Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

Published by วิทย บริการ, 2022-07-02 02:20:56

Description: กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

Search

Read the Text Version

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 134 ข้นั ที่ 2 ขั้นการลงมอื กระทาตามคาสั่ง (manipulation) เมือ่ ผู้เรียนได้เหน็ และสามารถบอก ขน้ั ตอนของการกระทาทต่ี อ้ งการเรียนร้แู ลว้ ใหผ้ เู้ รียนลงมอื ทาโดยไมม่ ีแบบอย่างให้เห็น ผู้เรียนอาจลงมือทา ตามคาส่งั ของผสู้ อน หรอื ทาตามคาสั่งทผ่ี สู้ อนเขยี นไว้ในคู่มอื ก็ได้ การลงมอื ปฏิบัตติ ามคาสงั่ น้ีแมผ้ ู้เรียนจะ ยังไม่สามารถทาได้อยา่ งสมบูรณ์แต่อยา่ งนอ้ ยผเู้ รียนก็ไดป้ ระสบการณใ์ นการลงมือทาและคน้ พบปญั หาตา่ ง ๆ ซ่งึ ช่วยให้เกดิ การเรียนร้แู ละปรบั การกระทาให้ถกู ตอ้ งสมบรู ณข์ ้นึ ข้ันที่ 3 ขน้ั การกระทาอย่างถูกตอ้ งสมบรู ณ์(precision) ขั้นนี้เป็นขัน้ ท่ีผเู้ รียนจะต้องฝกึ ฝนจน สามารถทาสง่ิ นน้ั ๆ ได้อย่างถูกตอ้ งสมบรู ณ์ โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งมีแบบอยา่ งหรอื มคี าสงั่ นาทางการกระทา การ กระทาที่ถูกต้อง แม่น ตรง พอดี สมบรู ณ์แบบ เป็นส่งิ ทีผ่ เู้ รยี นจะตอ้ งสามารถทาได้ในข้นั นี้ ข้ันท่ี 4 ขั้นการแสดงออก (articulation) ขนั้ นเ้ี ป็นข้นั ทผ่ี ูเ้ รยี นมโี อกาสไดฝ้ กึ ฝนมากข้นึ จน กระทง่ั สามารถกระทาส่ิงน้ันไดถ้ ูกตอ้ งสมบรู ณแ์ บบอย่างคลอ่ งแคล่ว รวดเรว็ ราบรื่น และด้วยความมนั่ ใจ ข้ันที่ 5 ขั้นการกระทาอย่างเปน็ ธรรมชาติ (naturalization) ขนั้ นี้เป็นข้ันท่ีผเู้ รียนสามารถ กระทาสิ่งน้ัน ๆ อย่างสบาย ๆ เป็นไปอยา่ งอตั โนมตั โิ ดยไมร่ สู้ กึ วา่ ต้องใชค้ วามพยายามเป็นพเิ ศษ ซ่งึ ตอ้ งอาศัย การปฏบิ ัตบิ อ่ ย ๆ ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ทีห่ ลากหลาย ง. ผลท่ีผู้เรยี นจะไดร้ บั จากการเรยี นตามรูปแบบ ผเู้ รยี นจะเกิดการพัฒนาทางด้านทักษะปฏิบัติ จนสามารถกระทาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งสมบรู ณ์ 3) รูปแบบการเรยี นการสอนทกั ษะปฏบิ ตั ิตามองค์ประกอบของทกั ษะ (Instructional Model for Psy- Chomotor Domain Base on Skill Components) ก. ทฤษฎ/ี หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ แนวคดิ เกย่ี วกบั การพฒั นาทักษะปฏิบัตไิ ว้อธิบายว่า ทกั ษะส่วนใหญจ่ ะประกอบไปดว้ ยทักษะ ย่อย ๆ จานวนมาก การฝกึ ใหผ้ ู้เรยี นสามารถทาทกั ษะยอ่ ย ๆ เหลา่ นน้ั ไดก้ ่อน แล้วค่อยเชอ่ื มโยงต่อกนั เปน็ ทักษะใหญ่ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนประสบผลสาเรจ็ ไดด้ แี ละเร็วขึน้ ข. วตั ถุประสงค์ของรูปแบบ รปู แบบน้ี ม่งุ ช่วยพัฒนาความสามารถด้านทกั ษะปฏิบัตขิ องผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างย่งิ ทกั ษะท่ี ประกอบด้วยทกั ษะยอ่ ยจานวนมาก ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขั้นท่ี 1 ข้ันหรอื การสาธติ ทักษะกระทา ขั้นนีเ้ ป็นขั้นทใี่ ห้ผเู้ รียนไดเ้ ห็นทักษะ หรอื การกระทาท่ี ต้องการให้ผเู้ รียนทาได้ในภาพรวม โดยสาธติ ให้ผเู้ รยี นดทู ัง้ หมดตั้งแตต่ น้ จนจบทกั ษะหรือการกระทาทสี่ าธิตให้ ผูเ้ รียนดนู ั้น จะต้องเปน็ การกระทาในลกั ษณะทเ่ี ป็นธรรมชาติ ไม่ช้าหรอื เร็วเกินปกติ กอ่ นการสาธิต ครูควรให้ คาแนะนาแกผ่ ู้เรยี นในการสงั เกต ควรช้ีแนะจุดสาคัญที่ควรให้ความสนใจเปน็ พเิ ศษในการสงั เกต ขัน้ ท่ี 2 ขั้นสาธติ และใหผ้ เู้ รยี นปฏิบัติทกั ษะยอ่ ย เม่อื ผเู้ รียนได้เห็นภาพรวมของการกระทาหรอื ทักษะทงั้ หมดแลว้ ผสู้ อนควรแตกทกั ษะทง้ั หมดให้เปน็ ทกั ษะย่อย ๆ หรือแบง่ สงิ่ ทก่ี ระทาออกเปน็ ส่วนยอ่ ย ๆ และสาธิตส่วนย่อยแตล่ ะสว่ นให้ผเู้ รียนสังเกตและทาตามไปทีละส่วนอย่างช้า ๆ ขน้ั ท่ี 3 ขนั้ ใหผ้ ู้เรียนปฏิบัติทกั ษะยอ่ ย ผเู้ รียนลงมอื ปฏบิ ตั ิทักษะย่อยโดยไมม่ ีการสาธติ หรือมีแบบ อยา่ งให้ดู หากติดขัดจุดใด ผสู้ อนควรใหค้ าชีแ้ นะและชว่ ยแกไ้ ขจนกระทั่งผ้เู รียนทาได้เมอ่ื ได้แล้วผสู้ อน จึงเรม่ิ สาธติ ทักษะย่อยส่วนตอ่ ไป และใหผ้ เู้ รียนปฏบิ ัตทิ ักษะยอ่ ยนน้ั จนทาได้ทาเชน่ น้เี รอ่ื ยไปจนกระทงั่ ครบทกุ สว่ น ขั้นที่ 4 ข้ันใหเ้ ทคนิควธิ กี าร เมอ่ื ผเู้ รียนปฏิบัติไดแ้ ลว้ ผู้สอนอาจแนะนาเทคนิควิธีการทจ่ี ะชว่ ยให้ ผูเ้ รียนสามารถทางานน้ันไดด้ ขี ้ึน เช่น ทาได้ประณีตสวยงามขนึ้ ทาไดร้ วดเรว็ ขึน้ ทาไดง้ า่ ยข้ึน หรือ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 135 สิน้ เปลอื งน้อยลง เป็นตน้ ขั้นที่ 5 ขั้นให้ผู้เรยี นเช่ือมโยงทกั ษะย่อย ๆ เป็นทกั ษะทสี่ มบรู ณ์ เมอ่ื ผเู้ รียนสามารถปฏบิ ัตแิ ต่ละ ส่วนไดแ้ ลว้ จงึ ใหผ้ ู้เรยี นปฏิบัตทิ ักษะยอ่ ย ๆ ตอ่ เนือ่ งกันตงั้ แตต่ ้นจนจบและฝกึ ปฏบิ ตั หิ ลาย ๆ ครง้ั จนกระทงั่ สามารถปฏิบตั ทิ กั ษะทส่ี มบรู ณ์ได้อยา่ งชานาญ ง. ผลที่ผเู้ รียนจะไดร้ บั จากการเรยี นตามรปู แบบ ผ้เู รยี นจะสามารถปฏิบัติทกั ษะได้เป็นอย่างดี มีประสทิ ธิภาพ 3.3.4 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ (Process Skill) ทักษะกระบวนการ เปน็ ทกั ษะทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั วธิ ดี าเนินการต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นกระบวนการทาง สติปัญญา เช่น กระบวนการสบื สอบแสวงหาความรหู้ รือกระบวนการคิดตา่ งๆ อาทิ การคิดวเิ คราะห์ การอปุ นัย การนริ นยั การใช้เหตผุ ล การสบื สอบ การคดิ ริเรม่ิ สร้างสรรค์ และการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ เป็นตน้ หรืออาจ เป็นกระบวนการทางสงั คม เช่น กระบวนการทางานร่วมกัน เปน็ ตน้ ปจั จบุ นั การศึกษาให้ความสาคัญกบั เร่อื งน้ี มาก เพราะถือเป็นเครื่องมอื สาคญั ในการดารงชวี ติ นาเสนอรูปแบบการเรียนการสอนท่เี นน้ การพฒั นาผเู้ รียน ด้านทกั ษะกระบวนการ 4 รูปแบบ ดงั น้ี 1) รูปแบบการเรยี นการสอนกระบวนการสบื สอบและแสวงหาความรเู้ ป็นกล่มุ 2) รูปแบบการเรยี นการสอนกระบวนการคดิ อุปนัย 3) รปู แบบการเรยี นการสอนกระบวนการคดิ สรา้ งสรรค์ 4) รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแก้ปญั หาอนาคตตามแนวคิดของทอร์แรนซ์ 1) รปู แบบการเรียนการสอนกระบวนการสบื สอบและแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม (Group Investigation Instructional Model) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคดิ ของรูปแบบ จอยส์ และ วีล (Yoyce & Weil) เป็นผพู้ ัฒนารูปแบบนีจ้ ากแนวคิดหลกั ของเธเลน (Thelen) 2 แนวคิด คือแนวคดิ เกย่ี วกบั การสืบสอบแสวงหาความร้แู ละแนวคิดเก่ียวกับความรู้ เธเลนอธบิ ายวา่ สง่ิ สาคญั ทส่ี ามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดความร้สู กึ หรอื ความตอ้ งการทจี่ ะสบื ค้นหรอื เสาะแสวงหาความรูก้ ค็ ือตวั ”ปญั หา” แต่ปญั หานัน้ จะต้องมลี กั ษณะท่มี คี วามหมายต่อผเู้ รียนและทา้ ทายเพยี งพอ ทจี่ ะทาใหผ้ เู้ รียนเกิดความตอ้ งการ ทีจ่ ะแสวงหาคาตอบ นอกจากน้นั ปญั หาทช่ี วนใหเ้ กิดความงุนงงสงสยั (puzzlement) หรือกอ่ ให้เกดิ ความ ขดั แยง้ ทางความคดิ จะย่ิงทาใหผ้ เู้ รยี นเกิดความตอ้ งการท่จี ะเสาะแสวงหาความรู้ หรอื คาตอบมากย่งิ ข้ึน เน่ืองจากมนุษย์อาศยั อย่ใู นสงั คม ตอ้ งมีปฏสิ มั พันธก์ บั ผู้อนื่ ในสงั คม เพ่อื สนองความต้องการของตนทั้งทางด้าน รา่ งกาย สตปิ ัญญา จติ ใจ อารมณ์และสงั คม ความขดั แยง้ ทางความคดิ ท่ีเกิดขึ้นระหวา่ งบคุ คล หรือในกลุม่ จงึ เปน็ สง่ิ ทบี่ คุ คลต้องพยายามหาหนทางขจดั แกไ้ ขหรือจดั การทาความกระจ่างใหเ้ ป็นท่พี อใจ หรอื ยอมรบั ท้ังของ ตนเองและผเู้ กีย่ วข้อง สว่ นในเรอ่ื ง “ความรู้” นั้น เธเลนมคี วามเหน็ วา่ ความรเู้ ป็นเปา้ หมายของกระบวนการ สบื สอบทง้ั หลาย ความรูเ้ ป็นสงิ่ ทไี่ ด้จากการนาประสบการณห์ รือความรเู้ ดมิ มาใช้ในประสบการณใ์ หม่ ดงั น้ัน ความรจู้ งึ เปน็ ส่งิ ท่ีค้นพบผ่านกระบวนการสบื สอบโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ ข. วัตถปุ ระสงคข์ องรูปแบบ รปู แบบน้มี ุ่งพฒั นาทกั ษะในการสืบสอบเพ่ือใหไ้ ดม้ าซึ่งความรคู้ วามเขา้ ใจ โดยอาศยั กลมุ่ ซึง่ เป็น เคร่ืองมอื ทางสงั คมชว่ ยกระตุ้นความสนใจ หรือความอยากรู้ และช่วยดาเนินงานการแสวงหาความรู้ หรอื คาตอบทตี่ อ้ งการ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 136 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ ขั้นท่ี 1 ให้ผเู้ รียนเผชิญปัญหาหรอื สถานการณท์ ่ชี วนให้งุนงงสงสยั ปญั หาหรอื สถานการณท์ ใี่ ช้ในการกระต้นุ ความสนใจ ความตอ้ งการในการสืบสอบ และ แสวงหาความรูต้ ่อไปนนั้ ควรเปน็ ปัญหาหรอื สถานการณ์ทเี่ หมาะสมกบั วยั ความสามารถ และความสนใจของ ผูเ้ รียน และจะตอ้ งมีลักษณะที่ชวนใหง้ ุนงงสงสัย เพอ่ื ทา้ ทายความคดิ และความใฝ่รขู้ องผเู้ รยี น ขั้นท่ี 2 ให้ผเู้ รียนแสดงความคิดเห็นตอ่ ปัญหาหรอื สถานการณน์ ั้น ผูส้ อนกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนแสดงความคดิ เห็นอยา่ งกว้างขวาง และพยายามกระต้นุ ให้เกดิ ความขดั แย้งหรือความแตกต่างทางความคิดขึน้ เพือ่ ท้าทายให้ผเู้ รียนพยายามหาทางเสาะแสวงหาข้อมลู หรอื วิธีการพสิ จู นท์ ดสอบความคดิ ของตน เมอื่ มคี วามแตกต่างทางความคดิ เกดิ ขนึ้ ผ้สู อนอาจใหผ้ เู้ รียนทมี่ ีความคดิ เหน็ เดยี วกนั รวมกลุ่มกนั หรืออาจรวมกลุม่ โดยใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ มีสมาชกิ ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกนั ก็ได้ ขั้นที่ 3 ใหผ้ ู้เรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกันวางแผนในการแสวงหาความรู้ เมือ่ กลมุ่ มคี วามคิดเหน็ แตกต่างกันแลว้ สมาชิกแตล่ ะกลุ่มชว่ ยกันวางแผนวา่ จะแสวงหา ขอ้ มลู อะไร กลมุ่ จะพสิ จู นอ์ ะไร จะตง้ั สมมติฐานอะไร กลมุ่ จาเป็นต้องมขี ้อมลู อะไร และจะไปแสวงหาทไี่ หน หรือจะไดข้ ้อมลู นั้นมาได้อย่างไร จะตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งมืออะไรบ้าง เมอ่ื ไดข้ อ้ มลู มาแล้ว จะวเิ คราะหอ์ ย่างไร และจะ สรปุ ผลอยา่ งไร ใครจะช่วยทาอะไร จะใชเ้ วลาเทา่ ใด ขั้นน้ีเปน็ ข้ันทผี่ ้เู รียนจะไดฝ้ กึ ทกั ษะการสบื สอบ ทกั ษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (scientific process) และทักษะกระบวนการกลมุ่ (group process) ผสู้ อน ทาหน้าท่ีอานวยความสะดวกในการทางานให้แกผ่ เู้ รียน รวมทัง้ ให้คาแนะนาเก่ยี วกับการวางแผน แหล่งความรู้ และการทางานรว่ มกัน ข้ันท่ี 4 ให้ผเู้ รยี นดาเนินการแสวงหาความรู้ ผูเ้ รยี นดาเนนิ การเสาะแสวงหาความรูต้ ามแผนงานทไ่ี ดก้ าหนดไว้ ผสู้ อนชว่ ยอานวยความ สะดวก ให้คาแนะนาและติดตามการทางานของผู้เรียน ข้ันท่ี 5 ใหผ้ ู้เรียนวิเคราะห์ข้อมลู สรปุ ผลข้อมูล นาเสนอและอภิปรายผล เมอ่ื กลมุ่ รวบรวมข้อมลู ได้มาแลว้ กลมุ่ ทาการวิเคราะห์ขอ้ มลู และสรุปผล ต่อจากน้ันจงึ ให้ แต่ละกลมุ่ นาเสนอผล อภปิ รายผลร่วมกันทั้งชน้ั และประเมนิ ผลทงั้ ทางดา้ นผลงาน และกระบวนการเรียนรทู้ ี่ ได้รับ ข้ันที่ 6 ใหผ้ ้เู รียนกาหนดประเดน็ ปญั หาทต่ี ้องการสืบเสาะหาคาตอบตอ่ ไป การสืบสอบและเสาะแสวงหาความรูข้ องกลมุ่ ตามข้นั ตอนขา้ งตน้ ช่วยให้กลมุ่ ไดร้ บั ความรู้ ความเขา้ ใจ และคาตอบในเร่อื งทศี่ ึกษา และอาจพบประเดน็ ทเ่ี ปน็ ปัญหาชวนให้งนุ งงสงสยั หรืออยากรูต้ ่อไป ผเู้ รียนสามารถเร่ิมตน้ วงจรการเรยี นร้ใู หม่ ตงั้ แตข่ นั้ ท่ี 1 เปน็ ต้นไป การเรียนการสอนตามรปู แบบนจี้ งึ อาจมตี อ่ เนอ่ื งไปเรอ่ื ย ๆ ตามความสนใจของผเู้ รยี น ง. ผลทีผ่ เู้ รียนจะได้รับจากการเรียนตามรปู แบบ ผู้เรียนจะสามารถสบื สอบและเสาะแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง เกิดความใฝร่ แู้ ละมคี วามมั่นใจใน ตนเองเพิม่ ขนึ้ และไดพ้ ฒั นาทักษะการสบื สอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทกั ษะการทางานกลุ่ม 2) รูปแบบการเรยี นการสอนกระบวนการคิดอุปนัย (Inductive Thinking Instructional Model) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคดิ ของรูปแบบ รปู แบบน้ี จอยส์ และ วีล (Joyce & Weil) พฒั นาขึน้ โดยใช้แนวคดิ ของทาบา (Taba) ซ่ึงเชื่อว่า

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 137 การคดิ เป็นส่งิ ทสี่ อนได้ การคดิ เป็นกระบวนการปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างบคุ คลกับขอ้ มลู และกระบวนการน้ีมลี าดับ ขน้ั ตอนดังเช่นการคดิ อปุ นัย จะต้องเรมิ่ จากการสร้างความคิดรวบยอด หรอื มโนทัศน์ก่อน แล้วจงึ ถงึ ขัน้ การ ตีความข้อมลู และสรปุ ต่อไปจงึ นาขอ้ สรปุ หรือหลกั การทีไ่ ด้ไปประยกุ ต์ใช้ ข. วัตถุประสงคข์ องรูปแบบ รปู แบบน้มี ุ่งพฒั นาการคิดแบบอปุ นัยของผเู้ รียน ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนใชก้ ระบวนการคดิ ดงั กลา่ วในการ สร้างมโนทัศนแ์ ละประยุกตใ์ ช้มโนทัศน์ต่าง ๆ ได้ ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 การสรา้ งมโนทศั น์ ประกอบด้วย 3 ขน้ั ตอนย่อย คอื 1.1 ให้ผเู้ รยี นสังเกตสง่ิ ทจี่ ะศึกษาและเขียนรายการส่ิงทส่ี ังเกตเห็น หรืออาจใช้วิธีอื่น ๆ เชน่ ต้ังคาถามใหผ้ ูเ้ รียนตอบ ในข้ันนผี้ ้เู รยี นจะต้องได้รายการของส่งิ ต่าง ๆ ทใี่ ช่หรือไม่ใชต่ วั แทนของมโนทัศน์ ท่ีต้องการใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 1.2 จากรายการของส่ิงที่เปน็ ตัวแทน และไมเ่ ป็นตัวแทนของมโนทัศน์นน้ั ใหผ้ เู้ รยี น จดั หมวดหมขู่ องสิ่งเหลา่ นน้ั โดยการกาหนดเกณฑใ์ นการจดั กลุ่มซึ่งก็คือคุณสมบัตทิ ีเ่ หมือนกันของสงิ่ เหล่านั้น ผูเ้ รยี นจะจดั สงิ่ ทมี่ คี ุณสมบตั ิเหมือนกนั ไว้เป็นกลมุ่ เดียวกัน 1.3 ตัง้ ชอ่ื หมวดหมทู่ ่จี ดั ข้นึ ผเู้ รียนจะตอ้ งพิจารณาวา่ อะไรเป็นหัวขอ้ ใหญ่ อะไรเป็นหวั ขอ้ ยอ่ ย และตั้งชอ่ื หวั ข้อใหเ้ หมาะสม ข้ันท่ี 2 การตีความและสรปุ ขอ้ มลู ประกอบด้วย 3 ข้นั ย่อยดังนี้ 2.1 ระบคุ วามสัมพนั ธข์ องขอ้ มลู ผเู้ รียนศกึ ษาข้อมลู และตีความข้อมลู เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจข้อมลู และเห็นความสัมพันธ์ทส่ี าคัญ ๆ ของข้อมูล 2.2 สารวจความสมั พันธข์ องขอ้ มลู ผเู้ รยี นศกึ ษาขอ้ มูลและความสัมพนั ธ์ของขอ้ มูลใน ลกั ษณะต่าง ๆ เชน่ ความสัมพนั ธ์ในลกั ษณะของเหตุและผล ความสมั พนั ธ์ของขอ้ มลู ในหมวดนี้กบั ขอ้ มลู ใน หมวดอื่น จนสามารถอธบิ ายได้วา่ ข้อมลู ต่าง ๆ สมั พันธ์กนั อย่างไรและดว้ ยเหตผุ ลใด 2.3 สรปุ อ้างองิ เมอ่ื ค้นพบความสมั พนั ธ์หรือหลักการแลว้ ใหผ้ ู้เรยี นสรปุ อา้ งองิ โดยโยงส่ิง ทคี่ น้ พบไปสู่สถานการณ์อืน่ ๆ ขั้นที่ 3 การประยกุ ตใ์ ชข้ อ้ สรุปหรอื หลักการ 1.1 นาข้อสรุปมาใชใ้ นการทานาย หรอื อธิบายปรากฏการณอ์ ืน่ ๆ และฝกึ ตงั้ สมมตฐิ าน 1.2 อธิบายใหเ้ หตุผลและข้อมลู สนบั สนนุ การทานายและสมมตฐิ านของตน 1.3 พสิ ูจน์ ทดสอบ การทานายและสมมตฐิ านของตน ง. ผลที่ผ้เู รียนจะไดร้ บั จากการเรยี นตามรูปแบบ ผ้เู รยี นจะสามารถสรา้ งมโนทศั น์และประยกุ ต์ใชม้ โนทัศน์นัน้ ด้วยกระบวนการคดิ แบบอุปนัย และ ผ้เู รียนสามารถนากระบวนการคดิ ดงั กลา่ วไปใช้ในการสรา้ งมโนทัศน์อ่นื ๆ ตอ่ ไปได้ 3)รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ (Synectics Instructional Model) ก.ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ รปู แบบการเรยี นการสอนกระบวนการคดิ สรา้ งสรรคน์ ี้ เปน็ รปู แบบทจ่ี อยส์ และ วลี (Joyce and Weil) พฒั นาขึน้ มาจากแนวคดิ ของกอรด์ อน (Gordon) ทก่ี ลา่ วว่าบคุ คลท่วั ไปมกั ยดึ ตดิ กับวธิ คี ดิ แก้ปัญหา แบบเดมิ ๆ ของตน โดยไม่ค่อยคานงึ ถึงความคิดของคนอืน่ ทาให้การคดิ ของตนคับแคบ และไมส่ รา้ งสรรค์ บุคคลจะเกดิ ความคดิ เหน็ ทสี่ รา้ งสรรคแ์ ตกต่างไปจากเดิมได้ หากมีโอกาสได้ลองคดิ แกป้ ญั หาด้วยวิธกี ารทไี่ ม่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 138 เคยคดิ มาก่อน หรอื คดิ โดยสมมติตัวเองเปน็ คนอ่ืน และถา้ ยิ่งใหบ้ คุ คลจากหลายกลุม่ ประสบการณ์มาชว่ ยกนั แกป้ ัญหา กจ็ ะย่ิงได้วธิ กี ารท่ีกลากหลายขนึ้ และมปี ระสิทธภิ าพมากขึ้น ดังนน้ั กอร์ดอนจงึ ได้เสนอใหผ้ ้เู รียนมี โอกาสคดิ แกป้ ญั หาดว้ ยแนวความคิดใหม่ ๆ ทีไ่ มเ่ หมอื นเดมิ ไมอ่ ยู่ในสภาพท่เี ป็นตัวเอง ให้ลองใช้ความคดิ ใน ฐานะทเี่ ป็นคนอ่นื หรอื เปน็ ส่งิ อนื่ สภาพการณ์เชน่ นจี้ ะกระตุ้นใหผ้ เู้ รียนเกิดความคดิ ใหม่ ๆ ข้ึนได้ กอรด์ อน เสนอวิธกี ารคิดเปรียบเทียบแบบอปุ มาอปุ มัยเพือ่ ใชใ้ นการกระตุ้นความคิดใหม่ ๆ ไว้ 3 แบบ คือ การ เปรียบเทยี บแบบตรง การเปรียบเทยี บบคุ คลกับสิง่ ของ และการเปรียบเทยี บคาคขู่ ัดแยง้ วิธีการน้ีมปี ระโยชน์ มากเปน็ พเิ ศษสาหรบั การเขียนและการพดู อย่างสรา้ งสรรค์ รวมทงั้ การสร้างสรรค์งานทางศิลปะ ข. วัตถปุ ระสงคข์ องรูปแบบ รปู แบบน้ีมงุ่ พฒั นาความคิดสรา้ งสรรคข์ องผเู้ รียน ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกิดแนวคิดที่ใหม่แตกต่างไปจาก เดิม และสามารถนาความคิดใหมน่ ้นั ไปใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ได้ ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ข้ันที่ 1 ข้ันนา ผสู้ อนใหผ้ ูเ้ รียนทางานต่าง ๆ ที่ตอ้ งการใหผ้ ู้เรยี นทา เช่น ให้เขียน บรรยาย เล่า ทา แสดง วาดภาพ สร้าง ปัน้ เป็นต้น ผูเ้ รยี นทางานนั้น ๆ ตามปกติทเี่ คยทา เสรจ็ แล้วใหเ้ ก็บผลงานไว้ก่อน ขั้นท่ี 2 ข้ันการสร้างอปุ มาแบบตรงหรอื เปรียบเทียบแบบตรง ผู้สอนเสนอคาคใู่ หผ้ เู้ รยี นเปรียบ เทียบความเหมอื นและความแตกตา่ ง เช่ ลกู บอลกบั มะนาว เหมือนหรือตา่ งกันอยา่ งไร คาคู่ทผี สู้ อนเลอื กมา ควรให้มีลกั ษณะทีส่ มั พันธ์กบั เน้ือหา หรืองานทใี่ หผ้ ู้เรียนทาในขัน้ ที่ 1 ผสู้ อนเสนอคาคู่ใหผ้ ู้เรียนเปรยี บเทียบ หลาย ๆคู่ และจดคาตอบของผเู้ รยี นไว้บนกระดาน ขั้นท่ี 3 ข้ันการสร้างอุปมาบุคคลหรอื เปรยี บเทยี บบุคคลกบั ส่งิ ของผูส้ อนให้ผเู้ รยี นสมมติตวั เอง เป็นสง่ิ ใดสงิ่ หนงึ่ และแสดงความรสู้ กึ ออกมา เชน่ ถ้าเปรียบเทียบผเู้ รียนเปน็ เคร่ืองซักผ้าจะรสู้ กึ อยา่ งไร ผสู้ อน จดคาตอบของผู้เรยี นไว้บนกระดาน ขั้นที่ 4 ขน้ั การสรา้ งอุปมาคาค่ขู ัดแย้ง ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นนาคาหรือวลที ีไ่ ด้จากการเปรยี บเทยี บใน ข้ันที่ 2 และ 3 มาประกอบกันเปน็ คาใหม่ทม่ี ีความหมายขัดแยง้ กันในตัวเอง เช่น ไฟเย็น นา้ ผึ้งขม เชอื ดนมิ่ ๆ มัจจรุ าชสีน้าผง้ึ เปน็ ต้น ข้ันท่ี 5 ข้ันการอธิบายความหมายของคาคู่ขัดแย้ง ผสู้ อนใหผ้ ้เู รียนช่วยกนั อธิบายความหมาย ของคาค่ขู ดั แย้งทีไ่ ด้ ขั้นที่ 6 ขัน้ การนาความคิดใหมม่ าสรา้ งสรรค์งาน ผู้สอนใหผ้ เู้ รยี นนางานท่ีทาไว้เดิมในขนั้ ที่ 1 ออกมาทบทวนใหม่ และลองเลอื กนาความคิดทีไ่ ด้มาใหมจ่ ากกจิ กรรมข้ันที่5 มาใชใ้ นงานของตนทาใหง้ านของ ตนมีความคิดสรา้ งสรรคม์ ากขน้ึ ง. ผลที่ผเู้ รียนจะได้รบั จากการเรียนตามรูปแบบ ผู้เรยี นจะเกดิ ความคิดใหม่ ๆ และสามารถนาความคิดใหม่ๆ นัน้ ไปใช้ในงานของตนทาใหง้ านของ ตนมีความแปลกใหม่ นา่ สนใจมากขึ้น นอกจากนนั้ ผูเ้ รียนอาจเกดิ ความตระหนกั ในคณุ ค่าของการคดิ และ ความคดิ ของผ้อู ื่นอกี ด้วย 4) รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคดิ แก้ปัญหาอนาคตตามแนวคดิ ของทอรแ์ รนซ์ (Torrance’s Future Problem Solving Instructional Model) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนนี้ พฒั นามาจากรปู แบบการคดิ แก้ปญั หาอนาคตตามแนวคดิ ของ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 139 ทอแรนซ์ (Torrance) ซ่ึงไดน้ าองค์ประกอบของความคดิ สรา้ งสรรค์ 3 องค์ประกอบ คอื การคดิ คลอ่ งแคลว่ การคิดยืดหย่นุ การคดิ ริเร่มิ มาใชป้ ระกอบกบั กระบวนการคดิ แกป้ ัญหา และการใช้ประโยชน์จากกลุม่ ซง่ึ มี ความคิดหลากหลาย โดยเนน้ การใชเ้ ทคนคิ ระดมสมองเกือบทุกขน้ั ตอน ข. วัตถปุ ระสงคข์ องรปู แบบ รปู แบบนี้มุง่ ชว่ ยพัฒนาผู้เรียนให้ตระหนกั รู้ในปัญหาทจี่ ะเกิดขึน้ ในอนาคต และเรียนรู้ที่จะคิด แก้ปัญหาร่วมกัน ชว่ ยให้ผเู้ รยี นพฒั นาทกั ษะการคดิ จานวนมาก ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 การนาสภาพการณ์อนาคตเข้าส่รู ะบบการคิด นาเสนอสภาพการณอ์ นาคตทีย่ งั ไม่ เกิดขน้ึ หรอื กระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รียนใช้การคดิ คลอ่ งแคล่ว การคดิ ยดื หย่นุ การคิดริเรมิ่ และจินตนาการ ในการ ทานายสภาพการณ์อนาคตจากขอ้ มลู ข้อเทจ็ จรงิ และประสบการณ์ของตน ข้ันท่ี 2 การระดมสมอง เพือ่ คน้ หาปญั หาจากสภาพการณ์อนาคตในขน้ั ที่ 1 ผเู้ รยี นช่วยกนั วเิ คราะหว์ ่าอาจจะเกิดปญั หาอะไรขึ้นบา้ งในอนาคต ขั้นท่ี 3 การสรปุ ปัญหา และจัดลาดับความสาคัญของปัญหา ผ้เู รยี นนาปัญหาท่วี เิ คราะห์ ไดม้ าจัดกลมุ่ หรอื จัดความสมั พันธ์เพ่ือกาหนดว่าอะไรเปน็ ปญั หาหลกั อะไรเป็นปัญหารอง และจดั ลาดบั ความสาคัญของปญั หา ข้ันที่ 4 การระดมสมองหาวิธแี กป้ ญั หา ผ้เู รยี นรว่ มกนั คิดวธิ แี กป้ ญั หา โดยพยายามคิดให้ได้ ทางเลือกทแ่ี ปลกใหม่ จานวนมาก ขั้นที่ 5 การเลือกวิธกี ารแกป้ ญั หาที่ดที ี่สุด เสนอเกณฑ์หลาย ๆ เกณฑ์ทจ่ี ะใช้ในการเลอื ก วธิ กี ารแกป้ ัญหา แล้วตัดสนิ ใจเลอื กเกณฑ์ท่ีมีความเหมาะสม และมีความเปน็ ไปได้ในแต่ละสภาพการณ์ ตอ่ ไป จงึ นาเกณฑ์ท่คี ัดเลือกไว้ มาใช้ในการเลือกวิธีการแกป้ ญั หาที่ดีท่สี ุด โดยพจิ ารณาถงึ นา้ หนักความสาคญั ของเกณฑแ์ ตล่ ะข้อดว้ ย ข้ันที่ 6 การนาเสนอวธิ กี ารแกป้ ญั หาอนาคต ผเู้ รียนนาวธิ ีการแก้ปญั หาอนาคตท่ีได้มาเรียบ เรยี ง อธิบายรายละเอียดเพม่ิ เติมข้อมลู ทจ่ี าเปน็ คดิ วิธีการนาเสนอท่เี หมาะสม และนาเสนออยา่ งเปน็ ระบบ น่าเชื่อถอื ง.ผลท่ผี ูเ้ รยี นจะได้รบั จากการเรียนตามรูปแบบ ผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะการคิดแกป้ ญั หา และตระหนกั รู้ในปญั หาทีอ่ าจจะเกิดข้ึนในอนาคต และสามารถใช้ทักษะการคิดแกป้ ญั หามาใช้ในการแกป้ ญั หาปจั จุบัน และป้องกนั ปญั หาทจ่ี ะเกิดขึ้นในอนาคต 3.3.5 รูปแบบการเรียนการสอนทเี่ น้นการบูรณาการ (Integration) รปู แบบการเรยี นการสอนในหมวดนี้ เปน็ รปู แบบท่พี ยายามพัฒนาการเรียนรู้ดา้ นต่าง ๆ ของ ผู้เรยี นไปพร้อม ๆ กัน โดยใช้การบูรณาการทง้ั ทางดา้ นเนอ้ื หาสาระและวธิ กี าร รูปแบบในลกั ษณะนก้ี าลงั ได้รบั ความนิยมอยา่ งมาก เพราะมคี วามสอดคลอ้ งกบั หลักทฤษฎที างการศกึ ษาที่ มุ่งเนน้ การพฒั นารอบด้าน หรอื การพฒั นาเป็นองค์รวม รปู แบบในลกั ษณะดงั กล่าวมี 4 รปู แบบใหญ่ ๆ คือ 1) รปู แบบการเรียนการสอนทางตรง 2) รูปแบบการเรยี นการสอนโดยการสร้างเรอ่ื ง 3) รปู แบบการเรยี นการสอนตามวฏั จักรการเรียนรู้ 4 MAT 4) รูปแบบการเรยี นการสอนของการเรยี นรแู้ บบร่วมมอื

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 140 ก) รูปแบบจก๊ิ ซอร์ (JIGSAW) ข) รูปแบบ เอส. ที. เอ. ดี. (STAD) ค) รูปแบบ ที. เอ. ไอ. (TAI) ง) รูปแบบ ท.ี จ.ี ท.ี (TGT) จ) รปู แบบ แอล. ท.ี (LT) ฉ) รปู แบบ จี. ไอ. (GI) ช) รูปแบบ ซ.ี ไอ. อาร.์ ซ.ี (CIRC) ซ) รูปแบบคอมเพลก็ ซ์ (Complex Instruction) 1) รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง (Direct Instruction Model) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคดิ ของรูปแบบ จอยส์ และวีล (Joyce and Weil) อ้างวา่ มีงานวจิ ยั จานวนไมน่ ้อยที่ชใี้ ห้เหน็ ว่า การสอน โดยม่งุ เนน้ ให้ความรทู้ ล่ี กึ ซึง้ ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนรู้สกึ ว่ามบี ทบาทในการเรยี น ทาใหผ้ ูเ้ รียนมีความตั้งใจในการเรยี นรู้ และชว่ ยให้ผเู้ รียนประสบความสาเร็จในการเรยี น การเรียนการสอน โดยจดั สาระและวิธีการใหผ้ เู้ รียนอยา่ งดี ทั้งทางดา้ นเน้อื หาความรู้ และการใหผ้ ู้เรียนใชเ้ วลาเรยี นอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ เปน็ ประโยชนต์ ่อการเรยี นรขู้ อง ผูเ้ รียนมากที่สดุ ผ้เู รียนมใี จจดจ่อกบั สง่ิ ทเี่ รียน และชว่ ยให้ผเู้ รยี น 80% ประสบความสาเรจ็ ในการเรียน นอกจากนั้นยงั พบวา่ บรรยากาศท่ีไมป่ ลอดภยั สาหรบั ผเู้ รยี น สามารถสกัดกน้ั ความสาเรจ็ ของผเู้ รียนได้ ดังนนั้ ผูส้ อนจึงจาเปน็ ตอ้ งระมัดระวงั ไมท่ าใหผ้ เู้ รยี นเกิดความรสู้ ึกในทางลบ เช่น การดุดา่ วา่ กล่าว การแสดงความ ไมพ่ อใจ หรือวพิ ากษว์ จิ ารณผ์ ้เู รยี น ข. วัตถปุ ระสงค์ของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนนี้มงุ่ ชว่ ยใหไ้ ดเ้ รยี นรทู้ ัง้ เนอ้ื หาสาระและมโนทัศน์ตา่ ง ๆ รวมทงั้ ไดฝ้ ึก ปฏิบตั ิทักษะตา่ ง ๆ จนสามารถทาไดด้ แี ละประสบผลสาเรจ็ ได้ในเวลาทีจ่ ากัด ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ การเรียนการสอนรปู แบบนีป้ ระกอบด้วยขนั้ ตอนสาคญั ๆ 5 ขั้นดงั นี้ ขัน้ ท่ี 1 ขัน้ นา 1.1 ผูส้ อนแจ้งวัตถุประสงคข์ องบทเรียนและระดบั การเรียนรหู้ รอื พฤติกรรมการ เรยี นรู้ทีค่ าดหวังแกผ่ เู้ รียน 1.2 ผู้สอนชแี้ จงสาระของบทเรียน และความสัมพนั ธ์กบั ความรู้และประสบการณ์ เดมิ อยา่ งคร่าว ๆ 1.3 ผูส้ อนช้ีแจงกระบวนการเรยี นรู้ และหนา้ ทร่ี บั ผดิ ชอบของผู้เรียนในแตล่ ะ ขนั้ ตอน ข้นั ท่ี 2 ข้ันนาเสนอบทเรียน 2.1 หากเปน็ การนาเสนอเน้อื หาสาระ ข้อความรู้ หรือมโนทศั น์ ผสู้ อนควร กลน่ั กรองและสกัดคุณสมบัตเิ ฉพาะของมโนทศั นเ์ หล่าน้ัน และนาเสนออยา่ งชัดเจนพร้อมทัง้ อธบิ ายและ ยกตวั อยา่ งประกอบใหผ้ เู้ รียนเข้าใจ ตอ่ ไปจงึ สรปุ คานิยามของมโนทัศนเ์ หลา่ นน้ั 2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรยี นมีความเข้าใจตรงตามวตั ถุประสงคก์ ่อนให้ผเู้ รียนลงมือฝกึ ปฏบิ ัติ หากผเู้ รยี นยงั ไมเ่ ขา้ ใจ ต้องสอนซ่อมเสรมิ ให้เข้าใจกอ่ น

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 141 ขั้นท่ี 3 ข้นั ฝึกปฏิบัตติ ามแบบ ผูส้ อนปฏบิ ตั ใิ หผ้ เู้ รียนดเู ปน็ ตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้ขอ้ มลู ป้อนกลบั ให้ การเสรมิ แรงหรือแกไ้ ขข้อผดิ พลาดของผู้เรยี น ข้ันท่ี 4 ขั้นฝกึ ปฏิบตั ิภายใต้การกากบั ของผูช้ ี้แนะ ผ้เู รยี นลงมือปฏิบัติดว้ ยตนเอง โดยผ้สู อนคอยดูแลอยหู่ า่ ง ๆ ผสู้ อนจะสามารถ ประเมนิ การเรยี นรแู้ ละความสามารถของผ้เู รียนได้จากความสาเรจ็ และความผดิ พลาดของการปฏิบตั ิของ ผ้เู รียน และช่วยเหลือผู้เรยี น โดยใหข้ อ้ มลู ปอ้ นกลบั เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาดต่าง ๆ ข้ันท่ี 5 การฝึกปฏบิ ัติอยา่ งอสิ ระ หลังจากทผี่ ู้เรยี นสามารถปฏบิ ตั ติ ามขน้ั ท่ี 4 ไดถ้ ูกตอ้ งประมาณ 85- 90 % แลว้ ผสู้ อนควรปลอ่ ยใหผ้ ู้เรยี นปฏิบัตติ อ่ ไปอย่างอสิ ระ เพอ่ื ช่วยใหเ้ กดิ ความชานาญและการเรียนรอู้ ยคู่ งทน ผู้สอน ไม่จาเปน็ ตอ้ งให้ข้อมลู ปอ้ นกลบั ในทันที สามารถใหภ้ ายหลังได้ การฝึกในขัน้ นไี้ มค่ วรทาติดตอ่ กนั ในครงั้ เดียว ควรมกี ารฝกึ เป็นระยะๆ เพื่อช่วยใหก้ ารเรยี นรอู้ ยคู่ งทนข้ึน ง. ผลที่ผ้เู รียนจะได้รับจากการเรียนตามรปู แบบ การเรียนการสอนแบบนี้ เป็นไปตามลาดบั ขนั้ ตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการเรยี นร้ทู ัง้ ทางด้านพุทธพิ สิ ยั และทกั ษะพิสยั ได้เรว็ และได้มากในเวลาท่ีจากดั ไมส่ บั สน ผู้เรยี นได้ฝกึ ปฏิบตั ติ าม ความสามารถของตน จนสามารถบรรลุวตั ถุประสงค์ ทาใหผ้ เู้ รียนมแี รงจงู ใจในการเรียน และมคี วามรสู้ กึ ทีด่ ตี ่อ ตนเอง 2) รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสรา้ งเรื่อง (Storyline Method) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ การจดั การเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสรา้ งเรอื่ ง พฒั นาขึ้นโดย ดร. สตีฟ เบล็ และแซลล่ี ฮารค์ เนส (Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์ อธบิ ายเก่ียวกบั การเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1) การเรียนรู้ทีด่ คี วรมลี ักษณะบรู ณาการ หรอื เปน็ สหวิทยาการ คอื เป็นการเรียนรู้ทผี่ สม- ผสานศาสตรห์ ลาย ๆ อย่างเขา้ ดว้ ยกัน เพอ่ื ประโยชน์สงู สุดในการประยกุ ต์ใชใ้ นการทางาน และการดาเนนิ ชวี ิตประจาวัน 2) การเรียนรทู้ ่ีดีเป็นการเรยี นรู้ทเี่ กิดขนึ้ ผา่ นทางประสบการณ์ตรงหรอื การกระทาหรอื การ มสี ว่ นรว่ มของผเู้ รียนเอง 3) ความคงทนของผลการเรยี นรู้ ขนึ้ อยู่กบั วิธกี ารเรียนรหู้ รอื วิธกี ารที่ไดค้ วามรมู้ า 4) ผเู้ รยี นสามารถเรียนรคู้ ณุ ค่าและสร้างผลงานทีด่ ไี ด้ หากมโี อกาสไดล้ งมอื กระทา นอกจากความเช่อื ดงั กลา่ วแลว้ การเรียนการสอนโดยวิธกี ารสรา้ งเร่ืองน้ียังใชห้ ลกั การเรียนร้แู ละ การสอนอกี หลายประการ เชน่ การเรยี นรจู้ ากสงิ่ ใกลต้ วั ไปสวู่ ิถชี วี ติ จรงิ การสร้างองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง และ การเรยี นการสอนโดยยดึ ผู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง จากฐานความเชอื่ และหลกั การดงั กล่าว สตฟี เบล็ พฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนทม่ี ลี ักษณะ บรู ณาการเน้อื หาหลักสูตรและทักษะการเรยี นจากหลายสาขาวิชาเข้าดว้ ยกัน โดยใหผ้ ู้เรียนไดส้ รา้ งสรรคเ์ ร่อื ง ข้ึนด้วยตนเอง โดยผูส้ อนทาหน้าทีว่ างเสน้ ทางเดินเรอื่ งให้ การดาเนินเรอ่ื งแบ่งเปน็ ตอน ๆ (episode) แต่ละ ตอนประกอบด้วย กิจกรรมย่อยทเ่ี ชอ่ื มโยงกนั ด้วยคาถามหลกั (key question) ลกั ษณะของคาถามหลกั ท่ี เชอ่ื มโยงเรอ่ื งราวใหด้ าเนนิ ไปอยา่ งตอ่ เนือ่ งมี 4 คาถามได้แก่ ท่ีไหน ใคร ทาอะไร/อยา่ งไร และมเี หตุการณ์

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 142 อะไรเกิดขนึ้ ผสู้ อนจะใชค้ าถามหลกั เหล่าน้ี เปิดประเดน็ ใหผ้ ูเ้ รียนคดิ รอ้ ยเรยี งเรอ่ื งราวด้วยตนเอง รวมท้งั สร้างสรรค์ชิ้นงานประกอบกันไป การเรยี นการสอนดว้ ยวิธีการดงั กลา่ ว จงึ ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสไดใ้ ช้ ประสบการณแ์ ละความคดิ ของตนอย่างเตม็ ที่ และมีโอกาสไดแ้ ลกเปลีย่ นความรู้ความคิดกัน อภปิ รายรว่ มกนั และเกดิ การเรียนรอู้ ยา่ งกวา้ งขวาง ข. วตั ถุประสงค์ของรปู แบบ เพอื่ ช่วยพัฒนาความรู้ ความเขา้ ใจและเจตคตขิ องผ้เู รยี นในเร่ืองทเี่ รียน รวมทงั้ ทักษะกระบวนต่าง ๆ เชน่ ทกั ษะการคดิ ทกั ษะการทางานรว่ มกบั ผอู้ นื่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา ทกั ษะการสอื่ สาร เปน็ ต้น ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ การเรยี นการสอนตามรูปแบบนจ้ี าเป็นตอ้ งมกี ารวางแผนและจดั เตรยี มวสั ดอุ ุปกรณล์ ่วงหนา้ โดย ดาเนนิ การดังนี้ ขั้นที่ 1 การกาหนดเส้นทางเดินเรอ่ื งให้เหมาะสม ผู้สอนจาเป็นตอ้ งวิเคราะหจ์ ุดม่งุ หมายและเนอื้ หาสาระของหลักสูตร และเลือกหวั ข้อเรอื่ ง ให้สอดคลอ้ งกบั เนอื้ หาสาระของหลักสูตรท่ีต้องการจะใหผ้ ูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้ และจัดรายละเอียดของแผนการสอน เส้นทางเดนิ เร่อื ง ประกอบด้วย 4 องก์ (episode) หรอื 4 ตอนด้วยกัน คือ ฉาก ตวั ละครวถิ ีชีวิตและเหตกุ ารณ์ ในแต่ละองก์ ผูส้ อนจะต้องกาหนดประเดน็ หลกั ขน้ึ มาแล้วตงั้ เป็นคาถามนาใหผ้ เู้ รียนศึกษาหาคาตอบซง่ึ คาถาม เหลา่ นจ้ี ะโยงไปยงั คาตอบทสี่ มั พนั ธ์กบั เนื้อหาวชิ าตา่ ง ๆ ทีป่ ระสงค์จะบรู ณาการเขา้ ด้วยกัน ข้ันที่ 2 การดาเนนิ กิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนดาเนนิ การตามแผนการสอนไปตามลาดับ การเรยี นการสอนแบบนี้ อาจใช้เวลาเพียง ไม่กีค่ าบหรือตอ่ เนอื่ งกนั เปน็ ภาคเรียนก็ได้แล้วแตห่ วั เรอ่ื งและการบรู ณาการวา่ สามารถทาไดค้ รอบคลุมเพียงใด แตไ่ ม่ควรใชเ้ วลาเกิน 1 ภาคเรยี น เพราะผูเ้ รยี นอาจเกดิ ความเบือ่ หน่ายในการเรม่ิ กจิ กรรมใหม่ ผสู้ อนควร เชอ่ื มโยงกับเร่ืองทคี่ า้ งไวเ้ ดิมใหส้ านต่อกนั เสมอ และควรใหผ้ ู้เรียนสรปุ ความคดิ รวบยอดของแตล่ ะกจิ กรรม กอ่ นจะขนึ้ กจิ กรรมใหม่ นอกจากน้นั ควรกระตุ้นใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาคน้ ควา้ ข้อมลู จากแหลง่ ความรทู้ ่หี ลากหลาย เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นชนื่ ชมผลงานของกนั และกนั และได้ปรบั ปรงุ พฒั นางานของตน ขั้นที่ 3 การประเมิน ผสู้ อนใช้การประเมนิ ผลตามสภาพที่แทจ้ รงิ (authentic assessment) คอื การประเมนิ จากการสงั เกต การบนั ทกึ และการรวบรวมขอ้ มลู จากผลงานและการแสดงออกของผู้เรียน การประเมินจะไม่ เน้นเฉพาะทกั ษะพื้นฐานเท่าน้ัน แต่จะรวมถึงทักษะการคิด การทางาน การร่วมมอื การแก้ปญั หา และอื่น ๆ การประเมนิ ใหค้ วามสาคญั ในการประสบผลสาเรจ็ ในการทางานของผเู้ รยี นแตล่ ะคน มากกว่าการประเมิน ผลการเรยี นทม่ี งุ่ ใหค้ ะแนนผลผลติ และจัดลาดบั ทเ่ี ปรยี บเทยี บกบั กลมุ่ ง. ผลท่ีผู้เรียนจะได้รับจาการเรยี นรู้ตามรปู แบบ ผเู้ รียนจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องทเ่ี รียน ในระดับทส่ี ามารถวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหไ์ ด้ รวมทง้ั ไดพ้ ฒั นาทักษะกระบวนการตา่ ง ๆ 3) รูปแบบการเรียนการสอนตามวฏั จักรการเรยี นรู้ 4 MAT ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ แม็ค คาร์ธี (Mc Carthy) พัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนนีข้ ้นึ จากแนวคดิ ของโคลป์ (Kolb) ซ่งึ อธิบายว่า การเรยี นรเู้ กิดขนึ้ จากความสมั พันธข์ อง 2 มิติ คือการรบั รู้ และกระบวนการจัดกระทาข้อมลู การ รบั รู้ของบคุ คลมี 2 ช่องทาง คือผา่ นทางประสบการณท์ เี่ ปน็ รปู ธรรม และผ่านทางความคิดรวบยอดท่ีเปน็

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 143 นามธรรม สว่ นการจัดกระทากับขอ้ มูลที่รบั รนู้ ัน้ มี 2 ลักษณะเชน่ เดยี วกนั คอื การลงมอื ทดลองปฏบิ ัติ และการ สังเกตโดยใชค้ วามคิดอย่างไตรต่ รอง เม่อื ลากเสน้ ตรงของชอ่ งทางการรบั รู้ 2 ชอ่ งทาง และเส้นตรงของการจดั กระทาขอ้ มลู เพ่อื ใหเ้ กิดการเรียนรู้มาตัดกัน แล้วเขยี นเปน็ วงกลมจะเกิดพน้ื ทเี่ ปน็ 4 ส่วนของวงกลม ซง่ึ สามารถแทนลักษณะการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น 4 แบบ คอื แบบท่ี 1 เปน็ ผเู้ รยี นท่ีถนดั จนิ ตนาการ (imaginative learners) เพราะมกี ารรบั รผู้ า่ นทาง ประสบการณท์ เ่ี ปน็ รูปธรรม และใชก้ ระบวนการจัดกระทาขอ้ มลู ด้วยการสงั เกตอยา่ งไตร่ตรอง แบบท่ี 2 เป็นผเู้ รยี นท่ถี นดั การวเิ คราะห์ (analytic learners) เพราะมกี ารรับรผู้ ่านทาง ความคดิ รวบยอดที่เปน็ นามธรรม และชอบใช้กระบวนการสงั เกตอยา่ งไตร่ตรอง แบบที่ 3 เปน็ ผเู้ รยี นท่ถี นัดใชส้ ามัญสานกึ (commonsense learners) เพราะมีการรับรู้ ผา่ นทางความคดิ รวบยอดท่เี ป็นนามธรรม และชอบใชก้ ระบวนการลงมอื ทา แบบที่ 4 เป็นผเู้ รียนท่ีถนดั ในการปรบั เปล่ยี น (dynamic learners) เพราะมกี ารรบั ร้ผู า่ น ทางประสบการณ์ที่เปน็ รปู ธรรม และชอบใชก้ ระบวนการลงมอื ปฏบิ ตั ิ แมค็ คาร์ธี และคณะ ได้นาแนวคิดของโคลป์ มาประกอบกบั แนวคิดเก่ยี วกับการทางานของสมอง ทัง้ สองซกี ทาให้เกดิ เปน็ แนวทางการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใชค้ าถามหลกั 4 คาถามคอื ทาไม (Why) อะไร (What) อย่างไร (How) และถ้า (If)ซึง่ สามารถพัฒนาผเู้ รยี นที่มลี ักษณะการเรยี นรู้แตกต่างกนั ทง้ั 4 แบบ ใหส้ ามารถใช้สมองทกุ ส่วนของตนในการพฒั นาศักยภาพของตนไดอ้ ย่างเต็มที่ ข. วตั ถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อชว่ ยให้ผ้เู รียนมโี อกาสได้ใช้สมองทุกส่วน ทง้ั ซกี ซา้ ยและขวา ในการสร้างความรคู้ วามเขา้ ใจ ให้แก่ตนเอง ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ การเรยี นการสอนตามวัฏจกั รการเรยี นรู้ 4 MAT มขี ั้นตอนดาเนนิ การ 8 ขัน้ ดังน้ี ข้ันที่ 1 การสร้างประสบการณ์ ผู้สอนเรม่ิ ตน้ จากการจัดประสบการณใ์ หผ้ เู้ รียนเหน็ คณุ คา่ ของ เร่ืองที่เรยี นดว้ ยตนเอง ซงึ่ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นตอบได้ว่า ทาไม ตนจึงต้องเรียนรเู้ รื่องน้ี ข้ันท่ี 2 การวเิ คราะห์ประสบการณ์ หรือสะทอ้ นความคิดจากประสบการณ์ ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความตระหนักรู้ และยอมรบั ความสาคญั ของเรอ่ื งทเี่ รยี น ข้ันท่ี 3 การพฒั นาประสบการณ์เป็นความคิดรวบยอดหรือแนวคิด เมอื่ ผู้เรยี นเหน็ คณุ คา่ ของ เร่ืองทีเ่ รยี นแลว้ ผสู้ อนจงึ จดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ช่ี ว่ ยให้ผเู้ รยี นสามารถสรา้ งความคิดรวบยอดข้นึ ด้วยตนเอง ขั้นที่ 4 การพัฒนาความร้คู วามคดิ เม่อื ผเู้ รยี นมีประสบการณแ์ ละเกิดความคิดรวบยอดหรือ แนวคดิ พอสมควรแลว้ ผสู้ อนจงึ กระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นพฒั นาความรคู้ วามคิดของตนให้กว้างขวางและลกึ ซง้ึ ขน้ึ โดย การใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาค้นควา้ เพม่ิ เตมิ จากแหลง่ ความรทู้ ห่ี ลากหลาย การเรียนรใู้ นขนั้ ที่ 3 และ 4 น้คี อื การตอบ คาถามวา่ สง่ิ ท่ไี ดเ้ รยี นร้คู ือ อะไร ขั้นที่ 5 การปฏิบัติตามแนวคิดที่ได้เรียนรู้ ในขน้ั นผี้ ู้สอนเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นนาความรู้ความคดิ ท่ไี ดร้ บั จากการเรียนรู้ในขน้ั ที่ 3-4 มาทดลองปฏบิ ตั จิ ริง และศกึ ษาผลทเ่ี กิดขนึ้ ขัน้ ที่ 6 การสรา้ งสรรคช์ นิ้ งานของตนเอง จากการปฏบิ ตั ิตามแนวคิดท่ไี ดเ้ รียนรใู้ นข้ันที่ 5 ผู้เรยี นจะเกิดการเรียนรถู้ งึ จดุ เด่นจดุ ด้อยของแนวคดิ ความเขา้ ใจแนวคิดนัน้ จะกระจา่ งข้ึน ในข้นั น้ผี ู้สอนควร กระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นพฒั นาความสามารถของตน โดยการนาความรู้ความเขา้ ใจนนั้ ไปใชห้ รอื ปรบั ประยุกต์ใช้ในการ สรา้ งชิ้นงานท่เี ป็นความคดิ สร้างสรรคข์ องตนเอง ดังนนั้ คาถามหลกั ท่ีใช้ในขนั้ ท่ี 5-6 กค็ อื จะทาอย่างไร

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 144 ขั้นท่ี 7 การวิเคราะหผ์ ลงานและแนวทางในการนาไปประยุกต์ใช้ เมือ่ ผ้เู รียนไดส้ รา้ งสรรค์ ช้ินงานของตนตามความถนดั แลว้ ผู้สอนควรเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนได้แสดงผลงานของตน ชน่ื ชมกับความสาเรจ็ และเรยี นรทู้ จ่ี ะวพิ ากษ์วิจารณ์อยา่ งสรา้ งสรรค์ รวมทง้ั รบั ฟงั ขอ้ วิพากษว์ จิ ารณ์ เพ่อื การปรบั ปรงุ งานของตนให้ ดขี น้ึ และนาไปประยกุ ตใ์ ชต้ ่อไป ข้นั ท่ี 8 การแลกเปลยี่ นความรู้ความคดิ ขั้นน้ีเป็นขัน้ ขยายขอบข่ายของความรู้ โดยการแลก เปลีย่ นความร้คู วามคดิ แกก่ ันและกนั และรว่ มกันอภิปราย เพื่อการนาการเรยี นรไู้ ปเชอ่ื มโยงกบั ชีวิตจรงิ และ อนาคต คาถามหลกั ในการอภปิ รายกค็ อื ถา้ ....? ซ่งึ อาจนาไปสกู่ ารเปดิ ประเดน็ ใหมส่ าหรับผูเ้ รยี น ในการ เร่ิมต้นวัฏจกั รของการเรยี นรใู้ นเร่ืองใหม่ต่อไป ง . ผลท่ีผเู้ รยี นจะได้รบั จากการเรยี นรูต้ ามรปู แบบ ผูเ้ รียนจะสามารถสร้างความรดู้ ว้ ยตนเองในเรอื่ งท่เี รยี น จะเกิดความรู้ความเข้าใจและนาความรู้ ความเขา้ ใจน้ันไปใชไ้ ด้ และสามารถสรา้ งผลงานทเี่ ป็นความคดิ สรา้ งสรรคข์ องตนเอง รวมทั้งไดพ้ ฒั นาทกั ษะ กระบวนการตา่ ง ๆ อีกจานวนมาก 4) รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Instructional Models of Cooperative Learning) ก. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนของแนวคิดแบบรว่ มมือ พฒั นาขนึ้ โดยอาศยั หลกั การเรียนรู้แบบรว่ มมอื ของจอห์นสนั และจอห์นสัน (Johnson & Johnson) ซึ่งได้ช้ใี หเ้ หน็ วา่ ผ้เู รียนควรรว่ มมอื กนั ในการเรียนรู้ มากกวา่ การแขง่ ขันกัน เพราะการแขง่ ขันก่อให้เกดิ สภาพการณ์แพ้-ชนะ ต่างจากการร่วมมอื กนั ซ่ึงก่อใหเ้ กดิ สภาพการณช์ นะ-ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ท่ดี กี วา่ ทง้ั ทางด้านจติ ใจและสตปิ ัญญา หลักการเรียนรแู้ บบร่วมมอื 5 ประการประกอบด้วย (1) การเรยี นรตู้ อ้ งอาศยั หลกั พ่ึงพากันโดยถอื วา่ ทกุ คนมคี วามสาคัญเท่าเทยี มกนั และจะต้อง พงึ พากันเพ่อื ความสาเรจ็ ร่วมกนั (2) การเรยี นรทู้ ่ดี ตี ้องอาศยั การหันหน้าเข้าหากัน มปี ฏสิ ัมพนั ธ์กนั เพ่ือแลกเปล่ียนความ คิดเหน็ ข้อมลู และการเรยี นรู้ต่าง ๆ (3) การเรยี นรรู้ ่วมกนั ตอ้ งอาศยั ทักษะทางสงั คม โดยเฉพาะทกั ษะในการทางานรว่ มกัน (4) การเรยี นรรู้ ่วมกันควรมีการวเิ คราะห์กระบวนการกลุ่มทใ่ี ช้ในการทางาน 5) การเรียนรรู้ ่วมกนั จะต้องมผี ลงานหรือผลสมั ฤทธิท์ งั้ รายบคุ คลและรายกลมุ่ ทส่ี ามารถ ตรวจสอบและวดั ประเมนิ ได้ หากผเู้ รยี นมโี อกาสไดเ้ รยี นรแู้ บบร่วมมือกนั นอกจากจะชว่ ยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรูท้ างดา้ น เนื้อหาสาระต่าง ๆ ไดก้ ว้างข้ึนและลกึ ซึง้ ขึ้นแลว้ ยงั สามารถชว่ ยพฒั นาผเู้ รยี นทางด้านสงั คมและ อารมณ์มากข้นึ ด้วย รวมทงั้ มโี อกาสไดฝ้ ึกฝนพัฒนาทกั ษะกระบวนการตา่ ง ๆ ทจี่ าเป็นต่อการ ดารงชวี ิตอกี มาก ข. วัตถปุ ระสงค์ของรูปแบบ รปู แบบนีม้ งุ่ ใหผ้ เู้ รียนได้เรียนรเู้ นื้อหาสาระต่าง ด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและ ความช่วยเหลือจากเพอื่ น ๆ รวมทัง้ ไดพ้ ฒั นาทกั ษะสังคมตา่ ง ๆ เชน่ ทักษะการส่อื สาร ทกั ษะการ ทางานรว่ มกบั ผ้อู นื่ ทกั ษะการสรา้ งความสัมพนั ธ์ รวมทงั้ ทกั ษะแสวงหาความรู้ ทกั ษะการคิด การ แก้ปัญหาและอนื่ ๆ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 145 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ รูปแบบการเรยี นการสอนทีส่ ง่ เสรมิ การเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื มหี ลายรปู แบบ ซง่ึ แตล่ ะรูปแบบ จะมวี ิธีการหลกั ๆ ซ่งึ ได้แก่ การจัดกลุม่ การศกึ ษาเนอื้ หาสาระ การทดสอบ การคดิ คะแนน และ ระบบการใหร้ างวลั แตกต่างกันออกไป เพอื่ สนองวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ แต่ไมว่ ่าจะเปน็ รูปแบบใด ต่างก็ ใช้หลักการเดยี วกนั คอื หลกั การเรยี นร้แู บบรว่ มมือ 5 ประการ และมวี ตั ถุประสงค์มุง่ ตรงไปในทิศทาง เดยี วกัน คอื เพ่ือช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรยี นรใู้ นเร่อื งทศี่ กึ ษาอยา่ งมากทสี่ ดุ โดยอาศัยการรว่ มมือกนั ช่วยเหลือกนั และแลกเปล่ยี นความรกู้ นั ระหว่างกลุ่มผู้เรียนดว้ ยกัน ความแตกตา่ งของรปู แบบแต่ละ รปู แบบจะอยูท่ เี่ ทคนคิ ในการศกึ ษาเนอื้ หาสาระ และวธิ กี ารเสรมิ แรง และการใหร้ างวัลเป็นประการ สาคัญ เพือ่ ความกระชับในการนาเสนอ ผู้เขียนจงึ จะนาเสนอกระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ ทง้ั 6 รปู แบบตอ่ เนื่องกันดงั น้ี ก) กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบจ๊กิ ซอร์(Jigsaw) 1)จัดผูเ้ รยี นเขา้ กลุ่มคละความสามารถ (เกง่ -กลาง-ออ่ น) กลุ่มละ 4 คน และเรียก กล่มุ นีว้ า่ กลมุ่ บ้านของเรา (home group) 2) สมาชิกในกลุม่ บ้านของเราได้รบั มอบหมายใหศ้ ึกษาเนอื้ หาสาระคนละ 1 สว่ น (เปรียบเสมอื นไดช้ นิ้ สว่ นภาพตดั ต่อคนละ1ช้ิน)และหาคาตอบในประเดน็ ปญั หาท่ีผสู้ อนมอบหมายให้ 3) สมาชกิ ในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลมุ่ อ่นื ซงึ่ ได้รบั เนือ้ หา เดียวกนั ต้ังเปน็ กลมุ่ ผเู้ ชี่ยวชาญ(expert group) ขน้ึ มา และรว่ มกนั ทาความเข้าใจในเน้อื หาสาระนัน้ อย่างละเอียด และรว่ มกันอภปิ รายหาคาตอบประเดน็ ปัญหาทผ่ี ูส้ อนมอบหมายให้ 4) สมาชกิ กลุ่มผเู้ ช่ียวชาญกลบั ไปสกู่ ล่มุ บ้านของเรา แต่ละคนชว่ ยสอนเพื่อนใน กลุ่มให้เข้าใจในสาระที่ตนไดศ้ กึ ษาร่วมกบั กลมุ่ ผเู้ ชย่ี วชาญ เชน่ นี้ สมาชิกทกุ คนกจ็ ะไดเ้ รยี นร้ภู าพรวม ของสาระทง้ั หมด 5) ผเู้ รียนทกุ คนทาแบบทดสอบ แตล่ ะคนจะได้คะแนนเป็นรายบคุ คล และนา คะแนนของทกุ คนในกลมุ่ บา้ นของเรามารวมกนั (หรอื หาคา่ เฉลย่ี ) เปน็ คะแนนกล่มุ กล่มุ ท่ีไดค้ ะแนน สงู สุดไดร้ ับรางวัล ข) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เอส. ที. เอ. ด.ี (STAD) คาว่า “STAD” เป็นตัวย่อของ “Student Teams – Achievement Division” กระบวนการดาเนินการมดี งั นี้ 1) จัดผเู้ รยี นเข้ากลมุ่ คละความสามารถ (เกง่ -กลาง-ออ่ น) กลุ่มละ 4 คน และ เรยี กกลมุ่ นว้ี ่า กลุ่มบ้านของเรา (home group) 2) สมาชกิ ในกลมุ่ บ้านของเราไดร้ บั เนื้อหาสาระและศกึ ษาเน้อื หาสาระนั้นรว่ มกนั เนื้อหาสาระนั้นอาจมหี ลายตอน ซึง่ ผู้เรยี นอาจตอ้ งทาแบบทดสอบในแตล่ ะตอนและเกบ็ คะแนนของ ตนไว้ 3) ผู้เรียนทกุ คนทาแบบทดสอบครง้ั สุดทา้ ย ซง่ึ เป็นการทดสอบรวบยอดและนา คะแนนของตนไปหาคะแนนพฒั นาการ ซงึ่ หาไดด้ ังนี้ คะแนนพ้นื ฐาน: ได้จากคา่ เฉลย่ี ของคะแนนทดสอบย่อยหลาย ๆ คร้ังทผี่ เู้ รยี นแตล่ ะคนทาได้ คะแนนท่ไี ด:้ ได้จากการนาคะแนนทดสอบครั้งสดุ ทา้ ยลบคะแนนพ้ืนฐาน คะแนนพฒั นาการ: ถา้ คะแนนทีไ่ ด้คอื -11 ข้นึ ไป คะแนนพฒั นาการ = 0

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 146 -1 ถงึ -10 คะแนนพฒั นาการ = 10 +1 ถึง 10 คะแนนพฒั นาการ = 20 +11 ขน้ึ ไป คะแนนพฒั นาการ = 30 4) สมาชิกในกลมุ่ บา้ นของเรานาคะแนนพฒั นาการของแตล่ ะคนในกลุม่ มารวมกนั เป็น คะแนนของกลมุ่ กลมุ่ ใดไดค้ ะแนนพัฒนาการของกลมุ่ สงู สุด กลมุ่ น้นั ไดร้ างวลั ค) กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ ท.ี เอ. ไอ. (TAI) คาว่า “TAI” มาจาก “Team –Assisted Individualization” ซงึ่ มีกระบวนการดังนี้ 1) จัดผูเ้ รียนเข้ากลมุ่ คละความสามารถ (เกง่ -กลาง-อ่อน) กลมุ่ ละ 4 คน และเรียกกลมุ่ น้ี ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group) 2) สมาชกิ ในกลมุ่ บ้านของเราได้รบั เน้ือหาสาระและศกึ ษาเนอ้ื หาสาระรว่ มกนั 3) สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา จบั คู่กันทาแบบฝกึ หดั ก.ถ้าใครทาแบบฝกึ หัดได้ 75% ขน้ึ ไปให้ไปรบั การทดสอบรวบยอดครงั้ สุดท้ายได้ ข.ถา้ ยงั ทาแบบฝกึ หัดได้ไม่ถึง 75% ใหท้ าแบบฝกึ หัดซ่อมจนกระทงั่ ทาได้ แลว้ จึงไป รับการทดสอบรวบยอดครง้ั สุดทา้ ย 4) สมาชกิ ในกลุ่มบ้านของเราแตล่ ะคนนาคะแนนทดสอบรวบยอดมารวมกันเปน็ คะแนน ของกลมุ่ กล่มุ ใดไดค้ ะแนนสงู สดุ กลมุ่ นน้ั ได้รับรางวัล ง) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ท.ี จ.ี ท.ี (TGT) ตวั ย่อ “TGT” มาจาก”Team Game Tournament” ซง่ึ มกี ารดาเนนิ การดังนี้ 1) จัดผเู้ รียนเขา้ กลมุ่ คละความสามารถ (เกง่ -กลาง-อ่อน) กลมุ่ ละ 4 คน และ เรียกกลุ่มนี้วา่ กลมุ่ บา้ นของเรา (home group) 2) สมาชิกในกลมุ่ บา้ นของเรา ไดร้ ับเน้อื หาสาระและศกึ ษาเนอ้ื หาสาระรว่ มกัน 3) สมาชกิ ในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายกันเป็นตัวแทนกลุ่มไปแขง่ ขันกบั กลุ่มอ่นื โดยจัด กลุ่มแข่งขนั ตามความสามารถ คอื คนเกง่ ในกลมุ่ บ้านของเราแต่ละกลมุ่ ไปรวมกนั คนออ่ นกไ็ ปรวมกับคนออ่ น ของกลมุ่ อื่น กลมุ่ ใหมท่ ่ีรวมกนั นเ้ี รยี กวา่ กลมุ่ แขง่ ขัน กาหนดใหม้ ีสมาชิกกลมุ่ ละ 4 คน 4) สมาชกิ ในกลมุ่ แข่งขัน เรมิ่ แขง่ ขันกันดงั น้ี ก. แข่งขันกนั ตอบคาถาม 10 คาถาม ข. สมาชกิ คนแรกจับคาถามขึน้ มา 1 คาถาม และอา่ นคาถามให้กลมุ่ ฟัง ค. ให้สมาชิกท่อี ย่ซู ้ายมอื ของผ้อู า่ นคาถามคนแรกตอบคาถามก่อน ตอ่ ไปจงึ ใหค้ น ถัดไปตอบจนครบ ง. ผู้อา่ นคาถามเปิดคาตอบ แล้วอา่ นเฉลยคาตอบทถี่ กู ใหก้ ลุม่ ฟัง จ. ให้คะแนนคาตอบดงั น้ี ผูต้ อบถกู เป็นคนแรกได้ 2 คะแนน ผู้ตอบถูกคนตอ่ ไปได้ 1 คะแนน ผตู้ อบผดิ ได้ 0 คะแนน ฉ. ต่อไปสมาชิกคนท่ี 2 จบั คาถามท่ี 2 และเรม่ิ เล่นตามขัน้ ตอน ข-จ ไปเรอื่ ยๆ จนกระท่ังคาถามหมด ช. ทุกคนรวมคะแนนของตนเอง ผไู้ ดค้ ะแนนอนั ดบั 1 ไดโ้ บนสั 10 คะแนน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 147 ผู้ไดค้ ะแนนอันดบั 2 ได้โบนสั 8 คะแนน ผู้ไดค้ ะแนนอันดบั 3 ได้โบนัส 5 คะแนน ผ้ไู ด้คะแนนอนั ดับ 4 ไดโ้ บนสั 4 คะแนน 5) เมื่อแข่งขนั เสรจ็ แลว้ สมาชกิ กลุ่มกลบั ไปกลุ่มบา้ นของเรา แลว้ นาคะแนนทีแ่ ตล่ ะคนได้ รวมเปน็ คะแนนของกลุ่ม จ) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ แอล. ท.ี (L.T) “L.T.” มาจากคาวา่ Learning Together ซึ่งมกี ระบวนการทีง่ า่ ยไมซ่ บั ซอ้ น ดงั นี้ 1) จดั ผู้เรียนเข้ากลมุ่ คละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กล่มุ ละ 4 คน 2) กลุ่มยอ่ ยกลุม่ ละ 4 คน ศึกษาเนือ้ หาร่วมกัน โดยกาหนดให้แตล่ ะคนมบี ทบาทหนา้ ท่ี ช่วยกลุม่ ในการเรียนรู้ ตัวอย่างเช่น สมาชิกคนท่ี 1: อา่ นคาสง่ั สมาชกิ คนท่ี 2: หาคาตอบ สมาชกิ คนที่ 3: หาคาตอบ สมาชิกคนที่ 4: ตรวจคาตอบ 3) กลุม่ สรุปคาตอบร่วมกัน และสง่ คาตอบนนั้ เป็นผลงานกลุม่ 4) ผลงานกลุ่มได้คะแนนเท่าไร สมาชิกทกุ คนในกลมุ่ นน้ั จะได้คะแนนนน้ั เท่ากันทกุ คน ฉ) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ จี. ไอ. (G.I.) “G.I.” คือ “Group Investigation” รปู แบบนเ้ี ป็นรูปแบบทส่ี ่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นช่วยกนั ไป สบื ค้นขอ้ มลู มาใชใ้ นการเรยี นรู้ร่วมกัน โดยดาเนนิ การเปน็ ขนั้ ตอนดังนี้ 1) จดั ผู้เรียนเข้ากลุม่ คละความสามารถ (เกง่ -กลาง-ออ่ น) กลุ่มละ 4 คน 2) กลมุ่ ยอ่ ยศกึ ษาเนื้อหาสาระร่วมกนั โดย ก. แบง่ เนอื้ หาออกเป็นหวั ข้อยอ่ ย ๆ แล้วแบง่ กันไปศึกษาหาข้อมูลหรอื คาตอบ ข. ในการเลอื กเน้อื หา ควรใหผ้ ู้เรยี นอ่อนเปน็ ผูเ้ ลือกกอ่ น 3) สมาชิกแตล่ ะคนไปศึกษาหาข้อมลู /คาตอบมาใหก้ ลมุ่ กลมุ่ อภปิ รายรว่ มกันและสรุปผล การศึกษา 4) กลุ่มเสนอผลงานของกลมุ่ ตอ่ ชัน้ เรยี น ช) กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ซ.ี ไอ. อาร.์ ซ.ี (CIRC) รูปแบบ CIRC หรอื “Cooperative Integrated Reading and Composition” เป็น รูปแบบการเรยี นการสอนแบบรว่ มมือท่ีใชใ้ นการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ รปู แบบนปี้ ระกอบด้วยกิจกรรม หลัก 3 กิจกรรมคือ กิจกรรมการอา่ นแบบเรยี น การสอนการอ่านเพอ่ื ความเข้าใจ และการบรู ณาการภาษากบั การเรยี น โดยมขี นั้ ตอนในการดาเนินการดงั นี้ 1) ครแู บง่ กลมุ่ นักเรียนตามระดบั ความสามารถในการอ่าน นักเรียนในแต่ละกลมุ่ จบั คู่ 2 คน หรือ 3 คน ทากจิ กรรมการอ่านแบบเรียนรว่ มกัน 2) ครูจดั ทีมใหม่โดยใหน้ กั เรยี นแตล่ ะทมี ต่างระดบั ความสามารถอยา่ งน้อย 2 ระดบั ทมี ทา กจิ กรรมรว่ มกนั เช่น เขยี นรายงาน แต่งความ ทาแบบฝึกหดั และแบบทดสอบตา่ ง ๆ และมีการให้คะแนนของ แต่ละทีม ทมี ใดไดค้ ะแนน 90% ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบตั รเปน็ “ซปุ เปอรท์ ีม” หากได้คะแนนตัง้ แต่ 80- 89% กจ็ ะไดร้ ับรางวัลรองลงมา

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 148 3) ครพู บกลมุ่ การอ่านประมาณวันละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงคใ์ นการอา่ น แนะนา คาศพั ท์ใหม่ ๆ ทบทวนศัพท์เกา่ ต่อจากน้นั ครจู ะกาหนดและแนะนาเรื่องท่ีอ่านแลว้ ให้ผเู้ รียนทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ตามที่ผเู้ รียนจดั เตรียมไวใ้ ห้ เชน่ อา่ นเร่ืองในใจแลว้ จบั คอู่ า่ นออกเสยี งใหเ้ พ่อื นฟังและช่วยกนั แกจ้ ดุ บกพรอ่ ง หรือครูอาจจะใหน้ กั เรยี นชว่ ยกันตอบคาถาม วิเคราะหต์ วั ละคร วเิ คราะหป์ ญั หาหรอื ทานายว่าเรอื่ งจะเป็น อยา่ งไรตอ่ ไปเป็นตน้ 4) หลังจากกิจกรรมการอา่ น ครูนาอภปิ รายเร่อื งท่อี ่าน โดยครจู ะเน้นการฝึกทกั ษะตา่ งๆ ในการอ่าน เชน่ การจบั ประเด็นปัญหา การทานาย เป็นต้น 5) นกั เรยี นรบั การทดสอบการอ่านเพอ่ื ความเข้าใจ นกั เรียนจะไดร้ บั คะแนนเปน็ ทัง้ รายบคุ คลและทมี 6) นกั เรยี นจะไดร้ ับการสอนและฝกึ ทกั ษะการอ่านสปั ดาหล์ ะ 1 วัน เช่น ทักษะการจบั ใจความสาคญั ทักษะการอา้ งอิง ทกั ษะการใชเ้ หตุผล เปน็ ตน้ 7) นกั เรยี นจะไดร้ บั ชดุ การเรียนการสอนเขียน ซึง่ ผเู้ รยี นสามารถเลือกหัวข้อการเขยี นได้ ตามความสนใจ นักเรียนจะชว่ ยกันวางแผนเขยี นเรอ่ื งและชว่ ยกันตรวจสอบความถกู ตอ้ งและในทส่ี ดุ ตพี ิมพ์ ผลงานออกมา 8) นกั เรยี นจะไดร้ ับการบ้านใหเ้ ลอื กอา่ นหนงั สือทสี่ นใจ และเขยี นรายงานเรือ่ งทอ่ี า่ นเปน็ รายบคุ คล โดยใหผ้ ู้ปกครองชว่ ยตรวจสอบพฤตกิ รรมการอา่ นของนักเรยี นทบี่ ้าน โดยมีแบบฟอรม์ ให้ ซ) กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบคอมเพลก็ ซ์ (Complex Instruction) รปู แบบนพ้ี ัฒนาข้นึ โดย เอลิซาเบธ โคเฮน และคณะ (Elizabeth Cohen et al.) เป็นรูป แบบที่คลา้ ยคลงึ กบั รูปแบบ จ.ี ไอ. เพยี งแตจ่ ะสบื เสาะหาความรู้เป็นกลุ่มมากกวา่ การทาเป็นรายบคุ คล นอกจากนั้นงานทใี่ หย้ งั มลี ักษณะของการประสานสมั พันธ์ระหว่างความรกู้ บั ทักษะหลายประเภท และเน้นการ ใหค้ วามสาคญั กบั ผเู้ รียนเป็นรายบุคคล โดยการจัดงานใหเ้ หมาะสมกบั ความสามารถและความถนดั ของผเู้ รยี น แต่ละคน ดังนน้ั ครูตอ้ งค้นหาความสามารถเฉพาะทางของผูเ้ รียนท่ีอ่อน โคเฮน เชอื่ ว่า หากผเู้ รียนไดร้ บั รู้ว่าตน มีความถนดั ในด้านใด จะช่วยให้ผู้เรยี นมีแรงจงู ใจในการพฒั นาตนเองในดา้ นอ่ืนๆ ดว้ ย รปู แบบนจ้ี ะไมม่ ีกลไก การใหร้ างวลั เนอ่ื งจากเป็นรปู แบบที่ไดอ้ อกแบบใหง้ านท่ีแตล่ ะบุคคลทา สามารถสนองตอบความสนใจของ ผเู้ รยี นและสามารถจูงใจผเู้ รียนแตล่ ะคนอย่แู ลว้ ง. ผลที่ผู้เรียนจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรูปแบบ ผเู้ รียนจะเกดิ การเรยี นรู้เนอ้ื หาสาระด้วยตนเองและดว้ ยความรว่ มมอื และช่วยเหลอื จากเพือ่ น ๆ รวมทง้ั ไดพ้ ฒั นาทกั ษะกระบวนการต่าง ๆ จานวนมาก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ทักษะการทางานร่วมกับผู้อ่นื ทักษะการประสานสมั พนั ธ์ ทักษะการคดิ ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการแกป้ ัญหา ฯลฯ เนอื่ งจากจานวนรปู แบบและรายละเอียดของแต่ละรูปแบบมากเกนิ กว่าท่จี ะนาเสนอได้ทง้ั หมด จึงได้ คดั สรร และนาเสนอเฉพาะรปู แบบที่ประเมินว่าเปน็ รปู แบบท่ี จะเป็นประโยชน์ตอ่ ครสู ่วนใหญ่ และมีโอกาส นาไปใช้ได้มาก โดยจะนาเสนอเฉพาะสาระทเ่ี ป็นแก่นสาคญั ของรูปแบบ 4 ประการ คอื ทฤษฎหี รอื หลักการ ของรูปแบบ วัตถปุ ระสงค์ของรปู แบบ กระบวนการของรปู แบบ และผลทีจ่ ะได้รบั จากการใชร้ ูปแบบ ซ่ึงจะชว่ ย ให้ได้ภาพรวมของรปู แบบ อนั จะชว่ ยใหส้ ามารถตดั สนิ ใจในเบ้ืองตน้ ไดว้ ่าใช้รปู แบบใดตรงกบั ความต้องการใน การเรียนการสอน (ทิศนา แขมมณ.ี 2562.หน้า 220-272)

149 4.บทสรุป รูปแบบการเรียนการสอนตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของบลูม แยกเป็นรปู แบบการเรยี นการสอนตาม พุทธิพสิ ยั รปู แบบการเรียนการสอนตามจติ พสิ ยั และรปู แบบการเรยี นการสอยตามทกั ษะพิสยั นอจกนั้นยังมี รูปแบบการเรยี นรเู้ น้นกระบวนการ และพฒั นาทักษะอ่นื เพม่ิ เติม สามารถนาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ตาม จิตวิทยาพัฒนาการของผู้เรยี น อา้ งองิ ทศิ นา แขมมณ.ี 2562. ศาสตรก์ ารสอน องค์ความรู้เพ่อื การจดั กระบวนการเรยี นรู้ทม่ี ีประสทิ ธิภาพ. กรุงเทพมหานคร: สานกั พมิ พ์จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย กิจกรรมทา้ ยบท 1. สัมมนาการนารปู แบบการเรยี นการสอนมาใชไ้ ด้เหมาะสมกบั ผ้เู รียน 2 เขยี นแผนผังการนารปู แบบการเรยี นการสอนมาใช้ไดเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รยี น 3. สะท้อนคดิ การนารปู แบบการเรียนการสอนมาใช้ได้เหมาะสมกบั ผเู้ รียน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 150 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 7 หัวขอ้ เนอื้ หา 1.บทนำ :แนวคิดของกำรจัดกำรเรยี นรู้เชิงรุก 2. ควำมหมำยของกำรจัดกำรเรยี นรเู้ ชิงรกุ 3. ควำมสำคัญของกำรจัดกำรเรยี นรเู้ ชงิ รุก 4. ลักษณะของกำรจดั กำรเรียนรเู้ ชงิ รกุ 5. ลกั ษณะกจิ กรรมทเ่ี ป็นกำรเรยี นรเู้ ชิงรกุ 6. รูปแบบวิธกี ำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรเู้ ชงิ รุก 6.1 รปู แบบกำรเรยี นรโู้ ดยใชก้ ิจกรรมเป็นฐำน (Activity-Based Learning) 6.2 รูปแบบกำรเรยี นรู้เชิงประสบกำรณ(์ Experiential Learning) 6.3 กำรเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หำเปน็ ฐำน (Problem-Based Learning) 6.4 รูปแบบกำรเรียนรู้โดยใช้โครงงำนเปน็ ฐำน ( Project-Based Learning ) 7. บทบำทของผสู้ อนในกำรเรยี นรเู้ ชงิ รกุ 8. กำรออกแบบกำรจดั กำรเรียนรเู้ ชิงรุก 9. บทสรปุ วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. สำมำรถอธบิ ำยควำมสำคญั ของกำรจัดกำรเรยี นรูเ้ ชิงรุกทมี่ ผี ลตอ่ กำรเรียนรู้ 2. สำมำรถวิเครำะห์ สงั เครำะหร์ ูปแบบกำรจัดกำรเรียนรเู้ ชงิ รุกให้เหมำะสมกบั ผเู้ รยี นแตล่ ะช้ันปี 3. สำมำรถวิเครำะห์ สงั เครำะหร์ ูปแบบกำรจดั กำรเรียนรเู้ ชงิ รุกใหเ้ หมำะสมกบั เนื้อหำสำระในกลุม่ สำระ 4. สำมำรถวิเครำะห์ สงั เครำะหร์ ูปแบบกำรจดั กำรเรียนรเู้ ชงิ รุกใหเ้ หมำะสมกบั เด็กพเิ ศษ วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 วิธสี อนแบบใชค้ รูพเ่ี ลี้ยง (Tutorial Method) 1.2 วิธีสอนแบบอปุ นัย (Inductive Method) 1.3 วิธีสอนแบบศึกษำด้วยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธสี อนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธีสอนแบบแบง่ กลุ่มระดมพลงั สมอง 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศึกษำดวู ดี ิทัศนก์ ำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กลมุ่ ของช้นั ประถมศึกษำปีที่ 1-6 อำจำรย์กระตนุ้ ให้ สงั เกตและตอบคำถำมเกย่ี วกับรปู แบบกำรสอน ต้งั คำถำมใหน้ ักศึกษำชว่ ยกันคิดหำคำตอบวำ่ รูปแบบกำรสอน ก่อเกิดปัญหำอะไรในกำรเรยี น 2.2 นักศึกษำค้นหำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพือ่ รปู แบบกำรเรียนร้เู ชิงรกุ สง่ ผลตอ่ กำร เรยี นรู้อย่ำงไร 2.3 อำจำรยช์ ักชวนคน้ หำเหตผุ ล อธิบำยประเดน็ สำคญั เรือ่ งรูปแบบกำรเรียนรเู้ ชงิ รกุ สง่ ผลตอ่ กำร เรยี นรูอ้ ย่ำงไร

151 2.4 นักศกึ ษำตง้ั กล่มุ ย่อย อภิปรำยประเด็นรปู แบบกำรเรียนรเู้ ชิงรกุ ส่งผลต่อกำรเรยี นร้อู ยำ่ งไร 2.5 อำจำรยจ์ ดั สมั นำใหน้ ักศกึ ษำหำเหตผุ ลรปู แบบกำรเรยี นรเู้ ชิงรุกส่งผลตอ่ กำรเรียนรู้อยำ่ งไร เพ่ือนร่วมชั้นแสดงควำมคิดเห็นตอ่ อย่ำงมีมำรยำทในกำรสมั นำ อำจำรย์ใหค้ วำมเหน็ อธิบำยให้นกั ศกึ ษำได้ แลกเปลี่ยนเรยี นรรู้ ว่ มกนั 2.6 นักศกึ ษำ ศกึ ษำควำมสำคัญของรปู แบบกำรเรยี นรเู้ ชิงรุกมผี ลตอ่ กำรเรียนรู้จำกเอกสำร ประกอบกำรสอน 2.7 นักศึกษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และรว่ มอภิปรำยเพอ่ื สรปุ เน้ือหำทีไ่ ด้เรียนรู้ 2.8 อำจำรย์มอบหมำยใหน้ กั ศึกษำสะทอ้ นคิดเปน็ รำยบคุ คล สื่อการเรียนการสอน 1. ไฟล์วดี ทิ ัศน์กำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กลุ่มของชน้ั ประถมศกึ ษำปที ่ี 1-6 2. กระดำษฟลปิ ชำร์ทเขยี นแผนผังรปู แบบกำรเรยี นรู้เชงิ รกุ ท่ีมีผลต่อกำรเรียนรู้ 3. เอกสำรประกอบกำรสอน การวัดผลและประเมนิ ผล 1. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วัดและประเมนิ ผลจำกกำรอภปิ รำย สัมมนำ 3. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรสะท้อนคิด 4. วัดและประเมินผลจำกกำรเขยี นแผนกำรสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 152 บทท่ี 7 การจัดการเรียนรเู้ ชิงรกุ (Active learning) 1.บทนา :แนวคดิ ของการจดั การเรยี นรูเ้ ชิงรกุ (Active Learning) การจัดการเรียนรเู้ ชิงรุก (Active learning) เป็นกระบวนการเรยี นการสอนท่ีสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นมสี ่วน รว่ มในชน้ั เรียน สร้างปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งครผู สู้ อนกบั ผเู้ รยี น มงุ่ ใหผ้ ูเ้ รยี นลงมอื ปฏบิ ัติ โดยมคี รู เป็นผอู้ านวย ความสะดวก (Facilitator) สร้างแรงบันดาลใจ ให้คาปรึกษา ดแู ล แนะนา ทาหนา้ ทเี่ ปน็ โคช้ และพเ่ี ลยี้ ง (Coach & Mentor) แสวงหาเทคนิควิธกี ารจัดการเรียนรู้ และแหล่งเรยี นรูท้ ี่หลากหลาย ใหผ้ เู้ รียน ไดเ้ รียนร้อู ยา่ งมี ความหมาย (Meaningful learning) ผเู้ รยี นสรา้ งองคค์ วามร้ไู ด้ มีความข้าใจในตนเอง ใชส้ ตปิ ัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างสรรคผ์ ลงานนวัตกรรมทบี่ ง่ บอกถึงการมสี มรรถนะสาคัญในศตวรรษท่ี 21 มที กั ษะวชิ าการ ทกั ษะชีวติ และทักษะวชิ าชีพ บรรลุเปา้ หมายการเรียนรู้ตามระดับช่วงวยั 2. ความหมายของการจัดการเรยี นรเู้ ชิงรกุ (Active Learning) การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ (Active Learning) คอื การเรียนทเี่ นน้ ใหผ้ เู้ รยี นมปี ฏสิ ัมพันธ์กบั การ เรียน การสอน กระตุน้ ให้ผเู้ รยี นเกดิ กระบวนการคิดข้ันสงู (Higher-Order Thinkingด้วยการวเิ คราะหส์ งั เคราะห์ และประเมินคา่ ไม่เพียงแต่เปน็ ผู้ฟงั ผเู้ รียนตอ้ งอา่ น เขียน ตงั้ ค าถาม และถาม อภิปรายร่วมกัน ผู้เรยี นลงมอื ปฏิบตั จิ รงิ โดยต้องคานงึ ถงึ ความรูเ้ ดมิ และความต้องการของผูเ้ รยี นเป็นสาคัญ ทัง้ นผี้ ูเ้ รียนจะถกู เปลย่ี น บทบาทจากผรู้ บั ความรู้ไปสูก่ ารมสี ่วนรว่ มในการสร้างความรู้ 3. ความสาคญั ของการจดั การเรยี นรู้เชิงรกุ (Active Learning) 1.Active Learning สง่ เสรมิ การมีอสิ ระทางด้านความคดิ และการกระทาของผู้เรียน การมี วจิ ารณญาณ และการคดิ สร้างสรรค์ ผู้เรียนจะมีโอกาส มสี ่วนร่วมในการปฏบิ ตั ิจรงิ และมีการใช้ วิจารณญาณใน การคดิ และตัดสนิ ใจในการปฏิบัตกิ จิ กรรมนั้น มุง่ สรา้ งใหผ้ ู้เรียนเปน็ ผกู้ ากับทิศทางการเรียนรู้ ค้นหาสไตล์การ เรยี นรู้ของตนเอง สกู่ ารเปน็ ผรู้ ้คู ดิ รตู้ ัดสนิ ใจดว้ ยตนเอง (Metacognition) เพราะฉะนนั้ Active Learning จึง เปน็ แนวทางการจัดการเรียนรทู้ ่มี งุ่ ใหผ้ ู้เรียนสามารถพฒั นาความคดิ ขน้ั สงู (Higher order thinking) ในการมี วจิ ารณญาณ การวเิ คราะห์ การคิดแกป้ ญั หา การประเมนิ ตดั สนิ ใจ และการสร้างสรรค์ 2. Active Leaning สนบั สนุนสง่ เสรมิ ใหเ้ กิดความร่วมมอื กนั อยา่ งมีประสิทธิภาพ ซึง่ ความร่วมมือใน การปฏบิ ตั งิ านกล่มุ จะนาไปส่คู วามสาเร็จในภาพรวม 3. Active Learning ทาใหผ้ เู้ รียนทมุ่ เทในการเรยี น จงู ใจในการเรยี น และทาใหผ้ เู้ รียน แสดงออกถงึ ความรู้ความสามารถ เมอ่ื ผเู้ รยี นได้มสี ว่ นร่วมในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมอย่างกระตอื รอื รน้ ในสภาพแวดลอ้ ม ที่ เอือ้ อานวย ผ่านการใช้กจิ กรรมที่ครจู ดั เตรียมไวใ้ หอ้ ย่างหลากหลาย ผเู้ รยี นเลอื กเรียนรู้ กิจกรรมตา่ ง ๆ ตาม ความสนใจและความถนดั ของตนเอง เกดิ ความรับผิดชอบและทุม่ เทเพื่อมุ่งสู่ความสาเร็จ 4. Active Learning สง่ เสรมิ กระบวนการเรยี นรทู้ ่ีก่อใหเ้ กิดการพฒั นาเชงิ บวกทัง้ ตัวผเู้ รยี น และตัวครู เป็นการปรบั การเรยี นเปลี่ยนการสอน ผูเ้ รยี นจะมีโอกาสไดเ้ ลอื กใช้ความถนดั ความสนใจความสามารถทีเ่ ป็น ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล (Individual Different) สอดรับกบั แนวคิดพหปุ ญั ญา (Multiple Intelligence) เพ่อื แสดงออกถงึ ตวั ตนและศักยภาพของตัวเอง สว่ นครผู สู้ อนตอ้ งมคี วามตระหนกั ทจ่ี ะปรบั เปล่ียนบทบาท แสวงหาวิธกี าร กจิ กรรมทห่ี ลากหลาย เพื่อชว่ ยเสรมิ สร้างศกั ยภาพของผเู้ รยี นแตล่ ะ คน สง่ิ เหลา่ นจี้ ะทาให้ครู

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 153 เกดิ ทักษะในการสอนและมคี วามเชี่ยวชาญในบทบาท หนา้ ท่ีทร่ี บั ผิดชอบ เป็นการ พัฒนาตน พฒั นางาน และ พฒั นาผเู้ รยี นไปพรอ้ มกัน 4. ลกั ษณะของการจดั การเรียนรู้เชงิ รกุ (Active Learning) ลกั ษณะของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มดี งั น้ี 1. เป็นการพัฒนาศักยภาพการคิด การแกป้ ญั หา และการนาความรู้ไปประยกุ ต์ใช้ 2. ผเู้ รียนมีสว่ นรว่ มในการจัดระบบการเรียนรแู้ ละสรา้ งองคค์ วามรโู้ ดยมีปฏสิ ัมพนั ธ์ร่วมกนั ใน รปู แบบของความร่วมมือมากกวา่ การแขง่ ขนั 3. เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการเรยี นรสู้ ูงสดุ 4. เป็นกจิ กรรมทใ่ี ห้ผเู้ รยี นบูรณาการขอ้ มลู ขา่ วสาร สารสนเทศ สทู่ กั ษะการคิดวเิ คราะหแ์ ละ ประเมินคา่ 5. ผู้เรียนไดเ้ รยี นรคู้ วามมวี ินยั ในการทางานรว่ มกบั ผอู้ ื่น 6. ความรูเ้ กดิ จากประสบการณแ์ ละการสรุปของผเู้ รียน 7. ผสู้ อนเปน็ ผู้อานวยความสะดวกในการจดั การเรียนรเู้ พ่ือใหผ้ เู้ รยี นเป็นผปู้ ฏิบตั ิด้วยตนเอง จากลกั ษณะการเรียนรู้แบบ Active Learning ดังกลา่ ว จงึ ควรมกี ระบวนการจัดการเรยี นรู้ ที่ สอดคลอ้ งกัน ดังน้ี 1. จัดการเรียนรทู้ พี่ ฒั นาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปญั หาและการนาความรไู้ ป ประยกุ ตใ์ ช้ 2. จัดการเรียนรทู้ ่เี ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนมสี ว่ นร่วมในกระบวนการเรียนรสู้ งู สดุ 3. จัดใหผ้ เู้ รยี นสรา้ งองค์ความรูแ้ ละจดั กระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 4. จดั ให้ผเู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรู้ท้ังในด้านการสรา้ งองค์ความรูก้ ารสรา้ งปฏสิ มั พันธ์ รว่ มกนั สรา้ งรว่ มมือกนั มากกวา่ การแขง่ ขัน 5. จัดใหผ้ เู้ รยี นเรียนร้เู ร่ืองความรบั ผดิ ชอบร่วมกัน การมีวนิ ัยในการทางานและการแบ่งหน้าที่ ความรับผิดชอบในภารกจิ ตา่ ง ๆ 6. จดั กระบวนการเรยี นทสี่ รา้ งสถานการณใ์ หผ้ ูเ้ รยี นอา่ น พดู ฟงั คดิ อย่างล่มุ ลกึ ผเู้ รยี นจะเป็น ผจู้ ดั ระบบการเรยี นร้ดู ้วยตนเอง 7. จดั กจิ กรรมการจดั การเรียนรทู้ เี่ นน้ ทกั ษะการคิดขั้นสงู 8. จัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นบูรณาการข้อมลู ขา่ วสาร หรอื สารสนเทศและหลักการ ความคดิ รวบยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผอู้ านวยความสะดวกในการจัดการเรยี นรู้ เพอื่ ให้ผเู้ รยี นเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิด้วย ตนเอง 10. จดั กระบวนการสรา้ งความร้ทู เี่ กิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรปุ ทบทวนของผเู้ รยี น 5. ลกั ษณะกจิ กรรมท่ีเป็นการเรียนรู้เชงิ รกุ 1. กระบวนการเรยี นรทู้ ลี่ ดบทบาทการสอนและการใหค้ วามรโู้ ดยตรงของครแู ตเ่ ปดิ โอกาสให้ ผ้เู รยี นมี สว่ นร่วมสรา้ งองค์ความรู้ และจัดระบบการเรยี นรู้ด้วยตนเอง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 154 2. กิจกรรมพฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รียนใหน้ าความรู้ ความเขา้ ใจไปประยุกต์ใช้ สามารถ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า คิดสร้างสรรคส์ ง่ิ ต่าง ๆ พฒั นาทักษะกระบวนการคดิ ไปสรู่ ะดบั ทสี่ ูงข้นึ 3. กจิ กรรมเชื่อมโยงกับนกั เรียน กบั สภาพแวดลอ้ มใกลต้ ัว ปัญหาของชมุ ชน สงั คม หรอื ประเทศชาติ 4. กจิ กรรมเปน็ การนาความรู้ที่ได้ไปใชแ้ กป้ ญั หาใหม่ หรอื ใชใ้ นสถานการณใ์ หม่ 5. กจิ กรรมเนน้ ใหผ้ ู้เรยี นได้ใช้ความคิดของตนเองอย่างมเี หตมุ ีผล มโี อกาสร่วมอภปิ รายและนาเสนอ ผลงาน 6. กิจกรรมเนน้ การมีปฏสิ มั พนั ธ์กนั ระหว่างผู้เรยี นกบั ผสู้ อน และปฏสิ มั พันธก์ ันระหว่างผเู้ รียน ด้วยกัน 6. รูปแบบวธิ กี ารจัดกิจกรรมการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ (Active Learning) การจัดการเรยี นรู้ที่เนน้ บทบาทและการมสี ่วนร่วมของผเู้ รียน ในลกั ษณะการจัดการเรียนรเู้ ชงิ รุก (Active Learning) มีวิธกี ารจัดการเรียนรหู้ ลากหลายวิธี เช่น 6.1 การเรียนรโู้ ดยใช้กจิ กรรมเปน็ ฐาน (Activity-Based Learning) 6.2 การเรยี นรเู้ ชงิ ประสบการณ์ (Experiential Learning) 6.3 การเรยี นรโู้ ดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem-Based Learning) 6.4 การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning อย่างไรก็ตามรปู แบบ วธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู้ หลา่ นี้ มพี น้ื ฐานมาจากแนวคดิ เดยี วกัน คอื ให้ ผ้เู รียนเป็นผมู้ บี ทบาทหลกั ในการเรยี นรู้ของตนเอง ข้อสังเกต 1. เนอื่ งจากการจดั การเรียนรู้เชงิ รกุ (Active Learning) มรี ากฐานมาจากแนวคิดทาง การศกึ ษาทีเ่ น้น การสรา้ งองค์ความร้ใู หม่ (Constructivist) โดยผเู้ รียนเปน็ ผสู้ รา้ งความรจู้ ากข้อมูลทไี่ ด้ รบั มาใหมด่ ว้ ยการนาไป ประกอบกบั ประสบการณเ์ ดมิ ในอดตี นอกจากนีย้ งั มมี ิตกิ จิ กรรมท่ีเกย่ี วขอ้ ง 2 มติ ิ ไดแ้ ก่ กจิ กรรมดา้ นการร้คู ิด (Cognitive Activity) และกจิ กรรมด้านพฤตกิ รรม (Behavioral Activity) ผู้นาไปใช้อาจเขา้ ใจคลาดเคลอ่ื น ว่า การเรยี นร้แู บบน้ี คอื รูปแบบทเ่ี น้นความตนื่ ตวั ในกิจกรรมดา้ นพฤติกรรม (Behavioral Active) โดยเขา้ ใจว่า ความตน่ื ตวั ในกจิ กรรมด้านพฤติกรรมจะทาใหเ้ กิดความตน่ื ตัวในกจิ กรรม ด้านการรูค้ ดิ (Cognitively Active) ไปเอง จงึ เปน็ ท่ีมาของการประยกุ ตใ์ ช้ผดิ ๆ ว่าให้ผสู้ อนลดบทบาทความ เปน็ ผู้ให้ความรลู้ ง เป็นเพียงผอู้ านวย ความสะดวกและบรหิ ารจัดการหลกั สตู ร โดยปล่อยใหผ้ เู้ รียนได้เรียนรเู้ อง อยา่ งอิสระจากการทากจิ กรรมและ การแลกเปล่ยี นประสบการณก์ บั ผเู้ รยี นดว้ ยกันเองตามยถากรรม โดย ผเู้ รียนไม่ไดเ้ รียนรพู้ ัฒนามติ ิด้านการรู้คิด 2. ความตนื่ ตัวในกิจกรรมดา้ นพฤตกิ รรมอาจไมก่ ่อใหเ้ กิดความต่นื ตวั ในกิจกรรมด้านการ รู้คิดเสมอไป การทผี่ สู้ อนใหค้ วามสาคญั กับกจิ กรรมด้านพฤตกิ รรมเพียงอย่างเดยี ว เชน่ การฝึกปฏบิ ตั แิ ละการ อภปิ รายใน กลุ่มของผเู้ รยี นเอง โดยไมใ่ ห้ความสาคญั กับกจิ กรรมด้านการรูค้ ิด เชน่ การลาดับความคดิ และการ จดั องค์ ความรู้ จะทาใหป้ ระสิทธผิ ลของการเรียนรลู้ ดลง 3. กรณกี ารนารูปแบบการจัดการเรียนรแู้ บบทใ่ี หผ้ ู้เรียนทากิจกรรมและค้นพบความร้ดู ้วย ตนเองนีไ้ ป ใชก้ บั การพฒั นาการเรยี นรตู้ ามลาดบั ข้นั การเรียนรู้ดา้ นพทุ ธิพสิ ยั (Cognitive Domain) จะเหมาะ กบั การ พฒั นาในขน้ั การทาความเข้าใจ การนาไปประยกุ ตใ์ ช้ และการวเิ คราะห์ ข้นึ ไปมากกวา่ ขั้นใหข้ อ้ มลู ความรู้ เพราะเปน็ การเสยี เวลามาก และไมบ่ รรลุผลเทา่ ท่ีควร

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 155 โดยสรปุ การจัดการเรยี นรู้ท่ีเนน้ บทบาทและการมสี ่วนร่วมของผเู้ รยี น โดยการนาเอาวธิ กี าร สอน เทคนิคการสอนทหี่ ลากหลายมาใช้ออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแ้ ละกจิ กรรมการเรียนร้กู ระตนุ้ ให้ ผู้เรียนมี สว่ นร่วมในชน้ั เรียน สง่ เสรมิ ปฏสิ มั พนั ธ์ระหวา่ งผู้เรยี นกับผ้เู รยี นและผูเ้ รียนกบั ผสู้ อน เป็นการจดั การ เรยี นรู้ที่ มงุ่ เน้นพฒั นากระบวนการเรียนรู้ สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นประยกุ ตใ์ ช้ทักษะและเชื่อมโยงองค์ความรู้นาไป ปฏบิ ัตเิ พอื่ แกไ้ ขปญั หาหรือประกอบอาชีพในอนาคต และถือเป็นการจัดการเรียนรปู้ ระเภทหนึ่งทสี่ ่งเสริมให้ ผเู้ รียนมี คุณลักษณะสอดคลอ้ งกบั การเปลี่ยนแปลงในยคุ ปัจจบุ ัน ในท่ีน้ี จึงเสนอรปู แบบวธิ ีการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ทเ่ี นน้ บทบาทและการมสี ่วนรว่ มของ ผเู้ รียน ดังต่อไปน้ี 6.1 รูปแบบการเรยี นรโู้ ดยใชก้ จิ กรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) การเรยี นร้โู ดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เปน็ วิธีการจัดการเรยี นร้ทู พ่ี ฒั นามาจากแนวคิดในการ จดั การ เรียนการสอนทีเ่ ผยแพร่ในปลายศตวรรษที่ 20 ทเ่ี รยี กวา่ การเรียนรทู้ เี่ น้นบทบาท และการมสี ว่ นรว่ ม ของ ผู้เรยี น หรือ “การเรยี นรเู้ ชิงรุก” (Active Learning) ซง่ึ หมายถงึ รปู แบบการเรียนการสอน ท่ีมงุ่ เนน้ สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนมสี ่วนร่วมในการเรียนรู้ และบทบาทในการเรยี นร้ขู องผ้เู รียน \"ใช้กจิ กรรมเป็นฐาน\" หมายถึง นา กิจกรรมเป็นท่ีต้งั เพื่อทจ่ี ะฝึกหรือพฒั นาผูเ้ รยี นใหเ้ กดิ การเรยี นรูใ้ ห้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์หรือเป้าหมายท่ีกาหนด ลกั ษณะสาคัญของการเรียนร้โู ดยใชก้ จิ กรรมเป็นฐาน 1. สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนมคี วามตืน่ ตัวและกระตอื รือรน้ ด้านการรคู้ ิด 2. กระตนุ้ ใหเ้ กิดการเรยี นรจู้ ากตวั ผเู้ รียนเอง มากกวา่ การฟงั ผสู้ อนในหอ้ งเรยี น และการ ทอ่ งจา 3. พัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ของผเู้ รียน ให้สามารถเรยี นรู้ได้ดว้ ยตวั เอง ทาใหเ้ กิดการเรยี นรู้ อยา่ ง ตอ่ เนือ่ งนอกห้องเรยี นด้วย 4. ไดผ้ ลลพั ธ์ในการถา่ ยทอดความรใู้ กลเ้ คียงกบั การเรยี นรรู้ ปู แบบอน่ื แต่ไดผ้ ลดีกวา่ ในการ พฒั นา ทกั ษะด้านการคดิ และการเขียนของผเู้ รยี น 5. ผูเ้ รยี นมีความพงึ พอใจกับการเรียนรแู้ บบนม้ี ากกวา่ รปู แบบทผี่ ู้เรยี นเป็นฝ่ายรับความรู้ ซึ่งเปน็ การ เรียนรแู้ บบตง้ั รบั (Passive Learning) 6. มุ่งเน้นความรับผิดชอบของผเู้ รียนในการเรยี นรู้โดยผา่ นการอา่ น เขยี น คดิ อภิปราย และ เขา้ รว่ ม ในการแกป้ ญั หา และยังสัมพนั ธ์กบั การเรยี นรตู้ ามลาดบั ขนั้ การเรยี นรู้ของบลมู ทงั้ ในด้านพทุ ธิพสิ ัย ทักษะพสิ ยั และจิตพสิ ัย หลักการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชก้ ิจกรรมเปน็ ฐาน 1. ให้ความสนใจทีต่ วั ผเู้ รยี น 2. เรยี นรผู้ ่านกจิ กรรมการปฏบิ ตั ิทีน่ ่าสนใจ 3. ครผู สู้ อนเปน็ เพียงผอู้ านวยความสะดวก 4. ใชป้ ระสาทสัมผสั ทง้ั 5 ในการเรยี น 5. ไมม่ กี ารสอบ แตป่ ระเมนิ ผลจากพฤติกรรม ความเข้าใจ และผลงาน 6. เพอ่ื นในชั้นเรยี นชว่ ยสง่ เสริมการเรยี น 7. มีการจัดสภาพแวดลอ้ ม และบรรยากาศทเี่ อ้อื ต่อการพฒั นาความคิด และเสรมิ สร้างความ มั่นใจใน ตนเอง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 156 ประเภทของกจิ กรรมในการเรยี นรูโ้ ดยใช้กจิ กรรมเปน็ ฐาน กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ิจกรรมเปน็ ฐานมหี ลากหลายกจิ กรรมการเลือกใชข้ นึ้ อยู่กับความ เหมาะสม สอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงคข์ องการจดั กจิ กรรมนน้ั ๆ ว่ามงุ่ ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรูห้ รอื พฒั นาในเรื่องใด สามารถ จาแนกออกเป็น 3 ประเภทหลกั คอื 1. กจิ กรรมเชงิ สารวจ เสาะหา คน้ ควา้ (Exploratory) ซง่ึ เก่ียวขอ้ งกบั การรวบรวม สง่ั สม ความรู้ ความคดิ รวบยอด และทกั ษะ 2. กจิ กรรมเชิงสรา้ งสรรค์(Constructive) ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งกบั การรวบรวม สัง่ สมประสบการณ์ โดยผ่าน การปฏิบตั ิ หรอื การท างานทร่ี ิเร่มิ สรา้ งสรรค์ 3. กิจกรรมเชงิ การแสดงออก (Expressional) ได้แกก่ ิจกรรมท่เี กยี่ วกบั การน าเสนอ การ เสนอผลงาน กิจกรรมการเรยี นรูท้ นี่ ิยมใชจ้ ดั การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน - การอภิปรายในชน้ั เรยี น (class discussion) ทใ่ี ช้ได้ทง้ั ในห้องเรียนปกติ และการอภิปราย ออนไลน์ - การอภิปรายกลมุ่ ยอ่ ย (Small Group Discussion) - กจิ กรรม “คิด-จบั คู่-แลกเปล่ยี น” (think-pair-share) - เซลการเรยี นรู้ (Learning Cell) - การฝึกเขียนขอ้ ความสน้ั ๆ (One-minute Paper) - การโตว้ าที (Debate) - การแสดงบทบาทสมมตุ ิ (Role Play) - การเรียนรโู้ ดยใช้สถานการณ์ (Situational Learning) - การเรยี นแบบกลมุ่ รว่ มแรงร่วมใจ (Collaborative learning group) - ปฏกิ ริ ยิ าจากการชมวิดทิ ัศน์ (Reaction to a video) - เกมในช้นั เรยี น (Game) - แกลเลอร่ี วอล์ค (Gallery Walk) - การเรียนรโู้ ดยการสอน (Learning by Teaching) 6.2 รูปแบบการเรยี นร้เู ชิงประสบการณ(์ Experiential Learning) การเรียนรเู้ ชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) หรือการเรยี นรผู้ า่ นประสบการณเ์ ชิง ประจกั ษ์เปน็ การเรยี นร้ทู สี่ ่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรจู้ ากกิจกรรมหรือการปฏบิ ัติ ซ่งึ เปน็ ประสบการณท์ ่ี เป็นรปู ธรรม เพอ่ื นาไปส่คู วามรคู้ วามเข้าใจเชงิ นามธรรมโดยผา่ นการสะทอ้ นประสบการณ์ การคดิ วิเคราะห์ การสรปุ เป็นหลกั การ ความคดิ รวบยอด และการนาความรไู้ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณจ์ รงิ ลกั ษณะสาคญั ของการเรยี นร้เู ชิงประสบการณ์ 1. เป็นการเรียนรทู้ ผ่ี ่านประสบการณ์เชิงประจกั ษจ์ ากกจิ กรรม หรือการปฏบิ ัติของผู้เรยี น 2. ทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ใหม่ๆ ทที่ า้ ทายอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และเปน็ การเรยี นรทู้ ีเ่ กดิ จากบทบาท การมสี ่วน รว่ มของผเู้ รียน 3. มีปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งผเู้ รียนด้วยกันเอง และระหว่างผเู้ รียนกับผสู้ อน 4. ปฏิสมั พนั ธ์ทม่ี ที าให้เกิดการขยายตวั ของเครอื ขา่ ยความรทู้ ่ที ุกคนมีอยอู่ อกไปอย่าง กวา้ งขวาง 5. อาศัยกิจกรรมการสอื่ สารทกุ รูปแบบ เช่น การพูด การเขยี น การวาดรูป การแสดงบทบาท สมมุติ การนาเสนอด้วยส่อื ต่าง ๆ ซึง่ เอื้ออานวยใหเ้ กิดการแลกเปลยี่ น การวิเคราะห์ และสงั เคราะหก์ ารเรียนรู้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 157 วงจรการเรียนรเู้ ชิงประสบการณ์ ประกอบด้วยองคป์ ระกอบทสี่ าคญั 4 องคป์ ระกอบ คือ ประสบการณร์ ปู ธรรม การสะทอ้ นประสบการณจ์ ากกจิ กรรมและอภิปราย การสรปุ ความคิดรวบยอด หลกั การ องคค์ วามรู้ การทดลอง/ประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ ซงึ่ การเรยี นร้ทู มี่ ปี ระสิทธภิ าพ ควรมคี รบทง้ั 4 องค์ประกอบ แม้ บางคนจะชอบ/ถนัด หรือ มีบางองค์ประกอบมากกว่า เช่น ไมช่ อบหรอื ไมก่ ลา้ แสดงความคิดเห็น หรือไม่นา ประสบการณ์จากการปฏบิ ัติมาร่วมอภปิ ราย ผเู้ รยี นจะขาดการมที กั ษะในองค์ประกอบอ่นื ฉะน้ัน ผเู้ รียนควร ได้รบั การกระตนุ้ สง่ เสริมใหม้ ท่ี กั ษะการเรียนรคู้ รบทกุ ดา้ น และควรมพี ฒั นาการการเรียนรใู้ หค้ รบทง้ั วงจร หรอื ท้ัง 4 องค์ประกอบ ดงั นี้ 1.ประสบการณ์รปู ธรรม (Concrete Experience) เป็นข้ันตอนแรกของการเรยี นรู้ ทผ่ี ู้เรียนจะ ได้รับประสบการณจ์ ากการลงมอื ปฏิบัติกจิ กรรมทผ่ี สู้ อนกาหนดไว้ การเรยี นรู้ทแี่ ทจ้ ริงจะเร่ิมขน้ึ เมือ่ ไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ิ กจิ กรรมอาจเป็นการทดลอง การอ่าน การดวู ีดิทัศนก์ ารฟงั เรอื่ งราว การพดู คุยสนทนา การทางานกลุ่ม เกม บทบาทสมมุติ สถานการณ์จาลอง และการนาเสนอผลการปฏิบตั ิ เงอ่ื นไขสาคัญ คอื ผเู้ รยี นมี บทบาทหลกั ในการทากจิ กรรม (Do, Act) 2.การสะท้อนประสบการณ์จากกจิ กรรมและอภปิ ราย (Reflective Observation and Discussion) หรอื Reflect เปน็ ข้ันที่ผเู้ รยี นจะมกี ารสะทอ้ นคดิ แสดงความคดิ เห็นและความรสู้ กึ ของตนเอง จากประสบการณ์ในการปฏิบัตกิ จิ กรรม และแลกเปล่ียนกบั สมาชกิ ในกลมุ่ (Discussion) ผเู้ รยี นจะไดเ้ รียนรู้ ถงึ ความคดิ ความรสู้ กึ ของคนอน่ื ทแ่ี ตกตา่ งหลากหลาย ซงึ่ จะชว่ ยให้เกิดการเรยี นร้ทู ก่ี ว้างขวางข้นึ และผลของ การสะท้อนความคดิ เห็น หรอื การอภิปรายแลกเปลีย่ น หรือการยอ้ นกลบั จะทาให้ได้แนวคดิ หรอื ข้อสรปุ ทมี่ ี นา้ หนักมากยงิ่ ขึ้น นอกจากนผ้ี เู้ รียนจะรสู้ กึ ว่าตวั เองไดม้ สี ่วนรว่ มในฐานะสมาชกิ คนหนง่ึ มีคนฟงั เรอ่ื งราวของ ตนเอง และได้มโี อกาสรบั รเู้ รื่องของคนอนื่ ท าใหส้ มั พนั ธภาพในกลมุ่ ผู้เรยี นเปน็ ไปดว้ ยดี 3. การสรปุ ความคิดรวบยอด หลักการ องค์ความรู้ (Abstract Conceptualization) เปน็ ขั้นที่ ผเู้ รยี นรว่ มกันสรปุ ขอ้ มลู ความคิดเหน็ จบั หลกั ขององคค์ วามร้ทู ีไ่ ด้จากการสะทอ้ นความคดิ เห็น และ อภปิ ราย ในข้ันที่ 2 ในขน้ั นคี้ รูอาจใช้คาถามกระตุน้ ผูเ้ รยี นใหช้ ่วยกันสรปุ ขอ้ คดิ เหน็ กรณที ก่ี จิ กรรมนัน้ เป็นเรอื่ งของ ข้อมูลความรใู้ หม่ ครอู าจเสรมิ ข้อมลู ขอ้ เทจ็ จรงิ ในประเด็นน้นั ๆเพิ่มเติม (Adding) โดยการอธบิ าย บอกกลา่ ว การใหอ้ า่ นเอกสาร การดูวดี ทิ ศั น์ ฯลฯ เพอื่ เตมิ เต็มประสบการณใ์ หม่ ให้ผู้เรยี นสามารถสรปุ เปน็ หลักการ ความคิดรวบยอด หรอื องค์ความรูใ้ หมไ่ ด้ อาจให้ผเู้ รียนสรปุ โดยการเขยี นบนั ทกึ สรปุ ผลการเรยี นรู้ การเขยี น แผนภาพมโนทศั น์ (Mind Mapping) การเสนอแผนภาพ แผนภูมิโดยใช้Graphic Organizers การสรปุ เป็น กรอบงาน (Framework) ตวั แบบ หรือแบบจาลองความคดิ (Model) 4. การทดลอง/ประยกุ ตใ์ ช้ความรู้ (Active Experimentation / application) ในขัน้ น้ี ผู้เรียน จะต้องนาความคิดรวบยอด องคค์ วามรู้ หรอื ขอ้ สรปุ ทไ่ี ดจ้ ากขัน้ ตอนที่ 3 ไปทดลอง ประยกุ ตใ์ ช้ กิจกรรมการ เรียนการสอนสว่ นมากมกั จะขาดองคป์ ระกอบการทดลอง/ประยุกตใ์ ช้แนวคดิ ซึ่งถอื ว่าเปน็ ขั้นตอนสาคญั ท่ี ผสู้ อนจะไดเ้ ปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนได้รู้จกั การประยุกตใ์ ช้ความรู้ และนาไปใชไ้ ดจ้ ริง กิจกรรมท่ี เกยี่ วกบั การ ประยุกต์ใชค้ วามรู้ เชน่ การทาโครงงาน การจัดกจิ กรรมเผยแพร่ข้อมลู ความรู้ การจัดกจิ กรรม รณรงค์ (Campaign) ในการจัดกจิ กรรมการเรียนรูเ้ ชิงประสบการณ์ จาเป็นต้องจัดกจิ กรรมใหค้ รบวงจรทงั้ 4 องคป์ ระกอบ เพราะองคป์ ระกอบทงั้ 4 มคี วามสมั พนั ธ์เกีย่ วขอ้ ง อย่างลนื่ ไหล ต่อเนือ่ ง สง่ ผลถงึ กัน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 158 การเรียนรเู้ ชงิ ประสบการณใ์ หไ้ ด้ผลดีนน้ั ควรจะฝกึ ผเู้ รียนใหม้ ีทักษะตอ่ ไปนี้ คือ 1. ผูเ้ รียนตอ้ งมีความมงุ่ มั่นทจ่ี ะมสี ว่ นรว่ มกบั การเรียน ไม่ใช่ตั้งใจจะมาเปน็ ผรู้ ับ “ปอ้ น” ความรูอ้ ย่าง เดยี ว 2. ผเู้ รียนตอ้ งได้รบั การฝกึ เรอ่ื งกระบวนการสะท้อนคิด (Reflection) มาพอสมควร 3. ผเู้ รียนควรไดฝ้ ึกกระบวนการคิดวเิ คราะห์ analytical เเละ conceptualization skill มาก่อน โดยเฉพาะ หากเป็นการเรยี นรูเ้ ชงิ เทคนิคที่มคี วามซบั ซ้อน เชน่ การเรียนวิชาเเพทย์ จาเป็นทรี่ ะบบ การศกึ ษา จะต้องมีชว่ งเวลาทฝี่ กึ ฝนนกั เรยี นให้มีทกั ษะน้ีมาตั้งเเตเ่ ริม่ แรก 4. ผเู้ รยี นควรได้รับการฝึก decision making เเละ problem solving skills เพอื่ จะได้เป็นกลไก สาคญั ในการสรปุ เเละเลอื กใชอ้ งคค์ วามรทู้ ่ไี ด้ใหมน่ ีใ้ นอนาคต สรปุ การเรยี นรเู้ ชงิ ประสบการณห์ รือ Experiential Learning Model (ELM) เปน็ วงจรการเรยี นรทู้ มี่ ี 4 ขน้ั ตอน เร่ิมตน้ ตัง้ เเต่การใหผ้ ูเ้ รยี นฝกึ ปฏิบัติ ให้ไดฝ้ กึ การสะทอ้ นคดิ ให้ฝกึ มกี ารสรปุ หลกั การ เหตผุ ลจนเกดิ เป็นความรูใ้ หม่ของตน เเละขั้นตอนสุดทา้ ยคือ การฝึกการนาเอาความรใู้ หมไ่ ปลองปฏิบตั ิอกี ครั้ง การที่ให้ ผเู้ รยี นไดฝ้ กึ ฝนกระบวนการตา่ ง ๆ เหล่านบ้ี ่อยข้นึ เเละมคี วามชานาญขนึ้ จะเปน็ ประโยชนใ์ นการ เรยี นรขู้ อง ผูเ้ รียนต่อไปในอนาคต รปู แบบ 6.3 การเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem-Based Learning) การเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) เปน็ กระบวนการเรียนรโู้ ดย ใช้ ปญั หาเปน็ ตวั กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นตัง้ สมมติฐาน สาเหตแุ ละกลไกของการเกดิ ปัญหานน้ั รวมถงึ การคน้ คว้า ความรู้ พ้นื ฐานทเี่ กย่ี วข้องกับปัญหา เพอ่ื นาไปสู่การแกป้ ญั หาต่อไป โดยผู้เรยี นอาจไมม่ ีความรู้ในเรื่องนนั้ ๆ มาก่อน แต่ อาจใชค้ วามรู้ทีผ่ เู้ รียนมอี ยเู่ ดมิ หรอื เคยเรยี นมา นอกจากนยี้ งั มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนใฝ่หาความรเู้ พื่อแกไ้ ข ปญั หา ได้คดิ เป็น ทาเป็น มกี ารตัดสนิ ใจทด่ี ี และสามารถเรยี นรกู้ ารทางานเปน็ ทมี โดยเน้นใหผ้ เู้ รยี นเปน็ การเรยี นรู้จาก ประสบการณ์ โดยเรมิ่ จากการได้ประสบการณ์ตรงจากโจทย์ปัญหา ผา่ นกระบวนการคิด และการสะท้อนกลบั ไปสู่ความร้แู ละความคดิ รวบยอด อนั จะนาไปใชใ้ นสถานการณใ์ หมต่ ่อไป การเรียนรู้โดย ใชป้ ญั หาเป็นฐานยงั เป็นการตอบสนองตอ่ แนวคดิ constructivism โดยใหผ้ เู้ รยี นวิเคราะหห์ รอื ตงั้ คาถามจาก โจทยป์ ัญหา ผ่าน กระบวนการคดิ และสะทอ้ นกลับ เนน้ ปฏสิ ัมพันธร์ ะหวา่ งผู้เรยี นในกลมุ่ เนน้ การเรยี นรูท้ ม่ี ี ส่วนร่วม นาไปสู่การ ค้นคว้าหาคาตอบหรือสร้างความร้ใู หม่ บนฐานความรเู้ ดิมทผ่ี ูเ้ รียนมมี าก่อนหน้าน้ี นอกจากน้ี การเรยี นรู้โดยใช้ ปัญหาเปน็ ฐานยงั เป็นการสรา้ งเง่ือนไขสาคญั ท่สี ง่ เสรมิ การเรยี นรู้กลา่ วคือ 1. การเรยี นรสู้ ่งิ ใหมจ่ ะไดผ้ ลดีขึ้น ถ้าไดม้ ีการเชือ่ มโยงหรอื กระตุน้ ความรเู้ ดมิ ทผ่ี เู้ รยี นมอี ยู่ 2. การเรียนรู้เนอื้ หาทใ่ี กลเ้ คียงสถานการณจ์ รงิ หรอื มีประสบการณ์ตรงจากโจทยป์ ญั หาจะทาใหผ้ เู้ รยี น เรียนรู้ได้ดขี ้นึ 3.เน่อื งจากการเรยี นรโู้ ดยใช้ปญั หาเปน็ ฐานเป็นการเรยี นกลมุ่ ย่อย การได้แสดงออก แสดงความ คดิ เหน็ หรอื อภปิ รายถกเถยี งกันจะทาใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจและเรยี นรสู้ ง่ิ นั้นไดด้ ขี น้ึ การเรยี นร้โู ดยใชป้ ญั หา เป็นฐาน เป็นรปู แบบการเรียนร้ทู เ่ี กดิ ข้ึนจากแนวคดิ ตามทฤษฎีการเรยี นรู้แบบสรา้ งสรรคน์ ยิ ม(Constructivism) โดยให้ ผู้เรียนสร้างความรใู้ หม่ จากการใช้ปญั หาทเ่ี กิดขนึ้ จรงิ ในโลก เป็นบรบิ ทของการเรียนรู้เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นเกิดทกั ษะ ในการคดิ วิเคราะหแ์ ละคดิ แกป้ ัญหา รวมทัง้ ไดค้ วามร้ตู ามศาสตร์ในสาขาวิชาท่ีตนศกึ ษาไปพร้อมกนั ด้วย การ เรยี นรู้โดยใชป้ ญั หาเป็นฐานจงึ เปน็ ผลมาจากกระบวนการทางานทต่ี ้องอาศัย ความเข้าใจและการแก้ไขปญั หา เปน็ หลกั ไดเ้ กิดการ เรียนรูด้ ้วยตนเอง และสามารถนาทกั ษะจากการเรยี นมาช่วยแก้ปญั หาในชีวติ การเรยี นรู้ โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 159 สงิ่ สาคัญในการจัดการเรยี นรูแ้ บบใช้ปัญหาเป็นฐาน คือ ปัญหาเพราะปัญหาทดี่ จี ะเป็นสงิ่ กระตนุ้ ให้ ผ้เู รียนเกิดแรงจูงใจใฝแ่ สวงหาความรูใ้ นการเลอื กศึกษาปัญหาท่มี ปี ระสิทธภิ าพ ผสู้ อนจะตอ้ งคานึงถงึ พื้น ฐานความรคู้ วามสามารถของผเู้ รียน ประสบการณ์ความสนใจและภูมหิ ลงั ของผูเ้ รียน เพราะคนเรามี แนวโน้ม ท่ีจะสนใจเรอ่ื งใกลต้ วั มากกว่าเรอื่ งไกลตัว สนใจสิ่งทมี่ ีความหมายและความสาคญั ต่อตนเองและเปน็ เรอ่ื งที่ ตนเองสนใจใครร่ ู้ ดังนน้ั การกาหนดปญั หาจงึ ตอ้ งคานึงถึงตวั ผ้เู รยี นเป็นหลกั รวมถงึ สภาพแวดล้อม และ แหลง่ เรียนรู้ทง้ั ภายในและภายนอกโรงเรียนทเ่ี อ้ืออานวยต่อการแสวงหาความรขู้ องผเู้ รียนดว้ ยการจัดการ เรยี นรใู้ น รปู แบบน้จี ะเนน้ การสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นได้ลงมือปฏบิ ัติดว้ ยตนเอง เผชญิ หน้ากบั ปัญหาด้วยตนเอง เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียน ไดฝ้ ึกทักษะในการคิดหลายรปู แบบ เชน่ การคิดวจิ ารณญาณ คิดวเิ คราะหค์ ดิ สงั เคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ เป็นต้น วัตถุประสงคห์ รือผลลพั ธท์ ค่ี าดหวงั จากการเรยี นรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน ได้แก่ 1. ไดค้ วามรู้ที่สอดคล้องกับบรบิ ทจรงิ และสามารถนาไปใชไ้ ด้ 2. พัฒนาทกั ษะการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ การให้เหตผุ ล และนาไปส่กู ารแกป้ ัญหา 3. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ไดด้ ว้ ยตวั เองอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง 4. ผูเ้ รยี นสามารถทางานและสอ่ื สารกับผอู้ ่นื ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 5. สร้างแรงจงู ใจในการเรียนรูใ้ ห้แกผ่ เู้ รยี น 6. ความคงอยู่ (retention) ของความรจู้ ะนานขึน้ ลกั ษณะสาคัญของการเรียนรู้โดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน 1. ใช้ปัญหาทส่ี อดคลอ้ งกบั สถานการณ์จรงิ เป็นตัวกระต้นุ การแก้ปัญหาและเปน็ จดุ เร่ิมต้นใน การ แสวงหาความรู้ ปญั หาทีเ่ หมาะสมกบั การนามาจดั กจิ กรรมควรมลี ักษณะ ดงั น้ี -เป็นเร่ืองจรงิ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันทเ่ี กิดขนึ้ ในชวี ติ จริงและเกดิ จากประสบการณข์ อง ผเู้ รียนหรือผ้เู รยี นอาจมีโอกาสเผชิญกบั ปญั หาน้นั - ทา้ ทาย กระต้นุ ความสนใจ อาจต่นื เต้นบา้ ง เปน็ ปญั หาทย่ี งั ไมม่ คี าตอบชดั เจนตายตัว เปน็ ปญั หาท่ีมีความซบั ซอ้ น คลมุ เครอื หรอื ผเู้ รยี นเกดิ ความสบั สน - เปน็ ปญั หาทพ่ี บบอ่ ย มคี วามสาคญั มีขอ้ มลู ประกอบเพยี งพอสาหรบั การค้นคว้าได้ฝกึ ทกั ษะ การตดั สนิ ใจโดยขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ มูลขา่ วสาร ตรรกะ เหตผุ ล และตงั้ สมมตฐิ าน -เช่ือมโยงความรเู้ ดมิ กบั ขอ้ มลู ใหม่ สอดคล้องกับเนือ้ หา/แนวคิดของหลกั สูตร มีการสรา้ ง ความรู้ใหม่ บรู ณาการระหว่างบทเรียน นาไปประยกุ ตใ์ ช้ได้ -ปญั หาซบั ซ้อนท่กี ่อให้เกิดการทางานกลุม่ รว่ มกัน มกี ารแบ่งงานกันทาโดยเช่ือมโยงกันไม่ แยกสว่ น เหมาะสมกับเวลา เกิดแรงจงู ใจในการแสวงหาความรูใ้ หม่ - ชักจูงให้เกดิ การอภปิ รายไดก้ วา้ งขวาง ปัญหาทีเ่ ปน็ ประเดน็ ขดั แยง้ ขอ้ ถกเถียงในสงั คมทีย่ งั ไมม่ ีข้อยุติ เป็นปลายเปดิ ไม่มคี าตอบทช่ี ัดเจน มีหลายทางเลอื ก/หลายคาตอบ สมั พนั ธ์กบั ส่ิงทเ่ี คยเรียนรู้ มาแลว้ มีข้อพจิ ารณาที่แตกตา่ ง แสดงความคิดเห็นไดห้ ลากหลาย -ปัญหาทสี่ รา้ งความเดือดรอ้ น เสยี หาย เกดิ โทษภยั เป็นส่งิ ที่ไมด่ ีหากใชข้ ้อมลู โดยลาพงั คน เดียวอาจทาให้ตอบปญั หาผดิ พลาด -ปญั หาทม่ี ีการยอมรบั วา่ จริง ถกู ต้อง แตผ่ เู้ รียนไมเ่ ชื่อจรงิ ไมส่ อดคล้องกับความคิดของ ผเู้ รยี น

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 160 - ปัญหาทอ่ี าจมคี าตอบหรอื แนวทางในการแสวงหาคาตอบไดห้ ลายทาง ครอบคลมุ การเรยี นรู้ ทกี่ วา้ งขวางหลากหลายเนอ้ื หา - ปญั หาท่ีมคี วามยากความงา่ ยเหมาะสมกับพ้ืนฐานของผู้เรยี น - ปัญหาทีไ่ ม่สามารถหาคาตอบไดท้ นั ที ตอ้ งการการสารวจ คน้ ควา้ และการรวบรวมข้อมลู หรอื ทดลองดูกอ่ น ไม่สามารถทจ่ี ะคาดเดาหรอื ทานายไดง้ ่าย ๆ วา่ ต้องใชค้ วามรูอ้ ะไร - ปัญหาทส่ี ง่ เสรมิ ความรดู้ ้านเนอ้ื หาทกั ษะ สอดคลอ้ งกบั หลกั สตู รการศกึ ษา - ใช้สือ่ หลากหลายรูปแบบในการระบุปญั หา เชน่ ขอ้ ความบรรยาย รปู ภาพ วีดีทศั น์ส้ัน ๆ ขอ้ มูลจากผลการทดลองในหอ้ งปฏิบัติการ ข่าว บทความจากหนังสือพมิ พ์ วารสาร ส่ิงพมิ พ์ 2. บูรณาการเน้อื หาความรใู้ นสาขาตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั ปัญหานนั้ 3. เนน้ กระบวนการคดิ อยา่ งมีเหตผุ ลและเป็นระบบ 4. เรยี นเป็นกลุ่มย่อย โดยมคี รหู รือผสู้ อนเปน็ ผู้สนบั สนนุ และกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนร่วมกันสร้าง บรรยากาศท่ีสง่ เสรมิ การเรยี นร้ใู หเ้ กิดขึน้ ในกลุ่ม 5. ผู้เรียนมบี ทบาทสาคญั ในการเรยี นรู้ และเรียนโดยการกากับตนเอง (Self-directed learning) กล่าวคอื -สามารถประเมนิ ตนเองและบง่ ช้ีความต้องการได้ -จดั ระบบประเดน็ การเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งเที่ยงตรง - รจู้ ักเลอื กและใช้แหลง่ เรียนรทู้ เี่ หมาะสม - เลอื กกจิ กรรมการศึกษาคน้ คว้า แกป้ ญั หา ท่ีตรงประเด็น มีประสทิ ธิภาพ - บง่ ชีข้ ้อมูลที่ไมเ่ กย่ี วข้องได้ และคัดแยกออกได้อยา่ งรวดเรว็ - ประยุกตใ์ ช้ความร้ใู หมเ่ ชงิ วิเคราะห์ได้ - รจู้ ักข้นั ตอนการประเมนิ กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน ขัน้ ท่ี1 กาหนดปัญหา จดั สถานการณต์ า่ ง ๆ กระต้นุ ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความสนใจ และมองเหน็ ปัญหา สามารถกาหนดสงิ่ ทเ่ี ป็นปัญหาท่ีผเู้ รียนอยากรู้ อยากเรียนเกดิ ความสนใจทจ่ี ะคน้ หาคาตอบ 1.จัดกลมุ่ ผเู้ รียนให้มขี นาดเลก็ (ประมาณ 3-5 /8-10 คน) 2.ใชป้ ญั หาเป็นตวั กระตุ้นให้เกิดการเรยี นรู้ โดยลักษณะของปัญหาท่ีนามาใช้ ควรมีลักษณะ คลมุ เครือไม่ชัดเจน มีวิธแี ก้ไขปญั หาไดอ้ ย่างหลากหลาย อาจมคี าตอบไดห้ ลายคาตอบ โดยคานึงถึงการ เชอ่ื มโยงความรู้ใหมเ่ ข้ากับความรเู้ ดิม ความซับซอ้ นของปัญหาจากงา่ ยไปสู่ยาก ระดบั และประสบการณ์ผู้เรียน เวลาท่ีกาหนดใหผ้ ู้เรียนใชด้ าเนนิ การ และแหล่งค้นคว้าข้อมลู ขั้นท่ี2 ทาความเขา้ ใจกบั ปญั หา ปญั หาท่ีตอ้ งการเรียนรู้ ต้องสามารถอธิบายสิง่ ต่างๆ ท่เี กย่ี วข้อง กบั ปญั หาได้ 3.ผูเ้ รียนทาความเข้าใจหรอื ทาความกระจา่ งในคาศพั ทท์ ่อี ยใู่ นโจทย์ปญั หานั้น เพื่อใหเ้ ข้าใจ ตรงกนั 4.ผู้เรียนจบั ประเด็นข้อมูลท่สี าคญั หรอื ระบปุ ญั หาในโจทย์วิเคราะหห์ าข้อมลู ทีเ่ ปน็ ข้อเท็จจรงิ ความจรงิ ทปี่ รากฏในโจทย์ แยกแยะขอ้ มลู ระหว่างข้อเทจ็ จรงิ กบั ขอ้ คิดเห็น จับประเด็นปญั หา ออกเปน็ ประเดน็ ยอ่ ย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 161 5.ผเู้ รียนระดมสมองเพ่ือวเิ คราะหป์ ญั หา อภิปราย แต่ละประเด็นปญั หาว่าเปน็ อยา่ งไร เกดิ ข้ึนได้อย่างไร ความเป็นมาอย่างไร โดยอาศัยพน้ื ความรู้เดมิ เท่าทผี่ ้เู รยี นมอี ยู่ 6.ผเู้ รยี นร่วมกันตง้ั สมมติฐานเพ่ือหาคาตอบปญั หาประเดน็ ตา่ งๆ พร้อมจัดลาดบั ความสาคัญ ของสมมตฐิ านทเ่ี ป็นไปได้อย่างมีเหตุผล 7.จากสมมตฐิ านทีต่ ง้ั ขนึ้ ผ้เู รยี นจะประเมนิ ว่ามคี วามรู้เรื่องอะไรบา้ ง มเี รอื่ งอะไรทย่ี ังไมร่ ู้ หรอื ขาดความรู้ และความรูอ้ ะไรจาเปน็ ที่จะตอ้ งใช้เพื่อพสิ จู นส์ มมตฐิ าน ซง่ึ เช่ือมโยงกบั โจทยป์ ญั หาทีไ่ ด้ ข้นั ตอนนี้ กลมุ่ จะกาหนดประเด็นการเรยี นรู้ หรือวัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ เพอื่ จะไปค้นคว้าหาขอ้ มลู ต่อไป ขน้ั ที่3 ดาเนินการศึกษาค้นควา้ ผเู้ รยี นศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ยตนเองดว้ ยวิธกี ารหลากหลาย 8.ผ้เู รียนคน้ คว้าหาข้อมูลและศกึ ษาเพิม่ เตมิ จากทรพั ยากรการเรียนรู้ต่างๆ เช่น หนังสือตารา วารสาร ส่ือการเรยี นการสอนตา่ งๆ การศกึ ษาในหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน อนิ เทอรเ์ น็ต หรือ ปรึกษาผูร้ ู้ในเน้ือหาเฉพาะ เป็นตน้ พรอ้ มทง้ั ประเมนิ ความถกู ตอ้ งโดย - ประเมนิ แหลง่ ขอ้ มลู ความถกู ตอ้ ง เชอ่ื ถอื ไดข้ องขอ้ มลู - เลือกนาความรทู้ เี่ ก่ยี วขอ้ งมาเชือ่ มโยงว่าตรงประเด็นเพียงพอที่จะแกป้ ญั หาอย่างไร - หาประเดน็ ความร้เู พมิ่ เติม ถา้ จาเปน็ - สรปุ เตรียมสอ่ื เลอื กวิธีนาเสนอผลงาน ข้ันที่ 4 สังเคราะหค์ วามรู้ ผูเ้ รียนนาความรทู้ ไ่ี ดค้ น้ ควา้ มาแลกเปลย่ี นเรียนรรู้ ว่ มกนั 9.ผ้เู รียนนาข้อมลู หรือความรู้ทไี่ ดม้ าสงั เคราะห์ อธิบาย พสิ ูจน์สมมติฐานและประยุกต์ให้ เหมาะสมกับโจทยป์ ัญหา พร้อมสรปุ เป็นแนวคดิ หรอื หลกั การทวั่ ไปโดย - นาเสนอผลงานกลุ่มด้วยสอ่ื หลากหลาย -สะทอ้ นความคิด ให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั อภิปราย ทาความเขา้ ใจ แลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ ระหว่างกลมุ่ ถงึ กระบวนการเรียนรู้ การแกป้ ญั หา การเชอ่ื มโยง การสรา้ งองค์ความรู้ใหม่ - สรุปภาพรวมเปน็ ความรทู้ ่วั ไป ขน้ั ท่ี5 สรุปและประเมินค่าหาคาตอบ 10.ผเู้ รียนแต่ละกลมุ่ สรปุ ผลงานของกลุม่ ตนเอง และประเมนิ ผลงานว่าขอ้ มูลท่ีศกึ ษา ค้นควา้ มีความเหมาะสม หรอื ไมเ่ พียงใด โดยพยายามตรวจสอบแนวคิดภายในกลมุ่ ของตนเองอย่างอสิ ระ ทกุ กลมุ่ ชว่ ยกันสรปุ องค์ความรู้ ในภาพรวมของปญั หาอีกครงั้ 11.ประเมินผลจากสภาพจรงิ โดยดูจากความสามารถในการปฏิบัติ บทบาทของผู้สอนในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน 1. ทาหนา้ ท่ี เป็นผู้อานวยความสะดวก หรือผูใ้ ห้คาปรึกษาแนะนา 2. เป็นผกู้ ระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ มิได้เป็นผถู้ ่ายทอดความรูใ้ หแ้ ก่ผเู้ รยี นโดยตรง 3. ใชท้ กั ษะการตงั้ คาถามทเี่ หมาะสม 4.กระตนุ้ และสง่ เสรมิ กระบวนการกกลุ่ม ให้กลมุ่ ดาเนินการตามขน้ั ตอนของการเรยี นรโู้ ดย ใช้ ปัญหาเป็นฐาน 5. สนับสนุนการเรยี นรู้ของผู้เรยี นและเนน้ ใหผ้ เู้ รยี นตระหนกั ว่าการเรยี นรเู้ ป็นความรบั ผิดชอบของ ผ้เู รยี น 6. กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนเอาความรเู้ ดิมที่มีอยมู่ าใชอ้ ภปิ รายหรอื แสดงความคดิ เหน็

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 162 7.สนบั สนนุ ให้กล่มุ สามารถต้ังประเด็นหรอื วตั ถปุ ระสงค์การเรียนร/ู้ แก้ปญั หาไดส้ อดคลอ้ ง กบั วัตถุประสงค์ของกจิ กรรมท่ีครูกาหนด 8. หลกี เลย่ี งการแสดงความคดิ เห็นหรือตัดสนิ วา่ ถกู หรอื ผิด 9. สง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนประเมนิ การเรียนร้ขู องตนเอง รวมทัง้ เปน็ ผปู้ ระเมนิ ทักษะของผเู้ รียนและ กลมุ่ พร้อมการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั 6.4 รูปแบบการเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน ( Project-Based Learning ) การเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน ( Project-Based Learning ) หมายถึง การเรียนรทู้ ีจ่ ดั ประสบการณ์ในการปฏบิ ตั ิงานใหแ้ กผ่ เู้ รียนเหมือนกบั การทางานในชวี ติ จรงิ อยา่ งมีระบบ เพ่ือเปิดโอกาสให้ ผู้เรยี นได้มปี ระสบการณ์ตรง ได้เรยี นรวู้ ิธีการแกป้ ญั หา วิธีการหาความรคู้ วามจริงอยา่ งมเี หตผุ ล ได้ทาการ ทดลอง ไดพ้ สิ ูจนส์ ิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง รจู้ กั การวางแผนการทางาน ฝึกการเปน็ ผนู้ า ผตู้ าม ตลอดจนได้ พฒั นา กระบวนการคิดโดยเฉพาะการคิดขัน้ สงู และการประเมนิ ตนเอง โดยมีครูเป็นผ้กู ระตนุ้ เพอ่ื นา ความ สนใจท่ีเกดิ จากตัวผเู้ รยี นมาใช้ในการทากจิ กรรมคน้ คว้าหาความร้ดู ว้ ยตวั เอง นาไปส่กู ารเพมิ่ ความรทู้ ไ่ี ดจ้ าก การลงมือ ปฏบิ ัติ การฟงั และการสงั เกตจากผรู้ ู้ โดยผูเ้ รียนมกี ารเรยี นรู้ผ่านกระบวนการทางานเป็นกลมุ่ ท่ี จะนามาสกู่ าร สรปุ ความรู้ใหม่ มีการเขยี นกระบวนการจดั ทาโครงงานและไดผ้ ลการจัดกจิ กรรมเป็นผลงาน แบบรปู ธรรม นอกจากนกี้ ารจัดการเรยี นร้โู ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน ยงั เน้นการเรียนรทู้ ี่ใหผ้ ู้เรียนไดร้ บั ประสบการณช์ ีวติ ขณะทีเ่ รียน ไดพ้ ฒั นาทกั ษะตา่ ง ๆ ซึง่ สอดคลอ้ งกบั หลกั พฒั นาการตามลาดบั ข้ันความรู้ ความคิดของบลมู ทง้ั 6 ขนั้ คือ ความรู้ ความจา ความเข้าใจ การประยกุ ต์ใช้ การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ การประเมินคา่ และการคิด สร้างสรรค์ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ถือไดว้ ่าเปน็ การจดั การเรียนรทู้ ่ี เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคญั เนื่องจากผเู้ รยี นไดล้ งมอื ปฏิบัตเิ พื่อฝึกทกั ษะตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเองทกุ ขั้นตอน โดยมคี รเู ป็น ผูใ้ ห้การสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ลกั ษณะสาคญั ของจดั การเรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน 1. ยดึ หลกั การจัดการเรยี นรทู้ ่ีเน้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั ทเ่ี ปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนไดท้ างานตาม ระดบั ทกั ษะ ทต่ี นเองมีอยู่ 2. เปน็ รปู แบบหนึง่ ของการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ทเ่ี น้นบทบาทและการมีสว่ นรว่ มของผเู้ รียน (Active Learning) 3. เป็นเร่ืองท่ผี เู้ รียนสนใจและรสู้ ึกสบายใจทจี่ ะทา 4. ผู้เรยี นไดร้ ับสิทธิในการเลอื กวา่ จะตงั้ คาถามอะไร และตอ้ งการผลผลติ อะไรจากการทาโครงงาน 5. ครทู าหน้าทเี่ ปน็ ผ้สู นบั สนุนอุปกรณ์และจัดประสบการณ์ใหแ้ ก่ผเู้ รยี น สนบั สนุนการแก้ไข ปญั หา และสร้างแรงจูงใจให้แกผ่ เู้ รียน 6. ผู้เรียนกาหนดการเรียนรู้ของตนเอง 7. เช่ือมโยงกบั ชวี ิตจรงิ สิ่งแวดล้อมจรงิ 8. มฐี านจากการวจิ ยั ศึกษา ค้นควา้ หรอื องคค์ วามรู้ท่ีเคยมี 9. ใชแ้ หลง่ ข้อมลู หลายแหลง่ 10. ฝังตรึงด้วยความร้แู ละทกั ษะต่าง ๆ 11. สามารถใชเ้ วลามากพอเพยี งในการสรา้ งผลงาน 12. มผี ลผลิต

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 163 ประเภทของโครงงาน โครงงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การจัดการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น อาจจาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทหลกั ๆ คอื โครงงานที่แบง่ ตามระดับการให้คาปรกึ ษาของครู และโครงงานที่แบง่ ตามลักษณะกจิ กรรม ดังนี้ 1. โครงงานที่แบ่งตามระดบั การใหค้ าปรกึ ษาของผู้สอนหรือระดบั การมบี ทบาทของผเู้ รยี น 1) โครงงานประเภทครูนาทาง (Guided Project) 2) โครงงานประเภทครลู ดการนาทาง - เพ่มิ บทบาทผเู้ รียน (Less – guided Project) 3) โครงงานประเภทผเู้ รยี นนาเอง ครูไม่ตอ้ งนาทาง (Unguided Project) 2. โครงงานที่แบง่ ตามลกั ษณะกิจกรรม 1) โครงงานเชิงสารวจ (Survey Project) ลักษณะกจิ กรรมคือผู้เรยี นสารวจและรวบรวมขอ้ มลู แล้วนาขอ้ มูลเหล่าน้นั มาจาแนก เปน็ หมวดหมู่และนาเสนอในรปู แบบต่าง ๆ เพื่อใหเ้ หน็ ลกั ษณะหรอื ความสัมพันธ์ในเรือ่ งที่ต้องการศึกษาได้ ชดั เจน ยิ่งขน้ึ 2) โครงงานเชงิ การทดลอง (Experiential Project) ขนั้ ตอนการดาเนนิ งานของโครงงานประเภทนีจ้ ะประกอบดว้ ยการกาหนดปัญหา การกาหนด จดุ ประสงค์ การตั้งสมมตฐิ าน การออกแบบการทดลอง การดาเนินการทดลอง การรวบรวมข้อมลู การ ตคี วามหมายข้อมลู และการสรุป 3) โครงงานเชงิ พฒั นาสร้างสิ่งประดิษฐแ์ บบจาลอง (Development Project) เปน็ โครงงานเกี่ยวกบั การประยกุ ตอ์ งค์ความรู้ ทฤษฎี หรอื หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ศาสตร์ด้านอ่ืน ๆ มาพัฒนา สรา้ งสงิ่ ประดษิ ฐ์ เครื่องมอื เครอื่ งใช้ อปุ กรณ์ แบบจาลอง เพ่ือประโยชน์ใชส้ อยต่าง ๆ ซงึ่ อาจจะเปน็ สงิ่ ประดษิ ฐ์ใหม่ หรอื ปรบั ปรุงเปล่ยี นแปลงของเดมิ ที่มีอย่แู ล้วใหม้ ปี ระสิทธิภาพสงู ขนึ้ ก็ได้ อาจจะเปน็ ด้านสังคม หรอื ด้านวิทยาศาสตร์ หรือการสรา้ งแบบจาลองเพอ่ื อธบิ ายแนวคดิ ตา่ ง ๆ 4) โครงงานเชงิ แนวคดิ ทฤษฎี (Theoretical Project) เปน็ โครงงานนาเสนอทฤษฎี หลักการ หรอื แนวคิดใหม่ ๆ ซง่ึ อาจจะอยู่ในรปู ของ สตู รสมการ หรอื คาอธิบายก็ได้ โดยผ้เู สนอได้ตัง้ กตกิ าหรอื ข้อตกลงขน้ึ มาเอง แลว้ นาเสนอทฤษฎี หลกั การหรอื แนวคิด หรอื จินตนาการของตนเองตามกตกิ าหรอื ขอ้ ตกลงน้ัน หรอื อาจจะใช้กติกาหรอื ขอ้ ตกลงเดมิ มาอธบิ ายก็ได้ ผลการ อธิบายอาจจะใหม่ยงั ไม่มใี ครคิดมากอ่ น หรอื อาจจะขัดแย้งกบั ทฤษฎีเดมิ หรืออาจจะเป็นการขยาย ทฤษฎีหรอื แนวคิดเดมิ ก็ได้ การทาโครงงานประเภทนต้ี ้องมกี ารศกึ ษาคน้ คว้าพนื้ ฐานความรู้ ในเรื่องนั้น ๆ อย่างกว้างขวาง 5)โครงงานดา้ นบริการสังคมและส่งเสริมความเป็นธรรมในสงั คม (Community Service and Social Justice Project) เป็นโครงงานทมี่ งุ่ ให้ผเู้ รยี นศกึ ษาคน้ ควา้ ประเดน็ ทเี่ ป็นปัญหา ความต้องการในชมุ ชนทอ้ งถิ่น และดาเนนิ กจิ กรรมเพอ่ื การใหบ้ ริการทางสังคม หรือร่วมกับชุมชน องคก์ รอ่นื ๆ ในการแกป้ ญั หา หรอื พฒั นาใน เร่ืองน้นั ๆ 6) โครงงานด้านศลิ ปะและการแสดง (Art and Performance Project) เป็นโครงงานทีม่ ่งุ สง่ เสริมให้ผเู้ รยี นศกึ ษา ค้นควา้ นาความรทู้ ไี่ ด้จากการเรยี นตาม หลกั สตู ร โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ดา้ นภาษาและสงั คมมาตอ่ ยอด สรา้ งผลงานดา้ นศิลปะและการแสดง เชน่ งานศลิ ปกรรม ประตมิ ากรรม หนงั สอื การ์ตนู การแตง่ เพลง ดนตรี แสดงคอนเสริ ต์ การแสดงละคร การสร้าง ภาพยนตรส์ ้นั ฯลฯ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 164 7) โครงงานเชงิ บรู ณาการการเรยี นรู้ เปน็ โครงงานทีม่ งุ่ สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนบูรณาการเชื่อมโยงความรูจ้ ากตา่ งสาระการ เรียนรู้ตง้ั แต่ สองสาขาวิชาขน้ึ ไป มาดาเนินการแกป้ ญั หา หรือสรา้ งประเด็นการศึกษาค้นคว้า ทง้ั ในแงม่ ิตเิ ชิงประวตั ศิ าสตร์ ทกั ษะการประกอบอาชีพขา้ มสาขาวชิ า การแก้ปญั หาสิ่งแวดลอ้ ม สงั คม ท่ีตอ้ งนาความรู้ต่างสาขามาประยุกต์ ใช้ การคดิ คน้ สรา้ งนวัตกรรมจากการบรู ณาการความรู้ ฯลฯ กระบวนการและขัน้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน มกี ระบวนการและข้ันตอนแตกต่างกนั ไป ตามแต่ ละทฤษฎี ในทนี่ ี้ ขอนาเสนอแนวคิดการจดั การเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเปน็ งาน ทเี่ หมาะสมกบั บรบิ ท การจดั การ ศกึ ษาของไทย คอื แนวคิดท่ี 1 การจัดการเรียนรแู้ บบใชโ้ ครงงาน ของสานกั งานเลขาธกิ ารสภา การศกึ ษาและ กระทรวงศึกษาธกิ าร (2550) แนวคดิ ที่ 2 การจดั การเรียนรตู้ ามโมเดลจกั รยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของ นายแพทย์วิจารณ์ พาณชิ (2555) และ แนวคดิ ที่ 3 การจัดการเรยี นรแู้ บบใช้โครงงานเป็นฐาน ท่ไี ด้จาก โครงการสรา้ งชดุ ความรเู้ พื่อสรา้ งเสริมทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของเดก็ และเยาวชน : จากประสบการณ์ ความสาเรจ็ ของโรงเรียนไทย มรี ายละเอยี ดดงั นี้ แนวคิดที่ 1 การจดั การเรยี นรแู้ บบโครงงาน ของสานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา และ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ซง่ึ ได้นาเสนอข้นั ตอนการจดั การเรียนรูแ้ บบโครงงาน ไว้ 4 ขั้นตอน ดงั น้ี 1. ขั้นนาเสนอ หมายถงึ ขน้ั ท่ผี ู้สอนใหผ้ ู้เรียนศึกษาใบความรู้ กาหนดสถานการณ์ ศกึ ษา สถานการณ์ เล่นเกม ดรู ปู ภาพ หรือผสู้ อนใช้เทคนิคการต้งั คาถามเกีย่ วกับสาระการเรียนรทู้ ี่กาหนดในแผนการ จดั การเรียนรู้แต่ละแผน เชน่ สาระการเรียนรตู้ ามหลกั สตุ รและสาระการเรยี นรทู้ ่ีเปน็ ขน้ั ตอนของโครงงานเพื่อ ใช้เปน็ แนวทางในการวางแผนการเรยี นรู้ 2. ข้ันวางแผน หมายถงึ ขน้ั ที่ผ้เู รียนรว่ มกนั วางแผน โดยการระดมความคดิ อภิปราย หารอื ขอ้ สรุปของกลมุ่ เพอื่ ใช้เปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ิ 3. ข้ันปฏิบัติ หมายถึง ขัน้ ท่ผี เู้ รียนปฏบิ ัตกิ จิ กรรม เขียนสรปุ รายงานผลทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการ วางแผนร่วมกนั 4. ขัน้ ประเมินผล หมายถงึ ข้ันการวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ โดยใหบ้ รรลุ จดุ ประสงค์ การเรยี นรทู้ กี่ าหนดไวใ้ นแผนการจดั การเรียนรู้ โดยมผี สู้ อน ผเู้ รยี นและเพอ่ื นร่วมกนั ประเมิน แนวคิดที่ 2 การจดั การเรียนรู้ ตามรูปแบบจกั รยานแห่งการเรียนรูแ้ บบ PBL ซ่ึง แนวคิดนี้ มีความเช่ือวา่ หากตอ้ งการใหก้ ารเรียนรมู้ ีพลงั และฝงั ในตวั ผเู้ รยี นได้ ตอ้ งเป็นการเรยี นรโู้ ดยการลงมอื ทาเปน็ โครงการ (Project) ร่วมมือกันทาเป็นทมี และทากบั ปญั หาทีม่ ีอยู่ ในชีวิตจริง ซ่ึง ส่วนของวงล้อมี 5 ส่วน ประกอบดว้ ย Define, Plan, Do, Review และ Presentation 1. Define คือ ข้นั ตอนการระบปุ ญั หา ขอบข่าย ประเดน็ ทจ่ี ะทาโครงงาน เป็นการสร้าง ความเขา้ ใจระหว่างสมาชิกของทมี งานร่วมกบั ครู เก่ยี วกบั คาถาม ปัญหา ประเด็น ความท้าทายของโครงงาน คอื อะไร และเพือ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นร้อู ะไร 2. Plan คือ การวางแผนการทาโครงงาน ครูกต็ อ้ งวางแผนในการทาหนา้ ท่โี คช้ รวมทงั้ เตรียมเคร่ืองอานวยความสะดวกในการทาโครงงานของผเู้ รยี น เตรยี มคาถามเพื่อกระตุน้ ให้คิดถึงประเด็น สาคญั บางประเดน็ ทผี่ เู้ รยี นอาจมองข้าม โดยถือหลกั ว่า ครตู ้องไมเ่ ขา้ ไปช่วยเหลือจนทีมงานขาดโอกาสคิดเอง แกป้ ัญหาเอง ผูเ้ รียนท่ีเป็นทีมงานกต็ ้องวางแผนงานของตน แบง่ หนา้ ที่กันรบั ผดิ ชอบ การประชมุ พบปะ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 165 ระหว่างทมี งาน การแลกเปล่ียนขอ้ ค้นพบแลกเปลย่ี นคาถาม แลกเปล่ยี นวิธกี าร ยงิ่ ทาความเขา้ ใจรว่ มกันไว้ ชัดเจนเพยี งใด งานในขั้นต่อไป (Do) กจ็ ะสะดวกเลอื่ นไหลดเี พยี งน้ัน 3. Do คอื การลงมอื ทา ผเู้ รียนจะไดเ้ รยี นรูท้ กั ษะในการแกป้ ัญหา การประสานงาน การ ทางานรว่ มกันเป็นทมี การจัดการความขดั แย้ง ทักษะในการทางานภายใตท้ รพั ยากรจากดั ทกั ษะในการค้นหา ความรู้เพม่ิ เติม ทกั ษะในการทางานในสภาพที่ทมี งานมีความแตกตา่ งหลากหลาย ทักษะการทางานในสภาพ กดดัน ทักษะการบนั ทกึ ผลงาน ทกั ษะในการวเิ คราะห์ผล และแลกเปล่ียนขอ้ วเิ คราะหก์ ับเพอ่ื นร่วมทีม เป็นต้น ในข้ันตอน Do นี้ ครจู ะได้มีโอกาสสงั เกตทาความรจู้ ักและเข้าใจผู้เรียนเปน็ รายคน และ เรยี นรหู้ รือฝกึ ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ ผ้ดู แู ล สนบั สนนุ กากบั และโคช้ ดว้ ย 4. Review คอื ผู้เรยี นจะทบทวนการเรียนรู้ วา่ โครงงานไดผ้ ลตามความมุ่งหมายหรอื ไม่ รวมถึงทบทวนว่างานหรอื กจิ กรรม หรอื พฤติกรรมแต่ละขั้นตอนไดใ้ หบ้ ทเรียนอะไรบา้ ง ทั้งข้ันตอนทีเ่ ปน็ ความสาเรจ็ และความลม้ เหลว เพอ่ื นามาทาความเข้าใจ และกาหนดวธิ ีทางานใหม่ทีถ่ ูกตอ้ งเหมาะสมรวมทงั้ เอาเหตุการณร์ ะทกึ ใจ หรือเหตกุ ารณท์ ่ภี าคภูมิใจ ประทับใจ มาแลกเปล่ยี นเรยี นรกู้ ัน ขนั้ ตอนนีเ้ ปน็ การเรียนรู้ แบบทบทวนไตรต่ รอง (reflection) หรือ เรยี กวา่ AAR (After Action Review) 5. Presentation ผู้เรยี นนาเสนอโครงงานตอ่ ชน้ั เรียน เปน็ ขั้นตอนท่ใี หก้ ารเรยี นรู้ทกั ษะ อีก ชดุ หน่งึ ตอ่ เนอ่ื งกบั ขัน้ ตอน Review เป็นขน้ั ตอนทีท่ าใหเ้ กดิ การทบทวนขนั้ ตอนของงานและการเรยี นรู้ท่ี เกิดข้นึ อยา่ งเขม้ ข้น แล้วเอามานาเสนอในรปู แบบทเ่ี ร้าใจ ใหอ้ ารมณ์และให้ความรู้ ทีมงานอาจสรา้ งนวัตกรรม ในการนาเสนอก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนาเสนอเปน็ การรายงานหน้าชั้น มสี ่อื ประกอบ หรือจดั ทา วดี ที ัศนห์ รอื นาเสนอเป็นละคร เปน็ ตน้ การจัดการเรียนรแู้ บบใช้โครงงานเป็นฐาน ท่ไี ด้จากโครงการสรา้ งชดุ ความรเู้ พอ่ื สร้าง เสรมิ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของเด็กและเยาวชน : จากประสบการณ์ความสาเรจ็ ของโรงเรียนไทย แนวคดิ ท่ี 3 การจัดการเรียนรแู้ บบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ทไี่ ดจ้ ากโครงการสร้างชดุ ความรู้ เพือ่ สร้างเสรมิ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21ของเดก็ และเยาวชน:จากประสบการณค์ วามสาเร็จของโรงเรยี น ไทย มี 6 ขั้นตอน ดังน้ี 1.ข้นั ใหค้ วามรพู้ ื้นฐาน ครใู หค้ วามรูพ้ ืน้ ฐานเกี่ยวกับการทาโครงงานกอ่ นการเรยี นรู้ เน่ืองจากการทาโครงงานมรี ปู แบบและขน้ั ตอนท่ชี ดั เจนและรดั กุม ดังน้นั ผเู้ รยี นจงึ มคี วามจาเปน็ อยา่ งยิง่ ท่ี จะต้องมคี วามร้เู กีย่ วกับโครงงานไว้เปน็ พ้ืนฐาน เพือ่ ใชใ้ นการปฏิบตั ขิ ณะทางานโครงงานจรงิ ในขั้นแสวงหา ความรู้ 2.ขน้ั กระต้นุ ความสนใจ ครูเตรียมกจิ กรรมทจี่ ะกระตนุ้ ความสนใจของผเู้ รียน โดยตอ้ ง คิด หรือเตรยี มกจิ กรรมที่ดึงดูดใหผ้ เู้ รียนสนใจ ใครร่ ู้ ถึงความสนุกสนานในการทาโครงงานหรือกิจกรรมร่วมกัน โดยกิจกรรมนั้นอาจเป็นกิจกรรมที่ครกู าหนดข้นึ หรืออาจเปน็ กจิ กรรมท่ผี เู้ รียนมีความสนใจตอ้ งการจะทาอยู่ แลว้ ทงั้ นีใ้ นการกระตนุ้ ของครจู ะตอ้ งเปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นเสนอจากกจิ กรรมที่ได้เรียนรผู้ ่านการจัดการเรยี นรู้ ของครทู เี่ กี่ยวข้องกบั ชมุ ชนท่ผี เู้ รียนอาศยั อยู่ หรือเป็นเรอื่ งใกล้ตัวที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง 3.ขั้นจัดกลุม่ ร่วมมอื ครูใหผ้ ูเ้ รียนแบ่งกลมุ่ กันแสวงหาความรู้ ใช้กระบวนการกลุม่ ในการ วางแผนดาเนนิ กจิ กรรม โดยนักเรียนเป็นผรู้ ่วมกันวางแผนกจิ กรรมการเรียนของตนเอง โดยระดมความคิด และ หารอื แบง่ หน้าท่เี พอ่ื เป็นแนวทางปฏบิ ตั ริ ่วมกัน หลงั จากทีไ่ ดท้ ราบหวั ข้อส่ิงท่ีตนเองต้องเรียนรูใ้ นภาคเรยี น น้นั ๆ เรียบร้อยแลว้ 4.ขัน้ แสวงหาความรู้ ในขน้ั แสวงหาความร้มู แี นวทางปฏิบัติสาหรับผู้เรยี นในการทา กิจกรรม ดังน้ี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 166 4.1นกั เรยี นลงมอื ปฏิบัตกิ ิจกรรมโครงงานตามหัวขอ้ ทีก่ ลุ่มสนใจผูเ้ รยี นปฏิบัติหน้าท่ี ของ ตนตามข้อตกลงของกล่มุ พร้อมทง้ั ร่วมมือกันปฏบิ ัตกิ จิ กรรม โดยขอคาปรึกษาจากครเู ปน็ ระยะ เม่อื มีข้อสงสัย หรอื ปญั หาเกดิ ขนึ้ 4.2 ผู้เรียนร่วมกนั เขยี นรปู เลม่ สรปุ รายงานจากโครงงานท่ตี นปฏิบัติ 5.ขน้ั สรปุ สิ่งทเี่ รียนรู้ ครใู ห้ผ้เู รียนสรุปส่งิ ท่เี รียนรจู้ ากการทากิจกรรม โดยครใู ชค้ าถาม ถามผู้เรยี นนาไปสกู่ ารสรปุ สง่ิ ทเี่ รยี นรู้ 6.ขัน้ นาเสนอผลงาน ครใู ห้ผู้เรียนนาเสนอผลการเรียนรู้ โดยครอู อกแบบกจิ กรรม หรอื จัดเวลาให้ผเู้ รียนไดเ้ สนอสง่ิ ทต่ี นเองได้เรยี นรู้ เพอ่ื ใหเ้ พื่อนร่วมชัน้ และผ้เู รยี นอ่นื ๆ ในโรงเรยี นได้ชมผลงาน และเรียนรกู้ ิจกรรมทผี่ ูเ้ รยี นปฏิบัติในการทาโครงงาน การประเมนิ ผล 1. ประเมินตามสภาพจริง โดยผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกันประเมินผลวา่ กจิ กรรมท่ีทาไป นัน้ บรรลตุ ามจดุ ประสงคท์ กี่ าหนดไวห้ รอื ไม่ อยา่ งไร ปญั หาและอุปสรรคทพี่ บคืออะไรบา้ ง ได้ใช้วธิ ีการแกไ้ ข อย่างไร ผู้เรยี นไดเ้ รยี นรอู้ ะไรบ้างจากการทาโครงงานน้นั ๆ 2. ประเมนิ โดยผเู้ กี่ยวขอ้ ง ได้แก่ผเู้ รยี นประเมินตนเอง เพื่อนช่วยประเมนิ ผูส้ อนหรอื ครทู ป่ี รึกษาประเมนิ ผปู้ กครองประเมนิ บุคคลอื่น ๆ ท่สี นใจและมสี ่วนเกย่ี วขอ้ ง 7. บทบาทของผู้สอนในการเรียนรู้เชิงรกุ (Active Learning) ในการจัดกิจกรรมการเรียนรแู้ นวทาง Active Learning ครูผ้สู อนต้องออกแบบกิจกรรม ที่สะทอ้ นการ พฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ กิดการเรยี นรู้ และเน้นการนาไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตจริง โดยดาเนินการดงั นี้ 1.สรา้ งบรรยากาศการมสี ว่ นร่วม และการเจรจาโตต้ อบ สง่ เสริมใหผ้ ้เู รียนมปี ฏสิ ัมพันธ์ท่ี ดี กบั ผสู้ อนและเพอ่ื นในชน้ั เรียน 2.ลดบทบาทการสอน และการให้ความรู้โดยตรง เปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รียนมสี ว่ นร่วมในการ จดั ระบบการเรยี นรู้ แสวงหาความรู้ และสรา้ งองค์ความรดู้ ว้ ยตนเอง 3.ออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ใหเ้ ปน็ พลวัต (มกี ารเคลอื่ นไหว/การขับเคลอ่ื น) สง่ เสริมให้ ผเู้ รยี นมสี ่วนร่วมในทุกกิจกรรม กระต้นุ ใหผ้ ูเ้ รียนคน้ พบความสาเรจ็ ในการเรียนรู้ สามารถนาความรู้ ความ เขา้ ใจไปประยกุ ต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมนิ ค่า และคดิ สร้างสรรคส์ ง่ิ ตา่ ง ๆ โดยเชอื่ มโยงกบั สภาพแวดล้อมใกล้ตัว ปัญหาของชุมชน สงั คม หรอื ประเทศชาติ 4.จัดการเรียนรแู้ บบร่วมมือ สง่ เสรมิ ให้เกดิ ความร่วมมอื ในกลมุ่ ผู้เรียน วางแผนเกี่ยวกบั เวลาในจดั การเรียนรอู้ ย่างชัดเจน รวมถงึ เนอื้ หาและกจิ กรรม 5.จดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ี่ทา้ ทาย เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้เรยี นรจู้ ากวิธีการสอนท่ี หลากหลาย 6.เปิดใจกว้างยอมรับในความสามารถ การแสดงออกและการแสดงความคดิ เห็นของ ผูเ้ รยี น 7.ผู้สอนควรทราบว่าผ้เู รยี นมีความรู้พื้นฐานและความถนดั ทแ่ี ตกต่างกนั 8.ผู้สอนควรสร้างบรรยากาศในการเรียนให้ผเู้ รียน กล้าพดู กล้าตอบ การจดั การเรียนร้ทู ่จี ะสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนได้มสี ่วนร่วมมากทสี่ ดุ ผู้สอนต้องพยายามสร้าง ลกั ษณะการเรยี นรูเ้ ชงิ รกุ ให้เกิดขึน้ อยา่ งสมา่ เสมอ โดยจะต้องใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ขา้ ใจและรูว้ ่าในขณะที่กาลงั เรียนรู้ นัน้ ผู้เรยี นจะต้องมีลกั ษณะดงั นี้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 167 1. รู้วา่ ตัวเองจะตอ้ งเรียนรเู้ ก่ยี วกบั อะไรบา้ ง รสู้ ิ่งทจี่ ะเรยี น 2. สง่ิ ทจ่ี ะเรยี นรู้น้ัน เกีย่ วขอ้ งกบั เรือ่ งทเ่ี รยี นไปแลว้ อยา่ งไร 3. สิ่งทจี่ ะเรยี นรนู้ ้นั สอดคล้องหรอื ไมส่ อดคลอ้ งกบั ความเปน็ ไปของโลกปจั จบุ นั อย่างไร 4. ผเู้ รียนตอ้ งรู้ว่า ทาอยา่ งไรจึงจะรูว้ ่าขอ้ เทจ็ จริงหรอื ขอ้ ความรูท้ ี่ไดร้ บั รูน้ ั้น ถกู ต้อง แนน่ อน 5. ผเู้ รยี นจะตอ้ งกลบั ไปตรวจสอบการบา้ น หรอื สงิ่ ทค่ี น้ ควา้ ใหม่ ว่าไดค้ าตอบทถ่ี กู ต้อง หรือไม่ หรอื ตอบถูกต้องตรงกับคาถามข้อไหน 6. สามารถสอบถามความรเู้ พม่ิ เติมจากผอู้ นื่ หรือทางานรว่ มกบั ผอู้ ่นื เพื่อให้ไดค้ าตอบ กอ่ นท่ีจะสรุปคาตอบสุดทา้ ย โดยต้องฟังหรอื หาคาตอบให้ไดม้ าอย่างสมบรู ณ์ที่สุด กอ่ นที่จะสรุปนาเสนอ 8. การออกแบบการจดั การเรียนรู้เชงิ รุก (Active Learning) การออกแบบเปน็ การถ่ายทอดจากรปู แบบความคิด ออกมาเปน็ ผลงานทีผ่ อู้ ่ืนสามารถมองเห็น รบั รู้ หรือสมั ผัสได้ การออกแบบตอ้ งใชท้ ั้งศาสตรแ์ หง่ ความคดิ และศิลป์ เพอ่ื สร้างสรรคส์ ง่ิ ใหม่ หรือปรับปรงุ พฒั นา ส่ิงเดมิ ให้ดขี ึ้น การออกแบบการเรยี นรู้ เป็นกระบวนการวางแผนการสอนอยา่ งมีระบบ โดยมีการวิเคราะห์ องค์ประกอบการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรยี นการสอน สอ่ื กจิ กรรมการเรียนรู้ รวมถงึ การประเมินผล เพอื่ ใหผ้ ู้สอน สามารถถ่ายทอดความร้สู ผู่ เู้ รียน และใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนรูไ้ ด้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ การออกแบบการจัดการ เรยี นร้ทู ด่ี จี ะช่วยผสู้ อนวางแผนการสอนอย่างมรี ะบบ บรรลจุ ดุ มุ่งหมาย โดยมหี ลกั การออกแบบการเรยี นรู้ ดงั นี้ 1.การออกแบบและพฒั นาการเรียนรนู้ นั้ เพอ่ื ใคร ใครเปน็ ผเู้ รยี นหรอื ใครเป็นกลุ่มเปา้ หมาย ผ้อู อกแบบ ควรมคี วามเขา้ ใจ และรจู้ กั กลมุ่ ผเู้ รียนทีเ่ ป็นเปา้ หมาย 2.ตอ้ งการให้ผเู้ รียนเรยี นรอู้ ะไร มีความรู้ความเข้าใจ มคี วามสามารถอะไร ผสู้ อนตอ้ งกาหนด จุดมุ่งหมายของการเรียนร้ใู หช้ ดั เจน 3. ผู้เรยี นจะเรยี นรเู้ น้อื หาในรายวิชานั้น ๆ ได้ดที ี่สุดอย่างไร ควรใช้วธิ กี ารและกิจกรรมการเรียนรู้ อะไร ท่ีจะชว่ ยให้ผเู้ รียนเรียนรไู้ ด้อยา่ งเหมาะสมและมีปจั จยั สง่ิ ใดท่ตี อ้ งคานงึ ถึงบ้าง 4.เมื่อผู้เรยี นเขา้ สู่กระบวนการเรยี นรู้ ผสู้ อนจะทราบไดอ้ ยา่ งไรว่าผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรขู้ ึน้ และ ประสบผลสาเรจ็ ในการเรยี นรู้ และจะใชว้ ธิ ีการใดในการประเมินผลการเรียนร้ขู องผ้เู รยี น สรปุ ไดว้ า่ การออกแบบการเรยี นรู้ ควรมกี ารวางแผนเพือ่ พจิ ารณาวา่ ผ้เู รียนเป็นใคร มลี ักษณะพ้ืนฐาน อยา่ งไร จะกาหนดจดุ มงุ่ หมายในการสอนครัง้ นน้ั อยา่ งไร จะใชว้ ิธกี ารเรียนการสอน กิจกรรม การเรียนรู้ และ วธิ กี ารประเมนิ ผลการเรยี นอยา่ งไรบ้าง จงึ จะสามารถทาใหก้ ารเรยี นรู้นัน้ บรรลเุ ป้าหมาย คือ ภายหลงั เรยี นรู้ แลว้ ผ้เู รียนเขา้ ใจ จดจา นาไปใช้ ทาได้ สร้างสรรค์สงิ่ ใหมไ่ ด้ เปน็ ตน้ ดังนน้ั ส่ิงทคี่ วรพิจารณา ในการออกแบบ การเรียนรู้ ได้แก่ ตวั ผู้เรยี น จุดม่งุ หมาย วธิ ีการสอนและกจิ กรรมการเรยี นรู้ และการประเมินผล วธิ ีการสอน คือ ขัน้ ตอนทผี่ ูส้ อนดาเนินการใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรยี นร้ตู ามวตั ถปุ ระสงค์ ดว้ ยวธิ ีการ ต่าง ๆ ท่ีแตกต่างไปตามองค์ประกอบและขนั้ ตอนสาคญั อันเป็นลักษณะเฉพาะหรอื ลกั ษณะเด่นทข่ี าดไม่ได้ของวิธี น้นั ๆ เทคนิคการสอน หมายถึง กลวิธตี ่าง ๆ ท่ีใชเ้ สริมกระบวนการสอน ข้นั ตอนการสอน หรอื การกระท าต่าง ๆ ในการสอนใหม้ คี ุณภาพ และประสิทธภิ าพเพิ่มขนึ้ จากความหมาย และนยิ ามดงั กล่าวขา้ งต้น จงึ สรปุ ได้วา่ วธิ กี ารสอน เป็นขัน้ ตอนการสอนทท่ี าใหผ้ เู้ รยี นบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ เทคนิคการสอน เปน็ วธิ กี ารเสรมิ ทจ่ี ะชว่ ยให้วธิ ีการสอนเกิดประสทิ ธิภาพมากข้นึ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 168 กลยุทธก์ ารสอน เปน็ วธิ ีการสอนท่ใี ช้เทคนคิ วิธีการตา่ ง ๆ ในการสอน มาช่วยในการจัดการ เรียนรู้ให้ เกิดประสทิ ธภิ าพ วิธีการสอนท่มี ีประสิทธิภาพ จะตอ้ งเป็นการสอนทมี่ ีขัน้ ตอน ท่ที าใหผ้ เู้ รียนบรรลวุ ตั ถุประสงค์ และ ใชว้ ธิ กี ารสง่ เสรมิ การสอนให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ มเี ทคนคิ การสอนท่ีหลากหลาย ความหมายของการออกแบบการจดั การเรยี นรู้ คาวา่ “การออกแบบ” และ “การจัดการเรียนรู้” เมอ่ื นามารวมกนั เป็น “การออกแบบ การจัดการ เรยี นรู้” (Instructional design) ได้มนี กั การศกึ ษาดา้ นการออกแบบการจดั การเรยี นรู้ ให้ความหมายไวว้ ่า การ ออกแบบการเรยี นรู้ เปน็ กระบวนการทเี่ ปน็ ระบบ ท่นี ามาใช้ในการศกึ ษาความต้องการ ของผเู้ รียนและปญั หา การเรยี นการสอน เพอื่ แสวงหาแนวทางทจ่ี ะชว่ ยแก้ปญั หาการจดั การเรียนรซู้ ง่ึ อาจเป็นการปรับปรงุ สงิ่ ทีม่ อี ยู่ หรือสร้างสงิ่ ใหม่ โดยนาหลกั การเรยี นรแู้ ละหลักการสอนมาใช้ เปา้ หมายของการ ออกแบบการจัดการเรยี นรู้ คอื การพฒั นาการเรยี นร้ขู องผเู้ รยี น แนวคดิ ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรเู้ ชงิ รกุ (Active Learning) การออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ เชงิ รกุ (Active Learning) เพื่อเชอื่ มโยงกจิ กรรมลดเวลา เรยี น เพมิ่ เวลารู้ มีเป้าหมายเพ่อื ให้ผสู้ อนจัดกจิ กรรม การเรียนรทู้ ่เี น้นใหผ้ เู้ รียนลงมอื ปฏิบตั เิ รยี นรู้ด้วยตนเอง โดยมแี นวคิดทฤษฎีทเ่ี กี่ยวข้อง ดงั น้ี แนวคิดของ บลูม (Bloom’s Taxonomy) สเ่ี สาหลกั ทางการศกึ ษา (Four Pillars of Education) หลักการ พฒั นาทักษะ 4 H (Head , Heart , Hand , Health) พระบรมราโชบายดา้ นการศึกษาของสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัววชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกรู แนวคิดของ บลูม (Bloom’s Taxonomy) บลูม ( Benjamin S. Bloom) นักการศึกษาชาวอเมรกิ นั เชอื่ ว่า การเรียนการสอน ทจี่ ะประสบ ความสาเรจ็ และมีประสิทธภิ าพน้นั ผู้สอนจะต้องกาหนดจดุ มงุ่ หมายให้ชดั เจน เพ่อื ใหผ้ ู้สอนกาหนดและจัด กิจกรรมการเรยี น รวมทง้ั วดั ประเมินผลไดถ้ กู ต้อง โดยไดจ้ าแนกจุดมงุ่ หมายทางการศกึ ษา ที่เรยี กวา่ Taxonomy of Educational Objectives ออกเป็น 3 ด้าน คือ ดา้ นพทุ ธิพสิ ัย ด้านจิตพิสัย และดา้ นทักษะ พิสัย 1.ดา้ นพุทธพิ ิสัย (Cognitive Domain) หมายถึง การเรยี นร้ทู างด้าน ความรู้ ความคดิ การแกป้ ญั หา จดั เปน็ พฤติกรรมด้านสมองเก่ยี วกบั สตปิ ัญญา ความคดิ ความสามารถในการคิดเร่ืองราวตา่ ง ๆ อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ โดยแอนเดอร์สันและแครทโวทล์ (Anderson & Krathwohl) ได้ปรบั ปรงุ การจาแนก จดุ มุ่งหมาย ทางการศกึ ษาตามแนวคดิ ของ บลูม ขึน้ ใหม่ มกี ารปรบั เปลยี่ นระดับพฤตกิ รรม เปน็ 6 ระดบั ดงั น้ี 1.1จา (Remember) หมายถึงความสามารถในการดงึ เอาความร้ทู ี่มีอยใู่ นหนว่ ยความจา ระยะยาวออกมา แบ่งประเภทย่อยได้2 ลักษณะคอื จาได้ (Recognizing) ระลกึ ได้ (Recalling) 1.2เข้าใจ(Understand) หมายถึงความสามารถในการกาหนดความหมายของคาพดู ตวั อักษรและการสอื่ สารจากสื่อต่างๆ ที่เป็นผลมาจากการสอน แบ่งประเภทยอ่ ยได้7 ลกั ษณะ คือ ตคี วาม (Interpreting) ยกตัวอยา่ ง (Exemplifying) จาแนกประเภท (Classifying) สรปุ (Summarizing) อนุมาน (Inferring) เปรียบเทยี บ (Comparing) อธบิ าย (Explaining)

169 1.3ประยกุ ตใ์ ช้ (Apply) หมายถึงความสามารถในการดาเนนิ การหรอื ใชร้ ะเบียบวิธกี าร ภายใต้สถานการณท์ กี่ าหนดให้ แบ่งประเภทยอ่ ยได้2 ลักษณะคอื ดาเนนิ งาน (Executing) ใช้เป็น เครื่องมอื (Implementing) 1.4วเิ คราะห์ (Analyze) หมายถึงความสามารถในการแยกส่วนประกอบของสงิ่ ตา่ งๆ และ คน้ หาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่วนประกอบ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างของส่วนประกอบกับโครงสร้างรวม หรือ สว่ นประกอบเฉพาะ แบ่งประเภทยอ่ ยได้ 3 ลกั ษณะคือ บอกความแตกต่าง (Differentiating) จดั โครงสรา้ ง (Organizing) ระบุคุณลกั ษณะ (Attributing) 1.5 ประเมินค่า (Evaluate) หมายถึงความสามารถในการตดั สินใจโดยอาศยั เกณฑห์ รือ มาตรฐาน แบ่งประเภทยอ่ ยได้2 ลกั ษณะคือ ตรวจสอบ (Checking) วพิ ากษว์ จิ ารณ์ (Critiquing) 1.6 สรา้ งสรรค์ (Create) หมายถึงความสามารถในการรวมสว่ นประกอบต่างๆเข้าดว้ ยกนั ด้วยรูปแบบใหมๆ่ ที่มคี วามเชอ่ื มโยงกนั อย่างมเี หตผุ ลหรอื ท าให้ไดผ้ ลติ ภัณฑ์ที่เปน็ ต้นแบบ แบ่ง ประเภทย่อย ได้ 3 ลักษณะคอื สร้าง (Generating) วางแผน (Planning) ผลิต (Producing) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 2. ดา้ นจติ พสิ ัย (Affective Domain) พฤตกิ รรมด้านจติ พสิ ยั เป็นค่านยิ ม ความรู้สึก ความซาบซง้ึ ทศั นคติ ความเชือ่ ความสนใจ และคุณธรรม พฤตกิ รรมดา้ นนี้อาจไมเ่ กิดข้ึนทันที ดังน้ัน การจัดกจิ กรรมการ เรียนรูด้ ้วยการจดั สภาพแวดล้อม ทเี่ หมาะสม และสอดแทรกสิ่งท่ีดงี ามตลอดเวลา จะทาใหพ้ ฤตกิ รรมของ ผู้เรยี นเปลี่ยนไปในแนวทางทพ่ี ึงประสงคไ์ ด้ จติ พิสยั ประกอบด้วยพฤติกรรม 5 ระดบั ไดแ้ ก่ 2.1 การรับร(ู้ Receiving/Attending) เป็นความรสู้ ึกทเี่ กดิ ขึน้ ต่อปรากฏการณ์ หรอื สง่ิ เรา้ อย่างใดอย่างหนง่ึ ซง่ึ เป็นไปในลกั ษณะของการแปลความหมายของสง่ิ เร้าน้นั วา่ คอื อะไร แลว้ จะแสดง ออกมาในรปู ของความรู้สกึ ที่เกิดข้ึน 2.2 การตอบสนอง (Responding) เป็นการกระทาท่แี สดงออกมาในรปู ของความเตม็ ใจ ยินยอม และพอใจต่อสง่ิ เรา้ นนั้ ซึง่ เปน็ การตอบสนองที่เกดิ จากการเลอื กสรรแลว้ 2.3 การเกิดค่านยิ ม (Valuing) การเลือกปฏิบัตใิ นสงิ่ ทเ่ี ปน็ ที่ยอมรบั กันในสังคม การยอมรบั นับถอื ในคณุ คา่ น้นั ๆ หรือปฏิบตั ติ ามในเรอ่ื งใดเรือ่ งหนึ่ง จนกลายเปน็ ความเชื่อ แล้วจงึ เกิดทัศนคตทิ ี่ดี ในสิ่ง น้นั 2.4 การจดั ระบบ (Organizing) การสรา้ งแนวคิด จัดระบบของค่านิยมทเ่ี กิดขนึ้ โดยอาศยั ความสมั พนั ธ์ ถา้ เข้ากันไดก้ จ็ ะยึดถอื ตอ่ ไปแตถ่ า้ ขดั กนั อาจไมย่ อมรบั อาจจะยอมรบั ค่านยิ มใหม่โดย ยกเลกิ ค่านิยมเก่า 2.5 บุคลิกภาพ (Characterizing) การนาคา่ นิยมท่ียึดถือมาแสดงพฤติกรรมท่เี ปน็ นสิ ัย ประจาตัว ให้ประพฤตปิ ฏบิ ัตแิ ต่สงิ่ ทถี่ กู ตอ้ งดงี าม พฤตกิ รรมด้านน้จี ะเกี่ยวกบั ความรสู้ กึ และจติ ใจ ซงึ่ จะเร่ิม จากการได้รบั รจู้ ากสงิ่ แวดล้อม แลว้ จงึ เกิดปฏกิ ริ ยิ าโต้ตอบ ขยายกลายเปน็ ความรู้สกึ ดา้ นตา่ งๆ จนกลายเปน็ คา่ นยิ ม และยงั พฒั นาตอ่ ไปเปน็ ความคดิ อดุ มคติ ซง่ึ จะเป็นการควบคุมทิศทาง พฤตกิ รรมของคน 3. ดา้ นทกั ษะพิสยั (Psychomotor Domain) พฤตกิ รรมดา้ นทักษะพสิ ัย เป็นพฤตกิ รรมทบี่ ง่ บอกถึงความสามารถในการปฏิบัตงิ านได้อยา่ ง คลอ่ งแคล่ว ชานิชานาญ ซง่ึ แสดงออกมาได้โดยตรง โดยมเี วลาและคุณภาพของงานเปน็ ตวั ชรี้ ะดับของทกั ษะ ประกอบดว้ ย 5 ข้ัน ดงั นี้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 170 3.1 การรบั รเู้ ลยี นแบบทาตาม (Imitation) เป็นการใหผ้ ู้เรยี นได้รบั รู้หลกั การปฏบิ ตั ทิ ี่ ถกู ตอ้ ง หรอื เปน็ การเลอื กหาตัวแบบท่ีสนใจ 3.2 การทาเอง/การปรับใหเ้ หมาะสม (Manipulation) เป็นพฤตกิ รรมทผี่ เู้ รยี นพยายามฝึก ตามแบบที่ตนสนใจและพยายามทาซ้า เพอื่ ทจ่ี ะใหเ้ กิดทกั ษะตามแบบทีต่ นสนใจใหไ้ ด้ หรอื สามารถ ปฏิบัตงิ าน ได้ตามขอ้ แนะนา 3.3 การหาความถูกตอ้ ง (Precision) พฤตกิ รรมสามารถปฏิบตั ิไดด้ ้วยตนเอง โดยไมต่ อ้ ง อาศัยเคร่อื งชีแ้ นะ เมื่อได้กระทาซา้ แล้วกพ็ ยายามหาความถกู ตอ้ งในการปฏบิ ัติ 3.4 การทาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง (Articulation) หลงั จากตดั สนิ ใจเลอื กรปู แบบทเี่ ปน็ ของตัวเอง จะกระทาตามรูปแบบนนั้ อย่างตอ่ เนอ่ื ง จนปฏิบัติงานทยี่ ุ่งยากซบั ซอ้ นได้อย่างรวดเร็ว ถูกตอ้ ง คลอ่ งแคลว่ การที่ผเู้ รยี นเกดิ ทกั ษะได้ ตอ้ งอาศัยการฝกึ ฝนและกระท าอย่างสม่าเสมอ 3.5 การทาไดอ้ ย่างเป็นธรรมชาติ (Naturalization) พฤตกิ รรมทไี่ ดจ้ ากการฝกึ อยา่ ง ตอ่ เน่อื งจนสามารถปฏบิ ัติ ได้คลอ่ งแคล่วว่องไวโดยอตั โนมัติ เปน็ ไปอยา่ งธรรมชาติซงึ่ ถอื เปน็ ความสามารถของ การปฏบิ ตั ใิ นระดบั สงู ส่ีเสาหลักของการศกึ ษา (Four Pillars of Education) องคก์ ารการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรอื ยเู นสโก ได้ศึกษา แนวทางการ จัดการศกึ ษาทเ่ี หมาะสมในศตวรรษท่ี 21 โดยเสนอสเี่ สาหลกั ของการศึกษา (Four Pillars of Education) ประกอบด้วยการเรยี นรู้ 4 ลักษณะ ไดแ้ ก่ การเรียนเพือ่ รู้ (Learning to know) การเรียนรเู้ พอื่ ปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ (Learning to do) การเรียนรเู้ พื่อทีจ่ ะอยรู่ ว่ มกนั และการเรียนรู้ทจี่ ะอยรู่ ่วมกบั ผู้อืน่ (Learning to Live together) และการเรียนรู้เพ่อื ชวี ิต (Learning to be) Learning to know : หมายถงึ การเรียนเพอ่ื รู้ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง อันจะเปน็ ประโยชน์ตอ่ ไป ได้แก่ การ แสวงหาใหไ้ ดม้ าซง่ึ ความรทู้ ีต่ ้องการ การต่อยอดความร้ทู ่ีมอี ยู่ รวมทงั้ การสรา้ งความรขู้ น้ึ ใหม่ เปน็ การจัดการ เรียนรู้ทีม่ งุ่ พฒั นากระบวนการคดิ กระบวนการเรยี นรู้ การแสวงหาความรู้ และวธิ กี ารเรียนรู้ ของผเู้ รยี น เพอื่ ให้ สามารถเรยี นรู้ และพฒั นาตนเองไดต้ ลอดชีวติ กระบวนการเรยี นรเู้ นน้ การฝึกสติ สมาธิ ความจา ความคิด ผสมผสานกบั สภาพจรงิ และประสบการณใ์ นการปฏบิ ัติ Learning to do : หมายถงึ การเรยี นเพอื่ การปฏิบตั หิ รือลงมอื ทา มุ่งพัฒนาความสามารถ และความ ชานาญ รวามท้ังสมรรถนะทางด้านวิชาชพี สามารถทางานเป็นหม่คู ณะ ปรบั ประยกุ ตอ์ งคค์ วามรู้ ไปสกู่ าร ปฏบิ ตั ิงานและอาชีพ กระบวนการเรยี นรเู้ น้นบรู ณาการระหว่างความรู้ภาคทฤษฎีและการฝกึ ปฏบิ ตั งิ านท่เี น้น ประสบการณต์ า่ ง ๆ ทางสังคม ซึ่งอาจนาไปสู่การประกอบอาชีพจากความรูท้ ่ไี ดศ้ ึกษามา รวมทง้ั การปฏบิ ตั ิ เพื่อสร้างประโยชนใ์ หส้ งั คมทสี่ ามารถทางานได้หลายอย่าง Learning to live together : หมายถึง การเรยี นร้เู พอ่ื การดาเนินชีวติ อยู่รว่ มกบั ผอู้ ่ืนได้ อยา่ งมี ความสขุ ท้งั การดาเนินชีวติ ในการเรยี น ครอบครัว สงั คม และการทางาน เปน็ การดารงชวี ิตอย่างมี คณุ ภาพ ด้วยการสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สงั คม การจัดการเรยี นรมู้ งุ่ ให้ผเู้ รียนดารงชวี ติ อยู่รว่ มกับผู้อื่นในสงั คม พหุ วัฒนธรรมได้อย่างมคี วามสุข มีความตระหนักในการพ่งึ พาอาศัยซึง่ กันและกนั การแกป้ ัญหา การจดั การ ความ ขดั แยง้ ดว้ ยสันติวิธี มีความเคารพสิทธแิ ละศกั ด์ิศรคี วามเปน็ มนษุ ย์ เข้าใจความแตกตา่ งและหลากหลาย ด้าน วัฒนธรรม ประเพณี ความเชอื่ ของแตล่ ะบุคคลในสงั คม Learning to be : หมายถงึ การเรียนรเู้ พื่อให้รจู้ ักตวั เองอย่างถอ่ งแท้ รถู้ งึ ศกั ยภาพ ความถนัด ความสนใจของตนเอง สามารถใช้ความร้คู วามสามารถของตนเองใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ สงั คม เลอื ก แนวทางการ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 171 พัฒนาตนเองตามศักยภาพ วางแผนการเรียนตอ่ การประกอบอาชพี ทีส่ อดคล้องกับศกั ยภาพ ตนเองได้การ จัดการเรียนรู้มงุ่ พฒั นาผูเ้ รยี นทกุ ดา้ นท้ังจิตใจและรา่ งกาย สตปิ ญั ญา ใหค้ วามสาคญั กบั จินตนาการและ ความคิดสร้างสรรค์ ภาษา และวฒั นธรรม เพอื่ พฒั นาความเปน็ มนุษยท์ ่ีสมบรู ณม์ คี วาม รบั ผดิ ชอบต่อสงั คม สิ่งแวดล้อม ศีลธรรม สามารถปรบั ตัว และปรบั ปรงุ บุคลกิ ภาพของตน เขา้ ใจตนเองและ ผอู้ ื่น หลัก 4 H (Head Heart Hand และ Health) หลกั 4 H เปน็ การมงุ่ เน้นพฒั นาทกั ษะของผเู้ รียน ให้เกิดการเรยี นรูผ้ ่านการลงมอื ปฏบิ ตั ิจริง มี ประสบการณต์ รง คิดวิเคราะห์ ทางานเป็นทมี และเรียนร้ดู ว้ ยตนเองอย่างมีความสขุ จากกิจกรรมสรา้ งสรรค์ ที่ หลากหลาย ดังนี้ กจิ กรรมพัฒนาสมอง (Head) หมายถงึ กจิ กรรมสง่ เสรมิ และพฒั นาทกั ษะการคดิ เพ่ือใหผ้ ู้เรียนมี ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ ประเมนิ คา่ ตดั สินใจ แกป้ ญั หาอยา่ งสร้างสรรค์ กจิ กรรมพัฒนาจติ ใจ (Heart) หมายถึง กจิ กรรมสง่ เสรมิ พฒั นา และปลกู ฝงั คา่ นยิ ม คณุ ธรรม จริยธรรม การทาประโยชน์เพอื่ สงั คม เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนมคี ุณลกั ษณะอันพึงประสงคจ์ นเป็นลกั ษณะนสิ ัย และมจี ติ ส านกึ ทีด่ ี ต่อตนเองและสว่ นรวม กิจกรรมพฒั นาทกั ษะการปฏิบัติ (Hand) หมายถงึ กิจกรรมสร้างเสรมิ ทกั ษะการทางาน ทกั ษะทาง อาชีพทห่ี ลากหลาย เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นค้นพบความสามารถ ความถนัด และศักยภาพของตนเอง กิจกรรมพฒั นาสขุ ภาพ (Health) หมายถงึ กิจกรรมสรา้ งเสรมิ สุขภาวะเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี น มีสมรรถนะ ทางกายทสี่ มบูรณ์ แขง็ แรง มเี จตคติทีด่ ีตอ่ การดูแลสุขภาพ และมีทกั ษะปฏิบัติดา้ นสขุ ภาพจนเปน็ นิสยั พระบรมราโชบายดา้ นการศึกษา ของสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั วชริ าลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว มีกระแสพระราชดารสั กบั ประธานองคมนตรี และคณะองคมนตรี ให้ร่วมกัน สรา้ งคนดใี ห้แกบ่ า้ นเมอื ง โดยจัดการศกึ ษาเพ่อื มุ่งเน้นสร้างพื้นฐานใหแ้ ก่ผเู้ รียน 4 ดา้ น ดังนี้ 1. มที ศั นคตทิ ีถ่ ูกต้องตอ่ บ้านเมอื ง หมายถึง การจดั การศึกษาตอ้ งม่งุ ให้ผเู้ รียนมคี วามรู้ ความ เขา้ ใจท่ดี ีตอ่ ชาติบ้านเมอื ง ยดึ มน่ั ในศาสนา มนั่ คงในสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ และมคี วามเออื้ อาทร ต่อ ครอบครัวและชมุ ชนของตน 2. มีพื้นฐานชวี ติ ท่ีม่ันคง มีคุณธรรม หมายถึง การจดั การศกึ ษาต้องมุ่งใหผ้ เู้ รียน รจู้ ัก แยกแยะสง่ิ ทผี่ ิด-ทถ่ี กู สงิ่ ช่ัว-สิง่ ดี เพือ่ ปฏบิ ตั แิ ตส่ ิง่ ทีช่ อบที่ดงี าม ปฏิเสธสิ่งทผ่ี ดิ ทชี่ วั่ เพอื่ สรา้ งคนดี ใหแ้ ก่บา้ นเมอื ง 3. มีงานทา มีอาชีพ หมายถึง การจัดการศึกษาตอ้ งมงุ่ ใหผ้ ้เู รียน เป็นเด็กรกั งาน สู้งาน ทางานจน สาเรจ็ อบรมให้เรยี นรู้การทางาน ให้สามารถเล้ียงตัวและเลยี้ งครอบครวั ได้ 4. เป็นพลเมอื งดีหมายถงึ การจดั การศึกษาต้องมงุ่ ใหผ้ ูเ้ รยี น มหี นา้ ทเี่ ป็นพลเมืองดี สถานศกึ ษา และสถานประกอบการต้องส่งเสรมิ ให้ทุกคนมีโอกาสทาหนา้ ที่พลเมอื งดี การเป็นพลเมืองดี หมายถงึ การมีน้าใจ มคี วามเอ้อื อาทร ท างานอาสาสมคั ร งานบาเพ็ญประโยชน์ “เห็นอะไรท่จี ะทาเพือ่ บ้านเมอื งไดก้ ็ตอ้ งทา” หลักการสาคัญของการจัดการเรยี นรเู้ ชงิ รุก (Active Learning) ในกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิม่ เวลารู้ การจดั การเรียนรู้เชงิ รกุ (Active Learning) อาจจัดกจิ กรรม ไดห้ ลายลกั ษณะ ขึน้ อยู่กบั ธรรมชาตขิ องวิชาหรอื ลกั ษณะกจิ กรรมท่ีดาเนินการ เช่น กจิ กรรมบรู ณาการ หรอื กจิ กรรมเฉพาะเร่อื ง เช่น กิจกรรมทสี่ นองนโยบายลดเวลาเรยี น เพมิ่ เวลารู้โดยมหี ลกั การสาคัญของการจดั กจิ กรรม ดังนี้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 172 1.เช่ือมโยงตัวชีว้ ัด สอดคลอ้ งและเช่ือมโยงกบั มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวชีว้ ดั ตามหลกั สูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 2. เน้นจดั 4H การจัดกจิ กรรมให้บรรลเุ ป้าหมาย 4H ได้แก่ กจิ กรรมพัฒนาสมอง (Head) กจิ กรรม พัฒนาทักษะปฏบิ ัติ (Hand) กิจกรรมพฒั นาจติ ใจ (Heart) และกจิ กรรมพฒั นาสขุ ภาพ (Health) 3.ผู้เรยี นเป็นสขุ เป็นการเรยี นรูอ้ ยา่ งมีความสุข โดยใช้วธิ ีการจดั กจิ กรรมทีห่ ลากหลาย อย่าง เหมาะสม ตอบสนองความสนใจ ความถนดั ความต้องการ และความแตกตา่ งของผ้เู รยี น 4. สนุกการคิดข้ันสูง เปิดโอกาสให้ผเู้ รียนไดว้ างแผน คิดวิเคราะห์ ค้นคว้า ถกแถลง สรา้ งความคดิ เชิงเหตผุ ล อภปิ ราย สรุปความรู้ นาเสนอ จุดประกายความคดิ สรา้ งแรงบนั ดาลใจ สร้างความ ม่งุ ม่ันเพอ่ื แสวงหาความรู้ การแก้ปญั หาและสร้างสรรคน์ วัตกรรม 5. มุ่งทางานเปน็ กลุม่ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รยี นรู้ร่วมกันเปน็ ทมี ทางานอยา่ ง เปน็ ระบบ แลกเปลยี่ นประสบการณ์ ช่วยเหลอื เก้อื กลู มคี วามสามัคคี และเปน็ ผนู้ า ผตู้ ามที่ดี 6. ลุ่มลกึ แหลง่ เรยี นรู้ ใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ภมู ิปญั ญา สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพือ่ พฒั นาคุณภาพการเรยี นรู้ 7. สู่การประเมิน P&A ประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) โดยใช้ เทคนิค วิธีการทหี่ ลากหลาย เนน้ การประเมนิ การปฏิบตั ิ (P : Performance Assessment) และการประเมนิ คุณลกั ษณะ (A : Attribute Assessment) การออกแบบกิจกรรมการเรียนรเู้ ชงิ รุก (Active Learning) การออกแบบการเรยี นรูเ้ ชงิ รุก (Active Learning) ตอ้ งพจิ ารณาวา่ กิจกรรมที่ออกแบบเปน็ กิจกรรม ลักษณะใด อาจจะเปน็ กจิ กรรมการเรียนรตู้ ามมาตรฐานและตวั ช้ีวัดของแตล่ ะวชิ าหรอื กลุม่ สาระการ เรยี นรู้ กิจกรรมพฒั นาผู้เรียน หรือกจิ กรรมเสรมิ ทกั ษะอ่ืน ๆ โดยผอู้ อกแบบพจิ ารณาแนวคิดทฤษฎที ่เี กยี่ วข้อง อนั ประกอบดว้ ย แนวคดิ ของ บลูม (Bloom’s Taxonomy) สเ่ี สาหลกั ทางการศึกษา (Four Pillars of Education) หลกั การพฒั นาทกั ษะ 4 H (Head Heart Hand และ Health) และพระบรมราโชบายดา้ น การศึกษา ของสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัววชิราลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกรู โดยมีกระบวนการ ดังน้ี 1. การกาหนดหัวข้อเรอื่ ง (Theme) หัวข้อเรอื่ ง(Theme)เปน็ ขอ้ ความที่เป็นประเดน็ ของเรือ่ ง ทผ่ี เู้ รียนจะทาการศึกษาโดยเปน็ มโนทศั นก์ วา้ ง ๆ ท่ีเอือ้ ตอ่ การใช้ความรู้และมมุ มองหลายวิชารวมกัน สอ่ื ความหมายเปน็ แนวคดิ หรือความคดิ รวบยอด (Concept) แก่ผเู้ รยี น ควรเป็นหวั ข้อเรอื่ งท่ีทนั สมยั นา่ สนใจ และมีความหมายสาหรบั ผ้เู รียน ทาให้ เกิดความกระหาย อยากจะเรยี นรู้ และพรอ้ มทจ่ี ะสบื สวน (Inquiry) แสวงหาคาตอบด้วยตนเอง ซงึ่ ผู้ออกแบบ กิจกรรมควรพิจารณาในประเด็น ต่อไปนี้ 1) หัวขอ้ เรือ่ ง มีความยากง่าย เหมาะสมกบั ระดบั ความรู้ความสามารถของผเู้ รียน ไมย่ ุ่งยาก หรือซับซอ้ นจนเกินไป และที่สาคญั ต้องมคี วามเป็นไปได้ 2) หัวข้อเรื่อง มแี หลง่ ความรทู้ จี่ ะศกึ ษาค้นควา้ 3) หวั ขอ้ เรอื่ ง สอดคลอ้ งกบั ความถนดั ความสนใจ และความพรอ้ มของผู้เรียน 2. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรเู้ ชิงรกุ (Active Learning)การออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ เชิงรุก (Active Learning) เปน็ กระบวนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ผเู้ รยี นได้ลงมอื กระทา และได้ใช้กระบวนการคิด เกี่ยวกบั ส่ิงท่เี ขาได้กระทาลงไป โดยผู้เรียนจะเปล่ยี นบทบาทจากผรู้ บั ความรู้ (receive) ไปสู่การมสี ่วนรว่ มใน การสร้างความรู้ (Co-Creators) ความร้ทู ี่ เกิดข้ึนเปน็ ความรทู้ ไ่ี ด้จากประสบการณ์ ดงั น้ัน กระบวนการในการ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 173 จดั กิจกรรมการเรียนรู้ ผเู้ รียนตอ้ งมโี อกาส ลงมือกระทามากกว่าการฟงั เพยี งอย่างเดยี ว การจดั กจิ กรรมให้ ผูเ้ รยี นได้เรียนรดู้ ว้ ยการอ่าน การเขียน การ อภิปรายกบั เพอ่ื น การวเิ คราะหป์ ญั หา และใช้กระบวนการคดิ ขั้น สงู ไดแ้ ก่ การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์ เปน็ กระบวนการเรียนรทู้ ี่ใหผ้ ้เู รยี น ได้เรยี นรู้อย่างมีความหมาย โดยการรว่ มมือระหว่างผเู้ รียนดว้ ยกนั กจิ กรรมการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ (Active Learning) ทาให้ผเู้ รยี นสามารถรกั ษาผลการเรยี นร้ใู หอ้ ยู่คงทน ไดน้ าน กระบวนการเรียนรู้เชิงรกุ จะสอดคล้องกบั การทางานของสมองและความจา โดยผูเ้ รยี นสามารถเกบ็ ขอ้ มูล และจาสิ่งทีเ่ รยี นรโู้ ดยมสี ว่ นรว่ ม มปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เพอ่ื น ผสู้ อน ส่งิ แวดล้อม ผ่านการปฏิบตั ิจริง สามารถ เก็บความจาในระบบความจาระยะยาว (Long Term Memory) การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ อาจแยกการออกแบบกจิ กรรมได้ 2 ลักษณะ คือ 1) การออกแบบกจิ กรรมการเรียนรเู้ ชิงรกุ ในหน่วยการเรียนรหู้ รือแผนการจัดการเรยี นรู้ 2) การออกแบบกจิ กรรมการเรียนรูเ้ ชงิ รกุ ในกิจกรรมพฒั นาผู้เรยี นหรอื กจิ กรรมเสริมทกั ษะอืน่ 3. การจัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ ชงิ รุก (Active Learning) กิจกรรมการเรียนรู้ เปน็ กระบวนการปฏิบตั ิการตา่ งๆ ของผู้เรียน ท่กี ่อใหเ้ กิดการเรยี นรูอ้ ยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ ได้แก่ วิธกี าร/กิจกรรมทีค่ รหู รือผู้เกยี่ วข้อง นามาใช้เพื่อใหผ้ เู้ รียนได้เรยี นรู้ ตามเป้าหมาย วตั ถุประสงค์ สอดคล้องเช่ือมโยงกบั มาตรฐานตัวชว้ี ดั ทก่ี าหนดไวใ้ นหลกั สูตรสถานศึกษา โดยมีองค์ประกอบที่ สาคญั ของการจดั การเรยี นรู้ คอื กระบวนการ/วิธกี ารจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ี่เหมาะสม ซง่ึ จะมผี ลตอ่ การเรียนรู้ ของผู้เรยี นอยา่ งแท้จริง โดยกจิ กรรมการเรียนรู้ มีผลต่อผู้เรยี น ในการกระตนุ้ ความสนใจ สนกุ สนาน ต่ืนตวั ใน การเรียน มกี ารเคลอ่ื นไหว เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นประสบความสาเร็จในการเรียนรปู้ ลกู ฝงั ความเป็น ประชาธปิ ไตย การใช้ทักษะชวี ิต ฝกึ ความรบั ผดิ ชอบ การทางานรว่ มกัน ช่วยเหลอื เก้ือกลู ตามศกั ยภาพ และ คณุ ลกั ษณะทด่ี นี อกจากนี้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ยงั ตอ้ งส่งเสรมิ ทักษะกระบวนการต่าง ๆ เช่น การคดิ สรา้ งสรรค์ การสอ่ื สาร การแกป้ ัญหา กระบวนการกล่มุ การบรหิ ารจดั การ ฝกึ การใช้เทคโนโลยใี หเ้ กดิ ประโยชน์ เปน็ เครื่องมอื การเรียนรู้ตลอดชวี ติ สรา้ งปฏสิ มั พันธท์ ่ดี รี ะหวา่ งผเู้ รียนกบั ผเู้ รียน กับครู และบุคคลที่ เกี่ยวข้องอื่น ๆ สรา้ งความเขา้ ใจบทเรยี นและส่งเสรมิ พฒั นาการผเู้ รียนในทกุ ๆ ดา้ น หลักการจัดประสบการณห์ รือกิจกรรมการเรยี นรู้ 1) เลือกกิจกรรมทสี่ อดคลอ้ งกบั วัตถุประสงคข์ องการจัดการเรียนรู้ สอดคลอ้ ง เช่ือมโยงกบั มาตรฐาน หรอื ตวั ชว้ี ัด หากเปน็ ทักษะ ควรเปน็ ทักษะท่ปี ฏิบัติแล้วผ้เู รยี นเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม ไดต้ ามวตั ถปุ ระสงค์ 2) เลือกกจิ กรรมทผ่ี ู้เรียนพงึ พอใจ สนุก น่าสนใจ ไม่ซ้าซาก มปี ระโยชน์ตอ่ การนาไปใช้ ใน ชวี ิตประจาวัน และทาใหผ้ เู้ รียนมีเจตคติท่ีดีต่อการเรยี น 3) เลือกกจิ กรรมทเี่ หมาะสมกบั ความสามารถ ด้านรา่ งกายของผู้เรยี นทจ่ี ะปฏิบตั ิได้ และ ควรคานงึ ถงึ ประสบการณเ์ ดมิ เพ่ือจดั กิจกรรมใหม่ไดอ้ ย่างต่อเนือ่ ง 4) เลือกกิจกรรมทส่ี ่งเสริมจดุ ม่งุ หมายในการจัดการเรยี นรู้หลาย ๆ ด้าน 5) เลอื กกจิ กรรมใหห้ ลากหลาย คานงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เหมาะสมกบั วัย ความสามารถ และความสนใจของผเู้ รยี น ใหผ้ เู้ รียนได้ใช้ประสาทสมั ผสั ในการเรียนรมู้ ากทส่ี ุด 6) ใช้ส่อื /แหลง่ เรยี นรทู้ หี่ ลากหลายและเหมาะสม 7) ใช้เทคนคิ วิธีการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย สง่ เสรมิ กระบวนการคิดและทกั ษะต่าง ๆ 8) ผ้เู รยี นมสี ว่ นร่วมในการทากจิ กรรมและการประเมนิ ผล มกี ารวดั และประเมินผล ทห่ี ลากหลายและ สอดคล้องกบั กิจกรรม

174 4. การวดั และประเมินผลการจัดการเรียนรู้เชงิ รุก (Active Learning) การวดั และประเมนิ ผลการจัดการเรยี นรู้ เป็นกระบวนการในการตรวจสอบผลการดาเนินกิจกรรม วา่ บรรลุตามเปา้ หมาย ทก่ี าหนดไว้หรอื ไม่ มสี ว่ นใดต้องปรบั ปรุงแก้ไขเพื่อพฒั นาตอ่ ไป โดยประเมินทง้ั กระบวนการในการจดั กจิ กรรม และประเมินคณุ ภาพของผเู้ รยี น ใช้การประเมินหลากหลายวธิ ี ใหท้ ุกฝา่ ยได้มี โอกาสในการประเมนิ เช่น ครปู ระเมนิ ผู้เรียน ผู้เรียนประเมนิ เพ่ือน ผเู้ รยี นประเมนิ ตนเอง วิธีการในการ ประเมนิ ควรถูกตอ้ งเหมาะสมกบั ความรู้ ทกั ษะ และคณุ ลกั ษณะของผู้เรยี นที่ก าหนดไว้ในเปา้ หมายของการจดั กจิ กรรมนน้ั ๆ การประเมนิ ผลการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ควรใชห้ ลักการประเมนิ ตามสภาพจรงิ และนาผลการประเมนิ มา พัฒนาผเู้ รยี นอย่างต่อเนอ่ื ง โดยมลี ักษณะ ดงั น้ี 1) ใช้ผปู้ ระเมนิ จาก หลายฝา่ ย เชน่ ผเู้ รยี น เพือ่ น ผูส้ อน ผเู้ กยี่ วขอ้ ง 2) ใช้วธิ กี ารหลากหลายวิธี/ชนิด เช่น การสังเกต การปฏบิ ตั ิ การทดสอบ การรายงานตนเอง 3) ประเมนิ หลายๆ ครง้ั ในแตล่ ะช่วงเวลาของการเรียนรู้ เชน่ ก่อนเรียน ระหว่างเรยี น ส้นิ สดุ การเรียน ตดิ ตาม ผล และ 4) สะท้อนผลการประเมนิ แกผ่ ู้เรยี นและผเู้ กยี่ วข้อง เพอ่ื นาไปสกู่ ารพฒั นาผเู้ รียน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง การประเมนิ ผลกิจกรรมการเรยี นรเู้ ชงิ รุก (Active learning) การเรยี นรเู้ ชิงรกุ (Active learning) ในการจัดกิจกรรมลดเวลาเรียน เพม่ิ เวลารู้ เป็นกจิ กรรมท่ี ต้องการพฒั นาผู้เรียนรอบด้าน ผสู้ อนสามารถใช้วิธกี ารประเมนิ ผล ดงั นี้ 1.การประเมนิ ตามสภาพจริง(Authentic Assessment) เปน็ การประเมนิ ดว้ ยวิธีการท่ี หลากหลาย เพื่อใหไ้ ดผ้ ลการประเมนิ ทส่ี ะทอ้ นความสามารถทแ่ี ทจ้ รงิ ของผเู้ รียน จงึ ควรใช้การประเมินการปฏิบัติ (Performance Assessment) รว่ มกบั การประเมินด้วยวธิ ีการอนื่ และก าหนดเกณฑ์ในการประเมนิ (Rubrics) ให้สอดคล้องหรอื ใกลเ้ คยี งกบั ชวี ติ จรงิ 2.การประเมนิ การปฏิบตั ิ (Performance Assessment) เปน็ วิธีการประเมินงานหรอื กจิ กรรมท่ี ผู้สอนมอบหมายใหผ้ เู้ รยี นปฏบิ ตั ิงานเพ่อื ใหท้ ราบถงึ ผลการพัฒนาของผ้เู รยี น การประเมินลักษณะน้ี ผสู้ อนตอ้ ง เตรยี มสิ่งสาคัญ 2 ประการ คอื ภาระงาน (Tasks) หรอื เกณฑก์ ารประเมนิ กจิ กรรมทจี่ ะให้ผเู้ รียน ปฏิบัติ (Scoring Rubrics) การประเมินการปฏบิ ัติ จะช่วยตอบค าถามท่ีท าใหเ้ รารวู้ ่า “ผเู้ รยี นสามารถนาสงิ่ ท่เี รียนรู้ ไปใช้ไดด้ ีเพียงใด” ดงั นนั้ เพอื่ ใหก้ ารปฏบิ ัติในระดบั ชน้ั เรยี นเป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ผสู้ อนต้องทาความ เขา้ ใจที่ชดั เจนเก่ียวกบั ประเด็นตอ่ ไปนี 1) สิ่งทเ่ี ราต้องการจะวดั (พิจารณาจากมาตรฐาน/ตัวช้วี ัด หรอื ผลลัพธท์ ีเ่ ราตอ้ งการ) 2) การจัดการเรียนรทู้ ่ีเออื้ ตอ่ การประเมนิ การปฏิบตั ิ 3) รูปแบบหรือวิธีการประเมนิ การปฏบิ ตั ิ 4) การสรา้ งเครอื่ งมือประเมนิ การปฏิบตั ิ 5) การกาหนดเกณฑใ์ นการประเมนิ (Rubrics) 3.การประเมนิ โดยการใชค้ าถาม (Questioning) ค าถามเปน็ วิธีหนง่ึ ในการกระต้นุ /ช้แี นะให้ ผเู้ รียน แสดงออกถงึ พฒั นาการการเรยี นร้ขู องตนเอง รวมถงึ เปน็ เครื่องมอื วัดและประเมินเพ่ือพฒั นาการเรียนรู้ ดงั นั้น เทคนิคการตง้ั ค าถามเพ่อื ส่งเสริมการเรยี นรู้ของผเู้ รียน จงึ เป็นเรอ่ื งสาคญั ยง่ิ ทผี่ สู้ อนตอ้ งเรียนรูแ้ ละ นาไปใชใ้ ห้ ได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ การตั้งคาถามเพอื่ พัฒนาผู้เรยี นจงึ เปน็ กลวิธีสาคัญทีผ่ สู้ อนใชป้ ระเมินการเรียนรูข้ อง ผเู้ รยี นรวมท้งั เปน็ เครอ่ื งสะทอ้ นใหผ้ สู้ อนสามารถช่วยเหลือผเู้ รยี นใหบ้ รรลุจดุ มงุ่ หมายของการเรยี นรู้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 175 4.การประเมินโดยการการสนทนา( Communication) เป็นการสือ่ สาร 2 ทางอีกประเภทหนง่ึ ระหวา่ งผ้สู อนกับผเู้ รียน สามารถดาเนินการเปน็ กลมุ่ หรือรายบุคคลกไ็ ด้ โดยท่ัวไปมกั ใชอ้ ย่างไม่เป็นทางการ เพอื่ ติดตามตรวจสอบว่า ผู้เรียนเกดิ การเรียนรเู้ พียงใด เปน็ ขอ้ มลู สาหรับพฒั นา วิธกี ารนี้อาจใช้เวลา แต่มี ประโยชน์ตอ่ การคน้ หา วินิจฉยั ขอ้ ปญั หา ตลอดจนเร่ืองอนื่ ๆ ทอ่ี าจเป็นปัญหา อปุ สรรคตอ่ การเรียนรู้ เช่น วิธีการเรียนรทู้ แี่ ตกต่างกนั เป็นต้น 5.การประเมินการสังเกตพฤติกรรม (Behavioral Observation) เป็นการเกบ็ ขอ้ มูลจากการดู การ ปฏิบตั ิกจิ กรรมของผเู้ รยี นโดยไมข่ ัดจงั หวะการทางานหรอื การคิดของผเู้ รยี น การสงั เกตพฤตกิ รรมเปน็ สิง่ ที่ทา ได้ตลอดเวลา แต่ควรมกี ระบวนการและจุดประสงคท์ ชี่ ดั เจนว่าต้องการประเมินอะไร โดยอาจใชเ้ ครอ่ื งมอื เชน่ แบบมาตรประมาณค่า แบบตรวจสอบรายการ สมุดจดบนั ทึก เพอื่ ประเมินผเู้ รยี นตามตัวชวี้ ัด และควร สังเกต หลายครงั้ หลายสถานการณ์ และหลายชว่ งเวลา เพอ่ื ขจัดความลาเอียง 6.การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student Self-assessment) การประเมินตนเอง นบั เปน็ ทงั้ เคร่ืองมือประเมินและเครอ่ื งมอื พัฒนาการเรียนรู้ เพราะทาใหผ้ ู้เรยี นไดค้ ิดใคร่ครวญว่า ได้เรยี นรอู้ ะไร เรียนรู้ อยา่ งไร และผลงานทที่ านัน้ ดีแล้วหรือยงั การประเมินตนเองจงึ เปน็ วธิ หี นง่ึ ที่จะช่วยพฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ ป็นผเู้ รียน ทสี่ ามารถเรยี นรู้ด้วยตนเอง 7.การประเมินโดยเพ่ือน (Peer Assessment) เปน็ เทคนิคการประเมินอีกรูปแบบหน่งึ ทนี่ า่ จะ นาใช้ เพอื่ พฒั นาผเู้ รยี นให้เข้าถึงคุณลกั ษณะของงานทมี่ คี ุณภาพ เพราะการทผ่ี ู้เรียนจะบอกได้ว่าชิ้นงานนั้น เป็นเช่น ไร ผ้เู รยี นต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนวา่ เขากาลงั ตรวจสอบอะไรในงานของเพอื่ น ฉะน้นั ผ้สู อน ตอ้ ง อธบิ ายผลทค่ี าดหวงั ให้ผเู้ รียนทราบกอ่ นทจ่ี ะลงมอื ประเมิน การทจี่ ะสรา้ งความม่ันใจวา่ ผเู้ รยี นเขา้ ใจการ ประเมนิ รูปแบบน้ี ควรมกี ารฝกึ ผเู้ รียน (หนว่ ยศึกษานิเทศก์ สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน. หน้า 4-38) 9. บทสรปุ การจดั การเรียนรเู้ ชงิ รุก ตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนสามารถสงั เคราะหอ์ งคค์ วามร้ไู ด้ด้วยตนเอง กระตนุ้ ให้ ผเู้ รียนคิด เนน้ กระบวนการมากกวา่ เน้อื หา เพอ่ื ใหผเู้ รียนมี กระบวนการคิด ออกไปสู่สงั คมและสามารถดาเนิน ชีวิตของตนเองต่อไปได้ทา่ มกลางการเปลีย่ นแปลงทางสงั คมทม่ี ตี ลอดเวลา การจัดการเรียนรเู้ ชงิ รกุ นามาใชส้ อนครูสงั คม เพื่อให้ครูสงั คมในอนาคต สามารถออกแบบการเรยี น การสอนให้เดก็ นกั เรยี นของตนเองจ่อไปได้ อ้างองิ หน่วยศึกษานเิ ทศก์ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. แนวทางการนิเทศ เพื่อพฒั นาและสง่ เสรมิ การจัดการเรยี นรู้เชงิ รกุ (Active Learning) ตามนโยบายลดเวลาเรยี น เพมิ่ เวลา ร.ู้ ม.ท.พ. กจิ กรรมท้ายบท 1. สัมมนาการออกแบบการเรียนรเู้ ชงิ รุกรปู แบบตา่ งๆท่เี หมาะสมกบั ผเู้ รยี นแตล่ ะชน้ั ปี 2. สมั มนาการออกแบบการเรียนรเู้ ชงิ รุกรปู แบบตา่ งๆท่ีเหมาะสมกบั เนอ้ื หาสาระในกลมุ่ สาระตา่ งๆ 3. สมั มนาการออกแบบการเรยี นรเู้ ชงิ รุกรปู แบบต่างๆที่เหมาะสมกบั เดก็ พิเศษ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 176 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 8 หัวขอ้ เนอื้ หา บทนำ 1.ความสาคญั ของประสบการณ์ 2.ศกั ยภาพในการเรยี นรู้ 3.การเชื่อมโยงประสบการณก์ บั การเรยี นรู้ 4.การออกแบบส่ิงแวดลอ้ มการเรียนรู้ บทสรุป วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 1. สำมำรถอธิบำยควำมสำคญั ของประสบกำรณ์เดมิ กบั กำรเรยี นรู้ 2. สำมำรถวิเครำะห์ของประสบกำรณเ์ ดิมทมี่ ผี ลตอ่ กำรเรียนรู้ 3. สำมำรถสงั เครำะหป์ ระสบกำรณเ์ ดิมกบั กำรเรยี นรู้ใหมจ่ ำกวชิ ำน้ีได้ 4. สำมำรถออกแบบกำรเรยี นรู้จำกประสบกำรณเ์ ดิม สู่กำรเรยี นรู้ใหม่ในวิชำนี้ได้ วิธีสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. วิธสี อน 1.1 วิธสี อนแบบใช้ครูพี่เลีย้ ง (Tutorial Method) 1.2 วิธีสอนแบบอปุ นยั (Inductive Method) 1.3 วิธีสอนแบบศกึ ษำดว้ ยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธีสอนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธสี อนแบบแบง่ กลมุ่ ระดมพลงั สมอง 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศึกษำดูวีดทิ ศั นก์ ำรสอนกลมุ่ สำระทุกกลมุ่ ของชน้ั ประถมศกึ ษำปที ่ี 1-6 อำจำรยก์ ระตนุ้ ให้ สังเกตและตอบคำถำมเกี่ยวกบั ประสบกำรณเ์ ดมิ ต่ำง ๆ ของผู้เรียน ตัง้ คำถำมให้นกั ศกึ ษำชว่ ยกนั คิดหำคำตอบ วำ่ ประสบกำรณ์เดิม กอ่ เกิดปญั หำอะไรในกำรเรยี น 2.2 นักศึกษำค้นหำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพ่อื ค้นหำประสบกำรณ์เดิมส่งผลตอ่ กำร เรียนรู้อย่ำงไร 2.3 อำจำรยช์ กั ชวนคน้ หำเหตุผล อธิบำยประเด็นสำคัญเรื่องประสบกำรณ์เดมิ สง่ ผลตอ่ กำรเรียนรู้ อย่ำงไร 2.4 นักศึกษำตง้ั กลุ่มยอ่ ย อภปิ รำยประเดน็ ประสบกำรณเ์ ดิมสง่ ผลต่อกำรเรยี นร้อู ยำ่ งไร 2.5 อำจำรย์จัดสมั นำใหน้ ักศึกษำหำเหตผุ ลประสบกำรณ์เดมิ ตำ่ งๆส่งผลต่อกำรเรยี นรู้อยำ่ งไร เพ่อื นรว่ มช้ันแสดงควำมคดิ เหน็ ตอ่ อยำ่ งมมี ำรยำทในกำรสมั นำ อำจำรย์ให้ควำมเหน็ อธบิ ำยใหน้ กั ศึกษำได้ แลกเปล่ยี นเรียนรรู้ ่วมกนั 2.6 นักศกึ ษำ ศึกษำควำมสำคญั ของประสบกำรณท์ ่มี ผี ลต่อกำรเรยี นรจู้ ำกเอกสำรประกอบกำร สอน

177 2.7 นักศกึ ษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และรว่ มอภิปรำยเพื่อสรปุ เนื้อหำทไ่ี ดเ้ รยี นรู้ 2.8 อำจำรยม์ อบหมำยใหน้ กั ศึกษำสะท้อนคดิ เป็นรำยบคุ คล สื่อการเรยี นการสอน 1. ไฟลว์ ดี ิทศั น์กำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กลมุ่ ของชั้นประถมศกึ ษำปที ่ี 1-6 2. กระดำษฟลปิ ชำร์ทเขียนแผนผังประสบกำรณท์ ม่ี ผี ลต่อกำรเรียนรู้ 3. เอกสำรประกอบกำรสอน การวัดผลและประเมินผล 1. วดั และประเมินผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรอภปิ รำย สมั มนำ 3. วัดและประเมินผลจำกกำรสะทอ้ นคดิ 4. วัดและประเมินผลจำกกำรเขยี นแผนกำรสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 178 บทที่ 8 ความสาคญั ของประสบการณก์ บั การเชอื่ มโยงการเรียนรู้ บทนา มนษุ ยท์ ุกคนมี ประสบการณ์ ของตนเอง คาว่าประสบการณ์น้มี ที ง้ั ความรู้ ความคดิ ความรสู้ ึก คา่ นยิ ม และอกี มากมาย กล่าวคือองคาพยพท้งั หมดทัง้ มวลที่มนุษยไ์ ด้รับจากปัจจยั แวดลอ้ มภายใตบ้ รบิ ทหนง่ึ มาตลอด ช่วงชีวิตนับตั้งแต่เกดิ มา บางประสบการณ์บันทกึ ไว้อย่ใู นความทรงจา แสดงออกมาเปน็ พฤติกรรม บาง ประสบการณไ์ ม่ไดร้ บั การจดจาไว้ แตป่ ระสบการณ์ แฝงตัว อยทู่ ส่ี ่วนใดส่วนหนง่ึ มมุ ใดมุมหน่ึงของความทรงจา แสดงออกมาแบบไม่รู้ตวั ทางจติ เวชศาสตรเ์ รยี กวา่ ไร้สานกึ (unconscious) ประสบการณม์ คี วามสาคัญในการ เรยี นรู้ ความรู้ เรื่องต่อไปในหลายทิศทางทงั้ ตอบรบั ท้ังหมด ตอบรบั บางส่วน ตอบรบั แบบมเี งื่อนไข ปฏิเสธ ทั้งหมด ปฏิเสธบางสว่ น ปฏเิ สธแบบมเี งื่อนไข ตอ่ รองกันไปตาม เงื่อนไขทต่ี ดิ มากับประสบการณน์ ัน้ การ เรยี นรู้ของมนษุ ย์ไม่ได้เรม่ิ จากศูนย์ หรอื วา่ งเปลา่ แล้วเรยี นรคู้ วามรู้เรอื่ งใหมๆ่ ไดเ้ ลย วิธีการเรียนรขู้ องมนษุ ย์ มีหลากหลายเทคนิควธิ กี ารของแตล่ ะคน มปี ระสบการณเ์ ปน็ เง่ือนไขทัง้ ทางบวก และทางลบ ประสบการณ์จงึ มี ความสาคัญในการเรยี นรคู้ วามรู้เร่อื งตอ่ ไป ในบทน้มี หี วั ข้อของ ความสาคญั ของประสบการณ์กบั การเชอ่ื มโยงการเรียนรู้ ดังน้ี 1.ความสาคัญของประสบการณ์ 2.ศกั ยภาพในการเรียนรู้ 3.การเชอ่ื มโยงประสบการณ์กบั การเรยี นรู้ 4.การออกแบบสิ่งแวดลอ้ มการเรยี นรู้ 1.ความสาคัญของประสบการณ์ 1.1 ความหมายของคาวา่ ประสบการณ์ ประสบการณ์ คานม้ี คี วามหมาย 2 นัยยะ กล่าวคอื หมายถงึ ความชานาญ เช่ียวชาญในกิจกรรม การ กระทาหนึง่ ๆ มาจากการฝกึ ฝนกระทากจิ กรรมหนงึ่ ๆ มานานจนเชย่ี วชาญ ชานาญ คลอ่ งแคลว่ (https://www.wikipedia.org สบื ค้นเมอื่ 6 เมษายน 2564) ว่องไว เม่ือตอ้ งกระทากจิ กรรมน้ัน ซ้าเดมิ และยงั สามารถขยาย ประยุกต์ใชค้ วามสามารถนตี้ ่อยอดออกไปไดอ้ ีกหลายทิศทางและอีกนัยยะหมายถงึ การประสบ พบพาน ผ่าน เหตกุ ารณ์เรื่องราวใดๆ มาแล้ว (https://www. wikipedia.org สบื ค้นเมอื่ 6 เมษายน 2564) จะ เกบ็ ประสบการณน์ ้ไี วใ้ นความทรงจาแบบใด ทศิ ทางใดเป็นอีกประเด็นทจ่ี ะอธบิ ายกนั ต่อไป และอกี ประเดน็ คือ การนาประสบการณ์น้ีมาใชใ้ นการเรยี นรอู้ ยา่ งไร จะกลา่ วถึงประเด็นสาคญั นใี้ นบทนี้ 1.2 ประเภทของประสบการณ์ มี 2 ประเภท 1.2.1 ประสบการณ์ทางตรง คือ ประสบการณ์ทบ่ี ุคคลได้พบหรอื สมั ผสั ด้วยตนเอง เช่น เด็กเลก็ ๆ ทีย่ ังไม่เคยรจู้ ักหรอื เรยี นรู้คาว่า “รอ้ น” เวลาที่คลานเขา้ ไปใกลก้ านา้ ร้อน แล้วผู้ใหญบ่ อกวา่ รอ้ น และหา้ มคลาน เขา้ ไปหา เดก็ ยอ่ มไมเ่ ข้าใจและคงคลานเข้าไปหาอยอู่ กี จนกว่าจะได้ใชม้ อื หรืออวยั วะส่วนใดส่วนหน่ึงของ ร่างกายไปสัมผสั กานา้ รอ้ น จงึ จะรูว้ า่ กาน้าท่ีวา่ ร้อนนน้ั เปน็ อยา่ งไร ต่อไป เมื่อเขาเห็นกานา้ อกี แล้วผูใ้ หญ่บอก ว่ากาน้านน้ั ร้อนเขาจะไม่คลานเขา้ ไปจบั กาน้านั้น เพราะเกดิ การเรียนรคู้ าวา่ รอ้ น ท่ผี ู้ใหญ่บอกแล้ว เชน่ นก้ี ลา่ ว ไดว้ ่า ประสบการณ์ ตรงมผี ลทาใหเ้ กิดการเรียนรเู้ พราะมกี ารเปลีย่ นแปลงทท่ี าให้เผชญิ กบั สถานการณเ์ ดมิ แตกตา่ งไปจากเดิม ในการมปี ระสบการณต์ รงบางอยา่ งอาจทาใหบ้ คุ คลมกี ารเปล่ียนแปลงพฤติกรรม แตไ่ มถ่ ือ วา่ เป็นการเรียนรู้ ได้แก่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 179 1. พฤตกิ รรมที่เปลีย่ นแปลงเนอื่ งจากฤทธ์ิยา หรอื ส่งิ เสพตดิ บางอยา่ ง 2. พฤติกรรมที่เปลีย่ นแปลงเนอื่ งจากความเจบ็ ป่วยทางกายหรอื ทางใจ 3. พฤติกรรมทเ่ี ปลี่ยนแปลงเนอื่ งจากความเหนอ่ื ยลา้ ของร่างกาย 4. พฤติกรรมทเี่ กดิ จากปฏิกิริยาสะทอ้ นต่างๆ 1.2.2 ประสบการณท์ างอ้อม คือ ประสบการณ์ทผ่ี เู้ รียนมไิ ด้พบหรือสมั ผสั ด้วยตนเองโดยตรง แต่อาจได้รบั ประสบการณ์ทางอ้อมจาก การอบรมสั่งสอนหรือการบอกเลา่ การอา่ นหนังสอื ตา่ งๆ และการรบั รู้ จากสอื่ มวลชนตา่ งๆ (https://www.baanjomyut.com สบื คน้ เมือ่ 6 เมษายน 2564) 1.3 ปรัชญาของประสบการณ์นยิ ม คาวา่ “empiricism” มาจากรากศพั ทภ์ าษากรกี คาว่า “empeiria” ซง่ึ แปลเป็นภาษาละตินไดว้ า่ “experientia”และได้มาเปน็ ภาษาองั กฤษคาว่า “experience” ซึง่ หมายความว่า “ประสบการณ์” นั่นเอง ความเขา้ ใจที่กวา้ งทสี่ ุดสาหรบั ประสบการณ์นยิ มกค็ อื ความคดิ ทว่ี า่ ความรู้ทง้ั มวลในทส่ี ุดแล้วมีพน้ื ฐานมาจาก ประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผสั หรือผัสสะท้งั ห้า อันหมายถงึ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย โดยความรแู้ บบอาศัย ประสบการณ์ (a posteriori knowledge) จะแสดงออกมาในรปู ประโยคแบบสังเคราะห์ (synthetic statement) นอกจากน้ี นกั ประสบการณ์นยิ มบางส่วนยงั เห็นวา่ วธิ กี ารได้มาซงึ่ ความรอู้ ันสาคญั อยา่ งยิง่ กค็ ือ วิธกี ารอปุ นัย (induction) นกั ปรัชญาในอดตี ทีม่ ฐี านคิดบางสว่ นในลกั ษณะเชน่ นี้ก็มีอยบู่ ้าง เชน่ อริสโตเตลิ (Aristotle) เอพิควิ รสั (Epicurus) ทอมัส อไควนัส (Thomas Aquinas) ฯลฯ อยา่ งไรก็ตาม ความคดิ ของนักปรชั ญาดงั กลา่ วนัน้ มีความแตกต่างกนั ออกไป และมไิ ดเ้ ป็นแบบประสบการณน์ ิยมอย่างจรงิ จงั นัก ประสบการณน์ ยิ มมกี ารพัฒนามาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง แม้ว่าจะไมม่ ีอทิ ธิพลมากนกั จนกระทง่ั ในครสิ ต์ศตวรรษ ท่ี17 มคี วามกา้ วหน้าทางวทิ ยาศาสตร์และวิทยาการอ่ืนๆเกดิ ขน้ึ สง่ ผลให้ทฤษฎแี บบประสบการณน์ ยิ มก่อตัว ขน้ึ อย่างเห็นได้ชัด เมอ่ื กล่าวถงึ ประสบการณน์ ิยมแล้ว นกั ปรัชญาทมี่ กั จะถกู กลา่ วถึงเสมอก็คอื นกั ปรัชญากลุ่ม “นัก ประสบการณ์นยิ มชาวอังกฤษ” (British empiricists) ซึง่ ประกอบด้วย จอหน์ ล็อค (John Locke: 1632- 1704) จอรจ์ เบริ ค์ เลย์ (George Berkeley: 1685-1753) และเดวดิ ฮูม (David Hume: 1711-1776) เปา้ หมายหลักอันหนง่ึ ของล็อคคอื การโจมตีข้อเสนอ เรอ่ื งความคิดทีต่ ดิ ตัวมาต้งั แตเ่ กิด (innate ideas) ซง่ึ เปน็ ความคดิ พื้นฐานของแนวคิดเหตผุ ลนิยมทีว่ า่ มนุษยส์ ามารถมีความรบู้ างอย่าง ท่ีไมต่ ้องได้มาจาก ประสบการณท์ างผสั สะ ในหนงั สือของเขาท่ีชอ่ื ว่า An Essay Concerning Human Understanding เล่มแรก จงึ มเี นื้อหาสว่ นใหญ่โตแ้ ย้งเร่ืองความคิดทม่ี ีมาตง้ั แตเ่ กิด ในหนงั สือฉบบั เดียวกนั น้เี ล่มท่ีสี่ ล็อคไดแ้ บง่ ความรู้ ออกเปน็ สามระดบั คือ ความรเู้ ชิงอัชฌัตตกิ ญาณ (intuitive knowledge) ความรเู้ ชิงสาธติ (demonstrative knowledge) และความรเู้ ชงิ ผสั สะ (sensitive knowledge) ความร้เู ชิงอชั ฌัตตกิ ญาณนน้ั เป็นความร้เู กย่ี วกบั ความสอดคล้อง (agreement) หรือขดั แยง้ (disagreement) ระหวา่ งความคิด (ideas) ความรูแ้ บบน้มี คี วาม แนน่ อนเนื่องจากสามารถร้ไู ดโ้ ดยตรง ไมต่ อ้ งอาศยั ความคดิ อ่นื ๆ มาเป็นตัวชว่ ยในการอนุมาน ตวั อยา่ งความรู้ แบบน้ี เช่น สเี ขยี วไมใ่ ชส่ ีขาว อยา่ งไรกต็ าม บางคร้ังลอ็ คก็อธบิ ายวา่ ความรทู้ ่ีไมเ่ กี่ยวกบั ความสอดคลอ้ งหรือ ขดั แยง้ ระหวา่ งความคิดกเ็ ปน็ ความรเู้ ชงิ อัชฌัตตกิ ญาณได้ เช่น ความรูต้ ัวเอง ความรู้เชงิ สาธติ เปน็ ความรู้ เกย่ี วกับความสอดคลอ้ งหรอื ขดั แยง้ ระหว่างความคดิ เชน่ เดยี วกัน แต่เปน็ การร้โู ดยออ้ ม ต้องอาศยั การอนมุ าน เปน็ ขั้นเปน็ ตอน ความนา่ เชื่อถือของความร้แู บบนจ้ี งึ ไมแ่ น่นอนเทา่ ความรูแ้ บบแรก เนอ่ื งจากขน้ึ กับความ ถูกตอ้ งของการอนมุ านในแตล่ ะขั้น ความรูเ้ ชงิ ผสั สะมคี วามแนน่ อนไม่เท่ากับความรสู้ องประเภทแรก เปน็ ความรู้เกย่ี วกบั วตั ถุทางกายภายในโลกภายนอก ลอ็ คเหน็ วา่ เปน็ ความรทู้ ต่ี ้องอาศยั การอนมุ านเชน่ กัน แตเ่ ปน็

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 180 การอนมุ านจากความคดิ อนั เปน็ ผลจากประสบการณ์ทางผัสสะไปสู่ขอ้ สรุปว่า มวี ัตถทุ างกายภาพบางอย่างใน โลก แมล้ อ็ คไมก่ ังวลว่าช่องวา่ งระหว่างความคิดและโลกกายภาพเชน่ นี้ จะนาสปู่ ัญหาวมิ ตั ินิยม (skepticism) แต่อยา่ งใด แต่ตอนหลงั กม็ นี ักปรชั ญา เช่น เบริ ์คเลย์ ทีเ่ ห็นว่ามปี ัญหา ลอ็ คแบง่ ความคดิ เป็นหลายประเภท ความคดิ ทีพ่ น้ื ฐานทีส่ ุดคอื ความคดิ เชงิ เด่ยี ว (simple ideas) ซงึ่ ไดม้ าจากประสบการณ์ทางผสั สะโดยตรง ความคดิ ทซ่ี บั ซ้อนอนื่ ๆ สร้างข้นึ จากความคิดเชงิ เดีย่ วเหล่านี้ ประเด็นทส่ี าคญั ของลอ็ ค เกย่ี วกบั ความคดิ เชิงเดยี่ วประการหนงึ่ คอื เรื่องของการแบง่ แยกระหว่างคุณสมบตั ิ ปฐมภูมิ (primary qualities) และคุณสมบตั ทิ ุติยภูมิ (secondary qualities) ตวั อย่างคณุ สมบตั ิปฐมภมู ิ เช่น ขนาด รูปร่าง การเคล่อื นที่ ฯลฯ และตัวอยา่ งคุณสมบตั ิทตุ ยิ ภมู ิ เชน่ สี กลน่ิ รส ฯลฯ ล็อคเห็นวา่ ในการรบั รู้ คุณสมบัติปฐมภูมนิ น้ั คณุ สมบตั ทิ ่เี ป็นสาเหตุแห่งการรบั รมู้ ีลกั ษณะตรงกบั ความคดิ เก่ยี วกับคุณสมบัตนิ ัน้ แต่ใน กรณขี องคณุ สมบตั ิทตุ ิยภูมินัน้ สิ่งท่ีเป็นสาเหตแุ หง่ ประสบการณก์ ารรับรอู้ าจมีลักษณะไม่ตรงกบั ความคดิ ทเี่ กดิ ตามมาจากการรับรูน้ น้ั เน่อื งจากสิง่ ที่รบั รไู้ มใ่ ชค่ ณุ สมบตั ขิ องวตั ถุภายนอก แตเ่ ป็นผลของการทค่ี ุณสมบัติ เหลา่ นั้นกระทาตอ่ ตวั เรา ทาใหเ้ กิดความรสู้ กึ อันนาไปสู่ความคิดบางอยา่ ง เบิร์คเลยเ์ ปน็ นกั ประสบการณ์นิยมอีกคนในกลมุ่ นี้ และหนงึ่ ในส่ิงที่เขาทากค็ อื ขจดั ความคดิ ของล็อคท่ี ไม่สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ประสบการณน์ ยิ ม เบิรค์ เลย์เห็นวา่ ความคดิ ของล็อคมปี ญั หาเนือ่ งจากลอ็ คมสี มมตฐิ าน ล่วงหนา้ (presupposed) ว่ามีความเปน็ จรงิ เชิงกายภาพทอี่ ยู่ภายนอกตัวเรา เบิรค์ เลย์โจมตีมโนทศั นเ์ ร่ือง “ส่ิง” (substance) ซ่ึงมไี วร้ องรบั คณุ สมบตั ิ ในเม่ือจรงิ ๆ แล้วมแี ตค่ ุณสมบัตเิ ท่านนั้ ไม่มี “สง่ิ ” ในโลกภายนอก อยา่ งท่คี นมักคดิ ความแตกตา่ งระหวา่ งคณุ สมบัติปฐมภูมแิ ละทุตยิ ภูมทิ ลี่ ็อคแบง่ ไวจ้ งึ ไมม่ ีด้วยเช่นกนั สาเหตุท่ี เบิร์คเลยเ์ ห็นว่าไมม่ ี “ส่งิ ” กเ็ นอื่ งจากเขาเหน็ วา่ เราสามารถยนื ยันเฉพาะสิง่ ที่เรารบั รู้ได้เทา่ น้นั และเมอ่ื พจิ ารณาภายในขอบเขตการรบั ร้ขู องเราแล้ว จะเห็นไดว้ า่ ไม่มี “สง่ิ ” ปรากฏแก่เรา มแี ตค่ ณุ สมบตั ติ า่ งๆ เชน่ แข็ง เย็น ขาว หอม และดว้ ยหลกั การเดียวกันนี้ เบริ ์คเลยจ์ งึ ยนื ยันว่าโลกภายภาพภายนอกนน้ั ไม่มีอยู่ คากล่าว อนั เป็นทร่ี จู้ ักกันดขี องเขาก็คือ “ส่ิงทีด่ ารงอยมู่ แี ตส่ ิง่ ทเ่ี รารบั รู้” เบิร์คเลยช์ ีว้ ่าความคดิ ของเขาไปได้ดกี ับสามญั สานึกของคนท่ัวไปที่พดู ถึงแต่สง่ิ ทร่ี บั รูไ้ ด้ ไมต่ อ้ งไปเกี่ยวขอ้ งกบั สมมตฐิ านเรอื่ งความเปน็ จรงิ ทอี่ ยูเ่ บ้อื งหลงั อกี ทัง้ ยังแกป้ ัญหาวิมัตินยิ มได้ เนื่องจากในเมือ่ การรบั รกู้ ับโลกเปน็ เรอ่ื งเดียวกันแล้ว กไ็ มอ่ าจสงสยั ได้อกี วา่ การ รบั รนู้ นั้ ตรงกบั โลกหรอื ไม่ อยา่ งไรกต็ าม ระบบความคิดของเบิร์คเลย์ยงั คงต้องอาศัยความคดิ เก่ียวกบั พระเจ้า ในทานองเดียวกบั เบิรค์ เลย์ เดวิด ฮูม ก็เปน็ นกั ประสบการณน์ ิยมทดี่ าเนินความคดิ ไปกระท่ังสดุ โตง่ ฮมู แบ่งระหวา่ ง “ภาพประทับ” (impression) และ ความคิด (idea) ภาพประทับเปน็ เนื้อหาของประสบการณ์ ขณะทีค่ วามคดิ เป็นเนื้อหาของการคดิ ความคดิ ใดที่ไม่มีภาพประทับรองรับจะถอื ว่า “ผิด” หรอื “นกึ ฝนั ไปเอง” เพยี งหลกั การข้อนกี้ ็ทาใหต้ ้องสรปุ วา่ ความคดิ หลายอยา่ งทคี่ นทวั่ ไปยอมรบั นัน้ ผิด เชน่ ความคดิ ที่ว่าวัตถมุ ีการ ดารงอยู่อยา่ งตอ่ เนื่องข้ามเวลา (continuous existence) หรือความคดิ ท่ีว่ามคี วามสมั พันธ์เชงิ สาเหตแุ ละผล (causality)(พพิ ัฒน์ สยุ ะ. 2554. http://www.parst.or.th สบื ค้นเมอ่ื 6 เมษายน 2564) 2.ศกั ยภาพในการเรียนรู้ การเรียนรู้ เป็นเรอ่ื งสาคัญ จาเป็นทีท่ กุ คนตอ้ งเรยี นร้เู ปน็ เพราะวา่ ทกุ คนเตบิ โตตลอดไป อายุมากข้ึน โจทยป์ ัญหาชีวิตซบั ซอ้ นมากขึ้น การเรยี นเนือ้ หาสาระของวิชาในศาสตร์ต่างๆ มคี วามสลบั ซบั ซอ้ นมากข้นึ ตามลาดบั กระบวนการเรยี นรู้(process of learning) และการถ่ายโอนการเรียนร(ู้ transfer of learning)เปน็ หลกั การพื้นฐานในการเข้าใจวธิ ีพฒั นาทักษะตา่ งๆของมนษุ ย์เปน็ ลาดบั สืบไป การถ่ายโอนการเรยี นรหู้ มายถึง ความสามารถในการขยายสง่ิ ที่ไดเ้ รียนรู้แลว้ ในบริบทหนง่ึ ไปสู่บรบิ ทใหมไ่ ด้ นักการศกึ ษาคาดหวงั ใหผ้ เู้ รียนถา่ ย โอนการเรยี นรจู้ ากการแกป้ ัญหาหนง่ึ ไปสกู่ ารแกป้ ญั หาอน่ื ตอ่ ไปได้ จากช้นั ปหี นงึ่ ไปสูช่ ัน้ ปถี ัดไป จากโรงเรียนสู่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 181 บ้าน จากบา้ นสชู่ ุมชน และทที่ างาน การเรียนรเู้ บอ้ื งต้นสามารถถา่ ยโอนสกู่ ารเรียนรู้ใหมท่ ง้ั หมดตอ่ ไปได้ การ เรยี นรู้และการถา่ ยโอนการเรยี นรมู้ ีลกั ษณะกระบวนการและเป็นพลวัตร องค์ประกอบที่สนับสนุนการเรียนรูเ้ บ้ืองต้น การเรยี นรอู้ ยา่ งเพียงพอด้วยความเขา้ ใจเป็นหลกั ในวิชาแรกทเี่ รม่ิ ต้นเรียนรู้ สามารถถา่ ยโอนสกู่ าร เรียนรู้ต่อไปได้ การเรยี นรู้วิชาต่อไปมาจากคุณภาพของการเรยี นรู้ในตอนเร่ิมต้น ความเขา้ ใจ และ การจา การเรยี นรดู้ ้วยความเข้าใจตงั้ แตเ่ รมิ่ ต้น สามารถถ่ายโอนสู่การเรยี นรตู้ ่อไปไดด้ ว้ ยการจัดความรใู้ หเ้ ปน็ ระบบ มแี บบแผน เรยี บเรยี งข้อมูลอยา่ งสมั พนั ธ์ เกี่ยวข้องกนั เขา้ เปน็ กลมุ่ ข้อมลู เรยี กวา่ ความรู้ ด้วยกรอบคิด ของมโนทัศนห์ นงึ่ เวลาในการเรียนรู้ เวลาในการเรียนรู้แตล่ ะวิชาต่างกันตามเนอ้ื หาสาระ บางวชิ าตอ้ งใช้เวลามากกว่า และผสู้ อนต้องให้ เวลามากพอใหผ้ ้เู รยี นไดป้ ระมวลผลขอ้ มูลดว้ ย การเรยี นรู้ต้องใชเ้ วลาโดยเฉพาะอย่างยงิ่ กจิ กรรมการรู้คดิ (cognitive activity)ตอ้ งประมวลขอ้ มูลทม่ี ีความสลับซบั ซอ้ น จากงานศกึ ษาจานวนมากพบว่าตวั แปรทสี่ ่งผล ใหก้ ารเรยี นรไู้ ดผ้ ลมากทส่ี ดุ เมอ่ื ผเู้ รียน “เรียนรอู้ ยา่ งมเี ปา้ หมาย” (deliberate practice) มกี ารตดิ ตาม ประสบการณก์ ารเรยี นรูข้ องตนเอง ด้วยการใช้ขอ้ มูลตอบกลับ(feedback)เกีย่ วกบั ความกา้ วหนา้ ในการเรยี นรู้ ของตนเอง ขอ้ มูลตอบกลับมีความสาคญั กบั การเรียนรูท้ ่ีไดผ้ ล แต่ไม่ไดใ้ ชข้ ้อมูลตอบกลบั ในมติ เิ ดียว อย่างเช่น ข้อมูลตอบกลบั ทบ่ี อกความจา ให้ใช้ข้อมลู ตอบกลบั ทบ่ี ง่ บอกระดับความรู้ ความเข้าใจของผเู้ รยี น และ ความสามารถในการใช้ความรเู้ มือ่ ใด ทีไ่ หน และใช้ อย่างไร การเพมิ่ ความเข้าใจเกยี่ วกับวธิ ีการใชค้ วามรู้วา่ จะใชค้ วามรู้เมอื่ ใด ท่ีไหน และอย่างไร ดว้ ยการใช้ ”กรณกี ารเทยี บเคียง” (contrasting case) มาเป็นกลยุทธการเรยี นรู้ การให้โจทย์ทต่ี ่างกันอยา่ งเหมาะสมช่วย ผูเ้ รียนใหส้ ังเกตเห็นสงิ่ ใหมท่ ่ไี มเ่ คยเหน็ ได้เรยี นร้วู า่ อะไรเกยี่ วข้องและไมเ่ กี่ยวขอ้ งกับมโนทศั นท์ กี่ าลงั เรยี น ได้ เรยี นรู้การแยกแยะความเหมือน ความต่างและอ่นื ๆ ด้วยการจดั ระเบยี บข้อมูลใหเ้ ป็นระบบกบั สิง่ ทเี่ รียนรไู้ ด้ จูงใจใหเ้ รยี นรู้ มนษุ ยม์ แี รงจงู ใจทจ่ี ะประสบความสาเรจ็ สิ่งจงู ใจจากภายนอกมนษุ ย์ และการลงโทษมผี ลตอ่ พฤตกิ รรมของมนุษย์ แต่มนษุ ยก์ ท็ างานอย่างหนกั เพ่อื เหตผุ ลภายในของมนุษยด์ ว้ ย การจงู ใจใหเ้ รยี นรู้ และ รักษาความสนใจน้ีไว้ขนึ้ กับความยากง่ายของงานทม่ี อบหมายให้ทา งานทงี่ า่ ยเกนิ ไปทาใหผ้ ้เู รยี นเบื่อหน่าย งานท่ยี ากเกินไปทาใหผ้ เู้ รยี นผดิ หวงั ลา่ ถอยไปได้ นอกจากน้คี วามพยายามที่จะทางานยากๆใหล้ ลุ ว่ งไปได้ยัง แปรผนั ตามความต้องการของผเู้ รียนวา่ ต้องการ “เรยี นเพอื่ ใหไ้ ด้คะแนน” หรอื “เรยี นเพอ่ื เรียนรู้” การเรียน เพือ่ ให้ไดค้ ะแนน ผ้เู รยี นมงุ่ ความสนใจท่ีผลการเรียนมากกวา่ วา่ จะไดเ้ รียนร้อู ะไร และให้ความสาคัญกบั การ ตอบผดิ /ถูก ผู้เรยี นทเ่ี รียนเพอื่ รจู้ ะกระตอื รือรน้ ตอ่ ความทา้ ทายใหม่ๆ โจทยป์ ญั หาใหมๆ่ เพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามรใู้ หม่ๆ มากกวา่ คาตอบตายตัวทม่ี ีอยู่แลว้ แต่ “การเรยี นเพ่ือรู้” หรือ “การเรียนเพื่อคะแนน” ไม่ใชล่ กั ษณะคงทีใ่ นตัว ผูเ้ รยี น แปรเปล่ียนไปตามความสนใจของผเู้ รยี นต่อศาสตรน์ ้ันๆ และเนือ้ หาสาระของศาสตรน์ นั้ ดว้ ย สังคมภายนอกกระตุน้ สรา้ งแรงจูงใจได้ด้วยเช่นกัน เมือ่ สังคมเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดก้ ระทาบางสงิ่ บางอยา่ งเพอื่ ผู้อน่ื ได้ เปน็ การสร้างแรงจูงใจท่ีใหผ้ ลดี การนาความรทู้ ่ีไดจ้ ากการเรียนไปทาประโยชนใ์ ห้ผอู้ ื่นใน สังคม โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในชุมชนท่ีอยู่ของผู้เรียนเองได้ ช่วยสรา้ งแรงจงู ใจในการสนใจเรียนได้มากขึ้น(สลา สามิภักด.ิ์ 2563. หนา้ 65-78)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 182 3.การเช่ือมโยงประสบการณก์ ับการเรียนรู้ กลไกการเรยี นรขู้ องมนุษย์ หมายถึง กระบวนการเรียนรแู้ ละการถา่ ยโอนความรขู้ องบคุ คลหนึ่งจาก สถานการณ์เดมิ ไปสสู่ ถานการณใ์ หม่ โดยกระบวนการเรียนรู้จะถกู อธิบายควบค่ไู ปกบั พฒั นาการ และการ ทางานของจิตและสมองในชว่ งวยั ตา่ งๆ และยังถกู อธิบายผา่ นครู ด้วยความเขา้ ใจในหลักการและธรรมชาติ ของการเรยี นรู้ของผู้เรยี นว่า การทาความเข้าใจเน้อื หาใหม่อาศัยเวลา เวลาของการเช่ือมโยงเน้ือหาใหม่กบั ความรู้เดิมทม่ี อี ยู่กอ่ นแล้ว(สลา สามภิ กั ด.ิ์ 2563. หน้า(9)) การเรียนรู้ หมายถงึ กระบวนการถา่ ยโอนการเรยี นรจู้ ากประสบการณ์ก่อนหนา้ การเรยี นรู้ความรู้ ใหม่ ศาสตรใ์ หม่ วชิ าใหมว่ างบนฐานความรทู้ ผ่ี เู้ รยี นนาติดตวั เข้ามาในช้นั เรยี น การเรียนรูม้ าจากการนาสง่ิ ที่รู้ แล้วมาสร้างความเข้าใจใหม่ เมือ่ ผ้เู รยี นสามารถนาความร้ทู เี่ รียนมาไปประยกุ ต์ใช้กับสงิ่ อนื่ ได้ นัน่ หมายความว่า ผู้เรยี นถา่ ยโอนการเรียนรไู้ ดส้ าเรจ็ และใชป้ ระเมนิ ความสามารถการเรียนรู้ หลกั การพืน้ ฐานนมี้ นี ัยต่อการเรียน การสอน 3 มิตินี้ ได้แก่ 1.ผูเ้ รยี นอาจมคี วามรูท้ เ่ี ขา้ กนั ไดก้ ับสถานการณก์ ารเรียนรทู้ ย่ี งั ไมถ่ ูกนามาใช้ 2.ผเู้ รยี นอาจทาความเขา้ ใจ ตคี วามสงิ่ ใหมท่ เ่ี รยี นผดิ เบี่ยงเบน คลาดเคลื่อน ไม่ตรงประเดน็ ได้เพราะ ความรูเ้ ดิมทม่ี อี ยู่ ผดิ เบยี่ งเบน คลาดเคล่อื นก่อนแล้ว 3.ผ้เู รยี นอาจมปี ญั หากบั การเรยี นรบู้ างแบบ บางกลยุทธของโรงเรียนทต่ี า่ งไปจากทผี่ ๔เรียนเคยปฏบิ ตั ิ กระทามากอ่ น 1.ผูเ้ รยี นอาจมคี วามรทู้ ีเ่ ข้ากนั ไดก้ ับสถานการณก์ ารเรียนรู้ทยี่ ังไม่ถกู นามาใช้ ความรเู้ ดมิ ทมี่ อี ยู่ สามารถามาใช้เป็นฐานในการทาความเข้าใจความร้ใู หม่ สืบเน่ืองตอ่ ไปไดค้ วามรู้ ใหม่ตอ่ ยอดจากความรเู้ ดมิ เกดิ การถ่ายโอนการเรียนรสู้ สู่ ถานการณ์ใหม่ ความรเู้ ดิมเปน็ ตน้ ทางของการถ่าย โอนการเรียนรู้ เดก็ เลก็ เม่ือเข้าเรยี นในโรงเรียน เด็กเลก็ เหล่าน้ีมีความรู้ต้นทางเก่ียวกับการบวก ลบ จานวน ง่ายๆมาบา้ งแล้วในชวี ิตประจาวัน การเพิ่มขน้ึ ของจานวนของเล่น หรือการลดลง หายไปของจานวนของเล่น การเพมิ่ ขนึ้ ลดลงของจานวนสงิ่ ของต่างๆ รอบตัวเหล่านี้ คอื พืน้ ฐานของการเรียนคณิตศาสตร์ในชน้ั เรยี นท่ี โรงเรยี นตอ่ ไป เพยี งแต่ยงั ไมเ่ ขา้ ใจสญั ลกั ษณท์ างคณิตศาสตรเ์ ท่านน้ั ความร้พู น้ื ฐานทางคณิตศาสตรข์ องเดก็ เล็กเหลา่ นี้ก่อนเข้าเรยี นในโรงเรยี น นามาใชเ้ ป็นต้นทางการถ่ายโอนการเรียนรคู้ ณติ ศาสตรท์ ่ีใช้สัญลักษณท์ าง คณิตศาสตรเ์ พม่ิ เตมิ ต่อยอดจากการใชน้ ว้ิ มือนับจานวนท่ีมอี ย่วู า่ มีอยูเ่ ท่าไร เพมิ่ ข้ึนเท่าไร ลดลงเทา่ ไร ผู้สอน รู้จกั ดงึ ความรูท้ มี่ อี ยเู่ ดมิ มาใช้เปน็ ฐานในการบวก ลบเลขทเี่ พิม่ เตมิ สญั ลกั ษณท์ างคณิตศาสตรเ์ ขา้ ไป เดก็ เล็ก สามารถถ่ายโอนการเรียนร้สู สู่ ถานการณใ์ หมท่ มี่ ีสญั ลักษณท์ างคณติ ศาสตร์เข้ามาร่วมด้วยได้อย่างเป็นอันหนงึ่ อนั เดียวกนั ครบถว้ น และสมบรู ณข์ ้ึน การชี้ชัดเฉพาะเจาะจงของครู ช่วยผเู้ รยี นเชอ่ื มโยงความรใู้ น ชีวิตประจาวนั เขา้ กบั วชิ าท่ีเรียนในห้องเรยี นได้ 2.ผู้เรยี นอาจทาความเขา้ ใจ ตคี วามความร้ทู เี่ รยี นใหม่ผิด เบ่ยี งเบน คลาดเคล่ือน ไมต่ รงประเด็นได้ เพราะความรู้เดมิ ท่มี ีอยู่ ผดิ เบ่ียงเบน คลาดเคลือ่ นก่อนแลว้ การเรยี นรเู้ ป็นเรอ่ื งการถา่ ยโอนประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ความรทู้ มี่ อี ยเู่ ดมิ จงึ ทาใหก้ ารเรยี นร้ขู อ้ มลู ใหมย่ ากข้นึ หรอื งา่ ยขึ้นไดต้ า่ งกนั ไปตามตน้ ทางจากความรู้ทีม่ ีอยเู่ ดมิ ความไม่เขา้ ใจขอ้ มลู ใหม่ช่วยผู้เรยี นได้ ตระหนกั รูว้ า่ การเรยี นวชิ านีม้ ปี ญั หาแลว้ แตถ่ า้ ผูเ้ รยี นเข้าใจข้อมลู ใหมผ่ ดิ คลาดเคล่ือน เบ่ยี งเบนออกไปในระ หว่าการเช่ือมโยงความรเู้ ดิมกบั ขอ้ มลู ใหม่เขา้ ดว้ ยกนั ผูเ้ รียนจะไม่ตระหนักรู้ไดเ้ ลยวา่ ตนเองไมเ่ ข้าใจสิ่งทเี่ รยี น การตีความขอ้ มูลใหมข่ องผเู้ รยี นต่างไปจากวตั ถปุ ระสงค์ทต่ี งั้ ไว้นั่นเอง ตรงนีเ้ รยี กวา่ การเข้าใจการเปล่ียนแปลง มโนทศั น์ เพอ่ื ป้องกันการเขา้ ใจคลาดเคลอ่ื นของผ้เู รียน ผู้สอนต้องออกแบบการเรียนรทู้ ที่ าใหก้ ารเชื่อมโยง ความรู้เดิมกบั ข้อมลู ใหมป่ รากฏออกมา

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 183 3.ผ้เู รยี นอาจมีปญั หากบั การเรียนรู้บางแบบ บางกลยทุ ธของโรงเรยี นท่ตี ่างไปจากทผี่ ้เู รียนเคย ปฏิบตั มิ าก่อน ความรูท้ ีมีอยเู่ ดิมของผูเ้ รยี น ไมใ่ ช่ความรเู้ ฉพาะตัว คงท่ี หรือไม่เก่ยี วข้อง สมั พันธ์กับสิง่ ใด แตม่ ที มี่ า จากประสบการณพ์ ิเศษเฉพาะทางวฒั นธรรมหน่งึ ของผเู้ รยี นติดตวั เข้ามาในหอ้ งเรยี นดว้ ย ความรทู้ ี่มีอยู่เดิม นอกจากประสบการณ์ความรทู้ วั่ ไป ทีไ่ ดต้ ดิ ตัวมาในระหวา่ งขั้นตอนของพฒั นาการตามชว่ งวัยแลว้ ยงั หมาย รวมถึงความรปู้ ระเภทต่างๆ ทผี่ เู้ รียนไดม้ าจากสถานภาพ บทบาท หน้าที่ทางสงั คม วัฒนธรรมของสงั คมชุมชน ท่ีผ้เู รียนเตบิ โตมา เชน่ ความรูเ้ กย่ี วกับเชื้อชาติ ชนช้นั ประเพณี วฒั นธรรมทางสงั คมของผเู้ รยี น วฒั นธรรมทต่ี ดิ ตวั ผู้เรยี นนต้ี ิดตามเข้ามาในหอ้ งเรยี นด้วย บางวฒั นธรรมของผูเ้ รียนสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ บางวฒั นธรรมของ ผู้เรียนขัดต่อการเรียนรู้ในห้องเรยี น การปฏบิ ัตทิ างวัฒนธรรม กบั การถ่ายโอนการเรยี นรู้ ถ้าเกดิ ความไม่สอดคลอ้ งกนั ระหว่างวฒั นธรรมที่ ติดตัวมาของผเู้ รียนกบั วัฒนธรรมการเรยี นรู้ในหอ้ งเรียน อาจสง่ ผลต่อการเรียนรู้ได้ทง้ั ทางส่งเสรมิ หรอื ขดั ขวาง การเรียนรูค้ วามรู้ใหม่ และไมเ่ กิดการถ่ายโอนการเรียนรู้ ดังน้ันเมอื่ ผสู้ อนศกึ ษาวฒั นธรรมที่ติดตัวมากบั ผเู้ รยี น และเชื่อมโยงเข้าสู่ความร้ใู หมๆ่ ได้ ผเู้ รียนจะทาความเขา้ ใจ เรียนรคู้ วามร้ใู หม่ ศาสตรใ์ หม่ตอ่ ไปได้ ปฏสิ มั พนั ธใ์ นวัยเยาวข์ องผู้เรียนกับบคุ คลรอบตวั ตั้งแต่ภายในครอบครวั พ่อแม่ พน่ี ้อง เครอื ญาติ เพ่ือนทุกคนรอบบา้ น เพ่ือนทกุ คนในห้องเรยี น เพือ่ นทุกชว่ งวัย สภาพแวดลอ้ มในชุมชน ปฏสิ ัมพันธ์เหลา่ นี้ สรา้ งความหมายทม่ี ากบั ความรู้ทางวฒั นธรรมมีความสาคญั ตอ่ การถ่ายโอนการเรยี นร้ใู หไ้ ดผ้ ลดี และไดผ้ ล คลาดเคลอ่ื น เบี่ยงเบนออกไปจากเปา้ หมายท่ีวางไว้ได้ ผสู้ อนทาความเข้าใจกบั ภมู หิ ลังทางวฒั นธรรมของ ผูเ้ รยี น นาภมู ิหลงั ทางวัฒนธรรมนีม้ าใชเ้ ป็นฐานการถ่ายโอนการเรียนรูต้ ามภมู หิ ลงั ทางวัฒนธรรมทีต่ ิดตัวมา เพ่อื พฒั นาการถ่ายโอนการเรยี นรตู้ ่อไป การถา่ ยโอนการเรียนร้จู ากชวี ิตประจาวนั สู่โรงเรียน การเรยี นรกู้ าหนดเปา้ หมายสงู สุดไวท้ ี่ การเข้าถึงข้อมูลเพือ่ เปา้ หมายการเรยี นรูต้ ่อไปทก่ี ว้างขวาง ขยายออกไปมากข้นึ การเรยี นรจู้ ะถกู ถ่ายโอนไปสสู่ ถานการณ์อื่นดว้ ยวธิ ีใดวธิ หี นงึ่ เป้าหมายหลกั ของการมา เรียนในโรงเรยี นใหผ้ เู้ รียนสามารถถา่ ยโอนการเรยี นรู้ จากโรงเรียนสกู่ ารนาความรู้จากโรงเรยี นไปใชใ้ น ชวี ิตประจาวนั ของผู้เรียน ได้แก่ บา้ น ชุมชน และที่ทางาน การถา่ ยโอนการเรียนรู้ขึ้นกบั ความคลา้ ยคลงึ ระหว่างภารกิจทจ่ี ะถ่ายโอนการเรยี นรไู้ ปใช้ กับประสบการณ์การเรยี นรู้ กลยทุ ธสาคญั ใช้เสรมิ การถ่ายโอนการ เรยี นรจู้ ากโรงเรยี นไปสสู่ ภาพแวดล้อมอืน่ ๆ ของผเู้ รียนไดส้ าเร็จคอื ผสู้ อนทาความเขา้ ใจสภาพแวดลอ้ มนอก โรงเรยี นทผ่ี เู้ รียนใช้ชีวิตอยู่ และสภาพแวดล้อมของผเู้ รยี นในสงั คมชุมชนท่ีผเู้ รยี นอยเู่ ปลย่ี นแปลงรวดเรว็ ตลอดเวลา ต่อเน่อื งกนั ไปไมส่ ิน้ สุด การพัฒนาความเช่ียวชาญให้ผูเ้ รยี นสามารถปรบั เปลีย่ นการถ่ายโอนการ เรยี นรู้ใหส้ อดคลอ้ งกบั การเปลย่ี นแปลงไปของสภาพแวดล้อมของผเู้ รยี น จึงเปน็ เร่ืองสาคญั ความแตกตา่ งระหวา่ งสภาพแวดลอ้ มในโรงเรยี นกบั ในชีวติ ประจาวันจรงิ ๆของผู้เรียน ประการท่ีหนง่ึ : โรงเรียนใหค้ วามสาคญั กบั ช้นิ งานทท่ี าในห้องเรียนมากกวา่ สภาพแวดลอ้ มอ่นื นอกหอ้ งเรยี น ประการทส่ี อง: เครอื่ งมือการแก้ปญั หาต่างกัน ในหอ้ งเรยี นแกป้ ญั หา “ดว้ ยการใชห้ ัวคดิ ” ในชีวติ ประจาวันจริงๆของผเู้ รยี นใน บ้าน ในสังคมชมุ ชนที่อยู่ แก้ปญั หา “ดว้ ยเคร่ืองมืออปุ กรณ์” การแกป้ ญั หาจรงิ ๆ ของชีวติ ด้วยเครื่องมอื อปุ กรณ์ จรงิ ชว่ ยการทางานได้ผลสาเร็จมากกว่า เทคโนโลยีใหมๆ่ ชว่ ยผู้เรยี นสามารถใช้เครือ่ งมอื ตา่ งๆ ในการแกป้ ญั หา ได้ใกลเ้ คยี งกบั ชีวติ จรงิ มากขนึ้ ความชานาญในการใช้เครือ่ งมอื แกป้ ัญหาทเ่ี กีย่ วขอ้ ง อาจเปน็ อกี วิธีหน่ึงใช้ช่วย การถา่ ยโอนข้ามศาสตรไ์ ดผ้ ลดีขึ้น ความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมในโรงเรียนกับในชีวติ ประจาวนั จรงิ ๆของผ้เู รยี น ประการทสี่ าม: โรงเรยี นมกั เนน้ แกป้ ัญหาด้วยการคิดเชงิ นามธรรม ในชีวิตประจาวนั คดิ แกป้ ญั หาตามบริบททอ่ี าศัยอยู่ ผสู้ อน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook