๓ จุดมุ่งหมายของการฟังและการดูส่ือ ๑. ฟังและดูเพ่ือให้เกดิ ความรู้ความคดิ เป็นการฟังท่ีเพิ่มสาระความรู้ใหก้ วา้ งขวางยงิ่ ข้ึน เช่น การฟังคาบรรยายใน รายวชิ าต่างๆ การฟังปาฐกถา การฟังสุนทรพจน์ การฟังเช่นน้ีผฟู้ ังผดู้ ูตอ้ งใชค้ วามคิดตามและมีวจิ ารณญาณในการฟัง
๓ จุดมุ่งหมายของการฟังและการดูสื่อ (ต่อ) ๒. ฟังและดูเพ่ือให้เกดิ ความเพลดิ เพลนิ เป็นการฟังและการดูท่ีช่วยผอ่ นคลายอารมณ์ตึงเครียด เช่น การฟังการดูละคร เพลง การดูละครเวที การฟังโตว้ าที การฟังและการดูตลก หรือรายการบนั เทิง ๓. ฟังและดูเพ่ือตดิ ต่อส่ือสารในชีวติ ประจาวนั เป็นการฟังการดูที่มีจุดมุ่งหมายเพ่ือการสื่อสารโตต้ อบกนั เช่น ในการพูดคุย โทรศพั ท์ กต็ อ้ งอาศยั การฟังเพ่ือส่ือสารโตต้ อบกลบั ไปใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสม
๓ จุดมุ่งหมายของการฟังและการดูส่ือ (ต่อ) ๔. ฟังและดูเพ่ือหาสาระและคตชิ ีวติ เป็ นการฟังที่มุ่งยกระดบั จิตใจให้สูงข้ึน ผูฟ้ ัง และผูด้ ูจะเกิดปัญญางอกงาม ข้ึนและมีแนวทางการดาเนินชีวิตดีงามท่ีผูฟ้ ังผูด้ ูสามารถนามาเป็ นแนวทาง ในการปรับปรุงตนเอง อนั เป็ นการพฒั นาตนเองในทางสร้างสรรค์ เช่น การฟังเทศน์ การชมการแสดง เป็นตน้
๔ ประสิทธิภาพการฟังและการดูสื่อ การฟังและการดูสื่อ ให้มปี ระสิทธิภาพ ๑. มีความต้งั ใจ สนใจเรื่องราวที่ฟังและดู ๒. ไดย้ นิ ชดั เจน มีประสาทหูดี ๓. มีสมาธิในการฟังเพื่อใหจ้ ดจาเรื่องที่ฟังไดด้ ี ๔. ใชค้ วามคิดในขณะที่ฟังท่ีดู ๕. ติดตามเร่ืองราวท่ีฟังที่ดูและสามารถที่จะลาดบั เหตุการณ์น้นั ไดถ้ ูกตอ้ ง ๖. เขา้ ใจเร่ืองราวที่ผพู้ ดู พดู และแปลความขอ้ ความท่ีฟังได้ ๗. ฟังหรือดูแลว้ สามารถนาสารประโยชน์จากการฟังและการดูไปใชไ้ ด้ ๘. ประเมินเรื่องราวต่างๆ ท่ีไดจ้ ากการฟังและการดู
๕ หลกั การฟังและการดูสื่อ ๑. หลกั การฟังจากบุคคลและการดูจากกจิ กรรมการแสดง เล่าเร่ืองท่ีฟังท่ีดูมาไดถ้ ูกตอ้ ง แสดงความคิดเห็นสนบั สนุนเรื่องที่ฟังหรือท่ีขดั แยง้ ได้ ๒. หลกั การฟัง การดูข่าวและเหตุการณ์ท้งั เรื่องใกล้ตัวและไกลตวั ฟังแลว้ ถ่ายทอดข่าวและเหตุการณ์สาคญั ไดถ้ ูกตอ้ ง บอกท่ีมาของข่าวได้ ฟังแลว้ วนิ ิจฉยั ไดว้ า่ ข่าวน้นั ๆ ควรเช่ือหรือไม่ มีประโยชนห์ รือไม่ อยา่ งไร
๕ หลกั การฟังและการดูส่ือ (ต่อ) ๓. หลกั การฟัง การดูคาอธิบายต่างๆ จบั ใจความสาคญั ได้ ตอบคาถามหรือปฏิบตั ิตามได้ รู้จกั จดบนั ทึก
๖ การเลือกฟังและเลือกดูสื่อ หลกั เกณฑ์การเลือกฟังและดูส่ือ ส่ือวิทยุโทรทศั น์ จะมีรายการประจาสถานีในแต่ละวนั ผูฟ้ ังผูด้ ูควรศึกษา รายการต่างๆ ก่อนวา่ จะออกอากาศในเวลาใด สถานีใด และเลือกจดั สรรเวลา ใหต้ รงกบั ส่ือที่จะออกอากาศน้นั ๆ เม่ือฟังหรือดูรายการใดแลว้ พบคาพูดท่ีแปลก สะดุดหู ควรจดบันทึกไวเ้ พื่อ พจิ ารณาวา่ ขอ้ ความน้นั ถูกตอ้ งหรือไม่ เพราะเหตุใด ถ้าเป็ นการฟังจากแถบบันทึกเสียงต้องศึกษาวิธีการใช้เครื่องมื อต่างๆ ของเคร่ืองให้เขา้ ใจ ถา้ เป็ นคอมพิวเตอร์ ตอ้ งรู้จกั วิธีใชโ้ ปรแกรมต่างๆ และ ศึกษาวธิ ีใชท้ ี่ถูกตอ้ ง
๖ การเลือกฟังและเลือกดูส่ือ (ต่อ) หลกั เกณฑ์การเลือกฟังและดูส่ือ ถา้ เป็นการดูจากส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ประเภทคอมพิวเตอร์ เช่น อินเทอร์เน็ต ควร รู้จกั เวบ็ ไซตท์ ่ีมีเน้ือหาสาระสร้างสรรค์ เกิดการเพมิ่ พนู ความรู้ รู้จกั วิเคราะห์ขอ้ ความที่ฟังและพูด ถา้ รายการใดมีโฆษณามาก ควรพิจารณา ภาษา ภาพ การนาเสนอวา่ มีความเหมาะสม และน่าเช่ือถือเพียงใด เลือกรายการที่เหมาะกบั วยั และใหค้ ุณค่าในการนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
๗ มารยาทในการฟังและการดูสื่อ หลกั เกณฑ์การเลือกฟังและดูส่ือ เขา้ ฟังและดูใหต้ รงเวลา ควรไปถึงก่อนการบรรยายหรือดูสื่อ เพราะผบู้ รรยายอาจจะมีขอ้ แนะนาบางอยา่ งหรือกล่าวสรุป ฟังและดูดว้ ยความต้งั ใจ ไม่พดู คุยกนั ในขณะที่ฟัง รู้จกั การจดบนั ทึกสาระสาคญั และจบั ประเดน็ ขอ้ สงสยั เม่ือจบการบรรยายและการดู อาจถามขอ้ สงสยั ดว้ ยอาการและขอ้ ความที่สุภาพ
๗ มารยาทในการฟังและการดูสื่อ (ต่อ) หลกั เกณฑ์การเลือกฟังและดูสื่อ ถา้ พอใจในสิ่งท่ีฟังและดูสามารถปรบมือได้ รู้จกั ควบคุมกิริยามารยาท ไม่พูดคุย ไม่ส่งเสียงรบกวนผูอ้ ่ืน ไม่ลุกจากท่ีนั่ง หรือลุกเขา้ ลุกออกบ่อยๆ เม่ือไม่พอใจ ไม่สบอารมณ์ ตอ้ งรู้จกั ยบั ย้งั ความรู้สึกและอารมณ์ที่รุนแรงได้ ใชค้ วามคิดไตร่ตรองในขณะท่ีฟังวา่ ขอ้ ความที่ฟังมีการใชภ้ าษาที่สละสลวย หรือมีความน่าเช่ือถือเพยี งใด
๒หน่วยการเรียนรู้ที่ การสรุปความ จากการฟัง การดู ในปัจจุบนั ความเจริญกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยที าใหก้ ารนาเสนอขอ้ มูล ข่าวสารต่างๆ ปรากฏอยใู่ นรูปแบบท่ีทนั สมยั ผรู้ ับสารสามารถรับสารไดท้ ้งั จาก การฟังและการดู โดยผา่ นส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ได้ อยา่ งรวดเร็ว ทกั ษะ ในการฟังหรือดูเพ่ือสรุปความ จึงมีความสาคญั อยา่ งย่ิงต่อผูร้ ับสาร เพราะ จะทาให้ผูร้ ับสารสามารถเขา้ ใจเรื่องราวและสรุปความของเรื่องท่ีฟังและดูไดอ้ ย่าง ถูกตอ้ งและชดั เจน
๑ หลกั การฟังและดูเพื่อสรุปความ การสรุปความจากการฟัง การดู คือ การยอ่ ความชนิดหน่ึงซ่ึงผฟู้ ังหรือดูจะตอ้ งทาความ เขา้ ใจเน้ือเร่ืองและจุดมุ่งหมายของเรื่อง จึงจะสามารถสรุปประเด็นหรือแนวคิดสาคญั ของเรื่องที่ฟังและดูไดด้ ว้ ยสานวนภาษาของตนเอง การฟังและดูเพื่อจบั ประเด็นและสรุปความ เป็ นทกั ษะเบ้ืองตน้ ท่ีทุกคนจะตอ้ งฝึ กฝน เพราะเราจะตอ้ งติดตามฟังและดูเร่ืองราวต่างๆ โดยตลอด ดงั น้นั ตอ้ งมีสมาธิในการฟัง และดูและสามารถแยกแยะไดว้ า่ ขอ้ ความใดเป็นใจความสาคญั และขอ้ ความใดเป็นพล ความ ถา้ เขา้ ใจเรื่องราวไดโ้ ดยตลอดแลว้ ย่อมจดจาเรื่องราวท่ีฟังและดูและสามารถ ถ่ายทอดใหค้ นอ่ืนฟังไดด้ ว้ ย
๑ หลกั การฟังและดูเพื่อสรุปความ (ต่อ) วธิ ีการฟังเพ่ือจับใจความ ฟังเร่ืองราวใหเ้ ขา้ ใจ พยายามจบั ใจความสาคญั ของเรื่องเป็นตอนๆ วา่ เรื่องอะไร ใครทาอะไร ท่ีไหน เม่ือไร อยา่ งไร ฟังเรื่องราวที่เป็ นใจความสาคญั แลว้ หารายละเอียดของเรื่องท่ีเป็ นลกั ษณะ ปลีกยอ่ ยของใจความสาคญั หรือที่เป็นส่วนขยายใจความสาคญั สรุปความโดยรวบรวมเน้ือหาสาระสาคญั อยา่ งครบถว้ น วิธีการสรุปความ จากการฟังจะตอ้ งคน้ หาใหพ้ บวา่ สารใดเป็นความคิดสาคญั ในเร่ืองน้นั ๆ แลว้ สรุปไวเ้ ฉพาะใจความสาคญั โดยเขียนช่ือเรื่อง ผูพ้ ูด โอกาสที่ฟัง วนั เวลา และสถานท่ีที่ไดฟ้ ังหรือดูไวเ้ ป็นเคร่ืองเตือนความทรงจาต่อไป
๒ แนวทางการสรุปความจากการฟัง การดู ๑. ฟังหรือดูแลว้ เกบ็ ใจความสาคญั ของเรื่องใหร้ ู้วา่ ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไร อยา่ งไร และบนั ทึกเรื่องยอ่ ไว้ ๒. ฟังหรือดูเน้ือความที่เก่ียวขอ้ งใหเ้ ขา้ ใจความหมายอยา่ งชดั แจง้ ทุกๆ ตอน ๓. ใชภ้ าษาท่ีกระชบั กะทดั รัด และครอบคลุมเน้ือความ ตรงตามวตั ถุประสงค์ และมี ความหมายชดั เจน ๔. ต้งั คาถามจากเร่ืองที่ฟังหรือดู เพื่อทดสอบความเขา้ ใจในการฟังของตนเอง ต้งั คาถาม ถามตนเองอยตู่ ลอดเวลาในขณะที่ฟัง เพอื่ เป็นการทดสอบความเขา้ ใจพ้ืนฐาน แลว้ นา คาถามท่ีไดม้ าสงั เคราะห์ กจ็ ะไดเ้ น้ือความใหม่ที่สรุปข้ึนไดจ้ ากตวั ผฟู้ ังเอง
๒ แนวทางการสรุปความจากการฟัง การดู (ต่อ) สรุปความเรื่องนี้ งานหนกั ท่ีสุดและสาคญั มากในการดูแลรักษาชมพู่ คือ การห่อผลชมพจู่ ากตน้ เดียวกนั การห่อผลและไม่ห่อผลจะใหล้ กั ษณะผลท่ีแตกต่างกนั มากในดา้ นรูปร่าง ลกั ษณะของ ผล รสชาติ และความหวาน
๓ แนวทางการสรุปความจากการฟัง การดู ๑. มองสบตาผพู้ ดู ไม่มองออกนอกหอ้ งหรือมองไปที่อื่น อนั เป็นการแสดงวา่ ไม่สนใจ เร่ืองที่พดู และไม่เอาหนงั สือไปอ่านขณะท่ีฟังหรือดู ๒. รักษาความสงบ ไม่ส่งเสียงรบกวนผอู้ ื่น ไม่รับประทานของขบเค้ียว เพราะเป็นการ ทาลายสมาธิของผอู้ ่ืน ควรปิ ดโทรศพั ทม์ ือถือเพือ่ ไม่รบกวนสมาธิของผอู้ ื่น และไม่ควรพา เดก็ เลก็ ๆ เขา้ โรงภาพยนตร์หรือในท่ีที่ตอ้ งการความสงบ ๓. แสดงกิริยาอาการที่เหมาะสม ไม่ควรนง่ั เก้ียวพาราสีกนั ในที่สาธารณะทต่ี อ้ งการความสงบ ในการฟังและการดู เพราะนอกจากจะรบกวนสายตาคนอื่นแลว้ ยงั เป็นการแสดงกิริยาท่ีขดั ต่อขนบธรรมเนียมของไทยอีกดว้ ย ๔. ในการดูภาพไม่ควรขีดเขียนหรือฉีกภาพซ่ึงแสดงถึงความไม่มีวฒั นธรรมที่ดีงาม
๓หน่วยการเรียนรู้ที่ การพดู ต่อทป่ี ระชุมชน การพดู ต่อทป่ี ระชุมชน อยา่ งมีประสิทธิภาพ ยอ่ มก่อใหเ้ กิดผลดีท้งั แก่ ผพู้ ดู และส่วนรวม ผทู้ ่ีประสบความสาเร็จในหนา้ ที่การงาน ส่วนหน่ึงอาศยั การพดู เป็นส่ือชกั นาความสาเร็จของตน การฝึ กฝน การพดู น้ี ควรศึกษาหาความรู้เพ่มิ เติมอยเู่ สมอ พร้อมท้งั เขา้ ใจ หลกั การและหลกั เกณฑข์ องการพดู อยา่ งดี จึงจะส่งผลใหก้ ารพดู สมั ฤทธิผลได้ และเป็นที่ประทบั ใจของผฟู้ ัง
๑ ความหมายของการพดู ต่อที่ประชุมชน การพดู หมายถึง การถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความรู้สึก และความตอ้ งการของผพู้ ดู ออกมา โดยอาศยั ถอ้ ยคา น้าเสียง และกิริยาท่าทางท่ีเหมาะสมกบั สภาพวฒั นธรรม ทาให้ ผูฟ้ ังสามารถรับรู้และเขา้ ใจจุดมุ่งหมายของผูพ้ ูดไดอ้ ยา่ งกระจ่างชดั และสามารถแสดง ปฏิกิริยาโตต้ อบใหผ้ พู้ ดู ทราบจนเป็นที่เขา้ ใจตรงกนั ได้ การพดู ทด่ี ี หมายถึง การพูดที่มีวตั ถุประสงคท์ ี่แน่ชดั และไดร้ ับการตอบสนอง จากผูฟ้ ัง ให้บรรลุวตั ถุประสงค์ท่ีต้ังใจ รวมท้งั ผูพ้ ูดควรมีความจริงใจและมีความ รับผดิ ชอบต่อการพดู ของตน
๑ ความหมายของการพูดต่อทป่ี ระชุมชน (ต่อ) การพดู ต่อทป่ี ระชุม คือ การพดู ในท่ีสาธารณะ มีผฟู้ ังเป็นจานวนมาก ผพู้ ดู ตอ้ งสนใจปฏิกิริยาตอบสนอง ของผฟู้ ัง ท้งั ที่เป็นวจั นภาษาและอวจั นภาษา การพูดต่อหนา้ ประชุมชนเป็นการเปิ ดโอกาสให้ผพู้ ูดไดแ้ สดงความสามารถเฉพาะตวั เป็ นท้งั ศาสตร์และศิลป์ ซ่ึงไม่จาเป็ นตอ้ งอาศยั พรสวรรค์เสมอไป สามารถฝึ กฝนได้ นอกจากน้ีการฝึกพดู ต่อที่ประชุมชน ยงั เป็นวธิ ีท่ีดีอีกวธิ ีหน่ึงในการปรับปรุงบุคลิกภาพ ท้งั ภายในและภายนอก เพื่อพฒั นาใหเ้ ป็นนกั พดู ที่ดี
๒ จุดมุ่งหมายของการพูดต่อทปี่ ระชุมชน เพื่อบอกเร่ืองราวทคี่ วรรู้แก่ผู้ฟัง ตามปกติคนเรามีความสนใจท่ีจะรู้เรื่องราวในชีวติ ประจาวนั ท่ีกาลงั เกิดข้ึนกบั เพ่ือนบา้ น กบั ชาติหรือกบั โลก หรือตอ้ งการเรียนรู้เกี่ยวกบั อาชีพ หรือความสาเร็จของบุคคลท้งั ที่ เสียชีวติ ไปแลว้ และยงั มีชีวติ อยู่ เพอื่ นาสาระความรู้น้นั มาพฒั นาตนเองหรือเพ่ือประเทือง ปัญญาและจิตใจ เพ่ือสร้างความบันเทงิ ใจให้แก่ผู้ฟัง ตามธรรมดาทุกคนยอ่ มพอใจท่ีจะไดฟ้ ังเรื่องราวที่ทาใหต้ นเกิดความรู้สึกสนุกสนาน ร่าเริง หรือขบขนั ซ่ึงอาจเป็นเรื่องเก่ียวกบั ประสบการณ์ส่วนตวั ขอ้ บกพร่อง หรือนิสยั ของตนเองที่ทาใหผ้ อู้ ื่นเห็นขนั หรือขอ้ เสนอท่ีโง่อยา่ งน่าขนั ตลอดจนการพดู ที่เกี่ยวกบั การผจญภยั ความรัก ความสาเร็จในชีวติ และเร่ืองของภูตผีปี ศาจ เร่ืองเหล่าน้ีจะช่วย ใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกตื่นเตน้ เร้าใจ สนุกสนาน และช่วยผอ่ นคลายความตึงเครียดในชีวติ ประจาวนั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
๒ จุดมุ่งหมายของการพูดต่อทป่ี ระชุมชน (ต่อ) เพื่อจูงใจผู้ฟัง การทาให้เช่ือ เป็นการพดู ที่มุ่งใหผ้ ฟู้ ังเปล่ียนแนวคิดหรือย้าใหม้ ีความเชื่อมนั่ ในแนวคิดน้นั ๆ มากยง่ิ ข้ึน การเร้าความรู้สึก เป็นการพดู ท่ีมุ่งกระตุน้ หรือเร้าความรู้สึกผฟู้ ังใหป้ ฏิบตั ิตามแนวคิดของผพู้ ดู การสร้างความประทบั ใจ เป็ นการพูดท่ีมุ่งย้าความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ฟังให้รู้สึกซาบซ้ึงและ ตระหนักถึงคุณค่าของความดี ความประณีตงดงาม ศีลธรรมจรรยา และ ค่านิยมของสงั คม
๓ ลกั ษณะการพดู ต่อทป่ี ระชุมชน การพูดเดย่ี วหรือพดู คนเดยี ว • ผพู้ ดู ตอ้ งพดู ตามลาพงั ต่อหนา้ ท่ีประชุมหรือต่อหนา้ ช้นั เรียน • เร่ืองท่ีพดู อาจเป็นการพดู เล่าเรื่อง พดู แสดงความคิดเห็น พดู วจิ ารณ์ พดู ช้ีแจง หรือพดู สรุปความอยา่ งมีประสิทธิภาพ • ผพู้ ดู จะตอ้ ง เตรียมเน้ือเร่ืองใหเ้ หมาะกบั ผฟู้ ัง เหมาะกบั เวลาและโอกาส ที่พดู รวมท้งั เหมาะกบั บุคลิกและอุปนิสยั ของผพู้ ดู ดว้ ย • ควรเป็นเร่ืองที่มีจุดมุ่งหมายเพียงประการเดียว เพอื่ ช่วยผฟู้ ังใหจ้ บั ประเดน็ ของเรื่องไดถ้ ูกตอ้ งและเขา้ ใจเน้ือเรื่องไดด้ ี • เป็นเร่ืองที่ผพู้ ดู สนใจ มีความรู้และประสบการณ์
๓ ลกั ษณะการพดู ต่อทป่ี ระชุมชน (ต่อ) หลกั การพูดเดย่ี วหรือพดู คนเดยี ว • ตอ้ งรู้จกั การใชส้ ายตาท่าทางประกอบการพดู • ตอ้ งรู้จกั ใชถ้ อ้ ยคาภาษา คือ ควรรู้ถอ้ ยคามาก รู้จกั ใชถ้ อ้ ยคาท่ีหลากหลาย และใชถ้ อ้ ยคาใหเ้ หมาะสม • ตอ้ งรู้จกั ใชน้ ้าเสียง ควรพดู ดว้ ยน้าเสียงท่ีสอดคลอ้ งกบั อารมณ์ของเร่ืองท่ี จะพดู น้าเสียงท่ีน่าฟังท่ีสุด • ตอ้ งรู้จกั ใชต้ วั อยา่ ง สถิติ หรือขอ้ มูลต่างๆ หากผพู้ ดู รู้จกั นาตวั อยา่ ง สถิติ หรือขอ้ มูลต่างๆ มาเปรียบเทียบหรืออา้ งอิงได้
๓ ลกั ษณะการพูดต่อทปี่ ระชุมชน (ต่อ) การพดู หมู่หรือพดู หลายคน • ผพู้ ดู ตอ้ งมีต้งั แต่สองคนข้ึนไป • เร่ืองที่พดู เป็นเรื่องที่ควรรู้ทวั่ ๆ ไป ไม่เจาะจงเรื่องหน่ึงเรื่องใดโดยเฉพาะ • อาจเป็นปัญหาของครอบครัวหรือของโรงเรียนท่ีจาเป็นตอ้ งอาศยั กลุ่ม บุคคลมาช่วยกนั แสดงความคิดเห็น เพอ่ื ช่วยกนั แกไ้ ขปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดข้ึน ใหล้ ุล่วงไปได้ • การแสดงความคิดเห็นในลกั ษณะเช่นน้ี คือ การอภิปราย
๔ หลกั การพูดต่อทป่ี ระชุมชน ต้องรู้เรื่องทพี่ ูด • ทุกคนควรพดู ในเรื่องที่ตนรู้ดีท่ีสุด มีประสบการณ์มากท่ีสุด • ผพู้ ดู จะตอ้ งเช่ือวา่ ตนรู้เร่ืองท่ีจะพดู มากกวา่ ผฟู้ ัง จึงจะช่วยสร้างความ เชื่อมน่ั ใหเ้ กิดข้ึนและมีความพร้อมท่ีจะพูด ซ่ึงจะมีผลทาใหพ้ ดู ไดด้ ี และเป็นที่ประทบั ใจของผฟู้ ัง • หากจาเป็น จะตอ้ งพดู เรื่องท่ีตนรู้ไม่ลึกซ้ึงเพียงพอ กต็ อ้ งศึกษาคน้ ควา้ เพ่ิมเติม จนมีความมนั่ ใจวา่ ตนรู้ดีพอแลว้ จึงพดู ต้องรู้จกั ทปี่ ระชุม • การรู้จกั ลกั ษณะกวา้ งๆ บางประการของผฟู้ ัง ไดแ้ ก่ เพศ วยั ขนาดหรือ จานวน ระดบั การศึกษา อาชีพ ความเชื่อและศาสนาของผฟู้ ัง • เลือกใชภ้ าษา เน้ือหา หรือเร่ืองราวต่างๆ ที่เหมาะสมกบั ความสนใจของ ผฟู้ ังแต่ละเพศ แต่ละวยั แต่ละกลุ่ม หรือแต่ละอาชีพ
๔ หลกั การพดู ต่อทปี่ ระชุมชน (ต่อ) ต้องรู้จักลาดบั เร่ืองให้เป็ นระเบียบ • การรู้จกั ทกั ทายที่ประชุมใหถ้ ูกตอ้ ง เริ่มตน้ ใหต้ ่ืนเตน้ ดาเนินเรื่องให้ กลมกลืน และสรุปจบใหจ้ บั ใจ • หลกั เกณฑก์ ารลาดบั เร่ืองใหเ้ ป็นระเบียบ เป็นการช่วยเหลือผฟู้ ังให้ สามารถติดตามเรื่องราวที่ผพู้ ดู พดู ไดง้ ่ายข้ึน • การทกั ทายท่ีประชุมควรใชส้ รรพนามแทนตวั กลุ่มบุคคลไม่เกิน ๓ กลุ่ม เช่น ท่านประธาน ท่านวทิ ยากร และท่านผมู้ ีเกียรติทุกท่าน • เริ่มเรื่องท่ีน่าสนใจ เช่น ข้ึนตน้ ดว้ ยคาถาม เล่าเรื่องท่ีเพิง่ เกิดข้ึนชวนให้ ติดตาม หรือยกยอ่ งผฟู้ ังอยา่ งคมคาย • ดาเนินเร่ืองใหก้ ลมกลืนกบั การข้ึนตน้ ลาดบั เหตุการณ์ก่อนหลงั ให้ เด่นชดั และเป็นเหตุเป็นผลกนั • ควรยกตวั อยา่ งหรือสถิติขอ้ มูลต่างๆ มาอา้ งอิงใหผ้ ฟู้ ังเห็นภาพ เพ่ือ ส่งเสริมเร่ืองที่พดู ใหน้ ่าเช่ือถือยงิ่ ข้ึน
๔ หลกั การพูดต่อทปี่ ระชุมชน (ต่อ) ต้องรู้จักวธิ ีพดู • การรู้จกั เลือกวธิ ีพดู ท่ีเหมาะสมกบั สถานการณ์แต่ละคร้ัง เช่น การพดู ใน บรรยากาศที่โศกเศร้า ควรมีวธิ ีการพดู ที่นุ่มนวล มีน้าเสียงและท่าทาง ประกอบท่ีสอดคลอ้ งกบั เน้ือหาที่พดู เป็นตน้ ท้งั น้ีเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก นึกคิดและประสบการณ์ของผพู้ ดู ไปยงั ผฟู้ ังใหเ้ กิดผลดีและน่าสนใจ ต้องรู้จกั สร้างการพดู ให้น่าสนใจ • ผพู้ ดู จะตอ้ งรู้จกั วธิ ีท่ีจะทาใหก้ ารพดู น่าสนใจ มีชีวติ ชีวา • ผพู้ ดู จะตอ้ งรู้จกั เตรียมความพร้อม ท้งั จิตใจและเน้ือหาสาระก่อนการพดู • ผพู้ ดู จะตอ้ งมีอารมณ์ผอ่ งใส มีความปรารถนาดี และมีความกระตือรือร้น ที่จะชนะใจผฟู้ ัง • รู้จกั สารวมจิตใจ ลาดบั ประเดน็ ที่จะพดู ไม่ฟุ้งซ่าน จะทาใหส้ ามารถ ควบคุมอารมณ์และลาดบั ความขณะพดู ใหด้ าเนินไปได้
๕ การเตรียมตวั พูดต่อทปี่ ระชุมชน ๑. กาหนดจุดมุ่งหมายใหช้ ดั เจนวา่ จะพูดอะไร เพื่ออะไร มีขอบข่ายกวา้ งขวางมากนอ้ ย เพียงใด ๒. วิเคราะห์ผูฟ้ ัง พิจารณาจานวนผูฟ้ ัง เพศ วยั การศึกษา สถานภาพทางสังคม อาชีพ ความสนใจ ความมุ่งหวงั และทศั นคติที่กลุ่มผูฟ้ ังมีต่อเร่ืองท่ีพูดและตวั ผูพ้ ูด เพื่อนา ขอ้ มูลมาเตรียมพดู และเตรียมวธิ ีการใชภ้ าษาใหเ้ หมาะกบั ผฟู้ ัง ๓. กาหนดขอบเขตของเร่ือง โดยคานึงถึงเน้ือเร่ืองและเวลาที่จะพดู กาหนดประเดน็ สาคญั ใหช้ ดั เจน ๔. รวบรวมเน้ือหา จดั เน้ือหาที่ผฟู้ ังไดร้ ับประโยชนม์ ากที่สุด มีการรวบรวมเน้ือหาจาก การศึกษาคน้ ควา้ จากการอ่าน การสมั ภาษณ์ ไต่ถามผรู้ ู้ ใชค้ วามรู้ความสามารถของตนเอง แลว้ จดบนั ทึก
๕ การเตรียมตวั พูดต่อทปี่ ระชุมชน (ต่อ) ๕. เรียบเรียงเน้ือเร่ือง ผพู้ ดู จดั ทาเคา้ โครงเร่ืองใหช้ ดั เจนเป็นไปตามลาดบั จะกล่าวเปิ ด เรื่องอยา่ งไร เตรียมการใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสม กะทดั รัด เขา้ ใจง่าย ตรงประเดน็ และ พอเหมาะกบั เวลา ๖. การซอ้ มพดู เป็นการเตรียมพร้อมเพ่อื ความมน่ั ใจ โดยผพู้ ดู ตอ้ งออกเสียงพดู อยา่ ง ถูกตอ้ งตามอกั ขรวธิ ี มีลีลาจงั หวะ ท่าทาง สีหนา้ สายตา น้าเสียง มีผฟู้ ังช่วยติชมการพดู ๗. ผพู้ ดู จาเป็นตอ้ งรู้จกั สะสมความรู้จากแหล่งต่างๆ เพือ่ นาไปใชเ้ ป็นขอ้ มูลสนบั สนุน การพดู ใหบ้ รรลุผลตามท่ีตนตอ้ งการ การสะสมความรู้น้นั หาไดจ้ ากแหล่งตา่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี • ประสบการณ์ของผพู้ ดู และของบุคคลท่ีรู้จกั • แหล่งชุมนุมชนของผพู้ ดู • ผเู้ ช่ียวชาญในทอ้ งถิ่น ปราชญใ์ นชุมชน แพทย์ หรือสาธารณสุขจงั หวดั จดั เป็น ผเู้ ช่ียวชาญดว้ ยกนั ท้งั สิ้น
๖ วธิ ีการพดู ต่อทป่ี ระชุมชน การพูดฉับพลนั • เป็นวธิ ีพดู ปกติในชีวติ ประจาวนั เช่น การพดู คุยในช้นั เรียนหรือท่ีบา้ น การคุยกนั ทางโทรศพั ท์ การพดู นดั หมายกนั เป็นตน้ • เป็นวธิ ีการที่ต่างฝ่ ายต่างผลดั กนั พดู และผลดั กนั ฟังโดยไม่มีการเตรียมตวั มาก่อน ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั การสะสมความรู้และความคิดไวเ้ ป็นสาคญั เม่ือถึง โอกาสที่มีผขู้ อร้องใหพ้ ดู กจ็ ะสามารถพดู ไดท้ นั ทีทนั ควนั การอ่านต้นแบบ • เป็นวธิ ีการพดู ที่ผพู้ ดู มีเรื่องสาคญั ท่ีจะตอ้ งแถลงต่อชุมนุมชน หรือผฝู้ ึก พดู ใหม่ท่ียงั ไม่มีความเชื่อมนั่ ในตนเองจะนิยมพูดดว้ ยวธิ ีน้ี • ผลเสียคือ สายตาจะไม่สื่อกบั ผฟู้ ัง และถา้ ผพู้ ดู ไม่ไดล้ องฝึกซอ้ มอ่านก่อน ออกไปพดู จริง ยอ่ มเกิดปัญหาในการอ่าน
๖ วธิ ีการพูดต่อทปี่ ระชุมชน (ต่อ) การท่องมาพดู • เป็นวธิ ีการพดู ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ขาดอารมณ์ และขาดการเนน้ ในส่วนที่ สาคญั • บางคร้ังอาจทาใหผ้ พู้ ดู ลืมพดู บางคาหรือบางวลีท่ีสาคญั ที่ตนต้งั ใจจะพดู • ผพู้ ดู ที่มีประสบการณ์ในการพูดเช่นน้ีเป็นเวลานานหลายปี และตอ้ ง หมนั่ ฝึกฝนท่องบทอยเู่ สมอ จึงจะช่วยใหพ้ ดู ไดอ้ ยา่ งมนั่ ใจ • สามารถส่ือสายตากบั ผฟู้ ังไดอ้ ยา่ งทวั่ ถึง เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก และทศั นคติอยา่ งไดผ้ ล
๖ วธิ ีการพดู ต่อทปี่ ระชุมชน (ต่อ) การพูดทเี่ ตรียมล่วงหน้า • เป็นวธิ ีการพดู ต่อท่ีประชุมชนท่ีมีประสิทธิผลที่สุด • ผพู้ ดู เตรียมหวั ขอ้ เร่ืองการพดู ไวเ้ รียบร้อยแลว้ ต่อมาเตรียมเน้ือเรื่อง อยา่ งสงั เขป แลว้ ลองฝึกซอ้ มพดู • เม่ือฝึกซอ้ มพดู จบควรใหเ้ พื่อนๆ ช่วยกนั วจิ ารณ์ จะช่วยใหม้ น่ั ใจใน ตนเอง เป็นตวั ของตวั เอง สามารถสบสายตากบั ผฟู้ ังไดต้ ลอดเวลา • สามารถพฒั นาการใชท้ ่าทาง การเคล่ือนไหว และการเปล่ียนอิริยาบถ ใหเ้ ป็นธรรมชาติ ซ่ึงช่วยใหผ้ พู้ ดู ไดแ้ สดงออกอยา่ งอิสระ • การยกคาพดู ของผอู้ ื่นมากล่าวอา้ งอยา่ งคาต่อคา หรือวา่ ปากเปล่า หรือถา้ จาเป็นตอ้ งพดู ซ้าเร่ืองเดียวกนั กอ็ าจหาคาพดู ท่ีไม่ซ้ากนั • บางโอกาส อาจจาเป็นตอ้ งอ่านตน้ ฉบบั ประกอบดว้ ย ในกรณีที่ตอ้ ง กล่าวอา้ งคาพดู ของผอู้ ื่น หรือกล่าวอา้ งสถิติต่างๆ • บางทีกจ็ าเป็นท่ีจะตอ้ งท่องบทนาหรือบทสรุปมาพดู เพ่ือช่วยใหก้ าร พดู เป็นธรรมชาติและน่าสนใจมากยงิ่ ข้ึน
ตอนท่ี ๔ หลกั ภาษาและการใช้ภาษา ภาษา เป็ นส่ือสาคญั ในการสื่อสารและเก่ียวขอ้ งกบั การดาเนินชีวิตของมนุษย์ ถือเป็นส่วนสาคญั ส่วนหน่ึงที่จะช่วยใหช้ ีวติ ประสบความสาเร็จ • หากผูใ้ ช้ภาษามีความรู้ความเขา้ ใจในหลกั เกณฑ์ วิธีการ และไดฝ้ ึ กฝนอย่าง ถูกตอ้ ง ยอ่ มช่วยใหผ้ นู้ ้นั มีทกั ษะในการใชภ้ าษาเป็นอยา่ งดี • การมีพฒั นาทางภาษาท่ีดีส่งผลใหบ้ ุคคลน้นั เป็นคนมีเหตุผลและมีความเชื่อมนั่ ในตนเอง มีมนุษยสมั พนั ธ์ที่ดี และทาใหก้ ารสื่อสารเกิดประสิทธิภาพ
๑หน่วยการเรียนรู้ท่ี ธรรมชาติและพลงั ของภาษา ภาษา เป็ นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการสื่อสาร ของมนุษย์ เพ่อื ถ่ายทอดความรู้ ความเช่ือ ตลอดจน วฒั นธรรมจากบุคคลหน่ึงไปยงั อีกบุคคลหน่ึง การ มีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ธรรมชาติของภาษา ความหมายของภาษา หน่วยเสียงในภาษา การ เปลี่ยนแปลงของภาษา และลักษณะท่ัวไปของ ภาษา ตลอดจนพลงั ของภาษา จะช่วยให้ใช้ภาษา เพ่ือสื่อสารได้ชัดเจน ถูกต้องตามวตั ถุประสงค์ และมีประสิทธิผลมากยง่ิ ข้ึน
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา ความหมายของภาษา คาวา่ “ภาษา” อาจแบ่งความหมายออกไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คือ • “ภาษาในความหมายกว้าง” o ภาษาท่ีใชค้ าพดู (วจั นภาษา) o ภาษาท่ีไม่ไดใ้ ชค้ าพดู หรือท่าทาง (อวจั นภาษา) o อาจนบั รวมไปถึงภาษาของสัตวด์ ว้ ย แต่เร่ืองภาษาของสัตวน์ ้ียงั มี ขอ้ มูลไม่มากนัก จึงไม่ค่อยมีใครนามากล่าวรวมกบั ภาษาของ มนุษย์ • “ภาษาในความหมายแคบ” o ภาษาท่ีใช้คาพูด จะเป็ นคาพูดหรือลายลักษณ์อักษร ซ่ึ งเป็ น เคร่ืองหมายใชแ้ ทนคาพดู กไ็ ด้
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใ่ี ช้ในการสื่อสาร ลกั ษณะและรูปแบบของอวจั นภาษา • การแสดงออกทางใบหนา้ สามารถบอกเจตนาได้
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใี่ ช้ในการส่ือสาร ลกั ษณะและรูปแบบของอวจั นภาษา • นา้ เสียง เป็นสิ่งสาคญั ในการสื่อสารเพราะสามารถบอกอารมณ์ ความรู้สึกของผสู้ ่งสาร สงั เกตไดจ้ ากน้าเสียง
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใี่ ช้ในการสื่อสาร ลกั ษณะและรูปแบบของอวจั นภาษา • ท่าทาง คือ กิริยาท่าทางขณะส่งสาร ไดแ้ ก่ ท่านงั่ ท่ายนื และการทรงตวั มี ผลต่อการส่งสาร • การแต่งกาย o ควรแต่งกายใหเ้ หมาะสมกบั โอกาส กาลเทศะ และสภาพแวดลอ้ ม o การแต่งกายท่ีสุภาพท้งั เส้ือผา้ รองเทา้ ฯลฯ จะช่วยใหผ้ ฟู้ ังเกิดความ ประทบั ใจและความเชื่อถือในตวั ผพู้ ดู o ถา้ แต่งกายไม่สุภาพและไม่เหมาะสมกบั สถานท่ี อาจจะทาใหเ้ กิด ความเส่ือมศรัทธา
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใ่ี ช้ในการสื่อสาร ลกั ษณะและรูปแบบของอวจั นภาษา • การเคล่ือนไหว o ในขณะพดู ตอ้ งเคลื่อนไหวบา้ งพอเหมาะกบั เน้ือหาท่ีพดู o แต่อยา่ เคล่ือนไหวมากเกินไปเพราะอาจดูเหมือนการแสดงละคร • การใช้มือและแขน ขณะพดู ควรใชม้ ือหรือแขนใหส้ อดคลอ้ งกบั เรื่องท่ีพดู
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใ่ี ช้ในการสื่อสาร ลกั ษณะและรูปแบบของอวจั นภาษา • การใช้นัยน์ตา o แววตาสามารถส่ืออารมณ์ของผพู้ ูดได้ เช่น แปลกใจ สงสยั มน่ั ใจ ลงั เล- ใจ สมใจ สะใจ • การใช้ภาษาสัญลกั ษณ์ต่างๆ o กาหนดข้ึนโดยสงั คมกลุ่มต่างๆ หรือภาษาสากล o ลว้ นใชส้ ่ือความหมายแทนสิ่งใดสิ่งหน่ึงใหเ้ ป็นที่เขา้ ใจตรงกนั o ตวั หนงั สือ สญั ญาณมือ สญั ญาณไฟ ธง ป้ายจราจร สญั ญาณนกหวีด สญั ญาณเสียงต่างๆ และภาษามือของผพู้ ิการ
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใี่ ช้ในการส่ือสาร ลกั ษณะและรูปแบบของอวจั นภาษา • การแสดงออกทางใบหนา้ น้าเสียง ท่าทาง การแต่งกาย การเคลื่อนไหว การใชม้ ือและเขน การใชน้ ยั นต์ า และการใชภ้ าษาสญั ลกั ษณ์ต่างๆ • อวจั นภาษาเหล่าน้ี สามารถนาไปใชป้ ระกอบกบั การใชว้ จั นภาษาเพ่ือให้ การสื่อสารมีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน • ขณะท่ีพดู เราอาจใชม้ ือทาท่าทางประกอบ ใชส้ ีหนา้ หรือสญั ลกั ษณ์ต่างๆ ประกอบดว้ ยได้
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใ่ี ช้ในการส่ือสาร ลกั ษณะและรูปแบบของวจั นภาษา • การเลือกสรรถอ้ ยคาเป็นเร่ืองสาคญั ท่ีสุดในการส่ือสาร • ถา้ ใชถ้ อ้ ยคาภาษาผดิ อาจส่งผลใหก้ ารสื่อสารไม่ตรงเป้าหมายที่ตอ้ งการ หรือ ทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจผดิ • การใชว้ จั นภาษาใหเ้ หมาะกบั กาลเทศะและบุคคลจึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษา
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใ่ี ช้ในการส่ือสาร ลกั ษณะและรูปแบบของวจั นภาษา • คาทีม่ ีความหมายเหมือนกนั มที ี่ใช้ต่างกนั o การใชค้ าเหล่าน้ีตอ้ งคานึงถึงโอกาส สถานที่ และสมั พนั ธภาพระหวา่ ง บุคคล
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใ่ี ช้ในการสื่อสาร ลกั ษณะและรูปแบบของวจั นภาษา • คาทเ่ี ป็ นภาษาพูด o เม่ือนาคาท่ีเป็นภาษาพดู มาเขียนเป็นภาษาเขียน จะเขียนไม่ตรงกบั เสียงพดู • คาทเ่ี ป็ นภาษาปาก o คาท่ีเป็นภาษาปาก ไม่นิยมนามาเป็นภาษาเขียน
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใ่ี ช้ในการสื่อสาร ลกั ษณะและรูปแบบของวจั นภาษา • การใช้สานวน o เป็นลกั ษณะเด่นของการสื่อสาร เพ่อื ใชเ้ ปรียบเทียบใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจไดท้ นั ที o สานวนเหล่าน้ีจะมีความหมายไม่ตรงกบั คาที่เขียน
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใ่ี ช้ในการสื่อสาร ลกั ษณะและรูปแบบของวจั นภาษา • การใช้ศัพท์เฉพาะในแวดวงเดยี วกนั และการใช้คาผวน o การใชศ้ พั ทเ์ ฉพาะในแวดวงเดียวกนั อาจทาใหค้ นนอกกลุ่มฟังไม่ เขา้ ใจ เช่น พยาบาลคุยกนั วา่ “วนั น้ีตอ้ งข้ึนวอร์ดหรือเปล่า” คนท่ีไม่ เก่ียวขอ้ งจะไม่รู้วา่ วอร์ด คือ การเขา้ เวรปฏิบตั ิหนา้ ท่ี o การพดู คาผวนตอ้ งระมดั ระวงั ไม่ใหห้ ยาบโลน
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ประเภทของภาษาทใี่ ช้ในการสื่อสาร ลกั ษณะและรูปแบบของวจั นภาษา • การใช้ภาษาถิ่น o ภาษาถ่ินเป็นภาษาท่ีใชก้ นั เฉพาะหมู่ และนิยมใชเ้ ป็นภาษาพดู แต่มี บางคาเป็นท่ีรู้จกั กนั ดีอยแู่ ลว้ • การใช้คาคะนอง และสแลงเฉพาะสมยั o เป็นการใชค้ าส่ือสารกนั เพียงชว่ั คราว เช่น ซ่าส์ มว่ั ป๊ิ ง จาาบ o เหมาะท่ีจะใชใ้ นการพดู เฉพาะกลุ่มท่ีสามารถสื่อสารกนั อยา่ งเขา้ ใจ o ไม่เหมาะที่จะนาไปใชใ้ นการสนทนาทว่ั ไปหรือการเขียน
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ธรรมชาตขิ องภาษา ภาษาใช้เสียงสื่อความหมาย • “เสียงสมั พนั ธ์กบั ความหมายโดยธรรมชาติ” o เสียงบอกความหมายได้ แมจ้ ะมิไดน้ ดั หมายกนั ไวก้ ่อน แมค้ นท่ีไม่รู้ ภาษาน้นั ๆ ไดย้ นิ เสียงคาเหล่าน้นั กพ็ อจะรู้ความหมายไดเ้ ช่นกนั • คาหรือเสียงท่ีจะถือวา่ มีความสมั พนั ธ์กบั ความหมาย มกั จะเป็นคาจาพวกท่ี เกิดจากการเลียนเสียง o เลียนเสียงธรรมชาติ ครืนๆ (เลียนเสียงฟ้าร้อง) หววิ ๆ (เลียนเสียงลม) o เลียนเสียงสตั วร์ ้อง เหมียว (เสียงร้องของแมว) โฮ่ง (เสียงเห่าของ สุนขั ) แปร๋น (เสียงร้องของชา้ ง) o เลียนเสียงเดก็ อ่อนหรือเดก็ ที่กาลงั หดั พดู เช่น อุแว้ หม่า อึ o คาที่เป็นเสียงอุทาน เช่น โอยา ! อูย! เฮอ้ !
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ธรรมชาตขิ องภาษา หน่วยในภาษาประกอบกนั เป็ นหน่วยทใ่ี หญ่ขนึ้ • หน่วยท่ีเลก็ ท่ีสุดของภาษา คือ หน่วยเสียง • หากนาหน่วยเสียงมาประกอบกนั จะไดห้ น่วยที่ใหญข่ ้ึน คือ พยางค์ • เมื่อกาหนดความหมายใหพ้ ยางคแ์ ลว้ พยางคเ์ หล่าน้นั กจ็ ะเป็น คา • เมื่อนาคามาประกอบกนั เขา้ ตามระบบการใชถ้ อ้ ยคาของแต่ละภาษา กจ็ ะได้ หน่วยภาษาท่ีใหญ่ข้ึนเป็นกลุ่มคา หรือ วลี • ถา้ นาคามาเรียงลาดบั กนั และไดค้ วามหมายครบถว้ นกก็ ลายเป็น ประโยค
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ธรรมชาตขิ องภาษา ภาษามีการเปลย่ี นแปลง • ภาษาท่ีไม่มีการนามาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั แลว้ เรียกวา่ ภาษาตาย • ภาษาที่ตายแลว้ จะไม่มีการเปล่ียนแปลงอีก เช่น ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤต ภาษาละติน การศึกษาภาษาเหล่าน้ีกเ็ พอ่ื หาความรู้ในส่วนที่เก่ียวขอ้ งเท่าน้นั o ศึกษาภาษาบาลีเพ่อื นาไปอ่านบทสวดมนต์ o ศึกษาภาษาสนั สกฤตเพือ่ ใหร้ ู้ความหมายของคาศพั ท์ • ส่วนภาษาท่ียงั ใชอ้ ยยู่ อ่ มมีการเปลี่ยนแปลง บางคาอาจเปลี่ยนแปลงเพียง เลก็ นอ้ ยจนไม่ทนั สงั เกต บางคาอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286