ คราะห์ เนอ้ื หา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 207 รายงานผลการวิจยั เปรยี บเทยี บพฒั นาการในการจัดการเรียนรู้ แยกรายงานผลการประเมินโดยครพู ่ี เลยี้ ง และรายงานผลการประเมนิ โดยเพอ่ื นนกั ศกึ ษาสาขาสังคมศึกษา ดงั น้ี รายงานผลการประเมนิ โดยครูพี่ เลย้ี ง สมรรถนะรองท่ี 1 สามารถออกแบบและจัดกระบวนการเรียนรเู้ ชิงรกุ (active learning) ตามแนวคดิ CCR พบวา่ ผลการประเมินอยูท่ ร่ี ะดบั ชานาญทงั้ 2 ครงั้ สมรรถนะรองที่ 2 สามารถสรา้ งแรงจูงใจและแรง บันดาลใจใหผ้ เู้ รียนเกิดความตง้ั ใจ และสมรรถนะรองที่ 3 สง่ิ สนบั สนุนการเรียนรทู้ ี่เออื้ อานวยการเรยี นรู้ พบวา่ ผลการประเมนิ อยทู่ ่ีระดบั ชานาญ มีพฒั นาการมาทีร่ ะดบั เชย่ี วชาญ รายงานผลการประเมินโดยเพ่อื นนักศกึ ษา สาขาสังคมศกึ ษา สมรรถนะรองท่ี 1 สามารถออกแบบและจดั กระบวนการเรียนรเู้ ชงิ รกุ (active learning) ตาม แนวคิด CCR สมรรถนะรองที่ 2. สามารถสรา้ งแรงจงู ใจและแรงบนั ดาลใจใหผ้ เู้ รียนเกิดความตั้งใจ และ สมรรถนะรองที่ 3. สง่ิ สนบั สนนุ การเรียนรทู้ เ่ี ออ้ื อานวยการเรียนรู้ พบวา่ ผลการประเมนิ อยทู่ รี่ ะดบั ชานาญ- ระดับเชี่ยวชาญท้งั 2 ครั้ง 7. บทสรปุ เมื่อผเู้ รียนผ่านการจัดกระบวนการเรียนรดู้ ้วยแนวคดิ CCR แลว้ ผเู้ รยี นมคี วามสามารถเรียนรู้ ความรู้รอบตัวเองได้อยา่ งมีเหตุ-ผล และสมเหตสุ มผลบนฐานตรรกวิทยาศาสตร์ หรอื กล่าวได้วา่ เปน็ ผมู้ ี ความคดิ แบบวิทยาศาสตร์(Scientific Thinking) พรอ้ มดว้ ยความเคารพความเปน็ มนุษย์ดว้ ยกันเองตาม ปรชั ญามนุษยนิยม ความสามารถเรียนรเู้ องไดม้ ีความหมายเดียวกับ Growth Mindset นั่นคอื การสรา้ งผูเ้ รยี น ทม่ี พี ัฒนาการทางความคดิ สืบเน่ืองตลอดไปอย่างเห็นคณุ ค่าในตนเองวา่ คนทกุ คนพฒั นาต่อไปได้ตราบเท่าที่ มนษุ ยเ์ ชือ่ มัน่ ในศกั ยภาพของความเปน็ มนุษย์วา่ ทกุ คนเรยี นร้แู ละพฒั นาใหด้ ขี ึน้ ได้ ใหค้ ุณคา่ กบั ความต้งั ใจและ พยายาม มองอปุ สรรคเปน็ โอกาส และความผดิ พลาดเป็นชอ่ งทางการพฒั นา (แผน่ พับ: ศูนยจ์ ติ วทิ ยาการศึกษา CEP Center for Educational Psychology) สามารถเกดิ การเปลีย่ นผ่านการเรียนร(ู้ transformative learning) ได้ การนาแนวคิดนไ้ี ปใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนในรายวชิ าเศรษฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น รายวชิ าเทคนิค การสอนกลมุ่ สาระสงั คมศึกษา รายวิชาการสอนสงั คมศกึ ษา 1-2 แล้ว ใหน้ กั ศึกษานาแนวคดิ น้ีไปใช้จัดการ เรยี นการสอนทโ่ี รงเรยี น ดาเนินการประเมินผลลพั ธ์การเรยี นร้ตู ามแนวคดิ นี้ ไดผ้ ลลัพธท์ ร่ี ะดับชานาญและ เช่ยี วชาญ นาแนวคดิ น้มี าใช้ในการจัดการเรยี นการสอนตอ่ ไป มีการปรบั รายละเอียดเนน้ ทจี่ ติ ตปญั ญาศึกษา และการโคช้ มากขึ้น อ้างอิง นันทวัน พวั พัน. 2560. ผลการประเมินแผนการเรยี นร้รู ายวชิ าการจดั การเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ท่ีบูรณาการ แนวคิดจติ ตปัญญาศกึ ษาและการเรียนรู้โดยใชก้ ารวจิ ัยเป็นฐาน. การประชมุ วชิ าการ”การวจิ ัยระบบ การศกึ ษาไทย” ครั้งที่ 2 วนั ที่ 14-15 ธนั วาคม 2560 ณ สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจ้าคุณทหาร ลาดกระบงั กรงุ เทพฯ ฆนทั ธาตทุ อง.(2555). สบายตา โมเดล SBITHA Model.กรุงเทพมหานคร:เพชรเกษมการพิมพ.์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 208 ประเวศ วะส.ี (2550).จติ ตปัญญาศึกษา. https://th.wikipedia.org/wiki สีบคน้ เมอื่ 9 มีนาคม 2562 วิชยั วงษใ์ หญ่ และมารุต พัฒผล. (2562). การโค้ชเพอ่ื พัฒนาศกั ยภาพผู้เรยี น.กรุงเทพมหานคร: บริษทั จรัล สนทิ วงศ์การพมิ พ์ จากดั วชั รศกั ดิ์ มาเกิด.(2563) การสอนแบบจิตตปัญญาศกึ ษา. http://edu.nsru.ac.th/2011/files/knowlage/ 17-40-42_07-09-2017_km2559_1.pdf สืบคน้ เมือ่ 2 เมษายน 2563 สมุ น อมรววิ ฒั น.์ (2548). ดุลยภาพของการเรยี นรู้.โครงการจิตวิวฒั น,์ มลู นิธิสดศร-ี สฤษดิว์ งศ์ สนบั สนนุ โดย สาํ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสริมสขุ ภาพ (สสส.),(online). http://thaissf.org/category/, 31 ตลุ าคม 2548 สานกั งานราชบณั ฑิตยสภา.จติ ตปัญญาศกึ ษา. http://www.royin.go.th/knowledges สบื คน้ เมอื่ 2 เมษายน 2563 สานักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2560). การประเมนิ เพื่อการเรยี นรู้ : การต้งั คาถามและการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เพือ่ สง่ เสริมการเรยี นร.ู้ โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั : กรงุ เทพมหานคร อนชุ าติ พวงสาํ ล.ี (2562) จติ ตปัญญาศกึ ษา. https://www.gotoknow.org/posts/104448 สืบคน้ เมอื่ 9 มนี าคม 2562 กจิ กรรมทา้ ยบท 1. เขียนแผนผัง(mind map)แนวคดิ CCR-CBE ได้ 2. สมั นาแนวคิด CCR-CBE ส่งผลต่การเรียนรูข้ องตนเองอยา่ งไร 3. จดั กิจกรรมตามแนวคดิ จิตตปัญญาศึกษาให้ทกุ คาบเพอื่ เปลีย่ นผา่ นตนเอง 4. ทาชน้ิ งาน RBL มาสง่ และสมั มนา 5. เขยี นแผนการสอนตามแนวคดิ CCR-CBE ได้ถูกต้อง
209 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 10 หวั ขอ้ เนอ้ื หา 1. บทนำ 2. จุดมงุ่ หมำยของกำรวดั ประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ 3. หลกั กำรของกำรวดั ประเมินผลกำรเรยี นรู้ 4. กำรวัดผลกำรเรยี นรู้ 5. กำรประเมินผลกำรเรียนรู้ 6. กำรวัดและประเมนิ ผลกำรเรียนร้ใู นศตวรรษที่ 21 7.บทสรปุ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. สำมำรถนำวิธีกำรวดั ผลมำใช้ได้เหมำะสมกบั ผูเ้ รียน 2. สำมำรถนำวธิ ีกำรประเมินผลมำใช้ไดเ้ หมำะสมกบั เนื้อหำสำระ วธิ ีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วธิ สี อน 1.1 วิธีสอนแบบใชค้ รูพีเ่ ลยี้ ง (Tutorial Method) 1.2 วิธีสอนแบบอปุ นยั (Inductive Method) 1.3 วิธสี อนแบบศึกษำดว้ ยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธสี อนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธีสอนแบบแบง่ กล่มุ ระดมพลังสมอง 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 นกั ศกึ ษำดูวีดิทัศน์กำรสอนกล่มุ สำระทกุ กลุม่ ของชน้ั ประถมศึกษำปที ี่ 1-6 อำจำรย์กระต้นุ ให้ สงั เกตและตอบคำถำมเกยี่ วกับปญั หำกำรวัดและประเมนิ ผลในช้นั เรยี น ตง้ั คำถำมใหน้ กั ศกึ ษำชว่ ยกันคิดหำ คำตอบว่ำปัญหำกำรวัดและประเมินผลสำมำรถใช้วัดและประเมนิ ผลได้อย่ำงไร 2.2นักศกึ ษำคน้ หำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพอื่ ค้นหำกำรวัดและประเมนิ ผลในชั้นเรียน ทีเ่ หมำะสม 2.3อำจำรย์ชักชวนค้นหำเหตผุ ล อธบิ ำยประเดน็ สำคญั เรอื่ งกำรวดั และประเมนิ ผลในชน้ั เรยี นที่ เหมำะสม 2.4 นักศกึ ษำตั้งกล่มุ ยอ่ ย อภปิ รำยประเดน็ กำรวดั และประเมินผลในชนั้ เรียนท่ีเหมำะสม 2.5อำจำรย์จัดสัมนำให้นกั ศกึ ษำหำเหตผุ ลกำรวัดและประเมนิ ผลในช้นั เรียนทเี่ หมำะสมมำใชก้ บั เด็กตำ่ งๆ เพื่อนรว่ มชน้ั แสดงควำมคดิ เห็นตอ่ อยำ่ งมีมำรยำทในกำรสมั นำ อำจำรยใ์ หค้ วำมเห็น อธบิ ำยให้ นักศกึ ษำได้แลกเปลย่ี นเรียนรรู้ ว่ มกนั 2.6 นักศึกษำศึกษำเนื้อหำสำระของกล่มุ สำระตำ่ งๆ จำกเอกสำรประกอบกำรสอน 2.7 นักศกึ ษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และรว่ มอภปิ รำยเพือ่ สรปุ เนื้อหำทไ่ี ดเ้ รยี นรู้ 2.8 อำจำรยม์ อบหมำยให้นกั ศกึ ษำสะท้อนคดิ เปน็ รำยบคุ คล
210 สื่อการเรยี นการสอน 1. ไฟลว์ ีดทิ ัศน์กำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กล่มุ ของชั้นประถมศึกษำปที ี่ 1-6 2. กระดำษฟลปิ ชำรท์ เขยี นแผนผงั กำรวัดและประเมนิ ผลในช้ันเรียนทีเ่ หมำะสม 3. เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวชิ ำกำรสอนสงั คมศึกษำ 1 การวดั ผลและประเมินผล 1. วัดและประเมินผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วดั และประเมินผลจำกกำรอภปิ รำย สมั มนำ 3. วัดและประเมนิ ผลจำกกำรสะท้อนคิด 4. วัดและประเมินผลจำกกำรเขียนแผนกำรสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 211 บทท่ี 10 การวดั ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 1. บทนา การวัดผลและประเมินผล เปน็ กระบวนการซง่ึ ประกอบดว้ ยกระบวนการยอ่ ย ได้แก่ การวดั ผล (measurement) และการประเมินผล (assessment) ท้งั การวัดผลและประเมินผลมคี วามสมั พนั ธ์ เกีย่ วข้อง กนั อยา่ งแยกไมอ่ อก ในทางการศึกษาจึงมกั ใช้คาวา่ “การวดั ประเมนิ ผล” ในการออกแบบ การเรียนการสอน ซ่งึ มจี ุดมุ่งหมายเพ่อื พฒั นาผเู้ รยี นใหบ้ รรลผุ ลการเรียนรู้น้ัน การวัดประเมนิ ผลในท่นี ี้ จงึ หมายถงึ การวดั ประเมินผลการเรยี นรู้ (assessment of learning) ซึง่ เปน็ กระบวนการรวบรวมหลกั ฐาน ข้อมูลเชงิ ประจักษ์ ต่าง ๆ เมอื่ สิ้นสุดกระบวนการเรยี นรเู้ พือ่ ตัดสนิ คณุ คา่ ในการบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคห์ รือ ผลลพั ธ์การเรียนรู้ เปน็ การ ประเมนิ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ซง่ึ แสดงถึงมาตรฐานทางวิชาการในเชิงสมรรถนะและคณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ สารสนเทศดงั กลา่ วนาไปใช้ในการกาหนดระดับคะแนนให้ ผเู้ รียนรวมท้ังใช้ในการปรบั ปรุงหลักสูตร และการเรยี นการสอน 2. จดุ ม่งุ หมายของการวัดประเมินผลการเรยี นรู้ การวัดประเมนิ ผลการเรียนรมู้ จี ุดมุ่งหมายดงั นี้ 1) เพ่ือนาผลการประเมนิ ไปใช้ในการปรบั ปรงุ การเรยี นรขู้ องผูเ้ รียน 2) ทาใหท้ ราบจดุ ออ่ นจุดแขง็ ของผเู้ รียนเป็นรายบคุ คล และสามารถนาสารสนเทศไปใช้ วางแผนแก้ไข ปัญหาผู้เรยี นเป็นรายบุคคลได้อย่างเหมาะสม 3) ประเมินประสิทธิภาพของกจิ กรรมและวิธีการเรยี นการสอนท่ผี สู้ อนใช้ในการเรียนการสอน 4) ประเมนิ และปรบั ปรุงประสทิ ธภิ าพของหลกั สูตร 5) ประเมินและปรบั ปรงุ ประสทิ ธิภาพการสอนของผสู้ อน 6) สอื่ สารใหผ้ ูป้ กครอง ชุมชน สังคมทราบผลการเรยี นรู้ของผูเ้ รียน 3. หลกั การของการวดั ประเมินผลการเรียนรู้ การวดั ประเมินผลการเรียนรู้มหี ลกั การทค่ี วรคานึงถึง ดังนี้ 1)การวัดประเมินผล ผเู้ รียนควรเป็นกระบวนการทกี่ ระทาตอ่ เนอื่ งเพื่อดพู ฒั นาการ ความกา้ วหน้าใน การเรียนรู้ของผเู้ รียนเป็นหลกั 2)ควรใชข้ ้อมูลจากหลายแหลง่ และครอบคลุมสงิ่ ที่ต้องการวดั หลายด้านเพราะการศกึ ษา มจี ุดมุ่งหมาย เพ่ือพฒั นาผเู้ รยี นทงั้ ในด้านสตปิ ัญญา ความสามารถในการปฏิบัติงาน เจตคตแิ ละค่านิยม กระบวนการคดิ การ แก้ปญั หาดงั น้นั ในการวดั ประเมินผลผเู้ รียนควรให้ครอบคลมุ ผลการเรยี นร้ทู กุ ดา้ นและใชข้ อ้ มลู จากแหลง่ ขอ้ มลู หลายแหลง่ ในสถานการณท์ ่แี ตกต่างกันเพอื่ ช่วยให้ไดข้ อ้ มลู ท่สี มบรู ณ์ ครบถ้วนพอเพยี งต่อการประเมนิ เพือ่ ตดั สินผเู้ รียน 3) ควรเลอื กใชว้ ิธกี ารและเครอ่ื งมอื วดั ผลใหส้ อดคลอ้ งกบั ส่งิ ทีจ่ ะวัด 4) ผู้ทีม่ สี ่วนเกย่ี วข้องในการวดั ประเมินผลการเรียนรู้ ควรประกอบดว้ ยบคุ คลหลายฝา่ ยไม่ใช่ เฉพาะ แตผ่ สู้ อนเท่าน้ัน แตค่ วรรวมถงึ ผปู้ กครอง เพือ่ นรว่ มชน้ั และตัวผู้เรยี นเอง เพราะจะชว่ ยให้ รบั ทราบขอ้ มูลจาก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 212 มมุ มองท่แี ตกตา่ ง และหลากหลายจากบคุ คลหลายฝ่ายทเ่ี ก่ียวข้องกบั ผู้เรยี น จงึ ยอ่ ม ดีกวา่ ขอ้ มลู จากผสู้ อน เพยี งฝา่ ยเดยี ว 5)การประเมินตนเองเป็นองค์ประกอบทส่ี าคญั ของการวัดประเมินผล ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นมีความรบั ผดิ ชอบ การเรียนร้ขู องตัวเองและพฒั นาตนเอง 6) การวัดประเมนิ ผลและกระบวนการจัดการเรียนการสอนเป็นสิ่งทส่ี มั พนั ธ์กันการประเมินผลต้องมี ส่วนช่วยให้การเรียนการสอนมปี ระสทิ ธิภาพ และเปน็ ประโยชน์ตอ่ การพฒั นา ผเู้ รยี นทง้ั ทางดา้ นสตปิ ญั ญา ทักษะ และเจตคตขิ องผเู้ รียน 4. การวดั ผลการเรยี นรู้ การวัดผล หมายถึง การดาเนินงานเพื่อให้ได้ข้อมูลซง่ึ เก่ยี วกบั ผลงาน (product) ท่ีเกดิ จาก การเรียนรู้ และการปฏบิ ตั งิ าน (performance) ของผเู้ รียน โดยอาศัยเครือ่ งมือการรวบรวมขอ้ มลู เช่นแบบทดสอบ แบบ สมั ภาษณ์ ช้นิ งานของผเู้ รียน แบบรายงานตนเอง เป็นตน้ การวดั ผลการเรียนรู้ต้อง คานงึ ถงึ สงิ่ ต่อไปน้ี 1. คณุ ลักษณะสาคญั ของเคร่ืองมือ เครือ่ งมอื การวดั ผลทด่ี คี วรมลี กั ษณะ 3 ประการ คอื ความตรง (validity) ความเชอ่ื มน่ั (reliability) และการนาไปใช้ (practicality) 1) ความตรง (validity) เป็นคุณลักษณะของเครอ่ื งมอื ท่ีสามารถวดั ในสง่ิ ทตี่ อ้ งการวัดได้ ถกู ต้อง แม่นยาไมผ่ ิดพลาด ความตรงมหี ลายประเภท ไดแ้ ก่ (1) ความตรงตามจดุ ประสงคข์ องการวัด (objective-validity) หมายถึง คุณภาพ ของเครือ่ งมือทสี่ ามารถวัดได้ตรงตามจุดประสงคข์ องการวัด และครอบคลมุ จุดประสงค์ของการวัดที่ ระบุไว้ (2) ความตรงตามเนอ้ื หา (content validity) หมายถึง คณุ ภาพของเคร่ืองมือท่ี สามารถวัดไดต้ รงและครอบคลมุ ขอบเขตของสง่ิ ท่ตี อ้ งการวดั (3) ความตรงตามเกณฑ์ (criterion validity) หมายถึง คณุ ภาพของเครอ่ื งมอื ใน การ ทานายความสามารถของผเู้ รียนว่ามคี วามรู้ ความสามารถในการปฏบิ ัติในระดบั ที่เกณฑ์กาหนดไว้ เพียงใด เครอ่ื งมอื วดั ผลบางชนดิ ต้องการความตรงตามเกณฑ์ เช่น แบบวดั ความถนดั ของผู้เรยี นซงึ่ ใช้ ใน การวัดความสามารถในการเรียนรสู้ าระในวชิ าชพี เฉพาะทางทจ่ี ะเรียนในมหาวิทยาลยั จาเปน็ ต้องมี ความตรงตามเกณฑ์ เพอ่ื ใชท้ านายความสาเรจ็ หรือผลการเรยี นรู้ของผเู้ รียนในมหาวิทยาลัยได้จริง หรือไม่ (4) ความตรงตามภาวะสนั นษิ ฐาน (construct validity) หมายถึง ความสามารถ ของเครือ่ งมอื ทส่ี ามารถวัดคุณลกั ษณะของพฤติกรรมทไี่ ดอ้ ธบิ ายไว้ หรือเป็นไปตามสมมติฐานหรือ ภาวะสนั นษิ ฐานที่กาหนดไว้ ภาวะสนั นิษฐาน หมายถึงลกั ษณะเฉพาะที่สันนิษฐานจากพฤตกิ รรมของ มนุษย์ เชน่ แบบวดั ความสามารถในการอา่ น สามารถวัดได้ครอบคลมุ ตวั บ่งช้หี รอื ลักษณะเฉพาะท่ี แสดงพฤตกิ รรมหรือความสามารถในการอ่านได้อย่างครอบคลุมเพียงใด เคร่ืองมอื วดั ทมี่ คี ณุ ลกั ษณะด้านความตรง จะทาใหส้ ามารถวดั ขอ้ มลู เกยี่ วกบั ผลการเรยี นรู้ ของผเู้ รียนได้อยา่ งครอบคลมุ นา่ เช่อื ถอื ซงึ่ เปน็ ประโยชน์ตอ่ การพจิ ารณาตัดสินเก่ียวกบั การเรียนการ สอน ได้อยา่ งมั่นใจ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 213 2) ความเชอื่ มัน่ (reliability) เปน็ คณุ ภาพของเครอ่ื งมือในการวัดในส่ิงเดียวกันไดผ้ ล อยา่ ง เดียวกนั หรือความคงเสน้ คงวาของผลท่ไี ดจ้ ากการวัด ไมว่ ่าจะทาการวดั เมื่อใดกต็ าม ความเทย่ี ง ของ เครือ่ งมอื จะทาให้ข้อมูลที่ไดจ้ ากการวดั สามารถนาไปใช้ประมาณความสามารถทแ่ี ท้จรงิ ของผเู้ รยี นได้ 3)การนาไปใช้ (practicality) เปน็ คณุ ภาพของเครอื่ งมอื ท่ีพิจารณาจากค่าใช้จา่ ยและ เวลา ที่ใช้ตลอดจนความสะดวกในการใช้ การพฒั นาเครื่องมอื วัดผลใหม้ ีคุณภาพนน้ั จาเป็นตอ้ งอาศัย ทรัพยากรและเวลา หากต้องใชเ้ คร่ืองมอื หลากหลายประเภทเพอื่ ให้ไดข้ ้อมลู อยา่ งรอบด้านยงิ่ ตอ้ ง อาศยั ทรพั ยากรและเวลามากยิ่งขน้ึ ดงั น้ันการรจู้ ักตัดสินใจเลอื กใช้เครือ่ งมือทม่ี ีความเหมาะสมกบั สงิ่ ที่ ตอ้ งการวัดให้สอดคล้องกับทรพั ยากรและเวลาท่ีมีอยจู่ ากดั ยอ่ มจะเหมาะสมมากกวา่ ดงั น้ันประเดน็ การ น ไปใชจ้ ึงเป็นสงิ่ หนงึ่ ทีน่ ักออกแบบการเรยี นการสอนควรคานึงถึง ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการวัด สามารถแบง่ ตามลักษณะของข้อมูลออกเปน็ ข้อมลู เชิงปรมิ าณ และข้อมลู เชงิ คุณลกั ษณะ ขอ้ มูลเชิงปริมาณมกั จะกาหนดเปน็ จานวนและตัวเลข เชน่ มาลีทา แบบทดสอบคณิตศาสตร์ ได้ 8 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ณฐั วิ่งไดร้ ะยะทาง 100 เมตร ใน เวลา 15 วินาที ข้อมูลเชงิ คุณลกั ษณะ มกั จะกาหนดในรปู ของขอ้ มูลเชงิ บรรยายสภาพ เช่น มาลแี บง่ ปนั ของ เล่นและเครอ่ื งเขยี นให้กบั เพ่อื นใน ห้องเรยี น ข้อมลู ทร่ี วบรวมได้จากการวัดดงั กล่าวยังไมม่ คี วามหมายใน เชิงการประเมินผล 2. ชนิดของเคร่ืองมือ เคร่ืองมอื สาหรับรวบรวมข้อมลู เกีย่ วกับผเู้ รยี นมหี ลากหลาย ประเภท ทง้ั น้นี กั ออกแบบการเรียนการสอนควรพจิ ารณาเลือกใชใ้ หส้ อดคลอ้ งกับจดุ ประสงคแ์ ละสิ่งที่ ตอ้ งการวัด ดงั น้ี 1) ตวั อย่างชิน้ งาน (work samples) ตัวอยา่ งชนิ้ งานเป็นสิ่งท่เี กิดขึ้นจากการทางาน ของผเู้ รยี น ในสภาพการเรยี นการสอนปกติ เปน็ สิ่งท่มี ีความสาคัญเพราะเป็นหลกั ฐาน รอ่ งรอยท่ีบง่ ชี้ ผลการเรยี นร้ขู อง ผเู้ รียนตามสภาพที่แทจ้ ริง ผสู้ อนสามารถใช้ชิ้นงานของผู้เรยี นวดั ท้ังด้านผลผลิต (product) และการปฏบิ ัติงาน (performance) ตวั อยา่ งที่เป็นผลผลติ ได้แก่ ผลงานเขยี นตา่ ง ๆ รายงานการทาโครงงาน การสร้างแบบจาลอง ผลงานประดษิ ฐ์คิดค้น และงานสรา้ งสรรคใ์ นงานศลิ ปะ ตา่ ง ๆ เป็นต้น ตวั อย่างท่ีเป็นการปฏบิ ัตงิ าน ไดแ้ ก่ การ แสดง การทดลอง การแขง่ ขัน การเลน่ เกม การสื่อสาร เป็นต้น จุดเดน่ ของการใช้ช้นิ งานเหลา่ นีใ้ นการ ประเมนิ ผล คือ สะทอ้ นสภาพความเป็นจริง ให้ใกลเ้ คยี งกบั สภาพปกติ ผ้เู รียนไมร่ สู้ ึกเครยี ดและกดดัน ดงั น้ันจึง เปน็ ข้อมลู ทสี่ ามารถวัดความสามารถที่ แท้จริง หรือพฤติกรรมการแสดงออกทใี่ กลเ้ คียงความจรงิ ไดด้ กี ว่า เรา สามารถใชข้ ้อมลู จากช้นิ งานในวชิ า ต่าง ๆ เชน่ ผลงานการแต่งกลอน การเขยี นจดหมาย การเรยี งความ การ แต่งเร่ืองสนั้ ในวชิ าภาษาไทย ผลงานการประดษิ ฐ์ การปนั้ การวาด การเลน่ ดนตรี การแสดงละคร การฟ้อนรา ในวชิ าทัศนศลิ ป์ ผลงานจากโครงงานต่าง ๆ ในวิชาวทิ ยาศาสตร์และสงั คมศกึ ษา เป็นตน้ 2) แบบทดสอบปากเปลา่ (oral test) เป็นเครอ่ื งมอื ทม่ี กั ใช้รว่ มกับการใชแ้ บบทดสอบ ที่ใชก้ ารเขยี น เชน่ การทดสอบปากเปล่าภายหลงั การสอบขอ้ เขียน การสอบปากเปล่าจะเป็นหนทางทผี่ ู้เรียน สามารถชีแ้ จง ใหค้ วามกระจา่ งชดั ในสง่ิ ท่ีตนเองเขยี นไวใ้ นแบบทดสอบได้ดีข้ึน ผสู้ อนสามารถเลือกใชก้ าร ทดสอบปากเปล่า แทนการสอบข้อเขียนหรือเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนเปน็ ผเู้ ลอื กใชว้ ิธีการน้ี ในกรณที ่ีผเู้ รียน ไม่มที กั ษะการเขียนแต่มี ความรคู้ วามเข้าใจในสง่ิ ทเ่ี รียน เช่น การทดสอบในเดก็ ระดบั อนบุ าล เพือ่ ให้ได้ คะแนนท่ีวดั ความรูค้ วามเข้าใจ ท่แี ท้จริงไมใ่ ชท่ ักษะการเขียนของผเู้ รยี น การใช้แบบทดสอบปากเปล่า ต้องสอบเป็นรายบคุ คลจงึ ใชเ้ วลามาก และอาจมีข้อโตแ้ ย้งในด้านความเช่อื มั่นของการวัด จงึ ควรกาหนด เกณฑท์ ่ีชัดเจนในการให้คะแนน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 214 3) แบบสงั เกตอย่างมีระบบ (systematic-observation) โดยปกติผสู้ อนใช้วธิ ีการสงั เกตพฤตกิ รรม ของผเู้ รียนในระหว่างการเรียนการสอนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของผเู้ รยี นและ พฤติกรรมการเรียน แตก่ าร สังเกตทผี่ ู้สอนท าไม่ใชก่ ารสงั เกตอย่างเป็นระบบในมุมมองของการวดั ผล ดงั นั้นผสู้ อนควรกาหนดเกณฑใ์ นการ สงั เกตอยา่ งมีจุดประสงคช์ ดั เจนเพอ่ื สงั เกตผ้เู รียนอยา่ งเปน็ ระบบ และบนั ทกึ ผลการปฏิบัตงิ านของผเู้ รียน เช่น ตอ้ งการประเมนิ ผลกระบวนการท างานกลุ่มของผู้เรียน ในขณะทาโครงงาน ผสู้ อนกาหนดสงิ่ ทตี่ อ้ งการสงั เกต ในการท างานกล่มุ ประกอบดว้ ย การวางแผนงาน การแบง่ หน้าท่ีรบั ผดิ ชอบของสมาชกิ ในกลมุ่ การท างานท่ี ได้รับมอบหมายตามแผนทีก่ าหนดไว้ การชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกันของสมาชกิ จากนน้ั ครสู ร้างแบบบันทึกการ สังเกตพฤติกรรมของผเู้ รียนและระยะเวลาในการสงั เกต โดยขอ้ มูลทไี่ ดจ้ ากการสงั เกตมีทง้ั ข้อมูลเชิงปรมิ าณ ไดแ้ ก่ การบนั ทกึ ความถข่ี องพฤติกรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ และขอ้ มลู เชงิ คุณลกั ษณะ ไดแ้ ก่ การบรรยายพฤติกรรมที่ สังเกตเหน็ ข้อมลู ทร่ี วบรวมไดน้ ีจ้ ะเป็นประโยชนต์ อ่ การพัฒนาและปรบั ปรงุ พฤติกรรมการทางานกลมุ่ ของ ผเู้ รยี นอยา่ งยงิ่ 4) แบบสมั ภาษณ์ (interviews) เปน็ เครอื่ งมือในการรวบรวมขอ้ มลู ซง่ึ ใชใ้ นการวัดผลท้ังใน ดา้ นผล การเรยี นรู้ (product) และการปฏบิ ตั ิงาน (performance) แบบสมั ภาษณท์ ใ่ี ช้โดยท่วั ไป แบง่ ได้ เป็น แบบ สมั ภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ งและแบบสมั ภาษณแ์ บบไมม่ โี ครงสร้าง ผสู้ อนควรใช้แบบสัมภาษณ์ แบบมโี ครงสรา้ ง เพ่ือรวบรวมข้อมลู เกยี่ วกับการปฏบิ ตั งิ านของผ้เู รียนตามประเด็นทสี่ นใจ การสัมภาษณ์ แบบเจาะลกึ จะช่วยให้ ได้รายละเอยี ดขอ้ เทจ็ จริงจากผู้เรยี นซงึ่ ไมส่ ามารถพบไดจ้ ากการสังเกต 5) แบบสอบถาม (questionnaires) เป็นเครื่องมอื ทเี่ หมาะกับการรวบรวมข้อมลู จากผเู้ รยี น กลมุ่ ใหญ่ ใช้สาหรบั การวดั ความคิดเห็น ความรสู้ กึ ของผเู้ รยี น หรอื การวัดพฤตกิ รรมของผู้เรยี นในบาง สถานการณ์ เช่น การวดั เจตคติของผูเ้ รยี นทมี่ ตี อ่ วชิ าคณติ ศาสตร์ การวดั พฤติกรรมการเรยี นของผเู้ รียน เป็นต้น การสร้าง แบบสอบถามให้มีคณุ ภาพต้องกาหนดโครงสร้างของแบบสอบถามใหค้ รอบคลมุ สง่ิ ทจี่ ะวดั กาหนดตวั บ่งชี้ พฤตกิ รรมตามกรอบโครงสรา้ งอยา่ งชดั เจน การคัดเลือกกลมุ่ ตวั อยา่ ง การเลือกใช้สถิติ ในการวิเคราะห์ข้อมลู เป็นตน้ 6) แบบตรวจสอบรายการและแบบจัดลาดับ (checklists and rating scales) เป็น เคร่อื งมอื ที่ เหมาะสาหรบั การวดั พฤติกรรมของผู้เรยี น และจดั ลาดับความถ่ี หรือคุณภาพของการแสดงพฤติกรรมของ ผเู้ รียนอยา่ งเปน็ ระบบ 7) แบบตรวจสอบรายการ (checklists) เป็นแบบประเมนิ ทป่ี ระกอบด้วยรายการพฤตกิ รรม ของ ผู้เรยี นทต่ี อ้ งการบันทกึ หรอื รวบรวม ดังนั้นในการพฒั นาแบบตรวจสอบรายการสงิ่ แรกที่ตอ้ งพจิ ารณา คือ การ กาหนดพฤติกรรมทช่ี ดั เจนและเฉพาะเจาะจง พิจารณาวา่ ความครอบคลมุ และความพอเพียง ของพฤตกิ รรมท่ี กาหนดนน้ั สามารถวดั พฤตกิ รรมทีต่ อ้ งการได้จรงิ หรอื ไม่ ตวั อย่าง ไดแ้ ก่ แบบวัดความ ร่วมมอื และการมสี ว่ น รว่ มในกิจกรรมกลมุ่ ของนกั เรียนระดบั ประถมศกึ ษา แบบวดั กระบวนการปฏบิ ตั กิ าร ทดลองวิทยาศาสตร์ของ นักเรยี นระดบั มธั ยมศึกษา เปน็ ตน้ 8) แบบจัดอันดับ (rating scales) เป็นเคร่ืองมอื ที่นยิ มใชใ้ นการวัดด้านเจตคติ แตก่ ็มีผปู้ ระยกุ ต์ ไป ใช้ในการวัดด้านความรู้ และดา้ นทักษะพอ ๆ กบั การวัดดา้ นเจตคติ ลักษณะสาคญั ของแบบทดสอบ แบบจัด อันดบั คือ มกี ารจัดช่วงการแสดงพฤตกิ รรมออกเป็นหลายระดบั ให้เลือก การสร้างแบบทดสอบ แบบจัดอันดับ สามารถสร้างได้งา่ ย ไม่มีความยงุ่ ยาก และเป็นเคร่อื งมอื ทสี่ ามารถใชส้ นองจดุ ประสงค์ได้ หลายประการจงึ เป็น ท่นี ยิ มใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย 9) แบบรายงานตนเอง (self–reports) เป็นเคร่ืองมอื ทใี่ ชร้ วบรวมข้อมลู ด้านพฤติกรรม และการ ปฏบิ ตั ิงานของผเู้ รียน โดยผเู้ รียนเปน็ ผูร้ วบรวมและนาเสนอขอ้ มูลการประเมินตนเองทงั้ ในดา้ น ความคดิ เหน็
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 215 และกระบวนการทางาน ซง่ึ ชว่ ยใหผ้ สู้ อนสามารถประเมนิ พฤตกิ รรมและการปฏิบตั งิ านของ ผเู้ รยี นได้ชดั เจน และครอบคลุมมากขึ้น แบบรายงานตนเองสามารถจดั ทาในรปู แบบบนั ทึกรายวันหรือ บนั ทกึ เหตุการณ์สาคัญ (diaries or log) บนั ทกึ ตามลาดบั พฤติกรรมของผเู้ รยี น (self-report scale) เป็นแบบบนั ทึกซงึ่ ผู้เรยี นเป็นผู้ เลอื กพฤติกรรมหรอื ทศั นคติทตี่ รงกบั ผเู้ รยี นในการบนั ทกึ 10) แบบประเมนิ การปฏิบตั ิเชิงคุณภาพ (rubric) เปน็ เครื่องมือการประเมินประเภทเกณฑ์ ใช้ สาหรับประเมนิ ความสามารถในการปฏิบัตงิ านและผลงานของผเู้ รียนเพอ่ื บอกระดบั คุณภาพ การประเมิน รปู แบบนีป้ ระกอบด้วยองค์ประกอบของสง่ิ ที่ต้องการประเมนิ หลายองค์ประกอบ เช่น การประเมนิ การ รายงาน ผลโครงงานของนกั เรียน มีองคป์ ระกอบทีต่ อ้ งการประเมนิ 3 ด้าน ได้แก่ เนอ้ื หา การจัดแสดง ผลงาน และการ รายงาน เกณฑ์ในการประเมินมรี ะดบั คณุ ภาพหลายระดับ ตัง้ แตร่ ะดับดมี ากไปจนถงึ ระดบั ปรับปรงุ ในแต่ละ ระดบั คณุ ภาพจะมคี าบรรยายทลี่ ะเอียดเกย่ี วกบั คณุ ลักษณะขององค์ประกอบที่ ตอ้ งการประเมิน ซงึ่ เปน็ ประโยชนต์ อ่ การวิเคราะห์คุณภาพของส่ิงทป่ี ระเมนิ การตดั สนิ ใจวา่ จะเลอื กเคร่ืองมือแบบใดในการวัดผลการ เรยี น ผอู้ อกแบบการเรยี นการสอน ควรคานึงถงึ จดุ ประสงคข์ องการเรยี นรู้ ความคุ้มทนุ ทั้งดา้ นเวลาและ ค่าใชจ้ ่าย ซ่งึ สามารถพิจารณาได้ จากตารางการวเิ คราะหด์ ังนี้ 5. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ การประเมนิ ผล หมายถงึ การตคี วามขอ้ มลู ท่ีได้จากการวัด เชน่ ในการวัดผลสมั ฤทธกิ์ ารเรยี น ของ ผู้เรยี นคนหนงึ่ ได้คะแนนรอ้ ยละ 69 ถ้าคะแนนเฉล่ียของผเู้ รยี นในหอ้ งคอื รอ้ ยละ 82 กแ็ สดงวา่ ผ้เู รียนคนน้ีทา คะแนนได้ต่ากว่าเกณฑเ์ ฉล่ยี หากคะแนนเฉล่ยี ในกล่มุ ไดร้ อ้ ยละ 44 กแ็ สดงวา่ ผู้เรียนคนนี้ อยใู่ นระดับดเี ย่ยี ม จะเหน็ วา่ โดยตวั ของคะแนนเองไม่ไดม้ คี วามหมายอะไร หรอื แสดงความหมาย น้อยมาก จนกว่าจะน า คะแนนน้นั มาตีความโดยเปรียบเทียบกบั เกณฑ์อะไรสักอยา่ งซ่งึ เปน็ ทรี่ บั รหู้ รือ ยอมรับกัน เกณฑก์ ารประเมินผลการเรยี นรู้ แบ่งได้ 2 เกณฑ์ คอื 1)อิงกลุ่ม (norm-referenced assessment) หมายถงึ การประเมินผลของบุคคลโดย เปรยี บเทียบ กบั บคุ คลอ่ืนทเ่ี รยี นอย่ใู นกลุ่มเดยี วกนั ทาได้โดยการน าคะแนนของผู้เรยี นรายบคุ คล เปรียบเทยี บกบั คะแนน เฉลีย่ ของกลมุ่ ซงึ่ ใชเ้ ครื่องมือวัดชุดเดียวกนั เพอ่ื พิจารณาวา่ บุคคลนั้นอยใู่ นระดบั ใดของกลมุ่ กลมุ่ ทีน่ ามาใช้ใน การเปรยี บเทียบหรือกล่มุ อ้างองิ เรยี กวา่ กลมุ่ ปกตวิ ิสยั (norm group) อาจจะเปน็ กล่มุ ภายใน เช่น ผู้เรยี นใน ช้ันเดยี วกนั หรือกลมุ่ ภายนอก เชน่ กลุม่ ปกตวิ สิ ยั ของแบบทดสอบ มาตรฐาน เป็นตน้ โดยปกตคิ ะแนนทผี่ ูเ้ รยี น แตล่ ะคน ได้รับจะแสดงในรปู ของคะแนนดิบ เกรด รอ้ ยละ เปอรเ์ ซนตไ์ ทล์ เป็นตน้ เม่อื นาคะแนนทผ่ี ู้เรยี นแต่ ละ คนได้รับมาไปเปรียบเทียบกบั คะแนนของกลมุ่ ซ่ึงได้แก่ คะแนนเฉล่ีย (mean) คา่ กลาง (median) หรอื ฐานนยิ ม (modal score) จะทาใหค้ ะแนนทผ่ี ู้เรียนแต่ละคนไดร้ บั มีความหมายมากข้นึ เพราะสามารถ ตคี วามหมายของคะแนนทผี่ ูเ้ รียนไดร้ บั 2)อิงเกณฑ์ (criteria-referenced assessment) หมายถึง การตดั สินผลการวดั โดยเปรยี บเทียบ กับเกณฑต์ ามจดุ ประสงค์ของการเรียนรทู้ ก่ี าหนดไว้ ทาได้โดยการนาคะแนนท่ีผเู้ รยี นไดร้ บั เปรียบเทยี บกับ เกณฑ์ความสาเรจ็ ของงานซ่งึ กาหนดขน้ึ เชน่ ผเู้ รียนคนหนง่ึ สอบวิชาเรยี งความไดร้ ้อยละ 61 เมอ่ื เปรยี บเทยี บ กับเกณฑซ์ ึ่งเปน็ ทยี่ อมรับโดยท่วั ไป อาจจะไม่นา่ พอใจมากนัก เพราะตามเกณฑท์ กี่ าหนดไว้ ร้อยละ 61 อยใู่ น ระดับ C ระดับท่ีนา่ พอใจ สาหรบั การเขยี นเรยี งความควรเปน็ C+ ขน้ึ ไป หรือไดค้ ะแนน ต้ังแตร่ ้อยละ 65 เปน็ ต้น การอิงเกณฑเ์ ป็นการประเมินผลทนี่ ยิ มใชก้ บั การเรยี นแบบรอบรู้ (mastery learning) เช่น ในการเรยี นโดย ใชช้ ุดการเรียน (programmed instruction) หรอื โมดุล (module) ซงึ่ ผเู้ รียนจาเปน็ ตอ้ งผ่านเกณฑป์ ระเมนิ ใน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 216 แต่ละขัน้ ท่กี าหนดไว้จึงจะสามารถข้ามไปเรียนบทเรยี นชดุ ตอ่ ไป ได้ ท้ังนเี้ พ่ือให้เกดิ ความม่นั ใจว่าผเู้ รียนจะมี ความรู้ท่เี พียงพอเป็นฐานการเรยี นในเรื่องตอ่ ไปหรอื การเรียน ในระดับที่สงู ขึน้ ให้ประสบความสาเรจ็ ได้ การ ประเมนิ การเรยี นรทู้ เี่ ปน็ แนวคิดใหม่ที่นอกเหนอื จากการประเมนิ ทก่ี ลา่ วแลว้ คอื แนวคดิ ท่ี เหน็ ว่าการเรียนการ สอนและการสอบตอ้ งอย่ใู นกระบวนการทส่ี มั พนั ธ์เช่ือมโยงไปด้วยกัน ดังน้นั จึงได้มี วิธีการประเมินผลการ เรยี นรูข้ องผูเ้ รยี นที่เรยี กวา่ การประเมินตามสภาพจริง และการประเมนิ ด้วยแฟม้ สะสมงาน ซ่งึ มรี ายละเอียด ดังน้ี 1) การประเมินตามสภาพจรงิ (authentic assessment) สแวนสัน นอรแ์ มน และลินน์ (Swanson, Norman, & Linn) เป็นผทู้ เ่ี สนอคาว่า การประเมนิ ตามสภาพจรงิ (authentic assessment) ซึ่ง มคี วามหมายเหมอื นกับการประเมนิ การปฏบิ ตั ิ (performance assessment) การ ประเมนิ ตามสภาพจริง สามารถประเมินจากการปฏิบตั งิ านหรือกจิ กรรมอย่างใดอยา่ งหน่ึง โดยงานหรอื กจิ กรรมท่มี อบหมายใหผ้ เู้ รียน ปฏบิ ตั ิจะเปน็ งานในสถานการณ์จรงิ หรอื ใกลเ้ คียงกบั ชีวิตจรงิ (real life) ขอ้ มลู ทวี่ ดั ได้จากผเู้ รยี นควร ครอบคลมุ ทง้ั ด้านการปฏิบัติ (performance) กระบวนการ (process) และ ผลผลติ (products) ขอ้ มูลดงั กลา่ วสามารถดาเนินการแบบบรู ณาการควบค่กู นั ไปดงั นี้ (1) การประเมินการแสดงออกและกระบวนการ (performance and process) สามารถ ดาเนินการโดยการสงั เกตพฤตกิ รรมเปน็ รายบุคคล และสงั เกตความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกลมุ่ จาก พฤตกิ รรมที่ แสดงออกในขณะทผี่ เู้ รยี นทางานหรอื ปฏิบตั ิกจิ กรรมต่าง ๆ สง่ิ ทส่ี ังเกตประกอบด้วย การสงั เกตสหี นา้ ทา่ ทางในการแสดงออก การพูดโต้ตอบ พฒั นาการทางด้านภาษา ความเข้าใจ เร่ืองราวในเรอ่ื งทเ่ี รียน เปน็ ตน้ สาหรบั การประเมนิ กระบวนการ (process) จะตอ้ งสงั เกตควบคูก่ บั การแสดงออก โดยผู้สอน สงั เกตการเคลอ่ื นไหวกิริยาท่าทาง ความรว่ มมือ ความคลอ่ งแคล่ว ความ อดทน การใชอ้ ุปกรณเ์ ครอ่ื งมอื ต่าง ๆ ในระหวา่ งการเรียน การปฏิบตั งิ าน รวมทงั้ การมปี ฏิสมั พันธ์ กบั เพอื่ นและผใู้ หญ่ เป็นต้น (2) การประเมนิ กระบวนการและผลผลิต (process and products) ผลผลิตของ ผเู้ รยี น มีความสาคัญและเปน็ ส่งิ จาเป็นในการประเมินตามสภาพจรงิ ผลผลิตของผเู้ รียนจะเป็นส่อื กลาง ให้ ผ้สู อนเขา้ ใจกระบวนการเรยี นรูข้ องผู้เรยี น ซงึ่ ได้จากข้อมลู ของผเู้ รียนจากการสารวจ ค้นพบ ค้นคว้า ทดลองและการแกป้ ญั หา สาหรบั จดุ เน้นของการประเมินสภาพจริงจะไมส่ ้นิ สดุ ทีผ่ ลผลิตเท่านั้น แต่จะ เนน้ ที่กระบวนการที่มผี ลต่อผลผลิตท่ไี ดด้ ้วย เทคนคิ วธิ กี ารทีน่ ิยมใชใ้ นการประเมินผลผลิต คือการ ประเมนิ จากแฟ้มสะสมงาน 2) การประเมนิ ดว้ ยแฟม้ สะสมงาน (portfolio assessment) เป็นวธิ ีการประเมนิ ที่ชว่ ย สง่ เสรมิ ให้ การประเมินตามสภาพจรงิ มคี วามสมบรู ณ์ สะทอ้ นศักยภาพทแ่ี ท้จรงิ ของผเู้ รยี นมากขนึ้ โดย การใหผ้ ู้เรยี นเกบ็ รวบรวมผลงานจากการปฏิบัตจิ รงิ ท้งั ในชั้นเรยี นหรอื ในชวี ติ จรงิ ท่ีเกยี่ วข้องกับการ เรยี นร้ตู ามสาระการเรียนรู้ ต่าง ๆ มาจดั แสดงอยา่ งเปน็ ระบบ โดยมีจดุ ประสงคเ์ พ่ือสะท้อนให้เหน็ ความ พยายาม เจตคติ แรงจงู ใจ พฒั นาการ และผลสมั ฤทธข์ิ องการเรียนรู้ของผเู้ รยี นและการวางแผนดาเนินงาน วิธนี ้ีจะช่วยผสู้ อนให้สามารถ ประเมนิ จากแฟ้มสะสมงานท่สี มบรู ณแ์ ทนการประเมินจากการ ปฏบิ ัตจิ รงิ ไดก้ ารประเมนิ ดว้ ยแฟ้มสะสมงานมี แนวทางในการดาเนินงาน ดงั น้ี 1) กาหนดโครงสร้างของแฟม้ สะสมงาน จากวัตถุประสงค์ของแฟม้ สะสมงานวา่ ตอ้ งการ สะท้อนส่ิงใดเก่ยี วกับความสามารถและพฒั นาการของผเู้ รยี น ท้งั น้ี อาจพิจารณาจากผลการเรียนรทู้ ่ี คาดหวงั ตามสาระการเรยี นรทู้ ส่ี ะทอ้ นได้จากการใหผ้ ูเ้ รยี นจดั ทาแฟม้ สะสมงาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 217 2) กาหนดวธิ ีการเกบ็ รวบรวมผลงานใหส้ อดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงค์ของแฟม้ สะสมงาน เพือ่ ให้ ผ้เู รียนไดท้ าแฟม้ สะสมงาน 3) กาหนดใหว้ ิธกี ารประเมินงาน เพ่อื พัฒนาชนิ้ งานซ่ึงส่งผลถึงการพัฒนาผู้เรยี น ใหม้ ีความ สามารถสูงสดุ ทั้งน้คี รอู าจจดั ทาเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนเชิงคุณภาพหลายมิติ (rubrics) สาหรบั ให้ผเู้ รียน นาไปใชเ้ ปน็ ข้อชน้ี าในการพฒั นางาน 4) ส่งเสริมใหเ้ กิดความร่วมมือในการพฒั นางานโดยการมสี ่วนร่วมในการประเมนิ จาก ทุกฝา่ ย แล้วน าข้อมูลทีส่ อดคล้องกนั ไปเปน็ สารสนเทศหลกั ในการใหข้ อ้ มูลป้อนกลบั (feedback) สาหรบั ให้ ผู้เรยี นใช้ในการปรบั ปรงุ แก้ไขขอ้ บกพรอ่ ง 5) จัดใหม้ กี ารนาเสนอผลงานที่ได้สะสมไว้โดยใช้วธิ กี ารที่เหมาะสม ซง่ึ ผสู้ อนและ ผเู้ รยี นควร วางแผนร่วมกนั ในการคัดเลอื กช้ินงานทดี่ ที ีส่ ดุ ทง้ั นี้ การน าเสนอชิ้นงานแตล่ ะช้ินควรมี หลกั ฐานการ พัฒนางานและการประเมนิ ผลงานดว้ ยตนเอง เกณฑ์การประเมินผลงานประกอบไวด้ ้วย ใน การใช้ วิธกี ารประเมินดว้ ยแฟม้ สะสมงาน ผสู้ อนควรคานึงดว้ ยวา่ แฟ้มสะสมงานมหี ลายประเภท การเลอื กใช้ แฟม้ สะสมงานประเภทใด ควรคานึงถึงรปู แบบและแนวทางในการพฒั นาแฟม้ สะสมงานให้ เหมาะสม เพอื่ ให้แฟม้ สะสมงานช่วยพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ของผเู้ รยี นดว้ ย แฟม้ สะสมงานซงึ่ เปน็ แหลง่ รวบรวมขอ้ มลู หลกั ฐานเกี่ยวกบั ผเู้ รยี นสามารถทาได้ 2 แบบ คือ 1) แฟ้มผลงานทีน่ าเสนอผลงานทีด่ ที ี่สุด 2) แฟม้ ผลงานแสดงพฒั นาการ ความก้าวหน้าของผเู้ รยี น การประเมินผลตามสภาพจริงและ การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงานจงึ มีความเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ใหม่ในการจดั การเรยี นรู้ ท่ีคานึงถงึ การเรยี นรใู้ นสภาพจริง บรบิ ทจริง(สมจิต จันทรฉ์ าย. https://sites.google.com/site/wjhdede/home สืบคน้ เมือ่ 27 มิถนุ ายน 2564) 6. การวดั และประเมินผลการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกิดข้ึนตลอดการจัดกระบวนการเรียนรู้ กาหนดเปา้ หมายของการ วดั และประเมนิ ต่างกันตามวตั ถุประสงคข์ องรายวิชา หลกั สูตรและสถานศึกษา การวัดและประเมนิ ผลการ เรยี นรู้ตามกระบวนทัศน์ใหม่ (Paradigm Shift) มุ่งเน้นการประเมนิ ตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) ท่เี กดิ ขึ้นกบั ผเู้ รียน เพ่อื นาผลการประเมินมาขับเคล่ือนการจัดกระบวนการเรียนร้ใู หผ้ ู้เรียนเปน็ สาคัญ การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรทู้ ี่ไดค้ วามนยิ มในศตวรรษน้ี ได้แก่ การประเมนิ เพอื่ เรียนรู้ (Assessment for Learning) การประเมินขณะเรยี นรู้ (Assessment as Learning) และการประเมินผลการเรยี นรู้ (Assessment of Learning) การประเมนิ เพือ่ เรียนรู้ (Assessment for Learning) มีวัตถุประสงค์เพอื่ สง่ เสรมิ การเรียนรู้ การประเมินน้เี กิดขน้ึ ตลอดกระบวนการเรียนรตู้ ามสภาพจริงที่เกิดขึ้นกบั การเรยี นรู้ของผเู้ รยี น การ ประเมนิ ขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning) เกิดขน้ึ ตลอดเวลาในขณะเรยี นรู้ มลี ักษณะเรียนรู้ในเวลา เดยี วกบั การประเมินโดยวิธกี ารประเมินขณะนนั้ ของการเรียนรู้ เช่น ประเมนิ จากการตอบคาถามในขณะเรียนรู้ การโต้ตอบ ขณะสนทนาการเรยี นรู้ การประเมนิ แบบนปี้ ระเมนิ ทนั ทีทนั ใดในขณะเรยี นร้ไู ปพร้อมกนั ชว่ ย ผู้เรยี นในการทบทวนคาตอบ และตระหนักถงึ สถานการณ์การเรียนรูข้ องตนเอง และการประเมินผลการเรยี นรู้ (Assessment of Learning) การประเมินประเภทน้ี มีแนวคิดเดยี วกับการประเมนิ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (Summary Assessment) หมายความว่าเปน็ การประเมินเพ่อื ตรวจสอบวา่ ผเู้ รียนบรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์การ เรยี นร้รู วบยอด (Executive Summary Assessment) ของหลักสูตรหรอื รายวิชานน้ั เม่ือส้ินสุดกระบวนการ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 218 เรียนรแู้ ลว้ เพอื่ ตดั สินคณุ ค่าของผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้ ตาม สมรรถนะ ของมาตรฐานทางวชิ าการและคุณลักษณะ อนั พงึ ประสงค์ของหลกั สตู ร และรายวชิ า(สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. 2560 หน้า 3) หลกั การพ้นื ฐานการวดั และประเมินผล เม่ือเสรจ็ สิ้นการจัดกระบวนการเรียนรู้แลว้ มีการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวดั และประเมนิ ผล การเรียนรมู้ ี 2 ประเภทขน้ึ กบั จดุ ประสงค์การเรียนรวู้ า่ ต้องการวัดและประเมินอะไร ช่วงเวลาใดของ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และตอ้ งการตดั สินผลการเรยี นในทางปฏบิ ตั ดิ ว้ ย การวดั และประเมนิ ประเภทท่ี1 การวัดและประเมินความกา้ วหนา้ (Formative Assessment) วดั และประเมนิ ผลการเรียนรเู้ ป็นระยะ ๆตลอด ต่อเนอ่ื งทหี่ ัวขอ้ ย่อย ๆ ของเนอ้ื หาสาระ ตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรยู้ อ่ ย ๆ ของหัวข้อยอ่ ย ต่อเน่อื งกันไปจนจบ ภาคการศกึ ษา หรอื อาจจบที่หัวขอ้ ใหญ่ ท้ังหมดนี้ของกระบวนการวัดและประเมนิ ถูกกาหนดจากเป้าหมายของ หลกั สูตร ประเภทที่ 2 การวดั และประเมินสรปุ รวม (Summative Assessment) การวัดและประเมนิ สรปุ ใช้ เมื่อกระบวนการเรยี นรเู้ สรจ็ ส้นิ ในภาคการศกึ ษา หรอื หัวขอ้ ใหญ่ การเลือกใชว้ ิธีการการวัดและประเมินวธิ ีใด ขึ้นกับมาตรฐานหลกั สูตร จดุ ประสงค์การเรียนรู้ และเปา้ หมายของการวดั และประเมินวา่ ต้องการวัดและ ประเมินอะไร เมอื่ ไรและเพ่อื อะไร เกิดการเรยี นรู้อะไรตามแนวคดิ เรียนรู้จากการกระทา (learning by doing) ของกิ๊บส์ (Gibbs.2013 p.19-20) อธิบายการจดั การเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบตั กิ ารเองของผู้เรียนวา่ ตอ้ งการ ใหผ้ ู้เรียนได้ แนวคดิ จากการปฏิบตั ิการ การปฏิบตั ิการเปน็ สนาม ใหผ้ เู้ รียนฝึกฝนแลว้ สะทอ้ นแนวคดิ ออกมา จากการปฏบิ ตั ิ ตามปรชั ญาการศึกษากลมุ่ ปฏิบัตินยิ ม (Experiential Philosophy) ปรชั ญาการศกึ ษานีใ้ ห้ ความสาคัญกบั การจัดการเรยี นรู้ที่ยึดผูเ้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง จดั การเรียนร้ตู ามจติ วทิ ยาพฒั นาการของผูเ้ รียนทม่ี ี ความแตกตา่ งกนั แม้จะอยู่ในช้ันเรียนเดยี วกันกต็ าม เคารพ นับถอื ความเปน็ ปจั เจก เชื่อวา่ มนุษย์ทกุ คน เจรญิ เตบิ โต มพี ัฒนาการตอ่ ไปได้ภายใตก้ ารกากับของปรัชญามนษุ ยนยิ ม ท่ีใหค้ วามสาคญั กบั ความเปน็ มนุษย์ ปรัชญาการศกึ ษากลมุ่ ปฏิบตั นิ ยิ ม (Experiential Philosophy) ออกแบบการจดั การเรียนการสอนด้วยแนวคดิ เรยี นรู้จากการกระทา ลงมอื ปฏิบตั กิ ารเอง เชน่ เดียวกบั การฝึกสอนทโี่ รงเรยี นของนกั ศกึ ษาปี 5 ต้ังเป้าหมายที่ ตอ้ งการใหน้ กั ศึกษาได้ผลลพั ธ์การเรียนรู้คอื คณุ ลกั ษณะความเป็นครู การวัดและประเมินคณุ ลักษณะความ เป็นครู ใชก้ ารประเมินสรปุ รวมเปน็ เครอ่ื งมือวดั และประเมินผลการปฏิบัตกิ ารสอน ต้งั เป้าหมายท่ีตอ้ งการ วดั ผลลพั ธ์ (outcome) คอื คุณลกั ษณะความเปน็ ครู ทตี่ อ้ งใชเ้ วลาให้นักศกึ ษาไดผ้ ่านชว่ งเวลาการบม่ เพาะ ปลกู ฝังความเป็นครจู ากการปฏบิ ตั ิการสอนจรงิ ในโรงเรยี นจริง กับนกั เรยี นจรงิ และรบั การประเมินจากครูพ่ี เลย้ี งจริง ผบู้ รหิ ารจรงิ และอาจารย์นเิ ทศจรงิ แบบ real time ความเปน็ ครจู ะเกดิ ขนึ้ ทบ่ี ุคลกิ นกั ศกึ ษาได้ หรอื ไม่ ต้องใชเ้ วลาให้นกั ศึกษาไดป้ ฏบิ ตั กิ ารสอนจริงทกุ ขั้นตอนของการจดั กระบวนการเรยี นรู้ แล้วจงึ วดั และ ประเมินผลได้ ดงั นน้ั การวดั และประเมินผลจงึ ใช้การวัดและประเมินสรปุ รวม การสะทอ้ นความคดิ การวัดและประเมนิ ผลลัพธก์ิ ารเรยี นรู้ มหี ลายวธิ ี การประเมินตนเองเปน็ วิธีหนง่ึ ในการนามาใช้ในการ วัดและประเมนิ ผล เพราะว่าการประเมนิ ตนเอง แบบสะท้อนความคดิ การกระทาของตนเองออกมา มีแนวคดิ ว่าการสะท้อนความคดิ บ่งบอกไปถงึ จติ วทิ ยาพืน้ ฐานทางบุคลกิ ภาพของตนเอง เชอื่ มโยงไปที่การทางาน ผลสัมฤทธข์ิ องงานด้วย จิตวทิ ยาพน้ื ฐานทางบุคลกิ ภาพมี 4 มติ ทิ ี่สมั พนั ธก์ ัน ไดแ้ ก่ ความสามารถในการควบคมุ ความไมเ่ สถียรทางอารมณ์ ความมั่นใจในความสามารถของตน และความภมู ใิ นในตน ท้ังหมดนส้ี ะท้อนมาที่ การทางาน และผลสมั ฤทธขิ์ องงาน เพอื่ ใชพ้ ยากรณค์ วามพอใจในการงานโดยจติ วิทยาพ้ืนฐานทางบุคลกิ ภาพ คนท่ีมีคา่ ประเมินตัวเองสูงจะคิดถึงตัวเองในเชิงบวกและมน่ั ใจในความสามารถของตน และโดยนัยตรงกันขา้ ม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 219 ผูม้ ีคา่ ประเมนิ ตา่ จะประเมินตัวเองในเชิงลบและขาดความมนั่ ใจ (https://th.wikipedia.org สืบคน้ เม่ือ 25 พฤศจกิ ายน 2563) การสะทอ้ นความคดิ สะทอ้ นไปทจี่ ติ วิทยาพ้ืนฐานทางบคุ ลิกภาพ 4 มิติดงั กลา่ วข้างต้น เปน็ เรอ่ื งของกระบวนการเรียนรจู้ ากประสบการณ์ สถานการณ์วา่ ไดเ้ รยี นรู้ อะไร เพอ่ื นามาปรับปรงุ แก้ไขให้ ตนเองเจริญเตบิ โต กา้ วหน้าต่อไป นาผลทไ่ี ด้จากการสะทอ้ นคิดมาใชป้ ระโยชนก์ ับตนเองในทิศทางของการ พฒั นาตนเองต่อไป เกิดการเปลย่ี นผ่าน (Transformation) ทตี่ นเองอะไรบ้าง การเปลย่ี นผ่านทเ่ี กิดขนึ้ ทีต่ วั ผู้เรียนอยู่ในทศิ ทางทดี่ ีข้ึนกวา่ ก่อน และน่ันคือเป้าหมายเดยี วกบั การศึกษา เพราะนักเรียน นกั ศกึ ษาเมือ่ กา้ ว เข้าสสู่ ถาบันการศึกษาในระบบแล้ว นกั เรียน นกั ศึกษาจะเกดิ การเปล่ียนผ่านบุคลิกภาพไปจากเดิมท่เี รยี กวา่ มี พฒั นาการ มีวฒุ ภิ าวะขนึ้ ตามลาดับจติ วิทยาพฒั นาการ วธิ ีวัดการสะท้อนคิดมหี ลายวธิ ี วัดออกมาในรปู ของการประเมนิ ตนเอง เป็นวิธหี นง่ึ ที่ใชก้ นั รปู แบบ การประเมนิ ตนเองมหี ลากรูปแบบ เช่น การเขยี นรายงานการสะทอ้ นคิด ผู้เขียนรายงานการสะทอ้ นคดิ ได้ เรียนรกู้ ระบวนการเรยี นรู้เพอื่ พฒั นาตนเองให้กา้ วหน้า เตบิ โตทางความคดิ ตอ่ ไป John Dewey and Jurgen Habermas ประยกุ ตแ์ นวคดิ การสะทอ้ นคิดในหลายบรบิ ทแตกตา่ งกนั ในความหลากหลายของบรบิ ทตา่ งมี ความสมั พันธ์ซง่ึ กนั และกัน การเรียนรปู้ ระสบการณ์ การฝกึ หัดสะทอ้ นคิด และการเป็นผสู้ ะท้อนคิด Dewey เสนอแนวคิดปฏบิ ตั ินยิ ม ให้ความสาคัญที่ประสบการณ์ทผี่ ู้เรียนไดร้ บั และการเตบิ โตทาง ความคิดของบุคคล ภายใต้แนวคดิ กระบวนการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต เน้น ความเปน็ มนษุ ย์ มากกว่าเป้าหมายที่ ความรูต้ ามแนวคิดของ Positivist เป้าหมายของ Dewey คอื กระบวนการเตบิ โตของสตสิ มั ปชัญญะ มจี ุดเนน้ ที่กระบวนการมากกวา่ เนือ้ หาสาระ หรือการทาช้ินงาน การเรยี นรเู้ รม่ิ จากปฏสิ ัมพันธ์ระหวา่ งประสบการณ์ ระดบั บคุ คล กบั สงั คมโลกภายนอกบคุ คลกอ่ เกดิ ความคิดและการกระทาของบุคคลต่อปฏสิ มั พนั ธน์ น้ั การ เปลย่ี นแปลงทางความคิดและการกระทาของบคุ คลจะดาเนนิ ตอ่ ไปตลอดเวลาตามปฏสิ ัมพันธน์ ้ันๆ การ สะท้อนคิดคอื รูปแบบของความคิดภายในจติ ใจของบคุ คลกบั เหตกุ ารณ์ ทเี่ ผชิญผา่ นกระบวนการคดิ ทบทวน วนเวยี นซา้ แล้วซา้ เลา่ ตอ่ ความรหู้ นง่ึ ๆ ที่มอี ยกู่ อ่ น (prior knowledge) แล้วกบั เหตุการณน์ ้นั ๆ ความร้ใู หม่ จะ ถอื กาเนดิ ขน้ึ จากการประเมินเชงิ วพิ ากษ์ (critically evaluate) บนปฏสิ มั พนั ธน์ ้ี เพอ่ื ค้นหาทางออกใหก้ บั เหตุการณ์(ปญั หา)นั้นอยา่ งสมเหตสุ มผล(rationality) Habermas เพมิ่ เตมิ รายละเอยี ดของปฏสิ มั พันธ์น้ใี น ระดบั ญาณวทิ ยา(epistemology) วา่ ปฏิสมั พนั ธ์นี้เกดิ ขน้ึ ภายใต้เสรภี าพทางความคิด และการเมอื งเพอ่ื ให้ ผเู้ รียนเขา้ ใจ จิตใจ ของตนเอง การเปลยี่ นผ่านความคิดและตวั ตนของปัจเจก สังคมและโลกกว้างจะตามมาเปน็ ลาดับ (https://education.stateuniversity.com/pages/1914/Dewey-John-1859-1952.html สบื คน้ เม่ือ 23 ธันวาคม 2563) 7.บทสรุป เกณฑ์การวดั ผลเป็นเคร่ืองมือทีม่ ีประสทิ ธภิ าพและประสิทธผิ ล ซง่ึ ช่วยให้สามารถประเมนิ ผลการ ปฏบิ ตั ิงานและกจิ กรรมตา่ งๆ ไดต้ ามวตั ถปุ ระสงค์และสม่าเสมอ รบู ริกสามารถช่วยช้แี จงความคาดหวงั ของคุณ และจะแสดงให้นักเรียนเห็นว่าจะบรรลเุ ปา้ หมายไดอ้ ยา่ งไรททาให้นักเรียนมคี วามรบั ผิดชอบตอ่ การปฏิบัตงิ าน ในรูปแบบท่งี า่ ยตอ่ การปฏบิ ตั ิตาม ข้อเสนอแนะทีน่ ักเรยี นไดร้ บั ผา่ นเกณฑก์ ารให้คะแนนสามารถชว่ ยปรับปรงุ ประสทิ ธิภาพของพวกเขาในงานท่ีแก้ไขหรืองานในภายหลงั ได้ รบู รกิ สามารถชว่ ยในการหาเหตผุ ลเข้าข้าง ตนเองของเกรดเมอื่ นักเรียนถามเกีย่ วกบั วิธีการประเมนิ ของ Rubrics และยงั มีความสมา่ เสมอในการใหค้ ะแนน สาหรบั ผู้ทเ่ี ป็นทมี สอนหลกั สตู รเดียวก
220 อา้ งอิง การสะท้อนคดิ . https://th.wikipedia.org สืบคน้ เมอื่ 25 พฤศจกิ ายน 2563 สมจิต จนั ทรฉ์ าย. การวัดประเมนิ ผลการเรยี นรู้.https://sites.google.com/site/wjhdede/home สืบคน้ เมอ่ื 27 มถิ ุนายน 2564 John Dewey (1859–1952). Experience and Reflective Thinking, Learning, School and Life, Democracy and Education. https://education.stateuniversity.com/pages/1914/Dewey-John- 1859-1952.html สบื คน้ เมื่อ 23 ธันวาคม 2563 กิจกรรมท้ายบท 1. อภิปราย วิเคราะหก์ ารวดั ผลแบบตา่ งๆ 2. อภปิ ราย วิเคราะหก์ ารประเมินผลแบบต่างๆ 3. เลอื กการวดั และประเมินผลไดเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รยี น 4. เลือกการวดั และประเมินผลไดเ้ หมาะสมกบั กลมุ่ สาระสงั คมศกึ ษา มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 221 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 11 หวั ขอ้ เน้อื หา 1. บทนำ: ทำไมตอ้ งเรียนสังคมศกึ ษำ ศำสนำ และวัฒนธรรม 2. สำระและมำตรฐำนกำรเรยี นรู้ 3. คุณภำพผเู้ รียน 4. กลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้แยกตำมช้ันปี 4.1 ชั้นประถมศกึ ษำปที ่ี 1 4.2 ช้ันประถมศกึ ษำปีที่ 2 4.3 ช้ันประถมศึกษำปที ี่ 3 4.4 ช้นั ประถมศึกษำปที ่ี 4 4.5 ชั้นประถมศึกษำปที ่ี 5 4.6 ชั้นประถมศึกษำปีที่ 6 5. บทสรปุ วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. สำมำรถนำเนื้อหำสำระในกลมุ่ สำระมำวิเครำะห์วิธีกำรสอนไดเ้ หมำะสมกบั ผเู้ รียน 2. สำมำรถนำเนือ้ หำสำระในกลมุ่ สำระมำสร้ำงสื่อกำรสอนไดต้ รงตำมเนอ้ื หำ 3. สำมำรถนำเน้ือหำสำระในกลุ่มสำระมำออกแบบวดั และประเมนิ ผลได้ตรงตำมเน้ือหำ 4. สำมำรถนำเนื้อหำสำระในกลุม่ สำระมำกำหนดวตั ถุประสงคก์ ำรเรยี นรูไ้ ดต้ รงตำมเนือ้ หำ วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธสี อน 1.1 วิธีสอนแบบใช้ครพู เี่ ล้ียง (Tutorial Method) 1.2 วิธีสอนแบบอปุ นยั (Inductive Method) 1.3 วิธีสอนแบบศกึ ษำด้วยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธสี อนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธสี อนแบบแบง่ กลมุ่ ระดมพลังสมอง 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศกึ ษำดูวีดทิ ศั นก์ ำรสอนกล่มุ สำระทุกกลุม่ ของช้นั ประถมศึกษำปที ่ี 1-6 อำจำรย์กระตุ้นให้ สังเกตและตอบคำถำมเก่ียวกบั ปญั หำเดก็ สมำธิสัน้ ต่ำง ๆ ต้ังคำถำมใหน้ กั ศึกษำช่วยกนั คิดหำคำตอบว่ำปญั หำ เด็กสมำธิสัน้ ก่อเกดิ ปัญหำอะไรในกำรเรยี น 2.2 นักศกึ ษำคน้ หำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพ่ือค้นหำวิธีกำรสอนท่เี หมำะสม 2.3 อำจำรย์ชกั ชวนค้นหำเหตุผล อธิบำยประเด็นสำคญั เรือ่ งวิธกี ำรสอนทเ่ี หมำะสม 2.4 นกั ศกึ ษำตงั้ กลุม่ ยอ่ ย อภิปรำยประเด็นวธิ ีกำรสอนทเี่ หมำะสม 2.5 อำจำรย์จัดสมั นำใหน้ ักศกึ ษำหำเหตผุ ลวิธีกำรสอนทเ่ี หมำะสมมำใชก้ ับเดก็ ต่ำงๆ เพ่อื นรว่ มชน้ั แสดงควำมคดิ เหน็ ตอ่ อยำ่ งมมี ำรยำทในกำรสมั นำ อำจำรย์ใหค้ วำมเหน็ อธบิ ำยให้นกั ศึกษำไดแ้ ลกเปลี่ยน เรยี นรรู้ ่วมกัน 2.6 นักศกึ ษำศกึ ษำเนือ้ หำสำระของกล่มุ สำระต่ำงไจำกเอกสำรประกอบกำรสอน
222 2.7 นักศึกษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และร่วมอภิปรำยเพ่อื สรปุ เน้อื หำที่ไดเ้ รยี นรู้ 2.8 อำจำรยม์ อบหมำยใหน้ กั ศกึ ษำสะทอ้ นคดิ เปน็ รำยบคุ คล สือ่ การเรยี นการสอน 1. ไฟล์วีดิทัศน์กำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กลมุ่ ของช้ันประถมศกึ ษำปีที่ 1-6 2. กระดำษฟลปิ ชำรท์ เขยี นแผนผังวธิ ีกำรสอนทเ่ี หมำะสม 3. เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวชิ ำกำรสอนสงั คมศึกษำ 1 การวัดผลและประเมินผล 1. วัดและประเมนิ ผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วัดและประเมินผลจำกกำรอภปิ รำย สมั มนำ 3. วัดและประเมินผลจำกกำรสะทอ้ นคิด 4. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรเขียนแผนกำรสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
223 บทที่ 11 เน้ือหาสาระสงั คมศึกษา 1. บทนา: ทาไมตอ้ งเรยี นสังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรมมหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง สังคมโลกมกี ารเปล่ยี นแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมีความรู้ ความเข้าใจ ว่ามนษุ ย์ดารงชวี ิตอยา่ งไร ทง้ั ในฐานะปจั เจกบุคคล และการอยรู่ ่วมกนั ในสงั คม การปรบั ตวั ตามสภาพแวดลอ้ ม การจัดการทรพั ยากรทมี่ ีอยอู่ ย่างจากดั นอกจากน้ี ยังชว่ ยให้ผเู้ รยี นเข้าใจถงึ การพฒั นา เปล่ียนแปลงตามยุคสมยั กาลเวลา ตามเหตุปจั จัยตา่ งๆ ทาให้เกิดความเขา้ ใจในตนเอง และผอู้ ืน่ มีความอดทน อดกลน้ั ยอมรับในความแตกตา่ ง มีคุณธรรม สามารถนาความรู้ไปปรับใชใ้ นการดาเนนิ ชวี ิต เป็นพลเมอื งดีของประเทศชาติ และสังคมโลก เรยี นรู้อะไรในสังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมวา่ ด้วยการอยู่ร่วมกนั ในสังคม ที่มีความ เช่ือมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับบริบท สภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมท่ีเหมาะสม โดยไดก้ าหนดสาระต่างๆไว้ ดงั นี้ 1. สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเก่ียวกับศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาทีต่ นนบั ถอื การนาหลกั ธรรมคาสอนไปปฏิบัตใิ นการ พฒั นาตนเอง และการอยรู่ ว่ มกันอย่างสนั ติสุข เปน็ ผู้กระทาความดี มีคา่ นิยมทดี่ ีงาม พฒั นาตนเองอยู่เสมอ รวมทงั้ บาเพ็ญประโยชนต์ ่อสังคมและส่วนรวม 2. สาระท่ี 2 หน้าท่ีพลเมือง วฒั นธรรม และการดาเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองใน สังคมปัจจุบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและ ความสาคัญ การเป็นพลเมืองดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเช่ือ ปลูกฝังคา่ นิยมด้านประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าท่ี เสรีภาพการดาเนิน ชีวิตอยา่ งสันตสิ ุขในสังคมไทยและสังคมโลก 3. สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การ บรหิ ารจัดการทรพั ยากรทีม่ ีอยอู่ ยา่ งจากัดอยา่ งมีประสิทธภิ าพ การดารงชีวิตอยา่ งมีดุลยภาพ และการนา หลกั เศรษฐกิจพอเพียงไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั 4. สาระท่ี 4 ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์สาคัญในอดีต บุคคลสาคัญท่ีมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆในอดีต ความเปน็ มาของชาตไิ ทย วัฒนธรรมและภูมปิ ัญญาไทย แหลง่ อารยธรรมท่สี าคัญของโลก 5. สาระท่ี 5 ภมู ศิ าสตร์ ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลกั ษณะทางกายภาพ แหลง่ ทรัพยากร และภมู อิ ากาศของประเทศไทย และภมู ภิ าคต่างๆของโลก การใช้แผนท่ีและเครอ่ื งมือทางภมู ศิ าสตร์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 224 ความสัมพันธก์ ันของสงิ่ ต่างๆ ในระบบธรรมชาติ ความสมั พันธ์ของมนษุ ยก์ ับสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ และสงิ่ ท่มี นุษยส์ รา้ งขึ้น การนาเสนอขอ้ มลู ภูมสิ ารสนเทศ การอนรุ กั ษ์สงิ่ แวดล้อมเพ่อื การพฒั นาทีย่ ั่งยืน 2. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และเข้าใจประวัติ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาท่ีตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาท่ีถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม หลักธรรม เพอื่ อยู่ร่วมกนั อยา่ งสนั ติสขุ มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ต ระห นักแล ะป ฏิ บั ติตน เป็น ศาส นิก ชนท่ี ดี และธารงรัก ษา พระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถอื สาระท่ี 2 หนา้ ทีพ่ ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดาเนินชวี ิตในสังคม มาตรฐาน ส 2.1 เขา้ ใจและปฏบิ ัตติ นตามหนา้ ทีข่ องการเป็นพลเมืองดี มีค่านยิ มท่ดี งี าม และ ธารงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดารงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และ สังคมโลกอยา่ งสนั ติสุข มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดม่ัน ศรัทธา และธารง รักษาไว้ซ่ึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 เขา้ ใจและสามารถบริหารจัดการทรพั ยากรในการผลิตและการบรโิ ภคการใช้ ทรพั ยากรที่มีอยจู่ ากดั ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและคมุ้ คา่ รวมทง้ั เขา้ ใจ หลักการของเศรษฐกิจพอเพยี ง เพอื่ การดารงชวี ติ อย่างมดี ลุ ยภาพ มาตรฐาน ส 3.2 เขา้ ใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสมั พันธท์ างเศรษฐกจิ และความจาเป็นของการรว่ มมอื กนั ทางเศรษฐกจิ ในสงั คมโลก สาระท่ี 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสาคัญของเวลาและยคุ สมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถ ใช้วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์มาวิเคราะหเ์ หตุการณ์ต่างๆ อยา่ งเปน็ ระบบ มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนษุ ยชาตจิ ากอดตี จนถึงปัจจุบัน ในด้านความสัมพันธ์และ การเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเน่ือง ตระหนักถึงความสาคัญและ สามารถ วเิ คราะหผ์ ลกระทบทเี่ กดิ ข้นึ มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภมู ิใจและธารงความเปน็ ไทย สาระที่ 5 ภมู ิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลกั ษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพสิง่ ซ่ึงมีผล ต่อ กันและกนั ในระบบของธรรมชาติ ใชแ้ ผนทแ่ี ละเครื่องมอื ทางภมู ิศาสตร์ ในการ คน้ หาวิเคราะห์ สรุป และใช้ขอ้ มูลภูมสิ ารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
มาตรฐาน ส 5.2 225 เขา้ ใจปฏิสมั พันธร์ ะหว่างมนษุ ยก์ บั สภาพแวดล้อมทางกายภาพท่ีกอ่ ใหเ้ กิด การสรา้ งสรรค์วัฒนธรรม มจี ิตสานึก และมสี ว่ นร่วมในการอนรุ กั ษ์ ทรพั ยากร และสงิ่ แวดลอ้ ม เพ่อื การพฒั นาทีย่ ง่ั ยืน 3. คณุ ภาพผเู้ รียนมหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 3.1 จบชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 1. ไดเ้ รียนรู้เร่อื งเกี่ยวกับตนเองและผู้ท่ีอยู่รอบข้าง ตลอดจนสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ที่ อยู่อาศัย และเชือ่ งโยงประสบการณไ์ ปสโู่ ลกกว้าง 2. ผ้เู รยี นได้รับการพัฒนาให้มีทกั ษะกระบวนการ และมีขอ้ มลู ทจี่ าเปน็ ตอ่ การพฒั นาให้เป็น ผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ประพฤติปฏบิ ัติตามหลักคาสอนของศาสนาท่ีตนนับถือ มคี วามเป็นพลเมอื งดี มี ความรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันและการทางานกับผู้อ่ืน มีส่วนร่วมในกิจกรรมของห้องเรียน และได้ ฝกึ หดั ในการตดั สนิ ใจ 3. ได้ศึกษาเร่ืองราวเก่ียวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชนในลักษณะการบูรณา การ ผู้เรียนได้เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับปัจจุบันและอดีต มีความรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจได้ข้อคิดเก่ียวกับ รายรับ-รายจ่ายของครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผ้บู ริโภค รจู้ ักการออมข้ันต้นและวิธีการเศรษฐกิจ พอเพียง 4. ได้รับการพัฒนาแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าท่ีพลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภมู ปิ ัญญา เพอื่ เปน็ พื้นฐานในการทาความเขา้ ใจในขน้ั ทสี่ ูงตอ่ ไป 3.2 จบชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 1. ได้เรยี นรูเ้ รื่องของจังหวัด ภาค และประทศของตนเอง ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ ลกั ษณะทาง กายภาพ สังคม ประเพณี และวฒั นธรรม รวมทงั้ การเมืองการปกครอง สภาพเศรษฐกจิ โดยเน้นความเป็น ประเทศไทย 2. ได้รบั การพัฒนาความร้แู ละความเข้าใจ ในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม ปฏบิ ตั ิตนตาม หลกั คาสอนของศาสนาทต่ี นนบั ถอื รวมท้ังมสี ่วนร่วมศาสนพธิ ี และพธิ ีกรรมทางศาสนามากยิง่ ข้นึ 3. ได้ศึกษาและปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สทิ ธหิ น้าที่ในฐานะพลเมอื งดีของท้องถ่ิน จงั หวัด ภาค และประเทศ รวมท้ังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ของ ท้องถิน่ ตนเองมากยง่ิ ขนึ้ 4. ไดศ้ ึกษาเปรียบเทียบเรอื่ งราวของจงั หวัดและภาคตา่ งๆของประเทศไทยกับประเทศเพื่อน บ้าน ได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เก่ียวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตรเ์ พื่อขยายประสบการณ์ไปสู่การทาความเข้าใจ ในภูมิภาค ซีกโลกตะวันออกและตะวันตกเก่ียวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การดาเนินชวี ิต การจัดระเบียบทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมจากอดตี สู่ ปจั จุบัน
226 4. กลุม่ สาระการเรียนรแู้ ยกตามชนั้ ปี 4.1 ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1 สาระท่ี 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และเข้าใจประวัติ ความสาคัญ ศาสดา หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือและศาสนา อืน่ มีศรทั ธาท่ถี ูกต้อง ยดึ มัน่ และปฏิบัตติ ามหลกั ธรรมเพื่ออยู่รว่ มกันอย่างสันติสุข มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ตัวชวี้ ัด ผ้เู รียนรอู้ ะไร ผ้เู รยี นทาอะไรได้ ๑.บอกพทุ ธประวัตหิ รือประวตั ิของ พุทธประวัตหิ รือประวัติของศาสดา บอกประวัตศิ าสดาของศาสนาพุทธและ ศาสดาทต่ี นนับถือโดยสงั เขป กอ่ ใหเ้ กิดศรทั ธาและการประพฤติ ศาสนาที่ผูเ้ รยี นนบั ถือ ปฏบิ ัติ ๒.ช่ืนชมและบอกแบบอยา่ งการดาเนนิ แบบอย่างข้อคิดในการดาเนนิ ชีวติ ใน ๑.ดงึ แนวปฏบิ ัติและข้อคิดจากเรื่อง ชีวิตและข้อคดิ จากประวตั ิสาวก ชาดก การทาความดกี ่อให้เกิดศรัทธาและ ๒.เลือกแนวปฏิบตั ิตามได้เหมาะสมกบั เร่อื งเล่าและศาสนิกชนตัวอย่างตามท่ี ปฏิบตั ติ ามสาวก ชาดก เรื่องเล่าและ วัย กาหนด ศาสนิกชนตัวอย่าง ๓. บอกความหมาย ความสาคญั การยึดม่ันในหลักธรรมของศาสนา ๑. บอกความหมายของพระรตั นตรยั และเคารพพระรัตนตรยั ปฏบิ ัติตาม กอ่ ให้เกิดแนวทางในการปฏิบัติ ๒. อธิบายความสาคัญของพระรัตนตรัย หลักธรรมโอวาท ๓ ในพระพุทธ - ๓. แสดงความเคารพพระรัตนตรยั ศาสนา หรือหลักธรรมของศาสนาทตี่ น ๔. ปฏบิ ตั ิตามหลักธรรมโอวาท 3 นบั ถือตามทีก่ าหนด ๔.เห็นคณุ ค่าและสวดมนตแ์ ผ่ เมตตา มี สตเิ ป็นพื้นฐานของสมาธิส่งผลต่อการ ๑. สวดมนต์และแผเ่ มตตาตามหลัก สติทเ่ี ปน็ พื้นฐานของสมาธิในพระพุทธ พฒั นาจิตและการอยรู่ ่วมกนั อย่างสันตสิ ุข ศาสนาทีต่ นนับถืออย่างมีสติ ศาสนา หรือการพฒั นาจติ ตามแนวทาง ของศาสนาทต่ี นนับถือ ตามทีก่ าหนด ๒. บอกผลกระทบของการสวดมนต์ และแผ่เมตตา มาตรฐาน ส 1.2 เขา้ ใจ ตระหนกั และปฏิบัตติ นเป็นศาสนกิ ชนทีด่ ี และธารงรักษาพระพุทธศาสนาหรือศาสนาทีต่ นนับถือ ตัวชี้วัด ผ้เู รยี นร้อู ะไร ผเู้ รียนทาอะไรได้ ๑. บาเพ็ญประโยชนต์ อ่ วัด หรือ ศาสน การบาเพ็ญประโยชน์ต่อศาสนสถาน ๑.ทาความสะอาดวัด สถานของศาสนาที่ตนนบั ถือ เป็นการสง่ เสริมจิตสาธารณะของตนเอง ๒. เล่าถึงประโยชนท์ ไ่ี ด้จากการพัฒนา วัด ๒. แสดงตนเป็นพุทธมามกะหรือแสดง การยอมรบั หลักการของศาสนาทตี่ นนับ ๑. กล่าวคาประกาศตนเปน็ พุทธมามกะ ตนเปน็ ศาสนิกชนของศาสนาท่ตี นนับ ถือเกิดจากความรู้ความเขา้ ใจ และ หรือแสดงตนเป็นศาสนิกชนท่ีตนเองนบั ถอื ความศรทั ธา ถือ ๒.บอกเหตุผลในการประกาศตนเป็น พุทธมามกะ หรือแสดงตนเป็นศาสนิชน ที่ตนเองนบั ถือ ๓. ปฏิบตั ติ นในศาสนพิธี พิธกี รรม และ การปฏิบัติตามแนวทางของศาสนาเป็น ปฏบิ ตั ติ นตามพิธีกรรมท่ีกาหนด วันสาคัญทางศาสนาตามที่กาหนดได้ การดารงรักษาศาสนาทีต่ นนบั ถือไว้ ถกู ต้อง
227 สาระที่ 2 หน้าทพ่ี ลเมอื ง วัฒนธรรม และการดาเนนิ ชีวิตในสงั คม มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่ดีงาม และธารงรักษาประเพณี และ วฒั นธรรมไทย ดารงชวี ิตอยู่ร่วมกัน ในสงั คมไทย และ สงั คมโลกอยา่ งสนั ตสิ ุข ตัวชวี้ ัด ผูเ้ รียนรู้อะไร ผเู้ รียนทาอะไรได้ ๑. บอกประโยชนแ์ ละปฏบิ ัติตนเป็น การเป็นสมาชิกทดี่ ีของครอบครัวและ ปฏิบตั ิตนเปน็ สมาชิกทดี่ ีของครอบครัว มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง สมาชกิ ทด่ี ขี องครอบครัวและโรงเรียน โรงเรยี น ทาให้อยู่ร่วมกันอยา่ งมีความ และโรงเรยี น สุข ๒. ยกตัวอย่างความ สามารถและความ การทาความดีทาใหไ้ ด้รบั การช่ืนชมยก ยกตัวย่างการทาความดีของตนเองหรือ ดีของตนเอง ผู้อ่ืน และบอกผลจาก ยอ่ ง เกดิ ความภาคภูมใิ จและมคี วามสุข ผอู้ น่ื และบอกผลทเ่ี กดิ จากการทาความ การกระทาน้ัน ดขี องตนเองและผอู้ ่ืน มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดม่ัน ศรัทธา และธารงรักษาไว้ซ่ึงการปกครอง ระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมขุ ตวั ช้ีวัด ผูเ้ รียนรอู้ ะไร ผเู้ รียนทาอะไรได้ ๑.บอกโครงสร้าง บทบาทและหน้าท่ี ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ ง บทบาท บอกโครงสร้าง บทบาทและหน้าท่ขี อง ของสมาชิกในครอบครวั และโรงเรียน และหน้าท่ีของสมาชกิ ในครอบครัวและ สมาชิกในครอบครัวและโรงเรียน โรงเรียน ๒.ระบุบทบาทสิทธิ หนา้ ท่ขี องตนเอง อานาจตามบทบาท สิทธแิ ละหน้าที่ของ เลา่ บทบาทหนา้ ที่ของตนเองใน ในครอบครัวและโรงเรยี น ตนเองในครอบครัวและโรงเรียน ครอบครัวและโรงเรียน ๓.มีสว่ นร่วมในการตดั สินใจและทา การมสี ว่ นร่วมในการทากิจกรรมใน แสดงความคดิ เห็นต่อการมีส่วนรว่ มใน กจิ กรรมในครอบครัวและโรงเรียนตาม ครอบครัวและโรงเรียนตามระบอบ การทากิจกรรมของครอบครัวและ กระบวนการประชาธิปไตย ประชาธิปไตย โรงเรียน สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภคการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยจู่ ากัดได้อย่าง มีประสทิ ธิภาพและคุ้มคา่ รวมทงั้ เข้าใจหลกั การเศรษฐกิจพอเพียงเพ่ือการดารงชวี ิตอย่างมีดุลยภาพ ตวั ชี้วัด ผเู้ รยี นรู้อะไร ผ้เู รียนทาอะไรได้ ๑. ระบุสินค้าและบริการท่ีใชป้ ระโยชน์ การใชส้ ินคา้ และบรกิ ารในชวี ติ ประจาวนั เลอื กใช้สินคา้ และบริการอยา่ งคุ้มค่า ในชีวติ ประจาวัน ควรเลือกใช้อยา่ งคุ้มคา่ และเกดิ ประโยชน์ และเกดิ ประโยชน์สงู สดุ สงู สุด ๒. ยกตัวอย่างการใช้จา่ ยเงินในชีวติ การดารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพต้องมกี าร ๑.ยกตวั อย่างการใช้จา่ ยเงนิ ในชีวิต ประจาวันท่ีไม่เกนิ ตัวและเห็นประโยชน์ วางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเหมาะสม ประจาวนั ท่ีมีความเหมาะสม ของการออม ๒.บอกวิธีการออมและประโยชน์ของ การออม ๓.ยกตวั อย่างการใช้ทรัพยากรในชีวติ การใช้ทรัพยากรในชีวิตประจา วัน ยกตัวอยา่ งการใช้ทรัพยากรในชีวิต ประจาวนั อยา่ งประหยดั อย่างประหยัดส่งผลตอ่ การดารงชีวติ ใน ประจาวันอย่างประหยัด อนาคต
228 มาตรฐาน ส. 3.2 เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความจาเป็นของการร่วมมือ กนั ทางเศรษฐกจิ ในสังคมโลก ตวั ชว้ี ัด ผู้เรียนรู้อะไร ผ้เู รียนทาอะไรได้ ๑. อธิบายเหตผุ ลความจาเปน็ ท่คี นตอ้ ง การทางานอยา่ งสจุ รติ สง่ ผลใหค้ รอบครัว อธิบายเหตุผลความจาเป็นทค่ี นต้อง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทางานอย่างสจุ ริต มีความสขุ และสังคมสงบสขุ ทางานอย่างสุจริต สาระท่ี 4 ประวตั ศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสาคัญของเวลาและยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ สามารถใช้ วิธีการทางประวัตศิ าสตร์ มาวเิ คราะหเ์ หตกุ ารณต์ ่างๆ อย่างเป็นระบบ ตวั ช้ีวดั ผเู้ รียนรู้อะไร ผเู้ รียนทาอะไรได้ ๑. บอกวนั เดือน ปี และ การนับ ชว่ ง เวลามีความสาคัญต่อการบันทกึ ทาง ใชป้ ฏิทินแสดงวัน เดอื น ปี กับ เวลาตามปฏทิ นิ ท่ีใชใ้ นชีวิต ประจาวัน ประวตั ศิ าสตร์ เหตุการณ์สาคญั ในชีวติ ๒.เรียงลาดบั เหตกุ ารณใ์ นชีวิต ประจาวัน เหตุการณ์ทม่ี ีความสาคัญควรจดจาตาม ๑. ใชค้ าทแ่ี สดงชว่ งเวลา วนั น้ี เดียวนี้ ตาม วัน เวลา ทีเ่ กดิ ขึ้น วนั เวลาทเ่ี กดิ ข้ึน ปีนี้ ตอนเชา้ ตอนกลางวัน ตอนเยน็ บอกเลา่ เหตุการณใ์ นชีวติ ๒. ใช้วันเดือน ปี เรยี งลาดับ เหตุการณ์ในชวี ติ ๓.บอกประวตั คิ วามเปน็ มาของตนเองและ การสืบค้นข้อมูลมีความสาคญั ต่อการ ๑. ตั้งประเดน็ คาถามตัวบคุ คล ครอบครวั โดยสอบถามผเู้ กย่ี วขอ้ ง เรยี นร้ปู ระวตั ิศาสตร์ หลกั ฐานที่เกยี่ วข้อง ออกแบบเกบ็ ขอ้ มูล ๒. สบื ค้นขอ้ มูลทางประวตั ิความ เป็นมาของตนเองและครอบครัว มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้านความสัมพันธ์และการเปล่ียนแปลง ของ เหตกุ ารณอ์ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง ตระหนกั ถึงความสาคญั และสามารถวเิ คราะห์ผลกระทบทีเ่ กดิ ขึ้น ตัวช้ีวดั ผู้เรียนร้อู ะไร ผู้เรียนทาอะไรได้ ๑.บอกความเปลย่ี นแปลงของสภาพ ความเปล่ียนแปลงของสภาพ แวดล้อมและ ๑.บอกสิง่ ทเ่ี ปล่ียน แปลงจากสมัยของ แวดล้อมส่งิ ของ เครอ่ื งใช้ หรือการ การดาเนินชีวติ สมยั ของตนเองกบั สมยั ของ พอ่ แม่ ปยู่ า่ ตายาย กับสมัยของ ดาเนินชีวิตของตนเองกับสมัยของพ่อแม่ พ่อแม่ ปยู่ า่ ตายาย ปจั จุบัน ปยู่ ่า ตายาย ๒.บอกสาเหตทุ ่ที าให้เกดิ การ เปลี่ยนแปลง ๓.บอกผลของการเปลยี่ นแปลงท่ีมีต่อ การดาเนินชวี ติ ในปัจจบุ ัน ๒.บอกเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขึ้นในอดตี ท่มี ี เหตุการณ์ในอดตี ส่งผลต่อการดาเนินชีวติ ๑.บอกเหตุการณ์สาคัญทีเ่ กดิ ขึ้นใน ผลกระทบตอ่ ตนเองในปัจจบุ ัน ของตนเองในปจั จุบัน ครอบครัว เช่นการย้ายบ้าน ย้าย โรงเรียน การสูญเสียบคุ คลในครอบครัว ๒.บอกผลกระทบทเี่ กิดข้ึนจาก เหตุการณ์ในอดตี ของในครอบครัว
229 มาตรฐาน ส 4.3เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภมู ปิ ัญญาไทย มีความรักความภูมใิ จและธารงความเป็นไทย ตัวช้ีวัด ผู้เรยี นรู้อะไร ผเู้ รยี นทาอะไรได้ ๑.อธิบายความหมายและความ สาคัญ รักและภาคภูมใิ จในความเป็นคนไทย ๑.บอกความหมายและความ สาคัญของ ของสัญลักษณ์สาคญั ของชาติไทยและ สญั ลักษณส์ าคญั ของชาติไทย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ปฏิบัตติ นไดถ้ กู ต้อง ๒.ปฏิบัติตนได้ถูกต้องต่อสญั ลักษณ์ สาคัญของชาติไทย ๒.บอกสถานที่สาคัญ ซงึ่ เป็นแหลง่ รัก ภาคภมู ิใจ และหวงแหนวฒั นธรรมใน ๑.บอกลกั ษณะแหล่งวัฒนธรรมในชุมชน วัฒนธรรม ในชุมชน ชมุ ชน ๒.เช่ือมโยงจากส่ิงของจากแหล่ง วฒั นธรรมสกู่ ารดาเนินชีวติ ของคนใน ชุมชน ๓.ระบุสงิ่ ทีต่ นรัก และภาคภมู ใิ จใน รกั และภาคภูมิใจในความเป็นท้องถิ่น เลือกและแสดงวธิ ีการอนุรกั ษส์ งิ่ ทีผ่ เู้ รยี น ท้องถ่ิน รักและประทับใจในชุมชน สาระท่ี 5 ภูมศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซ่ึงมีผลต่อกันและกันในระบบของ ธรรมชาติ ใชแ้ ผนทีแ่ ละเครอ่ื งมือทางภมู ิศาสตร์ ในการคน้ หาวเิ คราะห์ สรุป และใช้ขอ้ มูลภมู สิ ารสนเทศอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ตัวชว้ี ัด ผเู้ รยี นรอู้ ะไร ผู้เรียนทาอะไรได้ ๑.แยกแยะส่ิงตา่ งๆ รอบตัวทเี่ กดิ ขึ้น สง่ิ รอบตัวมที ้ังสงิ่ ทีเ่ กิดขึ้นเองตาม แยกแยะส่ิงตา่ งๆ รอบตัวทเ่ี กิดขึ้นเองตาม เองตามธรรมชาตแิ ละที่มนษุ ย์สร้างข้ึน ธรรมชาตแิ ละที่มนุษยส์ ร้างขึ้น มี ธรรมชาติและที่มนุษยส์ ร้างขึ้น ความสัมพันธแ์ ละสง่ ผลตอ่ กนั และกัน ๒.ระบุความสมั พันธข์ องตาแหนง่ ระยะ ส่ิงท่ีอย่รู อบตัวเรามีความสมั พันธ์ กันโดยมี ระบคุ วามสัมพันธข์ องตาแหนง่ ระยะทศิ ทศิ ของส่งิ ต่างๆ รอบตัว ระยะ ทิศ เปน็ หลักสาคัญในการบอก ของส่ิงตา่ งๆ รอบตวั ความสัมพนั ธ์ ๓. ระบทุ ิศหลักและท่ตี ้งั ของสิ่งต่างๆ ทศิ หลกั ทั้ง 4 ทศิ ช่วยใหร้ จู้ ักที่ต้ังของส่ิง บอกทิศหลักและท่ตี ง้ั ของส่งิ ต่างๆ ตา่ ง ๆ ๔. ใชแ้ ผนผังง่าย ๆ ในการแสดง แผนผังเป็นเครื่องมอื ที่ย่อส่ิงตา่ งๆ ลงมา วาดแผนผังง่าย ๆ ในการแสดงตาแหนง่ ตาแหนง่ ของสง่ิ ต่างๆ ในห้องเรยี น อย่างไดส้ ดั ส่วน รู้วธิ ีใช้แผนผงั ระบุ ของสิ่งต่างๆในห้องเรียน ตาแหน่งของส่ิงต่างๆ โดยใชแ้ ผนผังบอก ทิศหลกั ทั้ง ๔ ๕. สงั เกตและบอกการเปล่ยี นแปลงของ การเปลี่ยนแปลงสภาพของอากาศในรอบ สังเกตและบอกการเปลย่ี นแปลง ของ สภาพอากาศในรอบวัน วัน สภาพอากาศในรอบวัน
230 มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธร์ ะหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิดการสรา้ งสรรค์วัฒนธรรม มี จิตสานึก และมสี ่วนร่วมในการอนรุ กั ษ์ ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อมเพ่ือการพฒั นาทีย่ ัง่ ยืน ตัวช้ีวดั ผเู้ รียนรู้อะไร ผูเ้ รยี นทาอะไรได้ ๑.บอกสงิ่ ตา่ งๆที่เกดิ ตามธรรมชาตทิ ี่ ภมู ิประเทศและภมู ิอากาศที่เกดิ เองตาม บอกสิง่ ตา่ งๆ ท่ีเกิดตามธรรมชาติทสี่ ่งผล สง่ ผล ต่อความเป็นอยขู่ องมนุษย์ ธรรมชาตมิ ีผลต่อตนเอง ครอบครัว และ ต่อความเป็นอยูข่ องมนุษย์ ท้องถิ่นในเร่ืองของความเปน็ อยู่ อาชีพ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง และอ่ืน ๆ ๒.สังเกตและเปรียบเทียบ สภาพแวดล้อมทอ่ี ยู่รอบตัวมกี ารเปลีย่ น สังเกตและเปรียบเทยี บการเปล่ียนแปลง การเปลย่ี นแปลงของสภาพ แวดลอ้ มท่ี แปลงตลอดเวลามนษุ ย์ต้องรู้เท่าทันและ ของ สภาพแวดล้อมทอี่ ย่รู อบตัว อยู่รอบตัว ปรับตัวให้เขา้ กับสิ่งแวดล้อม ๓.มีสว่ นรว่ มในการจดั ระเบยี บ การจัดสิ่งแวดล้อมทีบ่ ้าน และช้ันเรียนให้ มสี ่วนร่วมในการจัดระเบยี บสิง่ แวดล้อมท่ี สงิ่ แวดล้อมทบ่ี า้ นและชน้ั เรยี น เป็นระเบยี บ เพอ่ื ง่ายต่อการหยิบใช้ บา้ นและช้ันเรยี น 4.2 ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2 สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และเขา้ ใจประวตั ิ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ตี นนับถือและศาสนา อื่น มศี รัทธาทถ่ี ูกตอ้ ง ยึดม่ัน และปฏบิ ตั ิตามหลักธรรม เพ่ืออยรู่ ่วมกันอยา่ งสนั ตสิ ุข ตัวช้ีวดั ผเู้ รียนร้อู ะไร ผู้เรียนทาอะไรได้ ๑.บอกความสาคัญของพระพุทธศาสนา วิถีชวี ติ ของศาสนิกชนเปน็ ผลจากการยดึ อธบิ ายวถิ ชี ีวิตของชาวพุทธหรือศาสนา หรือศาสนาทต่ี นนบั ถือ ม่นั ตามหลักธรรมของศาสนา อืน่ ท่ีตนนับถอื ได้ ๒.สรปุ พุทธประวัตติ ้ังแตป่ ระสตู ิจนถึง การร้พู ทุ ธประวตั หิ รอื ประวตั ศิ าสดา ๑.เรียงลาดบั เหตุการณพ์ ุทธประวัติ การออกผนวชหรือประวัตศิ าสดาทีต่ น ก่อใหเ้ กิดศรัทธาและการประพฤติปฏบิ ัติ ๒.วิเคราะห์แนวทางการดาเนินชีวติ ของ นับถือตามท่กี าหนด พระพุทธเจา้ ๓.บอกเปา้ หมายชีวิตของผเู้ รียน ๓.ช่ืนชมและบอกแบบอยา่ งการดาเนิน แบบอย่างและขอ้ คิดในการปฏบิ ตั ิตนทด่ี ี ๑. บอกข้อคิดคุณธรรมแบบอยา่ งในการ ชวี ิตและข้อคิดจากประวัติสาวก ชาดก กอ่ ให้เกิดความศรทั ธาและปฏิบตั ติ าม ดาเนินชวี ติ จากเร่ืองที่กาหนดไว้ เรื่องเล่าและศาสนกิ ชนตัวอยา่ งตามท่ี สามารถดาเนินชีวติ ได้ถกู ต้อง ๒. เลือกแนวปฏบิ ตั ิตามได้อย่างเหมาะสม กาหนด กบั วัย ๔.บอกความหมายความสาคัญ และ การยดึ ม่ันในหลักธรรมของศาสนา ๑.บอกความหมายและความสาคัญของ เคารพพระรตั นตรัย ปฏิบตั ติ ามหลัก ก่อใหเ้ กิดแนวทางในการปฏิบัติ พระรัตนตรยั ธรรมโอวาท ๓ ในพระพุทธศาสนา หรือ ๒.ปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมโอวาท ๓ และ หลักธรรมของศาสนาทต่ี นนับถือตามท่ี หลกั ธรรมของศาสนาทตี่ นนับถือ กาหนด ๕.ชื่นชมการทาความดขี องตนเอง การทาความดี ตามหลักธรรมของศาสนา อธิบายผลทีเ่ กดิ จากการกระทาความดี บุคคลในครอบครัวและในโรงเรียน ตาม ส่งผลใหบ้ ุคคลในสังคมอยรู่ ว่ มกันอยา่ ง หลักศาสนา สงบสขุ ๖.เห็นคณุ ค่าและสวดมนต์ แผเ่ มตตามี สตเิ ปน็ พ้ืนฐานของสมาธิ ส่งผลต่อการ ๑.บอกวิธกี ารพัฒนาจติ ตามหลักศาสนา สตทิ ี่เปน็ พื้นฐานของสมาธิในพระ พฒั นาจติ และการอยู่ร่วมกันอย่าสันตสิ ขุ พุทธและศาสนาอ่ืนตามที่กาหนดได้
ตัวชี้วัด ผู้เรียนร้อู ะไร ผู้เรียนทาอะไรได้ ๒.สวดมนตแ์ ผเ่ มตตาตามหลกั ศาสนาที่ พทุ ธศาสนาหรือการพัฒนาจิตตาม การรู้หลักสาคญั ของคัมภีรก์ ่อใหเ้ กิดการ ตนนบั ถือ แนวทางของศาสนาทีต่ นนับถอื ตามที่ ปฏบิ ตั ิอย่างถูกตอ้ งตามหลักศาสนา กาหนด ๑.บอกศาสนา ศาสดา และคมั ภรี ์ของ ศาสนาทต่ี นนบั ถือ ๗.บอกชอ่ื ศาสนา ศาสดาและความ ๒.อธิบายความสาคัญของคัมภีร์ของ สาคัญ ของคัมภีร์ของศาสนาทต่ี นนบั ศาสนาที่ตนนับถอื ถือและศาสนาอื่นๆ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัตติ นเป็นศาสนิกชนท่ดี ี และธารงรกั ษาพระพุทธศาสนาหรือศาสนาทตี่ นนับถือ ตวั ชว้ี ดั ผ้เู รียนรอู้ ะไร ผเู้ รยี นทาอะไรได้ ๑.ปฏิบัตติ นอยา่ งเหมาะสมตอ่ สาวก การเป็นศาสนิกชนทีด่ ีส่งผลต่อการธารง ๑.บอกวิธกี ารปฏิบัตติ นทเี่ หมาะสมและ ของศาสนาท่ีตนนับถือ ตามท่กี าหนดได้ รกั ษาศาสนาที่ตนนับถือ ถูกต้องตอ่ สาวกของศาสนาได้ ถกู ต้อง ๒.ปฏบิ ัติตนได้เหมาะสมและถูกตอ้ งตอ่ สาวกของศาสนาท่ีตนนบั ถือ ๒.ปฏิบัติตนในศาสนพิธีพธิ ีกรรม และ การปฏบิ ตั ติ นตามแนวทางของศาสนาเป็น ๑.แนวทางการปฏบิ ตั ติ นในศาสนาพิธี วนั สาคัญทางศาสนา ตามท่ีกาหนดได้ การธารงรกั ษาศาสนาทตี่ นนับถือไว้ พธิ กี รรม และวนั สาคัญทางศาสนาได้ ถกู ต้อง ถูกตอ้ ง ๒.ปฏบิ ตั ติ นไดถ้ ูกต้องตามแนวทางท่ี กาหนด สาระที่ 2 หน้าท่ีพลเมือง วฒั นธรรม และการดาเนินชวี ติ ในสังคม มาตรฐาน ส 2.1 เขา้ ใจและปฏบิ ัตติ นตามหน้าทีข่ องการเปน็ พลเมืองดี มีค่านยิ มท่ดี งี าม และธารงรักษาประเพณีและ วัฒนธรรมไทย ดารงชีวิตอยูร่ ่วมกันในสังคมไทย และสงั คมโลกอย่างสันตสิ ขุ ตวั ชว้ี ัด ผเู้ รียนรอู้ ะไร ผูเ้ รยี นทาอะไรได้ ๑.ปฏิบตั ิตนตามข้อตกลง กติกา กฎ การปฏิบัติตนตามข้อตกลง กติกา กฎ แสดงบทบาทสมมติ การปฏบิ ัติตนตาม ระเบยี บ และหน้าทีท่ ต่ี อ้ งปฏิบัติใน ระเบียบในการดาเนินชีวิตประจาวัน ขอ้ ตกลง กติกา กฎ ระเบยี บในการ ชวี ิตประจาวัน ดาเนินชวี ิต ประจาวัน ๒.ปฏบิ ตั ิตนตามมารยาทไทย มารยาทไทยเป็นประเพณแี ละ ปฏิบตั ิตนตามมารยาทไทยเกี่ยวกบั การ วฒั นธรรมท่ีควรธารงรักษา ทาความเคารพ การยืน การเดิน การ น่ัง การพูด การทักทาย และการแต่ง กาย ๓.แสดงพฤติกรรมในการยอม รับความคดิ บคุ คลมคี วามแตกตา่ งกันในเรื่อง แสดงพฤติกรรมการยอมรบั ความคดิ ความเช่ือ และการปฏิบตั ิของบคุ คลอื่นที่ ความคดิ ความเชื่อ และการปฏบิ ัตติ น ความเช่ือ และการปฏิบตั ิของบคุ คลอ่ืน แตกตา่ งกันโดยปราศจากอคติ ที่แตกตา่ งกันโดยปราศจากอคติ ๔. เคารพในสทิ ธแิ ละเสรภี าพของตนเอง สทิ ธิ เสรีภาพ ทาให้ทุกคนอยู่รว่ มกัน เคารพในสทิ ธิและเสรีภาพของตนเอง และผ้อู ่ืน ในสงั คมอยา่ งมีความสขุ และผู้อื่น
232 มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสงั คมปัจจบุ ัน ยึดมั่น ศรัทธา และธารงรักษาไว้ซ่ึงการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข ตวั ช้ีวัด ผู้เรยี นรอู้ ะไร ผเู้ รยี นทาอะไรได้ ๑.อธิบายความสัมพนั ธ์ ของตนเอง ความสัมพนั ธ์ของตนเองและสมาชิกใน อธบิ ายเชื่อมโยงความสมั พันธ์ของ และสมาชิกในครอบครัวในฐานะเปน็ ครอบครวั เป็นส่วนหน่ึงของชุมชน ตนเองและสมาชกิ ในครอบครวั ใน สว่ นหนง่ึ ของชมุ ชน ฐานะเปน็ สว่ นหนึ่งของชมุ ชน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ๒.ระบผุ มู้ ีบทบาท อานาจ ในการ บทบาท อานาจ หน้าที่ ของบุคคลใน บอกบทบาท อานาจ หน้าทีข่ อง ตดั สินใจในโรงเรียนและชมุ ชน โรงเรียนและชุมชน บคุ คลในโรงเรยี นและชุมชน สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภคการใช้ทรพั ยากรทีม่ ีอยจู่ ากดั ไดอ้ ย่าง มปี ระสทิ ธภิ าพและคุ้มค่า รวมท้ังเข้าใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพยี ง เพ่ือการดารงชีวิตอย่างมดี ลุ ยภาพ ตวั ชว้ี ัด ผู้เรียนรอู้ ะไร ผเู้ รยี นทาอะไรได้ ๑.ระบุทรัพยากรท่ีนามาผลิตสินค้าและ การผลติ สินคา้ และบรกิ าร ตอ้ งรู้จักใช้ ระบทุ รัพยากรท่ีนามาผลิตสินค้า บริการท่ีใช้ในชวี ติ ประจาวัน ทรพั ยากรอย่างคมุ้ ค่าและรักษาสงิ่ แวดล้อม และบรกิ ารทใ่ี ชใ้ นชีวิตประจาวัน ๒.บอกท่มี าของรายได้และรายจ่ายของ รายไดข้ องครอบครัวต้องมาจากการ ทาบญั ชีรับจ่ายของครอบครัว ตนเองและครอบครัว ประกอบอาชพี ท่ีสจุ ริตและการร้จู ักใชจ้ ่าย อยา่ งเหมาะสม ๓.บันทกึ รายรบั รายจ่ายของตนเอง การทาบัญชีรับ-จ่ายช่วยใหเ้ กิดการรู้จักการ ทาบญั ชรี ับ จ่ายของตนเอง ใชจ้ า่ ยอย่างเหมาะสม ๔.สรุปผลดีของการใชจ้ ่ายทเี่ หมาะสม การใชจ้ ่ายทเี่ หมาะสมกบั รายได้และการ สรุปผลดีของการใช้จ่ายทเ่ี หมาะสม กับรายไดแ้ ละการออม ออมเป็นการบริหารจดั การเพื่อการ กบั รายได้และ ดารงชวี ติ อย่างมดี ลุ ยภาพ การออม มาตรฐาน ส 3.2 เข้าใจระบบ และสถาบนั ทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสมั พันธ์ทางเศรษฐกจิ และความจาเปน็ ของการ รว่ มมอื กันทางเศรษฐกจิ ในสงั คมโลก ตัวชว้ี ดั ผู้เรียนรู้อะไร ผเู้ รียนทาอะไรได้ ๑.อธิบายการแลกเปลี่ยนสินค้าและ การแลกเปลย่ี นสนิ ค้าและบรกิ ารโดยใช้ อธบิ ายการแลกเปลี่ยนสินค้าและบรกิ าร บรกิ ารโดยวธิ ีต่าง ๆ เงนิ และไม่ใช้เงนิ มีความสาคัญและจาเป็น โดยวิธีตา่ ง ๆ ต่อการดาเนนิ ชีวติ ๒. บอกความสัมพันธ์ระหวา่ งผู้ซ้ือ ผู้ซ้ือกบั ผูข้ ายมีบทบาทสาคัญในการ บอกความสัมพันธ์ระหว่างผซู้ ้ือและผขู้ าย และผู้ขาย กาหนดราคาสินค้าและบริการ
233 สาระท่ี 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เขา้ ใจความหมาย ความสาคญั ของเวลาและยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ สามารถใชว้ ิธีการทางประวตั ศิ าสตร์ มาวเิ คราะห์เหตุการณต์ า่ งๆ อย่างเป็นระบบ ตวั ชี้วัด ผู้เรียนรู้อะไร ผ้เู รียนทาอะไรได้ ๑.ใช้คาระบุเวลาที่แสดงเหตุการณ์ใน ชว่ งเวลาของอดตี ปจั จุบัน และ ๑. บอกเวลาท่เี ป็นอดีต ปัจจบุ ัน และ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง อดตี ปจั จุบัน และอนาคต อนาคตมีผลต่อการดาเนินชวี ติ อนาคต ๒. ระบวุ ันสาคัญทีป่ รากฏในปฏิทินท่ี แสดงเหตุการณส์ าคัญในอดตี และปจั จบุ นั ๒.ลาดบั เหตุการณ์ทเ่ี กดิ ข้ึนใน หลกั ฐานท่เี กี่ยวข้องมีความสาคัญต่อ ๑.ระบุหลักฐานและเหตุการณท์ ่เี กดิ ข้ึนใน ครอบครัวหรอื ในชีวิตของตนเองโดยใช้ การเรียนรู้เหตกุ ารณ์ในอดตี ครอบครัวในอดตี ปจั จุบนั และ อนาคตท่ี หลกั ฐานทีเ่ ก่ียวข้อง ทาให้เข้าใจการเปล่ียนแปลงชวี ิตในแต่ ช่วงเวลา ๒ ระดมความคิด สร้าง และนาเสนอ Time line ในการลาดับเหตุการณ์ท่ีเกิด ขน้ึ กบั ตนเองและครอบครวั ในแตล่ ะช่วง เวลา มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพฒั นาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้านความสัมพันธ์และการเปลย่ี นแปลงของ เหตกุ ารณ์อยา่ งต่อเนื่อง ตระหนกั ถึงความสาคัญ และสามารถวิเคราะห์ผลกระทบท่ีเกดิ ขึ้น ตวั ชีว้ ัด ผู้เรยี นรอู้ ะไร ผู้เรียนทาอะไรได้ ๑.สืบค้นถงึ การเปลี่ยนแปลงในวิถี ชุมชนเปล่ยี นไปวถิ ชี ีวิตเปลีย่ นตาม ๑.สืบค้นการเปล่ียนแปลงในวถิ ี ชวี ิตประจาวันของคนในชุมชน ของตน ชวี ติ ประจาวันของคนในชุมชน ของตน จากอดตี ถงึ ปจั จบุ ัน จากอดีตถึงปจั จุบัน ๒.ระบุสาเหตุของการเปล่ียนแปลงวถิ ี ชวี ิตของคนในชมุ ชน ๒. อธิบายผลกระทบของการ ชมุ ชนเปล่ยี นไปวิถชี ีวิตเปลี่ยนตาม เปลย่ี นแปลงทม่ี ีต่อวถิ ชี วี ติ ของคนใน วิเคราะหผ์ ลกระทบของการ ชุมชน เปล่ียนแปลงทม่ี ตี ่อวิถชี วี ิตของคนใน ชุมชน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273