กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรยี นกลุมที่ 2 นําเสนอบคุ ลิกลกั ษณะนสิ ยั นอกจากนอ้ี ิเหนายังแสดงความหว่ งใยนางมาหยารัศมีและนางสการะวาต ี จงึ ได้ ของทาวดาหา ในประเด็น ตอ ไปนี้ เอ่ยปากฝากนางทง้ั สองไว้กบั นางจนิ ตะหรา ให้เมตตานางทั้งสองด้วย • นกั เรยี นคดิ วา ทา วดาหามลี กั ษณะนสิ ยั อยา งไร เปน็ เวรากรรมจงึ จ�าจาก ขอฝากมาหยารัศมี (แนวตอบ นักเรียนสามารถอภิปรายไดอ ยา ง กับนางสการะวาตี ดว้ ยทรามวยั ไร้ทพี่ ง่ึ พา หลากหลายข้ึนอยูก ับเหตผุ ลของนักเรยี น นางไกลบิตรุ าชมาตุรงค ์ โฉมยงอย่าเคียดขึง้ หงึ สา เปน ตน วา เปน ผรู ักษาความสตั ย ถ้าพลั้งผิดสง่ิ ไรไดเ้ มตตา อย่าถอื โทษโกรธาเทวี มีขัตตยิ มานะ เขมแข็ง เด็ดเด่ยี ว เปนผูม ี ความรอบคอบในการศึก) ๒.๔) จนิ ตะหรา ราชธดิ าของระตหู มันหยากบั ประไหมสหุ ร ี ซึง่ เป็นญาตทิ างฝา่ ย ประไหมสหุ รีเมอื งกุเรปัน และประไหมสหุ รเี มอื งดาหา เปน็ คนสวย แสนงอน มจี รติ กริ ยิ า มีลักษณะ 2. นักเรียนกลมุ ที่ 3 นาํ เสนอบุคลิกลักษณะนสิ ัย นิสยั ดงั นี้ ของอิเหนา ในประเดน็ ตอ ไปน้ี (๑) เป็นคนแสนงอนใจน้อย ช่างพูดจาตัดพ้อต่อว่า ประชดประชันตาม • นักเรียนคิดวา อเิ หนามีลกั ษณะนสิ ัยอยา งไร ประสาหญิง มีคารมคมคาย สามารถใชค้ า� พดู ได้ลกึ ซึ้งกนิ ใจ เช่น (แนวตอบ นักเรยี นสามารถอภิปรายไดอยาง หลากหลายขึ้นอยูกบั เหตุผลของนักเรียน พระจะไปดาหาปราบขา้ ศึก หรือรา� ลึกถึงค่ตู ุนาหงัน เปน ตน วา เปน ผมู คี วามรอบคอบมองการณไ กล ด้วยสงครามในจิตยังติดพนั จึงบดิ ผันพจนาไม่อาลยั ไมประมาท ดอ้ื ดงึ และเอาแตใจตัว มีความ ไหนพระผา่ นฟ้าสญั ญานอ้ ง จะปกปอ้ งครองความพิสมัย รบั ผิดชอบ เคารพยําเกรงบิดา และเขา ใจ ไม่นิราศแรมรา้ งหา่ งไกล จนบรรลยั มอดม้วยไปดว้ ยกัน ความรูสกึ ของผอู ่ืน) .............................................................. 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด แล้วว่าอนิจจาความรกั พ่งึ ประจกั ษด์ ั่งสายนา้� ไหล ตง้ั แตจ่ ะเชี่ยวเปน็ เกลียวไป ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา ขยายความเขา ใจ Expand (๒) เป็นคนมีเหตุผล ไม่ด้ือดึง ไม่งอนจนเกินงาม เช่น เม่ือทราบว่า อเิ หนาจา� ตอ้ งไปทา� ศกึ ทีเ่ มืองดาหาเพราะได้รับคา� ส่ังจากท้าวกุเรปันและเพ่อื ปอ้ งกันวงศ์อสัญหยา 1. นกั เรยี นรวมกนั อภิปรายในประเด็น ตอ ไปนี้ นางก็คลายความทุกข์โศก ความน้อยใจ และความหวาดระแวงลงยอมใหอ้ เิ หนายกทัพไปแตโ่ ดยดี • นักเรยี นคดิ วา ทาวดาหาควรมีคณุ ธรรมใด เพม่ิ เตมิ หรอื ไม อยางไร เมอื่ น้นั จนิ ตะหราวาตโี ฉมเฉลา (แนวตอบ เปน ตน วา ไมควรถอื เอาอารมณของ ได้เหน็ สารทราบความตามส�าเนา คอ่ ยบรรเทาเบาทกุ ข์แคลงใจ ตนเองเปน ที่ตงั้ และคาํ นงึ ถงึ จติ ใจของผอู ่นื จงึ เคลือ่ นองค์ลงจากพระเพลาพลาง นวลนางบงั คมแถลงไข เปน หลกั ) ซง่ึ พระจะเสด็จไปชิงชัย กต็ ามใจไมข่ ดั อัธยา • นักเรียนคิดวา อเิ หนาควรมคี ุณธรรมใดเพิม่ แมน้ ส�าเรจ็ ราชการงานศึก แล้วรา� ลกึ อยา่ ลมื หมันหยา เติมหรอื ไม อยางไร จงเร่งรีบยกทพั กลบั มา น้องจะนับวนั ทา่ ภวู ไนย (แนวตอบ คดิ การณตา งๆ อยางรอบคอบ คาํ นึงถงึ ผลทจี่ ะตามมา โดยไมถ อื เอาความ (๓) เป็นคนที่มีความรู้สึกไว รับรู้ไว แน่ใจว่าอิเหนาไปแล้วคงไม่กลับมา ตองการของตนเองเปนท่ตี ั้ง) เพราะการท่มี ีคนมาแยง่ ชงิ บุษบา กห็ มายความวา่ บุษบาเปน็ คนสวย เชือ่ ม่นั ว่าถ้าอเิ หนาพบบุษบา แลว้ คงลมื ตนแน ่ จึงรา� พันดว้ ยความน้อยใจว่า 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ 90 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT “ครน้ั เสร็จสงั่ มหาเสนา จงึ ถามขุนโหราทงั้ สี่ ในการศึกษาวเิ คราะหต วั ละครดวยมุมมองทางศีลธรรม ครูควรชแ้ี นะนักเรยี นวา เราจะยกพลไกรไปตอตี พรงุ นดี้ ีรา ยประการใด” นกั เรยี นควรพิจารณาลักษณะนิสยั ของตวั ละครอยางรอบดา น โดยนําความรดู าน ขอ ความขา งตน สะทอ นความเชือ่ เร่อื งใด องคป ระกอบในการวเิ คราะหต วั ละครมาประยกุ ตใ ช เพอ่ื ใหน กั เรยี นสามารถพจิ ารณา 1. การสงคราม ตวั ละครอยา งครอบคลมุ ในหลายมิติ ไมม องเพียงดา นใดดานหนึง่ เพียงดานเดยี ว 2. การทาํ นายทายทกั เพื่อปอ งกนั ไมใ หน ักเรยี นยึดตดิ กับความเห็นของตนเองและนําเอาความเหน็ ของตน 3. การตัง้ ทัพ ไปตดั สนิ ทุกอยา ง การพจิ ารณาปญหาทางศีลธรรมของตัวละครจงึ ตองใชองคความ 4. การเส่ยี งทาย รูท างดานสังคมและวฒั นธรรมทปี่ รากฏในยุคสมยั ของผแู ตงมาพิจารณารว มดวย วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. การทาํ นายทายทกั สังเกตจากขอ ความ เพอ่ื ใหเห็นมาตรฐานทางความคิดในยคุ สมยั ของกวี จากนัน้ จงึ พจิ ารณาโดยใช การสอบถามโหรทั้งส่ีกอ นออกศกึ ความเห็นของนักเรียน 90 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู สตรีใดในพิภพจบแดน ไมม่ ใี ครได้แคน้ เหมอื นอกขา้ 1. นกั เรยี นกลมุ ท่ี 4 นําเสนอบุคลิกลักษณะนสิ ัย ด้วยใฝ่รกั ใหเ้ กนิ พกั ตรา จะมแี ต่เวทนาเปน็ เนอื งนติ ย์ ของนางจนิ ตะหราในประเดน็ ตอ ไปนี้ โอ้วา่ น่าเสยี ดายตวั นัก เพราะเชือ่ ล้ินหลงรักจึงชา�้ จติ • นกั เรียนคิดวา นางจินตะหรามลี ักษณะนสิ ัย จะออกช่ือลือชว่ั ไปทั่วทศิ เม่ือพลง้ั คดิ ผิดแล้วจะโทษใคร อยางไร เสยี แรงหวงั ฝังฝากชวี ี พระจะมีเมตตาก็หาไม่ (แนวตอบ นักเรียนสามารถอภปิ รายไดอยาง หมายบ�าเหนจ็ จะรบี เสดจ็ ไป ก็ร้เู ทา่ เข้าใจในท�านอง หลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตุผลของนกั เรียน ด้วยระเด่นบษุ บาโฉมตร ู ควรคภู่ ริ มยส์ มสอง เปน ตนวา เปนคนแสนงอนใจนอย แตมี ไม่ต�่าศกั ดริ์ ูปชัว่ เหมือนตัวนอ้ ง ทั้งพวกพอ้ งสุริยว์ งศพ์ งศ์พันธุ์ เหตผุ ลไมด้อื ดงึ จนเกนิ งาม และเปนคนที่มี การรับรูไว และเชอื่ มนั่ ในตวั ของคนรัก) ๒.๕) ท้าวกะหมังกุหนิง เป็นกษัตริย์เมืองกะหมังกุหนิง มีอนุชาสององค์ คือ ระตปู าหยงั กับระตปู ระหมัน โอรสคือวิหยาสะก�า มีลกั ษณะนิสยั ดังน้ี 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด (๑) เปน็ คนรกั ลกู ยงิ่ ชวี ติ ยอมทา� ทกุ อยา่ งเพอ่ื ลกู แมต้ นจะตอ้ งตายกย็ อม เชน่ ขยายความเขา ใจ Expand แมน้ วิหยาสะก�ามอดมว้ ย พ่กี ค็ งตายดว้ ยโอรสา 1. นักเรยี นรวมกันอภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปนี้ ไหนไหนในจะตายวายชวี า ถึงเร็วถึงชา้ ก็เหมอื นกัน • นักเรียนคดิ วา นางจินตะหรามคี ุณธรรมใด ผดิ ก็ทา� สงครามดูตามท ี เคราะหด์ ีกจ็ ะไดด้ งั ใฝ่ฝัน อยางไร พีด่ งั พฤกษาพนาวัน จะอาสัญเพราะลูกเหมอื นกล่าวมา (แนวตอบ นกั เรียนสามารถอภิปรายไดอยา ง หลากหลายขน้ึ อยูกับดลุ ยพนิ จิ ของครผู ูสอน (๒) เป็นคนตัดสนิ ใจเด็ดขาด เด็ดเดยี่ ว กลา้ หาญในการรบ เช่น เปน ตนวา นางจินตะหราแมจะเปนคนท่ี แสนงอนใจนอ ย แตเ ปน คนมเี หตุผล จ�าจะไปตา้ นต่อรอฤทธ ์ิ ถงึ มว้ ยมดิ มิให้ใครดูหมนิ่ ไมด้อื ดึงจนเกินงาม นอกจากนี้ ยังมี เกยี รตยิ ศจะไวใ้ นธรณนิ ทร ์ จนสดุ ส้นิ ดินแดนแผน่ ฟ้า ความเชื่อมัน่ ในคนรกั ของตนเองอยางมาก คุณธรรมขอนข้ี องนางจินตะหรา จึงชวย (๓) เปน็ คนประมาท คาดการณผ์ ดิ ไมร่ จู้ กั วเิ คราะหฝ์ า่ ยขา้ ศกึ คอื คาดวา่ ใหสามารถครองคูกับอิเหนาไดอยางผาสุก) อิเหนาอยู่หมันหยา กา� ลงั เคืองกันอยู่กบั ทา้ วกเุ รปนั คงไมย่ กทพั มาช่วยรบ แต่ผิดคาด เนื่องจาก อเิ หนายกทัพมารบกบั ทา้ วกะหมงั กหุ นงิ จนมชี ัยชนะและฆ่าวหิ ยาสะก�าตายในท่สี ุด 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ อนั ระเด่นมนตรีกเุ รปนั กข็ ัดขอ้ งเคอื งกันเปน็ ขอ้ ใหญ่ ไปอย่เู มืองหมนั หยากว่าปไี ป ท่ีไหนจะยกพลมา ๒.๖) วิหยาสะก�า เป็นหนุ่มน้อยรูปงาม โอรสองค์เดียวของท้าวกะหมังกุหนิง เปน็ ท่ีรกั ของพอ่ แม ่ มีลักษณะนิสยั ดังนี้ 91 บทประพนั ธในขอ ใดปรากฏนาฏการ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู 1. อนั สุรยิ วงศเทวัญอสญั หยา เรอื งเดชเดชาชาญสนาม การวจิ ารณล ักษณะตัวละครครคู วรชแี้ นะใหน ักเรยี นไดค ดิ วเิ คราะหพจิ ารณา ทงั้ โยธีกช็ าํ นาญการสงคราม ลือนามในชวาระอาฤทธิ์ ลกั ษณะนสิ ัยของตัวละคร ตวั อยา งเชน การพิจารณาลักษณะนิสัยของอิเหนา ซง่ึ 2. ตา งมฝี มอื อื้อองึ วางว่งิ เขาถงึ อาวธุ สน้ั เปน ตัวละครทม่ี ีความเปนมนษุ ย มีทั้งดานดีและไมด ี ดงั น้ี ดานดี เปนคนเฉลยี ว- ดาบสองมือโถมทะลวงฟน เหลากริชตัดฟนประจัญรบ ฉลาด มีไหวพรบิ มคี วามคิดรอบคอบแนบเนียน มมี านะพากเพียร ใชส ตปิ ญญา 3. กรงุ กษัตริยขอขน้ึ ก็นบั รอ ย เราเปนเมืองนอ ยกระจิหรดิ แกไขปญ หาเฉพาะหนา ใหความสาํ คัญกบั ความรัก มคี วามกลาหาญ และเช่ียวชาญ ดงั หง่ิ หอยจะแขง แสงอาทติ ย เห็นผิดระบอบบุราณมา ในการศึกสงคราม สวนดานทไี่ มเ หมาะสมน้นั ประกอบดวย ยดึ อารมณข องตนเอง 4. ใชจ ะไรธ ิดาทกุ ธานี มีงามแตบตุ รีทาวดาหา เปนหลัก นกั เรียนควรยกตวั อยางบทประพันธใหเ ห็นจริง โดยเฉพาะอยา งย่ิงบท พระองคจงควรตรึกตรา ไพรฟ า ประชากรจะรอ นนกั สนทนาของตัวละครถือเปน สว นสาํ คัญในการสะทอนความคดิ ภายในของตวั ละคร ไดเปนอยางดี วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ตา งมีฝม ืออ้ืออึง วางวงิ่ เขา ถงึ อาวธุ ส้ัน คมู ือครู 91 ดาบสองมือโถมทะลวงฟน เหลากริชตดั ฟน ประจญั รบ บทประพันธใ นขอนแี้ สดงภาพทหารใชอาวธุ เขา ตอ สูกัน
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนกลมุ ที่ 5 นําเสนอบคุ ลกิ ลักษณะนิสยั (๑) เอาแต่ใจตนเอง จะเอาอะไรต้องได้ ดังท่ีท้าวกะหมังกุหนิงบอก ของทาวกะหมังกหุ นงิ ในประเด็นตอ ไปนี้ ปาหยงั กบั ประหมนั วา่ • นกั เรยี นคดิ วา ทาวกะหมังกุหนิงมลี ักษณะ นิสัยอยา งไร เอ็นดนู ัดดาโศกาลัย ว่ามไิ ด้อรไทจะมรณา (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถอภิปรายไดอ ยา ง หลากหลายขนึ้ อยูกับเหตผุ ลของนกั เรยี น (๒) เปน็ คนออ่ นไหว ขาดสติ แคเ่ หน็ ภาพวาดของบษุ บากห็ ลงใหล จนถงึ กับ เปนตน วา ทา วกะหมงั กุหนิงเปน คนรกั ลูก ครองสตไิ ม่ไดแ้ ละสลบไป ยอมทาํ ทกุ อยา งเพื่อลกู แมจ ะแลกมาดวยชวี ติ ก็ยอม เปน คนตัดสนิ ใจเด็ดเดี่ยว แตประมาท เมื่อน้นั วิหยาสะกา� ใจกลา้ และเบาความ ตัดสินใจโดยไมพ จิ ารณา ให้อศั จรรย์จติ คดิ สงกา จึงเรียกเอามาฉบั พลัน เหตุผลตา งๆ ใหรอบคอบ) คลี่ดูเหน็ รูปเยาวเรศ ดงั แวน่ ทองส่องเนตรเสียวกระสัน สดุ แสนประดิพัทธผ์ กู พนั ปว่ นปั่นหฤทยั ไปมา 2. นกั เรยี นกลมุ ที่ 6 นําเสนอบคุ ลิกลักษณะนสิ ยั ม้วนกระดาษซ่อนใสใ่ นรดั องค์ ใจจงดา่ วดน้ิ ถวิลหา ของวหิ ยาสะกํา ในประเด็นตอ ไปนี้ สลบลงบนหลังอาชา กระหมันหรารบั รองประคองไว้ • นกั เรียนคดิ วา วิหยาสะกาํ มลี ักษณะนิสยั อยางไร (๓) เปน็ คนที่รกั ศักดิศ์ รี มีความละอายแก่ใจท่ีท�าใหพ้ อ่ แม่เดือดรอ้ น เช่น (แนวตอบ เปนตนวา วหิ ยาสะกําเปน คน ตอนทอี่ ิเหนากล่าวจาบจ้วงท้าวกะหมังกหุ นิง วหิ ยาสะกา� แค้นจงึ ตอบไปวา่ ออนไหวและเอาแตใ จ) เมื่อนัน้ วหิ ยาสะกา� ใจกล้า 3. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด ได้ฟงั ค่ังแคน้ แทนบดิ า จงึ ร้องตอบวาจาว่าไป ดกู อ่ นอรริ าชไพร ี อยา่ พาทลี บหลูท่ ่านผใู้ หญ ่ ขยายความเขา ใจ Expand โอหงั บงั อาจประมาทใคร จะนบนอบยอบไหว้อย่าพึงนกึ มเิ ราก็เจา้ จะตายลง อยา่ หมายจติ คดิ ทะนงในการศึก 1. นักเรยี นรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปนี้ ยังมทิ ันพันตมู าข่คู ึก จะรับแพ้แลลึกไมม่ ลี าย • นักเรียนคิดวา ทาวกะหมงั กุหนงิ ควรมี คุณธรรมใดเพมิ่ เติมหรอื ไม อยา งไร ๗.๒ คณุ ค่ำด้ำนกลวิธกี ำรแต่ง (แนวตอบ ไมถือเอาตนเองเปนใหญแ ละ พจิ ารณาเหตุผลตา งๆ อยา งรอบคอบ) บทละครเรอ่ื งอเิ หนาตอนนมี้ ีการใช้ส�านวนโวหารและกวีโวหารท่ีงดงามและถ่ายทอด • นกั เรยี นคดิ วา วหิ ยาสะกําควรมคี ณุ ธรรมใด เน้ือความได้อย่างลึกซ้ึงกินใจ ท�าให้เกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ และยังมีการใช้กลวิธีการแต่ง เพิม่ เติมหรอื ไม อยางไร อกี หลายลกั ษณะ ดงั น้ี (แนวตอบ รักษาความมสี ตขิ องตนใหม ากขึ้น) ๑) จินตภาพ กวีใช้ค�าบรรยายได้ชัดเจน ท�าให้ผู้อ่านสามารถนึกภาพตามและ ได้รบั อรรถรสในการอ่านมากข้นึ เชน่ ตอนท่อี เิ หนาต่อสกู้ ับทา้ วกะหมังกุหนงิ จะเหน็ ลลี าทา่ ทาง 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ การต่อสู้ท่ีคล่องแคล่วฉับไว โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้ค�าท่ีมีความหมายแสดงอาการเคล่ือนไหว อยา่ งเชน่ ตดิ ตาม หลบหลกี ไววอ่ ง ปอ้ งกนั ผดั ผนั หนั กลอก กลบั ปะทะ แทง กระหยบั เปน็ ตน้ 92 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอใดเปน การใชภาพพจนเปรยี บเทยี บ เพ่อื ใหนกั เรยี นเกดิ การตอยอดองคค วามรูแ ละสามารถทาํ ความเขาใจวรรณคดี 1. เหน็บพระแสงก้นั หยัน่ กลั เมด็ แลว เสดจ็ ข้นึ เฝา พระบิดา เร่ืองตางๆ ที่นกั เรียนจะไดศึกษาในบทตอไปไดอยางลกึ ซึ้ง กอ ใหเกิดความซาบซ้งึ 2. เราออนงอ ขอไปในสารา แตว า จะรบั ไวก ไ็ มมี และเหน็ คุณคา ของวรรณคดีในฐานะมรดกทางวฒั นธรรม รวมถึงเขาใจสภาพสังคม 3. พ่ีดงั พฤกษาพนาวัน จะอาสญั เพราะลูกเหมือนกลา วมา และความนึกคิดของผูคนและวถิ ชี ีวิตในอดตี ตลอดจนสามารถสงั เคราะหข อคิด 4. พอไดศ ภุ ฤกษก ล็ นั่ ฆอ ง ประโคมคกึ กึกกองทอ งสนาม ท่ไี ดน าํ ไปประยกุ ตใ นการดําเนินชีวิตไดเปน อยางดี ครคู วรเนนใหน กั เรยี นปฏบิ ัติ กจิ กรรมที่ชวยสรางปฏิสัมพนั ธแ ละรว มกนั ระดมความคิด เพือ่ ใหน กั เรียนมีสว นรว ม วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม และสรา งความสมั พันธอ นั ดีระหวางกันของนักเรยี น โดยใน การปฏิบัตกิ จิ กรรมนัน้ นักเรยี นรว มกันอภปิ รายแสดงความคิดเหน็ จากคําตอบที่ พ่ดี งั พฤกษาพนาวนั จะอาสญั เพราะลกู เหมือนกลาวมา นักเรยี นคน พบ หรอื การแบงกลมุ รว มกันตง้ั สมมติฐาน เพือ่ คาดเดาแนวคดิ ที่ไดจาก ปรากฏภาพพจนอ ปุ มากลาวถงึ ทาวกะหมงั กหุ นงิ เปรียบเทียบตนเองกับ เร่ือง จากนน้ั จึงรว มกันอภิปราย ตนกลว ย เมอื่ มลี ูกลําตน หรือในท่ีน้ีหมายถึงทาวกะหมังกุหนิงก็ตองเสีย ชีวิตไป 92 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู เมื่อนน้ั ระเด่นมนตรีชาญสนาม 1. นกั เรยี นรว มกันตอบคําถามในประเดน็ ตอไปนี้ พระกรกรายฉายกริชติดตาม ไมเ่ ขด็ ขามคร้ามถอยคอยรับ • นกั เรียนคดิ วา วรรณคดเี ร่อื ง อเิ หนา ตอน ศึกกะหมงั กหุ นงิ มกี ลวิธกี ารสรางจินตภาพ หลบหลีกไวว่องปอ้ งกัน ผดั ผันหันออกกลอกกลบั ทโ่ี ดดเดน อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถอภปิ รายไดอยาง ปะทะแทงแสรง้ ท�าส�าทบั ยา่ งกระหยบั รุกไล่มิได้ยั้ง หลากหลาย เปน ตน วา กวีใชพ รรณนาโวหาร ไดอ ยา งชัดเจน ผูอา นเกิดจินตภาพ ท้ังจาก เห็นระตูถอยเท้าก้าวผิด พระกรายกริชแทงอกตลอดหลงั ระดบั คําและระดบั ความ โดยเฉพาะอยางย่ิง การแสดงภาพเคล่ือนไหวในฉากการสูร บ ลม้ ลงด่าวดิน้ สน้ิ ก�าลัง มอดมว้ ยชีวังปลดปลง มกี ารนาํ คํากริยามาวางเรียงกัน ตัวอยาง เชน ติดตาม หลบหลีก ไววอง กลับกลอก ๒) ภาพพจน์ ภาพพจน์ที่กวีน�ามาใช้มีหลายลักษณะ และล้วนท�าให้บทละครเรื่อง เปนตน) อเิ หนาตอนนี้มีความไพเราะสละสลวย และสามารถถา่ ยทอดอารมณ์ได้อย่างลกึ ซง้ึ กินใจ ดังนี้ 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด ๒.๑) การเปรยี บเทยี บแบบอปุ มา หรอื อปุ มาโวหาร เปน็ การใชโ้ วหารเปรยี บเทยี บ โดยใช้ค�าเปรยี บเทยี บสง่ิ หนึ่งเหมือนกบั ส่ิงหนง่ึ ทา� ให้เห็นภาพได้ชัดเจนยง่ิ ข้นึ เชน่ กรุงกษตั ริยข์ อขึน้ ก็นบั รอ้ ย เราเปน็ เมืองนอ้ ยกระจิหริด ดังห่งิ ห้อยจะแข่งแสงอาทิตย์ เห็นผิดระบอบบรุ าณมา ......................................................................... ดงั เสียงคลื่นในสมทุ รไมข่ าดสาย ขยายความเขา ใจ Expand ม้ารถคชกรรมค์ รั่นคร้นื บัดน้ีมาตงั้ อยู่เนินทราย ท่ชี ายทงุ่ กับป่าตอ่ กัน 1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธ ดังตอ ไปน้ี • นักเรียนยกบทประพนั ธท่ีแสดงจินตภาพท่ี ในค�าคร�่าครวญของจินตะหรา ที่เปรียบความรักเหมือนสายน้�าที่ไหลไปแล้ว มคี วามโดดเดนของวรรณคดเี ร่อื ง อิเหนา จะไม่มีวันย้อนกลับ ซง่ึ เกดิ จากความไมม่ นั่ ใจในฐานะของตนเอง เกดิ ความรสู้ กึ ขน้ึ มาวา่ อาจตอ้ ง ตอนศกึ กะหมงั กหุ นงิ สูญเสยี คนรกั เพราะขา่ วการแย่งบุษบาแสดงวา่ บษุ บาตอ้ งสวยมาก อีกทั้งยงั เปน็ ค่หู ม้ันของอเิ หนา (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตวั อยางได มากอ่ น ย่งิ ท�าให้รสู้ ึกหวาดหวน่ั ดังคา� ประพันธท์ ี่อา่ นแลว้ จะเกดิ อารมณส์ ะเทือนใจ สงสาร และ อยา งหลากหลาย เปนตนวา เห็นใจว่า “เม่อื นั้น แล้ววา่ อนจิ จาความรกั พ่งึ ประจักษ์ด่ังสายน้�าไหล ทา วกะหมังกุหนงิ ไววอ ง ตง้ั แตจ่ ะเชย่ี วเป็นเกลียวไป ที่ไหนเลยจะไหลคนื มา ขับมา วกวง่ิ ชงิ คลอง สตรใี ดในพิภพจบแดน ไมม่ ีใครได้แคน้ เหมอื นอกขา้ เคลา คลอ งกลับกลอกหอกซัด ขยับกรผอนพงุ ขา งละที ด้วยใฝร่ ักใหเ้ กินพักตรา จะมแี ต่เวทนาเป็นเนอื งนิตย์ ระเดนมนตรปี องปด ระตูตามตดิ พนั ดว ยสันทัด ผนั ผดั อาวธุ กนั ไปมา”) 2. ครูสมุ นกั เรยี น 2-3 คน ออกมานาํ เสนอบท 93 ประพนั ธท่ีมีความโดดเดน ดานวรรณศิลป พรอมอธิบายลักษณะเดน ดา นวรรณศลิ ป จากนัน้ บนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู บทประพนั ธในขอใดใชกลวิธีทางวรรณศิลปแ ตกตางจากขอ อนื่ การจดั การเรยี นการสอนเก่ยี วกับคุณคาทางวรรณศลิ ปใ นวรรณคดี เพอื่ ให 1. แลววา อนิจจาความรกั พึ่งประจกั ษด่ังสายน้าํ ไหล นกั เรยี นเกิดความซาบซึ้งในความไพเราะของวรรณคดนี น้ั การวเิ คราะหคณุ คา 2. ซ่ึงเกิดศึกสาเหตุเภทภยั กเ็ พราะใครทาํ ความไวง ามพกั ตร ดานวรรณศลิ ปข ้นึ อยูก ับปจ จยั หลายประการ เปน ตน วา ความเขาใจเนื้อหาของ 3. ไดฟ ง ท้ังสองทูตทูล ใหอาดรู เดือดใจดังไฟฟา นกั เรยี น ความเขาใจความหมายของคําศัพท รวมถงึ กลวิธที างวรรณศิลปท่กี วีนํา 4. มา รถคชกรรมครน่ั ครนื้ เปนเสียงคลื่นในสมทุ รไมข าดสาย มาใชในการประพนั ธว รรณคดแี ตล ะเรือ่ ง การเลือกสรรถอยคาํ มาใชใ นบทประพนั ธ ความสามารถในการพรรณนาความของกวี โดยเฉพาะอยางย่งิ บทชมธรรมชาติใน วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. วรรณคดีเรือ่ ง อิเหนา กอใหเ กิดความงดงามของธรรมชาติ จากบทชมธรรมชาตทิ ่ี สามารถส่อื สารอารมณค วามรสู ึกของกวจี ากบทประพนั ธไ ดอ ยา งลึกซงึ้ เขม ขน ครู ซ่งึ เกิดศกึ สาเหตเุ ภทภัย กเ็ พราะใครทําความไวงามพักตร จึงตองมวี ธิ ีการจัดกจิ กรรมในรูปแบบตา งๆ เพื่อกระตนุ ความสนใจของนกั เรยี น ให มกี ลวิธีทางวรรณศิลปแ ตกตา งจากขออื่น เน่ืองจากใชค ําถามเชงิ วาทศลิ ป นักเรยี นไดรวมอภิปรายแสดงความคดิ เห็นแลกเปลีย่ นความคิดเห็นและความรสู ึกท่ี สวนขออ่ืนใชโวหารภาพพจนเ ปรยี บเทยี บ มตี อบทกวรี วมกนั คมู อื ครู 93
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรยี นพิจารณาบทประพันธ จากนัน้ รวมกนั อีกตอนหนึ่งมีใช้อุปมาโวหารได้กินใจเช่นกัน เพราะแสดงความรักอันท่วมท้น ตอบคาํ ถามในประเด็น ตอไปนี้ ของพอ่ ท่ีมีตอ่ ลกู “กรุงกษตั ริยข อข้ึนก็นับรอย เราเปน เมืองนอยกระจิหรดิ พ่ีดังพฤกษาพนาวนั จะอาสัญเพราะลูกเหมือนกล่าวมา ดังห่ิงหอ ยจะแขงแสงอาทิตย เหน็ ผดิ ระบอบบุราณมา” จะเห็นได้ว่า ความรักของพ่อท่ีมีต่อลูก ท�าให้ผู้เป็นพ่อทนไม่ได้ที่เห็นลูกมีทุกข์ • นกั เรียนคิดวา บทประพนั ธขางตน มกี ารใช หากแลกได้จะยอมรับทกุ ขแ์ ทนลกู แตเ่ มอื่ ทา� ไมไ่ ดพ้ อ่ กต็ อ้ งพยายามจนถงึ ทสี่ ดุ แมร้ วู้ า่ จะไปตายก็ โวหารภาพพจนแบบใด สง ผลตอ คุณคาทาง ยอม บทเปรยี บเทยี บน้เี ปรยี บกับธรรมชาต ิ คอื ต้นไม้บางประเภทที่เม่ือออกผลแลว้ ต้นจะตายไป วรรณศลิ ปอ ยา งไร ต้นไม้ตายเพราะลูกก็เปรียบได้กับท้าวกะหมังกุหนิงต้องตายเพราะมีสาเหตุมาจากวิหยาสะก�าซึ่ง (แนวตอบ อปุ มาโวหารโดยเปรยี บสง่ิ หนึ่งกับอีก เปน็ พระราชโอรสน่ันเอง อุปมาน้ฝี ากขอ้ คดิ ไวใ้ หล้ ูกๆ ให้ลกู รวู้ ่าพ่อแมร่ ักเรามากมายเพยี งใด สิ่งหน่งึ สามารถสอื่ ภาพและอารมณค วามรสู ึก หรอื อกี ตอนหนง่ึ เปน็ ขอ้ ความในพระราชสาสน์ ทที่ า้ วกเุ รปนั มไี ปถงึ อเิ หนา ทา้ วกเุ รปนั ไดอยา งลกึ ซงึ้ เขมขน ) เปน็ คนรกั ลกู กจ็ รงิ แตก่ ห็ ยง่ิ ในเกยี รต ิ ถอื ยศถอื ศกั ด ์ิ ถา้ ลกู ผดิ กจ็ ะไมม่ วี นั โอนออ่ น คา� ประพนั ธต์ อนน ้ี จึงให้อารมณ์ของความเด็ดขาด เข้มแข็ง ไม่มีการอ้อนวอนขอร้องใด เปิดโอกาสให้อิเหนาคิด 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด เอาเอง หากไมม่ าก็คอื ตดั พอ่ ตดั ลกู ชนิดไม่ต้องมาเผาผกี ัน ขยายความเขา ใจ Expand แม้นมยิ กพลไกรไปชว่ ย ถึงเราม้วยก็อยา่ มาดผู ี อยา่ ดูทั้งเปลวอัคค ี แต่วันนี้ขาดกนั จนบรรลยั 1. นักเรียนยกบทประพันธ ดงั ตอไปนี้ • นกั เรียนยกบทประพนั ธท แี่ สดงภาพพจน ๒.๒) การเปรียบเทียบแบบเกินจริง หรือการใช้โวหารอธิพจน์ เป็นการใช้ค�า เปรยี บเทยี บสอดคลองกบั การใชภาพพจนใน เปรียบเทยี บทเี่ กนิ จริง เพือ่ เนน้ ความร้สู ึกท�าให้ผอู้ า่ นเห็นภาพและเกิดความรู้สกึ ทล่ี กึ ซึง้ ไดง้ า่ ย บทประพนั ธข า งตน (แนวตอบ นักเรยี นสามารถยกบทประพนั ธได ไดฟ้ งั ดงั ศรเสยี บกรรณ จึงตอบไปพลนั ทนั ใด อยา งหลากหลาย เปนตน วา ดังตรเี พชรบาดในอรุ า “มีความเกษมสนั ตหรรษา หรือ ดังไดผานเมอื งฟา ราศ”ี บทประพันธข างตน มีการใชความเปรียบ ฟังวิหยาสะกา� พาท ี ภาพพจนแ บบอปุ มา หรืออปุ มาโวหาร โดยกลาวถงึ ความรสู ึกยินดีราวกบั ไดครอง ๓) การเลน่ คา� โดยการซา้� คา� มีการใชภ้ าษาสละสลวยงดงาม การเล่นคา� พอ้ งเสียง เมอื งสวรรค เลน่ สัมผสั พยัญชนะเพ่อื ใหเ้ กดิ ความไพเราะ เชน่ ตอนอิเหนาชมดง โดยน�าชอ่ื นกกับชอื่ ไมท้ ่ีเป็น ชอ่ื พอ้ งกนั โยงมาสกู่ ารครา่� ครวญถงึ การจากนางอนั เปน็ ทรี่ กั ซงึ่ เมอื่ อา่ นแลว้ ทา� ใหเ้ กดิ ความไพเราะ 2. ครสู ุมนกั เรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ ย่ิงขึ้น บทประพันธท ่ีมคี วามโดดเดนดา นวรรณศลิ ป พรอ มอธิบายลักษณะเดน ดานวรรณศลิ ป 94 จากนนั้ บันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT บทประพนั ธในขอใดใชโวหารภาพพจนตางจากขออน่ื ในการศกึ ษาคณุ คา ทางวรรณศลิ ปจ ากบทประพนั ธน ั้น ครูควรเพ่มิ เติมความรู 1. ผิดก็ทําสงครามดูตามที เคราะหดีก็จะไดด งั ใจฝน เก่ียวกบั การศกึ ษาคาํ ศพั ทซ่ึงเปนพนื้ ฐานในการศกึ ษาบทประพนั ธวรรณคดี โดยมุง 2. พด่ี ังพฤกษาพนาวนั จะอาสัญเพราะลกู ดังกลาวมา ขยายความเขา ใจวา คาํ ศพั ทท ่นี ํามาใชใ นบทประพันธน ัน้ เปน คําภาษาสงู ท่มี ีความ 3. กรุงกษัตรยิ ข อขน้ึ นับรอย เราเปนเมืองนอ ยกระจิหรดิ ไพเราะงดงามทง้ั ดานเสียงและความหมาย กวีตอ งรอบรูค าํ ศัพทภาษาตา งๆ อยาง ด่งั ห่ิงหอยจะแขงแสงอาทติ ย เหน็ ผดิ ระบอบบรุ าณมา หลากหลาย รวมถึงโลกทัศนในการใชภาษาของกวที ปี่ รากฏในสังคมและวฒั นธรรม 4. แลว วาอนิจจาความรัก พงึ่ ประจกั ษด ง่ั สายน้าํ ไหล ไทย อาทิ ภาษาบาลสี นั สกฤต ภาษาเขมร และภาษาชวา เพ่อื นําคาํ ศัพทท กี่ วสี ัง่ สม ต้งั แตจะเชี่ยวเปน เกลยี วไป ท่ีไหนเลยจะไหลคนื มา เอาไวมาใชใ นการสรรคาํ วางไวในตาํ แหนงทมี่ คี วามเหมาะสม ทาํ ใหเกิดรสคาํ และ รสความ ครคู วรสง เสริมการเรียนรูคาํ ศพั ทของนักเรยี น ดวยการใหน ักเรียนพยายาม วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. สบื คนความหมายของคาํ ศพั ท แลวจัดเกบ็ รวบรวมไวเปนหมวดหมู และในการเก็บ รวบรวมคาํ ศัพทนัน้ นักเรยี นควรพิจารณาเกี่ยวกบั ความหมาย รวมถึงความไพเราะ ผิดกท็ ําสงครามดูตามที เคราะหด ีก็จะไดดงั ใจฝน ของเสยี งทง้ั คําพอ งเสียงรวมดว ย เพื่อใหน กั เรยี นสามารถนําไปปรบั ใชไดอยาง ไมปรากฏกลวธิ ีการใชภาพพจน จึงมีความแตกตางจากขอ อืน่ ซง่ึ ปรากฏ เหมาะสม ภาพพจนแบบอปุ มา 94 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไมอ้ ึงมี่ 1. นักเรียนพิจารณาบทประพันธ จากนัน้ รว มกนั เบญจวรรณจับวลั ยช์ าล ี เหมอื นวนั พ่ีไกลสามสุดามา ตอบคําถามในประเดน็ ตอไปน้ี นางนวลจบั นางนวลนอน เหมือนพแ่ี นบนวลสมรจนิ ตะหรา “ตายระดบั ทบั กันดงั ฟอนฟาง จากพรากจบั จากจ�านรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี เลือดนองทอ งชา งเหลวไหล” แขกเต้าจบั เตา่ ร้างรอ้ ง เหมอื นร้างห้องมาหยารัศมี • นักเรียนคดิ วา บทประพันธข างตนมกี ารใช นกแกว้ จับแกว้ พาท ี เหมือนแก้วพท่ี ้ังสามส่ังความมา โวหารภาพพจนแ บบใด สงผลตอคุณคา ทาง ตระเวนไพรร่อนร้องตระเวนไพร เหมือนเวรใดใหน้ ริ าศเสนห่ า วรรณศลิ ปอยางไร เค้าโมงจับโมงอยูเ่ อกา เหมอื นพนี่ บั โมงมาเมอื่ ไกลนาง (แนวตอบ โวหารอธิพจนเปนการใชคาํ คับแคจบั แคสันโดษเด่ยี ว เหมือนเปล่าเปลยี่ วคับใจในไพรกวา้ ง เปรยี บเทียบเกนิ จริง เพอื่ เนน อารมณ ชมวหิ คนกไมไ้ ปตามทาง คะนงึ นางพลางรีบโยธี ความรสู ึก รวมถงึ จนิ ตภาพท่ีลกึ ซึง้ เขมขน โดยบทประพนั ธท ่ียกมาขางตน แสดงภาพ ๗.๓ คุณค่ำดำ้ นควำมรูแ้ ละควำมคดิ ของไพรพ ลท่ถี ูกสังหารเปน จํานวนมาก นอนตายกา ยกนั ราวกบั กองฟาง และเลอื ด ๑) แสดงให้เห็นความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมโบราณ เช่น ความเช่ือเร่ือง ไหลนองทว มถึงระดบั ของทอ งชาง) การท�านายโชคชะตาหรือโหราศาสตร์ ดังตอนที่ท้าวกะหมังกุหนิงจะยกทัพไปตีเมืองดาหา ก็ให้ โหรหลวงทา� นายดวงชะตาของทา้ วกะหมงั กุหนงิ 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ ครั้นเสรจ็ สง่ั มหาเสนา จึงถามขุนโหราทง้ั สี่ ขยายความเขา ใจ Expand เราจะยกพลไกรไปตอ่ ต ี พรุ่งนด้ี ีรา้ ยประการใด บดั น้นั พระโหราราชครผู ู้ใหญ่ 1. นักเรียนยกบทประพนั ธในประเดน็ ตอไปนี้ รับรสพจนารถภวู ไนย คลีต่ �ารบั ขบั ไล่ไปมา • นักเรียนยกบทประพนั ธที่แสดงภาพพจน เทยี บดูดวงชะตาพระทรงยศ กับโอรสถึงฆาตชันษา เปรยี บเทยี บสอดคลอ งกับการใชภาพพจน ท้งั ช้นั โชคโยคยามยาตรา พระเคราะหข์ ดั ฤกษ์พาสารพัน ในบทประพนั ธขา งตน จึงทลู ว่าถ้ายกวันพรุง่ นี้ จะเสยี ชยั ไพรีเปน็ แม่นม่นั (แนวตอบ นกั เรียนสามารถยกบทประพนั ธ งดอยอู่ ยา่ เสดจ็ สกั เจด็ วัน ถ้าพ้นน้ันก็เห็นไมเ่ ปน็ ไร ไดอยางหลากหลาย เปนตนวา “ไดฟ ง กริว้ ขอพระองคจ์ งก�าหนดงดยาตรา ฟังค�าโหราหาฤกษใ์ หม่ โกรธดงั เพลงิ กัลป” บทประพันธข างตนกลา ว อนั การยทุ ธย์ ิงชิงชยั หนกั หนว่ งน้�าพระทัยดูใหด้ ี ถงึ ความโกรธทม่ี ีความรนุ แรง ราวกบั ไฟไหม ลางโลก) 2. ครูสมุ นกั เรียน 2-3 คน ออกมานาํ เสนอ บทประพนั ธทมี่ คี วามโดดเดน ดา นวรรณศิลป พรอ มอธบิ ายลกั ษณะเดน ดา นวรรณศิลป จากนัน้ บันทึกความเขา ใจลงในสมดุ 95 บทประพันธใ นขอ ใดไมปรากฏนาฏการ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู 1. ขบั มา วกวง่ิ ชิงคลอง เคลา คลอ งกลับกลอกหอกซดั ครคู วรใหนกั เรยี นไดสบื คน เกร็ดความรตู า งๆ ท่ีปรากฏในวรรณคดี โดยเฉพาะ 2. พระชักอาชาไนยไววาง สะบัดยางเชอื นชายยายทาํ นอง อยางย่ิงความรเู กีย่ วกับสังคมและวฒั นธรรมไทยในอดีตทปี่ รากฏในบทประพนั ธ 3. เห็นไพรีรุกไลอนชุ า พระขับมาถลันออกกั้นกาง เกร็ดความรดู ังกลาวนอกจากจะทําใหน กั เรียนไดค วามรทู างวฒั นธรรมแลว ยัง 4. น่ิงฟงประสันตาอยูชา นาน คอ ยคลายรอนราํ คาญวญิ ญาณ เปนสวนสําคัญในการสรางความเขา ใจเนอื้ หาในบทประพนั ธ ตลอดจนกลวธิ ีทาง วรรณศิลปของบทประพนั ธ เพอื่ ใหน กั เรียนสามารถวเิ คราะหเปรยี บเทียบองคความรู วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ตลอดจนคา นิยมทแี่ ตกตา งกันในแตล ะยคุ สมัยไดเ ปนอยา งดี นักเรียนสามารถนาํ องคความรดู ังกลา วไปปรบั ประยุกตใ ชใ นการพจิ ารณาบทประพนั ธป ระเภทตางๆ น่งิ ฟงประสนั ตาอยูช านาน คอ ยคลายรอ นราํ คาญวญิ ญาณ รวมถึงนักเรียนสามารถนาํ ไปปรับใชใ นการดาํ เนินชวี ติ ของนกั เรียนไดเปนอยา งดี นาฏการ หมายถงึ ภาพเคลื่อนไหว บทประพันธในขอ 4. ไมปรากฏภาพ เคลื่อนไหว สวนในขออ่นื ๆ ปรากฏภาพเคล่อื นไหว โดยสงั เกตจากคําศพั ท ดงั นี้ ขอ 1. คําวา วกวิ่ง กลับกลอก และซัด ขอ 2. คําวา ชัก สะบดั ยา ง เชือนชาย และยา ย ขอ 3. คาํ วา รุกไล ขบั มา ถลัน และกั้นกาง คมู อื ครู 95
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรยี นพจิ ารณาบทประพันธ จากนนั้ รวมกัน แม้ตอนท่ีอเิ หนาจะยกทพั ไปชว่ ยเมืองดาหา ก็ตอ้ งพจิ ารณาฤกษ์ยามและมกี าร- ตอบคําถามในประเดน็ ตอ ไปน้ี ประกอบพธิ ีท่เี รยี กวา่ “ฟันไมข้ ่มนาม” หรือ “ตัดไมข้ ม่ นาม” ดงั ความท่ีว่า “ตระเวนไพรรอนรองตระเวนไพร เหมอื นเวรใดใหน ริ าศเสนหา พอไดศ้ ภุ ฤกษ์ก็ลนั่ ฆ้อง ประโคมคกึ กึกก้องท้องสนาม เคาโมงจบั โมงอยเู อกา ประโรหิตฟนั ไมข้ ่มนาม ท�าตามต�าราพชิ ัยยุทธ์ เหมือนพ่ีนับโมงมาเม่อื ไกลนาง” • นักเรยี นคดิ วา บทประพนั ธข า งตนมีคณุ คา พิธีฟันไม้ข่มนาม เป็นพิธีที่จัดข้ึนเพ่ือความเป็นสิริมงคลและสร้างขวัญก�าลังใจ ทางวรรณศิลปอยา งไร ให้แก่ทหารโดยจะมีการตัดไม้ที่มีพยัญชนะต้นตรงกับพยัญชนะต้นของช่ือศัตรู เช่น ศัตรูชื่อว่า (แนวตอบ บทประพันธข างตน มีการเลนคาํ “กะหมงั กหุ นงิ ” กห็ าไม้ท่ขี ้ึนต้นด้วยพยญั ชนะ “ก” เช่น กลว้ ย กระถนิ กระท้อน เป็นต้น (หรือ โดยใชกลวิธีการซ้ําคํา มกี ารเลนคําพอ งเสยี ง อาจเขียนช่ือของข้าศึกลงในกาบหยวก) แล้วฟันให้ขาดด้วยพระแสงศัตราวุธที่ได้รับพระราชทาน เลน สมั ผสั อักษรเพือ่ ใหเกิดความไพเราะ ต่อหน้าพระพักตร์ เมื่อฟันแล้ว ผู้ฟันจะหันหน้าไปสู่พระราชวัง โดยไม่เหลียวหลังกลับมาดูเป็น เปน การใชภาษาอยา งสละสลวยงดงาม) อันขาด จากนั้นจะน�าความขึ้นกราบบังคมทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าออกไปปราบศึกคร้ังน้ีมีชัยชนะ แกข่ ้าศกึ ” ทัง้ นี้ผทู้ ี่ฟนั จะเป็นพระมหากษัตริยก์ ็ได้ 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ นอกจากน้ียังมีพิธี “เบิกโขลนทวาร” ซึ่งเป็นการประกอบพิธีกรรมตามต�ารา พราหมณ์ โดยท�าเป็นประตูสะด้วยใบไม้ สองข้างประตูมีพราหมณ์หรือพระสงฆ์ น่ังหรือยืนสวด ขยายความเขา ใจ Expand คาถาทมี่ เี นือ้ หาเปน็ มงคลพรอ้ มกับพรมน�้ามนต์ใหท้ หารทเ่ี ดนิ ลอดผา่ นประตู 1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธ ดังตอไปนี้ ทัพหน้าทัพหลวงทัพหลงั พรอ้ มพรั่งตงั้ โห่องึ อุตม์ • นกั เรยี นยกบทประพนั ธทแ่ี สดงภาพพจน ทหารโบกธงทองกระบี่ครฑุ ฝรัง่ จดุ ปนื ใหญ่ให้สัญญา เปรียบเทยี บสอดคลอ งกบั การใชภ าพพจนใน ชีพอ่ กเ็ บิกโขลนทวาร โอมอ่านอาคมคาถา บทประพันธข า งตน เสดจ็ ทรงชา้ งท่นี ่ังหลังคา คลาเคลื่อนโยธาทุกหมวดกอง (แนวตอบ นกั เรียนสามารถยกบทประพนั ธไ ด อยางหลากหลาย เปนตน วา ๒) แสดงใหเ้ หน็ ถงึ สภาพการศกึ สงครามเมอ่ื ครง้ั อดตี แมบ้ ทละครเรอื่ งอเิ หนา จะมี “แขกเตา จบั เตา รางรอง เค้าเร่ืองมาจากนิทานพ้ืนเมืองของชวา แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรง เหมอื นรางหองมาหยารศั มี ดดั แปลงแกไ้ ขใหเ้ ขา้ กบั ธรรมเนยี มของไทย อาท ิ การตง้ั คา่ ย เมอ่ื มสี งครามในสมยั โบราณ นกแกว จับแกว พาที เหมอื นแกวพท่ี ัง้ สามสงั่ ความมา” เม่ือนน้ั ทา้ วกะหมังกหุ นิงเป็นใหญ่ ปรากฏกลวิธกี ารเลนคาํ พอ งเสยี ง) เรง่ รบี รพ้ี ลสกลไกร มาใกล้ทิวท่งุ ธานี เห็นละหานธารน�า้ ไหลหลงั่ ร่มไทรใบบงั สรุ ีย์ศรี 2. ครูสุมนกั เรยี น 2-3 คน ออกมานําเสนอบท จงึ ดา� รัสตรสั สงั่ เสน ี ใหต้ ั้งที่นาคนามตามต�ารา ประพันธท่มี คี วามโดดเดน ดา นวรรณศิลป พรอมอธบิ ายลกั ษณะเดนดา นวรรณศลิ ป จากน้นั บนั ทึกความเขา ใจในสมดุ 96 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เหมือนพ่แี นบนวลสมรจินตะหรา “นางนวลจบั นางนวลนอน ครูควรเพ่ิมเติมความรูเ กี่ยวกับกลวธิ ีการเลน คําในบทประพนั ธ โดยกลวิธกี าร จากพรากจับจากจาํ นรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี” เลน คํา คอื การนําคําท่ีมรี ูปหรอื เสยี งพอ งกันหรอื ใกลเ คยี งกันมาเลน เสียงและ บทประพนั ธขางตนมีความโดดเดนดา นวรรณศลิ ปสอดคลอ งกบั ขอ ใด ความหมาย หรือทเี่ รียกกันวาคาํ พองเสียง ตัวอยา งบทประพนั ธท่ีมกี ารใชก ลวิธกี าร 1. กมเกลา ทูลสนองพระบัญชา จะถวายบงั คมลาพรงุ นี้ เลนคําพอ งเสยี ง เชน 2. ทองกรแกว กง่ิ พรงิ้ พราย ธํามรงคเล่ือมลายพลอยเพชร 3. ภูษายกพนื้ ดําอาํ ไพ สอดใสฉ ลององคท รงวันเสาร เบญจวรรณจบั วลั ยชาลี เหมอื นวนั พ่ไี กลสามสุดามา 4. ท้ังจากท่ีจากคลองเปน สองขอ ยังจากกอนัน้ ก็ขึน้ ในคลองขวาง บทประพนั ธข างตนมีการใชกลวิธกี ารเลนคาํ โดยการใชค าํ ที่มีเสยี งเหมอื นกัน แตม ีรปู คาํ แตกตา งกนั ประกอบดว ย คาํ วา (เบญจ)วรรณ หมายถงึ นกแกว คาํ วา วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. วลั ย หมายถงึ เถาวลั ย และคาํ วา วนั หมายถงึ หนวยของเวลา กลวธิ ีการใชค ําที่ มเี สียงเหมือนกนั ดงั กลา ว จงึ สงผลใหบทประพันธม คี วามไพเราะ และเนนย้าํ ความ ทง้ั จากที่จากคลองเปน สองขอ ยังจากกอนั้นก็ขึน้ ในคลองขวาง หมายของบทประพนั ธใ หม คี วามเดนชัดยง่ิ ข้ึน ปรากฏกลวธิ ีการเลน เสียงเลน คาํ คาํ วา จาก สว นในขออน่ื ไมป รากฏ กลวิธกี ารเลนคํา 96 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา ใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การตง้ั คา่ ย เมอ่ื มกี ารศกึ ในสมยั โบราณ จะพจิ ารณาจากภมู สิ ถานหรอื ทเ่ี รยี กวา่ 1. นกั เรยี นพจิ ารณาบทประพนั ธ จากน้นั รวมกัน “ชยั ภมู ”ิ วา่ สอดคลอ้ งกบั การตงั้ คา่ ยแบบใดตามทมี่ ีในตา� รา “พชิ ยั สงคราม” ซงึ่ เปน็ เอกสารทมี่ ี ตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอ ไปนี้ เนอื้ ความเกยี่ วกับยทุ ธศาสตร์และยุทธวิธีในการรบ อยา่ งเชน่ ทปี่ รากฏในบทละครขา้ งต้น กล่าวถึง “พอไดศ ุภฤกษก ็ลั่นฆอง “นาคนาม” น้นั เป็นการตัง้ คา่ ยในภูมิประเทศทมี่ ีแม่น้�าหรือล�าหว้ ยไหลผ่าน ประโคมคึกกึกกอ งทองสนาม นอกจากน้ียังมีการบรรยายบรรยากาศการเตรียมป้องกันเมืองเม่ือมีข้าศึกมา ประโรหติ ฟน ไมข ม นาม ประชดิ ในเวลามสี งคราม โดยเฉพาะเมอื งที่มขี นาดเลก็ หรอื มีกา� ลงั น้อย เชน่ ทําตามตําราพิชัยยทุ ธ ...ชพี อ กเ็ บิกโขลนทวาร บัดน้นั ผรู้ ั้งฟงั ความเหน็ เหมาะม่ัน โอมอานอาคมคาถา” • นกั เรยี นคิดวา บทประพนั ธข า งตนสะทอน จึงปรึกษากรมการทงั้ น้ัน จา� จะคดิ ปอ้ งกนั เมืองไว้ คติความเชื่อทางสงั คมและวฒั นธรรม อยางไร วา่ พลางทางสัง่ หลวงพล เรง่ แบ่งคนผ่อนครัวเสยี จงได้ (แนวตอบ บทประพนั ธขางตนสะทอ นพธิ ีกรรม การตัดไมข มนามและพธิ ีเบิกโขลนทวาร) บ้านเมืองรายเรียงทหี่ า่ งไกล ออกไปบอกกนั ให้ทนั ที 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ แล้วเกณฑค์ นเขา้ มารักษาค่าย จงรอบรายประจ�าทกุ หนา้ ที่ ปืนผาอาวุธของใครม ี กริชกระบส่ี �าหรบั มอื ให้ถือมา ข้าศึกสองคนทจ่ี ับได ้ มหาดไทยคมุ ตัวไปดาหา แตง่ หนังสอื บอกคดีตตี รา รีบไปในเวลาพรุง่ นี้ ขยายความเขา ใจ Expand ข้อความข้างต้นเป็นการบรรยายบรรยากาศการป้องกันเมืองของเมืองขนาดเล็ก 1. นักเรียนรว มกนั อภิปรายในประเด็น ตอ ไปนี้ ท่อี ยรู่ อบเมืองหลวง โดยมีผ้รู งั้ หรือผรู้ กั ษาการเมอื งเปน็ ผู้ปกครอง • พิธีตดั ไมข มนามและพิธีโขลนทวารมีความ เม่ือเวลามีสงครามหรือข้าศึก เดินทัพผ่านเพ่ือจะไปตีเมืองหลวงนั้น เมืองเล็ก สําคญั อยา งไรตอการสงคราม และใน เมืองน้อยหรือเมืองท่ีต้ังอยู่ตามรายทางเหล่าน้ีหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเมืองหลวงหรือ ปจจบุ นั ยังคงปรากฏความเช่ือนห้ี รอื ไม เมืองหลวงยังส่งก�าลังพลมาสนับสนุนให้ไม่ทันก็มีความจ�าเป็นท่ีจะต้องเตรียมป้องกันเมือง อยา งไร ตามแต่ก�าลังความสามารถโดยการ “ผ่อนครัว” หรืออพยพชาวบ้านท่ีอยู่ชานเมืองหรือ (แนวตอบ มีความสําคัญตอจติ ใจของเหลา นอกกา� แพงเมอื งเขา้ มาไวใ้ นเมอื ง แลว้ เกณฑท์ หารและพลเรอื นทเ่ี ปน็ ชายฉกรรจม์ าเขา้ ประจา� การ ทหาร ชวยสรา งขวัญและกําลงั ใจ เพ่ิมความ ตามต�าแหน่งหน้าที่ที่ก�าหนดไว้ โดยอาวุธท่ีมีก็แล้วแต่จะหาได้ในขณะน้ัน และหากจับข้าศึกได ้ ฮึกเหิมใหพ รอ มรบ ซงึ่ ปจจบุ ันไมพ บพธิ กี รรม ก็ตอ้ งส่งตวั ไปยงั เมืองหลวงเพ่อื ใหท้ �าการสอบสวนตอ่ ไป ตดั ไมข มนามแลว แตใ นการรักษาความ สงบเรยี บรอ ยในปจ จบุ ันจะมีพธิ ปี ระพรมน้าํ 97 พระพทุ ธมนตเปน สริ ิมงคลใหเ หลา ทหาร กอ นเดินทาง และมอบพระพทุ ธรปู หรอื พระพมิ พเ ปนเครือ่ งยดึ เหนย่ี วจิตใจ เพ่ือสรางขวญั กําลังใจทด่ี ใี หก ับทหาร) 2. นักเรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู คําประพันธในขอใดสะทอนความเช่อื ของสังคมไทย 1. เรง ระวงั พระองคใ หจงดี ตกแตงบรุ ีใหม ่ันคง ครูควรสง เสริมใหนกั เรยี นไดศกึ ษาคน ควา ขอมลู เพ่มิ เติมเก่ียวกับวรรณคดเี ร่อื ง 2. ชะรอยเปนบพุ เพนิวาสา เทวาอารักษมาชักให อเิ หนา นอกจากจะชวยใหน ักเรยี นเกิดการเรียนรูคณุ คา ดา นวรรณศิลปจากบท 3. หวงั เปน เกือกทองรองบาทา พระผวู งศเ ทวาอันปรากฏ ประพันธแ ลว นกั เรยี นควรสืบคนขอมูลเกย่ี วกับสภาพสังคมและวฒั นธรรมรว มดวย 4. จะขอบุตรีมยี ศ ใหโ อรสขา นอ ยดงั จนิ ดา เพื่อใหนักเรียนไดน ําองคค วามรดู งั กลาวมาปรับใชในการวเิ คราะหว ิจารณวรรณคดี เมอ่ื นกั เรยี นเกิดความเขา ใจสภาพสงั คมและวฒั นธรรมทีป่ รากฏในวรรณคดีแลว วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. นกั เรียนยงั สามารถนาํ องคความรูดงั กลาวไปบูรณาการกบั กลุมสาระการเรยี นรูอนื่ ๆ ไดอกี ดว ย ทีส่ าํ คญั นักเรียนยงั ไดฝ กฝนทักษะการสบื คนขอมลู การวิเคราะหข อ มลู ชะรอยเปน บพุ เพนวิ าสา เทวาอารกั ษมาชกั ให การประเมินคาขอ มูล รวมถึงการสงั เคราะหขอ มลู เพื่อนํามาใชในการสรา งองค สะทอ นความเชื่อเร่อื งบุพเพสนั นิวาส เคยครองคูก นั มาแตชาติปางกอน ความรใู หม เพื่อเตรยี มความพรอ มใหนกั เรียนสามารถจัดการองคความรทู ี่มคี วาม หลากหลาย ใหก าวทนั ความเปล่ยี นแปลงดานวทิ ยาการในโลกของขอ มลู ขา วสารใน ปจจุบันและอนาคต คูมือครู 97
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา ใจ 1. นักเรยี นรวมกันอภิปรายในประเด็น ตอ ไปนี้ ๓)ใหข้ อ้ คดิ เตอื นใจทว่ี า่ ลกู ของใคร ใครกร็ กั แตก่ ารทร่ี กั และตามใจลกู จนเกนิ ไป • นกั เรยี นคิดวา วรรณคดีเรอ่ื ง อิเหนา ตอน บางครงั้ ความรกั ของพอ่ แมก่ อ็ าจจะฆ่าลกู และฆ่าตนเองด้วย เชน่ ท้าวกะหมังกุหนิง ดงั นี้ ศกึ กะหมังกหุ นิง ใหขอคิดแกน กั เรียนอยางไร นักเรยี นยกบทประพันธประกอบคาํ อธบิ าย ตรสั พลางยา่ งเย้อื งยุรยาตร องอาจดังไกรสรสหี ์ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถอภิปรายไดอยา ง สองระตตู ามเสด็จจรล ี ไปท่ีวิหยาสะกา� ตาย กวางขวางข้นึ อยูกับเหตผุ ลของนักเรียน มาเหน็ ศพทอดท้งิ กลิ้งอย ู่ พระพินิจพศิ ดแู ลว้ ใจหาย เปนตนวา เมือ่ พจิ ารณาปมปญหาในศึก หน่มุ น้อยโสภานา่ เสยี ดาย ควรจะนบั ว่าชายโฉมยง ครง้ั นี้แลวเหน็ วา เกิดจากการท่ีวหิ ยาสะกาํ ทนตแ์ ดงดังแสงทับทมิ เพรศิ พรม้ิ เพรารบั กบั ขนง หลงในรูปนางบุษบา ทา วกะหมังกุหนงิ เกศาปลายงอนงามทรง เอวองคส์ ารพดั ไมข่ ดั ตา ผูเ ปน พระราชบิดา สงทตู ไปสขู อนางบษุ บา กระนี้หรอื บิดามพิ ิศวาส จนพินาศด้วยโอรสา... แตทาวดาหาไมย กให ดว ยขตั ติยมานะหรอื ความหยงิ่ ทะนงในศักดศ์ิ รคี วามเปนกษตั รยิ กลอนข้างต้นเป็นบทบรรยายความคิดของอิเหนาที่มีต่อวิหยาสะก�าซึ่งเป็นโอรส ของทา วกะหมังกหุ นิง รวมถึงดวยความรกั ของท้าวกะหมังกุหนิง โดยอิเหนาเห็นว่าคงเป็นเพราะวิหยาสะก�านั้นรูปงาม จึงไม่น่าแปลกใจท่ี ลกู มากเกนิ ไป จงึ นาํ ไปสูส งครามชงิ นาง ท้าวกะหมังกุหนิงผู้เป็นพ่อจะรักใคร่เอ็นดูมาก จนสุดท้ายก็ต้องมาตายเพราะความรักท่ีมีต่อลูก ศกึ คร้งั นีจ้ งึ เกิดจากการ “เบาความ” ของ น่นั เอง ทา วกะหมังกหุ นงิ แตเ ม่ือพจิ ารณาโดยรวม จะเหน็ ไดว า ศกึ ครงั้ นี้มไิ ดมสี าเหตุจากการ หยิง่ ในศกั ด์ิศรีของทา วกะหมงั กหุ นงิ เทา นั้น อเิ หนา ไดร้ บั การยกยอ่ งจากวรรณคดีสโมสรวา่ เป็นยอดแห่งบทละครราำ เน่อื งดว้ ย แตย ังรวมถงึ ความหย่ิงในศักด์ิศรขี องทา ว สำานวนกลอนมีความไพเราะและเหมาะท่ีจะนำาไปเล่นละคร แม้จะมีเค้าเรื่องมาจากนิทาน กเุ รปน และทา วดาหาในการคลมุ ถุงชนบงั คับ พนื้ เมอื งชวา แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงดดั แปลงแกไ้ ขใหเ้ ขา้ กบั ธรรมเนยี ม อิเหนาและบุษบาใหแตง งานกนั เพ่ือรวม และรสนยิ มของคนไทยไดโ้ ดยไมข่ ดั กบั เนอ้ื เรอื่ งเดมิ นอกจากนผ้ี อู้ า่ นยงั อาจแสวงหาความรเู้ กย่ี วกบั วงศอ สญั แดหวาใหเปน ปกแผน ) ประเพณไี ทยได้ ด้วยเหตุนบี้ ทละครเรอ่ื งอเิ หนาจงึ เปน็ วรรณคดที ่ีควรคา่ แกก่ ารอา่ นเป็นอยา่ งยิ่ง 2. ครสู ุม นักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอขอ คิด พรอ มคําอธิบายประกอบบทประพนั ธ จากนน้ั บันทึกความเขาใจในสมดุ 98 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT คําประพันธในขอใดไมปรากฏความเช่ือในสังคมไทย ครคู วรตรวจสอบความเขา ใจเนอื้ หาในการเรยี นการสอนของนกั เรยี นจากหลกั ฐาน 1. ครนั้ ฤกษด ีแจม ดวงสรุ ยิ ัน ทรงธรรมช วนกะหรดั ตะปาตี แสดงผลการเรียนรู เพือ่ ใหค รูทราบพนื้ ฐานความรูค วามเขาใจของนกั เรียนแตละคน 2. ประโรหิตฟน ไมขม นาม ทําตามตําราพชิ ยั ยทุ ธ รวมถึงภาพรวมของนักเรียนทั้งชน้ั เรยี นทีม่ ตี อ ประเด็นตางๆ เพ่อื ใหค รูสามารถ 3. นิ่งฟง ปะสนั ตาอยชู านาน คอ ยคลายรอนราํ คาญวิญญาณ เชือ่ มโยงเน้ือหาในบทเรียนน้ีกับบทเรียนในลําดับตอ ไปได ครูผูสอนสามารถนาํ 4. ชพี อ กเ็ บิกโขลนทวาร โอมอา นอาคมคาถา ความรูจ ากการศึกษาวรรณคดใี นบทเรยี นนมี้ าใชเปน พ้ืนฐานสาํ หรบั การออกแบบ การเรยี นการสอนของนกั เรยี นในชัน้ เรียน และครสู ามารถพิจารณาเพ่ิมเตมิ หรือ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เนน ยา้ํ ประเดน็ ท่นี กั เรียนยงั ไมเขา ใจ ใหมีความชัดเจนมากย่งิ ขน้ึ ในบทเรยี นตอไป เพื่อใหนกั เรียนไดต อยอดทางความคดิ และพัฒนาความคิดจากการเรยี นการสอน นง่ิ ฟงปะสนั ตาอยชู านาน คอยคลายรอ นรําคาญวิญญาณ อยา งสมํา่ เสมอ ความสามารถในการวิเคราะหวจิ ารณของนกั เรียนจึงเพม่ิ ขน้ึ ไมแสดงความเช่อื ของสงั คมไทย สว นบทประพันธในขอ อนื่ ๆ แสดง อยา งเปน ลาํ ดับขนั้ ตอน สามารถประยกุ ตใชใ นการวิเคราะหวิจารณวรรณคดไี ทย ความเชื่อในสงั คมไทย ดงั นี้ ขอ 1. ความเช่อื เกย่ี วกบั ฤกษยาม ขอ 2. ในแงมมุ ตางๆ ไดอยา งหลากหลาย ความเชอ่ื เกย่ี วกับพิธฟี นไมขมนาม ขอ 4. ความเชอ่ื เกยี่ วกับคาถาอาคม 98 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate ค�าถามประจา� หน่วยการเรียนรู้ 1. นักเรียนสรปุ สาระสําคญั จากองคประกอบ ของวรรณคดีท่สี ะทอ นคณุ คาทางวรรณศลิ ป ๑. สาเหตสุ �าคัญของศกึ กะหมังกุหนิงเกดิ จากอะไร ตลอดจนโลกทศั นท างสงั คมและวฒั นธรรมไทย ๒. ถา้ นักเรียนเป็นทา้ วกะหมงั กหุ นงิ จะแก้ปญั หาต่างๆ ท่เี กดิ ขนึ้ ดว้ ยวิธีใด ในอดีต พรอมยกบทประพันธป ระกอบการ ๓. นักเรียนคิดวา่ “ความรกั ” ของวิหยาสะก�าทมี่ ตี อ่ นางบุษบา เปน็ ความรักแบบใด พิจารณาได และมคี ุณหรอื โทษอย่างไร 2. นกั เรยี นสรุปสาระสําคญั เกยี่ วกับองคป ระกอบ ของวรรณคดีจากบทละครเรอ่ื ง อเิ หนา ตอนศกึ กะหมังกุหนิง ท่สี ง ผลตอคุณคาทาง วรรณศิลปไ ด 3. นักเรยี นสรปุ ขอคดิ ทไ่ี ดจากเรอ่ื ง พรอ มนํา ขอคิดทีไ่ ดไปประยกุ ตใ ชใ นชวี ิตประจาํ วันได กิจกรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรียนรู้ หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ๑. แบง่ กลุม่ คน้ หาความหมายของคา� ศัพทท์ ่ีไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากภาษาชวา 1. ความเรยี งสรุปสาระสําคญั เกี่ยวกับความเปนมา ๒. วาดรูปตวั ละครหรือฉากต่างๆ ดงั ทีป่ รากฏในเรื่อง พรอ้ มเขยี นคา� อธบิ ายประกอบ ประวตั ผิ แู ตง ลกั ษณะคาํ ประพันธ สาระสําคญั ๓. แบ่งกลุ่มศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับพระราชพิธีหรือประเพณีไทยท่ีมีในเร่ืองอิเหนา ของเร่อื ง และภาพสะทอ นทางสงั คมและ วฒั นธรรม จากแหล่งการเรยี นร้ตู า่ งๆ แล้วนา� มาจดั ป้ายนเิ ทศในโอกาสต่อไป 2. ความเรียงสรุปสาระสาํ คัญเก่ียวกบั คณุ คาทาง วรรณศลิ ปทั้งดา นเน้อื หา ภาษา และรูปแบบ พรอมยกบทประพันธประกอบ 3. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกบั ภาพสะทอน ทางสงั คมและวัฒนธรรม 4. ความเรยี งสรปุ ขอคิดและนาํ ขอคิดมาประยุกต ใชใ นชวี ติ ประจําวัน พรอ มแสดงบทบาทสมมติ 5. บันทกึ การรวบรวมคาํ ศพั ทภาษาชวา พรอ ม อธิบายความหมาย และความเรียงสรปุ คุณคา ทางวรรณศลิ ปท่สี มั พันธก บั ภมู ิปญ ญาทางภาษา 99 แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรยี นรู 1. สาเหตสุ ําคัญท่กี อใหเ กดิ ศกึ กะหมงั กหุ นิง สามารถพจิ ารณาไดหลายระดับ หากพจิ ารณาจากปมขดั แยง คือ การท่วี ิหยาสะกาํ ตอ งการแตง งานกับบษุ บา แตท าวดาหาไมย ินยอมเพราะนางบษุ บาหม้นั หมายกับจรกาแลว แตห ากพจิ ารณาในอีกระดับหน่ึง คอื มติ ิของตวั ละคร นักเรียนสามารถกลา วถงึ ขัตตยิ มานะ ความเปนกษัตรยิ ของทา วกะหมงั กุหนิงที่ไมต องการใหใครหมนิ่ เกยี รติ “การศึกครั้งนีไ้ มควรเปน” จึงเกดิ ขึ้น 2. พจิ ารณาตามคาํ ตอบของนกั เรียนข้นึ อยูกบั เหตผุ ลของนักเรยี น เชน หาสตรีนางอื่นท่ีมคี ุณสมบัตเิ พยี บพรอ มเพื่อใหแ ตงงานกับวหิ ยาสะกํา หรืออธบิ ายเหตผุ ลให พระราชโอรสลม เลกิ ความตองการอภเิ ษกกบั นางบุษบา รวมถึงเจรจากบั ทาวดาหาเพื่อใหบ ษุ บาลองพจิ ารณาความดีของวิหยาสะกาํ เปนตน 3. พิจารณาตามคําตอบของนกั เรียน ขน้ึ อยูกบั เหตุผลของนกั เรยี น เปน ตน วา ความรักระหวา งวหิ ยาสะกําท่มี ีตอนางบษุ บาเปนความรักแบบหลงใหลในรูปกายภายนอก อยากเปนเจา ของ ทําใหเ กิดโทษ คอื ความทุกขใ จเม่อื ไมไดค รอบครอง และสุดทา ยจงึ ตองจบชวี ิตลง เน่อื งจากไมสามารถครอบครองนางอนั เปนท่รี กั ซึง่ มีเจาของได คูมอื ครู 99
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปาหมายการเรียนรู 1. วิเคราะหว ิจารณว รรณคดีและวรรณกรรมเรอ่ื ง นทิ านเวตาลตามหลักการวจิ ารณเบื้องตน 2. วเิ คราะหและประเมนิ คุณคาดานวรรณศิลปข อง วรรณกรรมเร่อื ง นทิ านเวตาล ในฐานะทีเ่ ปน มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ 3. สังเคราะหขอ คิดจากวรรณกรรมเร่อื ง นิทาน เวตาลเพ่อื นาํ ไปประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ จรงิ สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอื่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ิต คุณลกั ษณะอันพึงประสงค óหนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี นิทานเวตาล 1. มีวินยั เปน วรรณกรรมสันสกฤต 2. ใฝเรียนรู ท่ไี ดรับความนยิ มแพรหลาย และมี 3. ซื่อสตั ยส ุจรติ การแปลเปนหลายภาษา แมวา จะเปน 4. มงุ ม่นั ในการทํางาน เร่อื งราวโบราณเกาแก แตก ็แทรกสภุ าษติ และ คตธิ รรมเปน อนั มาก นอกจากน้ผี ูอานยงั จะได กระตนุ ความสนใจ Engage ศกึ ษาเร่อื งความเปน อยู ความเชื่อ ประเพณี พิธกี รรม และวัฒนธรรมอนิ เดยี โบราณประกอบกบั เน้อื หานทิ านที่เราใจและยงั จะไดศ ึกษาสาํ นวนภาษา ของ น.ม.ส. ซ่ึงไดร ับการยกยอ งวา เปน รตั นกวีอีกดวย ครสู นทนาซกั ถามกระตุนความสนใจ ดังน้ี นทิ านเวตาล (เรอ่ื งที่ ๑๐) • นกั เรยี นคิดวา เรื่องราวเกีย่ วกบั เวตาลมี ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ความหมายเกยี่ วขอ งกับส่งิ ใดบาง • ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๒, ๓, ๔ • การวิเคราะหแ์ ละประเมินคณุ คา่ วรรณคดแี ละวรรณกรรม (แนวตอบ นักเรยี นสามารถถา ยทอด เรื่อง นิทานเวตาล (เรอื่ งท ี่ ๑๐) ประสบการณไ ดอยา งหลากหลาย เน่ืองจาก วรรณกรรมเร่ืองนีไ้ ดรับการถายทอดผา นสื่อ ตางๆ ไมว า จะเปน ภาพเขียน การต ูน รวมถงึ วดี ทิ ศั น และการเลาเรือ่ งแบบมขุ ปาฐะ) เกรด็ แนะครู หนวยการเรยี นรนู ้ี ครูควรเชือ่ มโยงความรใู หน กั เรียนเห็นวา นทิ านเวตาลเปน วรรณกรรมสันสกฤตที่มคี วามเกาแกและเปนทนี่ ิยมเลา ขานสืบทอดกันมาเปน เวลา กวา 2,500 ป จนมีการแปลเปน ภาษาตา งๆ หลายภาษา และมกี ารนาํ ตวั ละคร เวตาลไปเปน ตวั ละครในวรรณกรรมเร่ืองอ่ืนๆ อยางหลากหลาย สง ผลใหตวั ละคร เวตาลมภี าพลกั ษณท ี่หลากหลายตามไปดว ย พรอมกนั นัน้ ครคู วรแนะนําใหน ักเรยี น สืบคนขอ มลู ทนี่ า เช่อื ถอื เกีย่ วกบั นทิ านเวตาลในรูปแบบตางๆ เชน หนงั สือ เว็บไซตท่ี แสดงแหลงอางอิงขอ มลู ท่ีนา เชื่อถือ เปนตนวา URL เว็บไซตเ ปน ac.th หรอื เว็บไซต ทผี่ เู ขยี นมีความรู มีชื่อเสยี งนาเชื่อถอื เปนตน เน่ืองจากขอมลู ทหี่ ลากหลายจะชว ย ใหนกั เรยี นสามารถปรบั ความรคู วามเขาใจรวมถึงเห็นภาพของเวตาลทไ่ี ดร ับการ นาํ เสนอไดห ลากหลายขนึ้ และขยายความเขา ใจเวตาลในภาพลกั ษณต า งๆ ไดด ยี งิ่ ขนึ้ 100 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑. ควำมเปนมำ 1. ครูนําภาพเวตาลจํานวน 2 ภาพ ที่มีบคุ ลิก แตกตางกนั คอื ภาพแรกเปน ภาพเวตาลทีม่ ี นิทานเวตาล ฉบับพระนิพนธ์ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ มีที่มาจาก ความดรุ า ยกบั ภาพท่สี อง คอื ภาพเวตาลที่ไม วรรณกรรมสนั สกฤตของอนิ เดยี โดยเรอ่ื งเดมิ มชี อ่ื วา่ เวตำลปญั จวงิ ศติ (Vetala Panchavinshati) ดุรา ยมาใหน ักเรียนดู จากน้ันครูสนทนากบั แปลวา่ นทิ าน ๒๕ เรอ่ื งของเวตาล (ปัญจะ = ๕, วงิ ศติ = ๒๐) ศวิ ทาสไดแ้ ต่งไวแ้ ต่โบราณ และ นักเรยี น โดยครใู หนกั เรียนเลือกวา เวตาลใน โสมเทวะไดน้ า� มาเรยี บเรยี งขนึ้ ใหมแ่ ละรวมไวใ้ นหนงั สอื ชอ่ื กถำสรติ สำคร (Katha-sarita-sagara) ความรูสกึ และความเขา ใจของนักเรียน คือ ในราวคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๒ ต่อมาในระหว่าง ค.ศ. ๑๗๑๙ - ๑๗๔๙ (พ.ศ. ๒๒๖๒ - ๒๒๙๒) ภาพใด พรอมใหเ หตุผลประกอบ พระราชาแห่งกรุงชัยปุระโปรดให้แปล1นิทานเวตาลจากฉบับภาษาสันสกฤตเป็นภาษาอื่นๆ อีก และต่อมามีผูน้ า� มาแปลเปน็ ภาษาฮนิ ด ี มีชื่อเรือ่ งว่า ไพตำลปจั จีสี (Baital Pachisi) รวมทงั้ ยังมี 2. นกั เรยี นรวมกันประมวลความคิดเห็น การนา� มาแปลเป็นภาษาอน่ื ๆ ของอินเดียอกี แทบทุกภาษา สาํ รวจคน หา Explore ต่อมาได้มีผู้น�านิทานเวตาลท้ังฉบับภาษาสันสกฤตและ นักเรียนแบง กลุมเปน 4 กลมุ ใหแตล ะกลมุ จบั ฉบับภาษาฮินดีมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ รวมทั้งร้อยเอกเซอร์ สลากหวั ขอในการสืบคนขอมูลเก่ยี วกับวรรณกรรม ริชาร์ด เอฟ. เบอร์ตัน ก็ได้น�ามาแปลและเรียบเรียงแต่งแปลง เรือ่ ง นทิ านเวตาล ตามหัวขอ ตอไปน้ี เปน็ สา� นวนของตนเองให้คนอังกฤษอา่ นโดยใชช้ ่อื วา่ Vikram and the Vampire or Tales of Hindu Devilry แตไ่ มค่ รบถว้ นทงั้ ๒๕ เรอื่ ง • กลมุ ท่ี 1 ความเปนมา กรมหมนื่ พทิ ยาลงกรณไดท้ รงแปลนทิ านเวตาลจากฉบบั ของเบอรต์ นั • กลมุ ที่ 2 ประวตั ผิ ูแ ตง จา� นวน ๙ เรื่อง และจากฉบับแปลส�านวนของ ซ.ี เอช. ทอวน์ ยี ์ • กลมุ ท่ี 3 ลักษณะคาํ ประพนั ธ อกี ๑ เรอ่ื ง รวมเปน็ ฉบบั ภาษาไทยของกรมหมนื่ พทิ ยาลงกรณ ๑๐ • กลมุ ที่ 4 เรอ่ื งยอ เรอ่ื ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ รอ้ ยเอกเซอร ์ รชิ ารด์ เอฟ. เบอรต์ นั อธบิ ายความรู Explain ผเู้ รียบเรียงแตง่ นิทานเวตาลฉบบั กรมหมื่นพิทยาลงกรณทรงกล่าวถึงนิทานเวตาลฉบับของ ภาษาองั กฤษ 1. นักเรียนกลมุ ที่ 1 นาํ เสนอความเปนมาของ เบอร์ตันและฉบับของพระองค์ไว้ในค�าน�าในคราวที่มีการจัดพิมพ์ วรรณกรรมเร่ือง นิทานเวตาล ดงั ตอไปนี้ • นกั เรยี นอธบิ ายวา นทิ านเวตาลมคี วามเปน มา เปน็ คร้งั แรกว่า และความสาํ คญั อยางไร (แนวตอบ ท่มี านทิ านเวตาลฉบับพระนิพนธ “…ถ้ำใครอำ่ นนทิ ำนเวตำลในภำษำอังกฤษอย่ำงฉบบั ของเบอรต์ ัน อ่ำนสนุกกวำ่ ฉบับอื่น พระราชวรวงศเธอ กรมหม่ืนพทิ ยาลงกรณ ถำ้ จะเปรยี บกบั เครอ่ื งเพชรพลอยทที่ ำ� เปน็ วตั ถสุ ำ� หรบั ประดบั กำยกเ็ หมอื นกบั พลอยแขกอยำ่ งดี เดิมเปนวรรณคดีสันสกฤตของอินเดยี ท่ีมี ซึ่งชำ่ งฝร่งั เอำไปฝงั ไวใ้ นเรือนทองคำ� อันมีรูปและลำยงดงำม ถูกใจผู้ทีม่ ิใชแ่ ขก ถึงผู้อำ่ นไม่ใช่ ความแพรห ลายมาก จนมีการแปลเปน ฝรงั่ ก็เห็นดีอย่ำงฝรง่ั ได้ เพรำะอำ่ นภำษำองั กฤษ สว่ นฉบับภำษำไทยนี้ ได้ใชฉ้ บบั เบอร์ตนั เป็น ภาษาองั กฤษ พระองคท รงแปลวรรณกรรม หลกั ในกำรเรียบเรยี ง ถำ้ จะเอำเทียบกบั ฉบบั ท่แี ปลตรงมำจำกสนั สกฤตหรือหนิ ที (ฮินดี) จะผิด เร่อื งนี้ จากตน ฉบับภาษาอังกฤษจาก 2 กันมำก เพรำะในฉบับอังกฤษมีส�ำนวนควำมคิดและโวหำรของเบอร์ตันปะปนอยู่ก็มำกช้ันหน่ึง แหลง ทีม่ า คือ ฉบบั ของเบอรต ัน จาํ นวน อย่แู ลว้ ซำ้� ในภำษำไทยนี้ น.ม.ส. ปนลงไปอกี ชน้ั หนึ่งเล่ำ อน่งึ เรอื่ งในฉบบั บำงเรอื่ ง ไมม่ ีใน 9 เรอื่ ง และฉบบั ของซ.ี เอช.ทอวนยี ฉบับเบอรต์ นั บำงเรื่องในฉบับเบอรต์ นั ไม่ได้เอำลงมำในหนงั สอื น้…ี ” อีกหน่งึ เรื่อง รวมจาํ นวน 10 เร่อื ง) 101 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู จากวรรณกรรมเร่อื ง นิทานเวตาล ขอ ใดตอ ไปน้ีกลาวถกู ตอ ง ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรเู กย่ี วกบั คาํ วา “แขก” หมายถงึ คาํ เรยี กชาวอนิ เดยี ศรลี งั กา 1. ฉบับภาษาไทยแปลจากตนฉบับภาษาอังกฤษจํานวน 10 เรื่อง ปากสี ถาน บงั กลาเทศ อฟั กานิสถาน เนปาล ชวา มลายู ชาวเอเชียตะวนั ออกกลาง 2. ฉบบั ภาษาไทยแปลโดยตรงจากฉบบั ภาษาสนั สกฤต ชือ่ วา เวตาล และตะวันออกใกล มีผูนิยมใชคําวา แขก เรียกชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม ซ่ึง ถอื วา ไมถ กู ตอ ง ครคู วรแนะนาํ นกั เรยี นวา การเรยี กผอู น่ื ดว ยคาํ เหยยี ดหยามหรอื ดถู กู ปญจวิงศติ ชาติพันธุ ผถู ูกเรยี กอาจมคี วามรสู ึกแปลกแยกกับชาตพิ ันธุสว นใหญในสงั คม และถือ 3. ศิวทาสไดรวบรวมและเรียบเรยี งมาจากเรอื่ งเลาของโสมเทวะ ช่ือวา เปน รากฐานสาํ คัญของความขดั แยงทางสังคมและวัฒนธรรม จนนาํ ไปสกู ารใชความ รนุ แรงในทายท่สี ดุ กถาสรติ สาคร 4. ฉบับภาษาไทยแปลมาจากสํานวนของ ซี.เอช.ทอวน ียท้ังสิบเรือ่ ง นักเรยี นควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ฉบบั ภาษาไทยแปลจากตนฉบบั ภาษา องั กฤษจาํ นวน 10 เรอ่ื ง มีขอมูลถกู ตอง โดยแปลจากสองแหลงที่มา สวน ในขออน่ื ๆ เปนคําตอบทผี่ ิด 1 ภาษาฮินดี เปน ภาษากลมุ อนิ โด-ยโู รเปยน อยใู นกลุม ยอ ยอินโด-อหิ ราน มี วิวัฒนาการมาจากภาษาปรากฤต และมวี ิวัฒนาการทางออ มจากภาษาสันสกฤต ในสว นของตวั อกั ษร ภาษาฮนิ ดเี ขยี นดว ยอกั ษรเทวนาครี (Devanāgarī) คมู อื ครู 101
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นักเรียนกลุมท่ี 2 นาํ เสนอประวัตผิ แู ตง นิทานเวตาล เป็นนิทานท่ีมีลักษณะเป็นนิทานซ้อนนิทาน (frame narrative) วรรณกรรมเร่อื ง นทิ านเวตาล ในประเดน็ คอื มนี ิทานเรื่องย่อยซอ้ นอยู่ในนทิ านเรอื่ งใหญ ่ ตอไปนี้ รูปแบบนิทานซ้อนนิทานมีมานานแล้วในรูปแบบวรรณกรรมมุขปาฐะหรือวรรณกรรม 1 • การประพนั ธวรรณกรรมเรอื่ งนิทานเวตาล แสดงใหเห็นความสามารถดา นภาษาของ บอกเล่า (oral literature) ซ่ึงเป็นการเล่าเรื่องจากปากสู่ปาก โดยอาจเปล่ียนองค์ประกอบอ่ืนๆ พระราชวรวงศเ ธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ อาทิ ช่ือตัวละคร เหตุการณ์ ฉาก บรรยากาศ หรือสัญลักษณ์บางอย่าง แต่แก่นเร่ืองหลัก อยางไร (theme) ยังคงเดิม ส่วนนิทานเรื่องย่อยท่ีซ้อนอยู่ในนิทานเร่ืองใหญ่มีหน้าที่เป็นส่วนเสริมให้ (แนวตอบ เปนผูม คี วามรคู วามเชีย่ วชาญภาษา แก่นเรื่องหลักเด่นชัด หนักแน่น และยังท�าให้โครงเรอ่ื งใหญเ่ ขา้ ใจงา่ ย โดยผแู้ ตง่ อาจจะใชก้ ลวธิ ี อังกฤษในระดับสูง สามารถแปลวรรณกรรม ใหต้ วั ละครในเรอื่ งใหญเ่ ปน็ ผเู้ ลา่ เรอื่ ง มกี ารผกู ปม ต้ังปริศนาหรือปัญหา และเฉลยหรือคล่ีคลาย จากภาษาองั กฤษเปน ภาษาไทย โดยคงเน้ือหา ปัญหาในตอนทา้ ยเรอ่ื ง 2 ทม่ี ีความสมบูรณ นอกจากนี้ ทานยังเปน วรรณกรรมอินเดียโบราณท้ังท่ีเป็นฉบับภาษาบาลีหรือฉบับภาษาสันสกฤตมักปรากฏ ผูแ ตกฉานในการใชภ าษาไทยและศิลปะการ รปู แบบนิทานซ้อนนิทานอยเู่ ปน็ จา� นวนมาก ประพนั ธ ทา นจึงสามารถเลอื กสรรถอยคาํ ที่ มีความสมบูรณทง้ั ดา นเสียง และความหมาย ๒. ประวัติผแู ตง่ โดยเฉพาะอยา งย่ิงวรรณกรรมที่มลี กั ษณะ เปน รอ ยแกว ทีม่ ีความโดดเดนแตกตางจาก พระราชวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ ทรงช�านาญด้าน บทประพนั ธร ว มสมัยเดียวกัน รวมถึงงาน ภาษาและวรรณคดีเป็นพิเศษ ได้นิพนธ์หนังสือไว้มากมายโดยใช้ ประเภทรอยกรองอีกหลายเร่อื ง อาทิ พระนามแฝง “น.ม.ส.” ซง่ึ ทรงเลอื กจากอกั ษรตวั หลงั พยางคข์ องพระนาม กนกนคร และสามกรงุ ) (พระองคเ์ จา้ ) “รชั นแี จ่มจรัส” พระนามแฝง “น.ม.ส.” เป็นที่รู้จักกันดีในนามนักเขียนและ 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ กวีท่ีมีโวหารพิเศษ คือ คมคายและขบขัน เม่ือทรงเขียนเร่ือง ชีวิตของนักเรียนเมืองอังกฤษ ลงในหนังสือวชิรญาณครั้งแรก ผู้อ่านก็ชอบใจทันที เพราะมีความแปลกใหม่ทั้งแนวเขียน ขยายความเขา ใจ Expand แนวคิด ความช�านาญทางภาษาเย่ียมยอด จึงได้ทรงรับเลือกให้ 1. ใหน กั เรียนคน ควา เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกับบทพระ ด�ารงต�าแหน่งสูงทางคุณวุฒิหลายคร้ัง เช่น องคมนตรี สภานายก นพิ นธในพระราชวรวงศเ ธอ กรมหมืน่ พทิ ยา- ราชบณั ฑติ ยสถาน เป็นต้น ลงกรณท่ีแสดงใหเหน็ ความสามารถในการ พระองค์ได้ทรงต้ังโรงพิมพ์และมีกิจการพิมพ์ส่วนพระองค์ ประพนั ธข องพระองค ท่ีถนนประมวญ และทรงออกหนังสือเครือประมวญ ช่ือ พระราชวรวงศเ์ ธอ (แนวตอบ ปรากฏทงั้ วรรณกรรมประเภทรอ ยแกว กรมหมื่นพิทยาลงกรณ และรอ ยกรอง วรรณกรรมประเภทรอ ยแกว เชน จดหมายจางวางหรํา่ สืบราชสมบตั ิ เปน ตน ประมวญวนั และประมวญมารค และประเภทรอ ยกรอง เชน กนกนคร พระนล- งานพระนิพนธม์ ีท้งั ๒ ประเภท ดังนี้ คําฉันท และสามกรงุ เปน ตน ) ๑. ประเภทรอ้ ยแกว้ ไดแ้ ก ่ จดหมายจางวางหรา�่ นทิ านเวตาล สบื ราชสมบตั ิ ตลาดเงนิ ตรา พระนางฮองไทเฮา และท่ีได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ บทความหน้า ๕ ในหนังสือ 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ประมวญวัน ๒. ประเภทร้อยกรอง ไดแ้ ก่ กนกนครคา� กลอน พระนลคา� ฉันท ์ สามกรุง 102 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT จากวรรณกรรมเร่อื ง นทิ านเวตาล ขอ ใดกลาวถูกตองชัดเจนที่สดุ ครเู พ่มิ เติมความรูเกี่ยวกับราชบณั ฑิตยสถาน เนอื่ งจากพระราชวรวงศเธอ 1. นิทานเวตาลเปน นทิ านใหข อ คิด กรมหม่นื พทิ ยาลงกรณ พระองคทรงดํารงตําแหนง สภานายกราชบณั ฑติ ยสถาน 2. นทิ านเวตาลเปนนิทานเพอื่ ความบนั เทงิ ซง่ึ เปน สถาบนั หลักของเครอื ขา ยทางปญ ญาแหงชาติ และเปนองคก ารพฒั นา 3. นทิ านเวตาลเปน นทิ านอทุ าหรณเพอื่ แสดงคตธิ รรม ความรูท่ีสามารถเปนแหลงอา งอิงทางวชิ าการ แสดงถงึ ความสามารถของพระองค 4. นทิ านเวตาลเปนนิทานชาดกแสดงการบําเพ็ญบารมขี องพระโพธสิ ตั ว ในดา นอักษรศาสตรอ ยางลึกซ้ึง วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. นทิ านเวตาลเปน นิทานอุทาหรณเ พอื่ แสดง คติธรรม นิทานท่ีแสดงอทุ าหรณ หมายถึง การเลานทิ านโดยยกตวั อยาง นกั เรียนควรรู ขึ้นมาอางหรอื แสดงใหเห็น หรือหมายถงึ เรือ่ งท่ยี กขน้ึ มาเทยี บเคียงเปน ตัวอยา ง 1 มขุ ปาฐะ การบอกเลา ตอ ๆ กนั มา โดยมไิ ดเ ขยี นเปน ลายลกั ษณอ กั ษร ในอดตี มผี รู หู นงั สอื นอ ย การเผยแพรว รรณกรรมจงึ ใชก ารฟง และการเลาสบื ตอกนั 2 ภาษาบาลี เปน ภาษาทเ่ี กา แกใชบ ันทกึ คัมภีรในพระพุทธศาสนานกิ าย เถรวาท เชน พระไตรปฎ ก เปนตน 102 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู ๓. ลกั ษณะค�ำประพนั ธ์ 1. นกั เรียนกลมุ ท่ี 3 นําเสนอลกั ษณะคําประพนั ธ จากวรรณกรรมเรอ่ื ง นิทานเวตาล ดังตอไปน้ี • วรรณกรรมเรอ่ื งนทิ านเวตาล มลี ักษณะ เขียนร ้อนยทิ แากน้วเวขตอางลฝแรต่ัง่งมเปาป็นรรับ้อยเขแ้ากกว้ ับ (สบ�าานงวเรน่อื1ไงทมยีกไาดพ้อยย ์ ่ากงลกอลนม กหลรืนอื ฉแันลทะ์แไทมร่ทก�า) ใหโด้เสยนียอ�าทรร�าถนรอสง คําประพันธประเภทใด และนักเรยี นคิดวา แต่กลับท�าให้ภาษาไทยมีชีวิตชีวา จึงได้รับยกย่องว่าเป็นส�านวนร้อยแก้วที่ใหม่ท่ีสุดในยุคนั้น การใชค ําประพนั ธใ นลักษณะดงั กลา ว เรยี กว่า “สา� นวน น.ม.ส.” เช่น ชว ยใหม ีความโดดเดนกวาวรรณกรรม เรือ่ งอื่นอยางไร (แนวตอบ มีลักษณะคาํ ประพนั ธประเภท “...มเหสีซ่ึงแม้มีพระราชธิดาจ�าเริญวัยใหญ่แล้ว ก็ยังเป็นสาวงดงาม ถ้าจะเปรียบกับ รอยแกว ทีไ่ ดร ับยกยองวา แปลกใหมท สี่ ุดใน พระราชบุตรี ก็คล้ายพี่กับน้องยิ่งกว่าแม่กับลูก ท่ีเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะพระราชธิดามีอาการ สมยั น้ัน โดยการปรับทว งทาํ นองการเขยี น แก่เกินอายุ ที่จริงเป็นด้วยพระราชมารดาเป็นสาวไม่รู้จักแก่ แลความสาวของพระนางเป็น รอยแกวจากตา งประเทศเขา กบั ชนั้ เชิงหรอื เครือ่ งประหลาดของคนทง้ั หลาย...” ทว งทาํ นองการเขียนในภาษาไทยไดอ ยา ง ส�ำนวนท่ี ๑ “คล้ายพ่ีกับน้องย่ิงกว่าแม่กับลูก” เป็นความเปรียบเทียบด้วยค�าง่ายๆ แต่ กลมกลนื สามารถสื่อสารไดอยา งมีชีวิตชีวา เข้าใจไดอ้ ย่างชัดเจน ส�ำนวนท่ี ๒ “เคร่ืองประหลาด” คือ เรื่องแปลก ไม่ค่อยมีในสมัยนน้ั ตวั อยา งเชน “...มเหสซี ่ึงแมม พี ระราชธิดา จําเริญวัยใหญแ ลว กย็ ังเปน สาวงดงาม...” ตัวอยางน้ี พบวา มกี ารวางคําขยายหลาย แหง และมคี วามแตกตางจากภาษาไทยแต สรรพส์ าระ นิทานเวตาลของไทย เดิม โดยทัว่ ไปมกั มองวา เปน ลักษณะการใช คําฟมุ เฟอ ย แตใ นขอ ความนี้ มีการจดั วาง นิทานเวตาล มีหลักฐานปรากฏว่าเร่ิมแต่งเป็นเรื่อง เพอื่ ใหเ กิดเสียงสมั ผัสสระทไ่ี พเราะ) ข้ึนมาเมื่อสมัยธนบุรี โดยกวีท่ีมีชื่อเสียงคนหน่ึง คือ 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เ2ม่อื ยงั ดา� รงตา� แหน่งหลวงสรวชิ ติ ใช้ ขยายความเขา ใจ Expand (ชถอ่ื ึกเรอื่จงิตวรา่ กถลึกลิ )ติ เไพดช้นร�ามลงิลกิตฎุ3เรใ่ือนงเนวลี้มาาตแอ่ตม่งาเป็นหวลรวรงณธรครดมีอภีกมิ คณรฑั้ง์ คือ เร่อื ง เพชรมงกฎุ ค�ำฉนั ท์ แมป้ จั จบุ ันก็ยังมกี ารแปลนทิ าน 1. ใหน กั เรียนยกบทประพนั ธจ ากวรรณกรรมเรอ่ื ง เวตาลเป็นภาษาไทยโดยใช้ฉบับภาษาสันสกฤตท่ีเขียนด้วย นทิ านเวตาล ที่นกั เรยี นเหน็ วา มีความโดดเดน อักษรเทวนาครี เป็นฝีมือการแปลของศาสตราจารย์ (พิเศษ) ในช้ันเชงิ หรือทวงทาํ นองการเขยี นมาคนละ 1 ดร.ศกั ดศ์ิ รี แยม้ นดั ดา ซง่ึ นบั วา่ เปน็ ครง้ั แรกทมี่ กี ารแปลนทิ าน ตัวอยา ง ครสู มุ นักเรียน 1-2 คน ออกมา เวตาลเปน็ ภาษาไทยครบท้ัง ๒๕ ตอน อันสอดคล้องกับชื่อ นาํ เสนอหนา ชน้ั เรยี น นกั เรยี นอาจยกตวั อยา งวา เรอื่ งทีว่ ่า เวตำลปัญจวงิ ศติ หรือเวตาล ๒๕ เร่ือง “...มเหสซี ง่ึ แมม พี ระราชธดิ าจาํ เรญิ วยั ใหญแ ลว กย็ ังเปนสาวงดงาม...” มีการเปรียบเทียบ เวตาล ฉบบั ดร.ศกั ดศ์ิ ร ี แยม้ นดั ดา ของ สาำ นกั พมิ พแ์ มค่ าำ ผาง โดยใชถ อยคาํ ทม่ี คี วามหมายขดั แยงหรอื ตรง 103 ขามกนั มากลาว เพื่อเนน ย้าํ ความหมาย อยางกลมกลืน 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู วรรณกรรมเร่อื งใดตอไปนี้ มลี กั ษณะการเลา เรือ่ งสอดคลองกบั ครคู วรเพ่มิ เติมความรูเก่ียวกับอกั ษรเทวนาครีวา เปน อกั ษรท่ีพฒั นามาจาก วรรณกรรมเร่ือง นิทานเวตาล อกั ษรพราหมีในราวคริสตศตวรรษที่ 11 ใชเขยี นภาษาฮินดี สนั สกฤต มราฐี บาลี สินธี เนปาล และภาษาอ่ืนๆ ในประเทศอินเดีย มีลกั ษณะการเขียนจากซายไปขวา 1. นทิ านอีสป มีเสนเล็กๆ อยูเหนอื อกั ษร หากเขียนตอ กนั จะเปนเสนยาวคลา ยเสน บรรทดั 2. อาหรับราตรี 3. นิทานชาดก 4. ขุนชา ง ขนุ แผน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. อาหรับราตรี มกี ลวิธกี ารเลาเรอื่ งใน นักเรยี นควรรู ลกั ษณะนิทานซอ นนิทานสอดคลอ งกบั วรรณกรรมเร่ือง นทิ านเวตาล 1 สํานวน ในทน่ี ้ีหมายถึง ชั้นเชงิ หรอื ทวงทาํ นองในการแตงหนังสอื หรอื พดู 2 ลลิ ิตเพชรมงกุฎ เปน ลิลิตท่ีแตง ข้นึ โดยมเี คา เรอื่ งมาจากนทิ านเวตาล เน้อื เรือ่ งเร่ิมตนจากการนมสั การส่ิงศักดิ์สทิ ธิ์ แลว ดําเนนิ เรอื่ งตามนิทานเวตาล 3 ลิลิต ช่อื คาํ ประพนั ธป ระเภทรอ ยกรองแบบหนงึ่ ซึ่งใชโคลงและรา ยตอ สมั ผสั กนั เปนเรือ่ งยาว คมู ือครู 103
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นกลุม ท่ี 4 นาํ เสนอเน้ือเร่ืองยอ ของ ๔. เรือ่ งยอ่ วรรณกรรมเรอื่ ง นิทานเวตาล ดงั ตอไปน้ี • นกั เรยี นเลา เร่อื งยอนิทานเวตาล เมอ่ื ๒,๐๐๐ กวา่ ปที ผ่ี า่ นมา ณ เมอื งอชุ เชน ี (อชุ เชยนิ )ี มพี ระราชาทรงพระปรชี าสามารถ (แนวตอบ พระวกิ รมาทิตยต อ งการตอบแทน พเปร็นะรทาี่เชลบ่ือิดงลาขืออทงรพงพระรวะกินรามมาวท่าิตยพ์แรละะวปิกรระมสำงทคิตท์ ยจ่ี ์ะเคอรา้ังชนวี ั้นติ มพีโรยะคอีตงคน์แห2ทนนึ่ง ชเื่อพอื่ ศเปำนน็ กตาิศรีลบชู ผานูกาองาทฆรุ าคตา1 บุญคุณของโยคศี านติศลี จงึ ไปนาํ ตัวเวตาล เพราะพระวิกรมาทิตย์ทรงพระราชสมภพในวัน เดือน ปี และฤกษ์เดียวกันกับตน โยคีศานติศีล มาประกอบพิธี แตเวตาลไมยอมจึงพยายาม จึงท�าอุบายปลอมตนเป็นพ่อค้าน�าทับทิมล�้าค่าซ่อนไว้ในผลไม้มาถวายพระวิกรมาทิตย์ทุกวัน หนว งเหนีย่ วดว ยการเลานทิ านใหฟงและถาม พระวิกรมาทิตย์จึงพระราชทานพระ3อนุญาตให้พ่อค้าทูลขอสิ่งท่ีปรารถนาเพ่ือเป็นการตอบแทน คําถาม หากพระราชาเอย ปากพูดเวตาลกจ็ ะ ศานติศีลจึงเผยตัวว่าตนเองเป็นโยคี และทูลขอให้พระวิกรมาทิตย์ไปจับเวตาลในป่าช้าเพ่ือน�ามา กลับไปสูท่เี ดมิ แตพ ระราชากลับตอบคําถาม ประกอบพิธีอย่างหนึง่ และตามสัญญาพระวิกรมาทติ ย์จะตอ้ งเสดจ็ ไปกับพระราชโอรสเท่านนั้ ของเวตาลทุกครั้ง จนเร่ืองสุดทายพระราชา เวตาลน้ันสิงอยู่ในซากศพซ่ึงแขวนอยู่ท่ีต้นอโศก ศพน้ันมีลักษณะตามที่กล่าวไว้ใน ไมต อบ จากความเพยี รและการลดขตั ตยิ มานะ เนื้อเรือ่ ง ดงั นี้ ของพระราชา เวตาลจงึ บอกความจริง “ลืมตาโพลง ลกู ตาสเี ขียวเรอื งๆ ผมสนี ้�าตาล หน้าสนี า้� ตาล ตวั ผอม เหน็ ซี่โครงเปน็ ซีๆ่ เกย่ี วกับแผนการรายของโยคี เม่ือพระราชา ห้อยเอาหัวลงมาท�านองค้างคาว แต่เป็นค้างคาวตัวใหญ่ท่ีสุด เมื่อจับถูกตัวก็เย็นชืดเหนียวๆ เสดจ็ มาถึงสถานท่ีนัดหมาย จึงไดสังหารโยคี เหมือนง ู ปรากฏเหมอื นหนึ่งว่าไมม่ ชี วี ติ แตห่ างซงึ่ เป็นเหมอื นหางแพะนั้นกระดิกได้” ในสว นนทิ านทเ่ี วตาลเลาใหพ ระราชาฟง นัน้ ในบทเรยี นนก้ี ลาวถึง พระราชาจนั ทรเสนกบั ปกณิ กะ พระราชบุตรทรงมา ลาสตั ว ทอดพระเนตร เหน็ รอยเทา สตรสี องคน จงึ ทรงตกลงกนั วา ใหพระราชาเลือกนางผูมรี อยเทา ใหญ พระราชบตุ รเลือกนางผมู รี อยเทา เล็กมาเปน เป็นสัญลอักโษศณกข์เปอ็นงคตว้นาไมมรท้ ักม่ี ีรแูปลทะรมงักสนว�ายไงปาบมชู คาลพ้ารยะสกถาูปม4เใทนพ5อนิ เดีย ถือว่า อโศก ชายา เมื่อรบั นางทัง้ สองไปอภิเษกกลบั ปรากฎวา พระราชาอภเิ ษกกับพระธดิ า สวน อโศกมีหลายชนิด มีถิ่นก�าเนิดในอินเดีย เป็นไม้ยืนต้นขนาด พระราชบุตรอภเิ ษกกับพระมเหสี จากนนั้ กลาง สงู ประมาณ ๑๐ - ๒๐ เมตร ใบเปน็ มนั ดกทบึ สว่ นดอกจะออกเปน็ เวตาลก็ต้งั ปญ หาวา บตุ รธดิ าทเี่ กดิ จากท้งั สอง ช่อสีเหลืองแล้วค่อยๆ เปล่ียนเป็นส้มจนถึงแดง ดอกมีกลิ่นหอมออ่ นๆ คูจ ะนับญาติกนั อยา งไร) ทอ่ี นิ เดยี จะนา� เปลอื กของตน้ มาทา� ยารกั ษาโรคเลอื ดลมผดิ ปกตใิ นผหู้ ญงิ 2. นักเรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ และโรครดิ สีดวงทวาร • อโศก เป็นตน้ ไมท้ ่ีไม่นยิ มปลูกตามบ้าน เนื่องจากความเช่ือ ขยายความเขา ใจ Expand ท่ีวา่ ชื่อตน้ ไมช้ นดิ นไี้ มเ่ ป็นมงคล ถ้าปลกู จะท�าใหค้ นในบ้านมีแต่เร่ือง เศรา้ โศก นกั เรียนรว มกนั อภิปรายในประเดน็ ท่ีวา • อโศก มีช่ือมาจากภาษาอินเดีย ตามชื่อของพระเจ้าอโศก • เน้ือหาของนทิ านเวตาลแตล ะตอนมลี กั ษณะ มหาราช กษตั ริยผ์ ู้ยงิ่ ใหญ่ในสมัยโบราณ เดน อยา งไร 104 (แนวตอบ นักเรยี นอาจกลาววา แตละตอนเนน การผูกเร่อื งแสดงปญหาที่ซับซอน ชวนคิด เพ่อื กระตนุ ใหตอบคาํ ถามในชวงทาย) ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู 1 ทรุ คา เปนปางหนงึ่ ของพระอุมาเทวี มีความหมายวา ผเู ขาถงึ ไดย าก นิทานเวตาลเรอ่ื งท่ี 10 มีสาระสําคัญตรงกับขอ ใด 1. ความสาํ คัญของการพูด 2 ฤกษ คราวหรอื เวลาท่ีกาํ หนดหรอื คาดวา จะใหผล อาทิ ฤกษด ี ฤกษร า ย 2. การทาํ ดีละเวนความชัว่ มกั นิยมใชในทางดี เชน หาฤกษแตง งาน หาฤกษย กเสาเอก เปนตน 3. การใชปญ ญาในการแกไขปญหา 3 โยคี หมายถงึ นักบวชผูป ฏิบตั ติ ามลทั ธโิ ยคะ ฤษีพวกหน่ึง ภาษาบาลี 4. การกระทาํ ทีเ่ บย่ี งเบนไปจากมาตรฐานของสังคม สนั สกฤตใชวา โยคนิ ฺ ผูป ฏิบัติตามลัทธโิ ยคะ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. ความสําคัญของการพดู เปนสาระสําคัญ ของเรอื่ ง สอดคลองกับแกนเรอ่ื ง ซ่งึ ชีใ้ หเ ห็นความสําคัญของการพูดที่ 4 สถปู คอื สงิ่ กอ สรางเปน รปู โอควํ่า ซง่ึ กอ ไวสาํ หรับบรรจสุ ิง่ ควรบชู า เชน อาจนาํ มาซึ่งผลดีและผลเสีย พระบรมสารรี ิกธาตุ เปนตน 5 พระกามเทพ เปนเทพเจาในความเช่อื ของศาสนาพราหมณ- ฮินดู ถอื เปน เจา แหงความรกั (กาม หมายถึง ความรัก ความปรารถนา) มีขอชางเปน อาวธุ ใน วรรณคดไี ทยเรียกขอนวี้ า ขอกาม 104 คูม อื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain เม่ือพระวิกรมาทิตย์ทรงจับตัวเวตาลได้แล้ว ก่อนจะออกเดินทางไปพบโยคีศานติศีล 1. นกั เรียนรวมกนั ตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ เวตาลได้กล่าวกบั พระวิกรมาทติ ยว์ า่ • นทิ านเวตาลมลี กั ษณะเดนอยา งไร “ในเวลาเดินทางน้ัน ข้าพเจ้าจะเล่านิทานเล่นเพราะปราชญ์ผู้มีความรู้ย่อมใช้เวลาของ (แนวตอบ นิทานเวตาลเปนนิทานท่ีมลี กั ษณะ ตนในเรื่องหนงั สอื มิใช่ใชเ้ วลาในการนอนแลการขเี้ กยี จอยา่ งคนโง ่ ในเวลาเลา่ นทิ านนน้ั ขา้ พเจา้ นทิ านซอ นนิทาน คอื มนี ทิ านเร่ืองยอ ยแทรก จะตงั้ ปญั หาถามพระองค์ และพระองค์ต้องสัญญาข้อนี้เสียก่อน ข้าพเจ้าจึงจะยอมไปด้วย คือ อยูใ นนทิ านเรือ่ งใหญอ ีกชั้นหนง่ึ โดยนิทาน เม่ือข้าพเจ้าต้ังปัญหา ถ้าพระองค์ตอบ จะเป็นด้วยกรรมในปางก่อนบันดาลให้ตอบ หรือด้วย เรอื่ งยอ ยน้จี ะทําหนา ท่เี ปนสว นเสริมให แพ้ความฉลาดของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าล่อให้ทรงแสดงความเย่อหยิ่งว่ามีความรู้ก็ตาม ถ้า แกน เรอื่ งของนิทานเรื่องใหญเ ดน ชดั ขึ้น โดย ตรัสตอบปัญหาข้าพเจ้าเม่ือใด ข้าพเจ้าจะกลับไปท่ีอยู่ของข้าพเจ้า ต่อเมื่อพระองค์ไม่ตอบ ผแู ตง อาจใชก ลวธิ ใี หต วั ละครในนิทานเรือ่ ง ปญั หาเพราะไดส้ ต ิ หรือดว้ ยความโงเ่ ขลาของพระองค์กต็ าม ขา้ พเจา้ จงึ จะยอมไปดว้ ย” ใหญเปนผเู ลาเรอื่ ง มีการผูกปม ตงั้ ปรศิ นา และเฉลยหรอื คลี่คลายเรื่องในตอนทา ย) จากนั้น เวตาลก็เริ่มเล่านิทานโดยอ้างว่าเป็นเร่ืองท่ีเกิดข้ึนจริง เม่ือเล่าจบเร่ืองก็ถาม ปัญหา พระวิกรมาทิตย์เพลิดเพลินกับนิทานจนเผลอตอบปัญหา เวตาลจึงลอยกลับไปยัง 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ต้นอโศก พระวิกรมาทิตย์ต้องทรงกลับไปจับตัวเวตาลมาอีก เป็นอย่างนี้จนกระทั่งถึงนิทาน เรอื่ งสดุ ทา้ ยพระวกิ รมาทติ ยจ์ งึ ทรงจับเวตาลได้ และประหารชวี ิตโยคีไดใ้ นที่สดุ ขยายความเขา ใจ Expand นทิ านเวตาล เรอ่ื งที ่ ๑๐ มีเนอ้ื เรอ่ื งย่อ ดังนี้ ในโบราณกาล มเี มอื งใหญเ่ มอื งหนงึ่ ชอ่ื กรงุ ธรรมปรุ ะ พระราชาทรงพระนามวา่ ทำ้ วมหำพล 1. นกั เรียนยกตวั อยางวรรณกรรมท่มี ลี กั ษณะ มีพระมเหสีท่ีทรงพระสิริโฉมงดงามแม้มีพระราชธิดาจ�าเริญวัยแล้ว ต่อมาได้เกิดศึกสงคราม การเลาเร่ืองแบบนทิ านซอนนิทานเหมอื นกบั ทหารของทา้ วมหาพลเอาใจออกห่าง ท�าให้ทรงพ่ายแพ ้ พระองคจ์ ึงทรงพาพระมเหสีกบั พระราช- วรรณกรรมเรอื่ งนทิ านเวตาล พรอ มอธิบาย ธิดาหลบหนีออกจากเมืองเพ่ือไปเมืองเดิมของพระมเหสี ในระหว่างทางท้าวมหาพลถูกโจรรุม เหตผุ ล นกั เรยี นอาจกลาวถงึ วรรณกรรม ท�าร้ายเพ่ือชิงทรัพย์และสิ่งของมีค่า จนพระองค์สิ้นพระชนม์ ส่วนพระมเหสีและพระราชธิดา ทีม่ ลี กั ษณะการเลา เร่อื งแบบนทิ านซอ น เสดจ็ หนีเขา้ ป่าลึกไปได้ นิทานคลา ยกบั นทิ านเวตาล ตัวอยางเชน ในเวลานั้นมีพระราชาทรงพระนามว่า ท้ำวจันทรเสน กับพระราชบุตร ได้เสด็จมาล่าสัตว์ วรรณกรรมซง่ึ มที ีม่ าจากชาวเปอรเซียเร่ือง ทั้งสองทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าหญิง ก็ทรงพากันวิเคราะห์ว่าเป็นรอยเท้าสตรี และคงเป็น “1001 ทิวา” หรือ “อาหรับราตร”ี สาวชาวป่าท่ีสวยงาม จึงตกลงกันว่า ถ้าพบสตรีทั้งสองเมื่อใด ให้สตรีที่มีรอยเท้าใหญ่เป็น พระมเหสีของพระราชบดิ า สว่ นสตรที ม่ี รี อยเทา้ เล็กใหเ้ ปน็ ชายาของพระราชบตุ ร แตเ่ มอ่ื พบนาง 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ทั้งสอง ปรากฏว่าเจ้าของรอยเท้าใหญ่คือพระราชธิดา ผู้มีรอยเท้าเล็กคือพระราชมารดา ดังน้ัน พระราชธดิ าจงึ เปน็ พระมเหสขี องทา้ วจนั ทรเสน สว่ นพระราชมารดาไดเ้ ปน็ ชายาของพระราชบตุ ร ตรวจสอบผล Evaluate เวตาลได้ทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่า เม่ือพระราชาและพระราชโอรสทรงมีพระราชบุตรจะ เรียกขานล�าดับญาติกันอย่างไร พระวิกรมาทิตย์ทรงตีปัญหายังไม่ทันแตก พอทรงนึกข้ึนได้ว่า 1. นักเรียนสรุปขอ มูลเกี่ยวกับนิทานเวตาลในดาน จะน�าตัวเวตาลไปส่งให้แก่โยคีได้ก็ด้วยไม่ตรัสอะไรเลย แม้เวตาลจะกล่าวยั่วให้พระวิกรมาทิตย ์ ความเปน มา ประวตั ผิ แู ตง ลกั ษณะคาํ ประพนั ธ ตอบปญั หา พระองค์กท็ รงนงิ่ จึงเป็นอันวา่ พระวกิ รมาทติ ย์สามารถนา� ตัวเวตาลไปได้ และเนอื้ เรอ่ื งได 105 2. นกั เรียนยกตวั อยางบทพระนิพนธใ น พระราชวรวงศเธอ กรมหมื่นพทิ ยาลงกรณ เปรยี บเทยี บกบั วรรณกรรมเรอื่ ง นทิ านเวตาลได 3. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท มี่ ีคณุ คา ทาง วรรณศิลป พรอ มคาํ อธบิ ายได ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู จากวรรณกรรมเรือ่ ง นิทานเวตาล นักเรยี นพิจารณาขอความตอ ไปน้ี ครูควรเพิ่มเตมิ ความรูเกย่ี วกบั วรรณกรรมเรือ่ ง “พันหน่ึงราตรี” หรอื “อาหรบั “ใชท้งั ทองคําแลเหลก็ เปนอาวธุ ” มีความหมายตรงกับขอ ใด ราตร”ี วา เปนวรรณกรรมทแี่ พรหลายมาจากเปอรเซีย เน้ือเร่อื งกลาวถึง พระเจา ชาหร อิ าร กษตั รยิ ผ ยู ง่ิ ใหญ ทรงเกลยี ดชังผหู ญิงอยา งมาก พระองคมมี เหสีคนแลว 1. ใชอาวุธท้งั ท่ที ําดวยเหล็กและทองคํา คนเลา และฆา มเหสเี สียภายในคนื เดยี ว จนกระทั่งมีหญงิ สาวชอ่ื เชอเฮอราซารด 2. แสรง ทําดดี วย ขณะเดียวกันก็ลอบทําราย เพ่อื กําจดั ศัตรู ซ่ึงถูกบังคบั ใหร บั ตําแหนง มเหสี และจะตองถูกฆา เชน เดยี วกับคนอื่นๆ ดว ยเหตทุ ี่ 3. ใชทง้ั การตดิ สนิ บนและการทํารายดว ยอาวุธ เพอื่ เอาชนะศัตรู นางเปนหญงิ ทีม่ ีความเฉลยี วฉลาด ในแตละคืนนางจึงตองเลา นิทานถวายกษตั รยิ 4. ใชท ง้ั ทองคาํ และเหลก็ ในการปองกนั ตัว เพอ่ื แกป ญ หาเฉพาะหนา ชาหริอาร โดยเปนนิทานท่ีเลา ไมจ บ และนิทานทีน่ างเลา ถวายถอื วา เปน ท่ีพอพระทยั ของกษตั รยิ ชาหร ิอารม าก จงึ ไดยืดเวลาการประหารชวี ติ นางไปเร่อื ยๆ ระยะเวลา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. ใชทั้งการติดสนิ บนและการทาํ รา ยดว ย กวา 1,001 คืน จนในทสี่ ดุ นางก็สามารถเอาชนะพระทยั ของพระเจาชาหร ิอารได นางจงึ ไมถ กู ประหารและโอรสของนางกไ็ ดสืบสนั ตตวิ งศสืบไป ตวั อยา งนทิ านที่ อาวุธ เพือ่ เอาชนะศตั รู เปน ตน เหตใุ นการส้นิ พระชนมของทา วมหาพล แทรกอยใู นวรรณกรรมเรื่องน้ี เชน อาลาดินกบั ตะเกยี งวิเศษ อาลีบาบาและกะลาสี โดยขอความขา งตน หมายถึง การใชทองคําซื้อใจนายทหารและไพรพ ลให ซินแบด เปนตน เอาใจออกหางพระราชา และใชเ หล็กเปนอาวธุ ฆา ฟนคนท่ซี อ้ื นํ้าใจไมไ ด คมู ือครู 105
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถาม กระตนุ ความสนใจ ๕. เนือ้ เรือ่ ง ดงั ตอ ไปน้ี เวตาลกล่าวว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าให้เกิดกระเหม่นตาซ้ายหัวใจเต้นแรงแลตาก็มืดมัวเป็นลาง • นกั เรยี นเคยอานนทิ านเวตาลหรือไม ไม่ดีเสียแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็จะเล่าเรื่องจริงถวายอีกเรื่องหน่ึง แลเพราะเหตุข้าพเจ้าเบื่อหน่ายการ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดอยาง ถูกแบกสะพายไปมาเป็นหลายเที่ยวแล้ว แม้พระองค์ไม่ทรงเบื่อเป็นผู้แบกก็จริง ข้าพเจ้าจะต้ัง หลากหลายข้ึนอยูกับเหตุผลของนักเรียน) ปญั หาทยี่ ากทลู ถามสกั ท ี ถา้ ทรงตอบได ้ พระปญั ญากม็ ากยงิ่ กวา่ ทขี่ า้ พเจา้ คดิ วา่ จะมใี นพระราชา พระองคใ์ ด • เวตาลคอื อะไร มลี กั ษณะอยางไร ใหออกมา ในโบราณกาลมเี มอื งใหญเ่ มอื งหนงึ่ ชอื่ กรงุ ธรรมปรุ ะ พระราชาทรงนามทา้ วมหาพล มมี เหส ี ถา ยทอดใหเพ่ือนฟงหนาชัน้ เรียน ซ่ึงแม้มีพระราชธิดาจ�าเริญวัยใหญ่แล้วก็ยังเป็นสาวงดงาม ถ้าจะเปรียบกับพระราชบุตรีก็คล้าย (แนวตอบ นักเรียนสามารถอภปิ รายแสดงความ พก่ี บั น้องย่งิ กวา่ แม่กับลูก ที่เป็นเชน่ น้ีไม่ใชเ่ พราะพระราชธิดามอี าการแกเ่ กินอาย ุ ที่จริงเป็นด้วย คิดเหน็ ไดอยางหลากหลาย ครผู ูส อนควรเนน พระราชมารดาเป็นสาวไม่ร้จู ักแก ่ แลความสาวของพระนางเป็นเคร่ืองประหลาดของคนทั้งหลาย ทบทวนความรูเดิมของนักเรียนเปน หลกั ) เมอ่ื ทา้ วมหาพลจะสน้ิ บญุ นน้ั เกดิ ศกึ ขนึ้ ทกี่ รงุ ธรรมปรุ ะ ขา้ ศกึ มกี า� ลงั มากแลชา� นาญการศกึ ใช้ท้ังทองค�าแ1ลเหล็กเป็นอาวุธ คือ ใช้ทองค�าซ้ือน้�าใจนายทหารและไพร่พลของพระราชาให ้ สาํ รวจคน หา Explore เอาใจออกห่างจากพระองค์ แลใช้เหล็กเป็นอาวุธฆ่าฟันคนท่ีซ้ือน�้าใจไม่ได้ ข้าศึกใช้ทองค�าบ้าง เหลก็ บา้ งเปน็ อาวธุ ดงั น ้ี จนในทสี่ ดุ รพ้ี ลของทา้ วมหาพลหรอรอ่ ยยอ่ ยยบั ไป ทา้ วมหาพลเหน็ จะรกั ษา นกั เรยี นสบื คนองคป ระกอบตา งๆของนิทาน ชีวิตพระองค์ไว้ไม่ได้ด้วยวิธีรบ ก็คิดจะรักษาชีวิตด้วยวิธีหนี จ่ึงพาพระมเหสีแลพระราชธิดาออก เวตาลฉบบั พระนิพนธของพระราชวรวงศเธอ จากกรุงไปในเวลาเท่ียงคืนจ�าเพาะสามพระองค์ พระราชาทรงพานางท้ังสองเล็ดรอดพ้นแนวทัพ กรมหมื่นพทิ ยาลงกรณ ทง้ั ดานภาษา เนอื้ หา และ ข้าศกึ ไป แลว้ กต็ ง้ั พระพกั ตรม์ งุ่ ไปยังเมืองซ่งึ เป็นเมืองเดมิ ของพระมเหสี รปู แบบ รวมถึงกลวิธกี ารแตง วันรุ่งข้ึน พระราชาทรงน�านางทั้งสองเดินไปจนเวลาสาย ถึงสองทุ่งเห็นหมู่บ้านหมู่หน่ึง แต่ไกล ไม่ทรงทราบว่าเป็นหมู่บ้านโจร แต่ทรงสงสัยไม่วางพระหฤทัย จึงตรัสให้พระมเหสีแล อธบิ ายความรู Explain พระราชธิดาหยุดน่ังก�าบังอยู่ในแนวไม้ พระองค์ทรงถืออาวุธเดินตรงเข้าไปสู่หมู่บ้าน เพื่อจะหา อาหารเสวยแลสู่นางท้งั สององค์ 1. นักเรยี นวิเคราะหเน้ือหาของนทิ านเวตาล ฝ่ายพวกภิลล์ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านน้ันประพฤติตัวเป็นโจรอยู่โดยปกติ คร้ันเห็นชายคนเดียว พรอ มตอบคาํ ถาม ตอ ไปนี้ แต่งตัวด้วยของมีค่าเดินเข้าไปเช่นนั้น ก็คุมกันออกมาจะเข้าชิงทรัพย์ในพระองค์ พระราชาท้าว • นกั เรยี นคิดวา กลวิธกี ารเปด เร่อื งของ มหาพลทรงเห็นดังนั้นก็ทรงพระแสงธนูยิงพวกโจรล้มตายลงเป็นอันมาก ฝ่ายนายโจรได้ทราบว่า วรรณกรรมเร่ือง นทิ านเวตาลเรื่องที่ 10 ผู้มีทรัพย์มาฆ่าฟันพวกตนลงไปเป็นอันมากดังน้ัน ก็กระท�าสัญญาเรียกพลโจรออกมาทั้งหมด มกี ารเชอ่ื มโยงเนื้อหาไดเ หมาะสมหรอื ไม แล้วเข้าล้อมรบพระราชา ท้าวมหาพลองค์เดียวเหลือก�าลังจะต่อสู้ป้องกันอาวุธพวกโจรได ้ อยางไร ก็ส้ินพระชนม์ลงในท่ีน้ัน พวกภิลล์ก็ช่วยกันเข้าปลดเปลื้องของมีค่าออกจากพระองค์ แล้วพากัน (แนวตอบ การเปดเรือ่ งมีความเหมาะสม คนื เข้าสู่บา้ นแหง่ ตน เนอื่ งจากมกี ารเรมิ่ ตน ทบทวนจากเนอื้ เรอ่ื งเดมิ จากนั้นจึงเปน การกลาวแสดงโวหารของ 106 เวตาลเพือ่ ชกั จูงใหพ ระวิกรมาทติ ยต อบ คําถามอยา งมีชั้นเชงิ โดยการใชคําพูดที่ นาํ เสนอความคิดแบบสองดา น อยางสม่ําเสมอตลอดท้ังเร่ือง) 2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT จากวรรณกรรมเร่ือง นิทานเวตาล การที่พระวกิ รมาทติ ยจ ะสามารถ ครูควรเนน ทบทวนองคความรูเ ดิมของนักเรียน ไมว า จะเปนประสบการณ ปฏิบัตติ นเพื่อใหบ รรลุจดุ มงุ หมายได ตอ งยึดมั่นในหลกั ปฏบิ ตั ิสอดคลองกับ ทเ่ี กี่ยวของกบั วรรณกรรมเร่ือง นิทานเวตาล รวมถึงประสบการณการเรียนรู ขอ ใด จากเนอ้ื หาในบททผ่ี านมา ใหน กั เรยี นไดเ หน็ ความขัดแยงขององคความรแู ละ 1. ความตัง้ ใจ ประสบการณท่ีมตี อ ภาพแทน(representation) ตัวละครเวตาล จากนนั้ จึงเชือ่ มโยง 2. ความเพียร สูเนือ้ หาของนทิ านเวตาล 3. ความอดกลนั้ 4. การใชสติปญญาในการแกปญ หา นกั เรยี นควรรู วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ความอดกล้ัน เปน หลักในการปฏบิ ัตติ น เพ่ือขมขตั ตยิ มานะความเปน กษตั รยิ ข องพระวิกรมาทติ ย 1 เอาใจออกหา ง ตามพจนานุกรมราชบณั ฑติ ยสถานใชวา เอาใจออกหาก หมายถงึ หา งเหนิ ไป ไมรว มมือรวมใจเหมือนเดมิ ตตี นจากไป ปลกี ตัวออกไป ตีตวั ออกหาก 106 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนรวมกนั อภิปรายในประเด็นดาน วรรณศิลป ดงั ตอไปน้ี ฝา่ ยมเหสแี ลพระราชธดิ าทรงแอบอย่ใู นแนวไม ้ เหน็ พวกโจรเขา้ กลมุ้ รมุ รบพระราชากต็ กใจ • “แตถาจะพูดตามเรอ่ื งในหนังสือ หญงิ ที่ เป็นก�าลัง แต่ไม่รู้จะท�าอย่างไรได้ คร้ันเห็นพวกภิลล์ท�าลายพระชนม์พระราชาลงไปแล้ว สอง นางพระองค์ส่นั พากนั หนหี า่ งออกไปจากหมู่บ้านโจร ทางจะไปทางไหนหาทราบไม ่ ความมุ่งมาด พระราชาพบในปามักจะงามกวาหญิงทจ่ี ะ มอ�าีอนยาู่แจตค่วว่าาจมะกหลนัวีใพหา้พให้น้เมสืดอ็จพไวปกเภปิล็นลท์ซางึ่งถเปึง ็น๔ค นโชการตศ1ิต ่�าอช่อ้านเเทพ่าลนีย้ันพ รนะากง�าทล้ังังทสอรงงดท�ารเงนกิน�าตล่อังไนป้อไยมแ่ไตด้ ่ หาไดในกรงุ เหมือนดอกไมป าทง่ี ามกวา ก็หยดุ น่งั พักอยู่ใตร้ ่มไม้ริมทาง ดอกไมในสวน” นกั เรียนอธิบายการใช เผอญิ มพี ระราชาอกี พระองคห์ นง่ึ ทรงนามทา้ วจนั ทรเสน เสดจ็ ออกยงิ สตั วป์ า่ กบั พระราชบตุ ร ความเปรยี บในบทประพนั ธขา งตน วามี จ�าเพาะสองพระองค์ กษัตริย์ท้ังสองทรงม้าไปตามแนวป่า เห็นรอยเท้าหญิงสองคนก็ทรงชักม้า ลกั ษณะเดนอยางไร พรอมวเิ คราะหวา หยุดดู วรรณศิลปท ่พี บนั้นชวยใหผ ูอ านเกิดความ พระราชบิดาตรสั วา่ “รอยเท้ำหญิงสองคนท�ำไมมีอยู่ในป่ำแถบน”้ี รสู ึกคลอ ยตามหรือเกดิ จนิ ตภาพไดอ ยา งไร พระราชบุตรทูลว่า “รอยเทำ้ เหล่ำนีเ้ ปน็ รอยเทำ้ หญงิ สองคน รอยเทำ้ ชำยคงจะโตกว่ำน้ี” (แนวตอบ เปน ตนวา ในบทประพนั ธข างตน พระราชาตรัสว่า “เจ้ำของรอยเท้ำเหล่ำนี้เป็นหญิงจริงอย่ำงเจ้ำว่ำ แลน่ำประหลำดท่ีมี มลี ักษณะการเรียบเรียงเนอื้ หาใหมี หญิงมำเดินอยู่ในป่ำ แต่ถ้ำจะพูดตำมเรื่องในหนังสือ หญิงที่พระรำชำพบในป่ำมักจะงำมกว่ำ ความหมายขัดแยงกัน เชน “หญิงท่ี พระราชาพบในปามักจะงามกวา หญงิ ท่ีจะ หาไดในกรงุ ” จากนนั้ จึงเนน ใหเกิดความ หญิงที่จะหำได้ในกรุง เหมือนดอกไม้ป่ำที่งำมกว่ำดอกไม้ในสวน มำเรำจะตำมนำงท้ังสองน้ีไป เขา ใจทีเ่ ขมขนชดั เจนดวยการใชภาพพจน ถ้ำพบนำงงำมจริงดังว่ำ เจ้ำจงเลอื กเอำเป็นเมียคนหนึ่ง” อปุ มาวา “เหมอื นดอกไมปาทีง่ ามกวา พระราชบตุ รทลู ตอบวา่ “รอยเทำ้ นำงทงั้ สองนม้ี ขี นำดไมเ่ ทำ่ กนั แมเ้ ทำ้ มขี นำดยอ่ มทง้ั สอง ดอกไมใ นสวน” จึงเปนการเรยี บเรยี ง นำงก็ยังใหญ่กว่ำกันอยู่คนหนึ่ง ข้ำพเจ้ำจะเลือ2กนำงเท้ำเล็กเป็นภริยำข้ำพเจ้ำ เพรำะคงจะเป็น โดยใชภาษาทส่ี ้นั กระชับ ทําใหเ กิดจนิ ตภาพ สำวน้อยตำมขนำดแห่งเท้ำ ส่วนนำงเท้ำเข่ืองน้ันคงจะเป็นสำวใหญ่ ขอพระองค์จงรับไปไว้เป็น ชวยใหการดาํ เนินเรือ่ งกระชับชดั เจน) รำชชำยำ” 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงสมุด ท้าวจนั ทรเสนตรสั ว่า “เหตไุ ฉนเจ้ำจึงกล่ำวดังน้ี พระรำชมำรดำของเจ้ำสนิ้ พระชนม์ไปไม่ กวี่ นั เจ้ำจะอยำกมีแมเ่ ลีย้ งเร็วเทำ่ นีเ้ จยี วหรือ” ขยายความเขา ใจ Expand พระราชบุตรทูลตอบว่า “ขอพระองค์อย่ำรับส่ังเช่นน้ัน เพรำะบ้ำนของผู้เป็นใหญ่ใน 1. นักเรยี นยกบทประพันธที่สอดคลองกนั ดังนี้ ครอบครัวน้ัน ถ้ำไม่มีแม่เรือนก็เป็นบ้ำนที่ว่ำง อน่ึงพระองค์ย่อมจะทรงทรำบคำถำซึ่งมูลเทวะ • นักเรียนยกบทประพนั ธทม่ี ีกลวิธีทาง บัณฑิตแต่งไว้ มีควำมว่ำ ชำยผู้ไม่ใช่คนโง่ ไม่ยอมคืนสู่เรือนซ่ึงไม่มีนำงที่รักผู้มีรูปงำมคอย วรรณศิลปคลา ยกบั เนื้อหาขา งตน พรอม รบั รองในขณะทก่ี ลับถงึ เรือนนน้ั แมเ้ รยี กว่ำเรอื นก็ไม่ใช่อน่ื คือคกุ ซึ่งไมม่ โี ซ่เทำ่ นน้ั เอง พระองค์ วิเคราะหวา ตัวบททย่ี กมามีความโดดเดน ย่อมทรงทรำบด้วยพระองค์เองว่ำ ควำมสุขแห่งพ่อบ้ำนซ่ึงอยู่เด่ียวโดดนั้นมีไม่ได้ในบ้ำน แลมี ดานวรรณศิลปอ ยางไร ไม่ได้นอกบำ้ น เพรำะไมม่ หี วงั จะไดค้ วำมสุขเม่ือกลับมำส่เู รือนแห่งตน” (แนวตอบ ตัวอยา งเชน “ชายผูไมใ ชคนโง ท้าวจนั ทรเสนทรงน่ิงตรองอยคู่ รหู่ นึง่ แลว้ ตรสั ตอบพระราชบตุ รว่า ไมยอมคืนสูเ รอื นซงึ่ ไมม นี างท่รี กั ผมู รี ูปงาม “ถ้ำนำงเทำ้ เข่อื งมลี ักษณะเปน็ ทพ่ี งึ ใจ ข้ำกจ็ ะท�ำตำมเจ้ำว่ำ” คอยรับรองในขณะทีก่ ลับถงึ เรือนนัน้ แม เรยี กวา เรอื นกไ็ มใชอ นื่ คือคุกซึ่งไมมโี ซ 107 เทานนั้ เอง”) 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นักเรียนเพมิ่ เติมความเขา ใจเกย่ี วกับกลวธิ กี ารเรยี บเรียงเนอ้ื ความใหมี ในการจดั การเรียนการสอนโดยใชว ัฏจักรการเรียนรใู นขั้นขยายความเขาใจของ ความขัดแยง ดวยการยกบทประพนั ธท ม่ี ีกลวธิ ที างวรรณศลิ ปส อดคลอง เนื้อหาขา งตน น้นั ครูผูสอนควรคํานงึ วา บทประพนั ธท น่ี กั เรียนยกมาประกอบ กับบทประพันธด ังปรากฎในกิจกรรมอธิบายความรูและขยายความเขา ใจ การอธบิ ายไมจ าํ เปนตอ งมีความสอดคลองกับบทประพันธข างตน ในทกุ ประเดน็ ขา งตน พรอ มอธบิ ายวา บทประพนั ธแ ละขอ ความดงั กลา วมคี วามขดั แยง กนั แตค รพู ยายามกระตนุ ใหน กั เรยี นอธบิ ายเฉพาะลกั ษณะทางวรรณศลิ ปท ส่ี มั พนั ธก นั อยา ง อยา งไร นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ชัดเจน เพ่ือตรวจสอบความเขา ใจของนักเรยี นเปน หลกั กจิ กรรมทา ทาย นักเรียนควรรู นกั เรยี นเรยี บเรียงขอความที่มีกลวิธกี ารนาํ เสนอเนอ้ื หาขัดแยงกันดว ย 1 โกรศ คือ มาตราวัด 1 โกรศ เทา กบั 500 คันธนู ภาษาของนกั เรียนเอง นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ 2 เขอ่ื ง หมายถงึ คอนขา งใหญ คอนขางโต คมู ือครู 107
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand 10๘ อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นรว มกันตอบคาํ ถามในประเด็น ตอไปนี้ ครั้นกษัตริย์ทั้งสององค์ทรงกระท�าสัญญาแบ่งนางกัน • นกั เรยี นคดิ วา วธิ กี ารเลอื กคขู องทา วจนั ทรเสน ดงั น้ีแลว้ กท็ รงชกั ม้าตามรอยเทา้ นางเขา้ ไปในปา่ และพระราชบุตรมคี วามเหมาะสมหรอื ไม สกั ครหู่ นง่ึ เหน็ สองนางนงั่ พกั อยใู่ ตร้ ม่ ไม ้ กษตั รยิ ส์ ององค์ เพราะเหตใุ ด ก็เสด็จลงจากม้าเข้าไปถามนาง ทั้งสองนางก็เล่าเร่ืองให้ทรง (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดหลาย ทราบทกุ ประการ แนวทาง เปนตนวา แนวทางแรกไมเหมาะสม พระราชากับพระราชบุตรก็เชิญนางทั้งสองขึ้นหลังม้า เนอ่ื งจากการตดั สนิ ใจ “แบง นาง” ไมไ ดต ดั สนิ ใจ องค์ละองค์ นางพระบาทเขื่องคือพระราชธิดาขึ้นทรงม้ากับ ดวยเหตผุ ลท่หี นักแนนเพยี งพอ ทาํ ใหเกดิ ท้าวจันทรเสน นางพระบาทเล็กคือพระมเหสีข้ึนทรงม้ากับ การตัดสนิ ใจทผ่ี ิดพลาด รวมถงึ การยึดมน่ั พระราชบุตร ส่ีองค์ก็เสดจ็ เขา้ กรงุ ในคําสัญญาดงั กลาว ทําให “ลกู กลบั เปน กลา่ วสนั้ ๆ ทา้ วจนั ทรเสนแลพระราชบตุ รกท็ า� การววิ าหะ เมยี พอ แมกลบั เปนเมียลกู ” เปน การกระทํา ท้งั สองพระองค ์ แตก่ ลับคู่กันไป คือพระราชบดิ าทรงววิ าหะกบั ที่เบี่ยงเบนไปจากขนบธรรมเนียมของสังคม พระราชบุตรี พระราชบุตรทรงวิวาหะกับพระมเหสี แลเพราะ และวัฒนธรรมเกีย่ วกับการแตงงาน หรอื ใน เหตุที่คาดขนาดเท้าผิด ลูกกลับเป็นเมียพ่อ แม่กลับเป็นเมีย อกี แนวทางหนงึ่ อาจกลา วไดว า การตดั สนิ ใจ ลูก ลูกกลับเป็นแม่เลี้ยงของผัวแม่ตัวเอง แลแม่กลับเป็น “แบง นาง” เปนการรักษาความสตั ย และ ลกู สะใภข้ องผัวแห่งลูกตน คํามั่นสญั ญา ซง่ึ ถือเปนคุณธรรมท่ีมีความ สําคญั ยง่ิ ของกษัตรยิ แตการตดั สินใจนนั้ ก็ตองอยูบ นพ้ืนฐานขอมูลท่ีลึกซึ้งรอบดา น เปนการพจิ ารณาโดยใชระบบคุณคา และ คุณธรรมในยุคสมัยของผแู ตงเปน ตัวต้งั ตน ในการพจิ ารณา) 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขยายความเขา ใจ Expand 1. นกั เรียนรว มกนั อภปิ รายในประเดน็ ตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา วธิ ี “กระทําสัญญาแบงนาง” ของทาวจนั ทรเสนและพระราชบตุ ร ดว ยการ “คาดขนาดเทาผดิ ” ใหขอคดิ อะไร (แนวตอบ การทจี่ ะกระทําส่งิ ใดตอ งไตรต รอง ใหร อบคอบ ถวนถ่ี พรอมพิสูจนแ ละหาเหตุ ผลกอนตัดสนิ ใจ) 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT จากวรรณกรรมเร่อื ง นิทานเวตาล ตัวละครเวตาลใชก ลวิธีใดในการ ครคู วรเนน ใหนักเรยี นปฏิบตั กิ ิจกรรมท่ชี วยสรา งปฏสิ มั พนั ธแ ละรวมกันระดม ทําใหพ ระวิกรมาทิตยต อบคําถาม ความคดิ เพือ่ ใหน ักเรียนมสี ว นรวมในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมในการพฒั นาความคดิ 1. ยวั่ ยุ และสตปิ ญญา รวมถงึ สนทนาสรา งความสัมพนั ธอนั ดีระหวา งกนั กับเพ่อื นรว ม 2. ยั่วเยา ชน้ั เรยี น โดยในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมนน้ั นกั เรยี นควรชว ยกนั อา นและพจิ ารณาเนอื้ เรอ่ื ง 3. ย่ัวยวน ตง้ั คําถามเพื่อคน หาคาํ ตอบจากเร่อื งทีอ่ าน และรวมกันอภิปรายแสดงความ 4. ย่วั เยาะ คิดเห็นจากคําตอบทน่ี กั เรียนคน พบ หรือการแบง กลุมรว มกนั ต้งั สมมตฐิ าน เพ่อื วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เวตาลใชกลวิธกี ารยัว่ ยเุ พ่อื หลอกลอ ให คาดเดาความหมายของถอยคาํ หรือแนวคดิ ท่ีไดจ ากเร่อื ง จากน้ันจึงรวมกนั อภปิ ราย พระวิกรมาทิตยตอบคาํ ถาม ซึ่งคาํ วา “ยวั่ ยุ” หมายถงึ ยใุ หเ กดิ อารมณ แสดงความคดิ เห็นอยางกวางขวาง อยางใดอยางหนงึ่ สวนขอ 2. “ยว่ั เยา” หมายถงึ พดู หยอกลอ, กระเซา ขอ 3. “ย่วั ยวน” หมายถึง ทาํ ใหอกี ฝา ยหนึ่งกําเรบิ รกั หรือเกดิ ความใคร ขอ 4. “ยว่ั เยาะ” หมายถงึ เปนการพูดหยอกลอ , กระเซา ยวั่ กเิ ลสใหโกรธ 108 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand แลต่อมาบุตรแลธิดาก็เกิดจากนางทั้งสอง แลบุตรแลธิดาแห่งนางทั้งสองก็มีบุตรแลธิดา 1. นกั เรยี นรว มกนั อภิปรายในประเด็น ตอไปนี้ ตอ่ ๆ กันไป • หากนกั เรยี นเปนทา วจันทรเสนและ เวตาลเลา่ มาเพียงน้กี ็หยดุ อยคู่ รูห่ นง่ึ แล้วกลา่ วต่อไปวา่ พระราชบุตร นกั เรียนจะแกป ญหาที่มี “บัดน้ีข้ำพเจ้ำจะตั้งปัญหำทูลถำมพระองค์ว่ำ ลูกท้ำวจันทรเสนที่เกิดจำกธิดำท้ำวมหำพล สาเหตมุ าจากการ “แบงนาง” หรอื ไม แลลกู มเหสีท้ำวมหำพลที่เกดิ กับพระรำชบุตรท้ำวจันทรเสนน้นั จะนบั ญำติกันอย่ำงไร” เพราะเหตใุ ด พระวิกรมาทิตย์ไดท้ รงฟงั ปัญหาเวตาลกท็ รงตรึกตรองเอาเรือ่ งพ่อกบั ลกู แมก่ ับลูก แลพ่ี (แนวตอบ นักเรียนแสดงความคิดเห็นได กับนอ้ งมาปนกันยุ่ง แลมหิ น�าซ้า� มเี ร่อื งแม่เล้ียงกบั แม่ตวั แลลูกสะใภก้ ับลกู ตัวอีกเลา่ หลายแนวทาง เปน ตนวา แนวทางแรก พระราชาทรงตีปัญหายังไม่ทันแตก พอทรงนึกขึ้นได้ว่าการพาเวตาลไปส่งให้แก่โยคีน้ัน ไมแ กป ญหา เพราะเชอื่ วาการตัดสินใจ จะส�าเรจ็ ได้ก็ดว้ ยไม่ทรงตอบปญั หา จึงเปน็ อนั ทรงนิ่งเพราะจ�าเป็นแลเพราะสะดวก กร็ ีบสาวกา้ ว ดงั กลา วถอื เปน การรกั ษาคณุ ธรรมของกษตั รยิ ทรงดา� เนินเรว็ ข้ึน หากกษัตริยมีจติ ใจไมมน่ั คง กไ็ มสามารถ ครั้นเวตาลทูลเย้าให้ตอบปญั หาดว้ ยวิธีกล่าวว่าโง่ จะรับสงั่ อะไรไมไ่ ด ้ กท็ รงกระแอม เปนทีพ่ ง่ึ ของประชาชนได ฉะนน้ั หาก เวตาลทลู ถามวา่ พจิ ารณาในบริบทของยุคสมยั ในการแตง “รับส่ังตอบปญั หาแลว้ ไม่ใช่หรือ” การตัดสนิ ใจของทา วจันทรเสนและ พระราชาไม่ทรงตอบว่ากระไร เวตาลก็น่งิ อยคู่ รูห่ น่งึ แล้วทูลถามวา่ พระราชบตุ รจงึ มคี วามเหมาะสม หรือ “บางทพี ระองค์จะโปรดฟังเรอ่ื งสั้นๆ อีกสกั เร่อื งหน่งึ กระมัง” อกี แนวทางหนงึ่ อาจเสนอวา ควรแกป ญ หาน้ี ครง้ั นีแ้ ม้กระแอม พระวกิ รมาทิตยก์ ็ไม่ทรงกระแอม เวตาลจึง่ กลา่ วอกี ครัง้ หนึ่งว่า ดวยการสลบั ควู วิ าห เนอื่ งจากในตอนแรก “เม่ือพระองค์ทรงจนปัญญาถึงเพียงนี้แล้ว บางทีพระราชบุตรซึ่งทรงปัญญาเฉลียวฉลาด มไิ ดต ดั สนิ ใจบนพื้นฐานขอมลู ท่เี พยี งพอ จะทรงแกป้ ัญหาได้บา้ งกระมงั ” เปน แตเ พยี งการคาดขนาดเทา ผิดเทา นน้ั ) แตพ่ ระธรรมธวชั พระราชบตุ รนง่ิ สนิททเี ดียว • นักเรียนคดิ วา การปฏบิ ตั ติ ามคาํ สัญญา กระทาํ การ “แบงนาง” ของทาวจันทรเสน และพระราชบุตร ถอื เปน คุณธรรมในการ ปฏิบัตติ ามคําสตั ยจ รงิ หรอื ไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ ถือเปนคุณธรรมของกษตั รยิ เหตุเพราะกษตั ริยต อ งปฏบิ ัติตามสตั ยว าจา หรืออาจมคี วามเหน็ ตางไปวา ไมถือเปน คุณธรรม หากกษตั ริยตัดสินใจบนพื้นฐาน ขอมลู ทผี่ ิดพลาดยอ มนํามาสปู ญหาทใ่ี หญ กวา เดิม) 2. นกั เรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ตรวจสอบผล Evaluate ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT 109 1. นักเรียนสรุปคณุ คา ทางวรรณศิลป พรอ มยกบทประพนั ธป ระกอบได จากเรอ่ื ง นทิ านเวตาล ผแู ตงไดส รางเงอ่ื นไขในการดาํ เนนิ เรื่อง โดยให เวตาลเปนผูมีสตปิ ญ ญาหลักแหลม มโี วหาร รวมถึงไหวพริบในการพดู 2. นกั เรียนสรุปขอคิดจากเรอ่ื งที่อา นได ลอ หลอกใหพ ระวกิ รมาทติ ยต อบคาํ ถาม และพระวิกรมาทิตยก ็ตอบคําถาม ของเวตาลเสมอ จนถึงคําถามสดุ ทาย สง ผลใหพระวิกรมาทติ ยไมส ามารถ เกรด็ แนะครู ทาํ กจิ ใหส ําเร็จลุลว งได เหตุการณท เี่ กดิ ขน้ึ ระหวา งพระวกิ รมาทิตยกับ เวตาล นําเสนอแนวคดิ เกี่ยวกบั การพดู ตรงกับขอ ใด ครคู วรจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยเนน ใหน กั เรียนไดแสดงความคดิ เหน็ ที่ มีตอบทประพันธหรือวรรณคดีท่ีนกั เรยี นอาน จากนน้ั จึงรวมกนั อภปิ รายแสดง 1. พาทมี สี ตริ ั้ง รอคดิ ความคดิ เหน็ อยางเตม็ ท่แี ละเปด กวา ง เพ่อื สรางบรรยากาศการเรียนการสอนทมี่ ี 2. ปากปราศรยั นา้ํ ใจเชอื ดคอ ความเปนประชาธิปไตย นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นอยา งหลากหลาย และ 3. ถึงบางพูดพูดดีเปนศรีศกั ดิ์ รว มอภปิ รายแลกเปลี่ยนกัน เปน การฝกใหน กั เรยี นเกดิ ความใจกวางในการยอมรบั 4. พลงั้ ปากเสียศีล พล้ังตนี ตกตนไม ความคิดเห็นของผูอนื่ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. พาทมี สี ตริ ัง้ รอคดิ สอดคลองกับขอ คิดที่ ไดจ ากนทิ านเวตาล คอื การใชสตปิ ญ ญาไตรตรองกอ นการพดู เน่ืองจาก คําพูดอาจนํามาซ่งึ ผลดแี ละผลรา ยได คมู อื ครู 109
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage ครซู กั ถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอไปนี้ ๖. ค�ำศพั ท์ • นกั เรียนคดิ วานทิ านเวตาลมคี วามโดดเดน กระเหม่น เขมน่ คอื อาการทกี่ ลา้ มเนอ้ื กระตุกเบาๆ ขน้ึ เอง ตามลัทธโิ บราณถอื วา่ เปน็ นิมติ ดา นการใชคําอยา งไร บอกเหตรุ ้ายหรอื ดี (แนวตอบ เชน ใชคํางา ย กระชับ ชดั เจน) โกรศ มาตราวดั ความยาว เท่ากับ ๕๐๐ คนั ธนู สาํ รวจคน หา Explore เขื่อง ค่อนข้างใหญ่ ค่อนข้างโต คมุ กนั รวมกลุม่ กัน นกั เรยี นศึกษาคําศัพทและสรางตารางเปรียบ- เครอ่ื งประหลาด สงิ่ ทที่ า� ใหค้ นประหลาดใจ ในความวา่ “ควำมสำวของพระนำงเปน็ เครอื่ งประหลำด เทียบคาํ ศพั ททีป่ รากฏในเรอ่ื งกับคําศัพทท ใี่ ชใน ปจ จุบัน ของคนท้ังหลำย” จา� เพาะ เพยี ง เฉพาะ (แนวตอบ เปนตน วา คมุ กัน=รวมกลมุ ) ซือ้ นา้� ใจ ผกู ใจ ในความวา่ “ใชท้ องค�ำซ้อื นำ�้ ใจนำยทหำร” หมายถงึ ตดิ สินบนด้วยทองค�า อธบิ ายความรู Explain เพ่อื ให้ทหารมาเข้ากับฝ่ายตน ดอกไมใ้ นสวน เปรยี บกับหญิงสาวท่อี ยู่ในรว้ั ในวัง นกั เรียนรวบรวมคําศัพทเ พ่มิ เตมิ พรอมกับ ดอกไมป้ ่า เปรียบกบั หญงิ สาวในชนบทหรือในหัวเมอื งท่วั ไป แตม่ คี วามงามเปน็ พเิ ศษ ศึกษาเปรียบเทยี บคาํ ศัพทท่พี บในเรอ่ื งและคําศัพท ภลิ ล์ ชอื่ ชาวป่า อาศยั อย่ตู ามแถบเขาวินธยั ในอินเดยี ที่ใชใ นปจจบุ นั ในรูปแบบตาราง มูลเทวะบณั ฑิต เปน็ ชอื่ ตวั ละครในนทิ านสนั สกฤต เลา่ วา่ เปน็ ผรู้ ศู้ ลิ ปวทิ ยาและมกั กลา่ วถอ้ ยคา� เปน็ ขยายความเขา ใจ Expand คติสอนใจ แมเ่ รือน ในทน่ี หี้ มายถงึ ภรรยาทดี่ ที มี่ หี นา้ ทด่ี แู ลสามแี ละความเรยี บรอ้ ยภายในบา้ น เรยี กวา่ 1. นกั เรยี นเลนเกมตอ คาํ ศพั ท โดยครพู ูดคาํ ศพั ทท ี่ ใชในปจ จบุ ัน แลว ใหน ักเรยี นตอ ดว ยคําศัพทใ น แมศ่ รีเรือน เร่อื ง เปน ตนวา ครใู หคาํ วา “ทหาร” นกั เรียน รีพ้ ล ทหาร ตอดวยคาํ วา “รีพ้ ล” สญั ญา สญั ญาณ ในขอ้ ความท่ีว่า “กท็ �ำสญั ญำเรยี กพลโจรออกมำทัง้ หมด” สิน้ บุญ ตาย 2. นักเรยี นรว มกันอภิปราย ดงั ตอ ไปนี้ สู่ แบง่ ให ้ ในขอ้ ความทว่ี า่ “เพอื่ จะหาอาหารเสวยและสนู่ างทงั้ สองพระองค”์ • จากกจิ กรรมขา งตนแสดงใหเ หน็ ความ หนงั สือ วรรณคดี ในข้อความทีว่ า่ “ถา้ จะพดู ตามเรอ่ื งในหนงั สอื ” เปลี่ยนแปลงในการใชภ าษาไทยหรือไม หรอรอ่ ย คอื ร่อยหรอ หมายความวา่ ค่อยๆ หมดไปทลี ะนอ้ ย อยางไร เหลก็ อาวธุ ทที่ า� ดว้ ยเหลก็ ในขอ้ ความทว่ี า่ “ใชเ้ หลก็ เปน็ อำวธุ ฆำ่ ฟนั คนทซี่ อื้ นำ�้ ใจไม่ได”้ (แนวตอบ เปน ตนวา ภาษาไทยมีความ เปล่ยี นแปลงอยูเสมอ โดยมีเหตปุ จ จยั สําคญั จากสภาพสงั คมวัฒนธรรม ตลอดจนบรบิ ท ของยุคสมยั ) ตรวจสอบผล Evaluate 110 นักเรียนสามารถปฏิบตั กิ จิ กรรมตอคาํ ศัพท ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT พรอมเปรียบเทยี บความหมายคําศพั ทได จากวรรณกรรมเร่ือง นทิ านเวตาล นกั เรียนพจิ ารณาขอ ความ ตอ ไปน้ี “หญิงทพ่ี ระราชาพบในปามักจะงามกวา หญิงทจ่ี ะหาไดในกรุง เกร็ดแนะครู เหมือนดอกไมป า ท่ีงามกวา ดอกไมใ นสวน” ขอความขางตน ใชโ วหารแบบใด 1. อปุ มา การจดั กิจกรรมการเรยี นรูเพอ่ื ใหผเู รยี นเกิดความซาบซ้งึ ในคุณคาและความ 2. นามนยั งดงามของวรรณคดี ครคู วรเนนใหน ักเรียนไดเ รียนรูตงั้ แตร ะดับของคาํ ท่นี าํ มาใช 3. อปุ ลกั ษณ ในการประพนั ธว า มกี ารใชค าํ ทกี่ อใหเ กิดความงดงามทง้ั ดานเสียงและความหมาย 4. สญั ลักษณ กวสี รรคํามาใชในตําแหนง ทเี่ หมาะสมกอ ใหเ กิดรสคําและรสความที่สง ผลตอ คุณคา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. อปุ มา เพราะภาพพจนแ บบอุปมา คอื ทางวรรณศิลป นอกจากนี้ ครูควรเพมิ่ เตมิ เน้อื หาเกย่ี วกับความหมายของคําศัพทวา การเปรียบเทียบวาส่งิ หน่ึงเหมือนกบั สิง่ หน่งึ โดยใชค ําเชือ่ มท่ีมคี วามหมาย คาํ ศัพทยอมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เมื่อเวลาผานไปคําศพั ทท ีป่ รากฏใน เชนเดียวกับ คาํ วา “เหมอื น” โดยในขอ น้เี ปรียบเทียบความงามของผูหญงิ บทประพนั ธย อ มมคี วามเปล่ยี นแปลง นักเรยี นอาจไมส ามารถเขาใจความหมายของ กบั ดอกไม คําหรอื อา นบทประพันธแลวไมกอใหเกดิ ความซาบซึ้ง นักเรียนควรแกปญหา ดังกลา วโดยการแสวงหาความรูและความเขาใจจากบทประพนั ธต า งๆ โดยใชว ธิ ีเรยี นรูคําศัพทต า งๆ อยา งกวา งขวาง 110 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๗. บทวิเครำะห์ ครกู ระตุนความสนใจดวยการนาํ แผนผงั การ ลาํ ดับญาตขิ องสงั คมไทยมาใหน กั เรยี นศกึ ษา นิทานเวตาล เร่อื งท่ ี ๑๐ มคี วามดเี ด่นและมคี ณุ ค่าในด้านต่างๆ ดงั น้ี จากนัน้ ครูสนทนากบั นักเรียนโดยใชค ําถาม ๗ .๑ ๑ค)วากมารดใีเชดส้ น่�านดว้านนโวกหลาวร1ธิ ีการแต่ง ตอ ไปนี้ • นักเรียนคดิ วา ลูกที่เกิดจากทาวจันทรเสน นิทานเวตาล ฉบับพระนิพนธ์แปลในกรมหม่ืนพิทยาลงกรณ มีการใช้ส�านวน และพระราชบตุ รจะมีการลาํ ดับญาตอิ ยา งไร โวหารเปรยี บเทยี บทไี่ พเราะและทา� ใหเ้ หน็ ภาพแจม่ ชดั ขนึ้ เชน่ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิด- เหน็ โดยใชแ ผนผงั การลําดบั ญาติประกอบ “มีมเหสีซ่ึงแม้มีพระราชธิดาจ�าเริญวัยใหญ่แล้วก็ยังเป็นสาวงดงาม ถ้าจะเปรียบกับ อภิปราย) พระราชบุตรีก็คล้ายพีก่ บั นอ้ งย่งิ กวา่ แมก่ บั ลูก” หรือ “หญงิ ที่พระราชาพบในป่ามักจะงามกว่า หญงิ ท่ีหาไดใ้ นกรุง เหมือนดอกไมป้ ่าทงี่ ามกวา่ ดอกไม้ในสวน” สาํ รวจคน หา Explore นอกจากน้ียังมีส�านวนเปรียบเทียบที่ใช้ภาษาสละสลวย และแฝงด้วยข้อคิด ท�าให ้ นักเรยี นทบทวนความรูเดิมในสมุดบนั ทึก ผู้อา่ นเกิดความร้สู ึกคลอ้ ยตามได้อย่างแนบเนยี น เชน่ พรอ มสบื คน กลวธิ กี ารโนม นา วใจ “ขอพระองคอ์ ยา่ รับสั่งเชน่ นน้ั เพราะบ้านของผเู้ ป็นใหญใ่ นครอบครวั น้ัน ถา้ อธบิ ายความรู Explain ไมม่ แี มเ่ รอื นกเ็ ปน็ บา้ นทว่ี า่ ง อนงึ่ พระองคย์ อ่ มจะทรงทราบคาถาซง่ึ มลู เทวะบณั ฑติ แตง่ ไว้ มคี วามวา่ “ชายผไู้ ม่ใช่คนโง่ ไมย่ อมคนื สู่เรอื นซงึ่ ไม่มนี างท่รี ักผูม้ ีรูปงามคอยรบั รองในขณะทีก่ ลบั ถงึ เรอื น นกั เรียนรวมกนั ตอบคําถาม ตอ ไปน้ี • นกั เรยี นคดิ วา เวตาลมกี ลวิธกี ารโนมนาวใจ นน้ั แมเ้ รยี กวา่ เรอื นกไ็ มใ่ ชอ่ นื่ คอื คกุ ซง่ึ ไมม่ โี ซเ่ ทา่ นนั้ เอง” พระองคย์ อ่ มทรงทราบดว้ ยพระองคเ์ อง ใหพระวกิ รมาทิตยต อบคาํ ถามไดอ ยา งไร วา่ ความสุขแห่งพ่อบ้านซึ่งอยู่เดี่ยวโดดนั้นมีไม่ได้ในบ้าน แลมีไม่ได้นอกบ้าน เพราะไม่มีหวัง จะได้ความสุขเมอื่ กลบั มาสู่เรือนแห่งตน” (แนวตอบ เวตาลใชโ วหารเพ่อื เสยี ดสี เยยหยนั และยั่วยุอารมณข องผฟู ง คาํ ถามตา งๆ เปน ๒) การใช้กวโี วหาร ไปเพอื่ ทดสอบสตปิ ญญาและความอดทน พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ทรงแปลนิทานเวตาลด้วยภาษาท่ี อดกล้ัน หลอกลอใหตอบคาํ ถาม) กระชับ อ่านง่าย มีบางตอนท่ีทรงใช้ส�านวนแปลภาษาบาลี ซ่ึงอาจไม่คุ้นหูผู้อ่านในยุคนี้ เพราะ ไมน่ ิยมใชแ้ ลว้ ในปจั จบุ นั เชน่ ขยายความเขา ใจ ● แลความสาวของพระนางเปน็ เคร่อื งประหลาดของคนทัง้ หลาย Expand ● จนในทส่ี ดุ รพ้ี ลของทา้ วมหาพลหรอร่อยย่อยยับไป 1. นักเรยี นรว มกันตอบคําถาม ตอไปนี้ ● กค็ มุ กันออกมาจะเข้าชิงทรพั ย์ในพระองค์ • นักเรยี นคิดวา เหตใุ ดพระวิกรมาทติ ย ● กก็ ระท�าสญั ญาเรียกพลโจรออกมาทงั้ หมด จงึ ตอบคาํ ถามของเวตาล ● ครนั้ เห็นพวกภลิ ลท์ �าลายพระชนมพ์ ระราชาลงไปแล้ว (แนวตอบ ตอบไดห ลายแนวทาง เชน ทรง ตอบคําถามเพ่ือลบคาํ สบประมาท หรอื อาจกลา วไดว า เพราะเชอื่ มน่ั ในสถานะของตน 111 รวมถึงอาจเปน ดว ยพระปรีชาสามารถของ พระองค จึงทําใหทรงตอบคําถาม) 2. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู จากวรรณกรรมเรื่อง นทิ านเวตาล นกั เรียนพิจารณาขอ ความตอไปนี้ ครคู วรเชอื่ มโยงความรเู ดมิ เพอ่ื เปน พน้ื ฐานในการวเิ คราะหเ นอ้ื หาทงั้ ในดา นขอ คดิ “อนงึ่ พระองคยอ มจะทราบคาถาซึง่ มลู เทวะบณั ฑิตแตง ไว มคี วามวา ชาย และกลวธิ ีเชิงวรรณศิลป โดยใชคาํ ถามในการกระตุนความคดิ ผไู มใ ชค นโง ไมยอมคืนสูเรือนซงึ่ ไมม ีนางท่รี ักผมู ีรปู งามคอยรับรองในขณะ กลับถึงเรอื นนั้น” ขอ ความขางตนใชโ วหารแบบใด นกั เรยี นควรรู 1. สาธกโวหาร 1 โวหาร คือ การใชถอยคาํ สํานวน และชัน้ เชิงการประพันธของกวี ชว ยให 2. อุปมาโวหาร ผอู า นเกดิ ความเขา ใจและเกดิ จินตภาพตามทีผ่ ูเขยี นตอ งการไดงา ยขึ้น ดังนี้ 3. บรรยายโวหาร 1. พรรณนาโวหาร คอื การใหร ายละเอยี ดอยา งถ่ีถวน เพ่อื ใหเ กดิ จินตภาพ 4. พรรณนาโวหาร 2. บรรยายโวหาร คือ กระบวนการอธบิ ายที่มีเนอื้ เรอ่ื ง ลําดับความ มงุ อธิบายใหเห็น เร่อื งราวชดั เจน 3. เทศนาโวหาร ใชสั่งสอน ชแ้ี จงเหตุผล 4. สาธกโวหาร แสดงการ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. สาธกโวหาร โดยสาธกโวหาร คอื โวหารที่ ยกตวั อยางประกอบ เพ่อื ใหเขาใจแจม ชัด 5. อปุ มาโวหาร เปนโวหารเปรียบเทยี บ เพื่อใหเ กิดภาพ โดยสาธกโวหารและอุปมาโวหารใชแทรกประกอบกับโวหารอืน่ มกี ารยกตัวอยา งประกอบเพื่อใหเห็นภาพชดั เจนมากขึน้ โดยยกคาถาซง่ึ มูลเทวะบัณฑติ แตง ไวม ากลาวอางสนับสนุนความคิดเหน็ ของตนเอง คูมือครู 111
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา ใจ 1. นกั เรยี นรวมกันอภปิ รายในประเด็น ตอ ไปน้ี ๗.๒ คณุ ค่าด้านปัญญาและความคิด • หากนกั เรียนถูกเวตาลถามคาํ ถามเชน เดียว กับพระวิกรมาทิตยน กั เรยี นจะตอบคาํ ถาม นิทานเวตาลมีความดีเด่นด้านเน้ือหาคือ ให้ข้อคิดและแฝงคติธรรม รวมทั้งความรู ้ หรือไม เพราะเหตใุ ด ตา่ งๆ ไวด้ ังนี้ (แนวตอบ นักเรยี นอาจบอกวา ตอบหรือไมตอบ ๑1) ความอดทนอดกลั้น ความอดทนเปน็ คา� สอนในทกุ ศาสนา เชน่ พระพทุ ธศาสนา คําถามก็ได ในกรณีท่ตี อบคาํ ถามอาจแสดง กล่าวถึง “ขันติ” คือ ความอดทนอดกล้ันต่ออารมณ์ต่างๆ ไม่เป็นทาสอารมณ์ พระวกิ รมาทติ ย์ เหตุผลของความเปน กษัตรยิ ทีม่ ขี ัตติยมานะ เปน็ ปราชญ์ผู้เก่งกล้ารอบรู้และอยู่ในวรรณะกษตั ริยท์ ่สี งู ส่ง ย่อมไม่ยอมถกู ดูหมนิ่ ศกั ด์ศิ รีว่าโง่เง่า คือ เปนกษัตริยท ่ที รงพระปรีชาสามารถจงึ อด ดังที่เวตาลกล่าวเป็นเชิงย่ัวยุ ท�าให้โกรธและเผลอตอบปัญหาไป จึงตกท่ีนั่งล�าบาก ดังน้ัน ที่จะแสดงความคิดเหน็ ไมไ ด หรอื ในกรณที ี่ เมื่อไม่ตอบปญั หาในเรอื่ งท ่ี ๑๐ (เรอื่ งสดุ ทา้ ย) เวตาลจงึ กลา่ วชมวา่ ทรงตง้ั มน่ั พระราชหฤทยั ดนี กั ไมตอบอาจใหเหตผุ ลวา พระวกิ รมาทิตย พระปญั ญาราวกบั เทวดาและมนุษย์อ่ืนทีม่ ีปญั ญา จะหามนุษย์เสมอมไิ ด้ และกล่าวอวยพรดงั น้ ี ควรมจี ิตตงั้ ใจมัน่ ทํากจิ ใหสําเรจ็ เสียกอ น) • นักเรยี นรวมแสดงความคดิ เหน็ วา คําถามท่ี “ขา้ พเจา้ ขอถวายพระพรใหท้ รงรบั ความสา� ราญ เปน็ ผลแหง่ การทท่ี รงนง่ิ ครงั้ น”ี้ เวตาลถามควรตอบวาอยางไรจึงจะถกู ตอ ง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๒) ความเพียรพยายาม เวตาลมักยั่วยุให้พระว2ิกรมาทิตย์แสดงความคิดเห็น ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตุผลของ ออกมา ท�าใหพ้ ระองคต์ ้องกลับไปปีนต้นอโศกเพือ่ จับเวตาลใสย่ ่ามอย่หู ลายครง้ั นับได้ว่ามีความ- นักเรยี น) เพียรพยายามอันนา่ ชมเชยตามทผี่ ู้แตง่ กล่าวไว้ ดังนี้ • นิทานเวตาลแสดงขอคิดใด และนักเรยี นมวี ธิ ี การนําขอ คิดไปพัฒนาตนเองไดอยา งไร “พระวิกรมาทิตย์เสด็จปีนขึ้นและลงหลายครั้งก็ไม่ย่อท้อ ปรากฏความเพียร (แนวตอบ นิทานเร่ืองนี้ช้ีใหเ หน็ ความสาํ คัญ เหมอื นหนงึ่ ว่าจะยอมปนี ข้ึนปนี ลงอยู่จนสนิ้ ยคุ ” ของการพูดที่ตองผานการพจิ ารณาไตรต รอง อยา งรอบคอบ อกี ท้ังยงั ตองพสิ ูจนหลักฐาน คร้นั เวตาลยอมให้จบั ได ้ กย็ ัว่ ยจุ นหลุดไปได้ วนเวียนอยูถ่ งึ ๒๔ คร้ัง จงึ นบั ว่า ใหแ นช ัดกอนพูดหรือตัดสินใจกระทําบางสิง่ เปน็ ยอดแหง่ ความเพยี รท่ีมีความอดทนและความพยายาม ยากท่ีมนษุ ยธ์ รรมดาจะท�าได้ บางอยาง และในการตัดสินใจกระทาํ สง่ิ ตางๆ นอกจากน้ีค�าพูดของเวตาลและการกระท�าของพระวิกรมาทิตย์ยังเป็นสิ่งที่ให้ ทุกครง้ั ควรใชสติปญ ญาเปน ตัวกาํ กับการ ประโยชน์แก่ผู้อ่านเป็นอย่างมาก ด้วยสะท้อนค�าสอนในเร่ืองการข่มจิตของมนุษย์อย่างเช่นท่ี กระทาํ อกี ทั้งยังสอนใหม ีความเพียรพยายาม พระวิกรมาทิตย์ประสบ คือ การยั่วยุกิเลสหรือมานะของพระองค์โดยการพูดหรือถามในสิ่งท่ี และความขม ใจตอคําพดู และการกระทํา ขัดใจ ท�าให้คนที่ไมม่ คี วามอดทนอดกลั้นหรือความตระหนักรวู้ ่าสิง่ ใดควรท�าสงิ่ ใดไมค่ วรท�า ท�าให ้ ของบคุ คลอ่นื ในประเด็นการนําไปปรับใช พระองคต์ อ้ งเสียงานใหญ่ คอื เป้าประสงค์หลกั ในการนา� ตัวเวตาลไปใหโ้ ยคี นกั เรียนสามารถตอบไดอยา งกวา งขวาง) ๓) การใชส้ ตปิ ญั ญา การแกป้ ญั หาตา่ งๆ จา� เปน็ ตอ้ งใชท้ ง้ั สตแิ ละปญั ญาควบคกู่ นั ไป จากแก่นของเรื่องเวตาลเร่ืองท่ี ๑๐ น้ี ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าการใช้ปัญญาของพระวิกรมาทิตย์ 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด อยา่ งเดยี วนน้ั ไมส่ ามารถแกป้ ญั หาและเอาชนะเวตาลได ้ แตพ่ ระองคจ์ ะตอ้ งใชส้ ตปิ ระกอบกบั ปญั ญา 3. นักเรยี นคัดเลือกคณุ ธรรมทีไ่ ดจ ากเรอื่ ง แลว ควบคกู่ ันจึงเอาชนะเวตาลได้ นําเสนอดว ยการแสดงบทบาทสมมติ โดยใช 112 ความรเู รอ่ื งโวหารประกอบการแสดง เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT จากวรรณกรรมเรอ่ื ง นิทานเวตาล ขอ ใดกลา วถึงความสมจริงของ ครูควรช้ีแนะใหน กั เรียนเหน็ ความสาํ คัญของการขม จิตของมนษุ ย ซึ่งเปน ตัวละครไดถกู ตอง คุณธรรมท่ปี รากฏจากการกระทาํ ของพระวกิ รมาทิตย เพราะการชนะสิ่งใดกไ็ ม 1. ตัวละครมที ง้ั ดานดีและไมด ี เหมอื นมนุษยทั่วไป สําคัญเทาชนะใจตนเองหรือขมจติ ใจของตนเองได ความอยาก กเิ ลสตา งๆ ท่ีเกิด 2. พระวกิ รมาทติ ยม ลี ักษณะนิสยั เหมอื นมนุษยจ รงิ ๆ ในใจมนษุ ย หากเอาชนะไดดวยการขมใจก็จะลดปญ หาสงั คมตา งๆ ได 3. ตัวละครมพี ฤติกรรมเหมือนมนุษยธ รรมดาๆ ทว่ั ไป 4. ตัวละครใชอารมณและเหตผุ ลในการไตรต รองและตดั สนิ ใจ รวมถงึ มี นกั เรยี นควรรู ขอบกพรอ งเหมอื นมนษุ ยท ่วั ไป วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ตวั ละครในเรอ่ื งมคี วามสมจรงิ เนอื่ งจาก 1 ขนั ติ หมายถึง ความอดทน คือ ทนลาํ บาก ทนตรากตรํา ทนเจบ็ ใจเพอ่ื บรรลุ ใชอ ารมณและเหตผุ ลในการไตรต รองและตัดสินใจ รวมถงึ มขี อ บกพรอง จดุ หมายทดี่ งี าม เหมือนมนุษยท ่วั ไป เนื่องจากพระวกิ รมาทติ ยเปนตวั ละครลักษณะกลม 2 ยา ม คอื เครอ่ื งใชส าํ หรบั ใสส ง่ิ ของเลก็ ๆ นอ ยๆ ทาํ ดว ยผา มหี หู รอื สายในตวั โดยมคี วามเปล่ยี นแปลงทางความคิดอยตู ลอดเรือ่ ง สาํ หรบั สะพาย เรยี กวา ถงุ ยาม 112 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Expand ขยายความเขา ใจ “พระราชาทรงตีปัญหายังไม่ทันแตก พอทรงนึกขึ้นได้ว่าการพาเวตาลไปส่ง 1. นกั เรยี นรวมกันอภปิ รายในประเด็น ตอไปน้ี ใหแ้ กโ่ ยคนี น้ั จะสา� เรจ็ ไดก้ ด็ ว้ ยไมท่ รงตอบปญั หา จงึ เปน็ อนั ทรงนงิ่ เพราะจา� เปน็ แลเพราะสะดวก • มีผกู ลา ววา “การที่พระวิกรมาทิตยส ามารถ กร็ บี สาวก้าวทรงดา� เนนิ เร็วข้ึน คร้นั เวตาลทลู เย้าใหต้ อบปญั หาด้วยวธิ กี ลา่ วว่าโง่ จะรบั สง่ั อะไร ขมจติ ใจไมต อบคําถามของเวตาลในนิทาน ไมไ่ ด้ กท็ รงกระแอม” เรอื่ งสดุ ทาย นนั่ เปน เพราะพระองคไดข อ คดิ เก่ยี วกบั ความสาํ คญั ของการพูดจากนิทาน นอกจากนย้ี งั สะทอ้ นใหเ้ หน็ โทษทเ่ี กดิ จากการไม่ใชป้ ญั ญาในการตรติ รองพจิ ารณา ที่เวตาลเลา มิไดเ กดิ จากการรจู ักขมจิตใจ หาเหตผุ ลใหร้ อบคอบกอ่ นตดั สนิ ใจกระทา� การใด ดงั เชน่ พระราชากบั พระราช1บตุ รทที่ รงคาดคะเน และการเรยี นรูในการขม ขัตตยิ มานะของ จากการสงั เกตเพยี งผวิ เผนิ จากรอยเทา้ ทา� ใหเ้ กดิ ปมปญั หาทา� นอง “ผดิ ฝาผดิ ตวั ” ขนึ้ พระองคเองแตอ ยา งใด” นักเรียนเห็นดวย กับคาํ กลาวนีห้ รอื ไม เพราะเหตใุ ด “พระราชบดิ าทรงววิ าหะกบั พระราชบตุ รีพระราชบตุ รทรงววิ าหะกบั พระมเหสี (แนวตอบ นักเรยี นสามารถอภปิ รายไดอ ยา ง แลเพราะเหตทุ คี่ าดขนาดเทา้ ผดิ ลกู กลบั เปน็ เมยี พอ่ แมก่ ลบั เปน็ เมยี ลกู ลกู กลบั เปน็ แมเ่ ลย้ี งของผวั กวา งขวาง ท้งั ที่เหน็ ดวยและไมเ หน็ ดว ย แม่ตัวเอง แ๔ละ)แมคก่วลามับมเปสี น็ ตลิ ูกคสวาะมใภเป้ขน็อผงผมู้ ัวที แฐิ2หมิ ่งาลนูกะ3ต นไม”ย่ อมในสงิ่ ที่ไมถ่ กู ใจ หากตอบวา ไมเ หน็ ดวย อาจช้แี จงวาการท่ี บางครงั้ อาจสง่ ผลเสยี พระองคข มใจไมใหต อบคําถามน้นั เนื่องจากพระองคไดเ รยี นรูจากเหตกุ ารณ ต่อผู้น้ันเอง ดังนั้น การพยายามที่จะยับย้ังชั่งใจ ไม่พูดมากปากไวเกินไป จึงเป็นสิ่งที่จ�าเป็น ทต่ี อ งกลบั ไปนาํ รา งของเวตาลกลบั มากวา มาก เพราะเมือ่ ใด เราคิดก่อนพูด ไม่ใชพ่ ูดกอ่ นแลว้ คิด เม่ือน้นั เราก็จะมีสติ สตเิ ปน็ สิ่งทสี่ า� คญั ยีส่ บิ สามครง้ั และนทิ านเรอื่ งสดุ ทา ยก็ เพราะเป็นพ้นื ฐานของสมาธแิ ละปญั ญา ถา้ ไม่มีสต ิ สงิ่ ต่างๆ ท่เี ราท�าไปหรอื ตดั สนิ ใจไปโดยไร้สติ เปน การเนน ยาํ้ ใหพระองคเ หน็ ความสาํ คัญ อาจส่งผลรา้ ยกบั เรามากเกนิ จะประเมินได้ ของการพูด หรอื อกี แนวทางหนึ่งอาจตอบวา นิทานเวตาลสอนให้เรามีสติรับรู้ได้ รู้จักคิดวิเคราะห์ รู้จักหักห้ามใจก่อนที่จะ ขอคดิ จากนทิ านทีเ่ วตาลเลามีผลโดยตรง พดู หรือทา� อะไรลงไป ใหพระองคต ัดสินใจไมตอบคําถาม ๕) การเอาชนะขา้ ศกึ ศตั รู ในการทา� สงครามนน้ั ผทู้ มี่ คี วามชา� นาญ มเี ลห่ เ์ หลย่ี มใน เนอ่ื งจากในนิทานท่เี ลา กอ นหนา กม็ ิได กลศึกมากกว่าย่อมได้ชัยชนะ การรบไม่ใช่ใช้แต่อาวุธที่เป็นหอกดาบ (สมัยโบราณ) อย่างเดียว ทาํ ใหพ ระองคข ม ใจไดแตอยา งใด) ต้องใชอ้ ยา่ งอ่นื ดว้ ย ดังนี้ • นักเรียนคิดวา การเลา เร่ืองแบบนทิ านซอน นทิ านสงผลตอ ภาวะจิตใจหรือมผี ลตอ “ขา้ ศกึ ...ใช้ทง้ั ทองค�าแลเหลก็ เปน็ อาวธุ คือ ใชท้ องคา� ซื้อน�้าใจนายทหารและ การกระทาํ ของตวั ละครอยางไร ไพรพ่ ลของพระราชาใหเ้ อาใจออกหา่ งจากพระองค์ แลใชเ้ หลก็ เปน็ อาวธุ ฆา่ ฟนั คนทซ่ี อื้ นา�้ ใจไมไ่ ด”้ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถอภิปรายแสดง ความคิดเหน็ ไดอ ยา งกวา งขวาง โดยครู พจิ ารณาแลว้ ตรงกบั สา� นวนสภุ าษติ ไทยทกี่ ลา่ วไวว้ า่ “แขง็ เทา่ แขง็ เงนิ งา้ ง อ่อนได้ พยายามช้ีใหน กั เรียนเห็นวา ขอ คดิ หรือคติ ดงั ถวิล” คอื มีเงินมีทองต้องการอะไรก็ไดท้ ุกอยา่ ง จากนทิ านทเ่ี วตาลเลาสงผลตอการขม ใจ ๖) ข้อคิดเตือนใจ เครื่องประดับเป็นส่ิงที่ท�าให้ได้รับอันตรายจากโจรผู้ร้าย แม้จะ มิใหพ ระวิกรมาทิตยตอบคาํ ถาม นับเปน เป็นชายท่มี ฝี มี อื เชน่ ทา้ วมหาพลกต็ าม เมื่อตกอยู่ในหมูโ่ จรเพยี งคนเดยี ว ย่อมเสยี ทไี ด ้ ดังนี้ กลวธิ ีทแี่ ยบยลในการผกู ปมเนือ้ หาอยา งยิ่ง) 113 2. นกั เรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ บรู ณาการเชือ่ มสาระ เกร็ดแนะครู ครูบรู ณาการความรจู ากบทเรียนเรื่อง นทิ านเวตาล กับวิชาในกลุมสาระ ครูควรเพ่มิ เตมิ ความรูเกี่ยวกับการวเิ คราะหต วั ละครวา ตวั ละครพระวกิ รมาทติ ย การเรยี นรู สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ในรายวชิ าพระพทุ ธศาสนาทม่ี ี มีพัฒนาการทางความคิดและอารมณความรูสึก เมื่อประสบกับเหตุการณตางๆ เน้อื หาเกยี่ วกบั คณุ ธรรมของพระมหากษตั ริย เพอ่ื ใหน ักเรยี นสามารถเชอ่ื มโยง จะทําใหตัวละครมีความเปล่ียนแปลงภาวะทางความคิด อารมณความรูสึก รวมถึง องคค วามรเู กยี่ วกบั หลกั ทศพธิ ราชธรรม 10 ประการ ประกอบดว ย 1. ทาน การกระทาํ ตา งๆ ได จงึ ถอื วา เปน ตัวละครแบบกลม (round character) 2. ศลี 3. บรจิ าค 4. ความซ่อื ตรง 5. ความออนโยน 6. ความเพยี ร 7. ความไมโ กรธ 8. ความไมเ บยี ดเบยี น 9. ความอดทน 10. ความเทย่ี งธรรม นักเรียนควรรู ซ่งึ เปนหลกั ธรรมหรอื คณุ ธรรมประจําพระองค ตลอดจนเปน แนวทางในการ ประพฤติปฏิบตั ิ เพอื่ ยงั ประโยชนสุขแกป ระชาชน นักเรยี นสามารถนาํ 1 ผดิ ฝาผิดตัว หมายถงึ ไมเขา คกู นั ไมเขา ชดุ กัน คนละพวก คนละฝาย องคค วามรูด ังกลาวมาวิเคราะหต ัวละครวา คณุ ธรรมดงั กลาวปรากฏใน 2 ทิฐิ หรอื ทิฏฐิ คือ ความยึดถอื ตามความเหน็ ความถือมั่นทีจ่ ะใหเปน ไปตาม ตัวละครใดบา ง และการยดึ หลกั ธรรมดังกลาวมาใชเ ปนแนวทางในการ ความเชือ่ ถอื หรือความเหน็ ของตน การเห็นผิด ประพฤติปฏบิ ัตติ นของตวั ละคร สง ผลตอ ตวั ละครและบคุ คลอน่ื ทีเ่ ก่ียวของ 3 มานะ คือ ความถอื ตัว หรือสําคัญตนวาเปนนนั่ เปนนี่ อยางไร นักเรยี นสามารถนาํ แนวคิดที่ไดไปประยุกตใ ชในการดาํ เนินชีวิตได เปนอยางดี คูม ือครู 113
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา ใจ 1. นกั เรียนรว มกันอภิปรายในประเดน็ ตอไปน้ี “...โจร...ครั้นเห็นชายคนเดียวแต่งตัวด้วยของมีค่าเดินเข้าไปเช่นน้ัน ก็คุมกันออก • “เกดิ การกระเหมนตาซา ยหัวใจเตน แรง มาจะเข้าชิงทรัพย์ในพระองค์ พระราชาท้าวมหาพลทรงเห็นดังนั้นก็ทรงพระแสงธนูยิงพวกโจร แลตาก็มดื มัวเปนลางไมดีเสยี แลว ” นักเรยี น ล้มตายเปน็ อนั มาก ฝา่ ยนายโจรไดท้ ราบว่าผูม้ ที รพั ยม์ าฆา่ ฟันพวกตนลงไปเป็นอันมาก ดังนนั้ ก็ คิดวา ขอ ความดังกลาวสะทอนความเชือ่ ใน กระท�าสัญญาเรียกพลโจรออกมาทั้งหมดแล้วเข้าล้อมรบพระราชา ท้าวมหาพลองค์เดียวเหลือ สังคมไทยหรือไม อยา งไร กา� ลังจะตอ่ สู้ป้องกันอาวุธพวกโจรได้ กส็ นิ้ พระชนมล์ งในทนี่ ้ัน...” (แนวตอบ สะทอ นใหเห็นความเชือ่ เรื่องโชคลาง ดังคาํ โบราณที่กลาวถึงอาการตากระเหมนวา ๗.๓ คุณคา่ ดา้ นความรู้ “ขวาราย ซา ยด”ี ) • นกั เรียนคดิ วา จากความเชอื่ ขางตนเปน การอ่านนิทานเวตาลท�าให้ได้ทราบวัฒนธรรมและค่านิยมของคนอินเดียใน ความเช่ือที่ปรากฏในสงั คมใด สอดคลองกบั ยุคโบราณ เช่น ค่านิยมเรื่องความส�าคัญของสตรีในอินเดีย ชายจะมีภรรยาได้หลายคน ฉากในการดําเนนิ เร่ืองหรือไม และมีอทิ ธพิ ล โดยเฉพาะชายท่ีมียศศักดิ์ เพราะถือว่าเรือนที่อบอุ่น ต้องมีแม่เรือน ดังเหตุผลของพระราชบุตร ตอ การสอื่ สารเนอ้ื หาอยา งไร ทีต่ ้องการให้พระราชบดิ ามพี ระชายาใหม่ ดงั คา� กลา่ วว่า (แนวตอบ เปน ความเชอื่ ทป่ี รากฏในสังคมไทย แมจะถูกนาํ ไปใชใ นฉากของชมพทู วปี แต “ขอพระองคอ์ ย่ารบั สงั่ เช่นนนั้ เพราะ สามารถถายทอดไดอยา งกลมกลนื สอดคลอ ง (๑) บา้ นของผูเ้ ปน็ ใหญใ่ นครอบครวั นน้ั ถ้าไมม่ ีแม่เรือนกเ็ ปน็ บ้านทว่ี ่าง กับผูอา นชาวไทย) (๒) เรอื นซึง่ ไม่มนี างทร่ี กั ...คือ คุกซง่ึ ไม่มโี ซ่ • นักเรยี นคดิ วา การสอดแทรกความเชอื่ ของ (๓) ความสขุ แหง่ พอ่ บา้ นซง่ึ อยเู่ ดยี่ วโดดนนั้ มไี มไ่ ดใ้ นบา้ น...แลมไี มไ่ ดน้ อกบา้ น... สังคมไทยเขา ไปในฉากของอินเดียแสดงถงึ เมื่อกลับมาสเู่ รือนแห่งตน” ความสามารถของผปู ระพันธอ ยางไร (แนวตอบ ทรงปรบั เนื้อหาท่ีเปน หนงั สือแปล จะเห็นได้ว่า นิทานเวตาลมีคุณค่าในด้านเนื้อหาด้วยให้ข้อคิดและความรู้ในด้าน ขา มภาษาจากภาษาอังกฤษซึง่ แปลมาจาก ต่างๆ ดังน้ัน ผู้เรียนจึงควรอ่านและค้นหาข้อมูลจากนิทานเวตาลทุกเรื่องเพ่ือเก็บเกี่ยวความรู้ ภาษาสนั สกฤต ปรบั ใหเ ขา กบั ผอู า นทเ่ี ปน คนไทย ที่แปลกแตกต่างและคล้ายคลึงกับไทย เพ่ือน�ามาวิเคราะห์ วิจารณ์ เปรียบเทียบ อันเป็นการ ทั้งในดา นภาษา ทสี่ ะทอนใหเห็นสภาพ เพม่ิ พูนสติปญั ญาใหม้ ากขึ้น สงั คมและวัฒนธรรมไทยไดอ ยา งกลมกลืน วรรณกรรมเรื่องนี้ จึงนับเปน การนาํ เสนอภาพ นิทานเวตาล เป็นนทิ านทีม่ ีความพิเศษ กล่าวคือ เป็นนทิ านทม่ี นี ิทานเรือ่ งย่อยซอ้ นอยู่ ของชมพูทวปี ในโลกทัศนข องสังคมไทยไดเ ปน ในนิทานเรื่องใหญ่ ซึ่งนอกจากจะได้รับความสนุกสนานและความต่ืนเต้นแล้ว ยังมีข้อคิดและ อยา งดี) คตเิ ตือนใจแฝงอย่ใู นเร่อื ง รวมทง้ั ปรศิ นาของเวตาลและคา� ตอบทา้ ยเรอื่ ง ซ่ึงมลี ักษณะเปน็ การ- วิเคราะห์วิจารณ์ที่คมคาย ขบขัน และประชดประชัน และผู้ท่ีต้องการศึกษาส�านวนร้อยแก้ว 2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ กค็ วรจะไดอ้ า่ นนิทานเวตาล ซง่ึ หากสังเกตการใช้ถอ้ ยคา� และส�านวนโวหาร จะเหน็ ได้ว่า น.ม.ส. ได้เลอื กสรรคา� และขอ้ ความอย่างดีเยยี่ ม 114 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นิทานเวตาลเร่ืองท่ี 10 มีแนวคิดสําคญั ตรงกบั ขอ ใดมากทสี่ ุด ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความเขา ใจเกยี่ วกบั วธิ กี ารพจิ ารณาคณุ คา ทางสงั คมและวฒั นธรรม 1. ธรรมะยอมชนะอธรรม ที่ปรากฏในวรรณกรรมวา มคี วามแตกตางกนั ในแตละยคุ สมยั โดยครูชแี้ นะให 2. ปลาหมอตายเพราะปาก นกั เรยี นศกึ ษาคน ควา เกยี่ วกับคานยิ ม ประเพณี วิถชี วี ติ เพ่อื สรา งความเขา ใจและ 3. พดู ไปสองไพเบยี้ นง่ิ เสียตําลงึ ทอง สามารถนําองคความรูดังกลา วไปปรบั ใชใ นการพัฒนาความคิดและการตคี วามบท 4. พลงั้ ปากเสียศลี พลง้ั ตนี ตกตน ไม ประพนั ธไ ดล กึ ซ้งึ ยง่ิ ขนึ้ เพือ่ ใหน กั เรียนศกึ ษาวรรณคดโี ดยไมยดึ ติดกับความคดิ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. พล้งั ปากเสียศีล พลง้ั ตีนตกตน ไม ของตนเองเปนหลัก แตเ นนใหน กั เรียนนาํ เสนอมมุ มองจากบทประพันธ การตคี วาม หมายถงึ การพดู หรอื ทาํ อะไรโดยไมร ะมดั ระวงั ยอ มไดร บั ความเดอื ดรอ นเสยี หาย วรรณคดดี ว ยความคดิ เหน็ ใหมๆ และรว มยคุ สมยั กบั ผปู ระพนั ธ ยอ มสง ผลใหว รรณคดี ตรงกับขอคิดของเรือ่ งมากทส่ี ุด สอดคลองกับแนวคดิ สําคญั ของนิทานเวตาล มคี ณุ คา รว มยุคสมัย นับเปนวิธกี ารสบื ทอดคุณคาของวรรณคดีไดเ ปน อยา งดี เรื่องที่ 10 ซง่ึ ชใ้ี หเห็นความสาํ คญั ของการพดู วา อาจนําพาสง่ิ ทดี่ แี ละสิง่ ท่ี ไมดมี าสูตนเองได เหตนุ จ้ี ึงตอ งระมัดระวงั ในการพดู สอดคลอ งกับคาํ ตอบ มุม IT ในขอ 4. ศกึ ษาเพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั นทิ านเวตาลทง้ั 10 เรอ่ื ง ไดท ี่ http://www.trueplookpanya. com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=11897&mul_source_id=021418 114 คมู อื ครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate คา� ถามประจ�าหน่วยการเรยี นรู้ 1. นักเรียนสรปุ นทิ านเวตาลเร่อื งท่ี 10 เปน ความเรียงดวยสํานวนของนกั เรียนเอง ๑. นิทานซ้อนนิทาน หมายถึงนิทานแบบใด และนอกจากนิทานเวตาลแลว้ นักเรียน รู้จกั นิทานเรอ่ื งใดอีกบา้ งทีม่ ีลักษณะเป็นนทิ านซ้อนนทิ าน 2. นกั เรยี นยกตวั อยา งวรรณศิลปท่ีพบในเร่ือง พรอ มคาํ อธบิ าย ๒. นกั เรยี นคดิ วา่ ลกู อนั เกดิ จากมเหสขี องทา้ วมหาพลกบั พระราชบตุ รของทา้ วจนั ทรเสน จะนบั ญาตกิ ันอยา่ งไรกบั ลูกอนั เกิดจากธิดาทา้ วมหาพลกับท้าวจนั ทรเสน 3. นกั เรยี นอธิบายเปรียบเทียบประเด็นดานสงั คม และวัฒนธรรมท่ีปรากฏในเร่อื ง ๓. นิทานเวตาลใหข้ ้อคดิ ด้าน “การพูด” อยา่ งไร ๔. เพราะเหตุใดพระวิกรมาทิตยจ์ งึ เผลอตอบปัญหาเมื่อเวตาลเล่านิทานแต่ละเรื่องจบ 4. นกั เรยี นสามารถนาํ ขอคดิ มาแสดงบทบาท ๕. นักเรียนคิดว่าพระวิกรมาทิตย์ท�าอย่างไรจึงไม่ตรัสตอบปัญหาของเวตาล และ สมมตไิ ด นักเรียนสามารถนา� วธิ กี ารของพระองค์ไปปรบั ใช้ในชีวิตประจา� วันไดอ้ ยา่ งไร 5. นกั เรยี นตอบคาํ ถามประจาํ หนวยการเรยี นรู กิจกรรมสรา้ งสรรค์พฒั นาการเรียนรู้ หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู ๑. อ่านนิทานเวตาลฉบับสมบรู ณ์ แลว้ ผลัดกันเล่านิทานเรอ่ื งอนื่ ๆ ให้เพอื่ นฟัง 1. ความเรียงสรุปสาระสําคญั ทไ่ี ดจากการเรยี นรู ๒. แสดงละครพูดเรื่องนิทานเวตาล โดยเลือกเรื่องจากนิทานย่อยของนิทานเวตาล 2. ตวั อยา งบทประพันธท่ีมีคณุ คา โดดเดนทาง เรือ่ งอนื่ ๆ อีก ๙ เรือ่ ง เขยี นบทสนทนา จัดหาเคร่ืองแตง่ กาย และเคร่อื งประกอบ วรรณศลิ ป พรอ มคําอธิบาย ฉากตามความเหมาะสม 3. ตารางเปรยี บเทียบคําศัพทท ่ีพบในเร่อื งกับคํา ๓. ให้นักเรียนลองแต่งนิทานแบบท่ีเป็นนิทานซ้อนนิทานเช่นเดียวกับนิทานเวตาลแล้ว ออกมาเลา่ ใหเ้ พ่อื นฟังหนา้ ชนั้ เรยี น ศัพทท ่ใี ชใ นปจ จุบนั พรอ มความหมาย 4. ความเรียงอธิบายเปรยี บเทียบประเดน็ ดานสงั คม และวัฒนธรรมท่ปี รากฏในเร่ือง 5. การแสดงบทบาทสมมติจากขอ คิดทไ่ี ดจ ากเรอ่ื ง ที่อาน 6. บันทึกการตอบคาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 115 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรียนรู 1. นทิ านซอนนิทาน หมายถงึ เรื่องทม่ี โี ครงเรื่องยอ ยแทรกอยใู นโครงเรอ่ื งหลัก โดยโครงเรื่องยอยนนั้ มเี นอ้ื หาแตกตา งจากโครงเร่ืองหลกั นิทานเรอ่ื งอื่นทีม่ ลี กั ษณะนิทาน ซอ นนิทาน อาทิ อาหรบั ราตรี 2. พิจารณาตามคาํ ตอบของนักเรยี น โดยครคู วรแนะนาํ นกั เรียนวา พระมเหสกี บั พระธิดาเปน แมล ูกกนั ความสมั พันธนี้ไมส ามารถตัดขาดไดเ พยี งแคก ารอภเิ ษกสมรสใหม กับชายอ่ืน ดงั น้ัน อาจกลา วไดวา ควรนับญาตกิ ันตามเดิม 3. การรักษาคําพูด ระหวา งทาวจนั ทรเสนกบั พระราชบตุ ร การคดิ กอ นพดู การพูดในเวลาทเ่ี หมาะสมของพระวกิ รมาทติ ย 4. เพราะต้ังใจฟง เร่ืองทีเ่ วตาลเลา เวตาลมีกลวธิ กี ระตุนโดยการกลา วชน่ื ชมเพือ่ กระตนุ ใหพ ระวิกรมาทติ ยต อบ หรอื พดู ดูถูกสตปิ ญ ญาเพอ่ื กระตนุ ใหพ ระวิกรมาทติ ย กระตือรือรนในการตอบคาํ ถาม เพอื่ ลบคาํ สบประมาทนนั้ หรืออกี แงมุมหน่งึ อาจกลา วไดวาเปนการแสดงขตั ติยมานะของพระองคจ ากความเชื่อม่ันและถือพระองคใ น ฐานะกษตั รยิ 5. พระวิกรมาทติ ยอดกลนั้ ไมต อบคาํ ถาม เพราะคิดไดว า หากพูดไปแลวตองเกดิ ปญ หา นักเรยี นสามารถนําไปปรับใชโ ดยคิดตรติ รองใหดกี อนพูดทกุ ครงั้ เพราะคําพดู ทอี่ อก จากปากไปแลวไมส ามารถเรยี กกลบั คนื มาได หากไมค ิดใหด กี อนพดู คาํ พดู อาจกลบั มาทํารา ยเราเองหรอื ทาํ รา ยความรสู กึ คนอ่นื ได คมู ือครู 115
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปาหมายการเรยี นรู 1. วเิ คราะหว ิจารณว รรณคดเี รอื่ ง นริ าศนรินทร คําโคลง ตามหลักการวจิ ารณเ บ้อื งตน 2. วิเคราะหลักษณะเดนของวรรณคดีเร่อื ง นริ าศ นรินทรคาํ โคลง เชอื่ มโยงกบั การเรียนรทู าง ประวัติศาสตรและวถิ ชี ีวติ ของสังคมในอดตี 3. สังเคราะหแ ละประเมนิ คณุ คาดานวรรณศิลป ของวรรณคดีเรอ่ื ง นริ าศนรินทรคาํ โคลง ในฐานะทีเ่ ปน มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ สมรรถนะของผูเรียน หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี ô นริ าศนรนิ ทรค าํ โคลง 1. ความสามารถในการสือ่ สาร หรือโคลงนิราศนรินทร 2. ความสามารถในการคิด เปน นริ าศท่มี ีชื่อเสียงเร่ืองหน่ึง 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ิต ในสมยั รัตนโกสนิ ทรต อนตน มเี น้อื หาเปนการ ครํ่าครวญและพรรณนาความรสู ึกอาลยั อาวรณ คุณลักษณะอนั พึงประสงค ทีม่ ีตอนางอันเปนทรี่ ัก ดว ยสํานวนโวหารอันไพเราะ ซ่งึ กวมี คี วามประณตี ในการสรรคาํ และความหมาย 1. มีวนิ ัย นิราศนรินทรจึงไดรบั การยกยอ งจากวรรณคดีสโมสร 2. ใฝเ รยี นรู 3. ซ่ือสตั ยสจุ รติ ใหเปน ยอดของนริ าศ 4. มุงมัน่ ในการทาํ งาน กระตนุ ความสนใจ Engage นริ าศนรนิ ทรค าํ โคลง ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ครูสนทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปน้ี • นกั เรยี นเคยไดยนิ คาํ วา “นริ าศ” หรอื ไม และ ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๒, ๓, ๖ • การวเิ คราะหแ์ ละประเมินคณุ คา่ วรรณคดแี ละวรรณกรรม เรอื่ ง นิราศนรนิ ทร์ค�าโคลง “นิราศ” ตามความเขา ใจของนกั เรยี นคือ อะไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง หลากหลาย โดยครเู นนทบทวนองคค วามรู ของนักเรียนเปน หลกั ) เกรด็ แนะครู หนวยการเรยี นรูน้ี ครูควรรวบรวมความคิดเห็นของนักเรียน และจัดกลมุ ประเด็นตา งๆ ใหเ ปนหมวดหมู เพอ่ื ใหค รูสามารถทําความเขาใจพ้นื ฐานความรู ของนกั เรียน และครูสามารถปรับพ้ืนฐานความเขา ใจของนักเรียนไดอ ยา งเหมาะสม นอกจากน้ี ครคู วรเนนใหน กั เรียนปฏบิ ัตกิ ิจกรรมทชี่ ว ยสรางปฏิสัมพันธแ ละรว มกัน ระดมความคดิ สง เสรมิ การพัฒนาสตปิ ญญา และสรางความสัมพนั ธอ นั ดรี ะหวา ง กันกับเพ่อื นรว มชน้ั เรียน โดยในการปฏิบัตกิ ิจกรรมนนั้ นกั เรียนควรชว ยกนั ศึกษา เนอื้ หา ตัง้ คําถามเพื่อคน หาคําตอบจากเรอ่ื งท่อี าน และรวมกันอภปิ รายแสดง ความคดิ เห็นจากคําตอบที่นกั เรียนคน พบ หรือการตัง้ สมมตฐิ าน เพื่อคาดเดา ความหมายของถอ ยคําหรอื แนวคิดที่ไดจ ากเร่ือง จากนนั้ จงึ รว มกนั อภิปราย แลกเปลี่ยนความคดิ เห็น 116 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑. ควำมเปน มำ ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ • นกั เรยี นยกตัวอยา งวรรณกรรมประเภท นิราศ เป็นงานประพันธ์ประเภทหน่ึงของไทยท่ีมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เท่าที่ปรากฏ หลักฐานในปัจจุบัน นิราศเรื่องแรกของไทยนั้น คือ โคลงนิราศหริภุญชัย ซึ่งแต่งในสมัย นิราศท่นี กั เรยี นรจู กั หรอื ท่เี คยเรียนมา กรุงศรีอยุธยา • นักเรยี นคดิ วา นิราศแตละเรือ่ งทน่ี ักเรยี น ๑.๑ ลกั ษณะของนิรำศ กลาวมาขางตน มลี กั ษณะเดนเหมอื นกนั หรือไม อยา งไร พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔ อธบิ ายวา่ “นริ าศ” หมายถงึ สาํ รวจคน หา Explore “เรอ่ื งราวทพ่ี รรณนาถึงการจากกันหรอื จากทอ่ี ย่ไู ปในทีต่ า่ งๆ” นกั เรยี นสบื คน ขอ มลู เรอื่ ง นริ าศนรนิ ทรค าํ โคลง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพได้ทรงสันนิษฐานเก่ียวกับ งานประพันธ์ประเภทนิราศไว้ มีใจความโดยสรุปว่า นิราศเป็นงานประพันธ์ที่เกิดขึ้นเพราะระยะ อธบิ ายความรู Explain เวลาท่ีกวีต้องเดินทางไปยังจุดหมายท่ีต้องการน้ันยาวนานมาก เพราะการเดินทางสมัยโบราณ ใช้เรือเป็นพาหนะ ซึ่งแล่นไปได้อย่างช้าๆ ผู้เดินทางจึงมีเวลาว่างมาก เม่ือมีฝีมือในทางกาพย์ 1. นกั เรยี นรว มกนั ตอบคาํ ถาม ตอ ไปนี้ กลอน กวีจึงได้บันทึกอารมณ์คิดถึงนางอันเป็นท่ีรักท่ีตนต้องจากมา พร้อมกับเล่าระยะทาง • มีขอ สันนษิ ฐานเกี่ยวกบั ที่มาของนิราศวา สถานทที่ ่ีผา่ น และสิ่งที่ไดพ้ บเหน็ ระหว่างทาง อยางไร (แนวตอบ สมเด็จพระเจา บรมวงศเธอ ๑.๒ เน้อื หำของนิรำศ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพทรงสนั นิษฐาน เกยี่ วกับท่มี าของนริ าศไวว า เนอ่ื งจาก เนื้อหาของนิราศโดยท่ัวไปมักเป็นการคร่�าครวญของกวี (ชาย) ต่อสตรีอันเป็นท่ีรัก การเดนิ ทางในสมัยกอ นตอ งใชร ะยะเวลา เนื่องจากต้องพลัดพรากจากนางมาไกลไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุใดก็ตาม แต่ท้ังนี้ยังมีนิราศเร่ืองหน่ึง ยาวนาน กวีจงึ ตอ งการใชเ วลาวา งจาก ซ่ึงมีเนือ้ หาเปน็ การคร�า่ ครวญของสตรถี งึ สตรดี ว้ ยกัน คอื โคลงนริ าศท้าวสภุ ัตกิ า1รภักดี พระราช- การเดินทางใหเ กิดประโยชนแ ละแสดงฝม อื คนนิพแนตธง่์รขัชนึ้กเามลื่อทค่ี ร๕าวตซาึ่งมทเรสงดส็จมฯมตปิวร่าะทพ้าาวส2สหุภวั ัตเมิกือางรกภาักญดจี (นนบาุรกี )ในหัวพห.ศน.้าห๒้อ๔ง๑เค๖รื่อดงงั ใปนรพารกะฏอใงนคโ์เคปล็นง การประพันธ พรอ มบอกเลาเสน ทาง ทา้ ยเรอ่ื งว่า สถานท่ีทผ่ี าน และส่งิ ท่พี บเหน็ ระหวา ง ทาง โดยใชธรรมชาตทิ ่พี บเหน็ เปนสอ่ื ใน ร�า่ เรอ่ื งนริ าศไห้ หาศรี การพรรณนาเปรียบเทยี บ) ทา้ วสภุ ตั กิ ารภักดี กลา่ วอ้าง • แกน เร่ืองสําคญั ของนริ าศคืออะไร แสดงศักดิก์ ระสัตรี ตรองตร ิ ท�าแฮ (แนวตอบ นิราศโดยสวนใหญมักมีความเศรา ไรเ้ พ่อื นภริ มย์รา้ ง รักเร้นแรมไกล เพราะรา งรักเปนแกน เรือ่ ง) อยา่ งไรกต็ าม อาจกลา่ วไดว้ า่ วรรณคดนี ริ าศมกั มคี วามเศรา้ เพราะรา้ งรกั เปน็ แกน่ เรอ่ื ง 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ สว่ นรายละเอียดอื่นๆ ทปี่ รากฏในเนือ้ เรือ่ งเปน็ เพียงสว่ นประกอบเท่าน้นั ๑.๓ นำงในนริ ำศ สา� หรบั นางในนิราศสว่ นใหญ่ทกี่ วพี รรณนาวา่ จากมานัน้ อาจมีตวั ตนจรงิ หรอื ไม่ก็ได้ แต่กวีถือวา่ นางผู้เป็นท่รี ักเปน็ ปัจจยั ส�าคญั ยงิ่ ท่ีจะเอือ้ ให้กวีแตง่ นริ าศไดไ้ พเราะ แม้ในสมยั หลงั กวี 117 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ในการแตงคาํ ประพนั ธประเภทนิราศ กวีมักใหค วามสําคัญกับเร่ืองใด ในการปฏิบัตกิ จิ กรรมกระตนุ ความสนใจ โดยการใชค ําถามนน้ั ครคู วรรวบรวม มากที่สุด ความคดิ เหน็ ของนักเรียน และจดั กลุมประเดน็ ตา งๆใหเปนหมวดหมู เนนการ ทบทวนองคค วามรูเดิมของนกั เรียนเปน หลัก โดยเฉพาะในคาํ ถามขอที่สอง ซ่งึ 1. บรรยายสถานทีท่ ่ีเดนิ ทางผา น ถามวา “นักเรยี นคิดวานิราศแตล ะเรอ่ื งท่ีนกั เรียนกลาวมาขา งตน มีลกั ษณะเดน 2. พรรณนาความงดงามของสถานที่ เหมอื นกนั หรือไม อยา งไร” ครคู วรรวบรวมความคิดเหน็ และจาํ แนกความคดิ เห็น 3. เนน การเลน คําและการเลน ความเพอื่ ใหเกิดรส ของนักเรียนใหชัดเจน เพอื่ เชอ่ื มโยงสูอ งคค วามรูในหัวขอตอ ไป 4. เนนการพรรณนารสรักและความอาลยั รกั นักเรียนควรรู วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เนนการพรรณนารสรักและความอาลัยรกั 1 หองเคร่อื ง หมายถึง ครวั เรยี กเตม็ วา หองเครอ่ื งวิเสท หรือหมายถึง เนือ่ งจากนริ าศแทเ นนการพรรณนาความเศราทเ่ี กดิ จากการพลดั พราก หอ งสําหรบั เกบ็ เคร่อื งราชูปโภค โดยเรยี กเตม็ ไดว า หอ งเครอื่ งราชปู โภค จากความรกั เปนแกนเร่อื ง 2 ประพาส เปน คาํ ราชาศพั ท หมายถงึ การไปตางถิ่นหรือตา งแดน หรอื ไปเที่ยว คมู ือครู 117
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนรวมกันตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ อาจไม่ได้ใช้การคร�่าครวญถึงนางเป็นแก่นเรื่องเท่ากับการบันทึกระยะทาง เหตุการณ์ และ • นักเรียนยกตัวอยางวรรณกรรมนริ าศท่มี ี อารมณ์ แตก่ ย็ งั คงมบี ทครวญถงึ นางแทรกอยู่ ดงั เชน่ ทสี่ นุ ทรภแู่ ตง่ นริ าศภเู ขาทอง ทงั้ ๆ ทกี่ า� ลงั ความเศรา เพราะรางรกั เปนแกนเร่ืองและมี บวชอยู่ แต่สุนทรภู่ก็เห็นว่าการครวญถึงนางเป็นสิ่งจ�าเป็นในการแต่งนิราศ จึงกล่าวไว้ในกลอน การใชธรรมชาติเปนส่ือ ตอนทา้ ยนิราศเรอ่ื งนีว้ า่ (แนวตอบ เปน ตน วา นริ าศอิเหนา) นริ าศเร่อื งเมืองเก่าของเราน้ี ไทว้งั ้เสปถน็ ูปทบ่ีโสรมมนธาสั ตท1พุ ศั รนะาศาสนา 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ดว้ ยได้ไปเคารพพระพทุ ธรปู ขยายความเขา ใจ Expand เป็นนสิ ัยไว้เหมอื นเตอื นศรัทธา ตามภาษาไมส่ บายพอคลายใจ ใชจ่ ะมีท่รี ักสมคั รมาด แรมนิราศร้างมิตรพสิ มยั 1. นกั เรียนรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปนี้ ซึง่ คร�่าครวญทา� ทีพิร้ีพิไร ตามนิสยั กาพย์กลอนแตก่ อ่ นมา • นกั เรียนคดิ วา การเดนิ ทาง การคร่าํ ครวญถงึ นางอนั เปนทร่ี ัก และการกลา วถึงธรรมชาติ ในบางกรณี กวีอาจแต่งนิราศข้ึนเม่ือเดินทางไกลและแม้ว่าจะไม่ได้จากนางอันเป็น ทพี่ บเห็นตลอดการเดนิ ทาง มีคณุ คาทาง ที่รักจริง เพราะมีนางนั้นติดตามมาด้วย แต่กวีก็ยังต้องครวญถึงนางตามแบบแผนของนิราศ วรรณศลิ ปใ นการประพันธน ิราศอยา งไร ดงั เชน่ เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศรทรงนพิ นธ์ กาพยห์ อ่ โคลงนริ าศธารโศก ไดท้ รงแถลงไวต้ อนทา้ ยเรอื่ งวา่ (แนวตอบ เปน ตน วา การทีบ่ ทประพนั ธ ประเภทนิราศโดยสวนใหญมักมคี วามเศรา จบเสร็จคร�่าครวญกาพย ์ บทพลิ าปถึงสาวศรี เพราะรา งรกั เปนแกน เรือ่ งนนั้ นางในนริ าศ แตง่ ตามประเวณ ี ใช่เมียรักจกั จากจริง จึงถือเปนอุปมานทิ ศั นข องความสุขทีก่ วจี ํา โคลงครวญกลอนกลา่ วอ้าง นารี ตองพรากจากเพราะการเดนิ ทาง ฉะน้ัน การ โศรกสร้อยถงึ สาวศร ี เษกหว้า ทก่ี วพี รรณนาคราํ่ ครวญถึงความรกั ในอดีต แตง่ ตามประเพณ ี ธริ ภาคย์ เมียม่ิงพรง่ั พรอ้ มหนา้ ห่อนได้จากกนั ที่ลวงผา น และการพลัดพรากจากนางอัน กรมพระยาดา� รงราชานภุ าพไดแ้ บง่ ยคุ ของวรรณคดปี ระเภทนริ าศไว้ ๒ ชว่ ง ในชว่ งแรก เปนท่ีรกั ตลอดการเดนิ ทาง จงึ สามารถสรา ง คอื สมัยอยุธยา เน้ือหาของวรรณคดปี ระเภทนิราศเน้นการถ่ายทอดอารมณ์ความรูส้ ึกคร�่าครวญ อารมณสะเทือนใจไดอยางเขมขน ลึกซ้ึง และ ถึงนางอันเป็นที่รักเม่ือยามห่างไกลกัน ขณะท่ีวรรณคดีประเภทนิราศในสมัยรัตนโกสินทร์ ผู้แต่ง สามารถสรางภาพพจนโ ดยใชธ รรมชาติทกี่ วี ใหค้ วามสา� คญั กบั การถา่ ยทอดเนอื้ หาในเชงิ พรรณนาความรสู้ กึ เทยี บเทา่ กบั การใหร้ ายละเอยี ดของ พบเหน็ ระหวา งการเดินทางเปนสื่อเพื่อ สถานทต่ี ่างๆ ทีผ่ ่านพบ เช่น นริ าศลอนดอน ของหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกรู ) เปรียบเทียบไดเ ปนอยางดี) • นกั เรียนคดิ วา เปนไปไดหรอื ไมทีน่ ริ าศจะ นอกจากนี้ ยังมีนิราศบางเรื่องอาจไม่ได้มีการเดินทางจริง แต่ผู้แต่งได้จับเอาแก่น มอี งคประกอบไมค รบทงั้ สามสว น นกั เรียน ความหมายของนิราศมา โดยเลือกตอนใดตอนหนึ่งในวรรณคดีท่ีตัวละครเอกชายพลัดพรากจาก อภปิ ราย และยกตวั อยาง ตัวละครเอกหญิง มาแต่งเป็นนิราศเฉพาะเร่ืองข้ึนก็มี เช่น นิราษสีดา (นิราศสีดา) หรือ ราชา (แนวตอบ นริ าศทีไ่ มม ีการครวญถึงนาง เชน พิลาปค�าฉันท์ มีเน้ือหาตัดตอนมาจากเร่ืองรามเกียรติ์ กล่าวถึงพระราม พระลกั ษมณต์ ิดตาม นิราศลอนดอน และนิราศกวางตุง เปน ตน นางสีดาโดยแทรกบทคร่�าครวญร�าพันในท�านองนิราศ หรือ นิราศอิเหนา ซึ่งสุนทรภู่น�าตอน สว นนิราศทีม่ ิไดเ ดนิ ทางจรงิ แตหยบิ แกน ของ อเิ หนาครวญถึงบษุ บาถูกลมหอบในวรรณคดีเรอื่ งอิเหนามาแต่งเป็นนริ าศ เป็นต้น การพรากจากมาใช เชน นิราศอิเหนา นริ าศสีดา เปนตน ) 118 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ครเู พิม่ เติมความรูเกย่ี วกับลกั ษณะคาํ ประพันธป ระเภทนริ าศ ซ่งึ ประกอบดวย ขอ ใดกลา วไมถกู ตอ ง 3 ลักษณะสําคัญ ไดแก 1. การเคล่อื นที่ โดยเปนการเคลอื่ นที่ของบุคคลและ 1. นิราศโดยสวนใหญมคี วามเศราเพราะการรา งรกั เปนแกนเรอื่ ง เวลา โดยการเคลือ่ นทีข่ องบุคคล คือ การเดินทางพรากจากสถานทท่ี เ่ี คยอยอู าศยั 2. นิราศบางเรอื่ งไมม เี นือ้ หาเก่ยี วกับการเดินทางจรงิ ของกวี พบไดใ นวรรณคดีนริ าศทั่วไป สว นการเคล่ือนทขี่ องเวลา เชน การเปล่ยี นแปลง 3. นางในนริ าศเปน อุปมานทิ ัศนของกวี แสดงถงึ ความสุขท่ีกวจี าํ ตอง ของฤดูกาลตางๆ พบไดในวรรณคดีเรือ่ ง โคลงทวาทศมาส 2. การครํ่าครวญ อาจ เปน การคร่าํ ครวญถึงนางอนั เปน ทีร่ ัก ซง่ึ พบในวรรณคดที ่ัวไป หรืออาจคราํ่ ครวญ พรากจาก ถึงพระมหากษตั รยิ เชน นิราศกวางตงุ เปน ตน และ 3. การใชธ รรมชาติทพี่ บเหน็ 4. นิราศทุกเร่อื งตอ งกลา วครํา่ ครวญถึงนางอันเปนท่รี ัก หากไมกลา วถึง ตลอดการเดนิ ทางเปนส่อื เปรยี บเทยี บอารมณค วามรสู ึกของกวี นางอันเปน ทีร่ กั ไมถอื วา เปนวรรณคดีประเภทนิราศ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. นิราศทุกเรอ่ื งตองกลาวครํา่ ครวญถึงนาง อนั เปน ท่ีรกั หากไมก ลาวถึงนางอนั เปนที่รักไมถ ือวา เปน วรรณคดปี ระเภท นริ าศ เปน คํากลา วท่ไี มถ กู ตอง เน่อื งจากมีนริ าศหลายเรอ่ื งที่ไมมีการ นกั เรยี นควรรู กลา วถึงนางอันเปนที่รัก 1 บรมธาตุ หมายถึง กระดกู ของพระพุทธเจา 118 คมู อื ครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๔ คำ� ประพันธใ์ นนิรำศ 1. นักเรยี นรว มกันตอบคําถาม ตอไปนี้ • นักเรียนคดิ วา นริ าศมีการแตงดวยลกั ษณะ กาพย์ กลอนวกรารพณยค์หดอ่ ีปโรคะลเงภ1ทแนติ่ทรา่นี ศิยอมามจาแกตท่งดีส่ ้วดุ ยในคส�ามปรัยะโบพรันาธณ์ไดไ้หดลแ้ ากย่ ปโครละงเภซทงึ่ สเว่ชน่นมาโกคมลักงขฉ้นึ ันตน้ท์ คาํ ประพนั ธป ระเภทใดบา ง ใหน ักเรยี น โดคว้ ลยงรกา่ �ยาสหรนวง่ึ ลบ2ท(ก�าแสลระวรลา่ ศยบรีปทรนาจี้ ชะญม์หีใจรคือวกา�ามสสรดวดุลบีสา้มนุทเรม)อื งเแปล็นะตย้นอพตร่อะเมกายี จรึงตไพิด้มระีกมาหรแากตษ่งนตั ริรยิาศ์ ดเช้ว่นย ยกตวั อยา งประกอบ กาพยห์ อ่ โคลง เชน่ กาพย์หอ่ โคลงประพาสธารทองแดง เปน็ ต้น (แนวตอบ เปน ตนวา นิราศเปนการแบง ประเภทของวรรณคดโี ดยใชเ นื้อหาเปน คร้ันถงึ สมยั กรุงรัตนโกสนิ ทร์ แม้โคลงจะยังคงเป็นคา� ประพนั ธ์ที่กวนี ยิ มนา� มาใชแ้ ต่ง เกณฑ จงึ มีการแตง ดว ยลักษณะคาํ ประพันธ นิราศ แต่ค�าประพันธ์ประเภทกลอนก็เร่ิมมีบทบาทส�าคัญมากข้ึน ดังจะเห็นได้ว่ามีผู้แต่งนิราศ หลายประเภท ซ่งึ มคี วามเปลย่ี นแปลงตาม ด“เ้วอยยก” ลเอชน่นแพกรล่หอลนาเพยมลงายกาวแ3นลิระาหศารกบแพตม่ง่าเทป่ีท็น่ากดลินอแนดมงักขหึ้นรตือ้นกดล้วอยนวนริรราคศรเับรื่อแงลตะ่าลงงๆท้าขยอดง้วสยุนคท�ารวภ่าู่ ความนิยมในแตละยุคสมยั ลักษณะ เปน็ ต้น คาํ ประพนั ธท ี่ใชในการแตง นิราศ ประกอบ ดวย คําประพนั ธป ระเภท โคลง ฉนั ท นิราศนรนิ ทรค์ �าโคลง กาพย กลอน กาพยหอ โคลง แตทน่ี ิยมมาก นริ าศนรินทร์ค�าโคลงมีลักษณะเป็นนริ าศแท้ คอื มีเนื้อหาสา� คัญอยู่ทีก่ ารครา่� ครวญ ทสี่ ุดในสมยั อยธุ ยา คอื แตงดว ยโคลง และ นยิ มแตงดว ยกาพยห อโคลงในภายหลงั ถึงนางอันเป็นที่รักที่กวีจากมา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เป็นเพียงส่วนประกอบเท่าน้ัน เป็นท่ี สว นในสมัยรัตนโกสนิ ทรก ารแตงดวยกลอน ยอมรับกันโดยท่ัวไปว่า นิราศนรินทร์ค�าโคลงเป็นนิราศที่มีความไพเราะที่สุดเร่ืองหนึ่งของไทย ไดร บั ความนยิ มมากท่ีสุด) สา� นวนโวหารและจนิ ตนาการบางสว่ นในนิราศเร่อื งน้ีเหน็ ไดช้ ัดวา่ กวไี ด้ถอื เอาวรรณคดเี รอ่ื งโคลง ก�าสรวลซึ่งเป็นนิราศค�าโคลงในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นแบบ แต่กวีก็น�ามาเปลี่ยนแปลงให้มี 2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ลักษณะเป็นของตนเอง ดังตัวอย่างเช่น ตอนที่กวีคิดว่าจะฝากนางที่ตนรักไว้กับผู้ใดดีจึงจะ ปลอดภัย ในโคลงกา� สรวลวา่ ขยายความเขา ใจ Expand โฉมแม่จกั ฝากฟา้ เกรงอินทร หยอกนา 1. นักเรียนรวมกนั อภิปรายในประเด็น ตอไปนี้ • นกั เรยี นคดิ วา ความหลากหลายของ อินทรท่านเทอกโฉมเอา ส่ฟู า้ ลักษณะคาํ ประพนั ธประเภทนิราศเกิดจาก ปจจยั ใด และสะทอ นภาพสงั คมอยางไร โฉมแมจ่ ักฝากดิน ดนิ ท่าน แล้วแฮ (แนวตอบ เปน ตน วา ลักษณะคาํ ประพันธ ทใ่ี ชใ นการแตงนริ าศมคี วามเปล่ยี นแปลง ดินฤๅขดั เจา้ หล้า สู่สมสองสม อยูเสมอ สะทอนความนยิ มในการแตง คําประพนั ธ หรอื อาจมีความเปลย่ี นแปลง โฉมแมฝ่ ากน่านน�า้ อรรณพ แลฤๅ ดา นลักษณะเนือ้ หา แตเดมิ กวีอาจนิยม บนั ทกึ การเดนิ ทาง บรรยายสภาพแวดลอ ม เยียวนาคเชยชมอก พ่ไี หม้ ระหวา งการเดินทางเปนนิราศ) โฉมแมร่ �าพึงจบ จอมสวาสด ิ กูเอย 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ โฉมแม่ใครสงวนได้ เทา่ เจ้าสงวนเอง 119 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู ขอใดตอไปนีม้ ลี กั ษณะความเปนนิราศแตกตา งจากขออ่นื 1 กาพยห อ โคลง คอื ลกั ษณะคาํ ประพันธทีใ่ ชกาพยและโคลงประพนั ธค กู นั ไป 1. นิราศสดี า โดยจะใชโ คลงหรอื กาพยขึ้นกอนก็ได แตท ง้ั โคลงและกาพยต องมีเน้อื ความ 2. นริ าศอิเหนา เหมือนกัน 3. ราชาพิลาปคาํ ฉนั ท 2 โคลงกาํ สรวล เรยี กอีกช่อื หนึง่ ไดวา กาํ สรวลศรปี ราชญห รอื กาํ สรวลสมุทร 4. นริ าศพระยามหานุภาพไปเมอื งจนี เดมิ เชอ่ื วา ผแู ตง คอื กวชี อ่ื วา ศรปี ราชญเ ปน ผแู ตง นอกจากน้ี ยงั มขี อ สนั นษิ ฐานวา ผแู ตงเปนพระราชโอรสในพระบรมไตรโลกนาถในสมยั กรุงศรอี ยธุ ยาตอนตน แตย ัง วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. นิราศพระยามหานุภาพไปเมอื งจนี มเี นื้อหา ไมปรากฏหลักฐานแนช ดั แตงดว ยรอ ยกรองประเภทรา ยดน้ั 1 บท และโคลงดน้ั บาทกญุ ชร 129 บท โดยมีจดุ มุงหมายเพอื่ บันทึกอารมณและการเดินทาง เน้อื เรอื่ ง แตกตา งจากนริ าศในขอ อนื่ ๆ เนอ่ื งจากนริ าศเรอ่ื งนเ้ี ปน นริ าศไมแ ท มลี กั ษณะ กลา วถงึ การเดนิ ทางจากกรงุ ศรอี ยธุ ยาดว ยเรอื ตามลาํ นา้ํ เจา พระยาสภู าคใตข องไทย เปนจดหมายเหตุบันทกึ การเดนิ ทาง ไมม ีการครา่ํ ครวญถงึ นางอันเปน ทร่ี ัก 3 กลอนเพลงยาว ในบทแรกจะข้ึนตนดว ยวรรครับ แลวตามดวยวรรครองและ สว นนิราศในขอ อืน่ ๆ กวไี ดจบั เอาแกน ความหมายของนริ าศ โดยเลือก วรรคสง สวนบทตอๆ ไปจะมคี รบทงั้ ส่ีวรรค เมอื่ จะจบกลอนเพลงยาวจะลงทาย ตอนทต่ี ัวละครพรากจากกันมาใชใ นการประพนั ธ ดว ยคําวา “เอย” การรบั สงสัมผัสเหมอื นกลอนสุภาพ คูม ือครู 119
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นเปรยี บเทยี บบทประพันธเร่อื ง โคลง ส่วนในนิราศนรินทรค์ �าโคลงวา่ กาํ สรวลซง่ึ เปน นริ าศคาํ โคลงในสมยั อยุธยา ในหนังสอื เรียนหนา 119 เปรยี บเทียบกับเรื่อง นริ าศนรนิ ทรค าํ โคลง ในหนงั สือเรียนหนา 120 โฉมควรจักฝากฟ้า ฤๅดนิ ดีฤๅ จากนั้นนักเรยี นรวมกนั ตอบคําถาม ตอ ไปนี้ เกรงเทพไทธ้ รณนิ ทร์ ลอบกลา�้ • นกั เรยี นคิดวา โคลงกาํ สรวลกบั นิราศนรนิ ทร ฝากลมเลือ่ นโฉมบิน บนเล่า นะแม่ ลมจะชายชักช้า� ชอกเน้ือเรยี มสงวน คําโคลงมคี วามเหมือนและความแตกตา งกนั ฝากอุมาสมรแมแ่ ล้ ลกั ษม ี เลา่ นา อยางไร พรอมยกตัวอยางประกอบ ทราบสวยมภูวจักรี เกลอื กใกล้ (แนวตอบ เปนตน วา ลักษณะรวม เรียมคดิ จบจนตร ี โลกล่วง แล้วแม่ ดานเนอื้ หาวาดวยการฝากนาง แมจะฝาก โฉมฝากใจแมไ่ ด้ ย่ิงด้วยใครครอง นางไวกบั ใครก็มิไดม ีคา เทา การฝากนางไวกับ ใจของนางเอง ซึ่งมีเนอื้ หาเชนเดียวกัน ซ่งึ ในกรณเี ช่นน้ีในวงการกวีไมไ่ ด้ถอื วา่ เป็นข้อพงึ ตา� หนแิ ตอ่ ยา่ งใด แตสว นทถี่ ือเปนลกั ษณะเฉพาะของวรรณคดี สรรพส์ าระ เรอื่ ง นริ าศนรินทรค าํ โคลง คือ กลวิธกี าร ต้งั คําถามเชิงวาทศิลปเปน คาํ ถามทไ่ี ม นิราศบางเรื่อง ตองการคําตอบวา “โฉมฝากใจแมไ ด ยิง่ ดวยใครครอง”) โคลงนิราศหริภุญชยั - ไมป่ รากฏวา่ ผ้ใู ดแตง่ ทราบแต่เพยี งว่าผ้แู ต่งเป็นชาวเชยี งใหม่ และ 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ อาจแตง่ ขนึ้ ในราว พ.ศ. ๒๐๖๐ เนอื้ หาวา่ ดว้ ย1การแสดงความรกั ความอาลยั สตรที ผี่ แู้ ตง่ ตอ้ งจากมา จากเชียงใหมเ่ พ่ือไปนมสั การพระธาตหุ ริภุญชยั ท่ลี �าพูน ขยายความเขา ใจ Expand กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก - เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงนิพนธ์ขึ้นเมื่อตามเสด็จสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี มีเนื้อหาเป็นการพรรณนาถึงนางอันเป็น 1. นกั เรยี นรว มกันอภิปรายในประเด็น ตอไปน้ี • นักเรยี นคดิ วา การท่ีกวีนาํ เนือ้ หาหรอื กลวิธี ที่รักตามระยะเวลาเป็นโมง ยาม วัน ฤดู เดือน ปี แต่ไม่ได้กล่าวถึงสถานท่ีที่ผ่านไปและไม่ได้จาก จากเร่ืองอื่นมาใชใ นการแตง คําประพันธ เหตุ ใดจงึ ไมถ ือวา “เปน ขอพึงตําหนแิ ตอ ยา งใด” นางจรงิ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ - นริ าศพระยามหานภุ าพไปเมอื งจนี - แตง่ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๒๔ มเี นอ้ื หาเปน็ การบนั ทกึ เรอื่ งราว เห็นไดอยางหลากหลายขึ้นอยกู บั เหตุผลของ นักเรียน เปน ตนวา ในสงั คมและวฒั นธรรม ทผ่ี แู้ ตง่ ประทบั ใจในระหวา่ งการเดนิ ทางทางเรอื การไดพ้ บเหน็ สงิ่ ทแ่ี ปลกตาในตา่ งแดน ความซาบซึ้ง ไทยถอื วา การทีก่ วีนําเน้อื หาหรือกลวิธีจาก วรรณคดีเร่อื งกอ นหนามาใชใ นการประพันธ ตอ่ การต้อนรับดว้ ยไมตรีจติ และยังตอ้ งการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช นริ าศลอนดอน - แตง่ เม่ือประมาณ พ.ศ. ๒๔๐๐ เพือ่ บนั ทกึ เหตุการณแ์ ละสิ่งท่ีได้พบเหน็ ใน ระหว่างการเป็นล่ามในคณะทูตไทยไปกรงุ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ โคลงก�าสรวล - มีเน้ือหาเป็นการร�าพันของกวีที่มีต่อคนรักเม่ือต้องจากบ้านไปไกล แต่งใน สมัยอยธุ ยาตอนตน้ กลอนเพลงยาวนิราศรบพม่าที่ท่าดินแดง - เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ มีเนื้อหา เป็นการบันทึกเหตุการณ์เม่ือพระองค์เสด็จยกทัพไปท�าศึกกับพม่าที่ต�าบลท่าดินแดง แขวงเมือง เนือ่ งจากกลวิธกี ารดงั กลา วเปนการบชู าครู กาญจนบรุ ี เม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๙ ซ่งึ สะทอนถงึ คานิยมเก่ยี วกับความกตญั ู 120 กตเวที และถอื วา เปนขนบวรรณศิลป ในการ ประพันธวรรณคด)ี 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรเู ก่ียวกับขนบวรรณศิลปว า คตินิยมในการแตง วรรณคดี ขอ ใดกลาวถงึ วรรณคดีเรือ่ ง นริ าศนรนิ ทรคาํ โคลง ไมถ ูกตอง ไทยในสมัยกอ นน้นั มกั ยดึ ถอื วรรณคดรี ุน กอนหนาเปนแมแบบในการแตง และมี 1. เนื้อหาสําคญั กลา วครํา่ ครวญถงึ นางอันเปน ทีร่ ัก การสบื ทอดลกั ษณะทางวรรณศิลปท ้งั ในดานภาษา เน้ือหา และรูปแบบท่ีมีความ 2. นาํ กลวิธกี ารฝากนางจากเรอื่ งโคลงกําสรวลมาใช แตป รบั เปล่ยี นกลวิธี ตอเนื่องกัน ในลกั ษณะพฒั นาการของตัวละคร การนาํ กลวิธขี องกวใี นยุคกอนหนา มาปรบั ใชใ นการประพนั ธ นอกจากจะแสดงใหเ หน็ ถงึ ความพากเพยี รในการศกึ ษา ทางวรรณศิลปใ หมคี วามแตกตา ง หาความรขู องกวีแลว ยังถือเปน การบชู าครอู ีกดว ย 3. นาํ เอาเนอ้ื หาจากวรรณคดีเร่ือง โคลงกําสรวล มาเปนตนแบบ แลวปรบั เปลยี่ นใหม ีลกั ษณะเฉพาะของตนเอง 4. นาํ วรรณคดยี คุ กอ นมาปรบั เปลย่ี นกลวธิ ีใหม ีลักษณะเฉพาะทาํ ใหน ริ าศ นรินทรคําโคลงดอ ยคุณคาทางวรรณศลิ ป นกั เรยี นควรรู วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. การนําวรรณคดยี ุคกอ นมาปรบั เปล่ียน กลวธิ ใี หม ีลกั ษณะเฉพาะทําใหน ิราศนรนิ ทรค าํ โคลงดอยคณุ คา ทาง 1 พระธาตุหริภุญชัย สรา งขึน้ ในพทุ ธศตวรรษท่ี 17 ในรัชสมัยพญาอาทิตยราช วรรณศิลป เนื่องจากไมถือเปนเรือ่ งผิด แตถอื เปน การบูชาครู ซึ่งชวยสง กษตั ริยแ หง ราชวงศจ ามเทววี งศ โดยทีแ่ หง นีเ้ คยเปนพระราชฐานของพระองค ซ่งึ เสรมิ คณุ คาของบทประพนั ธ ทรงอทุ ศิ ถวายใหเปนวัดเพื่อเปนพทุ ธบูชา 120 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู ๒. ประวัตผิ ู้แต่ง 1. นกั เรียนรว มกันพจิ ารณาบทประพนั ธ พรอ ม ตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอ ไปน้ี “โคลงเร่อื งนริ าศนี้ นรนิ ทรอ ิน นิราศนรินทร์ค�าโคลง เป็นนิราศท่ีมีชื่อเสียงเร่ืองหน่ึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยมี รองบาทบวรวงั ถวิล วา ไว” ความไพเราะเป็นเย่ียม แต่เป็นท่ีน่าเสียดายว่าความรู้เกี่ยวกับประวัติผู้แต่งน้ันไม่สู้ชัดเจนนัก • บทประพนั ธขา งตน กลาวถึงส่งิ ใด นอกจากปรากฏอยู่ในโคลงทา้ ยเรื่องวา่ (แนวตอบ บทประพันธข างตนกลาวถึงผแู ตง นามวา นรนิ ทรหรืออิน) “โคลงเรอื่ งนริ าศน้ี นรนิ ทรอ์ ิน • มีขอสันนิษฐานเก่ยี วกับประวตั ผิ แู ตง เรอื่ งน้ี รองบาทบวรวังถวลิ วา่ ไว”้ ไวว า อยา งไร (แนวตอบ สมเดจ็ พระเจา บรมวงศเธอ กรม สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดา� รงราชานภุ าพไดท้ รงสนั นษิ ฐานเรอ่ื งราวเกยี่ วกบั พระยาดาํ รงราชานภุ าพไดสันนิษฐานวา ผู้แต่งว่าควรจะช่ือ “อิน” ตามท่ีบ่งไว้ในโคลงและควรเป็นมหาดเล็กในกรมพระราชวังบวรมหา- กวดี ํารงตําแหนงเปน มหาดเล็กที่ไมไ ดมี เสนานุรักษ์ ในรัชกาลท่ี ๒ ซ่ึงเม่ือสอบดูท�าเนียบข้าราชการวังหน้าในสมัยน้ันก็มีต�าแหน่ง ตาํ แหนงทางอักษรศาสตร และไมเคยมี นายนรนิ ทรธเิ บศร์ ทง้ั เมอ่ื สอบกบั เหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตรก์ ไ็ ดค้ วามชดั เจนยงิ่ ขนึ้ คอื ปรากฏวา่ หลกั ฐานวา เคยไดแ สดงฝม ือทางกวไี ว จึง ในสมัยรัชกาลที่ ๒ มีศึกพม่ามาตีเมืองถลางและชุมพร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒ รัชกาลที่ ๒ ทรง ทําใหการสบื คน ประวัตทิ แ่ี นชดั ทําไดยาก) พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหก้ รมพระราชวงั บวรฯ เสดจ็ ยกทพั หลวงไปปราบพม่า 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ เส้นทางท่ีทรงยกกองทัพไปนั้นเป็นทางเดียวกับที่นายนรินทรธิเบศร์ (อิน) พรรณนาไว้ใน นริ าศนรินทร์ค�าโคลง คือ ออกจากกรุงเทพฯ ทางเรอื และไปขน้ึ บกท่ีเพชรบุรี เพือ่ เดนิ เทา้ ตอ่ ไป แต่มีข้อที่น่าสังเกตอยู่ว่า ตามประวัติศาสตร์ กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จยกทัพเดินเท้าจาก ขยายความเขา ใจ Expand เพชรบรุ ีตรงไปยังเมอื งชุมพรทเี ดยี ว ส่วนเส้นทางของนายนรินทรธิเบศร์ (อิน) น้นั เมื่อออกจาก 1. นกั เรียนรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี เพชรบุรีแล้วตรงไปเมืองก�าเนิดนพคุณหรือบางสะพาน (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) และวกกลับไป • นกั เรยี นคดิ วา เพราะเหตใุ ดประวัติผูแ ตง ยังเมอื งตะนาวศรี อันเปน็ เมืองดา่ น ท�าใหส้ ันนิษฐานต่อไปได้วา่ นายนรินทรธเิ บศร์ (อนิ ) อาจจะ เร่ืองนริ าศนรินทรคาํ โคลง จงึ ไมค อ ยมีความ ไปในกองทัพเน่ืองในโอกาสนี้เหมือนกัน แต่มิได้ไปพร้อมทัพหลวง อาจจะไปกับทัพหน้าซ่ึงส่ง ชดั เจนมากเทา ท่คี วร ความไมช ดั เจนของ ไปดูลาดเลาพม่าก่อน จึงไปยังเมืองตะนาวศรีใกล้ด่านสิงขร ทั้งประวัติศาสตร์ก็มีระบุไว้ว่า ประวตั ผิ ูแตง น้สี ะทอ นคานิยมของสงั คมไทย สงครามคร้งั นั้นกรมพระราชวังบวรฯ ได้ส่งทัพหน้าลว่ งไปก่อน อยา่ งไรกต็ าม นายนรินทรธเิ บศร์ อยา งไร (อิน) คงเปน็ มหาดเล็กของกรมพระราชวังบวรฯ ในรัชกาลท่ี ๒ และเปน็ ผ้แู ต่งนริ าศเรอื่ งน้ี (แนวตอบ เปนตนวา เนอ่ื งจากกวีไทยในสมยั เป็นที่รู้จนักอกกันจไามก่มนาิรกานศักนรไินดท้แรก์ค่ �าโโคคลลงงยแอลพ้วระนเกายียรนตรใิ ินนททรา้ ยธหิเบนศงั รส์อื (ปอฐินม)มายลังา1แตอ่งยบา่ ทงไกรวกียต็ ่อายมๆแมซน้่ึงยายัง กอ นมกั จะมคี วามออนนอ มถอ มตนเสมอ จงึ นรนิ ทรธิเบศร์ (อนิ ) จะมีผลงานการประพนั ธ์น้อย แต่ความยอดเยี่ยมของนริ าศนรนิ ทรค์ า� โคลงนนั้ ไมนิยมระบุนามของตนไวใ นบทประพนั ธ พระราชวรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื พทิ ยาลงกรณ (น.ม.ส.) ไดท้ รงนพิ นธ์ยกย่องไว้วา่ “จะหาโคลงเร่ืองใด แตผูเสพหรอื ผอู า นตอ งสบื คนหรอื ทาํ ความ มาเปรยี บไดย้ าก” และ “ดีถงึ ขัน้ ท่เี ปน็ อนุสาวรยี แ์ ทนตวั ของกวที ีเดยี ว” เขาใจลีลาและสาํ นวนการแตง ของกวี ดว ยตนเองวา มีมากนอ ยเพยี งใด นบั เปน 121 วิธีการอันแยบคายและมีความซับซอนใน กระบวนการสรางสรรคแ ละการเสพทงั้ ใน การอา นและการฟง วรรณคดีไทย) 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ขอใดกลาวไมถกู ตอง ครคู วรเพิม่ เตมิ ความรูเกยี่ วกบั คา นยิ มของกวีไทยในอดตี มักจะถอ มตนอยู 1. นริ าศนรินทรค าํ โคลงมกี ารระบุช่ือของกวลี งในบทประพนั ธ เสมอ จึงไมนยิ มระบุนามของตนลงในบทประพนั ธ แตผอู า นตอ งมคี วามสามารถใน 2. การทก่ี วใี นสมยั กอนไมน ยิ มระบชุ ื่อของตนลงในบทกวสี ะทอน การวิเคราะหส ํานวนและลลี าการประพันธข องกวี ถอื เปนวิธีการหน่ึงในการทดสอบ ความสามารถของผูอา นวา ผอู านมีความสามารถในการเขา ถงึ บทกวีหรอื มคี วาม ความถอ มตนของกวี รอบรใู นทางอกั ษรศาสตรม ากนอยเพียงใด การปรากฏนามของกวีในวรรณคดเี รื่องน้ี 3. การทก่ี วไี มระบชุ ือ่ ของตนลงในบทประพันธ ถือเปน การทดสอบ แสดงใหเห็นคานยิ มในสมยั ทแี่ ตง วรรณคดีเรอ่ื งน้ีวา กวีจะระบนุ ามของตนไวใ นบท ประพนั ธด ว ย แตไมม คี วามชัดเจนเทาใดนัก ความเชย่ี วชาญในดา นอกั ษรศาสตรข องผูอ า น 4. การระบชุ ื่อของตนลงในบทประพันธเ ปน การแสดงใหประจกั ษใ นชอื่ เสียง ของกวี และเปนการสรางความนยิ มชมชอบในตวั กวี วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. การระบุชอ่ื ของตนลงในบทประพันธ นักเรยี นควรรู เปน การแสดงใหป ระจกั ษในชอื่ เสียงของกวี และเปน การสรางความนยิ ม 1 ปฐมมาลา เปนหนงั สอื แบบเรียนไทยโบราณ แตง ในสมยั รัชกาลท่ี 3 ชมชอบในตัวกวี เนอ่ื งจากขัดแยงกับกรอบวธิ คี ิดทางสงั คมและวัฒนธรรม โดยพระเทพโมลี วดั ราชบูรณะ ซึ่งเปนกวีทีม่ ภี มู ริ สู ูง ไทยในสมัยกอน คูมือครู 121
รา่ ยสภุ าพแตง่ เปน็ วรรค วรรคละประมาณ ๕ คา� หรอื มากกวา่ นน้ั และจะแตง่ ใหย้ าว ก็ได้ แต่สามวรรคสุดท้ายก่อนทจ่ี ะจบบทจะตอ้ งมฉี นั ทลกั ษณ์เป็นโคลงสองสภุ าพเสมอ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา าใจใจ ตรวจสอบผล แตถ่ า้ คสา� ว่สนดุ กกทารา้ รยะสตขัมอุนผงคสัวนรวรนั้าคมหคสน�าสนา้ ุดสใจทง่ ส้ามัยผขสัอเงปวน็รรคคสา� หเําอนรก้าวหจจระอืสคโัมนทผหคัสาา�กทบั ร่ีคบั า� สทมั ่ี ๑ผ,สั ๒ใอนวหธรรรบิอื คEาต๓xอ่ยpขไlคปอaจงiวnวะตารรอ้มคงรู Evaluate เอกหรือโทเช่นเดEียnวgกaันge Explore Expand รา่ อยสธุภบิาพายมีลคกั วษาณมะบรงั ูคับ ดงั แผนผังต่อไปน้ี Explain ●1. นัก●เร●ียนรว ม●กนั ตอบค●าํ ถ●ามในประเดน็ ต●อไ●ปนี้ ●● • นริ าศนรนิ ทรคําโคลงใชล ักษณะคําประพันธ ● ● ● ประเภทใด ● ● ●● ●● ๓. ลักษณะคาํ ประพนั ธ ● ● ● ●่ ●้ (แนว●ตอ●บ่ แ●ตง●ดว●ย้ คาํ ปร●ะ่ พ●นั ้ ●ธป●ระ●เภท (● ●) นิราศนรินทรคําโคลง แตงดวยคําประพันธประเภทรายสุภาพ จํานวน ๑ บท และโคลง ตัวอย่าง ร่ายสภุ รจาาําพยนจสวาุภนกาน1พริ4า3จศาํ นบนรทวนิ )นทร1์ค�าบโทคลแงละโคลงส่ีสุภาพ สี่สุภาพ จาํ นวน ๑๔๓ บท ๓.๑ รายสุภาพ รเยีสนิททธิ์พรแิศ2ยา.ล้มภฟคโลพดา กัร ยสูษ พุมแณเลิจจนะอกาักคหรแเณํารลสปียา้งาจลนรจา้ะบาเ2พลกจ-นัม่ดิ3คสจธาํ ควนัปพนรทรรระรอคอพ อ มนั กย ธจ มกเใรพาตนรนยีวัโหลาํงอนรเงยสพโงั าลนสพิ งกืออปรกเแรรรวผณะยีา่ นกกนผผวออ่ ้าังบงงด า้ วแ...ผนขแยผา่นยแผผา้ น่งเฟม้าือกใงว่ีหเรมแ้ รผรคุว้ก็ได รา ยสภุ าพแตง เปน วรรค วรรคละประมาณ ๕ คาํ หรอื มากกวา นน้ั และจะแตง ใหย าว แกล้วให้กลา้ พระยศไทเ้ ทิดฟา เฟือ่ งฟ้งุ ทศธรรม ท่านแฮ แตส ามวรรคสุดทายกอนที่จะจบบทจะตอ งมฉี นั ทลักษณเปน โคลงสองสภุ าพเสมอ สว นการสมั ผัสนนั้ คาํ สดุ ทายของวรรคหนาจะสมั ผสั กบั คําท่ี ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรค ตอ ไป แตถ า คาํ สดุ ทา ยของวรรคหนา สง สมั ผสั เปน คาํ เอกหรอื โท คาํ ทรี่ บั สมั ผสั ในวรรคตอ ไปจะตอ ง (หมายเขหตย ุ :า นยริ คาศวนารนิมทเรข์คา า� ใโจคลง ไม่เคร่งครัดฉนั ทEลxกั ษpณaม์nาdกนกั ) เปน คําเอกหรือโทเชนเดียวกนั ๓.๒ โค1ล. งคสร่ีสูนุภําตำพัวอยางแผนผังโคลงส่สี ภุ าพ ใหน ักเรียน รายสภุ าพ มีลกั ษณะบงั คับ ดังแผนผงั ตอ ไปน้ี โคลงสศ่ีสุภกึ าษพา มดีลังตกั ษอ ไณปะนบี้ังคบั ดงั แผนผังต่อไปน้ี ● ●● ● ●● ●● ●● ● ● ● ●่ ● ้ ● ● (● ●) ● ●● ●● ●● ●● ● ●่ ● ● ● ● ● ●่ ● ● ●่ ●้ ● ● ● ●่ ●้ ● ●่ ● ● ●้ ●่ ●้ ● ● (● ●) ● ●่ ● ● ●้ ●่ ● ตัวอยา ง รายสภุ าพจากนิราศนรนิ ทรค ําโคลง ●่ ●้ ● ● ชมแขคดิ ใชหนา นวลนาง ศรีสทิ ธิ์พศิ าลภพ เลอหลา ลบลม สวรรค จรรโลงโลกกวา กวา ง แผนแผนผา งเมอื งเมรุ เดอื นตําหนวิ งกลาง ตายแตม ศรีอยธุ เยนทรแ ยมฟา แจกแสงจา เจิดจันทร เพียงรพพิ รรณผองดา ว... ขยายแผนฟาใหแผว พิมพพกั ตรแมเ พญ็ ปราง จกั เปรยี บ ใดเลย เลยี้ งทแกลวใหก ลา พระยศไทเทดิ ฟา เฟอ งฟงุ ทศธรรม ทานแฮ ขาํ กวาแขไขแยม ยง่ิ ย้มิ อปั สร 2. ครูสมุ นักเรียน 3-4 คน ออกมาหนา ชนั้ เรียน พรอมปฏบิ ัติกจิ กรรม ตอ ไปนี้ (หมายเหตุ : นิราศนรนิ ทรค าํ โคลง ไมเครงครัดฉนั ทลักษณม ากนกั ) • นกั เรียนเขยี นเสน โยงสัมผัสบทประพนั ธ ท่กี ําหนดให ๓.๒ โคลงสสี่ ุภาพ (แนวตอบ โคลงสี่สภุ าพ มลี ักษณะบงั คบั ดังแผนผังตอ ไปน้ี ชมแขคิดใชหนา นวลนาง ● ● ● ●่ ●้ ● ● (● ●) เดอื นตาํ หนวิ งกลาง ตายแตม ● ●่ ● ● ● ●่ ●้ พิมพพ กั ตรแ มเ พญ็ ปราง จักเปรยี บ ใดเลย ● ● ●่ ● ● ● ●่ (● ●) ● ●่ ● ● ●้ ขํากวาแขไขแยม ยง่ิ ยม้ิ อปั สร) ●่ ●้ ● ● ๑๒๒ เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอ ใดผิดฉนั ทลกั ษณของโคลงสส่ี ุภาพบาทท่ี 1 ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรเู ก่ียวกับเสียงเสนาะในบทประพนั ธวา วรรณคดไี ทย 1. คนตองดจี ริงดว ย ใจตน ใหค วามสาํ คัญกับความไพเราะของเสียงจากบทประพันธ ไมว าจะเปนการอา น 2. เรอื งเรืองไตรรตั นพน พันแสง ออกเสยี งหรือการอา นในใจ ในการอานบทประพนั ธด ว ยวธิ กี ารอา นทาํ นองเสนาะ 3. โฉมแมฝากนา นน้าํ อรรณพ แลฤๅ กอ ใหเ กิดเสยี งท่มี คี วามไพเราะจากความสอดคลองกันของจังหวะ ทว งทาํ นอง 4. โฉมแมจ กั ฝากฟา เกรงอินทร หยอกนา และเสยี งสัมผัส ทัง้ สัมผัสสระและสมั ผัสอักษร ตามลักษณะฉันทลักษณข อง วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. คนตอ งดจี ริงดว ย ใจตน บทประพนั ธ นอกจากน้ี ครูควรเพม่ิ เตมิ ความรเู ก่ยี วกับเสยี งเสนาะที่กอใหเกิด เนอื่ งจากมีการวางคําผดิ ตาํ แหนง โดยตําแหนง คาํ เอกสามารถใชค าํ ตาย ความงามในคาํ ประพนั ธประเภทโคลง โดยเฉพาะอยา งยงิ่ คาํ ประพนั ธป ระเภท แทนทไ่ี ด แตในขอ นี้ ใชคําวา “จริง” ซึง่ เปน คําเปน จึงผดิ ฉันทลักษณ โคลงสี่สภุ าพความวา ความงามของโคลงอยูทท่ี ํานองเสียงท่ีมคี วามกระชับ ชะงัก โคลงสี่สุภาพ หนกั แนน ดงั นน้ั สัมผัสในทป่ี รากฏในบทประพนั ธจึงนยิ มใชส มั ผัสอักษร เพราะเสยี งสมั ผสั อักษรมีสว นสาํ คัญในการสรางเสยี งทม่ี คี วามไพเราะ สละสลวย ขณะเดยี วกนั ก็มคี วามหนกั แนน เหมาะกบั โคลงมากกวา สมั ผสั สระ 122 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain ตัวอยาง โคลงสี่สภุ าพจากนริ าศนรินทรค์ �าโคลง (บทที่ ๒๑) ครูสุมนกั เรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอแผนผงั ลักษณะคําประพันธป ระเภทรา ยสภุ าพ พรอ มยก จากมามาล่ิวล�า้ ล�าบาง ตัวอยางคําประพนั ธประกอบ โดยพจิ ารณาจาก บางยี่เรือราพลาง พ่พี รอง ๓ค. ําลปกั รษะณพะันคธำ�ท ปีป่ รระาพกันฏธใ์ นหนังสอื เรยี น เรอื แผงชว่ ยพานาง เมยี งมา่ น มานา บางบร่ บั คา� คลอ ง คลา่ วน�า้ ตาคลอ ขยายความเขา ใจ Expandนิราศนรินทร์ค�าโคลง แต่งด้วยค�าประพันธ์ประเภทร่ายสุภาพ จ�านวน ๑ บท และโคลง ๔. เรือ่ งย่อ 1 ส่ีสุภาพจ�านวน ๑๔๓ บท ๓.๑ ร่ำยสภุ ำพ ก่ีว1รร.คก็ไดค้ แรรตา่ ูน่สยาสมาํภุ วาตรพรแคัวตสอง่ดุ เปทยน็า้ ยวา รกรงอ่ คนแทวผี่จรระคจนบละบผปทรงัจะะมรตาาอ้ณงยม๕ีฉสันคทุภา� ลากัหษรพอืณมเ์ ปาใกน็ กหโวคา่ลน นงนั้สักอแงเสลรุภะจยีาะพแนเตสง่มใหอย้ าว ตอ่ ไป แตถ่ศา้ คึกสา� ่วสษนดุ กทาาา้ รยสขจมั อผงาสัวนรกร้นั คขหคน�าอสา้ มดุสทง่ สลู้ามัยแผขสัอผเงปวนน็รรคคผา� หเอังนก้าลหจระักอืสโมั ทษผคัสณาก� ทับรี่ะคบั �าคสทมั่ี าํ๑ผ,สัป๒ในรวหรระรอื คพต๓อ่ นัขไปอธจงวะตรรอ้ คง เปน็ ค�าเอกปหรรรือ่าะโยทสเเภุชภาน่ พเทดยีมรวลี กากั นัษยณสะบุภงั คาับ พดงั แใผนนผหังตน่อไา ปนี้122 นิราศนรินทร์ค�าโคลงเร่ิมเรื่องด้วยร่ายสุภาพยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์ แล้วกล่าวถึง ● ●● ● ●● ●● ●● ความเจรญิ ของบา้ นเมอื ง จากนนั้ จงึ รา� พนั ถงึ การจากนางอนั เปน็ ทร่ี กั และพรรณนาสถานทที่ ผี่ า่ นไป ● ●● ●● ●● ●● โดยนายนรนิ ทรธเิ บศร์ (อนิ ) ไดอ้ อกเดนิ ทางจากคลองขดุ ผา่ นวดั แจง้ คลองบางกอก (ใหญ)่ วดั หงส์ ● ● ● ●่ ●้ ● ●่ ● ● ●้ ●่ ●้ ● ● ● (● ●) วดั สงั ขก์ ระจาย บางยเี่ รอื (คลอง) ดา่ นนางนอง บางขนุ เทยี น บางบอน บางกก หวั กระบอื โคกขาม ตัวอยา่ ง ร่ายสุภาพจากนริ าศนรินทร์คา� โคลง 2.ศรีสิทคธิ์พริศสู าลุม ภพน ัก เลเอรหลียา้ ลนบล่ม2ส-ว3รรคค นจรรโอลงอโลกกกมว่าากวเา้ขง ยี แนผนเแสผ่นนผา้โงยเมงืองเมรุ คลองโคกเตา่ มหาชยั ทา่ จนี บา้ นบอ่ นาขวาง คลองสามสบิ สองคด คลองยา่ นซอื่ แมก่ ลอง ปากนา้� ศรอี ยุธเยนสทมัรแ ผยม้ สัฟา แ ลแจะกแวสรงจรา้ เณจิดจยันุกทรต บ เพังยี คงรบัพพิ ใรนรณฉผ่อนั งดท้าวล... ักขยษายณแผน่ ข ฟอา้ ใหง้แผว้ (ออกทะเล) บา้ นแหลม คงุ้ คดออ้ ย เพชรบรุ ี ชะอา� หว้ ยขมนิ้ ทา่ ขา้ ม เมอื งปราณ (บรุ )ี สามรอ้ ยยอด ทงุ่ โคแดง (ทงุ่ ววั แดง) อา่ วนางรม (อา่ วประจวบ) บางสะพาน ขามสาวบา่ ว อู่แห้ง เขาหมอนเจ้า บทประพนั ธเลี้ยงทแกลว้ ให้กล้า พระยศไท้เทดิ ฟา เฟื่องฟ้งุ ทศธรรม ท่านแฮ โพสลับ ลับยักษ์ เมืองแม่น้�า อู่สะเภา หนองบัว แก่งตุ่ม แก่งคุลาตีอก แก่งแก้ว (แก่งแก้ว ๓(ห.๒(มแายโนคเหวลตตง ุ :ส อน่สี ริ บภุาศำนศพรนิ รทีสร์คทิ า� โคธลพ์ิง ไศิมเ่ คาร่งลครภัดฉพันทลเักลษณอม์ หากลนกั า ) ลบลม สงสาร) แกง่ นางครวญ ปาก (รว่ ม) นา�้ เขาเพชร จนถงึ ตระนาว (ตะนาวศร)ี เปน็ ทหี่ มายปลายทาง สวโครลงรสค่ีสภุ าพจมรีลักรษโณละบงงั คโบัลดกังแกผนวผางั ตกอ่ ไวปนา ้ี ง แผนแผนผา ง เมือง●เม●●่ร●●ุ ●.●. .●●่ ผ ●อ ้ นแผน ด●●่ นิ ●●ใ้ (ห●ผ●)าย ขยายแผน ฟา สรรพส์ าระ ใเฟหอแ งผ●●ฟว ●●ุง่ ●●ท่เ●●ลศ ●●ย้ีธ้ งรทรมแกลทวาในห●●แ่ ก●●ฮ่้ล●()●า●●) พระยศไทเ ทดิ ฟา µÐนาÇศรÕ ตะนาวศรี ปจั จบุ นั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของประเทศพมา่ ทเ่ี รยี กวา่ ตะนน้ิ ตายี 122 (Tanintharyi Division) หรอื ทเ่ี รยี กกนั ในภาษาองั กฤษวา่ Tenasserim Division ตรวจสอบผล Evaluate ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศพม่า มี ๓ อ�าเภอ ได้แก่ อ�าเภอทวายหรือ ดะแว (Dawei/Tavoy) อ�าเภอมะริดหรือมเยะ (Mergui/Myeik) และอ�าเภอ 1. นกั เรยี นสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกับท่มี า ลักษณะ คาํ ประพนั ธ และผแู ตง วรรณคดเี ร่อื ง เกาะสองหรือเกาะตองหรอื วกิ ตอเรียพอยต์ (Kawthaung/Victoria Point) นิราศนรินทรคําโคลงได ประชากรสว่ นใหญโ่ ดยเฉพาะทางตอนใตข้ องเขตตะนาวศรเี ปน็ คนไทย 2. นกั เรียนยกตัวอยา งวรรณคดที ่มี ีลักษณะทาง วรรณศลิ ปสอดคลอ งกับวรรณคดีเรอ่ื ง ท่ีอพยพมาอยู่ตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย และยังมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเช่นเดียว นริ าศนรินทรค ําโคลงได กับคนไทยในประเทศไทย ศึกษาเล่าเรียนภาษาไทยและประวัติศาสตร์ไทย 3. นักเรยี นสรปุ สาระสําคญั เกี่ยวกับปจจยั ทาง สังคมและประวตั ิศาสตรท ่ีมีผลตอ ความ ฝากเงนิ กบั ธนาคารไทย ใชเ้ งนิ ไทย และใชน้ ามสกลุ อยา่ งไทย วัฒนธรรมไทยที่ เปล่ียนแปลงลกั ษณะของวรรณคดนี ริ าศได แผนทเ่ี ขตการปกครอง สูญหายไปจากแผ่นดินไทย ยังอาจหาดูได้ที่นั่น คล้ายจะเป็นตัวแทนของคน ตะนาวศรี (แถบสแี ดง) ไทยในอดตี เม่อื ราว ๕๐–๗๐ ปีก่อน 123 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู ขอใดตอไปนีม้ ีลักษณะความเปน นริ าศแตกตา งจากขอ อื่น 1 ยอพระเกยี รติ หมายถงึ การเฉลมิ พระเกยี รตขิ องพระมหากษัตริย มกั ปรากฏ 1. นิราศอเิ หนา ในตอนตน ของวรรณคดใี นลักษณะของบทประณามพจน ดงั ท่ปี รากฏในวรรณคดี 2. นิราศภเู ขาทอง เรือ่ ง นริ าศนรินทรคาํ โคลง วรรณคดยี อพระเกียรตนิ อกจากจะมีเนอ้ื หาสรรเสริญ 3. โคลงนริ าศหรภิ ญุ ชัย พระเกียรติของพระมหากษัตรยิ แลว ยงั ทาํ หนา ทีบ่ นั ทกึ เหตุการณแ ผน ดนิ ในเชิง 4. กาพยห อ โคลงนิราศธารโศก ประวตั ิศาสตรผานการสรรเสริญพระเกยี รตขิ องพระมหากษตั รยิ เนอ้ื หาลักษณะ เชน น้ีปรากฏอยูใ นวรรณคดจี ํานวนหลายเรื่อง อาทิ ลิลติ ยวนพาย ลิลิตตะเลงพาย วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. นริ าศอิเหนา มีเนื้อหาแตกตา งจากนริ าศ เพลงยาวเฉลมิ พระเกยี รตหิ รอื โคลงเฉลมิ พระเกยี รตติ า งๆ รวมทง้ั วรรณคดที ต่ี อ งการ บันทึกเร่ืองราวสาํ คญั บางประการ เชน โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน เปน ตน ในขออื่นๆ เนอื่ งจากนิราศเร่ืองน้ีไมมกี ารเดนิ ทาง แตกวีไดจบั เอาแกน ถอื เปน หนงึ่ ในการจําแนกวรรณคดีตามลักษณะเนือ้ หา ความหมายของนริ าศ โดยเลือกตอนท่ีตัวละครพรากจากกนั มาใชใ นการ ประพันธ คูมอื ครู 123
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage นักเรยี นดูภาพหนาหนว ยในหนา 116 จากนัน้ ๕. เนอื้ เร่ือง ครูสนทนาซกั ถามกระตุนความสนใจของนกั เรยี น ดว ยคาํ ถาม นริ ำศนรนิ ทร์ • นกั เรยี นคิดวา ภาพทีเ่ ห็นส่ือถงึ อะไร ๑. ศรีสิทธ์ิพิศาลภพ เลอหล้าลบล่มสวรรค์ จรรโลงโลกกว่ากว้าง แผนแผ่นผ้างเมืองเมร ุ (แนวตอบ ภาพของวัด วัง) ศรีอยุธเยนทร์แย้มฟ้า แจกแสงจ้าเจิดจันทร์ เพียงรพิพรรณผ่องด้าว ขุนหาญห้าวแหนบาท • หากนักเรียนตองนาํ ภาพดังกลา วมาใชใ น การประพันธน ิราศ นกั เรยี นจะกลา วถงึ ส่ิงใด สระทุกข์ราษฎร์รอนเสี้ยน ส่ายเศิก1เหลี้ยนล่งหล้า ราญราบหน้าเภริน เข็ญข่าวยินยอบตัว (แนวตอบ เปนตน วา กลาวถึงความเจริญ รุงเรืองของบา นเมืองและพระพทุ ธศาสนา) ควบค้อมหัวไหว้ละล้าว ทุกไทน้าวมาลย์น้อม ขอออกอ้อมมาอ่อน ผ่อนแผ่นดินให้ผาย ขยายแผ่นฟ้า ให้แผ้ว เลี้ยงทแกล้วให้กลา้ พระยศไท้เทิดฟา้ เฟอ่ื งฟงุ้ ทศธรรม ทา่ นแฮ • นักเรียนทราบหรอื ไมวา ภาพดงั กลา วนํามา ใชเ ปนเนือ้ หาของเรอ่ื ง นริ าศนรินทรคําโคลง ๒. ๏ อยุธยาย2ศล่มแลว้ ลอยสวรรค ์ ลงฤๅ (แนวตอบ นกั เรียนตอบไดอยา งหลากหลาย) สิงหาสนป์ รางคร์ ัตนบ์ รร- เจิดหล้า บญุ เพรงพระหากสรรค์ ศาสนร์ งุ่ เรืองแฮ สาํ รวจคน หา บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟ้ืนใจเมือง Explore ครูแบงนักเรยี นออกเปน 5 กลุม จากนั้น ๓. ๏ เรืองเรอื งไตรรตั น์พ้น พนั แสง นกั เรยี นศึกษาเนอ้ื หาของนิราศนรนิ ทรค ําโคลงใน รินรสพระธรรมแสดง ค�่าเชา้ ตอนตางๆ ดงั ตอ ไปนี้ เจดียร์ ะดะแซง เสียดยอด ยลย่งิ แสงแกว้ เกา้ แกน่ หล้าหลากสวรรค์ • กลมุ ท่ี 1 บทประณามพจน (บทท่ี 1) • กลุมท่ี 2 บทชมเมอื ง (บทท่ี 2-4) ๔. ๏ โบสถร์ ะเบยี งมณฑปพื้น ไพหาร • กลุมที่ 3 บทฝากนาง (บทท่ี 8-11) ธรรมาสน์ศาลาลาน พระแผ้ว • กลมุ ที่ 4 บทกลา วถงึ การเดนิ ทาง (บทท่ี 22-140) หอไตรระฆังขาน ภายค่า� • กลมุ ที่ 5 บทปดเรอ่ื ง (บทที่ 141) ไขประทีปโคมแก้ว ก�่าฟ้าเฟือนจันทร์ อธบิ ายความรู Explain ๘. ๏ จ�าใจจากแมเ่ ปลอ้ื ง ปลดิ อก อรเอย เยียววา่ แดเดียวยก แยกได้ สองซกี แลง่ ทรวงตก แตกภาค ออกแม่ 1. นกั เรยี นกลมุ ท่ี 1 นาํ เสนอเนอื้ หาบทประณามพจน ภาคพ่ีไปหนง่ึ ไว้ แนบเน้อื นวลถนอม (บทท่ี 1) ดว ยการตอบคําถาม ดงั ตอ ไปน้ี • นกั เรียนคดิ วา บทประณามพจนมเี น้อื หา ๑๐. ๏ โฉมควรจักฝากฟา้ ฤๅดิน ดีฤๅ กลา วถึงเรอ่ื งใด เกรงเทพไทธ้ รณนิ ทร ์ ลอบกล�า้ (แนวตอบ กลา วถึงพระบารมีของพระมหา- ฝากลมเลื่อนโฉมบิน บนเล่า นะแม่ กษัตรยิ ท ีส่ งผลใหบ านเมืองมีความสงบสขุ และ ลมจะชายชกั ช้�า ชอกเนอื้ เรียมสงวน เจริญรงุ เรอื ง มีการนาํ เสนอเน้ือหาทมี่ ีลักษณะ เปนวรรณคดียอพระเกยี รต)ิ 124 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ครูควรเพม่ิ เตมิ ความรูเก่ียวกบั บทประฌามพจนค วามวา ตามขนบธรรมเนยี ม “ไขประทีปโคมแกว ก่าํ ฟาเฟอนจนั ทร” การประพันธรอ ยกรองของไทย สวนตน เรือ่ งจะเปนบทประณามพจน มเี น้ือหากลาว บทประพนั ธข างตนมีการใชโ วหารภาพพจนแบบใด นมัสการหรือกลา วขอพรส่งิ ศักดิ์สทิ ธท์ิ กี่ วนี บั ถือ แลว จงึ พรรณนาความรงุ เรืองของ 1. อุปมา บานเมืองหรือยอพระเกียรตพิ ระมหากษตั ริย วรรณคดีเรื่อง นิราศนรนิ ทรค าํ โคลง 2. อธพิ จน ขึน้ ตน ดว ยบทประณามพจนดว ยการสดุดพี ระมหากษัตรยิ จากนัน้ จงึ พรรณนา 3. บคุ คลวตั ความงามของบานเมือง อนั เกิดจากบญุ ญาธิการของพระมหากษัตริย 4. อปุ ลกั ษณ นกั เรียนควรรู วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. อธพิ จน หมายถึง การกลา วเกินจรงิ โดยเนอ้ื หากลา วถงึ ความงดงามของบานเมอื ง แสงสวางจากโคมไฟจดุ ขึ้น สวยงามจนทําใหแสงจนั ทรบ นทอ งฟา ดหู มองมวั ไป 1 มาลย ดอกไม ดอกไมที่รอ ยเปน พวง ในบทประพันธนี้ คือ ดอกไมเงิน ดอกไมท องทีใ่ ชเปน เครอ่ื งบรรณาการ เพอ่ื ยอมตนเปน เมอื งขึ้น 2 ปรางค หมายถึง สิง่ กอ สรางมยี อดสงู ขึน้ ไป และมฝี ก เพกาปกอยูขางบน 124 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑๑. ๏ ฝากอุมาสมรแม่แล้ ลักษมี เล่านา 1. นกั เรียนกลมุ ท่ี 2 นาํ เสนอเนือ้ หา บทชมเมือง ทราบสวยมภวู จักรี เกลือกใกล้ (บทที่ 2-4) ดวยการตอบคาํ ถาม ดงั ตอไปนี้ เรยี มคิดจบจนตร ี โลกล่วง แลว้ แม่ • นกั เรียนคิดวา เนือ้ หาหลกั ในบทชมเมอื ง โฉมฝากใจแม่ได้ ยงิ่ ด้วยใครครอง กลาวถงึ เร่อื งใด (แนวตอบ กลาวถึงความเจริญรุงเรอื ง ๒๒. ๏ จากมามาลิว่ ล้า� ล�าบาง ของบา นเมอื ง ซงึ่ ในบทประพันธน้ี คือ บางยเ่ี รือราพลาง กรุงเทพมหานครในสมัยกรุงรตั นโกสินทร เรอื แผงชว่ ยพานาง พพ่ี ร้อง 1 วา มคี วามเจรญิ รุงเรือง เชน เดยี วกับ บางบ่รบั คา� คล้อง เมยี ง2มา่ น มานา กรงุ ศรอี ยุธยาในสมยั อยธุ ยา ทง้ั ในแง ความเจริญของบา นเมือง และความรงุ เรือง คลา่ วน�้าตาคลอ ของพระพทุ ธศาสนา) ๓๗. ๏ บา้ นบ่อน้�าบกแห้ง ไปเ่ หน็ 2. นกั เรียนกลมุ ที่ 3 นาํ เสนอเนื้อหาบทฝากนาง บอ่ เนตรคงขงั เป็น เลือดไล้ (บทที่ 8-11) ดวยการตอบคาํ ถาม ดังตอ ไปน้ี อา้ โฉมแม่แบ3บเบญ- จลกั ษณ ์ เรยี มเอย • นักเรยี นคดิ วา เนอ้ื หาหลักในบทฝากนาง มาซับอัสสชุ ลให ้ แพกีแ่ มลรว้ ะจกักา�4ลา กลาวถงึ เรอ่ื งใด ๔๑. (แนวตอบ เน้ือหาหลักในบทฝากนางเปน ๏ เห5น็ จากจากแจกก้าน การรําพนั ฝากรกั ของกวี โดยกลา วถงึ การที่ ถนัดระก�ากรรมจา� จากชา้ กวไี มอาจไวใ จท่จี ะฝากนางไวกับใครหรอื บาปใดทีโ่ ททา� แทนเทา่ ราแม่ เทพเจา องคใดไดเ ทา กับฝากนางไวกับใจ จากแตค่ าบน้หี น้า พน่ี ้องคงถนอม ของนางเอง) ๔๕. ๏ ชมแขคดิ ใชห่ น้า นวลนาง 3. นักเรียนกลุมท่ี 3 นาํ เสนอเน้อื หาเกีย่ วกบั การ พเดิมือพน์พตักา� หตรน์แวิ มงกเ่ พลญ็างป ราง6 ตา่ ยแตม้ เดนิ ทาง (บทที่ 22-140) ดวยการตอบคําถาม จกั เปรยี บ ใดเลย ดงั ตอ ไปนี้ ข�ากวา่ แขไขแยม้ ยง่ิ ย้ิมอปั สร • นกั เรยี นคิดวาเนื้อหาหลกั ในการเดนิ ทาง กลา วถงึ เรอ่ื งใด ๑๑๘. ๏ ถงึ ตระนาวตระหน�่าซา้� สงสาร อรเอย (แนวตอบ เนอื้ หาหลักท่กี วพี รรณนาใน จรศึกโศกมานาน เนิน่ ช้า การเดินทาง เปนการกลาวราํ พันถึงการ เดนิ ดงทง่ ทางละหาน หมิ เวศ จากนางอันเปนทรี่ กั และพรรณนาสถานที่ สารสงั่ ทกุ หย่อมหญ้า ยา่ นนา�้ ลานาง ทกี่ วีเดินทางผา นไป นับต้งั แตค ลองขดุ ไป จนถงึ จุดหมายปลายทาง คอื ตระนาว โดย ๑๒๒. ๏ พนั เนตรภวู นาถต้ัง ตาระวัง ใดฮา พรรณนาถึงความทุกขท ีเ่ กดิ จากการพราก พักตรส์ แ่ี ปดโสตฟงั จากนางอันเปน ท่ีรกั โดยใชธ รรมชาตใิ น กฤษณนิทรเลอหลงั อื่นอือ้ 7 ระหวา งการเดินทางเปน สอ่ื เปรียบเทียบ) สองพิโยคร่�าร้อื นาคหลับ ฤๅพอ่ 4. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ เทพท้าวท�าเมิน 125 “เห็นจากจากแจกกา น แกมระกํา ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรียนควรรู ถนัดระกาํ กรรมจาํ จากชา 1 เมยี งมาน แอบมองจากหลังมาน บาปใดท่โี ททํา แทนเทา ราแม 2 คลา ว ไหล หล่งั ไหล เชน บางบร บั คาํ คลอง คลา วน้ําตาคลอ เปน ตน จากแตคาบนี้หนา พีน่ อ งคงถนอม” 3 อัสสชุ ล น้ําตา จากโคลงนิราศนรินทรบทนี้ บาทใดมเี น้ือหาแสดงความหวงั 4 ระกาํ ชอ่ื ปาลมชนดิ Salacca wallichiana C. Martius ในวงศ 1. ถนัดระกํากรรมจํา จากชา Palmae ขึ้นเปน กอ กานใบมีหนามแข็ง เนอื้ ฟาม ผลออกเปนกระปุก กนิ ได 2. เหน็ จากจากแจกกาน แกมระกาํ 5 ระกํา ความลําบาก ความตรมใจ ความทุกข เชน ตกระกําลําบาก เปนตน 3. บาปใดท่ีโททํา แทนเทา ราแม 6 ปราง แกม 4. จากแตคาบนหี้ นา พีน่ องคงถนอม 7 กฤษณนิทรเลอหลงั นาคหลับ พระนารายณบรรทมบนหลังพญาอนันต- นาคราชซ่งึ ขดตัวเปนบัลลงั กอยใู นเกษียรสมุทร เรยี กทาประทับนวี้ า นารายณ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. บรรทมสินธุ จากแตคาบน้หี นา พนี่ อ งคงถนอม คมู ือครู 125 แสดงความหวังวา จากแตน้ีไปคราวหนา เราทงั้ คูคงจะไดอ ยูรว มกนั
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ๑๓๔. 1. นักเรยี นกลุมท่ี 5 นาํ เสนอเน้อื หาบทกลาวลา ๏ นทีส่ีสมทุ รมว้ ย หมดสาย หรอื ปดเรื่อง (บทท่ี 141) ดว ยการตอบคาํ ถาม ติมิงคลม์ งั กรนาคผาย ผาดสอ้ น ดงั ตอไปน้ี ๑๓๘. หยาดเหมพริ ุณหาย เหือดโลก แลง้ แม่ • นกั เรียนคิดวา เนอ้ื หาหลกั ในบทกลาวลาหรอื แรมราคแสนรอ้ ยร้อน ฤเถ้าเรียมทน บทปด เรอ่ื งกลา วถึงเร่อื งใด ๏ ลมพดั คอื พษิ ต้อง ตากทรวง (แนวตอบ กลาวถงึ การทีก่ วีพร่ํารักจนเสยี ง หนาวอกรุมในดวง จติ ช้�า กกึ กอ งจากผนื ดินถึงฟากฟา เปรยี บเหมือน ๑๓๙. โฉมแมพ่ มิ ลพวง มาเลศ กเู อย จดหมายท่ฝี ากใหนางดตู า งหนาเม่อื ยาม มอื แม่วีเดียวล�า้ ยิง่ ล้�าลมพาน หางกนั ) ๏ เอยี งอกเทออกอา้ ง อวดองค ์ อรเอย เมรชุ บุ สมุทรดินลง เลขแตม้ 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ๑๔๐. อากาศจักจารผจง จารึก พอฤๅ โฉมแม่หยาดฟ้าแยม้ อย่รู อ้ นฤๅเหน็ ขยายความเขา ใจ Expand ๏ ตราบขนุ คริ ขิ น้ ขาดสลาย แลแม่ รกั บ่หายตราบหาย หกฟ้า 1. นกั เรียนรว มกนั อภิปรายในประเด็น ตอ ไปนี้ ๑๔๑. สุริยจันทรขจาย จากโลก ไปฤๅ • นักเรยี นคิดวา เนอื้ หาและขนบนิยมในการ ไฟแล่นล้างสหี่ ลา้ ห่อนลา้ งอาลัย แตงวรรณคดเี รือ่ ง นิราศนรินทรค ําโคลง ๏ ร่า� รักรา�่ เร่อื งรา้ ง แรมนวล นาฏฤๅ มีความสอดคลองกลมกลนื สง ผลใหเ กดิ เสนาะสนั่นดนิ ครวญ คร่นุ ฟ้า ลกั ษณะเดน ทางวรรณศลิ ปของวรรณคดี สารสั่งพีก่ า� สรวล แสนเสนห่ ์ นุชเอย นริ าศหรอื ไม อยางไร 126 ควรแมไ่ วต้ ่างหน้า พพี่ ูน้ ภายหลงั (แนวตอบ แสดงขนบนยิ มโดยการยกยอง พระมหากษตั รยิ แ ละความรุงเรอื งของ บา นเมือง ซ่ึงสอดคลอ งกบั เนือ้ หาในการ เดนิ ทางไปรบและขนบของนิราศ คอื การ พรากจากความสุข ท้งั ความสขุ สงบรมเย็น ของบา นเมือง และความสขุ อันเกดิ จากการได ครองคกู บั นางอันเปน ท่รี กั ) 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ตรวจสอบผล Evaluate 1. นักเรยี นสรุปสาระสาํ คญั ดา นเนอื้ หาจาก วรรณคดเี รอื่ ง นิราศนรนิ ทรคําโคลงได 2. นักเรียนสรุปภาพสะทอ นทางสงั คมดานเนื้อหา จากวรรณคดเี รือ่ ง นริ าศนรินทรค าํ โคลงได เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT “เอยี งอกเทออกอาง อวดองค อรเอย ครคู วรเพ่มิ เตมิ ความรเู ก่ียวกับภาพสะทอนทางสงั คมวฒั นธรรมจากวรรณคดี เมรุชุบสมทุ รดนิ ลง เลขแตม โดยถือเปนภูมิปญญาทางภาษาท่มี ีคณุ คา แสดงใหเหน็ ลกั ษณะนิสยั อนั เปน อากาศจักจารผจง จารกึ พอฤๅ เอกลกั ษณ มอี ารมณสนุ ทรยี ะตอ สง่ิ ท่มี ากระทบอารมณความรูส กึ และเปนตัวอยา ง โฉมแมห ยาดฟาแยม อยรู อนฤๅเห็น” ทีด่ ใี นการพรรณนาความรสู ึกเสนห าและความพึงพอใจ กวีมกั พรรณนาอารมณ จากคาํ ประพนั ธขา งตนมีการใชโวหารภาพพจนส อดคลอ งกบั ขอ ใด ความรูสึกเปรียบเทยี บกบั ภาพธรรมชาติ สะทอนวถิ ชี ีวิตทมี่ คี วามใกลชดิ กับ 1. อปุ มา ธรรมชาติ โดยกวีสามารถนาํ ภาพธรรมชาตมิ าใชเ ปนส่ือเปรยี บเทยี บอารมณและ 2. อติพจน ความรูสึก นอกจากน้ี กวียงั นาํ คติความเช่ือ อาทิ ความเชื่อเกย่ี วกับโลกศาสตรและ 3. บุคคลวตั จกั รวาลวทิ ยา ความเช่อื เรอ่ื งเทพเจา ในศาสนาพราหมณ - ฮินดู มาใชเปน ส่ือ 4. อปุ ลักษณ เปรียบเทยี บอารมณความรสู กึ เพอื่ สื่อสารกบั ผูอ านรวมวัฒนธรรมไดเ ปน อยางดี วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. อตพิ จน หมายถึง การกลาวเกินจริง 126 คูมือครู เนอ้ื หาในบทประพันธกลา วถึง การเทความรสู กึ ทัง้ หมดออกมาใหน างรับรู โดยใชเ ขาพระสเุ มรุเปน ปากกาจุมนา้ํ ในมหาสมุทร เอาแผน ดนิ แทนหมกึ เขยี นความรสู กึ ลงแผน ฟา อากาศกไ็ มอ าจพรรณนาความรสู กึ ทมี่ ตี อ นางไดห มด
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๖. ค�ำศพั ทแ์ ละอธบิ ำยควำม นักเรียนอานบทประพนั ธจากวรรณคดีเร่อื ง นริ าศนรินทรค ําโคลง หนา 127 บทท่ี 1 พรอ มกนั ในทน่ี ้ีแปลความตามล�าดับบทประพนั ธ์ทนี่ �ามาใหเ้ รียน • นกั เรยี นคิดวา บทประพันธขา งตนมีความ ๑. ศรสี ทิ ธ์ิพศิ าลภพ เลอหลา้ ลบล่มสวรรค์ จรรโลงโลกกวา่ กวา้ ง แผนแผ่นผา้ งเมอื งเมรุ สอดคลองกบั วรรณคดีนริ าศอยา งไร (แนวตอบ สอดคลองดานเนอ้ื หา แสดงถึงการ ศรีอยุธเยนทร์แย้มฟ้า แจ1กแสงจ้าเจิดจันทร์ เพียงรพิพรรณผ่องด้าว ขุนหาญห้าวแหนบาท โหยหาความสขุ จากความสงบของบา นเมือง) สระทุกข์ราษฎร์รอนเส้ียน ส่ายเศิกเหล้ียนล่งหล้า ราญราบหน้าเภริน เข็ญข่าวยินยอบตัว สาํ รวจคน หา Explore ควบคอ้ มหวั ไหวล้ ะลา้ ว ทกุ ไทนา้ วมาลยน์ อ้ ม ขอออกออ้ มมาออ่ น ผอ่ นแผน่ ดนิ ใหผ้ าย ขยายแผน่ ฟา้ ให้แผ้ว เลี้ยงทแกล้วให้กลา้ พระยศไทเ้ ทดิ ฟา้ เฟือ่ งฟุ้งทศธรรม ทา่ นแฮ นกั เรียนทบทวนความรเู ดิม และศกึ ษากลวิธี ทางวรรณศลิ ปทง้ั ดานการใชภาษา คาํ ศพั ทแ ละ บ้านเมืองสงบสุขเพราะบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่ีกว้างใหญ่ อธิบายความ สวยงามกว่าเมืองใดในโลกจนชนะเมืองสวรรค์ได้ พระมหากษัตริย์ทรงผดุงแผ่นดินนี้ให้กว้าง ขวางราวเมอื งสวรรค์ กรุงเทพฯ งามรงุ่ เรืองในทอ้ งฟ้า สวา่ งกวา่ แสงจันทร์ สวา่ งราวแสงอาทติ ย์ อธบิ ายความรู Explain ท่ีส่องโลก พระมหากษัตริย์มีแม่ทัพกล้าหาญ พระองค์ทรงขจัดทุกข์บ�ารุงสุขแก่ราษฎร ทรง ปราบศัตรูได้ราบคาบ พ2ระเดชานุภาพเป็นท่ีเลื่องลือย�าเกรง พระเจ้าแผ่นดินเมืองอ่ืนๆ พากัน 1. นกั เรียนรว มกันตอบคําถาม ตอไปนี้ นอบนอ้ มขอเป็นเมอื งขน้ึ พระองคท์ รงขยายอาณาเขต ทรงบา� รงุ ทหารใหก้ ลา้ แขง็ ทรงดา� รงอยู่ • จากบทประพันธ หนา 127 นกั เรียนคิดวา ในทศพธิ ราชธรรม เป็นพระมหากษตั รยิ ท์ ่เี ปี่ยมดว้ ยพระบุญญาธิการ เหตุใดพระมหากษัตริยจึงไดร ับยกยอ งวา “พระยศไทเทิดฟา เฟอ งฟุงทศธรรม” ค�ำศัพท์ (แนวตอบ แบง เปน 3 ประเด็น คอื 1. พระบารมแี ละคณุ ธรรมของพระมหากษตั รยิ พิศาลภพ แผน่ ดนิ อนั กวา้ งใหญ่ ทาํ ใหบ านเมืองสงบสขุ รม เย็นและงดงาม เลอหล้า เหนอื โลก บนโลก สูงเดน่ ในโลก ราวเมืองสวรรค 2.พระเดช ทรงมแี มทัพและ ลบลม่ สวรรค์ ลบ = ท�าใหห้ ายไป ลม่ = ทา� ใหจ้ ม เช่น ลม่ เรอื หมายความวา่ ชนะเมอื งสวรรค์ ทหารท่หี าญกลาเปน ทีเ่ ล่ืองลอื จนเมือง จรรโลงโลก พยงุ โลก ค้�าจนุ โลก ใหญนอ ยยอมสวามิภักด์ิ 3.พระคณุ ทรงชี้ กวา่ กว้าง (กว่า มาก เกิน โบราณใช้ กวา้ ก็ม)ี ใหก้ วา้ งขวางมาก ทางธรรมใหก บั ประชาชน) แผ่นผ้าง เมอื งเมรุ แผ่นพ้ืน 3 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ศรอี ยธุ เยนทร์ แย้มฟา้ เมืองท่ตี ้งั อยบู่ นยอดเขาพระสเุ มรุ คอื เมอื งสวรรคช์ ้ันดาวดงึ ส์ ขยายความเขา ใจ Expand แจกแสงจ้า กรงุ ศรีอยธุ ยา หมายถงึ ประเทศสยาม ก็ได้ แต่ในทนี่ ้ีหมายถงึ กรุงเทพฯ เจิดจนั ทร์ เบกิ บานในทอ้ งฟ้า ร่งุ เรอื งในทอ้ งฟา้ 1. นกั เรียนรวมกันอภปิ รายวา สมยั กอ นคนไทย รพิพรรณ สอ่ งแสงจา้ มีความเชื่อเก่ยี วกับพระมหากษัตริยอยางไร ขนุ หาญ (เจดิ เชิด เกิน) งามกว่าแสงจนั ทร์ โดยนักเรียนอาจกลา วถงึ พระเกียรติยศและ แสงอาทิตย์ คุณธรรมทสี่ งผลตอ ความเจริญของบา นเมือง ขุนพล แม่ทพั 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ 127 บูรณาการเชื่อมสาระ เกรด็ แนะครู ครบู รู ณาการความรูจากบทเรยี นเรอ่ื ง นริ าศนรนิ ทรคําโคลง กับวชิ าใน ในการใชคาํ ถามกระตนุ ความสนใจ ครคู วรรวบรวมความคิดเหน็ ของนกั เรียนใน กลมุ สาระการเรยี นรสู งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ในรายวชิ าพระพทุ ธ- ประเด็นตางๆ ทน่ี กั เรยี นนาํ เสนอ โดยเฉพาะอยางย่งิ ในประเด็นเก่ยี วกับความเจริญ ศาสนาที่มเี นอ้ื หากลา วถึงคุณธรรมของพระมหากษตั ริย เพือ่ ใหน ักเรยี น รงุ เรอื งของบา นเมอื ง เพอ่ื เชอื่ มโยงกบั อาํ นาจ ตลอดจนพระบารมขี องพระมหากษตั รยิ สามารถทาํ ความเขาใจโลกทศั นของกวีและผคู นในสมัยรัตนโกสนิ ทรต อนตน ในคตคิ วามเชอื่ ของสงั คมไทย ซึ่งมคี วามผูกพนั กับพระพุทธศาสนาและความเจริญรุง เรอื งของพระพุทธ- ศาสนา ถือวา มีความสําคญั ในการสะทอนภาพความเจริญรงุ เรอื งของ นักเรยี นควรรู บานเมอื ง ขณะเดียวกันกส็ ะทอ นพระบารมีของพระมหากษตั ริยอีกดว ย ซ่ึงจะชว ยใหน กั เรยี นทาํ ความเขาใจบทประพันธไดอ ยา งลกึ ซง้ึ 1 รอนเส้ียน ขจดั ศตั รู 2 เมอื งขึน้ หมายถึง เมอื งทีเ่ ปน ขา ขอบขัณฑสมี า ประเทศที่อยูในปกครองของ ประเทศอนื่ 3 ดาวดึงส หมายถงึ สวรรคชนั้ ที่ 2 มีจอมเทพผปู กครองชอื่ ทา วสักกะ หรือ พระอินทร คูมือครู 127
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู 1. จากการศกึ ษาบทประพนั ธหนา 128 บทที่ 2 ห้าว กลา้ นักเรียนรว มกันตอบคําถาม ดังตอไปนี้ แหนบาท เฝ้าพระบาท เฝา้ พระเจา้ แผ่นดิน • จากบทประพนั ธ นักเรียนคดิ วา มกี าร สลดั ขา้ ศึก ปราบข้าศกึ เปรยี บเทยี บความเจรญิ รงุ เรืองของกรุงเทพฯ เสห่าลย้ียเศนิกล1ง่ หล้า เตยี นตลอดโลก กบั เมอื งใด และมกี ารใชก ลวธิ กี ารเปรยี บเทยี บ เภร2ิน กลอง อยา งไร นกั เรยี นยกตัวอยา งประกอบ ไดฟ้ งั ข่าวอันนา่ กลวั (แนวตอบ เปรยี บกรุงเทพฯ กบั กรงุ ศรีอยุธยา เข็ญข่าวยนิ หมอบ เมอื งหลวงในอดีตวา มีความเจรญิ รุงเรือง ยอบตวั รวมกนั กรงุ เทพฯ จงึ เปนเชนเดียวกบั กรุงศรอี ยธุ ยา ควบ เกรงกลวั ท่ีลมสลายไป แลว ลอยกลบั ลงมาจากสวรรค) ละลา้ ว ผู้เปน็ ใหญ่ พระเจ้าแผ่นดนิ ไท ดอกไม ้ ในทน่ี คี้ ือ ดอกไมเ้ งนิ ดอกไม้ทองเปน็ เครอื่ งบรรณาการ 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด มาลย์ ขอข้ึน ขอเปน็ เมอื งข้นึ ขอออก พยายามมาออ่ นนอ้ ม ขยายความเขา ใจ Expand อ้อมมาอ่อน เมืองสวรรค์ แผ่นฟ้า ใหแ้ จม่ แจ้ง 1. นักเรยี นรว มกันอภิปรายในประเดน็ ตอไปนี้ บา� รงุ ทหารให้กล้าแข็ง • นกั เรยี นคดิ วา การเปรยี บกรุงเทพฯ กับ ให้แผ้ว 3 พระเกยี รติยศพระองค ์ (ไท้) ชเู ชิดถงึ เมอื งสวรรค ์ (เทิดฟ้า) กรงุ ศรีอยธุ ยาดงั กลา วขา งตนสะทอนภาพ ทศพิธราชธรรม หมายถึง ธรรม ๑๐ ประการของพระเจ้าแผ่นดิน ได้แก ่ ความคดิ ความเชอื่ ของกรงุ ศรอี ยธุ ยาในโลกทศั น เลยี้ งทแกล้วใหก้ ล้า ทาน ศีล บริจาค ความซ่ือตรง ความอ่อนโยน การขม่ กิเลส ความไมโ่ กรธ ของคนไทยในกรุงรตั นโกสนิ ทรอยา งไร พระยศไท้เทดิ ฟ้า ความไมเ่ บยี ดเบียน ความอดทน และความไม่ผดิ จากธรรม (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ทศธรรม ไดอยางหลากหลายข้นึ อยูกับเหตุผลของ นักเรียน เปนตน วา สะทอ นภาพกรุงศรีอยุธยา ๒. อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤ ๅ ในโลกทศั นข องคนในสมัยรัตนโกสินทรวา สิงหาสน์ปรางค์รตั นบ์ รร- เจดิ หลา้ มคี วามเจรญิ รงุ เรอื งและความยง่ิ ใหญส วยงาม) บญุ เพรงพระหากสรรค ์ ศาสนร์ งุ่ เรืองแฮ • นกั เรียนคิดวา การเปรียบกรงุ เทพฯ กบั บังอบายเบิกฟา้ ฝึกฟนื้ ใจเมือง กรงุ ศรอี ยุธยาดังกลาวขา งตน สะทอน คตคิ วามเชื่อของสังคมไทยในอดีตอยางไร กรงุ ศรอี ยธุ ยาลม่ สลายไปแลว้ กลบั ลอยลงมาจากสวรรคอ์ กี ครง้ั หนงึ่ นน่ั คอื กรงุ เทพมหานคร (แนวตอบ นักเรียนสามารถอภิปรายแสดงความ พระราชอาสน ์ พระปรางค ์ ประดบั ประดาดว้ ยแกว้ มณงี ามเดน่ ในโลก เปน็ เพราะผลบญุ พระมหากษตั รยิ ์ คิดเหน็ ไดอ ยา งหลากหลายข้นึ อยกู ับเหตุผล ได้ทรงกระท�าไว้แต่เก่าก่อน พระพุทธศาสนาจึงได้เจริญรุ่งเรือง ช่วยปิดทางแห่งความช่ัว เปิด ของนกั เรียน เปนตน วา สะทอนความเชื่อ ทางสูค่ วามดงี าม ฟื้นฟจู ิตใจราษฎรใหพ้ น้ จากความงมงายในบาปตา่ งๆ เรือ่ งสวรรค ซ่งึ ไดรับอิทธพิ ลจาก พระพทุ ธศาสนา) 128 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอใดมีเนือ้ หาสรรเสริญพระเกยี รติของพระมหากษัตรยิ ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรใู หก บั นกั เรยี นเกย่ี วกบั ความเชอ่ื เรอื่ ง การเวยี นวา ยตายเกดิ 1. อยธุ ยายศลม แลว ลอยสวรรค ลงฤๅ ซงึ่ เปนความเช่อื ของสงั คมไทยทไ่ี ดรบั อิทธพิ ลจากพุทธศาสนา โดยเชอ่ื วา 2. สิงหาสนป รางครัตนบ รร- เจิดหลา สตั วโลกจะมกี ารเวยี นวา ยตายเกิดอยูในภพภมู ติ า งๆ ดว ยอาํ นาจกเิ ลส กรรม วิบาก 3. บุญเพรงพระหากสรรค ศาสนรุง เรอื งแฮ หมนุ วนอยเู ชนน้ัน ตราบเทาท่ยี ังตัดกเิ ลส กรรม วิบากไมไ ด โดยภพภมู ทิ ่ีมนษุ ย 4. บงั อบายเบิกฟา ฝก ฟน ใจเมือง ฯ ทกุ คนตอ งเวยี นวา ยตายเกิดตามหลักพทุ ธศาสนาบัญญตั ไิ วท ้งั สน้ิ 31 ภมู ิดว ยกนั วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. นักเรียนควรรู บญุ เพรงพระหากสรรค ศาสนรุง เรอื งแฮ 1 เหลี้ยนลง เลีย่ นโลง กลา วถึงผลบญุ ของพระมหากษตั ริยที่ไดท รงกระทาํ ไวแตเ กา กอ น 2 เข็ญ ยาก ยากจน เชน ลาํ บากแสนเขญ็ พระพทุ ธศาสนาจึงไดเจริญรงุ เรือง 3 ทแกลว ทหาร 128 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ค�ำศัพท์ (สิงห+อาสน)์ ทน่ี งั่ แหง่ ผู้มีอ�านาจดังราชสหี ์ คือ พระท่นี ัง่ พระเจา้ แผ่นดนิ 1. จากการศึกษาบทประพนั ธห นา 129 บทท่ี 3 งามในโลก นักเรยี นรว มกันตอบคาํ ถาม ดังตอไปน้ี สิงหาสน์ เก่า กอ่ น • กวีกลา วถึงความเจรญิ ทางพระพุทธศาสนา บรรเจดิ หลา้ ปิดทางไปสู่ความชว่ั โดยเปรียบเทยี บกับส่ิงใด และมกี ารใชกลวิธี เพรง เปิดทางไปส่คู วามดี การเปรียบเทยี บอยา งไร บังอบาย ฟื้นฟจู ติ ใจชาวเมืองให้พน้ จากความทกุ ข์ (แนวตอบ มีกลวิธีการเปรยี บเทียบโดยใช เบิกฟา้ ภาพพจนแ บบอปุ มา เปรียบเทียบพระพทุ ธ- ฝกึ ฟื้นใจเมือง ศาสนาในกรงุ เทพฯ วา มีความเจริญรุง เรือง ยง่ิ กวาแสงของดวงอาทิตย) ๓. เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น พันแสง • นกั เรียนคิดวา เพราะเหตุใดกวจี งึ รินรสพระธรรมแสดง ค�่าเช้า เปรยี บเทยี บความเจรญิ รงุ เรอื งของพระพทุ ธ- เจดีย์ระดะแซง เสียดยอด ศาสนากบั แสงของดวงอาทิตย วธิ กี าร ยลย่ิงแสงแก้วเก้า แก่นหล้าหลากสวรรค์ เปรียบเทยี บเชนนที้ ําใหน ักเรยี นรสู กึ อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองย่ิงกว่าแสงอาทิตย์ ประชาชนฟังธรรมะด้วยความซาบซ้ึงใจ คดิ เห็นไดอยางหลากหลายข้ึนอยกู บั เหตผุ ล ทกุ เชา้ คา�่ เจดยี ม์ ากมายสงู เสยี ดฟา้ แลดเู หน็ แสงแวววาวยงิ่ กวา่ แสงจากแกว้ ๙ ประการ เปน็ ความงาม ของนักเรยี น เปน ตน วา รสู กึ ถึงความเจริญ ท่ีโดดเด่นในโลก พระพทุ ธศาสนาเปน็ หลกั ของโลก จนท�าใหเ้ ปน็ ทีม่ หัศจรรยแ์ กส่ วรรค์ รงุ เรืองของพระพทุ ธศาสนาทแี่ พรก ระจายไป ในพ้นื ท่ตี างๆ อยางท่วั ถงึ ) ค�ำศพั ท์ 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด ไตรรัตน์ แกว้ สามดวง คอื พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ หมายถงึ พระพทุ ธศาสนา พันแสง ขยายความเขา ใจ Expand รินรสพระธรรม พระอาทติ ย์ (ออกจากศัพท์ “สหสั รงั สี”) เสยี ดยอด 1. นกั เรยี นรวมกนั อภปิ ราย ในประเด็น ตอ ไปนี้ แกว้ เกา้ เกดิ ความรู้สกึ ซาบซึ้งในรสพระธรรม • นกั เรียนคิดวา การเปรียบเทียบความเจรญิ รุง เรอื งของพระพทุ ธศาสนาในบทประพันธ แกน่ หลา้ ยอดเบียดกัน คอื ยอดเจดีย์จา� นวนมากเรยี งตัวชิดกัน ขางตนสามารถตคี วามไดอยางไรบาง หลากสวรรค์ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตีความไดใ นสอง แกว้ ๙ อย่างทีเ่ รยี กวา่ นพรัตน์ คือ เพชร ทบั ทมิ มรกต บษุ ราคมั โกเมน ระดับ โดยระดบั แรก คอื ความเจริญรงุ เรอื ง นลิ มกุ ดา เพทาย และไพฑรู ย์ ของพระพุทธศาสนากับแสงอาทิตยท แ่ี ผไป ในทตี่ า งๆ อยางทัว่ ถึง และในระดับท่ีสอง เปน็ แก่นโลก หลักโลก คือ ประเด็นดานแสงสวา งแหงปญ ญาและ การขบั ไลความช่ัวรายหรอื อวชิ ชา ซึง่ มี ลน้ ฟ้า (หลาก = ทว่ ม ล้น แปลกประหลาด ต่างๆ) พระพทุ ธศาสนารุง่ เรอื ง อปุ มานิทัศน คอื ความมดื ) ยิ่งกวา่ แสงพระอาทติ ย์ มกี ารแสดงธรรมทกุ คา่� เชา้ มพี ระเจดยี ์ (ซงึ่ เปน็ เครอื่ ง แสดงความรงุ่ เรอื งของพระพทุ ธศาสนา) ยอดออกระกะแลดเู หน็ แสงแวววาวยง่ิ 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมุด กวา่ แกว้ เกา้ ประการ พระพทุ ธศาสนาเปน็ หลกั ของโลก ทา� ใหเ้ ป็นท่อี ศั จรรย์ใจ แก่เทวดาบนสวรรค์ 129 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู นกั เรยี นเพมิ่ เติมความรูเกี่ยวกับการตีความความหมายของคาํ ดว ยวิธี ในการเรยี นการสอนเรอื่ งการตีความ ครูควรเพ่มิ เติมความรเู กยี่ วกับการตีความ ระดมความคดิ และความรสู ึกที่มีตอสอื่ เปรียบเทยี บท่ีกวีนํามาเปรยี บเทยี บ เนอ้ื หาของบทประพนั ธว า มกี ารตคี วามไดห ลายระดบั เพอ่ื ใหน กั เรยี นเกดิ ความเขา ใจ จากนน้ั นาํ มาตคี วามประกอบบรบิ ทของบทประพันธ นักเรียนบนั ทึก ตวั บทอยา งลึกซงึ้ และเขมขน โดยครูอาจใชค ําถามระดมความคิดเหน็ เกี่ยวกบั สือ่ ท่ี ความเขา ใจลงในสมดุ กวีนํามาเปรียบเทยี บ เชน ในหวั ขอนมี้ ีการใชแสงอาทิตยเปนสือ่ เปรยี บเทียบ ครูควร ระดมความคิดวา นกั เรียนมจี นิ ตภาพเกยี่ วกบั ดวงอาทิตยอยางไรบา ง หรืออาจใช กจิ กรรมทาทาย คาํ ถามวา เมอื่ กลา วถงึ ดวงอาทิตยแลว นกั เรียนมีความรสู ึกอยา งไร ใหครูระดม ความคิดเหน็ ที่ไดจากการปฏิบตั กิ ิจกรรมของนกั เรยี น แลว นาํ มารวบรวมเปน นักเรยี นยกบทประพันธอนื่ ท่มี ลี กั ษณะการใชค วามเปรยี บและส่ือ หมวดหมู จากนนั้ จงึ นาํ ความคดิ เห็นของนกั เรียนมารว มในการตีความบทประพนั ธ เปรียบเทียบเชน เดยี วกบั ทป่ี รากฏในบทประพันธ นกั เรยี นบนั ทกึ ความ พรอ มพิจารณาคําทใี่ ชเปน สือ่ เปรียบเทียบประกอบกบั บริบทของขอ ความ เขาใจลงในสมดุ ในลาํ ดบั ถดั ไป คมู อื ครู 129
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. จากการศึกษาบทประพนั ธห นา 130 บทที่ 4 ๔. โบสถ์ระเบียงมณฑปพ้ืน ไพพรหะาแรผ้ว1 นักเรยี นรวมกนั ตอบคําถาม ดงั ตอ ไปน้ี ธรรมาสน์ศาลาลาน ภายค่�า 2 • จากบทประพนั ธ นกั เรยี นคดิ วา กวเี ปรยี บเทยี บ ความงามของแสงไฟในกรุงเทพฯ กบั สง่ิ ใด หอไตรระฆังขาน (แนวตอบ เปรยี บความสวางของแสงไฟท่ีจุด ไขประทีปโคมแก้ว ก่�าฟ้าเฟือนจันทร์ ในตอนกลางคืนของกรุงเทพฯ วา งามกวา 3 แสงจันทรบ นทองฟายามคาํ่ คนื ) พระอโุ บสถ พระระเบยี ง พระมณฑป พระวหิ าร รวมทง้ั ธรรมาสน์ ศาลา หอไตร ลานวดั • นกั เรยี นคิดวา เพราะเหตใุ ด จงึ มีการใช แลดูสะอาดหมดจด เสียงระฆังตีบอกเวลายามค�่า แสงสว่างจากโคมไฟท่ีจุดขึ้นสวยงามจนท�าให้ กลวธิ กี ารเปรียบเทยี บเชน น้นั แสงจนั ทร์บนทอ้ งฟ้าดหู มองมวั ไป (แนวตอบ ถอื เปน การเนน ย้าํ ความงามของ แสงไฟในยามคาํ่ คืนของกรงุ เทพฯ ซง่ึ สือ่ นยั คำ� ศัพท์ ถึงความเจริญรุงเรอื งของบานเมอื งวา มคี วามงามกวา แสงจนั ทร ซง่ึ งามอยแู ลว แตเ ดมิ ระฆังขาน ระฆังบอก คอื ระฆงั ตบี อกเวลา กลวธิ ีการใชค วามเปรยี บดงั กลา ว จึงเปน การ เนน ยํา้ อารมณความรูสึกของผูเสพหรือผอู า น ก่า� ฟา้ สว่างทั่วท้องฟ้า (ก่�า = แดงจัด, สุกจดั ) วรรณกรรมใหมีความเขมขนชดั เจน) เฟือน ทา� ใหห้ มองลง 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด ๘. จา� ใจจากแมเ่ ปลือ้ ง ปลิดอก อรเอย เยียวว่าแดเดียวยก แยกได้ สองซีกแล่งทรวงตก แตกภาค ออกแม่ ภาคพไ่ี ปหนงึ่ ไว ้ แนบเนื้อนวลถนอม ขยายความเขา ใจ Expand จ�าใจจากน้องด้วยความอาลัย ราวกับปลิดหัวใจพี่ไปจากนาง หากว่าหัวใจของพี่แบ่งเป็น สองซีกได้ ซกี หนึง่ เอาไวก้ บั ตัว อกี ซกี นั้นฝากไวก้ ับนาง 1. นกั เรยี นรว มกันอภปิ รายในประเดน็ ดงั ตอไปนี้ ค�ำศพั ท์ • จากเนอื้ หาขา งตน สะทอนภาพของกรุงเทพฯ ในทัศนะของกวีอยางไร เปลือ้ งปลิดอก พรากเอาหวั ใจไป หมายความวา่ ตอ้ งจา� ใจจากไป ราวกบั ตอ้ งปลดิ หวั ใจของตน (แนวตอบ เปน ตนวา กวีนําเสนอเน้ือหาท่มี ีการ เนนย้าํ ภาพความสงบสขุ รม เย็นของบานเมอื ง ออกไปจากนาง ตลอดจน ความเจริญรุงเรืองของพระพทุ ธ- ศาสนาสะทอ นความสขุ ของผคู น และความ เยยี ววา่ ถ้าว่า แมว้ ่า เจริญทางธรรม ดังปรากฏความย่งิ ใหญ ของวัด การเทศนาสัง่ สอนพระธรรมของ แล่ง ผา่ ออก ประชาชน ทั้งน้ีเปนผลมาจากพระบารมขี อง พระมหากษัตริย) ๑๐. โฉมควรจักฝากฟ้า ฤๅดิน ดฤี ๅ เกรงเทพไท้ธรณนิ ทร์ ลอบกลา้� 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ฝากลมเลือ่ นโฉมบิน บนเลา่ นะแม่ ลมจะชายชักชา�้ ชอกเนือ้ เรียมสงวน ควรจะฝากนางไว้กับฟ้าหรือกับดิน หากฝากไว้กับฟ้าเกรงว่าเทวดาจะลอบมาชมเชยนาง หรือจะฝากไว้กับดินก็หวั่นว่าพระเจ้าแผ่นดินจะมาเชยชม คร้ันจะฝากให้ลมพานางไปไว้เบื้องบน ก็เกรงว่าลมจะพดั จนรา่ งของนางบอบช�า้ 130 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT “จําใจจากแมเปล้อื ง ปลิดอก อรเอย ครคู วรเพ่ิมเติมความเขา ใจของนกั เรียนในการปฏบิ ตั ิกิจกรรมขยายความเขาใจ เยียววาแดเดียวยก แยกได โดยการทบทวนองคค วามรูเดิมทีไ่ ดเรยี นมา อาทิ โลกทศั นข องคนในสงั คมไทยและ สองซกี แลง ทรวงตก แตกภาค ออกแม วฒั นธรรมเกยี่ วกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตรยิ ทีม่ ตี อสังคมและวฒั นธรรม ภาคพไี่ ปหนงึ่ ไว แนบเน้อื นวลถนอม” ในยคุ สมัยของกวี ดงั ทกี่ วไี ดย กมาเปน ประเด็นสําคญั ในบทเปด เรอื่ งของวรรณคดี คาํ ประพันธขางตนมีลลี าในการแตงสอดคลองกบั ขอ ใด เร่ือง นริ าศนรินทรคาํ โคลง 1. จงึ บัญชาตรัสดว ยขัดเคือง ดูดเู จาเมอื งดาหา 2. กูก็ไมค รนั่ ครามขามใคร จะหักใหเ ปน ภัสมธุลีลง นกั เรียนควรรู 3. แลว วาอนิจจาความรกั พึ่งประจักษด ่งั สายนา้ํ ไหล 4. ไดฟ ง กร้วิ โกรธดังเพลงิ กัลป จงึ กระชนั้ สหี นาทประภาษไป 1 แผว สะอาด หมดจด บรสิ ุทธิ์ มกั ใชเ ขา คกู ับคํา ผอง เปน ผองแผว 2 เฟอน เลอื น วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. 3 พระมณฑป หรือมรฑป หมายถึง เรอื นยอดขนาดใหญ มรี ูปส่ีเหลย่ี มจตั ุรัส หรอื เปน รปู ตดั มุมหรือยอไมแ ปด ยอ ไมส บิ สอง ยอดหลงั คาเปนทรงจอมแห แลววาอนจิ จาความรัก พ่ึงประจักษด งั่ สายนา้ํ ไหล ใชร สวรรณคดแี บบสลั ลาปง คพสิ ยั คอื บทแสดงความโศกเศรา คร่าํ ครวญ 130 คมู อื ครู ราํ พัน สวนขอ อื่นๆ ใชรสวรรณคดแี บบพิโรธวาทัง ซงึ่ เปน การแสดง อารมณโกรธ
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ค�ำศพั ท์ เทวดาผูเ้ ปน็ ใหญ่ 1. จากการศกึ ษาบทประพนั ธหนา 131 บทท่ี 11 ผเู้ ป็นใหญ่ในแผน่ ดิน พระเจ้าแผ่นดิน นักเรียนรวมกันตอบคําถาม ดังตอไปนี้ เทพไท้ ในทนี่ ห้ี มายถงึ เชยชม • จากวรรณคดเี รื่อง นิราศนรินทรค าํ โคลง ธรณินทร์ พาไป กวพี รรณนาความทุกขไ วอยางไร กลา้� (แนวตอบ แสดงความทกุ ขอ นั เกิดจากความ เล่ือน พัด รกั และความอาลัยที่กวตี อ งจากนาง โดย ชาย ท�าให้ กวีกลา วถึงความทุกขดังใจจะขาดหรือ ชัก หลดุ แยกออกจากกาย) • นักเรียนอา นแลวเกิดความรสู กึ เชนไร ๑๑. ฝากอุมาสมรแม่แล้ ลกั ษมี เล่านา (แนวตอบ นักเรยี นตอบไดหลากหลาย) ทราบสวยมภูวจักรี เกลือกใกล้ • กวีตองการฝากนางไวก บั ใครบาง และกวี เรียมคดิ จบจนตรี โลกล่วง แลว้ แม่ เกรงวาจะเกดิ อะไรขน้ึ กลวิธดี งั กลาวสง ผล โฉมฝากใจแมไ่ ด้ ยิ่งดว้ ยใครครอง ตอ คณุ คา ทางวรรณศลิ ปอยา งไร (แนวตอบ ฝากไวกบั ฟา ก็เกรงเทวดาจะมา จะฝากนางไว้กับพระนางอุมาก็เกรงว่าพระอิศวรจะมาเชยชม คร้ันจะฝากกับพระนาง เชยชม ฝากไวก ับดนิ ก็เกรงพระเจา แผน ดนิ ลักษมี ก็เกรงว่าพระนารายณ์จะมาลอบชม พ่ีใคร่ครวญถึงใครต่อใครจนหมดทั้งสามโลกแล้วจึง หากฝากไวกบั พระนางอุมากเ็ กรงพระอศิ วร คดิ วา่ ขอฝากนางไวก้ ับใจของนางเองดีทสี่ ดุ จะมาเชยชมนาง ฝากพระนางลกั ษมีก็เกรง พระนารายณ สุดทายจงึ ตอ งฝากไวก บั ใจ ค�ำศพั ท์ ของนางเอง กวีใชว ิธีการลาํ ดับความและ สามารถสอ่ื สารอยางเขม ขน ) อมุ า คือ พระอุมา ชายาพระอิศวร ลักษมี คือ พระลักษมี ชายาพระนารายณ์ 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด สวยมภวู พระผู้เป็นเอง คอื พระอศิ วร ขยายความเขา ใจ Expand จกั รี ผทู้ รงจกั ร คอื พระนารายณ์ เกลอื ก หาก บางที 1. นักเรยี นรว มกนั อภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปนี้ ตรโี ลก สามโลก คอื มนุษย์ สวรรค์ บาดาล • จากเน้ือหาในบทฝากนางขา งตน สะทอน คติความเชอ่ื ใดในสังคมไทย ๒๒. จากมามาลว่ิ ลา้� ล�าบาง (แนวตอบ สะทอนความเช่อื เร่ืองเทพเจา ใน บางย่ีเรือราพลาง พี่พร้อง ศาสนาพราหมณ - ฮนิ ดู และคตคิ วามเช่อื เรอื แผงชว่ ยพานาง เมยี งมา่ น มานา เกีย่ วกบั โลกสามโลก คอื มนุษย สวรรค บางบร่ ับคา� คลอ้ ง คล่าวน้�าตาคลอ และบาดาล) พี่จากนางมาไกล ถึงบางยี่เรือ พี่อยากจะฝากให้เรือช่วยพานางแอบหลังม่านมาด้วย 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ แตไ่ ม่มีผใู้ ดรบั คา� ฝากของพี่ นา้� ตาจึงไหลคลอเบ้า 131 บูรณาการเช่ือมสาระ เกรด็ แนะครู ครูเช่อื มโยงความรจู ากบทเรียนเรือ่ ง นิราศนรินทรคาํ โคลง กับวชิ า ครคู วรเพิม่ เตมิ ความรูเกยี่ วกบั อิทธพิ ลของวฒั นธรรมอินเดยี ทีส่ ง ผลตอวิถีชวี ติ ในกลุมสาระการเรียนรศู ลิ ปะ ในรายวชิ าทศั นศลิ ปท่มี ีเน้อื หากลา วถงึ และความเปนอยขู องไทยมานบั แตครั้งโบราณ โดยไทยรบั วัฒนธรรมอนิ เดียมา สถาปตยกรรมในสมยั รัตนโกสินทรตอนตน เพอื่ ใหนักเรียนเกดิ ความเขา ใจ ตัง้ แตค ร้ังตัง้ กรุงสโุ ขทัย และดวยเหตนุ จ้ี ึงมกี ารยกยองคนวรรณะพราหมณใหเ ปน ความงดงามดานศลิ ปะและสถาปต ยกรรมของไทยไดช ดั เจนย่งิ ข้ึน ซงึ่ จะ ผมู คี วามรสู งู และสนบั สนุนใหเขารบั ราชการ อิทธิพลของศาสนาพราหมณจึงมคี วาม มสี วนชว ยทาํ ใหน กั เรยี นสามารถนําองคค วามรดู ังกลาวมาทาํ ความเขาใจ แพรห ลาย สงั เกตไดจากวรรณคดีทมี่ ีการขนึ้ ตนดวยบทไหวครู หรือการประกอบ บทประพนั ธเร่ือง นริ าศนรนิ ทรคาํ โคลง ไดอยา งลกึ ซ้ึงมากข้ึน พิธีกรรมตางๆ ลวนเปน ไปตามคตคิ วามเชือ่ ของศาสนาพราหมณ นอกจากนี้ ยงั มี การแสดงความนับถอื ตอเทพเจา ท่เี ปนใหญท ส่ี ุดสามองค คือ พระอิศวร ซ่งึ เปนเทพ แหงการทําลาย พระนารายณเทพแหงการรกั ษา และพระพรหมซ่งึ เปนเทพผสู รา ง เทพเจาทั้งสามมอี ํานาจ อิทธิฤทธิ์ และหนาท่แี ตกตางกัน บางครั้งเรยี กเทพเจา ท้งั สามวา ตรีมูรติ สว นเทพเจา อนื่ ๆ มอี าํ นาจรองลงมา คมู ือครู 131
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. จากการศกึ ษาบทประพันธห นา 132 บทท่ี 37 คำ� ศัพท์ แอบมองผ่านหลงั ม่าน นกั เรียนรวมกนั ตอบคําถาม ดงั ตอ ไปน้ี ไหลหลั่ง • นักเรียนคิดวา กวีใชสิ่งใดเปน สอื่ เปรียบเทยี บ เมียงม่าน เรอื มีม่านบัง ส�าหรับกลุ สตรีในสมยั กอ่ นนั่ง อารมณ ความรูส ึกและมกี ารเปรียบเทยี บ คล่าว รบั อยา งไร บนั ทึกในรูปแบบตาราง เรอื แผง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ คล้อง ไดอยางหลากหลายข้นึ อยกู ับเหตุผลของ นกั เรยี น โดยกวีใชธ รรมชาตทิ พี่ บเหน็ ระหวา ง ๓๗. บา้ นบ่อน�า้ บกแห้ง ไป่เห็น การเดินทางเปนส่อื เปรียบเทียบ เปน ตนวา บ่อเนตรคงขังเปน็ 1. ช่ือสถานที่ “บางบอ ” เปรียบกบั บอ น้าํ ตา อา้ โฉมแม่แบบเบญ- เลอื ดไล1้ ของกวี 2. ชือ่ พรรณไม “ระกํา” เปรียบกบั มาซับอสั สุชลให ้ กรรมของกวีและนางอนั เปนท่ีรัก) จลักษณ์ เรยี มเอย • นักเรยี นคดิ วา กวมี ีความรูส ึกอยางไร พี่แล้วจักลา พรอมยกตัวอยา งประกอบ (แนวตอบ กวีไดพ รรณนาความทุกขอ ยา งสาหัส เรอื มาถงึ ตา� บลบา้ นบอ่ ซงึ่ นา�้ แหง้ หมด ไมม่ นี า้� ใหเ้ หน็ เลย มแี ตน่ า้� ตาของพท่ี เ่ี ปน็ เลอื ดไหล และความหว งหาอาลยั เปน ตน วา ความทกุ ข ลามไปทว่ั นางผเู้ ปน็ เบญจกลั ยานโี ปรดมาชว่ ยซบั นา้� ตาใหพ้ ด่ี ว้ ย ปรากฏในบทประพันธท ว่ี า “บอเนตรคงขงั เปน เลอื ดไล” สว นความหว งหาอาลยั ปรากฏใน ค�ำศัพท์ แห้ง บทประพันธท่ีวา “จากแตคาบนหี้ นา พน่ี องคงถนอม”) บก ลบู หรือทาละเลงทว่ั ไป ไล้ 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เบญจลกั ษณ์ ลกั ษณะอนั งดงาม ๕ ประการของสตร ี ไดแ้ ก่ ผมงาม คือ มผี มเป็นเงางาม เนื้องาม คือ มีริมฝีปากงามแดงดังผลต�าลึง ฟันงาม คือ มีฟันเรียบขาว ผวิ งาม คอื มผี วิ ละเอยี ดออ่ น และวยั งาม คอื เนอ้ื หนงั ยงั เตง่ ตงึ อยูจ่ นแกห่ รอื แมจ้ ะคลอดบตุ รก่ีคร้ังแลว้ ก็ตาม ๔๑. เหน็ จากจากแจกก้าน แกมระกา� ถนัดระก�ากรรมจ�า จากชา้ ขยายความเขา ใจ Expand บาปใดที่โททา� แทนเท่า ราแม่ จากแตค่ าบน้ีหน้า พ่ีนอ้ งคงถนอม 1. นกั เรยี นรว มกนั อภิปรายในประเดน็ ตอไปน้ี • นักเรียนคิดวา บทประพันธขา งตน สะทอน เห็นต้นจากแตกก่ิงก้านแซมอยู่กับต้นระก�าเหมือนกับพ่ีชอกช้�าเพราะมีกรรมที่ต้องจาก ความเชอื่ ใดในสงั คมไทย น้องมานานหรือเป็นเพราะพี่กับน้องได้ท�าบาปกรรมอะไรไว้ พี่หวังว่าเราท้ังสองจะจากกันแค่ (แนวตอบ จากบทประพันธขางตน สะทอ น เพยี งครง้ั นเ้ี ทา่ น้นั ต่อไปเราท้งั สองคงได้อยู่รว่ มกันอย่างมีความสุข ความเชอ่ื เรอ่ื งกรรมทีท่ ั้งคไู ดกระทํารว มกนั ใน อดตี สงผลใหทัง้ คตู อ งพลัดพรากจากกนั และ คำ� ศัพท์ ชอื่ ตน้ ไม้ (กรยิ า = จาก) ทําใหก วีจมอยูก บั ความทกุ ขเชนทีเ่ ปนอยูน ี้) แตกกิง่ ก้าน จาก สอง (เราท้งั สอง) 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด แจกกา้ น โท 132 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครคู วรเพ่ิมเติมความรูเรือ่ ง กรรม ในพระพุทธศาสนา ซง่ึ แปลวา การกระทํา นักเรยี นเพิ่มเตมิ ความรูเกยี่ วกบั การเลนคาํ ดว ยการพจิ ารณาแยก ไดแก กระทาํ ทางกาย เรยี ก กายกรรม ทางวาจา เรยี ก วจีกรรม และทางใจ เรยี ก ส่ิงท่ีตองการเปรียบเทียบกบั ส่อื เปรียบเทียบ จากนัน้ จึงหาความหมายใน มโนกรรม ประเภทของกรรม แบง เปน 2 ประเภท คอื 1. กรรมดี เรยี กวา กศุ ลกรรม พจนานุกรม และนํามาพจิ ารณารว มกบั ความหมายในบริบท นกั เรยี นบันทึก หรือบญุ กรรม 2. กรรมช่วั เรยี กวา อกุศลกรรม หรอื ตามคติความเชอ่ื ของสงั คมไทย ความเขาใจลงในสมดุ กรรม อาจหมายถงึ บาปกรรมหรอื การกระทําทส่ี ง ผลรายมายงั ปจจุบนั หรือสงผล รา ยตอไปในอนาคต เชน กรรมตามทัน เปน ตน หรอื อาจหมายถงึ บาป เคราะห กจิ กรรมทาทาย นกั เรยี นควรรู นกั เรียนยกบทประพนั ธอื่นท่ีมีลกั ษณะการใชความเปรยี บและสื่อ เปรียบเทียบแสดงใหเหน็ การเลน คาํ เชนเดียวกบั ทปี่ รากฏในบทประพันธ 1 เบญจลกั ษณ หมายถงึ หญิงท่มี คี วามงามครบ 5 ประการ ดงั น้ี 1. ผมงาม นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ 2. เนอื้ งาม 3. ฟน งาม 4. ผิวงาม 5. วยั งาม ซึง่ แตเดิมเปน การกลา วยกยอ งความ งามของนางวสิ าขาวา เปน หญิงท่ีครบถวนดวยเบญจลกั ษณหรอื เปน เบญจกลั ยาณี คือ งามครบทงั้ 5 ประการ 132 คมู อื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๔๕. ชมแขคิดใช่หนา้ นวลนาง 1. นักเรียนรวมกนั พจิ ารณาบทประพนั ธ พรอม เดอื นต�าหนวิ งกลาง ต่ายแต้ม ตอบคาํ ถาม ดงั ตอ ไปน้ี พิมพพ์ ักตร์แม่เพญ็ ปราง จักเปรียบ ใดเลย “พนั เนตรภูวนาถต้งั ตาระวัง ใดฮา ข�ากวา่ แขไขแย้ม ย่งิ ย้มิ อปั สร พกั ตรส่ีแปดโสตฟง อื่นออ้ื กฤษณนิทรเลอหลัง นาคหลบั ฤๅพอ ดอู ยา่ งไรพระจนั ทรก์ ไ็ มง่ ามเทา่ ดวงหนา้ ของนาง เพราะพระจนั ทรม์ รี ปู กระตา่ ยเปน็ รอยตา� หนิ สองพิโยคราํ่ รือ้ เทพทาวทาํ เมิน” อยู่ตรงกลาง หน้าของนางสวยงดงามนวลกระจ่าง ไม่มีส่ิงใดเปรียบ นางสวยยิ่งกว่าพระจันทร์ • นกั เรยี นสรปุ เน้ือหาจากบทประพนั ธขางตน ยง่ิ ยามย้มิ งามยิ่งกวา่ เหลา่ นางฟา้ (แนวตอบ บทประพันธขางตน กลาวถึง การ ตําหนิเทพเจา วา ไมสนใจถงึ ความทกุ ขความ ค�ำศัพท์ ข�า งาม เศรา โศกดวยความอาลัยรักระหวางกวีกับ ตา่ ยแต้ม มีรูปรอยกระตา่ ย นางอนั เปน ท่รี กั ) ๑๑๘. ถงึ ตระนาวตระหน�่าซ�้า สงสาร อรเอย • บทประพนั ธข า งตน แสดงความรูส กึ ของกวี จรศึกโศกมานาน เนน่ิ ช้า อยา งไร เดินดงทง่ ทางละหาน หิมเวศ (แนวตอบ เนอ้ื หาขา งตนแสดงความโกรธ สารส่ังทุกหย่อมหญ้า ย่านนา�้ ลานาง ของกวี กวีจงึ ใชก ลวธิ ีการตัดพอตอ วา เมอื่ มาถึงตะนาวศรยี ิง่ ทวคี วามสงสารนาง เพราะพต่ี อ้ งจากนางไปทา� ศกึ เป็นเวลาเนิน่ นาน เทพเจาตา งๆ ท่ไี มใ หค วามชว ยเหลอื หรือ เหลือเกิน ขณะเดนิ ทางผ่านทอ้ งทุง่ ท้องน�า้ ผนื ป่า พี่ฝากหญ้าทุกหย่อม ยา่ นน�้าทุกยา่ นช่วยลา รับรูเรอื่ งราวความทุกขอ นั เกดิ จากความ น้องแทนพ่ีดว้ ย อาลยั รักของกวี) ค�ำศัพท์ 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ตระนาว ช่ือเมอื งน่าจะหมายถงึ ตะนาวศรี ขยายความเขา ใจ Expand ตระหนา�่ ซ้�าเตมิ ทง่ ท่งุ 1. นักเรียนรว มกันอภิปรายในประเดน็ ตอไปนี้ หมิ เวศ หมิ พานต์ เปน็ ช่ือปา่ ทีเ่ ชงิ เขาพระสเุ มรุ ในท่ีนี้หมายถึงป่าทัว่ ๆ ไป • นกั เรียนคิดวา การที่กวตี ดั พอตอวา เทพเจา เปนการแสดงความคดิ เห็นขัดแยง กับ ๑๒๒. พันเนตรภูวนาถต้ัง ตาระวงั ใดฮา ความเชอื่ ของสงั คมหรอื ไม และความขดั แยง พกั ตร์สแ่ี ปดโสตฟงั อน่ื อ้อื ดังกลาวสงผลตอคุณคาทางวรรณศิลปของ กฤษณนทิ รเลอหลงั นาคหลับ ฤๅพ่อ บทกวหี รอื ไม อยางไร สองพิโยคร่า� ร้ือ เทพทา้ วทา� เมนิ (แนวตอบ เปน ตน วา บทประพนั ธข า งตน กวีกลาวตัดพอ ตอ วา เทพเจา ซ่งึ ถือเปนการ พระอนิ ทรผ์ เู้ ปน็ ใหญก่ า� ลงั ระแวดระวงั อะไรอยู่ พระพรหมกา� ลงั ทรงฟงั เรอ่ื งอน่ื ๆ อยู่ หรอื ละเมิดความเชือ่ ของสังคม แตกอ ใหเ กดิ สว่ นพระนารายณท์ รงบรรทมหลบั อยบู่ นหลงั พญานาคหรอื อยา่ งไร เราสองคนโศกเศรา้ ครา�่ ครวญถึง คุณคาทางวรรณศลิ ปจ ากความเขม ขน ของ เพียงนแ้ี ล้ว เหตใุ ดท่านทง้ั หลายจงึ ไม่สนใจเลย อารมณค วามรสู กึ ในบทกว)ี 133 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ บรู ณาการเชอื่ มสาระ บูรณาการอาเซยี น ครูเช่ือมโยงความรจู ากบทเรียนเรื่อง นริ าศนรินทรคําโคลง กบั วชิ า วรรณคดีเรอื่ ง นิราศนรนิ ทรคาํ โคลง ปรากฏคตคิ วามเชอื่ ทางพระพุทธศาสนา ในกลมุ สาระการเรยี นรูสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ในรายวชิ า และความเช่ือเกยี่ วกับพระอนิ ทร ซ่งึ เปน เทพเจา องคเดียวในศาสนาพราหมณ - ฮินดู ประวตั ศิ าสตรท มี่ เี นอื้ หากลา วถงึ การรบั อทิ ธพิ ลดา นศาสนาและศลิ ปวทิ ยาการ ที่ชาวลาวนบั ถืออยางแพรหลาย สะทอนความสอดคลอ งดานคตคิ วามเชอื่ ของ จากอนิ เดยี เพอ่ื ใหน ักเรยี นเกดิ ความเขาใจโลกทศั นข องกวี ซง่ึ เปนผลผลติ วฒั นธรรมลาวและวฒั นธรรมไทย นอกจากนี้ ยงั สะทอ นลกั ษณะเฉพาะทางวฒั นธรรม ของยคุ สมยั และชวยใหนกั เรยี นทําความเขา ใจบทประพนั ธไ ดอ ยางลึกซ้งึ ลาว ซงึ่ มพี ระพุทธศาสนาเปนศูนยกลางของความเช่ือ ทําใหมีการนาํ เสนอ ภาพลกั ษณข องพระอนิ ทรตามอุดมคติของพระพทุ ธศาสนา เนื่องจากพระองคค ือ เทพผปู กปอ งธรรมะ ชว ยเหลอื คนดี ลงโทษคนชวั่ และธาํ รงไวซ ง่ึ ความยตุ ธิ รรม ปรากฏ ในวรรณกรรมลายลกั ษณแ ละมขุ ปาฐะของลาวหลายเรอ่ื ง เชน เรอ่ื งพระอนิ ทร ตาํ นาน เร่ือง พระอินทรถามกระตาย ตาํ นานพระอนิ ทรเ ลยี บโลก พระอินทรท องโลก พระยาอนิ ทรถ ามปญหา พระอนิ ทรส งั่ ดาว เปนตน คูมือครู 133
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนรว มกนั ตอบคาํ ถาม ดงั ตอไปน้ี คำ� ศัพท์ จากการศึกษาบทประพนั ธห นา 134 บทที่ 134 • นกั เรียนคดิ วา กวพี รรณนาความทุกขข อง ตนเองโดยเปรียบเทยี บกบั ส่ิงใด และมกี ลวิธี พนั เนตร พระอนิ ทร์ ซง่ึ มนี ามวา่ สหสั นัยน์ การเปรียบเทยี บอยา งไร พักตร์สี่แปดโสต ส่ีหน้า คือ พระพรหม (แนวตอบ กวพี รรณนาความทุกขอันเกดิ จาก กฤษณะ คอื พระนารายณ์ การพลัดพรากจากนางอนั เปนที่รกั และ พโิ ยค พลดั พราก ความอาลยั รกั ทีม่ ีตอ นางอนั เปน ท่รี ัก โดย ร�่ารือ้ คร่า� ครวญซา้� ไปซ้�ามา เปรยี บเทยี บความทกุ ขข องกววี า แมท กุ ส่ิง ทุกอยา งในจักรวาลตามความเชอ่ื เก่ยี วกบั ๑๓๔ นทสี สี่ มุทรม้วย หมดสาย จักรวาลวิทยาของไทยจะสูญสนิ้ ไป กไ็ มอาจ ติมิงคลม์ ังกรนาคผาย ผาดส้อน เทยี บกับความทกุ ขข องกวไี ดเ ลย) หยาดเหมพริ ุณหาย เหอื ดโลก แล้งแม่ แรมราคแสนร้อยร้อน ฤเถ้าเรียมทน 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ น�้าในมหาสมุทรที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุเหือดแห้งหายไปหมด ปลาติมิงคล์ มังกร นาค ไดห้ นหี ายไปซอ่ นตวั กนั หมด หยาดฝนทง่ี ามดจุ ทองคา� หายไปจากโลก การตอ้ งจากความรกั ทา� ใหม้ ี ความทกุ ขเ์ ปน็ รอ้ ยๆ เทา่ ทง้ั หมดทกี่ ลา่ วมาน้ไี มเ่ ทา่ กบั ความทกุ ขข์ องพท่ี ตี่ อ้ งจากนางอนั เปน็ ทร่ี กั ขยายความเขา ใจ Expand คำ� ศัพท์ 1. นักเรยี นรว มกนั อภิปรายในประเดน็ ตอไปนี้ มหาสมทุ รท่อี ยรู่ อบเขาพระสเุ มรจุ ากไตรภมู ิโลกวินจิ ฉยกถา กลา่ วว่า • สอื่ เปรยี บเทยี บทกี่ วีนํามาใชใ นการสราง นทสี ีส่ มุทร มหาสมุทรดา้ นทิศตะวันออกชอื่ ขีรสาคร มีนา�้ สขี าว โวหารภาพพจนข า งตน สะทอนความ มหาสมุทรดา้ นทิศใต้ช่อื นีลสาคร มนี า้� สีนา้� เงินอมมว่ ง เช่อื ใดของสังคมไทย และสงผลตอ กลวิธี ติมิงคล์ มหาสมุทรดา้ นทิศตะวันตกชื่อ ผลิกสาคร มนี า�้ สขี าวใส ทางวรรณศิลปอยางไร ผาย มหาสมทุ รด้านทศิ เหนอื ชอ่ื ปีตสาคร มีน�้าสเี หลือง (แนวตอบ เปน ตนวา สะทอ นความเชอื่ ดาน ผาด โลกศาสตรและจกั รวาลวิทยาแบบไทย ซง่ึ เถ้า ชอื่ ปลาใหญห่ นง่ึ ในเจด็ ตวั ทอี่ ย่ใู นแมน่ า้� สที นั ดรทก่ี น้ั ระหวา่ งเขาสตั ตบรภิ ณั ฑ์ ปรากฏในวรรณคดีเร่อื ง ไตรภูมพิ ระรวง (เขา ๗ ลูก) ท่ีอยรู่ อบเขาพระสุเมรุ สง ผลตอกลวิธที างวรรณศิลป กวนี ําคติความ เชอ่ื ในสังคมไทยมาใชในการสรา งสรรค แผก่ ว้างออก บทประพันธ เพอ่ื สื่อสารอารมณค วามรูสึกท่ี ผ่าน เคลอื่ นไปอยา่ งเรว็ ค�าโทโทษ คือ เท่า เขม ขน จากสือ่ เปรยี บเทยี บในการสรา งโวหาร ๑๓๘. ลมพดั คอื พิษต้อง ตากทรวง ภาพพจนแบบอธพิ จน โดยการเปรียบเทียบ หนาวอกรมุ ในดวง จติ ชา�้ ความรสู กึ ของกวีกบั ความเปลย่ี นแปลงของ โฉมแมพ่ ิมลพวง มาเลศ กูเอย จกั รวาล บทกวจี ึงมคี วามเขมขน ทั้งในดาน มือแมว่ เี ดยี วล้า� ยิ่งล้�าลมพาน ของอารมณค วามรูสกึ และความยาวนานของ 134 ระยะเวลา เพือ่ เนนยา้ํ ความม่ันคงในความรกั ของกวที ีม่ ตี อนางอันเปน ทรี่ กั ) 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ครเู พ่ิมเตมิ ความรูเก่ยี วกบั มหานทีสที ันดร วาหมายถงึ ชือ่ ทะเล 7 แหง ตาม “นทสี ี่สมทุ รมว ย หมดสาย ความเชื่อของไทยโบราณ ปรากฏในวรรณคดเี รอ่ื ง ไตรภูมพิ ระรว ง ซ่ึงกลาวถงึ ติมิงคลมังกรนาคผาย ผาดสอ น โลกศาสตรแ ละจักรวาลวทิ ยาแบบไทย มดี ังตอ ไปนี้ หยาดเหมพริ ณุ หาย เหอื ดโลก แลงแม แรมราคแสนรอยรอน ฤเถาเรยี มทน” 1. อยรู ะหวางเขาพระสเุ มรุกบั ภเู ขายุคนธร บทประพนั ธขา งตน มีการใชโ วหารภาพพจนสอดคลอ งกับขอ ใด 2. อยรู ะหวา งภูเขายุคนธรกบั ภูเขาอิสนิ ธร 3. อยรู ะหวางภูเขาอสิ นิ ธรกับภูเขากรวกิ 1. อุปมา 4. อยรู ะหวางภูเขากรวิกกบั ภูเขาสุทสั นะ 2. อธพิ จน 5. อยรู ะหวางภูเขาสทุ สั นะกบั ภเู ขาเนมินธร 3. อวพจน 6. อยรู ะหวางภูเขาเนมนิ ธรกับภเู ขาวินตกะ 4. อปุ ลกั ษณ 7. อยรู ะหวา งภเู ขาวินตกะกบั ภเู ขาอสั กณั วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. อธิพจน หมายถึง การกลา วเกนิ จริง จากบทประพนั ธก ลาวถึง ความทกุ ขของกวีที่ตองจากนางอันเปนท่ีรกั เปน ความทุกขท ่มี ากกวา สิ่งใด 134 คมู อื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู ยามเมือ่ ลมพัดมาถกู ตัวเหมอื นพี่โดนพิษบาดหวั ใจ ถูกลมหนาวก็หนาวเพยี งกาย แต่ในใจ 1. นักเรียนรว มกันตอบคาํ ถาม ดงั ตอ ไปน้ี เต็มไปด้วยความชอกช้�ารุ่มร้อนด้วยพิษรัก ขอเพียงนางมาพัดให้พ่ีแม้เพียงครั้งเดียวก็จะท�าให้ จากการศกึ ษาบทประพันธห นา 135 บทที่ 139 พหี่ ายจากความร้อนเรา่ ดียิ่งกวา่ สายลมท่พี ัดผา่ น • นกั เรยี นคดิ วา กวพี รรณนาความรักท่ีมีตอ นางอนั เปน ทรี่ กั โดยใชก ลวธิ กี ารเปรยี บเทยี บ คำ� ศพั ท์ ร้อน อยา งไร พวงดอกไม้ หมายถงึ นางอันเปน็ ทีร่ ัก (แนวตอบ เปรียบความย่ิงใหญข องความรัก รุม ปราศจากมลทิน ท่ีกวีมีตอ นางอันเปนทร่ี กั วา หากกวเี อยี ง พวงมาเลศ อกเทความรสู กึ ออกมาใหน างรบั รู ดวยการ พมิ ล เอาเขาพระสุเมรมุ าเปน ปากกาจมุ นาํ้ ใน มหาสมุทร เอาแผนดนิ มาละลายแทนหมกึ ๑๓๙. 1 เอยี งอกเทออกอ้าง อวดองค์ อรเอย และใชอากาศแทนกระดาษ ก็มิอาจ เมรุชบุ สมทุ รดนิ ล2ง เลขแตม้ พรรณนาความรกั ที่มีตอ นางไดห มด พรอม จารึก พอฤๅ แสดงความคดิ คาํ นึงถงึ นางอนั เปน ท่รี ักวา อากาศจกั จารผจง อย่รู ้อนฤๅเหน็ นางจะมีความเศรา โศกสกั เพยี งใด) โฉมแมห่ ยาดฟ้าแยม้ 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ เอียงอกเทความรู้สึกทั้งหมดออกมาให้นางรับรู้ แม้จะใช้เขาพระสุเมรุเป็นปากกาจุ่มน้�าใน มหาสมทุ ร เอาแผน่ ดนิ ละลายแทนนา้� หมกึ และใชอ้ ากาศแทนกระดาษ กย็ งั มอิ าจพรรณนาความรกั ความอาลัยทม่ี ตี ่อนางไดห้ มด นางผู้งดงามราวกับนางฟา้ จะมคี วามทกุ ข์โศกเพยี งใดก็มิอาจรู้ได้ จคา�ำร3ศพั ท์ จารึก บนั ทกึ ขยายความเขา ใจ Expand เลข เขียนหนังสอื 1. นักเรยี นพจิ ารณาบทประพันธและรวมกัน อภปิ รายในประเด็น ตอไปนี้ หยาดฟา้ งามรา4วกับลงมาจากฟ้า “เมรชุ ุบสมทุ รดินลง เลขแตม” ๑๔๐. ตราบขนุ คิรขิ ้น ขาดส5ลาย แลแม่ และ รกั บ่หายตราบหาย “ไฟแลนลางส่ีหลา หอนลางอาลยั ” สรุ ยิ จันทรขจาย หกฟ้า ไฟแลน่ ลา้ งส่ีหล้า จากโลก ไปฤๅ • บทประพันธทัง้ สองบทสะทอนคติความเชื่อ หอ่ นลา้ งอาลัย ของสงั คมไทยอยางไร และการทกี่ วนี ําคติ ความเชอื่ ดงั กลาวมาใชส ง ผลตอคุณคา ทาง แมภ้ เู ขาจะทลายลง สวรรคท์ งั้ หกชนั้ ดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ สญู หายไปจากโลกนี้ ไฟไหม้ วรรณศลิ ปของบทประพันธห รือไม อยางไร ทวปี ท้งั ส่จี นหมดสน้ิ แต่ความรกั ความอาลัยของพีท่ ่ีมีตอ่ นอ้ งไม่มีวนั หมดไป (แนวตอบ สะทอ นความเชอ่ื เกีย่ วกบั โลกศาสตรและจักรวาลวทิ ยาแบบไทย ค�ำศพั ท์ มาจากโค่น หมายถงึ ล้ม ทลายลง ซ่งึ เชอ่ื วามีเขาพระสุเมรุเปน ศูนยกลางของ จักรวาล รวมถงึ ความเชอื่ เก่ยี วกับการสิน้ สุด ขน้ ของจักรวาล มคี ุณคาทางวรรณศิลปใ น การเนน ย้ําความเขมขน ของอารมณ หกฟ้า สวรรค์ ๖ ชัน้ สีห่ ล้า ทวปี ทง้ั สี่ คอื อตุ ตรกรุ ทุ วปี (เหนอื ) ชมพทู วปี (ใต)้ บพุ พวเิ ทหทวปี (ตะวนั ออก) อมรโคยานทวปี (ตะวันตก) 135 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ความรสู กึ ของกวีทมี่ ตี อ นางอนั เปน ท่รี กั ) 2. นกั เรียนบันทึกความเขาใจลงในสมดุ นกั เรียนควรรู ขอ ใดปรากฏคาํ ถามเชงิ วาทศิลป 1 เมรุ เขาพระสเุ มรุ ซึง่ ถือเปนศนู ยกลางของจักรวาลตามคติความเชอ่ื เก่ยี วกบั 1. อากาศจกั จารผจง จารึก พอฤๅ โลกศาสตรแ ละจกั รวาลวิทยาแบบไทย 2. โฉมแมห ยาดฟาแยม อยูรอ นฤๅเห็น 2 ผจง ความตั้งใจ หรือตง้ั ใจทาํ ใหดี บรรจง เชน ผจงแตง ผจงจดั เปนตน 3. สรุ ิยจนั ทรขจาย จากโลก ไปฤๅ 4. กฤษณนทิ รเลอหลัง นาคหลับ ฤๅพอ 3 จาร หมายถงึ ใชเ หลก็ แหลมเขียนลงบนใบลานหรอื ศิลาใหเปนตวั หนังสือ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. กฤษณนทิ รเลอหลงั นาคหลับ ฤๅพอ 4 คริ ิ หรือคีรี หมายถงึ ภูเขา คําถามเชงิ วาทศิลป หมายถงึ การต้ังคําถามท่ไี มตอ งการคาํ ตอบ ในบทประพนั ธน เ้ี ปนการใชโ วหารตดั พอ เทพเจา ถอดความไดว า พระนารายณทรงบรรทมหลับอยหู ลงั พญานาคหรืออยา งไร 5 หกฟา ฟา ท้ังหกชนั้ หมายถึง สวรรคท ัง้ 6 ช้นั เรยี กวา ฉกามาพจร ประกอบ ดว ย 1. จาตุมหาราชหรือจาตมุ หาราชกิ หรือจาตมุ หาราชกิ า 2. ดาวดงึ ส 3. ยามา 4. ดุสติ 5. นิมมานรดี 6. ปรนมิ มิตวสวัตดี คมู อื ครู 135
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู 1. จากการศึกษาบทประพนั ธห นา 136 บทท่ี 141 ๑๔๑. ร�า่ รักรา่� เรื่องร้าง แรมนวล นาฏฤๅ ใหน ักเรียนรวมกนั ตอบคาํ ถาม ดังตอไปนี้ เสนาะสน่นั ดนิ ครวญ ครนุ่ ฟ้า • นกั เรียนคิดวา กวมี จี ดุ มงุ หมายอยา งไรใน สารสั่งพ่กี �าสรวล แสนเสนห่ ์ นุชเอย การแตง บทประพันธ ควรแม่ไวต้ า่ งหนา้ พพี่ นู้ ภายหลัง (แนวตอบ เปนจดหมายครา่ํ ครวญถงึ ความรัก ของกวีที่มตี อ นางอันเปนท่รี ัก เพอื่ ฝากให พี่พร่�าพูดถึงเรื่องความรัก ความอาลัยที่ต้องจากนาง เสียงน้ันดังสน่ันจากผืนแผ่นดินถึง นางเกบ็ ไวดูตางหนาเมอื่ ยามหา งไกลกนั ) ฟากฟ้า เปรียบเสมอื นเปน็ จดหมายฝากค�าคร่�าครวญจากพีถ่ ึงนางผเู้ ปน็ ทีร่ ัก พ่ีขอฝากใหน้ างไวด้ ู ตา่ งหนา้ เมอื่ ยามหา่ งไกล 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด ขยายความเขา ใจ Expand ค�ำศพั ท์ พูดซ�า้ ๆ ร�า่ 1. นักเรยี นพิจารณาบทประพันธและรวมกัน กา� สรวล โศกเศร้า คร่า� ครวญ อภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปนี้ ครนุ่ บอ่ ย • นกั เรียนคดิ วา คติความเชอ่ื ของสังคมและ วัฒนธรรมไทยที่นาํ มาใชเปน ความเปรยี บใน สรรพส์ าระ à¢Ò¾ÃÐÊàØ ÁÃØ áÅÐÊÇÃä ö ªéѹ บทประพันธ สง ผลตอ คณุ คา ทางวรรณศิลป ไดอยางไร เขาพระสุเมรุ ตามคติในศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา (แนวตอบ เปน ตนวา การนําคติความเช่ือทง้ั ความเชื่อเกยี่ วกบั เทพเจา ตาํ นานโลกศาสตร คือภูเขาที่เป็นหลักของโลก ต้ังอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล และจักรวาลวทิ ยามาใชใ นโวหารภาพพจน กอ ใหเกิดการส่อื สารอารมณท เี่ ขมขน ลึกซึ้งได บนยอดเขาพระสเุ มรุ เปน็ ท่ีตงั้ ของสวรรค์ชน้ั ดาวดึงส์ ซึ่งมพี ระอินทร์ เปน็ อยางแยบยลและคมคาย โดยเฉพาะอยา งยง่ิ การใชโวหารภาพพจนแบบอธพิ จน ซง่ึ ผปู้ กครอง ดาวดงึ สน์ เี้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของ ฉกามาพจร ซงึ่ มี ๖ ชนั้ ดงั น้ี หมายถึงการกลา วเกินจรงิ ) ๑. จาตุมหาราชิกา เป็นท่ีอยู่ของท้าวจตุโลกบาล (ผู้รักษาโลก 2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมุด ทงั้ ๔) โดยมี ทา วเวสสวุ ณั รกั ษาทศิ อดุ ร มพี วกยกั ษเ์ ปน็ บรวิ าร ทา วธตรฐ รกั ษาทศิ บรู พา มคี นธรรพเ์ ปน็ บรวิ าร ทา ววริ ฬุ หก รกั ษาทศิ ทกั ษณิ มกี มุ ภณั ฑ์ สวรรคช น้ั ดาวดึงส เปน็ บริวาร และ ทาววริ ฬุ ปก ษ รักษาทศิ ประจิม มีฝงู นาคเปน็ บรวิ าร (ภาพจากสมดุ ภาพไตรภมู ิ สมยั ธนบรุ )ี ๒. ดาวดงึ ส์ (แปลวา่ ๓๓ หมายถงึ เปน็ สวรรคท์ ส่ี ถติ ของเทพเจา้ ๓๓ องค)์ ต้ังอยบู่ นยอดเขาพระสุเมรุ มีพระอนิ ทร์เปน็ ใหญ่ ตรวจสอบผล ๓. ยามะ (แปลวา่ สวา่ งอยเู่ สมอ) มีสยุ ามเทวราชปกครอง Evaluate ๔. ดสุ ิต (แปลวา่ เปน็ ทีบ่ นั เทงิ ใจแห่งเทพ) มีทา้ วสนั นสุ ิตเปน็ ใหญ่ สวรรค์ชนั้ นยี้ ังเป็นทสี่ ถติ ของ 1. นกั เรยี นสรปุ ภาพสะทอ นสงั คมและวฒั นธรรมไทย พระโพธสิ ัตวซ์ งึ่ จะเสด็จลงมาตรสั ร้เู ป็นพระพทุ ธเจ้าในอนาคต จากวรรณคดเี รือ่ ง นิราศนรินทรค าํ โคลงได ๕. นมิ มานรดี มที ้าวสนุ มิ มติ ปกครอง เทวดาผสู้ ถิตในสวรรค์ช้นั น้มี ีบญุ ญานุภาพมาก ด้วยหาก 2. นกั เรยี นสรปุ ลกั ษณะเดน ทางวรรณศลิ ปเ ชอ่ื มโยง กับความรูทางประวัติศาสตร วถิ ชี ีวิต และ มคี วามประสงค์สิ่งใด ก็เนรมิตได้สมความปรารถนา โลกทัศนข องสงั คมไทยในอดีตได ๖. ปรนมิ มติ วสวตั ดี มที า้ ววสวตั ดกี บั พระยามาธริ าชปกครอง สวรรคช์ น้ั นม้ี คี วามเปน็ อยอู่ ยา่ งสขุ 3. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท ม่ี คี ณุ คา ทางวรรณศลิ ป จากวรรณคดเี ร่อื ง นิราศนรินทรคาํ โคลงได สบายดว้ ยหากปรารถนาสง่ิ ใด เทวดาในสวรรคช์ นั้ อน่ื จะเนรมติ ให้ 136 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT คาํ ประพันธใ นขอ ใดไมมีความดีเดน ดา นสัมผัสอักษร ครูควรเพมิ่ เตมิ ความรูเก่ยี วกับคณุ คา ทางสงั คมและวฒั นธรรมในแตล ะยุคสมยั 1. เสนาะสนน่ั ดินครวญ ครนุ ฟา โดยครูใหนกั เรียนคนควา เกี่ยวกบั คา นยิ ม ประเพณี วิถชี วี ติ โดยเฉพาะอยางยิง่ 2. ควรแมไวตา งหนา พพี่ นู ภายหลงั ความรูเกี่ยวกับโลกศาสตรและจักรวาลวิทยาแบบไทย รวมถึงคติความเชื่อของ 3. สารส่ังพกี่ าํ สรวล แสนเสนห นุชเอย สังคมไทยในอดีต นักเรียนสามารถเชอื่ มโยงองคค วามรกู บั โลกทัศนหรอื กรอบ 4. ราํ่ รกั ราํ่ เรื่องรา ง แรมนวล นาฏฤๅ ความคิดของกวีในแตละยคุ สมยั ได เปนการสรา งความเขาใจและสามารถนาํ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ควรแมไวต า งหนา พพ่ี ูนภายหลงั องคค วามรูด งั กลา วไปปรบั ใชใ นการพฒั นาความคิดและการตคี วามบทประพันธได ไมม คี วามดเี ดน ดานสมั ผัสอักษร สวนขออ่นื ๆ มคี วามดเี ดน ดานสมั ผสั ลกึ ซึง้ ยงิ่ ขน้ึ และชว ยใหนกั เรยี นศึกษาวรรณคดีโดยไมย ึดติดกบั ความคิดของตนเอง อกั ษร ดังน้ี ขอ ท่ี 4. เดนสัมผัสอักษร ร คําวา รํ่า รัก รํ่า เรือ่ ง ราง แรม เปนหลัก นักเรยี นสามารถนาํ เสนอมมุ มองหรอื ความเขา ใจของนักเรียนจาก ขอ ที่ 1. เดนสมั ผัสอักษร ส คําวา เสนาะ ส(นั่น) และ ค คาํ วา ครวญ บทประพนั ธ พรอ มรว มกนั อภิปรายแลกเปลย่ี นกับเพอ่ื นในชั้นเรยี น ครนุ ขอท่ี 3. เดนสมั ผสั อักษร ส คําวา สาร ส่งั สรวล แสน เสนห 136 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๗. บทวิเครำะห์ 1 ครูสนทนาซักถามโดยใชค าํ ถามกระตุนความ สนใจ ดงั ตอไปนี้ นิราศนรินทร์ค�าโคลงทุกบทเปรียบเสมือนเพชรน�้าเอกท่ีได้รับการเจียระไนอย่างงดงาม มีความโดดเด่นทั้งถ้อยค�า ถ้อยความ และโวหารเปรียบเทียบที่ลึกซ้ึงกินใจ เปี่ยมด้วยศิลปะ • นักเรียนคดิ วา การคราํ่ ครวญถึงนางใน การประพนั ธห์ ลายประการ ดงั น้ี นริ าศชวยใหผอู า นเกิดความรสู กึ อยางไร ๗.๑ ด้ำนกลวธิ กี ำรแต่ง • หากนักเรยี นตอ งการแตงนิราศโดยไม ครํ่าครวญถึงคูรัก นกั เรียนจะแตง นิราศ โดยการคร่าํ ครวญถงึ ใคร ๑) การใชค้ า� กวเี ลอื กใชค้ า� ทงี่ ดงามทงั้ รปู ความหมาย และเสยี งทไ่ี พเราะ โดยเฉพาะ สาํ รวจคน หา Explore ร่ายสดุดีที่มีลักษณะเด่นสะดุดความสนใจ เพราะเป็นบทสดุดีที่ไม่มีลักษณะขรึมขลังศักดิ์สิทธ์ิ จนเกนิ ไป แต่งามสงา่ และไพเราะย่ิง ไม่เรียบงา่ ยดาดๆ เหมอื นร่ายสุภาพท่แี ต่งกนั ทวั่ ๆ ไป ท้ังนี้ นกั เรยี นทบทวนความรูเดิมในสมุดและศกึ ษา เกดิ จากการเลอื กใชค้ า� และโวหารของกวที ง่ี ามเดน่ ทงั้ รปู เสยี ง และความหมายไดอ้ ยา่ งกลมกลนื กนั เนอื้ หาเกยี่ วกบั บทวเิ คราะหว รรณคดใี นหนงั สอื เรยี น อาทิ อธบิ ายความรู Explain ๑.๑) การเลือกสรรคา� เหมาะกับเนอ้ื เร่ือง ● ในร่ายวรรค เลอหล้าลบล่มสวรรค์ นั้น จะเห็นได้ว่านอกจากกวี 1. นักเรียนรว มกันตอบคําถาม ดงั ตอไปน้ี • นักเรียนคิดวา การเลือกสรรคาํ ทีเ่ หมาะกับ ตั้งใจเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะให้ไพเราะแล้ว ยังให้ความหมายที่ดีเย่ียม กวีใช้ค�า เลอ ซ่ึงมี เนือ้ เรือ่ งนั้น ตอ งพิจารณาในประเดน็ ใดบา ง ความหมายตามตัวอักษรว่า เหนือ บน แต่ค�านี้โดยปกติมักจะเห็นใช้คู่กับค�า เลิศ คือ เลอเลิศ เพอื่ ใหคาํ ท่เี ลือกสรรมามคี ุณคาทาง หรือ เลศิ เลอ อยเู่ สมอ ดังนั้น เมอ่ื เหน็ คา� นี้ ผู้อา่ นยอ่ มอดจะประหวดั ไปถงึ ความหมายทา� นองว่า วรรณศิลป เป็นเลิศเป็นยอดมิได้ จึงให้ความรู้สึกว่า เลอหล้า น้ัน มิได้หมายถึงว่ากรุงรัตนโกสินทร์ต้ังอยู่ (แนวตอบ นกั เรียนตอ งพิจารณาหลายสว น บนโลกเท่าน้ัน แต่ยังแลดูงามเด่นสง่าเป็นเลิศอีกด้วย ซึ่งความหมายที่ได้นี้จะส่งความต่อเนื่อง ประกอบกัน ทงั้ ความหมายโดยตรง และ ไปยังวลีท่ีตามมาคือ ลบล่มสวรรค์ ซึ่งหมายถึง ความงามเด่นของกรุงรัตนโกสินทร์น้ัน ท�าให้ ความหมายโดยนัย ขณะเดยี วกันตอง ความงามของสวรรคถ์ กู ทา� ลายใหส้ ญู สน้ิ จมหายไป (จากความรู้สกึ ของผู้อ่าน) พจิ ารณารว มกับบรบิ ทของการใชคํา เน่อื งจากคาํ แตละคําเม่อื นาํ มาใชในบรบิ ทท่ี ● แยม้ ฟา้ เปน็ ตวั อยา่ งของการเลอื กใชค้ า� งา่ ยทมี่ รี ปู คา� งาม เสยี งไพเราะ แตกตางกนั ยอ มส่อื สารเน้ือหาและอารมณ และมคี วามหมายดี ให้ภาพที่ชัดเจนว่ากรุงรัตนโกสินทร์นั้นเผยโฉมเด่นอยู่ในท้องฟ้า (สอดคล้อง ความรสู ึกทีแ่ ตกตา งกันไปดว ย นอกจากน้ี กับท่กี วีไดส้ ดุดแี ล้วว่า เลอหล้าลบลม่ สวรรค)์ ยังตอ งคํานึงถึงความส้นั กระชบั ของคาํ วา มีความเหมาะสมกับฉนั ทลกั ษณห รือไม ● วลี เหล้ียนล่งหล้า น้ัน นอกจากกวีจะเน้นความโดยใช้ค�าท้ัง เหล้ียน ตลอดจนพิจารณาความไพเราะจากเสยี ง (เลยี่ น) และ ลง่ (โลง่ ) ซง่ึ ใหค้ วามรสู้ กึ ถงึ ความเกลย้ี งวา่ งโดยตลอดแลว้ เสยี งของคา� ทง้ั เหลยี้ น ลง่ สัมผสั ทัง้ สัมผสั ในท่ีประกอบไปดว ยสัมผัส และ หล้า ยังสื่อย�้าถึงความกว้างไกลอย่างสุดลูกหูลูกตาของแผ่นดิน มองดูปลอดโปร่งสบายตา สระ สัมผัสอกั ษร สมั ผัสในวรรค สมั ผัส ไม่รู้สึกอึดอัด เพราะปราศจากส่ิงขัดขวางใดๆ (ศัตรู) อนึ่ง กวีได้เน้นย้�าความเกล้ียงว่างหรือ ระหวา งวรรค รวมถงึ พจิ ารณาคาํ ที่สอ่ื ความราบเรยี บจรงิ ๆ อกี ชน้ั หนงึ่ โดยการใชภ้ าพพจนอ์ ปุ ลกั ษณเ์ ปรยี บใหเ้ หน็ ภาพวา่ ง เหมอื นกบั ความรูส กึ เพมิ่ เตมิ อกี ดว ย) พน้ื ผวิ หนา้ กลอง 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 137 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู เพราะเหตุใดเรือ่ ง นิราศนรินทรค ําโคลง จงึ ถือเปนวรรณคดีท่ีมชี ่ือเสยี ง การจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู ร่ือง กลวธิ กี ารแตง ครูควรเนน ใหนักเรยี นไดเรียนรู เปนทน่ี ิยมของคนไทยมาชานาน บทประพันธ นับตัง้ แตระดบั ของคําท่กี วนี ํามาใชในบทประพันธวา มีการใชคําท่ีกอ ใหเกดิ ความงดงามทง้ั ดา นเสยี งและความหมายไดอ ยางไร โดยพจิ ารณากลวธิ ีการ 1. แตง เลยี นแบบครูกวีโบราณไดอ ยา งแนบเนยี น สรรคํามาใชในตําแหนงทเ่ี หมาะสม กอใหเกิดรสคําและรสความท่ีสง ผลตอ คุณคา 2. บรรยายเหตกุ ารณขณะตามเสดจ็ ไดละเอยี ดครบถว น ทางวรรณศิลป พรอ มพจิ ารณาความหมายของคําทงั้ ความหมายโดยตรงและความ 3. แตงรายชมเมืองไดไ พเราะหาบทกวีมาเทียบเคยี งไดยาก หมายโดยนัยประกอบบริบทในบทประพนั ธ 4. มีการพรรณนาอลังการ แสดงอารมณค วามรูส ึกอยางลึกซง้ึ คมคาย นกั เรยี นควรรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. มีการพรรณนาอลงั การ แสดงอารมณค วาม 1 เจยี ระไน หมายถงึ ทาํ เพชรพลอยหรือแกว ใหเ ปน เหลยี่ มหรอื รปู ตามตอ งการ รูส กึ อยางลึกซง้ึ คมคาย วรรณคดเี รื่อง นิราศนรินทรค าํ โคลง มคี วามเปน แลวขดั เงา ความหมายโดยนยั ทีป่ รากฏในบริบทนี้ คอื การขดั เกลาดว ยความ เลิศในการแสดงโวหาร โดยเฉพาะอยา งย่งิ สํานวนเปรยี บเทยี บเกินจรงิ ประณีตใหเกดิ ความงดงาม เชน เดียวกับการแตงบทกวีทตี่ อ งขดั เกลาบทประพนั ธ อยา งคมคาย และสือ่ ความรสู ึกลึกซง้ึ ทม่ี ีตอ นางอนั เปน ทรี่ ัก ดว ยการบอก อยางงดงาม ความในใจอยางหมดสิน้ คูมือครู 137
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา ใจ 1 2 โดยรูปศัพท์แล้วกวีมิได้ใช้ค�าศัพท์ยาก คือ ไม่ใคร่มีค�าบาลี สันสกฤต หรือสนธิ 1. นกั เรียนยกตวั อยา งบทประพันธ พรอ มอภิปราย สมาสมากนกั แต่ในทางความหมายนน้ั จา� ตอ้ งอา่ นและตคี 3วามถอ้ ยคา� โวหารทก่ี วนี 4า� มาเรยี บเรยี ง ในประเดน็ ตอไปน้ี เข้าด้วยกันอย่างพิถีพิถัน ต้องทราบท้ังความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย เพราะกวีจะ • นักเรยี นยกตัวอยา งการสรรคาํ ใหเหมาะกบั ใช้ค�าในบริบทที่แปลกไปจากท่ีนักเรียนคุ้นเคย อีกทั้งในแต่ละวรรค กวียังใช้ค�าอย่างประหยัด เนอื้ เรอ่ื ง และรว มกนั อภปิ รายวา อีกดว้ ย บทประพันธท่ีนกั เรยี นยกมามคี ณุ คา ทาง วรรณศิลปด านการสรรคําอยา งไร อนึ่ง การท่ีกวีมุ่งที่ความไพเราะอย่างยิ่งของเสียงของค�า เสียงสัมผัสในที่เป็น (แนวตอบ นักเรยี นสามารถยกตวั อยา งประกอบ พยัญชนะในแต่ละวรรค อีกทั้งจังหวะของร่ายน้ันได้กลายเป็นข้อจ�ากัดอีกด้านหน่ึงท่ีท�าให้การ การอภิปรายไดอ ยา งหลากหลาย เน่ืองจาก อ่านรา่ ยบทน้ตี อ้ งใชท้ ้งั ความรู้ด้านภาษาและจินตนาการเพอื่ เขา้ ถงึ อย่างลึกซงึ้ วรรณคดเี ร่อื ง นิราศนรนิ ทรคําโคลงเปน วรรณคดที ี่มคี วามไพเราะดา นการเลนคํา ส่วนโคลงแต่ละบทนน้ั กง็ ดงามยงิ่ ทงั้ เสยี งและความหมาย โดยเฉพาะบทที่มเี น้ือหา ท่เี หมาะสมสอดคลอ งกบั ความหมายไดเปน ครา่� ครวญถงึ นางอนั เปน็ ทรี่ กั จะสงั เกตไดว้ า่ แมจ้ ะแตง่ เปน็ โคลง แตก่ วยี งั คงใชศ้ ลิ ปะในการประพนั ธ์ อยางดี เปน ตน วา ดังเดิม เพียงแต่จะมีลีลาและท่วงท�านองแตกต่างกันไปตามลักษณะของเนื้อหา เช่น โคลง “เอียงอกเทออกอา ง อวดองค อรเอย บททวี่ ่า เมรุชุบสมทุ รดนิ ลง เลขแตม อากาศจกั จารผจง จารกึ พอฤๅ โอศ้ รีเสาวลกั ษณ์ลา้� แลโลม โลกเอย โฉมแมห ยาดฟา แยม อยูรอ นฤๅเห็น” แม้วา่ มกี ่งิ โพยม ยื่นหลา้ จากบทประพนั ธข างตน มขี อ ความที่ แขวนขวัญนุชชโู ฉม แมกเมฆ ไว้แม่ ปรากฏการสรรคาํ ใหสอดคลอ งเหมาะสม กดี บ่มกี ิ่งฟ้า ฝากน้องนางเดยี ว กบั เนือ้ เรื่องหลายขอความ แตในทีน่ ขี้ อยกมา หนึง่ ขอความ คือ ความเด่นของโคลงบทน้ีอยู่ท่ีเนื้อหาซึ่งแสดงจินตนาการอันแปลก โลดโผน และมี “เอยี งอกเทออกอาง อวดองค อรเอย” ชีวิตชีวา ส่วนในด้านวิธีการประพันธ์น้ันอุดมด้วยศิลปะการประพันธ์ที่สูงมาก ท�าให้โคลงบทนี้ จากบทประพันธขางตน จะเห็นไดว า งดงามและไพเราะซาบซงึ้ กวีมีการใชค าํ ท่ีมเี สยี ง อ ซ้าํ ๆ กันตลอดทง้ั วรรค ซ่ึงสรา งความไพเราะใหกับบทประพันธ เมอื่ กวจี ะตอ้ งจากนาง กวเี รม่ิ คดิ วา่ ตนควรจะฝากนางไวท้ ่ีใด กบั ใคร จงึ จะปลอดภยั มากยิง่ ขน้ึ และคําทเ่ี ลือกใชแตล ะคาํ ลว นมี เนื่องจากกวีรักและยกย่องนางมาก สถานท่ีที่เหมาะแก่การฝากนางจึงควรอยู่ในที่สูง คือบนฟ้า ความสนั้ กระชับ สงผลตอ การดาํ เนนิ เรือ่ งราว หรือบนสวรรคน์ ่ันเอง ดังน้ัน กวจี ึงคิดฝากนางแขวนไวบ้ นก่ิงฟ้า โดยใหแ้ อบอยูห่ ลงั หมูเ่ มฆ เพอ่ื และสรางจนิ ตภาพสําหรบั ผอู านอยา งตอ เนอ่ื ง มิให้ผู้ใดพานพบ แต่กวีก็ต้องผิดหวังเพราะฟ้าหามีก่ิงไม่ กวีข้ึนต้นโคลงบทน้ีด้วยค�าว่า โอ้ ซ่ึง ไมข าดตอน สามารถสือ่ ความหมายไดอ ยา ง เปน็ ค�าทแ่ี สดงถงึ การรา� พงึ ร�าพันคร�่าครวญของกวดี ว้ ยน้�าเสยี งทีน่ มุ่ นวล โดยมคี า� เอย รบั ในตอน แจม ชัดและมคี วามชัดเจน) จบบาทแรก 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ส่วนค�าและโวหารอื่นๆ ต่อจากน้ี จะเห็นว่ากวีได้พยายามเฟ้นค�ามาใช้อย่างประณีต เพ่ือเสียงอันไพเราะและการสื่อความได้อย่างมีน�้าหนัก เช่น กล่าวถึงนางว่า ศรีเสาวลักษณ์ล�้า คือนางผู้มีความงามเป็นเลิศ โดยผู้อ่านจะรู้สึกได้จากรูปค�า ศรี และ เสาวลักษณ์ ซ่ึงเป็นค�าใน ระดบั สูง ว่านางมิได้งามอย่างธรรมดา แต่คงงามสงา่ เป็นท่ปี ระโลมใจแก่ผู้ไดพ้ บเหน็ การที่กวีใช้ วลีวา่ แลโลมโลก นน้ั เปน็ โวหารที่ไพเราะ สัน้ แต่กนิ ความมาก 138 นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT จากเรือ่ ง นริ าศนรนิ ทรค าํ โคลง นกั เรียนพิจารณาบทประพนั ธตอ ไปน้ี 1 สนธิ การเอาศพั ทต ง้ั แต 2 ศพั ทข้ึนไปมาเชือ่ มเสียงใหกลมกลนื กันตามหลกั ที่ บทประพันธบ าทใดไมม กี ารซา้ํ คาํ เพอ่ื ยํา้ ความใหม คี วามหนักแนน ย่ิงขึน้ ไดม าจากไวยากรณบาลแี ละสันสกฤต เชน พจน + อนกุ รม เปนพจนานุกรม 1. ถนดั ระกํากรรมจาํ จากชา 2 สมาส การเอาศพั ทต้ังแต 2 ศัพทขน้ึ ไปมาตอกันเปน ศัพทเดียวตามหลักที่ได 2. เห็นจากจากแจกกาน แกมระกาํ มาจากไวยากรณบ าลีและสันสกฤต เชน สนุ ทร + พจน เปน สุนทรพจน เปน ตน 3. บาปใดท่ีโททํา แทนเทา ราแม 3 ความหมายโดยตรง หมายถงึ ความหมายตามพจนานุกรม หรอื ตามรปู ศัพท 4. จากแตคาบนหี้ นา พี่นองคงถนอม 4 ความหมายโดยนยั หมายถึง คาํ วลี หรือขอความ ท่เี สนอแนะความหมาย มากกวาความหมายโดยตรง ความหมายโดยนยั อาจเปนเร่ืองเฉพาะตวั หรอื เร่ือง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. บาปใดท่โี ททาํ แทนเทา ราแม สากลกไ็ ด และมกั จะมคี วามหมายในเชงิ เปรียบเทียบ หรือกลาวไดวา ความหมาย โดยนยั เปนความหมายทตี่ องอาศัยการตีความ การทีผ่ อู านจะสามารถตีความ เพราะขอ น้ีไมปรากฏการซํ้าคาํ สว นในขอ 1. ขอ 2. และขอ 3. มกี ารซํ้า ความหมายโดยนยั ไดห รือไมน้นั ขน้ึ อยกู ับพน้ื ฐานความรูและประสบการณ คําวา “จาก” เนื่องจากความหมายโดยนัยไมใ ชค วามหมายตามพจนานุกรม 138 คูม อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ค�า กง่ิ โพยม หรอื ก่ิงฟ้า เปน็ คา� ท่มี ีรปู ค�างาม เสียงไพเราะ และกระตุ้นจนิ ตนาการ 1. นักเรยี นรว มกันตอบคาํ ถาม ดงั ตอ ไปน้ี ไดด้ ี คา� ขวัญนชุ แม่ นอ้ งนาง ลว้ นแต่เปน็ คา� ที่ออ่ นหวาน บ่งบอกถงึ ความรกั ของกวที ่มี ีตอ่ นาง • นกั เรยี นคดิ วา การเลอื กสรรคําทเ่ี หมาะกบั อย่างลึกซ้ึง ส่วนค�าว่า เดียว นั้น ย�้าให้คิดว่ากวีไม่เคยมีนางอ่ืนใดอยู่ในใจอีก นอกจากนาง เน้ือเร่อื งน้นั ตอ งพจิ ารณาในประเดน็ ใดบาง อนั เปน็ ทรี่ ักนเ้ี พียงผูเ้ ดยี ว และเพราะเหตนุ กี้ วจี ึงว้าวนุ่ ใจนักเม่อื ตอ้ งจากนาง เพอ่ื ใหค าํ ทเ่ี ลอื กสรรมามคี ณุ คา ทางวรรณศลิ ป (แนวตอบ พจิ ารณาดา นความไพเราะและ แมกเมฆ เป็นโวหารท่ีมีเสียงไพเราะยิ่ง ค�าที่เรียงกันอยู่มีน้�าหนักเสียงเท่ากัน ทั้ง ความสมบรู ณข องเสียงสมั ผัส ไมวา จะเปน พยญั ชนะ สระ ตวั สะกด และวรรณยกุ ต์ สว่ นคา� วา่ กดี ซง่ึ กวเี ลอื กมาใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะเจาะในทน่ี ี้ เสียงสมั ผสั สระ สมั ผัสอกั ษร ทั้งสมั ผสั เป็นค�าท่ีมเี สียงหนกั และความหมายแรง สื่อถงึ อุปสรรคทท่ี า� ให้จนิ ตนาการของกวีพังทลายลง ระหวา งวรรคและสมั ผัสในวรรค ในประเดน็ ท่ีสองพิจารณาดา นความหมายของ เมื่อพิจารณารวมกันท้ังบทแล้ว ผู้อ่านจะได้รับรสแห่งความอ่อนหวานของถ้อยค�า บทประพนั ธ ในดานการเลนคาํ ตัวอยา งเชน และโวหารกวี ที่แสดงถึงความรัก ความห่วงหาอาทรท่ีมีต่อนางอย่างเต็มที่ ชวนให้ติดตามอ่าน การเลน คาํ พอ งเสยี งเปน คาํ ทมี่ เี สยี งเหมอื นกนั ต่อไปวา่ เม่อื ฝากนางไวก้ บั ก่ิงฟา้ มไิ ด้ กวจี ะฝากนางไวก้ บั ใคร แตม คี วามแตกตา งกนั ดานความหมาย สง ผลตอการสื่อสารไดอ ยา งไพเราะและ ๑.๒) การเลอื กสรรค�าทีม่ เี สยี งเสนาะ แยบคาย) ● สัมผัส กวเี ลน่ เรยี งสมั ผสั ทง้ั สมั ผสั สระและสมั ผสั อกั ษรภายในวรรคและ 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ระหวา่ งวรรค เพื่อเพิ่มความไพเราะ เชน่ ถงึ ตระนาวตระหน่า� ซ�้า สงสาร อรเอย จรศึกโศกมานาน เนิ่นชา้ เดินดงทง่ ทางละหาน หมิ เวศ สารส1งั่ ทกุ หย่อมหญา้ ย่านน้า� ลานาง ขยายความเขา ใจ Expand สสมัมั ผผัสสั สอรกั ะษร2 หน่า� -ซา�้ ดง-ท่ง 1. นักเรยี นยกตัวอยางบทประพันธ พรอม ตระนาว-ตระหนา่� สง-สาร อร-เอย ศกึ -โศก อภิปรายในประเด็น ตอไปน้ี เดนิ -ดง ทง่ -ทาง สาร-สง่ั หยอ่ ม-หญ้า • บทประพนั ธท่นี ักเรียนยกมามคี ุณคา ทาง สัมผสั ระหว่างวรรค3 ซ�้า-สง (สาร) นาน-เนน่ิ หาน-หิม (เวศ) หญ้า-ย่าน วรรณศลิ ปดา นการสรรคาํ เหมาะสมกบั ● การเล่นค�า กวีใช้ค�าเดียวกันซ�้าหลายแห่งในบทประพันธ์หน่ึงบท แต่ เนอื้ เรอื่ งอยางไร ค�าที่ซา้� กนั นน้ั มคี วามหมายตา่ งกนั เชน่ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตัวอยางท้ัง ความไพเราะดานการเลนคาํ สอดคลอ ง เหน็ จากจากแจกกา้ น แกมระก�า กบั ความหมาย เปน ตน วา ถนดั ระกา� กรรมจ�า จากช้า “ถนดั ระกํากรรมจาํ จากชา” บาปใดทโี่ ททา� แทนเทา่ ราแม่ กวีเลน คาํ วา กํา ซ่ึงมาจากคาํ วา ตน ระกํา จากแตค่ าบนีห้ น้า พ่นี อ้ งคงถนอม พองเสยี งกับคําวา กรรม) กวีเล่นค�าทอ่ี อกเสยี งวา่ จาก ซ่ึงหมายถึง ต้นจาก และ การจากนอ้ งมา กบั ค�า 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ ท่ีออกเสียงพ้องกันวา่ ก�า ซึ่งหมายถงึ ต้นระกา� ความระกา� ช�า้ ใจ และ เวรกรรม 139 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู จากเรื่อง นริ าศนรนิ ทรค ําโคลง บาทใดเปนการเลนคําพองเสียง 1. ถนัดระกํากรรมจํา จากชา 1 สมั ผัสสระ สัมผสั ทมี่ เี สียงสระหรือเสียงสระกับตัวสะกดในมาตราเดียวกัน 2. เหน็ จากจากแจกกา น แกมระกํา เชน (อันความคดิ วิทยาเหมอื นอาวุธ (เพลงยาวถวายโอวาท) “คนใจจืดชืดชื้อ 3. บาปใดทโ่ี ททํา แทนเทา ราแม เหมือนชอ่ื บาง ควรตีหา งเหนิ กนั จนวันตาย”) 4. จากแตค าบนี้หนา พ่นี องคงถนอม 2 สมั ผสั อกั ษร หรือสมั ผัสพยัญชนะ คอื การใชเสียงสัมผัสพยัญชนะท่มี เี สียง เดียวกัน เชน ภ-พ, ศ-ษ-ส เปน ตน หรือเปน คูเสียงกัน คอื เสียงสงู และเสยี งต่ําคู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. ถนัดระกํากรรมจาํ จากชา เชน ข-ค-ฅ-ฆ, ถ-ท-ฒ-ธ-ฑ, ฉ-ช-ฌ, ผ-พ-ภ, ฝ-ฟ, ห-ฮ เสยี งต่ําเด่ียวกบั คาํ ทม่ี ี ห นาํ และ อ นาํ เชน ม-หม, ย-ญ-อย-หย เปน ตน มีการเลนคาํ พอ งเสียง ไดแ ก คําวา “(ระ)กํา” กับ “กรรม” 3 สมั ผสั ระหวา งวรรค เปนการใชเ สียงสัมผสั สระสงสมั ผสั ระหวางวรรค ถอื เปนสัมผสั บงั คับตามลักษณะฉันทลักษณข องบทประพนั ธ เหตทุ ่ีมีการเลือกใช เสียงสัมผสั สระเปน เสียงบังคบั เนอ่ื งจากสมั ผสั สระถอื เปนแกนพยางค จงึ มกี าร สง -รับเสยี งสัมผัสไดอ ยา งชดั เจน ชว ยใหบทประพนั ธม ีความไพเราะ คมู ือครู 139
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262