กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรยี นกลมุ ที่ 2 นาํ เสนอความหมายของคําวา ค�ำว่ำ “มงคล” ในทำงพระพุทธศำสนำ ได้แก่ เหตุที่ท�ำให้ชีวิตเป็นสุขและมีควำมเจริญ “มงคล” ในประเด็น ตอไปน้ี ก้ำวหน้ำ ซึ่งสมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำได้ทรงแสดงไว้ใน “มงคลสูตร” เพ่ือให้พุทธศำสนิกชน • นกั เรียนคดิ วา คาํ วา “มงคล” มคี วามหมายวา ได้ยดึ ถือและปฏิบัต ิ มที ้ังส้นิ ๓๘ ประกำร ไดแ้ ก่ อยางไร และหากนักเรยี นปฏิบัติตาม “มงคล” แลว นักเรยี นจะไดรบั ผลอยางไร มงคล ๓๘ ประการ (แนวตอบ คําวา “มงคล” ในทางพระพุทธ ศาสนา ไดแ ก เหตทุ ีท่ าํ ใหชีวิตเปน สขุ และ ๑. ไมค่ บคนพำล ๒๐. สำ� รวมจำกกำรดมื่ น้ำ� เมำ มคี วามเจรญิ กา วหนา ซึง่ สมเด็จพระสมั มา- สมั พุทธเจา ไดท รงแสดงไวใ นมงคลสูตร ๒. คบบณั ฑติ ๒๑. ไมป่ ระมำทในธรรมทง้ั หลำย เพือ่ ใหพ ทุ ธศาสนกิ ชนไดยดึ ถือและปฏบิ ตั ิ มีทั้งสิ้น 38 ประการ หากปฏิบัติตนตามหลกั ๓. บชู ำบคุ คลทีค่ วรบชู ำ ๒๒. มีควำมเคำรพ มงคลสูตรดงั กลา ว จะสงผลใหบ ุคคลน้ัน ประพฤติปฏบิ ตั ติ นดวยความเรียบรอย ๔. อยู่ในสถำนทอ่ี นั สมควร ๒๓. มีควำมนอบน1้อมถอ่ มตน ดงี าม ทาํ ใหช ีวติ พบกับความสขุ และความ ๕. เคยทำ� บญุ มำก่อน ๒๔. มคี วำมสนั โดษ เจริญรุงเรอื งได) ๗๖.. ตควง้ั ตำมนเไปว็นช้ พอบห สู ตู2 ๒๕. มคี วำมกตญั ญ ู 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ๒๖. ฟงั ธรรมตำมกำล ๘. รอบร3้ใู นศิลปะ ๑๙๐.. กมลีวำ่นิ วยั วทำ่ดีจำ ี อ นั เป็นสุภ ำษติ4 ๒๗. มีควำมอดทน ๒๘. เป็นผู้วำ่ งำ่ ยสอนง่ำย ๑๑. บ�ำรงุ บดิ ำมำรดำ ๒๙. เหน็ สมณะ ขยายความเขา ใจ Expand ๑๒. สงเครำะหบ์ ตุ ร ๓๐. สนทนำธรรมตำมกำล 1. นักเรียนรว มกนั อภปิ รายในประเดน็ ตอไปน้ี ๑๓. สงเครำะห์ภรรยำ ๓๑. บำ� เพญ็ ตบะ • นกั เรยี นยกตัวอยางการปฏบิ ตั ิใหเกิดมงคล ตามหลักพระพุทธศาสนา อันหมายถงึ ธรรมท่ี ๑๔. ทำ� งำนไม่ให้คั่งคำ้ ง ๓๒. ประพฤตพิ รหมจรรย ์ นาํ มาซึ่งความสขุ ความเจรญิ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตัวอยา งได ๑๕. ให้ทำน ๓๓. เหน็ อรยิ สัจ หลากหลาย เปนตน วา การท่ีนักเรียนคบหา กบั บณั ฑิตหรือผมู ีความรูและคณุ ธรรมจะสง ๑๖. ประพฤติธรรม ๓๔. ทำ� ใหแ้ จง้ ซึ่งพระนิพพำน ผลใหต วั ของนกั เรยี นเปนผมู คี ณุ ธรรมดงี าม ตามไปดวย เนือ่ งจากนกั เรยี นมแี บบอยา งท่ี ๑๗. สงเครำะห์ญำต ิ ๓๕. มจี ติ ไมห่ ว่นั ไหวในโลกธรรม ดงี ามอยใู กลตัว จงึ สามารถยึดเปน แนวทาง ในการดําเนินชวี ิตได ในทางกลับกันการคบ ๑๘. ประกอบกำรงำนท่ีไม่มโี ทษ ๓๖. มีจติ ไมเ่ ศรำ้ โศก คนพาล ยอ มนําพาเราไปพบเจอสิง่ ทไี่ มด ี ๑๙. งดเว้นจำกบำป ไมง ามเสยี สวนใหญ จงึ มีแตจะกอ ความ ๓๓๘๗.. มมจีจี ติติ เปกรษำมศ5จ ำกกิเลส เสยี หาย) พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัวได้ทรงน�ำ “มงคลสูตร” มำทรงพระรำชนิพนธ ์ 2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ เป็นบทประพันธร์ อ้ ยกรองประเภทค�ำฉนั ท ์ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๖ 190 นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT “ปลาราพันหอ ดวย ใบคา 1 สันโดษ ความยนิ ดี ความพอใจดวยปจ จยั 4 ตามมีตามได ใบกเ็ หมน็ คาวปลา คละคลงุ ความยินดีในของของตน การมคี วามสุขความพอใจดวยเครอื่ งเลีย้ งชีพที่หามาได คือคนหมไู ปหา คบเพ่ือน พาลนา ดวยความเพยี รพยายามของตน ไดแตรายรายฟุง เฟอ งใหเสยี พงศ” 2 พหสู ูต ผูม คี วามรเู พราะไดสดบั ตรับฟง หรือศึกษาเลา เรียนมามาก ขอความขา งตน มแี นวคิดสอดคลอ งกบั หลักมงคลสูตรในขอ ใด เปน ผคู งแกเรยี น 1. มงคลขอ 2 คบบณั ฑติ 3 วนิ ยั ระเบียบแบบแผนสาํ หรับฝกฝนควบคมุ ความประพฤติของบคุ คลใหม ี 2. มงคลขอ 1 ไมค บคนพาล ชวี ิตที่ดงี าม เจริญกาวหนา และควบคมุ หมูช นใหอยรู วมกันดวยความสงบ 3. มงคลขอ 27 มีความอดทน 4 สุภาษติ ถอยคาํ หรอื ขอความทก่ี ลา วสืบตอกนั มาชา นานแลว 4. มงคลขอ 23 มีความนอบนอ มถอมตน มีความหมายเปน คตสิ อนใจ 5 เกษม ความสขุ สบาย ความปลอดภัย มักใชเขาคกู บั คําอน่ื เชน สขุ เกษม วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. มงคลขอ 1 ไมคบคนพาล ขอคดิ สอดคลอง เกษมศานต เปน ตน กับบทประพนั ธขา งตนวา คบคนเชน ไร ยอ มทําใหตนเปนคนเชนนนั้ 190 คูมือครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๒. ประวตั ผิ แู ตง 1. นักเรยี นกลุม ท่ี 3 นาํ เสนอประวตั ผิ ูแ ตง เรื่อง มงคลสูตรคําฉันท ในประเดน็ ตอไปน้ี พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั เปน็ พระมหำกษตั รยิ ร์ ชั กำลท ี่ ๖ แหง่ พระบรมรำชวงศจ์ กั รี • วรรณคดีเร่ือง มงคลสูตรคาํ ฉันท แสดงให ตลอดระยะเวลำ ๑๕ ปีท่ีทรงครองรำชย์ (พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๖๘) ทรงประกอบพระรำชกรณียกิจ เหน็ พระอจั ฉริยภาพดานอักษรศาสตรของ เปน็ อเนกประกำร ทรงพระปรชี ำสำมำรถทงั้ ดำ้ นกำรทหำร กำรปกครอง กำรตำ่ งประเทศ และโดย พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลาเจาอยูห วั เฉพำะด้ำนอักษรศำสตร์ พระองค์ทรงพระรำชนิพนธ์งำนประพันธ์หลำยประเภท เช่น บทละคร อยา งไร บทควำม สำรคด ี นทิ ำน นยิ ำย เรอื่ งสนั้ และทรงใชง้ ำนพระรำชนพิ นธเ์ ปน็ สอ่ื แสดงแนวพระรำชดำ� ริ (แนวตอบ เปนตน วา แสดงถึงพระอจั ฉริยภาพ ในเรอ่ื งตำ่ งๆ ดา นอกั ษรศาสตร ไมว า จะเปน ความเชย่ี วชาญ หรอื เปน็ บหทนพงั สรอืะรทำแ่ี ชตนง่ พิดน ี อธห์ำทล ิำยหเวัรใอ่ื จงนยกั งั รไบด1ร้ บัเปกน็ ำยรยอกดยขอ่องงจบำทกลวะรครรณพคดู ดรสีอ้ โยมแสกรว้ วำ่ มเปทั น็ นยะอพดาขธาอ2งวรรณคดี ภาษาบาลีสนั สกฤตในระดบั สูง ทรงใชองค เปน็ ยอดของบทละครพดู คำ� ฉนั ท ์ พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั จงึ ไดท้ รงรบั กำร ความรูด งั กลาวในการศกึ ษาคนควาขอ มูล ถวำยพระรำชสมญั ญำวำ่ “สมเดจ็ พระมหำธรี รำชเจำ้ ” ซงึ่ มคี วำมหมำยวำ่ นกั ปรำชญ์ ทางพระพุทธศาสนา ทรงแปลคาถาคําสอน ผยู้ งิ่ ใหญ ่ และใน พ.ศ. ๒๕๑๕ พระองคย์ งั ทรงไดร้ บั กำรประกำศยกยอ่ งจำก จากภาษาบาลีเปนภาษาไทยไดเ ปนอยา งดี องคก์ ำรกำรศกึ ษำวทิ ยำศำสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่ สหประชำชำต ิ หรอื โดยยงั คงเนอ้ื หาท่ีมคี วามครบถวนสมบูรณ ยูเนสโก (UNESCO) ให้ทรงเป็น ๑ ใน ๕ นักปรำชญ์ท่ียิ่งใหญ่ นอกจากน้ี พระองคทานยังทรงแตกฉานใน ของไทย ศิลปะการประพันธ โดยเฉพาะอยา งยิ่งคาํ ประพันธป ระเภทฉนั ท ซ่งึ ประพนั ธไดย ากยงิ่ พระบรมราชานสุ าวรยี พ ระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา เจาอยหู ัว แตพระองคท า นทรงพระราชนพิ นธไ ดอ ยา ง สมบรู ณท ง้ั ดา นเสียง ความหมาย และ มีความสอดคลอ งกบั ฉันทลักษณ) 2. นักเรยี นทกุ คนบนั ทกึ ความเขาใจลงสมดุ ขยายความเขา้ ใจ Expand ๓. ลักษณะคำ� ประพันธ์ 1. นกั เรียนคนควาเพ่มิ เตมิ เก่ียวกับบทพระราช นิพนธใ นพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลาเจา นพิ นธ์ข ม้ึนงโดคยลทสูตรงรนค�ำ�ำคฉำันถทำ์ ภเำปษ็นำวบรำรลณีทค่เี ปด็นีท ี่พ“รมะงบคำลทสสตู มรเ” ดซ็จพ่งึ มรอีะมยู่ใงนกพุฎรเกะไลต้ำรเจป้ำิฎอก3ยมู่หำัวแทปรลง พแรละว้รทำชรง- อยหู ัวทีแ่ สดงใหเห็นพระอัจฉริยภาพดา น เรียบเรียงแต่งเป็นบทประพันธ์ร้อยกรองที่มีสัมผัสคล้องจอง ท่องจ�ำง่ำย และสำมำรถพรรณนำ อักษรศาสตร และองคค วามรทู างพระพทุ ธ- ควำมไดอ้ ย่ำงไพเรำะจบั ใจ โดยทรงใชค้ �ำประพนั ธ์ ๒ ประเภท คอื กาพย์ฉบัง ๑๖ และ อินทร- ศาสนา วิเชียรฉันท์ ๑๑ (ดูแบบแผนกำรประพันธ์และฉันทลักษณ์ได้ในหน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๑ เร่ือง (แนวตอบ นักเรียนสามารถคนควาขอ มลู ตา งๆ ค�ำนมัสกำรคุณำนุคุณ) โดยทรงลงท้ำยค�ำประพันธ์ทุกบทด้วยข้อควำมเดียวกันว่ำ “ข้อน้ีแหละ ไดอยางหลากหลาย อาทิ วรรณคดีเรอื่ ง มงคล อดเิ รกอุดมดี” ซ่งึ มีทมี่ ำจำกคำถำภำษำบำลที ่ีวำ่ เอตมฺมงฺคลมตุ ฺตมํ พระนลคําหลวง นอกจากนี้ นักเรียนยงั สามารถสบื คนพระราชนพิ นธท ่ีมีลกั ษณะ 191 เปนวรรณคดีคาํ สอนซึ่งมเี น้อื หาหลักกลา วถงึ หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาไดอีกดวย) 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรียนควรรู นักเรยี นพจิ ารณาบทประพันธตอไปนี้ 1 หัวใจนักรบ เปนบทละครพดู รอยแกว ไดรบั ยกยองจากวรรณคดีสโมสร ใน “สบิ สองฉนําเหลา นรอกี สุเทวา รชั กาลท่ี 6 ใหเปน ยอดของบทละครพดู เพราะมโี ครงเรื่องแนบเนียน การดําเนิน รวมกนั และตริหา สริ ิมงั คลาใด” เร่อื งไมส บั สน ปลกุ ใจใหรักชาตริ กั หนา ท่ี บทสนทนาของตัวละครเหมาะสมกับ ใหนักเรยี นยกคาํ ท่ตี องออกเสยี งลหุ บทบาทของตวั ละคร ใชค าํ พดู กะทัดรัด เขาใจงาย และมคี วามหมายลึกซ้งึ แนวตอบ คําท่ตี องออกเสียงลหุหรือเสยี งเบา ไดแก ฉ ,นร, ส,ุ และ, 2 มทั นะพาธา เปน บทละครพูดคาํ ฉนั ทจ าํ นวน 5 องก พระราชนพิ นธใน สริ ิ, ค พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา เจาอยหู วั โดยทรงคดิ เคาโครงเร่อื งดว ยพระองคเอง ลกั ษณะคาํ ประพันธประเภทบทละครพดู คาํ ฉนั ท ซ่งึ ถือวา มีความแปลกมากใน ทางวรรณคดี และแตง ยากในทางภาษา มีความกลมกลนื ระหวา งตัวละครและฉาก ที่มคี วามสอดคลองกบั วฒั นธรรมภารตะโบราณ จงึ ไดรับการยกยอ งจากวรรณคดี สโมสรใหเ ปน ยอดของบทละครพดู คาํ ฉันท 3 พระไตรปฎก คอื พระธรรมคําสง่ั สอนของพระพุทธเจา มเี น้ือความทง้ั หมด รวม 84,000 พระธรรมขันธ ค่มู อื ครู 191
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนกลุมท่ี 4 นําเสนอความสัมพันธระหวาง ๔ . เรอ่ื งยอ เนื้อหาและลกั ษณะคําประพนั ธ ดังตอ ไปน้ี • วรรณคดีเรื่อง มงคลสตู รคาํ ฉันท มีความ พซ ่ึงรอะนอำำ ถนกบนลิณำ่ท1ว์ฑไถดงึิก้เมเลศน่ำรษุใษหยฐแ์้ฟ2ีไลดังะว้สเท่ำรวเ้ำมดงถ่ือำไวคดำรพ้ยั้งไยสวำม้ ยเำณดม ็จคพเน้มรหือะำงสคสัมำ�ำตมวอัตำบสถวัมี ำ่ มพ ีเอุททะธวไเรดจคำ้ำอือปมงรคงะค์หทลนับ ่ึง เไปณดน็ ้เ เขวเ้ำลชเำฝตน้ำวำพันนรมถะงึหพ ำุท๑ว๒ธิหเ จำปร้ำี โดดเดนดานวรรณศิลปอ ยา งไร ในเวลำปฐมยำมและไดท้ ลู ถำมเรอ่ื งมงคล พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั ตอบถงึ สง่ิ ทเี่ ปน็ มงคล ๓๘ ประกำร แนวตอบ มกี ารยกคาถาภาษาบาลมี ากลา วนาํ หลังจำกรับฟงั เทศนำจบ เหลำ่ เทวดำกบ็ รรลธุ รรม จากนน้ั จงึ นาํ บทแปลภาษาบาลที ท่ี รงเรยี บเรยี ง มงคลท้ัง ๓๘ ประกำร พระพุทธเจำ้ ทรงแสดงเป็นคำถำภำษำบำลเี พียง ๑๐ คำถำ แตล่ ะ เปน บทประพันธรอยกรอง ไมวาจะเปน คำถำประกอบด้วยมงคล ๓-๕ ข้อ และมีคำถำสรปุ ตอนทำ้ ย ๑ บท ชี้ใหเ้ ห็นวำ่ เหล่ำเทวดำและ คําประพันธป ระเภทกาพยฉ บัง 16 และ มนุษย์ทั้งหลำย ถ้ำปฏิบัติตำมมงคลอันสูงสุด ๓๘ ประกำรนี้ได้ จะไม่พ่ำยแพ้แก่ข้ำศึกศัตรู อินทรวเิ ชียรฉันท 11 ซึง่ มสี มั ผัสคลองจอง และจะมีแต่ควำมเจรญิ รงุ่ เรอื งสบื ไป ทอ งจํางาย และสามารถพรรณนาความได อยางไพเราะจบั ใจ และคาํ ลงทา ยบทประพนั ธ สรรพส าระ ทุกบทดวยขอ ความเดียวกนั วา “ขอ นแ้ี หละ มงคล อดิเรกอุดมด”ี ซึ่งมีท่มี าจากคาถา ¾ÒÃÒÊÒÇѵ¶Õ ภาษาบาลวี า เอตมมฺ งฺคลมตุ ฺตม)ํ สาวัตถี (Sravasti) หรือท่ีชาวอินเดียในปจั จุบันเรยี กว่า สะเหต-มะเหต (Saheth-Maheth) 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมดุ เปน็ หนง่ึ ในบรรดาเมอื งทสี่ า� คญั ทสี่ ดุ ในสมยั พทุ ธกาล และเปน็ เมอื งทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ มาประทบั อยา่ ง ยาวนานทส่ี ดุ ถงึ ๒๕ พรรษา (๑๙ พรรษาทเ่ี ชตวนั มหาวหิ าร และ ๖ พรรษาทว่ี ดั บพุ พาราม) ขยายความเขา้ ใจ Expand เมืองสาวัตถีในทุกวันนี้ยังมีซากโบราณสถานที่ส�าคัญเม่ือสมัยพุทธกาลปรากฏอยู่ เช่น 1. นกั เรยี นยกบทประพันธ ดังตอไปนี้ ซากคฤหาสน์ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี สถานที่ท่ีพระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ ซากยมกปาฏิหาริย์สถูป • นกั เรยี นยกบทประพนั ธที่มลี ักษณะคํา และเชตวนั มหาวหิ าร (พระอารามแหง่ แรกในพระพทุ ธศาสนา) ซงึ่ เปน็ สถานทที่ พี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั เลา่ เรอ่ื ง ประพันธส อดคลอ งกบั ลักษณะคําประพนั ธ มงคล ๓๘ ประการประทานพระอานนท์ และยงั มวี ดั ทปี่ ระเทศตา่ งๆ ทนี่ บั ถอื พระพทุ ธศาสนามาสรา้ ง เรอ่ื ง มงคลสูตรคําฉันท ไวอ้ กี หลายวดั (แนวตอบ อาทิ คาํ นมัสการคุณานคุ ณุ ) 2. ครสู ุมนกั เรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ หนาช้นั เรยี น ตรวจสอบผล Evaluate 1. นักเรยี นสรุปสาระสาํ คัญดา นความเปนมา ซากสถูปท่ีสร้างข้ึนในบริเวณท่ีเคยเป็นคฤหาสน์ของอนาถบิณฑิก- ซากสถูปที่ส3ร้างข้ึนในบริเวณท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดง ความหมาย ประวัตผิ แู ตง และคําประพันธไ ด เศรษฐี ยมกปาฏหิ ารยิ ์ 2. นักเรียนสามารถยกบทประพันธทม่ี ีลักษณะ คาํ ประพนั ธส อดคลอ งกับเรือ่ ง มงคลสูตร 192 คาํ ฉันทได 3. นักเรยี นยกตัวอยา งการนาํ มงคลชวี ิตไปใชใน ชวี ิตประจาํ วันได นักเรียนควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT 1 พระอานนท เปน พทุ ธอปุ ฏ ฐากของสมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดร ับการ ขอใดกลา วไมถ ูกตองเก่ียวกบั วรรณคดเี รื่อง มงคลสตู รคําฉันท ยกยองวาเปนเอตทคั คะผูเ ลิศกวา พระสาวกอน่ื ถงึ 5 ประการ และเปน พหูสตู 1. ยกคาถาภาษาบาลีมากลา วนํา เนื่องจากเปนผูจดจาํ พระสตู รทสี่ มเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจา ทรงแสดงไว และทรง 2. มคี ําลงทา ยบทประพนั ธท กุ บทวา “ขอ นแี้ หละมงคล อดเิ รกอุดมด”ี ถายทอดเพือ่ ใหก ารทําปฐมสงั คายนาสําเร็จเรยี บรอย 3. คาํ ลงทา ยในทกุ บทแปลมาจากภาษาบาลีวา คือ “เอตมฺมงฺคลมุตฺตม”ํ 2 อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรอื สทุ ัตตอนาถปณ ฑิกคฤหบดี เปน ชาวเมอื งสาวตั ถี 4. ใชค าํ ประพันธประเภทกาพยฉ บงั 16 ในการพรรณนาเน้อื หาเก่ียวกบั มงคล ในสมยั พทุ ธกาล เปน เศรษฐีใจบญุ ชอบชวยเหลอื คนตกยาก ทาํ ใหทานถกู เรียก จากชาวเมืองสาวัตถวี า อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี แปลวา เศรษฐีผเู ปน ท่พี ึง่ ของคนยาก และใชอ นิ ทรวเิ ชียรฉนั ท 11 ในการกลาวถึงฉากและเหตกุ ารณ เปนผสู รางเชตวนั มหาวหิ าร และไดรบั ยกยองจากพระพทุ ธเจาใหเปนอุบาสกผูเลิศ ในการเปนผูถวายทาน วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. ใชคําประพันธประเภทกาพยฉบงั 16 ในการ 3 ยมกปาฏิหารยิ หมายถงึ ปาฏิหารยิ ท ีแ่ สดงเปนคๆู เปน ปาฏหิ าริยท ่ี พระพทุ ธเจา ทรงกระทาํ ที่ตนมะมวง ซึ่งเรียกวา คัณฑามพพฤกษ คอื ทรงบันดาล พรรณนาเนอื้ หาเก่ยี วกับมงคล และใชอนิ ทรวเิ ชียรฉันท 11 ในการกลา ว ทอนา้ํ ทอ ไฟออกจากสวนของพระกายเปน คูๆ กัน ถึงฉากและเหตกุ ารณ ทถ่ี กู ตอ งควรสลับกนั คอื ใชกาพยฉบัง 16 ในการ พรรณนาฉากและเหตุการณ และใชอินทรวิเชียรฉนั ท 11 ในการกลาวถงึ เนือ้ หาเกีย่ วกบั มงคล 192 คมู่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage 193 กระตนุ้ ความสนใจ ๕. เน้อื เร่ือง ครสู นทนาซกั ถามกระตุน ความสนใจ ดงั ตอไปน้ี มงคลสตู รค�ำฉันท์ • นกั เรยี นคดิ วา ส่ิงใดบางทถ่ี ือวาเปน มงคล นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมำ สมพฺ ทุ ฺธสฺสฯ ในการดาํ เนินชีวิต ตน้ มงคลสูตร • นกั เรยี นคดิ วา หากปฏิบตั ิตามมงคลสูตร แลว จะเกิดผลดอี ยา งไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถอภปิ รายไดอ ยาง หลากหลายขน้ึ อยูก ับเหตผุ ลของนกั เรียน) (๑) ยญฺจ ทฺวาทส วสฺสานิ จินฺตยิ ํสุ สเทวกา สา� รวจคน้ หา Explore สิบสองฉน�ำเหล่ำ นรอีกสุเทวำ รวมกันและตริหำ สิริมังคลำใด นกั เรยี นทบทวนความรเู ดมิ และศกึ ษาวรรณศลิ ป (๒) จิรสฺสํ จินฺตยนฺตาปิ เนว ชานิ ํสุ มงฺคลํ ทัง้ ดานเน้ือหา ภาษา และรปู แบบของวรรณคดี จกฺกวาฬสหสฺเสสุ ทสสุ เยน ตตฺตกํ เรือ่ ง มงคลสตู รคาํ ฉนั ท กาลํ โกลาหลํ ชาตํ เทวำมนุษย์ทั่ว ยพด�าำห1รวุภิส พพิ้น2ปฺรจหริระังฺมกเนทำิเศลว3ใสน4นา อธบิ ายความรู้ Explain หม่ืนจักรวำลได้ แล้วยัง บ่ รู้มง- คละสมมโนมำลย์ 1. นักเรียนรว มกันตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ ด้วยกำละล่วงนำน • กลวธิ กี ารเปดเร่อื งดวยการตั้งคําถามหรือ ได้เกิดซ่ึงโกลำ- หบล่ มะ5ิไยด่ิง้ปมรโะหสดงม6ค์สม ขอสงสยั วา สง่ิ ใดถือเปน มงคลน้ัน นักเรยี น ก้องถึง ณ ช้ันพรหม คิดวา กลวธิ ีการเปดเร่อื งดว ยวธิ ีการ ธ สถิตสะเทือนไป ดงั กลา วมีความเหมาะสมหรือไม อยางไร (แนวตอบ การเปด เร่อื งดวยกลวธิ ีการต้งั (๓) ยํ โลกนาโถ เทเสสิ วรมังคลำใด คําถามและขอสงสัยทง้ั ของเทวดาและมนุษย องค์โลกนำถเทศน์ ถอื วา เปน กลวธิ กี ารเปด เรอื่ งทมี่ คี วามเหมาะสม เนอ่ื งจากเปน การชใ้ี หเ หน็ ความสาํ คญั ของ (๔) ยสังพปฺพำปปาะ7ปปววิงนใาหส้ นํ ทุษะเส่ือมวินำศมล คําวา “มงคล” อันเปน เหตแุ หง ความสุขและ ความเจรญิ ของชวี ติ ไมเ พยี งชวี ติ มนษุ ยเ ทา นน้ั เทวดาบนสวรรคก ย็ ังตอ งการประจกั ษแ จง (๕) ยํ สุตฺวา สพฺพทุกฺเขหิ มุจฺจนฺตาสงฺขิยา นรา ในเรื่องนเี้ ชน เดยี วกัน ฉะนนั้ การเปด เร่อื ง ชนหลำย บ่ พึงนับ ผิสดับสุมงคล ดวยกลวธิ กี ารตั้งคาํ ถามหรือขอสงสัย ใดแล้วและรอดพ้น พหุทุกขะยำยี จงึ เปน การเนนยาํ้ ความสําคญั ของเนอื้ หา ใหเดนชัดยิง่ ขนึ้ ) (๖) เอวมาทิคุณูเปตํ มงฺคลนฺตมฺภณาม เส.ฯ เรำควรจะกล่ำวมง- คละอันประเสริฐท่ี 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ กอบด้วยคุณำมี วรอัตถะเฉิดเฉลำฯ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู “...คือ พอใจ ตามที่ไดแ ละที่มี 1 พหุ มาก เขียนเปน พหู กม็ ี กาวยา งในทางดี พอเหมาะงามตามกําลงั 2 ภพ โลก แผนดนิ วฏั สงสาร ยินดีตามสมควร อมิ่ ใจลวนชวนสมหวัง 3 จิรงั กาล เวลาชานาน การใดใหร ะวงั จกั อาํ นวยดวยพอเพียง...” 4 มโนมาลย ใจ 5 โกลาหละ มาจากคําวา โกลาหล ซึ่งหมายถงึ เสียงกกึ กอง อ้อื องึ เอิกเกริก ขอความขา งตน มีแนวคิดสอดคลองกับหลกั มงคลสูตรในขอ ใด วุนวาย เปน คาํ โบราณพบในกลอน ใชเ ปน โกลา โกลี กม็ ี เชน เสยี งโหโ กลา 1. มงคลขอ 22 มีความเคารพ เกรียงไกร (คาํ พากย),พระกมุ ารโกรธใจเปนโกลี (ไชยเชษฐ) 2. มงคลขอ 24 มคี วามสนั โดษ 6 มโหดม มากมาย ยิ่งใหญ สงู สดุ 3. มงคลขอ 27 มีความอดทน 7 ปาปะ หมายถงึ บาป คือ การกระทําผดิ หลักคําสอนหรือขอหามในศาสนา 4. มงคลขอ 23 มีความออนนอ มถอ มตน หรือความชั่ว ความมวั หมอง วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. มงคลขอ 24 มีความสันโดษ ความยินดี คู่มอื ครู 193 หรอื พอใจเทาท่ตี นมีอยหู รอื เปน อยู
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นพจิ ารณาบทประพนั ธ จากน้นั นกั เรยี น มงคลสูตร รวมกนั ตอบคําถาม ดังตอไปนี้ “ครั้งน้นั แลเทวดา องคห นึ่งมหา- (๑) เอวมฺเม สุตํ ว่ำข้ำพเจ้ำ นุภาพมหทิ ธฤิ์ ทธี องค์พระอำนนท์ท่ำนเล่ำ ลวงประถมยามราตรี เธอเปลง รศั มี ได้ฟังมำแล้วดังนี้ อันเรอื งระยับจบั เนตร แสงกายเธอปล่ังยังเขต สวนแหงเจา เชต (๒) เอกํ สมยํ ภควา พระภำคชินสีห์ สวา งกระจางทัว่ ไป” ผสู้มโลัยกหนนำ่ึงถ1พจรอะมผธู้มรี รม์ • นักเรียนคดิ วา สาระสาํ คญั ของบทประพนั ธ ขางตน กลา วถึงส่งิ ใด (แนวตอบ กลา วถงึ อาํ นาจเทวดาผูท รงฤทธ์ิ (๓) สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อ2าราเม. แรงกลาถึงขัน้ รัศมอี ันงามระยับจับตาอยู ประทับ ณ เชตวัน วิหำระอัน รายรอบนนั้ สามารถทาํ ใหพ ระเชตวันวหิ าร อนำถบิณฑิกไซร้ สวา งไสวโดยรอบ) จัดสร้ำงอย่ำงดีท่ีใน สำวัตถีให้ • นกั เรียนคดิ วา จากบทประพันธข างตน มี เอปถ็น โทขี่ส ถอิตญสฺญุข3ตำ ฺรา เทวตา ความดเี ดนดา นวรรณศลิ ปหรอื ไม อยา งไร (๔) (แนวตอบ บทประพันธข า งตน มีความดเี ดน ครั้งนั้นแลเทวดำ องค์หนึ่งมหำ- ดานวรรณศลิ ปโ ดยใชคําภาษาบาลีสันสกฤต นุภำพมหิทธ์ิฤทธี ที่เปนคําทีส่ ามารถทําความเขาใจไดงา ย แต ส่ือใหเห็นความอลงั การของภาษา รวมถงึ มี (๕) ลอ่วภงิกปฺกรนะฺตถามยย ำรม4ตรฺตำิยตาร ี อภิกฺกนฺตวณฺณา เธอเปล่งรัศมี การใชถ อยคําภาษาไทยงา ยๆ ชวยใหผอู า น เขาใจเร่อื งราวไดอยา งกระจา งชดั เจน กอให อันเรืองระยับจับเนตร เกดิ จินตภาพไดเ ปนอยางดี นอกจากน้ี ยงั เปนการใชโ วหารบรรยายและเปนการลาํ ดบั (๖) เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา สวนแห่งเจ้ำเชต ความอยา งตอ เนื่องใหเหน็ ภาพ “มหานภุ าพ แสงกำยเธอปล่ังยังเขต มหทิ ธิฤทธ์ิ” ของเทวดา) สว่ำงกระจ่ำงท่ัวไป 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด (๗) เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ประทับแห่งใด องค์พระภควันต์นั้นไซร้ ก็เข้ำไปถึงที่น้ัน (๘) อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ถวำยอภิวันท์ ครั้นเข้ำใกล้แล้วจ่ึงพลัน แด่องค์สมเด็จทศพล 194 นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT สุนทรตองการปฏบิ ัติตามมงคลที่วา “หนง่ึ เห็นคณาเลิศ สมณาวราจารย” 1 โลกนาถ ผูเปนทีพ่ ่ึงของโลก ทางพระพทุ ธศาสนาหมายถึง พระพทุ ธเจา การกระทาํ ในขอ ใดสอดคลอ งกับแนวคิดของมงคลสูตรขา งตน 2 เชตวนั วหิ าระ ชอื่ พระวหิ ารทม่ี คี วามสาํ คญั ยงิ่ ในสมยั พทุ ธกาล ตง้ั ชอื่ ตามเจา เชต 1. สนุ ทรชว ยหิว้ ของใหพระเวลาท่ีพระออกบณิ ฑบาต ผูเปน เจา ของที่ดิน พระวหิ ารน้ตี งั้ อยูในอทุ ยานใหญทางทิศใตของเมืองสาวตั ถี 2. เมอ่ื พระบอกใหทาํ สิง่ ใดสุนทรกท็ าํ ตามที่พระบอก อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐเี ปน ผสู รา งถวายพระพทุ ธองค ในคมั ภรี ท างพระพทุ ธศาสนากลา ว 3. สุนทรไปวดั กบั ยายทุกวนั พระ เพอ่ื จะไดก ินอาหารรสชาติอรอ ยและ วา สรา งเปน วหิ าร 7 ชนั้ มกี าํ แพงและครู อบบรเิ วณ ภายในประกอบดว ยทปี่ ระทบั ของ หลากหลาย พระพุทธเจา ทีอ่ ยูข องภิกษุสาวก สถานที่แสดงธรรม และประกอบกิจวตั ร 4. สนุ ทรนําหลักคาํ สอนท่พี ระสงฆเทศนามาพิจารณาไตรต รองและ 3 การเขียน “ญ” และ “ฐ” ในภาษาบาลี จะไมเขยี นเชงิ ดงั น้นั ญ จึงเขียน นาํ ไปปฏบิ ตั ิอยเู สมอ วา “” และ ฐ จึงเขียนวา “” วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. สนุ ทรนาํ หลักคาํ สอนทพ่ี ระสงฆเทศนามา 4 ประถมยาม ยามตน ในบาลแี บงตอนกลางคืนออกเปน 3 ยาม กาํ หนด พิจารณาไตรตรองและนาํ ไปปฏบิ ัตอิ ยูเ สมอ สอดคลอ งกับมงคลขอที่ 29 ยามละ 4 ชั่วโมง เรียกวา ปฐมยาม (ประถมยาม) มชั ฌิมยาม และปจฌมิ ยาม การเห็นสมณะ ปฐมยามกําหนดเวลาตัง้ แตยํา่ ค่าํ หรือ 18 นาฬกา ถงึ 4 ทุม หรอื 22 นาฬก า 194 คมู่ ือครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ (๙) แแเอลสก้ดวมยงนเืนคฺตทำํ ่ีครอพวฏรนฺดบา�ำศสกีริ.ล41์ เสงี่ยม2เจียม3ตน 1. นักเรียนรวมกนั ตอบคาํ ถาม ตอ ไปนี้ • การท่ีเทวดาผมู ี “มหานภุ าพมหิทธิ์ฤทธี” สมควร ณ ท่ี กระทาํ การ “ถวายอภวิ นั ท แดองคส มเด็จ ทศพล” และกริ ยิ า “เสงยี่ มเจยี มตน แสดง (๑๐) เอกมนฺตํ ิตาโข สา เทวตา ด้วยถ้อยประพันธ์ เคารพนบศีร” ตอ พระพทุ ธเจา นกั เรยี น เมื่อเทวดำยินดี มงฺคลานิ อจินฺตยุํ คดิ วา สารสาํ คัญของบทประพันธข า งตนคือ ข้ำงหนึ่งดังกล่ำวแล้วนั้น อะไร พรอมยกเหตุผลประกอบใหช ดั เจน พคตฺริโูหสิ ตมถง6ิจฺค�ำลนมงุตฺตมํฯ (แนวตอบ แสดงใหเหน็ มหิทธานภุ าพจาก (๑๑) ภควนฺตํ คาถาย อช5ฺฌภาสิฯ หลกั ธรรมะของพระพทุ ธองคทท่ี รงอํานาจ คละเอกอุดมดีฯ ยงิ่ ใหญก วาส่ิงใดในโลกและจกั รวาล จึ่งได้ทูลถำมภควันต์ ตรัสตอบวำที แมเ ทวดาผูมีฤทธย์ิ งั ตอ งกระทําการ “ถวาย เป็นพระคำถำบรรจงฯ อภิวันท” และ “เสง่ยี มเจียมตน” เมื่อเขา เฝา พระพุทธองค นอกจากนี้ ปญ หาเกยี่ วกบั พหู เทวา มนุสฺสา จ มงคลทเี่ ปน ขอ ถกเถียงและยังไมส ามารถหา อากงฺขมานา โสตฺถานํ ขอยตุ ไิ ดของทง้ั สามโลก ยังตอ งพึง่ อาํ นาจ เทพอีกมนุษย์หวัง สติปญญาของพระพุทธองคในการคน หา โปรดเทศนำมง- คําตอบดังกลาว จงึ แสดงใหเ หน็ ความ (ฝำยองค์สมเด็จพระชินสีห์ เหนือกวา ของพระบารมแี ละพระปญญาของ ด้วยพระคำถำไพจิตร) พระพทุ ธองค ตลอดจนธรรมะที่ พระพุทธองคท รงตรสั ร)ู 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. นักเรยี นรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ตอไปน้ี • นกั เรียนคิดวา การสรางความขดั แยงใน บทประพันธข างตน แสดงใหเ หน็ กลวิธที าง วรรณศิลปอ ยางไร (แนวตอบ ฉายใหเ หน็ ความขดั แยง ซึ่งชว ย เนนยาํ้ ใหเ น้ือหามีความชัดเจนคมคาย และ สอื่ สารไดอยางแยบยล แสดงใหเ ห็นความ เหนือกวาของหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา 195 ซงึ่ เปนสาระสําคัญ นอกจากน้ี ยงั เปน การ ลําดบั เร่อื งอยางเรยี บงา ยและชดั เจน) 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู ขอ ใดเปน พฤตกิ รรมของผทู ่ี “ไมประมาทใน พหุธรรมะโกศล” 1. ตนุ ไมทาํ ความดี แตอยากไดผลดี 1 ดํากล กอสราง ตงั้ ตั้งไว ในวรรณคดีหมายความวา งาม เชน ดํากลดาด 2. อาทิตยท ําดีเลก็ นอยแตห วงั ผลดีมาก ดว ยดวงดาว (แผลงมาจากคาํ วา ถกล) 3. นที าํ ตามใจตนเองและคาดหวงั ผลดที ี่จะเกิดขนึ้ 2 เสงี่ยม สํารวมกิริยาวาจาดวยเจยี มตวั หรือสภุ าพเรยี บรอย 4. เรยาวดรี ะลึกถึงความผิดชอบชว่ั ดีเสมอ และทําแตสง่ิ ที่ดี 3 เจียม รูจักประมาณตัว เชน เจยี มเนอื้ เจยี มตวั เปน ตน 4 ศีร หมายถึง ศรี ษะ คอื หวั วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เรยาวดรี ะลึกถงึ ความผดิ ชอบชวั่ ดเี สมอ 5 ภควันต พระนามหนึง่ ของพระพุทธองค แปลวา เปนผูม โี ชค โดยหวัง พระโพธญิ าณกไ็ ดส มหวงั ประกาศพระศาสนากช็ กั จงู ผคู นใหบ รรลธุ รรมสมปรารถนา และทาํ แตส ่ิงที่ดี สอดคลองกับหลกั มงคลสูตรขอ ท่ี 21 ไมป ระมาทใน มผี ูคดิ รา ยก็ไมอาจทํารา ยได ธรรมทง้ั หลาย 6 โสตถิ หมายถงึ ความเจรญิ รุง เรือง ค่มู ือครู 195
กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา อธบิ ายความรู้ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เพรำะจะพำประพฤติผิด 1. นักเรยี นรว มกนั พจิ ารณาบทประพนั ธ พรอม (๑) อเสวนา จ พาลานํ ตอบคาํ ถาม ดงั ตอไปนี้ ปูชา จ ปูชนียานํ อเพภริบำูชะนจะียพ์ชนำ1ประสบผล “เทวดามนุษยท วั่ พหภุ พประเทศใน หนึ่งคือ บ่ คบพำล หมืน่ จกั รวาลได ดํารสิ ้ินจริ ังกาล หนึ่งคบกะบัณฑิต อดิเรกอุดมดี แลวยงั บ รมู ง- คละสมมโนมาลย” หน่ึงกรำบและบูชำ ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา • นกั เรียนคดิ วา บทประพันธขา งตน สะทอ น ข้อนี้แหละมงคล เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ใหเ ห็นความสําคัญของหลักคาํ สอนเก่ียวกบั เหมำะและควรจะสุขี มงคล 38 ประการของพระพทุ ธเจา อยา งไร (๒) ปฏิรูปเทสวาโส จ ณ อดีตะมำดล และกลวิธีดงั กลา วสง ผลตอ คณุ คา ทาง อตฺตสมฺมาปณิธิ จ ณ สภำวะแห่งตน วรรณศลิ ปห รือไมอยางไร ควำมอยู่ประเทศซ่ึง อดิเรกอุดมดี (แนวตอบ เปนการเนนยํา้ ความสาํ คญั ของ อีกบุญญะกำรท่ี วินโย จ สุสิกฺขิโต มงคล 38 ประการใหม ีความสําคญั มากย่งิ ขนึ้ อีกหม่ันประพฤติควร เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สังเกตไดจากการทเี่ รอื่ งดงั กลา วเปน ปญ หา ข้อนี้แหละมงคล หรือขอสงสยั ของท้ังสามโลก) จแะลปะกระ�ำหกอนบดมสุนวำุญท3กี ำร (๓) พาหุสจฺจญฺจ สิปฺปญฺจ ฤนดร5เิแรหีย่งนปแรละะชเชำช่ียนวชำญ 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ จะประสิทธิ์มนุญผล ขยายความเขา้ ใจ Expand สุภาสิตา จ 2ยา วาจา อดิเรกอุดมดี ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห 1. นกั เรยี นรว มกนั อภิปรายในประเด็น ตอ ไปนี้ ควำมได้สดับมำก เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ • นกั เรยี นคดิ วา จากเนอ้ื ความขางตน สะทอน อีกศิลปศำสตร์มี ตุระด้วยหทัยปรีย์ คติความเชือ่ ของสังคมไทยอยางไร ออีีกกคห�ำนเ่ึงพวรินำัยะอบันร รสำน4 ก็ถนอมประหนึ่งตน (แนวตอบ นกั เรียนสามารถอภปิ รายไดอ ยาง บ่ มิยุ่งและสับสน หลากหลายข้ึนอยูกับเหตุผลของนกั เรยี น ทั้งสี่ประกำรล้วน อดิเรกอุดมดี เปน ตน วา สะทอนความเชอ่ื เก่ยี วกับพระ ข้อนี้แหละมงคล มหทิ ธานุภาพของพระพุทธเจา ทีท่ รงอยเู หนือ สง่ิ อน่ื ใดในโลกและจกั รวาล แมแตเ ทวดา (๔) มาตาปิตุอุปฏฺานํ ยงั ตองกระทําการ “ถวายอภิวันท” อยา ง อนากุลา จ กมฺมนฺตา “เสงี่ยมเจยี มตน” นอกจากน้ี ยังแสดงใหเ ห็น บ�ำรุงบิดำมำ- ถงึ ความจรงิ แทของหลกั คําสอนทางพระพุทธ- หำกลูกและเมียมี ศาสนาวา ธรรมะอยเู หนอื สรรพส่งิ อ่ืนใด กำรงำนกระท�ำไป ท้งั ปวงในจักรวาล) ข้อน้ีแหละมงคล 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ 196 นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT “ความไมเ บยี ดเบียนเปน สขุ ในโลก” 1 อภิบชู นยี ช น อภปิ ชู นยี ชน แปลวา คนทค่ี วรบชู าอยา งสูง (มาจากคําวา อภิ สภุ าษิตทก่ี ลา วมาขา งตน สอดคลองกับมงคลขอใด หมายถงึ ยิ่ง ปูชนยี หมายถงึ นา นับถือ นา บูชา ชน หมายถงึ คน) 1. อกี หน่ึงบไดม ี จิตกระดา งและจองหอง 2 สดบั ต้งั ใจฟง เชน สดับพระธรรมเทศนา มกั ใชเ ขา คูกบั คําวา ตรบั ฟง เปน 3. ความงดประพฤตบิ าป อกุศล บ ใหมี สดับตรับฟง ในงานวรรณคดี หมายถงึ ไดย นิ เชน ถงึ แมวา จะสนทิ นทิ รา กผ็ วา 3. ยนิ ดี ณ ของตน บ มิโลภทะยานปอง เมอื่ สดบั ศพั ทเ สยี งพ่ี จากวรรณคดีเร่ือง ววิ าหพระสมทุ 4. อกี หม่ันประพฤติควร ณ สภาวะแหงตน 3 มนญุ หมายถงึ เปน ทพ่ี อใจงาม 4 บรรสาน แผลงมาจาก ประสาน หมายถึง ทําใหต ดิ กัน ทําใหส นทิ กนั วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. ยนิ ดี ณ ของตน บ มโิ ลภทะยานปอง 5 ฤดิ หรือ ฤดี หมายถึง หัวใจ เปน การใชค ําไมตรงรปู ศัพท เพอ่ื ใหจ ํานวน คาํ ตรงตามคณะ และมเี สียงครุลหุตรงตามฉันทลักษณ เปน โทษอยา งหนงึ่ ของ หมายถึงไมโ ลภและไมเ บียดเบียนผูอนื่ ฉันท ซึง่ มีทงั้ การแผลงคํา หรอื ยักเยือ้ งคํา โดยตัดคาํ ตัดรูปสระ ตดั เครอื่ งหมาย ทณั ฑฆาตออก 196 คู่มือครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ (๕) ทานญฺจ ธมฺมจริยา จ ญาตกานญฺจ สงฺคโห 1. นักเรยี นรว มกนั ตอบคําถาม ตอ ไปนี้ อนวชฺชานิ กมฺมานิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ • นักเรยี นคดิ วา การประพนั ธโ ดยใชค าถา และประพฤติสุธรรมศรี บาลแี ตงนาํ จากนนั้ จงึ แปลและเรียบเรยี ง ให้ทำน ณ ก1ำลควร เปน ภาษาไทย กลวธิ ีดงั กลาวสงผลตอการ ปฏิบ2ัติบ3�ำเรอตน 4 ดําเนนิ เร่อื งอยา งไร อีกสงเครำะห์ญำติท่ี (แนวตอบ เปน ตน วา ชวยใหผ อู านสามารถ กอบกรรมะอันไร้ ทุษะกลั้วและมัวมล สอบทานความถูกตองของบทแปลท่ีนํามา ข้อน้ีแหละมงคล อดิเรกอุดมดี ขยายความได สามารถอา นทาํ นองเสนาะ มชฺชปานา จ สญฺญโม ชวยใหเกิดความรสู ึกเชื่อถือศรัทธามากขน้ึ ) (๖) อารตี วิรตี ปาปา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ อกุศล บ่ ให้มี 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ และสุรำ บ่ เมำมล ควำมงดประพฤ5ติบำป พหุธรรมะโกศล ขยายความเขา้ ใจ Expand อดิเรกอุดมดี ส�ำรวมวรินทรีย์ สนฺตุฏฺี จ กตญฺญุตา 1. นักเรยี นรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี ควำมไม่ประมำทใน เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ • นักเรียนคิดวา มีวรรณคดีเร่อื งใดบา งที่ใช ข้อน้ีแหละมงคล คาถาบาลีแตงนําแลว มีการแปลและ จะประณตและนอบศีร์ 6 เรยี บเรียงเปนบทประพันธร อยกรอง (๗) คารโว จ นิวาโต จ ในภาษาไทย กาเลน ธมฺมสฺสวนํ จะกระด้ำงและจองหอง (แนวตอบ เปนตนวา พระนลคําหลวง เคำรพ ณ ผู้ควร บ่ มิโลภทะยำนปอง พระราชนพิ นธใ นรัชกาลที่ 6 หรอื เร่ือง อีกหน่ึงมิได้มี นรผู้ประคองตน มหาเวสสนั ดรชาดก) ยินดี ณ ของตน ละเจริญคุณำนนท์ อีกรู้คุณำของ อดิเรกอุดมดี 2. นกั เรียนยกบทประพนั ธ ดงั ตอ ไปนี้ ฟังธรรมะโดยกำ- สมณานญฺจ ทสฺสนํ • นกั เรียนยกสํานวน สุภาษติ หรือพุทธศาสน ข้อนี้แหละมงคล เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สภุ าษิตท่มี คี วามหมายสอดคลองกบั หลกั และสถิต ณ ขันตี ธรรมในมงคลสตู รคําฉันท พรอมยกคาํ (๘) ขนฺตี จ โสวจสฺสตา ฤดิดื้อทะนงหำญ ประพันธในแตละตอนมาเทยี บเคยี ง กาเลน ธมฺมสากจฺฉา สมณำวรำจำรย์ (แนวตอบ เปนตนวา คบคนพาลพาลพา มีจิตตะอดทน วรกิจจะโกศล ไปหาผดิ คบบัณฑิตบณั ฑติ พาไปหาผล อีกหน่ึง บ่ พึงมี จะประสิทธ์ิมนุญผล สอดคลอ งกับ ขอ 1 ดินพอกหางหมู หนึ่งเห็นคณำเลิศ อดิเรกอุดมดี สอดคลองกบั ขอ 14 จากบทประพนั ธท ีว่ า กล่ำวธรรมะโดยกำล “การงานกระทาํ ไป บ มยิ ุง และสบั สน”) ท้ังสี่ประกำรล้วน ข้อนี้แหละมงคล 3. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด 197 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู นักเรียนเลอื กมงคลใดมงคลหน่งึ พรอมอธบิ ายวา มงคลที่นกั เรยี นเลอื กมา 1 สงเคราะห การชวยเหลือ การอุดหนุน เชน ฌาปนกิจสงเคราะห เปน ตน มคี วามสาํ คัญตอ บคุ คลและสงั คมในสถานการณป จจุบันอยางไร หรือการรวบรวม เชน หนังสือนามสงเคราะห เปนตน หรืออดุ หนุน เชน สงเคราะห แนวตอบ มงคลขอท่ี 9 มรี ะเบียบวนิ ัยท่ดี ี พน้ื ฐานของระเบียบวนิ ยั ท่ดี ยี อม เดก็ กําพรา เปน ตน เกิดข้นึ จากการเรยี นรใู นการเคารพศกั ดศ์ิ รแี ละคุณคาความเปนมนษุ ยข อง 2 ทษุ ะ คือ โทษ หมายถงึ ความไมด ี ความชั่ว ความผดิ กนั และกนั จากนน้ั จงึ ใชพ น้ื ฐานดงั กลา วมาตงั้ กฎเกณฑเ พื่อเกื้อหนนุ สทิ ธิ ชวยใหค นไมละเมิดสทิ ธริ ะหวา งกัน ถือเปนการสรางมาตรฐานและคุณคา 3 กล้ัว ผสมใหเ ปน เนื้อเดยี ว ในท่นี ี้ใชในความหมายวา เปน การผสมผสาน ของสังคมใหค นในสังคมรูก ฎเกณฑ ระเบยี บแบบแผน และแนวทางในการ ระหวางกรรมและโทษ ประพฤตปิ ฏิบตั ติ น พรอ มยินดีประพฤติปฏิบัตติ นตามระเบยี บแบบแผนและ 4 มล ความมวั หมอง ความสกปรก ความไมบรสิ ทุ ธิ์ แนวทางดงั กลาวอยางสอดคลองกลมกลนื นอกจากจะสงผลดตี อสังคมแลว ยงั ชว ยใหค นตระหนกั รูในคุณคาของตนเองไดเปน อยางดี ผูคนในสงั คมจึง 5 วรนิ ทรยี มาจากคําวา วร ซง่ึ หมายถึง ยอดเยีย่ มประเสริฐเลศิ และ คาํ วา สามารถอยรู ว มกันไดอ ยา งเปนสุข ชว ยใหส ังคมเจรญิ ขนึ้ ทง้ั ในทางกายภาพ อนิ ทรยี ซึ่งหมายถงึ รางกายและจิตใจ วรินทรีย จึงหมายถึง รางกายและจิตใจ และคุณภาพ ของมนุษยผ ูป ระเสริฐทสี่ ามารถพัฒนาใหพนจากสงิ่ อกุศลได 6 จองหอง เยอหยง่ิ ทะนงตัว ถือดี อวดดี คมู่ ือครู 197
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ นกั เรยี นพจิ ารณาบทประพนั ธ พรอ มตอบคาํ ถาม ตอ ไปน้ี “เทวามนุษยท ํา วรมงคลาฉะน้ี เปนผูป ระเสริฐที่ บ มิแพ ณ แหง หน (๙) ตโป จ พฺรหฺมจริยญฺ จ อริยสจฺจานทสฺสนํ ยอ มถึงสวสั ดี สริ ิทุกประการดล นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ขอ นีแ้ หละมงคล อดิเรกอุดมดีฯ” เพียรเผำกิเลสล้ำง มละโทษะยำยี • สาระสําคัญของบทประพนั ธกลา วถงึ สิ่งใด อีกหนึ่งประพฤติดี ดุจะพรหมพิสุทธิ์สรรพ์ และนักเรียนเห็นดวยหรือไม เห็นแจ้ง ณ ส่ีองค์ พระอรียสัจอัน (แนวตอบ กลาวถงึ ประโยชนข องการยึดหลกั อำจน�ำมนุษย์ผัน ติระข้ำมทะเลวน มงคลในการดาํ เนินชวี ิต) อีกท�ำพระนิพพำ- นะประจักษะแก่ตน ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี ขยายความเขา้ ใจ Expand จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ (๑๐) ผุฏฺสฺส โลกธมฺเมหิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ 1. นักเรยี นรว มกนั อภปิ รายในประเด็น ตอไปนี้ อโสกํ วิรชํ เขมํ วรโลกะธรรมศรี • นกั เรยี นคดิ วา ทศั นะของกวหี รอื คตคิ วามเชอ่ื จิตใครผิได้ต้อง จะประหวั่นฤกังวล เก่ยี วกบั มงคลทป่ี รากฏในบทประพันธเร่ืองน้ี แล้วย่อม บ่ พึงมี และสบำย บ่ มัวมล แตกตา งจากมงคลท่นี กั เรียนเคยรูจกั หรอื ไม ไร้โศกธุลีสูญ อดิเรกอุดมดี อยา งไร ข้อนี้แหละมงคล สพฺพตฺถมปราชิตา (แนวตอบ เปรียบเทยี บคาํ วา “มงคล” ใน ตนฺเตสํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ บทประพนั ธทีส่ อ่ื ถงึ ความเจรญิ ของชีวติ (๑๑) เอตาทิสานิ กตฺวาน วรมงคลำฉะน้ี จากการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นกบั วัตถุมงคลใน สพฺพตฺถ โสตฺถํิ คจฺฉนฺติ บ่ มิแพ้ ณ แห่งหน ปจ จุบนั วา มกี ารรบั อทิ ธิพลความเชอ่ื ทาง เทวำมนุษย์ท�ำ สิริทุกประกำรดล ศาสนาหรอื ลทั ธิอน่ื หรอื ไม อยา งไร และ เป็นผู้ประเสริฐท่ี อดิเรกอุดมดีฯ การรับอทิ ธพิ ลดงั กลาวสงผลอยางไรตอ ย่อมถึงสวัสดี การประพฤติปฏบิ ตั ติ นตาม) ข้อนี้แหละมงคล 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ตรวจสอบผล Evaluate 1. นกั เรยี นสรปุ กลวธิ ที างวรรณศลิ ป พรอ มตวั อยา ง 198 2. นกั เรียนสรปุ ภาพสะทอนสังคมและวัฒนธรรม 3. นักเรียนยกสํานวน สภุ าษิต ท่สี อดคลองกันได 4. นักเรียนอภิปรายเปรียบเทียบคติความเชื่อทาง พระพทุ ธศาสนากับคตคิ วามเชื่อในปจจบุ ันได เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT มงคลขอใดสอดคลอ งกับหลกั ศลี หามากท่ีสุด ครคู วรจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยเนน ใหนกั เรียนไดแ สดงความคิดเหน็ 1. ใหทาน ณ กาลควร และประพฤติสธุ รรมศรี ท่ีมีตอ บทประพันธ จากนัน้ จงึ รว มกนั อภิปรายแลกเปล่ยี น เนนใหน ักเรียนมี 2. มีจติ ตะอดทน และสถติ ณ ขนั ตี สว นรวมในการวิเคราะหว ิจารณ การแสดงความคิดเห็นอยา งมีวิจารณญาณ 3. ถอื เอาซ่ึงทรัพยส ิน อันเจาของ บ ยนิ ยอม เปน การฝก ใหน ักเรียนมคี วามใจกวางยอมรบั ความคดิ เหน็ ของผูอน่ื พรอ มกันน้ัน 4. หากลกู และเมียมี ก็ถนอมประหน่ึงตน ครคู วรเพิ่มเตมิ ความรเู กีย่ วกับสภาพสงั คมและวฒั นธรรมในยุคสมยั ของกวี เพอ่ื วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. ถอื เอาซึง่ ทรพั ยส นิ อนั เจาของ บ ยนิ ยอม ใหนกั เรยี นสามารถนําองคความรดู งั กลาวมาปรับใชใ นการพิจารณาบทประพันธ สอดคลองกบั ศลี หา ขอที่ 2. คือ ไมถ อื เอาทรพั ยส นิ ทีเ่ จาของเขาไม ท่นี กั เรยี นศึกษา นอกจากน้ี การพจิ ารณาเปรียบเทยี บแนวคิดหรอื สาระสําคัญใน อนุญาต บทประพนั ธก ับความหมายทแ่ี ปรเปลยี่ นไปในสภาพสงั คมและวัฒนธรรมตา งสมัย ดงั ปรากฏในกจิ กรรมขยายความเขาใจ ชว ยใหน ักเรยี นสามารถพจิ ารณาความ เปล่ยี นแปลงของสภาพสังคมและวฒั นธรรมไทยไดเปนอยางดี 198 คมู่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๖. คำ� ศพั ท์ นกั เรียนรวมกันพิจารณาบทประพนั ธ จากนน้ั ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดังตอไปนี้ โกศล ฉลำด ในทน่ี ้หี มำยถึง ประเสริฐ ในควำมวำ่ พหธุ รรมะโกศล ขทุ ทกนกิ าย “แลว ยืนที่ควรดํากล เสงี่ยมเจยี มตน ชอ่ื นกิ ำยหน่งึ ใน ๕ นิกำยของพระสตุ ตันตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ ำย เปน็ หมวดพระธรรมขันธ์ แสดงเคารพนบศีร” ขุททกปาฐะ หรอื พระสตู รเลก็ นอ้ ยหรือย่อยๆ • นกั เรยี นคิดวา คําวา “ศีร” ทข่ี ดี เสนใต คติ บทสวดหรือบทสวดส้ันๆ แต่ละบทล้วนเป็นธรรมที่เป็นเบื้องต้นแห่งกำรถึงธรรม มคี วามหมายวา อยา งไร คาถา ขนั้ สงู ขึน้ ไป หรือเป็นธรรมท่ีเปน็ ไปเพอื่ ควำมเจริญโดยส่วนเดียวมที ัง้ หมด ๙ บท • นักเรียนคดิ วา การสะกดคําดวยวธิ ีการ จิรงั กาล จา� นง วิธี แนวทำง แบบอยำ่ งในทำงพระพุทธศำสนำ หมำยถึง แบบกำรด�ำเนนิ ชีวติ ดังกลาวพบไดท ั่วไปหรือไม ชนิ สีห์ • นกั เรียนคิดวา เหตใุ ดจึงมีการสะกดคาํ ดวย ฉนา� ค�ำประพันธป์ ระเภทรอ้ ยกรองในภำษำบำลี เฉดิ เฉลา วิธกี ารเชน น้นั ดา� กล เวลำช้ำนำน ตริ ะ สา� รวจคน้ หา Explore ทะเลวน ประสงค ์ มุง่ หวงั ต้งั ใจ ทษุ ะ นักเรียนศกึ ษากลวธิ กี ารใชค ําจากบทประพันธ นร พระนำมหนง่ึ ของพระพุทธเจำ้ แปลว่ำ ผู้ชนะ จากนัน้ ใหรวบรวมคาํ ศัพทแ ละความหมาย รวมถึง บรรสาน รวบรวมคาํ ทม่ี รี ปู เขยี นและออกเสยี งตามฉนั ทลกั ษณ บา� เรอ ปี ซ่งึ แตกตา งจากคําทใ่ี ชโดยทั่วไปบันทึกลงสมุดใน ประคอง ลกั ษณะของตาราง ประถมยาม งำมเด่น สงำ่ ผำ่ เผย อธบิ ายความรู้ Explain ปาปะ ตง้ั ไว ้ ยนื อยู่ นักเรียนบันทึกคําท่ีนักเรียนรวบรวมมาได ฝงั่ ในลักษณะของตารางบันทึกผลโดยเปรียบเทียบ คําท่ีปรากฏในบทประพันธ คําที่ใชโดยทั่วไป และ กำรเวยี นวำ่ ยตำยเกิดหรือสงั สำรวัฏ ความหมาย ดงั ตอ ไปนี้ คอื โทษ หมำยถงึ ควำมไมด่ ี ควำมชว่ั (แนวตอบ คําแผลง อาทิ ศีร คือ ศรี ษะ หมายถึง หวั (เปนคาํ สุภาพทใ่ี ชแกคน) สวนคําที่ คน มรี ูปเขียนและออกเสียงตามฉันทลกั ษณ ประกอบ ดว ย 1. ทกุ ขะ คอื ทกุ ข หมายถงึ ความยาก คือ ประสำน หมำยถึง เช่ือม ผกู ไว้ ลาํ บาก 2. อัตถะ คอื อตั ถ หมายถึง เนอ้ื ความ, ประโยชน, ความตองการ 3. อดีตะ คอื อดีต รับใช ้ ปรนนบิ ัติใหเ้ ป็นทีช่ อบใจ หมายถงึ เวลาที่ลว งผาน) พยงุ ให้ทรงตัวอยู ่ ในทีน่ ้ีหมำยถงึ ให้ควำมอุปกำระ เล้ยี งดูอบรม ยำมต้น ในบำลแี บง่ กลำงคืนออกเป็น ๓ ยำม ก�ำหนดยำมละ ๔ ชัว่ โมง ดงั น้ี ปฐมยาม ต้งั แตเ่ วลำ ๑๘.๐๐-๒๒.๐๐ น. มชั ฌมิ ยาม ตั้งแตเ่ วลำ ๒๒.๐๐-๐๒.๐๐ น. ปัจฉิมยาม ต้งั แต่เวลำ ๐๒.๐๐-๐๖.๐๐ น. คือ บำป หมำยถึง ควำมช่ัว ควำมร้ำย กรรมช่ัว อกุศลกรรมท่ีส่งให้ถึงควำม- เดอื ดรอ้ น สิ่งทท่ี ำ� จติ ใหต้ กส่ทู ชี่ ว่ั คือทำ� ใหเ้ ลวลง ให้เส่อื มลง 199 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู บทประพันธใ นขอใดมกี ารใชกลวิธกี ารแผลงคาํ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูเพ่อื ใหผูเรียนเกดิ ความซาบซึ้งในคุณคาและ 1. หนึง่ คือ บ คบพาล เพราะจะพาประพฤตผิ ดิ ความงดงามของวรรณคดี ครคู วรเนนใหน กั เรียนไดเรียนรูต ง้ั แตร ะดับคาํ ทน่ี าํ มาใช 2. เสงยี่ มเจยี มตน แสดงเคารพนบศรี ในการประพันธวา มีการใชคาํ ท่ีกอใหเกดิ ความงดงามทั้งดา นเสยี งและความหมาย 3. หนง่ึ กราบและบูชา อภปิ ูชนียชน กวีสรรคํามาใชใ นตาํ แหนง ทเี่ หมาะสม กอใหเ กดิ รสคาํ และรสความที่สง ผลตอคุณคา 4. หนง่ึ คบกะบัณฑิต เพราะจะพาประสพผล ทางวรรณศลิ ป นอกจากนี้ ครูควรเพ่ิมเตมิ เนือ้ หาเกย่ี วกับกลวิธกี ารแผลงคําเปน การ เปลยี่ นแปลงรปู สระ พยญั ชนะ หรอื วรรณยกุ ต ทมี่ อี ยใู นคาํ เดมิ ใหผ ดิ แผกไปจากเดมิ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เสง่ียมเจยี มตน แสดงเคารพนบศีร เปนวิธกี ารเปลย่ี นรูปคําและเสียงท่ีไทยไดแบบมาจากเขมรและอินเดีย สวนใหญ มักพบในบทประพนั ธป ระเภทรอ ยกรอง ซ่ึงมกั ใชกลวิธกี ารแผลงคํา เพือ่ ให มีการใชกลวิธีการแผลงคํา ซงึ่ กลวธิ ีการแผลงคําประกอบดว ยการเปลี่ยนแปลง สอดคลอ งกับลกั ษณะฉันทลักษณใ นบทประพนั ธ กอใหเกิดความสมบูรณท งั้ ดา น รูปสระ พยญั ชนะ หรอื วรรณยกุ ต เสยี งและความหมาย คูม่ ือครู 199
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. นกั เรยี นรว มกนั ตอบคาํ ถาม ดังตอ ไปน้ี พระสตู ร พระธรรมเทศนำหรือธรรมกถำเรอ่ื งหนึง่ ๆ ในพระสุตตันตปฎิ ก • จากบทประพันธท ไ่ี ดเ รียนมาขางตน นักเรียน ไพจิตร คิดวา เหตใุ ดจงึ ปรากฏกลวธิ กี ารแผลงคาํ ภควนั ต์ งำม รวมถึงการใชค ําท่มี ีรูปเขียนและการออก เสยี งใหส อดคลอ งกบั ฉันทลกั ษณ ภพ พระนำมของพระพทุ ธเจำ้ แปลวำ่ เป็นผมู้ โี ชค คือ หวังพระโพธิญำณกไ็ ดส้ มหวงั (แนวตอบ เปน กลวิธีการสรรคาํ โดยการเลอื ก มล ประกำศพระศำสนำก็ชักจูงผู้คนให้ได้บรรลุธรรมสมปรำรถนำมีผู้คิดร้ำยก็ไม่อำจ ใชค าํ ใหส อดคลองเหมาะสมกบั ฉันทลกั ษณ มนญุ ทำ� ร้ำยได้ หรือลักษณะคําประพนั ธ เพอื่ ใหบทประพันธ มโนมาลย์ มีความไพเราะสมบูรณท ้ังในดานเสียงและ มหิทธ์ิ แดนเกดิ ความหมาย) มโหดม • นักเรียนคิดวา กลวิธกี ารแผลง รวมถงึ การใช วรอัตถะ ควำมมวั หมอง ควำมสกปรก ควำมไมบ่ ริสทุ ธ์ิ คาํ ที่มีรูปเขยี นและการออกเสียงใหสอดคลอง ยายี กับฉันทลกั ษณพบในคาํ ประพนั ธช นดิ ใด โลกนาถ เป็นทพ่ี อใจ มากทสี่ ดุ สตุ ตนั ตปฎิ ก (แนวตอบ พบในคาํ ประพันธป ระเภทฉนั ท ใจ ซึง่ ในบทประพนั ธเรื่องนป้ี รากฏใน โสตถิ อินทรวิเชียรฉนั ท 11 มากทสี่ ดุ ) อดิเรก มฤี ทธมิ์ ำก • นกั เรยี นคดิ วา เหตใุ ดจึงเปน เชน นัน้ อนาถบิณฑิก- (แนวตอบ เหตทุ ่ีมีการใชกลวธิ ีการแผลง มำกมำย ย่ิงใหญ ่ สูงสดุ คาํ มากทส่ี ุดในคําประพนั ธป ระเภท อภบิ ูชนยี ช์ น อนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท 11 เน่ืองจากอินทรวิเชียร เนื้อควำมอนั ประเสริฐยอดเยี่ยม ฉันท 11 มีการบงั คบั การใชคําครุ ลหุ ท่กี อ ใหเ กดิ น้าํ หนกั เสยี งหนกั เบา) เบยี ดเบยี น รบกวน • นักเรียนคดิ วา คาํ ทีพ่ บสวนใหญเปน คาํ ท่มี า จากภาษาใด พระนำมหนึ่งของพระพทุ ธเจำ้ แปลวำ่ ผ้เู ปน็ ท่พี งึ่ ของโลก (แนวตอบ คาํ สว นใหญท ี่พบเปน คาํ ภาษาบาลี สนั สกฤต) หมวดหน่งึ ของค1�ำสอนในพระพุทธศำสนำท่รี วมอยู่ในพระไตรปฎิ ก ซง่ึ ม ี ๓ หมวด • นกั เรียนคิดวา เหตุใดจึงเปน เชน นั้น (แนวตอบ ลักษณะของภาษาสอดคลองกบั คอื พระวนิ ยั ปฎิ ก พระอภธิ รรมปิฎก และพระสตุ ตันตปิฎก ฉันทลักษณ) ควำมสวสั ดี ควำมเจรญิ รุ่งเรอื ง 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด พเิ ศษ (อะ-นำ-ถะ-บิน-ทิ-กะ) เป็นมหำเศรษฐีแห่งเมืองสำวัตถี ผู้เป็นอุบำสก คนสำ� คญั ในสมยั พทุ ธกำล เดมิ ชอ่ื สทุ ตั ต์ ตอ่ มำไดน้ ำมวำ่ อนาถบณิ ฑกิ ะ ซง่ึ แปลวำ่ ผู้มีก้อนข้ำวเพ่ือคนอนำถำ เพรำะได้สงเครำะห์คนยำกไร้อนำถำอย่ำงมำกมำย เป็นประจำ� วนั หนึ่งอนำถบิณฑกิ เศรษฐีเดนิ ทำงไปคำ้ ขำยทเ่ี มอื งรำชคฤห์ในแควน้ จมึงคปธร ะแกำลศะตไดน้เเขป็น้ำเพฝุท้ำธพมรำะมพกุท2ะ ธหเจล้ำัง จเำมกื่อเดไดิน้ฟทำังงพกรละับธถรรึงเมมเือทงศขนอำงเตกนิดไคดว้หำมำซเลื้อื่อทม่ีดใินส แปลงใหญ่ สร้ำงเชตวนั วหิ ำรถวำยให้เปน็ ทป่ี ระทับของพระพทุ ธเจ้ำ อภิปูชนียชน แปลว่ำ คนที่ควรบูชำอย่ำงสูง (มำจำกค�ำว่ำ อภิ-ย่ิง วิเศษ, ปชู นยี -นำ่ นบั ถอื น่ำบชู ำ, ชน-คน) 200 นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT “อกี ศิลปศาสตรมี จะประกอบมนุญการ” 1 พระวินัยปฎก ประมวลพุทธพจนหมวดพระวนิ ยั คือ พทุ ธบญั ญตั เิ กยี่ วกับ ขอ ใดออกเสียงบทประพันธข างตนไดถูกตองตามฉนั ทลักษณ การประพฤตปิ ฏิบตั ิตน ความเปนอยู ขนบธรรมเนยี มและการดําเนินกิจการตางๆ 1. อกี -สิน-ละ-ปะ-สาด-มี จะ-ประ-กอบ-มะ-นนุ -กาน ของภิกษุสงฆแ ละภกิ ษุณีสงฆ แบง เปน 5 คัมภรี ประกอบดวย 1. อาทิกัมมกิ ะ หรือ 2. อีก-สิน-ปะ-สาด-มี จะ-ประ-กอบ-มะ-นนุ -กาน ปาราชิก วาดวยสิกขาบทท่ีเก่ียวกับอาบัติหนักของฝายภิกษุสงฆ ต้ังแตปาราชิกถึง 3. อกี -สนิ -ละ-ปะ-สาด-มี จะ-ประ-กอบ-มะ-นนุ -ยะ-กาน อนยิ ต 2. ปาจิตตยี วาดวยสิกขาบทที่เกีย่ วกบั อาบตั เิ บา ต้งั แตนิสสคั คิยปาจติ ตียถึง 4. อกี -สิน-ละ-ปะ-สาด-มี จะ-ประ-กอบ-มะ-น-ุ ยะ-กาน เสขยิ ะ รวมตลอดทัง้ ภิกขนุ ีวภิ ังคท ั้งหมด 3. มหาวรรค วาดว ยสกิ ขาบทนอก วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ปาฏโิ มกขต อนตน 10 ขนั ธกะ หรือ 10 ตอน 4. จลุ วรรค วา ดว ยสกิ ขาบทนอก อกี -สิน-ปะ-สาด-มี จะ-ประ-กอบ-มะ-นุน-กาน ปาฏิโมกขตอนปลาย 12 ขันธกะ 5. ปรวิ าร คัมภรี ป ระกอบหรือคูมอื บรรจุคาํ ถาม อา นถกู ตอ งตามฉนั ทลกั ษณอนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท 11 คําตอบสําหรับซอมความรพู ระวินัย ทัง้ นี้ พระไตรปฎ กมเี นื้อความทงั้ หมด 84,000 พระธรรมขันธ เปน พระวินยั ปฎ ก 21,000 พระธรรมขนั ธ 2 พทุ ธมามกะ หมายถงึ ผปู ระกาศตนวา พระพทุ ธเจา เปน พระบรมศาสดาของตน ผูประกาศตนวาเปนผูนบั ถอื พระพุทธศาสนา 200 ค่มู ือครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand สรรพส าระ 1. นกั เรียนรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี • นักเรียนคิดวา กลวธิ ีการสรรคําใหมคี วาม àªµÇ¹Ñ ÁËÒÇÔËÒà สอดคลอ งกบั ฉนั ทลกั ษณข องบทประพันธ สะทอ นลักษณะทางวรรณศลิ ปท ป่ี รากฏใน เชตวันมหาวิหาร ต้ังอยู่ทางใต้ของแม่น้�า วรรณคดไี ทยอยางไร ราปติ (Rapti) หรอื แมน่ า�้ อจริ วดี นอกก�าแพงเมอื ง (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความ สาวัตถไี ปทางทิศใตป้ ระมาณ ๑ กิโลเมตร ถอื เป็น คิดเห็นไดอยา งหลากหลายข้ึนอยูกับเหตุผล พระอารามท่ีมีความส�าคัญมากท่ีสุดแห่งหน่ึงใน ของนักเรยี น เปน ตน วา กลวธิ กี ารสรรคาํ ให สมัยพทุ ธกาล เนื่องด้วยเป็นสถานทีท่ ่พี ระพทุ ธเจ้า มีความสอดคลองกับฉันทลกั ษณก อใหเกิด เสด็จมาประทับอย่างยาวนานถงึ ๑๙ พรรษา ความสมบรู ณท้ังดานเสียงและความหมาย โดยเฉพาะการเกดิ เสยี งเสนาะ ทง้ั จาก แต่เดิมเม่ืออนาถบิณฑิกเศรษฐีมองหา สัมผัสในและสัมผสั นอก ตลอดจนเสยี ง สถานทที่ จ่ี ะสรา้ งพระอารามเพอ่ื ถวายเปน็ ทป่ี ระทบั หนกั เบาของคาํ ครุ คําลหุ นอกจากนี้ ของพระพุทธเจ้าท่ีเมืองสาวัตถี ได้พบสวนของ ลักษณะคาํ ประพันธยงั เปนตัวกําหนดจังหวะ เจ้าเชตซ่ึงเป็นท�าเลที่เหมาะสมจึงขอเจรจาซ้ือ แต่ มลู คนั ธกฎุ ี สถานทป่ี ระทบั ของพระพทุ ธเจา ทเ่ี ชตวนั มหาวหิ าร ของเสียงสัมผสั ท่สี รา งอารมณความรสู กึ ของ เจ้าเชตไม่อยากขาย จึงโก่งราคาด้วยการขอให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีน�ากหาปณะ (มาตราเงินในสมัย ผฟู ง หรือผูอาน ใหเกดิ ความไพเราะและ โบราณ ๑ กหาปณะ เท่ากบั ๒๐ มาสก หรอื ๔ บาท) มาปใู หเ้ ตม็ พื้นท่ี จงึ จะเทา่ กบั ราคาของสวนนี้ สามารถรับรสอารมณใ นบทกวีไดเ ปน อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงสั่งให้บริวารขนกหาปณะจากคลังมาปูที่พื้นทันที เม่ือปูได้คร่ึงหนึ่งของเน้ือที่ อยางดี กลา วไดวา เปนการแสดงถงึ ซงึ่ ทา� ใหห้ มดเงินไปจา� นวน ๑๘ โกฏิ (๑ โกฏิ เทา่ กับ ๑๐ ล้าน) เจา้ เชตจึงสง่ั ใหห้ ยดุ พรอ้ มกับบอกขาย ธรรมชาตขิ องวรรณคดีไทยทเ่ี นนเสียงสมั ผัส สวนด้วยราคาเท่าน้ี ส่วนที่เหลือ เจ้าเชตจะขอมีส่วนด้วย ท้ังสองจึงร่วมกันสร้างพระอารามแห่งน้ีจน และการนําคาํ จากภาษาบาลีสันสกฤตมาใช สา� เร็จและตง้ั ชอ่ื ว่า “เชตวัน” ซึ่งมีความหมายว่า สวนของเจ้าเชต เพอ่ื เปน็ อนุสรณ์แดเ่ จา้ ของสวน นอกจากจะแสดงศักดข์ิ องคาํ แลว ยังแสดง ความแตกตา งจากลกั ษณะของภาษาไทยที่ ปัจจุบันเชตวันมหาวิหารเหลือเพียงซากโบราณสถาน ที่ได้รับการบูรณะจากทางราชการ เปน ภาษาคําโดด) อินเดียเป็นอย่างดี จึงท�าให้มีผู้เดินทางมาจาริกแสวงบุญเป็นประจ�า ซึ่งสถานที่ส�าคัญที่พุทธศาสนกิ ชน 2. นักเรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด นยิ มไปนมสั การ ไดแ้ ก่ มลู คนั ธกฎุ ี หรอื สถานทป่ี ระทบั 1จา� พรรษาของพระพทุ ธเจา้ อานนั 2ทโพธ์ิ ซ่ึงเป็น ต้นโพธิ์ที่ปลูกโดยพระอานนท์ในสมัยพุทธกาล หมูกุฏิพระสาวก เช่น กุฏิพระสารีบุตร พระอานนท์ พระองคลุ มิ าล และพระสีวลี เปน็ ตน้ ตรวจสอบผล Evaluate ซากพทุ ธสถานในบรเิ วณเชตวนั มหาวหิ าร กฏุ พิ ระสวี ลที เ่ี ชตวนั มหาวหิ าร 1. นกั เรยี นเขียนตารางเปรียบเทียบกลวธิ กี าร แผลงคํา พรอมบอกความหมายได 201 2. นักเรยี นสรุปสาระสาํ คญั เก่ียวกับกลวธิ ีทาง วรรณศลิ ปเชอ่ื มโยงกับฉนั ทลักษณไ ด 3. นักเรียนสามารถเชอ่ื มโยงกลวธิ ีการใชภาษา กบั ลักษณะทางวรรณศิลปของวรรณคดีไทยได ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู “อกี หน่ึงวินยั อนั นรเรียนและเช่ียวชาญ” 1 กุฏิ เรือนหรือตึกสําหรบั พระภิกษสุ ามเณรอยู คําทีข่ ดี เสนใตออกเสยี งไดก่ีพยางคจึงมีความถกู ตอ งตามฉนั ทลักษณ 2 พระสารีบุตร เปนอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจา ไดรับการยกยอ งจาก 1. จํานวน 1 พยางค พระพุทธเจาวาเปน เลศิ กวาพระสงฆท ้ังปวงในดานสตปิ ญญา นอกจากนี้ 2. จาํ นวน 2 พยางค พระสารีบุตรยังมีคุณธรรมในดานความกตัญู และการบาํ เพญ็ ประโยชน จงึ มี 3. จํานวน 3 พยางค คํายกยองภกิ ษุรูปน้ีวาเปน “ธรรมเสนาบด”ี คูกับพระพุทธเจา ทเี่ ปน “ธรรมราชา” 4. จาํ นวน 4 พยางค พระสารีบตุ รเกิดเม่ือใดไมปรากฏ แตนิพพานเมอ่ื วนั ขนึ้ 15 คํ่า เดือนกฤติกา (เดือนสบิ สอง) กอนพระพุทธเจา พระสารบี ุตร เปนพระอัครสาวกเบื้องขวา คูกบั วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. จาํ นวน 3 พยางค อา นวา นะ-ระ-เรียน พระมหาโมคคลั ลานะ ผูเปนพระอคั รสาวกเบ้อื งซาย จงึ ถกู ตองตามฉันทลักษณอนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท 11 คมู ือครู 201
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครสู นทนาซักถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ ๗ . บทวิเครำะห์ • นกั เรียนคิดวา การนาํ หลกั มงคลสตู รไป ๗.๑ คณุ ค่ำดำ้ นเน้ือหำ ปฏบิ ตั จิ ะกอ ใหเ กดิ ผลดีหรอื ไม อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได มงคลสูตรค�ำฉันท์ เป็นวรรณคดีท่ีมีเน้ือหำเป็นค�ำสอนทำงพระพุทธศำสนำ ว่ำด้วย อยา งหลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตผุ ลของนกั เรยี น) เรอื่ งของ มงคล ๓๘ ประการ ซงึ่ เปน็ คำ� สอนทสี่ ำมำรถพสิ จู น์ใหเ้ หน็ จรงิ ได ้ โดยเนน้ ท ่ี “กำรปฏบิ ตั ิ ดว้ ยตนเอง” เปน็ ลำ� ดบั จำกงำ่ ยไปยำก และถำ้ หำกปฏบิ ตั ไิ ดแ้ ลว้ จะทำ� ใหช้ วี ติ มแี ตค่ วำมกำ้ วหนำ้ สา� รวจคน้ หา Explore และผำสกุ โดยไมต่ อ้ งอำศยั ปจั จยั ใดๆ ภำยนอก เนอื่ งจำกกำรปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเองยอ่ มมอบควำมเปน็ มงคลท่ีแท้จริงให้แก่ชีวิต ซ่ึงนอกจำกจะน�ำพำชีวิตของแต่ละคนไปในทำงที่เจริญแล้ว ยังพลอย นกั เรียนทบทวนความรูเดิมในสมดุ และศึกษา ทำ� ใหส้ งั คมโดยรวมสงบสขุ และเจรญิ กำ้ วหนำ้ ตำมไปดว้ ย คุณคาดานเนอื้ หา คณุ คา ดา นวรรณศิลป และ นอกจำกน้ีค�ำสอนในมงคล ๓๘ ประกำร ยังเป็นแนวทำงท่ีทุกคนสำมำรถปฏิบัติได ้ คณุ คาดา นสงั คม ด้วยมีควำมสอดคล้องกับกำรด�ำเนินชีวิตในทุกช่วงวัย โดยเริ่มต้นจำกระดับพื้นฐำนท่ีส�ำคัญ คือ การคบคน ดงั ควำมทวี่ ำ่ อธบิ ายความรู้ Explain 1. นักเรยี นรว มกนั พิจารณาบทประพนั ธและ (๑) อเสวนา จ พาลานํ ปณฑฺ ิตานญฺจ เสวนา ตอบคาํ ถามในประเด็น ตอ ไปน้ี ปชู า จ ปชู นยี าน ํ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ มํ “ความไดสดบั มาก และกําหนดสุวาที หนึง่ คอื บ ่ คบพำล เพรำะจะพำประพฤตผิ ิด อกี ศลิ ปศาสตรมี จะประกอบมนุญการ หน่ึงคบกะบณั ฑติ เพรำะจะพำประสบผล อีกหน่ึงวนิ ัยอนั นรเรยี นและเช่ยี วชาญ หนึง่ กรำบและบชู ำ อภิบูชนียช์ น อีกคาํ เพราะบรรสาน ฤดิแหงประชาชน” ขอ้ นี้แหละมงคล อดเิ รกอดุ มดี • นักเรยี นบอกความหมายจากบทประพนั ธ พรอ มทั้งชีใ้ หเ หน็ ประโยชนข องการประพฤติ ตามมงคลดังกลาว ค�ำประพันธ์บทนี้กล่ำวถึงมงคลประกำรท่ี ๑ ถึง ๓ ซึ่งเป็นข้อแนะน�ำเก่ียวกับ (แนวตอบ บทประพนั ธกลาวถงึ ความเปน กำรคบคนหรือกำรมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่อยู่รอบข้ำงหรือที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ต้ังแต่กำรให ้ พหูสูต รอบรใู นศลิ ปวทิ ยาการ มวี นิ ยั กลาว หลีกเล่ียงจำกคนพำล กำรสมำคมกับคนดี และกำรมีสัมมำคำรวะต่อบุคคลที่พึงเคำรพ ซึ่งล้วน วาจาสุภาษติ ซึง่ เอ้ือตอการศกึ ษาเรยี นรูของ แต่เป็นพน้ื ฐำนทสี่ �ำคัญส�ำหรับทุกคน เนอ่ื งจำกกำรทเ่ี รำคบคนเชน่ ใด โอกำสทีจ่ ะท�ำใหก้ ลำยเป็น นกั เรยี น) คนเช่นนั้นหรือมีพฤติกรรมท่ีคล้ำยคลึงกัน ย่อมเป็นไปได้มำก และนอกจำกกำรรู้จักเลือกคบ • นกั เรยี นคดิ วา วธิ กี ารลาํ ดบั เรอ่ื งใน บทประพนั ธ คนแล้ว กำรมีสัมมำคำรวะหรือกำรรู้จักเคำรพนบนอบต่อบุคคลที่ควรบูชำหรือท่ีควรนับถือ ย่อม เออ้ื ตอ การปฏิบตั ิหรือไม อยางไร ท�ำให้เรำเป็นท่ีรักใคร่เอ็นดูของบุคคลท่ัวไป และยังได้รับควำมเมตตำหรือค�ำแนะน�ำท่ีดีและที่เป็น (แนวตอบ การลาํ ดบั เรื่องเปน หมวดหมู ประโยชน์ต่อชีวิตอกี ดว้ ย สามารถปฏบิ ัติรวมกันเพ่อื ฝก ฝนตนเองได และเปนหลักปฏิบตั ิทมี่ คี วามสอดคลอ งกบั ชวงวัย) 202 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT “นิมิตตฺ ํ สาธุรปู านํ กตตฺกู ตเวทติ า” หมายถึง ความกตัญูกตเวที ครคู วรเนน การทบทวนความรูเดมิ ของนกั เรยี นเปน หลัก โดยเฉพาะอยา งย่ิง เปนเคร่ืองหมายของคนดี พุทธศาสนสภุ าษิตบทนม้ี คี วามสอดคลอ งกับหลกั ความรูดา นเน้ือหาทีป่ รากฏในวรรณคดเี ร่ืองน้ี เนื่องจากเนอื้ หาท่ไี ดจากการปฏบิ ตั ิ มงคลสูตรขอ ใด กิจกรรมจะสามารถนํามาเช่อื มโยงเปน ขอ มูลพ้ืนฐาน ในการจดั กจิ กรรมการเรียน 1. มาตาปตุอุปฏ านํ การสอนโดยเนนใหนกั เรยี นไดแสดงความคดิ เหน็ ทม่ี ีตอบทประพนั ธหรือวรรณคดี 2. สนตฺ ุฏี จ กตฺ ุตา ทีน่ กั เรียนอาน จากนัน้ จึงรว มกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอยา งหลากหลายเต็มท่ี 3. ปตุ ฺตทารสฺส สงคฺ โห ชวยสงเสรมิ ใหนกั เรียนมีลักษณะนสิ ัยเปด กวา งในการรบั ฟงความคดิ เหน็ ของผอู ื่น 4. ญาตทานฺจ สงฺคโห นอกจากน้ี นักเรยี นยงั สามารถนํากรอบวิธีคิดหรอื วธิ กี ารวิจกั ษว รรณคดี ประกอบ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. สนฺตฏุ ิ จ กตฺุตา หมายถงึ มคี วาม ดว ยกระบวนการในการวเิ คราะหขอ มลู สกู ระบวนการสงั เคราะหองคค วามรจู าก กตญั กู ตเวทสี อดคลองกับพระพุทธศาสนสภุ าษิตขางตน การศกึ ษามาเปนองคความรูของนกั เรียนเอง นกั เรียนจึงสามารถนําความรูค วาม เขาใจดังกลา วไปประยุกตใชใ นชวี ิตได 202 ค่มู ือครู
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ นอกจำกมงคลสูตรค�ำฉันท์จะมีกำรแปลและเรียบเรียงเน้ือควำมจำกคำถำภำษำบำลี 1. นกั เรียนรวมกนั ตอบคําถาม ตอ ไปนี้ แล้ว พระบำทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้ำเจำ้ อยู่หัวยังทรงอธิบำยขยำยควำมมงคลในแต่ละขอ้ เพิม่ เตมิ • นกั เรยี นคดิ วา หลักมงคลสตู รท่นี ักเรยี น เพอ่ื ให้เข้ำใจควำมหมำยไดอ้ ยำ่ งชดั เจน เช่น ในคำถำที่ ๗ กลำ่ วถึงมงคลขอ้ ท ่ี ๒๒ คือ มีความ ยกมาสามารถแกปญ หาไดครอบคลมุ เคารพ พระบำทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้ำเจ้ำอยู่หวั ไดท้ รงอธบิ ำยให้ชดั เจนข้นึ วำ่ ควรมีควำมเคำรพ ทกุ ปญหาหรือไม อยางไร ผ้ใู ด และในมงคลข้อที่ ๒๔ มคี วามสันโดษ ไดท้ รงอธิบำยเพ่ิมเติมว่ำมีควำมหมำยอย่ำงไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถอภปิ รายไดหลาก- หลาย ทั้งการนาํ เสนอวา เปน วิธีการแกไ ข (๗) คารโว จ นิวาโต จ สนตฺ ฏุ ฐฺ ี จ กตญญฺ ุตา ปญหา หรอื นาํ เสนอวาเปนวิธีการปอ งกนั กาเลน ธมมฺ สสฺ วน ํ เอตมมฺ งฺคลมุตฺตมํ และควบคุมตนเอง) เคำรพ ณ ผู้ควร จะประณตและนอบศรี ์ • นักเรียนคดิ วา หลักมงคลสตู รเปน วิธีการ อกี หน่งึ มไิ ด้ม ี จะกระดำ้ งและจองหอง แกป ญหา หรอื เปน วธิ กี ารปอ งกันปญ หา ยินดี ณ ของตน บ่ มโิ ลภทะยำนปอง ที่จะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต อีกรู้คุณำของ ลนะรเผจ้ปู รริญะคคุณองำตนนนท1์ (แนวตอบ ตอบไดหลายแนวทาง เปนตนวา ฟังธรรมะโดยกำ- เปน การปอ งกนั ปญหา เนนการควบคมุ ขอ้ นแ้ี หละมงคล อดิเรกอุดมดี ตนเองเปนหลัก สงผลตอการประพฤติ ปฏิบตั ติ นท่มี คี วามเหมาะสม เกิดความ ส�ำหรับมงคลในบทอื่นๆ เป็นข้อแนะน�ำที่สอดคล้องไปตำมวัยและวุฒิภำวะ ตั้งแต่ กา วหนาในชวี ิตและสามารถดํารงชีวิตได กคำรรอปบฏคบิรัวัต ิตเนรทื่อี่เยปไน็ปมจนงคถลึงเวมัยอ่ืทอ่ีคยวู่ใรนลชะว่วงำวงยัจทำกีจ่ กะติจอ้กงรศรมกึ ษทำั้งเหลลำ่ ำเรยีย นเพวิชื่อำแ สเมวงอ่ื หมำหี สนัจ้ำธทรก่ีรมำ2รในงำบนั้น ปเมล่ือำมย ี อยา งผาสุก นอกจากน้ี ยังชว ยใหส ังคมมี ทขอ่แี งทช้จีวริติง คจอื น ทกำ้ำรยหทล่ีสุดุดพส้นำจมำำกรกถำลระเกวิเยี ลนสวอำ่ ันยใเนปว็นฏั เหสงตสุแำหร3่งซคึง่ วเปำมน็ อทุดุกมขค์ทต้ังิสปงูวสงดุเพขื่อองมพุ่งรสะู่คพวทุำมธศสำงสบนสำ4ุข ความสงบสขุ อีกดว ย) อย่ำงไรก็ตำม ไม่ว่ำจะอยู่ในช่วงวัยใด ย่อมสำมำรถน�ำมงคลแต่ละข้อไปปฏิบัติได ้ โดยใหม้ คี วำมเหมำะสมแก่กำลเทศะ กำ� ลังสติปัญญำ และควำมสำมำรถของแต่ละคน 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ๗.๒ คณุ คำ่ ด้ำนวรรณศิลป์ ขยายความเขา้ ใจ Expand เนือ้ ควำมในมงคลสตู รค�ำฉันท ์ แม้จะมีทมี่ ำจำกคำถำภำษำบำลีและมคี ำ� ศ5พั ท์ในทำง 1. นกั เรยี นหาขาวในส่ือสิง่ พิมพ จากน้นั นักเรียน พระพุทธศำสนำอยู่เป็นอันมำก แต่ก็เป็นค�ำท่ีเข้ำใจควำมหมำยได้ไม่ยำก เช่น โสตถิ ภควันต์ รวมกนั วิเคราะห อภิบชู นยี ์ชน เป็นต้น • นกั เรยี นคดิ วา พฤตกิ รรมหรอื หลกั การปฏบิ ตั ิ นอกจำกน้ีพระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัวยังทรงสำมำรถถ่ำยทอดและ ตนของบุคคลในขาวมีความสอดคลองกับ เรียบเรียงเน้ือควำมเป็นภำษำไทยได้อย่ำงเรียบง่ำย แต่มีควำมไพเรำะสละสลวย และสำมำรถ หลักมงคลสูตรหรือไม อยางไร พรอมบอก สือ่ ควำมหมำยไดอ้ ย่ำงชดั เจน ดังเชน่ วิธีการแกปญหาวา บุคคลในขาวควรปฏิบัติ ตามมงคลขอ ใดบา ง อยางไร 203 (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตวั อยา งขาว รวมถึงเหตกุ ารณตา งๆ ในชีวิตประจาํ วัน มาใชในการวิเคราะห พรอ มหาแนวทาง การแกป ญหาตามหลกั มงคลสตู รได) 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรียนควรรู “หากเลือกทีจ่ ะเดนิ .. ก็ตอ งกลาทจ่ี ะเผชิญกบั ความเหนอื่ ยลา เหง่ือไหล 1 คณุ านนท ความยนิ ดใี นคุณความดี มาจากคาํ วา คุณ+อานนท หรอื อานนั ท ปวดขาหรอื หยาดนาํ้ ตา ความเหวว า เดยี วดาย ยา งกรายเขา ปะปน ออ นแอไป ซึ่งคาํ วา “คุณา” มาจากคําวา “คณุ ” หมายถงึ ความดีที่มปี ระจําอยใู นส่งิ นน้ั ๆ ก็ไมถงึ จดุ หมาย เอาความทอปรบั กลายเปนหยาดเมด็ ฝน ตกบนพื้น ความเกื้อกูล อาทิ รูคณุ สว นคาํ วา “นนท” หมายถึง ความเพลิดเพลนิ , ความยินดี, ชุม หญา เปย กปอนผูคน ให. ..เพอ่ื ผา นพน ปกธงชนเสน ชัย” ความปลม้ื ใจ, มกั ใชเปนสวนทา ยของคาํ สมาส เชน จติ กานนท เปน ตน 2 สจั ธรรม ความจรงิ แท เชน บรรลุสจั ธรรม เขาถึงสัจธรรม เปนตน บทประพันธขางตนสอดคลอ งกับขอ ใด 3 วัฏสงสาร หรือสงสารวัฏ หรอื สงั สารวฏั หมายถงึ การเวยี นวา ยตายเกดิ 1. อีกหนง่ึ บ พงึ มี ฤดดิ ้ือทะนงหาญ 4 อุดมคตสิ งู สุดของพระพทุ ธศาสนา คอื การบรรลพุ ระนพิ พาน ซึง่ หมายถึง 2. มจี ติ ตะอดทน และสถิต ณ ขนั ตี ความดับสนทิ แหงกิเลสและกองทุกข หรอื ตาย (ใชแกพระอรหันต) (ภาษาบาลี 3. ยินดี ณ ของตน บ มโิ ลภทะยานปอง สันสกฤตใชว า นิรวฺ าณ) โบราณใชวา นิรพาณ กม็ ี (ปรากฏในจารกึ สยาม) 4. อกี หนึ่งมิไดมี จะกระดา งและจองหอง 5 โสตถิ ความสวสั ดี, ความเจริญรงุ เรือง, อาทิ เปน ประโยชน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. มจี ติ ตะอดทน และสถิต ณ ขันตี มีเนื้อหาสอดคลองกันโดยกลาวถงึ ความอดทน คู่มือครู 203
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นรว มกนั พจิ ารณาขอความ พรอม ตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี “บํารุงบิดามา- ตรุ ะดว ยหทยั ปรีย ครง้ั นั้นแลเทวดำ องค์หน่ึงมหำ- นภุ ำพมหิทธิฤ์ ทธี หากลูกและเมียมี กถ็ นอมประหนง่ึ ตน ล่วงประถมยำมรำตรี เธอเปล่งรัศมี การงานกระทําไป บ มยิ งุ และสบั สน อันเรอื งระยับจบั เนตร ขอ น้แี หละมงคล อดิเรกอุดมด”ี แสงกำยเธอปลัง่ ยังเขต สวนแห่งเจำ้ เชต • นักเรียนคดิ วา จากบทประพนั ธขางตน สว่ำงกระจ่ำงทั่วไป องค์พระภควนั ตน์ น้ั ไซร้ ประทับแหง่ ใด ประกอบดว ยมงคลกขี่ อ อะไรบา ง ก็เขำ้ ไปถงึ ท่ีน้นั (แนวตอบ ประกอบดวยมงคล 4 ขอ ไดแ ก ครั้นเข้ำใกล้แล้วจ่งึ พลัน ถวำยอภวิ นั ท์ บํารงุ บิดามารดา สงเคราะหบตุ ร ภรรยา และ แดอ่ งคส์ มเดจ็ ทศพล ทํางานไมค ง่ั คาง) แล้วยนื ทคี่ วรดำ� กล เสงี่ยมเจยี มตน • นักเรยี นคิดวา มงคลแตละขอมีความ แสดงเคำรพนบศรี ์ สอดคลอ งสัมพนั ธกนั หรอื ไม อยางไร (แนวตอบ สัมพนั ธดา นเนอ้ื หาสามารถใชเปน แนวทางปฏบิ ัตริ วมกันได) • นักเรยี นคิดวา มงคลสตู รคําฉนั ทตางๆใช ข้อควำมข้ำงต้นเป็นบทประพันธ์ที่มีถ้อยค�ำเรียบง่ำย แต่สำมำรถบรรยำยให้เห็นถึง มหทิ ธำนภุ ำพของสมเดจ็ พระสมั มำสมั พทุ ธเจำ้ ทยี่ งิ่ ใหญก่ วำ่ สง่ิ ใด แมแ้ ตเ่ ทวดำซงึ่ มฤี ทธแ์ิ ละมรี ศั มี กลวธิ ีการเรียบเรยี งอยา งไร และสอดคลอ ง เปล่งประกำยสว่ำงไสวไปท่ัวเชตวันมหำวิหำร ก็ยัง “ถวำยอภิวันท์” แด่ “สมเด็จทศพล” หรือ กบั เปา หมายหรอื วธิ กี ารสื่อสารหรอื ไม พระพทุ ธเจำ้ ดว้ ยควำม “เสงยี่ มเจยี มตน” อยางไร พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั ยงั ทรงเลอื กสรรถอ้ ยคำ� ไดส้ อดคลอ้ งกบั ลลี ำ (แนวตอบ กลวิธขี า งตนชว ยในการจัดกลุม จงั หวะของบทประพนั ธ ์ โดยเฉพำะฉนั ท ์ ซง่ึ มกี ฎเกณฑท์ สี่ ำ� คญั คอื เรอื่ งเสยี งหนกั -เบำของคำ� หรอื เนื้อหา และเนนยํ้าประเด็นใหเ ดนชัดขน้ึ ) คร-ุ ลห ุ ดว้ ยกำรซำ�้ คำ� เชน่ ซำ�้ คำ� วำ่ “อกี ” ทำ� ใหเ้ นอื้ ควำมของมงคลแตล่ ะขอ้ เดน่ ชดั และผอู้ ำ่ นสำมำรถ 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด ลำ� ดบั ควำมและเขำ้ ใจเนอ้ื หำของบทประพนั ธ์ในแตล่ ะวรรคไดเ้ ปน็ อยำ่ งดี ขยายความเขา้ ใจ Expand ตวั อยำ่ งกำรซำ�้ คำ� วำ่ “อกี ” 1. นกั เรียนรวมกนั อภิปรายในประเด็น ตอ ไปน้ี ควำมไดส้ ดบั มำก และกำ� หนดสุวำที • บทประพันธขา งตน มีความโดดเดน ดาน อกี ศิลปศำสตร์ม ี จะประกอบมนญุ กำร วรรณศิลปอยา งไร และสงผลตอ การดาํ เนนิ อีกหน่ึงวนิ ยั อัน นรเรยี นและเช่ยี วชำญ เรอ่ื งหรอื ไม อยางไร อีกคำ� เพรำะบรรสำน ฤดิแห่งประชำชน (แนวตอบ เปนตน วา มคี วามโดดเดนดา นการ ทัง้ สป่ี ระกำรล้วน จะประสทิ ธม์ิ นุญผล นําเสนอเนื้อหาอยา งแจม ชัดมลี าํ ดบั เหมาะสม ข้อนแ้ี หละมงคล อดิเรกอุดมดี กบั ลกั ษณะวรรณคดีคาํ สอน ชวยใหเ ขาใจ จดจาํ งาย และสามารถนาํ ไปปฏิบตั ิไดจรงิ 204 ดวยการเรยี งลาํ ดบั เนอื้ หาจากงา ยไปหายาก ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ เกร็ดแนะครู ครคู วรเพิ่มเติมความรูเก่ยี วกับวรรณคดคี าํ สอนวา การแบงประเภทวรรณคดี ขอ ใดตอไปนี้ ถอื เปน มงคลตามหลักมงคลสตู ร คําสอนเปน การแบงประเภทวรรณคดตี ามจุดมุง หมายในการแตง เพ่อื ใชวรรณคดี 1. แลวสอนวา อยา ไวใ จมนษุ ย มันแสนสดุ ลกึ ล้าํ เหลือกาํ หนด เปน เครือ่ งมือสอนความรูและแนวคดิ รวมถงึ ขอ ปฏบิ ตั ติ างๆ ดังปรากฏในวรรณคดี 2. เมอื่ พอแมแ กเฒาชรากาล จงเลย้ี งทา นอยาใหอดระทดใจ เรือ่ ง มงคลสตู รคาํ ฉันท ซึ่งนอกจากการจัดประเภทตามเนื้อหาทมี่ ีลักษณะเนื้อหา 3. เกดิ เปนหญงิ ใหเหน็ วา เปน หญงิ อยาทอดทิง้ กริยาอชั ฌาสยั เปน วรรณคดศี าสนาแลว ยังมจี ุดมงุ หมายในการสั่งสอนศลี ธรรม ตลอดจนแนวทาง 4. ใหก าํ หนดจดจําแตคําชอบ ผดิ ระบอบแบบกระบวนอยาควรถอื การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นในการดาํ เนนิ ชวี ติ ของคนในสงั คม โดยเริ่มตน จากการปฏิบตั ิ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ดว ยตนเองกอ นเปน อนั ดบั แรก การพจิ ารณาคณุ คา ทางวรรณศลิ ปท ่ีปรากฏใน วรรณคดคี าํ สอนจงึ ตอ งพิจารณาเน้อื หาวา มคี วามสอดคลอ งกบั กลวธิ กี ารนําเสนอ เมอ่ื พอ แมแกเฒาชรากาล จงเล้ยี งทา นอยา ใหอ ดระทดใจ หรือไมมากนอยเพียงใด และมีลักษณะอยางไร เพ่ือใหนกั เรียนสามารถวิเคราะห สอดคลอ งกบั มงคลสูตรขอท่ี 25 มคี วามกตญั ู วิธกี าร และนําองคค วามรูด งั กลาวมาประยุกตใ ชในการพจิ ารณาบทประพันธ รวมถึงการแตง บทประพนั ธไ ด 204 คมู่ อื ครู
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นรว มกันตอบคาํ ถาม ตอ ไปนี้ ๗.๓ คณุ ค่ำดำ้ นสังคม • นกั เรียนคิดวา มงคลสูตรคาํ ฉันทม คี ณุ คา ดา นสงั คมอยา งไร มงคลสูตรค�ำฉันท์ เป็นวรรณคดีท่ีมีท่ีมำจำก “มงคลสูตร” ซึ่งเป็นค�ำสอนในทำง (แนวตอบ ชว ยใหพ ทุ ธศาสนกิ ชนทีน่ าํ หลกั พระพทุ ธศำสนำทที่ กุ คนโดยเฉพำะพทุ ธศำสนกิ ชน เมอื่ ไดน้ ำ� ไปปฏบิ ตั แิ ลว้ ยอ่ มจะทำ� ใหช้ วี ติ ประสบ ธรรมไปปฏิบัติประสบกับความสุขอยา ง กบั “มงคล” หรอื ควำมสขุ อยำ่ งแทจ้ รงิ เนอ่ื งจำกแนวทำงตำ่ งๆ ทปี่ รำกฏอยู่ในมงคลสตู รทงั้ ๓๘ แทจริง เนอ่ื งจากมงคลสูตรทัง้ 38 ประการ ประกำร เนน้ ไปที่กำรน�ำไปปฏิบัติให้บงั เกิดผลเปน็ รปู ธรรมด้วยตนเองเป็นสำ� คัญ นอกจำกนีห้ ำก เนนการปฏบิ ัตดิ ว ยตนเองเปน หลัก และเปน ทุกคนได้ยึดถือเป็นแนวทำงในกำรด�ำเนินชีวิตอย่ำงเหมำะสม ย่อมส่งผลให้สังคมเจริญก้ำวหน้ำ แนวทางที่เหมาะสมกับการดาํ เนนิ ชวี ติ ตำมไปดว้ ย การปฏบิ ัติตามหลักมงคลสูตรยอ มสงผล ใหต นเองและสังคมเจรญิ กา วหนา และ มงคลสูตรค�ำฉันท์ กล่ำวถึง มงคล ๓๘ ประกำร อันเป็นมงคลสูงสุดท่ีน�ำไปสู่ สง ผลตอ ความสงบสขุ ในสังคมอีกดว ย) ควำมเจริญและเพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต ด้วยพระปรีชำสำมำรถด้ำนกำรประพันธ์ของ พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัวที่น�ำเสนอได้อย่ำงกระจ่ำงชัด เข้ำใจง่ำย มีควำม 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด ไพเรำะงดงำม ท�ำให้สะดวกต่อกำรท�ำควำมเข้ำใจของเยำวชนที่ยังไม่เคยศึกษำธรรมะมำก่อน มงคลสูตรค�ำฉันท์จึงนับเป็นผลงำนพระรำชนิพนธ์ท่ีมีคุณค่ำอย่ำงยิ่งต่อสังคมไทย และยังแสดง ขยายความเขา้ ใจ Expand ใสหิ่งใ้เหด็นมขำก้อ�ำคหิดนทดี่เปโช็นคจชริงะแตลำะหสรำือมหำลรงถงพมิสงำูจยนไ์ไปดก้ดับ้ววยัตกถำุมรปงคฏลิบหัตริ ือคขืออ งขกลำ1ังร สั่งซสึ่งมเปค็นวำปมัจดจีมัยภิใชำย่รนอใอหก ้ 1. นักเรยี นรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ตอไปนี้ หำกแต่อยู่ทกี่ ำรประพฤตปิ ฏบิ ัติตนของบคุ คลผูน้ ้นั เองทัง้ ส้นิ • นักเรยี นยกตัวอยางมงคลสตู รที่มีคุณคา ดา นสังคม มาคนละ 1 ตวั อยา ง พรอมบอก อานสิ งสจ ากการปฏบิ ตั ิ (แนวตอบ เปน ตน วา “ยินดี ณ ของตน บ มิโลภทะยานปอง” คือ ยนิ ดใี นสิง่ ท่ีเปน ของตนและไมโลภอยากไดของผูอืน่ ) • นกั เรยี นคดิ วา มงคลสตู รท่นี ักเรียนยกมา ขางตนมีคุณคาตอตัวนกั เรยี นอยา งไร (แนวตอบ รูจกั พอใจในสง่ิ ทีต่ นมี เห็นคุณคา ของตนเอง เรียนรทู ี่จะปลอยวาง ไมย ึดติด กบั วตั ถสุ ิ่งของภายนอก) • นักเรยี นคิดวา มงคลสูตรทน่ี ักเรยี นยกมา ขา งตน มคี ุณคาตอบคุ คลอ่นื และสงั คม ปจจบุ นั อยา งไร (แนวตอบ รูจักพอใจในส่งิ ทเ่ี ปน ของตน ไมเ บยี ดเบยี นหรอื แยงชงิ สมบตั ผิ อู น่ื ชว ยให 205 คนในสงั คมไทยไมเ หน็ แกตัว และอยูรว มกัน ไดอยา งผาสุก) 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรยี นควรรู จากหลกั มงคลสตู รขอ ใดสะทอ นคานยิ มทีแ่ ตกตางไปจากขอ อน่ื 1 ของขลัง หมายถงึ ของทีม่ ีอาํ นาจศักดิ์สทิ ธิ์ทเี่ ชอื่ กันวาอาจบันดาลใหสําเรจ็ ได 1. อกี สงเคราะหญาติท่ี ปฏิบัติบาํ เรอตน ดังประสงค 2. อีกรูคุณาของ นรผูประคองตน 3. บํารุงบิดามา- ตรุ ะดวยหทยั ปรีด์ิ 4. ใหทาน ณ กาลควร และประพฤติสุธรรมศรี เบศูรณรากษารฐกิจพอเพียง วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 3-4 คน ศกึ ษาหลกั คาํ สอนในมงคล 38 ประการ จาก น้ันรวมกันอภิปรายวา หลักคําสอนดังกลาวมีสวนชวยใหผูปฏิบัติมีความสุขท่ียั่งยืน ใหท าน ณ กาลควร และประพฤตสิ ุธรรมศรี รวมถึงมีภูมคิ มุ กนั ทดี่ ใี นชวี ิตในดา นใด และอยา งไรบาง สะทอนคา นิยมเกี่ยวกับการใหทาน สว นขอ อื่นสะทอนคานิยมเกีย่ วกับ ความกตญั ูกตเวทีตอผมู พี ระคณุ จากนั้นใหน ักเรียนรวมกันสรปุ และครชู แี้ นะเพมิ่ เตมิ วา หลักคําสอนเหลา น้ีเปน แนวทางทค่ี วรนาํ ไปปฏิบัติ เพื่อใหเ กดิ ความเจรญิ กาวหนา และความสขุ ที่แทจ ริง คมู่ อื ครู 205
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. นักเรยี นรว มกันพจิ ารณาขอความและ ปกณิ กะ พระอำนนท์เถระ1 ตอบคาํ ถามในประเดน็ ตอไปนี้ “การสั่งสมความดีมใิ ชรอสิง่ ใดมากาํ หนด พระอานนท์เถระ เป็นพระมหาสาวก โชคชะตาหรอื หลงงมงายไปกบั วตั ถุมงคลหรือ ของขลัง ซง่ึ เปน ปจ จยั ภายนอก หากแตอยูท่ี รูปหนึ่งในอสีติมหาสาวก ท่านเป็นพระโอรสใน การประพฤตปิ ฏิบตั ติ นของบุคคลผนู ัน้ เอง ท้ังส้ิน” พระเจา้ สกุ โกทนะและพระนางกีสาโคตมี ได้เสด็จ • นักเรยี นเหน็ ดว ยกบั คาํ กลา วขางตน หรือไม ออกผ2นวชตามพระพุทธเจ้าพร้อมกับเจ้าชาย อยา งไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดห ลาย ศากยะทงั้ หลาย หลงั จากทา่ นอปุ สมบทแล้วได้ฟัง แนวทางท้งั ท่ีเหน็ ดว ยและไมเห็นดว ย โดย ครพู ยายามปรบั ความคิดของนักเรยี นใหม ี โอวาททพ่ี ระปณุ ณมนั ตานปี ตุ รเถระกลา่ วสอน จงึ ความเห็นดว ยกบั ขอความขางตน เน่อื งจาก มงคลของชีวิต ท่นี ักเรียนศกึ ษาจากเรื่อง สา� เรจ็ พระโสดาปัตติผล และส�าเร็จพระอรหัตผล มงคลสตู รคําฉนั ท กลาวถงึ “มงคล” วา หลังพุทธป3รินิพานก่อนการท�าปฐมสังคายนา หมายถงึ ความเจรญิ กา วหนาชวี ติ ขน้ึ อยูกับ การประพฤตปิ ฏบิ ัตขิ องบคุ คลเปน ผกู าํ หนด พระไตรปฎิ ก แนวทางของชีวิตดว ยตนเอง ไมไ ดขึน้ อยกู ับ อํานาจสิง่ ศกั ดิ์สทิ ธ์ิ หากมนษุ ยเรยี นรูทจ่ี ะ พระอานนท์ได้รับเลือกจากคณะสงฆ์ให้ พ่งึ พาตนเอง การงานทุกอยางกจ็ ะสาํ เร็จ และ ชวยพฒั นาศกั ยภาพของตนเองไดเปน อยา งด)ี ท�าหน้าที่เป็นผู้อุปัฏฐากประจ�าองค์พระพุทธเจ้า กฏุ พิ ระอำนนท ์ ใกลม้ ลู คนั ธกฎุ ซี งึ่ เปน็ ทปี่ ระทบั ของ แต่ก่อนท่ีท่านจะรับหน้าท่ีพุทธอุปัฏฐากน้ันได้ทูล พระพทุ ธเจ้ำ บนยอดเขำคชิ ฌกฏู เมอื งรำชคฤห์ 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอพร ๘ ประการจากพระพทุ ธเจ้า ดงั ต่อไปนี้ 3. นกั เรยี นเขยี นเรยี งความเปรยี บเทยี บความหมาย ๑. อยา่ ประทานจีวรอันประณีตแก่ข้าพระองค์ ของคาํ วา “มงคล” ทีป่ รากฏในวรรณคดีเรือ่ ง ๒. อยา่ ประทานบณิ ฑบาตอนั ประณีตแก่ขา้ พระองค์ มงคลสตู รคําฉนั ทก ับความหมายของคําวา “มงคล” ท่ปี รากฏทว่ั ไปวา มคี วามแตกตางกัน ๓. อย่าโปรดให้ขา้ พระองค์อย่ใู นทีป่ ระทบั ของพระองค์ หรอื ไม อยางไร โดยนกั เรยี นสามารถอภิปราย ไดอ ยางหลากหลาย ในประเดน็ เกยี่ วกบั ความ ๔. อย่าทรงพาขา้ พระองค์ไปในที่นมิ นต์ เช่อื ในส่ิงศักดสิ์ ทิ ธ์ดิ ลบันดาลหรอื คุม ครอง ซึง่ เปนความเชื่อของคนสว นใหญใ นสงั คมไทย แต ๕. ขอพระองค์จงเสด็จไปสู่ทีน่ ิมนตท์ ขี่ ้าพระองคร์ ับเขาไว้ หลักมงคลสูตรสอนใหเ ชอ่ื ในการประพฤตแิ ละ ปฏิบัติของตนเอง สง ผลตอ การพฒั นาตนเอง ๖. ขอใหข้ า้ พระองคไ์ ดพ้ าพทุ ธบรษิ ทั ซงึ่ มาแตท่ ไ่ี กลเขา้ เฝา้ พระองคใ์ นขณะทม่ี าไดท้ นั ที เปน หลัก ชว ยใหช ีวิตมคี วามเจริญกา วหนา ดวยการประพฤตอิ ยางมีสติปญ ญา ๗. ถา้ ข้าพระองค์เกดิ ความสงสยั ขึ้นเมือ่ ใด ขอใหเ้ ขา้ เฝ้าทูลถามพระองคไ์ ดเ้ ม่อื นัน้ ๘. ถ้าพระองค์ทรงแสดงธรรมเร่อื งใดในท่ีลับหลังข้าพระองค์ ขอพระองค์มาตรัสบอกธรรม เทศนาเร่อื งน้นั แก่ข้าพระองค์ พระอานนทไ์ ดเ้ ปน็ ผอู้ ปุ ฏั ฐากประจา� พระพทุ ธองคต์ งั้ แตก่ าลนนั้ เปน็ ตน้ มา ทา่ นเปน็ ผมู้ สี ตปิ ญั ญา ทรงจา� พระธรรมวนิ ยั ไดด้ ี เฝา้ อปุ ฏั ฐากโดยเออื้ เฟอ้ื และมคี วามจงรกั ภักดใี นพระพุทธเจา้ อยา่ งย่ิง กฏุ ขิ องพระอำนนทท์ เ่ี ชตวนั มหำวหิ ำร เมอื งสำวัตถี อำนนั ทโพธ ์ิ เปน็ ตน้ โพธทิ์ เ่ี ชอื่ กนั วำ่ พระอำนนทไ์ ด้ ปลกู ไวท้ เี่ ชตวนั มหำวหิ ำร 206 นกั เรียนควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอใดแสดงอานสิ งสข องการปฏิบัตมิ งคลสตู ร 1 เถระ หรือเถร พระผใู หญ ตามพระวนิ ัยกําหนดวา พระมีพรรษา 1. จิตใครผิไดตอ ง วรโลกธรรมศรี 2 ศากยะ ช่อื กษัตรยิ พ วกหน่ึง ซงึ่ สืบเชื้อสายมาจากพระเจาโอกากราช ซง่ึ เปน แลว ยอม บ พงึ มี จะประหวั่นฤกงั วล ผสู รางและครองกรงุ กบลิ พัสดุ พระพทุ ธเจาก็เปน กษตั รยิ วงศน ี้ 2. เห็นแจง ณ สอี่ งค พระอรยิ สัจอัน 3 ปฐมสงั คายนาพระไตรปฏ ก การประชุมชาํ ระพระไตรปฏกครง้ั แรก มาจาก อาจนํามนษุ ยผนั ตริ ขามทะเลวน คาํ วา “สงั คายนา” (บาลี: สํคายนา) หมายถึง การซกั ซอม การสวดพรอมกันและ 3. ไรโ ศกธลุ สี ูญ และสบาย บ มวั มล เปนแบบเดยี วกัน หรือการประชมุ ตรวจชําระสอบทานและจัดหมวดหมูคาํ สั่งสอน ขอนแี้ หละมงคล อดเิ รกอุดมดี ของพระพุทธเจา วางลงเปนแบบแผนอันหนง่ึ อนั เดยี วกัน มวี ธิ กี าร คือ นาํ หลกั 4. เปน ผปู ระเสริฐท่ี บม ิแพ ณ แหง หน คําสอนที่จดจําไวมาแสดงในท่ปี ระชมุ พระสงฆ จากน้ันจึงซักถามกัน จนกระทง่ั ที่ ยอมถงึ สวสั ดี สิริทุกประการดล ประชมุ ลงมติ แลวใหสวดขน้ึ พรอมกันถอื เปน การลงมติเปน เอกฉันท วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. 206 คู่มือครู เปนผูประเสริฐท่ี บม แิ พ ณ แหง หน ยอมถงึ สวัสดี สิริทุกประการดล กลา วถึงผลอันเกิดจากการปฏิบตั ิตามหลักมงคลสตู ร จะกลายเปน ผูประเสรฐิ มคี วามสุขสวัสดเี ปนสิริมงคลทกุ ประการ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate ค�าถามประจา� หนว่ ยการเรยี นรู้ 1. นกั เรียนสรุปสาระสําคญั ดา นวรรณศิลป ทัง้ ในดานเน้อื หา ภาษาและรปู แบบจากวรรณคดี ๑. ตำมหลักพระพทุ ธศำสนำ ค�ำว่ำ “มงคล” มีควำมหมำยวำ่ อะไร เรอื่ ง มงคลสูตรคาํ ฉนั ทได ๒. นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่กับค�ำกล่ำวท่ีว่ำ “มงคลสูตรเป็นค�ำสอนท่ียึดหลักเหตุผลและสำมำรถ 2. นักเรยี นยกตัวอยางขา วหรือเหตกุ ารณในชวี ติ พสิ จู น์ได้” ประจําวนั พรอ มนาํ หลักมงคลสตู รไปใชใ น ๓. มีมงคลก่ีข้อท่ีนักเรียนปฏิบัติประจ�ำอย่ำงสม�่ำเสมอ และเม่ือปฏิบัติแล้วมีประโยชน์ส�ำหรับ การวเิ คราะหและแกปญ หาได ตวั นกั เรยี นอย่ำงไร 3. นักเรียนสรปุ สาระสําคัญดา นคณุ คาทางสงั คม ๔. อธิบำยควำมหมำยของมงคล ดงั ต่อไปนี ้ ด้วยส�ำนวนภำษำของนักเรียนเอง จากวรรณคดีเรื่อง มงคลสูตรคาํ ฉันทไ ด - ไม่ประมำทในธรรมท้งั หลำย - มีควำมสันโดษ 4. นกั เรียนนําขอ คดิ ท่ีไดจากวรรณคดเี รอื่ ง มงคล - มจี ติ ไม่หว่ันไหว สูตรคําฉนั ทไปประยุกตใ ชในชีวิตประจาํ วันได ๕. เลือกมงคลข้อใดข้อหน่ึง แล้วอธิบำยให้เห็นจริงว่ำ มงคลข้อนั้นมีประโยชน์ต่อสถำนศึกษำ 5. นกั เรยี นสรุปสาระสาํ คญั จากวรรณคดีเรือ่ ง ของนกั เรยี นเองอยำ่ งไร มงคลสูตรคาํ ฉนั ท เปรยี บเทียบกบั คานยิ มใน สังคมปจ จุบนั ได 6. นักเรียนเขยี นเรียงความเปรยี บเทยี บคานยิ ม ของสังคมในปจจุบนั กับหลักธรรมจาก วรรณคดเี รอื่ ง มงคลสตู รคาํ ฉันทไ ด กจิ กรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้ หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ๑. แบ่งกลมุ่ แขง่ ขนั กนั รวบรวมสุภำษิต สำ� นวนไทย และพุทธศำสนสภุ ำษิตที่สอดคลอ้ งกับมงคล 1. ความเรยี งสรปุ สาระสาํ คัญดา นวรรณศิลป ท้ัง ๓๘ ประกำร ให้ไดม้ ำกทสี่ ุด ในดานเนื้อหา ภาษา และรปู แบบ ๒. แสดงบทบำทสมมติ เขียนบทละครพูด โดยเลือกมงคลข้อทนี่ กั เรียนสนใจเป็นพเิ ศษ ฝกึ ซ้อม 2. ความเรยี งวิเคราะหแ ละแกป ญ หาขา วหรอื และน�ำเสนอในช้ันเรยี น เหตกุ ารณใ นชวี ิตประจําวนั ดว ย หลักมงคลสตู ร ๓. เขียนเรยี งควำมหรอื นทิ ำน ๑ เรอื่ ง โดยใช้มงคลขอ้ ใดขอ้ หนึง่ เป็นหัวข้อ 3. ความเรียงสรปุ สาระสําคญั ดา นคุณคา 207 ทางสังคมจากเรอ่ื ง มงคลสูตรคาํ ฉนั ท 4. ความเรยี งนาํ เสนอขอคิดและแนวทาง การประยกุ ตใชหลกั ธรรม 5. ความเรยี งเปรยี บเทียบสาระสาํ คัญของ วรรณคดีกบั คานิยมในสงั คมปจ จบุ นั 6. เรยี งความเปรียบเทียบคานยิ มของสงั คมใน ปจจบุ ันกับสาระสําคญั ของวรรณคดีเร่ือง มงคลสูตรคําฉันท แนวตอบ คําถามประจําหนว ยการเรียนรู 1. มงคล หมายถึง เหตุทท่ี าํ ใหช วี ิตมีความสุขและมีความเจริญกาวหนา เนนการปฏบิ ัตดิ วยตนเองเปนหลัก ความเปน มงคลจึงข้ึนอยูกับปจจยั ภายในของตนเอง มไิ ดข้ึนอยกู ับปจ จยั ภายนอก เพราะการปฏิบตั ิดวยตนเองยอมมอบความเปนมงคลที่แทจริงแกช วี ติ 2. เห็นดวยกับคาํ กลาวทวี่ า มงคลสตู รเปนคําสอนท่ยี ึดหลักเหตผุ ลและสามารถพิสจู นใหเห็นจริงได เน่อื งจากหลักคาํ สอนทั้ง 38 ประการของมงคลสูตร เนน ท่กี าร ปฏิบัตดิ วยตนเองเปน ลาํ ดบั จากงา ยไปยาก เม่อื ปฏิบัตไิ ดเ ชนนีแ้ ลวจะชว ยใหช วี ติ พบแตค วามเจรญิ กา วหนา และสามารถดาํ รงชีวติ ไดอ ยา งผาสกุ นอกจาก ความเจรญิ ของชวี ติ ตนเองแลว ยังชวยใหส ังคมโดยรวมมีความเจริญกาวหนา ตามไปดวย 3. เปน ตนวา งดจากการทําบาปและเร่ืองอกศุ ล ไมเบยี ดเบียนผอู ืน่ รวมถงึ สตั วอื่น ชวยใหด ํารงชีวิตอยางสันตแิ ละสงบสขุ นอกจากนี้ ยังชวยขดั เกลาจิตใจใหออนโยน มเี มตตากรณุ าอีกดวย 4. ความหมายของมงคลมดี งั ตอไปน้ี 1) ไมประมาทในธรรมทงั้ หลาย คือ ยึดมัน่ และปฏบิ ัติตามหลักธรรม 2) มีความสนั โดษ คือ มีความพอในส่งิ ทเี่ ปน ของตน ไมโลภ อยากไดของผูอ่นื 3) มีจติ ไมหวัน่ ไหว คือ มจี ติ ท่ปี ราศจากเคร่ืองเศราหมอง รวมถงึ อารมณอ ่ืนใด 5. “อกี หนึ่งวนิ ัยอนั นรเรยี นและเชี่ยวชาญ” การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตามระเบียบวนิ ยั ของสถานศกึ ษา เปน การสรางความเปนระเบยี บและอยูร วมกันอยางผาสกุ เอ้ือตอ การศึกษาเรียนรแู ละการพัฒนาศักยภาพดา นอน่ื ๆ คู่มอื ครู 207
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore เปาหมายการเรียนรู 1. วิเคราะหวจิ ารณว รรณคดีเร่อื ง มหาชาติหรอื มหาเวสสนั ดรชาดก ตามหลกั การวจิ ารณเ บอ้ื งตน 2. วเิ คราะหล ักษณะเดน ของวรรณคดเี รอื่ ง มหาชาติหรือมหาเวสสันดรชาดก เชอื่ มโยงกบั การเรียนรูทางประวัติศาสตรแ ละวถิ ชี ีวติ ของ สังคมในอดตี 3. วิเคราะหแ ละประเมินคุณคาดานวรรณศลิ ปของ วรรณคดีเรอื่ ง มหาชาติหรอื มหาเวสสันดรชาดก ในฐานะที่เปนมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ 4. สังเคราะหขอ คิดจากวรรณคดเี ร่ือง มหาชาติ หรอื มหาเวสสันดรชาดก เพื่อนําไปประยุกตใช ในชีวิตจริง 5. รวบรวมวรรณกรรมพน้ื บา นและอธิบาย ภมู ปิ ญญาทางภาษา สมรรถนะของผูเรยี น มหาชาติ 1. ความสามารถในการส่อื สาร ø เปน ชาตทิ พ่ี ระโพธิสัตวไ ดเ สวย 2. ความสามารถในการคิด พระชาติเปนพระเวสสันดร กอนจะตรสั รู 3. ความสามารถในการใชทักษะชวี ติ เปนพระสัมมาสัมพทุ ธเจา คนไทยรูจ กั และ คุน เคยกับมหาชาตมิ าตง้ั แตส มัยสโุ ขทัย ตอมา คุณลักษณะอันพงึ ประสงค หนวยการเรียนรู้ท่ี ในสมัยอยุธยาก็ไดม ีการแตง และสวดมหาชาติ คาํ หลวงในวันธรรมสวนะ สว นการเทศนมหาชาติ 1. มวี ินยั เปน ประเพณที ส่ี าํ คัญในทกุ ทองถ่ิน โดยมคี วามเชอ่ื 2. ใฝเรยี นรู กันสบื มาวา การฟง เทศนม หาชาติจบภายในวันเดียว 3. ซอื่ สัตยสุจรติ 4. มงุ ม่ันในการทาํ งาน จะไดรับอานิสงสมาก มหาชาตหิ รอื มหาเวสสนั ดรชาดก ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๒, ๓, ๔, ๕ • การวเิ คราะห์และประเมนิ คุณคา่ วรรณคดแี ละวรรณกรรม เรอื่ ง มหาชาติหรือมหาเวสสนั ดรชาดก กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซกั ถามกระตุนความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี • นกั เรยี นรจู กั ประเพณกี ารเทศนมหาชาติ หรือไม วรรณคดที ใ่ี ชในการเทศนม หาชาตมิ ี เนอื้ หาอยา งไร เกรด็ แนะครู หนว ยการเรยี นรูนี้ ครูควรใหน กั เรียนไดท บทวนความรูเดิมเก่ียวกบั ประเพณี เทศนม หาชาตใิ นสังคมและวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะการเทศนม หาชาติในภมู ภิ าค ทนี่ กั เรียนอาศยั อยู ซึ่งมลี กั ษณะเฉพาะแตกตา งจากการเทศนมหาชาตใิ นภมู ภิ าค อนื่ ๆ โดยครสู ามารถชีแ้ นะใหนักเรยี นเหน็ วา ประเพณีการเทศนม หาชาติ นอกจาก จะปรากฏในภมู ภิ าคท่นี กั เรยี นอาศยั อยูแลว ยงั ปรากฏในภมู ภิ าคอ่ืนๆ ของ ประเทศไทย สะทอนใหเหน็ รากรวมวฒั นธรรมเดียวกนั จากขนบธรรมเนยี มประเพณี และวฒั นธรรมในสงั คมไทย 208 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ควำมเปน มำ ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี • นกั เรียนเคยเขารว มประเพณีการเทศน พุทธศาสนิกชนชาวไทยนับถือกันมาแต่ครั้งโบราณว่า มหาเวสสันดรเป็นชาดกท่ีส�าคัญ กวา่ ชาดกเรอ่ื งอน่ื เพราะวา่ ดว้ ยเรอื่ งราวทป่ี รากฏบารมขี องพระโพธสิ ตั วอ์ ยโู่ ดยบรบิ รู ณท์ ง้ั ๑๐ บารมี มหาชาตใิ นทองถ่ินของนกั เรยี นหรอื ไม และพทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยกน็ ยิ มฟงั เทศนม์ หาชาตกิ นั ตลอดมาตง้ั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ซงึ่ อาจจะ • นักเรยี นทราบหรอื ไมว า ประเพณกี ารเทศน เปน็ ดว้ ยเหตผุ ลส�าคัญ ๓ ประการ คือ มหาชาติ นอกจากจะปรากฏในภมู ิภาคของ ๑. เชอ่ื กนั วา่ มหาเวสสนั ดรชาดกเปน็ พระพทุ ธวจนะซงึ่ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ ทศนาแกพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ นกั เรยี นเองแลว ยังปรากฏในภมู ิภาคอื่นๆ ณ นโิ ครธารามมหาวหิ าร และการไดส้ ดบั พระพทุ ธวจนะทง้ั หลายยอ่ มเปน็ สริ มิ งคลแกต่ น อกี ดว ย • นกั เรียนคิดวา ประเพณีการเทศนม หาชาติ ๒. เชือ่ ในพระมาลยั สูตรว่า พระศรอี รยิ เมตไตรยเทพบุตรผจู้ ะไดต้ รัสรเู้ ป็นพระพุทธเจา้ ต่อ ท่ีปรากฏในทอ งถิ่นตางๆ สะทอ นใหเ หน็ จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ได้มีเทวโองการส่ังพระมาลัยเถระผู้มีบุญญาภินิหารอย่างย่ิงว่า ความสําคญั ของประเพณกี ารเทศนมหาชาติ ผู้ใดมีความปรารถนาใคร่พบพระศรีอาริยเมตไตรย (ซึ่งเช่ือกันว่าเป็นสมัยท่ีมีแต่ความสุขและ ทม่ี ีตอ สังคมและวัฒนธรรมไทยอยา งไร ความสมบูรณ์อย่างท่ีสุด) ให้บุคคลผู้น้ันฟังเทศน์มหาเวสสันดรชาดกอันประกอบด้วยพระคาถา ถงึ พนั คาถาใหจ้ บภายในวนั เดยี ว ดว้ ยความตง้ั ใจฟงั อยา่ งยงิ่ และดว้ ยเหตทุ เี่ ชอ่ื วา่ มหาเวสสนั ดรชาดก สา� รวจคน้ หา Explore จะเสื่อมและสูญหายไปก่อนชาดกอื่นๆ จึงควรฟังมหาเวสสันดรชาดกกันอยู่เนืองๆ เพ่ือมิให้ เสอ่ื มสญู ไป นักเรียนศกึ ษาคน ควา เกี่ยวกบั วรรณคดีเรอ่ื ง มหาชาตหิ รือมหาเวสสันดรชาดก ในประเด็น ๓. การเทศน์มหาชาติ ผ้เู ทศนาจะเทศน์เปน็ ท�านองไพเราะ ใสอ่ ารมณ์ในน�้าเสียง ซงึ่ มีทง้ั ตา งๆ จากนั้นนักเรียนรวมอภปิ รายและ บทโศก สนกุ สนาน ฯลฯ จงึ ทา� ให้เกดิ ปีตโิ สมนัสในการฟงั เทศน์มหาชาติ ตอบคําถาม ดงั ตอไปน้ี เรอ่ื งมหาชาตนิ ้ี มที มี่ าจากเหตกุ ารณค์ รงั้ ทพ่ี ระพทุ ธองคป์ ระทบั อยทู่ นี่ โิ ครธารามมหาวหิ าร • ประวัติความเปน มาของการเทศนมหาชาติ คร้ังนั้นพระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติศากยวงศ์พากันมาเฝ้า พระญาติช้ันผู้ใหญ่ท่ีทรง • การเทศนมหาชาตใิ นภมู ภิ าคตางๆ โดยแบง พระเจริญวัยกว่า ทรงละอายพระทัยไม่ถวายบังคมพระบรมศาสดา ด้วยทรงเห็นว่ามีพระชนมายุ นอ้ ยกว่า พระพทุ ธองคท์ รงมีพระประสงค์จะทรมานให้พระประยูรญาติละพยศลดทิฐิมานะ จึงทรง นกั เรยี นออกเปน 4 กลุม ศกึ ษาการเทศน กระท�าปาฏิหาริย์ลอยข้ึนสู่เบื้องบนเหนือพระเศียรเหล่าพระประยูรญาติ พระเจ้าสุทโธทนะและ มหาชาติในภูมภิ าคตา งๆ ไดแ ก พระประยรู ญาติทอดพระเนตรเหน็ เป็นอศั จรรย์กท็ รงเลอื่ มใส ยกพระหัตถข์ ึน้ ถวายบังคม ทนั ใดก1็ กลุมที่ 1 ศึกษาเทศนม หาชาติในภาคกลาง บังเกิดฝนโบกขรพรรษข้ึนในบริเวณท่ีประชุมน้ัน พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติก็โสมนัส กลมุ ท่ี 2 ศึกษาเทศนมหาชาติภาคเหนอื ช่ืนชมพระบารมีเป็นอันมาก ต่างถวายความเคารพ คร้ันเม่ือเสด็จกลับแล้ว พระสงฆ์สาวกก็ กลมุ ที่ 3 ศกึ ษาเทศนมหาชาตภิ าคอีสาน จับกล่มุ กนั สนทนาปรารภถงึ ฝนโบกขรพรรษซึง่ ตกลงมาเมือ่ สกั ครู่ เหน็ เป็นสง่ิ อัศจรรย์ด้วยไม่เคย กลมุ ที่ 4 ศกึ ษาเทศนมหาชาติภาคใต เหน็ และไมเ่ คยไดย้ นิ มากอ่ น พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั วา่ มิใชเ่ พง่ิ จะมแี ตใ่ นครง้ั นี้ เคยมมี าแลว้ ในกาลกอ่ น พรอ มนําเสนอหนาชน้ั เรียน พระสงฆ์สาวก2จึงทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้ทรงเล่าเรื่องให้ฟัง ซ่ึงพระพุทธองค์ก็ตรัสเล่าเร่ือง • ประวตั ผิ ูแ ตง เทศนม หาชาตภิ าคกลาง เวสสนั ดรชาดกประทาน • เน้ือเร่ืองยอ แตเ่ ดมิ หนงั สอื มหาเวสสนั ดรชาดก แตง่ ดว้ ยคา� ประพนั ธป์ ระเภทฉนั ทเ์ ปน็ คาถาภาษาบาลี สนั นษิ ฐานวา่ ชาวอนิ เดยี ฝา่ ยใตเ้ ปน็ ผแู้ ตง่ มที ง้ั หมด ๑๓ กณั ฑ์ รวม ๑,๐๐๐ คาถา จงึ เรยี กวา่ 209 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู คนไทยทน่ี บั ถอื ศาสนาพุทธมีความเช่ือกันวา การฟง เทศนมหาชาติจะได ครคู วรเพ่ิมเติมความรเู กย่ี วกบั ประเพณกี ารเทศนม หาชาติในทองถนิ่ ที่นกั เรียน รับอานสิ งสส อดคลองกบั ขอ ใด อาศัยอยทู ้ังในภาคเหนอื ภาคกลาง ภาคอสี าน และภาคใต เพอ่ื ใหนกั เรยี นไดร บั ทราบขอ มลู และตระหนกั ในความสําคญั ของประเพณกี ารเทศนม หาชาติ รวมถึง 1. ไดไปเกิดบนสวรรค เปน การสรา งความผกู พันใกลชดิ ระหวา งนักเรียนกับประเพณีพิธกี รรมทสี่ ะทอน 2. มอี ายุยืนยาว ความเชื่ออันเปนเอกลกั ษณในแตละทอ งถนิ่ เพ่อื ช้ีใหน ักเรยี นเห็นความสมั พนั ธ 3. ไดเ กดิ ในสมยั พระศรอี าริยเมตไตรย ระหวา งวิถชี ีวิตของตนเองกับประเพณวี ัฒนธรรม และนกั เรยี นสามารถนาํ ขอ มลู 4. รอดพนจากภยั อันตรายตา งๆ ดงั กลา วไปปรบั ใชใ นการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมได วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. ไดเ กิดในสมัยพระศรอี ารยิ เมตไตรย นักเรียนควรรู เปนคตคิ วามเช่อื ท่ปี รากฏในวรรณคดีเร่อื ง พระมาลยั และเปน คติ ความเชอื่ ที่มคี วามแพรห ลายมากในสงั คมไทย 1 โสมนัส หมายถึง ความสขุ ใจความปลาบปลืม้ ความเบกิ บาน 2 ชาดก ชอ่ื คัมภีรในพระไตรปฎ ก เลา เรื่องพระชาตใิ นอดีตของพระพทุ ธเจา เม่อื ทรงเปนพระโพธิสัตวกําลังบําเพ็ญบารมี คู่มอื ครู 209
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นรวมกันตอบคําถามเกีย่ วกบั ประวัติ “สหสั สคาถา” หรอื “คาถาพนั ” เมอ่ื พระพทุ ธศาสนาเผยแผเ่ ขา้ มาในประเทศไทย คงไดม้ กี ารนา� เรอื่ ง ความเปนมาของการเทศนมหาชาติ ดงั ตอ ไปนี้ มหาเวสสนั ดรชาดกมาเทศนส์ ง่ั สอนประชาชน ในตอนแรกคงเทศนเ์ ปน็ ภาษาบาลลี ้วน และถือวา่ • นกั เรยี นคดิ วา การทคี่ นไทยนิยมฟง เทศน ผู้ใดฟังเทศนม์ หาเวสสันดรชาดกครบท้งั ๑๓ กณั ฑ์หรอื พันคาถาผ้นู น้ั จะไดบ้ ญุ กุศลมาก มหาชาตนิ ับตั้งแตอดีตจนถึงปจจบุ ัน ประกอบดว ยเหตผุ ลใดเปน สําคญั สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ ทรงสนั นิษฐานว่า การแปลและ (แนวตอบ ประกอบดวยเหตผุ ลหลัก 3 ประการ แต่งหนงั สอื เร่ืองมหาเวสสนั ดรชาดกคงมีมาตั้งแตส่ มยั สุโขทยั แลว้ แตห่ าตน้ ฉบับไมไ่ ด้ พบเพยี ง คอื 1. เปน พุทธวจนะ เชอ่ื วา เมือ่ ฟง แลวจะ หลกั ฐานปรากฏอยใู่ น ศลิ าจารกึ หลกั ท่ี ๓ (จารกึ นครชมุ ) กลา่ วไวว้ า่ เกิดสิริมงคล 2. เช่อื วาการฟง เทศนค าถาพนั ดว ยความต้ังใจใหจ บภายในวันเดียว จะได “...อันว่าพระปิฎกไตรยนี้จักหาย แลหาคนรู้จักแท้แลมิได้เลย ยังมีคนรู้คันสเล็กสน้อย ไปเกดิ ในยคุ พระศรอี ารยิ เมตไตรย ซึ่งเปน ไซร้ ธรรมเทศนาอนั เป็นตน้ วา่ พระมหาชาติ หาคนสวดแลมไิ ดเ้ ลย ธรรมชาดกอนั อนื่ ไซร้ มตี น้ ความเช่อื ตามพระมาลยั สูตร 3. ความไพเราะ หาปลายมิได้ มปี ลายหาต้นมิได้เลย...” ลึกซ้ึงของบทสวด ท่เี ต็มไปดวยอารมณ อันหลากหลาย ยอ มสรา งความซาบซง้ึ และ และ ศิลาจารึกหลักท่ี ๖ (จารึกวัดป่ามะม่วง) ด้านที่ ๑ กล่าวสรรเสริญพระมหาธรรม- ขวยใหพ ุทธศาสนิกชนคลอ ยตามและเขาใจ ราชาท่ี ๑ (พญาลิไทย) ว่า หลักธรรมมากย่งิ ข้นึ ) • นกั เรยี นบอกทมี่ าและขอ สนั นษิ ฐานในการ “...พระองค์ประกอบไปด้วยทานบารมีคลา้ ยกบั พระเวสสันดร” รับวรรณคดเี รือ่ ง มหาชาตหิ รอื มหาเวสสนั ดร ชาดกเขามาในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าได้มีการแปลมหาชาติเป็นภาษาไทยและแพร่หลายมากแล้วในสมัยสุโขทัย (แนวตอบ เดิมเชอื่ วา เนื้อหาของมหาเวสสันดร เร่ืองมหาเวสสันดรชาดกพบหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชาดก มีที่มาจากคําประพนั ธประเภทฉนั ท ซง่ึ คแา�ลหะลถวือง1ว่าซเงป่ึ ส็นมมเดหจ็ าพเวรสะบสรันมดไรตชรโาลดกกนทาี่แถทปรลงแพลร้วะนกร�าณุ มาาโแปตร่ดงเเปกล็นา้ ภฯาษใหาน้ไทกั ปยรเลาช่มญแร์รากชบคณั ือฑติมชห่วายชกาตันิ แตง เปน ภาษาบาลโี ดยชาวอนิ เดยี ฝา ยใต มี แปลและเรียบเรียงข้ึน เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๕ โดยแต่งด้วยวิธีการยกเอาตัวคาถาภาษาบาลีต้ังขึ้น ทงั้ สนิ้ 13 กณั ฑ รวม 1,000 คาถา สว นการรบั บาทหน่ึงแล้วแปลเป็นภาษาไทยวรรคหน่ึง สลับกันไปโดยให้ได้ใจความใกล้เคียงกับภาษาบาลี วรรณคดีเรือ่ งน้เี ขามาในประเทศไทยน้นั มากที่สุด การแปลในครั้งนี้ กวีได้ใช้ฉันทลักษณ์ต่างๆ กันแต่งไปตามความถนัดของแต่ละคน ปรากฏหลักฐานในจารึกหลกั ตา งๆ ในสมยั เปน็ ฉันทบ์ า้ ง โคลงบ้าง กาพยบ์ า้ ง ร่ายบา้ ง มหาชาตคิ า� หลวงยังเป็นหนงั สือท่มี ีไวส้ �าหรับสวดใน สโุ ขทัยในสมัยอยธุ ยาปรากฏการแตงเปน งานวันส�าคัญทางศาสนา เช่น เขา้ พรรษา เปน็ ตน้ ลายลกั ษณอ กั ษรครง้ั แรก คอื มหาชาตคิ าํ หลวง ตอ่ มาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ไดโ้ ปรดเกล้าฯ ใหน้ กั ปราชญ์ราชบณั ฑติ เรยี บเรยี ง และมกี ารแตง ดวยคาํ ประพนั ธหลายชนิด มหาเวสสันดรชาดกเป็นภาษาไทยอีกคร้ัง เม่ือ พ.ศ. ๒๑๗๐ เรียกว่า กาพย์มหาชาติ โดยวิธี ทงั้ โคลง ฉันท กาพย และราย สวนในสมยั แต่งได้ตัดภาษาบาลีท่ีเป็นคาถาน�าน้ันออกบ้าง เหลือเฉพาะส่วนข้างหน้าข้อความเล็กน้อย แล้ว รตั นโกสินทรนยิ มแตงดวยรา ยยาว และมีการ แต่งแปลเรียบเรยี งเปน็ ภาษาไทยโดยใช้ฉันทลกั ษณ์แบบเดียว คอื ร่ายยาว เพื่อใชส้ า� หรบั เทศนา ปรบั เนอ้ื หาใหส้ัน เพอ่ื ใหเ ทศนจบภายในวนั ใหอ้ บุ าสกอบุ าสกิ าฟัง เดยี ว สําหรับกลวธิ ีการแตงนั้นใชกลวธิ ียกบาลี ต้งั แลว แตง พรรณนาเน้อื ความตาม นอกจากน้ี 210 ยังปรากฏสํานวนทอ งถนิ่ อกี หลายสํานวน) 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT จากวรรณคดเี รอ่ื ง มหาชาตหิ รอื มหาเวสสนั ดรชาดก ขอ ใดกลา วไมถ กู ตอ ง ครูควรเพมิ่ เติมความรูเกย่ี วกบั วรรณคดเี รอื่ ง มหาชาติหรือมหาเวสสันดรชาดก 1. คนไทยนิยมฟง เทศนม หาชาตเิ พราะเชือ่ วา เปนพุทธวจนะ ในฐานะที่เปน วรรณคดีศาสนาท่มี อี ิทธิพลตอ การหลอ หลอมอุดมการณแ ละคติ 2. บทสวดมีความไพเราะลึกซงึ้ เตม็ ไปดว ยอารมณอ ันหลากหลาย ความเชอื่ ของคนในสังคมไทย นอกจากน้ี วรรณคดีเร่ืองดังกลา วยังกระทาํ หนา ท่ใี น 3. เช่ือวาถาฟงเทศนม หาชาตจิ บในวนั เดยี วจะไดไ ปเกิดในยคุ การบนั ทกึ คาํ สอนทางพระพทุ ธศาสนา และบนั ทกึ คติความเชือ่ คานิยมและวถิ ชี ีวิต พระศรอี ารยิ เมตรไตรย ของผูค นในแตละทองถ่นิ อีกดวย 4. ความเช่ือทว่ี า ถาฟง เทศนมหาชาตจิ บจะไดไปเกดิ ในยคุ พระศรอี าริยเมตไตรย มีท่มี าจากเรอ่ื ง นันโทปนนั ทสตู รคาํ หลวง นักเรียนควรรู วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ความเชอื่ ทวี่ า ถา ฟง เทศนม หาชาติจบจะ ไดไปเกดิ ในยคุ พระศรีอารยิ เมตไตรย มที ี่มาจากเรอ่ื ง นนั โทปนันทสูตร 1 คําหลวง คําประพนั ธซง่ึ เปนพระราชนพิ นธ ในบทประพันธป ระกอบดว ย คําหลวง ท่ถี กู ตองคือความเช่ือดังกลา วมีทีม่ าจากเร่ือง พระมาลยั สตู ร ลกั ษณะคาํ ประพันธห ลายประเภท ทงั้ โคลง ฉันท กาพย กลอน ไดแก มหาชาติ คําหลวง และพระนลคําหลวง คําประพันธท แี่ ตงอยางคําหลวงคอื นนั โทปนันทสูตร คาํ หลวงและพระมาลัยคาํ หลวง ซงึ่ นพิ นธโ ดยเจาฟา ธรรมธเิ บศร 210 คู่มือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ในสมัยรัตนโกสินทร์มีผู้แต่งร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกขึ้น โดยให้เนื้อความส้ันกว่า 1. นักเรียนแตละกลุม รว มกนั นําเสนอเกี่ยวกับ กาพย์มหาชาติ เพื่อจะเทศน์ให้จบได้ในวันเดียว ทัง้ ภาษาบาลีและส่วนท่แี ปลเปน็ ภาษาไทย ตาม ประเพณีการเทศนมหาชาตใิ นภมู ภิ าคตา งๆ ประเพณนี ยิ มในการเทศนม์ หาชาติ วธิ กี ารแตง่ คอื ยกคาถาภาษาบาลตี อนหนง่ึ แลว้ แปลเปน็ ไทย พรอมตอบคําถาม ดงั ตอ ไปน้ี โดยใช้ฉันทลักษณร์ า่ ยยาวตลอดทัง้ เรอ่ื ง • นักเรียนกลมุ ท่ี 1 อธบิ ายลกั ษณะเดน ของ วรรณคดมี หาชาตใิ นภาคกลาง นอกจากนี้ยังมีผู้น�ามหาเวสสันดรชาดกไปแต่งเป็นภาษาไทยอีกหลายส�านวน และใช้ (แนวตอบ ลกั ษณะเดนของการเทศนม หาชาติ ค�าประพนั ธห์ ลายชนิด เชน่ กลอน ฉันท์ กาพย์ ลลิ ิต และรอ้ ยแก้ว รวมทง้ั ยงั มมี หาเวสสนั ดร ในภาคกลางมหี ลายสาํ นวน และลักษณะ ชาดกทเ่ี ปน็ ภาษาถ่นิ อีกหลายฉบบั ดังน้ี คาํ ประพนั ธห ลายประเภททงั้ โคลง ฉนั ท กาพย และรา ย บทประพันธเรื่อง เทศนม หาชาติ ๑) มหาชาติภาคกลาง เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๐ กรมศึกษาธิการได้รวบ1รวมมหาชาติส�านวน ที่นักเรียนไดเ รยี นนี้ มที มี่ าจากกระทรวง ต่างๆ และคัดเลือกส�านวนท่ีมีความไพเราะมากท่ีสุดได้ครบท้ัง ๑๓ กัณฑ์ น�ามารวบรวมและ ศกึ ษาธกิ ารไดร วบรวมและคดั เลอื กบทประพนั ธ พิมพ์เป็นเล่มส�าหรับใช้เป็นแบบเรียนภาษาไทย เรียกว่า มหาเวสสันดรชาดก อันประกอบด้วย ที่มลี กั ษณะคาํ ประพนั ธประเภทรา ยยาวที่มี กณั ฑ์ต่างๆ ท่ีมีผู้แต่ง ๖ ทา่ น ดังนี้ ความไพเราะมากทีส่ ุด และเปน บทประพันธ ทพ่ี ระสงฆนิยมนํามาเทศนใ นประเพณีเทศน ● กณั ฑท์ ศ2พร กณั ฑห์ มิ พานต ์ กณั ฑว์ นปเวสน ์ กณั ฑจ์ ลุ พน กณั ฑส์ กั กบรรพ กัณฑ์ มหาชาติ ถือวา เยี่ยมเรอ่ื งความไพเราะ การ มหาราช กณั ฑฉ์ กษตั รยิ ์ และนครกณั ฑ์ พระนพิ นธ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ - ใชค าํ อยางอลังการ และการพรรณนาได ชโิ นรส อยา งพสิ ดาร ไมวา จะเปนการเลนเสียง เลนคํา และสมั ผัสแพรวพราว) ● กณั ฑว์ นปเวสน ์ กณั ฑ์จลุ พน และกัณฑส์ กั กบรรพ พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเดจ็ • นกั เรยี นกลมุ ท่ี 2 อธิบายลกั ษณะเดนของ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั วรรณคดมี หาชาตใิ นภาคเหนอื (แนวตอบ ลักษณะเดน ของการเทศนม หาชาติ ● กัณฑก์ ุมาร กณั ฑม์ ทั ร ี งานนิพนธ์ เจ้าพระยาพระคลงั (หน) ในภาคเหนอื มีหลายสํานวน แตส ํานวนที่ ● กัณฑม์ หาพน งานนิพนธ์ พระเทพ3โมลี (กล่นิ ) ยกมาในบทเรียนนี้ คอื สํานวนสรอยสังกร ● กณั ฑ์ทานกณั ฑ์ งานนพิ นธ์ ส�านักวัดถนน รวบรวมโดยพระอุบาลีคุณูปมาจารย ● กัณฑช์ ชู ก งานนิพนธ์ สา� นกั วัดสงั ขก์ ระจาย (ฟู อตตฺ สิโว) ใชล ักษณะคาํ ประพนั ธป ระเภท มหาชาตภิ าคกลางสา� นวนดงั กลา่ วแตง่ เปน็ รา่ ยยาว นยิ มเรยี กวา่ มหาชาตคิ า� กลอน ซ่ึง รา ยยาวทมี่ ีสมั ผัสคลอ งจองในแตละวรรค พไพรเะรสางะฆใ์นชิย้คม�านอย�าม่างาอเทลังศกนา์ใร4ห้อแุบลาะกสากรอพุบรารสณิกนาาฟทัง่ีพในิสวดัดาร5เปด็ันงนส้ัน�านควน�าแทลี่ถะือสว�า่านเวยน่ียจมึงใคน่อเรนื่อขง้าคงวยาามก ดา นภาษามคี วามโดดเดนจากการใชคาํ งา ย นิยมการ๒เล) น่ มคหา� แาชละาเตลิภน่ าเสคียเหงสนมั ือผัสทสงั้�าพนยวัญนทชี่นนะ่าแสลนะใสจระไอดย้แ่ากงแ่ พมรหวาพชราาตวิส�านวนสร้อยสังกร6 เป็น ไมเนนการพรรณนาความ แตเนน การซํ้าคาํ ส�านวนทร่ี วบรวมโดย พระอุบาลคี ุณปู มาจารย์ (ฟู อตตฺ สโิ ว) แต่งเป็นรา่ ยยาว ทีม่ ีค�าคล้องจอง ทีต่ นวรรคของบทประพนั ธ) สัมผัสกันไปในแต่ละวรรค เป็นมหาชาติท่ีมีเน้ือความและส�านวนภาษาคล้ายกับมหาชาติของ ภาคเหนืออกี ส�านวนหนึง่ ที่เรยี กวา่ ส�านวนไม้ไผ่แจ้เรียวแดง ซ่งึ เช่อื วา่ แตง่ ในสมยั อยุธยา และ 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด เป็นต้นแบบของมหาชาติภาคเหนืออ่ืนๆ 211 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรยี นควรรู “มพี รรณเขียวขาวดาํ แดงดูดเิ รกดงั่ รายรัตนนพมณีนาใครช ม ครนั้ แสง 1 กณั ฑ ขอความที่แตง เปนคาํ เทศนเรือ่ งหน่ึงๆ ทจี่ บลงคราวหนึง่ ๆ ตอนหน่งึ ๆ พระสุริยะสองระดมกด็ ูเดน ดงั่ ดวงดาววาวแวววะวาบๆ ทเ่ี วง้ิ วุง วิจติ รจํารสั ของคําเทศนท เี่ ปน เรื่องยาว เชน มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑท ศพร กณั ฑห ิมพานต จาํ รญู รงุ เปน สรี ุงพุง พน คคั นัมพรพนื้ นภากาศ” เปนตน ในทน่ี ี้หมายถงึ ลักษณนามของเทศน 2 ฉกษตั รยิ อา นวา ฉอ-กะ-สดั หรอื ฉอ-กะ-สดั หมายถึง กษัตริย 6 พระองค ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับความดีเดนดานวรรณศิลปจากบทประพันธ ขางตน 3 สาํ นัก หมายถึง ทีอ่ ยอู าศัย ท่ที ําการ แหลงศกึ ษาอบรม 1. ความไพเราะ 4 อลังการ ในท่ีน้ีหมายถึง การใชคําในการประพันธท ่ีทาํ ใหเกดิ อรรถรสและ 2. ใชค ําอลงั การ ความประทับใจ มีรปู ศพั ทแ ละเสยี งท่นี ารนื่ รมยแ ละสรา งสุนทรยี ะ 3. พรรณนาพสิ ดาร 5 พิสดาร เมือ่ ใชกบั เน้อื ความ หมายความวา ละเอยี ดลออ การพรรณนาท่ี 4. เสนอแนวคิดและคติธรรม พิสดารจึงหมายถงึ การพรรณนาอยางละเอยี ดลออ 6 สงั กร ความปะปน ความคาบเกยี่ ว วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เสนอแนวคิดและคติธรรม เนอ่ื งจาก บทประพนั ธขา งตนมเี นอื้ หาในการกลา วชมธรรมชาติ จงึ เนน คณุ คาทาง วรรณศลิ ป ค่มู อื ครู 211
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนแตละกลมุ รว มกนั นาํ เสนอเกยี่ วกับ ความโดดเด่นของมหาชาติภาคเหนือ คือการใช้ค�าง่ายๆ ไม่เน้นการพรรณนาความ ประเพณีเทศนมหาชาตใิ นภูมภิ าคตา งๆ อย่างพิสดาร แตม่ กี ารเลน่ คา� ซ�้าทีต่ น้ วรรค เช่น พรอ มตอบคําถาม ดงั ตอ ไปน้ี • นกั เรียนกลุมที่ 3 อธบิ ายลกั ษณะเดน ของ ...ผใู้ ดจักมากลางไพรเขียวปา่ ไม้ วรรณคดมี หาชาติในภาคอีสาน (แนวตอบ ลักษณะเดนของการเทศนมหาชาติ ผ้ใู ดพ้อยจกั มาผ่าไม้ไว้ห1ือ้ เปน็ หลวั ในภาคอีสานมีหลายสํานวน ตนฉบับเดิมมา จากลา นชา ง เนอื้ หาคลา ยภาคกลาง ผู้ใดจกั มาช่วยกพู้ ี่ตมุ้ หวั นางหนุนหมอนและห่มผ้า แตม ีความเก่ียวเนือ่ งและใหความสําคัญกบั ผู้ใดพ้อยจักมาตกั น�้าช่วยหน้าแมอ่ ุดม พธิ ีกรรม จงึ มีการเพ่ิมบทประพนั ธการเทศน ผู้ใดพ้อยจักมาสางผมแมห่ มวดไวเ้ ป็นเกลา้ มาลัยหมนื่ มาลัยแสน และการเทศนสงั กาส ผู้ใดพอ้ ยจักมาอมุ้ เจ้าใสเ่ หนอื ตกั ดว ย ดานภาษาใชคําภาษาถิ่นอีสานท่เี ขาใจ งา ย โดยไมเนน การพรรณนาพสิ ดาร ดังเชน ผผูใ้ใู้ ดดจพัก้อมยาจฝกั ้ามน2าตว้าักง3นใ�า้สล่สบูอลงห้างู สาํ นวนของภาคกลาง) • นักเรียนคดิ วา วรรณคดีเรอื่ ง มหาชาติ มี ผู้ใดพ้อยจกั มาอินดูนางน้องไห้ ความเกยี่ วเนอื่ งกบั พิธีกรรม ตลอดจนวิถีชวี ิต ผใู้ ดจักมาล้อมดอกไมเ้ หนบ็ เกศเกลา้ เกศา... ของชาวอีสานอยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น ๓) มหาชาติภาคอีสาน มหาชาติท่ีพบในภาคอีสานนั้นมีหลายส�านวน แต่ละวัดต่างใช้ ไดอ ยางหลากหลายขึ้นอยูกับเหตุผลของ ฉบับของท้องถ่ินและคัดลอกสืบต่อมา การคัดลอกน้ีอาจมีการเพ่ิมเติมเสริมแต่งหรือย่อให้สั้น นกั เรยี น เปน ตนวา งานบญุ พระเวส ทมี่ า เอาแตเ่ ฉพาะใจความสา� คญั หรอื อาจแตง่ ขนึ้ มาเปน็ สา� นวนใหม่ จากคาํ วา พระเวสสันดร ถอื เปนการฟงเทศน มหาชาตติ ามความเช่ือทีป่ รากฏใน อย่างไรก็ตามเพราะเหตุว่าชาวอีสานส่วนใหญ่ได้รับวัฒนธรรมลุ่มแม่น้�าโขงมาโดย พระมาลยั คาํ หลวงวา หากฟงเทศนคาถาพนั ตลอด 4และพิธีกรรมบุญพระเวสของอีสานนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับพิธีกรรมของอาณาจักร จบภายในวนั เดยี วจะไดไ ปเกดิ ในยุค ลา้ นช้างโบราณ ฉะนั้นตน้ ฉบับเดมิ เร่ืองมหาชาติ (ลา้ นช้าง) จงึ มกี ารน�ามาใชเ้ ทศน์ในภาคอสี าน พระศรีอารยิ เมตไตรย ซึง่ เปน ยุคทอี่ ดุ ม และภายหลังได้มีการปรับปรุงบ้าง ส่วนโครงเร่ืองมหาชาติหรือมหาเวสสันดรชาดกฉบับอีสาน ไปดว ยความสุขสมบูรณ) มีเน้ือเร่ืองเหมือนกับฉบับภาคกลาง ต่างกันที่ส�านวนโวหารซ่ึงเป็นภาษาถ่ินและของท้องถิ่น • นกั เรยี นคิดวา ความเกี่ยวเนือ่ งของพิธีกรรม อีสาน แต่การแบ่งตอนและพิธีกรรมอันเนื่องดว้ ยเรอ่ื งมหาชาตนิ ต้ี า่ งจากภาคกลาง คอื ในการเทศน์ การเทศนมหาชาติในภาคอีสานมอี ิทธพิ ลตอ มหาชาตขิ องภาคอสี าน จะเทศนพ์ ระมาลยั หมนื่ มาลัยแสน และสังกาส ดว้ ย การสรางสรรคบ ทประพันธอยางไร (แนวตอบ ดวยความเช่ือดังกลาว จงึ มกี าร การเทศน์มหาชาติทางอีสานเรียกงานบุญที่ส�าคัญนี้ว่า บุญผะเหวด หรือ บุญพระเวส เทศนม าลัยหมื่น มาลัยแสน และการเทศน พระเวสก็คือพระเวสสันดรนั่นเอง การเทศน์มหาชาติมักนิยมท�ากันหลังจากออกพรรษาแล้ว สงั กาสดว ย การเทศนม หาชาติในภาคอีสาน บางทีก็ท�าในวันกลางเดือน ๑๒ หรือแรม ๘ ค�่า บางทีก็ท�ากันปลายเดือนอ้ายหรือเดือน ๑๒ จึงมีองคป ระกอบตางๆ หลายประเภท) เแมตือ่ ่สเ�าสหรร็จับหงนาา้ นนบาุญแผตะป่เหจั วจดบุ มนั ักมนักิยมมีกทาร�าเใทนศเดนือ์มนหา๔ชาตหิใรนือฤในดแูเดลือง้ นดว้ ย๑๐คือซน่ึงบัเปแ็นตเ่เทดศอื กนาอลา้ สยาเปรท็น5ตหน้ รไปือ กอ่ นทอดกฐนิ พระราชทาน หรอื จะทา� ในเดอื นใดก็ได้ไม่จ�ากดั ตายตวั กันแต่อยา่ งใด 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ มหาชาตภิ าคอสี านคลา้ ยของภาคเหนอื คอื มกี ารใชค้ า� งา่ ยๆ และไมเ่ นน้ การพรรณนา ทพ่ี ิสดารเชน่ กนั เชน่ 212 นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอ ใดกลาวถึงลกั ษณะรว มของมหาชาตภิ าคอสี านกบั มหาชาติ 1 ตุมหัว ประคองศรี ษะ ชอ นศรี ษะ ในภาคอน่ื ๆ ไดถ ูกตอ ง 2 ฝาน คือ ฟน เปนการทําส่งิ ทีเ่ ปน หลายเสน ใหเขาเปนเสนเดียว 1. การเทศนสงั กาส 3 ตาง พชื ชนดิ หน่งึ ใชกานฟนใหเ ปน แกนเล็กๆ เสยี บตงิ่ หทู ่เี จาะสําหรับใส 2. การพรรณนาทพ่ี ิสดาร เคร่ืองประดบั 3. เทศนม าลัยหม่ืน มาลยั แสน 4 ลานชา ง เปน อาณาจกั รของชนชาตลิ าว ตงั้ อยูแ ถบลมุ แมน้ําโขง มอี าณาเขต 4. ความเช่ือเก่ียวกบั โลกพระศรีอารยิ เมตไตรย อยใู นบริเวณประเทศลาวและภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของไทย วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ความเช่อื เกีย่ วกับโลกพระศรีอารยิ เมตไตรย 5 สารท คอื เทศกาลทาํ บุญในวนั สิ้นเดือน 10 โดยนาํ พชื พรรณธญั ญาหาร มีความสอดคลองกบั มหาชาตใิ นภาคอ่ืนๆ โดยเชื่อวา หากฟง เทศนคาถาพัน แรกเก็บเก่ยี วมาปรุงเปนขาวทิพยและขาวมธปุ ายาสถวายพระสงฆ จบในวนั เดียวจะไดไปเกดิ ในยคุ พระศรีอาริยเมตไตรยท่อี ดุ มไปดว ยความสุข ความสมบูรณอยางเทา เทียมกัน ถือเปนโลกในอดุ มคติ 212 คมู่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ ...ยามฝนตก 1โปร่งใบยาว มีทังเอื้องมอนไข่พร้อม ช้างด�าช้างแดงช้างขาว 1. นักเรียนแตละกลมุ รวมกนั นําเสนอเกยี่ วกบั การ เทศนมหาชาตใิ นภมู ิภาคตา งๆ พรอมตอบ อันมีกาบซว้างใบยาว ทังเอื้องแซะเอื้องเผิ้ง อันติดกิ่งล�าไม้เน้ิง ห้อยย้อยหย่อนลงมา ว่าค่อย คาํ ถาม ดงั ตอไปนี้ อยู่ก่อนเทอะเนอ • นักเรยี นกลุมท่ี 4 อธบิ ายลกั ษณะเดน ของ หมู่ปักษีปักษา ปักขีทิชาใหญ่น้อย อันเคยวิดวิงห้อย ปวเบิบย้อยว่ิงยอยเฟย มีทังนกเค้าแยกแขกเต้า และเค้าเหมย มีทังนกพ่อเฮย ตระเหวาชูต้น อันเคยแข้งร้องซ้�าซ้น วรรณคดีมหาชาตใิ นภาคใต (แนวตอบ วรรณคดีเรื่อง มหาชาติในภาคใต จุกกะลุยดอย ข็องข็อยขอดข้อง อกเกิดร�่าร้อง แจ้งข็อยร่อยยางไฟ จีจ้อร2่�าร้อง ปูนโศรก ปรากฏหลายสํานวนแตทีน่ าํ มาศกึ ษาใน บทเรยี นน้ี คอื สํานวนฉบับวัดมัชฌิมาวาส ตอ้ งหมองใจ เหลียวผ่อไปทางใด กห็ ันแตเ่ หมยหมอกกมุ้ เหลียวหาทางวังข่วงคุ้ม พระบรรณ- จงั หวดั สงขลา ลกั ษณะคําประพันธประกอบ ศาลา สุริยแกว้ กล็ งไปแลว้ เพียงตา พระสุรยิ ากค็ ่�าลงมดื แลว้ อาวาสแก้วแมก่ อ็ ย่ไู กลตา วา่ กณั หา ดว ย กาพยยานี 11 กาพยฉบัง 16 เฮยกัณหา พีก่ ็มารออยูเ่ จ้า ค่า� กค็ า�่ มานีเ้ ลา้ ก็ควรตีงีบหลบั นอน ฝูงหมู่รน้ิ ก็พลอยมาแลน่ ตอม กาพยส รุ างคนางค 28 และมาลินีฉนั ท 15 ฝูงหมูเ่ หลอื บยงู ยอง กแ็ ล่นมาใกล้ สดุ แตเ่ หมยค้างไม ้ กพ็ อปลิวหยาดลงพรา� ๔) มหาชาติภาคใต้ ส�านวนที่นา่ สนใจ เชน่ พระมหาชาดก ฉบับวัดมัชฌมิ าวาส จงั หวดั เดน ดา นการพรรณนาความมากกวา ใสนงสขมลาุดขซ่องึ่ย3ไมเป่ มร่ือากพฏ.ชศอ่ื .ผ๒แู้ ต๓ง่๙๕ทรใานบรเัชพกยี างลชพอื่ ผระทู้ บที่ าา� ทกสามรคเดดั ็จลพอรกะจคออื มเพกลระ้าภเ4จกิ ้าษอญุ ยมู่ีหเัวซา่ โดคยดัแลตอ่งกเปล็นง ภาคเหนอื และอีสาน แตนอ ยกวา ภาคกลาง กาพยย์ านี ๑๑ กาพยฉ์ บัง ๑๖ กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘ และมาลินีฉันท์ ๑๕ นอกจากน้ี ฉากที่ปรากฏในการดาํ เนนิ เรือ่ ง ยังเนน ธรรมชาติของทอ งถ่ินภาคใต มหาชาตภิ าคใตเ้ นน้ การพรรณนาความมากกวา่ ภาคเหนอื และอสี าน แตน่ อ้ ยกวา่ ภาคกลาง อนั สะทอนถงึ วถิ ชี วี ติ และวัฒนธรรมของ มาก โดยเนน้ แสดงลกั ษณะเฉพาะของทอ้ งถน่ิ เชน่ เรอื่ งอาหาร พรรณไม้ ภมู ปิ ระเทศ เช่น ภาคใตอ กี ดว ย) 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมดุ ...งอกเรยี งเปน็ แถว ภาคเพินเนินแนว ระแวกศิลา เกศแก้วกระกมุ ปุ่มลายทอตา กา� จัดขทั รี า ษาลา้ แตงรงั ขยายความเขา้ ใจ ไผ่ผากกรากตรวก ลเี ภาเถ้ามวก พากพันกระสงั Expand มะยมุ ชุมแสง แพงพวยต้นตั้ง หลหาดเหียรหัง ภงั คีสมแี สม ประโดกโคกลา้ น ทเุ รยี นตระการ มะกอ่ สะแร 1. นกั เรยี นรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ดงั ตอไปน้ี สท้อนสเตียร อาเกียรร�าแข สูงสุดตาแล ยูงยางแกมกัน... • นักเรียนคดิ วา ลักษณะรว มและลกั ษณะ เฉพาะของวรรณคดเี ร่อื ง มหาชาตหิ รอื มหา จากบทพรรณนาข้างต้น จะเห็นได้ถึงพรรณไม้และสภาพภูมิประเทศท่ีเป็นปา่ ชายเลน เวสสนั ดรชาดกในภมู ิภาคตา งๆ แสดงให ซึ่งเป็นลักษณะภูมปิ ระเทศของภาคใต้ เห็นถึงรากฐานรว มกันทางวฒั นธรรมไทย อยางไร (แนวตอบ เปนตน วา สะทอนถงึ ความศรทั ธา ในพระพุทธศาสนาอนั ถอื เปน รากฐานทาง วัฒนธรรมรวมทก่ี อ ใหเ กดิ การสรา งสรรค วรรณคดีและพธิ ีกรรมท่ผี ูกพันเชอ่ื มโยงกับ ฐานความเชื่อเดียวกัน แมจะมีความ 213 แตกตา งทางดานภมู ิศาสตร ตลอดจนวถิ ี ชีวิตวฒั นธรรมอันเปน เอกลักษณ) ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด นกั เรยี นควรรู คําประพันธในขอ ใดตัดตอนมาจากมหาชาตภิ าคใต 1 เอ้ือง ภาษาถ่ินอีสาน เรยี ก ตน กลว ยไม ซง่ึ เปนชือ่ พรรณไมหลายชนดิ หลาย 1. พื้นพจิ ิตรรงั สรรคสวุ รรณรตั น สุวรรณรสจาํ รสั อรา มเรือง สกลุ ในวงศ Orchidaceae ลักษณะตน ใบ และชอดอกตางๆ กนั บางชนิดเกาะ ตามตน ไมแ ละหนิ บางชนดิ ขนึ้ อยบู นพนื้ ดนิ บางชนดิ มดี อกงาม บางชนดิ มกี ลนิ่ หอม อรามรงุ บรรเทืองอัมพรเพริศ 2 ขว ง บรเิ วณ ลาน ใชวา ขวง กม็ ี 2. ผใู ดจักมาฝานตางใสสองหู ผใู ดพอยจักมาอินดูนางนอ งให ผใู ดจักมา สอ มดอกไมเหนบ็ เกศเกศา 3. ไผผากกรากตรวก สีเภาเถามวก พาดพันกระสัง มะยุมชุมแสง แพงพวยตน ต้งั หลหาดเหียนหัง ภงั คีสมแี สม 3 สมุดขอย หรอื สมดุ ไทย หมายถงึ สมดุ ท่ที าํ ดว ยกระดาษขอ ยแผนยาว ๆ หนา แคบ พบั ทางขวางทบกลบั ไปกลบั มาคลา ยผาจบี เปนสมดุ เลม สเ่ี หลยี่ มผืนผา มที ้งั 4. แลถนัดเบื้องหนา โนนก็เขาใหญยอดเย่ยี มอยา งพยับเมฆมพี รรณเขียวขาว ชนดิ กระดาษขาวและกระดาษดํา ดําแดงดูดเิ รกรายรตั นมณแี นมนา ใครชม 4 มาลินฉี ันท 15 มีลีลาของฉนั ทเ ร็วและส้นั ในชวงตน แลวผอ นเสียงชา และ ทอดยาวในชว งทาย มกั ใชก บั เน้อื ความแสดงอาการสบั สนแลว ผอนคลาย ราบรนื่ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. ไผผ ากรากตรวก สเี ภาเถา มวก พาดพัน ในชว งทาย กระสงั มะยมุ ชมุ แสง แพงพวยตน ต้ัง หลหาดเหียนหัง ภังคีสมแี สม จดั เปน วรรณคดีภาคใต สงั เกตไดจากสภาพทางภูมศิ าสตรท ปี่ รากฏในบทกวี คู่มือครู 213
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นรว มกนั ตอบคาํ ถามเกี่ยวกบั ประวตั ิ ๒. ประวัติผู้แตง่ ผแู ตงวรรณคดเี รอื่ ง มหาเวสสนั ดรชาดก ดังนี้ • นกั เรยี นคดิ วา เหตุใดวรรณคดเี รือ่ ง ได้กลา่ วแล้วว่า มหาเวสสันดรชาดก มผี ูน้ ิยมแต่งมากมาย กัณฑล์ ะหลายสา� นวน ในที่นี้ มหาเวสสนั ดรชาดก จึงมผี นู ิยมแตงเปน จาํ นวนมาก การปรากฏวรรณคดเี รื่อง จะกลา่ ๒วถ.๑งึ ผ แู้ สต�ำง่ นร่ากั ยวยาัดวถมนหานเว-สกสัณันดฑรช์ทาำดนก1กเปัณน็ ฑตวั์ อย่าง ๔ กณั ฑ์ จากทัง้ หมด ๑๓ กัณฑ์ คอื มหาเวสสนั ดรชาดก หลายสาํ นวนในภูมิภาค ตา งๆ สะทอ นถงึ ความนยิ มในวรรณคดเี รอื่ งนี้ ด้วยเหตุท่ีไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าผู้แต่งเป็นใคร ทราบเพียงแต่ว่าเป็นภิกษุที่อยู่ ในสงั คมและวัฒนธรรมไทยอยา งไร วัดถนนซ่ึงเป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้าสีกุก อันเป็นเขตติดต่อระหว่างจังหวัด (แนวตอบ เปน ตนวา สะทอนคติความเช่อื พระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอ่างทอง จึงใช้ชื่อผู้แต่งกัณฑ์ทานกัณฑ์ว่า สา� นักวัดถนน แทนช่ือ ทางพระพทุ ธศาสนาท่ีฝงรากลกึ ในสังคมไทย ผูแ้ ตง่ เรอื่ งผแู้ ตง่ กณั ฑท์ านกณั ฑน์ ี้ นายทองคา� ออ่ นทบั ทมิ มรรคนายก2วดั ถนน กบั นายเสงย่ี ม การเทศนมหาชาตินอกจากจะเปน การ คงตระกลู ไดส้ อบถามผเู้ ฒา่ ผแู้ กใ่ นละแวกบา้ นใกลว้ ดั ถนน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ยายสมบรู ณ์ สปุ ญสนั ธ์ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแลว ยงั ทาํ อายุ ๙๐ ปีเศษ พอจะทราบเคา้ ประวัตขิ องท่านผู้แต่งว่า ชอื่ ทองอยู่ เกิดท่บี า้ นไผจ่ า� ศลี อา� เภอ หนาทใ่ี นการหลอหลอม กลอ มเกลาศรทั ธา วิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง (เดิมอ�าเภอน้ีเป็นท่ีต้ังตัวเมืองวิเศษไชยชาญ) ปีเกิดของท่าน ของพทุ ธศาสนิกชนใหต้งั อยู ในคุณธรรม นอกจากนี้ การประพนั ธว รรณคดใี นหลาย ประมาณ พ.ศ. ๒๓๐๐ คอื ปลายแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ เมอ่ื อายปุ ระมาณ ๘-๙ ขวบ สาํ นวนยงั ถือเปน การจรรโลงพระพทุ ธศาสนา ได้ไปศึกษาเล่าเรียนท่ีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ไม่ทราบว่าอยู่วัดอะไร เม่ืออายุประมาณ และส่ังสมบญุ บารมีของกวีอีกดวย) ๑๐-๑๑ ปี ได้บรรพชาเปน็ สามเณร ประจวบกบั กรงุ ศรีอยุธยาแตกเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๑๐ ประชาชน 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด อพยพหนภี ยั สงครามไปอยูต่ ามชนบท ในกรงุ ศรีอยุธยาเกิดขัดสนเสบียงอาหาร สามเณรทองอยู่ จึงจ�าเป็นต้องเดินทางกลับบ้านเกิด คือ ต�าบลไผ่จ�าศีล การเดินทางในครั้งนั้นต้องเดินทางผ่าน วัดภูเขาทอง อ�าเภอกรุงเก่า มาบ้านกุ่ม ผ่านบ้านบางชะนีซ่ึงเป็นต�าบลติดกับบ้านเลน ต�าบล ขยายความเขา้ ใจ Expand โผงเผง ที่บ้านนี้มีวัดอยู่วัดหน่ึง เรียกว่า “วัดถนน” สามเณรทองอยู่ได้พักท่ีวัดน้ี ในขณะน้ัน วัดถนนเกือบจะเป็นวัดร้าง มีสามเณรรูปหน่ึงคอยดูแลรักษา เณรรูปนี้ได้ชวนสามเณรทองอยู่มา 1. นักเรยี นรว มกนั อภปิ รายในประเดน็ ตอไปนี้ อย่ดู ว้ ยกัน แตส่ ามเณรทองอย่ผู ัดว่าขออปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุก่อน ตอ่ มาประมาณ พ.ศ. ๒๓๒๑ • นกั เรียนคิดวา การนําวรรณคดีที่มเี คา เรอ่ื ง หรือ ๒๓๒๒ ในแผ่นดินสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช ท่านจึงไดอ้ ปุ สมบทและมาอยวู่ ดั ถนนน้ี เดียวกนั มาแตง ในหลายสํานวนอยา ง วรรณคดีเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก ซงึ่ มีผู ท่านทองอยู่นับว่าเป็นสถาปนิกชั้นเย่ียมท่านหน่ึง ท่านได้สร้างเจดีย์ไว้องค์หนึ่ง แตง หลายคนจะสงผลใหบทประพันธมเี น้อื หา ซ่ึงเวลาน้ีนับว่าเป็นเจดีย์ที่งดงามปรากฏอยู่หน้าพระวิหารวัดถนน ถึงกับมีผู้มาวาดรูปไปเป็น รวมถึงคุณคาทางวรรณศลิ ปแตกตา งกัน แบบกอ่ สรา้ ง ในดา้ นวรรณกรรม นอกจากทา่ นไดแ้ ตง่ รา่ ยยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑท์ านกณั ฑ์ หรอื ไม อยา งไร แล้ว ยังแต่งบททา� ขวัญนาคไวอ้ ยา่ งไพเราะอีกดว้ ย (แนวตอบ วรรณคดีซึง่ มีทม่ี าจากเคาเร่ือง เดยี วกันเมือ่ นาํ มาแตงโดยกวหี ลายคน กวี ๒.๒ ส�ำนกั วัดสงั ข์กระจำย-กณั ฑ์ชูชก แตล ะคนยอ มตคี วามเนอ้ื หารวมถงึ พฤติกรรม ของตัวละครแตกตางกัน ทั้งน้ี ขน้ึ อยูกบั ส�านักวัดสังข์กระจายเป็นชื่อส�านักท่ีท่านผู้แต่งบวชอยู่ วัดนี้อยู่ริมคลองบางกอก ประสบการณข องกวแี ตละคน สง ผลให ใหญฝ่ งั่ เหนือ เป็นวดั โบราณ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชทรงสถาปนาใหม่ บทประพันธมคี วามแตกตางกนั ) 214 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู ครูควรเพ่ิมเติมความรูเกยี่ วกับการศกึ ษาประวตั ผิ ูแ ตง รวมกับการวเิ คราะห การศกึ ษาเร่ือง มหาเวสสนั ดรชาดกในขอใด นอกจากนกั เรยี นจะได วิจารณว รรณคดี โดยกลา วถงึ ประสบการณช วี ติ ของผแู ตงถือเปน วตั ถุดบิ สาํ คญั ใน ความรแู ลว ยงั ไดม สี ว นรว มรกั ษาวฒั นธรรมประเพณที ดี่ งี ามของชาตอิ กี ดว ย การสรางสรรควรรณคดี การศกึ ษาวรรณคดคี วบคกู ับประสบการณชีวติ ของผแู ตงจะ ชว ยใหน กั เรยี นเขา ใจบรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรมรว มยคุ สมยั ของกวไี ดเ ปน อยา งดี 1. การฟงเทศนม หาชาติ 2. การศกึ ษาขอ มลู พระไตรปฎ ก 3. การสืบคนขอมูลจากอินเทอรเนต็ 4. การสนทนาธรรมเร่ืองมหาชาติกบั พระสงฆ นกั เรียนควรรู วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. การฟงเทศนม หาชาติ นอกจากจะไดสาระ 1 ทาน การให, มกั ใชป ระกอบทา ยคาํ อนื่ เชน ธรรมทาน วทิ ยาทาน เปน ตน สง่ิ ทใี่ ห ความรูแ ละความบนั เทิงแลว การเขา รว มประเพณีเทศนมหาชาตยิ ังถือ มกั หมายถงึ เงนิ หรอื สง่ิ ของทค่ี นใหแ กค นยากจน เปน ธรรมขอ หนง่ึ ในทศพธิ ราชธรรม เปนการอนุรักษส ืบสานประเพณพี ิธีกรรมของไทยไวไดอีกดว ย 2 มรรคนายก ตามรูปศัพทหมายถงึ ผนู ําทาง คือ ผจู ดั การทางกุศล หรอื ผชู ้ีแจงทางบุญทางกุศลและปาวประกาศใหป ระชาชนมาทําบญุ ทาํ กศุ ลในวัด 214 คมู่ อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ เพื่อพระราชทานเจ้าจอมแว่น หรืออีกนัยหน่ึงเรียกว่า คุณเสือสนมเอก ต่อมาพระบาทสมเด็จ 1. นกั เรยี นรว มกันตอบคําถามเกี่ยวกบั ประวัติ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงปฏสิ ังขรณอ์ ีกคร้งั หน่ึง ผูแตงวรรณคดเี ร่อื ง มหาเวสสนั ดรชาดก ดงั นี้ • นักเรยี นคดิ วา เหตใุ ดกวีทป่ี ระพนั ธวรรณคดี สว่ นทา่ นผแู้ ตง่ กณั ฑช์ ชู กซง่ึ เรยี กวา่ สา� นกั วดั สงั ขก์ ระจาย น้ี สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เรื่อง มหาเวสสนั ดรชาดก สวนใหญจ ึงเปน กรมพระยาดา� รงราชานภุ าพทรงสนั นษิ ฐานวา่ คอื พระเทพมนุ ี (ดว้ ง) แตป่ ระวตั ขิ องพระเทพมนุ ี พระภิกษุสงฆ และสถานะดงั กลาวสง ผลตอ (ดว้ ง) ไมเ่ ปน็ ที่ทราบกันมากนัก ทราบแต่ว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดสังข์กระจาย และ การประพันธว รรณคดีเร่ืองนี้หรือไมอยางไร เปน็ ที่ทราบวา่ในท่านพเ.ปศ็น. ผ๒ู้ค๓งแ๓ก๒่เรยีคนราวมเคี กวิดาอมสรุนคู้ ีบวาามต1สตากมตา้อรงถมยุข2งิ่ พระท่ีน่ั3งอินทราภิเศกมหาปราสาท (แนวตอบ วรรณคดเี รอ่ื ง มหาเวสสนั ดรชาดก (ปจั จบุ นั คอื พระทนี่ งั่ ดสุ ติ มห4าปราสาท) ตดิ เปน็ เพลงิ ไหมข้ น้ึ พระบาทสมเ5ดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก มที ีม่ าจากพระพทุ ธศาสนา กวสี วนใหญจงึ มหาราชทรงพระแสงของา้ วเรง่ ขา้ ราชการดบั เพลงิ จนสงบ แลว้ ทรงปรวิ ติ กวา่ เหน็ จะเปน็ อปั มงคลนมิ ติ เปนพระภิกษสุ งฆ หรือผมู ีความรูความ แกบ่ า้ นเมอื ง พระราชาคณะท่ีเป็นปราชญ์ มีความช�านาญทั้งพุทธศาสตร์และโหราศาสตร์ ต่างได้ เขา ใจในภาษาบาลี เหตุนเี้ รอ่ื งราว ตลอดจน ลงชื่อถวายชัยมงคลให้เบาพระทัยว่าไม่เป็นอัปมงคลแต่อย่างใด หากจะเป็นความปราชัยบังเกิด หลกั คาํ สอนทางพระพทุ ธศาสนา และการ แก่ศัตรูในภายหน้า ซ่ึงรายนามพระสงฆ์ท่ีถวายพระพรคร้ังน้ันมีพระเทพมุนีวัดสังข์กระจายด้วย นาํ เสนอพฤตกิ รรมของตัวละครจึงมีความ รูปหน่ึง นอกจากนี้ พระเทพมุนีรูปน้ียังเคยถวายเทศน์กัณฑ์ชูชกในรัชกาลท่ี ๑ ท้ังยังเคยถวาย แนบเนยี นและสอดคลองกับหลักคาํ สอน) แกข้ อ้ กังขาปัญหาธรรมและพระราชปุจฉาในรัชกาลที่ ๑ อกี ดว้ ย 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมดุ ๒.๓ พระเทพโมล ี (กลิน่ )-กณั ฑม์ หำพน ขยายความเขา้ ใจ Expand ร่ายยาวมหาเวสสนั ดรชาดกกณั ฑ์มหาพนน้ี สันนษิ ฐานว่า พระเทพโมลี (กลิ่น) แต่ง 1. นักเรียนพจิ ารณาขอ ความและอภิปราย ดังน้ี เม่ือปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๕๐ เป็นส�านวนท่ีได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการตรวจช�าระร่ายยาว “ตามคตคิ วามเช่ือของคนไทยทีว่ า เมื่อฟง มหาเวสสนั ดรชาดกในสมยั รัชกาลที่ ๕ ว่าเปน็ ส�านวนดีเยยี่ ม ไพเราะเปน็ เลศิ หาที่ตมิ ิได้ เทศนมหาชาติดว ยความตั้งใจใหจ บภายใน พระเทพโมลี เป็นนามสมณศกั ด์ิ นามเดิมว่า กลนิ่ ประวัตขิ องท่านไมท่ ราบแนช่ ดั วันเดยี ว อานสิ งสจากการฟง เทศนมหาชาติ ทราบแต่เพียงว่ามีชีวิตอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นภิกษุประจ�าส�านักวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ ดงั กลาว จะสงผลใหผูฟง ไดไปเกดิ ในโลก ธนบุรี) ไดเ้ ล่าเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมอย่างกวา้ งขวางจนสอบไลไ่ ด้ชนั้ เปรยี ญ ได้เป็นพระรตั นมุนีใน พระศรีอาริยเมตไตรย สง ผลใหก ารฟงเทศน รชั กาลที่ ๒ และเปน็ พระเทพโมลีในรชั กาลท่ี ๓ สว่ นงานดา้ นวรรณคดี คอื แตง่ (ซอ่ ม) มหาชาติ มหาชาติไดร ับความนิยมเปน อยางมาก” คา� หลวง กณั ฑท์ านกณั ฑ์ และแต่งรา่ ยยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ หาพน • นกั เรียนคดิ วา ความเชอ่ื ถอื ศรทั ธาดงั กลา ว ๒.๔ เจ้ำพระยำพระคลงั (หน)-กัณฑก์ ุมำรและกณั ฑม์ ทั รี มีอทิ ธิพลตอการสรา งสรรคว รรณคดเี ร่อื ง เทศนม หาชาติ อยา งไร เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นบุคคลส�าคัญในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ- (แนวตอบ ความเช่อื ดังกลา วมอี ทิ ธิพลตอ ยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช มีนามเดิมวา่ หน เป็นเสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า เดมิ เปน็ หลวงสรวิชิต การประพนั ธข องกวี โดยกวีคาํ นงึ ถึงคณุ คา เคยโดยเสด็จพระราชด�าเนินการพระราชสงครามในรัชกาลท่ี ๑ จึงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ทางวรรณศลิ ปและทาํ ใหเกดิ บทประพนั ธ พระยาพิพฒั น์โกษา หลายสํานวน เพ่ือสอื่ สารหลักคําสอนให พทุ ธศาสนิกชนไดเขาใจอยางลกึ ซ้งึ และ 215 เปนเคร่ืองกลอมเกลาจิตใจ นอกจากนี้ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ยังเปนการสรา งอานสิ งสและผลบุญตอกวี) 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด นักเรยี นควรรู ขอ ใดกลาวถึงวรรณคดีเรอ่ื ง มหาชาติหรอื มหาเวสสนั ดรชาดกไมถูกตอง 1 อสุนีบาต หรอื อสนบี าต หมายถงึ ฟา ผา 1. มหาชาติมีผแู ตงหลายคน 2 มขุ หมายถึง สว นของตกึ หรอื เรอื นทยี่ น่ื ออกมาสว นใหญม กั อยดู า นหนา 2. มหาชาติปรากฏการแตง หลายสาํ นวน 3 พระท่ีนั่ง ในทนี่ ี้คือ อาคารทป่ี ระทบั ซงึ่ ตามปกติอยใู นพระราชวัง เชน 3. มหาชาติแตละสาํ นวนมกี ลวธิ กี ารแตง แตกตางกัน พระทน่ี ัง่ บรมพมิ าน พระทนี่ ั่งอมั พรสถาน พระทีน่ ่งั ยังหมายถงึ อาคารท่ีเสดจ็ ออก 4. มหาชาติแตละสาํ นวนนําเสนอเนอื้ หาหลกั แตกตา งกัน มหาสมาคม อาทิ พระทนี่ งั่ จักรีมหาปราสาท พระท่ีนั่งอนนั ตสมาคม หรือเปน ที่ประทบั สาํ หรับประทับบนพระแทนราชบัลลงั กภ ายใตเศวตฉตั ร อาทิ พระท่ีนั่ง วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. มหาชาติแตละสํานวนนาํ เสนอเน้อื หาหลกั ภัทรบฐิ หรอื เปน ยานทป่ี ระทบั ในการเสดจ็ พระราชดาํ เนนิ โดยขบวนแหท างบก อาทิ พระทน่ี ั่งราเชนทรยาน แตกตางกัน เปนคาํ กลา วท่ีไมถกู ตอ ง เนื่องจากมหาชาติแมจะปรากฏ ในหลายสํานวน แตเ นอ้ื หาหลกั ยังคงนําเสนอเชนเดียวกัน สาเหตเุ พราะ วรรณคดีเรอ่ื งนเ้ี ปน วรรณคดีศาสนา 4 ของาว หมายถงึ อาวธุ ดามยาวมงี าวอยตู รงปลาย ใตคอของดามมขี อสําหรบั สบั บงั คับชา งได 5 ปริวติ ก หมายถงึ นกึ เปน ทกุ ขห นกั ใจ คู่มอื ครู 215
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูนําบทประพันธม าใหน ักเรยี นรวมกนั ครน้ั ตอ่ มา ตา� แหนง่ เจา้ พระยาพระคลงั วา่ งลง จงึ โปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตง้ั พระยาพพิ ฒั น์โกษา พจิ ารณา จากนน้ั ใหเ ขียนเสนโยงสมั ผัสจากบท ข้ึนเป็นเจ้าพระยาพระคลังแทน เจ้าพ1ระยาพระคลัง (หน) มีบุตรหลาย2คน แต่ไม่ได้รับราชการ ประพันธทย่ี กมา ดังตอ ไปน้ี บุตรชาย 2 คน คนหนึ่งเป็นจินตกวี และอีกคนหนึ่งเป็นครูพิณพาทย์ ส่วนบุตรหญิงคนหนึ่ง “...สา อมิตฺตตาปนา สว นวานางอมิตตดาน้ัน คือเจ้าจอมมารดาน่ิม เป็นเจ้าจอมมารดาของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ใน เปน ลกู เหลาตระกลู ไมเสียชาติ ไมค ดิ วา ตวั เปน รชั กาลที่ ๒ 3 สาวไดผวั แกแลว ก็เปน เมียทาส คดิ วาทกุ ขของ เจา้ พระยาพระคลงั (หน) ไดแ้ ตง่ มหาเวสสนั ดรทเี่ ปน็ มหาชาตกิ ลอนเทศน์ มลี กั ษณะ พอแมกรรมแลวก็ตามกรรม สมฺมา ปฏชิ คฺคิ ค�าประพันธ์เป็นรา่ ยยาวท่ีมคี าถาบาลนี า� แตง่ ไว้ทง้ั หมด ๒ กัณฑ์ คอื กณั ฑก์ มุ ารและกัณฑ์มัทรี เปน ตนวา หาหงุ ตมตกั ตาํ ทุกคา่ํ เชาไมขวยเขิน โดยมจี ดุ ประสงคก์ ารแต่งเพ่อื แสดงธรรมเทศนาให้อบุ าสกและอบุ าสกิ าฟงั ในชว่ งเข้าพรรษา ละอายเพื่อน เวลาเชาเจาก็ทาํ เวลาคา่ํ เจาก็มิ ส�านวนร่ายยาวมหาเวสสันดรของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีความดีเด่นในด้าน ใหเตือน ทงั้ การเรอื นเจากม็ ิใหว า...” วรรณศลิ ปม์ าก และกัณฑ์มัทรีเป็นกัณฑ์ท่ีมีความไพเราะในเชิงโวหาร ใช้ภาษาได้กินใจ ท�าให้ สะเทือนอารมณ์ และยงั มีการใช้อปุ มาโวหาร ทา� ให้เกดิ ภาพพจนช์ ดั เจน 2. นักเรยี นรวมกนั ตอบคําถามเกยี่ วกับลกั ษณะคํา นอกจากนี้ งานนพิ นธข์ องทา่ นยงั มอี กี หลายเรอื่ ง ในสมยั กรงุ ธนบรุ มี ี ลลิ ติ เพชรมงกฎุ ประพนั ธ ดงั ตอ ไปนี้ อิเหนาค�าฉันท์ ส่วนในสมัยรัชกาลที่ ๑ ม4ี โคลงพยุหยาตราเพชรพวง กลอนและร่ายเร่ืองสร้าง • จากกจิ กรรมขางตน นักเรยี นคิดวา รา ยยาว ภเู ขาทองท่วี ดั ราชคฤห์ บทมโหรีเรื่องกากี และท่านยงั เปน็ ผ้อู �านวยการแปลพงศาวดารจนี เร่อื ง มีการบงั คับคณะหรือสัมผัสอยางไร สามก๊ก อนั เลือ่ งช่อื และพงศาวดารมอญเร่อื ง ราชาธิราช ดว้ ย (แนวตอบ รา ยยาวมกี ารบงั คับคณะและสัมผสั แบบไมตายตวั ) 3. นักเรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด ขยายความเขา้ ใจ Expand ๓. ลกั ษณะค�ำประพนั ธ์ 1. นักเรยี นรวมกันอภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปนี้ มหาชาติหรือ5มหาเวสสันดรชาดกส�านวนภาคกลางนิยมแต่งด้วยร่ายยาว เพราะร่ายยาว • นกั เรยี นคดิ วา การใชลักษณะคําประพนั ธ เหมาะแก่การใชแ้ หล่เทศน์ ผเู้ ทศน์จะออกเสียงไดไ้ พเราะและเปลีย่ นท�านองเทศน์ไดห้ ลายอยา่ ง ประเภทรา ยยาวในการประพันธว รรณคดี เรื่อง มหาเวสสนั ดรชาดก สงผลตอ คุณคา ร่ายยาวเป็นการเรียบเรียงถ้อยค�าให้คล้องจองกันเป็นวรรคๆ ในวรรคหนึ่งๆ จะมีค�าตั้งแต่ ทางวรรณศิลปหรอื ไม อยางไร ๖ ค�าขึ้นไป จนถงึ ประมาณ ๑๕ ค�า บงั คบั เฉพาะสมั ผัสระหวา่ งวรรค คอื คา� สดุ ทา้ ยของวรรค (แนวตอบ การใชล ักษณะคําประพันธป ระเภท หน้าจะสง่ สมั ผสั ไปยงั วรรคหลงั ซง่ึ รบั สมั ผสั ไดแ้ ทบทกุ คา� ยกเวน้ คา� ทอ่ี ยทู่ า้ ยวรรค เปน็ เชน่ น้ีไป รายยาวในการประพันธว รรณคดีเรอื่ ง จนจบ แตล่ ะบทจะยาวเทา่ ใดก็ได้ แต่มักไมต่ ่�ากว่า ๕ วรรค มหาชาติหรือมหาเวสสันดรชาดกมคี วาม เหมาะสมในการพรรณนาเนื้อความ เพ่อื ให ร่ายยาวมหาเวสสนั ดร จะยกคาถาบาลนี า� ก่อน แล้วจึงแตง่ ร่ายยาวตาม ดังตัวอย่าง เกิดอารมณค วามรูสึกตา งๆ ไดอยางลกึ ซึง้ และมคี วามหลากหลาย เหมาะสมในการแหล “...สา อมิตฺตตาปนา สว่ นวา่ นางอมิตตดานัน้ เป็นลูกเหล่าตระกลู ไม่เสียชาติ ไมค่ ิดว่าตวั เทศนเพ่ือใหเกดิ ความไพเราะ มอี รรถรส และ เปน็ สาวไดผ้ ัวแก่แลว้ กเ็ ปน็ เมียทาส คิดว่าทกุ ข์ของพอ่ แม่กรรมแลว้ ก็ตามกรรม สมมฺ า ปฏิชคฺคิ สอ่ื อารมณไ ดอยา งเขมขนลกึ ซ้งึ ) เปน็ ตน้ วา่ หาหงุ ตม้ ตกั ต�าทกุ คา่� เชา้ ไมข่ วยเขนิ ละอายเพอื่ น เวลาเชา้ เจา้ กท็ า� เวลาคา่� เจา้ กม็ ใิ หเ้ ตอื น ทงั้ การเรอื นเจา้ กม็ ใิ หว้ า่ ทง้ั ฟนื เจา้ กห็ กั ทง้ั ผกั เจา้ กห็ า เฝา้ ปรนนบิ ตั เิ ฒา่ ชราทกุ เวลากาลนน้ั แล...” 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมุด 216 นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอ ใดกลาวถูกตอ งเกี่ยวกับลักษณะคาํ ประพนั ธเ รือ่ ง มหาชาตหิ รือ 1 จินตกวี หมายถึง กวผี ูมคี วามสามารถในการแตง รอยกรองตามแนวความคิด มหาเวสสนั ดรชาดกสํานวนภาคกลางและสาํ นวนทองถ่นิ และจนิ ตนาการของตนเอง 1. สาํ นวนภาคกลางและสํานวนภาคใตมลี กั ษณะคําประพันธป ระเภท 2 พณิ พาทย คือ ชือ่ เรยี กวงดนตรีไทย ซึ่งประกอบดว ยเคร่ืองเปา คอื ป ผสม รายยาวเชนเดียวกนั กับเครอ่ื งตี ไดแก ระนาดและฆองวงชนดิ ตางๆ เปนหลกั และเครอื่ งกํากบั จงั หวะ 2. ลักษณะคาํ ประพนั ธในสาํ นวนภาคกลางไมเอื้อตอ การพรรณนาความ เชน ฉงิ่ ฉาบ กรับ โหมง ตะโพน กลองทดั กลองแขก และกลองสองหนา เทาสํานวนภาคอีสาน 3 กลอนเทศน เปน คาํ ประพนั ธท ่ีแตงโดยใชภาษาบาลี ซง่ึ เปน ตอนตน ของคาถา 3. สํานวนภาคกลางมลี ักษณะคําประพนั ธป ระเภทที่มกี ารบังคับคณะ ตัง้ ไว แลว แตงความภาษาไทยเปนแบบรา ยยาว และสัมผสั แบบไมต ายตัว 4 กากี เปนตวั ละครเอกในวรรณคดเี รอ่ื ง กากี เนอ้ื หากลาวถงึ หญิงทม่ี ีสามี 4. ลักษณะคําประพันธในสํานวนภาคใตเ หมาะแกการพรรณนาความให หลายคน นอกจากน้ี คําวา “กากี” ยังหมายถงึ หญิงมากชูหลายผัว (เปนคําดา เกดิ อรรถรสและอารมณความรูสึกมากท่สี ดุ มเี คาเรอื่ งมาจาก กากาติชาดก) วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. สํานวนภาคกลางมีลักษณะคาํ ประพนั ธ 5 แหล หมายถึง เทศนมหาชาติเปน ทาํ นองตามแบบในแตละกณั ฑ ประเภทที่มกี ารบังคับคณะและสมั ผัสแบบไมต ายตัว ซ่งึ หมายถึง ลกั ษณะ คําประพนั ธประเภทรายยาว 216 คู่มอื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๔. เรื่องย่อ 1. นักเรียนรวมกันตอบคําถามเกยี่ วกบั เนอื้ เร่ือง ของวรรณคดีเรอ่ื ง มหาเวสสนั ดรชาดก และ ปฐมเหตุ ครูสุมนกั เรยี นเลาเร่ืองยอ ดงั ตอไปน้ี หลงั จากสมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงแสดงยมกปาฏิหารยิ ์ ทา� ใหพ้ ระประยรู ญาตลิ ะทฐิ ิ • นกั เรยี นบอกปฐมเหตหุ รือทม่ี าของเรอ่ื ง ยอมถวายบงั คม กบ็ งั เกดิ ฝนโบกขรพรรษพระภิกษุท้ังหลายจึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ มหาเวสสนั ดรชาดก ตรัสเลา่ ว่า ฝนชนิดนเี้ คยตกมาแลว้ ในอดีต พระองค์จึงทรงแสดงธรรมเร่อื ง มหาเวสสันดรชาดก (แนวตอบ ท่ีมาของเรอ่ื งราวในมหาเวสสันดร หรือเรอื่ งมหาชาติ ท้งั ๑๓ กัณฑ์ ตามลา� ดบั ดังน้ี กณั ฑ์ทศพร กณั ฑ์หมิ พานต์ กณั ฑท์ านกัณฑ์ ชาดกเกิดจากการท่ีพระพุทธเจา แสดง กัณฑ์วนประเวศน์ กัณฑช์ ูชก กัณฑ์จุลพน กณั ฑม์ หาพน กัณฑก์ มุ าร กณั ฑม์ ทั รี กัณฑส์ กั กบรรพ ปาฏิหาริยเมอ่ื ครั้งเสด็จไปโปรด กณั ฑม์ หกาัณราฑช์ทกี่ ัณ๑ฑ ทฉ์ กศษพัตรร1ยิ ม์ แี ๑ล๙ะก พัณรฑะค์นาคถรากณั ฑ์ พระประยูรญาติ เพ่ือเปนการลดทฐิ มิ านะ ณ นิโคกรลธ่าาวรถาึงมปมฐหมาเหวิหตุทาร่ีพรโะดพยุทเรธิ่มองเรคื่อ์ทงรจงาเทกกศานรากเล�า่าเนเริดื่อพงมระหนาาเวงสผสุสันดดีผรู้ถชวาาดยกแแกก่น่ภจิกันษทุทน2ั้ง์บหดลแาดย่ ของพระประยูรญาติทง้ั หลาย และแสดง พระพทุ ธเจา้ พระองคห์ นง่ึ และต้งั จิตปรารถนาวา่ ขอใหไ้ ดเ้ ป็นพระพทุ ธมารดาในอนาคต เมอื่ ได้ ความเคารพพระพุทธองคในฐานะพระสัมมา- บังเกิดในสวรรค์ได้เป็นมเหสีของพระอินทร์ ในกัณฑ์นก้ี ลา่ วถงึ พระนางผสุ ดจี ะตอ้ งจตุ จิ ากสวรรค์ สมั พุทธเจา หลงั จากการถวายความเคารพ พระอนิ ทรจ์ งึ ประทานพร ๑๐ ประการใหพ้ ระนางผสุ ดี ไดแ้ ก่ ๑. ขอใหเ้ กดิ ในกรงุ มทั ราช แควน้ สพี ี อยางสงู สดุ ยังผลใหเ กดิ ฝนโบกขรพรรษ ๒. ขอให้มีดวงเนตรคมงามและด�าขลับดั่งลูกเนื้อทราย ๓. ขอให้คิ้วคมข�าดั่งสร้อยคอนกยูง ซง่ึ ตอ มาพระภิกษทุ ตี่ ามเสดจ็ ไดทลู ถามถึง ๔. ขอใหไ้ ดน้ าม “ผสุ ด”ี ดงั ภพเดมิ ๕. ขอใหม้ พี ระโอรสเกริกเกยี รตทิ ี่สุดในชมพูทวีป ๖. ขอให้ เร่อื งฝนโบกขรพรรษ พระพุทธองคจ ึงทรง พระครรภง์ าม ไมป่ อ่ งนนู ดงั่ สตรสี ามญั ๗. ขอใหพ้ ระถนั เปลง่ ปลงั่ งดงามไมย่ านคลอ้ ยลง ๘. ขอให้ ตรัสตอบวา เคยตกมาแลว ในกาลกอน เสน้ พระเกศาดา� ขลบั ตลอดชาติ ๙. ขอใหผ้ วิ พรรณละเอยี ดบรสิ ทุ ธดิ์ จุ ทองคา� ธรรมชาติ ๑๐. ขอให้ จากนั้นพระพทุ ธเจา จงึ ทรงแสดงธรรม) ไดป้ ลดปลอ่ ยนกั โทษทต่ี ้องอาญาประหารได้ • นกั เรียนเลา เรื่องยอในกณั ฑที่ 1 ทศพร กณั ฑ์ท ่ี ๒ หิมพำนต ์ ม ี ๑๓๔ พระคาถา (แนวตอบ กลา วถงึ พระนางผสุ ดผี ูบําเพญ็ กลา่ วถงึ พระนางผสุ ดซี งึ่ จตุ จิ ากสวรรคล์ งมาประสตู เิ ปน็ พระธดิ ากษัตริย์มัทราช และได้เป็น บารมีจนไดไปเกิดบนสวรรค และกอนที่ พระมเหสีพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งแคว้นสีพ3ี พระนางผุสดีได้ปร4ะสูติพระเวสสันดรในขณะประพาส จะจุติลงมาในโลกมนษุ ยน างไดขอพร 10 ชมพระนคร และขณะน้ันนางช้างฉัททันต์ก็ได้น�าลูกช้างเผือกมาไว้ในโรงช้างต้น ต่อมาลูกช้าง ประการจากพระอนิ ทรผ เู ปน พระสวาม)ี เผอื กตวั นน้ั ไดช้ อ่ื วา่ “ปจั จยั นาเคนทร”์ มคี ณุ วเิ ศษ คอื ทา� ใหฝ้ นตกตอ้ งตามฤดกู าล พระเวสสนั ดร ใฝ่ใจในการบริจาคทาน เมื่อได้เสวยราชสมบัติและอภิเษกกับพระนางมัทรีแล้ว ได้ตั้งโรงทาน 2. นกั เรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ถงึ ๖ แหง่ และเมอื่ พระราชทานชา้ งปจั จยั นาเคนทร์ใหก้ บั ชาวเมอื งกลิงคราษฎร์ ซ่ึงเป็นเมืองที่ แห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพงมาหลายปี ทา� ใหช้ าวเมอื 5งสพี โี กรธและเรยี กรอ้ งใหพ้ ระเจา้ กรงุ สญชยั ขยายความเขา้ ใจ Expand ทรงลงโทษพระเวสสนั ดร พระเจา้ กรงุ สญชยั จึงทรงเนรเทศพระเวสสนั ดรไปจากเมอื ง 1. นกั เรียนรว มกนั อภิปรายในประเดน็ ท่ีวา 217 • การเปดเรอื่ งดว ยปฐมเหตแุ ละกัณฑท ศพร แสดงเน้อื หาอยางไร (แนวตอบ เปน การเปดเร่อื งโดยแสดงถงึ พระบารมีของพระพุทธองคว า ทรงอยเู หนือ สิง่ ใด โดยมีที่มาจากการบําเพญ็ บารมี อยางสงู สดุ ) 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู ทานในขอใดเปน ทานที่กระทําไดยากที่สุด 1 ทศพร พร 10 ประการ, ชอ่ื กณั ฑท่ี 1 ของมหาชาติ วา ดว ยพร 10 ประการ 1. บรจิ าคราชบลั ลังก มาจากคาํ วา “ทศ” หมายถงึ สบิ 2. บริจาคลูกและภรรยา 2 จันทน คือ ชอื่ พรรณไมบางชนิดท่ีมีเน้อื ไม ดอก หรอื ผลหอม ใชทาํ ยาและ 3 บรจิ าคสง่ิ ศกั ดิ์สิทธิ์คบู านคเู มอื ง ปรงุ เคร่ืองหอม 4. บรจิ าคทรัพยส มบตั ิทัง้ หมดท่ตี นมี 3 ฉทั ทนั ต คือ ชอื่ ชา งตระกูล 1 ใน 10 ตระกูลเรยี กวา ฉทั ทันตหตั ถี กายสีขาว บรสิ ุทธิ์ดั่งสีเงนิ ยวง แตป ากและเทาสแี ดง วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. บรจิ าคลูกและภรรยา ถอื เปนการบริจาคท่ี 4 ชา งเผอื ก คือ ชางในตระกลู ชาติพรหมพงศ อิศวรพงศ พิษณพุ งศ หรือ อัคนพิ งศ ท่มี ลี กั ษณะ 7 สี คอื ขาว เหลือง เขียว แดง ดาํ มวง เมฆ และมีตา ยากท่ีสุดเน่ืองจากสองสง่ิ น้เี ปน สิ่งทร่ี กั มากที่สดุ เล็บ ขน เปนตน 5 เนรเทศ บงั คบั ใหอ อกไปเสยี จากประเทศหรอื ถน่ิ ทอ่ี ยขู องตน โดยปรยิ าย หมายถงึ การออกจากประเทศหรือถิน่ ท่ีอยูเดมิ ดวยความสมัครใจ เชน เนรเทศ ตวั เอง เปน ตน แผลงมาจาก นริ เทศ คมู่ ือครู 217
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนรวมกนั ตอบคําถามเกยี่ วกบั เน้ือเรอื่ ง กณั ฑท์ ่ี ๓ ทำนกัณฑ ์ ม ี ๒๐๙ พระคาถา ของวรรณคดีเรอื่ ง มหาเวสสันดรชาดก และครู สุมนกั เรียนเลาเรื่องยอในแตละตอน ดงั ตอ ไปน้ี กรงุ สญชเรมยัุ่งมอื่ขพไึ้นิ ดรพต้ะรรนะสัาเตงวผอสบสุสดันพทีดรรระงทนทรารงงาบจบง�ึาวเเสา่พพด็ญจ็รสไะปเัตวทตสพ่ีสสดรนั ะกดตมรา� ถหหกู านเทกนั าพรนเ2รทะศเแวลสพ้วสจรนั ะึงดนพราาแงพลไดะรทะ้ทนรูลงาขรงา�อมพโัททนั 1รษตีแา่ ลงแะๆสตอน่พงารกนะุมาเจา้าร • การท่ีพระเวสสันดรทรงบรจิ าค “ชางปจ จัย เข้าไปทลู ลาพระเจ้ากรงุ สญชยั พระเจา้ กรงุ สญชยั ทรงหา้ มพระนางมทั รมี ิใหต้ ดิ ตามไปดว้ ย เพราะ นาเคนทร” ซ่ึงมคี ุณวิเศษ คือ กอใหเกิดฝน จะไดร้ บั ความลา� บากในปา่ แตพ่ ระนางมัทรีก็ทูลถึงเหตุผลอันเหมาะสมท่ีพระนางจะต้องตามเสด็จ ตกตอ งตามฤดกู าลใหแ กช าวเมอื งกลงิ คราษฏร พระเวสสันดรในคร้ังน้ี พระเจ้ากรุงสญชัยจึงขอสองกุมารให้อยู่กับพระองค์ แต่พระนางมัทรีก็ไม่ สง ผลใหชาวเมอื งสพี โี กรธและเนรเทศ ยนิ ยอม จากนั้นทงั้ สี่พระองค์ก็ได้เสดจ็ ไปทลู ลาพระนางผสุ ดี รงุ่ ขนึ้ พระเวสสันดรให้พนกั งานเบิก พระเวสสันดรออกจากเมอื ง นักเรยี นคิดวา แก้วแหวนเงินทองบรรทุกรถเสด็จออกจากเมือง ทรงโปรยแก้วแหวนเงินทองเหล่านั้นเป็นทาน เนื้อหาตอนนีแ้ สดงใหเ ห็นความไมเขา ใจ แก่ยาจกโดยท่ัวหน้า แล้วจึงตรัสส่ังให้เสนาอ�ามาตย์กลับคืนมายงั เมอื ง สว่ นพระองค์พรอ้ มทงั้ เกี่ยวกบั การบริจาคทานระหวางชาวเมอื ง พระนางมทั รแี ละกณั หาชาลกี ม็ งุ่ สปู่ า่ มพี ราหมณม์ าทลู ขอรถทรงและมา้ ทรง พระองคก์ ท็ รงบรจิ าคให้ สีพี ซึง่ ถอื เปนตัวแทนของคนทั่วไปกบั พระ จนหมดสนิ้ พระเวสสนั ดรจงึ อมุ้ พระชาลแี ละพระนางมทั รอี มุ้ พระกณั หาเสด็จพระดา� เนินต่อไปด้วย เวสสันดรอยา งไร พระบาท (แนวตอบ แสดงใหเ หน็ ความขดั แยงจากความ ไมเ ขา ใจในการบาํ เพ็ญทานบารมี ระหวา ง กกลณั ่าวฑถ์ทึงกี่ ๔าร เวดนินปทารงะขเอวงศพนร ์ะ เมว ีส๕ส๗ัน ดพรรไปะคยาังถเขาาวงกต3 ซ่ึงมีพระนางมัทรีและชาลีกัณหา พระเวสสันดรและปุถชุ นทว่ั ไป รวมทง้ั ผลจาก อันเป็นพระโอรสและพระธิดาตามเสด็จด้วย ได้พบกับเจ้าเมืองเจตราษฎร์ เจ้าเมืองเจตราษฎร์ การบําเพ็ญทานบารมใี นการเสยี สละความสุข มอบให้พรานเจตบตุ รเปน็ ผ้ดู ูแลมิใหใ้ ครเดนิ ทางไปรบกวนพระเวสสันดรทเ่ี ขาวงกต สวนตน เพ่อื ผลประโยชนรวมท้ังความสขุ ของ คนสว นใหญ ดังเชน การบริจาคชา งปจ จยั - กัณฑท์ ี่ ๕ ชูชก ม ี ๗๙ พระคาถา นาเคนทรใหแ กช าวเมอื งกลงิ คราษฏร) ถึงแก่ชรกาลจ่าึงวรถวึงบพรรวามหเงมินณได์ผ้ถหู้ ึงนร่ึง้อชย่อื กวษ่าาปชณชู 4ก์ เปน็ คนเขญ็ ใจไรญ้ าตเิ ท่ียวเรร่ อ่ นขอทาน จนกระทั่ง 2. นกั เรยี นบันทึกความเขาใจลงในสมุด เห็นว่าถ้าเก็บไว้กับตัวก็จะเป็นอันตราย จึงน�าไปฝาก ขยายความเขา ใจ Expand กบั เพอ่ื นคนหนงึ่ แลว้ กเ็ ทย่ี วขอทานตอ่ ไป เวลาลว่ งเลยมาหลายปี เพอ่ื นผรู้ บั ฝากเงนิ ไวเ้ หน็ วา่ ชชู ก 1. นกั เรียนรว มกันอภิปรายในประเด็น ตอไปน้ี ไม่กลับมาคงจะล้มตายไปแล้ว จึงได้น�าเงินที่ชูชกฝากไว้ไปจับจ่ายจนหมดส้ิน เม่ือชูชกกลับมา • นกั เรยี นคดิ วา ความแตกตางในการบรจิ าค ทานระหวา งพระเวสสนั ดรและชาวเมืองสพี ี เพื่อนคนน้ันไม่มีเงินให้จึงต้องยกลูกสาวชื่อนางอมิตตดาให้เป็นภรรยาชูชก นางอมิตตดา สงผลตอการดาํ เนินเรือ่ งอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ ปรนนิบัติสามีตามหน้าที่ของภรรยาที่ดีทุกอย่าง จนท�าให้พราหมณ์อื่นๆ ในหมู่บ้านนั้นตบตีดุด่า เห็นไดอยางหลากหลายขน้ึ อยกู ับเหตุผลของ นักเรยี น เปน ตน วา สง ผลตอการดาํ เนินเรื่องท่ี ภรรยาของตนใหป้ ระพฤตติ ามอยา่ งนางอมติ ตดา บรรดาภรรยาทง้ั หลายต่างก็โกรธเคืองหาว่านาง มคี วามเขม ขน และเปนการชีใ้ หเหน็ ความยาก ลําบากในการบําเพญ็ ทานบารมีของ อมิตตดาเป็นต้นเหตุ จึงพากันไปเยาะเย้ยถากถางนางอมิตตดาขณะท่ีนางลงไปตักน�้าท่ีท่าน�้า พระเวสสนั ดร) ทา� ใหน้ างอมิตตดารสู้ ึกอบั อาย จงึ กลบั มาบอกกับชชู กวา่ ต่อไปน้นี างจะไมท่ �างานอะไรอกี ชชู กจะ 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ต้องไปหาข้าทาสมาให้นาง มิฉะนั้นนางจะไม่อยู่ด้วย เทพเจ้าได้เข้าดลใจนางให้แนะชูชกไปขอ พระกัณหาชาลีมาเป็นทาส ชูชกจ�าใจต้องไป ก่อนออกเดินทางชูชกก็จัดการซ่อมแซมบ้านให้ 218 นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT การท่พี ระนางมทั รีพรอมดวยพระกณั หาชาลีตามเสดจ็ พระเวสสันดรออก 1 รําพนั พร่ําพรรณนาตามอารมณ เชน เขาราํ พนั ถึงความทุกขข องตน แม จากเมอื ง แมว า พระเจา กรุงสญชยั และพระนางผุสดจี ะมาทัดทานอยางไร รําพันแตความดขี องลกู กต็ าม เหตุการณน ี้สะทอ นคณุ ธรรมในการครองคูของพระนางมัทรสี อดคลอง 2 สตั ตสดกมหาทาน อานวา สัต-ตะ-สะ-ดก-มะ-หา-ทาน มาจากคําวา สัตตะ กับขอใด ที่แปลวา เจด็ สดก มาจากคาํ วา สตกะ ทแี่ ปลวา หน่ึงรอ ย หมายถงึ การบริจาค 1. ความซือ่ สตั ย สงิ่ ของเปน ทานเจ็ดอยาง โดยใหอ ยา งละ 700 ประกอบดวย 1.ชา ง 700 เชอื ก 2. การรวมทุกขร ว มสุข 2. มา 700 ตวั 3. โคนม 700 ตวั 4. ราชรถ 700 คัน 5. นางสนมซงึ่ เปน หญงิ ผดู ี 3. ความเขาใจซ่ึงกันและกนั มสี กลุ จํานวน 700 นาง 6. ทาสชาย 700 คน 7. ทาสหญิง 700 คน 4. ความเหน็ อกเหน็ ใจซง่ึ กันและกัน 3 วงกต คือ ชอ่ื ภูเขาลูกหนึ่งในเรือ่ งมหาเวสสันดรชาดก ซง่ึ มที างเขาออกวกวน วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. การรวมทุกขรว มสขุ เนอ่ื งจากพระนางมัทรี อาจทําใหหลงทางไดหรือเรยี กสนั้ ๆ วา เขาวงก ความหมายโดยนัย หมายถึง มีความยนิ ดใี นการบรจิ าคทานบารมีของพระเวสสันดร รวมถงึ ยนิ ดที ี่จะ วกวนหาทางออกไมไ ด เผชิญกับความทุกขแ ละดแู ลปรนบตั ิ เพ่อื ใหก ารบาํ เพญ็ พระบารมบี รรลผุ ล 4 กษาปณ คือ เงนิ ตราในอดีต ทําดว ยโลหะ 218 คมู ือครู
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ แข็งแรง และให้โอวาทนางอมิตตดา ส่วนนางก็จัดเสบียงท่ีจะเดินทางไว้พร้อม ชูชกแปลงเพศ 1. นักเรยี นรวมกันตอบคําถาม ตอ ไปน้ี เป็นชปี ะขาว แลว้ ก็ออกเดนิ ทาง พบผคู้ นทไี่ หนกส็ อบถามเรอื่ งพระเวสสนั ดรเรอื่ ยไป พวกชาวเมอื ง • เหตใุ ดนางอมิตตดาจงึ ตอ งการใหช ชู กไปขอ โกรธคดิ วา่ ชชู กจะตอ้ งไปขออะไรจากพระเวสสนั ดรอกี จงึ ชว่ ยกนั ทา� รา้ ยชชู กจนตอ้ งหนกี ระเจดิ กระเจิง กัณหาและชาลีมาเปนทาส เข้าป่าไป เทวดาดลใจให้ชูชกเดินทางไปพบกับพรานเจตบุตรท่ีกษัตริย์เจตราษฎร์มอบหมายให้ (แนวตอบ เน่ืองจากนางอมติ ตดาปรนนิบัติ คอยดูแลมิให้ใครไปรบกวนพระเวสสันดร ชูชกหลอกพรานเจตบุตรว่าบัดนี้ประชาชนเมืองสีพี สามตี ามหนาทขี่ องภรรยาทด่ี คี รบถวน หายโกรธเคืองพระเวสสันดรแล้ว พระเจ้ากรุงสญชัยใช้ให้เป็นทูตถือพระราชสาส์นไปเชิญเสด็จ ทุกอยาง พราหมณอ่นื ๆ จงึ ตองการให พระเวสสันดรกลับพระนคร พรานเจตบตุ รหลงเชอื่ จึงบอกเสน้ ทางทีจ่ ะไปสเู่ ขาวงกตแกช่ ูชก ภรรยาของตนเอาอยางนางอมิตตดา บรรดา ภรรยาของพราหมณทัง้ หลายตางโกรธเคือง พกรัณานฑเจท์ ต ี่ บ๖ตุ รจหุลลพงกนล ช ชูมกี ๓ท๕อ่ี า้พงรวะา่ คกาลถกั1าพรกิ กลกั งาเปน็ พระราชสาสน์2ของพระเจา้ กรงุ สญชยั โดยถือวา นางอมติ ตดาเปน ตนเหตุ จึงทาํ จะน�าไปถวายพระเวสสันดร พรานเจตบุตรจึงต้อนรับและเล้ียงดูชูชกเป็นอย่างดีและได้พาไปยัง การเยาะเยย ถากถางนางอมติ ตดาใหเกิด ตน้ ทางทจี่ ะไปอาศรมฤๅษี ความอบั อาย เทพเจา จงึ เขา ดลใจนางให แนะชชู กไปขอพระกัณหาชาลมี าเปนทาส) กัณฑท์ ี่ ๗ มหำพน ม ี ๘๐ พระคาถา ชูชกเดินทางไปถึงอาศรมของพระอัจจุตฤๅษี แล้วหลอกลวงพระฤๅษีว่า ตนเคยคบหา 2. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด สมาคมกับพระเวสสันดรมาก่อน เม่ือพระองค์จากมานานจึงใคร่จะเย่ียมเยียน พระฤๅษีหลงเช่ือ ขยายความเขา้ ใจ Expand จึงให้ชูชก3พักแรมที่อาศร4มหนึ่งคืน รุ่งข้ึนก็อธิบายหนทางที่จะเดินทางว่า จะต้องผ่านภูเขา คันธมาทน์และสระมุจลินท์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับพระอาศรมของพระเวสสันดร ชูชกจึงลาพระฤๅษี 1. นกั เรียนรวมกนั อภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปน้ี เดนิ ทางต่อไป • การทเี่ ทพเจา เขาดลใจนางอมิตตดา เพื่อให กณั ฑท์ ่ ี ๘ กมุ ำร ม ี ๑๐๑ พระคาถา นางแนะนาํ ชชู กใหไ ปขอพระกณั หาและ พระชาลีมาเปนทาสน้ัน นกั เรียนคดิ วา ชูชกเข้าไปขอสองกุมาร พระเวสสันดรพระราชทานให้ สองกุมารรู้ความจึงหนีไปอยู่ใน นางอมิตตดาประพฤติผดิ หรือไม อยา งไร สระบัว พระเวสสันดรตามไปพูดจาให้สองกุมารเข้าใจ สองกุมารจึงขึ้นจากสระบัว ชูชกพาสอง (แนวตอบ นกั เรยี นตอบไดหลายแนวทาง กมุ ารเดนิ ทางโดยเร่งรีบดว้ ยเกรงวา่ หากพระนางมทั รกี ลับจากหาผลไม้ก่อนจะเสียการ เปน ตนวา เปนความผิดเน่ืองจากเปน การ กัณฑท์ ี ่ ๙ มัทรี ม ี ๙๐ พระคาถา ไปขอสิ่งทีร่ กั ที่สุดจากผูบําเพ็ญบารมี อกี ประการสําคญั คือ การที่เทพเจาดลใจถือ เมอ่ื ชชู กพาสองกมุ ารออกไปพน้ พระอาศรมแลว้ เทพทง้ั ปวงกว็ ติ กว่า ถ้าพระนางมทั รกี ลับ เปน การหาทางออกใหแกพ ฤติกรรมของตวั มาแต่ยังวันก็จะต้องรีบติดตามหาสองกุมารเป็นแน่ พระอินทร์จึงมีเทวบัญชาให้เทพสามองค์ ละครซ่ึงถอื เปนความสมเหตุสมผลตามขนบ จ�าแลงเป็นเสอื และราชสหี ์ไปขวางทางเดนิ ของพระนางมทั รไี ว้ สว่ นพระนางมทั รรี ู้สึกเป็นทุกข์ถึง วรรณคดีไทย หรือในอกี แนวทางหน่งึ อาจ สองกุมารเป็นอันมาก เก็บผลไม้ตามแต่จะได้แล้วก็รีบกลับพระอาศรม มาพบสัตว์ท้ังสามขวาง ตอบวา ไมผ ิด เน่อื งจากการกระทาํ ของ หนา้ อยกู่ ว็ งิ วอนขอทาง จนพลบคา่� สัตวท์ ้ังสามจึงหลีกทางให้ เมอื่ มาถงึ พระอาศรม พระนางมอง นางอมิตตดามิไดเ กดิ จากเจตนาของนาง หาสองกุมาร แตไ่ ม่พบ จงึ ไปถามพระเวสสนั ดร พระเวสสนั ดรเกรงวา่ ถา้ บอกไป พระนางมทั รจี ะ หรือมิไดเกิดจากเจตจาํ นงเสรขี องนางเอง โศกเศร้ามากยิ่งขึ้นไปอีก จึงแสร้งพูดแสดงความหึงหวงขึ้นเป็นท�านองระแวงที่นางกลับมาจน หากแตเกิดจากการดลใจของเทพเจา ) 219 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู สาเหตทุ น่ี างอมิตตดาแนะชูชกไปขอพระกัณหาและพระชาลสี ะทอนความ 1 กลัก หมายถงึ ส่งิ ทที่ าํ เปนรูปคลา ยกระบอกสําหรบั บรรจขุ องเล็กๆ นอ ยๆ เช่ือใดในสงั คมไทย หรือของขนาดเล็ก มีฝาสวมปาก เชน กลกั พริก กลกั เกลือ เปน ตน 2 สาสน คาํ สง่ั คาํ สั่งสอน เชน สาสนธรรม หรือจดหมายของประมุขของ 1. ความเชอ่ื เรอ่ื งกรรม ประเทศหรือประมขุ สงฆท ี่ใชใ นการเจรญิ สมั พันธไมตรีระหวา งประเทศ ถาเปน 2. ความเชอ่ื เร่อื งโชคลาง จดหมายของพระมหากษตั ริย เรียกวา พระราชสาสน เขยี นเปน พระราชสาสน 3. ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร หรอื พระราชสาสน ก็ได ถา เปน จดหมายของประธานาธิบดี เรียกวา อักษรสาสน 4. ความเช่อื เร่ืองเทพเจาและอาํ นาจเหนอื ธรรมชาติ เขียนเปน อกั ษรสาสนหรือ อักษรสาสน ก็ได ถาเปนจดหมายของสมเด็จ พระสงั ฆราช เรยี กวา สมณสาสน ถาเปน จดหมายของสมเดจ็ พระสังฆราชเจา วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ความเช่อื เรื่องเทพเจาและอํานาจเหนือ เรียกวา พระสมณสาสน 3 คนั ธมาทน เปนชอื่ ภเู ขา เรียกวา ภเู ขาคันธมาทน คอื ภูเขาผาหอม ธรรมชาติ เนือ่ งจากสาเหตุทีน่ างอมิตตดาใหชชู กเดินทางไปขอพระกณั หา และพระชาลีนนั้ มีสาเหตมุ าจากการดลใจของเทพเจา สะทอนความเชือ่ เร่อื ง 4 มุจลนิ ท หมายถึง ตน จกิ ในที่น้ีหมายถึง ชือ่ สระใหญใ นปาหิมพานต ซ่งึ ขอบ เทพเจาในสังคมไทย สระประกอบดวยตน จกิ คู่มอื ครู 219
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนรว มกันพจิ ารณาขอ ความ พรอมตอบ มืดคา่� พระนางมทั รเี จบ็ ใจก็คลายความโศกลง เทย่ี วตามหาสองกมุ ารไปทกุ หนทกุ แหง่ แตไ่ มพ่ บ คําถาม ตอ ไปนี้ จงึ กลบั มายงั พระอาศรมของพระเวสสนั ดร แลว้ สลบไปดว้ ยความโศกเศรา้ และสิน้ แรง เม่อื พระเวส- “พระเวสสันดรเลาใหพ ระนางมัทรีฟงถึง สันดรแก้ไขจนพระนางมัทรีฟื้น พระเวสสันดรจึงเล่าให้ฟังว่าได้บริจาคบุตรเป1็นทานแก่พราหมณ์ การบริจาคบุตรเปน ทานแกพ ราหมณเฒา เฒ่าไปแล้ว พระนางมัทรีก็มิได้เศร้าโศก แต่กลับชื่นชมกับมหาบริจาคทานของพระเวสสันดร พระนางมัทรกี ม็ ไิ ดเ ศรา โศก แตก ลบั ช่นื ชมกับ ด้วยศรทั ธาอันเป่ียมลน้ มหาบริจาคทานของพระเวสสันดรดวยศรทั ธา อนั เปยมลน” และ “พระเจากรงุ สพี ีพระราชทาน กัณฑ์ท ่ี ๑๐ สกั กบรรพ ม ี ๔๓ พระคาถา คาไถค นื กุมารท้งั สองจากชูชก หลงั จากนัน้ ชูชกกถ็ งึ แกค วามตายเพราะกินอาหารมากเกนิ พระอนิ ทรเ์ กรงวา่ หากมีใครมาขอพระนางมทั รจี ากพระเวสสนั ดร ก็จะท�าให้พระเวสสันดร ขนาด” บ�าเพ็ญภาวนาไม่สะดวก ด้วยไม่มีผู้คอยปรนนิบัติ ดังน้ัน พระอินทร์จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์ • จากขอความทก่ี ลา วมาขางตน นกั เรยี นคดิ วา เฒ่าลงมาขอและได้ให้พรแปดประการแก่พระเวสสันดร รวมท้ังยังฝากฝังพระนางมัทรีไว้ให้อยู่ ปรนนิบตั พิ ระเวสสนั ดรดว้ ย พระเวสสันดรและชชู กมคี วามแตกตางกนั ใน ดานใดบา ง อยา งไร กัณฑ์ท ี่ ๑๑ มหำรำช ม ี ๖๙ พระคาถา (แนวตอบ พระเวสสันดรและชูชกมคี วาม แตกตา งกันท้งั ดานนสิ ัยและพฤติกรรม เม่ือเดินทางผ่านป่าใหญ่ ชูชกผูกสองกุมารไว้ท่ีโคนต้นไม้ ส่วนตนเองปีนข้ึนไปนอนบน เน่ืองจากพระเวสสนั ดรเปน ผทู ่ีมีจิตใจกวาง ต้นไม้ เหลา่ เทพเทวดาจึงแปล2งรา่ งลงมาปกปอ้ งสองกมุ ารใหเ้ ดนิ ทางถงึ กรงุ3สพี โี ดยปล4อดภยั ขณะ ขวาง บรจิ าคทานบารมี แมกระทงั่ การบริจาค เดยี วกนั พระเจา้ กรงุ สพี เี กดิ นมิ ติ ฝนั ซ่ึงตามค�าท�านายน้ันน�ามายังความปีติปราโมทย์แก่พระองค์ ส่ิงทตี่ นเองรกั ทีส่ ดุ ได แตกตา งจากชชู กทีม่ ี ยิง่ นัก นิสยั ตระหนถ่ี ี่เหนียวปรารถนาสิ่งตา งๆ ท่ี ตนเองมไิ ดเปน เจา ของ แมจะทราบอยแู ลววา เม่ือเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้า พระเจ้ากรุงสีพีก็ทอดพระ5เนตรเห็นชูชกและกุมาร สิ่งน้ันเปนสง่ิ ทีผ่ ูอน่ื รกั และหวงแหนมากท่สี ุด ท้ังสองพระองค์ คร้ันทรงทราบความจริง พระองค์จึงพระราชทานค่าไถ่คืน หลังจากนั้นชูชกก็ กต็ าม) ถึงแก่ความตายเพราะกินอาหารมากเกินขนาด แล้วพระชาลีก็ทูลพระเจ้ากรุงสีพีเพ่ือขอให้ไปรับ 2. นักเรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ พระบิดาและพระมารดาให้นิวัติคืนพระนคร ในขณะเดยี วกนั เจา้ นครกลงิ คราษฎร์ไดค้ นื ชา้ งปจั จยั - นาเคนทรแ์ กน่ ครสพี ี ขยายความเขา้ ใจ Expand กณั ฑท์ ่ี ๑๒ ฉกษตั รยิ ์ ม ี ๓๖ พระคาถา เขาวงกตพระเสเจียา้ งกโรหงุ ่รสอ้ญงชขยัอยงกททหพั าไรปทร้ังบั สพเ่ี หระลเ่าว6ทสสา� นใั หดพ้รรโะดเยวใสชสเ้ วนั ลดารท๑รเงดคอื ิดนวา่ กเปับน็ ๒ข๓า้ ศึกวันมาจโจึงมเดตนิ ีนทคารงสถพี งึ ี 1. นักเรียนรวมกนั อภปิ รายในประเด็น ตอไปนี้ • นกั เรยี นคดิ วา พฤตกิ รรมทม่ี คี วามแตกตา งกนั จึงชวนพระนางมัทรีข้ึนไปแอบดูที่ยอดเขา พระนางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดาจึงได้ ระหวางพระเวสสันดรและชูชกสงผลตอการ ดําเนินเรอื่ ง ตลอดจนการนําเสนอเนอ้ื หา ตรสั ทลู พระเวสสนั ดร และเมอ่ื ทงั้ หกกษตั รยิ ์ไดพ้ บกนั ทรงกนั แสงสดุ ประมาณ รวมทง้ั ทหารเหลา่ ทพั อยา งไร ทา� ใหป้ า่ ใหญส่ นั่นคร่ันครืน พระอินทร์จึงได้ทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาประพรมหก (แนวตอบ เปน การสรางตวั ละครในลกั ษณะ กษัตรยิ ์ใหห้ ายเศรา้ โศกและฟน้ื พระองค์ คตู รงขา ม เพือ่ เนน ยาํ้ เน้ือหาสําคญั คือ การบรจิ าคทานบารมี) 220 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู 1 มหาบริจาคทาน หมายถึง การบริจาคทาน มี 5 อยา ง คอื ธนบรจิ าค (สละ มหาเวสสนั ดรชาดกใหขอ คดิ สําคัญในเรื่องใดมากที่สุด ทรพั ยส มบัตเิ ปนทาน) องั คบรจิ าค (สละองคาพยพเปน ทาน) ชวี ิตบริจาค (สละ 1. ความเมตตา ชวี ิตเปน ทาน) บุตรบริจาค (สละบุตรเปนทาน) ภริยาบริจาค (สละภรรยาเปนทาน) 2. ความตง้ั ใจมั่น 2 นิมติ เครอ่ื งหมาย ลาง เหตุ เคา มลู 3. การบรจิ าคทาน 4. ความอดทนอดกลน้ั 3 ปติ ความปลาบปลมื้ ใจ ความอมิ่ ใจ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. การบรจิ าคทาน เนื้อหาหลกั ของวรรณคดี 4 ปราโมทย ความบันเทงิ ใจ ความปล้มื ใจ ปราโมช ก็ใช เร่อื งนี้ แสดงใหเ หน็ ความสาํ คัญของการบริจาคทาน 5 ไถ หมายถงึ ชําระหนเ้ี พื่อถอนคนื ทรัพยส นิ ทจี่ าํ นําไว ในทนี่ ห้ี มายถงึ ให ทรัพยสนิ หรือประโยชนเพอ่ื แลกเปลี่ยนเสรภี าพของผถู กู เอาตัวไป 6 ทหารทงั้ สเ่ี หลา หรือจตรุ งคเสนา เสนา 4 เหลา คอื หตั ถานึก (เหลาชา ง) รถานึก (เหลา รถ) อัศวานกึ (เหลา มา ) ปตตานกึ (เหลาราบ) 220 คูม่ อื ครู
กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวEvจaสluอatบe ผล Engage Explore Explain Expand ขยายความเขา้ ใจ Expand กณั ฑ์ท่ี ๑๓ นครกัณฑ ์ มี ๔๘ พระคาถา 1. นกั เรยี นรวมกันอภปิ รายในประเดน็ ตอ ไปนี้ กษัตริย์ท้ังหกยกพลกลับคืนสู่พระนคร หลังจากที่พระเจ้ากรุงสญชัยตรัสสารภาพผิด • นกั เรียนคดิ วา การบําเพญ็ ทานบารมแี ละ พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมท้ังพระนางมัทรี เม่ือเสด็จถึงนครสีพีจึงรับส่ังให้ชาวเมือง การดํารงตนอยูในหลกั ทศพธิ ราชธรรมของ ปล่อยสัตว์ที่กักขัง ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตน่ื มารบั พระเวสสันดรสง ผลตอการปกครองบาน บริจาคทาน พระองค์จะประทานส่ิงใดให้แก่ประชาชน ท้าวโกสีย์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว เมืองของพระองคอ ยางไร ๗ ประการ ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนมา (แนวตอบ การบําเพ็ญทานบารมขี อง ขนเอาไปตามปรารถนา ท่ีเหลือใหข้ นเขา้ พระคลงั หลวง พระเวสสนั ดรสงผลใหเ กิดความสงบสขุ ในกาลตอ่ มาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบตั ิปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรม บ้านเมอื ง ในบานเมืองและประชาชนท่อี ยูใ ตรม ร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ พระบารมอี ยา งผาสกุ เนอ่ื งจากพระ เวสสันดรทรงปกครองบานเมอื งโดยธรรม สรรพส์ าระ และในการบาํ เพญ็ ทานบารมนี ้นั ถือเปน การลดขัตตยิ มานะความเปนกษัตรยิ ทศบารมใี นมหาชาติ รวมถงึ ลดการถือประโยชนส วนตนเปนใหญ ๑. ทานบารม ี ทรงบรจิ าคทรพั ยส์ นิ ชา้ ง มา้ ราชรถ พระมเหสี และพระกมุ ารทงั้ สอง โดยยดึ ถอื ประโยชนของผูอื่นโดยเฉพาะผล ๒. ศีลบารม ี ทรงรกั ษาศีลอยา่ งเครง่ ครัดระหว่างทรงผนวชอยู่ ณ เขาวงกต ประโยชนข องประชาชนเปน ที่ต้ัง) ๓. เนกขัมมบารมี ทรงครองเพศบรรพชิตตลอดเวลาประทบั ณ เขาวงกต ๔. ปัญญาบารมี ทรงบา� เพ็ญภาวนามยั ปญั ญาตลอดเวลาทีท่ รงผนวช 2. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ๕. วิรยิ บารมี ทรงปฏิบตั ิธรรมมิไดย้ ่อหยอ่ น ๖. สจั จบารม ี ทรงลน่ั พระวาจายกพระกมุ ารใหช้ ชู ก เมอ่ื พระกมุ ารหลบหนกี ท็ รง ตรวจสอบผล Evaluate ตดิ ตามให้ 1. นักเรยี นอธิบายประวัติความเปนมาได ๗. ขนั ตบิ ารม ี ทรงอดทนตอ่ ความยากลา� บากตา่ งๆ ขณะทเี่ ดนิ ทางมายงั เขาวงกต 2. นักเรียนอธิบายภาพสะทอนสังคมดาน และตลอดเวลาทป่ี ระทบั ณ ทน่ี นั่ แมแ้ ตต่ อนทที่ อดพระเนตรเหน็ คตคิ วามเชอื่ จากประเพณกี ารเทศนม หาชาตไิ ด ชชู กเฆี่ยนตพี ระกุมารอย่างทารณุ พระองคก์ ็ทรงข่มพระทยั ไวไ้ ด้ 3. นักเรียนอธิบายลักษณะเดนและเปรียบเทียบ ๘. เมตตาบารมี เมอื่ พราหมณเ์ มอื งกลงิ คราษฎรม์ าทลู ขอชา้ งปจั จยั นาเคนทร์ เนอ่ื งจาก ฝนแล้ง ก็ทรงพระเมตตาประทานให้ และเม่ือชูชกมาทูลขอสอง ลักษณะทางวรรณศิลป ตลอดจนภาพสะทอน กมุ ารอา้ งวา่ ตนไดร้ บั ความลา� บากตา่ งๆ พระองคก์ ป็ ระทานใหด้ ว้ ย สงั คมจากวรรณคดมี หาชาตใิ นภมู ภิ าคตา งๆ ได ๙. อเุ บกขาบารม ี เมอื่ ทรงเหน็ พระกมุ ารทง้ั สองถกู ชชู กเฆยี่ นตี ทรงบา� เพญ็ อเุ บกขา 4. นักเรยี นอธบิ ายภาพสะทอนสังคมและ คอื ทรงวางเฉย เพราะทรงเหน็ วา่ ไดป้ ระทานเปน็ สทิ ธข์ิ าดแกช่ ชู ก คตคิ วามเชื่อจากประวตั ผิ ูแ ตง เทศนม หาชาติ ไปแล้ว ภาคกลางได ๑๐. อธษิ ฐานบารมี คอื ทรงตงั้ ม่ันทีจ่ ะบ�าเพ็ญบารมเี พื่อใหส้ �าเรจ็ โพธญิ าณเบ้ืองหน้า 5. นกั เรียนอธิบายลกั ษณะเดนทางวรรณศลิ ปข อง กม็ ไิ ด้ทรงย่อทอ้ จนพระอนิ ทรต์ อ้ งประทานความช่วยเหลอื ต่างๆ วรรณคดปี ระเภทรา ยยาวได 6. นกั เรยี นอธิบายภาพสะทอนสงั คมวฒั นธรรมที่ 221 สงผลตอ คุณคาทางวรรณศลิ ปไ ด 7. นกั เรียนอธิบายขอคดิ จากเรอ่ื งได ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู การนาํ ขอคดิ สําคัญท่ไี ดจากวรรณคดเี รื่อง มหาชาติหรือมหาเวสสนั ดร ครูควรเพิ่มเตมิ ความรูเ กีย่ วกับหลักทศพิธราชธรรม คอื หลักธรรมทีพ่ ระมหา- มาประยุกตใ ชใ นการดาํ เนนิ ชวี ิตจะสง ผลใหน กั เรยี นมคี วามประพฤติ กษัตรยิ ค วรยดึ ถือไวเ ปน ธรรมประจําพระองค หรือคณุ ธรรมของผปู กครอง สอดคลอ งกบั ขอใด บานเมอื ง มี 10 ประการ ไดแ ก 1. มคี วามสงบเสงย่ี ม 1. ทาน คอื การให 2. มคี วามตงั้ มั่นจรงิ จงั 2. ศีล คอื การรกั ษากายวาจาใหเรียบรอย 3. พอใจในส่งิ ที่ตนมี และยินดีในส่งิ ที่ตนไดร ับ 3. บรจิ าค คอื ความเสยี สละ 4. เหน็ แกป ระโยชนข องผอู ่ืนมากกวาประโยชนสว นตน 4. อาชชวะ คอื ความซ่ือตรง 5. มทั ทวะ คอื ความออนโยน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เห็นแกป ระโยชนข องผอู ื่นมากกวา 6. ตบะ คือ การขมกเิ ลส 7. อักโกธะ คอื ความไมโกรธ ประโยชนส ว นตน สอดคลอ งกับแนวคิดสาํ คัญของเร่ืองเก่ียวกบั การ 8. อวหิ ิงสา คือ ความไมเบยี ดเบยี น บริจาคทาน เพอ่ื ลดละตัวตน ใหผบู ริจาคเหน็ ความสาํ คัญของผูอ นื่ 9. ขันติ คอื ความอดทน และเห็นประโยชนข องผูอ่นื เปน หลกั 10. อวิโรธนะ คอื ความไมค ลาดจากธรรม คมู่ ือครู 221
กระตนุ้ Enคgวagาeมสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูสนทนาซกั ถามกระตุน ความสนใจ ดังตอไปนี้ ๕. เน้อื เร่ือง • นกั เรยี นคิดวา เพราะเหตใุ ดคนไทยจงึ นิยม ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ที่ได้คดั มาให้ศึกษา มี ๒ กณั ฑ์ ได้แก่ กัณฑท์ ี่ ๑ ทศพร และ ฟง เทศนมหาชาตมิ าตัง้ แตอ ดตี จนถงึ ปจจบุ นั กณั ฑ์ที่ ๗ มหาพน • นกั เรยี นคิดวา คณุ คาทางวรรณศลิ ปส ง ผล ทศพร ตอความนยิ มในการฟง เทศนมหาชาติหรือไม กณั ฑ์ท่ ี ๑ อยางไร สตฺถา สมเด็จพระสรรเพชญ ปางเมื่อพระองค์เสด็จอาศัยซึ่งกรุงกบิลพัสดุ์บุรี สา� รวจคน้ หา Explore เป็นท่ีภิกษาจาร ทรงส�าราญพระพุทธหฤทัยในนิโครธารามวิหารบรมพุทธาวาส แห่งศากยราช ร่วมพระประยูรวงศ์บริวัตร อารพฺภ ทรงปรารภซ่ึงฝนโบกขรพรรษให้เป็นอุบัติเหตุ กเถสิ นักเรยี นทบทวนความรเู ดมิ ในสมุดบันทึก จากนนั้ ศึกษาเนือ้ หารายยาวมหาเวสสันดรชาดก จึง่ ตรัสเทศน์พระมหาเวสสนั ดรชาดก ให1้เป็นผลาดิลกยอดยง่ิ พระญาณ พระอรหันตน์ ับประมาณ กัณฑท ศพรและกณั ฑม หาพนของภาคกลาง หา้ รอ้ ยพระองค ์ แตล่ ว้ นทรงพระปฏสิ มั ภทิ า มพี ระมหากสั สปเถระเปน็ ตน้ มพี ระอานนทเ์ ปน็ ปรโิ ยสาน อธบิ ายความรู้ Explain อปุ ลกั ขิตนาการก�าหนดดว้ ยบทตน้ พระคาถาว่า ผุสสฺ ตี วรวณณฺ าเภ เปน็ ปฐมบาทดั่งนก้ี ่อน 1. นักเรยี นรวมกันตอบคําถาม ดังตอไปน้ี ยทา กาลใด พระศาสดาจารย์ได้ตรัสแด่พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณ • นกั เรียนคิดวา เพราะเหตใุ ดพระบรมญาติ ยอดธรรมวิเศษ พระองค์จ่ึงตรัสเทศนาพระธรรมจักกัปปวัตนสูตร โปรดเบญจวัคคีย์ภิกษุทั้งห้า ทุกพระองคจึงทรงมีมานะทฐิ ิตอ พระพทุ ธองค แล้วพระองค์ก็เสด็จไปยังราชคฤหบุรีโดยล�าดับ เสด็จยับยั้งอยู่สิ้นเหมันตฤดูในพระเวฬุวนาราม (แนวตอบ เน่ืองจากพระบรมญาตสิ ว นใหญต า ง มหาวิหาร พระอุทายีเถระเจ้าเป็นมัคคุเทศก์ผู้แสดงทางพระพุทธด�าเนิน พระองค์จ่ึงเสด็จ นึกในพระทัยวา สมเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา พระพุทธลีลาโดยมรรคาครั้งน้ัน ด้วยพระขีณาสพอรหันต์เจ้าสองหม่ืน ช่ืนชมตามเสด็จ เม่อื นบั ญาติกันแลวมลี ําดับอายนุ อ ยกวาพวก ตน และถอื วาพระพทุ ธองคเ ปนญาตคิ ราว มิทันช้า พระศาสดาก็เสด็จไปยังกบิลพัสดุ์บุรี เป็นปฐ2มทีแรก เสด็จประทับอยู่ที่ฝั่งชลนทีและ บตุ รและนดั ดา การกราบไหวพระพทุ ธองคจ งึ เปนการไมสมควร มเี พยี งพระราชกุมารทีอ่ ายุ มรรคาแต่ราชคฤห์มาถึงกบิลพัสดุ์ ไกลถึงหกสิบโยชน์เป็นก�าหนด เมื่อสมเด็จพระบรมศรีสุคต ยังนอ ยเทา นน้ั ท่ีถวายอภิวันทวนั ทนา) • นักเรียนคิดวา คําวา “มานทฐิ ”ิ ในบท เสด็จพระพุทธด�าเนินโดยอตุริตจารึก3มิได้เร่งรีบ ล่วงมรรคาละโยชน์ๆ ถึงหกสิบราตรี ก็บรรลุ ประพันธน ม้ี คี วามหมายวา อยางไร (แนวตอบ คาํ วา “มานทฐิ ”ิ หมายถึงความ กบลิ พสั ด์ุมหานคร เมอ่ื วนั วิศาขบรู ณมเี พ็ญเดือนหก เปน็ มหามงคลสมัย ถือตวั หรือความถือดีในฐานะทีเ่ ปน พระบรม ปางน้ัน พระบรมวงศาศากยราช ทราบว่าพระบรมโลกนาถศาสดาเสด็จมาถึง ญาติทีม่ ีศกั ดส์ิ ูงกวา) จึ่งพร้อมกันทุกพระองค์ทรงพระปราโมทย์ ตรัสสั่งให้แต่งนิโครธมหาวิหารแล้ว จ่ึงประดับ เครื่องอลังการทุกพระองค์ ทรงพระภูษาทุกูลพัสตร์ พระหัตถ์ทรงเครื่องสักการบูชา แล้วก็ 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด ปัจจุคมนาการเชิญเสด็จสมเด็จพระศรีสรรเพชญ ให้ทรงพระที่นั่งเรือขนาน จากชลธารถึง นิโครธารามบรมนิเวศน์ สมเด็จพระโลกเชษฐเ์ สด็จประทับเหนอื วรพุทธอาสน ์ สว่ นพระบรมญาติ ทุกพระองค์ทรงมานทิฐิ ต่างพระองค์ทรงพระด�าริตริตรึกนึกในพระทัยว่า สมเด็จพระสิทธัตถะ มีพระบวรวิลาสสดใส เพ่ิงจะทรงพระเจริญวัยหนุ่มนัก ท้ังพระบวรลักษณ์ก็งามบริสุทธิ์ มีพระชนมายุคราวบุตรและนัดดา เราจะอภิวันทนาดูไม่สมควร ก็ชวนกันนั่งอยู่ในเบื้องหลัง ยงั พระราชกมุ ารหนุ่มๆ ทง้ั นน้ั ให้ถวายอภิวาทนว์ นั ทนา 222 เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT “พระศาสดาจารยไ ดตรัสแดพ ระปรมาภิเษกสมโพธิญาณยอดธรรมวิเศษ ในการปฏิบตั กิ ิจกรรมกระตุนความสนใจ ครูควรจดั กิจกรรมการเรียนการสอน พระองคจง่ึ ตรัสเทศนาพระธรรมจกั กปั ปวตั ตนสตู ร โปรดเบญจวคั คยี ภ ิกษุ โดยเนน ใหน ักเรียนรว มกันอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ อยางเต็มที่และเปดกวา ง ทง้ั หา แลว พระองคก ็เสด็จไปยังราชคฤหบรุ ีโดยลําดบั ” พรอมรวบรวมความคดิ เหน็ ของนกั เรยี นนาํ มาใชเปน พ้ืนฐานในการจัดกิจกรรม บทประพันธขา งตน ใชโ วหารภาพพจนสอดคลองกับขอ ใด การเรยี นรู เพอ่ื ใหนกั เรียนไดแสดงความคิดเห็นอยา งมีวจิ ารณญาณ 1. สาธกโวหาร 2. อุปมาโวหาร นักเรียนควรรู 3. บรรยายโวหาร 4. พรรณนาโวหาร 1 ปฏิสัมภิทา หมายถึง ความแตกฉานปญ ญาอันแตกฉานมี 4 อยา ง คอื วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. บรรยายโวหาร บทประพันธขา งตน เปน อรรถปฏสิ มั ภทิ า ธรรมปฏสิ ัมภทิ า นริ ุตตปิ ฏสิ มั ภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา โวหารท่ีใชใ นการอธิบาย เลา เรื่องราวเหตกุ ารณ เพ่ือใหผ อู า นไดรับความรู 2 โยชน คอื ชือ่ มาตราวัด 400 เสน เปน 1 โยชน ความเขา ใจอยางละเอียด การเรยี บเรียง และการใชถอยคํา จึงมกั เลอื กใช 3 วศิ าขบรู ณมี หรอื วศิ าขบชู า คอื วนั วิสาขบูชาเปนการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 ถอยคําท่ีสือ่ ความหมายตรงไปตรงมา กะทดั รัด และชดั เจน ซ่ึงเปน วันประสูติ ตรสั รู และปรินิพพานของพระพุทธเจา 222 คมู่ อื ครู
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบพระอัชฌาสัยหฤทัยพระบรมญาติทุกพระองค ์ 1. นกั เรยี นพิจารณาขอความและรวมกนั ตอบ อันทรงซึ่งมานะไปหมด ควรตถาคตจะทรมานพระประยูรญาติให้ปราศจากมานทิฐิ สมเด็จ คาํ ถาม ดงั ตอไปน้ี พระผู้ทรงบุญสิริก็เข้าสู่พระจตุตถฌาน มีอภิญญาณเป็นที่ต้ังด�ารงพระองค์เสด็จเหาะตรง • นกั เรียนคิดวา การทส่ี มเดจ็ พระบรมศาสดา ทรง “ทรมานพระประยรู ญาตใิ หปราศจาก ข้ึนสู่นภากาศ ประดุจจะยังธุล1ีละอองพระบาทให้เรี่ยรายลงถูกต้องเศียร2เกล้าพระวงศา มานทิฐ”ิ น้นั แสดงถงึ สถานภาพพระพุทธ องคอ ยา งไร ศากยราช เปล่งพระฉัพพรรณรังสิโยภาสรุ่งเรืองสว่าง อย่างพระยมกปาฏิหาริย์ในมณฑลสถาน (แนวตอบ พระพุทธองคท รงดาํ รงสถานะ ไมค้ ัณฑามพพฤกษ ์ ดพู ิลึกเลิศมหศั จรรย์ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา ผทู รงรูแ จง และตรสั รู ล�าดับน้ัน สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนพุทธบิดา ทอดพระเนตรเห็นมหัศจรรย์ หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อโปรด ยกพระกรอภิวันทน์สรรเสริญพุทธเดชานุภาพว่า ภนฺเต ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า สรรพสตั วท ้ังหลาย และทรงสะสมบุญบารมี เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์อุดม พระพ่ีเล้ียงพระนมข้างฝ่ายใน เชิญเสด็จพระองค์เข้าไปจะให้ มาทกุ ชาติภพ พระพุทธองคจึงมไิ ดดาํ รง วนั ทนานมสการชฎิลดาบส ปาเท ปริวตตฺ ิตวฺ า พระบาทบงกชทัง้ คู ่ ดปู ระดุจจะขึน้ ประดิษฐาน สถานภาพของเจาชายสิทธตั ถะเชนเดมิ อยเู่ หนอื เศยี รเกลา้ แหง่ ชฎลิ ดาบส ขา้ พระพทุ ธเจา้ กป็ ระณตนอ้ มนมสั การโดยคา� นบั วปปฺ มงคฺ ลทวิ อีกตอ ไป) เส วนั เมื่อข้าพระพทุ ธเจ้าทา� วปั ปมงคลจรดพระนังคลั แรกนาขวัญในทอ้ งสนามหลวง พระพเ่ี ลยี้ ง ท้ังปวงเชิญเสด็จพระองค์ไปบรรทมอยู่เหนือพระย่ีภู่ ปูด้วยผ้าทุกูลพัสตร์ในบริเวณจังหวัด 2. นกั เรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด รม่ ไม้หว้าชมพฉู ายา ชมพฺ ฉู ายา เมอื่ ตะวนั ชายเงาไม้ มไิ ดบ้ า่ ยไปตามตะวัน บังกนั้ พระองค์อย่ดู ู ประดจุ พระกลด ครงั้ น้นั ข้าพระพทุ ธเจ้ากไ็ ดป้ ระณตนบเปน็ คา� รบสอง สามทง้ั ครั้งน้ี เม่ือสมเดจ็ ขยายความเขา้ ใจ Expand พระบรมชนกาธิบ3ดีสิริสทุ โธทน ์ ทรงพระปราโมทย์ถวายอภิวาทน ์ เหล่าศากยราชสน้ิ ทุกพระองค ์ 1. นักเรยี นรวมกนั อภปิ รายในประเด็น ตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา การเปดเรือ่ งโดยการชี้ใหเหน็ มอิ าจจะทรงมานะอยไู่ ด ้ กพ็ ร้อมกนั ถวายอภิวาทน์วันทนา พระบารมขี องพระพทุ ธองคเชนทก่ี ลา วมา นาโถ สมเดจ็ พระบรมโลกนาถศาสดาจารย ์ เมอื่ พระองคย์ งั พระบรมประยรู ญาติ ขางตน สงผลตอการดําเนินเรื่องอยา งไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถอภปิ รายไดอยาง ท้ังหลายให้ถวายนมัสการทุกๆ พระองค์แล้ว จึ่งเสด็จคลาแคล้วลีลาลงจากนภาดลอากาศ หลากหลายขึน้ อยกู บั เหตผุ ลของนกั เรยี น โดยนักเรียนสามารถกลาวถงึ กลวธิ ีการเปด เส4ด็จน่ังเหนือบรมพระพุทธอาสน์อย่างเอก ขณะน้ันมหาเมฆอันใหญ่ต้ังขึ้นมา ยังท่อธารา เรือ่ งโดยการชีใ้ หเ หน็ พระบารมขี องพระพทุ ธ องคนน้ั ถือเปน การเนน ยา้ํ พระบารมีที่ หา่ ฝนโบกขรพรรษ ใหป้ วตั นาการเปน็ ท่อธารไหลไป สีน้�าน้ันแดงใสบริสทุ ธ ์ิ แม้ว่ามนุษย์หญงิ ชาย แผไ พศาลของพระพุทธองค โดยทรงตรัสรู ผู้ใด ปรารถนาจะมิให้ถูกต้องกายแห่งตน แม้มาตรว่าแต่ขุมขนก็มิได้ชุ่มไปด้วยน�้าน่ามหัศจรรย์ ชอบดว ยพระองคเ อง ทรงรแู จง ในทกุ สรรพสง่ิ ตกลงแล้วก็ไหลล่ันสนั่นไปใต้พ้ืนพสุธา ส่วนพระบรมวงศาศากยราชทอดพระเนตรเห็น ตลอดจนการบําเพญ็ บญุ บารมขี องพระพุทธ พุทธอ�านาจมหัศจรรย์ก็พากันทรงพระปราโมทย์ ออกพระโอษฐ์ตรัสว่า มหัศจรรย์ในครั้งนี้ องคม าหลายชาติภพ พระองคจ งึ ทรงอยู แตก่ อ่ นไมเ่ คยมีเราไมเ่ คยเหน็ หากบันดาลเป็นด้วยอ�านาจพุทธานุภาพพระบรมศาสดา ตรสั แล้ว เหนือตวั ตนของเจา ชายสทิ ธตั ถะในชาติภพ ก็น้อมพระเศยี รเกลา้ บังคมลาสมเดจ็ พระมหากรุณาธิคุณเจา้ ต่างเสดจ็ กลับเข้ายังพระราชวัง ปจ จบุ นั ) วีสติสหสฺสานิ ฝ่ายพระอรหันต์สองหมื่นก็ชื่นชมปรีดาสั่งสนทนากันว่า 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ แต่กาลก่อนมิได้เคยทัศนาเหมือนคร้ังนี้ สตฺถา สมเด็จพระชินศรีสัพพัญญู เสด็จมาสู่ท่ีประชุม จ่ึงตรัสถาม ทรงทราบความตามเร่ืองท่ีภิกษุส่ังสนทนา จึ่งมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย มหัศจรรย์ห่าฝนสวรรค์โบกขรพรรษ ปวัตนาการตกลงมาในท่ีประชุมพระบรมญาติ 223 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู “(ก)...พระองคเ สด็จเหาะตรงข้นึ สนู ภากาศ ประดจุ จะยังธลุ ีละอองพระบาท 1 ฉัพพรรณรังสิ หรือฉัพพรรณรงั สี หมายถงึ รศั มี 6 ประการ คอื 1. นลี เขยี ว ใหเรย่ี ราดลง...” และ “(ข)...เมอื่ ตะวันชายเงาไม มไิ ดบา ยไปตามตะวนั เหมือนดอกอัญชัน 2. ปต เหลืองเหมอื นหรดาลทอง 3. โลหิต แดงเหมอื นตะวัน บังกัน้ พระองคอ ยดู ปู ระดุจพระกลด...” ออน 4. โอทาต ขาวเหมอื นแผนเงิน 5. มัญเชฐ สีหงสบาท เหมือนดอกเซงหรือ หงอนไก (สหี งสบาท คอื สีคลายเทาหงส มีสแี ดงปนเหลอื ง สีแดงเร่ือ หรือสแี สด) บทประพนั ธท ั้งสองบทขา งตนปรากฏภาพพจนแ บบใดบาง เรียงตามลําดบั 6. ประภัสสร เลอ่ื มพรายเหมอื นแกวผลึก 1. (ก) อุปมา (ข) อปุ มา 2 ยมกปาฏหิ าริย คอื ปาฏิหาริยท แี่ สดงเปนคูๆ เปน ปาฏหิ ารยิ ท่พี ระพุทธเจา 2. (ก) อุปมา (ข) อตพิ จน ทรงกระทาํ ที่ตน มะมว ง ซง่ึ เรยี กวา คณั ฑามพพฤกษ คือ ทรงบันดาลทอ นํา้ ทอไฟ 3. (ก) อุปมา (ข) อุปลกั ษณ ออกจากสวนของพระกายเปน คๆู กนั 4. (ก) ไมปรากฏภาพพจน (ข) อุปมา 3 มานะ หมายถงึ ความถือตวั ความสาํ คญั วา ตนเปน น่ันเปน น่ี วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. (ก) ไมปรากฏภาพพจน (ข) อุปมา 4 หา เปนคาํ โบราณ หมายถงึ หนวยวดั ปริมาณน้าํ ฝน โดยกาํ หนดวา ถา ตกลง มาเตม็ บาตรขนาดกลางทีต่ ัง้ รองไวกลางแจง เรยี กวา น้าํ ฝนหาหนึ่ง ความหมาย บทประพนั ธ (ข) ปรากฏภาพพจนอ ุปมา จากคาํ วา “ประดจุ ” สว นบท โดยนยั เม่ือใชกบั ส่ิงท่ีมาหรือตกลงมาเปนจาํ นวนมาก อาทิ ฝนตกลงมาหาใหญ ประพนั ธ (ก) ไมปรากฏภาพพจน เน่อื งจากคําวา “ประดจุ ” ทาํ หนาทีเ่ ชื่อม ประโยคเทานนั้ แตมกั เขาใจวาเปน คําแสดงภาพพจน คูม่ อื ครู 223
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นรวมกันตอบคําถาม ดังตอ ไปน้ี 1 • นักเรยี นกลา วถึงวิธกี ารบําเพ็ญบุญบารมี ของพระนางผุสดีในอดตี ชาติกอ นจุติเปน ทั้งน้ี ย่อมมีมาแล้วแต่กาลก่อน พระองค์ตรัสฉะนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพ พระภิกษุทั้งหลาย พระนางผสุ ดีพระราชมารดาของ ปรารถนาจะใครท่ ราบจ่ึงทลู อาราธนา สมเดจ็ พระศาสดากน็ า� มาซ่ึงอดีตนิทาน ตรสั เทศนาวา่ พระเวสสันดร (แนวตอบ นบั ตงั้ แตเมือ่ คร้งั ทรงดํารงตาํ แหนง อตเี ต ภกิ ขฺ เว ดกู รสงฆท์ งั้ หลาย ในอดตี กาลลว่ งแลว้ แตป่ างหลงั ยงั มบี รมกษตั รยิ ์ พระราชธดิ าของกษัตริยใ นนครพนั ธมุ ดี พระองค์หนึ่งทรงพระนามพระเจ้าสีวีราชบรมกษัตริย์ เถลิงถวัลยราชสมบัติในกรุงสีวีราษฎร์บุร ี ไดร ับพระราชทาน “รัตจนั ทนสารแกน จันทร พระองค์มพี ระราชบุตรพระองค์หน่งึ ชือ่ วา่ สญชยั ราชกมุ าร ครั้นทรงวฒั นาการเจรญิ วัย สมเดจ็ แดง”จากพระราชบิดา แตดวยพระองคทรง พระราชบดิ ามอบสริ ริ าชสมบตั ิให้ครอบครองพระพาราสีวรี าษฎรบ์ รุ ี อภเิ ษกกับพระผสุ ดีราชธิดา เหน็ วา “มิไดเปน แกน สารทีจ่ ะประดบั กาย” จึงนําไปถวายแดพ ระพทุ ธเจาในกาลกอน แห่งสมเด็จบรมกษัตราจอมจุฑามัททราช พระเยาวมาลย์มาศม่ิงม2กุฎผุสดี แต่ปางก3่อนพระนาง จากน้ันพระนางจึงทรงอธษิ ฐานขอเปนพุทธ มารดาของพระพุทธเจาพระองคใดพระองค มีมูลปณิธีได้ตั้งไว้ต้ังแต่ภัทรกัป นับถอยหลังลงไปได้เก้าสิบแปดกัป พระวิปัสสิสัมมาสัมพุทธเจ้า หนง่ึ ในอนาคตกาล หลังจากการจตุ ิเปน ได้มาอุบตั ใิ นโลก พระองค์เสด็จอยใู่ นพระวิหารมฤคทายวัน ใกลพ้ ันธมุ ดมี หานคร พระราชมารดาของพระเวสสันดรแลว กาลคร้ังน้ันพระมหากษัตริย์พระองค์หน่ึง เสวยสมบัติในนครอันเป็นเขตข้ึน ชาตถิ ัดไปพระนางก็ไดเ ปน พระบรมพทุ ธชนนี ของเจาชายสิทธัตถะ ซึ่งเสด็จออกบวชและ มนาคถรวพาันยธแุมดพด่ ี ระสเ่งจมา้ พาซนั ึ่งธสมุ ุวรรารชณ พมราะลอีวงิมคลก์ มป็ ารศะรสาาชทบจรนั รทณนาสกาารรให แ้กกับพ่ ทรั้งะรผัตสุ จดัน ี ทสนวุ รสราณรแมกาล่น4ดีจอันกทไนมท์แ้ ดองง ตรสั รเู ปนพระพุทธเจา ทรงพระนาม พระนางสริ ิมหามายา) พระองค์ก็พระราชทานให้แก่พระราชธิดาน้องพระองค์น้อยด้วยความเสน่หา ส่วนพระราชธิดา ทั้งสองก็มาตริตรองการ เห็นแท้ว่ามิได้เป็นแก่นสารท่ีจะประดับในกาย ควรจะน�าไปถวายเป็น 2. นักเรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ อพนุทโุ ธมบทูชนาา ดสว้ อยงพพรระะรราาชชธธดิ 6ิดาทาจงั้ ่ึสงกอรงพาบระทอูลงแคด ์ ฝ่สา่มยเพดร็จะพรราะชบบิตตุ ุรราผี ชพู้ นี่ พน้ั ร กะใ็อหงบ้ คด์กแ็ทกรน่ งจพนั รทะรอเ์ ปนน็ุญวาเิ ตลยปอนมะ5 ขยายความเขา้ ใจ Expand เคร่ืองลูบไล้ ใส่ลงในผอบทองอันบรรจงวิจิตร ฝ่ายพระกนิษฐานารีผู้น้องน้อย ก็พลอยมีศรัทธา 1. นักเรียนรวมกันอภิปรายในประเด็น ตอ ไปน้ี จึ่งเอาสุวรรณมาลาดอกไม้ทองให้นายช่างประดิษฐ์กรอง กระท�าเป็นสุวรรณมาลาเคร่ืองประดับ • นักเรียนคิดวา การบําเพ็ญบารมีของ อุรพางค์ แล้วพระนางโปรดให้สาวใช้หยิบยกไปสู่พระวิหาร สรีรํ ปูเชตฺวา ฝ่ายพระเยาวมาลย์ พระนางผุสดกี อนทีจ่ ะมาจตุ ิเปน พระราช ราชธิดาองค์ใหญ่น้ัน ก็บูชาพระทศพลด้วยจุรณแก่นจันทน์ ท่ีเหลือนั้นก็เร่ียรายปรายโปรยใน มารดาของพระเวสสันดร สะทอนคุณคาและ สถานที่คันธกุฎี พระนางกต็ งั้ พระปณธิ านวาท ี ดว้ ยบาทพระคาถาวา่ ความสาํ คญั ของพระเวสสันดรตามคติความ เช่ือดงั กลาวอยางไร ฯลฯ (แนวตอบ สะทอ นใหเห็นถงึ พระบารมขี อง ภนฺเต ข้าแต่สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค เอสา ปูชา อันว่าการสักการบูชา พระเวสสนั ดร แมแ ตผ ูทีจ่ ะใหก าํ เนดิ ตอ งทรง อันข้าพระพุทธเจ้ากระท�าในพระองค์ ด้วยผงจุรณแก่นจันทน์น้ี ขอให้ข้าได้สมความยินดีเป็น บาํ เพญ็ เพียรส่ังสมพระบารมมี าหลายชาตภิ พ) พุทธมารดาพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หน่ึงในอนาคตกาล อันทรงพระญาณวิเศษปรากฏ เหมือนอย่างพระองค์ฉะน้ี สว่ นพระกนษิ ฐานารผี ้นู ้อง กน็ า� เอาดอกไมท้ องเคร่อื งประดับอรุ าบูชา 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด สมเดจ็ พระศาสดา แลว้ กต็ งั้ ปณธิ านความปรารถนาในทเ่ี ฉพาะพระพกั ตรพ์ ระวปิ สั สสิ มั มาสมั พทุ ธเจา้ พระนางกล่าวเป็นบาทพระคาถาวา่ ฯลฯ 224 นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT หลงั จากพระนางผสุ ดีและพระขนิษฐาไดรับพระราชทานของมีคา 1 ดุษณีภาพ อาการนิง่ ซ่งึ แสดงถึงการยอมรับ “พระราชธดิ าทงั้ สองกม็ าตรติ รองการ เหน็ แทว า มิไดเ ปน แกนสารทีจ่ ะ 2 กปั คือ อายุของโลกตัง้ แตเมื่อพระพรหมสรางเสรจ็ จนถงึ เวลาทไี่ ฟประลัย ประดบั ในกาย ควรจะนาํ ไปถวายเปนพทุ ธบูชา” กัลปม าลา งโลก จากขอความขางตนขอใดไมส ามารถอนุมานเกีย่ วกับพระนางผุสดแี ละ 3 วิปส สิสมั มา สัมพทุ ธเจา หมายถงึ พระพทุ ธเจา วิปสสิ หมายถงึ ผูเหน็ แจง พระขนษิ ฐา 4 สุวรรณมาลี ดอกไมท อง มาจากคาํ วา สุวรรณ หมายถึง ทอง และคาํ วา มาลี 1. ศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา หมายถึง ดอกไม 2. เหน็ วา สมบตั นิ อกกายเปนของไรค ุณคา 5 วเิ ลปนะ หมายถึง การทา การลูบไล เครื่องลูบไล 3. การใชเครอื่ งประดับกายไมเกดิ ประโยชนแตอยางใด 6 ผอบ ภาชนะสําหรบั ใสข อง มเี ชิง ฝาครอบมยี อด มกั ทําดว ยโลหะหรือไมกลึง 4. ใหค วามสําคัญกบั พระพุทธศาสนามากกวา ทรัพยสมบตั ิ เปนตน วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. สมบตั ินอกกายเปนของไรค ุณคา เน่ืองจาก พระนางผุสดแี ละพระขนิษฐานําสมบตั ิดังกลา วไปถวายเปน พุทธบชู า 224 คมู่ ือครู จึงถือวา ท้งั สองพระองคย งั คงเหน็ วา เปน สง่ิ ทม่ี คี า แตไ มเกิดประโยชนใ ด หากนาํ มาประดบั กาย
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงทศพลญาณ เดชะเกล้ากระหม่อมฉันกระท�า 1. นักเรยี นรว มกนั ตอบคาํ ถาม ตอ ไปน้ี สักการบูชาแด่พระองค์ ด้วยสุวรรณมาลีเคร่ืองประดับส�าหรับอุระนี้ ขอให้บุญราศีตกแต่ง • นกั เรียนคดิ วา การบําเพ็ญบุญบารมขี อง พระพทุ ธองคส ะทอนความเชื่อในสังคมไทย ส�าเร็จความปรารถนา ให้ลายลักษณวราบุป1ผาชาติพิเศษ เกิดปรากฏในอุระประเทศแห่ง อยางไร (แนวตอบ การทําบุญจะใหส ําเร็จสมประสงค ขา้ พระบาท สมเด็จพระโลกนาถก็ตรัสอนุโมทนาโดยบทพระคาถาด่ังน้ี ตองมีการอธษิ ฐานจติ คอื การตง้ั ในธรรม ฯลฯ และการกระทาํ ของตนเอง ตลอดจน ตง้ั เปาหมายในการกระทํานน้ั ดว ย การท่ีจะ โดยบร2มพุทธภาษิตว่า มโนปณิธานความปรารถนาด่ังน้ี ท่ีท่านท้ังสองต้ังไว้ กระทาํ ใหสาํ เรจ็ สมบูรณไดน ัน้ ผนู นั้ ตอ ง มศี ลี สมบรู ณ โดยการหม่ันกระทําความดี เป็นอันดีในส�านักตถาคต ขอจงให้ส�าเร็จมโนรถแก่ท่านทั้งสอง ด้วยผลอานิสงส์ซึ่งได้กระท�า รักษาความดี และสั่งสมความดใี หเพิ่มพูน พุทธบูชา พระราชธิดาทั้งสองพระองค์ ก็ทรงภิรมย์เปรมปรีดิ์ถวายนมัสการลาสมเด็จพระชินศร ี และการทําความดนี ้ันตองกระทาํ ไปทุก ภพชาติไมข าดสาย นอกจากน้ี การบําเพญ็ แลว้ กเ็ สด็จกลับยังปราสาท พระพนี่ ้อ3งสองราชนารี ก็เกษมศรเี สวยสมบัตสิ นิ้ กาลช้านาน เมื่อส้นิ ทานบารมีของพระพทุ ธองคยังแสดงใหเหน็ การบําเพญ็ บารมีอันยากย่ิงเกินกวา มนษุ ย พระชนมานกบ็ งั เกดิ ในสวรรค์ ครั้นจุตจิ ากเทวโลกนั้น พระราชธดิ าผู้พก่ี ไ็ ด้เปน็ พระบรมพุทธชนนี ปถุ ชุ นธรรมดาจะกระทาํ ได) สมพระปรารถนา ทรงพระนามพระนางสิริมหามายาราชเทวี ส่วนพระกนิษฐากุมารีผู้น้องน้ัน คร้ันจุติจากสวรรค์ ก็ได้มาบังเกิดในขัตติยพันธุ์เป็นพระราชธิดาพระเจ้ากีกิสราช ในศาสนา 2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด พระพุทธกัสสปชินศรี พระราชบุตรีกอบไปด้วยฉัพพรรณรังสีสุวรรณมาลามาศประดุจนายช่าง ผู้ฉลาดวาดเขียน เป็นเครื่องประดับพระอุระองค์อันรจนา จึ่งทรงพระนามอุรัจฉทาราชกุมารี ขยายความเขา้ ใจ Expand เม่ือพระชนมายุได้สิบหกปีได้ฟังภัตตานุโมทนาสมเด็จพระสัพพัญญู พระนางก็ตรัสรู้พระอรหัต ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหาณเข้าสู่พระนิพพานในศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ราชา 1. นักเรียนรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอไปนี้ สมเด็จพระเจ้ากีกิสราช พระองค์มีพระราชธิดาอื่นอีก ๗ พระองค์ ทรงพระนามต่างกัน คือ • นกั เรียนคดิ วา การบาํ เพ็ญบุญบารมีหลาย นางสมณ ี นางสมณโคตตา นางภิกขณุ ี นางภิกขทุ าสิกา นางธัมมา นางสุธัมมา นางสังฆทาสี ชาติภพกอนที่จะมาเสวยพระชาติเปน สว่ นนางสธุ มั มานนั้ ครนั้ สนิ้ ชพี แลว้ ไปบงั เกดิ ในสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ ทรงพระนาม พระเวสสันดร และตรัสรเู ปนสมเดจ็ พระผุสดีเป็นพระอัครมเหสีสมเด็จอมรินทรา เม่ือบุรพนิมิตปรากฏแก่พระผุสดีเทพกัญญา พระพทุ ธเจา ในพระชาตติ อมาใหขอคิดใด เป็นเหตุจะจุติส้ินพระชนมพรรษานิราศร้างจากทิพยสถาน สกฺโก เทวราชา สมเด็จท้าว แกน กั เรียน มัฆวานตรีเนตร ทราบเหตุเบญจบุรพนิมิตห้าประการ อันบังเกิดแก่พระเยาวมาลย์มิ่งมเหสี (แนวตอบ การต้งั ม่ันในคณุ ความดี ส่ังสมคณุ จึ่งพาเทพผุสดีไปยังแท่นท่ีนันทวโนทยาน ยังพระเยาวมาลย์ให้บรรทมในแท่นทิพยไสยาสน์ ความดี ตัง้ ใจทําส่ิงท่ดี ดี วยความตงั้ มน่ั และ อันย่ิงยง ท้าวเธอก็เสด็จทรงพระไสยาสน์ ร่วมทิพยอาสน์ด้วยพระผุสดีเทพอัปสร เม่ือท้าวเธอ หมนั่ กระทาํ ความดีและรกั ษาศลี อยเู สมอ จะประสาทพร กก็ ลา่ วเป็นบาทพระคาถาฉะน้ี คุณความดีเหลา นั้นกจ็ ะสงผลท้ังตอตนเอง และผูอน่ื ประสบกบั ความสขุ ความเจรญิ ฯลฯ คณุ ความดีท่ีไดกระทาํ กจ็ ะกลายเปน ปราการ สกฺโก สมเด็จอมรินทราธิราช จึ่งมีเทวราชบัญชาตรัสประภาษว่า ภทฺเท ปองกนั การประพฤตผิ ิดของตัวนักเรียนเอง) สดิ่งูกใรดเเจป้า็นผทู้ม่ีเีสจุรนิญทใรจพแักหต่งรเจ์ ้าก ออบันดจ้ะวลยงสไุภปลบักังษเกณิดใะนอมันนวุษิเศยษโลหก4าจผะู้จตะ้อตงิเวติโียยคน5จมาิไกดท้ ิพยยํ ววิมราํ นพ วระรสพฺสรุ 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ เจ้าจงเลือกเอาพระพรสิบประการตามความปรารถนา พระผุสดีเทพกัญญา ก็อัญชลีกร 225 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู จากวรรณคดีเรอื่ ง มหาชาติ ขอใดตอไปน้ไี มสอดคลอ งกบั แนวทางการ บําเพ็ญบารมีของพระนางผุสดี 1 อนุโมทนา หมายถึง ยนิ ดตี าม ยินดดี วย พลอยยินดี แสดงความชน่ื ชมหรอื 1. บาํ เพง็ เลง็ เห็นจบ พ้นื พิภพจบจักรวาล ซาบซ้งึ เห็นคณุ คาในการทาํ ความดีของผอู ่ืน เปนคําเรียกคาํ ใหศ ลี ใหพรของพระวา สวรรคช้นั วิมาน ทานเหน็ แจงแหลงโลกา คาํ อนุโมทนา 2. ประกอบชอบเปน ผิด กลับจรติ ผดิ โบราณ 2 ตถาคต คือ พระนามพระพทุ ธเจา โดยรูปศัพทแลว ตถาคต หมายความวา สามัญอนั ธพาล ผลาญคนซ่ือถือสตั ยธรรม พระผูไ ปแลวอยางนนั้ เปน คาํ ทีพ่ ระพทุ ธเจาทรงเรียกพระองคเ อง 3. คํ่าเชา เอากราดกวาดเตียน เหนอื่ ยยากพากเพียร 3 จตุ ิ มกั ใชกับเทวดา หมายถงึ เปล่ียนสภาพจากกาํ เนิดหน่งึ ไปเปนอีกสภาพ เรยี นธรรมบําเพ็ญเครง ครดั กําเนดิ หนึง่ 4. สาํ เร็จเสร็จไดไ ปสวรรค เสวยสขุ ทุกวนั 4 มนุษยโลก คอื โลกมนษุ ย เปนสว นหน่งึ แหง สกลจักรวาลตามคตทิ างพทุ ธ- นานนับกัปกัลปพ ุทธันดร ศาสนาท่ีรับมาจากอนิ เดีย ประกอบดว ย มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก และโลก พระองั คาร วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. 5 วโิ ยค การจากไป การพลดั พราก ความราง ความหางเหิน ประกอบชอบเปน ผิด กลับจรติ ผิดโบราณ สามัญอนั ธพาล ผลาญคนซือ่ ถือสตั ยธรรม คูม่ ือครู 225 ไมม เี น้อื หากลา วถงึ ผลของการบําเพ็ญบุญบารมี
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู 1. นักเรียนรวมกันตอบคาํ ถาม ตอไปน้ี ประนมบังคมทูลถามท้าวสหัสนัยน์เทวราช ว่ากรรมอันใดจะให้เคลื่อนคลาดจากทิพยวิมาน • กอนทีพ่ ระนางผุสดีจะจตุ ิจากสวรรค เหมือนลมพายุมาพดั พานเพกิ ถอนหมไู่ ม้ ให้กา� จดั ไปจากพืน้ พสุธา จงทรงพระกรุณาตรัสให้ทราบ พระอินทรไดประทานพรใหพ ระนางผสุ ดี แก่ข้าผุสดี สมเด็จท้าวโกสีย์อมรินทราธิราช เม่ือพระเยาวมาลย์มาศผุสดี ส้ินสมดีประมาท พรทพ่ี ระอินทรประทานใหพ ระนางผสุ ดีมี จึ่งตรัสประภาษตอบสุนทรวาทีว่า ภทฺเท ดูกรเจ้าผุสดี อย่าหมองศรีโทมนัสเราทั้งสองจะต้อง กป่ี ระการ ประกอบดว ยอะไรบาง ก�าจัดจากกันในครั้งน้ี เจ้าจงภิรมย์ยินดีรับเอาซ่ึงทศวรพรสิบประการ พระผุสดีสดับเทวโองการ (แนวตอบ พระอนิ ทรป ระทานพรใหพ ระนางผสุ ดี พลางพระเยาวมาลย์ก็กลา่ วเป็นพระคาถาวา่ มี 10 ประการ ประกอบดว ย 1.ขอใหเ กดิ ในกรงุ มทั ราช แควนสพี ี 2. ขอใหม ีดวงเนตรคมงาม ฯลฯ และดาํ ขลับดัง่ ลูกเนือ้ ทราย 3. ขอใหค ิว้ คมขํา สกฺก ข้าแต่สมเด็จอมรินทราธิราช ข้าพระบาทจะจากไปสู่มนุษย์เมืองไกล ดั่งสรอยคอนกยงู 4. ขอใหไ ดนาม “ผสุ ด”ี จะขอรับเอาพระพรชัยทูลสนองเหนือเกศา ข้าพระบาทจะถวายบังคมลาลงไปเอาชาติก�าเนิด ดงั ภพเดมิ 5. ขอใหม พี ระโอรสเกรกิ เกยี รตทิ ส่ี ดุ ขอให้ข้าไปบังเกิดในปราสาทแห่งพระเจ้าสีวีราชอันทรงศักด์ิ มีพระราชอาณาจักรปกแผ่ไป ในชมพทู วปี 6. ขอใหค รรภง ามไมป อ งนนู อยา ง ในสกลชมพูทวีป ให้หมู่ประชาชนอยู่เป็นสุขส�าราญเกษมสันต์ชื่นชม พระพรน้ีเป็นประถมขอให้ สตรสี ามญั 7. ขอใหพ ระถนั เปลง ปลง่ั งดงามไม สมด่ังปรารถนา นีลเนตฺตา ขอให้ข้ามีดวงเนตรท้ังสองด�าเป็นสีเหมือนหนึ่งตามฤคีลูกเน้ือทราย หยอ นคลอยลง 8. ขอใหเสน พระเกศาดําขลับ ตลอดชาติ 9. ขอใหผิวพรรณละเอียดบริสุทธ์ิ อขอันใเหกดิ้ขไนดค้ขิ้ววขบ้าปเขีปียลวาดยูงเาปม็นขก�า�าบหรนสิ ดุท ธพ ์ิ เรปะน็ พสรรีนะ้เี ยปับน็ ดคจุ�าสรบรอ้สยอคงจองมปยรุราะกยฏูง1งแากม่ข า้ พพรเจะ้าพ รนนลี้เี ปภน็ มคู �าอรนบ่งึ สเาลมา่ ดุจทองคําธรรมชาติ 10. ขอใหไดปลดปลอย นกั โทษทตี่ อ งอาญาประหารได) จงสมดว้ ยความปรารถนา ผสุ สฺ ตี นาม นาเมน ขา้ แตส่ มเดจ็ อมรินทราธริ าช นามกรขา้ พระบาท จงชื่อว่าผสุ ดี พระพรนี้เปน็ ค�ารบสจ่ี งประสิทธิ์ด่ังประสงค ์ ปฺตตฺ ํ ลเภถ ขอใหข้ ้าพระองคม์ ีโอรส 2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ทรงพระเกียรติยศยิ่งกว่ากษัตริย์ในสากล ทรงพระราชศรัทธาเพ่ิมกุศล แก่หมู่ประชาชน ทุกขอบเขตขัณฑสีมาอาณาจักร พระพรนี้เป็นค�ารบห้าขา้ ผูบ้ ริรักษ์ต้องประสงค์ เม่ือข้าพระองค์ ทรงพระครรภ์พระโอรสอย่าให้ครรภ์ข้าพระบาทปรากฏนูน เหมือนสตรีทั้งมูลดูเวทนา ขยายความเขา ใจ Expand จาปํว ลิขิตํ สมํ ให้มีครรภ์โอรสาดูงามพร้อม เหมือนคันธนูดูละม่อมอันนายช่างฉลาดเหลา 1. นกั เรยี นยกบทประพันธก ลา วถงึ พรในแตละขอ เนกปลฺป้ียวงเตกฺเลตายพฺยรุํ ้ออมนเึ่งสเมลอ่ายสุคมลานถัน ทพั้งรสะอพงรขเอปง็นขค้า�าพรรบะหบกาปทร ะเกมาื่อรทจรงงสค�ารเรร็ภจแ์อกย่ข่าว้าิปพลเจา้าส2แถปนรผาันดเม�า จากน้นั รว มกนั อภิปรายในประเด็นที่วา • นักเรยี นคิดวา ในบทประพนั ธท่ีกลา วถึงพร ปรากฏ แมพ้ ระบวรปโิ ยรสจะเสวยทุกวนั ทกุ เวลา อย่าคลอ้ ยเคลือ่ นเลอ่ื นลดลงมาจากพระทรวง ของพระนางผสุ ดมี กี ารเปรยี บเทยี บสงิ่ ที่เปน ให้เต่งตั้งดั่งปทุมบัวหลวงงามบริสุทธิ์วิเศษเสร็จ พระพรน้ีเป็นค�ารบเจ็ดขอให้บรรลุดั่งปรารถนา ความงามกบั อะไรบา ง ยังมกี ารเปรยี บเทียบ ปลิตา นสฺสนฺตุ อน่ึงขอให้เส้นเกศาสีด�าขลับสลับสลวยบริสุทธ์ิ ประดุจสีปีกแมลงค่อมทอง ความงามดังกลา วปรากฏในวรรณคดีเรื่องอ่นื เป็นมันระยับย่องควรจะทัศนา พระพรเป็นค�ารบแปดขอให้สมเจตนาฉะนี้ สุขุมฉวิ ขอให้ผิว หรือไม สะทอ นลกั ษณะทางวรรณศลิ ปของ เน้ือละเอียดเป็นนวลละอองดั่งทองค�าธรรมชาติ สกลกายใสสะอาดดูผ่องแผ้วหมดราคี ไทยอยางไร พระพรเป็นค�ารบเก้านี้จงประสิทธ์ิ วชฺฌญฺจาปิ ปโมจเย อน่ึงคนโทษทุจริตอันเข้มข้นจะพินาศด้วย (แนวตอบ เปนตนวา การเปรยี บเทียบ ความดําขลบั ของดวงตาเหมอื นตาลกู เนื้อ ขพพอรระพะรพราะรชอเทปงณั ค็นฑ์จคงท์ �าโา�รปลบราสดยิบปลา้ปรงะรชสะวี ากติ ทา ใรขห อ้แเใรกหีย่ขข้ กา้า้ พไพดเรเ้จปะ้าลพ ผอ้ื รงู้เชปปัย็นลสอ่บิทยรธปิจ์ิอลาันรดิ ิกใวหิาเ4ศพ้ ษน้ ต าขย้า แดตว้ ่ทยก้าา�วลสงั หยัสศนปัรยยินาเยนปตญั รญเทาวญราาณช3 ทราย เปน การเปรียบเทยี บตามขนบของ วรรณคดีไทย ซ่งึ รบั อิทธพิ ลมาจากอนิ เดยี 226 และปรากฏในวรรณคดเี รื่องอน่ื ๆ ดว ย) 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู 1 ยูง ชอ่ื นกขนาดใหญในสกุล Pavo วงศ Phasianidae ในฤดผู สมพนั ธตุ วั ผู “กรรมอันใดจะใหเ คลอ่ื นคลาดจากทพิ ยวิมานเหมือนลมพายุพัดพานเพกิ จะมขี นหางยาวและมีแวว เพอ่ื ใชราํ แพนใหตวั เมยี สนใจ อาศยั อยูต ามปาโปรง ถอนหมูไม” มกั รองตอนเชา หรือพลบคา่ํ กินเมล็ดพชื แมลง และสัตวเ ลก็ ๆ มี 2 ชนดิ คือ ยูงไทย (P.muticus) และยูงอนิ เดยี (P.cristatus) ขอ ใดไมมกี ลวธิ ที างวรรณศิลปสอดคลองกับบทประพนั ธขา งตน 2 วิปลาส คลาดเคล่อื นไปจากธรรมดา อาทิ สติวิปลาส หรือ ตัวอักษรวปิ ลาส 1. ใหครรภด งู ามพรอม เหมอื นคันธนูดลู ะมอม 2. ใหพ ระทรวงเตงตงั้ ด่ังประทุมบวั หลวงงามบรสิ ทุ ธ์ิ 3. อยา ใหครรภขาพระบาทปรากฏนนู เหมอื นสตรที ้ังมลู ดูเวทนา 4. เกศาสดี าํ ขลบั สลบั สลวยบริสุทธิ์ ประดจุ สปี ก แมลงคอ มทอง 3 ทา วสหัสนัยนเนตรเทวราช หรอื พระอนิ ทร ชอื่ เทวราชผูเ ปนใหญใ นสวรรค ชน้ั ดาวดงึ สแ ละชัน้ จาตุมหาราชิกา ผูเปนใหญ ตามความเช่ือในศาสนาพุทธ สวนใน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. อยา ใหค รรภข า พระบาทปรากฏนูนเหมอื น ศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดถู อื วา เปนประมุขแหง เทวดาทัง้ ปวง มหี นา ทีป่ กครองสวรรค และอภิบาลโลก ถือกําเนดิ ขน้ึ ในสมัยฤคเวท ตอ มาเมื่อตรีมูรติอุบตั ขิ ้นึ พระอนิ ทรก ็ สตรีทง้ั มูลดูเวทนา ไมป รากฏกลวิธที างวรรณศิลป โดยใชภาพพจนแ บบ ถูกลดบทบาทลง กระท่งั กลายเปนเทวดาชั้นรองจากตรีมรู ติในปจ จุบัน อุปมาโวหารเหมอื นขออืน่ ๆ 4 บรจิ ารกิ า หมายถึง หญิงรับใช เมื่อประกอบกับคาํ วา บาท เปน บาทบริจาริกา หมายถึง ภรรยาท่ีเปน สามัญชนของพระมหากษัตรยิ 226 คูม อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ สกฺโก สมเด็จพระอมรนิ ทราธิราช ไดท้ รงฟงั พจนารถสนุ ทรวาจา อนั นางผุสดี 1. นักเรยี นรว มกันตอบคําถาม ตอไปนี้ เทพกัญญาทลู ขอทศวรพรสบิ ประการ ก็ตรัสพระราชทานพรด้วยพระคาถาด่ังน้ี • นักเรียนอธิบายความหมายและความสาํ คัญ ของการใชโวหารภาพพจน ฯลฯ (แนวตอบ โวหารภาพพจนเปน การสอ่ื สารใน ภทฺเท ดูกรเจ้าผุสดีผู้มีสุนทรพักตร์ พร้อมด้วยสรรพลักษณวิไลเลิศ เย เต ระดบั ความ โดยไมส อื่ สารอยา งตรงไปตรงมา แตเ นนใหผอู านมสี วนรว มในการคิดและการ นท้ันสไซวรร้เาจ้าจทักินไฺนดา้ส�าวเรร็จพเรสพร็จิเศสษิ้นปทรุกะปเสรระิฐกสาิ่งรใ ดใทน้ังพสริบะปรราะชกฐาารน แทวี่เ่นราแปครวะ้น1ทแาดนนปอราะณสิทาจธักิ์ใหร้ จอพมระนพาถร ตีความ เพ่อื ความเขาใจอยา งลึกซึ้ง สราง ความรสู ึกรว มกบั บทประพนั ธ) แหง่ สมเด็จพระเจา้ สีวรี าชนน้ั เทอญ • การใชโวหารภาพพจนใ นบทประพนั ธมี ฯลฯ ความสําคญั ตอ คณุ คาทางวรรณศลิ ปอยา งไร (แนวตอบ โวหารภาพพจนท ี่ปรากฏ คอื ภกิ ขฺ เว ดกู รสงฆผ์ ทู้ รงศลี สกิ ขา มฆวา อนั วา่ ทา้ วมฆั วาเทวราช ผเู้ ปน็ พระราชสามี พรรณนาโวหาร ทําใหเกิดจินตภาพ จาก นางอัปสรราชสชุ าดา ทรงพระราชทานซ่ึงทศวรพธิ พรสิบประการ แก่พระผสุ ดีเทพนารแี ล้วก็ทรง ความงามทางเสียง คาํ ความหมาย และเกิด เกษมสนั ตโ์ สมนัสปรีดาผอ่ งแผว้ ดว้ ยพระทยั อนุโมทนาในกาลบดั น้นั แล จินตนาการ เชน “...ครั้นแสงพระสรุ ยิ ะสอง ระดมกด็ ูเดนดั่งดวงดาววาววามวะวาบๆ ที่ มหำพน เวง้ิ วงุ วิจิตรจํารญั จํารูญรุง เปนสรี งุ พนเพยี ง กณั ฑ์ท่ ี ๗ คัคนมั พรพน้ื นภากาศ...” อปุ มาโวหาร เชน “...ตน ลํายอกเขย้ือนโยกอยูไปมา...เหมอื น ภารทวฺ าโช อนั วา่ พราหมณ์ชราภารัทวาชชาติเข็ญใจ คจฉฺ นโฺ ต ตะแกก็ไต่เตา้ มาณพเสพซง่ึ สรุ าเม่อื แรกเริม่ พง่ึ รรู ส ไดดูด ตามอรัญญวิถีมีส�าคัญเขาและไม้อันนายพเนจรเจตบุตรบอกแจ้งแล้วแต่หลัง ่ออก3ทอฺทงสกณอฑจ2ฺพจุติธํี ดม่ื คราวเดยี วไมทันหมดกเ็ มามาย...” ทาํ ให ก็พอประสบพบพระสิทธาจารย์จอมอัจจุตใจจงเจริญจรรยายอดโยคี ก ผอู า นเขา ใจความหมายทีก่ วตี อ งการส่อื ได สกรรระพทอ�านาศมิรัสพกิษา4พร วกจึ่พงกาลฬ่ามวฤปคฏริส้าันยกถาาจรอถันามจถะึงรทบุกกขวน์ภ ัยถพายมาถธ่ีถิแ้วลนะถเหึงทลือ่ีเทบ่ียยวุงแบสุ้งวรง่าหนารม้ินูลกผินลโาลหหาิตร โดยงา ย และเกิดจนิ ตภาพทม่ี ีความตอ เนอื่ ง พระสิทธาจารย์เจ้าจ่ึงแจ้งเหตุว่าสรรพภัยอาเพศไม่พาธากระท�าร้าย ท้ังมูลผลาหารก็หาง่าย ชดั เจน) ไมฝ่ ืดเคอื งขัดสน ผลเอมโอชอันจะขบฉนั เชญิ ธชี ชา� ระเท้าเสยี ใหส้ ้ินธุลีในโรงน�้า กระท�าภตุ ตากจิ กินผลไม้มีอยู่มากครัน ผิจะฉันก็จงฉันเถิด น�้าฉันเราก็ตักไว้ในตุ่มเต็มตามแต่จะปรารถนา 2. นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ ท่านทุเรศสัญจรมาในวันนี้ นามศรีสวัสดิ์พิเศษเกษมศานต์ การเจริญอย่าร้ังรอเร่งฉันเถิดนะธช ี พระเจ้าข้าพระคุณใจอารีรบจะให้รับประทาน ทรงพระคุณหาอันใดปานบมิได้ ข้าทิชาจารย์ หจะมขาอยรปับระดส�ารงคงไ ์ วจ้ทะ่ีหใวค่ารงป่ กรละ้าส บดพ้วบยพขร้าะเฒอง่าคอ์อุตัคสราบหระมสทืบาเนสาาะธบิเฉดพ ี ามะนีหานม้าพมราะทเั้งพนศ้ี ยดัน้วดยร5มอีกดมุลลดมวงุ่งดมลิากด ขยายความเขา้ ใจ Expand เลิศกษัตริย์ในสากล ยทิ ชานาสิ สํส เม ผิและพระผู้เป็นเจ้าแจ้งต�าบลบพิตรที่สถิตสถาน 1. นักเรียนยกตัวอยา งโวหารท่ีปรากฏในบท จะโปรดเกล้าข้าทิชาจารย์ให้แจ้งเหตุสักหน่อย เหม่ ออเฒ่าน่ีร้อยถ่อยทรลักษณ์ลามกธรรม์ ประพันธ ทั้งพรรณนาโวหารและอุปมาโวหาร ใช่จะมาด้วยหวังสวัสดิ์เป็นทางสวรรค์น้ันหามิได้ มญฺเฌ ดั่งกูน่ีนึกแน่ในใจไม่ผิดเนตร ชะรอย พรอมอธิบายวา การใชโวหารดงั กลาวสง ผล จะไปขอองค์สมเด็จพระอัคเรศราชชายา ถ้าหาไม่ก็พระชาลีแม่กัณหาท้ังสององค์ เออก็ท้าวเธอ ตอคณุ คาทางวรรณศิลปอ ยา งไร ออกมาทรงสร้างแสวงบุญบ�าเพ็ญผลเพ่ือผนวชในพนัสดงดอน มีแต่สองลูกรักและสายสมร 2. ครสู มุ นกั เรียน 2-3 คนนาํ เสนอหนาชั้นเรยี น 227 จากนัน้ นักเรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู จากวรรณคดีเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก คําศพั ทใ นขอใดมีความหมาย 1 แควน ดินแดนอันเปน ถิ่นท่อี ยขู องมนุษย เดมิ หมายถงึ ประเทศ เชน แควน แตกตา งกนั มคธ แควน โกศล ในปจจบุ ันหมายถงึ เขตปกครองทเ่ี ปนสว นยอ ยของประเทศ ใหญ กวาจงั หวดั , รฐั , เชน แควนสิบสองจไุ ทย เปน ตน 1. บําราศ-ราง 2 กณฑ มาจากคําวา กูณฑ หมายถงึ ไฟหลุม ไฟกณฑพิธี คอื พิธบี ูชาไฟ 2. ทเุ รศ-สงสาร 3. พระหนอ เน้อื -ดนัยนาถ 3 รา น ชือ่ หนอนผีเส้อื หลายชนิดและหลายวงศ เชน วงศ Arctiidae, Lyman- 4. เนียรกาศ-บพั พาชนยี กรรม triidae, Lasiocampidae มีขนปกคลมุ เต็มลาํ ตัว เม่ือถกู เขา จะปลอ ยน้าํ พษิ ทําให เกิดอาการแสบรอ นและคนั เมอื่ เจรญิ วยั จะเปล่ียนเปนดักแดแ ละฟกออกมาเปน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ทเุ รศ-สงสาร เนอ่ื งจาก คาํ วา ทุเรศ หมายถึง ผเี ส้อื กลางคนื หรือเรยี กวา บุง ไกล สว นคําวา สงสาร หมายถึง วัฏสงสาร การเวยี นวายตายเกิด สวน 4 อาศริ พิษ หรอื อาจใชคาํ วา อาศิรวิษ หรืออาศรี พิษ หรอื อาศีรวิษ ผูมีพิษใน ขอ 1. หมายถงึ จากไป ขอ 3. หมายถึง ลูกชาย ขอ 4. หมายถึง การขับไล เขี้ยว คอื งูหรืออสรพิษ ใหพ นที่อยู 5 เพศยันดร คอื นามพระบรมโพธสิ ัตวช าตทิ ่ี 10 ในทศชาติ หมายถึง 227 พระเวสสันดร คู่มือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluate Engage Explain Explain Expand อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนพจิ ารณาบทประพันธและรวมกันตอบ มิ่งมเหสี เป็นสามส่ีองค์ด้วยกันเท่านี้เห็นหน้ากันเมื่อกาลไร้ หรือมีทรัพย์ส่ิงใดซ่ึงจะได้ติด คาํ ถาม ตอไปน้ี “แลถนัดในเบอ้ื งหนา โนน กเ็ ขาใหญย อดเยยี่ ม พระองคม์ า มนั ช่างไมค่ ดิ อนิจจาดแี กใ่ จอยา่ งไรหนอน1ะธช ี อกทุ ธฺ รูปาหํ โภโต พระเจา้ ขา้ พระษี อยางพยับเมฆ มพี รรณเขยี วขาวดําแดงดดู ิเรก ด่งั รายรตั นมณีแนมนา ใครชม ครน้ั แสง อย่าเพ่อมาพาลโกรธ ข้าธชีน้ีใช่พราหมณ์โหดหินชาติเหมือนเช่นว่า ไม่จงหวังตั้งหน้ามาขอทาน พระสรุ ิยะสอ งระดมก็ดูเดนด่ังดวงดาว กระท�าให้เสียจารีตรามราชวิสัยมหาศาลสืบประเวณี ถึงจะบริภาษพ้อจนเพียงนี้ข้าน้อย วะวาววะวาบๆ ที่เวิง้ วงุ วจิ ติ รจํารัสจํารูญรุง เปนสีรุง พงุ พน เพียงคัคนัมพรพ้ืนนภากาศ” ก็หนักแน่นนึกเกรงไม่โกรธ2ตอบ ด้วยตัวต้ังอยู่ในค3วามชอบไม่แผกผิด มาน่ีหวังจะใคร่ประสบ • จากบทประพันธขา งตน นกั เรียนเกดิ จนิ ตภาพอยางไร พบบพิตรพุทธพงศ์ทิพากร อันเป็นศรีสวัสดิสุนทรทางทัสนานุตริยธรรมอันอุดม ด้วยได้เคย (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดหลากหลาย สโมสรสมาคมคบหา กับพระองค์ผู้ทรงพระปรีชาเชื้อปราชญ์ไม่มีเปรียบประยูรยศอันใหญ่ย่ิง ขึ้นอยูกับเหตุผลของนกั เรยี น โดยนกั เรยี นอาจ แต่จากเมืองมาอยู่ป่าเป็นความจริง ข้าพเจ้ายังมิได้พบพระองค์เลย พระคุณเจ้าเอ่ยเอ็นดูเถิด กลาวถึงความสูงใหญของขนุ เขาเทียมเมฆ มี ถา้ รู้แห่ง จงช่วยแนะต�าแหนง่ แนวนิวาสนสถานใหแ้ ก่ขา้ พฤฒาจารย ์ ณ กาลบดั นี้เถดิ พรรณไมห ลากสีดงั สีแกวมณี แสดงภาพการ เคลื่อนไหวเปลย่ี นแปลงของแสงใหสอ งระยบิ ตํ สุตฺวา ตาปโส พระอัจจุตษีได้สดับสารคดีมุสาวาท ธชีชาติทรชน ระยับงดงามเปนสีรุง) ช่างมาบ่นร�าพันพูดให้เช่ือก็เช่ือฟัง จึ่งให้พราหมณ์ยับย้ังหยุดนอนอยู่ในอาศรมส้ินส่วนแห่งราตรี • นักเรียนคดิ วา บทประพันธด งั กลา วขา งตน มี ยงั ธชเี ฒา่ ทลทิ ทกใหร้ บั ประทานมลู ผลาหารของปา่ ครน้ั รนุ่ สางสวา่ งเวลาอรโุ ณทยั จงึ่ พาพราหมณ์ การใชกลวิธที างวรรณศลิ ปอยา งไร ไปสถิตท่ีตน้ ทางเถ่ือนวิถี ยกทกั ษณิ หัตถ์ข้นึ ช้ีใหธ้ ชจี า� ระยะมรรคา กก็ ล่าวเป็นพระคาถา (แนวตอบ การใชโ วหารแบบพรรณนาอยา ง ละเอยี ดใชภาพพจนแบบอุปมาเปรยี บสีสัน ฯลฯ ของพรรณไมกับแกวมณี รวมถึงใชภาพพจน พฺรหเฺ ม ดูกรมหาพราหมณพ์ รหมบุตรบวชบรรพชาชาตทิ ิชงคพสิ ยั เอส เสโล แบบอุปลักษณ ตลอดจนการละคํา กอใหเ กดิ จนิ ตภาพจากการใชภ าษาท่ีกอ ใหเกิดภาพ แลถนัดในเบ้ืองห4น้าโน่นก็เขาใหญ่ยอดเย่ียมอย่างพยับเมฆ มีพรรณเขียวขาวด�าแดงดูดิเรก เคลอ่ื นไหว) 2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด ดั่งรายรตั นนพมณีแนมนา่ ใครช่ ม คร้ันแสงพระสุริยะสอ่ งระดมก็ดเู ด่นดงั่ ดวงดาววาวแวววะวาบๆ ทเี่ วงิ้ วงุ้ วจิ ติ รจา� รสั จา� รญู รงุ่ เปน็ สรี งุ้ พงุ่ พน้ เพยี งคคั นมั พรพนื้ นภากาศ บา้ งกเ็ กดิ กอ่ กอ้ นประหลาด ขยายความเขา้ ใจ ศิลาลายแลละเลือ่ มๆ ท่ีงอกง�้าเป็นแงเ่ งอ้ื มก็ชะงุม้ ชะโงกชะง่อนผา ท่ผี ุดเผนิ เป็นแผ่นพตู ะเพงิ พัก บางแห่งเล่าก็เห้ียนหักหินเห็นเป็นรอยร้าวรานระคายควรจะพิศวง ด้วยธารอุทกท่ีตกลงเป็น หยาดหยัดหยดย้อยเย็นเป็นเหน็บหนาวในท้องถ�้าที่สถิตไกรสรราชสถาน บังเกิดแก้วเก้า ประการกาญจนะประกอบกนั ตลอดโลง่ โปรง่ ปลอ่ งเปน็ ชอ่ งชน้ั ชอ่ วเิ ชยี รฉายโชตชิ ว่ งชชั วาลสวา่ งตา แสนสนกุ ในหอ้ งเหมคหู าทกุ แหง่ หนรโหฐาน เปน็ ทเ่ี สพอาศยั สา� ราญแหง่ สรุ ารกั ษรากโษสสรรพปศี าจ มากกว่าหม่ืนแสน สะพรั่งพฤกษพิมานแมนท่ัวทุกหมู่ไม้บรรดามีในเขานั้น ก็ย่อมทรงทศพิธ สุคนธ์คันธขจร อาจจะจับเอาใจเป็นอาจิณ คนฺธมาทโน จึ่งเรียกนามศิขรินคันธมาทน์มหิมา Expand เหตุประดับด้วยพฤกษาทรงสุคนธชาติสิบประการ มีเชิญธชีนะไต่เต้าตามเชิงเขา ข้างอุตราภิมุข เขม้นมุ่งหมายเฉียงเหนืออย่านอนใจ โน่นนั่นคือหมู่ไม้มีอเนกนานานับมิถ้วน นีลาแลสล้างล้วน 1. นกั เรยี นยกตวั อยา งบทประพนั ธ ทมี่ ีคณุ คา สูงสลอน บ้างก็ออกช่ออรชรผลผกาเกิดกับก่ิงก้านระกุแกมแนมใบวิมูลระบัดบังเขียวชอุ่ม ทางวรรณศลิ ปส อดคลองกบั บทประพันธทยี่ กมา เป็นพุ่มตั้งด่ังจอมเมฆมัวเป็นหมอกมูล สรรพตระกูลสกุณทิชากรเกริ่นร้องกับกิ่งรุกขะเรียงราย ในกิจกรรมขางตน พรอมอธิบายวาการใช 228 โวหารภาพพจนดังกลา วสงผลตอ คณุ คาทาง วรรณศิลปอยางไร 2. ครสู มุ นกั เรียน 1-2 คนนาํ เสนอหนาชัน้ เรียน จากนั้นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู 1 หนิ ชาติ หมายถงึ มกี าํ เนิดตาํ่ “ครน้ั แสงพระสุรยิ ะสอ งระดมกด็ ูเดนดง่ั ดวงดาววะวาววะวาบๆ ที่เวิ้งวุง ” 2 บพติ รพทุ ธพงศท พิ ากร เปน พระนามหนง่ึ ของพระเวสสนั ดร ประกอบดว ยคาํ วา ขอ ใดไมใชกลวธิ ีทางวรรณศลิ ปใ นบทประพนั ธข างตน “บพติ ร” หมายถึง พระองคทา น โดยมากเปนคาํ ทพี่ ระสงฆใ ชแ กเจานาย เชน 1. นาฏการ บรมวงศบพิตร เปนตน คําวา “พุทธ” หมายถึง ผูต รัสรู ผูต่นื แลว ผูเ บิกบานแลว 2. ภาพพจน ใชเ ฉพาะเปนพระนามของพระบรมศาสดาแหงพระพทุ ธศาสนา เรียกเปนสามญั วา 3. การเลน เสยี ง พระพุทธเจา สวนคําวา “พงศ” หมายถึง เชอ้ื สาย เทือกเถา เหลากอ สกลุ และ 4. คาํ เลียนเสยี งธรรมชาติ คําวา “ทพิ ากร” หมายถงึ พระอาทิตย 3 สวสั ดสิ นุ ทร ความดีงาม มาจากคาํ วา “สวสั ดิ์” หรือ “สวัสด”ี หมายถึง วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. คําเลียนเสียงธรรมชาติ ไมปรากฏใน ความดี ความงาม ความเจรญิ รุงเรือง ความปลอดภัย อาทิ ขอใหม คี วามสขุ สวสั ดี ขอใหส วัสดีมีชยั สว นคําวา “สุนทร” หมายถึง งาม หรือดี บทประพนั ธ เน่อื งจากบทประพนั ธข า งตน ปรากฏการสรางจนิ ตภาพจาก บทประพนั ธ ประกอบดวย การเลนเสียงสมั ผัสอักษร ว ภาพพจนแ บบอุปมา ภาพเคลอื่ นไหวจากการกระพริบของแสง 4 นพมณี แกว 9 ประการ คอื เพชร ทับทมิ มรกต เพทาย บษุ ราคัม นลิ มุกดา โกเมน ไพฑรู ย 228 คมู่ อื ครู
กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ ครั้นเมื่อเวลาลมชายร�าพ1ายพัด ก่ิงก้านก็ไกวกวัดสะบัดโบก ต้นล�ายอดเขย้ือนโยกอยู่ไปมา 1. นักเรียนยกบทประพนั ธท่ีนักเรียนประทบั ใจ พรอมตอบคําถาม ตอไปน้ี อิวมาณวา เหมอื นมาณพเสพซงึ่ สรุ าเมื่อแรกเริ่มพ่ึงรรู้ ส ไดด้ ูดด่มื คราวเดยี วไม่ทนั หมดกเ็ มามาย • บทประพันธที่นักเรยี นยกมามคี ุณคา ทาง จะตง้ั ตรงดา� รงกายบ่รงั้ รอดดว้ ยสรุ ารา้ ยฤทธ์แิ รงเมา ในพ้ืนภมู ิภาคน้ันเลา่ ก็แลเลอื น ลว้ นผกาก่มุ วรรณศิลปอยางไร หล่นกลุ้มเกลื่อนท2่ีกลางดินดูดาษดก สทฺทลา หริตา พรรณหญ้าแพร3กก็ข้ึนสะพร่ังเขียว (แนวตอบ นักเรยี นสามารถยกตัวอยางและ แสดงความคิดเหน็ ไดอยา งหลากหลายขึ้น ดงั่ สรอ้ ยคอขนมยรุ ะยลระยบั ออ่ นลออยงิ่ อยา่ งสา� ลใี ย ยอดไสวไมย่ าวสน้ั สอ่ี งคลุ มี เี สมอกนั ไมก่ า�้ เกนิ อยูกบั เหตผุ ลของนกั เรยี น เปน ตน วา “บา งก็ อันหนทางที่จะเดินน้ันสะดวกดาย สบายบาทบทจรเจริญใจ ผงไผ่ภัสม4ธุลีละอองอันละเอียด ออกชอ อรชรผลผกาเกิดกับกิง่ กานระกุแกม แนมใบวมิ ูลระบดั บงั เขียวชอุม เปน พุม ตัง้ ดัง่ มิได้เป็นฝุ่นฟุ้งเฟื่องพ้ืน ด้วยหญ้าแพรกปูปกไปเป็นพื้นภูมิพนัสสถานเทียรย่อมให้เกิดวัฒนาการ กา� หนดั ใน ก�าหนดนามม่ิงไม้อนั มผี ล มีอัมพพฤกษ์เปน็ ตน้ ดั่งส�าแดงมา ในจลุ วนวณั ณนาน้ันแล พรฺ หเฺ ม ดกู รมหาพราหมณผ์ ปู้ ระพฤตพิ รตพรหมจรรยา เราจะพรรณนาถงึ สระศรี จอมเมฆมัวเปน หมอกมลู สรรพตระกลู สกุณ ไอรฝพาูันงฑชกมิธนูรีอยานยจนรู่ท7ินี คี่แดมณทาีนดาบานวพมงารดมงะูใยุจสอ่อลสามินะศชอทรักามสดชศิน วิวธเนายุสวก็นราันยะสมะสแเานหยอาือ่งานสกบหม กยเสินดา่ีเ็ จดหพอเลกยร่ียษะ่ามงมบอเศรปมมาี่ฤยนบตมตาวไท์ิแาปสบรดินนพ6้ว สิตยรุขรชะาพลรภิชื่นธิริตรามวพรยยชิช์ดรัโยะ้วลเยรฉท่กาลก5เลิมรเิ่นทิงชไบีายอวันบอเเชบเททตอิงียุดวใมลจร ทชิ ากรเกร่ินรอ งกับกง่ิ รุกขะเรยี งราย ครัน้ เม่ือเวลาลมชายราํ พายพดั ก่ิงกา นกไ็ กวกวดั สะบดั โบก ตนยอดเขยื้อนโยกอยูไ ปมา อวิ มาณวา เหมือนมาณพเสพสรุ าเมอื่ แรกเริ่มพึ่ง ในสระน้นั อเถตฺถ ปทมุ าผลุ ลฺ า อา� พนด้วยบัวบุษย์เบญจพรรณมปี ระเภทพิจิตรอาจจะจับเอาใจ รรู ส ไดดดู ดื่มคราวเดียวไมท นั หมดก็เมามาย ท่ีขาวก็ขาวแข่งไสวสีเศวตวิสุทธ์ิสดสะอาด โขมาว ด่ังสุขุมโขมพัสตร์ลาดแลละลิบละลานตา จะต้งั ตรงดาํ รงกายบร้งั รอด ดวยสรุ าราย พรรณท่ีเขียวแดงก็ดาษดาดูดุจแสร้งระดับสลับสลอนล้วนเป็นเหล่ากัน พวกอุบลบัวผันและ ฤทธ์แิ รงเมา” บทประพันธขา งตนเปนบทชม เผอ่ื นผดุ กมุ ทุ หมลู่ นิ จงขจายบาน ในคมิ หนั ตเ์ หมนั ตกาลประกอบเกดิ กบั นา�้ กา� หนดตน้ื ยนื เพยี งเขา่ ธรรมชาตแิ สดงรายละเอียดของพชื พรรณ ควรที่จะปราโมทย์ อันว่าโกสุมสโรชก็โรยรายร่วงรสเรณูนวลผกาเกสร หมู่แมลงมาศภมร ตน ไมอันงดงามของปา หมิ พานต) ก็มวั เมาเอาชาติละอองอันละเอยี ด เสยี ดแทรกไซ้สรอ้ ยเสาวคนธข์ จร หง่ึ ๆ บินวะว่วู ่อนรอ่ นรอ้ ง 2. ครูสมุ นกั เรยี น 1-2 คนนําเสนอหนาช้ันเรียน อยโู่ ดยรอบขอบจตรุ สระศร ี สรรพพชื ผกั ในวาร ี และรมิ เฉนยี นอเนกนบั มากกวา่ หมนื่ สง่ิ เปน็ ตน้ วา่ สาหรา่ ยสายตงิ่ ตบตบั เตา่ เหล่าถั่วเขียวถั่วราชมาษ สรรพพืชพื้นพรรณผักกาดแกมกระเทยี มหอม ขยายความเขา้ ใจ Expand เห็นใบไสว เต้าแตงแฟงฟักผลใหญ่ย่ิงเท่าเภรี วาริโคจรา หมู่มัจฉาชาติในสระศรีสุดท่ีจะร่�า คลา้ ยๆ ว่ายอยู่คล่�าๆ เขา้ กนิ ไคลแลว้ เคล้าค่ตู ะเพยี นทองล่องลอยอยทู่ ีห่ ลงั ชล กินเกสรอบุ ลเบอื น 1. นกั เรยี นรว มกนั อภปิ รายในประเดน็ ตอไปนี้ เข้าแฝงบัวใหบ้ งั กาย นวลจันทรพ์ รรณเนือ้ ออ่ นแอบสวายแสวงวงั นลเปสิงฺคู กุมภฺ ลิ า กรกฎกุ้งกงั้ • นักเรียนคิดวา บทชมธรรมชาติทป่ี รากฏใน มังกรกมุ ภีล์ ตะโกกกาแกมกระดช่ี ะโดดุกกโ็ ดดดน้ิ เที่ยวเล็มล่าหาอาหารกินในท้องธาร แสนสนกุ หนา 228-229 น้ี มกี ารนําเสนออยา งสมจรงิ ในสระสนานอเนกา ดั่งสระสวรรค์สุนันทาทิพยสาโรชโบกขรณี อันมีในตรัยตรึงศ์ตรีเนตรสหัส หรอื ไม อยางไร และการนําเสนอดวยวิธีการ จักษุเทเวศวัชรินทร์ ที่ขอบสระนั้นเป็นทรายอ่อนระคนดินดูสะอาด พ้ืนพืชคามขึ้นประหลาด ดังกลาวมีคุณคาทางวรรณศิลปอยา งไร ลว้ นพิเศษสรรพโอสถทกุ ส่ิงสมต�ารา คอื พิมเสนเสนยี ดกฤษณาหนาดโลดทะนง จนั ทนามหาสด�า (แนวตอบ บทชมธรรมชาติไมไดใ หภาพใน ดงมะเดอ่ื ดนิ ดนี าคราช โกฐกลมั พกั เพชรสงั ฆาตขอนดอกดงกา� ยาน ราเชนชะมดหมกู่ ระวานวา่ น ความเปน จรงิ แตใหจินตภาพดานอารมณ วเิ ศษ สหสั คณุ เทศขนั ทองเทพทาโรราชพฤกษก์ ระเพราแดง พญาสตั บรรณสมลุ แวง้ วา่ นนา้� อเนกนกั ความรูสกึ ท่ีมีความสมเหตุสมผลกอใหเกดิ คณุ คา ทางวรรณศลิ ป การพจิ ารณาความ 229 สมจริง จงึ สามารถพจิ ารณาได โดยแบง เปน 2 ประเด็น) 2. นักเรยี นบันทึกความเขา ใจลงในสมุด ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’50 ออกเกยี่ วกบั ลักษณะเดน ของคําประพนั ธ นักเรยี นควรรู ขอ ใดไมใชจ ุดเดน ของคําประพนั ธต อ ไปนี้ 1 มาณพ ชายหนุม ชายรนุ อันวาโกสมุ สโรชกโ็ รยรายรว งรสเรณูนวลผกาเกสร หมูแ มลงมาศภมรก็ มวั เมาเอาชาติละอองอันละเอียด เสียดแทรกไซรส รอยเสาวคนธข จร ห่งึ ๆ บินวะวูวอนรอ นรองอยโู ดยรอบของจตรุ สระศรี 2 มยุระ นกยงู ใชว า มยรู กม็ ี 3 องคุลี นิว้ มอื ชอื่ มาตราวดั แตโบราณ ยาวเทากบั ขอปลายของนิว้ กลาง 1. การสรรคาํ 2. ภาพชัดเจน 3. เสยี งไพเราะ 4 เทียร หรอื เท้ียร ยอม ลวนแลวไปดวย 4. เนื้อความลกึ ซง้ึ 5 ชโลทก หรอื ชโลทร หมายถงึ แมน า้ํ ทะเล หว งน้ํา ทองน้าํ 6 อมฤตวาริน หรอื อมฤต น้าํ ทพิ ย เรียกวา น้ําอมฤต เคร่ืองทพิ ย วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. เนอ้ื ความลึกซึ้ง คาํ ประพนั ธข างตน เนือ้ หากลา วชมธรรมชาติ มีเสียงสัมผสั ไพเราะ แตไมม กี ารนําเสนอแนวคดิ 7 กนิ นร อมนุษยในนิยาย มี 2 ชนดิ ชนดิ หน่ึงเปนครึ่งคนครงึ่ นก ทอนบนเปน คน ทอ นลางเปน นก อกี ชนดิ หนึ่งมรี ปู รางเหมอื นคน เม่อื จะไปไหนมาไหน ก็ใสป ก ใสห างบินไป คูม่ อื ครู 229
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. นักเรียนรวมกันอภปิ รายในประเด็น ตอไปน้ี 1 • จากเรอ่ื ง มหาชาติ นักเรยี นบอกลกั ษณะเดน ดานวรรณศิลปของมหาชาตภิ าคกลาง พรอม สุดท่ีจะคณนา ยังเล่าเหล่าพฤกษาที่เนินทราย ก็รายเรียงอยู่ระร่ืน ข้ึนอยู่โดยรอบโรงพิธีกูณฑ์ ยกตัวอยา งประกอบ (แนวตอบ นักเรียนสามารถอภิปรายไดอ ยาง มแหะล่งุลสีกมรเดะ็จดอังงดาิศรสบลดฺลีศกูริโสยรรจเพชปญุปพฺผุิทตาธพกงศระ์เพทศุ่มยทันอดงแรมทีทงท้ังยวยม2รโดวยยกปรร่าะงด ู่ดจอิกกแอจองดกอสกลกอรนะสจล่าับง กวา งขวางข้ึนอยูกบั เหตุผลของนกั เรยี น ลักษณะเดน ดานวรรณศลิ ปข องมหาชาติภาค ทั้งช้างน้าว ก่ิงก้านก็ก่ายก้าวเกี่ยวประสาน สุรภีพิกุลกาญจนแก้วเกดกรรณิการ์แกมมหาหงส์ กลาง มีรายละเอยี ด ดังนี้ 1. การใชพ รรณนา ประยงค์แย้มย่ีเข่งเข็ม สายหยุดพุดตานก็บานเต็มแต่ล้วนเหล่ากุหลาบตรลบดงรวยๆ ล�าดวนส่ง โวหาร ใหภาพพจนขยายรายละเอียดตางๆ อยางชัดเจน โดยใชป ระโยคและโวหาร ทรงสรอ้ ยสคุ นธา หอม3ประทิ่นกล่ินโยทะกาตระการใจ จา� ปาออกดอกดกไสวเรณนู วลล้วนกาหลง ภาพพจนทม่ี ขี นาดยาว ถอยคาํ แสดงราย ละเอียดตา งๆ อยา งละเอียดลออ ตลอดจน เหล่าบุนนาค กากะทิงกระถินกล่ินหอมหลากล้วนวิเศษ ดูกรธชีเชษฐอันชั้นนอกนั้นดาษดื่นพ้ืน สรา งจนิ ตภาพอยางแจม ชัด อาทิ “...ครน้ั แสง พฤกษาสงู เหลา่ ยางยูงพะยอมใหญ่ยอ่ มเยยี ดยดั อกฏุ ิลา ล�าต้นตะละคนั ฉตั รเฉดิ ระหง ตรงละล่ิว พระสุริยะสองระดมกด็ เู ดน ดั่งดวงดาววาววาม แลสูงสะพรั่ง พรรณพฤกษ์เต็งรังร่มเรียงเหียงหาดเห็นเป็นเหล่าๆ สิมฺพลีรุกฺขา หมู่ง้ิวง้าว วะวาบๆ ท่ีเวงิ้ วงุ ...” การใชอุปมาโวหาร อาทิ ก็งอกงามตระหง่าน ปานประหนึ่งว่าช่างหากพิจิตรผจงเขียน ทั้งคุยข่อยแคคางนางตะเคียน “...ตนลาํ ยอกเขยื้อนโยกอยูไปมา อิวมาณวา เหมอื นมาณพเสพซึ่งสรุ าเมอ่ื แรกเรม่ิ พง่ึ รูรส...” กก็รคะั่งทคันับน ั้นพกว็มกีอผย้ึงู่มกา็พกาหกลันามยาจกับทปลริโะยจ �าอกนร่ึงะผทล�ากรลัง้วเจยรกิญล้ารย4วดงิบมสธุรุกสหว่าามรที รทาม่ีเตกี้ย�าคด่อัดกมินคก้อ็เมกคลดื่อกนรกะลทาดด 2. การเลนเสียงสัมผสั เปนตน วา “ถามถี่ถวน ถึงทีเ่ ทีย่ วแสวงหามูลผลาหาร” เปน การใช ย่อมมีอยู่แทบท่ีใกล้พระอาวาสบริเวณวนาศรม แห่งพระผู้อุดมด้วยศีลวัตรบวรพิเศษสืบสร้าง สัมผสั ในท้ังสมั ผัสอกั ษรและสัมผสั สระอยา ง แสวงเพศผนวชในพนสั แสนกันดาร อนั เป็นเขตพระหิมพานต ์ นั้นแล แพรวพราว สรา งความไพเราะจากเสยี งเสนาะ 3. กลบท คือ กลบทกบเตนสลกั เพชร และ ฯลฯ กลบทนาคบรพิ ันธ 4. การนาํ ภาษาบาลีต้งั แลวแปลแตง ขยายความสามารถสอบทาน พรฺ หเฺ ม ดูกรธชชี าตทิ ิชงค์เชือ้ มหาศาล เอตฺถ พฺรหาวเน อนงึ่ ในหอ้ งหิมพานต์ ความถกู ตอ งของเนอื้ ความ และชวยใหเกิด เสยี งไพเราะ สรา งความเลื่อมใสศรัทธาได) ภมู พิ นาวาสวสิ ยั ส5ตั วส์ ดุ ทจ่ี ะรา� พนั พวกคณานกิ รสตั วท์ ง้ั หลายนน้ั อนนั ตอ์ เนกนบั มากกวา่ หมน่ื แสน 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ย่อมอาศัยในด้าวแดนดงกันดาร ไพรพฤกษาสารสโมสรสรรพสัตว์จัตุบทนิกรทวิบาท เป็นต้นว่า สัตว์สุรสีหชาติสี่จ�าพวกพาฬผรุสร้ายราวี หน่ึงนามชื่อว่าติณราชสีห์เสพซ่ึงเส้นหญ้าเป็นอาหาร หน่ึงชื่อว่ากาฬสิงหะและบัณฑุสุรมฤคินทร์ เสพซ่ึงมังสนิกรกินเป็นภักษา สามราชสีห์ มสี รรี กายาพยพอย่างโคขนพกิ ลหลากๆ กนั พรรณหม่นมอเป็นมนั หมึกมดื ดา� ส�าลานเหลืองเลอ่ื ม แลประหลาด หน่งึ นามไกรสรสงิ หราชฤทธิเรงิ แรง ปลายหางและเทา้ ปากเป็นสแี ดงดูดุจยอ้ มครง่ั พรรณที่อื่นเอ่ียมดั่งสีสังข์ใสเศวตวิสุทธิ์สดสะอ้านประสานลายวิไลผ่านกลางพื้นปฤษฎางค์แดง ด่ังชุบชาด อนั นายชา่ งชาญฉลาดลากลวดลงพ่กู นั เขียน เบ้อื งอูรนุ ัน้ เปน็ รอยเวยี นวงทักษณิ าวรรต เกสรสร้อยศอด่ังผ้ารัตกัมพล ย่อมสถิตในคูหาเหมไหรณไพโรจน์รัตนผลึกเลื่อมมโนศิลาลาย คร้ันแสงพระสุรยิ ะบดบา่ ยสนธยาบาต กต็ น่ื จากไกรสรไสยาสนเ์ ยี่ยมออกมา จากถ้า� แกว้ กนกรตั น คูหาห้องรโหฐาน เหยียบยืนพื้นประพาฬพรรณประไพแผ่นเลิศศิลาทอง แล้วเหยียดหยัดสลัด 230 นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT “สรุ ภพี ิกลุ กาญจนแกว เกดกรรณิการแกมมหาหงสประยงคแยมยเ่ี ขงเขม็ 1 กูณฑ ไฟ หรอื หลุมไฟ สายหยดุ พดุ ตานก็บานเต็มแตล ว นเหลากุหลาบตรลบดงรวยๆ” 2 แทงทวย ช่อื ไมตน ชนดิ Mallotus philippensis (Lam.) Muell. Arg. ในวงศ บทประพันธข า งตน ปรากฏพรรณไมกชี่ นิด Euphorbiaceae ผลมีขนสีแดง ใชท าํ ยาได, คาํ แสด กเ็ รียก 1. จาํ นวน 10 ชนิด 3 กากะทิง ช่อื ไมต น ชนิด Calophyllum inophyllum L. ในวงศ Guttiferae 2. จาํ นวน 12 ชนดิ ใบและผลคลายสารภี แตใ บข้นึ สันมากและผลกลมกวา เปลือกเมลด็ แข็ง ใชท าํ ลกู 3. จํานวน 15 ชนดิ ฉลากหรอื กระบวยของเลน สารภีทะเล กะทิง หรือ กระทงึ ก็เรียก 4. จาํ นวน 20 ชนดิ 4 กลวยกลาย ชอ่ื กลวยลูกผสมพนั ธุห นึง่ ในสกุล Musa วงศ Musaceae ผล วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. จาํ นวน 12 ชนดิ ประกอบดวย สุรภี พกิ ุล ใหญโ คง เปนเหล่ียม และยาวกวา กลวยหอม เปลอื กหนา เนอ้ื เหนยี ว ไสแขง็ มสี สี ม แกว เกด กรรณกิ าร มหาหงส ประยงค ยีเ่ ขง เขม็ สายหยุด พดุ ตาน รสหวาน นยิ มกินเมอื่ ทําใหส ุกแลว กหุ ลาบ 5 ดา ว แดน ประเทศ เชน คนตางดาว หรือหมายถงึ ดาน อาทิ ดา วทา ย ใชว า ดา นทา ย 230 คู่มือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1 1. นกั เรยี นยกตัวอยา งบทประพันธทส่ี อดคลอ ง กบั ประเด็นทไ่ี ดอภิปรายในหัวขอทผ่ี า นมา ลองไขซ่ึงลมฆาน ให้สุรศัพท์สะเทื้อนดงดั่งเสียงฟ้า ว่ิงฉวัดเฉวียนวงไปมาด้วยสามารถ • จากลกั ษณะเดน ทางวรรณศลิ ปของ บทประพนั ธท ี่นักเรียนอภิปรายในหัวขอท่ี อโผศั นวทมขุะ2กียค็านะนผอาดงพแาผคดณเสาียเทง ย่ี วพใวนกเถพอ่ื ยนัคทฆา์กง็ห หมอตบถฺ โิเยม ียทงเงั้ขฝมงู ้นชา้หงมกาช็ ยกั โขหลมงู่มคฤลคะคคล�ารา้ ยามคลรนา�่ เแคลล้วอื่ เนรค่ร้อลาง ผา นมา มคี วามสอดคลองกบั วรรณคดีเรื่อง มหาชาตหิ รือมหาเวสสันดรชาดกในฐานะ ขนึ้ จากท่าแล้วลงธาร ทุกแห่งหุบห้วยละหานเท่ียวหากินมีหัสดินอัครอ�านวยวงศ์ ทรงศุภลักษณ วรรณคดศี าสนาอยา งไร พิเศษสารสิบตระกูลเกิดกับป่า ทั้งพวกพรรณหมู่ม้าม่ิงมงคลลักษณะหลายอย่าง เขียวขาว (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถอภิปรายไดอ ยา ง หลากหลาย ขึน้ อยกู บั เหตผุ ลของนกั เรียน ด่างด�าแดงดูดิเรกร้องหฤหรรษ์ หมู่ทรายก็ส่งเสียงกระส3ันแช่เซ็งบรรสาน ฟานฝูงคณาเนื้อนิกร เปนตน วา บทประพนั ธม ีความสมบูรณท้งั ใน ดา นความหมายและคุณคา ทางวรรณศิลป กวางดงดนู แี่ ดงดาษ หมลู่ ะมงั่ ระมาดระมดั กาย ชะมดฉมนั หมายเม่นหมหี มูหมกู่ ระทงิ เถ่อื น โคถึก มกี ารใชค ําและโวหารทีม่ คี วามเหมาะสม เท่ียวทุรสถาน กาสรกา� เลาะลานกล็ บั เขาเขา้ เคียงค ู่ กระจงจามรรี รู้ ะวงั ขนมใิ หข้ าดระคาย ตุลยิ า ทงั้ พรรณนาโวหาร ใหภ าพพจนขยาย นลสนฺนิภา กระรอกตุ่นกระแตต่ายก็ไต่เต้น เหล่าลิ่นและเหี้ยเห็น ก็ระเห็จหันหาภักษา รายละเอยี ดตางๆ อยางชัดเจน การเลน เสียงสัมผสั เปน ตน วา สมั ผสั ใน ทง้ั การใช พหมวกู่คพ่างรบรณ่างเชลียะงนผีไาหก้ค็ผราะดโผหันยแหผว่นนโ ผเนส ียมงโกขฺกมฏด4านาฝงูงไพม้าเลน่ารกก็ครระ�่าโจคมรโวจญนคทระะยคารนึ้มยคุดรโยางน โยปกายงะเมย่ือวยบาไมม้ สมั ผสั อกั ษรและสมั ผัสสระอยา งแพรวพราว กลบท คอื กลบทกบเตนสลกั เพชร และกล ยา่ งเขา้ สายณั ห์ยา�่ ยอแสงสหสั ภาณมุ าศ ได้ฟังแล้วนิกแ็ วว่ หวาดวังเวงวิเวกวนาสนั ฑ์ เสียวสะท้าน บทนาคบรพิ นั ธ การนาํ ภาษาบาลตี ้ังแลว สะทึกพรั่นเย็นระย่อยะเยือกสยดสยอง หร่ิงๆ เรไรร้องทุกราวรุกขะระงมป่า แจ้วๆ จักจ่ันจ้า แปลแตง ขยายความกอใหเกดิ คณุ คาดาน ประจ�าดง นานาทิชคณากิณฺณํ พวกพรรณพิหคหงส์ก็เหินหันเข้าหาคู่ คอยคณานางนกแนบ เน้อื หา โดยสามารถสอบทานความถูกตอ ง ในรังเรยี ง หมูม่ ยุระกส็ ง่ เสยี งกระสนั เมฆมาดหมายเปน็ ภักษา ภสฺสรา จกุกฺกฏุ ฐฺ กฺ า สกณุ กดไก่ ของเนอื้ ความท่แี ตง ขยายได และชว ยให แก้วกระหรอดกระเรียนร้องระวังไพร จากพรากเพรียกจับพฤกษาไสวแสวงเหย่ือมาเผ่ือเพ่ือน เกดิ เสยี งไพเราะ เกิดความเล่ือมใสศรัทธา สัตวาวายุภักษ์เล่ือนชะลอลม เหล่ากะลิงโกกิลากระลุมพูโพระโดกก็โผผินพวกพรรณพิหคหัสดิน สอดคลอ งกบั เนื้อหาของเรอ่ื งในฐานะ และดอกบัว กระตั้วกระเต็นเต้นเบญจวรรณ โนรีสาลิกาตระเวนวันพรรณขาบคุ่มกระทาขัน วรรณคดีศาสนา รวมถงึ มีความเหมาะสมใน กางเขนเขา เหล่าล้วนเลิศด้วยขนเขียวขาวด่างด�าแดงดูประหลาด อณฺฑชา ท่ัวทิชคณานั้น ฐานะวรรณคดคี ําสอน เน่อื งจากมกี ารใช มีชาติเกิดแต่ฟองฟัก เสียงสุโนกเสนาะนักน่าใคร่ฟัง ย่อมอาศัยท�าเรือนรังอยู่โดยรอบขอบ โวหารภาพพจนก อ ใหเกิดจินตภาพเหมาะสม จตุรสระกระแสสินธุ์ ชื่อมุจลินท์สินธุสาโรชโบกขรณี ดูกรธชีอันหนทางท่ีจะเดินน้ันโตรกตรงจง สาํ หรับการแหล มเี สียงเสนาะ สามารถสรา ง อุตส่าหไ์ ปอย่ากลวั อด ด้วยป่าอ้อยเอมโอชารสนน้ั มีเรยี ดรมิ มรรคา เวสฺสนตฺ โร ราชา อนั วา่ สมเดจ็ ความศรทั ธาและใหร ายละเอียดตางๆ พระธรรมาธิเบศเวสสันดร กับกษัตริย์ทั้งสามสโมสรทรงพรตเป็นบรมดาบสราชษี อาสทญฺจ รวมถึงคตธิ รรมไดอยา งแจมแจง ชัดเจน) มสบฺชฏํ ทรงกระหมวดมุ่นพระโมฬีจุฬาเลิศอลังการ เฉวียงเวียดบวรสังวาลวิจิตรจัมมาภรณ์ ฉมา เสติ กระท�าพื้นพสุธาธรเป็นแท่นท่ีพระผทมทรง น้อมพระองค์ลงถวายกร กองกูณฑ์พิธี 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด กระท�านมัสการ ยตฺถ ปเทเส ส�าเร็จพระอิริยาบถส�าราญในสถานที่ใด เชิญธชีทิชงค์จงไปสู่ สถานทีน่ ้ันเถดิ ฯลฯ 231 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู “ฟานฝงู คณาเน้อื นกิ รกวางดงดูน่ีแดงดาษ หมูล ะมัง่ ระมาดระมดั กาย 1 ลมฆาน ลมหายใจ ฆาน หมายถึง จมูก หรือประสาทที่รับรกู ลิน่ ชะมดฉมนั หมายเมนหมีหมูหมูกระทงิ เถ่อื น โคถกึ เท่ยี วทุรสถาน กาสร 2 อศั วมขุ ี หรอื อศั วมขุ มหี นา เปนหนามา กาํ เลาะลานกล็ บั เขาเขา เคียงคู กระจงจามรีรรู ะวงั ขนมิใหขาดระคาย 3 ฉมนั หรอื สมัน เปนสัตวเคี้ยวเออื้ งชนิด Cervus schomburgki ในวงศ กระรอกตนุ กระแตกระตายก็ไตเ ตน เหลาเหี้ยเห็น ก็ระเห็จหาภักษา” Cervidae ขนาดเลก็ กวา กวางปา ขนสนี ้าํ ตาลหางสั้น เขาแตกแขนงมากกวา กวางชนิดอื่น เปน กวางทมี่ เี ขาสวยงามมาก และมีถ่นิ กาํ เนดิ เฉพาะในประเทศไทย บทประพันธข า งตน ปรากฏสัตวก ี่ชนิด เทา นัน้ เปน สตั วป าสงวนซ่ึงสูญพันธแุ ลว เนือ้ สมัน ก็เรยี ก 1. จํานวน 20 ชนิด 4 โขมด ชื่อผชี นิดหนึ่งในพวกผกี ระสอื หรือผโี พง เหน็ เปน แสงเรืองวาวในเวลา 2. จาํ นวน 21 ชนิด กลางคืน ทําใหห ลงผดิ นกึ วามีคนถอื ไฟหรือจุดไฟอยขู า งหนา พอเขา ไปใกลก ห็ าย 3. จาํ นวน 22 ชนดิ ไป ทางวิทยาศาสตร อธิบายวา ไดแ ก แกสมเี ทน (methane) ทีเ่ กดิ จากการ 4. จํานวน 23 ชนดิ เนา เปอ ยผุพงั ของสารอนิ ทรยี แ ลวตดิ ไฟในอากาศ เปน แสงวอบแวบในทม่ี ดื วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. จํานวน 21 ชนิด ประกอบดวย ฟาน เนอ้ื กวางดง ละมั่ง ระมาด ชะมด ฉมัน เมน หมู หมี กระทงิ โคถกึ กาสร กระจง จามรี กระรอก ตุน กระแต กระตาย เห้ีย และเห็น คมู่ ือครู 231
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. นกั เรียนรว มกนั อภิปรายในประเด็น ตอไปนี้ ยํ อตถฺ ํ อนั วา่ อรรถ1อนั ใดยังมิได้ปรากฏ ในจณุ ณิยบท2ภายหลัง ตํ อตฺถํ สมเดจ็ • นักเรียนคดิ วา จากการศกึ ษาวรรณคดีเรอ่ื ง มหาชาติหรอื มหาเวสสนั ดรชาดก แสดงให พระสรรเพชญพุทธบรมนาถศาสดาจารย์ เมื่อโปรดประทานอรรถอันน้ันให้แจ้งจ่ึงตรัสว่า เหน็ คณุ คา และความสาํ คญั ของวรรณคดเี รอ่ื งน้ี ท่มี ตี อ สงั คมและวฒั นธรรมไทยอยางไร ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสังวรวินัย ผู้เห็นภัยในสังสาร3วัฏโดยพิเศษ พฺราหฺมณพนฺธุ อันว่า4 (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถอภปิ รายไดอยา ง หลากหลายข้ึนอยกู บั เหตุผลของนกั เรยี น เฒ่าทิเชศชาติทิชงค์พงศ์เผ่าภารัทวาชโคตรคนภิกขาจาร สุตฺวา คร้ันได้สดับสารพระนักสิทธ์ เปนตนวา การทีก่ วสี รา งสรรคบ ทประพันธ ท่มี ีความสมบูรณท ้งั ในดา นความหมายและ สิน้ สงสงั โสมนสั ปราโมทย์ น้อมเศียรศิโรตมด์ ้วยมโนภริ มยร์ ะร่นื เรงิ5 รับคา� พระอจั จุตษีซอ้ งสาธุ คุณคาทางวรรณศิลป สอดคลองกับเน้ือหา ของเร่อื งในฐานะวรรณคดีศาสนา รวมถึงมี การสรรเสริญ ปทกฺขิณํ กตฺวา เฒ่าก็ด้อมเดินกระท�าประทักษิณส้ินตติยวารก�าหนด นมัสการ ความเหมาะสมในการหลอ หลอมกลอมเกลา ประณตประนมลา บ่ายภิมุขมุ่งพฤกษาส�าเหนียกเนินไศล ไปโดยอุดรทิศสถลมารคระมัดกาย ความคดิ ของผคู นในฐานะวรรณคดคี าํ สอนนน้ั ผู้เดียวเดินสันโดษดายในแดนดงพงพนัสแสนกันดาร เห็นแต่ไพรพฤกษาสาณฑ์กับเสือสีห์สรรพ เนอื่ งมาจากศรทั ธาของคนไทยทมี่ ตี อ พระพทุ ธ- สัตว์นิกรอันร้ายกาจ เวสฺสนฺตโร อันว่าพระพงศ์ภาณุมาศม่ิงมไหศวรรย์พระเวสสันดรราชษี ศาสนา ทัง้ ในดา นการสรางสรรคข องกวแี ละ อหุ เมาะ อโหสิ และมี ยตฺถ ปเทเส ในอมรนิ ทราศรมบรมนิวาสนสถาน เทวนิรมติ สถติ ประเทศ ความนิยมของผคู นทีม่ ตี อวรรณคดีเร่ืองนี้ ท่ใี ด ปกฺกามิ พราหมณก์ ็รบี รอ้ นสญั จรไปด้วยใจหวงั ตํ ปเทสํ สูป่ ระเทศทน่ี ัน้ แล กอ ใหเ กดิ ศรทั ธานาํ มาซง่ึ ผลงานสรางสรรค ตามคตคิ วามเชื่อ) 2. นักเรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด ตรวจสอบผล Evaluate 1. นักเรยี นสรปุ สาระสาํ คัญจากวรรณคดีมหาชาติ 232 ภาคกลางกัณฑท ศพรและกณั ฑม หาพนได 2. นักเรยี นสรปุ ภาพสะทอนสังคม ตลอดจน คตคิ วามเช่ือจากวรรณคดไี ด 3. นักเรียนอธิบายคุณคาทางวรรณศลิ ปของ มหาชาตภิ าคกลางได 4. นักเรียนยกตวั อยางบทประพันธท่แี สดงถงึ คุณคาทางวรรณศิลปข องมหาชาตภิ าคกลางได 5. นกั เรยี นอธิบายขอคดิ จากเร่ืองและสามารถนํา ขอคดิ ท่ไี ดมาประยุกตใ ชใ นการดําเนินชวี ติ ได นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT “เสียงโขมดนางไมเ ลาก็คราํ่ ครวญคระครึ้มคราง ปางเม่อื ยามยางเขา 1 อรรถ อานวา อัด หรืออดั ถะ หมายถงึ เนอื้ ความ เชน แปลโดยอรรถ หรอื สายัณหยํ่ายอแสงสหัสภาณุมาศ ไดฟง แลวกแ็ ววหวาดวงั เวงวเิ วกวนาสันฑ หมายถงึ คาํ ที่ยงั ไมไดแปลความหมาย เชน คําอรรถ เสยี วสะทา นสะทึกพร่นั เย็นระยอ ยะเยือกสยดสยอง” 2 จุณณิยบท หรอื จณุ ณียบท หมายถึง บทบาลเี ลก็ นอย ท่ยี กขึน้ แสดงกอ น บทประพนั ธข างตนมีรสวรรณคดสี นั สกฤตสอดคลอ งกบั ขอ ใด กลา วถึงรายละเอยี ดของเน้ือความ 1. พภี ตั สรส 3 เฒา ทิเชศชาติทิชงคพงศเ ผา ภารทั วาชโคตรคนภกิ ขาจาร หมายถงึ ชูชก หรือ 2. กรุณารส เปนอีกนามหน่งึ ของชูชก 3. ภยานกรส 4 นักสทิ ธิ์ หมายถงึ ผูส ําเร็จ ฤษี ลักษณนามวา ตน ในบทประพนั ธนกี้ ลาวถงึ 4. อพั ภตู รส พระอัจจตุ ฤๅษี วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. ภยานกรส หมายถงึ รสแหง ความกลวั 5 ประทกั ษิณ การเวยี นขวา โดยใหส ง่ิ ทีเ่ รานับถอื หรอื ผูท ีเ่ รานบั ถืออยูทางขวา ความหวาดผวา สอดคลองกับเนือ้ หาในบทประพนั ธขา งตน มากทีส่ ุด ของผูเวยี น เนื่องจากนาํ เสนอบรรยากาศความนา หวาดกลัวของผนื ปา 232 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๖. ค�ำศัพท์ ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ • นกั เรียนคิดวา วรรณคดเี รื่อง มหาชาติ กบลิ พัสดุ์ ชอื่ เมอื งหลวงของแควน้ สกั กะหรอื ศากยะ เปน็ เมอื งของพระเจา้ สทุ โธทนะ พระราชบดิ า กะเพราแดง ของเจ้าชายสิทธัตถะ ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล ติดชายแดนตอนเหนือ หรอื มหาเวสสันดรชาดกมีการใชคาํ ศัพท ก�าเลาะ ของประเทศอินเดีย ท่ีได้ชื่อวา่ กบลิ พสั ดุ์ เพราะเดิมเป็นท่ีอยู่ของ กบิลดาบส ที่นาสนใจอยา งไรบาง คันธกฎุ ี • นักเรยี นคิดวา คําศพั ททป่ี รากฏในเรื่อง คาถาพัน ต้นฉบับสะกดเป็น กระเพราแดง ช่ือไม้ล้มลุกชนิด Ocimum tenuiflorum L. มหาชาตหิ รอื มหาเวสสนั ดรชาดก เปน จมั มาภรณ์ ในวงศ์ Labiatae กลิ่นฉนุ ใชป้ รงุ อาหาร พนั ธุ์ทก่ี ิ่งและก้านใบสเี ขยี วอมแดงเรียก คาํ ศัพทท ม่ี เี น้อื หาเก่ยี วกับส่งิ ใด จุณณยี บท กะเพราแดง ใช้ทา� ยาได้ • นกั เรยี นคดิ วา คําศพั ทท างพระพทุ ธศาสนา จตุ ิ ทน่ี ํามาใชสงผลตอ คุณคา ทางวรรณศิลป ฉัพพรรณรังสิโยภาส หนุ่ม สาว หรือไม อยา งไร เฉนยี น พระกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า เป็นค�าเรียกที่ใช้ทั่วไปในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา สา� รวจคน้ หา Explore เฉวยี ง ลงมา นกั เรียนทบทวนความรูเดิมในสมดุ บันทึก เป็นช่ือหนึ่งท่ีใช้เรียกบทประพันธ์เรื่องมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งแต่งเป็นคาถา จากนน้ั นกั เรยี นรวบรวมคาํ ศพั ทแ ละจดั กลมุ คาํ ศพั ท (ค�าประพนั ธป์ ระเภทรอ้ ยกรองในภาษาบาลี) ลว้ นๆ พันบท เรยี กการเทศน์มหา- ท่นี กั เรยี นสนใจ โดยเฉพาะอยา งยิ่งคําศพั ททาง เวสสันดรชาดกท่เี ป็นคาถาล้วนๆ อยา่ งนี้ว่า เทศน์คาถาพนั พระพทุ ธศาสนาวา มกี ารใชคาํ ศพั ทเ กยี่ วของกบั อะไรบา ง พรอมหาความหมายจากคาํ ศัพทดวย เคร่อื งประดบั หรือในทนี่ ้ี คือ เสอ้ื ผ้า ทท่ี า� จากหนงั สัตว์ (จัมมะ = หนัง + อาภรณ์ นอกจากนี้ นักเรยี นควรรวบรวมคําไวพจน ซง่ึ เปน = เครอ่ื งประดบั ) คาํ ท่มี ีความหมายคลายกันหรือกลา วถงึ สงิ่ เดยี วกัน แตใ ชรปู และเสยี งทม่ี ีความแตกตางกัน ตน้ ฉบบั สะกดเปน็ จณุ ณยิ บท แปลวา่ บทบาลเี ลก็ นอ้ ย ทยี่ กขนึ้ แสดงกอ่ นเนอ้ื ความ อธบิ ายความรู้ Explain เคล่ือน (จากภพหนง่ึ ไปสู่ภพอ่นื ) ตาย (ในภาษาบาลีใช้ได้ท่วั ไป แต่ในภาษาไทย สว่ นมากใชแ้ กเ่ ทวดา) ในภาษาไทย บางทีเขา้ ใจและใชก้ นั ผดิ ไปไกล ถงึ กบั เพ้ยี น 1. นกั เรียนนาํ คาํ ศัพทท ี่นักเรียนรวบรวมมาได แปลเปน็ เกดิ ก็มี บันทึกลงในสมดุ บนั ทึกในลักษณะของตาราง บันทกึ ผล เปนตนวา มกี ารใชคาํ ศัพทภาษา หรือ ฉัพพรรณรังสี คือ รัศมี ๖ ประการ ซ่ึงเปล่งออกจากพระวรกายของ บาลแี ละสนั สกฤตทเี่ ก่ยี วขอ งกับศาสนาพทุ ธ พระพทุ ธเจา้ คอื โดยคาํ ศัพทท่ีใชส ามารถจดั แบงประเภท คาํ ศพั ทไ ด ตวั อยางเชน คําศัพทเ กย่ี วหลกั ๑. นีละ เขียวเหมือนดอกอญั ชัน คําสอน อาทิ ธมั มจักกัปปวัตนสตู ร และ ๒. ปีตะ เหลอื งเหมือนหรดาลทอง คาํ ศัพทท ีเ่ ปน ชือ่ เฉพาะ อาทิ กบิลพัสดุ ๓. โลหติ ะ แดงเหมือนตะวันออ่ น ๔. โอทาตะ ขาวเหมือนแผน่ เงนิ 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ๕. มญั เชฏฐะ สหี งสบาทเหมอื นดอกเซ่งหรือหงอนไก่ ๖. ปภสั สร เลอื่ มพรายเหมอื นแกว้ ผลึก ฝัง่ น�า้ มาจากภาษาเขมร เฉฺนร ซึง่ แปลวา่ ชายฝง่ั ซ้าย เอียง ตะแคง ทแยง 233 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู “แสนสนุกในสระสนานอเนกา ด่งั สระสวรรค สนุ ันทา ทพิ ยสาโรชโบกขรณี การจดั กจิ กรรมการเรียนรเู พื่อใหผูเ รียนเกิดความซาบซง้ึ ในคุณคาและความ อนั มใี นตรัยตรงึ ตรเี นตรสหสั จกั ษุเทเวศวชั รนิ ทร” งดงามของวรรณคดี ครคู วรเนน ใหน ักเรียนไดเ รยี นรูต งั้ แตระดับของคาํ ท่นี ํามาใช ในการประพันธวา มกี ารใชคําทีก่ อใหเ กดิ ความงดงามท้ังดา นเสยี งและความหมาย คําทขี่ ีดเสนใตเ ปนคาํ ภาษาใด เรยี งตามลาํ ดับ กวสี รรคาํ มาใชใ นตําแหนงที่เหมาะสมกอ ใหเ กิดรสคาํ และรสความทส่ี งผลตอคุณคา 1. บาลี สนั สกฤต บาลี ทางวรรณศลิ ป โดยสอนวรรณคดใี หส ัมพันธก ับหลกั ภาษา กอ ใหเกดิ การเรยี นรู 2. สนั สกฤต บาลี บาลี อยางเช่อื มโยงกัน รวมถึงการใชทกั ษะตา งๆ ทงั้ ทกั ษะทางดานการฟง การพดู 3. บาลี บาลี สนั สกฤต การอา น และการเขยี น ตวั อยางเชน วรรณคดีเร่อื ง มหาชาตหิ รือมหาเวสสันดร 4. บาลี สันสกฤต สันสกฤต ชาดก ซ่ึงเปนวรรณคดีศาสนามกี ารใชค าํ ศัพทภ าษาบาลสี ันสกฤตในบทประพันธ อยา งหลากหลาย เชน หฤทัย พระสิทธตั ถะ อภวิ ันทนา พระอัชฌาสัย สวรรค วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. สนั สกฤต บาลี บาลี เนอ่ื งจากคาํ วา “สนุ นั ทา” พระโอษฐ เปนตน และ “โบกขรณี” เปน คาํ ภาษาบาลี สว นคําวา “สวรรค” เปน คําภาษาสันสกฤต สงั เกตจากการใช ร หัน คมู่ ือครู 233
กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. นักเรยี นรวมกันตอบคาํ ถาม ตอไปนี้ ชฎลิ นักบวชประเภทหนึ่ง เกล้าผมมุ่นเป็นมวยสูงข้ึน มักถือลัทธิบูชาไฟ บางครั้งจัด • จากการปฏิบตั ิกจิ กรรมรวบรวมคาํ ศัพทใ น ชะมด เขา้ ในพวกฤๅษี หัวขอ ท่ีผานมานักเรียนคดิ วา การนําคาํ ศัพท ดาวดงึ ส์ ภาษาบาลีสันสกฤตมาใชในบทประพนั ธ ในความทีว่ ่า “ราเชนชะมดหมูก่ ระวานวา่ นวิเศษ” หมายถงึ ชอื่ มะกรดู พนั ธ์หุ น่ึง สง ผลตอ คณุ คา ทางวรรณศลิ ปข องบทประพนั ธ ดษุ ณียภาพ เรอ่ื ง มหาชาตหิ รอื มหาเวสสนั ดรชาดกหรอื ไม ทลิททก ชอ่ื สวรรค์ชนั้ ท่ี ๒ แหง่ สวรรค์ ๖ ชั้น มีจอมเทพผู้ปกครองชือ่ ทา้ วสักกะ ซ่ึงโดย อยางไร ทศพร ทั่วไปเรียกกันว่า พระอินทร์ ในอรรถกถา อธิบายความหมายของ ดาวดึงส์ ว่า (แนวตอบ การนําคําศัพทภ าษาบาลีสนั สกฤต คือ “แดนทีค่ น ๓๓ คน ผูท้ �าบญุ รว่ มกนั ไดอ้ บุ ตั ”ิ (จา� นวน ๓๓ บาลวี ่า เตตฺตึส มาใชใ นบทประพนั ธขางตน นอกจากจะแสดง ทศพลญาณ เขียนตามรปู สันสกฤต เป็น ตรยั ตรงึ ศ์ หรือเพี้ยนเป็น ไตรตรึงษ์ ซึ่งในภาษาไทย ลกั ษณะเดนของวรรณคดีซึง่ เปนวรรณคดี ก็เป็นค�าเรียกดาวดงึ ส์นี้ดว้ ย) ศาสนา ทีเ่ ปน คณุ คา ดา นความจรรโลงใจ แลว เนอื้ หาของวรรณคดีเรอ่ื ง มหาชาตหิ รือ อาการน่งิ ซงึ่ แสดงถงึ การยอมรับ มหาเวสสนั ดรชาดกยงั มีบทบาทหนา ทเ่ี ปน วรรณคดคี ําสอน ทําหนา ที่ในการหลอหลอม ยากจน เขญ็ ใจ กลอ มเกลาศลี ธรรมของคนในสงั คม เหตนุ ้ี การใชภ าษาในบทประพนั ธจึงมเี ปาหมายเพอ่ื พร ๑๐ ประการที่พระผุสดีทูลขอท้าวสักกะ เม่ือจะจุติจากเทวโลกมาอุบัติใน สรางความเชอื่ ถือศรทั ธา ท่เี กิดจากกลวิธกี าร มนุษยโลก ได้แก่ ดําเนินเรื่อง ดวยการสรางบรรยากาศของ ชมพูทวปี ไดอยา งสมจรงิ จึงมกี ารใชค าํ ภาษา ๑. อคฺคมเหสภิ าโว ขอให้ได้ประทบั ในพระราชนเิ วศน์ (เป็นอคั รมเหสี) ของ บาลสี นั สกฤตท่ีมคี วามอลงั การของภาษา พระเจา้ สวี ริ าช เน่ืองจากคําทีก่ วีสรรมาใช เปน คาํ ทม่ี ีศกั ด์สิ ูง เหมาะสมตอ การกลา วถงึ สมเดจ็ พระสัมมา- ๒. นีลเนตตฺ ตา ขอให้มดี วงเนตรด�าดงั ตาลูกมฤคี สัมพุทธเจา ตลอดจนหลักคําสอนทาง ๓. นีลภมุกตา ขอให้มีขนค้ิวสีดา� นลิ พระพุทธศาสนา) ๔. ผุสฺสตตี ิ นาม� ขอใหม้ ีนามว่า ผุสดี ๕. ปตุ ตฺ ปฏิลาโภ ขอให้ไดพ้ ระราชโอรส ผใู้ หส้ ่ิงประเสรฐิ มพี ระทัยโอบเออ้ื 2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ ปราศความตระหนี่ ผูอ้ ันราชาท่วั ทุกรัฐบูชา มีเกยี รติยศ ๖. อนนุ ฺนตกจุ ฺฉติ า เม่ือทรงครรภข์ ออย่าใหอ้ ทุ รปอ่ งนูน แตพ่ งึ โค้งดงั คันธนู ทน่ี ายชา่ งเหลาไวเ้ รยี บเกลยี้ งเกลา ๗. อลมฺพตถฺ นตา ขอยคุ ลถันอยา่ ไดห้ ย่อนยาน ๘. อปลติ ภาโว ขอเกศาหงอกอยา่ ไดม้ ี ๙. สขุ มุ จฉฺ วติ า ขอใหม้ ผี ิวเนอ้ื ละเอียดเนยี นธลุ ไี ม่ติดกาย ๑๐. วชฌฺ ปปฺ โมจนสมตฺถตา ขอใหป้ ลอ่ ยนกั โทษประหารได้ หรือ ทสพลญาณ คือ พระญาณเป็นก�าลังของพระพุทธเจ้า ๑๐ ประการ เรียก ตามบาลวี ่า ตถาคตพลญาณ (ญาณเป็นก�าลงั ของพระตถาคต) ๑๐ คือ ๑. ฐานาฐานญาณ รเู้ หตทุ ี่ควรเป็นได้และมิใช่เหตทุ ่ีควรเปน็ ได้ ๒. กรรมวปิ ากญาณ รูผ้ ลของกรรม ๓. สัพพตั ถคามินีปฏปิ ทาญาณ รูท้ างไปสู่ภมู ิทงั้ ปวง ๔. นานาธาตุญาณ รธู้ าตุตา่ งๆ 234 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT คําทข่ี ีดเสน ใตใ นขอใดมวี ธิ กี ารสรา งคําแตกตา งจากขอ อ่นื การจัดกิจกรรมการเรียนรคู ําศัพทภาษาบาลีสันสกฤตในบทประพนั ธเร่ือง 1. สรรเสรญิ พทุ ธเดชานภุ าพ มหาชาตหิ รอื มหาเวสสนั ดรชาดกนัน้ เนอ่ื งจากวรรณคดเี รื่องน้ีเปน วรรณคดีซ่ึงมีท่ีมา 2. แกห มูประชาชนทุกขอบขณั ฑสีมา จากพระพุทธศาสนา จงึ ปรากฏการใชค าํ ภาษาบาลสี ันสกฤตเปน จาํ นวนมาก โดย 3. ทอดพระเนตรเหน็ มหัศจรรยย กพระกรอภิวันทนา เฉพาะการสรางคาํ ขน้ึ ใหมดวยวธิ กี ารสมาสคํา โดยเฉพาะอยางยงิ่ การใชค ําสมาส 4. พระศาสดาจารยไ ดต รสั แดพระปรมาภเิ ษกสมโพธญิ าณ ดว ยวธิ กี ารสรา งคําสมาสมีสนธิ โดยเช่ือมคําภาษาบาลสี นั สกฤตใหก ลมกลนื กัน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. แกห มปู ระชาชนทุกขอบขณั ฑสมี า มวี ธิ ี โดยใชเ สียงพยางคท ายของคําหนา กับพยางคต น ของคําหลงั อยางกลมกลนื กัน การสรา งคาํ แตกตา งจากขอ อ่นื เปน การสรางคาํ โดยใชว ธิ ีการสมาส มีตัวอยาง ดังน้ี 1. อรุโณทยั มาจากคําวา อรุณ+อุทยั 2. เดชานภุ าพ มาจากคําวา สวนในขอ อ่นื เปนการสรางคาํ ดว ยวธิ ีการสมาสแบบมสี นธิ เดช+อานภุ าพ 3. พทุ ธานุภาพ มาจากคาํ วา พุทธ+อานุภาพ 4. ปวตั นาการ มาจาก คาํ วา ปวัตน+อาการ 5. ศาสดาจารย มาจากคําวา ศาสดา+อาจารย เปนตน 234 คมู่ อื ครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ ๕. นานาธิมุตตกิ ญาณ ร้อู ัธยาศยั แห่งสัตว์อันเปน็ ต่างๆ กนั 1. นกั เรียนยกตัวอยา งบทประพนั ธ ตอไปน้ี ๖. อินทริยปโรปริยัตตญาณ รู้ความหย่อนและย่ิงแห่งอินทรีย์สัตว์ทั้งหลาย • นักเรียนยกตัวอยา งบทประพนั ธท ส่ี อดคลอ ง เปน็ ตน้ กบั ประเดน็ ทไี่ ดอ ภิปรายในหัวขอ ทีว่ า ๗. ฌานาทสิ งั กเิ ลสาทญิ าณ รอู้ าการมเี ศรา้ หมองแหง่ ธรรม มี ฌาน เปน็ ตน้ การนาํ คําศัพทภ าษาบาลสี ันสกฤตมาใชใ น ๘. ปุพเพนิวาสานสุ ติญาณ ร้รู ะลึกชาติกอ่ นได้ บทประพนั ธวรรณคดีเร่อื ง มหาชาตหิ รือ ๙. จุตูปปาตญาณ รจู้ ตุ แิ ละปฏสิ นธแิ ห่งสตั ว์ทต่ี า่ งกนั โดยกรรม มหาเวสสันดรชาดก สงผลตอ คณุ คา ทาง ๑๐. อาสวักขยญาณ รจู้ กั ท�าใหอ้ าสวะส้ินไป วรรณศิลปอ ยา งไร พรอมใหเหตุผลวา บทประพันธท่ีนักเรยี นยกมาขา งตนมีคณุ คา ทุกูล ผ้าอยา่ งดี มกั ใช้ว่า ผ้าทกุ ลู พักตร์ ทางวรรณศลิ ปอ ยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกบทประพนั ธ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ต้นฉบับสะกดเป็น ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยการยังธรรมจักร มาประกอบการอธบิ ายของนกั เรียนไดอยา ง ใหเ้ ปน็ ไป การหมนุ วงลอ้ ธรรม เปน็ ชอื่ ของปฐมเทศนา คอื พระธรรมเทศนาครง้ั แรก หลากหลายข้นึ อยกู ับเหตุผลของนักเรียน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ท่ีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมือง เปน ตน วา “แลถนดั ในเบอ้ื งหนาโนน ก็เขา พาราณสี ในวนั ข้นึ ๑๕ ค�่า เดอื น ๘ ใหญยอดเยยี่ มอยา งพยบั เมฆ มีพรรณเขยี ว ขาวดําแดงดูดิเรก ด่ังรายรัตนมณีแนมนา นโิ ครธาราม อารามที่พระญาตสิ รา้ งถวายพระพทุ ธเจ้า อยู่ใกลก้ รุงกบลิ พัสด์ุ ใครชม ครั้นแสงพระสุริยะสอ งระดมกด็ ูเดน ดั่งดวงดาววะวาววะวาบๆ ท่เี ว้งิ วงุ วิจิตร เนรเทศ บงั คบั ให้ออกไปเสยี จากประเทศหรือถิน่ ท่อี ยู่ของตน จาํ รสั จํารญู รุง เปน สีรุง พุงพนเพยี งคัคนัมพร พ้ืนนภากาศ” บทประพันธที่ยกมาขา งตนมี บารมี คณุ ความดที บี่ า� เพญ็ อยา่ งยง่ิ ยวดเพอ่ื บรรลจุ ดุ มงุ่ หมายอนั สงู ยง่ิ บารมที พี่ ระโพธสิ ตั ว์ การพรรณนาความงดงามของธรรมชาติ ตอ้ งบา� เพญ็ ใหค้ รบบรบิ รู ณ์ จงึ จะบรรลโุ พธญิ าณ เปน็ พระพทุ ธเจา้ มี ๑๐ ประการ โดยมกี ารใชภ าพพจนอปุ มาเปรียบเทียบ ไดแ้ ก่ โดยใชคาํ ศพั ทท ่ีมที มี่ าจากภาษาบาลี สันสกฤต ซ่งึ เปน คาํ ศัพททม่ี ศี ักดิ์สูง ๑. ทาน การให้ การเสยี สละเพอื่ ชว่ ยเหลือมวลมนษุ ยส์ รรพสัตว์ เหมาะสมอยา งยง่ิ ในการพรรณนาภาพ ธรรมชาตทิ ีม่ คี วามย่งิ ใหญแ ละวจิ ิตรงดงาม) ๒. ศีล ความประพฤตถิ กู ต้องสจุ รติ 2. นักเรียนบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ ๓. เนกขมั มะ ความปลกี ออกจากกามได้ ไมเ่ หน็ แกก่ ารเสพบา� เรอ การออกบวช ๔. ปัญญา ความรอบรู้เข้าถึงความจริง รู้จักคิดพิจารณาแก้ไขปัญหาและ ดา� เนินการจดั การตา่ งๆ ใหส้ �าเรจ็ ๕. วิรยิ ะ ความเพยี รแกลว้ กลา้ บากบน่ั ท�าการ ไม่ทอดทง้ิ ธุระหน้าท่ี ๖. ขันติ ความอดทน ควบคุมตนอยู่ได้ในธรรม ในเหตุผล และในแนวทาง เพื่อจุดหมายอนั ชอบ ไม่ยอมบรรลุอ�านาจกเิ ลส ๗. สจั จะ ความจริง ความซอ่ื สัตย์ จรงิ ใจ จริงจงั ๘. อธษิ ฐาน ความตง้ั ใจมนั่ ตงั้ จดุ หมายไวด้ งี ามชดั เจนและมงุ่ ไปเดด็ เดยี่ วแนว่ แน่ ๙. เมตตา ความรกั ความปรารถนาดี คดิ เกอื้ กลู หวงั ใหส้ รรพสตั วอ์ ยดู่ มี คี วามสขุ ๑๐. อเุ บกขา ความวางใจเปน็ กลาง อยใู่ นธรรม เรยี บสงบสมา่� เสมอ ไมเ่ อนเอยี ง ไมห่ วนั่ ไหวไปดว้ ยความยนิ ดยี นิ รา้ ย ชอบชงั หรอื แรงเยา้ ยวนยว่ั ยใุ ดๆ บตุ รทารทาน การให้ทานโดยสละบุตรและภรรยา (ทาร) 235 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู ขอ ใดคอื ลกั ษณะเดนของคาํ ประพนั ธต อไปน้ี ครูควรเพิ่มเติมความรเู ก่ยี วกับเสยี งเสนาะในบทประพันธว า วรรณคดีไทย “อันบังเกดิ แกพ ระเยาวมาลยม ง่ิ มเหสี จึ่งพาเทพผุสดไี ปยังแทน ท่ี ใหความสาํ คญั กับความไพเราะของเสียงจากบทประพันธ ไมว า จะเปนการอาน นนั ทวโนทยาน ยงั พระเยาวมาลยใ หบ รรทมในแทนทพิ ยไสยาสนอ ันยง่ิ ยง” ออกเสียงหรอื การอานในใจ เสยี งเสนาะเกิดจากความสอดคลองกันของจงั หวะ 1. การสรรคาํ ทว งทํานอง และเสียงสัมผสั ทงั้ สัมผสั สระและสมั ผสั อกั ษรตามลกั ษณะฉนั ทลกั ษณ 2. เสยี งไพเราะ ของบทประพนั ธ รวมถึงกลวธิ ีการเลนคาํ โดยเฉพาะอยา งยิง่ การใชค ําภาษาบาลี 3. เนื้อความลึกซึ้ง สนั สกฤต วัฒนธรรมไทยเชอื่ วา เปน คาํ ทมี่ ศี กั ดส์ิ งู การสรรคํามาใชในบทประพนั ธ 4. การเลนเสียงสมั ผัส เรือ่ ง มหาชาติหรือมหาเวสสนั ดรชาดก จึงมีความเหมาะสมกอใหเกิดรสคําและ รสความท่ีสงผลตอ คุณคา ทางวรรณศิลป วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. การสรรคํา เนือ่ งจากบทประพันธท ่ียกมา ขางตนมีการสรรคําใหเ กดิ ความอลังการ โดยใชค าํ ทมี่ ีศกั ดิ์สงู มาใช เพอ่ื กลาวถึงสวรรคช้นั ดาวดึงส จงึ เปน ลกั ษณะเดนของบทประพนั ธ คู่มือครู 235
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ 1. นกั เรยี นรวมกันอภิปรายในประเดน็ ตอ ไปนี้ เบญจบรุ พนิมติ ลางบอกเหตลุ ่วงหนา้ เมอ่ื เทวดาจะจุติจากสวรรค์ลงมาเกดิ ในโลกมนุษย์ • นกั เรยี นคดิ วา จากประเด็นท่ีนกั เรยี นได มี ๕ ประการ ไดแ้ ก่ รวมกนั อภิปรายในหัวขอท่ผี านมา การสรรคาํ เบญจวคั คีย์ ภาษาบาลีสนั สกฤตมาใชใ นบทประพันธ ๑. ดอกไม้ประดับวิมานเห่ียวแหง้ วรรณคดีเร่ือง มหาชาตหิ รือมหาเวสสันดร โบกขรพรรษ ๒. เครอื่ งทรงเศรา้ หมอง ชาดกมอี ิทธิพลตอคณุ คา ทางวรรณศลิ ป ปฏสิ ัมภิทา ๓. เหง่อื ออกทางรกั แร้ท้ังสองขา้ ง อยางไร สะทอ นคา นยิ มรวมถึงโลกทัศนของ ๔. ผวิ พรรณเศรา้ หมอง สังคมและวัฒนธรรมไทยอยางไร นักเรยี น ปรโิ ยสาน ๕. เบอ่ื หน่ายทพิ ยอาสน์ คิดวา ความเช่อื ดังกลาวยงั ปรากฏในสังคม ปิยบุตรทาน ปจจุบันหรอื ไม อยา งไร พเนจร ภิกษจุ า� พวกหนงึ่ มี ๕ รูป ผู้ได้ฟังธรรมเทศนาครง้ั แรก คอื (แนวตอบ นกั เรียนสามารถอภิปรายแสดงความ พระผ้เู ป็นเจ้า ๑. พระอญั ญาโกณฑญั ญะ คิดเหน็ ไดอยา งหลากหลายขึน้ อยกู บั เหตผุ ล ๒. พระวัปปะ ของนักเรยี น เปน ตนวา การสรรคาํ ภาษาบาลี ภัทรกัป ๓. พระภัททยิ ะ สนั สกฤตมาใชใ นบทประพนั ธ แสดงใหเห็น 236 ๔. พระมหานาม พลงั ของภาษาในบทประพนั ธท่มี อี ิทธพิ ลตอ ๕. พระอัสสชิ การสรา งสรรคว รรณคดี รวมถึงสะทอน โลกทศั นของสังคมและวัฒนธรรมไทยทม่ี ีตอ ฝนดจุ ตกลงบนใบบวั หรอื ในกอบวั เปน็ ฝนทตี่ กลงมาในกาละพเิ ศษ มสี แี ดง ฝนชนดิ การเลือกรบั อิทธพิ ลจากอินเดยี ดานความเชือ่ น้ีมีกล่าวไว้ว่า ผู้ใดต้องการให้เปียกก็เปียก ผู้ใดต้องการให้ไม่เปียกก็ไม่เปียก ทางศาสนา คาํ ภาษาบาลีสนั สกฤตจึงถือวา มี แตเ่ ม็ดฝนจะกลง้ิ หลน่ จากกาย ดจุ หยาดนา้� หลน่ บนใบบวั ความศักดส์ิ ทิ ธแิ์ ละมศี ักดสิ์ งู เมอื่ นาํ มาใชใน ภาษาไทยจึงไมใ ชคําทน่ี ํามาใชโ ดยทั่วไป ปญั ญาแตกฉาน มี ๔ ประการ ไดแ้ ก่ แตเ ปนคําที่แสดงถงึ สถานภาพทางสงั คม ๑. อตั ถปฏิสัมภิทา ปญั ญาแตกฉานในอรรถ ที่เหนอื กวา คนท่วั ไป นอกจากนี้ ยังปรากฏ ๒. ธมั มปฏิสัมภิทา ปญั ญาแตกฉานในธรรม การเลือกใชคาํ ภาษาบาลสี นั สกฤต เพอ่ื ให ๓. นริ ุตติปฏสิ ัมภิทา ปัญญาแตกฉานในทางนริ ตุ ติ คือ ภาษา เกดิ ความเปนสิริมงคลดังปรากฏในการตงั้ ช่อื ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏภิ าณ คอื ไหวพรบิ นามสกลุ จรงิ ของคนไทยในปจจบุ ัน) สดุ ลงโดยรอบ (หมายความว่า ทีส่ ุดหรอื จบลงอยา่ งบรบิ รู ณ์แลว้ ), จบ 2. นักเรียนบนั ทึกความเขา ใจลงในสมุด ใหล้ กู รกั เปน็ ทาน ผูเ้ ทีย่ วป่า พรานปา่ โดยปริยายหมายความว่า ร่อนเรไ่ ป เทยี่ วไปโดยไร้จดุ หมาย พระภิกษุ เทพผู้เป็นใหญ่ เทพสูงสุดท่ีนับถือว่าเป็นผู้สร้างสรรค์บันดาลทุกส่ิง ทกุ อยา่ ง คนไทยใชค้ า� วา่ พระผเู้ ปน็ เจา้ เปน็ คา� เรยี ก พระภกิ ษุ มาแตโ่ บราณ ตอ่ มา เมื่อศาสนิกแห่งศาสนาท่ีนับถือเทพเป็นใหญ่ ใช้ค�านี้เรียกเทพสูงสุดของตนกัน แพรห่ ลาย พุทธศาสนิกชนจึงใช้ค�านน้ี ้อยลง ภัททกัปหรือภัทกัป แปลว่า กัปอันเจริญหรือกัปท่ีดีแท้ เป็นชื่อของกัปปัจจุบันนี้ คือกัปทมี่ พี ระพุทธเจา้ อุบัติ ๕ พระองค์ คือ เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT คาํ ท่ีขดี เสนใตในขอ ใดมกี ารสรางคาํ สมาสแบบมีสนธิ ครูควรเพ่มิ เติมความรูเก่ยี วกับภาพสะทอนทางสังคมและวัฒนธรรมจากการ 1. พอประสบพบพระสิทธาจารย ศึกษาคณุ คา ทางวรรณศลิ ปใ นบทประพนั ธ นับต้งั แตคุณคา ในระดบั คํา เน่อื งจาก 2. ทรงพระราชศรัทธาเพิม่ กุศลแกห มปู ระชาชน การสรรคาํ มาใชใ นบทประพันธวรรณคดีแตล ะเรอื่ งนน้ั ยอ มสะทอนภาพสังคมและ 3. อนั นางผุสดเี ทพกัญญาทูลขอทศวรพรสิบประการ วฒั นธรรม ตลอดจนวธิ ีคดิ ของคนในสงั คมทีใ่ หค ุณคาและความหมายตอ สงิ่ ใด 4. สมเด็จพระอมรนิ ทราธริ าชไดฟ งพระนารถสนุ ทรวาจา สิ่งหน่งึ ดังเชน การใชคาํ ภาษาบาลสี ันสกฤตในบทประพันธเ รอ่ื ง มหาชาตหิ รอื มหา วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. พอประสบพบพระสิทธาจารย เปนคาํ สมาส เวสสนั ดรชาดก ซึง่ เปน วรรณคดีทางพระพุทธศาสนา การใชค ําภาษาบาลีสนั สกฤต โดยใชวิธกี ารสมาสแบบมสี นธิ มาจากคําวา สิทธ+ิ อาจารย สว นขอ อื่นๆ นอกจากจะแสดงถงึ ความเชอ่ื มนั่ ศรทั ธาในพระพุทธศาสนาแลว การสรรคํา เปนคาํ สมาส ดังกลาวมาใชยงั สะทอนถงึ ความอลงั การทางภาษา สามารถสรา งจนิ ตภาพหรอื ภาพ ในใจใหเกดิ กับผูอา นไดเปนอยางดี 236 คู่มอื ครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Expand ขยายความเขา้ ใจ ภกิ ษาจาร ๑. พระกกสุ นั ธะ 1. นกั เรียนรวบรวมคําศพั ทภ าษาบาลสี นั สกฤต ยมกปาฏิหารยิ ์ ๒. พระโกนาคมน์ ที่ปรากฏในวรรณคดีเร่อื ง มหาชาตหิ รือมหา ๓. พระกสั สปะ เวสสันดรชาดกในภมู ิภาคของนักเรียน ราชคฤหบุรี ๔. พระโคตมะ ๕. พระเมตไตรย์ 2. นักเรียนนาํ คาํ ศัพททน่ี กั เรียนรวบรวมมาเปรยี บ วัปป หรือภิกขาจาร การเทีย่ วขอ การเทีย่ วขออาหาร เทยี บกบั คาํ ศัพทภาษาบาลสี นั สกฤตทีป่ รากฏ สมุจเฉทปหาร ปาฏิหาริย์ที่แสดงเป็นคู่ๆ เป็นปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าทรงกระท�าที่ต้นมะม่วง ในสํานวนภาคกลางในประเดน็ ตอไปนี้ ซ่ึงเรียกว่า คัณฑามพพฤกษ์ คอื ทรงบันดาลท่อน้�าท่อไฟจากส่วนของพระวรกาย • คําศัพทภาษาบาลีสนั สกฤตทป่ี รากฏใน สังสารวฏั เปน็ คๆู่ กนั สาํ นวนภาคกลางและสํานวนทอ งถน่ิ มีการ สตั ตสดกมหาทาน หรอื ราชคฤห์ นครหลวงของแควน้ มคธ เปน็ นครทมี่ คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื ง เตม็ ไปดว้ ย ใชค าํ ในลกั ษณะทม่ี คี วามแตกตา งกันหรือไม คณาจารย์เจ้าลัทธิ พระพุทธเจ้าทรงเลือกเป็นภูมิที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา อยางไร สพั พัญญู เป็นปฐม • การใชค าํ ศัพทภ าษาบาลสี นั สกฤตท่ปี รากฏ สารสิบตระกูล การหว่านพชื เช่น พธิ วี ัปปมงคล ในสํานวนทอ งถน่ิ มีการใชคํากลาวถึงส่ิงใด ต้นฉบับสะกดเป็น สมุจเฉทประหาณ หมายถึง การละกิเลสได้โดยเด็ดขาดด้วย บาง อยา งไร อรยิ มรรค • การเลือกใชค ําภาษาบาลสี ันสกฤตท่ปี รากฏ การเวยี นเกิดเวียนตาย การเวยี นว่ายตายเกดิ ดว้ ยอา� นาจกเิ ลส กรรม และวิบาก ในสาํ นวนทอ งถิ่นดงั กลา วสง ผลตอ คุณคา การท�าทานครั้งใหญ่โดยให้ส่ิงของ ๗ อย่าง อย่างละ ๗๐๐ ได้แก่ ช้าง ๗๐๐ ทางวรรณศลิ ปหรือไมอ ยา งไร ม้า ๗๐๐ รถ ๗๐๐ สตรี ๗๐๐ โคนม ๗๐๐ ทาสชาย ๗๐๐ และทาสหญิง ๗๐๐ (แนวตอบ นักเรียนสามารถอภิปรายไดอยา ง ผ้รู ธู้ รรมทัง้ ปวง ผู้รู้ทั่วทง้ั หมด พระนามของพระพุทธเจ้า หลากหลายขน้ึ อยกู บั ขอมลู และเหตผุ ลของ ชา้ ง ๑๐ ตระกูล คอื นกั เรียน) ๑. กาฬาวกหตั ถี สีด�า ๒. คงั ไคยหัตถี สนี ้�า 3. นกั เรียนรวมกันอภิปรายในประเด็น ตอ ไปน้ี ๓. บณั ฑรหัตถี สขี าวดง่ั เขาไกลาส • นกั เรียนคดิ วา การเลือกใชค ําภาษา ๔. ตามพหัตถี สที องแดง บาลีสนั สกฤตท่ีปรากฏในวรรณคดีเรอื่ ง ๕. ปิงคลหัตถี สที องออ่ นดั่งสีตาแมว มหาชาติหรือมหาเวสสันดรชาดกในภูมภิ าค ๖. คันธหัตถี สไี ม้กฤษณา ชา้ งตระกูลนมี้ ีกลน่ิ ตัวหอม ของนักเรยี น เม่ือเปรยี บเทยี บกับวรรณคดี ๗. มังคลหตั ถี สีนลิ อัญชนั ชา้ งตระกูลน้ีกริ ิยาท่าทางเวลาเดนิ งดงาม เรือ่ ง มหาชาตหิ รือมหาเวสสันดรชาดก ๘. เหมหตั ถี สเี หลอื งดั่งสีทอง สาํ นวนของภาคกลางมีลักษณะรว มและ ๙. อุโบสถหตั ถี สีทองค�า ลกั ษณะเฉพาะอยางไร และสะทอนลักษณะ ๑๐. ฉัททันตหัตถี ชา้ งตระกูลน้ีมีสกี ายขาวบริสุทธิด์ ่งั สีเงินยวง แตป่ ากและเทา้ รวมและลักษณะเฉพาะทางสงั คมและ วฒั นธรรมไทยอยา งไร มสี แี ดง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถอภปิ รายไดอ ยา ง หลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตผุ ลของนกั เรียน) 237 4. นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู “เหลยี วหาทางวังขว งคุม พระบรรณศาลา สรุ ิยแกว ก็ลงไปแลวเพยี งตา การศึกษาเปรียบเทียบกลวธิ กี ารสรรคาํ ท่ีกอใหเ กดิ คุณคา ทางวรรณศิลปใ น พระสุริยากค็ ่ําลงมืดแลว อาวาสแมแกวก็อยไู กลตา” วรรณคดีเรอ่ื ง มหาชาตหิ รือมหาเวสสันดรชาดก สาํ นวนทองถ่ินในภูมิภาคตางๆ ครูควรเนน ใหนกั เรียนสังเกตกลวธิ กี ารใชคาํ ท่ีกอ ใหเกิดคณุ คา ทางวรรณศิลป บทประพนั ธข า งตนปรากฏคาํ ภาษาบาลีสนั สกฤตจาํ นวนกี่คํา ตลอดจนภาพสะทอนทางสังคมและวัฒนธรรมจากบทประพนั ธน บั ตงั้ แตก ลวิธกี าร 1. จาํ นวน 3 คํา ใชภ าษาในระดบั คาํ เพอ่ื ใหน กั เรยี นสามารถพิจารณาลักษณะรวมและลกั ษณะ 2. จาํ นวน 4 คํา เฉพาะดานวรรณศลิ ปจ ากวรรณคดเี ร่อื ง มหาชาตหิ รือมหาเวสสนั ดรชาดกสาํ นวน 3. จาํ นวน 5 คํา ตา งๆ นกั เรียนสามารถเขา ใจโลกทศั น ตลอดจนระบบวิธีคิดของผคู นในอดีตทม่ี ี 4. จํานวน 6 คาํ ชีวิตรว มสงั คมและวฒั นธรรมในทอ งถ่ินของนักเรียนมากยิ่งขึ้น นักเรยี น เกิดความรสู ึกรวมและตระหนกั ในคณุ คา ของศลิ ปวัฒนธรรม ตลอดจนประเพณี วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. จํานวน 4 คํา ไดแก คําวา พระบรรณศาลา พธิ ีกรรมในทองถน่ิ และรวมกนั อนุรักษส ืบสานประเพณีอนั ดงี ามนตี้ อ ไป สรุ ยิ พระสรุ ยิ า และอาวาส ค่มู อื ครู 237
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา้ ใจ นกั เรียนจัดทํารายงานเรอ่ื ง การเปรียบเทยี บ สุคนธชาติ ของหอม เครื่องหอม ๑๐ อยา่ ง คือ วธิ กี ารใชค ําภาษาบาลสี นั สกฤตในวรรณคดีเร่อื ง อภิญญาณ ๑. มลู คันธะ รากหอม มหาชาติหรือมหาเวสสันดรชาดก ระหวางสาํ นวน ๒. สารคันธะ แก่นหอม ทอ งถ่ินกับสาํ นวนภาคกลาง โดยพจิ ารณาใน ๓. เผคคุคันธะ กระพห้ี อม ประเดน็ เกี่ยวกับลักษณะการใชค ําศพั ท ตลอดจน ๔. ตจคนั ธะ เปลือกหอม ภาพสะทอนทางสงั คมและวัฒนธรรมจากการใช ๕. ปปั ปฏกคันธะ สะเกด็ หรอื กะเทาะหอม คําศัพท โดยเฉพาะอยางย่งิ คุณคา ดา นภมู ปิ ญญา ๖. รสคันธะ ยางหอม ทางภาษา ๗. ปตั ตคนั ธะ ใบหอม ๘. ปุปผคนั ธะ ดอกหอม ตรวจสอบผล Evaluate ๙. ผลคนั ธะ ผลหอม ๑๐. สัพพคันธะ หอมทกุ อยา่ ง 1. นกั เรียนสรา งตารางบันทึกลักษณะการใชคํา ภาษาบาลีสันสกฤต พรอ มอธบิ ายและจัดกลุม หรอื อภญิ ญา คอื ความรยู้ ่งิ ในทางพระพทุ ธศาสนา มี ๖ ประการ คอื ความหมายได ๑. อทิ ธวิ ธิ ิ แสดงฤทธ์ติ า่ งๆ ได้ ๒. ทิพพโสต หทู พิ ย์ 2. นักเรียนสรปุ สาระสาํ คญั ดานคณุ คา ทาง ๓. เจโตปริยญาณ ก�าหนดรู้จติ ของผอู้ ื่นได้ วรรณศลิ ปจ ากการสรรคําภาษาบาลสี นั สกฤตได ๔. ปพุ เพนิวาสานุสติ ระลึกชาตไิ ด้ ๕. ทพิ พจกั ขุ ตาทิพย์ 3. นกั เรยี นยกตัวอยางบทประพันธ พรอ มอธิบาย ๖. อาสวกั ขยญาณ ร้จู กั ท�าอาสวะใหส้ ้นิ ไป คุณคาทางวรรณศิลปจ ากบทประพนั ธไ ด สรรพส์ าระ 4. นกั เรยี นสรุปภาพสังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนภมู ปิ ญญาทางภาษาได ความเช่อื เร่อื งการกลบั ชาตมิ าเกิดของบคุ คลในมหาชาติ 5. นักเรยี นสรางตารางบันทึกลกั ษณะการใชค าํ พระเวสสันดร กลับชาตมิ าเกิดเป็นเจา้ ชายสทิ ธัตถะ ภาษาบาลสี ันสกฤตในเร่ือง มหาชาติสาํ นวน พระเจา้ กรุงสญชยั กลับชาติมาเกดิ เป็นพระเจ้าสทุ โธทนะ ทอ งถ่นิ พรอ มอธิบายและจดั กลมุ ความหมาย พระนางผสุ ด ี กลบั ชาตมิ าเกิดเป็นพระนางสริ ิมหามายา พระนางมทั ร ี กลบั ชาตมิ าเกดิ เปน็ พระนางยโสธราพิมพา 6. นกั เรียนสรุปสาระสําคัญดานการใชค าํ ศพั ท พระชาล ี กลับชาติมาเกดิ เปน็ พระราหุล ภาษาบาลีสันสกฤตและคณุ คาทางวรรณศิลปใน วรรณคดเี รื่อง มหาชาติสาํ นวนทองถิ่นได พระกณั หา กลับชาติมาเกิดเป็นนางอบุ ลวร1รณาเถรี ชชู ก กลบั ชาติมาเกดิ เป็นพระเทวทตั 2 7. นักเรยี นสรปุ สาระสาํ คญั ดานลกั ษณะรว มและ ลกั ษณะเฉพาะของสังคมและวัฒนธรรมไทยใน นางอมิตตดา กลบั ชาติมาเกิดเป็นนางจิญจมาณวิกา แตละทอ งถนิ่ ผา นภูมปิ ญ ญาทางภาษาได พระอจั จุตฤๅษี กลับชาตมิ าเกิดเปน็ พระสารบี ตุ ร พรานเจตบตุ ร กลับชาติมาเกดิ เปน็ พระฉนั นเถระ 8. นกั เรยี นจัดทาํ รายงานเปรียบเทยี บคําศพั ท พระเวสสุกรรม กลับชาติมาเกดิ เป็นพระโมคคัลลานะ ภาษาบาลสี ันสกฤตสาํ นวนทองถ่ินกับสาํ นวน ภาคกลางในดานคณุ คาทางวรรณศิลปและภาพ 238 สะทอนทางสังคมและวัฒนธรรมได นักเรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 พระเทวทตั เปน พระสงฆใ นสมยั พทุ ธกาล และเปน พระญาตกิ บั เจา ชายสทิ ธตั ถะ นักเรยี นเพม่ิ เตมิ ความรเู กยี่ วกบั วธิ กี ารศึกษาคาํ ศพั ทใ นวรรณคดมี หาชาติ พระเทวทัตเปนพระโอรสของพระเจา สปุ ปพทุ ธะผคู รองกรงุ เทวทหะแหง แควน สาํ นวนทองถ่ินตา งๆ ดวยการคนหาคาํ ศพั ทจากพจนานกุ รม นอกจากน้ี โกลยิ ะ เปน ทรี่ จู กั กนั ดวี า เปน อรกิ บั พระพทุ ธเจา แตค รงั้ ยงั เปน พระโพธสิ ตั ว และคอย ยังสามารถสบื คนความหมายของคาํ ศพั ทภาษาทอ งถนิ่ ไดจ ากการสอบถาม จองลา งจองผลาญพระพทุ ธองคม าแตอ ดตี ชาติ และในปจ จบุ นั ชาตพิ ระเทวทตั ยงั ได ผรู ใู นชุมชน จากนัน้ นกั เรยี นนําคาํ ศัพทท ไ่ี ดจากการคน ควา มาศึกษา กอ อนนั ตรยิ กรรม คอื พยายามลอบปลงพระชนม และกอ การสงั ฆเภททาํ ใหค ณะสงฆ เปรียบเทยี บ วา คาํ ศพั ทท่นี ักเรยี นสบื คนมามีความหมายเหมือนกนั แตกแยกกนั เดมิ น้นั ทา นออกบวชดวยความบรสิ ุทธิ์ใจ แตท วาในทสี่ ดุ พระเทวทัตได หรอื ไม อยา งไร บนั ทกึ ลงในสมดุ สาํ นกึ ผดิ เมอ่ื ชา ไป โดยทานไดถ กู ธรณสี ูบลงสูอ เวจมี หานรก 2 นางจิญจมาณวกิ า เปนสตรที ่ไี ดร บั การวาจางจากพวกเดียรถยี ซง่ึ เสื่อมลาภ กจิ กรรมทาทาย สักการะใหมากลา ววาจาใสรา ยพระพทุ ธองค โดยนางทําตนเหมือนวาตง้ั ครรภแก และเขา ไปกลาวโทษใสรา ยพระพทุ ธองคต อหนา พทุ ธศาสนิกชน แตไดเกดิ นิมิตท่ี นักเรียนสํารวจและรวบรวมคําศัพทภาษาบาลีสันสกฤตจากวรรณคดี พสิ จู นใ หเ หน็ วา เปนการกลาวโทษใสร าย เมอ่ื นางถูกขบั ไลอ อกมานอกพระเชตวนั มหาชาตสิ าํ นวนทอ งถน่ิ ตา งๆ พรอ มคน หาความหมายจากพจนานกุ รม มหาวหิ าร นางจงึ ถูกธรณีสบู จากนนั้ นักเรียนรวบรวมคาํ ศัพทเ ปน หมวดหมู บันทกึ ลงในสมดุ 238 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๗. บทวิเครำะห์ ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ • นักเรียนคิดวา การเทศนม หาชาติในภูมิภาค ๗.๑ คุณคำ่ ดำ้ นวรรณศลิ ป์ ตา งๆ ซึง่ ใชภาษาทม่ี ีความแตกตา งกนั จะ เนือ่ งจากเร่อื งทีน่ า� มาเรียนน้ีมีเน้ือหาเก่ียวกับมหาชาติโดยรวม โดยมกี ารหยบิ ยกมา สงผลตอเน้อื หา รวมถึงกลวิธที างวรรณศลิ ป เปน็ ตวั อยา่ งจากรา่ ยยาวมหาเวสสนั ดรชาดกท้งั ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอสี าน และภาคใต้ เพอ่ื ทีแ่ ตกตา งกนั หรอื ไม แสดงให้เห็นว่า มหาชาติเป็นทน่ี ยิ มในทุกภาคท่ัวประเทศไทย และด้วยความศรทั ธาในพระพุทธ- • นกั เรยี นคิดวา การเทศนม หาชาติในแตล ะ ศาสนา จึงมีการแตง่ มหาชาติส�านวนต่างๆ ข้นึ อย่างหลากหลาย ภูมิภาคแสดงถึงวฒั นธรรมท่ีแตกตา งกนั หรอื ไม อยา งไร มหาชาติแต่ละส�านวน มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น ส�าหรับภาคกลางถือว่า ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกท่ีกวีท้ัง ๖ ท่านได้แต่งไว้น้ัน เยี่ยมยอดในเรื่องภาษาวรรณศิลป์ สา� รวจคน้ หา Explore เช่น ตอนพระอัจจุตฤๅษีบอกเส้นทางไปเขาวงกตแก่ชูชก ซ่ึงได้พรรณนาโดยใช้ค�าอลังการและ สัมผสั อักษรแพรวพราว ดังตวั อย่าง เช่น นกั เรียนทบทวนความรูเดมิ ในสมดุ บนั ทกึ พรอ มสบื คน คุณคาทางวรรณศิลป คุณคา ดา น “...เอส เสโล แลถนัดในเบ้ืองหน้าโน้นก็เขาใหญ่ ยอดเยี่ยมโพยมอย่างพยับเมฆ เนื้อหา และคุณคา ดานปญญาความคิด จาก มีพรรณเขียวขาวด�าแดงดูดิเรก ดั่งรายรัตนนพมณีแนมน่าใคร่ชม คร้ันแสงพระสุริยะส่องระดม วรรณคดเี รอ่ื ง มหาชาตทิ ง้ั 4 ภาค ก็ดูเด่นดั่งดวงดาววาวแวววะวาบๆ ท่ีเว้ิงวุ้ง วิจิตรจ�ารัสจ�ารูญรุ่งเป็นสีรุ้งพุ่งพ้นเพียงคัคนัมพรพื้น นภากาศ บ้างก็ก่อเกิดก้อนประหลาด ศิลาลายแลละเล่ือมๆ ท่ีงอกง้�าเป็นแง่เง้ือมก็ชะงุ้มชะโงก อธบิ ายความรู้ Explain ชะงอ่ นผาทีผ่ ุดเผนิ เป็นแผ่นภูตะเพิงพกั บางแหง่ เล่าก็เหยี้ นหักหินเห็นเป็นรอยรา้ วรานระคายควรจะ พิศวง ด้วยธารอุทกท่ีตกลงเป็นหยาดหยัดหยดย้อยเย็นเป็นเหน็บหนาว ในท้องถ�้าที่สถิตไกรสร- 1. นักเรียนรวมกนั ตอบคําถาม ตอ ไปนี้ ราชสถาน บังเกิดแก้วเก้าประการกาญจนะประกอบกันตลอดโล่งโปร่งปล่อง เป็นช่องช้ันช่อวิเชียร • นักเรียนคิดวา จากบทประพันธม ีการใช ฉายโชตชิ ่วงชัชวาลสวา่ งตา แสนสนุกในหอ้ งเหมคูหาทุกแห่งหนรโหฐาน...” กลบทชนดิ ใดบาง อยา งไร (แนวตอบ เปนตนวา จากบทประพันธขา งตน (กณั ฑ์มหาพน : พระเทพโมลี (กล่นิ )) มกี ารใชกลบทกบเตนสลักเพชรและกลบท นาคบริพันธ โดยกลบทกบเตนสลักเพชร วรรณศลิ ปม์ านกอยิง่กขจ้นึากเนช้ีมน่ หกาชลบาตทิบกบางเตส้น�านสลวกันเยพังชมรีก1าในรใกชัณ้กฑลม์บหทาหรลาชายชส�านนิดวนซพึ่งรเะพน่ิมพิ คนุณธส์ คม่าเทดา็จง- บังคบั เสียงพยญั ชนะตน เหมือนกันเปน สาม พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส เช่น ชวง กลบทนาคบรพิ ันธบงั คบั ใหซํ้าคาํ เพย้ี น ขามวรรค คือ กาํ หนดจํานวนคาํ ไวใหสามคาํ “...แลว้ เรง่ รดั จดั สรรพวกพลคชาชาญ อนั เกดิ แตม่ าตงั คประเทศสถาน ประมาณหมนื่ สพ่ี นั โดยสองคาํ แรกยังคงเปนคาํ ทมี่ ลี ักษณะ สรรแต่หาญสารตวั เห้ยี ม เทียมชา้ งมารทานชา้ งหมื่น ฟ้นื โถมศึกฝกึ ทนศร ร่อนงาส่ายร่ายเงยเศยี ร คลายคาํ เดิม สวนคําสุดทายใหมีเสยี งเพีย้ น เรยี นเชงิ สรู้ ชู้ นสาร รา่ นบา้ แทงแรงบถ่ อย รอ้ ยคชหนรี ขี่ น้ึ หนา้ ขา้ ศกึ ยลขนสยอง รอ้ งบนั เทงิ เรงิ บกุ ทพั ไปจากเดมิ โดยคงพยญั ชนะตน ไวเ หมอื นเดมิ สรรพอลงั การสารอลงกต บทจรคลาดบาทจรคลา ดาพยหุ ยนื ด่ืนพยหุ ยุทธ์ ดุจพสธุ าพงั ดงั่ พสุธาพก แตเ ปล่ียนแปลงเพียงเสียงสระเทา นัน้ ) ยกคชผายย้ายคชพล คนตัวหมอขอติดมือ ถือหัตถ์ง่าท่าเห็นงาม ตามท�านองต้องธรรมเนียม เตรียมทุกหมวดตรวจทกุ หม.ู่ ..” 2. นกั เรียนบนั ทกึ ความเขาใจลงในสมุด 239 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู “...ยกคชผายยา ยคชพล คนตวั หมอขอติดมือถอื หัตถงา ทาเหินงาม ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรเู กย่ี วกับกลบท โดยกลบท คือ ลักษณะบงั คับทีก่ าํ หนด ตามทํานอง ตองทาํ เนยี ม เตรยี มทกุ หมวด ตรวจทุกหม.ู .” เพมิ่ มากกวา ฉันทลักษณป กติ ในรูปแบบตางๆ เพ่อื ใหเ กดิ เสยี งสมั ผสั ของคําหรอื การเรียงเสยี ง เรยี งคาํ ที่มชี ้นั เชิงข้ันสูงและมีชือ่ เรียกตา งๆ กัน เชน กลบทกบเตน บทประพนั ธที่ยกมาขา งตนเปน กลบทชนดิ ใด ตอ ยหอย กลบทจตั วาทณั ฑี ซึ่งลักษณะบังคับทีเ่ พิ่มมา ไดแ ก บังคบั สระ อักษร 1. กลบทนาคบริพนั ธ วรรณยกุ ต คาํ ครุ คําลหุ ซ้ําคําเดิมหรือซา้ํ คําเพย้ี น ซํ้าคําหรือวลี เหมอื นกระทู 2. กลบทกบเตน สลกั เพชร 3. กลบทกบเตน ตอ ยหอย นักเรยี นควรรู 4. กลบทชางประสานงา 1 กลบทกบเตน สลักเพชร กลบทแบบหนึ่ง แตล ะวรรคประกอบดว ยคําประมาณ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. กลบทกบเตน สลกั เพชร มขี อสังเกต คอื 6 คาํ เวลาอา น แยกเปน 2 ชว ง ชวงละ 3 คํา แตล ะชว งประกอบดว ยคําท่ีใช พยญั ชนะตน 3 เสียงซํา้ กนั และเรยี งตามลาํ ดับเดียวกนั ระหวา งชวงยังสง สมั ผสั ในแตล ะวรรคจะประกอบดว ยคําประมาณ 6 คํา แบงเปน 2 ชวง ชวงละ สระถงึ กนั เปน สมั ผสั ในอีกดว ย 3 คํา แตล ะชว งประกอบดว ยคําพยญั ชนะตน 3 เสียงซ้ํากนั และเรยี งตาม ลําดบั เดยี วกนั สง สัมผสั สระถึงกันเปนสมั ผัสในระหวางชวงในแตละวรรค คมู่ ือครู 239
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262