๒๙๔ รูปภาพที่ ๓ พระราชวงั จันทรเกษม รูปภาพท่ี ๔ หมู่บ้านไทยริมนา้ แนแวนกวากราจรัดจกัดากราเรรเยีรนียรนปู้ รูป้ระรวะัตวศิตั าิศสาตสรตเ์ รพเ์ พื่อส่ือรสา้ รง้าสงาสนำึกนคึกวคาวมามเปเปน็ ไน็ ทไทยย::ภมูภมูปิ ิปญั ญั ญญาแาลแะลวะฒัวัฒนธนรธรรมรมไทไทยย
๒๙๕ รูปภาพท่ี ๕ เจดีย์วดั ใหญ่ชัยมงคล แแนนววกกาารรจจัดดั กกาารรเเรรยี ียนนรรปู้ ูป้ รระะววัตตั ศิ ศิ าาสสตตรรเ์ เ์พพื่อ่ือสสรรา้ า้ งงสสาำนนึกกึ คคววาามมเเปปน็ น็ ไไททยย::ภมูภมูิปิปญั ัญญญาแาลและวะัฒวฒั นธนรธรรมรมไทไทยย
๒๙๖ แบบสงั เกตพฤติกรรมกระบวนการทางานกลมุ่ คาช้ีแจง ใหผ้ ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขดี ลงในช่องที่ตรงกบั ระดับคะแนน ที่ ชื่อ – สกลุ ของผู้รับ การแสดง การยอมรับ การทางาน ความมี การมสี ว่ นรว่ ม รวม การประเมนิ ความ ฟงั คนอืน่ ตามทีไ่ ดร้ ับ นา้ ใจ ในการ คะแ คดิ เห็น มอบหมาย ปรับปรงุ นน ผลงานกลมุ่ 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 15 (ลงชอื่ ).....................................................ผ้ปู ระเมิน ............../...................................../............................... เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน - ปฏิบัติหรือแสดงพฤตกิ รรมอย่างสมา่ เสมอ ให้ 3 คะแนน - ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครัง้ ให้ 2 คะแนน - ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางคร้งั ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 – 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ากว่า 8 ปรับปรงุ แนวการจัดการเรียนรปู้ ระวตั ศิ าสตรเ์ พ่ือสรา้ งสานึกความเปน็ ไทย : ภูมปิ ัญญาและวฒั นธรรมไทย แนวการจดั การเรียนรู้ประวตั ิศาสตร์เพือ่ สร้างสำนึกความเปน็ ไทย : ภมู ิปัญญาและวัฒนธรรมไทย
๒๙๗ แบบการนาเสนอผลงาน คาชีแ้ จง ให้ผ้สู อนสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในชอ่ งทตี่ รงกับระดบั คะแนน ลาดับท่ี รายการประเมนิ คะแนน 321 1 ความถกู ต้องของเนือ้ หา 2 ความคดิ รเิ รม่ิ สร้างสรรค์ 3 วธิ กี ารนาเสนอผลงาน 4 การนาไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงตอ่ เวลา รวม (ลงช่ือ).....................................................ผ้ปู ระเมนิ ............../...................................../............................... เกณฑก์ ารให้คะแนน - ผลงานหรอื พฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมนิ และสมบรู ณ์ ให้ 3 คะแนน - ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน - ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินบางสว่ น ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ 12 – 15 ดี 8 – 11 พอใช้ ตา่ กวา่ 8 ปรบั ปรงุ แแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเเรรยี ยี นนรรปู้ ู้ปรระะววัตัตศิ ิศาาสสตตรร์เเ์พพื่อือ่ สสรรา้ ้างงสสาำนนึกกึ คคววาามมเเปปน็ ็นไไททยย::ภูมภูมปิ ปิญั ัญญญาแาลและวะัฒวฒั นธนรธรรมรมไทไทยย
๒๙๘ แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คาช้แี จง ให้ผู้สอนสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขีด ลงในชอ่ งทีต่ รงกับระดับคะแนน รายการประเมิน พฤตกิ รรมท่ีแสดงออก คะแนน 321 รกั ชาติ ศาสน์ 1. ยนื ตรงเม่ือไดย้ นิ เพลงชาติ ร้องเพลงชาตไิ ด้ กษัตรยิ ์ 2. เข้าร่วมกจิ กรรมทส่ี ร้างความสามัคคี ปรองดอง และเปน็ ประโยชน์ต่อ โรงเรยี นและชมุ ชน 3. เข้ารว่ มกจิ กรรมทางศาสนาทต่ี นนับถอื ปฏบิ ตั ิตนตามหลักของศาสนา 4. เขา้ รว่ มกจิ กรรมทเ่ี กี่ยวกับสถาบนั พระมหากษตั รยิ ต์ ามทโ่ี รงเรยี นและ ชุมชนจัดข้ึน ใฝ่เรียนรู้ 1. มีความกระตอื รอื รน้ และสนใจทจ่ี ะแสวงหาความรู้ 2. ชอบสนทนา ซักถาม ฟัง หรืออ่านเพ่ือให้ไดค้ วามรู้เพมิ่ ขนึ้ 3. มคี วามสุขทไ่ี ด้เรยี นรู้ในส่งิ ท่ีตนเองตอ้ งการเรยี นรู้ มงุ่ มั่นในการ 1. มคี วามต้งั ใจและพยายามในการทางานที่ได้รับมอบหมาย ทางาน 2. มคี วามอดทนและไมท่ ้อแทต้ อ่ อปุ สรรคเพอ่ื ให้งานสาเร็จ รักความเป็นไทย 1. ใช้ภาษาไทยได้ถูกตอ้ ง 2. รู้จกั อ่อนนอ้ มถอ่ มตนและมีสมั มาคารวะ 3. มสี ่วนร่วมในการเผยแพร่และอนรุ กั ษว์ ัฒนธรรมและขนบธรรมเนยี ม ประเพณีไทย คะแนนรวม คะแนนเฉลย่ี เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ 1.67 – 1.00 – 1.66 2.33 1 = ควรปรบั ปรุง ชว่ งคะแนนเฉลีย่ 2.34 – 3.00 2 = พอใช้ ระดบั คณุ ภาพ 3 = ดมี าก สรปุ ผลการประเมิน (เขยี นเครือ่ งหมาย ลงในชอ่ ง ) ระดบั คณุ ภาพที่ได้ 321 แนแวนกวากราจรดัจกดั ากราเรรเียรนยี รนปู้ รู้ประรวะตัวศิัตาิศสาตสรต์เรพเ์ พื่อสอ่ื รสา้ รง้าสงาสนำึกนคึกวคาวมามเปเปน็ ไ็นทไทยย::ภูมภูมิปิปญั ัญญญาแาลแะลวะัฒวฒั นธนรธรรมรมไทไทยย
๒๙๙ แบบประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน คาชแ้ี จง ใหผ้ สู้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขีด ลงในช่องท่ตี รงกบั ระดบั คะแนน รายการประเมิน พฤติกรรมที่แสดงออก คะแนน 321 การสอ่ื สาร 1. ใชว้ ิธีการสือ่ สารในการนาเสนอขอ้ มลู ความรูไ้ ด้อยา่ งเหมาะสม 2. เลอื กรบั ขอ้ มูลความรดู้ ว้ ยหลักเหตผุ ลและความถกู ต้อง 3. ศกึ ษาค้นควา้ ขอ้ มลู ความรู้จากสื่อและแหลง่ เรยี นรตู้ ่างๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง การใชเ้ ทคโนโลยี 4. เลือกใชเ้ ทคโนโลยกี ารศกึ ษาค้นควา้ ข้อมูลความรู้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และมคี ณุ ธรรม การคิดวเิ คราะห์ 5. สรปุ ความคดิ รวบยอดหรือสาระสาคญั ของเร่ืองที่ศึกษา 6. แปลความ ตขี ้อความ ภาพในเรอื่ งท่ศี ึกษา 7. วิเคราะห์หลกั การหรอื นาหลกั การไปใชไ้ ดอ้ ย่างสมเหตสุ มผล คะแนนรวม คะแนนเฉลย่ี เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ 2.34 – 3.00 1.67 - 2.33 1.00 - 1.66 ชว่ งคะแนนเฉล่ยี 3 = ดมี าก 2 = พอใช้ 1 = ควรปรับปรุง ระดับคุณภาพ สรุปผลการประเมนิ (เขยี นเครือ่ งหมาย ลงใน ) 3 21 ระดับคุณภาพที่ได้ แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเเรรยี ยี นนรรปู้ ู้ปรระะววัตัตศิ ิศาาสสตตรร์เเ์พพอื่ ่อื สสรร้าา้ งงสสาำนนกึ ึกคคววาามมเเปปน็ น็ ไไททยย::ภมูภมูิปปิัญัญญญาแาลและวะฒัวัฒนธนรธรรมรมไทไทยย
๓๐๐ แบบประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน คาชีแ้ จง ใหผ้ สู้ อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งทตี่ รงกับระดบั คะแนน รายการประเมนิ พฤติกรรมท่แี สดงออก คะแนน 321 การสื่อสาร 1. ใชว้ ิธีการส่อื สารในการนาเสนอข้อมูลความรไู้ ด้อย่างเหมาะสม 2. เลือกรบั ขอ้ มลู ความรดู้ ้วยหลักเหตผุ ลและความถูกตอ้ ง 3. ศึกษาคน้ คว้าขอ้ มูลความร้จู ากสือ่ และแหล่งเรยี นรตู้ ่างๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง การใช้เทคโนโลยี 4. เลอื กใช้เทคโนโลยกี ารศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลความรูไ้ ดอ้ ยา่ งถกู ต้องเหมาะสม และมีคณุ ธรรม การคดิ วเิ คราะห์ 5. สรุปความคดิ รวบยอดหรอื สาระสาคญั ของเรือ่ งที่ศกึ ษา 6. แปลความ ตีขอ้ ความ ภาพในเรอ่ื งทศี่ ึกษา 7. วเิ คราะหห์ ลักการหรอื นาหลักการไปใชไ้ ดอ้ ย่างสมเหตสุ มผล คะแนนรวม คะแนนเฉลยี่ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ 2.34 – 3.00 1.67 - 2.33 1.00 - 1.66 ชว่ งคะแนนเฉลย่ี 3 = ดมี าก 2 = พอใช้ 1 = ควรปรับปรุง ระดับคุณภาพ สรุปผลการประเมิน (เขยี นเครอ่ื งหมาย ลงใน ) 3 21 ระดับคุณภาพที่ได้ แนแวนกวากราจรดัจกัดากราเรรเยีรนยี รนปู้ ร้ปูระรวะัตวศิตั าศิ สาตสรต์เรพ์เพื่อส่อื รสา้ รงา้ สงาสนำึกนคึกวคาวมามเปเปน็ ไ็นทไทยย::ภมูภูมิปปิญั ัญญญาแาลแะลวะัฒวฒั นธนรธรรมรมไทไทยย
๓๐๑ พระบรมมหาราชวงั พระราชวัง และวงั เกรนิ่ นำ : ทำไมจงึ ต้องเรยี นเร่อื งน้ี วงั ในความหมายทั่วไป หมายถึง ทีป่ ระทับของเจ้าหรือพระบรมวงศานุวงศ์ หากทป่ี ระทับ ของพระมหากษตั รยิ ์จะเรยี กว่าพระราชวัง (ตามประเพณีจะมีการประกาศพระบรมราชโองการสถาปนา วังขึ้นเป็นพระราชวัง) ในความหมายดังกล่าว วังและพระราชวังจึงมีควบคู่กับการสถาปนาราชธานีไทย ตั้งแต่กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน หมายถึง ที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีท่ีสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ข้ึน และใช้เป็นที่ ประทับ ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในอดตี วังและพระราชวงั ถือเปน็ แหล่งประสทิ ธ์ิประสาทศิลปะไทยแขนงต่าง ๆ เนอ่ื งจาก การทากิจการใดต่าง ๆ ทั้งการก่อสร้าง การประดับตกต่างอาคารสถานที่ การประกอบพิธีกรรมทาง ศาสนาและขนบประเพณีต่างๆ รวมทั้ง การสร้างและบูรณะปฏิสังขรณศาสนสถานด้วยความศรัทธาล้วน ตอ้ งอาศัย ฝีมอื ชา่ ง ดังนั้น เจา้ นายหรือพระบรมวงศานุวงศ์ จึงมักรวบรวมชา่ งฝีมือเข้ามารวมอยใู่ นสังกัด นอกจากน้ี เจ้านายบางพระองค์ มีความเช่ียวชาญทางช่างทางสาขาใด ก็มักสร้างโรงฝึกงานหรือเป็นผู้ อุปถัมภ์ การสร้างสรรค์ศิลปะแขนงน้ันข้ึน เช่น กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็นกรมพระราชวัง บวรสถานมงคล (วังหน้า) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงโปรดในการช่างต่าง ๆ เป็นอันมาก ทรงตั้งโรงงานการช่างขึ้นในพระราชวังบวรสถานมงคล หลาย ประเภท ได้แก่ ช่างหล่อ ช่างกลึง ช่างเคลือบ และช่างหุ่น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ช่างประณีตศิลป์หลาย สาขา นิยมเรยี กวา่ ช่างสิบหมู่ (สบิ หม่ใู นท่ีน้ีไม่ไดห้ มายความวา่ จานวน ๑๐ แต่สบิ ในทนี ม้ี าจากศลิ ปะใน บาลี หรือศิลปะในสันสกฤต) เช่น ชา่ งเลื่อย ช่างก่อ ชา่ งรกั ชา่ งมุก ช่างเขยี น ช่างแกะ ช่างสลัก ชา่ งหลอ่ ช่างปั้น ช่างบุ ช่างปูน ช่างประดับกระจก ช่างหยก ช่างทอง ก็ล้วนมากจากวังของเจ้าหรือเจ้านายชน้ั สงู เป็นส่วนใหญ่ ช่างฝีมือเหล่าน้ี มีหน้าท่ีจะต้องสร้างสรรค์ผลงานให้ดีงามจนสุดความสามารถ ดังปรากฏ ผลงานเป็นท่ีประจักษ์มาจนทุกวันนี้ วัง และพระราชวังในอดีต จึงถือเป็นสถาบันสืบสานศิลปะประจา ชาตไิ ทย ในอดีตวังและพระราชวังมีบทบาทเป็นสถานท่ี สาหรับว่า ราชการทางการเมือง การปกครองรวมทั้ง การศาลด้วย เน่ืองจากในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ บทบาทและอานาจการ ปกครองส่วนใหญอ่ ยู่ในสถาบันพระมหากษตั รยิ ์ ซ่งึ มักว่าราชการในที่ประทบั นั่นเอง ต่อมาในสมัยรชั กาล ท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรปู การเมอื งการปกครองให้ทนั สมยั ตามแบบตะวันตก โดยให้สถาปนากรมตา่ ง ๆ ขนึ้ เป็นกระทรวงนับแตน่ ้ันเป็นตน้ มา วงั และพระราชวังหลายแห่งไดก้ ลายเป็นสถานท่รี าชการ เชน่ แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเเรรียยี นนรรปู้ ปู้ รระะววตั ตั ศิ ศิ าาสสตตรร์เเ์พพื่อือ่ สสรร้าา้ งงสสาำนนกึ กึ คคววาามมเเปปน็ ็นไไททยย::พพระรบะบรมรมมมหหาราารชาวชงัวงพพระรระารชาวชงัวังแลแะลวะงัวงั
๓๐๒ พระรำชวังเดิมหรือพระรำชวังหลวงของสมเด็จพระเจ้ำตำกสินมหำรำช ซ่ึง พระองค์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้าเจ้าพระยาและใช้เป็นที่ประทับของพระ บรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ต่อมารัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ (ก่อน ย้ายไปอยู่ที่สัตหีบและสมุทรปราการตามลาดับ) ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ อนุรักษโ์ บราณสถานในพระราชวังเดมิ ของกองทัพเรือ วังจันทรเกษม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ขึ้นเพื่อพระราชทานแก่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฏราชกุมาร (รัชกาลท่ี ๖) แตไ่ ม่ได้ทรงใช้เป็นที่ประทับ ตอ่ มาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวอานันทมหิดล (รัชกาลท่ี ๘) ได้พระราชทานวงั น้ี แก่กระทรวงศึกษาธกิ าร (ขณะน้นั เรยี กว่ากระทรวงธรรมการ) วังปำรุสกวัน หรือวังปำรุสก์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นวังที่ประทับของจอมพลสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษภูวนาถ กรมหลวงพิษณโุ ลกประชานาถ ภายหลังการเปล่ียนแปลงการปกครองใน พ.ศ.๒๔๗๕ วังปารุสกวัน ได้ ใช้เป็นที่ทาการของสานักงานเลขาธิการรัฐสภา (ภายหลังย้ายไปยังพระท่ีนั่งอนันตสมาคม) ปัจจุบันใช้ เปน็ ท่ีทาการของสานกั ข่าวกรองแห่งชาติ พพิ ิธภัณฑ์กรมตารวจ และกองบญั ชาการตารวจนครบาล พระบรมมหาราชวัง พระราชวัง และวังเป็นแหล่งรวบรวมศิลปกรรมหลายแขนง โดยเฉพาะสถาปัตยกรรม ซ่ึงสะท้อนถึงฐานันดรศักด์ิของผู้ประทับ ดังนั้น พระบรมมหาราชวัง จึงมี รูปแบบทางสถาปัตยกรรมและการประดับตกแต่งอาคาร รวมท้ังเครื่องใช้สอยแตกต่างจากพระราชวัง อย่างไรก็ตามพระบรมมหาราชวัง พระราชวังและวังหลายแห่งนับเป็นมรดกทางศิลปกรรมไทย อันมี คุณค่า แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย และสะท้อนภูมิปัญญาของบรรพบุรุษท่ีได้สร้างสรรค์ไว้ใน สังคมไทย อนุรักษ์และสบื ทอดตอ่ มาจนถงึ ปัจจบุ ันน้ี จุดม่งุ หมำย : เป้ำหมำยของกำรจดั กำรเรยี นรเู้ รอื่ งนี้ ๑. สรา้ งความรคู้ วามเข้าใจในเร่ืองความเป็นไทย จากพระบรมมหาราชวัง พระราชวังและ วัง ซง่ึ ถอื เปน็ แหลง่ มรดกทางศิลปวฒั นธรรมของชาติทีเ่ ราควรอนรุ ักษ์และสบื สานไวต้ ่อไป ๒. ตระหนักในความสาคัญของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ มีความภูมิใจ ในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ แสดงความช่ืนชมในลักษณะเฉพาะทางศิลปกรรมของพระบรมมหาราชวัง พระราชวงั และวังน้นั ๆ ได้ ๓. ปฏิบัติตนได้ถูกต้อง เหมาะสมกับกาลเทศะ และเผยแพร่แนวคิดในการธารงรักษา แหลง่ มรดกทางวฒั นธรรมของชาตสิ บื ต่อไป แนแวนกวากราจรดัจกดั ากราเรรเยี รนียรนปู้ รูป้ระรวะตัวศิตั าิศสาตสรต์เรพ์เพื่อสอ่ื รสา้ รง้าสงาสนำกึนคึกวคาวมามเปเปน็ ไน็ ทไทยย::พพระรบะบรมรมมมหหาราารชาวชงัวงพพระรระารชาวชังวังแลแะลวะังวงั
๓๐๓ ประเด็นสำคัญทีค่ รคู วรรู้ : พ้ืนฐำนควำมรู้ จุดเนน้ ที่ควรเชอื่ มโยงและสง่ิ ท่ีต้องสรำ้ งเสรมิ ใหเ้ กดิ ควำมภูมใิ จ ๑. พระบรมมหาราชวัง พระราชวัง และวังของราชธานีไทยในอดีตส่วนใหญ่หลงเหลือ เพียงฐานของอาคาร สันนิษฐานว่าอาคารสร้างด้วยไม้ทั้งหมด ในปัจจุบันร่องรอยของพระบรมมหาราชวัง ของราชธานีในอดีต จะเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์ สาหรับการสืบค้นภูมิปัญญา ศิลปวฒั นธรรมไทย และความเป็นมาของไทย ทีย่ ังคงรูปแบบของพระราชวงั โบราณ มอี ยู่ไม่กี่แห่ง เช่น พระราชวังจันทรเกษม ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขณะที่ดารงพระอิสริยยศเป็นอุปราช ซ่ึงภายหลังการเสีย กรุงศรีอยุธยา คร้ังที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ พระราชวังแห่งนี้ ถูกท้ิงร้าง เหลือแต่ฐานอาคารก่ออิฐถือปูน เช่นเดียวกับโบราณสถานอ่ืนๆ ของกรุงศรีอยุธยา จนกระท่ังสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) โปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูบูรณะพระราชวังจันทรเกษม ข้ึนมาใหม่ตามร่องรอย ของแนวฐานอาคารเดิม รวมท้ังส่ิงก่อสร้างอ่ืน ๆ เพ่ิมเติม เพ่ือใช้เป็นท่ีประทับและเป็นท้องพระโรง สาหรับว่าราชการ ขณะเสด็จประพาสพระนครศรีอยุธยา ส่ิงก่อสร้างบางส่วนมาแล้วเสร็จในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) ภายหลังได้โปรดเกล้าฯ ให้บริเวณในพระราชวงั จันทรเกษมเป็นสถานท่ีทาการราชการ เช่น พระที่น่ังพิมานรัตยาเป็นศาลาว่าการข้าหลวงเทศาภิบาล กรุงเก่า พลับพลาจตุรมุข เป็นศาลาว่าการเมืองส่วน “...แลท้ังโรงช้าง พระที่นั่งข้างหลังพระราชวัง อาไศรยทาเป็นท่ีคุมขังนักโทษไปพลาง...” *ปัจจุบันพระราชวังจันทรเกษมเปน็ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม พระนครศรีอยธุ ยา พระราชวังบางปะอิน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เชื่อว่าสมเด็จพระเจ้า ปราสาททองโปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างตาหนกั ที่ประทบั ในบริเวณเกาะบางปะอิน และพระราชทานนามวา่ “พระทน่ี ่ัง ไอศวรรย์ทิพยอาสน์” ต่อมาพระตาหนักแห่งน้ีถูกทิ้งให้รกร้างมาเป็นเวลาช้านาน จนกระท่ัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสผ่าน จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงพ้ืนที่เพ่ือใช้เป็นท่ี พักผ่อนพระราชอิริยาบถ มีตาหนักที่ประทับเป็นการช่ัวคราว ยังไม่ได้สถาปนาเป็นพระราชวัง ต่อมาใน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ขุดสระ ถมดินให้กว้างขวาง และสร้าง ปราสาทลงกลางสระ พระราชทานนามว่า “พระท่ีน่ังไอศวรรย์ทิพยอาสน์” เพื่อเป็นท่ีระลึกถึงปราสาทเดิม นอกจากนี้ ยังได้โปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างพระท่นี งั่ ขึ้นอีกหลายองค์ สถาปตั ยกรรมของพระท่ีนั่งตา่ งๆ ภายใน พระทน่ี ง่ั บางปะอนิ มรี ปู แบบหลากหลายทั้งศิลปกรรมจนี ตะวันตกและไทย ซ่งึ นับวา่ มีความงดงามมาก และเป็นสถานที่สาหรับเสด็จประพาสของรัชกาลที่ ๕ เกือบตลอดรัชกาล ส่ิงก่อสร้างและถาวรวัตถุต่าง ๆ ล้วนมีความเก่ียวข้องกับพระองค์อย่างมาก พระราชวังแห่งน้ี จึงเป็นอนุสรณ์สถานแห่งพระบาทสมเด็จ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว __________________________ *อ้างจากกรมศลิ ปากร, นาชมพิพิธภัณสถานแหง่ ชาติ จันทรเกษม , ๒๕๔๕ หน้า ๑๐๐ แนวการจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์เพอ่ื สร้างสานึกความเปน็ ไทย : พระบรมมหาราชวงั พระราชวัง และวัง แนวการจดั การเรียนรปู้ ระวตั ศิ าสตรเ์ พือ่ สร้างสำนกึ ความเปน็ ไทย : พระบรมมหาราชวง พระราชวงั และวงั
๓๐๔ ปัจจุบันพระบรมมหาราชวัง หรือวังหลวง พระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า พระราชวังบวรสถานพิมุขหรือวงั หลวงในกรุงเทพมหานคร และวังเจา้ นายชั้นสูงหลายแหง่ จึงได้สะท้อน วิวัฒนาการทางศิลปกรรมดินแดนไทย คือ เม่ือเร่ิมแรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทรน์ ้ัน งานศิลปกรรมส่วน ใหญ่ได้รับอิทธิพลจากอยุธยาซึ่งมีลักษณะที่เรียกว่า แบบไทยประเพณี บางแห่งมีอิทธิพลจากจีน และ ตะวันตกผสมผสานรวมอยู่ด้วย ในสมัยรัชกาลท่ี ๔ เป็นต้นมา ได้มีการใช้แนวคิดจากตะวันตกเข้ามา ผสมผสานกบั ศลิ ปะไทยประเพณเี พิ่มมากขนึ้ ท้ังดา้ นจิตรกรรม สถาปัตยกรรม และประติมากรรม พระรำชวังดุสิต ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ สถาปนาขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ รูปแบบทางสถาปัตยกรรมมีหลากหลายท้ังแบบไทยประเพณี (Thai Tradition) และตะวนั ตก เช่น พระที่น่ังวิมำนเมฆ เป็นพระท่ีน่ังพระองค์แรกในพระราชวังดุสิต สร้างด้วยไม้สักทอง ท่ีใหญ่ท่ีสุดในโลก มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมท่ีงดงาม ประณีต และได้รับอิทธิพลการก่อสร้างแบบ ตะวันตก ปัจจุบนั เปิดเป็นพิพิธภณั ฑ์ในความดแู ลของสานกพระราชวัง พระที่นั่งอนันตสมำคม เดิมเป็นท้องพระโรงของพระราชวังดุสิต รูปแบบทาง สถาปัตยกรรมเป็นแบบนีโอ เรอเนสซองส์ (Neo Renaissance) และนีโอคลาสสิก (Neo classic) ตกแต่งด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี รูปแบบท่ีโดดเด่น คือ การใช้หลังคาโดมคลาสสิกของโรมอยตู่ รง กลาง ภายในพระทน่ี ่งั บนเพดานโดมมภี าพเขียนเพรสโก (Fresco secco : เขยี นบนปูนเปียก) เก่ยี วกับ พระราชกรณยี กจิ ท่ีสาคัญของพระมหากษัตริยใ์ นราชวงศ์จกั รี รชั กาลที่ ๑ – ๖ พระรำชวังพญำไท เดิมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ สร้างพระตาหนักขึ้นเป็นที่ประทับในบริเวณที่นาหลวง คลองพญาไท และให้มีงานพระราชพิธีจรดพระ นังคัลแรกนาขวัญ ณ ทนี่ าหลวงแหง่ นี้สืบต่อมา โดยพระราชทานนามวา่ วังพญาไท ภายหลังรัชกาลท่ี ๕ เสด็จสวรรคต สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จไปประทับ ณ พระตาหนักแห่งนี้จนตลอดพระชนมายุ หลังจากน้ันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เจ้าอยู่หัวได้ เสด็จมาประทับเป็นการช่ัวคราว และโปรดฯ ให้สร้างพระท่ีนั่งเพ่ิมเติม พระท่ีน่ังส่วนใหญ่มีรูปแบบทาง สถาปตั ยกรรมเปน็ แบบตะวันตก เช่น พระที่นั่งพิมำนจักรี มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบตะวันตก ที่เรียกว่าโรมาเนสก์ กับโกธิค คือ มยี อดโดมสูงสาหรับอัญเชิญธงมหาราช (ธงครุฑ) แสดงถงึ วา่ พระมหากษัตริยท์ รงประทับ อยู่ ภายในมีจิตรกรรมแบบปูนเปยี กเป็นรูปเทวดาองค์นอ้ ยและภาพอน่ื ๆ สสี นั สดใสงดงาม ปัจจุบันพระราชวังพญาไท ได้ใช้ประโยชน์เป็นโรงพยาบาล ซึ่งได้รับพระบรมรา ชานญุ าตใหเ้ ปลี่ยนชอ่ื เปน็ โรงพยาบาลพระมงกฎุ เกล้า เม่อื พ.ศ. ๒๔๙๕ แนแวนกวากราจรดัจกดั ากราเรรเียรนียรนปู้ รปู้ระรวะัตวศิัตาิศสาตสรต์เรพเ์ พ่อื สือ่ รสา้ รง้าสงาสนำึกนคึกวคาวมามเปเปน็ ไ็นทไทยย::พพระรบะบรมรมมมหหาราารชาวชงัวงพพระรระารชาวชงัวงั แลแะลวะงัวัง
๓๐๕ พระรำชวงั บวรสถำนมงคลหรอื วังหนำ้ แหง่ กรุงรตั นโกสินทร์ การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์บนฝั่งตะวันออกของแม่น้าเจ้าพระยานั้น พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี โปรดเกล้าให้สร้างพระราชวังหลวง และวังหน้าข้ึนในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมกับขุดคูพระนครใหม่ เพ่ือขยายตัวเมืองให้กว้างขวางข้ึน แล้วจึง สรา้ งกาแพงเมอื ง ปอ้ มปราการรายล้อมรอบพระนคร โดยมีทงุ่ พระเมรุ หรือท้องสนามหลวง บรเิ วณหน้า พระลานใหม้ ีการสรา้ งวงั และบ้านเรือนของขนุ นาง สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทหรือกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาล ท่ี ๑ ได้ทรงสร้างพระราชวังบวรสถานมงคลข้ึน ณ บริเวณทางเหนือของพระบรมมหาราชวัง อาณาเขต ดั้งเดิมกว้างขวางมาก ครอบคลุมถึงฝ่ังเหนือของสนามหลวงมีกาแพงวัง และป้อมปืนรายรอบพระท่ีน่ัง และถาวรวัตถุต่าง ๆ มีความงดงามมาก จึงถือเป็นแหล่งรวบรวมศิลปกรรมไทยหลายสาขาไว้ด้วยกัน เช่น พระท่ีนั่งศิวโมกขพิมำน หรือพระที่นั่งทรงปืน สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ โปรดให้ สรา้ งขนึ้ ตามแบบพระท่ีนั่งทรงปืนในสมัยอยุธยา โดยใชเ้ ปน็ ท้องพระโรงสาหรับออกขนุ นางและบาเพ็ญ พระราชกศุ ลต่าง ๆ พระท่ีนั่งอิศรำวินิจฉัย เป็นมุขเด็จหน้าพระวิมานที่กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จออกให้ ขนุ นางเขา้ เฝา้ ตอ่ มาในสมัยรชั กาลที่ ๓ ได้ใชเ้ ป็นที่ประดิษฐานพระศพของวังหน้า พระที่น่ังพุทไธสวรรย์ เดิมช่ือพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ กรมพระราชวังบวรฯ ทรงสร้าง ขึ้นเพื่อประดษิ ฐานพระพทุ ธสิหงิ ค์ท่ีทรงอัญเชญิ มาจากเชยี งใหม่ ส่วนพระมณเฑียรท่ีประทับ สร้างเป็นหมู่อาคาร ๓ หลัง คือ พระที่น่ังวสันตพิมำน ใช้ ในการประกอบพระราชพธิ ีบวรราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑยี ร และใช้ประทับในฤดูฝน พระท่ีน่ังวำยุ สถำนอมเรศ สาหรับประทับในฤดหู นาว และพระทนี่ ั่งพรหมเมศธำดำ ใช้ประทับในฤดูรอ้ น พระรำชวังบวรสถำนมงคลเป็นที่ประทับของ “วังหน้ำ” หลายพระองค์ สืบมาจนถงึ รัชกาลที่ ๕ ทรงยกเลิกตาแหน่งวังหน้า พ้ืนที่ภายในเขตพระราชวังได้พระราชทานให้เป็นที่ตั้งของ หน่วยราชการต่าง ๆ คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงละครแห่งชาติ วิทยาลัยนาฏศิลป์ วิทยาลัยช่าง ศลิ ป์ สว่ นพน้ื ทีบ่ รเิ วณพระทีน่ งั่ เปน็ พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติพระนคร จนถึงปัจจุบนั พระรำชวังบวรสถำนพิมุข หรือวังหลัง เป็นวังของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์ เทเวศร์ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ซ่ึงทรงเป็นกรมพระราชบวรสถานพิมุขในรัชกาลท่ี ๑ ต้ังอยู่ฝ่ัง ตะวันตกของแม่น้าเจ้าพระยา คนละฝ่ังกับพระบรมมหาราชวัง และต่อมาได้กลายเป็นที่รกร้าง เนื่องจากเชื้อสายกรมพระราชวังหลัง ไม่มีกาลังจะดูแลรักษา “รัชกาลที่ ๕ จึงได้พระราชทานให้สร้าง โรงพยาบาลขึ้นในพ้ืนทท่ี ี่เคยเปน็ วังหลัง และพระราชทานนามว่า โรงพยาบาลศิรริ าช จนถงึ ปัจจบุ ันนี้ แแนนววกกาารรจจัดดั กกาารรเเรรียียนนรรปู้ ปู้ รระะววตั ัตศิ ิศาาสสตตรร์เเ์พพ่อื อื่ สสรรา้ ้างงสสาำนนึกึกคคววาามมเเปปน็ น็ ไไททยย::พพระรบะบรมรมมมหหาราารชาวชงัวงพพระรระารชาวชงัวังแลแะลวะังวัง
๓๐๖ พระบรมมหำรำชวงั กรงุ รตั นโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนาพระบรมมหาราชวังพร้อม กับกรุงรัตนโกสินทร เพ่ือให้เป็นศูนย์กลางการปกครองบ้านเมือง โดยมีวังหน้าหรือพระราชวังบวรสถาน มงคล ต้ังอยู่ทางด้านเหนือของวังหลวง ส่วนวังหลังหรือพระราชวังบวรสถานพิมุข ต้ังอยู่ทางด้าน ตะวันตกเฉียงเหนือ ริมคลองบางกอกน้อย อีกฟากหนึ่งของแม่น้าเจ้าพระยา ซ่ึงถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ สาคัญในการป้องกันข้าศึกท่ีจะมาจากทิศเหนือ และทิศตะวันตก การก่อสร้างพระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ถ่ายแบบผังพระราชวังหลวงในกรุงศรีอยุธยา โดยแบ่งพระราชฐานออกเป็น ๓ ส่วน คือ พระราชฐานชั้นนอก เป็นที่ต้ังของหน่วยงานราชการ พระราชฐานช้ันกลาง เป็นที่ประทับ ของพระมหากษัตริย์และใช้ประกอบพระราชพิธีสาคัญ และพระราชฐานชั้นใน เป็นที่ประทับของ พระมเหสี เจ้าจอม พระราชธิดา และข้าราชการฝ่ายในส่วนพระอารามหลวงหรือวัดพระศรีรัตนศาสดา รามต้ังอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมา กร (พระแก้วมรกต) และใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธที างศาสนา อาคารและส่ิงก่อสร้างต่าง ๆ เช่น หมู่พระท่ีน่ังในพระบรมมหาราชวังมิได้สร้างเสร็จ ในช่วงสมัยเดียว อาคารบางแห่งถูกไฟไหม้ และได้รับการบูรณะหรือประดิษฐานขึ้นใหม่ในรัชกาลน้ัน หรือในรัชกาลต่อมา และบางแห่งมีการเปลี่ยนชื่อ รูปแบบทางศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมของแต่ละ พระที่น่ังหรอื แตล่ ะอาคารมคี วามแตกต่างกนั เช่น วัดพระศรีรัตนศำสดำรำม ได้รับการปฏิสังขรณ์และการสร้างศาสนสถานเพิ่มเติม หลายครั้ง แต่ศาสนอาคารท้ังหลายยังคงรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประเพณีอย่างเคร่งครัด เช่น พระอุโบสถ มีการประดับตกแต่งอาคารอย่างงดงาม เช่น หน้าบัน จาหลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ซุ้มประตูทรงมณฑปปิดทองประดับกระจก บริเวณฐานของพระอุโบสถประดับรปู หล่อโลหะครฑุ ยุคนาค ทรงเครื่องปิดทอง สะท้อนความเชื่อที่ว่ากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ปรำสำทพระเทพบิดร เดิมเรียกว่า พระพุทธปรางค์ปราสาท สรา้ งขนึ้ ในสมัยรชั กาลที่ ๔ ต่อมาเกดิ เพลิงไหม้ รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ บูรณะขึ้นใหม่ รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อพระมหากษัตริย์แหง่ ราช จักรวี งศ์ พระมณฑป สร้างขนึ้ ในสมยั รัชกาลที่ ๑ แทนท่ีหอพระมณเฑียรธรรมองคเ์ ดิมท่ีถูกไฟไหม้ เรือน ยอดของพระมณฑปเป็นทรงปราสาทจอมแหรอบพระมณฑป มีบุษบก ๔ องค์ ประดิษฐานพระบรมราช สัญลักษณ์ของรัชกาลที่ ๑-๙ ผนังด้านในของพระระเบียงโถงท่ีล้อมรอบวัด เป็นภาพจิตรกรรมเรื่อง รามเกยี รต์ิ ภาพจติ รกรรมดงั กล่าว ได้รบั การซอ่ มแซมสืบมาถงึ ปัจจุบัน หมูพ่ ระมหำปรำสำทและพระรำชมณเฑียร ในพระบรมมหาราชวัง จัดวา่ มคี วามโดด เด่นเดินทางศิลปกรรม เช่น พระท่ีนั่งอมรินทรภิเษกมหาปราสาท เดิมเป็นปราสาทไม้ ซ่ึงรัชกาลท่ี ๑ โปรดเกลา้ ฯ ให้เลียนแบบพระทน่ี ั่งสรรเพชญป์ ราสาทของกรุงศรีอยุธยา เพอ่ื ใชป้ ระกอบพระราชพิธีบรม ราชาภิเษก ต่อมาเกิดฟ้าผ่า เพลิงไหม้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ร้ือออกแล้วสร้างพระที่น่ังดุสิตมหาปราสาท ขึน้ แทน เมื่อรัชกาลที่ ๑ เสด็จสวรรคต ไดอ้ ัญเชญิ พระบรมศพมาไว้ทพ่ี ระมหาปราสาทองค์นี้ แนแวนกวากราจรัดจกดั ากราเรรเียรนียรนปู้ รปู้ระรวะัตวศิตั าศิ สาตสรต์เรพเ์ พื่อสื่อรส้ารง้าสงาสนำึกนคกึ วคาวมามเปเปน็ ไ็นทไทยย::พพระรบะบรมรมมมหหาราารชาวชงัวงพพระรระารชาวชงัวังแลแะลวะังวงั
๓๐๗ พระที่น่ังดุสิตมหำปรำสำท เป็นแม่แบบของสถาปัตยกรรมไทยประเพณี ในพระบรมมหาราชวัง องค์ประกอบที่ตกแต่งล้วนสร้างข้ึนเพื่อเฉลิมพระเกียรติที่องค์พระมหากษัตริย์ ตามคติทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เช่น เรือนยอดเป็นมณฑปเจ็ดชน้ั หมายถึง สวรรค์ ชั้นตา่ ง ๆ องค์ระฆงั ตอนกลางแทนสถูปจาลองทป่ี ระดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระท่ีน่ังจักรีมหำปรำสำท ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปสูง ๓ ชั้น มีมุข ๓ มขุ เหนือมุขท้ังสามทาหลังคาเป็นยอดปราสาทแบบไทย และมีโถงยาวเชอื่ มต่อมุขท้ังสามถือเปน็ รูปแบบ สถาปตั ยกรรมทผ่ี สมผสานศลิ ปกรรมไทยกบั ตะวันตก พระที่นั่งบรมพิมำน มีรูปแบบสถาปัตยกรรมยุโรป สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เคย เป็นท่ีประทับของรัชกาลที่ ๖ เม่ือคร้ังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ปัจจุบันเป็นที่รับรองแขกเมือง ระดับประมุขของประเทศ พระทนี่ ัง่ ในพระบรมมหาราชวังและพระราชวงบวรสถานมงคล นอกจากจะสะท้อนภูมิ ปญั ญาของบรรพบรุ ุษ ความสามารถของช่างไทย ความงดงามของงานศิลปแ์ ต่ละยุคสมัยและลัทธิความ เชื่อในราชสานักท่แี ฝงอยูใ่ นสถาปตั ยกรรมของอาคารต่าง ๆ ถือเปน็ แหล่งรวบรวมศิลปกรรมหลายสาขา เขา้ ดว้ ยกนั สิง่ ตา่ งๆ ที่ปรากฏในพระบรมหาราชวงั ลว้ นมคี วามเป็นมา และเปน็ สัญลกั ษณ์ความเป็นไทย ที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับการยกย่องจากนานาประเทศและโลกอย่างสูง การทาความเข้าใจ พระบรมมหาราชวังไม่สามารถทาได้ในเวลาอันสั้น จาเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป ผู้สอนต้องมีความรู้ อย่างกว้างขวาง หรือต้องอาศัยผู้เช่ียวชาญหลายสาขาวิชา โดยเฉพาะด้านศิลปกรรม ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ปราณีตศิลป์สาขาต่างๆ ท่ีสาคัญ คือ ความหมายและแนวคิดที่ปรากฏ ในสัญลักษณ์ท้ังที่เป็นวัตถุ และเครื่องประกอบสถาปัตยกรรม ผู้เรียนจึงจะสามารถเข้าใจ ในภูมิปัญญา และความเป็นไทย เกิดความภูมใิ จ ตระหนักในความสาคญั ที่จะอนรุ ักษ์สืบตอ่ ไป แหลง่ / ข้อมูลที่ควรศึกษำเพ่ิมเติม ๑. พระบรมมหาราชวัง พระราชวัง และวังทจี่ ดั เปน็ แหล่งเรยี นรู้ ๒. หนังสือที่ควรศึกษาเพิ่มเตมิ ประกอบด้วย ๒.๑ คู่มือนาชมกรุงรัตนโกสินทร์ : เมืองวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์, บรรณาธิการ โดยสุดารา สจุ ฉายา, สานักพมิ พส์ ารคด,ี ๒๕๔๗ ๒.๒ พระราชวงั วงั เจ้านาย โดย ส.พลายนอ้ ย, สานักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๔๘ ๒.๓ คมู่ ือนาชมพพิ ธิ ภัณฑส์ ถานแหง่ ชาติพระนคร ของกรมศลิ ปากร แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเเรรียยี นนรรปู้ ปู้ รระะววัตัตศิ ศิ าาสสตตรร์เเ์พพอื่ ือ่ สสรรา้ ้างงสสาำนนึกกึ คคววาามมเเปปน็ น็ ไไททยย::พพระรบะบรมรมมมหหาราารชาวชงัวงพพระรระารชาวชังวงั แลแะลวะงัวงั
๓๐๘ วัด : ศนู ย์รวมจติ ใจและมรดกศลิ ป์ของประเทศ เกร่นิ นำ : ทำไมถงึ ต้องเรยี นเร่ืองน้ี สังคมไทยเป็นสังคมท่ีมีพุทธศาสนาเป็นหลักคิดพ้ืนฐานซึ่งตั้งอยู่บนความเช่ือเรื่องบาป-บุญ ความดี-ความชั่ว และการกระทาที่เรียกว่า “กรรม” ของตน พุทธศาสนาที่ตั้งมั่นในดินแดนสุวรรณภูมิ มาอย่างช้านานนี้เป็นอิทธิพลที่ไทยได้รับจากอินเดียมาแต่สมัยทวารวดี เพราะพบหลักฐานจารึก หลักธรรมคาสอนหลายหลักในบริเวณภาคกลางของประเทศ นอกจากคาสอนแลว้ ยังพบว่ามีการสร้างวัด หรืออารามใหเ้ ป็นที่พกั ของพระภิกษสุ งฆ์ ซงึ่ เปรียบเสมือนพุทธทายาทในการเผยแผ่พระธรรมคาสั่งสอน ด้วย ด้วยเหตุน้ีการสร้างวัดและสิ่งอื่นๆ ที่เก่ียวกับพระพุทธศาสนาจึงมีความเป็นมงคลเป็นอย่างย่ิง เพราะเทา่ กับได้สืบทอดพระพุทธศาสนา ในสังคมไทย วัดผูกพันแน่นแฟ้นกับคนทุกระดับช้ันมาแต่อดีต มีความเก่ียวโยงทั้งในฐานะ เป็นศูนย์กลางของสังคม และเป็นแหล่งการศึกษาอบรมจิตใจ จนอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยมีพ้ืนฐาน ปึกแผ่นม่ันคงเป็นสังคมได้น้ันก็ด้วยอาศัยวัดเป็นสาคัญ วัดต่างๆ ที่งดงามก็เสมือนหนึ่งการแข่งขันกัน เพ่ือประกอบการบุญและการเข้าถึงพระนิพพานซึ่งเป็นความปรารถนาสูงสุดของชาวพุทธ อีกท้ังยัง สะท้อนความมั่งคั่งและแสดงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของผู้สร้างด้วย ในนิราศทวารวดีของหลวงจักรปาณี (ฤกษ์) กวสี มยั รชั กาลที่ ๔ ไดพ้ รรณนาเมืองพระนครศรอี ยุธยาเมื่อครงั้ เดนิ ทางไปเหน็ วัดเรยี งรายว่า ดูวัดวาอารามงามสล้าง บา้ งรกรา้ งโรยราน่าใจหาย เมื่อคร้ังกรงุ ยงั สนุกสุขสบาย ไดย้ นิ ฝา่ ยผูเ้ ฒ่าท่านเล่ามา วา่ เศรษฐีมที รัพย์ไม่นับได้ สรา้ งวัดใหล้ กู รกั นัน้ หนกั หนา ถา้ บตุ รใครไม่มีซึง่ วัดวา ไปเล่นอารามเขาเศรา้ ฤทัย เจา้ ของเขาเฝ้าเปรยเยาะเยย้ หยอก กลับมาบอกบิดานา้ ตาไหล พ่อก็สร้างอารามให้ตามใจ วัดจึงไดเ้ กล่อื นกลาดดูดาษดา อันท่ีจริงคุณประโยชน์ของวัดในฐานะท่ีเป็นพุทธศาสนสถาน คือ ท่ีอยู่และที่ประกอบกิจ และพิธีกรรมทางศาสนาของพระสงฆ์และศาสนิกชนตามหลักธรรม ศรทั ธาและความเช่ือทางศาสนาและ วัฒนธรรมดงั้ เดิมของชุมชน วดั ในฐานะเป็นสถานทีส่ าคญั ในชุมชน สาหรับการพบปะสมาคม เป็นแหลง่ เช่ือมโยงรัฐกับ ชมุ ชนในท้องถ่ิน เปน็ สถานศึกษาทั้งด้านการอ่านออกเขยี นได้ และสถานทีฝ่ ึกทักษะการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะทางด้านชา่ งศลิ ป์แขนงต่าง ๆ เป็นแหล่งรวบรวมศิลปกรรมและขนบธรรมเนียม ประเพณีทาง วัฒนธรรม วัดบางแห่งยังเป็นแหลง่ อนุเคราะห์ผยู้ ากไร้ สรา้ งเสรมิ สุขภาพอนามยั กลา่ วได้วา่ วัดมีคุณค่า แนแวนกวากราจรดั จกดั ากราเรเยี รนียรนปู้ รรู้ปะรวะัตวศิตั าศิ สาตสรตเ์ รพเ์ พ่อื สือ่ รสา้ รงา้ สงาสนำกึนคกึ วคาวมาเมปเน็ปไ็นทไยทย: :วดั วัด
๓๐๙ อย่างกว้างขวางต่อสังคมไทย ที่สามารถนามาใช้ประโยชน์ สะท้อนความสามารถ และภูมิปัญญาของ บรรพบุรษุ ไทยได้อยา่ งดยี ง่ิ จดุ มุ่งหมำย : เปำ้ หมำยของกำรจัดกำรเรยี นรูเ้ ร่ืองน้ี ๑. เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่อง “วัด” ในฐานะท่ีเป็นศูนย์รวมจิตใจของ สังคมไทย และมรดกทางศลิ ปกรรมในวัฒนธรรมไทย ๒. ตระหนักในความสาคัญและภูมิใจในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย และสถาบัน พระมหากษัตริย์ไทย ท่ีได้สร้างหรือส่งเสริมการสร้างปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ เพ่ือให้ชุมชนไทยได้ใช้ ประโยชนแ์ ละอนุรกั ษ์ สบื สาน ศลิ ปกรรมไทยเปน็ เอกลกั ษณไ์ ทยสบื ถึงปจั จุบนั น้ี ๓. ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง แสดงถึงความเคารพในพุทธศาสนา และเสนอแนะผู้อื่นได้ ถูกตอ้ ง ประเดน็ สำคญั ท่ีครคู วรรู้ พื้นฐำนควำมรู้ จดุ เน้นทีค่ วรเช่ือมโยง และสิ่งทตี่ ้อง สรำ้ งเสรมิ ใหเ้ กดิ ควำมภมู ใิ จ โดยปกติแล้ว พื้นที่ในการสร้างวัดจะต้องกาหนดขอบเขตท่ีแน่นอน เพราะเป็นพ้ืนที่ ศักด์ิสิทธิ์ท่ีพระสงฆ์ใช้พานักและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ จึงต้องมีที่ดินสาหรับปลูกสร้าง เสนาสนะ คือที่อยู่สาหรับพระสงฆ์ กับศาสนสถานคือ สถานที่สาหรับปฏิบัติกิจทางศาสนาในหมู่สงฆ์ และร่วมกับฆราวาส เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ฯลฯ และในบางครั้งอาจมีการสร้างปชู นยี สถาน คือสิ่งก่อสร้างอ่ืน เช่นมณฑป หอไตร พระเจดีย์ทรงต่างๆ ร่วมด้วยก็ได้ ที่ดินสาหรับสร้างวัดแต่ละแห่ง มกั เป็นท่ดี นิ ทเี่ จ้าของบริจาคถวายพระสงฆ์ไว้เปน็ สทิ ธขิ์ าด เรยี กว่าท่ีกลั ปนา การจัดแบ่งพ้ืนที่ใช้สอยในวัดกาหนดอย่างกว้างๆ ได้ ๒ ส่วนคือเขตพุทธาวาสและ เขตสังฆาวาส เขตพุทธาวาสคือที่ต้ังของอาคารท่ีเก่ียวข้องกับพุทธศาสนาทั้งหมด เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ส่วนเขตสังฆาวาสเป็นที่ต้ังของกุฏิที่พักสงฆ์ การแบ่งพ้ืนท่ีเช่นน้ีในบางครั้งใช้แนวกาแพงแก้ว หรอื แนวคูน้าเล็กคัน่ กไ็ ด้ ในเขตพุทธาวาส มีส่งิ ก่อนสรา้ งสาคญั คอื ๑. อุโบสถ หรือพระอุโบสถ หรือโบสถ์คือ อาคารสาหรับพระสงฆ์ ใช้ประโยชน์ในการทา อุโบสถกรรม คือการที่พระสงฆ์มาประชุมร่วมกันเพื่อสวดปาติโมกข์ อันได้แก่ พุทธบัญญัติว่าด้วยวินัย ของสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ เป็นประจาทุกๆ ก่ึงเดือน และยังใช้สาหรับการบวชด้วย รอบพระอุโบสถจะมีใบ เสมาปกั อยทู่ ง้ั ๘ ทศิ ๒. วิหาร หมายถึงอาคารท่ีใช้เป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธรูป คาว่า วิหาร นี้ แต่เดิม หมายถึงที่อยู่ โดยไม่จากัดบุคคลช้ันใด ต่อมาในสมัยพุทธกาล หมายถึงที่อยู่สาหรับพระพุทธเจ้า และ พระสงฆ์สาวก คร้ันพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว วิหารได้รับการสร้างขึ้น สาหรับเป็นท่ี แแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเรเรียยี นนรรปู้ ู้ปรระะววตั ตั ศิ ศิ าาสสตตรรเ์ พเ์ พอ่ื อ่ื สสรร้า้างงสสาำนนกึ ึกคคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย::วดั วัด
๓๑๐ ประดษิ ฐานพระพุทธปฏิมากร ในวัดหนึง่ หน่งึ อาจมวี หิ ารไดม้ ากกวา่ ๑ หลัง เช่นวหิ ารน้อย วหิ ารหลวง วหิ ารทศิ วิหารพระพุทธไสยาสน์ เปน็ ตน้ ๓. มณฑป คือ อาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นอย่างเรือนรูปส่ีเหล่ียม มักทาหลังคา เป็นรปู ทรงกรวยสเ่ี หล่ียม ปลายเรียวแหลม ใช้เปน็ สถานท่ีสาหรับประดษิ ฐานพระพุทธรูป รอยพระพุทธ บาท หรือพระไตรปิฎกที่สาคัญ ตัวอย่างเช่น พระมณฑป วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร และพระมณฑปวดั พระพทุ ธบาท จังหวัดสระบรุ ี ๔. หอพระธรรม หรือ หอไตร คือ อาคารสาหรับเก็บรักษาพระไตรปิฎก หอพระธรรม หรือหอไตรเป็นอาคารขนาดเลก็ ๆ ยกพืน้ สูง มักทาเฉลียงรอบ และปลูกสรา้ งหอข้ึนในสระ โดยใช้น้าหลอ่ เสา เพ่ือกันมด ปลวก และหนู มิให้ไปทาลายพระคัมภีรต์ ่างๆ วัดส่วนมากมีหอไตรเพียงหลังเดียว แต่วัด ใหญ่ๆ โดยเฉพาะวดั ท่ีเปน็ พระอารามหลวง จะมหี อพระธรรม หรือหอไตรมากกวา่ ๑ หลงั ๕. พระเจดีย์ เป็นส่ิงก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีหลายรูปทรง เช่น พระเจดียท์ รงพมุ่ ขา้ วบิณฑ์ พระเจดยี ท์ รงลังกา พระเจดยี ์ทรงย่อมมุ เป็นต้น ส่วนในเขตสังฆาวาส มีอาคารท่ีเปน็ สว่ นประกอบดังนี้ ๑. กุฏิ หรือหมู่กุฏิ คือ เรือนหรือตึก สาหรับเป็นท่ีอยู่ของพระภิกษุ และสามเณร อาจมี ลักษณะคล้ายกับเรือนทรงไทย ปลูกเป็นหลังยาวๆ แล้วก้ันฝาประจันแบ่งเป็นห้องๆ เพื่อให้พระภิกษุ หรอื สามเณร อยูห่ อ้ งละองค์ พื้นท่ตี รงกลางชานนอกมกั สร้างเรอื นโถงเรยี กว่าหอฉนั ๒. ศาลาการเปรียญ คือ สิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายเรือนหลังใหญ่ ยกพ้ืนสูงเสมอ ศีรษะ คนยืน มีเฉลียงโดยรอบ กั้นฝาแต่ละด้านเป็นฝาโปร่งๆ ภายในศาลาตอนที่อยู่ชิดฝา ด้านหน่ึงทายกพื้น เป็น อาสน์สงฆ์ สาหรับพระสงฆ์ข้ึนนั่งเจริญพระพุทธมนต์ ตรงหัวอาสน์สงฆ์ด้านหน่ึง เป็นที่ตั้ง พระพุทธรูป และเคร่ืองบูชา นอกจากนี้ ศาลาการเปรียญยังสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ศึกษา พระพุทธศาสนา สาหรับพระสงฆ์ในวนั ธรรมดา กับบรรดาพุทธศาสนกิ ชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ในการ บาเพ็ญกุศลในวันธรรมสวนะ และวันสาคญั ทางพุทธศาสนา อกี ด้วย ๓. หอกลอง – หอระฆัง คือ สิ่งปลูกสร้างท่ีมีลักษณะเป็นหอสูง ประกอบด้วยเสา ๔ ต้น ต้ังขึน้ ไปรับพ้ืนหอ มีหลังคาคลุม ตัวหอเปดิ โล่งท้งั ๔ ด้าน ทาพืน้ เป็นชนั้ และทาบันไดข้นึ ไปจนสุดชั้นบน ที่เพดานชั้น บนแขวนระฆังไว้ ๑ ลูก ส่วนช้ันล่างลงมาแขวนกลองขนาดย่อมไว้ ๑ ลูก บางวัดอาจสร้าง หอขึ้น สาหรบั ไว้กลองโดยเฉพาะ แม้วา่ ในปจั จบุ นั วัดหลายวดั จะโรยร้างกลายเป็นซากปรักหักพงั ไปแล้วก็ตาม แตส่ ่ิงกอ่ สร้าง และประวัติเรื่องราวของวัดต่างๆ เหล่านั้นก็มีความสาคัญในการบอกถึงวิถีชีวิตชุมชนในอดีต แสดง ร่องรอยและความเชอื่ ความศรทั ธาในพทุ ธศาสนาไดเ้ ป็นอย่างดี แนแวนกวากราจรัดจกัดากราเรเยี รนียรนปู้ รรปู้ ะรวะัตวศิัตาิศสาตสรตเ์ รพ์เพ่อื ส่อื รสา้ รงา้ สงาสนำกึนคกึ วคาวมาเมปเน็ปไ็นทไยทย: :วัดวัด
๓๑๑ ในสมัยสุโขทัย การสร้างวัดหลวงหรือวัดสาคัญจะก่อสร้างข้ึนบริเวณศูนย์กลางเมือง เช่น วัดมหาธาตุ เพื่อใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วัดในสมัยสุโขทัยมีองค์ประกอบของวัดในเขตพุทธาวาส หลงเหลืออยู่ในปจั จุบัน คือพระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ซ่ึงเปน็ ประธานของวดั ด้านหน้ามีพระวหิ ารหลวง ขนาดใหญ่ เพ่ือประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ รอบพระวิหารหลวงเป็นทต่ี ั้งของวหิ ารน้อย วิหารทศิ และอื่นๆ แต่พระอุโบสถนั้นอาจไม่ได้ต้ังอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพราะพบว่าวัดบางแห่งมีพระอุโบสถอยู่ ด้านข้างวัด นอกจากนี้ท่ีตั้งของวัดบางแห่งในสมัยสุโขทัยออกไปตั้งอยู่นอกเขตเมืองเรียกว่า เขตอรัญญวาสี หรือเขตป่า ซ่ึงเป็นวัดที่อยู่ในป่า เหมาะสาหรับพระภิกษุที่เน้นการเจริญภาวนา และ แสวงหาความสันโดษเพ่ือบาเพญ็ เพียร ในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ องค์ประกอบของวัดมีลักษณะคล้ายเดิม แต่การจัดวาง ที่ต้ังอาจต่างออกไปบ้าง กล่าวคือในสมัยอยุธยายุคต้น นิยมสร้างพระปรางค์เป็นหลักของวัด ด้านหน้า พระปรางค์มีพระวิหารหลวงและมีพระระเบียงล้อมรอบ เช่น ท่ีวัดพระราม วัดพุทไธสวรรย์ เป็นต้น ต่อมาความนิยมในการสร้าวงพระปรางค์เปล่ียนแปลงไปเป็นการสร้างพระเจดีย์ข้ึนเป็นประธานของวัด แต่ยังคงสรา้ งวิหารหลวงไวท้ ีด่ ้านหนา้ ทศิ ตะวนั ออกเชน่ เดิม หลังจากนน้ั จะมีการสร้างพระอุโบสถขึ้นทาง ด้านหน้าแทนท่ีพระวิหาร เชน่ ที่วดั ไชยวัฒนาราม เป็นตน้ สว่ นวิหารกจ็ ะมีขนาดเล็กลง แต่อยา่ งไรก็ดีใน สมัยอยุธยาน้ีวัดต่างยังคงมีการสร้างวิหารขนาดเล็กมาก เช่นวิหารพระพุทธไสยาส์น วิหารทิศ หรือ วิหารแกลบ เป็นต้น ในพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามาในอยุธยามองภาพของวัดไว้ว่าเป็น สถานท่ีสะท้อนความม่ังค่ังของคนอยุธยา วันวลิต พ่อค้าชาวฮอลันดา บันทึกว่าพื้นที่ในอยธุ ยานนั้ เต็มไป ด้วยวดั กวา่ ๔๐๐ แห่ง ที่ล้วนแต่งดงาม ประดบั ประดาอย่างวิจิตรบรรจงและมีคา่ มาก รวมทง้ั หมู่กุฏสิ งฆ์ ที่สรา้ งด้วยเคร่อื งไม้ กส็ ลักอย่างงดงาม ส่วนนโิ กลาส์ แชร์แวส กลา่ วถงึ เรื่องวัดไว้วา่ “ท่ัวราชอาณาจักรสยามมีวัดเป็นจานวนมากเท่าๆ กับในประเทศฝร่ังเศส และ นับวันแต่จะมีเพ่ิมมากขึ้นทุกที เพราะว่าพวกขุนนางช้ันผู้ใหญ่มักนิยมสร้างวัดกันตามใจ ชอบ และแขง่ ขันกันมากในด้านประดับประดาให้งดงามย่ิงกว่าวัดทคี่ นอื่นๆ สรา้ ง วัดนนั้ มีจานวนมากมายเหลือเกิน จนกระทั่งว่าภิกษุซ่ึงมีอยู่ด้วยกันรวมกว่าหกหมื่นรูป โดยไม่ นับพวกออกเณรซ่ึงมีจานวนไม่น้อยกว่ากันน้ัน ยังมีจานวนไม่มากพอท่ีจะเข้าประจาอยู่ ในวัดทั้งหมดได้ โดยที่มีการสร้างวัดใหม่ๆ กันขึ้นทุกวัน พวกภิกษุแทนที่จะ บูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่าๆ กลับทอดทิ้งให้ร้างเสียแล้ว และเข้าไปประจาอยู่ในวัดอ่ืนต่อไป วัดเหล่านี้มิได้มีขนาดหรือความงดงามเท่าเทียมกัน ลางวัดก็งดงามอย่างยิ่ง แต่ลางวัดก็ อนาถาเหลือใจ จนชน้ั จะดัดแปลงให้เป็นโรงขายเครือ่ งดืม่ กย็ งั ไมได้...” การประเมินด้วยสายตาและจากคาบอกเลา่ อาจทาให้การประมาณจานวนวัด จานวนภกิ ษุ ในอยุธยาดูมากเกินความเป็นจรงิ หากแตส่ ่งิ ทป่ี รากฏในเกาะเมืองอยุธยาในปัจจุบนั ก็ยนื ยันไดว้ ่าอาณา แแนนววกกาารรจจดั ัดกกาารรเรเรยี ยี นนรรปู้ ปู้ รระะววตั ตั ศิ ศิ าาสสตตรรเ์ พ์เพ่ือื่อสสรรา้ ้างงสสาำนนกึ กึ คคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย::วดั วดั
๓๑๒ เขตของวัดต่างๆ อยู่ติดกันมาก มีเพยี งคนู า้ หรือถนนสายเลก็ ๆ คั่น หรือบางวดั กม็ ีอาณาบรเิ วณเกยกัน อยู่หรอื สร้างทับซ้อนกนั เมื่อวัดแหง่ นั้นโรยรา้ งแล้ว เป็นตน้ ในสมัยรัตนโกสินทร์ การสร้างวัดเป็นพระราชกรณียกิจสาคัญของพระมหากษัตริย์ เพราะ วัดเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นศูนย์กลางของงานศิลปะ วัดต่างๆ ท่ีพระเจ้าแผ่นดินทรงสร้างข้ึนใหม่ใน รัชกาลเป็นแหล่งรวมงานศิลปกรรมช้ันสูงในราชสานัก เช่นวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม ฯลฯ แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์นี้สิ่งที่เป็นหลักประธานของวัดอาจเป็นพระเจดีย์ก็ได้ พระ ปรางค์ก็ได้ ตามแต่พระราชนิยมน้ันๆ วัดที่สาคัญท่ีเรียกว่าวัดหลวงประจารัชกาลในสมัยรัตนโกสินทร์มี ดงั นี้ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นวัดประจาพระบรมมหาราชวัง ไม่มีพระสงฆ์จาพรรษา เชน่ เดยี วกบั วัดมหาธาตสุ ุโขทยั และวดั พระศรสี รรเพชญ์ อยุธยา วัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม เปน็ วดั ประจารัชกาลท่ี ๑ วัดอรณุ ราชวราราม เป็นวัดประจารัชกาลที่ ๒ วดั ราชโอรสาราม เปน็ วดั ประจารชั กาลท่ี ๓ วดั ราชประดษิ ฐ์สถติ มหาสีมาราม เปน็ วัดประจารชั กาลที่ ๔ วัดราชบพิธสถติ มหาสมี าราม เป็นวดั ประจารัชกาลที่ ๕ วัดพระปฐมเจดีย์ เป็นวดั ประจารชั กาลที่ ๖ วดั ราชบพิธสถติ มหาสมี าราม เป็นวดั ประจารชั กาลท่ี ๗ วดั สุทศั น์เทพวราราม เปน็ วดั ประจารัชกาลที่ ๘ นอกจากน้ียังมีวัดอีกหลายแห่งท่ีงดงาม เช่นวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงสถาปนาขน้ึ บริเวณใกลก้ บั พระราชวงั สวนดุสติ เป็นตน้ วัดตา่ งๆ ในประเทศไทยจึงเปน็ ศูนย์รวมของ ความดงี ามในทางพระพุทธศาสนา และความงดงามในเชงิ ช่างศลิ ปกรรมชน้ั สูงที่คนไทยควรรู้จักหวงแหน และธารงรกั ษาไวส้ ืบไป แนแวนกวากราจรดั จกัดากราเรเียรนยี รนปู้ รรปู้ ะรวะตั วศิตั าศิ สาตสรตเ์ รพเ์ พื่อสอ่ื รสา้ รง้าสงาสนำกึนคกึ วคาวมาเมปเน็ปไ็นทไยทย: :วัดวดั
๓๑๓ อุทยานประวัตศิ าสตร์ : มรดกทางวัฒนธรรม เกร่นิ นำ : ทำไมจงึ ตอ้ งเรียนเรอ่ื งนี้ “...ในประเทศสยามน้ีมีของโบราณ เช่น เจดียสถานและวัตถุต่างๆ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินและช่างผู้ชานาญศิลปศาสตร์ได้สร้างไว้ แต่ปางก่อนเป็นอันมาก ของโบราณเช่นกล่าวมาย่อมเป็นหลักฐานใน พงศาวดาร และเป็นเคร่ืองอุปกรณ์การตรวจตราหาความรู้ในโบราณคดี ต่างๆ อนั เจริญประโยชน์ และเกยี รตยิ ศของบา้ นเมือง เพราะฉะนน้ั บรรดา อาริยะประเทศ จึงถือว่าเป็นน่าที่ของรัฐบาล จะต้องเอาเปนธุระเก้ือกูล การตรวจตรารักษาของโบราณ อันมอี ยใู่ นประเทศของตน...” พระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ มหามงกุฎเกล้าเจ้าอย่หู วั รชั กาลท่ี ๖ * ไทยเป็นประเทศหน่ึงท่ีมีมรดกทางวัฒนธรรมกระจายอยู่ทุกภาคของประเทศท่ีผู้ คน หลากหลายชาติพนั ธ์ได้ก่อร่างสรา้ งชมุ ชน เมอื ง หรอื แวน่ แควน้ และมีพัฒนาการมาอยา่ งต่อเน่ืองปรากฏ เป็นเอกลักษณ์และคุณลักษณะเฉพาะ (Identity and character) จนกลายเป็นแหล่งมรดกทาง วัฒนธรรมท่ีสาคัญของชาติทั้งในส่วนที่เป็นรูปธรรม (Trangible heritage) เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ และส่วนท่ีเป็นนามธรรม (Intangible heritage) สะท้อนในตานาน เรื่องเล่าขาน เอกสาร โบราณ ขนบประเพณีและวิถีชุมชน ซ่ึงนับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้เราใช้เป็นแหล่งศึกษา ประวัติความเป็นมา การเปล่ียนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมของชาติได้เป็นอย่างดี มรดกทาง วัฒนธรรมดังกล่าวน้ีเป็นทรัพยากรท่ีสาคัญ และมีคุณค่าย่ิงเป็นประจักษ์พยานแสดงความเจริญรุ่งเรือง ในดินแดนไทยในอดีตที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าดินแดน อื่นใดในโลกที่ประชาชนในท้องถิ่นและโดยส่วนรวม ของชาติไทยควรตระหนักในความสาคัญและความภาคภูมิใจในความเป็นไทยท่ีบรรพบุรุษได้สรรสร้างไว้ เปน็ มรดกของชาตไิ ทยสืบมาถงึ ปจั จุบนั ____________________________ * อ้างจากสานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ชุดควำมรู้ด้ำนกำรอนุรักษ์พัฒนำและ บริหำรจัดกำรเมอื งเก่ำ เล่มท่ี ๑ ควำมรูค้ วำมเข้ำใจเกยี่ วกับเมืองเก่ำในประเทศไทย. ๒๕๕๔ แแนนววกกาารรจจัดัดกกาารรเรเรียยี นนรรปู้ ูป้ รระะววตั ัตศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพ่ืออ่ื สสรรา้ า้งงสสาำนนกึ ึกคคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย::อทุอยุทายนาปนรปะรวะตั วศิตั าศิ สาตสรต์ ร์
๓๑๔ ความสาคัญของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวน้ีปรากฏในพระราชนิพนธ์ สมเด็จ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารวี ่า ปูชนียวตั ถุครั้ง กอ่ นนาน เป็นทน่ี บสกั การ นอบน้อม อารามพทุ ธรปู มาน ความศักด์สิ ทิ ธน์ิ า สัญลกั ษณ์ชาติไทยพรอ้ ม อยธุ ย์เบอ้ื งบูรพส์ มัย ฯ ** แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมจึงเป็น “สัญลักษณ์” ท่ีสามารถใช้เป็นสื่อสร้างความรู้สึกร่วม ในท้องถิ่น และสานึกในคามเปน็ ชาตไิ ทยไดเ้ ปน็ อยา่ งดี จดุ มงุ่ หมำย : เปำ้ หมำยของกำรจัดกำรเรยี นรู้เรอ่ื งน้ี ๑. สรา้ งความรูค้ วามเขา้ ใจในเร่ืองแหลง่ มรดกทางวฒั นธรรมในดินแดนไทยที่บรรพบุรุษได้ สร้างสรรค์ไว้ในดินแดนไทย เป็นประจักษ์พยานแสดงความเป็นมาของชาติที่เราควรอนุรักษ์สืบสานไว้ ต่อไป ๒. ตระหนักในความสาคัญของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ มีความภาคภูมิใจ ในภมู ปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ แสดงความชน่ื ชมในลักษณะเฉพาะของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมนั้นได้ ๓. ปฏิบัติตนได้ถูกต้อง เหมาะสมกับกาลเทศะ และเผยแพร่แนวคิดในการธารงรักษา แหล่งมรดกทางวฒั นธรรมของชาตสิ บื ตอ่ ไป ประเด็นสำคัญที่ครูควรรู้ : พ้ืนฐำนควำมรู้ จุดเน้นท่ีควรเชื่อมโยงและส่ิงท่ีต้องสร้ำงเสริม เพ่ือใหเ้ กดิ ควำมภมู ิใจ แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของชาติบางแห่งเป็นเมืองเก่าท่ีมีชุมชนต้ังถิ่นฐาน มีร่องรอย แสดงถึงกาแพงเมือง คูเมือง ป้อม และโครงข่ายคมนาคม บางแห่งเป็นกลุ่มศาสนสถานหรือที่ประกอบ พิธีกรรม แสดงถึงความเช่ือ ความศรัทธาของชุมชน ณ พ้ืนท่ีน้ัน บางแห่งเป็นย่านหรือที่อยู่อาศัยของ ชุมชนมายาวนาน แต่ไม่พบหลักฐานทางกายภาพท่ีบ่งบอกถึงลักษณะอันเด่นชัดของโครงสร้างเมืองใน อดีต บางแห่งเป็นแหล่งท่ีมีลักษณะพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถ่ินและได้รับการปกป้อง คุ้มครอง และอนรุ ักษ์โดยรัฐบาลประกาศเป็นอุทยานประวัตศิ าสตรข์ องชาติ คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า (๒๕๔๘) ได้จัดประเภท ของเมืองเก่าและอธิบายลักษณะของอุทยานประวัติศาสตร์ว่าเป็น “เมืองหรือบริเวณของเมืองที่มี ลักษณะพิเศษเฉพาะแห่งสืบต่อมาแต่กาลก่อน และมีเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถ่ิน หรือมีรูปแบบ ผสมผสานของ _____________________________ ** อ้างจากกรมศิลปากร , ๑๐ อุทยำนประวตั ศิ ำสตร์. ๒๕๓๘ แนแวนกวากราจรดั จกัดากราเรเียรนียรนปู้ รรปู้ ะรวะัตวศิัตาศิ สาตสรต์เพร์เพอ่ื ส่อื รสา้ รงา้ สงาสนำึกนคกึ วคาวมาเมปเน็ปไ็นทไยทย: :อทุ อยุทายนาปนรปะรวะตั วศิตั าศิ สาตสรต์ ร์
๓๑๕ สถาปัตยกรรมท้องถิ่น หรือมีลักษณะของรูปแบบวิวัฒนาการทางสังคมท่ีสืบต่อมาของยุคต่างๆ หรือ เคยเป็นตัวเมืองด้ังเดิมในสมัยหนึ่งหรือโดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือสถาปัตยกรรมซึ่งมีคุณค่า ในทางศิลปะ โบราณคดีหรือประวัติศาสตร์ที่ปรากฏหลักฐานทางกายภาพอันบ่งบอกถึงลักษณะอัน เดน่ ชัดของโครงสรา้ งเมือง หรือโบราณวตั ถุสถานในอดีต และปัจจบุ ันไม่มผี ู้คนพักอาศยั หรือพักอาศัยอยู่ น้อยมีลักษณะเป็นเมืองร้าง และไดรับการอนุรักษ์ไว้ในลักษณะอนุสรณ์สถานหรืออุทยานประวัติศาสตร์ โดยกลายประโยชนใ์ ช้สอย เปน็ แหล่งศึกษาหรือแหล่งท่องเทย่ี วทางวฒั นธรรม” * กรมศิลปากรได้ดาเนินการอนุรักษ์ ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๑๙ รฐั บาลได้เหน็ ชอบให้บรรจแุ ผนการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมเปน็ โครงการปฏบิ ตั ิงานไว้ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๐-๒๕๒๕) จนถึงปัจจุบันมีอุทยาน ประวตั ิศาสตร์รวมท้ังสนิ้ ๑๐ แหง่ คือ ๑. อทุ ยานประวตั ศิ าสตรส์ ุโขทยั จังหวดั สุโขทยั ๒. อทุ ยานประวัติศาสตร์พระนครศรอี ยุธยา จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ๓. อทุ ยานประวตั ิศาสตร์พนมรุง้ จงั หวัดบรุ ีรมั ย์ ๔. อทุ ยานประวตั ศิ าสตร์ศรีเทพ จังหวดั เพชรบูรณ์ ๕. อุทยานประวตั ิศาสตร์พระนครครี ี จงั หวัดเพชรบุรี ๖. อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลยั จังหวดั สโุ ขทยั ๗. อทุ ยานประวตั ศิ าสตร์พมิ าย จงั หวัดนครราชสมี า ๘. อุทยานประวัตศิ าสตรเ์ มอื งสงิ ห์ จังหวัดกาญจนบุรี ๙. อทุ ยานประวตั ศิ าสตรก์ าแพงเพชร จงั หวัดกาแพงเพชร ๑๐.อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จงั หวัดอุดรธานี อุทยานประวัติศาสตร์แต่ละแห่งมีลักษณะทางศิลปวัฒนธรรมท่ีโดดเด่น มีความเป็น เอกลักษณ์ รวมท้ังความเป็นมาแตกต่างกัน ทาให้มีบทบาทและความสาคัญในการเป็นแหล่งเรียนรู้ แตกต่างกนั ไปดว้ ย เช่น (๑) อุทยำนภูพระบำทเป็นท้ังอุทยานประวัติศาสตร์และวนอุทยานรวมอยู่ในสถานท่ี เดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถใช้เป็นแหล่งศึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์ (อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่ในพื้นท่ีท่ีเป็นบริเวณหุบเขา ธารน้า ท่ีราบ สภาพป่าธรรมชาติเป็นป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรังผสมกับ ป่าเบญจพรรณ) แหล่งศึกษาชีววทิ ยา (พชื และสตั ว์เฉพาะถน่ิ ) แหลง่ ศกึ ษาประวัตศิ าสตร์และโบราณคดี เพราะปรากฏร่องรอยของกิจกรรมมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อราว ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี มาแล้วดงั ตัวอยา่ งการพบภาพเขยี นสีอยู่ตามถา้ และเพงิ ผาหลายแห่ง นอกจากน้ยี งั ไดพ้ บการดดั แปลง * สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ชุดควำมรู้ด้ำนกำรอนุรักษ์พัฒนำและบริหำรจัด กำรเมืองเกำ่ เลม่ ท่ี ๑ ควำมรูค้ วำมเขำ้ ใจเก่ยี วกบั เมืองเกำ่ ในประเทศไทย. หนา้ ๕. ๒๕๕๔ แแนนววกกาารรจจดั ดั กกาารรเรเรยี ยี นนรรปู้ ้ปู รระะววัตัตศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพ่ือื่อสสรร้า้างงสสาำนนึกึกคคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย::อุทอยทุ ายนาปนรปะรวะัตวศิตั าศิ สาตสรต์ ร์
๓๑๖ โขดหินและเพิงผาธรรมชาติให้กลายเป็นศาสนสถานของชุมชนท่ีอยู่อาศัยใกล้เคียง แสดงวัฒนธรรมที่ เป็นศิลปะแบบทวารวดี ลพบุรี ล้านช้าง สะท้อนถึงพัฒนาการทางสังคมของชุมชนในแต่ละช่วงเวลาได้ เป็นอย่างดี ความโดดเด่นของอุทยานภูพระบาทจึงเป็นทั้งมรดกทางธรรมชาติและมรดกทางวฒั นธรรม ผสมผสานรวมอยดู่ ้วยกันซ่ึงแตกต่างจากอุทยานประวัติศาสตร์อ่ืน (๒) อุทยานประวัติศาสตร์หลายแห่งได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก อันเป็นผลมาจาก ความใส่ใจของนานาชาติในการปกป้องรักษาแหล่งล้าค่าทางวัฒนธรรมและธรรมชาติมิให้สูญสลายหรือ ถูกทาลาย โดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ได้ข้ึนทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กาแพงเพชรและอุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา เป็นแหล่งมรดกโลกใน พ.ศ. ๒๕๓๔ แหล่งมรดกโลกดังกล่าวนี้มีลักษณะโดดเด่น แสดงถึงอัจฉริยภาพในการสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่มีความแตกต่างทางศิลปกรรมท้ังทางด้านจิตรกร รม สถาปัตยกรรม และประติมากรรม รวมทั้งด้านรูปแบบการเมืองการปกครองสะท้อนถึงภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษในท้องถ่ินน้ันๆ อย่างไรก็ตามผลงานทางด้านศิลปกรรมในแหล่งมรดกโลกดังกล่าวล้วนมี พัฒนาการทางวัฒนธรรม มีการรับอิทธิพลทางความเชื่อและศิลปะของชาติอ่ืน ๆ ผสมสานกับศิลปะ และความเชอ่ื ทอ้ งถ่ิน ส่กู ารสรา้ งสรรค์ศลิ ปะและสถาปตั ยกรรม อนั เปน็ เอกลักษณ์เฉพาะตนข้ึน ทส่ี าคัญ ศิลปกรรมในแหล่งมรดกโลก มิได้สร้างสรรค์ข้ึนในช่วงเวลาเดียว หรือสมัยเดียว แต่เป็นการสร้างขึ้น หลายช่วงเวลา หลายครั้ง หลายยุคสมัย ทั้งมีการปฏิสังขรณ์ ปรับปรุง ต่อเติมและตบแต่งเพ่ิมเติมข้ึน ภายหลัง ดังน้ัน รูปแบบของศิลปกรรมในแต่ละแหล่งมรดกโลก อาจมีหลายยุคสมัย จึงจาเป็นที่ผู้ศึกษา แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมต้องทาความเข้าใจหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีให้ชัดเจนก่อน การใช้ประโยชน์ในแหลง่ วฒั นธรรมดังกลา่ ว เชน่ อทุ ยำนประวตั ศิ ำสตรส์ ุโขทัย-ศรีสัชนำลยั -กำแพงเพชร เป็นพ้นื ที่ที่เคยเป็นขอบเขต อานาจของอาณาจักรสุโขทัยท่ีมีเมืองสุโขทัยเป็นศูนย์กลางอานาจทางการเมืองการปกครอง สุโขทัย ยังเป็น “ยุคสมัย” หรือช่วงเวลาในระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๒๐ ท่ีกลุ่มบ้านเมืองของชนชาติ ไทยไดต้ งั้ เมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคง ในบรเิ วณลุ่มแม่นา้ ปิงและยมตอนล่าง เรมิ่ จากการต้งั ชุมชนขนาดเล็ก ใกล้แหล่งน้าบนเส้นทางคมนาคมโบราณทางตะวันตกสอู่ ่าวเบงกอลติดต่อกับอินเดีย ส่วนทางตะวันออก สู่แม่น้าโขงและทะเลจีนใต้ ดังได้พบหลักฐานทางโบราณคดีแสดงร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ สมัยกอ่ นประวตั ิศาสตรใ์ นบรเิ วณเมืองสุโขทยั ศรีสัชนาลยั และกาแพงเพชร ซึ่งมีการขยายตัวและเติบโต อย่างต่อเนื่องเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ สิ่งก่อสร้างทางศาสนสถานหลายแหง่ บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรอื ง ของสุโขทัยมิได้เกิดอย่างฉับพลัน หากมีการสั่งสมผู้คน ทรัพยากร และความรู้ต่างๆ เป็นเวลานานจน เติบโตมาสู่อาณาจักรที่มีความเข้มแข็งทั้งด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ในช่วงที่สุโขทัยเจริญรุ่งเรืองได้ก่อเกิดศิลปกรรมท่ีเป็นเอกลักษณ์ในเขตเมืองสุโขทัยและเมืองอื่นๆ ท่ี เกี่ยวข้องเช่ือมโยงกันบ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญทางช่างและความคิดสร้างสรรค์ทางวั ฒนธรรม โดยเฉพาะการประดิษฐ์ลายสือไทยไว้ในศิลาจารึกแสดงวิวัฒนาการของอักษรไทยและภาษาไทย แนแวนกวากราจรดั จกดั ากราเรเียรนียรนปู้ รรู้ปะรวะตั วศิตั าศิ สาตสรตเ์ พร์เพื่อสื่อรสา้ รง้าสงาสนำกึนคึกวคาวมาเมปเน็ปไน็ ทไยทย: :อทุ อยุทายนาปนรปะรวะัตวศิัตาิศสาตสรต์ ร์
๓๑๗ การสร้างพุทธสถานตามคติความเช่ือทางศาสนาที่มีหลากหลายในสังคม เช่น พุทธสถานมหายานที่ วดั พระศรีมหาธาตุเชลียงและวดั พระพายหลวง การสรา้ งรอยพระพทุ ธบาท และพระเจดีย์ช้างลอ้ มหรือ ชา้ งรอบตามลทั ธิลังกาวงศ์ การสร้างพระพุทธรูปสโุ ขทัยทไ่ี ดร้ ับการยกย่องวา่ เปน็ พุทธประติมากรรมไทย ท่ีมีรูปแบบงดงามเป็นเลิศ เช่น พระสี่อริยาบท พระพุทธรูปปางลีลา ซ่ึงถือเป็นเอกลักษณ์ของ พระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย ส่วนพระเจดีย์ พุ่มข้าวบิณฑ์ หรือทรงดอกบัวตูมได้รับการยกย่องว่าเป็น หนึ่งในศิลปะสถาปัตยกรรมไทยเช่นกัน เตาเผาและเครื่องสังคโลก รวมทั้งโบราณวัตถุอ่ืนๆ เป็นจานวนมาก ถือไดว้ ่าเป็นรูปแบบของศิลปกรรมของชนชาติไทยในยุคแรกซึ่งไดถ้ ่ายทอดสู่อาณาจักรไทย ในยุคตอ่ มา นอกจากน้ีสุโขทัยยังได้รับการยกย่องทางด้านการจัดระบบชลประทานท้ังในเขตเทือกเขา ภายในเขตกาแพงเมืองและนอกกาแพงเมืองสุโขทัย ด้วยการสร้างแนวคันดินหรือลาคลองบังคับ การไหลของน้าในฤดูฝน เพ่ือชักนาน้าเข้าสู่ตัวเมืองและกักเก็บไว้ในบ่อน้าหรือตระพังที่สร้างไว้จานวน มาก สาหรับการอุปโภคและบริโภคของชาวเมืองในยามขาดแคลนน้า ส่วนแนวคันดินเช่ือมระหว่าง เมืองศรีสัชนาลัย เมืองสุโขทัย และเมืองกาแพงเพชร ที่เรียกว่า “ถนนพระร่วง” เพื่อป้องกันน้าท่วมใน เขตเมอื งสโุ ขทยั ความสาคัญของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กาแพงเพชร จะคงอยู่หาก เยาวชนไทยเข้าใจและตระหนักในคุณค่าของวัฒนธรรมท่ีบรรพบุรุษไทยได้สร้างสรรค์ และมอบเป็น มรดกสืบทอดจนถึงปัจจุบัน นาไปสู่ความภูมิใจในความเป็นมาของชาติไทย อนุรักษ์ และสืบสานความ เปน็ ไทยตอ่ ไป อุทยำนประวัตศิ ำสตรพ์ ระนครศรอี ยธุ ยำ เปน็ บริเวณทต่ี งั้ ของกรงุ ศรีอยธุ ยา ราชธานขี อง ไทยที่ได้รับการสถาปนาข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๑๘๙๓ ในบริเวณท่ีราบลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา ซึ่งเป็นพื้นท่ีที่กลุ่ม บ้านเมืองคนไทยได้ต้ังแว่นแคว้นเป็นปึกแผ่นม่ันคงอยู่แล้ว เช่น เมืองสุพรรณภูมิทางฝ่ังตะวันตก และ เมืองลพบุรีทางฝงั่ ตะวนั ออก รวมทัง้ เมอื งอนื่ ๆ ท่อี ยู่รายรอบ หลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงการตั้งถิ่นฐานของชุมชนก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา คอื พระพทุ ธรูปปนู ปน้ั ขนาดใหญห่ รือ “พระเจา้ พะแนงเชิง” (พระพทุ ธไตรรัตนนายก หรอื ที่คนจีนเรียก ขานว่า ซาปอกง) และเศียรพระพุทธรูปสาริดขนาดใหญ่จากวัดธรรมิกราช แสดงถึงทักษะช้ันสูง ทางช่าง ท้ังด้านประติมากรรม และเทคโนโลยีโลหะวิทยา รวมท้ังความมั่งค่ังทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีปัจจัยมาจากสภาพภูมิศาสตร์และที่ต้ังท่ีมีแม่น้าธรรมชาติคือ เจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรี และ คูเมืองที่ขุดเพิ่มเติมล้อมรอบจนกลายเป็นเกาะเมือง ท่ีต้ังซึ่งไม่อยู่ห่างไกลจากปากน้าซ่ึงเป็นเส้นทาง ค้าขายทางทะเล นับเป็นรากฐานสาคัญต่อการกาเนิดและพัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาท่ีมีอย่าง ต่อเนอ่ื ง ภายในเวลาไมน่ านอาณาจักรอยธุ ยากส็ ามารถแผ่ขยายอานาจผนวกรวมแว่นแคว้นไทยอ่ืนๆ ท่ี เคยเป็นอิสระ เช่น สุโขทัย นครศรีธรรมราช จนกลายเป็นอาณาจักรไทยท่ีเป็นหน่ึงเดียว และขยาย อานาจเหนืออาณาจักรของชนชาติอ่ืนให้มาเป็นเมืองขึ้นหรือเมืองประเทศราช เช่น กัมพูชา เมืองต่างๆ แแนนววกกาารรจจดั ัดกกาารรเรเรยี ยี นนรรปู้ ู้ปรระะววัตัตศิ ิศาาสสตตรร์เพ์เพื่อ่อื สสรร้าา้งงสสาำนนึกึกคคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย::อทุอยุทายนาปนรปะรวะัตวศิตั าศิ สาตสรต์ ร์
๓๑๘ ในคาบสมุทรมลายู เมืองมะริด ตะนาวศรี ทวาย (ดินแดนบางส่วนของพม่า) จนกระท่ังเป็นศูนย์กลาง อานาจทางการเมืองการปกครอง ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้และไดร้ ับการขนานนามวา่ ราชอาณาจักรสยาม จนชนชาติอ่นื ๆ ท่เี ขา้ มามีความสัมพนั ธด์ ว้ ย ตลอดระยะเวลานานถึง ๔๑๗ ปี บรรพบุรุษไทยได้รับและผสมผสานวัฒนธรรมจาก ชาติต่างๆ ทั้งจากเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ชาติตะวันออก และชาติตะวันตก โดยได้สร้างสรรค์ศิลปะ แขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และประติมากรรม ดังปรากฏร่องรอยหลักฐานท้ังใน เอกสารของไทย เช่น พระราชพงศาวดาร เอกสารของชาติตะวันตก จีน อินเดีย เปอร์เซีย ท่ีเข้ามา ค้าขายหรือต้ังถ่ินฐานเป็นชุมชนต่างชาติในพระนครศรีอยุธยา รวมท้ังโบราณสถานและโบราณวัตถุกว่า ๒๐๐ แห่ง ท่ีพบภายในเกาะเมืองอยุธยา และภายนอก ล้วนสนับสนุนเอกสารของชาวตะวันตกท่ี บรรยายความงดงามของกรุงศรีอยธุ ยาไว้วา่ “...ในกรุงศรีอยุธยามีโบสถ์วิหารอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง มีบริเวณพอสมกับ ถนน และเต็มไปด้วยสถูปเจดีย์ปิดทองขนาดต่างๆ ความใหญ่โตไม่เท่า โบสถ์ของเรา แต่ความงามภายนอกน้ันยิ่งกว่ามากนัก เพราะมีช่อช้ัน หลงั คาโคง้ แอ่นซอ้ น ซบั สลับกันเปน็ อันมาก ดา้ นหน้าปิดทอง มบี ันไดลาด มีเสาค้า เสาเสริม และเครื่องประดับอื่นๆ อีก ภายในโบสถ์ประดับด้วย ปฏมิ าตา่ งๆ ใหญเ่ ท่าตัวคนจริงๆ กม็ ี ใหญ่กว่าก็มี กรุงศรีอยุธยายังได้รับการยกย่องในฐานเมืองท่ีมีเครือข่ายระบบการจัดการน้าท่ีมี ประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นเมืองท่ีมีสภาพเป็นเกาะที่มีแม่น้าและคูเมืองล้อมรอบ การขุดคูคลองตาม แนวเหนือ-ใต้ ในบรเิ วณตวั เมอื ง ทาใหส้ ามารถระบายน้าออกจากตัวเมืองในเวลารวดเรว็ คนู ้าและคลอง ยังเช่ือมโยงกับแม่น้า ผู้คนจึงเดินทางติดต่อค้าขายกันตามเครือข่ายแม่น้าลาคลอง ภูมิสถานของ พระนครศรีอยุธยาดงั กล่าว ทาใหช้ าวตะวนั ตกขนานนามเมอื งนี้ว่า “เวนสิ แหง่ ตะวนั ออก” การขยายอาณาเขตได้อย่างกว้างขวางทาให้อยุธยาต้องปรับปรุงการปกครองโดยรวม อานาจเข้ามายังศนู ยก์ ลางคือราชธานีและพระมหากษัตริย์ ด้วยการใช้ระบบศักดนิ าและระบบมลู นายใน การควบคุมกาลังไพล่พล ส่วนพระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นสมมติเทพ เช่นเดียวกับเทพเจ้าในคติของ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ท่ีรับมาจากกัมพูชา และทรงเป็นธรรมราชาตามคติของพุทธศาสนา การขยาย อาณาเขตดังกล่าวยังเป็นผลให้อาณาจักรอยุธยาต้องทาสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ และพ่ายแพ้ต่อกองทัพพม่าถึง ๒ ครั้ง คือใน พ.ศ. ๒๑๑๒ และ ๒๓๑๐ ซึ่ง บรรพบรุ ุษไทยได้กอบกูเ้ อกราชและสรา้ งอาณาจกั รขึ้นใหม่ * อ้างจาก เอนเยลเบริ์ต แดมป์เฟอร์ แพทย์ประจาคณะทูต บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลนั ดา เม่ือ พ.ศ. ๒๒๓๓ * ปตท. สารวจและผลิตปโิ ตรเลยี มจากดั (มหาชน) , มรดกไทย มรดกโลก . ๒๕๕๐ หนา้ ๒๑๔ แนแวนกวากราจรัดจกัดากราเรเียรนยี รนปู้ รรปู้ ะรวะัตวศิตั าิศสาตสรตเ์ พรเ์ พื่อส่ือรสา้ รง้าสงาสนำึกนคกึ วคาวมาเมปเน็ปไ็นทไยทย: :อทุ อยุทายนาปนรปะรวะตั วศิตั าศิ สาตสรต์ ร์
๓๑๙ พ ร ะ น ค ร ศ รี อ ยุ ธ ย า ไ ด้ รั บ ก า ร ฟื้ น ฟู ค ว า ม ส า คั ญ อี ก ค ร้ั ง ใ น ส มั ย รั ต น โ ก สิ น ท ร์ เ มื่ อ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๔) โปรดให้บูรณะพระราชวงั จันทรเกษมขึ้นเพ่ือเป็น ท่ีประทับ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) ได้ประกาศให้สงวน พ้ืนที่ของเกาะเมืองอยุธยาไว้เป็นสมบัติแผ่นดิน และให้ทาการขุดแต่งพระราชวังหลวง ต่อมากรม ศิลปากรจึงไดข้ น้ึ ทะเบยี นโบราณสถานในพระนครศรีอยุธยาและบูรณะปฏสิ ังขรณ์เรอ่ื ยมาสืบถึงปัจจบุ ันนี้ ความรุ่งเรืองของอยุธยาท่ีบรรพบุรุษไทยได้ส่ังสมสืบทอดต่อกันมายาวนานมิได้มี ความสาคัญต่อประวัติศาสตร์ไทยเท่าน้ัน แต่ยังมีความสาคัญต่อประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้และโลก แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะเป็นอดีตราชธานีของไทยแล้วก็ตาม แต่ความเป็น อยุธยายังคงสืบทอดต่อมายังกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ การรับและแลกเปลี่ยนผสมกลมกลืนทาง วัฒนธรรมระหว่างผู้คนหลายเชื้อชาติและหลายศาสนาที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขในสังคมอยุธยา ได้ กลายเปน็ รากฐานสาคญั ของความเป็นไทยสืบมาถงึ ปัจจุบนั น้ี (๓) อทุ ยานประวัติศาสตรท์ ่ีเคยเป็นพระราชวงั หรอื ท่ปี ระทับของพระมหากษัตริยค์ ือ อุทยำนประวัติศำสตร์พระนครคีรี เดิมพระนครคีรีหรือเขาวังก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็น ที่ประทับแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้ังอยู่บนยอดเขา ๓ ยอด ติดต่อกัน ยอดที่สูงที่สุดเรียกว่าเขาสมน (อ่านว่า สะ-หมน) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๑ ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้เป็นท่ีต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ ดว้ ย พระนครคีรีจงึ ประกอบด้วยพระท่ีน่ังกลุ่มอาคารและวัดประจาพระราชฐาน ซึ่งนับเป็นพระราชฐาน แห่งแรกที่สรา้ งบนยอดเขาและเป็นตวั อยา่ งของการผสมผสานศิลปะ และสถาปตั ยกรรมตะวันตกกับไทย ได้อยา่ งงดงาม มคี ณุ ค่าท้งั ทางดา้ นศลิ ปะ ประวัตศิ าสตร์ และโบราณคดี (๔) อุทยานประวัติศาสตร์บางแห่งเป็นศาสนสถานท่ีสร้างข้ึนด้วยความศรัทธาตาม ความเช่อื ในศาสนาฮินดแู ละพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ อุทยำนประวัติศำสตร์พนมรุ้ง เป็นศาสนสถานท่ีเนื่องในศาสนาฮินดู เพ่ือใช้เป็น ท่ีประดิษฐานศิวลึงค์ อันเป็นรูปเคารพแทนศิวะเทพ หรือลัทธิไศวนิกาย นับเป็นปราสาทบนภูเขา เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยท่ีมีขนาดใหญ่ มีแผนผังโครงสร้างท่ีสมบูรณ์ตามรูปแบบศิลปะเขมร โบราณท่ีมีความงดงามและโดดเด่นมากท่ีสุดแห่งหนึ่ง ความย่ิงใหญ่ของประสาทแห่งน้ี สะท้อนในงาน สถาปัตยกรรมและการจาหลักลวดลายประดับตามส่วนต่างๆ เช่น หน้าบัน ทับหลัง การก่อสร้างอาคาร ของประสาทสร้างข้ึนมาหลายช่วงสมัย เริ่มสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เพ่ือเป็นศูนย์กลางทาง ความเชื่อของชุมชน ต่อมาได้มีการก่อสร้างเพ่ิมเติมโดยผู้นาชุมชน และกษัตริย์ของอาณาจักรเขมร โบราณหลายยุคสมยั ในระหว่างพทุ ธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ อทุ ยำนประวตั ศิ ำสตร์พมิ ำย เปน็ ศาสนสถานทเ่ี น่อื งในพุทธศาสนาลทั ธิมหายานสร้าง ข้ึนตั้งแต่ปลายพุทธศัตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ และมีการก่อสร้างอโรคยศาลาและท่ีพักเดินทางเพ่ิมเติมอีก ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พิมายเป็นเมืองโบราณที่มีอดีตอันรุ่งเรือง กลางเมืองมีปราสาทหินพิมายต้ังอยู่ แแนนววกกาารรจจดั ัดกกาารรเรเรยี ยี นนรรปู้ ูป้ รระะววตั ตั ศิ ศิ าาสสตตรร์เพ์เพอ่ื ่ือสสรรา้ า้งงสสาำนนกึ กึ คคววาามมเปเปน็ ็นไทไทยย::อุทอยทุ ายนาปนรปะรวะตั วศิตั าศิ สาตสรต์ ร์
๓๒๐ ซึ่งลักษณะของหลังคาปราสาทพิมายได้เป็นต้นแบบของการก่อสร้างปราสาทนครวัดของเขมรในสมัย ตอ่ มา ปราสาทหนิ พิมายเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ แสดงถงึ พลงั ศรทั ธาทม่ี ตี ่อศาสนาและบารมีอันย่ิงใหญ่ ของผู้สร้างท่ีสามารถใช้กาลังคน เวลา และความอุตสาหะ จึงสามารถสร้างศาสนสถานซึ่งเปรียบเสมือน จาลองจกั รวาลไวใ้ นโลกมนษุ ย์ (๕) อุทยานประวัติศาสตร์บางแห่งเป็นเมืองโบราณท่ีเคยมีความเจริญรุ่งเรืองในช่วง ระยะเวลาหนงึ่ แต่ไดเ้ สื่อมโทรมและสูญสนิ้ ความเปน็ เมืองดว้ ยสาเหตตุ า่ งๆ กัน ไดแ้ ก่ อทุ ยำนประวตั ิศำสตรศ์ รเี ทพ เปน็ ชุมชนเมอื งโบราณขนาดใหญ่ที่ตัง้ อยู่ในลมุ่ แม่น้าป่าสัก ในเส้นทางติดต่อระหว่างกลุ่มเมืองในเขตตอนเหนือท่ีลุ่ มภาคกลางกับภ าคตะวันออกเฉียงเหนื อ หลักฐานทางโบราณวัตถุและโบราณสถานท่ีพบในเมืองโบราณศรีเทพ ทั้งท่ีเป็นประติมากรรมเนื่องใน ศาสนาทม่ี คี วามงดงาม คเู มือง กาแพงเมอื งขนาดใหญ่ แสดงถงึ ความเจริญรงุ่ เรืองของเมืองโบราณแห่งน้ี ซึ่งมพี ฒั นาการสืบเนื่องติดต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ดงั ปรากฏเป็นศลิ ปะสมยั ทวารวดี สมัยลพบุรี ตั้งแต่พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ เปน็ ตน้ มา และถกู ทิ้งรา้ งไปราวหลงั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ อุทยำนประวัติศำสตร์เมืองสิงห์ เป็นชุมชนเมืองโบราณซึ่งต้ังอยู่ริมแม่น้าแควน้อย มีพัฒนาการมาต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่รู้จักใช้โลหะมาเป็นเครือ่ งมือเคร่ืองใช้ และเคร่ืองประดบั รวมทั้งฐานโบราณสถานที่ก่อด้วยอิฐในสมัยทวารวดี และปราสาทที่ก่อสร้างด้วยศิลาแลงในราวพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๘ แหลง่ /ข้อมูลทคี่ วรศกึ ษำเพม่ิ เตมิ แหล่ง/ข้อมูลท่ีเป็นพ้ืนฐานความรู้เก่ียวกับอุทยานประวัติศาสตรส์ ่วนใหญ่เป็นหลักฐาน ทางโบราณคดี ซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์ตึความจากหน่วยงานหลักคือ กรมศิลปากร ควบคู่กับ การศึกษาจากอุทยานประวัติศาสตร์ แต่บางแหล่งปรากฏศิลาจารึก ซ่ึงจะให้ข้อมูลในเรื่องผู้สร้าง การ สร้างและการอุทิศและจุดมุ่งหมายในการสร้างโบราณสถาน และโบราณวัตถุต่าง ๆ ดังน้ันผู้ที่จะใช้ อุทยานประวัติศาสตร์เป็นแหล่งเรียนรู้ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับชือ่ เฉพาะต่างๆ เชน่ สว่ นประกอบของ ปราสาทหิน ยคุ สมยั ทางศลิ ปะในดินแดนไทย เชน่ อู่ทอง ทวารวดี เปน็ ต้น เพ่ือท่จี ะไดอ้ ธิบายใหน้ กั เรียน เขา้ ใจศลิ ปกรรมในอทุ ยานประวัติศาสตร์ไดถ้ ูกต้อง ส่วนหนงั สือทค่ี วรศกึ ษาเพิม่ เตมิ เช่น ๑. นาชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กาแพงเพชร ของกรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ๒. นาชมอุทยานประวตั ศิ าสตร์กาแพงเพชร ของกรมศิลปากร พงศ. ๒๕๔๘ ๓. หนงั สือนาชมอทุ ยานประวัติศาสตร์เมอื งสงิ ห์ ของกรมศลิ ปากร , มปพ. ๔. นาชมอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่าของกรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๘ ๕. อทุ ยานประวตั ศิ าสตรพ์ ระนครครี ี ของกรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๒ ๖. นาชมอุทยานประวตั ศิ าสตร์ภูพระบาท ของกรมศิลปากร พงศ. ๒๕๔๒ แนแวนกวากราจรัดจกดั ากราเรเยี รนียรนปู้ รรปู้ ะรวะัตวศิัตาศิ สาตสรตเ์ พรเ์ พื่อสื่อรส้ารงา้ สงาสนำึกนคกึ วคาวมาเมปเน็ปไน็ ทไยทย: :อุทอยุทายนาปนรปะรวะัตวศิัตาิศสาตสรต์ ร์
๓๒๑ พ.ศ. ๒๕๕๐ ๗. นาชมอุทยานประวตั ิศาสตรพ์ ิมาย ของกรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๒ ๘. ๑๐ อุทยานประวัตศิ าสตรข์ องกรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๓๘ ๙. นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ของกรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๓๙ ๑๐. มรดกไทยมรดกโลกของบรษิ ัท ปตท. สารวจและผลิตปิโตรเลียม จากัด (มหาชน) ๑๑.นาชมพพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาตพิ ิมาย ของกรมศลิ ปากร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑๒.จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ของการทอ่ งเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๙ แแนนววกกาารรจจดั ัดกกาารรเรเรียยี นนรรปู้ ปู้ รระะววัตัตศิ ิศาาสสตตรรเ์ พเ์ พ่ือ่ือสสรรา้ า้งงสสาำนนกึ ึกคคววาามมเปเปน็ น็ ไทไทยย::อทุอยุทายนาปนรปะรวะัตวศิตั าิศสาตสรต์ ร์
ÔÓÓ ÙèąñšÝĎ éĆ ìćĞ ìęĊðøÖċ þć đú×ćíÖĉ ćøÙèąÖøøöÖćøÖćøýÖċ þć×îĚĆ óČĚîåćî îć÷Ööú øĂéÙúćš ÷ ĂéêĊ đú×ćíÖĉ ćøÙèąÖøøöÖćøÖćøýÖċ þć×îĆĚ óîČĚ åćî îć÷Ăõĉßćêĉ ÝøĊ ąüçč ĉ øĂÜđú×ćíĉÖćøÙèąÖøøöÖćøÖćøýċÖþć×ĚîĆ óîČĚ åćî îćÜĂŠĂÜÝĉê đöí÷ąðøąõćÿ ÖøøöÖćøñĎšìøÜÙèč üčçĉ ÙèąÖøøöÖćøÖćøýÖċ þć×ĆîĚ óîĚČ åćî îć÷üĉîĆ÷ øĂéÝćŠ ÷ ñšđĎ ßęĊ÷üßćâóđĉ ýþéćš îüĉßćÖćøĒúąóĆçîćÖøąïüîÖćøđøĊ÷îøĎš îćÜđïâÝúÖĆ þèŤ îĞćĚ ôŜć ÿĞćîÖĆ ÜćîÙèąÖøøöÖćøÖćøýÖċ þć×îĚĆ óîČĚ åćî ìðęĊ øċÖþćÙèąÖøøöÖćøÖćøýÖċ þć×ĚîĆ óĚîČ åćî îćÜÿćüüèĊ ć ĂĆÙøíøøö éćš îóçĆ îćÖøąïüîÖćøøĊ÷îøšĎ ñšĂĎ ćĞ îü÷ÖćøÿĞćîĆÖüĉßćÖćøĒúąöćêøåćîÖćøýÖċ þć îćÜÿćüĕóøüĆú÷Ť óìĉ ÖĆ þÿŤ ćúĊ ÙèąñĎđš ×Ċ÷îđîĂČĚ Āć ÿĞćîÖċ ÙüćöđðŨîĕì÷, ÿâĆ úÖĆ þèŤÙüćöđðŨîĕì÷ îćÜøąüüĉ øøè õćÙóøê óøąïøööĀćøćßüÜĆ óøąøćßüÜĆ ĒúąüÜĆ üéĆ : ýĎî÷ŤøüöÝêĉ ĔÝĒúąöøéÖýĉúð׺ ĂÜðøąđìý ó.Ă.øĂÜýćÿêøćÝćø÷ŤýøýÖĆ ø ßĎÿüĆÿéĝĉ Ăčì÷ćîðøąüĆêĉýćÿêøŤ : öøéÖìćÜüĆçîíøøö ÙüćöđðŨîöć×ĂÜßćêĉĕì÷ ñĎßš üŠ ÷ýćÿêøćÝćø÷ðŤ øĊéĊ óýĉ õĎöĉüëĉ Ċ ÿëćïĆîóøąöĀćÖþĆêø÷ĉ ŤĔîÿÜĆ Ùöĕì÷ ,ïøøóïčøþč ĕì÷ îćÜÿćüúąĂĂìĂÜ ĂöĆ øĉîìøøŤ ĆêîŤ õĎöðĉ ŦââćĒúąüĆçîíøøöĕì÷ ÙèąñÝĎš éĆ ìćĞ ýćÿêøćÝćø÷Ťÿĉøüĉ øøè ýøĊóĀú öĀćüìĉ ÷ćúĆ÷ÿēč ×ì÷Ć íøøöćíĉøćß îćÜøąüĉüøøè õćÙóøê ×ćš øćßÖćøïćĞ îćâ îćÜÿćüúĂĂìĂÜ ĂĆöøîĉ ìøŤøêĆ îŤ ×šćøćßÖćøïĞćîćâ îćÜÿćüöćúĊ ēêÿÖčú ךćøćßÖćøïćĞ îćâ ñĎšßüŠ ÷ýćÿêøćÝćø÷ŤðøĊéĊ óĉýõöĎ ĉüëĉ Ċ Ùèąöîčþ÷ýćÿêøĒŤ úąÿÜĆ ÙöýćÿêøŤöĀćüĉì÷ćïĎøóć ÖĂÜüßĉ ćðøąüêĆ ĉýćÿêøŤÿüŠ îÖćøýċÖþć ó.Ă.øĂÜýćÿêøćÝćø÷ýŤ øýÖĆ ø ßĎÿüĆÿéĉĝ ēøÜđøĊ÷îîć÷øšĂ÷óøąÝúč ÝĂöđÖúšć ýÖċ þćîĉđìýÖŤ ÿóö. đ×ê Ħ îćÜĀĆì÷ć đ×öĘ đóßĘ ø ýÖċ þćîĉđìýÖŤ ÿóö. đ×ê Ĥģ îćÜüĆîóø îćÙĒÖüš ýÖċ þćîĉđìýÖŤ ÿóö. đ×ê ĤĨ îćÜüõĉ ć ĂöĆ øąøÜÙŤ ýÖċ þćîĉđìýÖŤ ÿóö. đ×ê ĤĪ îćÜÿćüíîĆ ÷óø ìøéú ýċÖþćîĉđìýÖŤ ÿóð.ßĆ÷õöĎ ĉ đ×ê Ĥ îć÷ÿöđÖ÷Ċ øêĉ êÜč ÙąđÿøĊøÖĆ þŤ แนวการจัดการเรยี นร้ปู ระวตั ศิ าสตร์เพือ่ สรา้ งสำนึกความเป็นไทย
ÔÓÔ îćÜÿćüÿöúÖĆ þèŤ üĉÝï ýċÖþćîĉđìýÖŤ ÿóð.ßĆ÷õöĎ ĉ đ×ê Ĥ îćÜÿćüüĕĉ úüøøè ēĂøÿ ýÖċ þćîĉđìýÖŤÿóð.îÙøðåö đ×ê ģ îćÜîĂš ÷ðøąîĂö đìĊ÷îìĂÜ ýċÖþćîđĉ ìýÖŤÿóð.îÙøøćßÿĊöć đ×ê ĥ îćÜÖćâÝîć óčêÞć÷ ýċÖþćîĉđìýÖŤÿóð.óøąîÙøýøĂĊ ÷čí÷ć đ×ê Ģ îćÜíîóøøè øĂéÖćĞ đîĉé ýċÖþćîđĉ ìýÖŤÿóð.óĉÝêĉ ø đ×ê Ģ îć÷ðøąĀ÷éĆ øĂéĒÿî ýċÖþćîĉđìýÖÿŤ óð.đóßøïøĎ èŤ đ×ê Ĥ îćÜđÙøČĂßčúĊ đøĂČ ÜĒÖšü ýÖċ þćîĉđìýÖŤ ÿóð. đóßøïøč Ċ đ×ê Ģ îćÜđïâÝöćý öèđæ÷Č ø ýċÖþćîĉđìýÖŤ ÿóð. ĒóøŠ đ×ê ģ îć÷üĉøĆêîŤ ïøøÝÜ ýċÖþćîđĉ ìýÖŤÿóð.öčÖéćĀćø îć÷ÝøĆâ Ăîĉ ìîćýÖĆ éĝĉ ýċÖþćîđĉ ìýÖŤÿóð.øąîĂÜ îćÜđ÷ćüõć øĆêîïŤ úĆ úĆÜÙŤ ýÖċ þćîđĉ ìýÖÿŤ óð.ÿÜĉ ĀïŤ čøĊ đ×ê Ģ îćÜ÷ĂéĂîÜÙŤ ÝĂöĀÜÿŤóóĉ çĆ îŤ ýċÖþćîđĉ ìýÖŤÿóð.ĂčïúøćßíćîĊ đ×ê ĥ îć÷ĕóýćú đøĊ÷îìĆó ÙøĎ ēøÜđøĊ÷îÖĞćĒóÜđóßøóĉì÷ćÙö ÿóð.ÖĞćĒóÜđóßø đ×ê Ģ îćÜïčâĀúć÷ ĒêÜŠ ìøĆó÷Ť ÙøĎ ēøÜđø÷Ċ îïćš îÜüĚĉ ÿóð. ßĆ÷õöĎ ĉ đ×ê Ĥ îć÷Ăîēč óí ýøēĊ óíĉđĝ ñČĂÖ ÙøĎ ēøÜđøĊ÷îïćš îúĞćêąÙøšĂ ÿóð.đóßøïĎøèŤ đ×ê Ĥ îćÜđÿćüî÷Ċ Ť Ă÷ŠĀĎ Šîč ÙøĎ ēøÜđø÷Ċ îĂîïč ćúÿčē×ìĆ÷ ÿóð.ÿēč ×ì÷Ć đ×ê Ģ îćÜèßĉ ßćõìĆ ø ĀöĂš ìĂÜ ÙøĎ ēøÜđøĊ÷îðąîĂ÷ĕëÜ ÿóð. ÿøč îĉ ìøŤ đ×ê Ģ îć÷íĊøą íčýøüĊ øøè ÙøĎ ēøÜđøĊ÷îïćš îÿćĞ ēøÜÙčøøč ćþãøüŤ ìĉ ÷ć ÿóð.ĂčïúøćßíćîĊ đ×ê ĥ îćÜđÿćüèĊ èãĆ åðøąđÿøĉå ÙøĎ ēøÜđø÷Ċ îÝāč ćõøèøŤ ćßüĉì÷ćú÷Ć úóïčøĊ ÿóö. đ×ê Ħ îćÜÖùêĉÖć ēßÙüçĆ îßĆ÷ ÙøĎ ēøÜđø÷Ċ îÖćĞ ĒóÜĒÿîüĉì÷ć ÿóö. đ×ê Ī îćÜÿćüóĆßøćõøèŤ óĆîíøč êĆ íćéć ÙøĎ ēøÜđøĊ÷îîćøøĊ êĆ îŤ ÝĆÜĀüéĆ ĒóøŠÿóö. đ×ê ĤĨ ø.ì.ĀâĉÜ ÿéč ćüøøè đÙøĂČ óćîßĉ îĆÖüßĉ ćÖćøýċÖþć ÿüÖ. ÿóå. îćÜÿćüðøąõćóøøè Ēöîš ÿöìč ø îĆÖüĉßćÖćøýċÖþć ÿüÖ. ÿóå. îćÜÿćüÖĉê÷ćõøèŤ ðøą÷ĎøóøĀö îĆÖüßĉ ćÖćøýÖċ þć ÿüÖ. ÿóå. ñðĎš øąÿćîÜćîìüęĆ ĕð îćÜÿćüóøìóĉ ÷Ť éîĉ éĊ îćÜÿćüðćèĉêć üĆçîóćîßĉ îćÜÿćüÖâĆ âöî àćïàċĚÜĕóø îćÜÿćüÿßč ćéć ĂøćŠ öđøČĂÜ ñĂĎš ĂÖĒïïðÖ îć÷óîĉ ĉÝ ÿ×č ąÿîĆ êĉĝ îĆÖüßĉ ćÖćøýċÖþć ÿüÖ. ÿóå. แนวการจัดการเรยี นร้ปู ระวตั ศิ าสตร์เพื่อสร้างสำนกึ ความเปน็ ไทย
แนวการจัดการเรียนร้ปู ระวตั ศิ าสตร์ เพ่อื สรา้ งสำ�นกึ ความเปน็ ไทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331