Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

Published by วิทย บริการ, 2022-07-02 02:20:56

Description: กันต์กนิษฐ ธนัชพรพงศ์

Search

Read the Text Version

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 37 ระยะที่ 1 อายรุ ะหว่าง 2 – 3 ขวบ ยังยึดตัวเองเปน็ หลกั ไม่รจู้ ักคิดแบบใจเขาใจ เรา ไมส่ ามารถคิดไดว้ ่าคนอน่ื มีความคิดแตกต่างไปจากตนอยา่ งไร คิดเหน็ แต่ด้านท่ี เหมอื นกนั ยงั ไม่เหน็ ส่วนทต่ี า่ งกันในวัตถหุ รือเหตกุ ารณ์ เชน่ เดก็ ชนบท ได้ยนิ ผู้ใหญ่บอกวา่ นั่นแนะ่ นายอาเภอ ต่อมาเด็กเหน็ คนใสเ่ ส้ือกางเกงสกี ากี กค็ ดิ วา่ เป็นนายอาเภอทุกคน ะยะที่ 2 อายรุ ะหว่าง 4 – 5 ขวบ เด็กรู้จักสงั เกตเห็นความแตกต่าง ทาให้ความคิด พฒั นาถงึ ขั้นรคู้ ดิ เปรยี บเทยี บ คดิ แยกวตั ถุออกเปน็ หมวดหมขู่ นั้ ตอนได้ (Classification or Categorization) รู้จักคิดเชือ่ มโยงความสมั พันธ์ (Associative thinking) ระหว่างสิ่งต่างๆ ได(้ ณฐั ภร อนิ ทยุ ศ.2556.หน้า 117-119) 6.4.วัยเดก็ ตอนกลาง หรอื วัยเขา้ เรยี น (School Age) วัยนีอ้ ายปุ ระมาณ 6-9 ปี สงั คมกว้างขน้ึ จากการออกจากบ้านไปโรงเรยี น เจอเพือ่ นร่วมชัน้ เรียน ครู เจอสง่ิ แวดลอ้ มใหมๆ่ ท่ีโรงเรียน เจอกฎกติกาต่างไปจากเดิมโดยส้ินเชงิ แบบเต็มรปู แบบ พฒั นาการดา้ น สงั คมเด่นชัดมากกว่าดา้ นอนื่ ๆ ดังน้ี 6.4.1 พัฒนาการทางกาย (Physical Development) ระบบการทางานของร่างกายท้งั ระบบทางานไดด้ ขี ้ึน เต็มที่มากข้นึ กระดูกและกล้ามเนอื้ แข็งแรงมากขึน้ เดก็ มพี ลงั งานมาก ว่งิ กระโดด สนุกสนานกบั กจิ กรรมทั้งวัน ให้ความสาคญั กบั การเล่น และ กิจกรรมมากจนละเลยเรอ่ื งการรบั ประทานอาหาร มผี ลใหก้ ารเจรญิ เติบโตทางร่างกายลดลงบา้ งเลก็ นอ้ ยทง้ั นา้ หนกั และส่วนสงู การเปลี่ยนแปลงทางรา่ งกายส่วนใหญ่จะเปน็ การเปลย่ี นแปลงทางสดั ส่วน เนื่องจากเดก็ วยั น้ีสนใจกจิ กรรม การเลน่ มากมายแบบคกึ คัก ขาดความระมดั ระวงั โอกาสเกิดอบุ ตั ิเหตจุ งึ มสี งู ตามมาเชน่ กัน 6.4.2 พฒั นาการทางอารมณ์ (Emotional Development) จากพัฒนาการทางร่างกายที่เติบโตข้นึ การละเลน่ และกจิ กรรมมากมายกบั เพ่ือนๆ ตามวยั น้ัน ดังนั้นอารมณ์ทเี่ ดน่ ชดั ได้แก่ แจม่ ใส เบกิ บาน ครื้นเครงกบั กจิ กรรม วยั น้ีตอ้ งการการยอมรับ และเปน็ ทช่ี ื่น ชม ของเพ่อื นๆ และผู้ใหญ่ พฤตกิ รรมจึงปรากฎทกี่ ารแสดงออกของจิตอาสา ชว่ ยเหลอื ผู้ใหญ่ ชอบคาชม มากกวา่ มีอารมณอ์ อ่ นไหวงา่ ยต่อการติเตยี นและเยาะเย้ย พฤติกรรมบางอยา่ งอาจเกดิ ขนึ้ ได้เช่น คุยโม้ โอ้อวด อยา่ งไรกต็ ามเดก็ ยงั สามารถควบคมุ อารมณ์ได้ และเหน็ อกเห็นใจผอู้ ่นื 6.4.3 พฒั นาการทางสังคม (Soical Development) พัฒนาการทางสงั คมเป็นลกั ษณะเดน่ ของวัยนี้ เดก็ สว่ นมากชอบทากิจกรรมร่วมกัน เลน่ ดว้ ยกันเป็นกลุม่ จนเรียกไดว้ ่าเป็น “วัยแก๊ง (gang age)” สมาชกิ กลมุ่ มักเปน็ เพศเดยี วกัน อายุใกล้เคยี งกนั ไล่เล่ียกันไป การเข้ากลมุ่ ส่งเสริมพฒั นาการทกุ ด้านของเด็กในกลุ่มไดใ้ นเวลาเดยี วกนั ชอบประจบ เอาใจผู้ใหญ่ มีความเข้าใจและยอมรบั กฎเกณฑ์สงั คม ปฏิบตั ิตามระเบียบวนิ ยั ของสังคม วัยน้ีมสี ัมพันธภาพท่ีดีกบั บุคคลรอบ ขา้ ง และเปน็ ช่วงเวลาทีด่ ขี องวัยในการฝกึ ปฏบิ ัติ ระเบยี บวินัยในการอยรู่ ่วมกันในสงั คม 6.4.4 พัฒนาการทางความคดิ สติปัญญา (Intellectual Development) วัยนีก้ ระบวนการคดิ ข้นึ อยู่กบั การรับรตู้ ามทีเ่ หน็ ชอบพดู มากกวา่ เขยี นท่เี รยี กว่า ชา่ งพดู ช่าง คุย ความสามารถในการอา่ นเขยี นดขี ึ้น กระตอื รอื รน้ สนใจส่งิ แวดลอ้ มรอบตัวกว้างขวางออกไปจาดกเดมิ เชน่ กฬี า ดนตรี ศลิ ปะ ชอบอ่าน ดูเร่ืองเกย่ี วกบั สตั ว์ เดก็ การผจญภยั รู้จกั เวลาดขี นึ้ ว่าเวลาใดต้องทาอะไร รเู้ วลา นอน เวลาตน่ื เวลารับประทานอาหาร มีการเตือนกนั บ้างเล็กน้อย รจู้ ักการสะสมของเลน่ เรยี นร้กู ารเกบ็ ของ เล่นของตนเอง (ณฐั ภร อนิ ทยุ ศ.2556.หน้า 120)

38 6.5วัยเดก็ ตอนปลาย หรือ วัยแรกรนุ่ (Late Childhood) ระยะวัยเด็กตอนปลายประมาณอายุ ตง้ั แต่ 6 ขวบ จนถงึ 11 – 12 ขวบ วัยน้ีคาบเกย่ี วระหวา่ งวัยเดก็ กับวัยรุ่น บางคร้งั เรยี กวา่ วัยแรกรนุ่ เป็นชว่ ง ที่มีการเปลีย่ นแปลงทางร่างกายทกุ ระบบ ทาใหห้ มกม่นุ และกงั วลเก่ยี วกบั การเปล่ยี นแปลงทางดา้ นร่างกาย ของตนเองมาก ถอื วา่ เป็นวัยเปลีย่ นชีวติ ทางสังคม จากสงั คมในบา้ นไปสสู่ ังคมนอกบา้ น 6.5.1 พฒั นาการทางสงั คม วัยเด็กตอนปลายมลี กั ษณะพฒั นาการทางสงั คมทเี่ ดน่ ชัดคอื เด็กเรมิ่ ออกจากบา้ น ไปสหู่ นว่ ย สงั คมอื่น จดุ ศนู ยก์ ลางสงั คมของเด็กคอื โรงเรียน เด็กจะเรยี นรบู้ ทบาทใหม่คอื การเปน็ สมาชกิ ของกล่มุ เพื่อน รุ่นราวคราวเดยี วกัน เพอื่ นหรอื กลมุ่ จะมอี ทิ ธพิ ลมากกบั เดก็ วยั น้ี เด็กมีโลกใหม่อกี โลกหนง่ึ คอื โลกเพอ่ื นร่วมวยั มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง (The World of Peer) ที่สนิทสนมกันมาก สัมพันธภาพกับเพ่ือนในกลมุ่ จะสอนชวี ิตกลุ่ม การอยรู่ ่วมกบั ผอู้ น่ื เดก็ จะไดร้ ับการเรยี นรรู้ ะเบยี บกฎเกณฑ์ ความประพฤตทิ ่ตี ้องปฏบิ ัตใิ นสงั คม บทบาทตา่ งๆ ทม่ี นษุ ยต์ ้อง กระทาในการอยรู่ ว่ มกับเปน็ หมู่คณะ เชน่ ทาตัวอยา่ งไรจงึ จะเข้ากบั เพอ่ื นได้ เมอ่ื เด็กเรมิ่ ออกจากบ้านมาสู่โรงเรียน เด็กรูส้ กึ วา้ เหว่ ขาดทพ่ี งึ่ ทางความคิดและอารมณ์ ตอน แรกจะยงั คงสร้างสมั พนั ธภาพกบั ครแู ละผใู้ หญน่ อกบ้านทจี่ ะตอ้ งมคี วามสมั พนั ธก์ ับเขา แต่ต่อมาเดก็ เริม่ ตตี วั จากเพราะพบว่าการรวมกลุ่มกบั เพอื่ นร่วมวัยหลายๆ คน ให้ความร้สู กึ อบอ่นุ ใจ สนุกสนาน มคี วามเข้าอก เขา้ ใจ และความเปน็ เจา้ ของซงึ่ กนั และกนั ได้ยัง่ ยืนกว่า แนน่ แฟน้ กวา่ ถ้าเดก็ สามารถแสวงหากลมุ่ เช่นน้ไี ด้ เด็กจะเหน็ ความสาคญั ของสังคมในบ้านและผู้ใหญน่ อกบ้านนอ้ ยลง กลุ่มเร่ิมมอี ทิ ธิพลตอ่ เดก็ ในด้านอารมณ์ ความนกึ คดิ ทัศนคติ ความม่งุ หวัง ความปรารถนา การประพฤตติ นตามบทบาททางเพศ ค่านิยม อะไร เหมาะ ดี ควร ไม่ควร ฯลฯ ช่วงนเี้ ด็กชาย และเด็กหญิงมีความสนใจต่างกนั ชัดเจน เดก็ ชายชอบเลน่ วิง่ แขง่ โลดโผน ผจญภัย ใช้เครือ่ งยนต์กลไก เดก็ หญิงชอบกิจกรรมสวยงาม นา่ รกั การตัดเยบ็ การทาอาหาร การเล่น และการทากจิ กรรมของเดก็ ชายและเดก็ หญงิ แยกจากกนั สาหรบั เดก็ หญิงบางคนรา่ งกายเจรญิ เติบโต แสดงออกถงึ คุณลักษณะทางเพศออกมาใหป้ รากฎอาจมปี ญั หากับเพศตรงข้ามได้ ทง้ั เดก็ ชายและเดก็ หญงิ ตา่ ง ใหค้ วามสาคัญกบั การเป็นท่ีรจู้ กั ในกลุ่มเพศตรงขา้ ม ถ้าบรรดาสิง่ ที่มอี ทิ ธพิ ลตอ่ เดก็ มีลักษณะใกลเ้ คียงกนั กับลกั ษณะท่ีเดก็ ไดร้ ับการอบรมจากทาง บา้ น ความขดั แย้งระหวา่ งเดก็ กบั บดิ ามารดาจะมีไมม่ ากนกั ถ้าไม่มีลกั ษณะใกลเ้ คียงกนั กบั ผปู้ กครอบเดก็ จะ ร้สู กึ วา่ มคี วามขดั แยง้ ระหว่างตนกบั ผูป้ กครองสงู การรวมกลมุ่ ของเด็กกอ่ ใหเ้ กดิ การสร้างลกั ษณะนสิ ยั แขง่ ขัน (Competition) และนิสยั ร่วมมอื (Cooperative) ซ่ึงจะติดตัวสบื ไปภายภาคหน้า เดก็ ชายมีนสิ ยั ชอบแข่งขนั มากกว่าเด็กหญงิ สว่ นเด็กหญงิ ให้ ความรว่ มมอื และออมชอมกันมากกว่าเด็กชาย นอกจากนก้ี ารร่วมกลมุ่ ยังทาใหเ้ ดก็ ไดร้ บั การตอบสนองความ ต้องการทางสังคมขน้ั พนื้ ฐาน (Basic Social Needs) เชน่ การได้รบั การยกยอ่ ง การได้เป็นบคุ คลสาคญั การ ไดร้ บั ฐานะและตาแหนง่ ความรู้สกึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของหมคู่ ณะ กลมุ่ มีความสาคัญตอ่ พฒั นาการด้านตา่ งๆ ของเดก็ ในวัยน้ี ดงั น้ันการสนบั สนุนใหเ้ ดก็ ไดเ้ ข้ากลมุ่ ทเ่ี หมาะสมกบั สภาพของตัว จงึ เปน็ สง่ิ ทพ่ี งึ กระทา มิฉะน้นั แลว้ เด็กอาจไม่มีพฒั นาการสมวัย อาจสญู เสีย ประสบการณห์ ลายๆ อย่างในชวี ิตทีเ่ ดก็ พงึ ควรไดร้ ับไปอยา่ งน่าเสยี ดาย ผปู้ กครองนอกจากจะต้องสนบั สนนุ เขาแลว้ ยงั ควรแนะนาชว่ ยเหลอื ใหโ้ อกาสสรา้ งกลุม่ ทเ่ี ป็นช่องทางใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรู้สงั คมภายนอกครอบครัว ด้วย เด็กที่ได้รบั การยอมรบั จากกลมุ่ จะมีความมน่ั คงทางจติ ใจ พัฒนาความเข้าใจตนเองไดถ้ กู ตอ้ งมากขน้ึ มี ความคิดทาประโยชน์ใหส้ งั คมมากขนึ้ และสามารถทางานของกลมุ่ ไดอ้ ย่างมีความรับผิดชอบ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 39 6.5.2 พฒั นาการทางอารมณ์ เด็กวยั นต้ี อบสนองไวต่อทัศนคตทิ ผ่ี อู้ ื่นมตี อ่ เขา ไม่ชอบการเปรยี บเทียบ กลัวความผดิ หวัง กลวั ถกู เยาะเยย้ กลัวการไมเ่ ป็นทย่ี อมรบั ของกลุม่ มีความกังวลใจเรอื่ งรูปรา่ งทเ่ี ปล่ยี นแปลงไปและสขุ ภาพ เดก็ ชายชอบกฬี ากลางแจง้ ภูมใิ จในตนเองและในความเปน็ ชาย ถ้าเดก็ ชายคนไหนไมเ่ ล่นกีฬากลางแจง้ จะถกู ล้อเลียนว่าเปน็ เด็กผู้หญงิ เนื่องจากเกดิ การเปลย่ี นแปลงทางรา่ งกายมาก ตวามต้องการของวยั นก้ี ม็ ากตาม เช่นกัน ไดแ้ ก่ ความต้องการความรัก ความอบอุน่ ตอ้ งการการบยอมรบั คายกยอ่ งชมเชยจากผู้ใหญ่ ตอ้ งการ กจิ กรรมและกฬี าท่ีชว่ ยพฒั นาทักษะสว่ นบคุ คล พฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ และความตอ้ งการที่เพม่ิ มากขน้ึ น้ี เองเกดิ ความคบั ข้องใจได้ บางคร้ังแสดงความก้าวร้าวออกมาบ้าง แต่ใช้คาพูดมากกวา่ การกระทา ในระยะนี้ เด็กรู้จักกลัวสงิ่ ทส่ี มเหตสุ มผลมากกวา่ วัยก่อน เพราะความสามารถในการใช้ เหตผุ ลของเด็กพฒั นาข้ึน มีความรสู้ กึ สงสารและเห็นอกเหน็ ใจ เขา้ ใจอารมณ์ความรสู้ กึ ของบคุ คลอ่นื รวมทงั้ สัตว์เลี้ยงด้วย สิง่ ท่ตี อ้ งพัฒนาในด้านอารมณข์ องเด็กในระยะนคี้ ือ การเขา้ ใจอารมณ์ของตนเอง อารมณข์ อง บุคคลอน่ื การรจู้ ักควบคมุ อามรณ์ และการรจู้ กั แสดงอารมณอ์ อกมาอยา่ งเหมาะสม พฒั นาการเหล่านีจ้ าเปน็ สาหรบั สุขภาพจิตท่ดี ขี องเด็ก ผทู้ มี่ ีหน้าท่ีดแู ลเดก็ จะต้องช่วยเหลือเดก็ ดงั น้ี 1)เปิดโอกาสให้เดก็ เข้ากลมุ่ กลุ่มจะบบี บงั คบั ใหเ้ ด็กเรยี นรู้ และปรบั ปรงุ การควบคมุ อารมณ์ และการแสดงออกของอารมณ์ในลักษณะทส่ี งั คมยอมรบั 2)ใหไ้ ด้เลน่ ออกกาลังกาย 3)ให้มีกจิ กรรมสร้างสรรค์ต่างๆ เช่น ปั้นรปู วาดรูป เขียนเร่อื ง ฯลฯ 6.5.3 พัฒนาการทางกาย พัฒนาการของเด็กวัยน้ีเปน็ แบบค่อยเปน็ คอ่ ยไป ชา้ ๆ แต่สมา่ เสมอ พฒั นาการทางกายไมม่ ี ลักษณะเดน่ พเิ ศษเหมือนระยะวยั ทารกตอนปลาย แตห่ ลังจากน้ไี ปจะเรมิ่ เขา้ สรู่ ะยะการแตกเนือ้ หนมุ่ สาว ใน ระหวา่ งนเ้ี ปน็ ระยะท่ีเดก็ หญงิ โตเร็วกวา่ เด็กชายวยั เดียวกนั ในด้านความสงู และน้าหนกั ลกั ษณะเชน่ นีย้ งั คง ดารงต่อไปจนกระทงั่ ยา่ งเขา้ ส่รู ะยะวยั รุ่นตอนปลาย เดก็ ชายจะโตทันเดก็ หญิงและลา้ หนา้ เดก็ หญงิ แสดง ลกั ษณะทุตยิ ภูมทิ างเพศ(secondary sex characteristic)ออกมาตามเพศ เด็กหญงิ มกี ารเปลีย่ นแปลงทางด้าน ร่างกาย หน้าอกขยาย สะโพกผายออก มขี นขึ้นทีอ่ วยั วะเพศ เรมิ่ มปี ระจาเดอื น เดก็ ชายเรม่ิ เขา้ สู่วุฒภิ าวะทาง เพศ หรือเรม่ิ มีการหล่ังอสจุ เิ ป็นครั้งแรก ภาพโดยท่วั ไปของเดก็ วยั นท้ี ัง้ เดก็ ชาย และเด็กหญงิ มลี ักษณะเก้งก้าง งุ่มงา่ ม แขน ขา ยาวขน้ึ การจัดวางทา่ ทางไมล่ งรอยระหวา่ งการนงั่ ยนื เดิน เด็กในวยั นี้ไม่ชองอยู่นิง่ ชอบเลน่ และทากจิ กรรมตา่ งๆ ทีใ่ ช้ความรวดเรว็ เนือ่ งจากการทางานรว่ มกันของกล้ามเน้อื ใหญ่น้อยและประสาทสมั ผสั ดขี ึ้นมาก เด็กจงึ อาจเลน่ เกมส์ทซี่ บั ซอ้ นและกิจกรรมการเลน่ ชนดิ สรา้ งสรรค์ เช่น การอ่าน การเขียน การ วาดภาพ การปนั้ รูป การทาการฝมี ือ การแกะสลกั ฯลฯ 6.5.4 พฒั นาการทางความคดิ และสตปิ ญั ญา เดก็ วยั น้ีเขา้ ใจความหมายของคาพดู ไดถ้ ูกตอ้ งมากขนึ้ สามารถใหค้ าหมายของคาท่ีเป็น นามธรรมได้มากข้ึน สามารถมองเห็นความสัมพนั ธข์ องสงิ่ ตา่ งๆได้ สนใจสะสมสงิ่ ของทสี่ นใจ ชอบเล่นทาย ปญั หามากกว่า สามารถใชเ้ หตผุ ล พจิ ารณาแกไ้ ขปญั หาของตนเองด้วยตนเอง รจู้ ักคิดเอง สง่ิ ท่ีตอ้ งคานงึ ถงึ ก็คือ แมว้ า่ รา่ งกายจะมีการเปลยี่ นแปลงไปมากจากเดมิ แต่ก็อาจยังคงคิดและมคี วามสนใจแบบเดก็ ๆ อยบู่ า้ งในบาง คน ดังนั้นควรหลีกเลย่ี งการเปรยี บเทียบระหวา่ งเดก็ ดว้ ยกันเอง แตใ่ หพ้ จิ ารณาทก่ี ารเติบโตทางวุฒภิ าวะ มากกว่าวา่ สมควรตามวัยแล้วหรอื ยงั (ณัฐภร อินทยุ ศ.2556.หน้า 121-123) เดก็ วยั น้ีเข้าใจว่าวัตถแุ มเ้ ปล่ยี นแปลงรปู ลกั ษณะภายนอก กย็ ังคงสภาพเดิม (Conservative) ในบา้ งลกั ษณะเชน่ ปรมิ าณ นา้ หนัก และปริมาตร เดก็ ในวัยเด็กตอนตน้ (ประมาณ 5-6 ขวบ) อาจพอเข้าใจ

40 ได้ 2 ลักษณะคือ ปรมิ าณและนา้ หนกั สว่ นความเข้าใจการทรงสภาพเดิมของปรมิ าตร ค่อนข้างยากและเปน็ ลักษณะนามธรรมมากเกินไป โดยเฉล่ียเด็กต้องอายุถึง 7 ขวบ จึงจะสามารถเข้าใจเรอื่ งน้ี วธิ ีทดสอบวา่ เดก็ เข้าใจเร่อื งนหี้ รอื ยงั นน้ั เขาใชด้ ินนา้ มนั ก้อนกลมเท่ากัน 2 ก้อน กบั ถว้ ยแก้วเท่ากนั 2 ใบ ใสน่ ้าปรมิ าณเท่ากนั เอาดนิ น้ามนั ใส่ในแก้วนา้ ถามเด็กวา่ ปรมิ าณนา้ ในถว้ ยทง้ั สองมรี ะดบั เท่ากนั หรือไม่ เมอ่ื เด็กตอบว่าเทา่ กนั แล้ว เอาดนิ น้ามนั ออกจากถ้วยแกว้ ใบหนง่ึ เด็กชา่ งสงั เกตย่อมมองเหน็ ว่าระดบั น้าเปล่ยี นแปลงไป นาดินนา้ มันที่ เอาออกจากถ้วยแกว้ มาปน้ั เปน็ แทง่ ยาว แลว้ ใส่กลบั ลงไปในถว้ ยแกว้ เดมิ ถ้าเด็กวา่ ระดับนา้ ในถว้ ยแก้วท่ใี ส่ดิน นา้ มันรูปแทง่ ยาว จะเทา่ กบั ระดับนา้ ในถ้วยแกว้ ใส่ดินนา้ มนั ก้อนกลมหรอื ไม่ ถ้าเด็กคนใดสามารถตอบได้ว่า เท่ากนั แสดงวา่ เดก็ คนนัน้ ได้พฒั นาความคดิ ความเข้าใจเร่อื งการทรงสภาพเดิมของปรมิ าตรแลว้ (ในทน่ี คี้ ือ ปริมาตรของดินน้ามัน) 7. ขน้ั ของพฒั นาการ (Stages of Development) นักจติ วิทยาหลายทา่ นไดศ้ ึกษาลาดบั ขน้ั ในการพฒั นาการของมนษุ ย์ โดยทแ่ี ต่ละทา่ นจะให้ความ สนใจพฒั นาการในดา้ นต่างๆ ของมนุษย์ สว่ นนอ้ี ธิบายพฒั นาการของมนษุ ยใ์ นมิตสิ าคญั ๆ เปน็ พ้ืนฐานการ พัฒนาของมนษุ ยส์ บื เนื่องไป เรมิ่ ต้ังแต่เกดิ จนเป็นเด็ก วัยรุ่น และวัยสงู อายุ นาทฤษฎที กี่ ลา่ วถงึ ขั้นของ พฒั นาการของมนุษยท์ ส่ี าคัญๆ มีดังนี้ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 7.1 ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ซิกมนั ด์ ฟรอยด์ ( Sigmund Freud) Freudian Theory เปน็ แพทยท์ ี่ใหค้ วามสนใจด้านจิตใจมนษุ ย์ จนไดซ้ อ่ื ว่าเป็นบดิ าแหง่ จิตวเิ คราะห์ (Psychoanalysis) แนวความคดิ ของฟรอยด์มอี ิทธพิ ลตอ่ การศึกษา พฒั นาการชีวติ มนษุ ย์มากในสหรฐั อเมรกิ า (ระหวา่ งปี ค.ศ 1920 ถึง 1950 ) ทฤษฎพี ัฒนาการชวี ติ ของ ฟรอยดเ์ นน้ ใหเ้ ห็นความสาคัญดา้ นแรงผลกั ดันทางเพศในวยั เดก็ ท่พี ฒั นาตามวัยต่อๆ ไป แรงผลกั ชนดิ นีม้ ีชอ่ื เฉพาะว่า ลิบิโด(Libido) เปน็ พลงั จติ สาคญั ในการผลกั ดัน และการกาหนดทศิ ทางให้คนเราแสดงกรยิ าอาการ ตา่ งๆ โครงสร้างบุคลกิ ภาพขึน้ กบั พัฒนาการทางจิตและเพศในระยะ 5 ปแี รกของชวี ติ ไดม้ ีการเปรียบเทยี บวา่ ลิบโิ ดเปรียบเหมอื นเชื้อเพลงิ ในหอ้ งเครอื่ งยนต์ทเ่ี ผาไหมเ้ พอ่ื ให้รถยนต์วงิ่ ได้ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์น้ีเป็นเพียง จุดเรมิ่ ต้นแรกในการอธบิ ายพฤติกรรม หรอื บุคลกิ ภาพของบุคคล ตอ่ มาการอธบิ ายพฤติกรรมหรอื บุคลกิ ภาพ ของบุคคล มีกลมุ่ ทฤษฎีทางสังคมอธบิ ายถึงสภาพแวดลอ้ มทางสงั คมและวัฒนธรรมทีเ่ ด็กเตบิ โตมาใน ครอบครวั ในชมุ ชนหนึ่งมีอิทธิพลต่อพฤตอกรรมได้เช่นกนั ทฤษฎจี ติ วเิ คราะหข์ องฟรอยด์ แบ่งข้นั พฒั นาการ ชวี ิตมนุษยด์ ังน้ี Genital Phallic Anal Oral Latency Puberty and adulthood ภาพแสดงขั้นพัฒนาการชีวิตมนษุ ย์ตามแนวคิดของฟรอยด์

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 41 พัฒนาการของบคุ ลกิ ภาพ (Personality Development) ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ อธิบายวา่ รา่ งกายมนุษย์มีความออ่ นไหวต่อแรงกระตุ้นทางเพศ โดยเฉพาะบรเิ วณ ปาก ทวารหนกั และอวยั วะเพศ มนุษย์หาทางตอบสนองความพงึ พอใจตามสว่ นต่างๆ ของร่างกาย และความ พงึ พอใจตามส่วนต่างๆ ของรา่ งกายนีเ้ ป็นไปตามวัย ตงั้ แตว่ ัยทารกถงึ วัยผูใ้ หญ่ ระยะเวลาการหลอ่ หลอม บุคลกิ ภาพอยใู่ นชว่ งระยะเวลา 5 ปีแรกของชวี ิต ทฤษฎีนแี้ บ่งพฒั นาการของมนษุ ยอ์ อกเป็น 5 ข้ันตอน ดงั น้ี ข้นั ท1่ี เรียกว่า “ Oral Stage” อายุประมาณ 0-18 เดือน เปน็ ขั้นท่ีเดก็ อยู่ในวัยทารก ซง่ึ เดก็ จะมี ความสขุ ความพึงพอใจในการใช้ปากในการดูดนมแม่ ดดู นมขวด ดูดน้ิวมอื เปน็ ตน้ หากไมไ่ ดร้ ับการตอบสนอง ท่ปี ากอย่างเหมาะสม เดก็ จะมลี กั ษณะนสิ ัย “การยึดตดิ (Oral Fixation)” นาไปสู่ปญั หาบุคลกิ ภาพ มีแนวโน้ม พฒั นาบคุ ลิกภาพไปในทางใชป้ ากมากกวา่ เช่น พดู มาก ชา่ งพูดชา่ งคยุ ขี้สงสัย ชอบถาม และมักหาทางออก การยดึ ตดิ น้ดี ว้ ยการดูดบหุ ร่ี ดดู นิ้ว ดดู ดินสอ ปากกา อมหรือเค้ียวสง่ิ ของเสมอ บางรายแสดงออกทางวาจา เช่น พูดเหน็บแนม พูดถากถาง พดู เสยี ดสี เปน็ ตน้ พฤติกรรมทงั้ หมดนี้ปรากฎอออกมาในวยั อืน่ ตอ่ ไป ขั้นท่ี 2 เรียกวา่ “Anal Stage” อายุประมาณ 2-3 ปี เด็กวัยน้คี วามพึงพอใจเคล่อื นมาทที่ วารหนกั ระยะน้เี ดก็ กาลงั ฝกึ หัดขบั ถา่ ยอจุ จาระ ปัสสาวะ ความขดั แย้งระหว่างความสุขจากการขจดั ของเสียออกจาก ร่างกาย (id) กบั การฝึกฝนการควบคมุ ร่างกาย(ego)เรื่องการขับถ่ายใหเ้ ป็นทเ่ี ปน็ ทางคอื ไปหอ้ งส้วม และการ ควบคุม อดทน อดกลั้นไม่ขับถา่ ยทุกทที่ กุ ทางน้ัน ถา้ เด็กได้รับการฝกึ ฝนเรื่องการขบั ถ่ายอย่างเหมาะสม ทาให้ เด็กได้รบั การตอบสนองความพงึ พอใจทางรา่ งกาย และพฒั นาความสามารถในการจัดการความขัดแยง้ ได้ เดก็ จะมีความสุขความพอใจในการกลน้ั และขบั ถ่ายอจุ จาระ ปสั สาวะ หากไม่ไดร้ บั การตอบสนองในการกลน้ั และ ขับถา่ ยอจุ จาระ ปสั สาวะ เดก็ จะมลี กั ษณะนิสัย Anal Fixation ในวยั อ่ืนต่อไปเช่น เจ้าระเบยี บ พถิ ีพถิ ัน ระมัดระวงั ขี้บ่น ขเี้ หนียว หรอื อาจสรุ ุย่ สรุ า่ ย ไรร้ ะเบยี บ ไม่รกั ษาความสะอาด เป็นตน้ ขั้นท3ี่ เรียกว่า “Phallic Stage” อายปุ ระมาณ 3-5 ปี ระยะนี้ความพึงพอใจเคลอื่ นมาทอ่ี วัยวะเพศ เปน็ ระยะทม่ี คี วามสาคญั ต่อการพฒั นาบทบาททางเพศของมนษุ ย์ เดก็ มีความสนใจและอยากรู้อยากเห็น เก่ียวกบั อวัยวะเพศของตนเองและคนอื่น เด็กมีความสขุ ความพอใจในการจบั อวัยวะเพศของตนเองเล่น หาก ไมไ่ ดร้ ับการตอบสนองในการจบั อวัยวะเพศของตนเองแล้ว เดก็ จะมีนิสยั Phallic Fixation ในขัน้ ต่อไป เช่น มคี วามวติ กกังวลเม่อื มเี พศสมั พันธ์ เกบ็ กด รกั คนอ่นื ไมเ่ ป็น สบั สนบทบาททางเพศซึง่ เปน็ พื้นฐานนาสู่ พฤตกิ รรมรักรว่ มเพศไดใ้ นอนาคต และในวยั น้จี ะมี Oedipus Complex ซ่งึ เปน็ ปมชวี ิตทเี่ ด็กชายจะรกั แม่ มากกว่าพอ่ และเด็กหญงิ จะรักพอ่ มากกว่าแม่ ถา้ เด็กไดร้ บั การตอบสนองความพึงพอใจ เดก็ ชายจะเลียนแบบ พฤตกิ รรมและบทบาททางเพศจากพอ่ เดก็ หญงิ จะเลียนแบบพฤติกรรมและบทบาททางเพศจากแม่ เม่อื เดก็ เตบิ โตขนึ้ ไปจะเปน็ ชายจรงิ หญงิ แท้ตามเพศของตน ขนั้ ท่ี 4 เรียกวา่ “Latency Stage” อายปุ ระมาณ 5-12 ปี ระยะนเี้ ดก็ เริ่มเข้าอนบุ าล มเี พือ่ นใหมๆ่ ส่ิงแวดล้อมใหม่ในโรงเรยี น เดก็ เริม่ ออกสโู่ ลกกวา้ งมากขึ้นจากบา้ น ตนื่ เต้นสนใจสรรพสง่ิ แวดล้อมรอบตัวใหมๆ่ เด็กมีความสขุ ความพอใจในการเลน่ สมมุตบิ ทบาทเป็น พ่อ แม่ ลูก สนใจการเรยี น การกฬี า เพอื่ นเพศเดยี วกนั พัฒนาการทางเพศไมป่ รากฎชดั เจน เปน็ ระยะสงบของแรงขับทางเพศ จึงเปน็ ลักษณะแฝงหรอื เลียนแบบชวี ติ ครอบครัวในวยั ผู้ใหญ่น่ันเอง หากเด็กไม่ไดร้ ับการตอบสนองกจ็ ะมี Latency Fixation ในวัยต่อไป คอื ไมก่ ล้า จะแตง่ งานมชี วี ติ ครอบครวั กลัวความลม้ เหลวในชีวติ สมรส ขั้นท่ี 5 เรียกว่า “Genital Stage” อายตุ ั้งแต่ 12 ปีขน้ึ ไป โดยเฉพาะในช่วงวยั น้ีนัน้ เดก็ จะมีความพงึ พอใจทางเพศอีกครั้ง ความสนใจมุ่งไปทีก่ ารสรา้ งความสมั พนั ธ์กบั เพศตรงขา้ ม และความต้องการตอบสนอง จากเพศตรงข้าม หากเดก็ ไม่ไดร้ ับความสนใจและความรเู้ รอื่ งเพศอยา่ งเหมาะสมแล้วจะทาใหเ้ ด็กประสบปญั หา เร่อื งเพศเปน็ อยา่ งมาก

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 42 เปน็ ที่น่าสังเกตวา่ ทฤษฎีนพ้ี ยายามอธบิ ายถงึ หลกั พัฒนาการชีวิตมนุษยโ์ ดยทว่ั ไป ซ่งึ ชใ้ี ห้เหน็ ข้นั ตอน ของการเจริญเตบิ โตในวยั ต่างๆ ทม่ี ปี ญั หาอยบู่ ้าง แตฟ่ รอยด์ไดเ้ นน้ ประเด็นทเี่ กีย่ วกับปญั หาทางดา้ นจติ ใจ โดยเฉพาะอารมณ์ท่ขี มข่ืน ปวดรา้ วต่างๆ อันอาจจะก่อใหเ้ กิดปัญหาทางดา้ นจิตใจเช่น ความตอ้ งการมรี กั ร่วม เพศ เป็นปมปญั หามาจาก Fixation ในข้นั Anal หรอื Phallic เปน็ ต้น อยา่ งไรก็ตามเดก็ ทกุ คนมิใช่ว่าจะตอ้ ง มปี ญั หา ถา้ ไมพ่ ัฒนาตามขัน้ ตอนนี้ และทฤษฎนี ี้เป็นแนวคดิ หนงึ่ ท่ชี ่วยกาหนดขอบเขตของรูปแบบพฒั นาการ ชีวิตมนษุ ยท์ ่ีมคี ่าแกก่ ารศึกษายิง่ (จริ าภรณ์ ตัง้ กิตตภิ ากรณ์.2259. หน้า 80-82) พัฒนาการตามวัยมีแรงขบั ทางเพศ ผลกั ดันใหแ้ สดงพฤตกิ รรมทต่ี อบสนองความพึงพอใจตามอวัยวะ ตา่ งๆ ของรา่ งกายเปน็ หลกั นอกจากนที้ ฤษฎจี ิตวิเคราะห์ยงั มแี นวคดิ การอธบิ ายโครงสรา้ งบุคลิกภาพว่ามา จากแรงขบั ภายใน ประกอบด้วยแรงขบั ทจ่ี ะมีชวี ติ รอด(survival drive) แรงขบั ทจี่ ะทาลาย(aggressive drive) และ แรงขบั ทางเพศ(sex drive) แรงขบั ท้งั 3 น้ีอยู่ในสว่ นลึกของมนุษยเ์ รียกว่าจิตไรส้ านึก (unconsciousness) จติ มนษุ ย์มี 3 ระดบั ได้แก่ จิตไร้สานกึ (unconsciousness) จิตใตส้ านกึ (sunconscious) จิตไร้สานกึ (conscious) จติ มนุษยท์ งั้ 3 ระดับร่วมกันกาหนดสรา้ ง ตวั ตน ของมนุษย์ 3 ระดบั ดงั น้ี 1.ตวั ตนเบ้ืองต้น(id) คือตวั ตนท่อี ยู่ในจิตไรส้ านึก มีแรงขบั ภายในทง้ั 3 ด้านเป็นแรงผลักในการ แสดงออก เพ่อื ตอบสนองความพึงพอใจทางรา่ งกายเปน็ สาคัญ การทางานของตวั ตนเบ้อื งตน้ นีไ้ มม่ เี หตผุ ล ไม่มี กาลเทศะ ไมค่ านึงถงึ สภาวะความเป็นจริง หรือความถูกตอ้ ง เหมาะสม ไมค่ านงึ ถึงผลกระทบทีต่ ามมา ความพึงพอใจทางร่างกายทเี่ คลอ่ื นท่ไี ปตามอวยั วะต่างๆ เป็นแรงผลกั ดันให้ตวั ตนเบอื้ งตน้ แสดงพฤติกรรม ออกมา การปฏบิ ัตพิ ฤติกรรมซา้ ๆ จนเคยชนิ กลายเปน็ บคุ ลกิ ภาพของบุคคลนน้ั ไป การควบคุมตัวตนเบื้องตน้ ให้ แสดงพฤติกรรมเหมาะสม ถูกต้องตามสถานการณ์และวฒั นธรรมของสงั คม ได้แก่ ครอบครัว เครอื ญาติท่ี ลอ้ มรอบตวั เดก็ 2.ตวั ตนปัจจุบัน(ego) เม่ือเด็กเริ่มเรียนรสู้ ถานการณ์ต่างๆ รอบตัว เดก็ เรม่ิ เรียนรูก้ ารอดทน อดกล้ัน เช่น การอดทน อดกลัน้ เบือ้ งต้นทฝ่ี กึ หกั เด็กให้มเี หตผุ ล เรยี นรู้ความถกู ตอ้ ง เหมาะสม กาลเทศะคอื การอดทน อดกล้ันทจ่ี ะไปปัสสาวะ อจุ จาระทหี่ อ้ งสว้ มในบา้ น และหอ้ งสว้ มในโรงเรยี น ความเปน็ จริงและความถกู ต้อง เหมาะสมตามสถานการณ์จรงิ ของชีวติ สอนเด็กใหร้ ้จู กั ควบคุมการแสดงออกซงึ่ การตอบสนองต่อความพึง พอใจทางร่างกายว่าสมควรแสดงออกเมอื่ ไร อย่างไร 3.ตวั ตนคณุ ธรรม(superego) ตัวตนน้พี ัฒนามาจากประสบการณข์ องตัวตนปจั จบุ นั และ สถานการณจ์ ริงในสังคม รวมกบั ค่านิยม ประเพณี วฒั นธรรม คุณงามความดี และกฎเกณฑ์ตา่ งๆ ทสี่ งั คม กาหนด สถาบันครอบครวั และเครือญาตทิ าหน้าทีข่ ัดเกลาตวั ตนมโนธรรมนใ้ี ห้แสดงพฤติกรรมทสี่ งั คมยอมรับ ได้ ตัวตนทัง้ สามนี้ ทางานขดั แย้งกันตลอดเวลา และเปน็ บอ่ เกดิ ของความขดั แยง้ ในจิตใจทท่ี าให้บุคคล สบั สน วิตกกังวล ตัวตนระดับใดทไ่ี ม่ไดร้ บั การตอบสนองความพงึ พอใจจะถูกเกบ็ กดไวใ้ นจติ ไร้สานกึ และจิตใต้ สานึก อาจปรากฏใหบ้ ุคคลอื่นในสังคมได้รบั รู้ เช่น การพดู พล้ังปาก การเผลอพูดออกมา หรอื แสดงออกท่ีความ ฝนั การใชก้ ลไกปอ้ งกนั ตนเอง (defense mechanism)ชว่ ยยบั ยง้ั การแสดงออกทไ่ี ม่เหมาะสมกบั วฒั นธรรม น้ันๆ หรอื การเปลี่ยน ถา่ ยโอน เบย่ี งเบนพฤตกิ รรมไปจากสถานการณ์ทย่ี งั ไม่สามารถตอบสนองความต้องการ ของตนเองได้ เช่น หิว แต่ประชุมยังไมเ่ สร็จ กอ็ าจเบีย่ งเบนไปเปน็ ดมื่ นา้ แทน เป็นตน้ (จริ าภรร์ ต้ังกิตติภากรณ์. 2559.หน้า 78-79 และ พรรณทพิ ย์ ศริ ิวรรณบุศย์.2556.หนา้ 90)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 43 กลไกการปอ้ งกนั (Defense Mechanism) 1. Repression (เกบ็ กด) หมายถึงการเกบ็ กดซงึ่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื การเกบ็ กดทัง้ หมด และ การเกบ็ กดเฉพาะเร่อื ง การเกบ็ กดทัง้ หมดนัน้ หมายถงึ เก็บกดสญั ชาตญาณตง้ั แตเ่ ราเกดิ มา เช่น เราไม่ควรที่จะ มเี พศสมั พนั ธ์กับพ่อหรือแมห่ รอื พ่นี ้อง การแต่งงานในเครอื ญาติ ซง่ึ เราจะไมม่ ที างตระหนกั ถึงสญั ชาตญาณ เหล่าน้ีได้ แตกต่างกับ\"การเก็บกดเฉพาะเรอื่ ง\" ซงึ่ หมายถงึ การบงั คบั ความทรงจา ความคิด หรอื การรบั รู้ให้ ออกไปจากการรู้คิด (Conscious) สง่ ไปอย่ใู นจิตใต้สานกึ (Unconscious) และสรา้ งกาแพงเพอื่ ปกปอ้ งเอาไว้ เช่น ความเจบ็ ปวดจากการโดนทาร้ายร่างกาย โดนขม่ ขืน โดนกลัน่ แกล้ง โดนลงโทษ หรอื แมแ้ ต่การลอ้ เลียน ก็ สามารถถกู นาเอาไปเก็บไว้ไดห้ มด (เปน็ สถานการณ)์ แต่อยา่ งไรกต็ ามความทรงจาเหล่านนั้ สามารถถูกดงึ กลับ ขึน้ มาได้ เช่น การเจอเหตุการณ์นน้ั ซา้ การสะกดจติ การยา้ คดิ และการเจอเหตกุ ารณท์ มี่ ีความคล้ายคลงึ หรอื เกยี่ วขอ้ ง 2. Projection (โทษคนอ่ืน) คอื การท่ี Ego ถกู กดดนั จาก Id หรอื Superego มาก ๆ Ego จะโยกยา้ ย ความกดดนั เหล่านัน้ ออกไปยงั โลกภายนอกแทน เชน่ ฆาตกรผหู้ นึง่ ไดก้ ล่าวกบั ตารวจว่าตนเองฆา่ คนเพราะ ครอบครัวสอนใหเ้ ขาเป็นคนแบบน้ัน ซึ่งเหตุการณน์ ส้ี ามารถสรปุ ได้ว่า Id กดดันให้ Ego ไปฆา่ คน หลังจากทโี่ ดน จับ Ego ตอ้ งการจะรกั ษาตวั ตนของตนเองไว้ จงึ ไม่ยอมรบั ว่าพฤติกรรมเลวรา้ ยทท่ี าเป็นเพราะตนเอง แตเ่ ปน็ เพราะครอบครวั กลา่ วคือ \"โยนความผดิ ใหค้ นอนื่ \" หรือเปน็ เพยี งการเปล่ียนประธาน เช่น \"ฉันเกลยี ดเธอ\" กลายเปน็ \"เธอเกลยี ดฉนั \" หรอื เวลาทบี่ ุคคลคนหนงึ่ ชน่ื ชอบสอ่ื ลามกแตก่ ลบั กลา่ วว่าคนอ่นื นั้นลามก เพอ่ื รกั ษา มโนธรรมของตนเองเอาไว้ การโทษคนอ่นื (ซึ่งอยภู่ ายนอก) จะสง่ ผลใหเ้ ราขจดั ความกลวั หรอื กังวลออกไปได้ ง่ายกวา่ จัดการกับIdและSuperego(ซงึ่ อยู่ภายใน) 3. Reaction Formation (ปากวา่ ตาขยิบ) เมือ่ Ego เกดิ แรงกระตุ้นจาก Id หรอื Superego ระบบ Ego พยายามท่ปี อ้ งกันแรงกดดันทป่ี ระดงั เข้ามา โดยเปลย่ี นไปในทิศทางตรงกนั ข้าม เชน่ Ego มองภาพตวั เอง วา่ เปน็ คนดีมีศีลธรรม ซงึ่ เกดิ จากแรงกระตุน้ โดย Superego แต่ Id ต้องการท่ีจะทาร้ายคนคนหนงึ่ ที่นบั ถอื ศาสนาไมเ่ หมือนกบั ตนเอง จึงสร้างมายาคติวา่ สามารถฆา่ คนต่างศาสนาได้โดยไมผ่ ิด หรือเปน็ เร่อื งพ้ืนฐาน อยา่ งเชน่ เราอาจเกลียดเพือ่ นคนหนึง่ มาก แต่ Ego มองภาพตนเองว่าเปน็ คนที่เกลยี ดใครไมเ่ ปน็ จงึ พยายาม แสดงความรัก เป็นมิตรออกมา ซงึ่ พฤติกรรมท่ีแสดงออกมาจะมีนา้ หนกั มากเกินกว่าเหตุ เช่น ถ้าเกลียดแต่ พยายามแสดงออกว่ารัก กจ็ ะดเู กนิ กว่าเหตุ รักมากจนเกินไป หรอื ในกรณีทแี่ ม่ตีลูกเพราะรกั ก็จะตีอย่างรนุ แรง และขาดความยืดหยนุ่ นอกจากนั้นยังมกี รณีทบ่ี คุ คลบางคนอาจโดนกระทาความรนุ แรง หรือไดร้ บั การปลูกฝัง ความรุนแรงตัง้ แตว่ ยั เดก็ แต่กลไกปอ้ งกันตนเองได้ปดิ บงั สภาพความรุนแรงเหลา่ น้นั จนสง่ ผลใหเ้ ขากลายเป็น คนท่ีออ่ นโยนมาเกนิ กว่าคนท่วั ไป 4. Regression (การถอยกลบั ) เมอ่ื บุคคลไดไ้ ปถงึ การเปลย่ี นผา่ นของพฒั นาการ บคุ คลอาจเกิดความ ไมพ่ รอ้ มทจ่ี ะเปลี่ยนผ่าน เน่ืองจากความหวาดกลัว จงึ ถอยกลับไปเพอ่ื หาพ้ืนทป่ี ลอดภยั (Comfort Zone) โดย การถอยกลบั ไปในช่วงพฒั นาการท่บี ุคคลสบายใจ หรอื ในกรณีท่ี บคุ คลผหู้ น่ึงถูกทาร้ายจติ ใจอย่างรุนแรง บคุ คลคนนั้นจงึ ถอยหนีไปหลบอยู่ในโลกของอดตี หรอื มีพฤติกรรมไปในช่วงพัฒนาการทเี่ ขาปลอดภัย เช่น วัย เดก็ กล่าวคือ เม่อื Ego กระเจิดกระเจิงออกจากโลกความเป็นจรงิ และไมส่ ามารถควบคุมได้ Ego จะถอย กลบั ไปในชว่ งพัฒนาการหรือช่วงเวลาบางเวลาทสี่ ามารถควบคมุ ได้ ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งถอยกลับไปไกลถึงขนาดน้ัน แต่อาจจะเป็นชว่ งเวลาทบี่ ุคคลจะตอ้ งเผชิญหนา้ กับความไมม่ ัน่ คงบางอย่าง จงึ พยายามกลบั ไปสสู่ งิ่ ทมี่ ่ันคงอยู่ แตเ่ ดิมแล้ว เช่น ไมก่ ล้าเสียเงนิ ลองของใหม่ ๆ จงึ กินแตข่ องเดิม ๆ ทก่ี ินเปน็ ประจาซงึ่ รวมไปถงึ การลองทาอะไร ใหม่ๆหรือการไปในสถานทใี่ หมๆ่ ด้วยเชน่ เดยี วกัน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 44 5. Denial (การปฏเิ สธความจรงิ ) Anna Freud (1937) ได้อธิบายเกยี่ วกับปฏเิ สธความจรงิ ไวว้ า่ คือ การปิดก้ันตนเองจากสถานการณ์ภายนอกท่ีเกิดข้ึน เม่ือสถานการณ์ดงั กลา่ วมคี วามรุนแรงเกินกวา่ ทจ่ี ะรบั มอื ได้ บุคคลจึงพยายามทจ่ี ะปฏิเสธประสบการณเ์ หล่านน้ั เน่อื งจากสถานการณด์ งั กลา่ วอาจเกิดผล กระทบกระเทือนทางจิตใจอยา่ งรุนแรงจนรบั ไมไ่ ด้ เชน่ ลูกของตนเองประสบอุบัตเิ หตจุ นเสียชวี ิต ผเู้ ป็นแมจ่ งึ ปฏิเสธว่าลูกตนเองไดเ้ สียชีวิตไปแลว้ กรณดี ังกลา่ วเปน็ กรณที ีม่ สี ถาพจิตใจขัน้ รุนแรง แตก่ ารปฏิเสธความจรงิ ก็ มกั จะเกิดข้นึ โดยทว่ั ไปเช่นเดยี วกัน ยกตวั อย่างเช่น เมื่อบคุ คลหนง่ึ มองตนเองว่าเป็นคนดมี ศี ลี ธรรม แต่เม่อื มีคน อืน่ ๆ มาบอกว่าสิ่งทเี่ ขาทาน้นั มันผิดศลี ธรรม บุคคลจงึ ปฏเิ สธความจรงิ ดงั กล่าว จะเหน็ ได้วา่ ระดับของการ ปฏเิ สธความจริงมหี ลายระดบั ขึ้นอย่กู ับตวั บุคคล 6. Rationalization (การหาเหตุผลเขา้ ขา้ งตนเอง) เป็นวธิ ีการลดความกดดันจาก Ego ซงึ่ มีผลมา จากสถานการณภ์ ายนอก โดยการเปลีย่ นแปลงการรบั รู้ตอ่ สถานการณ์เหลา่ นั้นโดยการสร้างองคค์ วามคิดข้ึนมา เพ่อื ให้คลายความกดดันเหลา่ น้ันลงไปดว้ ยกระบวนการหาเหตุผลเข้าขา้ งตนเอง ซงึ่ แบง่ ออกเปน็ 2 รปู แบบ 6.1 Sour Grape (องุน่ เปร้ียว) เปน็ วธิ ที ี่ Ego ลดความกดดนั โดยการลดความสาคัญของสง่ิ ทอ่ี ยาก ไดแ้ ต่ไม่สามารถครอบครองเอามาได้ เช่น สามีตอ้ งการรถคนั ใหมอ่ ย่างมาก แต่ไม่สามารถซือ้ มาไดเ้ นอ่ื งจาก ภรรยาไมย่ อมใหซ้ ื้อ ตวั สามจี งึ สรา้ งองคค์ วามคิดข้ึนมาใหมป่ ระมาณว่า \"รถคนั ใหม่มันส้นิ เปลือง ดีแลว้ แหละที่ ไมซ่ อื้ \" จะเหน็ วา่ เปน็ เรื่องทว่ั ไปทเ่ี กิดข้นึ และดไู ม่ใชเ่ รอื่ งใหญ่ แตห่ ากเปน็ กรณีที่ บคุ คลฝนั อยากจะประกอบ อาชพี แพทยต์ ัง้ แต่ยงั เดก็ แตส่ อบไมต่ ิดจงึ เลอื กที่จะเรียนสาขาอน่ื และเปล่ยี นองค์ความคดิ ของตนเองเปน็ \"ท่ี ผ่านมาตนเองไมเ่ คยอยากทจี่ ะเป็นหมอมากอ่ น\" กลา่ วคือบุคคลไดเ้ ปลย่ี นการรบั รู้ตอ่ ประสบการณ์ของตนเอง ไปเลย ซงึ่ คาว่าองุ่นเปรย้ี วน้ันมที ม่ี าจากนทิ านอีสปเร่อื งจ้ิงจอกกบั พวงองุ่น ทกี่ ลา่ วถงึ จิง้ จอกทอี่ ยากกนิ องุ่นสุก แตใ่ ชค้ วามยายามมากแค่ไหนกไ็ ม่สามารถไดม้ าครอบครอง จึงคดิ ว่าอง่นุ พวกนั้นคงเปรย้ี วดแี ลว้ แหละที่ไม่ได้ กิน 6.2 Sweet Lemon (มะนาวหวาน) ตรงกนั ข้ามกับองุ่นเปร้ยี ว มะนาวหวานจะเป็นวธิ ที ี่ Ego ลด ความกดดนั โดยการใหค้ วามสาคญั ของสิ่งท่ีตนเองครอบครอง เปน็ การเปล่ียนองค์ความคิด ยกตัวอยา่ งเชน่ หญงิ สาวท่ีโสด มองวา่ ดีแล้วแหละท่ตี นเองเปน็ อสิ ระ หรอื ชายหนุม่ คนหนง่ึ มองว่างานหนกั ๆ ทตี่ นเองทาน้นั มี คุณคา่ และมคี วามหมาย เราจะเหน็ ว่ามะนาวหวาน ความกดดันที่ Ego ไดร้ ับจะไมร่ ุนแรงเทา่ กบั องุน่ เปร้ยี ว จะเห็นวา่ ทัง้ องนุ่ เปรี่ยวและมะนาวหวานจะเหมอื นกับภาพที่ทบั ซอ้ นกัน กลา่ วคือ Rationalization จะเปน็ การสรา้ งมายาคติเพ่ือมาบดิ เบอื นความเป็นจรงิ และปกปอ้ ง Ego จากแรงกดดนั และความตรงึ เครียด เช่น ชายหนุม่ คนนัน้ อาจหางานที่ตนเองพอใจไมไ่ ด้ จงึ พยายามมองว่างานทท่ี านนั้ มคี ุณคา่ และมีความหมาย หรือ หญงิ สาวทโ่ี สดอาจหาชายหนมุ่ ทเี่ หมาะสมกับตนเองไมไ่ ด้ จึงมองว่าดีแลว้ จะไดเ้ ปน็ อสิ ระ ดังนัน้ ในบาง ตาราหรอื บางงานเขยี นจงึ ไม่ได้แยกองนุ่ เปรย้ี วและมะนาวหวานออกจากกัน แต่มองว่าท้งั สองเปน็ สิ่งเดยี วกนั 7. Identification (การเลยี นแบบ) คล้ายคลึงกบั Regression (การถอยกลบั ) เมอื่ Ego เกิดความไม่ สบายใจ เครียด ไมป่ ลอดภัย จะสง่ ผลใหบ้ ุคคลนัน้ หาพน้ื ทที่ จี่ ะสรา้ งความม่นั คงใหก้ ับตนเองได้ กระบวนการ ถอยกลับจะยอ้ นกลบั ไปในช่วงพฒั นาการทมี่ ีความปลอดภัย สบายใจ ซึ่งตา่ งกับการเลยี นแบบ ท่ีคนเราจะ เลียนแบบบคุ คลทีต่ นเองรสู้ ึกวา่ ม่นั คง ปลอดภยั สว่ นมากจะเป็นคนรอบตัว เชน่ เดก็ เลยี นแบบพอ่ แม่ของ ตนเอง หรือ เป็นบคุ คลทม่ี คี วามสามารถ นอกจากนัน้ การเลยี นแบบสามารถเกดิ ขน้ึ เม่ือเราต้องการเป็นท่สี นใจ เชน่ เลียนแบบพ่อแม่ เพ่อื เรียกร้องความสนใจจากเขา หรอื เลียนแบบบคุ คลทีม่ ีช่ือเสียง เพ่ือให้สงั คมยอมรับ หรอื สนใจ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 45 8. Displacement (การยา้ ยท่ี) เมื่อ Ego เกดิ การตงึ เครียด คับขอ้ งใจ Ego จะยา้ ยทค่ี วามรู้สกึ เหลา่ นน้ั ไปไวภ้ ายนอก เช่น การเตะเกา้ อี้ การปาขา้ วของ ซ่ึงโดยส่วนมากการยา้ ยท่นี ้นั จะแสดงออกในเชิง ก้าวร้าวเปน็ ส่วนมาก นอกจากจะย้ายทไี่ ปทีข่ า้ วของ กม็ กั จะพบเจอได้บอ่ ยคร้งั ทก่ี ารยา้ ยท่นี ัน้ จะยา้ ยไปที่ตัว บุคคลอ่ืนดว้ ยเช่นกนั ยกตัวอย่างเช่น สามเี กดิ ความตงึ เครยี ด กดดัน จงึ ระบายอารมณ์ไปทีภ่ รรยา โดยการทบุ ตี ซง่ึ สถานการณท์ ่ยี กตวั อย่างมา มกั พบเห็นกันไดท้ ัว่ ไป ในกรณที ี่การรบั น้องนอกจากจะเป็นการสบื ตอ่ วฒั นธรรม แล้ว ในบางกรณีรุ่นพี่กเ็ กบ็ ความรู้สกึ ทเี่ จบ็ ปวด ไมย่ ตุ ิธรรม หรือความตึงเครยี ดในปจั จบุ ัน ไปลงทรี่ นุ นอ้ งด้วย เชน่ กัน 9. Sublimation (การทดแทน) กลไกชนิดนี้จะคล้ายคลงึ กบั การย้ายท่ี ต่างกนั ตรงที่การยา้ ยทจี่ ะ ยา้ ยความคบั ข้องใจของ Ego ออกไปสภู่ ายนอก แตก่ ารทดแทนจะตา่ งกนั การแทนท่จี ะย้ายความคับข้องใจ ออกไป แตก่ ารทดแทนจะเปล่ียนรปู แบบความคบั ขอ้ งใจเหลา่ นนั้ ไปเลย กลา่ วคือ การทดแทนจะเปลยี่ นรปู แบบ ความเครียด ความคับขอ้ งใจของ Ego ไปเปน็ อกี รปู แบบหนง่ึ เช่น ระบายความรุนแรงออกเปน็ งานศิลปะ หรอื การเขยี นนิยายแทน ข้นึ อยู่กับวา่ Ego ได้รบั แรงกดดนั เรือ่ งอะไร เช่น Id อาจสง่ สญั ญาณความตอ้ งการทางเพศ ไปท่ี Ego แต่ Ego ถกู Superego ปฏเิ สธ Ego จึงเกิดความเครียดสง่ ผลให้เลือกใช้กลไกการทดแทน เพอื่ ผอ่ น หนักเปน็ เบา จากผลงานชือ่ Leonardo da Vinci and a Memory of His Childhood ของฟรอยด์ เขาเชื่อ วา่ (ยศ สนั ตสมบัติ, 2559) ศิลปินทส่ี ร้างสรรค์ผลงานอนั ยอดเยย่ี ม หรอื นักวิทยาศาสตร์ทป่ี ระดษิ ฐค์ ดิ ค้น สว่ น หนง่ึ เป็นเพราะบุคคลนั้นสามารถแปลงพลงั งานทางเพศไปสผู่ ลงานสรา้ งสรรคข์ องตนเอง 10. Fantasy (ฝนั กลางวัน หรือ จินตนาการ) เช่นเดียวกบั กลไกอนื่ เกดิ ขน้ึ จาก Ego เกดิ ความเครียด เนอื่ งจากความขัดแยง้ ของโครงสรา้ งบุคลกิ ภาพภายใน ส่งผลให้ตวั บคุ คลขจดั ความเครยี ดโดยการสร้างพ้ืนท่ีใน จนิ ตนาการ ึซึงโดยส่วนใหญจ่ ะเป็นเรื่องเพ้อฝนั เชน่ ชายคนหนึ่งกาลังเดินเทยี่ วห้าง ขณะที่เขาเดนิ ผา่ นกบั ผหู้ ญิงท่านหน่ึงทีแ่ ต่งตวั ย่ัวยวนสง่ ผลใหเ้ กิดอารมณ์ทางเพศ ชายผนู้ ้ันจงึ ใชว้ ิธใี นการจนิ ตนาการวา่ ตนเองกาลงั มีเพศสมั พันธ์กับผหู้ ญงิ คนนั้น เพือ่ ใหเ้ ขาเกิดความพงึ พอใจ เนอ่ื งจากบุคคลไมส่ ามารถแสดงอารมณ์ทางเพศ ออกมาได้ หรือในกรณที พี่ นักงานบริษทั ทางานบริษัทแหง่ หนง่ึ จนเกดิ ความเครยี ดอยา่ งหนัก จึงพยายาม จนิ ตนาการช่วงเวลาทเ่ี งนิ เดอื นออก และตนเองได้ไปเทย่ี วเพอื่ ให้ตนเองเกิดความพงึ พอใจและสบายใจมาก ขึ้น นอกจากนนั้ ในกรณีท่ีเดก็ โดนรงั แกทโี่ รงเรียน เขาจึงจนิ ตนาการว่าตนเองเปน็ ซุปเปอร์ฮโี ร่ทีม่ พี ลงั มากมาย มหาศาลเพ่อื แบง่ เบาความทุกข์ทรมาณที่ Ego แบกรบั หรอื บุคคลท่ีมถี านะทางเศรษฐกจิ ไม่คอ่ ยดี เขา จนิ ตนาการว่าตนเองเป็นมหาเศรษฐี จะเหน็ ว่าหากเราใช้กลไกนมี้ าก ๆ และยง่ิ ความฝนั และความย่ิงแตกต่าง กันมากเทา่ ไหรจ่ ะยง่ิ สง่ ผลในทางลบตอ่ Egoมากขน้ึ เท่านนั้ แน่นอนว่ากลไกการป้องกันตวั เองจะเหมอื นกบั ยาเสพตดิ ของ Ego เวลาทเี่ ราเศรา้ เสยี ใจ เจ็บปวด การ เสพยาจะชว่ ยทาใหเ้ รา เมา และลมื ความเจบ็ ปวดเหลา่ น้นั ไปชว่ งเวลาหนงึ่ โครงสรา้ งของเรากเ็ ช่นกนั เมอ่ื Ego เกิดความเครยี ด ขับขอ้ งใจ ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งภายใน (Id Ego และ Superego) Ego จะใชก้ ลไกปอ้ งกัน (Defense Mechanism) เพ่ือขจดั ความเครียดน้ันออกไป เหมือนกับการใช้สารเสพติด ถ้าใชม้ ากไปกจ็ ะติด และสง่ ผลกระทบกบั ร่างกายและจิตใจ ซงึ่ แน่นอนบุคคลทีม่ อี าการทางประสาทกม็ ักจะเกิดจากการทใี่ ช้ กลไก การปอ้ งกนั ทมี่ ากเกนิ ไป เชน่ บคุ คลทย่ี ากจนเจอความเจ็บปวดมาตลอดชีวติ จงึ เลอื กใชก้ ลไก Fantasy เพอื่ จินตนาการว่าตนเองเป็นมหาเศรษฐี และยงิ่ เขาใชม้ นั มาก ๆ ก็จะสง่ ผลใหบ้ คุ คลคนนั้นหลดุ ออกจากความเปน็ จริงไป หรือการใช้ Identification เลียนแบบผู้อนื่ มากเกินไป ก็จะสญู เสียความเป็นตัวเองไป และหลุดออกจาก ความเปน็ จรงิ เช่นเดียวกบั กระบวนการอ่ืน ๆ ดงั นนั้ การทาให้ Ego แขง็ แรงจึงเป็นส่ิงท่สี าคญั (Carlos Boonsupa ธันวาคม 11, 2560. https://sircr.blogspot.com/2017/12/defense-mechanism.html สืบคน้ เม่อื 6 พฤษภาคม 2564)

46 7.2 Erikson’s Theory อีริค อรี คิ สนั (Erik Erikson) เคยอยใู่ นกลุม่ จิตวเิ คราะห์ของฟรอยด์ เชอ่ื ในแนวคิดบางสว่ นเก่ียวกับ พัฒนาการทางบุคลกิ ภาพ ครน้ั ถงึ ปี ค.ศ. 1964 อีรคิ สนั ได้สร้างแนวคดิ ทฤษฎีเก่ยี วกับพฒั นาการชีวติ เรยี กว่า “Psychosocial Development” อธบิ ายลกั ษณะพัฒนาการชวี ิตมนุษยท์ กุ วยั วา่ ได้รบั อทิ ธิพลจากสงั คมท่ีเดก็ อาศัยอยู่ และโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ผู้คนทที่ าหน้าทเ่ี ปน็ พ่อเปน็ แม่ ตลอดจนญาตพิ น่ี อ้ ง เพอื่ นฝงู ท้งั ทที่ างานและที่ ตนเองอาศัยอยู่ มจี ุดเนน้ ท่อี ิทธพิ ลของสงั คมและวฒั นธรรมว่ามีผลต่อการเจริญเตบิ โตของโครงสรา้ ง Ego หรือ ตวั ตน มากกวา่ เนน้ ทีโ่ ครงสรา้ ง Id หรอื กระบวนการจิตไรส้ านึก อีริคสันอธิบายว่าประสบการณ์ตา่ ง ๆ ท่ีบคุ คล ได้รับจากสังคมและวัฒนธรรมจะส่งผลตอ่ บุคลิกภาพของบุคคลนน้ั กระบวน การพัฒนาบคุ ลกิ ภาพจึงเรมิ่ ตน้ ต้ังแตแ่ รกเกดิ จนถงึ วัยชรา ช่วงวิกฤตของชวี ติ ไมไ่ ดอ้ ยู่ในช่วงวัยใดวัยหน่งึ ทกุ ชว่ งชวี ติ มีความสาคัญตลอด เพราะบคุ คลตอ้ งปรบั ตัวตลอดเวลาในทุกชว่ งชวี ิต ถา้ ประสบการณ์ในแตล่ ะ ข้ันตอนของช่วงชวี ติ ได้รับประสบการณ์ดี บุคคลจะพฒั นาบคุ ลกิ ภาพไปในทางดๆี เชน่ กัน ถ้าไดร้ ับประสบการณ์ ไมด่ ี เกดิ ความคับขอ้ งใจ ขดั แยง้ หรอื ไมส่ บายใจ กจ็ ะมคี วามรู้สกึ ไมด่ ี ทงั้ ประสบการณท์ ีไ่ ดร้ บั จะอยู่ในทศิ ทาง ใดกต็ าม สง่ ผลตอ่ พฒั นาการในวัยตอ่ มาได้ พฒั นาการชีวิตมนุษย์ตามแนวคดิ น้ีสามารถแสดงข้ันตอนต้งั แต่เกดิ จนตายได้ 8 ขน้ั ตอน ดงั น้ี Integrity V.S Despair Generativity V.S Self- Absorption Intimacy V.S Isolation Identy V.S Role confusion Industry V.S Inferiority Initiative V.S Guilt Autonomy V.S Shame trust V.S Mistrust มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง แรกเกิด 2 ปี 3 ปี 5 ปี 11ปี 18 ปี วัยผใู้ หญ่ วยั กลาง วยั ชรา ภาพแสดงขั้นพฒั นาการชวี ติ มนุษยต์ ามแนวคิดของอีริคสัน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 47 จากภาพลายเส้นแสดงข้ันตอนพฒั นาการชวี ิตมนุษย์ อรี ิคสนั ได้อธิบายเนน้ ความสมั พันธแ์ ละความต้องการ ทางสงั คมและถา้ หากเดก็ ไม่ได้รบั การตอบสนองใหพ้ อเหมาะ ปญั หาจะเกิดขนึ้ และตอ่ เน่อื งไปเรื่อยๆ ตลอดชวี ติ ต้ังแตเ่ กดิ จนถงึ วัยชรา ขัน้ พฒั นาการชวี ิตมนุษยอ์ ธิบายโดยยอ่ ดงั นี้ ขั้นท่ี 1 ความไว้วางใจ-ความไมไ่ วว้ างใจ (Trust V.S Mistrust) วยั ทารก 1 ปีแรกของชวี ติ เดก็ เรยี นรทู้ ี่จะเกดิ ความรสู้ กึ ไวว้ างใจหรอื เกิดความร้สู กึ ไมไ่ วว้ างใจจากส่ิงทมี่ ีอยรู่ อบตวั จากการที่เดก็ ไดร้ ับการ ตอบสนองในสงิ่ ทเ่ี ขาตอ้ งการ บุคคลที่มีบทบาทสาคัญในพฒั นาการข้ันนี้คอื มารดาและเงอื่ นไขสาคญั ทจ่ี ะทาให้ เกดิ ความรสู้ กึ ไว้วางใจก็คอื การทม่ี ารดาสามารถทจ่ี ะบาบัดความต้องการทีท่ ารกต้องการได้ ใหค้ วามรกั ความ อบอนุ่ ตอบสนองความต้องการของทารกไดต้ ามรอ้ งขอ เช่น หวิ เลอะเทอะ ทารกจะพฒั นาความรสู้ ึกปลอดภยั ไว้วางใจว่าสังคมน้นี ่าอยู่ ปลอดภยั แต่ถ้าทารกได้รับประสบการณท์ ่ตี รงกันขา้ ม พฒั นาการของบุคลกิ ภาพกต็ รง ข้ามด้วยเชน่ กนั ข้ันที่ 2ความเปน็ ตัวของตวั เอง-ความไมม่ ่ันใจในตวั เอง (Autonomy V.S Shame and Doubt) เด็กอายุ 1.5-3 ปี เด็กเรียนรูท้ ่ีจะทดลองและเลอื กทจี่ ะทาสงิ่ ต่างๆ ด้วยตนเองและเรยี นรูท้ ี่จะควบคมุ กลา้ มเนอ้ื และการเคลอื่ นไหวของกล้ามเนอื้ และการเคล่ือนไหวของตนเอง เชน่ เดนิ วิ่ง ควบคุมการขบั ถา่ ยหรอื แตง่ ตัวเอง ถา้ เด็กไมไ่ ดร้ ับการสนับสนนุ ที่เหมาะสมในการทจ่ี ะใหเ้ ด็กทาส่ิงต่างๆ ในลกั ษณะของการทดสอบความสามารถ ในการควบคุมกล้ามเนอ้ื ของตนเอง จะทาใหเ้ ดก็ เกิดความไมม่ ั่นใจในตนเองวา่ เขามีความสามารถทาส่ิงต่างๆ โดยตนเองได้ พัฒนาความรู้สกึ เปน็ อิสระและเชื่อมัน่ ตนเอง แตถ่ ้าพอ่ แมค่ อยปกปอ้ งมากเกนิ ไปเด็กจะขาด ความเชอื่ มัน่ ย่งิ ถ้าเดก็ ลม้ เหลวเดก็ จะพัฒนาความรสู้ ึกละอายใจและสงสยั ในความสามารถของตนเอง ขน้ั ที่ 3 ความคดิ รเิ ร่ิม-ความรสู้ ึกผดิ (Initiative V.S Guilt) เด็กอายุ 3-6 ปี เดก็ เรยี นรู้ทจี่ ะมี ความคิดรเิ ริ่มทีจ่ ะทากจิ กรรมต่างๆ และมีความสนกุ สนานกบั สงิ่ ท่ไี ดค้ ิดรเิ รม่ิ สร้างสรรค์ ช่างซักถาม อยากรู้ อยากเหน็ ชอบสารวจ ชอบเล่นบทบาทสมมติ เชน่ เป็นพอ่ เปน็ แม่ หรอื เล่นเปน็ บคุ คลอาชีพตา่ งๆ เชน่ เป็น ตารวจ เปน็ นกั บนิ เปน็ หมอ เป็นต้น หากเดก็ ได้รบั การสนบั สนนุ และได้รบั ความสาเรจ็ ก็จะยง่ิ ทาใหเ้ ดก็ มคี วาม กระตอื รอื ร้นและกลา้ คดิ รเิ รมิ่ สง่ิ ใหมๆ่ ตอ่ ไปอกี ในทางตรงกนั ข้ามถ้าเดก็ ไม่ได้รับการสนับสนนุ หรอื ไม่ได้รบั การ อนญุ าตให้คดิ รเิ รม่ิ จะทาให้เด็กเกดิ ความรสู้ ึกผดิ ในความพยายามทจ่ี ะทาสง่ิ ต่างๆ ด้วยตนเอง ข้ันที่ 4 ความขยันหม่ันเพยี ร-ความรูส้ กึ ตา่ ตอ้ ย (Industry V.S Inferiority) เด็กอายุ 6- 12 ปี เรม่ิ มีสงั คมนอกบา้ นคอื โรงเรียน เด็กจะเข้ากลมุ่ เพอ่ื นและเล่นเกมตา่ งๆ กบั เพ่ือนของเขา และมผี ลงานต่างๆทเี่ ดก็ ทาขึ้นมา เด็กจะพฒั นาความรู้สกึ ขยันหม่นั เพียร และความร้สู กึ อยากรอู้ ยากเหน็ และกระตือรอื รน้ ทจี่ ะเรยี นรู้ ผูป้ กครองควรให้การสนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ ได้มีโอกาสได้ทางานทมี่ คี วามหลากหลายและท้าทาย แต่ก็ไม่ควรเปน็ งาน ทยี่ ากจนเกินไป ควรมกี ารให้การเสริมแรงเม่ือเดก็ ทางานเสร็จสมบรู ณ์ เดก็ จะรู้สกึ มีคา่ ในสายตาของคนอนื่ และ ประสบความสาเรจ็ ทาใหเ้ ดก็ พฒั นาความขยนั หมน่ั เพียร ในขัน้ นเ้ี ด็กทไ่ี มป่ ระสบความสาเรจ็ จะรสู้ กึ ต่าต้อย และหมดความสนใจทจ่ี ะทางานต่างๆ และจะประเมินตนเองว่าเปน็ คนที่ไมม่ คี วามสามารถ ข้ันที่ 5 ความเป็นเอกลักษณ์-ความสบั สนในบทบาท (Identity V.S Role confusion) เด็กเขา้ สู่ วยั รุ่นคอื อายรุ ะหวา่ ง 12-18 ปี ในขัน้ นเี้ ขาจะคน้ หา และทบทวนประสบการณต์ า่ งๆ ในชีวติ เพ่อื ทจ่ี ะพัฒนา ความรู้สึกทว่ี ่า “ฉันเป็นใคร” (Who am I) ค้นพบตนเอง และสามารถเลอื กศึกษา เลอื กอาชพี ท่ีเหมาะสมกบั ตนเอง แตค่ นท่ที บทวนประสบการณท์ ่ีผ่านมาในชวี ิตและไมส่ ามารถบอกไดว้ า่ ฉันเปน็ ใครจะมคี วามรสู้ ึกสบั สน ในบทบาท

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 48 ขั้นที่ 6ความผูกพัน-การแยกตัว (Intimacy V.S Isolation) ผา่ นจากวยั รุ่นเข้าสวู่ ัยผู้ใหญ่ตอนตน้ อายรุ ะหว่าง 20 ปีข้นึ ไป ตามความคิดของอรี คิ สัน คนทป่ี ระสบความสาเรจ็ คอื คน้ พบเอกลักษณ์ของตนเองใน ขนั้ ที่แล้วส่วนใหญจ่ ะมีความสามารถในการสร้างความสนทิ สนม สร้างความสมั พนั ธ์อย่างมีความหมายกบั บุคคลทเ่ี ป็นคนสาคญั สาหรบั เขาเชน่ ครอบครัว คนรกั สว่ นคนท่ไี มส่ ามารถทจ่ี ะปรบั ตัวเองในการอยรู่ ว่ มกับ บุคคลอน่ื และสรา้ งความสัมพันธ์ท่ใี กลช้ ิดจนกลายเปน็ คนทีม่ ีความสาคัญตอ่ ชวี ิตเขาได้กจ็ ะเกิดความรสู้ ึก อ้างว้างโดดเด่ยี ว และเกดิ ความรสู้ กึ ไมเ่ ตม็ ใจในการที่จะสรา้ งความสมั พันธท์ ่ใี กล้ชิดกับบคุ คลสบื ต่อไป ขั้นท่ี 7 การทาประโยชนใ์ หส้ ังคม-การเหน็ แกต่ วั (Generativity V.S Self - Absorption) วยั ผู้ใหญก่ ลางคน อายรุ ะหว่าง 30-60 ปี คนท่ปี ระสบความสาเรจ็ ในขน้ั นจ้ี ะเป็นผ้ใู หญท่ เี่ ตม็ ใจทจี่ ะมบี ุตรและ ดูแลบุตร จะอทุ ศิ ตนเองใหก้ บั การทางานและการทาประโยชนใ์ ห้กบั บคุ คลอืน่ ๆโดยเฉพาะเดก็ ๆ สว่ นคนท่ีไม่ ประสบความสาเร็จในข้ันน้ีจะมลี กั ษณะยดึ ตวั เองเปน็ ศนู ยก์ ลาง (Self-centered) ทาอะไรจะคิดถงึ แตต่ ัวเอง โดยไม่คดิ ถงึ ผู้อ่ืนและไม่มคี วามกระตอื รอื ร้นทจี่ ะทาสง่ิ ตา่ งๆ ขัน้ ที่ 8 บรู ณาภาพ-ความสนิ้ หวัง (Integrity V.S Despair) วัยชรา อายุ 60 ปีขนึ้ ไป เปน็ ช่วง ของการทบทวนสงิ่ ต่างๆทผี่ า่ นเข้ามาในชวี ิต ถ้าทบทวนแลว้ เหน็ ว่าส่งิ ต่างๆที่ตัวเองกระทามาในชวี ิตเปน็ สง่ิ ทม่ี ี คณุ คา่ มคี วามหมายและตนเองพร้อมทจี่ ะเผชญิ กบั ความตายและการยอมรบั ทจี่ ะเผชิญกบั ความตายอย่างมี ศกั ดิศ์ รกี ็จะเป็นคนทปี่ ระสบความสาเรจ็ ในขั้นน้ี แตใ่ นทางตรงกนั ข้ามคนทสี่ ิ้นหวังเพราะไมป่ ระสบความสาเร็จ ในจุดม่งุ หมายของชีวติ กจ็ ะรสู้ ึกลม้ เหลว หมดอาลัยตายอยาก ไม่สามารถทาจติ ใจใหส้ งบไดแ้ ละเสยี ดายเวลาที่ ผ่านมา (ก่ิงแกว้ ทรพั ยพ์ ระวงศ์.2558. หน้า 90-91) 7.3 Piaget’s Theory จนี เพยี เจต(์ Jean Piaget)เจ้าของกิจการงานเกษตรกรรมแถบเทอื กเขาแอลฟ์ (Alps) สวสิ เซอรแ์ ลนด์ แตห่ ันมาสนใจและทาความเขา้ ใจพฤติกรรมเดก็ เพียเจต์ เสนอทฤษฎีเกีย่ วกบั ความคดิ และพัฒนาการทาง สตปิ ญั ญา ด้วยการอธบิ ายว่าพัฒนาการทางสตปิ ญั ญาและความคดิ ของมนุษย์ มาจากการมปี ฏิสมั พันธ์ (Interaction) กับโลกภายนอกหรือส่งิ แวดลอ้ ม ด้วยการปรบั ตวั (Adaptation) เช่น ทารกเรียนรคู้ วามแตกตา่ ง ของวตั ถุจากการ กัด เลยี ชิมรสชาติ จับ มอง การปรับตัวของบุคคลประกอบดว้ ยกระบวนการ 2 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 1) กระบวนการรับส่ิงใหม(่ Assimilation) หมายถงึ การรบั ประสบการณ์ใหมๆ่ เข้ามาในชวี ติ ตลอดเวลา 2) กระบวนการปรบั แผนผงั โครงสรา้ งความคิด(scheme)เกา่ ใหเ้ ขา้ กบั ปรบั แผนผังโครงสร้างความ คิด(scheme) ใหม่ (Accommodation) เพอ่ื ใหบ้ คุ คลสามารถปรับตัวเข้ากบั สถานการณใ์ หมๆ่ นน้ั ได้ เชน่ ทารกจับผ้าหม่ กบั ลกู บอล ทารกจะได้ความรสู้ กึ ต่างกัน ทารกจะเรียนรู้ความแตกตา่ งของวัตถุเกดิ การปรบั scheme เกา่ ใหเ้ ข้ากบั scheme ใหม่ เด็กเรยี นรู้สง่ิ ใหมๆ่ เขา้ มาในชีวิตตลอดเวลา ปรบั ตัวจนเกดิ ความสมดลุ (Equilibrium) การคิดของมนษุ ยเ์ ป็นกระบวนการปรับตัวของ Assimilation และ Accommodation เมอ่ื บคุ คลรับ ข้อมูลใหม่ๆ บคุ คลจะนาขอ้ มูลใหมท่ ร่ี บั มาเช่อื มโยง สมั พันธส์ ร้าวปฏสิ มั พนั ธก์ บั ขอ้ มลู เกา่ ๆ ทมี่ อี ยมู่ นความคิด แล้วสรา้ งข้อสรุป หรือองคค์ วามรใู้ หมๆ่ ของตนเองขึ้นมา ทาใหค้ วามคิดเริ่มพัฒนาขึน้ กระบวนการพฒั นา ความคิดและสติปญั ญาเปน็ ไปตามลาดบั ขัน้ ตอน การคิดในขั้นตอนหนง่ึ จะแตกต่างจากการคิดในขนั้ ตอนอน่ื เพราะการพฒั นาการคดิ จากข้ันตอนหนึ่งไปสู่ขั้นตอนอื่นมีพฒั นาการทั้งปริมาณและคุณภาพ การคิดในขน้ั ตอ่ ไปจึงพฒั นาเพ่ิมข้นึ ทุกมิติ ทัง้ นี้ทงั้ นัน้ กระบวนการพฒั นาความคดิ และสตปิ ัญญาขึน้ กบั วุฒิภาวะและการ เรยี นรขู้ องแตล่ ะบคุ คล ลาดับขัน้ ของการพัฒนาความคิดและสตปิ ญั ญาจะเป็นแบบแผนเดียวกันทกุ คน แต่

49 ช่วงเวลาในแต่ละขนั้ ของการพฒั นาความคิดและสตปิ ัญญาแตกตา่ งกนั ทงั้ ปริมาณและคุณภาพ ขึ้นกบั อิทธพิ ล ของพนั ธกุ รรมและสงิ่ แวดลอ้ ม การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพฤตกิ รรมเด็ก ดาเนินการตามวธิ สี งั เกตพฤติกรรมตรง กลา่ วคือ ในแตล่ ะวัน ของแต่ละวยั นัน้ เพียเจต์ได้ศึกษาและบันทกึ พฤติกรรมอยา่ งละเอยี ด จนสามารถกาหนดเปน็ บรรทดั ฐานแบบ แผนพฤติกรรมของเดก็ และไดส้ รุปเป็นแนวคดิ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญั ญาของชวี ิตมนุษย์ ทีร่ จู้ กั กัน แพรห่ ลายในช่อื “Cognitive Development Theory” เพยี เจต์แบง่ ขัน้ ตอนพัฒนาเปน็ 4 ขนั้ ดังนี้ Formal Operations มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง Concrete Operations Preoperational Sensory Motor แรกเกดิ 2 ปี 7 ปี 11 ปี ภาพแสดงขน้ั พัฒนาการชีวิตมนุษย์ตามแนวคิดของเพยี เจต์ ขนั้ ที่ 1 Sensorimotor period ชว่ งอายตุ ้ังแตแ่ รกเกดิ จนถึงอายุ 2 ปี โดยประมาณ คาวา่ Sensory หมายถงึ การสมั ผสั ตา่ งๆ เช่นการเหน็ การได้ยนิ การรู้รส และการรสู้ ึกทีผ่ ิวหนงั ส่วนคาวา่ Motor เป็นกริ ยิ าอาการเคลอื่ นไหวตา่ งๆ เชน่ การลูบคลา การคบื คลาน การเออ้ื มหยบิ ฉวย ตลอดจนการเสาะแสวงหา ทง้ั หลาย รวมความว่าวัยSensory-motor น้ีเป็นระยะทีเ่ ดก็ มีการซกุ ซนเคลื่อนไหวอยู่ไม่สขุ ซึง่ เพยี เจต์อธิบาย ว่าเป็นความพยายามเขา้ ใจส่งิ แวดลอ้ มของเดก็ โดยอาศัยประสาทสมั ผัสและอวยั วะมอเตอร์ ทั้งนีเ้ ป็นการ เรยี นรู้พืน้ ฐานในการสรา้ งสตปิ ญั ญาของเด็กและเป็นการเรียนรคู้ วามแตกตา่ งระหว่างตนเองกบั สง่ิ แวดล้อม ในช่วงอายนุ ้ี เรยี กว่าชว่ งต้นของชวี ิต ทารกเรยี นรเู้ กีย่ วกบั โลกภายนอกผา่ นการรับสมั ผัสและการ เคลื่อนไหว พฤติกรรมท่ีแสดงออกมาเป็นปฏกิ ริ ยิ าสะท้อน(Reflect Action) ยังไมเ่ ก่ียวกบั การเรยี นรู้ เช่น การดูดนิ้ว การไขวค่ ว้าสิ่งของ ทารกอายุตา่ กวา่ 6 เดอื นรับรูว้ า่ ถา้ ไม่เหน็ สิง่ ใด แปลวา่ ไม่มสี งิ่ น้ัน เม่อื อายุ มากกว่า 6 เดือนการรับรเู้ กยี่ วกบั วัตถุมีลกั ษณะคงที่ ถาวร เด็กจะมีวธิ ีแกป้ ัญหางา่ ยๆ เชน่ เอาตุ๊กตาไปซอ่ นใต้ ผา้ หม่ เดก็ จะผลกั ผ้าหม่ ออกก่อนเพื่อค้นหาตุก๊ ตา ขั้นที่ 2 Preoperational period อายใุ นช่วง 2-7 ปี ซ่งึ เปน็ วัยทเี่ ดก็ เรม่ิ พฒั นาการใช้สญั ลกั ษณ์ ตา่ งๆ ในการทาความเข้าใจและแสดงออกกบั สง่ิ แวดลอ้ ม มีการเรยี กชอ่ื สงิ่ ของแม้วา่ บางครง้ั เด็กจะสบั สน เกีย่ วกับสง่ิ ของตา่ งๆ อยบู่ ้าง แตเ่ ดก็ จะพยายามใชภ้ าษาในการสอื่ สาร อนึ่งเดก็ ในวยั น้จี ะเรม่ิ ใชเ้ หตผุ ลบาง ประการซงึ่ แตกตา่ งจากผใู้ หญ่ การคิดของเดก็ ยังไมใ่ ช่แบบตรรก เชน่ เกยี่ วกับปรมิ าณของน้าในภาชนะทีม่ ี ขนาดต่างกนั เดก็ จะรบั รู้ว่าปรมิ าณมากนอ้ ยตามระดับนา้ ทม่ี องเหน็ โดยไม่คานึงถึงส่งิ แวดลอ้ มอื่นๆ สามารถ คิดเก่ยี วกับสิง่ ของได้เพียงด้านเดยี ว ยงั ไมส่ ามารถคิดจากมุมมองของผอู้ ่ืนได้ เดก็ วยั นี้ยึดถือตวั เองเป็น ศนู ยก์ ลาง(Ego centric Behavior) และไมร่ ับรรู้ บั ทราบความคดิ ผ้อู ่นื

50 ขัน้ ท่ี 3 Period of Concrete Operations ช่วงอายปุ ระมาณ 7-11 ปี การเรียนร้เู ก่ียวกบั เรอื่ งคดิ คานวณตวั เลขจะเรม่ิ จากการบวกลบจานวนตา่ งๆ เดก็ มีความคดิ เขา้ ใจสิ่งแวดลอ้ มทเ่ี ปน็ รปู ธรรมได้ โดย สามารถสรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างสง่ิ หรอื เหตุการณต์ ่างๆ ทเี่ กยี่ วเน่อื งกนั เชน่ ความเยน็ -น้า-เปยี ก เป็นต้น เริม่ เข้าใจสง่ิ แวดล้อมต่างๆ อยา่ งมเี หตมุ ผี ลได้ สามารถจัดประเภทหรอื จดั สิง่ แวดลอ้ มเปน็ หมวดหมู่ เข้าใจ ความสมั พันธ์ของส่ิงแวดลอ้ มโดยสามารถเปรียบเทียบ และจดั ลาดบั วา่ สิ่งใดมากกว่า น้อยกวา่ ใหญก่ ว่า และ เขา้ ใจวา่ การเปรยี บเทียบไม่ใชส่ ง่ิ แนน่ อนตายตวั เพราะตอ้ งพิจารณาด้วยว่าเปรียบเทยี บกับอะไร เด็กสามารถ คดิ ดว้ ยเหตุและผล ประยุกตเ์ กยี่ วกบั สถานการณแ์ ละวัตถุทเ่ี ปน็ รปู ธรรม ทักษะทางความคดิ ทีเ่ ด่นชัดของวัยน้ี คือ การเขา้ ใจความคงที่ของวตั ถุ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ขนั้ ท่ี 4 Period of Formal Operations อยใู่ นชว่ งอายุ 11 ปขี ้ึนไปจนถึงวัยผ้ใู หญ่ ซงึ่ เป็นวัยที่ เด็กใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกและคดิ ทบทวนไปมาไดอ้ ย่างว่องไว เด็กจะมคี วามคดิ สร้างสรรค์ โดยเร่ิมตั้งแต่นาขอ้ มูล มาสร้างสมมติฐาน และสร้างข้อสรปุ กฎเกณฑ์ต่างๆ จากการทดสอบข้อสันนษิ ฐานของตน กระบวนการคดิ ที่ แตกฉานและการเรียนรูส้ ง่ิ แวดล้อมทเ่ี ป็นนามธรรมจะปรากฏเด่นชัดข้ึน ในวัยนีจ้ ะมีการคาดคะเน ปรากฏการณ์หรอื เหตุการณต์ ่างๆ อย่เู สมอ ทง้ั น้เี ป็นพนื้ ฐานการคิดหาคาตอบเม่ือเกดิ ปญั หาขน้ึ ในชีวิตของ มนุษย์ แต่บางคนไมส่ ามารถพฒั นาความคดิ ให้อยูใ่ นขน้ั น้ไี ดเ้ นอื่ งจากการขาดการศกึ ษา ความสามารถ ทาง ภาษา พฒั นาการทางดา้ นอารมณ์และบุคลกิ ภาพ และอทิ ธพิ ลทางวฒั นธรรมทแ่ี ตกต่างกนั สง่ ผลตอ่ พฒั นาการ ทางสตปิ ญั ญาของบุคคลนน้ั (กงิ่ แกว้ ทรพั ยพ์ ระวงศ.์ 2558. หนา้ 92-94)

51 ตารางสรปุ ลักษณะพฒั นาการในแตล่ ะข้ันตามแนวคดิ ของเพยี เจต์ ขั้นพัฒนาการ ลักษณะพฒั นาการ 1. ขัน้ ใช้ประสาทสัมผสั และกล้ามเนอื้ - รวู้ ่าน่นั เปน็ วตั ถุ ซ่ึงแตกตา่ งจากตัวฉัน ( Sensorimotor period ) ตงั้ แตเ่ กิดถงึ 2 ปี - รู้จกั แสวงหาส่ิงเรา้ รจู้ ดจาสงิ่ น่าสนใจ - ภาษาพูดยงั พัฒนาไมเ่ ต็มที่ เข้าใจเรอ่ื งราวเพราะ ได้ใชป้ ระสาทสมั ผัส รวู้ ่าวัตถุท่ีมอี ยูต่ อ้ งทรง สภาพเดิมเสมอ แม้วา่ จะมกี ารเปลี่ยนแปลง สถานที่และทศิ ทาง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 1 ขั้นเริม่ คดิ เรมิ่ เข้าใจ (Preoperational thought period) ก. คิดเบื้องตน้ (Pre - operational) อายุ 2–4 ปี - คดิ เอาแต่ใจตวั - ไม่เขา้ ใจความคดิ ของผอู้ นื่ - เห็นความเหมอื น แต่ไมเ่ หน็ ความแตกตา่ ง ฉะน้ัน ถา้ วัตถสุ องอยา่ งมีความคล้ายกันในบางลกั ษณะ วัตถุทง้ั สองอยา่ งน้ันยอ่ มเหมอื นกนั ในลกั ษณะอน่ื ข. คิดออกเอง โดยไม่ต้องใชเ้ หตผุ ล (Intuitive) ๆ ทั้งหมด อายุ 4-7 ปี - รู้จักแยกประเภทและแบง่ ช้ัน เข้าใจเรื่องความ เก่ยี วพนั เขา้ ใจเลขจานวน สามารถคดิ ออกโดย ไมต่ อ้ งใชเ้ หตผุ ล แต่ใชค้ วามคล่องแคล่วในเชิง เปรยี บเทียบแทน เพราะรจู้ กั แบง่ พวกแบง่ ช้ันแลว้ เรมิ่ พฒั นาการความคิดเรอ่ื งการทรงสภาวะของ วตั ถุ การทรงสภาวะของสาร ( อายุ 5 ปี ) การทรงสภาวะของน้าหนกั ( อายุ 6 ปี ) การทรงสภาวะของปรมิ าตร ( อายุ 7 ปี ) 3. ขน้ั ใช้ความคดิ เชิงรปู ธรรม ร้จู ักคิดอย่างใชเ้ หตผุ ล สามารถคดิ ยอ้ นกลบั ได้ (Concrete operation) อายุ 7 – 11 ปี ( ในเชิงเลขคณิต) รจู้ ักแบง่ แยก จดั หมวดลาดบั ขั้น รจู้ กั จดั องคป์ ระกอบตามลดหลัน่ จากเล็กไปหาใหญ่ 4. ขน้ั ใช้ความคดิ เชงิ นามธรรม รจู้ ักคดิ โดยไมต่ ้องใช้วตั ถเุ ปน็ สอ่ื สามารถคิดเชิง (Formal operation) อายุ 11-15 ปี รปู ธรรม สามารถคิดรวบยอดได้ ร้จู ักคดิ วเิ คราะห์ ตีความหมาย และทดสอบสมมตุ ฐิ านได้ 7.4 Kohlberg’s Theory ลอเรนส์ โคลเบิรก์ (Lawrence Kohlberg) ผ้สู นใจความประพฤติถกู - ผิด-ดี-ชั่ว ของมนษุ ย์ หรือ เรียกว่า จริยธรรม(Moral) คาวา่ จริยธรรมหมายถงึ การแสดงออกทางพฤตกิ รรมตามที่สงั คมกาหนด เพ่อื ความ สงบสุข สนั ติของการอยรู่ ่วมกนั ในสังคม พฤตกิ รรมที่สงั คมต้องการใหบ้ คุ คลมี ได้แก่ พฤติกรรมทางศีลธรรม คุณธรรม เชน่ ความดี ความถกู ต้อง ความมีนา้ ใจ เออ้ื เฟอ้ื เผอ่ื แผ่ เมตตาตอ่ กันในฐานะมนษุ ย์ หรอื มมี นุษยธรรม

52 เป็นตน้ การพฒั นาจรยิ ธรรมให้สมาชกิ ใหมข่ องสงั คมมาจากการอบรมสง่ั สอน ถา่ ยทอด ขัดเกลาทางสังคมจาก รนุ่ สรู่ ุ่น พัฒนาการทางจริยธรรมเปน็ ผลรวมของพัฒนาการทางสตปิ ัญญากบั การเรยี นรทู้ างสังคมรว่ มกนั ไป พัฒนาการทางจริยธรรมของมนษุ ย์จะผ่านไปตามลาดบั ขั้น บนฐานของสตปิ ญั ญาและการเรียนรจู้ าก สังคมเปน็ บรรทัดฐานในการคดิ หาเหตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรม พฒั นาการทางจริยธรรมนเ้ี ปน็ แนวทางเดียวกันทท่ี ุกคน ในโลกนีใ้ ช้ในการพฒั นาจรยิ ธรรม บุคคลทพ่ี ฒั นาจริยธรรมไปถงึ ขน้ั สูงแล้ส อาจยอ้ นกลบั มาใช้จริยธรรมขั้นตา่ กวา่ ลงมาได้อกี เพราะอทิ ธพิ ลของอารมณ์ ความตอ้ งการผลประโยชน์ ความต้องการหลกี หนจี ากภัยอันตราย ต่างๆ ความต้องการอยรู่ อด และขอ้ อ้างอนื่ ๆ อีกมายมาย บางคนไม่มโี อกาสพัฒนาจริยธรรมไปถงึ ขั้นสูงได้ เพราะสติปญั ญา หรอื สภาพสงั คมไม่เออื้ อานวย (กิ่งแก้ว ทรพั ยพ์ ระวงศ.์ 2558. หนา้ 95-96) เมอื่ ปี ค.ศ. 1969 โคลเบิรก์ ไดศ้ กึ ษาค้นคว้าคา่ นิยมความดคี วามช่ัวของมนุษย์ โดยเสนอขน้ั พัฒนา จรยิ ธรรมของมนุษยด์ ังภาพข้างล่างน้ี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง Principled Conventional Preconventional วยั ก่อนไปโรงเรียน วัยเรียนและวัยรุน่ วัยผ้ใู หญ่ ภาพแสดงขั้นพฒั นาการจรยิ ธรรมตามแนวคดิ ของโคลเบิร์ก โคลเบอรก์ ไดศ้ กึ ษาพฒั นาการทางจริยธรรมของบคุ คลในหลายสงั คมและวฒั นธรรม ทั้งชาวตะวัน ตกและชาวตะวันออกแล้ว สรปุ ว่าการให้เหตุผลเชิงจรยิ ธรรมมี 3 ระดับ แต่ละระดับมี 2 ขั้นตอน ดังน้ี 1.ระดบั กอ่ นกฎเกณฑ์ (Preconventional Leve) อยใู่ นช่วงวยั เด็กตอนต้นกอ่ นเขา้ เรียน ช่วง เวลานเ้ี หตุผลของการทาความดีเปน็ เพราะกลัวถกู การลงโทษ หรือเพราะตอ้ งการผลประโยชน์ เช่น รางวลั ให้แก่ ตนเองมากกวา่ เหตผุ ลอ่ืน เปน็ ชว่ งที่เด็กมองโลกแบบชีวติ ต้องสเู้ ขาจะเข้าใจวา่ ความถกู ตอ้ งคอื การทาอะไรกไ็ ด้ ทไี่ ม่ถูกจบั ได้ ส่วนความไมถ่ ูกตอ้ งคือการที่เขาโดนจบั ได้ เพราะฉะนน้ั เดก็ อาจจะคดิ ว่าการขโมยของเพอ่ื นไม่ ถอื วา่ เปน็ ความผิดถา้ ไมโ่ ดนจบั ได้ ในชว่ งนี้ของวยั ความถูก-ผดิ ขน้ึ อยู่กบั ส่ิงทีป่ รากฏชัดเจนไมเ่ ก่ียวกบั สาเหตุ ของการกระทาทอ่ี าจจะมีแรงจูงใจอน่ื ๆ อยเู่ บอื้ งหลงั การกระทานั้นๆ เหตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรมในระดบั นมี้ ี 3 ขนั้ ตอน ดังน้ี 1.1 หลักการหลบหนีไม่ใหถ้ กู ลงโทษ เป็นหลกั หรอื เหตผุ ลของการกระทาซึง่ เดก็ ทมี่ ีอายุตา่ กว่า 7 ขวบใชม้ าก เด็กยังเป็นบคุ คลทีต่ อ้ งพงึ่ พาและอยใู่ นอานาจของผ้ใู หญ่มากจงึ มีความจาเปน็ จะตอ้ งเชอ่ื ฟังคาสงั่ เดก็ เล็กๆ เขา้ ใจคาว่า ความดี ไปในความหมายวา่ คอื สง่ิ ที่ทาแล้วไมถ่ กู ลงโทษ ตัวอยา่ งเหตผุ ลของการกระทา ของเดก็ เช่น เด็กจะไมห่ ยิบเงนิ ก่อนไดร้ บั อนญุ าต ไมพ่ ดู คาหยาบเพราะกลวั ถูกดุ ยอมสฟี ันหลงั อาหารเพราะ กลัวพ่อดุ ไมห่ ยิบขนมกนิ ก่อนไดร้ บั อนญุ าตเพราะกลวั แม่ตี เป็นตน้ 1.2 หลักการไดร้ บั รางวัล เดก็ เลก็ ๆ น้ันจะถกู ผู้ใหญด่ วุ ่าและเฆยี่ นตอี ย่เู สมอ จนรสู้ ึกเปน็ ของ ธรรมดาเม่อื อายมุ ากข้นึ เดก็ อายรุ ะหวา่ ง 7-10 ขวบจะคอ่ ยๆ เห็นความสาคญั ของการไดร้ บั รางวลั หรอื คา ชมเชย เด็กจะเลอื กกระทาในส่งิ ท่นี าความพอใจมาใหต้ นเทา่ นัน้ และคาดหวังวา่ ทาอะไรแลว้ จะไดร้ ับคาชม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 53 หรือรางวลั เสมอ ฉะนัน้ วิธีการจูงใจให้เดก็ กระทาความดจี งึ ควรจะใช้วธิ ใี หส้ ญั ญาวา่ จะให้รางวลั มากกว่าการขู่ ว่าจะลงโทษจงึ จะเป็นผลดีในเดก็ โต เด็กในขนั้ นี้จะมแี รงจงู ใจท่ีจะกระทาสิง่ ทจ่ี ะเปน็ ผลดแี ก่ตน เช่น เดก็ หญงิ จะชว่ ยบิดารดนา้ ต้นไมเ้ พือ่ จะไดร้ ับคาชมเชย เด็กชายจะไมย่ า่ ดนิ เป็นรอยเทา้ เขา้ บ้าน เพื่อบิดามารดาจะไดห้ า ขนมอรอ่ ยๆ ไว้ให้กินเม่อื กลบั จากโรงเรียน 2.ระดบั ตามกฎเกณฑ์ (Conventional Leve) อยใู่ นวัยเรียนจนถึงวัยรุ่น ช่วงน้ีเดก็ จะยึดถือ กฎระเบียบต่างๆ ตามที่ได้รบั การสง่ั สอนอบรมมากกว่าทีจ่ ะคดิ เองทาเอง เพราะตอ้ งการการยอมรบั จากกลมุ่ โดยเฉพาะคาสงั่ ของบคุ คลทเ่ี ปน็ หวั หนา้ หรือผูม้ อี านาจจะบดบงั ความสามารถของตนเองในการคดิ ท่ีจะทาส่ิงที่ ควรตา่ งๆ เหตผุ ลเชิงจริยธรรมในระดับนมี้ ี 2 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 2.1 หลกั การทาตามความเห็นชอบของผอู้ ื่น เด็กทย่ี ่างเขา้ สูว่ ยั รนุ่ จะให้ความสาคัญแกก่ ลมุ่ เพื่อน รุน่ ราวคราวเดยี วกับตนมาก เด็กพวกน้ีส่วนมากจะทาในสง่ิ ทต่ี นคิดวา่ คนอืน่ จะเหน็ ด้วยเพอื่ ใหเ้ ปน็ ทช่ี อบพอ ของเพอ่ื นฝูงและเปน็ ทย่ี อมรบั ของกล่มุ เพอ่ื น หลักการข้ันนจ้ี ะใชม้ ากในเดก็ อายุ 13 ปี และจะมีใชน้ ้อยลง กว่าเดมิ ในเดก็ อายุ 16 ปี ตัวอยา่ งเชน่ วัยรนุ่ หญงิ ต้องการจะนุง่ กระโปรงสัน้ ตามสมยั เพื่อเพื่อนๆ จะได้ไม่คิด ว่าตนเชย วัยรุ่นชายไม่ยอมตดั ผมสั้นเกรียนเพราะกลัวเพือ่ นๆ จะลอ้ ว่าเปน็ ลุง 2.2หลักการทาหนา้ ที่ เด็กวยั รนุ่ ตอนกลางจะมีความเจรญิ ทางปญั ญาและไดร้ บั ความรู้และ ประสบการณ์มากพอทจี่ ะรวู้ ่าในสงั คมประกอบด้วยคนกลุ่มต่างๆ แต่ละกลมุ่ จะมกี ฎเกณฑใ์ หส้ มาชกิ ยึดถอื และ บางกล่มุ จะมเี จา้ หนา้ ทที่ าการรกั ษากฎเหล่าน้นั เด็กวยั ร่นุ ในขัน้ นจี้ ะตระหนักถงึ หนา้ ทีข่ องตนในกลมุ่ ตา่ งๆ และมีศรทั ธาตอ่ กฎเกณฑข์ องกลมุ่ มากพอสมควร ฉะนนั้ จงึ จาเป็นทผ่ี ูป้ กครองจะดูแลแนะนาใหเ้ ดก็ วยั รนุ่ ของ ตนไดเ้ ข้ากลุม่ ที่ดี เพอื่ เด็กจะได้ทาตามกฎเกณฑ์ท่เี ปน็ ประโยชนต์ อ่ สังคม แต่ถ้าเดก็ วัยนี้ไดเ้ ขา้ ไปอย่ใู นกลุ่มท่ี เลวทรามบอ่ นทาลายสงั คม เด็กจะปฏบิ ัติตวั ตามกฎเกณฑ์ของกลมุ่ นัน้ ซงึ่ อาจจะทาให้เกิดผลเสียตอ่ สงั คมได้ 3.ระดบั เหนือกฎเกณฑ์ (Principled Level) วยั ผใู้ หญ่ การทาความดีเป็นไปตามวจิ ารณญาณของ บุคคล คานึงถงึ ผลประโยชน์สว่ นรวม ความยตุ ธิ รรมจามคุณธรรมสากลยอมรบั กันท่ัวโลก บุคคลสามารถท่จี ะ สร้างคณุ ธรรมประจาตนเองได้อยา่ งกวา้ งขวางและยงั เป็นประโยชนต์ อ่ มวลมนษุ ย์ด้วย เช่น การสร้างวิธตี อ่ สู้ แบบอหิงสาของมหาตมะ คานธี เม่ือปี ค.ศ.1930-1940 ในประเทศอินเดยี เป็นตน้ อนงึ่ ในการบรรลถุ ึง คุณธรรมขนั้ นีม้ ิใช่วา่ จะมีขนึ้ ไดก้ บั ทุกคนและคนสว่ นมากกม็ กั จะอยู่ในระดับ Conventional หรือไม่ก็ขั้น Preconventional เทา่ นนั้ เหตผุ ลเชงิ จริยธรรมในระดบั น้ีมี 2 ข้นั ตอน ดังนี้ 3.1หลักการมีเหตมุ ผี ลและการเคารพตนเอง เปน็ ขั้นของการพฒั นาจรยิ ธรรมทพี่ บมากในผใู้ หญ่ และอาจจะมีในวยั ร่นุ ตอนปลายบางคนดว้ ย สว่ นในวยั เดก็ น้ันหาไดน้ อ้ ยมากหรอื ไมม่ เี ลย บุคคลทีใ่ ช้หลักขนั้ น้ี จะมีการกระทาทพ่ี ยายามจะหลบหลกี มใิ หถ้ ูกตราหน้าวา่ เปน็ คนขาดเหตุผล เป็นคนไมแ่ น่นอน ใจโลเลและ เปน็ คนที่ไมม่ หี ลักยดึ ไม่มจี ดุ มุ่งหมายท่แี น่นอน คาว่า หน้าที่ ของบุคคลในขั้นนี้หมายถึง การทาตามทต่ี นเอง ตกลงหรอื ใหส้ ญั ญาไวก้ ับผู้อืน่ ไม่พยายามท่ีจะลดิ รอนสทิ ธิของผอู้ ืน่ เหน็ แก่ประโยชนส์ ว่ นรวมมากกวา่ ส่วนตน มีความเคารพตนเองและต้องการใหผ้ ู้อนื่ เคารพตนดว้ ย 3.2หลกั การทาตามอุคมคติสากล ขัน้ สงู สดุ ในการพฒั นาจริยธรรมนจี้ ะพบในผใู้ หญท่ ี่มีความเจริญ ทางสตปิ ญั ญา มีประสบการณแ์ ละความรู้อย่างกวา้ งขวางเกย่ี วกบั สังคมและวฒั นธรรมของตนเองและของกลุ่ม อืน่ ๆในโลก บคุ คลทใ่ี ชห้ ลักขัน้ สูงสุดนี้ จะเป็นผู้ทร่ี บั เอาความคิดเห็นทเ่ี ป็นสากลของผู้ทเี่ จริญแลว้ และมสี ายตา และความคิดท่ีกวา้ งไกลไปกว่ากลมุ่ และสงั คมทตี่ นเป็นสมาชกิ อยู่ บคุ คลประเภทนจี้ ะมอี ุดมคติหรือคณุ ธรรม

54 ประจาใจ เชน่ มหี ิรโิ อตตัปปะคอื มีความละอายใจในการที่ตนจะทาความชัว่ มคี วามกรงกลวั ต่อบาปถงึ แมจ้ ะ รอดพน้ ไมถ่ ูกผู้ใดลงโทษ พัฒนาการทางจริยธรรมของเดก็ ขนึ้ กบั การปฏบิ ตั ิตวั ของพอ่ แม่ เมือ่ เดก็ โตขนึ้ มีพฒั นาการทาง สติปัญญาสงู ข้นึ การสง่ เสริมใหเ้ ด็กคิดหาเหตผุ ลในการกระทาตา่ งๆ มีอิสระทางความคิด เป็นตวั ของตวั เอง จะเปน็ แนวทางการสง่ เสรมิ การพฒั นาจรยิ ธรรมของเด็ก เพราะการกา้ วไปสู่จดุ สูงสดุ ทางจรยิ ธรรม จะต้องเป็นผู้ สามารถใช้สตปิ ญั ญาในการตดั สนิ วินิจฉยั สง่ิ ๆตา่ งได้อย่างเหมาะสม แกก่ าลเทศะ โดยไม่ยดึ กบั กฎเกณฑ์ตา่ งๆ ทางสงั คม (ณัฐภร อนิ ทยุ ศ.2556 หนา้ 139-140) 8. บทสรุป การพัฒนาของมนุษย์เรมิ่ ตง้ั แตว่ ยั ทารก และพัฒนาตอ่ เนอ่ื งมาตลอด การศกึ ษาพฒั นาการของมนษุ ย์ ศกึ ษาใหค้ รบทงั้ ทางดา้ นสติปญั ญา อารมณ์ สงั คม มีหลายแนวคดิ ทฤษฎใี ช้อธบิ ายพฒั นาการของมนุษย์ ในแต่ ละแนวคิดทฤษฎีมีมมุ มองการทาความเข้าใจพฤตกิ รรมมนุษยต์ ่างกนั เกยี่ วกบั สาเหตกุ ารแสดงออก และ แนวทางการปรบั ตัวเพ่อื ใหอ้ ยูร่ ่วมสงั คมต่อไปได้ วิธกี ารปรบั ตวั ของมนษุ ยม์ ที ง้ั ทางบวกแลทางลบพร้อมอธิบาย สาเหตขุ องการปรบั ตวั อ้างอิง ก่ิงแก้ว ทรัพยพ์ ระวงศ,์ รศ. 2558. จิตวิทยาทั่วไป.กรุงเทพมหานคร:สานักพมิ พม์ หาวิทยาลัยกรงุ เทพ จริ าภรณ์ ตัง้ กิตตภิ ากรณ.์ 2259. จติ วทิ ยาบคุ ลิกภาพและพฤติกรรมสุขภาพ.กรงุ เทพมหานคร:สานกั พิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย พรรณทพิ ย์ ศิริวรรณบศุ ย.์ 2556.ทฤษฎจี ิตวทิ ยาพัฒนาการ.กรงุ เทพมหานคร:สานกั พมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ณัฐภร อนิ ทุยศ. 2556. จติ วทิ ยาท่ัวไป.กรงุ เทพมหานคร: สานกั พมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั กิจกรรมทา้ ยบท 1. สะทอ้ นคดิ พฒั นาการของบคุ ลกิ ภาพของตวั เอง 2. อธบิ ายสาเหตุของปญั หาเดก็ สมาธิส้นั 3. เขยี นแผนผังพัฒนาการทางความคดิ และสตปิ ญั ญาจากวยั ทารกถึงวัยเดก็ ตอนปลาย 4. เขยี นแผนผังพัฒนาการทางอารมณจ์ ากวัยทารกถึงวัยเด็กตอนปลาย 5. เขยี นแผนผังพัฒนาการทางสงั คมจากวยั ทารกถึงวัยเด็กตอนปลาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

55 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 3 หัวขอ้ เน้ือหา 1. บทนำ 2. กลมุ่ ใหญ่ท่ี 1 ทฤษฎีเกย่ี วกบั กำรเรยี นร้ใู นช่วงก่อนครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 2.1 กลุ่มยอ่ ยท่ี 1 เน้นกำรฝึกจติ หรอื สมอง (Mental Discipline) 2.2 กลมุ่ ยอ่ ยท่ี 2 เน้นกำรพฒั นำไปตำมธรรมชำติ (Natural Unfoldment) 2.3 กลุ่มยอ่ ยท่ี 3 เน้นกำรรบั ร้แู ละเช่อื มโยงควำมคดิ (Apperception หรอื Herbartianism) 3. กลมุ่ ใหญท่ ่ี 2 ทฤษฎีเก่ียวกบั กำรเรียนรใู้ นช่วงครสิ ต์ศตวรรษที่ 20 3.1 กลมุ่ ย่อยที่ 1 กลุ่มพฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism) 3.2 กล่มุ ยอ่ ยท่ี 2 กลุ่มพทุ ธนิ ิยมหรอื ควำมรู้ควำมเข้ำใจ (Cognitivism) 3.3 กลุ่มยอ่ ยที่ 3 กลุม่ มนุษยนิยม (Humanism) 3.4 กลุ่มย่อยท่ี 4 กลุม่ ผสมผสำน (Eclecticism) 4. บทสรปุ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. สำมำรถนำทฤษฎีกำรเรยี นรู้มำใช้กับเดก็ ไดเ้ หมำะสม 2. สำมำรถอธบิ ำยทฤษฎกี ำรเรยี นรไู้ ดถ้ ูกต้อง 3. สำมำรถนำทฤษฎกี ำรเรียนรู้ไปวำงแผนกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนได้ 4. สำมำรถปฏบิ ัตติ อ่ เด็กประถมได้เหมำะสมตำมหลกั จติ วิทยำพัฒนำกำร วิธสี อนและกิจกรรมการเรยี นการสอน 1. วิธสี อน 1.1 วิธีสอนแบบใช้ครพู เ่ี ลย้ี ง (Tutorial Method) 1.2 วิธสี อนแบบนริ นยั (Deductive Method) 1.3 วิธีสอนแบบศกึ ษำด้วยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธีสอนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธสี อนแบบแบง่ กลมุ่ ระดมพลงั สมอง 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศกึ ษำดูวดี ทิ ัศนท์ ี่แสดงตัวอย่ำงปญั หำเด็กสมำธสิ น้ั ตำ่ ง ๆ อำจำรยก์ ระตุ้นใหส้ งั เกตและตอบ คำถำมเกีย่ วกบั ปญั หำเด็กสมำธสิ ้นั ต่ำง ๆ ตัง้ คำถำมให้นกั ศกึ ษำช่วยกนั คดิ หำคำตอบว่ำปญั หำเดก็ สมำธสิ ้นั ก่อ เกิดปญั หำอะไรในกำรเรียน 2.2 นักศกึ ษำคน้ หำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพอื่ คน้ หำทฤษฎกี ำรเรยี นรทู้ ่ีเหมำะสม 2.3 อำจำรยช์ กั ชวนค้นหำเหตุผล อธบิ ำยประเด็นสำคญั เรอ่ื งทฤษฎกี ำรเรยี นรทู้ เ่ี หมำะสมกบั เด็ก สมำธสิ ้ัน 2.4 นักศึกษำตั้งกล่มุ ย่อย อภปิ รำยประเดน็ ปญั หำกำรนำทฤษฎีกำรเรียนร้ทู เ่ี หมำะสมมำใชก้ บั เด็ก สมำธิส้ันตำ่ งๆ

56 2.5 อำจำรย์จดั สมั นำให้นกั ศกึ ษำหำเหตุผลปญั หำกำรนำทฤษฎกี ำรเรียนรทู้ เ่ี หมำะสมมำใชก้ ับเดก็ สมำธสิ นั้ ต่ำงๆ เพ่ือนร่วมชั้นแสดงควำมคดิ เหน็ ตอ่ อย่ำงมมี ำรยำทในกำรสมั นำ อำจำรย์ให้ควำมเหน็ อธบิ ำยให้ นกั ศึกษำไดแ้ ลกเปลยี่ นเรยี นรู้รว่ มกัน 2.6 นักศกึ ษำศกึ ษำทฤษฎีกำรเรยี นรู้ของเด็กปกติจำกเอกสำรประกอบกำรสอน 2.7 นักศึกษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และร่วมอภิปรำยเพือ่ สรปุ เนอ้ื หำทีไ่ ดเ้ รียนรู้ 2.8 อำจำรย์มอบหมำยใหน้ กั ศึกษำสะทอ้ นคดิ เปน็ รำยบคุ คล สื่อการเรียนการสอน 1. ไฟล์วีดิทัศน์แสดงตัวอย่ำงเดก็ สมำธสิ น้ั 2. กระดำษฟลปิ ชำรท์ เขียนแผนผงั กำรนำทฤษฎีกำรเรยี นรทู้ ีเ่ หมำะสมมำใชก้ บั เดก็ สมำธสิ ้ัน 3. เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวชิ ำกำรสอนสงั คมศึกษำ 1 การวดั ผลและประเมินผล 1. วดั และประเมินผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วดั และประเมินผลจำกกำรอภิปรำย สมั มนำ 3. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรสะทอ้ นคดิ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

57 บทท่ี 3 ทฤษฎีการเรยี นรู้ 1.บทนา ทฤษฎีการเรียนรู้ เป็นทฤษฎสี าคญั อกี เร่ืองหนึ่งทจ่ี ะตอ้ งศึกษากอ่ นการจัดการเรยี นรู้ ทฤษฎีการ เรยี นรูต้ า่ ง ๆ จะทาใหผ้ สู้ อนเข้าใจกระบวนการจัดการเรยี นรู้ ซึ่งจะสง่ ผลโดยตรงกบั ผเู้ รยี นในการจดั การเรยี นรู้ ศาสตรก์ ารสอน: องค์ความรเู้ พือ่ การจดั การเรยี นรทู้ มี่ ปี ระสทิ ธิภาพของทศิ นา แขมมณี (2562)ได้สรปุ แนวคดิ และแนวปฏบิ ตั ิของทฤษฎกี ารเรียนรู้ไว้ ต้ังแต่แนวคิดเก่ียวกบั การกระทาหรือพฤตกิ รรมของมนษุ ย์มี 3 แนวคดิ ดังน้ี แนวที่ 1 เชอื่ ว่าพฤตกิ รรมหรือการกระทาของมนษุ ย์ เกิดขน้ึ จากแรงกระตุน้ ภายในตนเอง แนวท่ี 2 เชือ่ วา่ พฤติกรรมหรือการกระทาของมนษุ ย์ เกิดขึน้ จากอิทธิพลของสิง่ แวดลอ้ ม แนวท่ี 3 เชือ่ ว่าพฤติกรรมหรอื การกระทาของมนุษย์ เกดิ ข้ึนท้ังจากสง่ิ แวดลอ้ มและจากแรงกระต้นุ ภายในตวั บุคคล ทฤษฎเี กี่ยวกับการเรยี นรจู้ ัดแบง่ โดยยึดคริสต์ศตวรรษท่ี 20 เปน็ หลกั ในการจดั กลุ่มได้ 2 กลุม่ ใหญ่ ดังนี้ กลมุ่ ใหญ่ท่ี 1 ทฤษฎเี กี่ยวกบั การเรยี นรูใ้ นช่วงกอ่ นครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 มี 3 กลมุ่ ยอ่ ย ได้แก่ กลุม่ ยอ่ ยที่ 1 เนน้ การฝกึ จิตหรอื สมอง (Mental Discipline) กลุ่มย่อยท่ี 2 เน้นการพฒั นาไปตามธรรมชาติ (Natural Unfoldment) กล่มุ ย่อยท่ี 3 เนน้ การรบั รู้และเชือ่ มโยงความคิด (Apperception หรือ Herbartianism) กลุ่มใหญท่ ี่ 2 ทฤษฎีเกย่ี วกบั การเรียนรใู้ นชว่ งคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20 มี 4 กลมุ่ ยอ่ ย ไดแ้ ก่ กลุ่มยอ่ ยที่ 1 กลมุ่ พฤตกิ รรมนิยม (Behaviorism) กลุ่มยอ่ ยท่ี 2 กล่มุ พทุ ธินยิ มหรือความร้คู วามเขา้ ใจ (Cognitivism) กลมุ่ ยอ่ ยที่ 3 กลุ่มมนษุ ยนิยม (Humanism) กลมุ่ ยอ่ ยที่ 4 กลุ่มผสมผสาน (Eclecticism) นอกจากนี้ ยงั มที ฤษฎีการเรยี นรแู้ ละการสอนร่วมสมยั เช่น ทฤษฎีกระบวนการทางสมองและการ ประมวลขอ้ มลู ทฤษฎีพหุปญั ญา ทฤษฎกี ารสร้างความรดู้ ว้ ยตนเองโดยการสรา้ งสรรคช์ นิ้ งาน และทฤษฎี การเรียนรู้แบบรว่ มมอื เปน็ ต้น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 2. กล่มุ ใหญท่ ี่ 1 ทฤษฎเี ก่ียวกบั การเรียนร้ใู นชว่ งก่อนคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20 ในช่วงกอ่ นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20 ทฤษฎเี กีย่ วกับการเรยี นรู้ทแี่ พรห่ ลายมาก สามารถจดั ได้เป็น 3 กลุ่ม ยอ่ ย ดงั น้ี 2.1 กลุม่ ยอ่ ยที่ 1. ทฤษฎที ี่เน้นการฝกึ จิตหรือสมอง (Mental Discipline) นกั คิดกล่มุ น้มี ีความเชอื่ ว่าจติ หรือสมองหรือสตปิ ญั ญา (mind) สามารถพฒั นาใหป้ ราดเปรอื่ งไดโ้ ดยการฝกึ เชน่ เดยี วกบั กล้ามเนอื้ ซง่ึ จะแขง็ แรงได้ดว้ ยการฝกึ ออกกาลงั กาย ในการฝกึ จติ หรอื สมองน้ี ทาได้โดยการใหบ้ ุคคลเรยี นรเู้ รอ่ื งท่ี ยากๆ ยง่ิ ยากมากเทา่ ไรจติ กจ็ ะได้รบั การฝกึ ใหแ้ ข็งแกรง่ ขนึ้ เทา่ นัน้ นกั คดิ กลุ่มนม้ี แี นวคิดแยกออกเป็น 2 กลุ่มยอ่ ย คือ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 58 2.1.1 กลมุ่ ทเี่ ช่ือในพระเจ้า (Theistic Mental Discipline) นักคดิ ท่ีสาคัญของกลมุ่ นี้ คือ เซนต์ ออกสุ ตนิ (St. Augustine) จอห์น คาลวนิ (John Calvin) และครสิ เตียน โวล์ฟ (Christian Wolff) นัก คิดกลมุ่ นม้ี ีความเชอ่ื ดังน้ี ก. ความเช่ือเกีย่ วกับการเรยี นรู้ 1.มนุษยเ์ กิดมาพรอ้ มกบั ความช่วั และการกระทาใด ๆ ของมนษุ ยเ์ กิดจากแรงกระตุ้น ภายในตัวมนษุ ย์เอง (bad-active) 2. มนษุ ย์พรอ้ มทจ่ี ะทาความชัว่ หากไมไ่ ดร้ บั การสั่งสอนอบรม 3.สมองของมนษุ ย์น้ันแบง่ ออกเป็นสว่ น ๆ (faculties) ซง่ึ หากได้รบั การฝกึ อย่างเหมาะสม จะชว่ ยทาใหเ้ กดิ ความเขม้ แข็ง สามารถแกไ้ ขปญั หาต่าง ๆ ได้ 4.การฝึกสมองหรือฝึกระเบยี บวินัยของจติ เป็นสง่ิ จาเปน็ ต่อการพฒั นาให้มนุษยเ์ ปน็ คนดี และฉลาด 5.การฝึกฝนสมองใหร้ จู้ กั คิด ตอ้ งใชว้ ิชาทีย่ าก เช่นวิชาคณิตศาสตร์ ปรชั ญา ภาษาลาติน ภาษากรกี และคมั ภรี ใ์ บเบลิ เปน็ ตน้ ข. หลกั การจัดการศึกษา/การสอน 1.การฝึกสมองหรือการฝกึ ระเบียบของจิตอย่างเข้มงวด เป็นสงิ่ สาคญั ในการฝึกใหบ้ คุ คล เป็นคนฉลาดและคนดี 2.การฝกึ จติ จะตอ้ งทาอยา่ งเข้มงวด เพ่ือใหจ้ ติ เขม้ แขง็ การบงั คบั ลงโทษเป็นสง่ิ จาเป็นถา้ ผ้เู รยี นไมเ่ ชือ่ ฟงั 3.การจัดใหผ้ ้เู รียนไดเ้ รยี นเน้ือหาวิชาที่ยาก ได้แก่ คณติ ศาสตร์ ปรชั ญา ภาษาลาตินและ ภาษากรกี จะช่วยฝึกฝนสมองให้เขม้ แขง็ ไดเ้ ปน็ อย่างดี 4.การจัดใหผ้ เู้ รยี นไดศ้ ึกษาคัมภีร์ใบเบิลและยึดถือในพระเจ้า จะช่วยใหผ้ เู้ รียนเป็นคนดี 2.1.2 กล่มุ ท่เี ช่ือในความมเี หตุผลของมนุษย์ (Humanistic Mental Discipline) นกั คดิ คนสาคญั ในกลุ่มนี้คอื พลาโต (Plato) และอรสิ โตเตลิ (Aristotle) นักคิดกลมุ่ น้มี คี วามเช่ือ ดังนี้ ก. ความเช่ือเกีย่ วกบั การเรียนรู้ 1.พฒั นาการในเรอื่ งต่าง ๆ เป็นความสามารถของมนุษย์ มิใช่พระเจ้าบนั ดาลให้เกดิ 2.มนษุ ย์เกิดมามลี กั ษณะไม่ดีไมเ่ ลวและการกระทาของมนุษย์เกิดจากแรงกระต้นุ ภายใน (neutral - active) 3.มนษุ ย์เป็นผู้มเี หตผุ ลพร้อมทจ่ี ะพัฒนาตนเอง มนษุ ยม์ อี สิ ระท่ีจะเลอื กทาตามความเข้าใจ และเหตผุ ลของตน หากไดร้ บั การฝึกฝนอบรมกจ็ ะสามารถพฒั นาศักยภาพท่ตี ิดตวั มา 4.มนษุ ยม์ คี วามรู้ติดตวั มาตั้งแต่เกิดแตถ่ ้าขาดการกระตุน้ ความร้จู ะไมแ่ สดงออกมา ข. หลักการจดั การศึกษา/การสอน 1. การพัฒนาให้ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรูค้ ือการกระต้นุ ความรใู้ นตวั ผูเ้ รยี นให้แสดงออกมา 2. การพฒั นาผ้เู รยี นไม่จาเป็นต้องใช้การบงั คบั เค่ยี วเข็ญ แต่ควรใช้เหตผุ ลเพราะมนุษยเ์ กดิ มาพร้อมกบั ความสามารถในการใช้เหตผุ ล 3. การใชว้ ิธีสอนแบบโสเครตีส (Socratic Method) คือการใชค้ าถามเพ่อื ดงึ ความร้ใู นตัว ผเู้ รียนออกมาใหเ้ หน็ กระจ่างชดั เปน็ วิธสี อนทีจ่ ะช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรไู้ ดด้ ี 4. การใช้วิธีสอนแบบบรรยาย (Didactic Method) คือการสอนทใ่ี ชค้ าถามฟนื้ ความจาของ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 59 ผเู้ รยี นแลว้ เพมิ่ เตมิ ประสบการณใ์ ห้แกผ่ เู้ รยี น เป็นวธิ ีสอนทจ่ี ะช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรไู้ ด้ดีอกี วธิ ี หน่งึ 2.2 กลุม่ ยอ่ ยท่ี 2. ทฤษฎขี องกลุ่มทีเ่ น้นการพฒั นาตามธรรมชาติ (Natural Unfoldment) นัก คิดคนสาคัญในกล่มุ น้ีคือรสุ โซ (Rousseau) ฟรอเบล (Froebel) และเพสตาลอสซี (Pestalozzi) นกั คิดกลุม่ น้ี มีความเชอ่ื ดังนี้ ก.ความเชื่อเกี่ยวกบั การเรียนรู้ 1.มนษุ ยเ์ กดิ มาพร้อมกับความดแี ละการกระทาใด ๆ เกดิ ข้ึนจากแรงกระต้นุ ภายในตัวมนษุ ย์เอง (good-active) 2.ธรรมชาตขิ องมนษุ ยม์ คี วามกระตือรอื ร้นท่ีจะเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเอง หากไดร้ บั เสรีภาพใน การเรียนรมู้ นษุ ยก์ ็จะสามารถพัฒนาตนเองไปตามธรรมชาติ 3.รุสโซ มคี วามเชือ่ วา่ เดก็ ไม่ใช่ผูใ้ หญต่ วั เลก็ ๆ เด็กมีสภาวะของเดก็ ซึง่ แตกตา่ งไปจากวัยอื่น การจัดการศกึ ษาใหเ้ ด็กจงึ ควรพจิ ารณาระดบั อายเุ ปน็ หลกั 4.รสุ โซ เชือ่ ว่าธรรมชาติคอื แหลง่ ความรสู้ าคัญเดก็ ควรจะได้เรยี นรู้ไปตามธรรมชาติ คอื การ เรยี นรจู้ ากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จากผลของการกระทาของตน มใิ ชก่ ารเรยี นจากหนงั สือหรือ จากคาพดู บรรยาย 5.เพสตาลอสซี มีความเช่ือวา่ คนมธี รรมชาตปิ นกนั ใน 3 ลกั ษณะ คือ “คนสัตว์” ซึง่ มี ลักษณะเปิดเผย เปน็ ทาสของกเิ ลส “คนสังคม” มลี กั ษณะทจ่ี ะเข้ากบั สังคม คล้อยตามสังคม และ ”คนธรรม” ซึง่ มีลักษณะของการรู้จกั ผิดชอบชว่ั ดี คนจะตอ้ งมีการพัฒนาใน 3 ลกั ษณะนี้ 6.เพสตาลอสซเี ช่ือว่าการใช้ของจรงิ เปน็ สอ่ื ในการสอนจะชว่ ยให้เดก็ เรียนรไู้ ด้ดี 7.ฟรอเบล เช่อื วา่ ควรจะใหก้ ารศึกษาชั้นอนุบาลแก่เดก็ เลก็ อายุ 3 – 5 ขวบ โดยใหเ้ ด็กเรยี นรู้ จากประสบการณ์ตรง 8.ฟรอเบลเชอื่ วา่ การเลน่ เปน็ การเรยี นรทู้ ส่ี าคญั ของเด็ก ข.หลักการจัดการศึกษา/การสอน 1.การจดั ประสบการณเ์ รียนรู้ให้แกเ่ ดก็ จะตอ้ งมคี วามแตกต่างไปจากการจดั ให้ผใู้ หญ่ เนือ่ งจากเดก็ มสี ภาวะท่ตี า่ งไปจากวยั อื่นๆ 2.การจัดการศกึ ษาให้แกเ่ ด็กควรยึดเดก็ เปน็ ศนู ย์กลาง ใหเ้ สรีภาพแก่เดก็ ทจี่ ะเรียนรู้ตาม ความต้องการและความสนใจของตนเพอื่ ใหเ้ ด็กไดเ้ รียนรอู้ ยา่ งอิสระ 3.ลักษณะการจัดการเรียนรู้ทเี่ หมาะสมสาหรบั เดก็ คือการจดั ใหเ้ ด็กได้เรยี นรู้จากธรรมชาติ และเป็นไปตามธรรมชาติได้แก่ 3.1ใหเ้ ดก็ ไดเ้ ล่นอย่างอสิ ระ 3.2ให้เดก็ ไดร้ บั ประสบการณ์ตรง 3.3ให้เดก็ ได้เรียนจากของจริงและประสบการณจ์ ริง 3.4ให้เด็กไดเ้ รียนรจู้ ากผลของการกระทาของตน 4.การจดั ประสบการณเ์ รียนรู้ใหเ้ ดก็ จะตอ้ งคานงึ ถึงความแตกต่างระหว่างบคุ คลและความ พร้อมของเดก็

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 60 2.3 กลมุ่ ย่อยที่ 3 ทฤษฎีของกลุม่ ทเ่ี น้นการรบั รแู้ ละการเช่อื มโยงความคิด (Apperception- Herbartianism) นักคิดคนสาคัญในกลมุ่ นี้คอื จอห์น ลอ็ ค(John Locke) วิลเฮลม์ วุนด์(Wilhelm Wundt) ทิชเชเนอร์ (Titchener) และแฮรบ์ าร์ต (Herbart) ซึง่ มีความเช่ือดังนี้ ก. ความเช่ือเกี่ยวกับการเรยี นรู้ 1.มนษุ ย์เกิดมาไมม่ ที ้งั ความดแี ละความเลวในตัวเอง การเรยี นรู้เกดิ ข้ึนได้จากแรงกระตุ้น ภายนอกหรอื ส่งิ แวดลอ้ ม(neutral-passive) 2.จอห์น ล็อค เช่ือวา่ คนเราเกิดมาพรอ้ มกบั จิต หรือสมองท่วี า่ งเปล่า (tabula rasa) การ เรยี นรู้เกดิ จากการทบี่ คุ คลได้รับประสบการณ์ ผ่านทางประสาทสัมผสั ทง้ั 5 การสง่ เสรมิ ให้บคุ คลมี ประสบการณ์มาก ๆ ในหลาย ๆ ทางจงึ เปน็ การช่วยให้บคุ คลเกดิ การเรยี นรู้ 3.วนุ ด์ เชือ่ วา่ จติ มีองคป์ ระกอบ 2 สว่ น คอื การสัมผสั ทัง้ 5 (sensation) และการรสู้ กึ (feeling)คอื การตคี วามหรอื แปลความหมายจากการสมั ผัส 4.ทิชเชเนอร์ มีความเห็นเชน่ เดียวกับวุนด์ แต่ไดเ้ พิ่มสว่ นประกอบของจิตอีก 1 ส่วน ได้แก่ จินตนาการ(imagination)คอื การคดิ วิเคราะห์ 5.แฮรบ์ าร์ตเช่ือว่าการเรยี นรมู้ ี3ระดบั คอื ขั้นการเรยี นรโู้ ดยประสาทสมั ผสั (sense activity) ข้ันจาความคิดเดิม(memory characterized) และขนั้ เกดิ ความคดิ รวบยอดและเข้าใจ (conceptual thinking or understanding) การเรียนรู้เกิดจากการทบ่ี คุ คลได้รบั ประสบการณผ์ ่านทางประสาท สัมผัสทง้ั 5 และสัง่ สมประสบการณห์ รอื ความรูเ้ หลา่ น้ไี ว้ การเรียนรนู้ จี้ ะขยายขอบเขตออกไปเรอื่ ยๆ เมอื่ บุคคลไดร้ บั ประสบการณห์ รอื ความรใู้ หม่เพม่ิ ข้ึน โดยผ่านกระบวนการเช่อื มโยงและการสร้าง ความสมั พันธ์ระหวา่ งความรู้ใหม่กบั ความร้เู ดมิ เข้าดว้ ยกนั 6.แฮรบ์ าร์ต เชือ่ ว่า การสอนควรเรม่ิ จากการทบทวนความรูเ้ ดิมของผเู้ รยี นเสียกอ่ นแล้ว จงึ เสนอความรูใ้ หม่ ตอ่ ไป ควรจะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นสร้างความสมั พนั ธร์ ะหว่างความร้เู ดมิ กบั ความร้ใู หม่ จนไดข้ ้อสรปุ ท่ตี อ้ งการแล้วจงึ ใหผ้ เู้ รียนนาข้อสรุปทไี่ ดไ้ ปประยุกตใ์ ชก้ ับปญั หาหรือสถานการณใ์ หม่ ข.หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน 1.การจดั ให้ผู้เรยี นไดป้ ระสบการณผ์ ่านทางประสาทสัมผสั ทงั้ 5 เป็นสง่ิ จาเปน็ อย่างมากต่อ การเรยี นร้ขู องผเู้ รยี น 2.การช่วยใหผ้ ้เู รยี นสรา้ งสมั พันธร์ ะหว่างความรู้เดมิ กบั ความร้ใู หมจ่ ะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกิดความ เขา้ ใจได้อย่างดี 3.การสอนโดยดาเนนิ การตาม 5 ขั้นตอนของแฮรบ์ ารต์ จะช่วยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ไดด้ ี และรวดเรว็ ข้ันตอนดงั กลา่ วคือ 3.1 ขนั้ เตรยี มการหรอื ขน้ั นา (preparation) ไดแ้ ก่การเร้าความสนใจของผูเ้ รียนและการ ทบทวนความรเู้ ดมิ 3.2ขั้นเสนอ(presentation)ได้แก่การเสนอความรใู้ หม่ 3.3 ขนั้ การสัมพันธ์ความรเู้ ดิมกับความร้ใู หม่ (comparison and abstraction) ไดแ้ ก่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 61 การขยายความรเู้ ดมิ ให้กว้างออกไป โดยสัมพันธค์ วามรเู้ ดิมกบั ความรใู้ หม่ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ เช่น การ เปรยี บเทยี บ การผสมผสาน ฯลฯ ทาให้ได้ขอ้ เทจ็ จรงิ ใหม่ทส่ี ัมพันธก์ ับประสบการณ์เดิม 3.4 ข้ันสรุป (generalization) ไดแ้ กก่ ารสรุปการเรยี นรเู้ ปน็ หลกั การหรอื กฎตา่ ง ๆ ท่จี ะ สามารถจะนาไปประยกุ ตใ์ ช้กับปญั หาหรือสถานการณอ์ นื่ ๆต่อไป 3.5 ขั้นประยกุ ตใ์ ช้ (application) ไดแ้ กก่ ารให้ผเู้ รยี นนาขอ้ สรปุ หรอื การเรยี นรทู้ ไี่ ดไ้ ปใช้ ในการแกป้ ญั หาในสถานการณใ์ หม่ ๆทไี่ มเ่ หมอื นเดิม 3. กลมุ่ ใหญท่ ่ี 2 ทฤษฎีเก่ยี วกับการเรียนรใู้ นช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 20 ในช่วงคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20 น้ี มีนกั คดิ และนกั จติ วทิ ยาเกดิ ขนึ้ จานวนมาก แนวคิดเร่ิมมีความ หลากหลายมากข้นึ ตามไปด้วย ทฤษฎเี กยี่ วกบั การเรยี นรูใ้ นยคุ น้เี ร่มิ มลี กั ษณะของความเปน็ วทิ ยาศาสตร์มาก ขึน้ มีการทดลองตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากข้ึนเป็นลาดับ แบง่ เปน็ 4 กลุ่มยอ่ ยได้ ดงั นี้ 3.1 กลุม่ ย่อยท่ี 1.ทฤษฎีการเรียนรกู้ ลุ่มพฤตกิ รรมนิยม (Behaviorism) นกั คิดในกลุ่มนมี้ องธรรมชาตขิ องมนุษยใ์ นลักษณะทเี่ ปน็ กลางคอื ไม่ดีไมเ่ ลว (neutral - passive) การกระทาต่าง ๆ ของมนุษยเ์ กดิ จากอทิ ธิพลของสงิ่ แวดล้อมภายนอก พฤตกิ รรมของมนุษยเ์ กิดจากการ ตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้า(stimulus-response) การเรยี นรเู้ กดิ จากการเช่ือมโยงระหว่างสง่ิ เรา้ และการตอบสนอง กล่มุ พฤตกิ รรมนิยมใหค้ วามสนใจกบั พฤตกิ รรมมาก เพราะพฤตกิ รรมเปน็ สงิ่ ทเ่ี ห็นได้ชดั สามารถวัดไดแ้ ละ ทดสอบได้ ทฤษฎกี ารเรยี นรูใ้ นกลุ่มน้ี ประกอบดว้ ยแนวคิด สาคญั ๆ 3 แนวด้วยกนั ได้แก่ 3.1.1 ทฤษฎีการเช่อื มโยงของธอรน์ ไดค์ (Thorndike’s Classical Connectionism) 3.1.2 ทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไข (Conditioning Theory) 1) ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอตั โนมตั ิ (Classical Conditioning ) ของพาฟลอฟ 2) ทฤษฎกี ารวางเงือ่ นไขของวตั สัน (Watson) 3) ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขแบบตอ่ เนือ่ ง (Contiguous Conditioning) ของกทั ธรี 4) ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไขแบบโอเปอรแ์ รนต์ (Operant Conditioning) ของสกนิ เนอร์ (Skinner) 3.1.3 ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องฮัลล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory) 3.1.1 ทฤษฎีการเช่อื มโยงของธอร์นไดค์(Thorndike’s Classical Connectionism ธอร์นไดค์ (ค.ศ.1814 - 1949) เชือ่ ว่าการเรยี นรเู้ กิดจากการเชอื่ มโยงระหว่างสง่ิ เร้ากบั การ ตอบสนอง ซง่ึ มหี ลายรปู แบบ บคุ คลจะมกี ารลองผดิ ลองถูก (trial and error) ปรบั เปล่ียนไปเรอื่ ย ๆ จนกว่า จะพบรูปแบบการตอบสนองทสี่ ามารถใหผ้ ลทพ่ี งึ พอใจมากทสี่ ดุ เมือ่ เกิดการเรียนร้แู ลว้ บุคคลจะใชร้ ปู แบบ การตอบสนองทีเ่ หมาะสมเพียงรูปแบบเดยี ว และจะพยายามใชร้ ปู แบบน้ันเชือ่ มโยง กบั สง่ิ เร้าในการเรียนรู้ ต่อไปเรอื่ ย ๆ กฎการเรยี นรูข้ องธอร์นไดคส์ รปุ ได้ดงั น้ี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 62 ก.ทฤษฎีการเรยี นรู้ 1.กฎแหง่ ความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกดิ ข้ึนไดด้ ี ถ้าผเู้ รยี นมคี วามพรอ้ มทง้ั ทางรา่ งกายและจิตใจ 2.กฎแหง่ การฝกึ หดั (Law of Exercise) การฝกึ หัดหรือกระทาบ่อย ๆ ด้วยความเข้าใจ จะทาให้ การเรียนรนู้ นั้ คงทนถาวรถ้าไม่ได้กระทาซ้าบอ่ ยๆการเรยี นรนู้ นั้ จะไม่คงทนถาวรและในทสี่ ุดอาจลืมได้ 3.กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนรเู้ กิดจากการเชอ่ื มโยงระหว่างสงิ่ เร้า กบั การตอบสนอง ความม่นั คงของการเรยี นรจู้ ะเกิดขนึ้ หากได้มีการนาไปใช้บอ่ ย ๆ หากไมม่ กี ารนาไปใช้อาจมี การลมื เกดิ ข้นึ ได้ 4.กฎแหง่ ผลท่พี งึ พอใจ (Law of Effect) เม่ือบคุ คลไดร้ ับผลท่ีพึงพอใจย่อมอยากจะเรยี นรตู้ ่อไป แต่ ถา้ ไดร้ บั ผลทไ่ี มพ่ งึ พอใจ จะไม่อยากเรยี นรู้ ดังนน้ั การไดร้ ับผลทพ่ี งึ พอใจ จงึ เป็นปจั จัยสาคญั ในการเรียนรู้ ข.หลกั การจดั การศึกษา/การสอน 1.การเปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นไดเ้ รียนแบบลองผิดลองถกู บ้าง (เมอ่ื พจิ ารณาแล้ววา่ ไมถ่ งึ กบั เสียเวลา มากเกินไปและไมเ่ ป็นอันตราย) จะชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรใู้ นวธิ กี ารแก้ปญั หา จดจาการเรียนรไู้ ดด้ ลี ะเกดิ ความภาคภมู ิใจในการกระทาส่ิงต่างๆด้วยตนเอง 2.การสารวจความพรอ้ ม หรอื การสร้างความพรอ้ มของผู้เรยี นเปน็ สง่ิ จาเปน็ ท่ีต้องกระทากอ่ นการ สอนบทเรยี น เช่น การสรา้ งบรรยากาศใหผ้ ูเ้ รียนเกิดความอยากรู้อยากเรียน การเชอ่ื มโยงความรเู้ ดิมมาสู่ ความรใู้ หม่ การสารวจความรู้ใหม่ การสารวจความร้พู น้ื ฐานเพือ่ ดวู ่าผู้เรยี นมคี วามพรอ้ มที่จะเรียนบทเรยี น ต่อไปหรอื ไม่ 3.หากต้องการใหผ้ เู้ รยี นมที กั ษะในเรอื่ งใด จะต้องชว่ ยให้เขาเกิดความเข้าใจในเรอื่ งนั้นอยา่ งแท้จริง แลว้ ให้ฝกึ ฝนโดยกระทาสิ่งน้นั บอ่ ย ๆ แต่ควรระวงั อยา่ ให้ถึงกบั ซ้าซาก จะทาใหผ้ เู้ รียนเกิดความเบ่อื หน่าย 4.เมอ่ื ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรแู้ ล้วควรใหผ้ เู้ รยี นฝึกการนาการเรียนรู้นน้ั ไปใช้บ่อยๆ 5.การใหผ้ เู้ รียนได้รบั ผลทต่ี นพงึ พอใจ จะช่วยใหก้ ารเรียนการสอนประสบผลสาเรจ็ การศกึ ษาวา่ สง่ิ ใดเปน็ สง่ิ เรา้ หรอื รางวัลทผ่ี เู้ รยี นพงึ พอใจจงึ เปน็ ส่ิงสาคญั ท่จี ะชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเกิดการเรยี นรู้ 3.1.2 ทฤษฎกี ารวางเงือ่ นไข(Conditioning Theory) 1) ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขแบบอตั โนมตั ิ (Classical Conditioning ) ของพาฟลอฟ พาฟลอฟ (Pavlov) ได้ทาการทดลองใหส้ นุ ัขนา้ ลายไหลดว้ ยเสียงกระดง่ิ โดยธรรมชาติแล้ว สุนัขจะไมม่ ีน้าลายไหลเมอ่ื ไดย้ นิ เสยี งกระดิ่ง แตพ่ าฟลอฟไดน้ าเอาผงเน้ือบดมาเปน็ สง่ิ เรา้ คู่กบั เสยี งกระดิง่ ผง เน้ือบดถอื วา่ เป็นสง่ิ เรา้ ตามธรรมชาติ (unconditioned stimulus) ทาใหส้ นุ ขั น้าลายไหลได้ เขาใชส้ ง่ิ เรา้ ท้งั สองคู่กนั หลาย ๆ ครั้ง แลว้ ตดั สงิ่ เร้าตามธรรมชาติออกเหลอื แตเ่ สียงกระดิง่ ซ่งึ เปน็ ส่งิ เร้าที่วางเง่ือนไข ปรากฏ ว่าสนุ ัขนา้ ลายไหลเม่ือไดย้ นิ เสยี งกระดิง่ อย่างเดียว สรปุ ไดว้ า่ การเรียนรขู้ องสุนัขเกดิ จากการรู้จกั เชอ่ื มโยง ระหว่างเสียงกระดิง่ ผงเน้อื บดและพฤตกิ รรมน้าลายไหล

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 63 พาฟลอฟ จงึ สรปุ วา่ การเรยี นร้ขู องส่งิ มชี วี ิตเกิดจากการตอบสนองตอ่ สงิ่ เรา้ ท่วี างเงอ่ื นไข (conditionedstimulus)การทดลองของพาฟลอฟสรปุ เป็นกฎการเรยี นรู้ไดด้ ังน้ี ก.ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1.พฤตกิ รรมการตอบสนองของมนุษย์เกิดจากการวางเงอ่ื นไข ทีต่ อบสนองต่อความต้องการ ทางธรรมชาติ(สนุ ัขน้าลายไหลเมื่อไดร้ บั ผงเนื้อ) 2.พฤตกิ รรมการตอบสนองของมนษุ ยส์ ามารถเกิดขนึ้ ไดจ้ ากส่งิ เร้าท่ีเช่อื มโยงกบั สงิ่ เรา้ ตาม ธรรมชาติ(สุนัขนา้ ลายไหลเม่อื ไดย้ นิ เสียงกระดงิ่ ) 3.พฤติกรรมการตอบสนองของมนษุ ยท์ เ่ี กิดจากสง่ิ เร้าทเี่ ชอ่ื มโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติจะ ลดลงเรอ่ื ย ๆ และหยุดลงในทสี่ ุดหากไม่ได้รบั การตอบสนองตามธรรมชาติ (เมอ่ื สั่นกระดง่ิ โดยไมใ่ หผ้ ง เน้ือติดๆกนั หลายครั้งสนุ ัขจะหยุดนา้ ลายไหล) 4.พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษยต์ ่อสิง่ เร้าท่ีเชอื่ มโยงกบั สงิ่ เร้าตามธรรมชาติจะลดลง และหยุดไปเมอื่ ไม่ไดร้ บั การตอบสนองตามธรรมชาตแิ ละจะกลับปรากฏข้ึนไดอ้ ีกโดยไมต่ อ้ งใช้สงิ่ เร้า ตามธรรมชาติ (เมอื่ ผา่ นไปช่วงระยะเวลาหนง่ึ สนั่ กระด่งิ ใหมโ่ ดยไม่ใหผ้ งเนื้อเช่นเดมิ สุนขั จะน้าลาย ไหลอกี ) 5.มนุษยม์ แี นวโนม้ ทีจ่ ะรบั รู้สง่ิ เร้าทีม่ ลี กั ษณะคลา้ ย ๆ กันและจะตอบสนองเหมอื น ๆ กนั (เม่ือสุนัขเรยี นรโู้ ดยมีเสยี งกระดงิ่ เปน็ เงอื่ นไขแล้ว ถา้ ใช้เสียงนกหวีดหรอื ระฆงั ท่ีคลา้ ยเสยี งกระดงิ่ แทน เสยี งกระดง่ิ สุนัขก็จะมนี ้าลายไหลได้) 6.บุคคลมีแนวโน้มทีจะจาแนกลกั ษณะของส่ิงเร้าให้แตกตา่ งกัน และเลอื กตอบสนองได้ ถกู ต้อง (เมื่อใชเ้ สยี งกระดงิ่ เสียงฉิ่ง เสยี งประทัด หรือเสยี งอ่ืนเป็นสง่ิ เร้า แต่ให้อาหารสุนขั พรอ้ มกบั เสยี งกระดงิ่ เทา่ น้นั สุนัขจะนา้ ลายไหลเมอ่ื ได้ยินเสยี งกระดงิ่ ส่วนเสยี งอื่นๆ จะไมท่ าใหส้ ุนขั นา้ ลายไหล) 7.กฎแห่งการลดภาวะ (Law of Extinction) พาฟลอฟ กลา่ ววา่ ความเข้มของการ ตอบสนองจะลดลงเร่อื ย ๆ หากบุคคลไดร้ บั แต่สง่ิ เรา้ ทว่ี างเงือ่ นไขอย่างเดียว หรอื ความสมั พันธ์ ระหวา่ งสิ่งเร้าท่วี างเงอื่ นไขกับสง่ิ เรา้ ท่ไี มว่ างเงอ่ื นไขห่างกันออกไปมากข้นึ 8.กฎแหง่ การฟน้ื คนื สภาพเดิมตามธรรมชาติ (Law of Spontaneous Recovery) กล่าวคือ การตอบสนองทเ่ี กดิ จากการวางเงื่อนไขลดลง สามารถเกดิ ขึน้ ไดอ้ กี โดยไม่ตอ้ งใช้ส่ิงเรา้ ทไ่ี ม่ วางเงอ่ื นไขมาเขา้ คู่ 9.กฎแห่งการถ่ายโยงการเรยี นรสู้ สู่ ถานการณ์อื่น (Law of Generalization) กล่าวคอื เมื่อ เกดิ การเรยี นรจู้ ากการวางเงอื่ นไขแล้ว หากมสี ง่ิ เรา้ ที่คลา้ ย ๆ กบั สงิ่ เร้าท่วี างเง่ือนไขมากระตุ้น อาจทา ใหเ้ กดิ การตอบสนองทีเ่ หมอื นกนั ได้ 10.กฎแหง่ การจาแนกความแตกตา่ ง (Law of Discrimination) กล่าวคอื หากมีการใชส้ ง่ิ เร้าทวี่ างเงือ่ นไขหลายแบบ แต่มีการใช้สิ่งเรา้ ที่ไมว่ างเง่อื นไขเข้าคู่กบั สง่ิ เรา้ ท่วี างเงอื่ นไขอยา่ งใดอยา่ ง หนงึ่ เท่านัน้ กส็ ามารถชว่ ยให้เกิดการเรยี นรู้ได้ โดยสามารถแยกความแตกต่างและเลือกตอบสนอง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 64 เฉพาะสง่ิ เร้าทว่ี างเง่ือนไขเท่านนั้ ได้ ข. หลกั การจดั การศึกษา/การสอน 1.การนาความต้องการทางธรรมชาติของครูผสู้ อนมาใชเ้ ปน็ สงิ่ เรา้ สามารถช่วยใหผ้ ้เู รียน เกดิ การเรียนรูไ้ ด้ดี ตวั อย่างเช่น ถา้ เดก็ ชอบเล่นตกุ๊ ตาสตั ว์ ครูควรสอนใหเ้ ดก็ อา่ นและเขยี นชอ่ื สตั ว์ ต่างๆโดยใหต้ กุ๊ ตาสตั ว์เป็นรางวลั 2.การสอนใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรียนรใู้ นเร่ืองใด อาจใช้วิธเี สนอส่งิ ทจี่ ะสอนไปพรอ้ ม ๆ กนั กับ ส่งิ เรา้ ทผี่ เู้ รียนชอบตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ครูรู้ว่าเด็กชอบฟังนทิ าน ครจู ึงใหเ้ ดก็ เขยี นคาศพั ทท์ ่ี ใชใ้ นนิทานไปพร้อมๆกันกบั การเล่านทิ าน 3.การนาเรือ่ งทเี่ คยสอนไปแล้วมาสอนใหมส่ ามารถช่วยให้เดก็ เกดิ การเรียนรู้ตามที่ต้องการได้ 4.การจัดกจิ กรรมการเรียนให้ตอ่ เนอ่ื ง และมลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั สามารถชว่ ยให้ผเู้ รียน เกิดการเรียนรไู้ ดง้ ่ายขึน้ เพราะมกี ารถ่ายโยงประสบการณเ์ ดมิ กบั ประสบการณใ์ หม่ 5.การเสนอส่งิ เร้าใหช้ ัดเจนในการสอน จะสามารถช่วยใหผ้ ้เู รียนเกดิ การเรียนรูแ้ ละตอบ สนองไดช้ ดั เจนขนึ้ 6.หากตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นเกิดพฤตกิ รรมใด ควรมีการใช้ส่ิงเร้าหลายแบบ แต่ต้องมสี ง่ิ เรา้ ทีม่ ี การตอบสนองโดยไมม่ เี ง่อื นไขควบคูอ่ ยู่ดว้ ย เชน่ ถ้าครูตอ้ งการใหผ้ ู้เรยี นเข้าห้องเรียนตรงเวลาและครู รู้วา่ ผเู้ รียนต้องการรูค้ ะแนนสอบของตน ครอู าจตัง้ เงอ่ื นไขวา่ จะมกี ารบอกคะแนนสอบก่อนเรียนหรอื จะมกี ารสอบย่อยเรอ่ื งทเี่ รยี นไปแล้วในตอนต้นชั่วโมงทกุ ครั้ง ผ้เู รียนจะตอบสนองโดยเข้าเรียนตรง เวลา แตเ่ งื่อนไขน้คี รตู อ้ งทาอยา่ งสมา่ เสมอและมีเหตผุ ล ถ้าไมท่ าสม่าเสมอ อาจเกดิ การลดภาวะไดค้ ือ พฤติกรรมการเขา้ เรยี นตรงเวลาอาจลดลง อย่างไรก็ตาม ตามกฎแห่งการฟนื้ คนื สภาพ พฤติกรรมการ การเข้าเรียนตรงเวลาอาจลดลง สามารถเกิดข้นึ ไดอ้ ีก นอกจากนนั้ ตามกฎแหง่ การถา่ ยโยงการเรียนรู้ พฤติกรรมตอบสนองคอื การเขา้ เรยี นตรงเวลา สามารถถ่ายโยงไปสสู่ ถานการณอ์ ืน่ ได้ เชน่ ผเู้ รยี นอาจ เขา้ เรียนในวิชาอนื่ ที่ครผู ูน้ ้ีสอนด้วยกไ็ ด้ 2)ทฤษฎีการวางเง่อื นไขของวัตสัน(Watson) วตั สัน (Watson) ได้ทาการทดลองโดยใหเ้ ดก็ คนหน่ึงเลน่ กบั หนูขาวก็ทาเสียงดงั จนเด็กตกใจ รอ้ งไห้ หลงั จากนน้ั เด็กก็จะกลัวและร้องไหเ้ ม่อื เห็นหนขู าว ตอ่ มาทดลองใหน้ าหนขู าวมาใหเ้ ดก็ ดู โดยแมจ่ ะ กอดเด็กไวจ้ ากนั้นเดก็ กจ็ ะคอ่ ยๆหายกลวั หนูขาว จาการทดลองดังกล่าว วตั สันสรปุ เป็นกฎการเรียนร้ไู ด้ดังน้ี ก.ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1.พฤตกิ รรมเป็นสงิ่ ทสี่ ามารถควบคมุ ใหเ้ กดิ ได้โดยการควบคุมสง่ิ เรา้ ทีว่ างเงือ่ นไขใหส้ ัมพนั ธ์กบั สงิ่ เรา้ ตามธรรมชาติและการเรยี นรูจ้ ะคงทนถาวรหากมกี ารให้สง่ิ เร้าทส่ี มั พนั ธก์ นั นน้ั ควบคูก่ นั ไปอยา่ งสมา่ เสมอ 2.เม่ือสามารถทาใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมใดๆได้กส็ ามารถลดพฤติกรรมนน้ั ใหห้ ายไปได้ ข.หลกั การจัดการศึกษา/การสอน 1.ในการสร้างพฤตกิ รรรมอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ให้เกดิ ขึน้ ในผู้เรียน ควรพิจารณาสง่ิ จงู ใจหรือสงิ่ เร้า

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 65 ทเ่ี หมาะสมกบั ภูมิหลงั และความต้องการของผเู้ รียนมาใชเ้ ปน็ ส่งิ เร้าควบคู่ไปกบั สง่ิ เร้าทว่ี างเง่ือนไข เช่น ถ้า ตอ้ งการใหเ้ ด็กตอบคาถามครู ครูควรตงั้ คาถามใหเ้ ดก็ ตอบโดยแสดงทา่ ทางทีใ่ หค้ วามอบอุน่ และใหก้ าลงั ใจแก่ เดก็ จะทาให้เดก็ เกดิ ความมนั่ ใจในการตอบคาถามและถา้ ครูใชว้ ธิ ีการนซี้ า้ ๆอยา่ งสม่าเสมอ เดก็ จะเกดิ การ เรยี นรแู้ ละมีความคงทนในการแสดงพฤติกรม 2.การลบพฤติกรรรมทไ่ี มพ่ งึ ปรารถนา สามารถทาได้โดยหาสงิ่ เรา้ ตามธรรมชาตทิ ไี่ มไ่ ดว้ าง เงื่อนไขมาชว่ ย หากผเู้ รียนไมช่ อบทาการบ้านคณิตศาสตร์ ครูอาจใชค้ วามเปน็ มติ ร เป็นกนั เอง ใหค้ วามดแู ล เอาใจใส่ และใหค้ วามชว่ ยเหลืออย่างใกล้ชดิ สง่ิ เร้าตามธรรมชาตเิ หล่าน้ี สามารถช่วยเปลยี่ นพฤตกิ รรมได้ 3)ทฤษฎกี ารวางเง่อื นไขแบบตอ่ เน่ือง(ContiguousConditioning)ของกทั ธรี กทั ธรี (Guthrie ค.ศ. 1886-1959) ได้ทาการทดลองโดยปล่อยแมวทห่ี ิวจดั เขา้ ไปในกลอ่ งปญั หา มเี สาเลก็ ๆตรงกลาง มีกระจกทป่ี ระตทู างออก มปี ลาแซลมอนวางไว้นอกกล่อง เสาในกล่องเป็นกลไกเปิดประตู แมวบางตวั ใช้แบบแผนการกระทาหลายแบบเพือ่ จะออกจากกลอ่ ง แมวบางตวั ใชว้ ธิ เี ดียว กัทธรอี ธิบายว่า แมว ใช้การกระทาคร้ังสดุ ทา้ ยทปี่ ระสบผลสาเร็จเป็นแบบแผนยดึ ไว้สาหรับการแกป้ ญั หาครั้งตอ่ ไป และการเรยี นรู้ เมือ่ เกิดขึน้ แล้วแมเ้ พยี งครง้ั เดยี วกน็ บั ได้ว่าเรยี นรแู้ ลว้ ไม่จาเป็นตอ้ งทาซ้าอกี กฎการเรียนรขู้ องกัทธรี สรปุ ได้ ดังนี้ ก.ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 1.กฎแห่งความตอ่ เนอื่ ง (Law of Contiguity) เมือ่ มีกลมุ่ ส่งิ เรา้ กลมุ่ ใดกลมุ่ หน่ึงมากระตุน้ จะก่อใหเ้ กิดการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างใดอย่างหน่ึงขน้ึ และเม่อื กลุ่มส่ิงเร้าเดมิ กลบั มาปรากฎอกี อาการเคลอ่ื นไหวอย่างเกา่ กจ็ ะเกดิ ขึ้นอีก พฤติกรรมท่กี ระทาซ้าน้นั ไมใ่ ชเ่ กิดจากการเชื่อมโยงระหวา่ ง สิ่งเร้ากบั การตอบสนอง แต่เกิดจากการทก่ี ลมุ่ สง่ิ เรา้ ทก่ี ่อใหเ้ กดิ พฤติกรรมแบบเกา่ นนั้ กลับมาอีก 2.การเรียนร้เู กดิ ขึ้นได้แมเ้ พยี งครงั้ เดียว (One trial learning) เมือ่ มีสภาวะสง่ิ เร้ามา กระต้นุ อนิ ทรยี ์จะแสดงปฏิกริยาสนองออกมา ถา้ เกิดการเรียนร้ขู ้นึ แลว้ แมเ้ พยี งครั้งเดียวกน็ ับวา่ ได้ เรยี นรแู้ ลว้ ไม่จาเป็นต้องทาซ้าอีกหรือไมจ่ าเป็นตอ้ งฝึกซ้าอกี 3.กฎของการกระทาครง้ั สุดท้าย (Law of Recency ) หากการเรียนรูเ้ กิดขึน้ อยา่ ง สมบรู ณ์แล้ว ในสภาพการณใ์ ดสภาพการณห์ นงึ่ เมอื่ มสี ภาพการณ์ใหมเ่ กดิ ข้ึน บุคคคลจะกระทา เหมอื นทีเ่ คยได้กระทาในครง้ั สดุ ท้ายท่ีก่อใหเ้ กิดการเรยี นรนู้ นั้ ไมว่ ่าจะผิดหรือถูกกต็ าม 4.หลักการจูงใจ(Motivation)การเรยี นรเู้ กิดจาการจูงใจมากกว่าการเสริมแรง ข.หลักการจดั การศกึ ษา/การสอน 1.ขณะสอนครคู วรสังเกตการกระทา หรอื การเคลื่อนไหวของนกั เรยี นว่ากาลังเกย่ี วพันกบั สิง่ เรา้ ใด ถา้ ครใู หส้ ิง่ เรา้ ทเี่ ก่ียวพนั กบั การเคลอื่ นไหวนน้ั นอ้ ยกว่ากจ็ ะไมส่ ามารถเปลยี่ นการกระทาของ เด็กได้ เช่น ถ้าเดก็ กาลังเอะอะวุ่นวายไรร้ ะเบยี บ ครจู ะพูดหรือสอนขณะน้ันก็ไมม่ ผี ล ตอ้ งคอยใหเ้ ขา สงบเสียก่อน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 66 2.ในการสอน ควรวเิ คราะหง์ านออกเปน็ สว่ นยอ่ ยๆ และสอนสว่ นย่อยเหล่านัน้ ใหเ้ ดก็ สามารถตอบสนองอย่างถกู ต้องจรงิ ๆ หรอื ไดร้ บั การเรียนรทู้ ถี่ กู ต้องในทกุ ๆหน่วย เช่น การสอนให้นักร เยนกรองสร ตอ้ งวิเคาะหว์ า่ การกรองสรจะต้องมีทกั ษะยอ่ ยๆอะไรบ้าง แตล่ ะทกั ษะต่อเน่ืองกนั อย่างไรและสอนหรอื ฝกึ จนนักเรยี นทาไดถ้ ูกต้อง 3.ในการจบบทเรยี น ไม่ควรปลอ่ ยให้นกั เรยี นจบการเรียนโดยไดร้ บั คาตอบผิดๆหรอื แสดง อาการตอบสนองผิดๆ เพราะเขาจะเกบ็ การกระทาครง้ั สุดทา้ ยไว้ในความทรงจา ใชเ้ ปน็ แบบแผนใน การทาจนเป็นนสิ ยั 4.การสร้างแรงจงู ใจใหเ้ กิดกบั ผู้เรยี นเป็นสง่ิ สาคัญ ชว่ ยให้ผเู้ รียนประสบความสาเรจ็ ใน การเรยี นรู้ ในการสอนจงึ ควรมกี ารจูงใจผเู้ รยี น 4) ทฤษฎกี ารวางเงือ่ นไขแบบโอเปอรแ์ รนต์ (Operant Conditioning)ของสกนิ เนอร์ (Skinner) สกินเนอร์ (Skinner) ไดท้ าการทดลอง ซ่งึ สามารถสรปุ เปน็ กฎการเรยี นรู้ไดด้ ังน้ี ก.ทฤษฎีการเรียนรู้ 1. การกระทาใดๆ ถ้าได้รับการเสรมิ แรง จะมแี นวโนม้ ทีจ่ ะเกดิ ข้ึนอีก สว่ นการกระทาท่ไี มม่ กี าร เสริมแรง แนวโนม้ ทคี่ วามถี่ของการกระทาน้ันจะลดลงและหายไปในทสี่ ดุ (จาการทดลองโดยนาหนทู ี่ หวิ จัดใสก่ ลอ่ ง ภายใจมคี านบังคบั ใหอ้ าหารตกลงไปในกล่องได้ ตอนแรกหนจู ะว่ิงชนโน่นชนนี่ เมื่อชน คานจะมีอาหารตกมาให้กนิ ทาหลายๆครง้ั พบวา่ หนูจะกดคานทาใหอ้ าหารตกลงไปไดเ้ ร็วข้นึ ) 2. การเสรมิ แรงทแ่ี ปรเปลย่ี นทาใหก้ ารตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแรงทีต่ ายตัว (จากการ ทดลองโดยเปรยี บเทียบหนทู ีห่ ิวจัด 2 ตัว ตัวหนงึ่ กดคานจะได้อาหารทกุ คร้งั อกี ตัวหน่ึงเมื่อกดคาน บางทีกไ็ ด้อาหาร บางทีก็ไม่ได้อาหารแลว้ หยดุ ใหอ้ าหารตวั แรกจะเลกิ กดคานทันที ตัวท่ี 2 จะยงั กด ต่อไปอีกนานกว่าตัวแรก) 3.การลงโทษทาให้เรยี นรู้ไดเ้ ร็ว และลืมเรว็ (จากการทดลองโดยนาหนทู ห่ี ิวจัดใสก่ รงแลว้ ช็อต ด้วยไฟฟ้า หนูจะว่ิงพลา่ นจนออกมาได้ เมอ่ื จบั หนใู สเ่ ข้าไปใหมม่ นั จะวิ่งพล่านอีก จาไมไ่ ดว้ า่ ทางไหน คือทางอออก) 4.การใหแ้ รงเสริมหรือใหร้ างวัลเม่ืออินทรียก์ ระทาพฤตกิ รรมทตี่ ้องการ สามารถช่วยปรบั หรอื ปลูกฝังนสิ ยั ท่ตี ้องการได้ (จาการทดลองโดยสอนให้หนเุ ล่นบาสเกตบอล เร่ิมจาการใหอ้ าหารเม่อื หนู จับลูกบาสเกตบอล จากนน้ั เมอื่ มันโยนจงึ ให้อาหาร ต่อมาเมื่อโยนสงู ขน้ึ จงึ ให้อาหาร ในท่สี ุดตอ้ งโยน เข้าหว่ งจงึ ให้อาหาร การทดลองนีเ้ ปน็ การกาหนดใหห้ นูแสดงพฤตกิ รรมตามท่ีตอ้ งการก่อนจงึ ให้แรง เสรมิ วธิ ีนี้สามารถดัดนิสยั หรือปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมได้)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 67 ข.หลักการจดั การศึกษา/การสอน 1.ในการสอนการใหเ้ สรมิ แรงหลงั การตอบสนอง ทเี่ หมาะสมของเดก็ จะชว่ ยเพิม่ อตั ราการ ตอบสนองทเ่ี หมาะสมนั้น 2.การเวน้ ระยะการเสริมแรงอย่างไมเ่ ป็นระบบ หรอื เปลี่ยนรปู แบบการเสรมิ แรงจะชว่ ยให้การ ตอบสนองของผ้เู รยี นคงทนถาวร เช่น ถา้ ครชู มวา่ “ ดี ” ทุกครั้งที่นกั เรียนตอบถกู อยา่ งสม่าเสมอ นักเรียนจะเหน็ ความสาคญั ของแรงเสรมิ น้อยลง ครูควรเปลีย่ นแปลงแรงเสรมิ แบบอื่นบ้าง เชน่ ยมิ้ พยกั หน้าหรอื บางครงั้ อาจไมใ่ ห้แรงเสรมิ 3.การลงโทษทร่ี นุ แรงเกินไปมผี ลเสยี มาก ผเู้ รียนอาจไมไ่ ดเ้ รียนรหู้ รอื จาส่งิ ทเ่ี รยี นไดเ้ ลย ควรใช้ วีการงดการเสริมแรงเมือ่ นกั เรียนมีพฤติกรรมไมพ่ งึ ประสงค์ เช่น เมื่อนักเรยี นใช้ถ้อยคาไมส่ ุภาพ แมไ้ ด้ บอกและตกั เตือนแลว้ กย็ ังใชอ้ ีก ครูควรงดการตอบสนองตอ่ พฤตกิ รรมนน้ั เม่อื ไมม่ ีใครตอบสนอง ผเู้ รยี นจะหยุดพฤติกรรมน้นั ในท่ีสดุ 4.หากตอ้ งการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมหรือปลกู ฝงั นิสยั ให้แก่ผเู้ รียน การแยกแยะขนั้ ตอนของ ปฏิกิรยิ าตอบสนองออกเป็นลาดับขัน้ โดยพจิ ารณาใหเ้ หมาะสมกบั ความสามารถของผเู้ รยี น เชน่ หาก ต้องการปลกู ฝงั นสิ ยั ในการรกั ษาความสะอาดหอ้ งปฏิบตั กิ ารและเครื่องมอื ส่งิ สาคญั ประการแรกคอื ต้องนาพฤติกรรมทต่ี อ้ งการจาแนกเปน็ พฤติกรรมยอ่ ยให้ชัดเจน เช่น การเกบ็ การกวาด การเช็ดถู การลา้ ง การจดั เรียง เป็นต้น ต่อไปจึงพจิ ารณาแรงเสรมิ ทจ่ี ะให้แก่ผเู้ รียน เช่น คะแนน คาชมเชย การ ใหเ้ กยี รติ การให้โอกาสแสดงตวั เป็นต้น เมอื่ นักเรยี นแสดงพฤตกิ รรมทพ่ี งึ ประสงคก์ ใ็ หก้ ารเสรมิ แรงที่ เหมาะสมในทันที 3.1.3 ทฤษฎีการเรียนรูข้ องฮลั ล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory) ฮัลล์ (Hull) ได้ทาการทดลองโดยฝกึ หนูให้กดคาน โดยแบ่งหนเู ปน็ กล่มุ ๆ แต่ละกลมุ่ อดอาหาร 24 ช่ัวโมงและแตล่ ะกลมุ่ มีแบบแผนในการเสริมแรงแบบตายตวั ต่างกัน บางกลุม่ กดคาน 5 ครั้งจงึ ไดอ้ าหาร ไป จนถึงกล่มุ ทก่ี ด 90 ครงั้ จงึ ไดอ้ าหารและอีกพวกหนึง่ ทดลองแบบเดียวกัน แต่อดอาหารเพียง 3 ช่ัวโมง ผล ปรากฏวา่ ยิง่ อดอาหารมากคือมแี รงขบั มาก จะมผี ลใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลงความเขม้ ของนสิ ัย กล่าวคอื จะทาให้ การเชอ่ื มโยงระหว่างอวัยวะรับสัมผัส (receptor) กบั อวัยวะแสดงออก(effector)เข้มแขง็ ข้ึน ดงั น้ันเมอื่ หนหู วิ มากจงึ มีพฤตกิ รรมกดคานเร็วขึน้ ก.ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1.กฎแหง่ สมรรถภาพในการตอบสนอง (Law of Reactive In Habitation) กล่าวคือถ้า รา่ งกาย เมือ่ ยล้าการเรยี นรจู้ ะลดลง 2.กฎแห่งการลาดบั กลุ่มนสิ ยั (Law of Habit Hierarchy) เมื่อมสี งิ่ เล้ามากระตนุ้ แต่ละคนจะมี การตอบสนองต่าง ๆ กนั ในระยะแรกการแสดงออกมลี ักษณะงา่ ย ๆ ต่อเมื่อเรยี นร้มู ากขน้ึ กส็ ามารถเลอื ก แสดงการตอบสนองในระดบั ที่สงู ขึน้ หรอื ถกู ต้องตามมาตรฐานของสังคม 3.กฎแหง่ การใกลบ้ รรลุเปา้ หมาย (Goal Gradient Hypothesis) เมอ่ื ผเู้ รียนยง่ิ ใกลบ้ รรลุ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 68 เปา้ หมายมากเทา่ ใดจะมีสมรรถภาพในการตอบสนองมากข้นึ เท่านัน้ การเสริมแรงที่ให้ในเวลาใกลเ้ ปา้ หมายจะ ชว่ ยทาใหเ้ กิดการเรียนรไู้ ดด้ ที สี่ ดุ ข.หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน 1.ในการจดั การเรียนการสอน ควรคานงึ ถึงความพร้อม ความสามารถและเวลาทผ่ี ้เู รยี นจะ เรียนไดด้ ีทส่ี ดุ 2.ผู้เรียนมรี ะดบั ของการแสดงออกไมเ่ ท่ากัน ในการจดั การเรียนการสอน ควรใหท้ างเลอื กท่ี หลากหลายเพอื่ ผ้เู รยี นจะไดต้ อบสนองตามระดบั ความสามารถของตน 3.การใหเ้ สรมิ แรงในชว่ งท่ีใกลเ้ คยี งกบั เปา้ หมายมากทส่ี ุดจะชว่ ยทาใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนร้ไู ดด้ ี 3.2 กลุ่มย่อยท่ี 2 กลุม่ พทุ ธนิ ิยม (Cognitivism) หรอื ความรู้ความเขา้ ใจ กลมุ่ พุทธนิยมหรือกลมุ่ ความรู้ความเข้าใจหรอื กลมุ่ ที่เนน้ กระบวนการทางปัญญาหรือความคดิ นกั คดิ กลุม่ นเ้ี ริม่ ขยายขอบเขตของความคดิ ท่ีเนน้ ทางด้านพฤตกิ รรมออกไปสกู่ ระบวนการทางความคิด ซึ่งเปน็ กระบวนการภายในของสมอง นักคิดกลุ่มนี้เชื่อว่าการเรยี นรูข้ องมนษุ ยไ์ มใ่ ช่เร่อื งของพฤติกรรมทีเ่ กิดจาก กระบวนการตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ เพียงเทา่ น้ัน การเรียนรขู้ องมนุษยม์ ีความซบั ซอ้ นยง่ิ ไปกว่าน้ัน การเรยี นรเู้ ปน็ กระบวนการทางความคิดท่เี กิดจาการสะสมข้อมลู การสรา้ งความหมาย และความสมั พนั ธ์ของขอ้ มลู และการ ดึงข้อมลู ออกมาใช้ในการกระทาและการแกป้ ัญหาต่างๆ การเรียนรูเ้ ป็นกระบวนการทางสตปิ ัญญาของมนุษย์ ในการที่จะสรา้ งความรู้ความเข้าใจให้แกต่ นเอง ทฤษฎีในกลมุ่ น้ีทส่ี าคัญๆ มี 5 ทฤษฎี คือ 3.2.1 ทฤษฎเี กสตัลท(์ Gestalt Theory) นกั จติ วทิ ยาคนสาคัญของทฤษฎนี ้ี คือ แมกซ์ เวอรไ์ ทเมอร์ (Max Wertheimer) วลุ ์ฟแกงค์ โคหเ์ ลอร์ (Wolfgang Kohler) เคริ ์ท คอฟฟก์ า (Kurt Koffka) และเคิรท์ เลวนิ (Kurt Lewin) 3.2.2 ทฤษฎสี นาม(Field Theory) นักจติ วิทยาคนสาคัญ คอื เคริ ์ท เลวิน ซ่งึ ไดแ้ ยกตวั จากกลุ่ม ทฤษฎีเกสตลั ท์ ในระยะหลงั 3.2.3 ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) 3.2.4 ทฤษฎีพฒั นาการทางสตปิ ัญญา (Intellectual Development Theory) นกั จิตวิทยาคน สาคัญคือ เพียเจต์ (Piaget) และบรุนเนอร์ (Bruner) 3.2.5 ทฤษฎกี ารเรยี นร้อู ยา่ งมคี วามหมาย ( A Theory of Meaningful Verbal Learning) ของ ออซูเบล (Ausubel) 3.2.1 ทฤษฎเี กสตลั ท์ (Gestalt Theory) เกสตลั ท์ เป็นศัพทใ์ นภาษาเยอรมันมีความหมายว่า “แบบแผน” หรอื “รปู รา่ ง” (form or pattern) ซงึ่ ในความหมายของทฤษฎี หมายถึง “สว่ นรวม (Whole-ness)” แนวความคดิ หลักของทฤษฎนี ี้ก็

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 69 คือส่วนรวมมใิ ชเ่ ปน็ เพียงผลรวมของสว่ นย่อย สว่ นรวมเปน็ สงิ่ ทมี่ ากกวา่ ผลรวมของส่วนย่อย ( the whole is more than the sum of the parts) กฎการเรียนรู้ของทฤษฎนี ส้ี รุปได้ ดังนี้ ก.ทฤษฎีการเรียนรู้ 1. การเรียนรเู้ ป็นกระบวนการทางความคดิ ซ่งึ เป็นกระบวนภายในตวั ของมนษุ ย์ 2. บคุ คลจะเรยี นรู้จากสง่ิ เรา้ ท่ีเปน็ สว่ นรวมไดด้ ีกว่าส่วนย่อย 3. การเรียนร้เู กิดขึ้นได้ 2 ลกั ษณะ คือ 3.1 การรับรู้ (perception) การรบั รเู้ ป็นกระบวนการทบี่ ุคคลใช้ประสาทสัมผัสรบั ส่งิ เร้าแล้ว โยนเขา้ สสู่ มองเพอ่ื ผา่ นเขา้ สกู่ ระบวนความคดิ สมองหรอื จิตจะใชป้ ระสบการณเ์ ดมิ ตีความ หมายของสิ่งเรา้ และแสดงปฎกิ ริ ิยาตอบสนองออกไปตามที่สมอง/จิตตคี วามหมาย 3.2 การหยัง่ เห็น (insight) เป็นการคน้ พบหรือการเกดิ ความเข้าใจในชอ่ งทางแกป้ ญั หาอยา่ ง เฉียบพลันทนั ที อันเนอื่ งมาจากผลการพจิ ารณาปญั หาโดยสว่ นรวม และการใช้กระบวนการทาง ความคดิ และสติปญั ญาของบคุ คลน้นั 4.กฎการจัดระเบียบการเรียนรู้(perception)ของทฤษฎเี กสตลั ทม์ ีดงั น้ี 4.1 กฎการรับรสู้ ่วนรวมและสว่ นยอ่ ย (Law of Pragnanz) ประสบการณเ์ ดิมมอี ทิ ธิพลต่อ การรบั รขู้ องบคุ คล การรบั รู้ของบคุ คลตอ่ สง่ิ เร้าเดียวกนั อาจแตกต่างกนั ได้ เพราะการใช้ประสบการณ์ เดมิ มารบั รู้ส่วนรวมและส่วนย่อยต่างกัน 4.2 กฎแห่งความคล้ายคลึง ( Law of Similarity) ส่ิงเรา้ ใดท่ีมีลกั ษณะเหมือนกัน หรอื คล้ายคลงึ กนั บคุ คลมกั รับรูเ้ ป็นพวกเดยี วกนั 4.3กฎแหง่ ความใกล้เคยี ง (Law of Proximity) แม้สงิ่ เร้าทมี่ คี วามใกลเ้ คียงกันบุคคลมกั รับรู้ เป็นพวกเดยี วกัน 4.4 กฎแหง่ ความสมบรู ณ์ (Law of Closure ) แม้ส่ิงเรา้ ทบ่ี คุ คลรบั รูย้ งั ไมส่ มบรู ณ์แต่บุคคล สามารถรบั ร้ใู นลกั ษณะสมบูรณไ์ ด้ถ้าทกุ คนมปี ระสบการณเ์ ดมิ ในสง่ิ เรา้ นนั้ 4.5 กฎแหง่ ความตอ่ เนอื่ ง สง่ิ เรา้ ที่มีความต่อเน่อื งกนั หรือมที ศิ ทางไปในแนวเดียวกัน บุคคลมักรับรู้เป็นพวกเดยี วกนั หรอื เร่ืองเดยี วกนั หรือเป็นเหตผุ ลกนั 4.6 บุคคลมักมีความคงที่ในความหมายของสงิ่ ทรี่ ับร้ตู ามความเป็นจรงิ กลา่ วคือ เมอื่ บุคคลรบั รสู้ ิง่ เรา้ ในภาพรวมแลว้ จะมคี วามคงท่ีในการรับร้สู ง่ิ นน้ั ในลักษณะเปน็ ภาพรวมดงั กลา่ ว ถึงแม้ว่าส่ิงเรา้ นนั้ จะได้เปล่ยี นแปรไปเมอื่ รบั รใู้ นแงม่ มุ อน่ื เชน่ เมอ่ื เห็นปากขวดกลมเรามักจะเหน็ ว่า มันกลมเสมอถงึ แม้วา่ ในการมองบางมุมภาพทเ่ี ห็นจะเปน็ รูปวงรกี ็ตาม 4.7การรบั รขู้ องบุคคลอาจผิดพลาด บิดเบือนไปจากความเปน็ จรงิ ได้เนอ่ื งมาจากลกั ษณะของ การจัดกลมุ่ สิ่งเรา้ ทท่ี าใหเ้ กดิ การลวงตา 5.การเรียนรแู้ บบหยงั่ เห็น (insight) โคหเ์ ลอร์ (kohler) ไดส้ งั เกตการณเ์ รียนร้ขู องลงิ ในการ ทดลอง ลงิ พยายามหาวิธีท่ีจะเอากลว้ ยซึ่งแขวนอย่สู งู เกนิ กว่าทจ่ี ะเออื้ มถงึ ได้ ในทส่ี ุดลงิ เกิดความคิดท่ี จะเอาไมไ้ ปสอยกล้วยท่ีแขวนเอามากนิ ได้ สรปุ ได้ว่า ลิงมกี ารเรยี นรแู้ บบหยง่ั เหน็ การหยง่ั เหน็ เป็น

70 การค้นพบ หรอื เกิดความเข้าใจในช่องทางแกป้ ญั หาอยา่ งฉับพลันทนั ที อนั เน่อื งมาจากผลการ พจิ ารณาปญั หาโดยสว่ นรวม และการใชก้ ระบวนการทางความคดิ และสติปญั ญาของบุคคลน้ันในการ เชือ่ มโยงประสบการณเ์ ดิมกบั ปญั หาหรือ สถานการณท์ ่ีเผชิญ ดงั นัน้ ปจั จัยสาคญั ของการเรียนรู้แบบ หยั่งเหน็ กค็ ือ ประสบการณ์ หากมีประสบการณ์สะสมไวม้ าก การเรียนรแู้ บบหยงั่ เห็นกจ็ ะสะสมไว้ มากการเรยี นรแู้ บบหยงั่ เห็นก็จะเกิดข้ึนได้มากเชน่ กัน ข.หลักการจัดการศึกษา/การสอน 1.กระบวนการคิดเปน็ กระบวนการสาคญั ในการเรยี นรู้ การสง่ เสริมกระบวนการคิดจงึ เป็น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง สิ่งจาเป็นและเปน็ สงิ่ สาคัญในการชว่ ยใหผ้ ้เู รียนเกิดการเรยี นรู้ 2.การสอนโดยการเสนอภาพรวม เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นเหน็ และเขา้ ใจกอ่ นการเสนอสว่ นย่อย จะ ชว่ ยให้ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรไู้ ด้ดี 3.การส่งเสริมให้ผเู้ รยี นมปี ระสบการณม์ าก ไดร้ บั ประสบการณท์ ่หี ลากหลายจะชว่ ยให้ผเู้ รียน สามารถคิดแกป้ ัญหาและคดิ รเิ รม่ิ ไดม้ ากข้ึน 4.การจดั ประสบการณ์ใหม่ ใหม้ คี วามสัมพันธก์ บั ประสบการณเ์ ดมิ ของผเู้ รยี นจะช่วยให้ ผเู้ รียนสามารถเรยี นรู้ได้ดีและงา่ ยข้ึน 5.การจดั ระเบยี บสงิ่ เรา้ ที่ตอ้ งการให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรไู้ ดด้ ี คือการจัดกลมุ่ สงิ่ เรา้ ที่ เหมอื นกนั หรอื คลา้ ยคลึงกันไวเ้ ป็นกลมุ่ เดยี วกนั 6.ในการสอน ครูไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเสยี เวลาเสนอเนื้อหาท้งั หมดทสี่ มบูรณ์ ครูสามารถเสนอเนื้อหา แต่เพยี งบางส่วนได้หากผ้เู รียนสามารถใชป้ ระสบการณ์เดมิ มาเตมิ ใหส้ มบูรณ์ 7.การเสนอบทเรยี นหรอื เน้ือหาควรจัดใหม้ คี วามต่อเน่อื งกัน จะชว่ ยใหผ้ ้เู รียนเกิดการเรยี นรไู้ ด้ ดีและรวดเร็ว 8.การส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รียนไดร้ บั ประสบการณท์ ่ีหลากหลาย จะช่วยใหน้ กั เรยี นเกิดการเรียนรู้แบบ หย่ังเหน็ ได้มากข้นึ 3.2.2 ทฤษฎีสนาม (Field Theory) เคิร์ท เลวนิ (Kurt Lewin)เป็นผเู้ รมิ่ ทฤษฎีน้ี คาว่า “field”มาจากแนวคดิ เรอ่ื ง “field of force” ก.ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 1.พฤติกรรมของคนมพี ลงั และทศิ ทาง สิง่ ใดทอ่ี ยู่ในความสนใจและความตอ้ งการ ของ ตนจะมีพลงั เปน็ บวก สงิ่ ที่นอกเหนอื จากความสนใจจะมพี ลงั เปน็ ลบ ในขณะใดขณะหนง่ึ คนทกุ คนจะ มี “โลก”หรอื “อวกาศชีวิต” (life space) ของตน ซงึ่ จะประกอบไปด้วยสิง่ แวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) อนั ได้แก่ คน สตั ว์ ส่ิงของ สถานท่ี สงิ่ แวดลอ้ มอนื่ ๆ และ สิง่ แวดล้อมทางจิตวทิ ยา(psychological environment) ซึ่งได้แกแ่ รงขับ(drive) แรงจูงใจ (motivation)เป้าหมายหรอื จดุ หมายปลายทาง(goal)รวมทง้ั วามสนใจ(interest)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 71 2.การเรียนรู้เกดิ ขึน้ เม่ือบุคคลมีแรงจงู ใจหรอื แรงขบั ทจ่ี ะกระทาไปสจู่ ุดหมายปลายทางที่ตน ตอ้ งการ ข.หลกั การจดั การศกึ ษา/การสอน 1.การช่วยใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ จาเปน็ ตอ้ งอาศยั การทาความเข้าใจ ”โลก” ของผเู้ รียนวา่ ผ้เู รยี นมจี ดุ มงุ่ หมายและความต้องการอะไร อะไรเปน็ พลงั ทางบวก และอะไรเปน็ พลงั ทางลบของเขา และพยายามจัดสงิ่ แวดลอ้ มทีเ่ หมาะสมทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนไปสู่จดุ หมาย 2.การจัดการเรียนรูใ้ ห้เขา้ ไปอย่ใู น”โลก”ของผเู้ รยี น โดยการจัดสง่ิ แวดล้อมทั้งทางกายภาพ และจติ วิทยาให้ดงึ ดดู ความสนใจและสนองความตอ้ งการของผเู้ รยี น เปน็ สงิ่ จาเป็นในการจัดการเรียน การสอน 3.การสร้างแรงจงู ใจ และ/หรือแรงขบั ทจี่ ะนาใหผ้ ู้เรียนไปส่ทู ศิ ทางหรอื จุดหมายท่ตี ้องการ เป็น สง่ิ จาเป็นในการช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ 3.2.3 ทฤษฎเี ครอื่ งหมาย (Sign Theory) ทอลแมน (Tolman) กลา่ ววา่ “การเรยี นรเู้ กดิ จากการใช้เครื่องหมายเปน็ ตัวชี้ทางใหแ้ สดง พฤตกิ รรมไปสจู่ ดุ หมายปลายทาง” ทฤษฎีของทอลแมนสรปุ ได้ ดังนี้ ก.ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 1.ในการเรยี นรู้ต่างๆ ผู้เรยี นมกี ารคาดหมายรางวลั (reward expectancy) หากรางวัลท่ีคาด ว่าจะไดร้ บั ไม่ตรงตามความพอใจและความต้องการผเู้ รียนจะพยายามแสวงหารางวลั หรอื สง่ิ ทีต่ อ้ งการ ต่อไป 2.ขณะท่ผี ูเ้ รยี นพยายามจะไปใหถ้ งึ จดุ หมายปลายทางที่ตอ้ งการ ผ้เู รยี นจะเกิดการเรยี นรู้ เครอื่ งหมายสญั ลกั ษณ์สถานท่ี (place learning) และส่งิ อื่นๆทเี่ ปน็ เครอื่ งชที้ างตามไปดว้ ย 3.ผเู้ รยี นมคี วามสามารถทจ่ี ะปรบั การเรียนรู้ของตนไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จะไมก่ ระทา ซ้าๆในทางท่ไี ม่สามารถสนองความตอ้ งการหรอื วัตถปุ ระสงค์ของตน 4.การเรยี นรทู้ ีเ่ กิดข้ึนในบคุ คลใดบุคคลหน่งึ น้นั บางคร้ังจะไม่แสดงออกในทันที อาจจะแฝงอยู่ ในตวั ผู้เรียนไปกอ่ นจนกวา่ จะถงึ เวลาทเี่ หมาะสมหรอื จาเปน็ จงึ จะแสดงออก(Talent learning) ข.หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน 1.การสรา้ งแรงขับ และ/หรือแรงจงู ใจใหเ้ กดิ ข้ึนกบั ผเู้ รยี น จะกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนพยายาม ไปใหถ้ งึ จุดหมายทตี่ อ้ งการ 2.ในการสอนใหผ้ ู้เรียนบรรลุถงึ จุดมุ่งหมายใดๆ นั้น ครูควรใหเ้ คร่ืองหมาย สัญลกั ษณ์ หรือส่งิ อืน่ ๆทเี่ ป็นเคร่ืองชีท้ างควบคไู่ ปดว้ ย 3.การเปลย่ี นสถานการณก์ ารเรียนรู้ สามารถชว่ ยใหผ้ ู้เรียนปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรรมของตน ได้ 4.การเรยี นรบู้ างอยา่ งยงั ไมส่ ามารถแสดงออกไดใ้ นทนั ที การใชว้ ิธกี ารทดสอบหลายๆ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 72 วิธี ทดสอบหลายวธิ ี หรือตดิ ตามผลระยะยาว จงึ เปน็ สิ่งจาเป็นในการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ในลกั ษณะนี้ 3.2.4. ทฤษฎพี ัฒนาการทางสตปิ ญั ญา (Intellectual Development) 1)ทฤษฎีพัฒนาการทางสตปิ ัญญาของเพยี เจต์ เพียเจต์ (Piaget) ไดศ้ ึกษาเก่ียวกับพฒั นาการทางด้านความคดิ ของเดก็ ว่า มขี ้ันตอนหรือ กระบวนการอย่างไร เขาอธบิ ายวา่ การเรยี นรขู้ องเด็กเปน็ ไปตามพัฒนาการทางสตปิ ญั ญา ซึ่งจะมพี ฒั นาการ ไปตามวยั ต่างๆ เป็นลาดับขน้ั พฒั นาการเปน็ สงิ่ ทเ่ี ปน็ ไปตามธรรมชาติ ไมค่ วรท่ีจะเร่งใหเ้ ด็กข้ามจาก พัฒนาการข้ันหนึ่งไปส่อู ีกขั้นหน่งึ เพราะจะทาใหเ้ กดิ ผลเสยี แก่เด็ก แต่การจัดประสบการณส์ ่งเสรมิ พฒั นาการ ของเดก็ ในชว่ งที่เด็กกาลังจะพฒั นาไปสู่ข้นั ท่สี งู กว่า สามารถช่วยให้เดก็ พฒั นาไปอย่างรวดเรว็ อยา่ งไรก็ตาม เพียเจต์เนน้ ความสาคญั ของการเข้าใจธรรมชาติและพฒั นาการของเดก็ มากกว่าการกระตนุ้ เดก็ ใหม้ พี ฒั นาการ เรว็ ข้นึ ก.ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ทฤษฎีพัฒนาการทางสตปิ ญั ญาของเพยี เจต์ มสี าระ ดงั น้ี 1.พฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของบุคคลเป็นไปตามวยั ต่างๆเปน็ ลาดบั ขนั้ ดงั น้ี 1.1 ขัน้ รับรดู้ ว้ ยประสาทสมั ผสั (Sensorimotor Period) เปน็ ขั้นพัฒนาการในช่วง 0-2 ปี ความคดิ ของเดก็ ในวัยนข้ี นึ้ กับการรบั รู้ และการกระทา เด็กยึดตัวเองเป็นศนู ยก์ ลาง และยงั ไม่ สามารถเข้าใจความคิดเห็นของผอู้ ่ืน 1.2 ข้นั กอ่ นปฏบิ ตั กิ ารคดิ (Preoperational Period) เปน็ ขั้นพฒั นาการในช่วงอายุ 2-7 ปี ความคิดของเดก็ วัยน้ี ยังขึน้ อยู่กบั การบั รเู้ ป็นส่วนใหญ่ ยงั ไมส่ ามารถทีจ่ ะใช้เหตผุ ลอยา่ งลึกซึง้ แต่ สามารถเรยี นรแู้ ละใชส้ ญั ลกั ษณ์ได้ การใชภ้ าษาแบง่ เป็นข้ันย่อยๆ 2 ขัน้ คอื 1.2.1 ขั้นกอ่ นเกดิ ความคิดรวบยอด (Pre-Conceptual Intellectual Period) เปน็ ขน้ั พัฒนากรในช่วง 2-4 ปี 1.2.2 ขน้ั การคดิ ดว้ ยความเข้าใจของตนเอง (Intuitive Thinking Period) เปน็ พัฒนาการในชว่ ง 4-7 ปี 1.3 ขนั้ การคดิ แบบรปู ธรรม (Concrete Operational Period) เปน็ ขน้ั พัฒนาการในชว่ ง อายุ 7-11 ปี เปน็ ขัน้ ท่ีการคดิ ของเด็กไมข่ ึน้ กบั การรับร้จู ากรปู รา่ งเทา่ น้ัน เด็กสามารถสร้างภาพในใจ และสามารถคดิ ยอ้ นกลบั ได้ และมคี วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั ความสมั พันธ์ของตัวเลขและส่ิงตา่ งๆ ได้มากขนึ้ 1.4 ข้นั การคดิ แบบนามธรรม (Formal Operation Period) เปน็ พฒั นาการในชว่ งอายุ 11-15 ปี เดก็ สามารถคิดสิง่ ท่ีเปน็ นามธรรมได้ และสามารถคิดต้งั สมมตฐิ านและใชก้ ระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ได้ 2. ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ 3. กระบวนการทางสตปิ ัญญามลี กั ษณะดังน้ี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 73 3.1 การซมึ ซบั หรือการดดู ซมึ (assimilation) เปน็ กระบวนการทางสมองในการรับ ประสบการณ์ เรอื่ งราว และขอ้ มลู ตา่ งๆ เขา้ มาสะสมเก็บไว้เพอ่ื ใช้ประโยชนต์ อ่ ไป 3.2 การปรับและจัดระบบ (accommodation) คือ กระบวนการทางสมองในการ ปรบั ประสบการณ์เดมิ และประสบการณ์ใหม่ให้เขา้ กนั เป็นระบบหรอื เครือขา่ ยทางปญั ญาทตี่ น สามารถเข้าใจได้ เกดิ เป็นโครงสร้างทางปญั ญาใหมข่ นึ้ 3.3 การเกดิ ความสมดลุ (equilibration) เปน็ กระบวนการทเ่ี กิดข้นึ จากขน้ั ของการ ปรบั ตัว หากการปรบั เปน็ ไปอย่างผสมผสานกลมกลืน กจ็ ะก่อใหเ้ กดิ สภาพที่มีความสมดลุ มากขนึ้ หากบุคคลไมส่ ามารถปรับประสบการณใ์ หม่และประสบการณ์ เดิมใหเ้ ขา้ กนั ได้ ก็จะเกดิ ภาวะความไม่ สมดลุ ข้ึน ซง่ึ จะกอ่ ใหเ้ กิดความขดั แย้งทางปญั ญาขน้ึ ในตัวบุคคล ข.หลักการจดั การศึกษา/การสอน 1.ในการพฒั นาเด็ก ควรคานึงถงึ พัฒนาการทางสตปิ ญั ญาของเด็กและจดั ประสบการณใ์ ห้ เดก็ อย่างเหมาะสมกับพัฒนาการเทา่ นัน้ ไม่ควรบังคบั ใหเ้ ดก็ เรยี นในส่งิ ที่ยงั ไมพ่ รอ้ ม หรือยากเกนิ พฒั นาการตามวัยของตนเพราะจะก่อใหเ้ กดิ เจตคติท่ไี ม่ดีได้ 1.1การจดั การสภาพแวดล้อมทเ่ี ออื้ ให้เดก็ เกิดการเรยี นรู้ตามวยั ของตนสามารถชว่ ยใหเ้ ดก็ พฒั นาไปสพู่ ฒั นาการขั้นสงู ได้ 1.2เด็กแตล่ ะคนมีพฒั นาการแตกตา่ งกัน ถึงแมอ้ ายุจะเทา่ กนั แต่ระดับพฒั นาการอาจไม่ เท่ากัน ดงั น้ันจงึ ไมค่ วรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอสิ ระทจี่ ะเรยี นรู้และพฒั นาความสามารถของเขา ไปตามระดบั พัฒนาการของเขา 1.3ในการสอนควรใช้สงิ่ ทเี่ ป็นรปู ธรรม เพื่อช่วยให้เด็กเขา้ ใจลกั ษณะตา่ งๆไดด้ ขี น้ึ แม้ใน พัฒนาการชว่ งการคิดแบบรูปธรรมเด็กจะสามารถสรา้ งภาพในใจไดแ้ ตก่ ารสอนท่ีใชอ้ ปุ กรณท์ เี่ ปน็ รปู ธรรมจะช่วยใหเ้ ด็กเขา้ ใจแจม่ ชัดขนึ้ 2.การใหค้ วามสนใจและสงั เกตเดก็ อย่างใกลช้ ิด จะชว่ ยใหท้ ราบลกั ษณะเฉพาะตวั ของเด็ก 3.ในการสอนเดก็ เลก็ ๆ เด็กจะรบั รสู้ ว่ นรวม (whole) ได้ดกี ว่าส่วนยอ่ ย (part) ดงั น้ันครูจงึ ควรสอนภาพรวมกอ่ นแล้วจงึ แยกสอนทลี ะส่วน 4.ในการสอนสง่ิ ใดใหก้ บั เดก็ ควรเรม่ิ จากส่งิ ทีเ่ ดก็ คนุ้ เคยหรอื มปี ระสบการณ์มากอ่ นแล้วจงึ เสนอสง่ิ ใหมท่ มี่ คี วามสัมพันธก์ ับส่งิ เก่า การทาเชน่ น้จี ะช่วยให้กระบวนการซึมซบั และจดั ระบบความรู้ ของเด็กเป็นไปด้วยดี 5.การเปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ได้รับประสบการณ์ และมีปฏสิ มั พนั ธ์กบั สิง่ แวดลอ้ มมากๆ ชว่ ยให้เดก็ ดดู ซมึ ขอ้ มลู เข้าสโู่ ครงสรา้ งทางสตปิ ัญญาของเด็กอันเปน็ การสง่ เสรมิ พฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเดก็ 2)ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญั ญาของบรุนเนอร์ บรนุ เนอร์ (Bruner) เปน็ นกั จิตวิทยาทส่ี นใจและศกึ ษาเรื่องของพฒั นาการทางสตปิ ญั ญา ตอ่ เน่อื งจากเพียเจต์ บรนุ เนอรเ์ ช่อื ว่ามนษุ ย์เลือกทจ่ี ะรบั รสู้ งิ่ ทตี่ นเองสนใจ และการเรยี นรู้เกิด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 74 จากกระบวนการคน้ พบด้วยตวั เอง(discovery learning) แนวคิดทส่ี าคญั ๆของบรนุ เนอรม์ ีดังน้ี ก.ทฤษฎีการเรียนรู้ 1.การจัดโครงสรา้ งของความรู้ใหม้ คี วามสมั พนั ธ์และสอดคลอ้ งกบั พฒั นาการทาง สติปญั ญาของเด็กมผี ลตอ่ การเรยี นรขู้ องเดก็ 2.การจัดหลกั สูตรและการเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั ความพร้อมของผเู้ รยี น และสอดคลอ้ งกบั พฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของผเู้ รียนจะช่วยให้การเรยี นรเู้ กดิ ประสทิ ธภิ าพ 3.การคิดแบบหยงั่ ร(ู้ intuition) เป็นการคดิ หาเหตผุ ลอย่างอสิ ระทสี่ ามารถชว่ ยพฒั นา ความคิดรเิ ริม่ สร้างสรรคไ์ ด้ 4.แรงจงู ใจภายในเปน็ ปจั จยั สาคญั ทจี่ ะช่วยให้ผูเ้ รยี นประสบวามสาเร็จในการเรยี นรู้ 5.ทฤษฎีพัฒนาการทางสตปิ ญั ญาของมนุษย์แบ่งไดเ้ ป็น3ข้นั ใหญๆ่ คอื 5.1ข้นั การเรยี นรู้จากการกระทา(Enactive Stage) คอื ขัน้ ของการเรยี นรจู้ าก การใช้ประสาทสัมผสั รบั รสู้ ่งิ ตา่ งๆ การลงมอื กระทาช่วยให้เดก็ เกิดการเรยี นรูไ้ ด้ดี การเรยี นรู้เกดิ จาก การกระทา 5.2ข้ันการเรยี นรจู้ ากความคิด(Iconic Stage)เป็นข้ันท่ีเดก็ สามารถสรา้ งมโน ภาพในใจไดแ้ ละสามารถเรยี นรจู้ ากภาพแทนของจรงิ ได้ 5.3ขั้นการเรยี นรู้สญั ลกั ษณแ์ ละนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขน้ั การ เรียนรู้สง่ิ ท่ีซบั ซอ้ นและเป็นนามธรรมได้ 6.การเรียนรเู้ กดิ ขน้ึ ได้จากการทีค่ นเราสามารถสรา้ งความคิดรวบยอด หรอื สามารถ จัดประเภทของสง่ิ ตา่ งๆได้อย่างเหมาะสม 7.การเรยี นรทู้ ไี่ ด้ผลดีทส่ี ุดคือการใหผ้ เู้ รียนค้นพบการเรยี นรู้ด้วยตนเอง(discovery learning) ข.หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน 1.กระบวนการคน้ พบการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง เป็นกระบวนการเรียนร้ทู ี่ดมี ีความหมาย สาหรบั ผ้เู รียน 2.การวเิ คราะห์และจัดโครงสรา้ งเนือ้ หาสาระการเรียนรใู้ หเ้ หมาะสม เปน็ สง่ิ จาเปน็ ที่ ตอ้ งทาก่อนการสอน 3.การจดั หลักสูตรแบบเกลียว(Spiral Curriculum) ชว่ ยให้สามารถสอนเนอื้ หาหรอื ความคิดรวบยอดเดยี วกันแก่ผเู้ รียนทกุ วยั ได้ โดยตอ้ งจัดเน้อื หาความคิดรวบยอดและวิธสี อนให้ เหมาะสมกับพฒั นาการขงผเู้ รยี น 4.ในการเรียนการสอนต้องส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนได้คดิ อย่างอิสระใหม้ าก เพอ่ื ช่วยส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรค์ให้แกผ่ ูเ้ รยี น 5.การสรา้ งแรงจูงใจภายในให้เกิดขนึ้ กบั ผเู้ รียน เปน็ ส่งิ จาเป็นในการจัดประสบการณ์ การเรียนร้แู กผ่ เู้ รยี น

75 6.การจัดกระบวนการเรยี นรใู้ ห้เหมาะสมกบั ขั้นพัฒนาการทางสติปญั ญาของผ้เู รียน จะ ช่วยใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรยี นรูไ้ ดด้ ี 7.การสอนความคิดรวบยอดให้แกผ่ เู้ รียนเป็นสง่ิ ท่จี าเปน็ 8.การจดั ประสบการณ์ใหผ้ ูเ้ รียนไดค้ น้ พบการเรยี นร้ดู ้วยตนเอง สามารถชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเกิด การเรียนรู้ไดด้ ี 3.2.5 ทฤษฎกี ารเรียนรู้อย่างมคี วามหมาย (A Theory of Meaningful Verbal Learning) ของเดวิดออซเู บล(DavidAusubel) ออซูเบลเช่ือว่าการเรยี นรจู้ ะมคี วามหมายแกผ่ ู้เรียน หากการเรยี นรู้นนั้ สามารถเชื่อมโยงกบั สงิ่ ใด สงิ่ หน่งึ ทร่ี มู้ ากอ่ น การนาเสนอความคิดรวบยอดหรอื กรอบมโนทศั น์หรือกรอบความคดิ (Advance Organizer) ในเรอ่ื งใดเรอื่ งหนงึ่ แกผ่ ้เู รียนก่อนการสอนเนือ้ หาสาระนัน้ ๆ จะช่วยให้ผเู้ รียนไดเ้ รยี นเนือ้ หาสาระน้นั อย่างมี ความหมาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 3.3กลมุ่ ยอ่ ยท่ี3ทฤษฎีการเรยี นรกู้ ลุ่มมนุษยนิยม(Humanism) นกั คดิ กลมุ่ มนษุ ยนยิ ม ให้ความสาคัญของการเป็นมนุษย์ และมองมนุษย์วา่ มีคณุ คา่ มคี วามดีงาม มคี วามสามารถ มคี วามตอ้ งการ และมีแรงจงู ใจภายในท่ีจะพัฒนาศักยภาพของตน หากบคุ คลไดร้ บั อสิ รภาพ และเสรีภาพ มนษุ ยจ์ ะพยายามพฒั นาตนเองไปสู่ความเปน็ มนุษยท์ ีส่ มบรู ณ์ นักจติ วทิ ยาคนสาคัญในกลมุ่ นค้ี อื มาสโลว์ (Maslow) รอเจอร์ส (Rogers) โคมบ์ (Combs) โนลส์ (Knowles) แฟร์(Faire) อลิ ลิช (illich)และนลี (Neil) 3.3.1ทฤษฎีการเรียนรูข้ องมาสโลว์(Maslow,1962) ก.ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 1.มนุษย์ทกุ คนมคี วามตอ้ งการพนื้ ฐานตามธรรมชาตเิ ป็นลาดบั ข้นั คือ ข้ันความตอ้ งการทาง ร่างกาย(physical need) ขัน้ ความตอ้ งการความมนั่ คงปลอดภัย(safety need) ขนั้ ความต้องการความรกั (love need) ขนั้ ความต้องการยอมรบั ของตนอยา่ งเตม็ ท่ี (self-actualization) หากความต้องการขน้ั พืน้ ฐาน ไดร้ ับการตอบสนองอย่างพอเพียงสาหรบั ตนในแตล่ ะขั้น มนุษย์จะสามารถพฒั นาตนไปสขู่ ั้นท่สี งู ขึน้ ได้ 2.มนษุ ยม์ คี วามตอ้ งการทจี่ ะรจู้ กั ตนเอง และพฒั นาตนเอง ประสบการณ์ทเ่ี รยี กว่า “peak experience” เป็นประสบการณ์ของบคุ คลท่อี ยใู่ นภาวะดื่มด่าจากการรู้จกั ตนเองตรงตามสภาพความ เปน็ จริง มลี ักษะน่าต่นื เต้น เป็นความรูส้ กึ ปตี ิ เป็นชว่ งเวลาทบ่ี คุ คลเขา้ ใจเรอื่ งหนง่ึ อยา่ งถอ่ งแท้ เปน็ สภาพที่ สมบรู ณ์ มีลกั ษณะผสมผสานกลมกลนื เป็นช่วงเวลาแหง่ การรจู้ กั ตนเองอยา่ งแท้จรงิ บุคคลทม่ี ีประสบการณ์ เช่นน้ีบอ่ ยๆจะสามารถพฒั นาตนไปส่คู วามเป็นมนษุ ย์ท่สี มบรู ณ์ ข.หลกั การจดั การศกึ ษา/การสอน 1.เข้าใจถึงความตอ้ งการพื้นฐานของมนษุ ย์ สามารถช่วยใหเ้ ข้าใจพฤตกิ รรมของบคุ คลได้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 76 เนื่องจากพฤติกรรมเป็นการแสดงออกของความตอ้ งการของบคุ คล 2.จะสามารถช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ได้ดี จาเปน็ ต้องตอบสนองความตอ้ งการพ้ืนฐานทเี่ ขา ต้องการเสียก่อน 3.ในกระบวนการเรยี นการสอน หากผู้สอนสามารถหาได้วา่ ผู้เรยี นแตล่ ะคนมีความต้องการอยใู่ น ระดบั ใดขน้ั ใดผสู้ อนสามารถใช้ความตอ้ งการพื้นฐานของผเู้ รยี นนน้ั เปน็ แรงจงู ใจชว่ ยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรูไ้ ด้ 4.การช่วยใหผ้ ู้เรยี นไดร้ บั การตอบสนองความต้องการพนื้ ฐานของตนอย่างพอเพียง การให้ อิสรภาพและเสรีภาพแกผ่ เู้ รียนในการเรยี นรู้ การจัดบรรยากาศที่เอือ้ ต่อการเรียนรู้ จะชว่ ยสง่ เสรมิ ให้ ผู้เรียนเกดิ ประสบการณ์ในการรจู้ ักตนเองตรงตามสภาพความเปน็ จรงิ 3.3.2ทฤษฎีการเรียนรูของรอเจอรส์ (Rogers,1969) ก.ทฤษฎีการเรียนรู้ มนุษยจ์ ะสามารถพัฒนาตนเองได้ดี หากอยู่ในสภาพการณ์ทผ่ี ่อนคลายและเป็นอสิ ระ การจดั บรรยากาศการเรยี นที่ผอ่ นคลายและเอ้อื ตอ่ การเรียนรู้ (supportive atmosphere) และเน้นใหผ้ ูเ้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง (student-centered teaching) โดยครูใชว้ ธิ ีการสอนแบบช้แี นะ (non-directive) และทาหนา้ ทผี่ ู้ อานวยความสะดวก (facilitator) ในการเรยี นรู้ใหแ้ ก่ผเู้ รียนและการเรียนร้จู ะเน้นกระบวนการ (process learning)เป็นสาคญั ข.หลักการจดั การศึกษา/การสอน 1.การจดั สภาพแวดลอ้ มทางการเรยี นใหอ้ บอุ่น ปลอดภัย ไม่นา่ หวาดกลัว น่าไว้วางใจ จะชว่ ยให้ ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรไู้ ดด้ ี 2.ผเู้ รียนแตล่ ะคนมีศกั ยภาพและแรงจงู ใจทจี่ ะพัฒนาตนเองอยู่แลว้ ผู้สอนจงึ ควรสอนแบบชี้แนะ (non-directive) โดยใหผ้ เู้ รียนเปน็ ผนู้ าทางในการเรยี นร้ขู องตน(self- directive) และคอยชว่ ยเหลือผเู้ รียนให้ เรยี นอยา่ งสะดวกจนบรรลผุ ล 3.ในการจดั การเรยี นการสอนควรเน้นการเรยี นรู้กระบวนการ(process learning) เป็นสาคญั เนอื่ งจากกระบวนการเรียนรเู้ ป็นเครื่องมอื สาคัญทบ่ี ุคคลใชใ้ นการดารงชีวิตและแสวงหาความรู้ตอ่ ไป 3.3.3แนวคิดเกยี่ วกบั การเรยี นรูข้ องโคมส์(Combs) ก.แนวคิดเกีย่ วกับการเรยี นรู้ ความรู้สึกของผเู้ รียนมีความสาคญั ตอ่ การเรยี นรมู้ าก เพราะความรูส้ กึ และเจตคตขิ องผเู้ รยี นมี อทิ ธิพลตอ่ กระบวนการเรียนรขู้ องผู้เรียน ข.หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน การคานึงถงึ ความรู้สกึ ของผู้เรียน การสรา้ งเจตคตทิ ดี่ ีตอ่ การเรียนรูเ้ ป็นสงิ่ สาคญั ทจี่ ะช่วยให้ ผเู้ รียนเกิดการเรียนรไู้ ด้ดี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 77 3.3.4แนวคิดเกย่ี วกับการเรียนรู้ของโนลส์(Knowles) ก.แนวคิดเกยี่ วกับการเรียนรู้ 1.ผู้เรยี นจะเรียนรไู้ ดม้ ากหากมสี ่วนร่วมในการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง 2.การเรยี นรู้ของมนุษย์เปน็ กระบวนการภายใน อย่ใู นความควบคมุ ของผเู้ รียนแตล่ ะคน ผูเ้ รียน จะนาประสบการณ์ความรู้ทกั ษะและค่านิยมตา่ งๆเขา้ มาส่กู ารเรียนรขู้ องตน 3.มนุษยจ์ ะเรียนรู้ได้ดหี ากมอี สิ ระทจี่ ะเรยี นในสง่ิ ท่ีตนตอ้ งการและด้วยวธิ กี ารทตี่ นพอใจ 4.มนุษยท์ ุกคนมลี กั ษณะเฉพาะตน ความเปน็ เอกัตบคุ คลเปน็ สง่ิ ท่มี ีคณุ คา่ มนุษยค์ วรได้รับการ สง่ เสริมในการพฒั นาความเป็นเอกัตบุคคลของตน 5.มนุษยเ์ ปน็ ผมู้ ีความสามารถและเสรภี าพทจ่ี ะตดั สนิ ใจ และเลือกกระทาสง่ิ ตา่ งๆ ตามทีต่ น พอใจและรบั ผดิ ชอบในผลของการกระทานั้น ข.หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน 1.การให้ผ้เู รยี นมีสว่ นรวมในการเรียน รบั ผิดชอบร่วมกันในกระบวนการเรียนรู้ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี น เกดิ การเรียนรู้ไดด้ ี 2.ในกระบวนการเรยี นรู้ ควรเปดิ โอกาสและส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนนาประสบการณ์ ความรู้ ทกั ษะ เจตคติและคา่ นยิ มต่างๆของตนขา้ มาใช้ในการทาความเขา้ ใจสงิ่ ใหมป่ ระสบการณ์ใหม่ 3.ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แกผ่ เู้ รียน ควรเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี น ได้เลอื กสงิ่ ท่เี รยี นและ และวิธเี รียนด้วยตนเอง 4.ในกระบวนการเรยี นการสอน ครคู วรเขา้ ใจและสง่ เสรมิ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล ควรเปิด โอกาสและสง่ เสริมใหผ้ ้เู รียนไดพ้ ฒั นาคณุ สมบัตเิ ฉพาะตน ไม่ควรปิดก้ันเพียงเพราะเขาไม่เหมือนคนอน่ื 5.ในกระบวนการเรียนรู้ ควรเปิดโอกาสและสง่ เสริมให้ผเู้ รยี นตดั สินใจด้วยตนเอง ลงมอื กระทา และยอมรบั ผลของการตัดสิใจหรอื การกระทาน้นั 3.3.5แนวคดิ เกย่ี วกบั การเรยี นรขู้ องแฟร์(Faire) ก.แนวคิดเกีย่ วกับการเรียนรู้ เปาโล แฟร(์ Faire) เช่ือในทฤษฎขี องผถู้ ูกกดข่ี (Pedagogy of the oppressed) เขากล่าวว่า ผเู้ รยี นตอ้ งถกู ปลดปลอ่ ยจาการกดขข่ี องผ้สู อนทสี่ อนแบบเกา่ ผู้เรียนมศี กั ยภาพและมีความคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรค์ ทีจ่ ะกระทาส่ิงตา่ งๆด้วยตนเอง ข.หลักการจดั การศกึ ษา/การสอน ระบบการจดั การศกึ ษาควรเปน็ ระบบทีใ่ ห้อิสรภาพและเสรีภาพในการเรียนร้แู กผ่ เู้ รียน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 78 3.3.6แนวคดิ เกีย่ วกบั การเรยี นรขู้ องอิลลชิ (Illich) ก.แนวคดิ เกยี่ วกับการเรียนรู้ อวิ าน อลิ ลชิ (Ivan Illich) ไดเ้ สนอแนวคิดเกี่ยวกับการลม้ เลิกระบบโรงเรียน (deschooling) ไว้ว่า สงั คมแหง่ การเรยี นร้เู ปน็ สงั คมทีต่ อ้ งลม้ เลิกระบบโรงเรยี น การศกึ ษาควรเปน็ การศึกษาตลอดชีวิตแบบ เป็นตามธรรมชาติโดยใหโ้ อกาสในการศกึ ษาเล่าเรยี นแกบ่ คุ คลอย่างเตม็ ท่ี ข.หลกั การจดั การศึกษา/การสอน การจัดการศึกษาไมจ่ าเป็นต้องจัดทาในลกั ษณะระบบของโรงเรยี นควรจดั ในลกั ษณะที่เปน็ การศกึ ษาตอ่ เนือ่ งไปตลอดชีวติ ตามธรรมชาติ 3.3.7แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนร้ขู องนลี (Neil) ก.แนวคดิ เกย่ี วกับการเรยี นรู้ นีล (Neil) กล่าวว่า มนุษยเ์ ปน็ ผมู้ ศี กั ด์ศิ รี มคี วามดโี ดยธรรมชาตหิ ากมนุษยอ์ ยใู่ น สภาพแวดลอ้ มทอ่ี บอ่นุ บรบิ รู ณ์ไปดว้ ยความรัก มอี สิ รภาพและเสรภี าพมนุษยจ์ ะพฒั นาไปในทางทด่ี ตี อ่ ตนเอง และสงั คม ข.หลกั การจดั การศึกษา/การสอน การใหเ้ สรภี าพอย่างสมบูรณแ์ กผ่ เู้ รียนในการเรยี น เรียนเมอ่ื พรอ้ มทจ่ี ะเรียน จะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี น พฒั นาไปตามธรรมชาติ 3.4กล่มุ ย่อยที่4ทฤษฎกี ารเรยี นรกู้ ลุ่มผสมผสาน(Eclecticism) กานเย (Gagne) เป็นนกั จติ วิทยาและนกั การศึกษาในกลุ่มผสมผสานระหว่างพฤตกิ รรมนิยมกับ พุทธนิยม (Behavior Cognitivist) เขาอาศัยทฤษฎแี ละหลกั การทหี่ ลากหลาย เน่อื งจากความร้มู หี ลาย ประเภท บางประเภทสามารถเขา้ ใจได้อยา่ งรวดเร็วไมต่ ้องใชค้ วามคดิ ที่ลกึ ซง้ึ บางประเภทมีความซบั ซ้อนมาก จาเปน็ ตอ้ งใช้ความสามารถขั้นสูง กานเยไดจ้ ดั ข้นั การเรียนรูซ้ ง่ึ เรมิ่ จากง่ายไปหายาก โดยผสมผสานทฤษฎีการ เรียนรขู้ องกลมุ่ พฤตกิ รรมนยิ มและพทุ ธนิยมเขา้ ด้วยกัน การเรียนรู้ของกานเย (Gagne) หลกั การทสี่ าคญั ของกานเย สรปุ ดังนี้ ก.ทฤษฎีการเรยี นรู้ 1.กานเย (Gagne) ได้จัดประเภทของการเรียนรู้ เปน็ ลาดบั ขนั้ จากง่ายไปหายากไว้ 8 ประเภทดังนี้ 1.1 การเรียนรสู้ ญั ญาน(signal-learning) เปน็ การเรียนรู้ทเี่ กิดจากการตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ ทเี่ ป็นไปโดยอตั โนมัติ อยูน่ อกเหนอื อานาจจิตใจ ผเู้ รียนไมส่ ามารถบงั คบั พฤตกิ รรมใหม่ใหเ้ กิดขน้ึ ได้ การ เรียนร้แู บบนเ้ี กิดจากการที่คนเรานาเอาลักษณะการตอบสนองท่มี ีอยแู่ ล้วมาสัมพนั ธ์กบั สิ่งเร้าใหมท่ ่ีมีความ ใกล้ชิดกบั สง่ิ เรา้ เดมิ การเรียนร้สู ญั ญาน เป็นลกั ษณะการเรยี นร้แู บบการวางเงอ่ื นไขของพาฟลอฟ 1.2 การเรยี นรู้สง่ิ เร้า-การตอบสนอง(stimulus-response)เป็นการเรยี นรตู่ อ่ เนอื่ งจาก การเชอ่ื มโยงระหวา่ งสงิ่ เรา้ และการตอบสนอง แตกต่างจากการเรียนรูส้ ญั ญาน เพราะผู้เรียนสามารถควบคุม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 79 พฤตกิ รรมตนเองได้ ผู้เรยี นแสดงพฤติกรรม เน่อื งจากได้รบั แรงเสรมิ การเรยี นรู้แบบนเี้ ปน็ การเรยี นรตู้ าม ทฤษฎกี ารเรยี นรู้แบบเชือ่ มโยงของธอร์นไคด์ และการเรยี นรแู้ บบวางเงื่อนไข (operant conditioning) ของส กนิ เนอรซ์ ่ึงเชือ่ ว่าการเรยี นร้เู ป็นสงิ่ ที่ผเู้ รียนเป็นผกู้ ระทาเองมใิ ช่รอใหส้ ิง่ เร้าภายนอกมากระทาพฤตกิ รรมที่ แสดงออกเกิดจากสงิ่ เร้าภายในของผเู้ รียนเอง 1.3 การเรยี นรกู้ ารเชือ่ มโยงแบบต่อเนอ่ื ง (chaining) เป็นการเรียนรู้ทเี่ ชือ่ มโยงระหว่างส่งิ เรา้ และการตอบสนองทต่ี อ่ เนื่องกันตามลาดบั เปน็ พฤตกิ รรมท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การกระทา การเคล่อื นไหว 1.4 การเชอื่ มโยงทางภาษา (verbal association) เปน็ การเรยี นรู้ในลักษณะคลา้ ยกบั การ เรียนรกู้ ารเชื่อมโยงแบบตอ่ เนือ่ ง แต่เปน็ การเรยี นรเู้ ก่ียวกับการใชภ้ าษา การเรียนรกู้ ารรบั สงิ่ เร้า-การ ตอบสนองเป็นพ้ืนฐานของการเรียนรู้แบบตอ่ เนอื่ งและการเช่ือมโยงทางภาษา 1.5การเรยี นรคู้ วามแตกตา่ ง (discrimination learning) เป็นการเรยี นรูท้ ผี่ สมผสาน สามารถมองเหน็ ความแตกต่างของสงิ่ ตา่ งๆโดยเฉพาะความแตกตา่ งตามลกั ษณะของวตั ถุ 1.6การเรยี นรู้ความคิดรวบยอด (concept learning) เปน็ การเรียนรทู้ ี่ผเู้ รียนสามารถจดั กลมุ่ ส่ิงเร้าท่ีมีความเหมอื นหรือแตกต่างกนั โดยสามารถระบลุ กั ษณะท่เี หมอื นหรอื แตกตา่ งกนั ได้ พร้อมทง้ั สามารถขยายความรไู้ ปยงั สงิ่ อน่ื ท่ีนอกเหนอื จากท่ีเคยเหน็ มากอ่ นได้ 1.7การเรียนรกู้ ฎ (rule learning) เป็นการเรียนรทู้ ่ีเกดิ จากการรวมหรอื เช่ือมโยงความคดิ รวบยอดตัง้ แตส่ องอยา่ งขน้ึ ไป และต้ังเปน็ กฎเกณฑ์ขึ้น การที่ผเู้ รยี นสามารถเรยี นรู้กฎเกณฑจ์ ะช่วยให้ผ้เู รียน สามารถนาการเรียนร้นู ั้นไปใชใ้ นสถานการณต์ ่างๆกนั ได้ 1.8การเรียนรู้การแก้ปญั หา (problem solving) เป็นการเรยี นรทู้ จี่ ะแกป้ ัญหา โดยการนา กฎเกณฑต์ ่างๆ มาใช้ การเรยี นรู้แบบนเี้ ปน็ กระบวนการทเี่ กิดภายในตัวผู้เรยี น เปน็ การใชก้ ฎเกณฑใ์ นขัน้ สงู เพ่ือการแกป้ ญั หาทค่ี อ่ นข้างซบั ซอ้ นและสามารถนากฎเกณฑใ์ นการแกป้ ญั หาน้ีไปใชก้ บั สถานการณท์ ่ีคลา้ ยคลึง กนั ได้ 2.กานเยได้แบง่ สมรรถภาพการเรียนรู้ของมนษุ ย์ไว้5ประการดงั น้ี 2.1สมรรถภาพในการเรียนรู้ขอ้ เทจ็ จริง (verbal information) เป็นความสามรถในการเรยี นรู้ ขอ้ เท็จจรงิ ต่างๆโดยอาศยั ความจาและความสามารถระลึกได้ 2.2ทักษะเชาว์ปัญญา (intellectual skills) หรอื ทักษะทางสตปิ ญั ญา เป็นความสามารถในการ ใชส้ มองคิดหาเหตผุ ล โดยใช้ข้อมลู ประสบการณ์ ความรู้ ความคิดในดา้ นตา่ งๆ นบั ตงั้ แต่การเรียนรู้ขัน้ พื้นฐาน ซงึ่ เปน็ ทกั ษะงา่ ยๆไปสู่ทกั ษะทีย่ ากสลบั ซบั ซ้อนมากข้ึน ทักษะเชาวป์ ญั ญาทส่ี าคญั ทค่ี วรไดร้ บั การฝกึ คือ ความสามารถในการจาแนก (discrimination) ความสามารถในการคิดรวบยอดเป็นรปู ธรรม (concrete concept) ความสามรถในการให้คาจากัดความของความคดิ รวบยอด (defined concept) ความสามารถใน การเข้าใจกฎและใชก้ ฎ(rules)และความสามารถในการแก้ปญั หา(problemsolving) 2.3ยุทธศาสตร์ในการคิด (cognitive strategies) เป็นความสามารถของกระบวนการทางาน ภายในสมองของมนุษย์ ซ่ึงควบคุมการเรยี นรู้ การเลือกรบั รู้ การแปลความ และการดึงความรู้ ความจา ความ เขา้ ใจ และประสบการณ์เดมิ ออกมาใช้ ผมู้ ยี ทุ ธศาสตรใ์ นการคิดสูง จะมเี ทคนคิ มีเคล็ดลบั ในการดงึ ความรู้ ความจา ความเข้าใจ และประสบการณ์เดมิ ออกมาใชอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ สามารถแกป้ ัญหาท่ีมสี ถานการณ์ที่ แตกต่างได้อย่างดีรวมทง้ั สามารถแกป้ ญั หาตา่ งๆไดอ้ ย่างสร้างสรรค์ 2.4 ทักษะการเคลื่อนไหว (motor skills) เปน็ ความสามารถ ความชานาญในการปฏิบตั หิ รอื การ ใชอ้ วยั วะส่วนตา่ งๆ ของร่างกายในการทากจิ กรรมต่างๆ ผทู้ ่ีมีทักษะการเคล่ือนไหวท่ีดนี ัน้ พฤตกิ รรมทีแ่ สดง ออกมาจะมลี กั ษณะรวดเรว็ คล่องแคล่วและถูกต้องเหมาะสม

80 2.5 เจตคต(ิ attitudes) เปน็ ความรสู้ กึ นกึ คดิ ของบุคคลทมี่ ตี อ่ สงิ่ ต่างๆ ซึง่ มผี ลต่อการตัดสินใจ ของบุคคลนน้ั ในการทจ่ี ะเลอื กกระทาหรือไม่กระทาส่ิงใดสิง่ หนง่ึ ข.หลักการจดั การศึกษา/การสอน 1.กานเย ได้เสนอรปู แบบการสอนอย่างเปน็ ระบบโดยพยายามเชอื่ มโยงการจดั สภาพการเรียน การสอนอันเป็นสภาวะภายนอกตัวผเู้ รียนให้สอดคล้องกบั กระบวนการเรยี นร้ภู ายใน ซึ่งเปน็ กระบวนการท่ี เกิดข้นึ ภายในสมองของคนเรา กานเยอ่ ธบิ ายว่าการทางานของสมองคลา้ ยกับการทางานของคอมพวิ เตอร์ 2.ในระบบการจัดการเรียนการสอน เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั กระบวนการเรยี นรูน้ ้นั กานเย่ ได้เสนอ ระบบการสอน9ขนั้ ดังนี้ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ขัน้ ที่ 1 สร้างความสนใจ (gaining attention) เป็นขนั้ ทที่ าใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความสนใจใน บทเรียน เป็นแรงจงู ใจท่ีเกดิ ขน้ึ ทงั้ สงิ่ ย่ัวยุภายนอกและแรงจงู ใจทเ่ี กิดจากตวั ผูเ้ รียนเองด้วย ผู้สอนอาจใชว้ ธิ กี าร สนทนา ซกั ถาม ทายปญั หา หรอื มีวสั ดอุ ปุ กรณ์ตา่ งๆท่ีกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนตื่นตัว และมีความสนใจทีจ่ ะเรยี นรู้ ข้นั ที่ 2 แจง้ จดุ ประสงค์ (informing the leaner of the objective) เปน็ การบอกให้ ผู้เรยี นทราบถงึ เป้าหมายหรอื ผลท่จี ะไดร้ ับจากการเรยี นบทเรยี นนัน้ โดยเฉพาะ เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนเหน็ ประโยชน์ใน การเรยี น เหน็ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรยี นทาใหผ้ เู้ รยี นวางแผนการเรยี นของตนเองได้ นอกจากนน้ั ยงั สามารถชว่ ยใหผ้ สู้ อนดาเนินการสอนตามแนวทางทจ่ี ะนาไปสู่จุดหมายไดเ้ ปน็ อย่างดี ขน้ั ที่ 3 กระตุ้นให้ผเู้ รียนระลึกถึงความร้เู ดมิ ท่ีจาเปน็ (stimulating recall of prerequisite learned capabilities) เปน็ การทบทวนความรู้เดมิ ทจี่ าเปน็ ตอ่ การเชือ่ มโยงใหเ้ กดิ การ เรียนร้คู วามรู้ใหม่ เน่อื งจาการเรยี นรเู้ ปน็ กระบวนการตอ่ เนอื่ ง การเรียนรู้ความรู้ใหมต่ อ้ งอาศยั ความรูเ้ ก่าเปน็ พน้ื ฐาน ขน้ั ที่ 4 เสนอบทเรยี นใหม่ (presenting the stimulus) เปน็ การเรม่ิ กจิ กรรมของบทเรยี น ใหม่โดยใชว้ สั ดุอุปกรณต์ ่างๆทเี่ หมาะสมมาประกอบการสอน ขั้นที่ 5 ให้แนวทางการเรยี นรู้ (providing learning guidance) เป็นการช่วยใหผ้ เู้ รยี น สามารถทากิจกรรมดว้ ยตนเอง ผ้สู อนอาจแนะนาวิธีการทากิจกรรม แนะนาแหล่งค้นคว้าเปน็ การนาทาง ให้ แนวทางใหผ้ เู้ รียนไปคดิ เอง เปน็ ต้น ขั้นท่ี 6 ให้ลงมือปฏิบัติ (eliciting the performance) เป็นการให้ผเู้ รียนลงมอื ปฏบิ ัติ เพื่อชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นสามารถแสดงพฤตกิ รรมตามจุดประสงค์ ข้ันท่ี 7 ใหข้ อ้ มูลย้อนกลับ(feedback) เป็นขั้นทผ่ี ู้สอนให้ขอ้ มลู เกีย่ วกบั ผลการปฏิบัติ กจิ กรรมหรอื พฤติกรรมท่ผี เู้ รยี นแสดงออกวา่ มคี วามถูกตอ้ งหรอื ไมอ่ ย่างไรและเพียงใด ขั้นที่ 8 ประเมนิ พฤติกรรมการเรียนร้ตู ามจุดประสงค์(assessing the performance) เป็นข้นั การวดั และประเมินวา่ ผูเ้ รียนสามารถเรยี นรู้ตามจดุ ประสงค์การเรียนรขู้ องบทเรียนเพยี งใด ซงึ่ อาจวดั โดยการใชข้ ้อสอบ แบบสงั เกต การตรวจผลงาน หรอื การสมั ภาษณ์ แล้วแต่วาจดุ ประสงคน์ ั้นตอ้ งการวดั ดา้ นใด แตส่ ง่ิ สาคญั คือเครอื่ งมอื ท่ีใชว้ ดั ต้องมคี ุณภาพเชื่อถือไดแ้ ละมคี วามเท่ยี งตรงในการวัด ข้ันที่ 9 ส่งเสรมิ ความแม่นยาและการถา่ ยโอนการเรยี นรู้ (enhancing retention and transfer) เป็นการสรปุ การยา้ ทบทวนการเรยี นทผี่ า่ นมา เพือ่ ใหม้ ีพฤตกิ รรมการเรยี นรเู้ พม่ิ ข้ึน กจิ กรรมใน ขนั้ นอ้ี าจเป็นแบบฝกึ หดั การใหท้ ากจิ กรรมเพิ่มพูนความรู้ รวมทง้ั การให้ทาการบ้าน ทารายงาน หรอื หาความรู้ เพ่ิมเตมิ จากความรูท้ ี่ไดใ้ นชัน้ เรียน (ทศิ นา แขมมณี. 2562. หนา้ 44-76)

81 4. บทสรปุ การจดั การเรียนรู้ใหผ้ ู้เรียนทม่ี ลี กั ษณะต่างกัน มีวธิ ีการจดั การเรยี นร้ตู ามลกั ษณะเดน่ ของผเู้ รียน ถ้าผู้เรยี น บางคนมลี กั ษณะเดน่ ทางสตปิ ญั ญา ผสู้ อนก็เลือกทฤษฎีการเรยี นรดู้ า้ นพุทธินิยมมาใช้ ในการเลอื กทฤษฎมี าใช้ จัดกระบวนการเรียนการสอน สามารถเลอื กใชท้ ฤษฎกี ารเรยี นรหู้ ลายวิธีเขา้ มาประกอบกันไดเ้ นอื่ งจากการ จัดการเรียนการสอนใหผ้ เู้ รยี นนน้ั ผสู้ อนจดั กระบวนการเรยี นการสอนให้พฒั นาผเู้ รียนได้รอบด้านทง้ั ความคดิ สติปัญญา อารมณ์ และสงั คมเพ่ือสร้างผเู้ รียนทีม่ คี ุณลกั ษณะตามที่สงั คมตอ้ งการ ทฤษฎีการเรยี นรู้มที ง้ั ทฤษฎกี อ่ นครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20 และหลงั ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20 การเลอิ กใชท้ ฤษฎี กลุม่ ใด วเิ คราะหผ์ เู้ รยี นกอ่ นทั้งพฤติกรรมและภูมหิ ลังทางเศรษฐกจิ เนือ่ งจากประสบการณเ์ ดมิ ของผู้เรียน เกีย่ วข้องกบั พฤติกรรมในปจั จุบนั ของผเู้ รยี นด้วย อ้างองิ ทิศนา แขมมณ.ี 2562. ศาสตรก์ ารสอน องค์ความร้เู พือ่ การจดั กระบวนการเรียนรู้ทม่ี ีประสิทธิภาพ. กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั กิจกรรมท้ายบท 1.สัมมนาการใชท้ ฤษฎกี ารเรียนรู้กบั เด็กพเิ ศษต่างๆ 2.สะทอ้ นคิดการเรียนรูข้ องตวั เองว่าใชแ้ นวคิดทฤษฎีใดในการเรียนรู้ 3.อธิบายความแตกต่างระหว่างทฤษฎีการเรยี นรู้กลมุ่ ตา่ งๆ โดยภาพรวม 4.เขยี นแผนผงั ทฤษฎีการเรียนรู้ตา่ งๆ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

82 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 4 หวั ขอ้ เนือ้ หา 1. บทนำ: หลกั กำรสอน 2. ควำมหมำยของกำรสอน 3. ควำมหมำยของกำรสอน จำแนกตำมควำมมงุ่ หมำย 4. องคป์ ระกอบของกำรเรียนกำรสอน 5. จุดประสงคก์ ำรเรียนกำรสอน 6. รปู แบบกำรสอน 7. กำรเลอื กวธิ สี อน 8. ลักษณะกำรสอนท่ดี ี 9. กำรสอนสังคมศกึ ษำ 10. กำรจดั กำรเรียนกำรสอนในรำยวิชำสงั คมศึกษำแบบ Active learning 11. สอนสงั คมอยำ่ งไรในศตวรรษที่ 21 12. บทสรปุ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. สำมำรถนำเทคนคิ กำรสอนเบอ้ื งต้นมำใช้ได้เหมำะสมกบั ผู้เรยี น 2. สำมำรถนำเทคนคิ กำรสอนเบือ้ งต้นมำใช้สร้ำงสอื่ กำรสอนไดต้ รงตำมเนอ้ื หำ 3. สำมำรถนำเทคนคิ กำรสอนเบอ้ื งต้นมำใช้มำออกแบบวดั และประเมนิ ผลไดต้ รงตำมเนอื้ หำ 4. สำมำรถนำเทคนคิ กำรสอนเบอ้ื งตน้ มำใช้กำหนดวตั ถุประสงคก์ ำรเรียนร้ไู ดต้ รงตำมเนอ้ื หำ วิธีสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. วธิ ีสอน 1.1 วิธีสอนแบบใช้ครูพีเ่ ลยี้ ง (Tutorial Method) 1.2 วิธสี อนแบบนริ นยั (Deductive Method) 1.3 วิธีสอนแบบศกึ ษำดว้ ยตนเอง (Self Study Method) 1.4 วิธสี อนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 1.5 วิธสี อนแบบแบง่ กลุ่มระดมพลังสมอง 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 นักศึกษำดูวีดทิ ศั น์กำรสอนกลุม่ สำระทกุ กลุ่มของชน้ั ประถมศึกษำปีที่ 1-6 อำจำรย์กระตุ้นให้ สงั เกตและตอบคำถำมเก่ียวกบั เทคนคิ กำรสอนตำ่ ง ๆ ต้งั คำถำมใหน้ กั ศกึ ษำช่วยกันคิดหำคำตอบวำ่ ปญั หำ เทคนคิ กำรสอนเบอื้ งต้น ก่อเกิดปญั หำอะไรในกำรเรียน 2.2 นักศกึ ษำค้นหำคำตอบในเอกสำรประกอบกำรสอนเพอ่ื ค้นหำเทคนคิ กำรสอนท่ีเหมำะสม 2.3 อำจำรย์ชกั ชวนคน้ หำเหตุผล อธบิ ำยประเดน็ สำคญั เรอ่ื งเทคนคิ กำรสอนทเ่ี หมำะสม 2.4 นักศกึ ษำตง้ั กลุ่มยอ่ ย อภิปรำยประเดน็ เทคนิคกำรสอนท่เี หมำะสม

83 2.5 อำจำรยจ์ ัดสมั นำให้นักศกึ ษำหำเหตผุ ลเทคนคิ กำรสอนทเ่ี หมำะสมมำใชก้ บั เด็กต่ำงๆ เพื่อน รว่ มชนั้ แสดงควำมคิดเหน็ ต่อ อยำ่ งมมี ำรยำทในกำรสัมนำ อำจำรย์ใหค้ วำมเห็น อธบิ ำยให้นกั ศกึ ษำได้ แลกเปล่ียนเรียนรรู้ ่วมกัน 2.6 นกั ศึกษำศกึ ษำหลกั กำรเบอ้ื งตน้ ในกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนจำกเอกสำรประกอบกำรสอน 2.7 นักศกึ ษำตอบคำถำมทบทวน อำจำรยเ์ ฉลย และรว่ มอภิปรำยเพ่อื สรปุ เน้อื หำท่ไี ด้เรียนรู้ 2.8 อำจำรยม์ อบหมำยใหน้ กั ศกึ ษำสะท้อนคิดเปน็ รำยบคุ คล สอื่ การเรียนการสอน 1. ไฟล์วดี ทิ ศั น์กำรสอนกลมุ่ สำระทกุ กลุ่มของชน้ั ประถมศึกษำปีที่ 1-6 2. กระดำษฟลปิ ชำร์ทเขียนแผนผังหลกั กำรเบือ้ งต้นในกำรจดั กำรเรียนกำรสอนทเ่ี หมำะสม 3. เอกสำรประกอบกำรสอนรำยวิชำกำรสอนสงั คมศึกษำ 1 การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. วัดและประเมนิ ผลจำกกำรตอบคำถำมทบทวน 2. วดั และประเมนิ ผลจำกกำรอภิปรำย สัมมนำ 3. วัดและประเมินผลจำกกำรสะทอ้ นคิด 4. วดั และประเมินผลจำกกำรเขยี นแผนกำรสอน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 84 บทท่ี 4 หลกั การเบอ้ื งตน้ ในการจัดการเรยี นการสอน 1. บทนา: หลกั การสอน การสอน เป็นหนง่ึ ในกระบวนการทจ่ี ะทาใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงค์ตามความหมายของการศึกษาคอื การ ส่งเสริมใหบ้ ุคลเจริญงอกงามทางกาย อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา หลกั การสอนทดี่ ี การสอน เป็นหนง่ึ ในกระบวนการทจี่ ะทาให้บรรลุวตั ถุประสงค์ตามความหมายของการศกึ ษา คอื การ สง่ เสริมใหบ้ ุคคลเจริญเตบิ โตและมีความเจรญิ งอกงามทางกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญาและพฒั นาขนึ้ ไปสคู่ วามเปน็ สมาชิกทีด่ ีของสังคม การสอนมีความหมายทห่ี ลากหลาย ข้นึ อยกู่ ับปรชั ญาหรอื จุดมงุ่ หมายที่เรา ต้องการให้เกดิ ข้นึ ในตวั ผเู้ รยี น 2. ความหมายของการสอน ความหมายท่ีเป็นศลิ ป์ เป็นความหมายทเี่ ปน็ พฤติกรรมการถ่ายทอดของครูในยุคด่งั เดิมทถี่ ่ายทอด ประสบการณใ์ ห้แกผ่ มู้ ปี ระสบการณ์นอ้ ยกว่า ผลการเรยี นรขู้ องผเู้ รียนขึ้นอยู่กับอารมณแ์ ละความพอใจของ ผู้สอน การสอนถอื ว่าเป็นความสามารถหรือ ศลิ ปเฉพาะตวั ของผสู้ อน ท่ีถ่ายทอดหรือสอน เพราะผสู้ อนจะมี ลีลาหรอื เลห่ เ์ หลี่ยมการสอนท่แี ตกตา่ งกันออกไปตามความรคู้ วามสามารถและทักษะของแต่ละคน ความหมายท่ีเป็นศาสตร์ เป็นการสอน (Teaching ) ที่มีระบบระเบียบมากข้ึน มีข้ันตอนท่ชี ดั เจน มี การแสดงให้เห็นปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างครูกับผูเ้ รยี น มกี ารศกึ ษาค้นคว้าทดลองเกีย่ วกบั จติ วิทยา การเรยี นร้ขู อง ผเู้ รียน ในช่วงต้น ๆ ครเู ป็นศูนย์กลางในการจดั ประสบการณใ์ ห้แกผ่ เู้ รยี น ตามสถานการณแ์ ละความพอใจ ของครูความหมายที่เปน็ ศาสตร์และศลิ ป์ เปน็ การปรบั เปล่ียนจากการสอน (Teaching ) มาสู่การเรยี นการ สอน(Instruction) ครตู อ้ งใชค้ วามรใู้ นการวางแผนการจดั การเรียนการสอนเพอื่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรูต้ าม จุดประสงคท์ ่กี าหนด โดยอาศัยสอื่ และวสั ดอุ ปุ กรณต์ า่ ง ๆ เข้ามาช่วย ปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างครกู บั ผเู้ รียนขยายวง กว้างออกไป รวมไปถึงปฏิสัมพนั ธ์กับส่ิงต่าง ๆ ด้วย 3.ความหมายของการสอน จาแนกตามความมุง่ หมาย การสอน หมายถงึ การถา่ ยทอดความรู้ การสอน หมายถงึ การจัดให้ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรู้ การสอน หมายถึง การฝกึ ให้ผเู้ รียนคดิ แกป้ ัญหาตา่ ง ๆ การสอน หมายถงึ การแนะแนวทางแก่ผเู้ รยี นเพอื่ ใหศ้ กึ ษาหาความรู้ การสอน หมายถงึ การสร้างหรอื การจัดสถานการณเ์ พือ่ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ การสอน หมายถึง กระบวนการที่ชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ เกิดความคิดทจี่ ะนาความรู้ ไปใชเ้ กดิ ทักษะหรอื ความชานาญท่จี ะแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม การสอน หมายถึง การจัดประสบการณท์ เ่ี หมาะสมให้นกั เรยี นได้ปะทะเพอ่ื ท่ีจะใหเ้ กิดการ เรยี นรู้ หรอื เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางทดี่ ขี ึน้ การสอนจึงเปน็ กระบวนการสาคญั ท่ีก่อใหเ้ กดิ ความเจรญิ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 85 4. องค์ประกอบของการเรียนการสอน การเรยี นการสอน มอี งค์ประกอบทเี่ ปน็ ตวั ปอ้ น กระบวนการ และ ผลผลิต 1. ตัวป้อน ไดแ้ ก่ ครู หรอื ผู้สอน ผเู้ รียน หลกั สตู ร สงิ่ อานวยความสะดวก สอ่ื วัสดุอุปกรณ์ 2. กระบวนการ ได้แก่ การดาเนนิ การสอน การตรวจสอบความรู้พื้นฐาน การสรา้ งความพร้อมในการ เรยี น การใชเ้ ทคนคิ การสอนตา่ ง ๆ 3. ผลผลิต ได้แก่ ผลการเรียนรทู้ เ่ี กิดแกผ่ ู้เรยี น ตามจุดประสงคก์ ารเรียนการสอนท่ีกาหนด 5.จดุ ประสงคก์ ารเรียนการสอน ความหมายของจดุ ประสงค์การเรียนการสอน จุดประสงคก์ ารเรยี นการสอน คอื ขอ้ ความทรี่ ะบคุ ณุ ลกั ษณะการเรียนรู้และความสามารถทคี่ รูตอ้ งการ ใหเ้ กดิ ข้ึนกบั นกั เรยี น หลงั จากท่นี ักเรยี นไดผ้ า่ นกจิ กรรมการเรียนการสอนในบทหนง่ึ ๆ แลว้ ความสาคญั ของ จุดประสงคก์ ารเรียนการสอน แบ่งได้เป็น 2 ระดบั คอื 1. จุดประสงคท์ วั่ ไป เป็นจดุ ประสงคท์ ่ีมคี วามหมายกว้างไม่เฉพาะเจาะจง และเปน็ จดุ ประสงคท์ ่ี ต้ังขนึ้ เพ่อื แสดงใหเ้ ห็นอยา่ งชัดแจ้ง เชน่ เพื่อใหม้ ีนิสัยใฝ่หาความรู้ เพอื่ ให้มคี วามรู้ความเข้าใจ และเห็นคณุ คา่ ในศิลปวัฒนธรรมไทย 2. จุดประสงคเ์ ฉพาะ เป็นจดุ ประสงค์ที่มเี ฉพาะเจาะจง และเป็นจดุ ทีต่ ั้งขึน้ เพื่อแสดงใหเ้ หน็ อย่าง ชัดแจง้ เช่น นกั เรยี นสามารถเขยี นแผนภูมิแทง่ ได้ นกั เรยี นสามารถวาดภาพได้จดุ ประสงค์เฉพาะจะช้ใี หเ้ หน็ ส่งิ ทต่ี อ้ งการจากการศกึ ษาอย่างเจาะจงและเก่ียวข้องกบั เนอ้ื หาโดยตรง นอกจากนี้ จุดประสงค์ยงั อาจแบง่ ได้ ตามลักษณะการเรยี นรไู้ ดเ้ ป็น 3 ดา้ น ดังนี้ 2.1 ด้านพทุ ธิพิสัย (Cognitive Domain) หรือดา้ นสตปิ ญั ญา หรือด้านความรู้และการคดิ ประกอบด้วยความร้คู วามจาเก่ียวกับสิง่ ต่าง ๆ การนาเอาสิ่งทเี่ ปน็ ความรู้ความจาไปทาความ เขา้ ใจ นาไปใช้ การใช้ความคิด วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ ค่า 2.2 ด้านทักษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) หรอื ด้านทกั ษะทางกาย หรือดา้ นการ ปฏบิ ัติ ประกอบดว้ ยทกั ษะการเคลื่อนไหว และการใช้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การเลยี นแบบ การทาตามคาบอก การทาอยา่ งถกู ต้องเหมาะสม การทาได้ถกู ตอ้ งหลายรปู แบบ การทาได้อยา่ งเป็น ธรรมชาติ 2.3 ด้านจิตพสิ ยั (Effective Domain) หรือด้านอารมณ์ – จิตใจ ความสนใจ เจตคติ คา่ นยิ ม และคณุ ธรรม เช่น การเห็นคณุ คา่ การรบั รู้ การตอบสนอง และการสรา้ งคณุ คา่ ในเรอ่ื งท่ี ตนรับร้นู นั้ แลว้ นาเอาส่ิงทมี่ ีคณุ ค่าน้ันมาจดั ระบบและสร้างเป็นลักษณะนสิ ยั 6.รูปแบบการสอน การสอนมีอยมู่ ากมายหลายวิธี แต่ละวิธกี ็จะมขี อ้ เด่นขอ้ ดอ้ ยในตัวเอง เราไมส่ ามารถกลา่ วได้วา่ วธิ ีใด เปน็ วธิ ีสอนทีด่ ที ่ีสุด เพราะการเรียนการสอนตอ้ งข้ึนกับองคป์ ระกอบหลายประการ ดงั น้ัน จึงเปน็ หน้าทข่ี อง ครทู ่จี ะตอ้ งตดั สนิ ใจเลอื กวธิ สี อน ตามความเหมาะสมของสภาพทีเ่ ป็นอยู่ ควรนาเทคนิคต่าง ๆ มากระตนุ้ และ เร้าความสนใจของผ้เู รียน โดยพจิ ารณาให้เหมาะสมกบั เนอ้ื หาและเวลาทีก่ าหนดให้

86 7.การเลอื กวิธีสอน มีแนวคดิ ดงั นี้ 1. สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ของบทเรียน เปน็ วิธที ีม่ ่นั ใจว่าจะสามารถชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นบรรลุ จดุ ประสงค์อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพมากทส่ี ุด 2. สอดคล้องกบั เน้อื หาสาระทจ่ี ะสอน 3. เหมาะสมกบั เวลา สถานท่ี และจานวนผู้เรยี น 8.ลกั ษณะการสอนที่ดี การสอนท่ดี ตี ้องมอี งคป์ ระกอบรว่ มกนั หลายประการ ทเ่ี หมาะสมสอดคล้องกัน แยกลกั ษณะ ไดด้ ังนี้ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 8.1 ครผู สู้ อน 1.มีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพครู - อุทิศเวลาและเสยี สละให้กบั งานสอนด้วยความรับผิดชอบ - สอนอยา่ งเต็มความสามารถดว้ ยความบริสทุ ธใ์ิ จ - ชว่ ยเหลอื และปฏิบัตติ ่อศิษยอ์ ยา่ งเปน็ ธรรม - เปน็ ตัวอยา่ งทดี่ ีของศิษย์ - หมนั่ ศกึ ษาคน้ คว้าติดตามความก้าวหนา้ ทางวชิ าการของตนให้ทันเหตกุ ารณเ์ สมอ 2.มที ัศนคติทดี่ ตี อ่ การเป็นครู และ ต้งั ใจสอน 3.ลักษณะอาจารย์ ควรมีลักษณะทา่ ทางทจ่ี ริงใจ มเี มตตาตอ่ ผู้เรยี น ใหค้ วามเปน็ กนั เอง 4.ไม่ควรยดึ ม่นั ในวธิ ีสอนวิธใี ดวิธหี น่ึงเพียงวิธเี ดยี ว ควรเสาะหาวธิ ีทเ่ี หมาะสมกับการสอน แต่ ละเนือ้ หาสาระ 5.ถ่ายทอดความรูไ้ ดอ้ ย่างชดั เจน เขา้ ใจงา่ ย 8.2วิธกี ารสอน 1.ตอ้ งคานงึ ถงึ ความแตกตา่ งของผเู้ รยี น ในดา้ นวยั ประสบการณเ์ ดมิ และความแตกตา่ ง ระหว่างบคุ คลเป็นหลัก 2. ส่งเสริมให้นักเรยี นได้มีการเรยี นดว้ ยการกระทา (Learning by Doing) ให้มากทสี่ ดุ เพ่ือ จะไดเ้ กดิ การเรยี นรทู้ ีด่ ี และจาไดน้ าน 3. สง่ เสรมิ นักเรียนใหเ้ รียนด้วยการทางานเปน็ กลุ่ม ได้แสดงความคดิ เหน็ ยอมรับความ คิดเห็นซงึ่ กนั และกัน 4. มกี ารตอบสนองความตอ้ งการของนักเรียน เรียนด้วยความสุข ความสนใจ กระตือรอื ร้นใน การทากจิ กรรมต่าง ๆ 5.การจดั เตรียมกระบวนการเรยี นการสอน การจดั หอ้ งเรียน การเตรยี มความรู้ ใชต้ ารา ประกอบการเรียน มที ักษะในการสอนแบบตา่ งๆได้เหมาะสมกบั เนอ้ื หา 6. มกี จิ กรรมที่หลากหลาย เพอ่ื เร้าความสนใจ ผเู้ รียนสนกุ สนาน ไดล้ งมือปฏบิ ตั ิจริงและดูผล การปฏิบตั ขิ องตนเอง 7. มกี ารสง่ เสรมิ ให้นักเรยี นไดใ้ ช้ความคิดอยูเ่ สมอ ด้วยการซกั ถาม หรอื ให้แสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกบั ปัญหาง่ายๆ คิดหาเหตุผลเปรียบเทยี บและพิจารณาความสัมพันธ์ของ สง่ิ ต่างๆ 8.เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดค้ ิดคน้ หาเหตุผลความเป็นไปของสง่ิ ที่เรียน ไม่ใช่ข้อเทจ็ จรงิ จากตารา หรอื คาบอกเลา่ อยา่ งเดียว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook