๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ธรรมชาตขิ องภาษา ภาษามีการเปลยี่ นแปลง • การเปล่ียนแปลงอนั เกิดจากธรรมชาติของการออกเสียง o เป็นลกั ษณะทางเสียงที่เกิดเหมือนๆ กนั ทุกภาษา เป็นการเปลยี่ นแปลง ท่ีเกิดข้ึนในชีวติ ประจาวนั
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ธรรมชาตขิ องภาษา ภาษามกี ารเปลย่ี นแปลง • การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดจากอิทธิพลภายนอก o การยมื คา หรือลกั ษณะการใชถ้ อ้ ยคา แลว้ มิไดด้ ดั แปลงใหเ้ ป็นลกั ษณะ ของตนโดยสิ้นเชิง จึงทาใหภ้ าษาของตนเปลี่ยนแปลงไป มีเสียงเพ่ิมข้ึน หรือเสียงแปลกข้ึน เช่น ภาษาไทยไม่มีเสียง ล /l/ สะกด มีแต่ น /n/ สะกด เมื่อรับคาวา่ ฟุตบอล มาใชก้ ม็ ีผอู้ อกเสียง ล สะกดในคาน้ี o การใชค้ าและสานวนต่างไปจากเดิม
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ธรรมชาตขิ องภาษา ภาษามกี ารเปลย่ี นแปลง • การเปล่ียนแปลงของสิ่งแวดลอ้ ม o การเลิกส่ิงเก่ารับส่ิงใหม่ ทาใหเ้ กิดความเปล่ียนแปลงข้นึ ในภาษา เพราะตอ้ งสรรคามาใชเ้ รียกสิ่งใหม่ๆ จนคาเดิมอาจจะสูญไปจากภาษา หรืออาจจะใชส้ ื่อความไม่ไดก้ บั ผใู้ ชภ้ าษาท่ีต่างรุ่นกนั มากๆ o การสร้างคาใหม่จากคาเดิม เป็นการเปลี่ยนแปลงจากศพั ทเ์ ดิมหรือนา ศพั ทอ์ ื่นมาประสมกบั ศพั ทเ์ ดิม o การเปลี่ยนแปลงทางดา้ นเสียง ดา้ นความหมาย ตลอดจนการสร้างคา สานวนจากศพั ทค์ าเดิม ทาใหค้ าศพั ทน์ ้นั ๆ เปล่ียนความหมายและ หนา้ ท่ีไป
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ธรรมชาตขิ องภาษา ภาษาต่างๆ มีลกั ษณะที่ต่างและคล้ายกนั • ภาษาแต่ละภาษาใชเ้ สียงส่ือความหมาย o เสียงที่ใชส้ ื่อความหมายในทุกภาษาอยา่ งนอ้ ยตอ้ งประกอบดว้ ยหน่วย เสียงพยญั ชนะตน้ และหน่วยเสียงสระ o บางภาษาอาจมีหน่วยเสียงวรรณยกุ ตป์ ระกอบดว้ ย • ภาษาแต่ละภาษาสามารถสร้างศพั ทใ์ หม่จากศพั ทเ์ ดิม o อาจจะเปล่ียนแปลงศพั ทเ์ ดิมหรือนาศพั ทอ์ ่ืนมาประสมกบั ศพั ทเ์ ดิม o ภาษาไทยมีการสร้างคาดว้ ยการประสมคา ซอ้ นคา ซ้าคา ส่วน ภาษาองั กฤษมีการเติม Prefix Suffix
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ธรรมชาตขิ องภาษา ภาษาต่างๆ มลี กั ษณะทต่ี ่างและคล้ายกนั • ภาษาแต่ละภาษามีสานวน และมีการใชค้ าในความหมายใหม่ o “สีหนา้ ” ไม่ไดห้ มายถึง สีของหนา้ แต่หมายถึง การแสดงออกทางใบหนา้ o คาวา่ hot air ไม่ไดห้ มายความวา่ อากาศร้อน แต่หมายถึงเร่ืองไม่จริง • ภาษาแต่ละภาษามีคาชนิดต่างๆ คลา้ ยกนั • ภาษาแต่ละภาษามีวธิ ีขยายประโยคใหย้ าวออกไปโดยการเติมส่วนขยาย • ภาษาแต่ละภาษามีวธิ ีแสดงความคิดคลา้ ยกนั ได้ เช่น ทุกภาษาต่างกม็ ี ประโยคท่ีใชถ้ าม ปฏิเสธ หรือใชส้ งั่ • ภาษาแต่ละภาษาตอ้ งมีการเปล่ียนแปลงตามกาลเวลา
๑ ธรรมชาตขิ องภาษา (ต่อ) ธรรมชาตขิ องภาษา ภาษาย่อมมสี ่วนประกอบทเ่ี ป็ นระบบ มรี ะเบยี บแบบแผน • ภาษาตอ้ งมีระบบที่มีระเบียบแบบแผน จึงสามารถใชส้ ่ือสารกนั ใหเ้ ขา้ ใจได้ • ส่วนประกอบท่ีสาคญั คือ สญั ลกั ษณ์ คา ประโยค และความหมาย รวมกนั ทาใหเ้ กิดเป็นภาษาที่สมบูรณ์ ถา้ ขาดส่วนประกอบใดส่วนหน่ึงกจ็ ะไม่เป็น ภาษา o ตอ้ งนาสญั ลกั ษณ์มาประกอบกนั เป็นคา จึงจะเกิดความหมาย การนาคา มาประกอบเป็นประโยคกต็ อ้ งเรียบเรียงตามระเบียบแบบแผนของ ภาษา จึงจะมีความหมาย
๒ พลงั ของภาษา ธรรมชาตขิ องภาษา • ภาษาช่วยใหม้ นุษยร์ ู้จกั คิดโดยแสดงออกผา่ นทางการพดู การเขียน และ การกระทา ซ่ึงเป็นผลจากการคิด • ถา้ ไม่มีภาษา มนุษยจ์ ะคิดไม่ได้ ถา้ มนุษยม์ ีภาษานอ้ ย มีคาศพั ทน์ อ้ ย ความคิด ของมนุษยย์ อ่ มแคบไม่กวา้ งไกล • ผทู้ ี่ใชภ้ าษาไดด้ ีจะมีความคิดดีดว้ ย ส่งผลใหก้ ารเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ดีข้ึน ตามไปดว้ ย ดงั น้นั ผทู้ ี่จะเรียนวชิ าใดๆ ใหไ้ ดด้ ี ควรจะมีทกั ษะทาง ภาษาไทยอยา่ งดีเสียก่อน เพื่อเป็นพ้ืนฐานในการแสวงหาความรู้ต่อไป • ความคิดที่ดียอ่ มช่วยกนั ธารงสงั คมใหม้ นุษยอ์ ยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ ง สงบสุข มีไมตรีต่อกนั ช่วยเหลือกนั ดว้ ยการใชภ้ าษาติดต่อสื่อสาร ช่วย ใหค้ นปฏิบตั ิตนตามกฎเกณฑข์ องสงั คม
๒หน่วยการเรียนรู้ที่ ลกั ษณะของภาษาไทย ภาษาเป็ นเคร่ืองมือท่ีมนุษย์ใช้ในการ ติดต่อส่ือสาร การแลกเปล่ียนความคิดความเห็น ทฤษฎี การถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก เราอาจใช้ ภาษาเพอื่ ทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจ ความพึงพอใจ และ การโตแ้ ยง้ ส่งผลให้กิจกรรมที่ใชภ้ าษามีมากมาย เช่น การให้ขอ้ มูล การช้ีแจง การแสดงความเห็น การโฆษณา การอภิปราย ตลอดจนการสนทนาใน ชีวิตประจาวนั จึงกล่าวไดว้ ่ากิจกรรมในชีวิตของ คนเราลว้ นแต่อาศยั ภาษาท้งั สิ้น
๑ ลกั ษณะสาคัญของภาษาไทย คาภาษาไทยเป็ นคาโดด • คาในภาษาไทยเดิมเป็นคาท่ีมีพยางคเ์ ดียว มีความหมายชดั เจน คาพยางค์ เดียวท่ีเป็ นภาษาไทยแทน้ ้ี มกั เป็ นคาที่ใชเ้ รียกส่ิงต่างๆ ตลอดจนกิริยา อาการของมนุษย์
๑ ลกั ษณะสาคญั ของภาษาไทย (ต่อ) ภาษาไทยสะกดตรงมาตรา • มาตราตวั สะกดในภาษาไทยมี ๘ มาตรา • คาไทยแทม้ ีตวั สะกดตรงตามมาตรา o แม่กก ใช้ “ก” เป็นตวั สะกด คาท่ีสะกดดว้ ย “ก” มกั เป็นคาไทยแท้ เช่น มกั ชกั นกั • คาในภาษาไทยบางคาที่มีตวั สะกดไม่ตรงตามแม่สะกด เนื่องจากไดร้ ับ อิทธิพลคาภาษาต่างประเทศท่ีไทยรับเขา้ มาใช้ o ตวั สะกดแม่กด นอกจากให้ “ด” สะกดแลว้ ยงั ใชอ้ กั ษรอ่ืนสะกด เช่น ดุจ รส บท
๑ ลกั ษณะสาคัญของภาษาไทย (ต่อ) คาภาษาไทยคาเดยี วมีหลายความหมายและหลายหน้าที่ • คาในภาษาไทยเป็นคาโดด คาแต่ละคาสามารถนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งอิสระ • อาจมีความหมายมากกว่าหน่ึงความหมาย และมีหน้าที่เปลี่ยนไปตาม ตาแหน่งท่ีปรากฏในประโยค ดงั เช่น คาวา่ “ขนั ”
๑ ลกั ษณะสาคัญของภาษาไทย (ต่อ) ภาษาไทยเป็ นภาษาเรียงคา • ภาษาไทยจะประกอบคาเป็ นหน่วยที่ใหญ่ข้ึน โดยการเรียงคาและไม่มี การเปล่ียนแปลงรูปคาไปตามเพศ พจน์ จะใชว้ ธิ ีตีความจากบริบท • การเรียงคาในประโยคจึงมีความสาคญั เนื่องจากเม่ือสลบั ตาแหน่งของ คาในประโยคส่งผลใหค้ วามหมายของคาเปลี่ยนไป
๑ ลกั ษณะสาคญั ของภาษาไทย (ต่อ) คาขยายจะวางไว้หลงั คาทถี่ ูกขยาย • ภาษาไทยเป็นภาษาเรียงคา หากมีคาขยายจะวางอยหู่ ลงั คาและอยตู่ ิดกบั คาท่ี ถูกขยาย o นอ้ งร้องเพลงเสียงหวานไพเราะ แมวนอนใตโ้ ตะา ทางานหอ้ งพอ่ ภาษาไทยมคี าลกั ษณนาม • คาลกั ษณนามเป็ นคาท่ีบอกลกั ษณะของนามขา้ งหน้า มกั ใชต้ ามหลงั คา วเิ ศษณ์บอกจานวน o กระเทียม ๔ กลีบ ตะกร้า ๒ ใบ • ใชต้ ามหลงั คานามทว่ั ไป เพ่ือเนน้ น้าหนกั และเพื่อบอกใหท้ ราบลกั ษณะ ของคานามน้นั o นิยายเรื่องน้ีสนุกมาก น้าตกแห่งน้นั สวยงาม ธนูคนั น้ีของใคร
๑ ลกั ษณะสาคัญของภาษาไทย (ต่อ) ภาษาไทยมกี ารสร้างคาขนึ้ ใหม่ • การประสมคา การซอ้ นคา การซ้าคา การสมาส และการสนธิ
๑ ลกั ษณะสาคญั ของภาษาไทย (ต่อ) คาภาษาไทยมกี ารเปลย่ี นระดับเสียงของคา • คาในภาษาไทยมีการใช้วรรณยุกต์ ซ่ึงการใช้วรรณยุกต์ที่แตกต่างกนั น้ี ส่งผลใหค้ วามหมายของคาเปลี่ยนไป ทาใหม้ ีคาในภาษาเพม่ิ มากข้ึน คา หมายถึง คา้ งอยู่ ติดอยู่ ค่า หมายถึง ราคา คุณประโยค คา้ หมายถึง หาของมาขาย ซ้ือขายแลกเปลี่ยน คาภาษาไทยมกี ารเปลยี่ นระดบั เสียงของคา • มีการใชค้ าพูดให้เหมาะสมแก่บุคคลตามกาลเทศะ ระดบั ฐานะของบุคคล จึงทาใหภ้ าษามีหลายระดบั o คาราชาศพั ท์สาหรับพระมหากษตั ริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ สมเด็จ พระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก พระสงฆ์ คาสุภาพ หรือแม้แต่ ภาษากวี
๒ เสียงในภาษา เสียง ท่ีคนทุกชาติทุกภาษากาหนดข้ึนใชส้ ่ือความเขา้ ใจ ยอ่ มมีจานวนจากดั แต่ มิไดห้ มายความวา่ เราจะออกเสียงที่ไม่มีในภาษาเราไม่ได้ เพยี งแต่ตอ้ งใชก้ ารฝึกฝน มากบา้ ง นอ้ ยบา้ งตามความถนดั และความสามารถของแต่ละคน การที่เสียงในภาษามีจากดั เคร่ืองหมายท่ีใช้แทนเสียงซ่ึงส่วนใหญ่ก็คือ ตวั อกั ษร จึงมีจากดั ไปดว้ ย เสียงในภาษาไทยน้ัน เม่ือเทียบกบั ภาษาอ่ืนที่เราศึกษากนั อยู่ เช่น ภาษาองั กฤษ ภาษาฝร่ังเศส จะเห็นว่าภาษาไทยมีเสียงมากกว่า ทาให้การถ่ายเสียง เป็ นภาษาไทยเป็ นไปได้ค่อนขา้ งดี และแม้ในภาษาองั กฤษจะปรากฏเสียงท่ีไม่มี ในภาษาไทย เช่น /r/ /sh/ /z/
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) เสียงสระและรูปสระ • เสียงสระ หรือเรียกวา่ เสียงแท้ เพราะเป็นเสียงท่ีผา่ นลาคอออกมาโดยตรง ไม่ถูกปิ ดหรือถูกกกั ณ ท่ีใดที่หน่ึงเลย • หากเสียงที่เปล่งออกมาถูกปิ ดหรือถูกกกั จนเสียงเปล่ียนไปหรือแปรไป กจ็ ะเป็นเสียงแปรหรือเสียงพยญั ชนะ • ในการเปล่งเสียงแต่ละคร้ังจะมีเสียงสูงๆ ต่าๆ ต่างกนั ซ่ึงไม่ว่าในภาษา ใดกย็ อ่ มมีเสียงสูงๆ ต่าๆ ในการพดู ท้งั สิ้น • สาหรับภาษาไทย การกาหนดใหเ้ สียงสูง-ต่าน้นั มีความหมาย กล่าวคือ เมื่อเปล่ียนระดบั เสียงของคาส่งผลใหค้ วามหมายของคาน้นั เปลี่ยนแปลง ไปดว้ ย เราเรียกเสียงระดบั ต่างๆ ท่ีกาหนดข้ึนน้ีวา่ เสียงวรรณยกุ ต์
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) เสียงสระและรูปสระ • ภาษาไทยมีเสียงสระเด่ียวหรือสระแท้ ๙ คู่ หรือ ๑๘ หน่วยเสียง สระ ประสมหรือสระเล่ือน ๓ หน่วยเสียง • โดยปกติเราเขียนรูปสระอยา่ งง่ายๆ เม่ือเติมรูปพยญั ชนะ ลงตรงช่องวา่ ง (-) จะอ่านออกเสียงได้ เช่น นะ นา โน
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) เสียงพยญั ชนะและรูปพยญั ชนะ • พยญั ชนะไทยมี ๔๔ รูป หรือ ๔๔ ตวั • พยญั ชนะตน้ เพียง ๒๑ เสียง
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) เสียงพยญั ชนะและรูปพยญั ชนะ • พยญั ชนะทา้ ยเพยี ง ๘ เสียง
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) ข้อควรสังเกตรูปและเสียงของอกั ษรไทย • รูปพยญั ชนะมีมากกวา่ เสียงพยญั ชนะ • มีรูปพยญั ชนะหลายรูป เน่ืองจากการยมื คาในภาษาอ่ืนมาใช้ เช่น ภาษา บาลี สนั สกฤต เขมร แต่ออกเสียงตามอยา่ งภาษาเดิมไม่ได้ จึงออกเสียง ตามเสียงที่มีในภาษาไทย เช่น ออกเสียง ศ ษ ส ใหต้ ่างกนั เหมือนเสียงใน ภาษาสนั สกฤตไม่ได้ • รูปพยญั ชนะบางรูปเลิกใชแ้ ลว้ เช่น ฃ ฅ • รูปพยญั ชนะแตกต่างกนั แต่มีเสียงเดียวกนั เม่ือใชเ้ ขียนคาแลว้ จะพิสูจน์ ไดช้ ดั วา่ เป็นเสียงเดียวกนั จริงๆ เช่น ค่า ขา้ ฆ่า • รูปพยญั ชนะต่างกนั หมดแต่เสียงเดียวกนั เช่น ช่า ฉ่า ต่างกนั แต่เสียง วรรณยกุ ต์ คือ ช่า เป็นเสียงวรรณยกุ ตโ์ ท ฉ่า เป็นเสียงวรรณยกุ ตเ์ อก
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) ข้อควรสังเกตรูปและเสียงของอกั ษรไทย • รูปพยญั ชนะบางรูปไม่ออกเสียง o พยญั ชนะท่ีมีไมท้ ณั ฑฆาตกากบั เช่น การณ์ รัตน์ วริ ุฬห์ o พยญั ชนะ ร หรือ ห ท่ีนาหนา้ พยญั ชนะสะกดในคาบางคาซ่ึงมา จากภาษาบาลี-สนั สกฤต เช่น สามารถ พราหมณ์ o พยญั ชนะซ่ึงตามหลงั พยญั ชนะสะกดในคาซ่ึงมาจากภาษาบาลี สนั สกฤต เช่น วตั ร พทุ ธ o ร ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของอกั ษรควบไม่แท้ เช่น สร้าง จริง o ห หรือ อ ซ่ึงนาอกั ษรต่าเดี่ยว เช่น หลาก อยาก
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) ข้อควรสังเกตรูปและเสียงของอกั ษรไทย • รูปและเสียงพยญั ชนะจะไม่ตรงกนั เม่ือใชใ้ นคาต่างๆ แลว้ รูปและเสียง สระเมื่อใชใ้ นคาต่างๆ กอ็ าจไม่ตรงกนั ดว้ ยเช่นกนั
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) เสียงวรรณยุกต์และรูปวรรณยกุ ต์ • ภาษาไทยเป็นภาษาท่ีมีวรรณยกุ ต์ คือ มีการเปล่ียนระดบั เสียงของคา ในภาษา ทาใหค้ วามหมายของคาเปลี่ยนไป • ภาษาทุกภาษามีเสียงสูงๆ ต่าๆ ในการพดู แต่ถา้ เสียงสูงต่าน้นั ไม่ทาให้ ความหมายเปล่ียนไป ภาษาเหล่าน้นั กม็ ีเพยี งระดบั เสียงต่างๆ ในการพดู ไม่นบั วา่ มีวรรณยกุ ต์ • ภาษาไทยมีลกั ษณะพิเศษ คือ มีท้งั เสียงและรูปวรรณยกุ ต์
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) เสียงวรรณยุกต์และรูปวรรณยกุ ต์ เสียงวรรณยุกต์ • ภาษาไทยมีวรรณยกุ ต์ ๕ เสียง (ภาษาไทยกลางหรือภาษาถิ่นภาคกลาง) ซ่ึงเป็นภาษามาตรฐาน เป็นภาษาที่ใชใ้ นราชการ หากเป็นภาษาถิ่นอื่นอาจ แตกต่างไปบา้ ง เช่น ภาษาถิ่นเหนือมีเสียงวรรณยกุ ต์ ๖เสียง • การที่ภาษาไทยมีเสียงวรรณยกุ ต์ ทาใหส้ ามารถสร้างเสียงต่างๆ ได้ มากมายกลายเป็นคาที่มีความหมายและเป็นพยางคท์ ่ีไม่มีความหมาย เน่ืองจากการเปล่ียนเสียงวรรณยกุ ตท์ าใหค้ วามหมายเปล่ียนไป o สามารถผนั วรรณยกุ ต์ กอ ก่อ กอ้ กาอ ก๋อ ไดค้ รบ ๕ เสียง แต่ใช้ เพยี ง ๒ เสียง คือ กอ และ ก่อ ส่วนอีก ๓ เสียง คือ กอ้ กาอ ก๋อ เป็นเพียงพยางคท์ ่ีไม่ไดใ้ ชใ้ นคาไทย
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) เสียงวรรณยุกต์และรูปวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ • วรรณยกุ ตม์ ี ๕ เสียง จะสมบูรณ์จริงเฉพาะการพดู หรือการออกเสียงเท่าน้นั • เราสามารถออกเสียงวรรณยกุ ตไ์ ด้ ๕ เสียงจริงท้งั คาเป็นและคาตาย แต่ ในการเขียนจะเขียนไดไ้ ม่สมบูรณ์ เช่น คาตาย เราออกเสียงสามญั ได้ แต่ เขียนเสียงสามญั ไม่ได้
๒ เสียงในภาษา (ต่อ) เสียงวรรณยุกต์และรูปวรรณยุกต์ รูปวรรณยุกต์ • ภาษาไทยมีรูปวรรณยกุ ต์ ๔ รูปคือ • รูปกบั เสียงวรรณยกุ ตใ์ นภาษาไทยอาจไม่ตรงกนั o ถา้ พยญั ชนะตน้ เป็นอกั ษรต่า เสียงและรูปวรรณยกุ ตจ์ ะไมต่ รงกนั หรือจะจาง่ายๆ เป็นสูตรวา่ ต่าไม่ตรงรูป คือ ถา้ พยญั ชนะตน้ เป็น อกั ษรต่า รูปวรรณยกุ ตเ์ อก จะเป็นเสียงโท เช่น ค่า ล่า ค่ะ หากเป็น รูปวรรณยกุ ตโ์ ทจะเป็นเสียงตรี เช่น คา้ แลว้ ดว้ ยเหตุน้ีอกั ษรต่าจึง ไม่ใชไ้ มต้ รีเลย • คาที่มีพยญั ชนะตน้ สองตวั ไดแ้ ก่ อกั ษรควบ หรืออกั ษรนา o กล - คว - ตร -สล - อร - อย ถา้ มีวรรณยกุ ต์ ตอ้ งเขียนไวบ้ นพยญั ชนะ ตวั หลงั แต่การผนั วรรณยกุ ตถ์ ือพยญั ชนะตวั หนา้ เป็นหลกั
๓ ส่วนประกอบของภาษา ส่ วนประกอบของภาษา • เสียง คา และประโยค • ในภาษาไทยมีเสียงพยญั ชนะ ๒๑ เสียง เสียงสระ ๒๔ เสียง และเสียง วรรณยกุ ต์ ๕ เสียง • เม่ือนาเสียงเหล่าน้ีมาประกอบกนั ท้งั หมด จะไดค้ าเพมิ่ มากข้ึน • เมื่อประกอบเป็นคา เราสามารถนามาเรียงเป็นกลุ่มคา และประโยคไดเ้ ป็น จานวนมาก • เราสามารถนาประโยคที่มีอยมู่ ารวมกนั หรือซอ้ นกนั ทาใหไ้ ดป้ ระโยคยาว ออกไปเร่ือยๆ โดยไม่จากดั จานวน
๓ ส่วนประกอบของภาษา (ต่อ) องค์ประกอบของพยางค์ • เสียงพยญั ชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยกุ ต์ • แมจ้ ะแยกเป็นประเภทไดอ้ ยา่ งชดั เจน แต่เสียงเหล่าน้ีจะอยรู่ วมกนั เสมอ โดยประกอบกนั ข้ึนเป็นพยางค์ • เสียงพยญั ชนะท่ีอยหู่ นา้ เสียงสระในพยางคเ์ รียกวา่ เสียงพยญั ชนะตน้ • เสียงพยญั ชนะที่อยหู่ ลงั เสียงสระในพยางคเ์ รียกวา่ เสียงพยญั ชนะทา้ ย หรือ เสียงพยญั ชนะสะกด ซ่ึงเสียงน้ีบางพยางคไ์ ม่มี • ทุกพยางคจ์ ะตอ้ งมีเสียงพยญั ชนะตน้ เสียงสระ และเสียงวรรณยกุ ตเ์ สมอ • เสียงพยญั ชนะตน้ อาจมีเสียงเดียว เช่น ตา มีเสียง /ต/ เป็นเสียงพยญั ชนะตน้ หรืออาจมีสองเสียงควบกนั เช่น ครู กวา่ เสียงพยญั ชนะเสียงที่สองน้นั จะเป็นเสียง /ร/ /ล/ /ว/ เท่าน้นั เรียกเสียงที่ควบกนั น้ีวา่ เสียงควบกล้า
๓ ส่วนประกอบของภาษา (ต่อ) องค์ประกอบของพยางค์ พยางค์ เสียงที่เปล่งออกมาคร้ังหน่ึงๆ จะมีความหมายหรือไม่มีความหมาย กไ็ ด้ พยางคม์ ีองคป์ ระกอบ ๓ ส่วน • พยญั ชนะตน้ อาจเป็นพยญั ชนะตน้ เด่ียวหรือพยญั ชนะตน้ ควบ • สระ อาจเป็นสระเด่ียวเสียงส้นั หรือสระเด่ียวเสียงยาว หรือสระเลื่อน • วรรณยกุ ต์ การนาองคป์ ระกอบท้งั ๓ ส่วน คือ พยญั ชนะตน้ สระ และวรรณยกุ ต์ มา ประสมกนั เรียกวา่ วธิ ีประสมอกั ษร โดยพยางคห์ น่ึงจะมีการประสม อกั ษรต้งั แต่ ๓ ส่วนข้ึนไป
๓ ส่วนประกอบของภาษา (ต่อ) องค์ประกอบของพยางค์ การประสมอกั ษร ๓ ส่วน • มาตรา กอ กา หรือ แม่ ก กา มีสระ พยญั ชนะและวรรณยกุ ต์ ประสม ดว้ ยสระ ๒๔ เสียง ยกเวน้ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ดงั ต่อไปน้ี กะ กา กิ กี กึ กื กะ กู เกะ เก แกะ แก โกะ โก เกาะ กอ เกอะ เกอ เกียะ เกีย เกือะ เกือ กวั ะ กวั • พยางคท์ ี่มีสระ อา ใอ ไอ เอา กาหนดตามรูปสระจะเป็นการประสม อกั ษร ๓ ส่วน จดั อยใู่ น ก กา เช่น ดา ใจ ไป เรา • ถา้ ตามสาเนียงอกั ษรประสมกนั แลว้ ตอ้ งอยใู่ นวธิ ีประสม ๔ ส่วน เพราะ เป็นเสียงมีตวั สะกด เช่น สระ อา จะมีเสียง ม เป็นตวั สะกด
๓ ส่วนประกอบของภาษา (ต่อ) องค์ประกอบของพยางค์ การประสมอกั ษร ๔ ส่วน • การประสมอกั ษร ๓ ส่วน แลว้ เพ่ิมเติมตวั สะกดเป็นส่วนที่ ๔ ๘ มาตรา คือ แม่กก แม่กง แม่กด แม่กน แม่กบ แม่กม แม่เกย แม่เกอว • คาตาย ๓ แม่ คือ แม่กก แม่กด แม่กบ นอกน้นั เป็นคาเป็น • การประสมอกั ษร ๔ ส่วนพิเศษ คือ วธิ ีประสม ๓ ส่วน ซ่ึงมีตวั การันต์ เพ่มิ เขา้ เป็นส่วนที่ ๔ ไดแ้ ก่ แม่ ก กา มีตวั การันต์ เช่น การ์ตูน สปั ดาห์ อาคเนย์ การประสมอกั ษร ๔ ส่วน • วธิ ีประสม ๔ ส่วนปกติ ซ่ึงมีตวั การันตเ์ ติมเขา้ เป็นส่วนท่ี ๕ ไดแ้ ก่ มาตราท้งั ๘ แม่ ที่มีตวั การันต์ เช่น อปั ลกั ษณ์ เหตุการณ์ แสตมป์
๓ ส่วนประกอบของภาษา (ต่อ) องค์ประกอบของคา • คา คือ เสียงที่เปล่งออกมาและมีความหมายอยา่ งหน่ึงจะเป็นก่ีพยางคก์ ไ็ ด้ พยางคท์ ี่มีความหมายอาจประกอบดว้ ยพยางคเ์ ดียวหรือหลายพยางคก์ ไ็ ด้ • คาท่ี ประกอบดว้ ยพยางคเ์ ดียวเรียกวา่ คาพยางคเ์ ดียว เช่น เยน็ มา เดิน เพลิน สวน พอ่ ชาย หญิง • คาท่ีประกอบดว้ ยพยางคห์ ลายพยางค์ เรียกวา่ คาหลายพยางค์ เช่น ตุกา ตา อาหาร พยคั ฆ์ เป็นตน้ • คาจึงประกอบดว้ ยเสียงและความหมายซ่ึงมีจานวนพยางคเ์ ท่าไรกไ็ ด้
๓หน่วยการเรียนรู้ท่ี คาราชาศัพท์ ราชาศัพท์ เป็นระเบียบของภาษาที่ตอ้ งใชใ้ หถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกบั ระดบั ของบุคคล ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็ นประมุข จึงมีการใชถ้ อ้ ยคาอยา่ งประณีตเป็นพเิ ศษสาหรับพระประมุขและพระราชวงศ์ ท้งั น้ี ยงั มีช้นั ของบุคคลท่ีตอ้ งมีถอ้ ยคาใชใ้ หเ้ หมาะสม คือ พระสงฆ์ และสุภาพชน ทวั่ ไป เราควรรู้จกั สงั เกตจดจาและใชใ้ หถ้ ูกตอ้ ง เพ่ืออนุรักษม์ รดกทางวฒั นธรรมน้ี ไวต้ ลอดไป
๑ ความหมายของคาราชาศัพท์ คาราชาศัพท์ • คาสุภาพที่ใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ฐานะของบุคคลต่างๆ o พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั o สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ o พระบรมวงศานุวงศ์ o พระภิกษสุ งฆ์ สามเณร o ขนุ นาง ขา้ ราชการ o สุภาพชน
๑ ความหมายของคาราชาศัพท์ คาราชาศัพท์ • เป็นการกาหนดคา ภาษาท่ีสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงวฒั นธรรมอนั ดีงามของไทย • มีโอกาสใชใ้ นชีวิตนอ้ ย แต่แสดงถึงความละเอียดอ่อนของภาษาไทยที่มี หลายรูปหลายเสียงในความหมายเดียวกนั และเป็ นลกั ษณะพิเศษของ ภาษาไทย • วิธีการใชร้ าชาศพั ท์น้นั ตอ้ งคานึงถึงผูฟ้ ังเป็ นสาคญั เหมาะสมกบั ฐานะ ของผูฟ้ ัง เวน้ แต่พระภิกษุสงฆ์เท่าน้ัน ท่ีตอ้ งใชค้ าสุภาพสาหรับตนเอง ดว้ ย
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษตั ริย์ เป็นคาที่ขา้ ราชบริพารใชเ้ มื่อกราบบงั คมทูลหรือใชเ้ ม่ือกล่าวถึงพระมหากษตั ริย์ หรือ พระบรมวงศานุวงศ์ คาราชาศพั ทส์ าหรับพระมหากษตั ริย์ คานามราชาศพั ท์ คาสรรพนามราชาศพั ท์ คากริยาราชาศพั ท์
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์ (ต่อ) คานามราชาศัพท์ • เม่ือจะใช้คานามเป็ นคาราชาศพั ท์ตอ้ งเติมคาว่า “พระ” และ “พระราช” หนา้ คาน้นั ๆ o พระชนมายุ พระราชดาริ พระราชทรัพย์ พระราชวงั • มีคาบางคาใชก้ บั พระมหากษตั ริยพ์ ระองค์เดียวเท่าน้นั คือ “พระบรม” และ “พระบรมราช” โดยใชน้ าหนา้ คาดงั กล่าว o พระบรมราชชนก พระบรมราชชนนี พระบรมราชโองการ พระบรมเดชานุภาพ (อานาจอนั ยงิ่ ใหญ่) พระบรมราชจกั รีวงศ์ • คาอ่ืนๆ นอกจากน้ีท่ีนาดว้ ย “พระราช” มี ดงั น้ี
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์ (ต่อ) คานามราชาศัพท์ • คาอ่ืนๆ นอกจากน้ีที่นาดว้ ย “พระราช”
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษตั ริย์ (ต่อ) คานามราชาศัพท์ • คานามหมวดร่างกาย นาดว้ ย “พระ” • คานามหมวดเครื่องภาชนะใชส้ อย นาดว้ ย “พระ”
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษตั ริย์ (ต่อ) คานามราชาศัพท์ • คานามทวั่ ไปที่เติมคา “ทรง” “ตน้ ” “หลวง” ทา้ ยคานามธรรมดา • คานามหมวดเครื่องใช้ เคร่ืองประดบั นาดว้ ย “ฉลอง”
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์ (ต่อ) คานามราชาศัพท์ • คานามหมวดเครื่องใช้ เคร่ืองประดบั นาดว้ ย “พระ”
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์ (ต่อ) คานามราชาศัพท์ • คานามขตั ติยตระกลู นาดว้ ย “พระ”
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษตั ริย์ (ต่อ) คาสรรพนามราชาศัพท์ • เปล่ียนใชต้ ามราชาศพั ท์ หรือใชเ้ ป็นคาสุภาพ คือ บุรุษสรรพนาม
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์ (ต่อ) คาสรรพนามราชาศัพท์
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์ (ต่อ) คาสรรพนามราชาศัพท์
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษตั ริย์ (ต่อ) คาสรรพนามราชาศัพท์ • คาขานรับ
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์ (ต่อ) คากริยาราชาศัพท์ • ใชค้ า “ทรง” นาหนา้ คานาม หรือ คากริยาธรรมดา
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษัตริย์ (ต่อ) คากริยาราชาศัพท์ • ใชค้ า “ทรงพระ” นาหนา้ คานาม หรือ คากริยาราชาศพั ท์ • คากริยาท่ีเป็นราชาศพั ทอ์ ยแู่ ลว้ ไม่ใชท้ รง นาหนา้
๒ คาราชาศัพท์สาหรับพระมหากษตั ริย์ (ต่อ) คากริยาราชาศัพท์ • กริยาที่มีความหมายวา่ ตาย มีการใชร้ าชาศพั ทล์ ดหลน่ั กนั ลงไปตามลาดบั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286