แผนการจดั กิจกรรมเ รายวิชาทกั ษะการเรยี นรู้ จำน จำนวน บทเรียน หวั เรือ่ ง วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรยี นรู้ ออนไลน์ 2 วิชาทกั ษะ 1.เพื่อให้ผู้เรยี นอธิบายถงึ ความสำคญั 1.ผเู้ รยี นศกึ ษาเรยี นรู้จาก GoogleSite การเรยี นรู้ ของการใช้แหลง่ เรยี นรู้ วิชาทักษะการเรียนรู้ ทร11001 ทร11001 2.เพื่อให้ผเู้ รยี นสามารถบอกและ เรื่องการใช้แหลง่ เรยี นรู้ หัวเร่ือง ยกตวั อย่างประเภทของแหล่งเรยี นรู้ -ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน การใชแ้ หล่ง 3.เพือ่ ใหผ้ ้เู รยี นสามารถเลอื กและบอก -ผ้เู รยี นทำกิจกรรมท่ี 1เร่ืองการใชแ้ หล่งเรยี เรยี นรู้ วิธกี ารเขา้ ถึงแหล่งเรยี นรู้ -ผ้เู รียนทำแบบทดสอบหลังเรยี น 4.เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นสามารถอธิบายหรือ 2.ผเู้ รยี นศึกษาเรียนรจู้ าก GoogleSite ยกตัวอย่างการใช้ขอ้ มูลสารสนเทศจาก วชิ าทักษะการเรียนรู้ ทร11001 ห้องสมุดประชาชนทส่ี อดคลอ้ งกบั ความ เรอื่ งการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ต้องการ ความจำเป็นเพ่ือนำไปใช้ในการ -ผ้เู รียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรียนรู้ของตนเอง -ผเู้ รยี นทำกิจกรรมท่ี 2 เร่อื งการเลือก บอกวธิ ีการเขา้ ถึงแหล่งเรยี นรู้ -ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี น
87 เรียนรู้ รายวชิ าแบบออนไลน์ นวน 5 หน่วยกิต ระดบั ประถมศกึ ษา น 200 ช่ัวโมง จำนวน สื่อ/แหล่ง การวัดและ กศน. ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวัง ชั่วโมง เรียนรู้ / ประเมินผล 4 ออนไลน์ 3 ช่ัวโมง 1.อนิ เตอรเ์ นต็ บทเรียน ช่อง1 1.ผู้เรยี นอธิบายถึงความสำคัญของการ 2.คลิปวิดโี อ ออนไลน์ท่ี 2 ใชแ้ หล่งเรียนรู้ 3.Google Site 2.ผู้เรียนสามารถบอกและยกตัวอยา่ ง 4.หนงั สอื เรยี น ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ ยนรู้ 3.ผูเ้ รยี นสามารถเลือกและบอกวิธีการ เข้าถงึ แหลง่ เรียนรู้ 3 ช่วั โมง 4.ผู้เรียนสามารถอธบิ ายหรอื ยกตวั อย่าง การใช้ขอ้ มลู สารสนเทศจากห้องสมุด ประชาชนที่สอดคล้องกบั ความตอ้ งการ ความจำเป็นเพ่ือนำไปใช้ในการเรยี นรู้ กและ ของตนเอง 69 87
แผนการจัดกจิ กรรมเ รายวชิ าทกั ษะการเรยี นรู้ จำน จำนวน บทเรยี น หัวเรื่อง วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรียนร ออนไลน์ 3 วิชาทกั ษะการ 1.เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นรู้ เข้าใจ 1.ผู้เรียนศกึ ษาเรยี นรจู้ าก Google Site เรยี นรู้ กระบวนการจัดการความรู้ วชิ าทักษะการเรียนรู้ ทร11001 เรอ่ื งกา ทร11001 2.เพื่อให้ผเู้ รยี นสามารถใชก้ าร -ผู้เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียน หวั เรื่อง การ จดั การความรู้เป็นเครอ่ื งมือในการ -ผเู้ รยี นทำกิจกรรมท่ี 1 เร่ืองกระบวนกา จัดการความรู้ เรยี นรดู้ ้วยตนเอง -ผ้เู รยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี น 3.เพื่อให้ผเู้ รยี นสามารถจัดการ 2.ผเู้ รยี นศึกษาเรียนรู้จาก Google Site ความรโู้ ดยกระบวนการกลุ่ม วชิ าทักษะการเรียนรู้ ทร11001 เรือ่ งช 4.เพ่ือให้ผเู้ รยี นสามารถสรา้ ง นักปฏิบตั ิหรือชุมชนแหง่ การเรียนรู้ C พัฒนาความรู้ (นวัตกรรม) -ผเู้ รยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียน 5.เพื่อให้ผเู้ รียนสามารถใช้ -ผู้เรียนทำกิจกรรมท่ี 2 เรอ่ื งชุมชนนักป สารสนเทศเป็นเคร่ืองมือในการ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ CoP เผยแพรอ่ งคค์ วามรู้ -ผเู้ รียนทำแบบทดสอบหลังเรียน
88 เรียนรู้ รายวชิ าแบบออนไลน์ นวน 5 หนว่ ยกติ ระดบั ประถมศกึ ษา น 200 ช่ัวโมง รู้ จำนวน สือ่ /แหล่ง การวัดและ กศน. ผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวัง ชัว่ โมง เรยี นรู้ / ประเมินผล 4 ออนไลน์ e 3 ชว่ั โมง 1.อินเตอร์เน็ต บทเรียน ช่อง2 1.ผู้เรียนรู้ เขา้ ใจกระบวนการ การจัดการความรู้ 2.คลปิ วิดโี อ ออนไลนท์ ่ี 3 จดั การความรู้ 3.Google Site 2.ผู้เรยี นสามารถใชก้ ารจดั การ การจัดการความรู้ 4.หนังสอื เรยี น ความร้เู ป็นเครือ่ งมอื ในการ เรียนรดู้ ้วยตนเอง e 3.ผูเ้ รียนสามารถจดั การความรู้ ชุมชน 3 ชวั่ โมง โดยกระบวนการกลุ่ม CoP 4.ผเู้ รยี นสามารถสรา้ ง พฒั นา ความร้(ู นวัตกรรม) ปฏิบตั ิหรอื 5.ผเู้ รยี นสามารถใช้สารสนเทศ เปน็ เครื่องมอื ในการเผยแพร่องค์ ความรู้ 70 88
แผนการจัดกจิ กรรมเ รายวิชาทักษะการเรียนรู้ จำน จำนวน บทเรยี น หวั เรอ่ื ง วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม กิจกรรมการเรียน ออนไลน์ 4 วชิ าทกั ษะ 1. เพ่ือให้ผูเ้ รียนเข้าใจและเชื่อมั่นใน 1.ผู้เรียนศกึ ษาเรยี นรจู้ าก GoogleSite การเรียนรู้ ความเช่ือพน้ื ฐานทางการศกึ ษาผ้ใู หญ่/ วิชาทักษะการเรียนรู้ ทร11001เรื่องค ทร11001 การศกึ ษานอกระบบที่เปน็ พ้นื ฐาน การศกึ ษาผใู้ หญ่ หัวเร่ือง การ เบื้องต้นของการเขา้ ถึงปรชั ญาคิดเปน็ -ผู้เรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน คดิ เปน็ 2. เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รียนรแู้ ละเข้าใจปรัชญา คดิ -ผ้เู รยี นทำกิจกรรมที่ 1เรือ่ งความเชือ่ พ เปน็ สามารถอธบิ าย ไดถ้ งึ ความหมาย การศกึ ษาผใู้ หญ่ และความสำคัญของการคิดเปน็ ท่ี -ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เชอ่ื มโยงจากความเช่ือพื้นฐานทาง 2.ผู้เรียนศึกษาเรียนรจู้ าก GoogleSite การศึกษาผใู้ หญแ่ ละการศกึ ษานอก เรยี นรู้ ทร11001 เร่อื งการ\"คิดเป็น\"เพ่อื ระบบ/การศกึ ษาตามอัธยาศยั คณุ ภาพชีวติ และสงั คมไทย -ผเู้ รียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น -ผู้เรียนทำกจิ กรรมที่ 2เรื่องการ\"คิดเป คุณภาพชวี ิตและสังคมไทย -ผู้เรยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี น
89 เรียนรู้ รายวิชาแบบออนไลน์ นวน 5 หนว่ ยกิต ระดบั ประถมศึกษา น 200 ช่ัวโมง นรู้ จำนวน สอ่ื /แหล่ง การวัดและ กศน.4 ผลการเรยี นรู้ที่คาดหวัง ประเมินผล ชวั่ โมง เรยี นรู้ / ออนไลน์ e 3 ช่ัวโมง 1.อินเตอรเ์ นต็ บทเรยี น ช่อง3 1. ผู้เรียนเข้าใจและเชอื่ มนั่ ใน ออนไลนท์ ่ี ความเชื่อพ้นื ฐานทาง ความเชอ่ื พน้ื ฐานทาง 2.คลิปวิดโี อ การศึกษาผู้ใหญ่/การศึกษา 4 นอกระบบทเ่ี ป็นพ้ืนฐาน 3.Google Site เบื้องตน้ ของการเข้าถงึ ปรัชญาคดิ เป็น 4.หนงั สอื เรยี น 2. ผเู้ รียนรูแ้ ละเขา้ ใจปรชั ญา คดิ เปน็ สามารถอธิบาย ไดถ้ งึ พ้นื ฐานทาง ความหมายและความสำคญั ของการคดิ เป็นทีเ่ ชอื่ มโยงจาก 3 ชว่ั โมง ความเชื่อพ้ืนฐานทาง การศึกษาผูใ้ หญ่และ e วาทักษะการ การศึกษานอกระบบ/ อการพฒั นา การศกึ ษาตามอัธยาศัย ปน็ \"เพ่ือการพฒั นา 71 89
แผนการจดั กิจกรรมเ รายวชิ าทกั ษะการเรยี นรู้ จำน จำนวน บทเรยี น หัวเรื่อง วัตถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม กจิ กรรมการเรยี น ออนไลน์ วชิ าทกั ษะการ 1.เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นอธิบายถึง 1.ผู้เรียนศึกษาเรยี นรู้จาก Google S 5 เรียนรู้ ทร11001 องคป์ ระกอบของศักยภาพ 5 วชิ าทักษะการเรยี นรู้ ทร11001 เรอ่ื หัวเร่อื ง ทักษะ ศักยภาพ ศักยภาพธรุ กิจ การเรียนรแู้ ละ 2.เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นยกตวั อยา่ งการ -ผเู้ รยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น ศักยภาพหลักของ ใชศ้ กั ยภาพ 5 ศักยภาพ โดย -ผู้เรียนทำกิจกรรมท่ี 1 เรอ่ื งการวิเค พ้นื ท่ีในการพัฒนา คำนึงถงึ ศกั ยภาพและบรบิ ท ธุรกิจ อาชีพ รอบๆ ตัวผู้เรียน -ผเู้ รียนทำแบบทดสอบหลงั เรยี น 2.ผู้เรียนศึกษาเรยี นรจู้ าก Google Site วิชาทักษะการเรยี นรู้ ทร11001 เรื่องกา ปัจจัยการผลิตหรือการบรกิ าร -ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี น -ผเู้ รียนทำกิจกรรมท่ี 2 เร่ืองการวเิ ค การผลติ หรอื การบริการ -ผูเ้ รียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน
90 เรยี นรู้ รายวิชาแบบออนไลน์ นวน 5 หนว่ ยกิต ระดบั ประถมศึกษา น 200 ชั่วโมง นรู้ จำนวน สื่อ/แหล่งเรยี นร/ู้ การวดั และ กศน.4 ผลการเรียนรทู้ ่ี Site ชวั่ โมง ออนไลน์ ประเมนิ ผล คาดหวัง องการวิเคราะห์ 3 ช่วั โมง 1.อนิ เตอร์เนต็ บทเรยี น ช่อง4 1.ผเู้ รียนอธบิ ายถงึ คราะหศ์ ักยภาพ 2.คลปิ วดิ โี อ ออนไลน์ท่ี 5 องคป์ ระกอบของ ารวเิ คราะหท์ ุน 3.Google Site ศกั ยภาพ 5 ศกั ยภาพ 4.หนังสือเรยี น 2.ผ้เู รียนยกตัวอย่าง การใชศ้ ักยภาพ 5 ศักยภาพ โดย คำนึงถึงศกั ยภาพ 3 ชั่วโมง และบริบทรอบๆ ตัว ผ้เู รียน คราะห์ทุนปจั จยั 90
91 ภาคผนวก : สอ่ื เอกสารบทเรยี นออนไลน์ 1-5 วชิ าทกั ษะการเรียนรู้ (ทร11001)
92 ใบกิจกรรม บทเรียนออนไลนท์ ่ี 1 เร่อื งการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ใหผ้ ้เู รียนศึกษาเรยี นรู้จากหนงั สอื แบบเรยี น หรอื อินเตอรเ์ นต็ 1. หนังสือเรียนวิชาทักษะการเรียนรู้ ทร11001 QR Code เพื่อดาวนโ์ หลดหนงั สือเรียนรายวิชาทักษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศกึ ษา ( ทร11001) ลงิ ค์ google site : https://sites.google.com/u/0/d/15ZqwN1LrErxm5lS1WI_lS1-b- WFNLS-i/p/1DnS0U7oSe_m45ZWAXdh8I4lN6yxhk1nf/preview
93 แบบทดสอบก่อนเรียน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 2 เร่ืองการใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ 1. แหล่งเรียนรมู้ คี วามสำคัญ ต่อผู้เรียนในข้อใดมากท่ีสดุ ก. การศึกษาตามอธั ยาศัย ข. ช่วยสรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ภาคปฏิบัติ ค. แหลง่ สรา้ งเสริมความรคู้ วามคิด วิทยาการ ง. เป็นแหลง่ ปลกู ฝังนิสัยรักการอ่าน การศึกษาค้นคว้าแสวงหาความร้ดู ้วยตนเอง 2. ขอ้ ใดใหค้ วามหมายของ \"แหลง่ เรียนรู้\"ได้สมบรู ณ์ที่สดุ ก. เป็นแหลง่ ความรู้ทางวิชาการ ข. เปน็ แหลง่ สารสนเทศให้ความรอู้ ย่างกว้างขวาง ค. เปน็ แหล่งรวมภูมปิ ญั ญาชาวบ้านให้ศึกษาค้นคว้า ง. เป็นแหลง่ ขอ้ มูลข่าวสารและประสบการณ์ทส่ี ่งเสริมใหผู้เรียนแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง ตามอัธยาศัยอย่างตอ่ เนื่อง 3. ข้อใดเป็นแหลง่ เรียนรกู้ ลมุ่ ข้อมลู ท้องถิ่น ก. สถานประกอบการ ข. ภูมปิ ัญญาชาวบ้านและปราชญช์ าวบ้าน ค. แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรียนและหอกระจายขา่ ว ง. แหลง่ เรยี นรูใ้ นโรงเรียนและแหล่งเรียนรู้ในท้องถิน่ 4. ขอ้ ใดคอื การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากแหลง่ เรยี นรใู้ นท้องถิ่น ก. เรียนทำอาหารไทยจากโรงเรยี นสอนอาหารไทย ข. ไปท่ีห้องคอมพิวเตอรเ์ พ่ือสืบคน้ ขอ้ มูลมาทำรายงาน ค. อ่านหนังสือคู่มือฟสิ ิกสท์ ี่ศูนย์วทิ ยาศาสตร์ท้องฟา้ จำลอง ง. ไปศกึ ษาค้นคว้าเรอ่ื งประโยชนข์ องพืชสมุนไพรทีส่ วนสมนุ ไพร 5. ข้อใด คอื แหล่งเรียนรู้ในชุมชนทมี่ ที รัพยากรสารสนเทศหลากหลายมากที่สุด ก. ห้องสมดุ ประชาชน ข. ศนู ยน์ ันทนาการ ค. สวนพฤกษศาสตร์ ง. อุทยานวทิ ยาศาสตร์
94 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทเรียนออนไลนท์ ่ี 2 เรอ่ื งการใช้แหลง่ เรยี นรู้ 1. ง 2. ง 3. ข 4. ง 5. ก
95 ใบกิจกรรม บทเรียนออนไลนท์ ี่ 2 เรื่องการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ให้ผเู้ รียนศกึ ษาเรียนรจู้ ากหนงั สอื แบบเรยี น หรอื อนิ เตอร์เน็ต และดคู ลิปวีดโิ อจาก Youtube เร่อื งการใช้แหล่งเรยี นรู้ วีดิโอการเรยี นรู้ โดย ครผู ู้สอน https://youtu.be/a83bE_3TgiY แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น เร่ือง การใช้แหล่งเรียนรู้ https://forms.gle/71F68koeQYqmYvjr7 แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น เรื่อง การเลือกใช้แหล่งเรยี นรู้ https://forms.gle/qWNVXDjKcbjd1pxw8 กิจกรรมเรื่อง การใชแ้ หล่งเรียนรู้ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScoJ4fOQ3yRm5d2DZFeFgLmhs 2gHk4NRcrrrme6JhYyJKOWeA/viewform?usp=sf_link กิจกรรมเรอ่ื ง การเลือกใชแ้ หล่งเรยี นรู้ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfFc04cbP4ihQHYKu- yFNZVzZLItT1GUzkky1SqLifG2i5nBw/viewform?usp=sf_link สรุปการเรยี นรู้ โดย ครูผสู้ อน https://youtu.be/T8EprxAjzy8
96 ใบความรู้ บทเรียนออนไลน์ท่ี 2 เรอ่ื งการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ความหมายของแหลง่ เรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรู้ หมายถึง แหลง่ ขอ้ มูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ที่สนบั สนนุ สง่ เสริม ใหผ้ เู้ รียนใฝ่เรยี น ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ดว้ ยตนเองตามอัธยาศัย เพอ่ื เสรมิ สรา้ งให้ผู้เรียนเกิด กระบวนการเรียนรู้ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร 2545a: 43) สามารถ รอดสำราญ กล่าวว่า แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ แหล่ง ความรู้ทางวทิ ยาการและประสบการณ์ท่ีสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียน ใฝร่ ู้ ใฝ่เรยี นแสวงหาความรู้ด้วย ตนเอง ตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องจากแหล่งต่างๆเพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิด กระบวนการเรียนรู้และเปน็ บคุ คลแหง่ การเรยี นรู้ ประเวศ วะสี กลา่ ววา่ แหล่งการเรยี นรู้ เปน็ แหล่งรวมวทิ ยาการท่สี งั คมยอมรับและถอื ว่าเป็น สิ่งสำคัญยิง่ และจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ศึกษาค้นควา้ ของประชาชนซึ่งถือวา่ เปน็ เครื่องหมายของ ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ ดำริ บญุ ชู กล่าวว่าแหลง่ การเรยี นรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลขา่ วสารความรู้และประสบการณ์ ทงั้ หลายท่ีสามารถทำให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองจากการไดค้ ดิ เองปฏบิ ัติเองสรา้ งความรู้ด้วย ตนเอง ตามอธั ยาศัยและตอ่ เนื่องจนเกดิ กระบวนการเรยี นรู้และสุดทา้ ยเป็นบุคคลแห่งการเรยี นรู้ ความสำคญั ของแหลง่ เรียนรู้ 1. แหล่งการศกึ ษาตามอธั ยาศยั 2. แหล่งการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต 3. แหลง่ ปลกู ฝังนสิ ยั รักการอ่าน การศึกษาค้นคว้า แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง 4. แหลง่ สรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ภาคปฏิบัติ 5. แหลง่ สร้างเสรมิ ความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์ ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ กระทรวงศึกษาธกิ าร (2545) จำแนกแหล่งเรียนรอู้ อกเปน็ 2 ประเภท คอื 1. แหลง่ เรียนรใู้ นโรงเรียนไดแ้ ก่ ห้องสมุด ห้องหมวดวชิ า ห้องคอมพิวเตอร์ หอ้ งอนิ เตอร์เน็ต ศูนย์วชิ าการ ศูนย์วทิ ยบริการ ศนู ยโ์ สตทัศนศึกษา ศนู ยส์ ื่อการเรียนการสอน ศูนย์พฒั นากิจกรรมการ เรียนการสอน Resource Center สวนพฤกษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนงั สือ ธรรมะ ฯลฯ
97 2. แหล่งเรียนร้ใู นท้องถน่ิ ไดแ้ ก่ ห้องสมดุ ประชาชน พพิ ธิ ภัณฑ์ วิทยาศาสตร์ หอศลิ ป์ สวนสตั ว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวทิ ยาศาสตร์ องค์การของรัฐ และเอกชน แหล่งเรียนรแู้ บ่งตามลักษณะกายภาพและวตั ถปุ ระสงค์ เป็น 5 กลุ่ม ดงั นี้ 1. กลุ่มบริการข้อมูล ได้แก่ ห้องสมุดอุทยานวิทยาศาสตร์ศูนย์วิทยาศาสตร์ ศูนย์การเรยี น สถานประกอบการ 2. กลุ่มงานศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ได้แก่ พิพิธภัณฑ์อุทยานประวัติศาสตร์ อนุสรณ์สถาน อนสุ าวรีย์ ศูนย์วฒั นธรรม หอศลิ ป์ ศาสนสถาน เป็นตน้ 3. กลุ่มขอ้ มูลท้องถ่ิน ไดแ้ ก่ ภมู ปิ ญั ญา ปราชญช์ าวบ้าน สื่อพื้นบ้าน แหล่งท่องเท่ยี ว 4. กลุ่มสื่อได้แก่ วิทยุ วิทยุชุมชน หอกระจายข่าวโทรทัศน์ เคเบิลทีวี สื่ออิเล็กทรอนิกส์ อินเทอร์เนต็ หนงั สอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ (e-book) 5. กลมุ่ สนั ทนาการ ได้แก่ ศนู ยก์ ีฬา สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ ศนู ย์นนั ทนาการ เป็นตน้ ประเภทของแหลง่ เรียนรจู้ ำแนกตามลกั ษณะ มี 6 ประเภท ดังน้ี 1. แหล่งเรียนรู้ประเภทบุคคล หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่ สามารถถา่ ยทอดความรู้ท่ีตนมีอยู่ให้ผู้สนใจหรือผ้ตู ้องการเรยี นรู้ได้แก่ บคุ คลท่ีมีทักษะความสามารถ ความเชี่ยวชาญในสาขาวชิ าชีพต่าง ๆ รวมทั้งผูอ้ าวุโส ที่มีประสบการณ์พัฒนาเป็นภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ปราชญช์ าวบ้าน ภูมิปัญญาชาวบ้าน และภูมิปญั ญาไทย 2. แหล่งเรยี นร้ปู ระเภทธรรมชาติ หมายถงึ ส่งิ ตา่ ง ๆทเ่ี กดิ ข้ึนโดยธรรมชาติและให้ประโยชน์ ตอ่ มนษุ ย์ เช่น ดิน น้ำอากาศ พชื สัตว์ ป่าไม้ แรธ่ าตุ เป็นตน้ แหลง่ เรียนรปู้ ระเภทนี้ เช่น อทุ ยาน วนอุทยาน เขตรกั ษาพนั ธ์ุสัตวป์ า่ สวนพฤกษศาสตร์ ศนู ยศ์ กึ ษาธรรมชาติ 3. แหลง่ เรยี นร้ปู ระเภทวัตถแุ ละสถานท่ี หมายถึงอาคาร สิง่ ก่อสร้างวสั ดุอุปกรณแ์ ละสิ่งต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด ศาสนสถาน ศูนย์การเรียน พิพิธภณั ฑ์ สถานประกอบการ ตลาด นิทรรศการ สถานที่ ทางประวัตศิ าสตร์ เป็นต้น 4. แหล่งเรยี นร้ปู ระเภทส่อื หมายถึง ส่ิงที่ติดตอ่ ให้ถงึ กันหรือชกั นำให้รู้จักกัน ทำหน้าที่เป็น สื่อกลางในการถ่ายทอดเนือ้ หาความรู้ทกั ษะและเจตคติไปสู่ทุกพื้นที่ของโลกอยา่ งทั่วถึงและต่อเนือ่ ง ทั้งสอื่ ส่ิงพมิ พแ์ ละส่อื อิเล็กทรอนิกส์ท่ีมที ้งั ภาพและเสยี ง 5. แหล่งเรียนรูป้ ระเภทเทคนคิ สิ่งประดษิ ฐค์ ิดค้น หมายถึง สิ่งที่แสดงถึงความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้น หรือทำการพัฒนาปรับปรุง ช่วยให้ มนุษย์เรียนรู้ถึงความก้าวหน้า เกิดจินตนาการแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ทั้งความคิดและ สง่ิ ประดิษฐ์ต่าง ๆ
98 6. แหล่งเรยี นรูป้ ระเภทกจิ กรรม หมายถงึ การปฏิบตั กิ ารดา้ นวฒั นธรรม ประเพณตี ่าง ๆ การ ปฏิบัตงิ านของหนว่ ยราชการ ตลอดจนความเคล่ือนไหวเพือ่ แกป้ ัญหาและปรบั ปรงุ พัฒนาสภาพต่าง ๆ ในท้องถิ่น การเข้าไปมีส่วนรว่ มในกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดการเรยี นรู้ที่เป็นรูปธรรม อาทิ ประเพณีงานทอดกฐิน งานบุญ การรณรงค์ป้องกันยาเสพติด การส่งเสริมการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธปิ ไตยการรณรงค์ความปลอดภัยของเด็กและสตรีในทอ้ งถ่นิ
99 ใบงาน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 2 เรอื่ งการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ใหผ้ ู้เรยี นอธิบายความหมายของการใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ 1. แหลง่ เรยี นรู้ หมายถึง ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. ความสำคัญของแหลง่ เรยี นรูค้ อื อะไร จงอธบิ าย ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. ประเภทของแหลง่ เรยี นรูม้ กี ่ีประเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 4. บอกวตั ถปุ ระสงค์ของการจดั แหลง่ เรียนรู้ในโรงเรียน และวตั ถุประสงค์ของการจัดแหล่งเรียนรู้ใน ทอ้ งถ่ิน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................
100 เฉลย ใบงาน บทเรียนออนไลน์ที่ 2 เรอ่ื งการใช้แหลง่ เรยี นรู้ ใหผ้ ้เู รยี นอธบิ ายความหมายของการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ 1.แหลง่ เรียนรู้ หมายถึง ตอบ ถิน่ ทอี่ ยู่ บรเิ วณ ศนู ย์รวม บ่อเกดิ แหง่ ท่ี ทมี่ สี าระเนื้อหาทเี่ ป็นขอ้ มูล ความรู้หรือองค์ ความรู้ 2.ความสำคัญของแหลง่ เรียนรคู้ อื อะไร จงอธิบาย ตอบ 1. แหลง่ การศกึ ษาตามอัธยาศยั 2. แหลง่ การเรยี นรตู้ ลอดชีวิต 3. แหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การศึกษาค้นคว้า แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 4. แหล่งสรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ภาคปฏิบัติ 5. แหล่งสร้างเสรมิ ความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์ 3.ประเภทของแหลง่ เรยี นรมู้ ีกี่ประเภท อะไรบา้ ง จงอธิบาย ตอบ 1. แหลง่ เรียนรปู้ ระเภทบุคคล หมายถงึ บคุ คลท่ีมคี วามรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่ สามารถถา่ ยทอดความรู้ท่ีตนมีอยู่ให้ผู้สนใจหรือผตู้ ้องการเรยี นรูไ้ ด้แก่ บคุ คลที่มีทักษะความสามารถ ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ รวมทั้งผูอ้ าวุโส ที่มีประสบการณ์พัฒนาเป็นภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมปิ ญั ญาชาวบา้ น และภูมิปญั ญาไทย 2. แหล่งเรียนรู้ประเภทธรรมชาติ หมายถึง ส่งิ ตา่ ง ๆท่ีเกิดขึน้ โดยธรรมชาติและให้ประโยชน์ ต่อมนษุ ย์เชน่ ดนิ น้ำอากาศ พืช สัตว์ ปา่ ไม้ แร่ธาตุ เป็นต้น แหล่งเรยี นรู้ประเภทนี้ เช่น อุทยาน วนอทุ ยาน เขตรักษาพันธุ์สตั วป์ า่ สวนพฤกษศาสตร์ ศูนยศ์ ึกษาธรรมชาติ 3. แหล่งเรียนรู้ประเภทวัตถุและสถานที่ หมายถึงอาคาร สิง่ ก่อสร้างวัสดุอุปกรณ์และส่ิงต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด ศาสนสถาน ศูนยก์ ารเรียน พิพิธภัณฑ์ สถานประกอบการ ตลาด นทิ รรศการ สถานท่ี ทางประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ตน้ 4. แหล่งเรียนรู้ประเภทสื่อ หมายถึง สิ่งที่ติดต่อให้ถึงกันหรือชักนำให้รู้จักกัน ทำหน้าที่เป็น สื่อกลางในการถ่ายทอดเนื้อหาความรู้ทกั ษะและเจตคติไปสู่ทุกพื้นที่ของโลกอย่างทั่วถึงและต่อเนือ่ ง ทงั้ สื่อสงิ่ พิมพแ์ ละส่อื อเิ ล็กทรอนกิ สท์ ี่มที ัง้ ภาพและเสียง 5. แหล่งเรียนรู้ประเภทเทคนิคสิ่งประดิษฐ์คิดค้น หมายถึง สิ่งที่แสดงถึงความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้น หรือทำการพัฒนาปรับปรุง ช่วยให้ มนุษย์เรียนรู้ถึงความก้าวหน้า เกิดจินตนาการแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ทั้งความคิดและ สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ
101 6. แหลง่ เรยี นรปู้ ระเภทกิจกรรม หมายถงึ การปฏบิ ตั กิ ารด้านวัฒนธรรม ประเพณตี า่ ง ๆ การ ปฏบิ ตั งิ านของหน่วยราชการ ตลอดจนความเคลือ่ นไหวเพ่อื แกป้ ญั หาและปรบั ปรุงพัฒนาสภาพต่าง ๆ ในท้องถิ่น การเข้าไปมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดการเรียนรูท้ ี่เปน็ รูปธรรม อาทิ ประเพณีงานทอดกฐิน งานบุญ การรณรงค์ป้องกันยาเสพติด การส่งเสริมการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธิปไตยการรณรงคค์ วามปลอดภยั ของเด็กและสตรีในท้องถิ่น 4.บอกวัตถุประสงค์ของการจัดแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน และวัตถุประสงค์ของการจัดแหล่งเรียนรู้ ในทอ้ งถ่ิน ตอบ วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดแหล่งเรียนรูใ้ นโรงเรียน 1. เพอ่ื เสรมิ สรา้ งบรรยากาศการเรียนรใู้ นโรงเรยี น โดยเนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคัญ 2. เพื่อจดั ระบบและพัฒนาเครือขา่ ยสารสนเทศ และแหล่งการเรียนร้ใู นโรงเรยี น 3. เพ่ือสง่ เสริมให้ผู้เรยี นมีทกั ษะการเรียนรู้ เปน็ ผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรยี น และเรียนรดู้ ้วยตนเองอยา่ ง ต่อเนื่อง แหลง่ เรยี นรู้ในท้องถิน่ วัตถุประสงคข์ องการจดั แหลง่ เรียนรใู้ นท้องถ่นิ 1 .เพอ่ื สง่ เสริมให้ชุมชนและสงั คม มีแหล่งการเรยี นรู้เพ่อื การศึกษาท่ีหลากหลาย สามารถ เรยี นรู้ได้ตามอธั ยาศัย 2. เปน็ เคร่อื งมอื ทีส่ ำคญั ของบุคคลแห่งการเรยี นรู้ ในการแสวงหาความรเู้ พ่ือพฒั นาตนเอง แหลง่ เรยี นรใู้ นท้องถน่ิ ได้แก่ ห้องสมดุ ประชาชน พพิ ิธภณั ฑ์ พิพธิ ภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬา สถานประกอบการ วัด ครอบครวั ชมุ ชน องคก์ ารภาครฐั และภาคเอกชน แหล่งขอ้ มูล ภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ แหล่งการเรยี นรู้ อ่นื ๆ เป็นตน้
102 แบบทดสอบหลงั เรียน บทเรียนออนไลนท์ ี่ 2 เรื่องการใช้แหลง่ เรียนรู้ 1. แหล่งเรยี นรมู้ ีความสำคญั ตอ่ ผู้เรียนในข้อใดมากท่ีสดุ ก. การศึกษาตามอธั ยาศยั ข. ช่วยสร้างเสรมิ ประสบการณภ์ าคปฏิบัติ ค. แหล่งสร้างเสรมิ ความรู้ความคิด วิทยาการ ง. เป็นแหลง่ ปลูกฝงั นสิ ยั รักการอ่าน การศกึ ษาค้นคว้าแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 2. ขอ้ ใดใหค้ วามหมายของ \"แหลง่ เรยี นร\"ู้ ได้สมบูรณท์ สี่ ดุ ก. เป็นแหลง่ ความร้ทู างวิชาการ ข. เปน็ แหลง่ สารสนเทศให้ความรู้อย่างกว้างขวาง ค. เป็นแหลง่ รวมภมู ิปญั ญาชาวบ้านใหศ้ ึกษาค้นคว้า ง. เปน็ แหลง่ ขอ้ มูลข่าวสารและประสบการณ์ท่สี ่งเสริมใหผู้เรยี นแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง ตามอธั ยาศัยอย่างตอ่ เนอื่ ง 3. ขอ้ ใดเปน็ แหลง่ เรียนร้กู ล่มุ ข้อมลู ท้องถ่นิ ก. สถานประกอบการ ข. ภมู ิปญั ญาชาวบ้านและปราชญ์ชาวบ้าน ค. แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรยี นและหอกระจายข่าว ง. แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนและแหลง่ เรียนรใู้ นท้องถิ่น 4. ขอ้ ใดคือการแสวงหาความร้ดู ้วยตนเองจากแหลง่ เรยี นรู้ในท้องถน่ิ ก. เรยี นทำอาหารไทยจากโรงเรยี นสอนอาหารไทย ข. ไปทหี่ ้องคอมพวิ เตอร์เพื่อสืบคน้ ขอ้ มูลมาทำรายงาน ค. อ่านหนังสอื ค่มู อื ฟสิ กิ สท์ ี่ศนู ย์วิทยาศาสตร์ท้องฟ้าจำลอง ง. ไปศกึ ษาคน้ ควา้ เรือ่ งประโยชน์ของพชื สมนุ ไพรทส่ี วนสมนุ ไพร 5. ข้อใด คอื แหล่งเรยี นรูใ้ นชมุ ชนท่มี ที รพั ยากรสารสนเทศหลากหลายมากท่ีสุด ก. ห้องสมดุ ประชาชน ข. ศูนยน์ ันทนาการ ค. สวนพฤกษศาสตร์ ง. อุทยานวทิ ยาศาสตร์
103 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น บทเรียนออนไลนท์ ่ี 2 เรอ่ื งการใช้แหล่งเรียนรู้ 1. ง 2. ง 3. ข 4. ง 5. ก
104 แบบทดสอบก่อนเรียน บทเรยี นออนไลน์ที่ 2 เรื่องการเลือกใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 1. ถ้าจะศึกษาค้นควา้ เรอ่ื งความเปน็ มาของประวัติเขาพระวิหารควรจะศกึ ษาจากแหลง่ ใดทม่ี ขี อ้ มลู มากท่สี ุด ก. อุทยานประวัติศาสตร์ ข. พิพธิ ภณั ฑแ์ หง่ ชาติ ค. อินเทอรเ์ น็ต ง. เขาพระวิหาร 2. จำนง ตอ้ งการปลกู ขา้ วใหไ้ ด้ผลดีมากท่ีสดุ จำนงควรเรียนรจู้ ากแหล่งใดมากทส่ี ดุ ก. ภมู ิปญั ญา ข. หอกระจายข่าว ค. สวนสมนุ ไพร ง. สวนสาธารณะ 3. ขอ้ ใดเป็นแหล่งเรยี นรกู้ ลุ่มศลิ ปวัฒนธรรม ก. ศาสนสถาน ข. อนุสาวรีย์ ค. หอศิลป์ ง. ถกู ทุกข้อ 4. วัตถุประสงคข์ องการจดั แหล่งเรียนรู้ในท้องถน่ิ คือขอใ้ ด ก. เปน็ ข้อมูลเพ่ือการพัฒนาประเทศชาติ ข. เป็นแหล่งคน้ คว้าสนบั สนุนการเรยี นการสอน ค. เพือ่ เป็นการพฒั นาชุมชนให้เจริญก้าวหน้าทันเทคโนโลยี ง. เป็นแหลง่ การศกึ ษาตลอดชวี ิตทป่ี ระชาชนสามารถหาความรตู้ ่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง 5. ข้อใดควรปฏบิ ตั ิในหอ้ งสมดุ ประชาชน ก. ติวเข้มเพ่อื เตรียมตวั สอบ ข. เตรยี มอาหารและเครื่องด่มื ไปเอง ค. ตอ้ งยมื หนงั สือดว้ ยบัตรสมาชิกของตนเอง ง. ทุกคร้ังทหี่ ยิบหนังสือมาอ่านให้นำ ไปเก็บท่ชี ัน้ หนังสอื ด้วย
105 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน บทเรียนออนไลนท์ ่ี 2 เร่อื งการเลอื กใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 1. ค 2. ก 3. ง 4. ง 5. ค
106 ใบความรู้ บทเรียนออนไลน์ที่ 2 เรื่องการเลือกใชแ้ หล่งเรยี นรู้ แหลง่ เรียนรู้ ในโรงเรียน วัตถุประสงค์ของการจดั แหลง่ เรยี นรู้ในโรงเรยี น 1. เพอ่ื เสริมสรา้ งบรรยากาศการเรยี นร้ใู นโรงเรยี น โดยเนน้ ผ้เู รียนเปน็ สำคญั 2. เพอ่ื จดั ระบบและพฒั นาเครอื ข่ายสารสนเทศ และแหลง่ การเรียนรู้ในโรงเรียน 3. เพื่อส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนมีทักษะการเรยี นรู้ เปน็ ผใู้ ฝ่รู้ ใฝ่เรียน และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่าง ตอ่ เน่ือง แหลง่ เรียนร้ใู นทอ้ งถ่นิ วัตถปุ ระสงคข์ องการจัดแหล่งเรยี นรู้ในท้องถิ่น 1 .เพอ่ื ส่งเสรมิ ให้ชมุ ชนและสังคม มีแหลง่ การเรียนรเู้ พอื่ การศกึ ษาทหี่ ลากหลาย สามารถ เรยี นร้ไู ด้ตามอัธยาศัย 2. เป็นเครื่องมือที่สำคัญของบุคคลแห่งการเรียนรู้ ในการแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬา สถานประกอบการ วดั ครอบครัว ชมุ ชน องคก์ ารภาครัฐและภาคเอกชน แหล่งข้อมลู ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ แหลง่ การเรียนรู้ อื่น ๆ เปน็ ต้น บทบาทหนา้ ทข่ี องแหลง่ เรียนรู้ บทบาทของแหล่งเรียนรู้ในการให้การศึกษา ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้เรียน ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย คอื 1. แหล่งเรียนรู้ตอ้ งสามารถตอบสนองการเรยี นรู้ที่เป็นกระบวนการได้การเรยี นรู้โดยปฏิบัติ จริง และการเรยี นรู้ของคนอืน่ ๆ ท้ังในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย 2. เปน็ แหลง่ ทำกจิ กรรม แหลง่ ทัศนศึกษา 3. เปน็ แหลง่ สร้างกระบวนการเรียนรูใ้ ห้เกดิ ขึน้ โดยตนเอง 4. เป็นห้องเรียนทางธรรมชาติ เป็นแหลง่ ศึกษา คน้ ควา้ และฝกึ อบรม 5. สามารถเผยแพรข่ อ้ มูลแก่ผเู้ รียนในเชงิ รกุ เขา้ สทู่ ุกกลมุ่ เป้าหมาย ประหยดั และสะดวก 7. มีการเช่ือมโยงและแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างกนั 8. มสี ือ่ ประเภทต่าง ๆ ประกอบด้วย ส่ืออิเลคทรอนกิ ส์และสือ่ ต่างๆ เพอ่ื เสรมิ กจิ กรรมการ เรยี นการสอน
107 การจัดการเรียนรจู้ ากแหล่งการเรียนรู้ จากการศึกษาความหมายที่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการต่างๆ ซึ่งครอบคลุมคำว่า ภูมิปัญญา พืน้ บ้าน ภูมิปัญญาชาวบา้ น ภูมิปัญญาท้องถนิ่ ภมู ปิ ญั ญาไทย ไดใ้ หค้ วามหมายพอสรปุ ได้ ดังน้ี ภูมิปัญญาพื้นบ้านหรือภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและ ประสบการณ์ที่สั่งสมและสืบทอดกันมา อันเป็นความสามารถและศักยภาพในเชิงแก้ปัญหา การ ปรับตวั เรยี นรู้และสืบทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ เพอื่ การดำรงอยู่รอดของเผ่าพันธ์ุจึงตกทอดเป็นมรดก ทาง วัฒนธรรมของธรรมชาติ เผ่าพนั ธุ์ หรือเป็นวิธีของชาวบ้าน (ยงิ่ ยง เทาประเสรฐิ ) ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง กระบวนทัศน์ของบุคคลที่มีต่อตนเอง ต่อโลกและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระบวนการดงั กลา่ ว จะมีรากฐานคำสอนทางศาสนา คติ จารีต ประเพณี ที่ได้รับการถ่ายทอดส่ัง สอนและปฏิบัติสบื เน่ืองกนั มา ปรับปรงุ เขา้ กบั บรบิ ททางสังคมท่ีเปล่ยี นแปลงไปแตล่ ะสมยั ทั้งน้ีโดยมี เป้าหมายเพื่อความสงบสุขในส่วนที่เป็นชุมชน และปัจเจกบุคคล ซึ่งกระบวนทัศน์ที่เป็นภูมิปัญญา ท้องถิ่น จำแนกได้ 3 ลักษณะ คอื 1. ภูมปิ ญั ญาเกยี่ วกับการจัดการความสัมพันธร์ ะหว่างมนุษย์กบั ธรรมชาตแิ วดลอ้ ม 2. ภูมปิ ญั ญาเกย่ี วกบั สงั คมหรอื การจดั ความสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษย์กบั มนษุ ย์ 3. ภูมิปัญญาเกี่ยวกับระบบการผลิตหรือประกอบอาชีพที่มีลักษณะมุ่งเนน้ ระบบการผลิต เพอ่ื ตนเอง ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ในด้านต่างๆ ของการดำรงชีวิตของคนไทยที่เกิดจาก การสะสมประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบกับแนวความคดิ วเิ คราะห์ในการแก้ปญั หา ต่างๆ ของตนเอง จนเกิดหลอมตัวเป็นแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่เปน็ ลักษณะของตนเอง ที่สามารถ พฒั นาความรู้ดังกล่าวมาประยกุ ต์ใชใ้ หเ้ หมาะสมกับกาลสมัย ในการแก้ปัญหาของการดำรงชีวติ ( เสรี พงศ์พิศ)
108 การใชแ้ หล่งเรยี นรู้ทส่ี ำคญั แหลง่ เรียนร้ใู นที่น่าจะกล่าวถงึ เฉพาะแหลง่ เรียนรใู้ นชุมชนที่ใกล้ตวั ผู้เรยี นมากที่สดุ 3 ประเภท คือ 1.แหลง่ เรียนรู้ประเภทบคุ คล 2. ศนู ยก์ ารเรยี นรู้ชุมชน (สงั กดั สำนักงาน กศน.) 3. หอ้ งสมุดประชาชน แหล่งเรยี นรู้ประเภทบคุ คล ภมู ิปญั ญาไทยเกดิ ขนึ้ จากความสัมพันธ์ ระหว่างคน กบั ธรรมชาติคนกับ บคุ คลอื่น และคนกบั สิ่งเหนอื ธรรมชาติทำใหเ้ กิดความคิดความเช่ือศิลปวฒั นธรรม ประเพณีและพิธกี รรมท่ีสืบทอดต่อ ๆ กัน คนไทยควรคำนงึ ถึงคุณค่าของภมู ิปญั ญาไทย ยกย่องสง่ เสรมิ ผูท้ รงภูมิปัญญา สามารถเผยแพร่ความรู้ และดำรงรักษาเอกลกั ษณศ์ กั ดิ์ศรีของชาติไทยไว้ จากการศกึ ษาความหมายทีผ่ ้เู ช่ยี วชาญ นักวิชาการตา่ ง ๆ ภูมปิ ญั ญาไทย ครอบคลุมคำวา่ ภมู ปิ ัญญาพน้ื บ้าน ภูมิปญั ญาชาวบา้ น ภมู ิปัญญาท้องถิน่ พอสรุปได้ ดังน้ี ภูมิปัญญาพื้นบ้านหรือภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและ ประสบการณ์ที่สั่งสมและสบื ทอดกนั มา อนั เป็นความสามารถและศักยภาพในเชงิ แก้ปญั หา การปรบั ตวั เรยี นรู้ และสบื ทอดไปสู่คนรนุ่ ใหม่ เพอื่ การดำรงอยู่รอดของเผา่ พนั ธุ์จงึ ตกทอดเปน็ มรดก ทางวฒั นธรรมของ ธรรมชาติ เผ่าพันธ์ุ หรอื เป็นวธิ ีของชาวบา้ น (ย่ิงยง เทาประเสริฐ) ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง กระบวนทัศน์ของบุคคลที่มีต่อตนเอง ต่อโลกและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระบวนการดงั กล่าว จะมีรากฐานคำสอนทางศาสนา คติ จารีต ประเพณี ที่ได้รับการถา่ ยทอดสงั่ สอนและปฏิบตั ิสืบเน่อื งกันมา ปรับปรงุ เข้ากบั บรบิ ททางสงั คมท่เี ปลี่ยนแปลงไปแต่ละสมยั ทั้งนี้โดยมี เป้าหมายเพื่อความสงบสุขในส่วนที่เป็นชุมชน และปัจเจกบุคคล ซึ่งกระบวนทัศน์ที่เป็นภูมิปัญญา ทอ้ งถิ่น จำแนกได้ 3 ลกั ษณะ คอื 1. ภูมิปัญญาเก่ียวกับการจดั การความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมนษุ ยก์ ับธรรมชาติแวดลอ้ ม 2. ภูมิปญั ญาเก่ียวกับสังคมหรือการจดั ความสมั พันธ์ระหว่างมนษุ ยก์ ับมนษุ ย์ 3. ภูมิปัญญาเกี่ยวกับระบบการผลิตหรือประกอบอาชีพที่มีลักษณะมุ่งเน้นระบบการผลิต เพ่ือตนเอง ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ ของการดำรงชีวิตของคนไทยที่เกิดจาก การสะสมประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบกับแนวความคดิ วิเคราะห์ในการแก้ปัญหา ต่าง ๆ ของตนเอง จนเกิดหลอมตวั เป็นแนวคิดในการแกไ้ ขปญั หาทเ่ี ปน็ ลักษณะของตนเอง ทส่ี ามารถ พฒั นาความรดู้ ังกล่าวมาประยุกตใ์ ชใ้ ห้เหมาะสมกบั กาลสมยั ในการแก้ปญั หาของการดำรงชีวติ ( เสรี พงศ์พศิ )
109 ศนู ย์การเรยี นชมุ ชน (สำนกั งาน กศน.) ศูนย์การเรียนชุมชน สำนักงาน กศน. เป็นแหล่งการเรียนรู้สำคัญแห่งหนึ่ง ที่สำนักงาน ส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ไดด้ ำเนินการจัดต้งั ขนึ้ ในพืน้ ทต่ี ำบลทั่วประเทศ และเป็นแหล่งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน เน้นการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของ ชุมชน มุ่งสร้างโอกาสและให้บริการการเรียนรู้อย่างหลากหลายวิธี สนองความต้องการและเสนอ ทางเลือกในการพัฒนาตนเองนำไปส่กู ารพฒั นาคุณภาพชวี ิต โดยยดึ หลกั ชมุ ชนเปน็ ฐานในการเรียนรู้ วตั ถุประสงค์ของศูนย์การเรยี นชมุ ชน 1. เพ่ือเปน็ ศนู ย์กลางการเรียนรู้และจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพ่อื ใหป้ ระชาชนได้รับการส่งเสริมให้การเรียนรอู้ ย่างต่อเน่อื งตลอดชวี ติ 2. เพอ่ื สรา้ งเสรมิ กระบวนการเรียนรู้ของชมุ ชน 3. เพอ่ื สร้างโอกาสการเรียนรู้สำหรับประชาชนในชุมชน 4. เพ่ือให้ชมุ ชนมีส่วนรว่ มในการบริหารจดั การ และจดั การศกึ ษาให้กับชุมชนเอง บทบาทหน้าทข่ี องศูนยก์ ารเรยี นชุมชน 1. สง่ เสรมิ และจดั การศึกษาพืน้ ฐาน ระดับประถม มธั ยมศกึ ษาตอนต้น มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 2. ส่งเสริมและจัดกิจกรรมการศึกษาต่อเนื่อง ทั้งการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมชุมชน การศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ การศึกษากระบวนการเรียนรู้ ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3. สง่ เสริมการเรียนรูต้ ามอธั ยาศยั 4. ส่งเสริมกิจกรรมและกระบวนการเรยี นรูข้ องชุมชน หอ้ งสมุดประชาชน ความหมายของหอ้ งสมุดประชาชน ห้องสมุดประชาชน หมายถึง สถานที่จัดหารวบรวมทรัพยากรสารสนเทศเพื่อการอ่าน การศึกษาค้นคว้าทกุ ชนิด มีการจัดระบบหมวดหมูต่ ามหลักสากลเพือ่ การบรกิ ารและจัดบริการอยา่ ง กว้างขวางแก่ประชาชนในชุมชน สังคม ในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่กำหนดเพศ วัย ความรู้ เชื้อชาติ ศาสนา รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน และมี บคุ ลากรท่มี ีความรทู้ างบรรณารักษศ์ าสตร์ เป็นผูด้ ำเนนิ การ ประเภทของหอ้ งสมดุ ประชาชน แบ่งเปน็ 3 ประเภท 1. หอ้ งสมดุ ประชาชนขนาดใหญ่ เชน่ ห้องสมดุ ประชาชนจงั หวดั หอสมุดรัชมงั คลาภเิ ษก พระราชวังไกลกังวล หัวหนิ 2. ห้องสมดุ ประชาชนขนาดกลาง เช่น ห้องสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกมุ ารี” 3. ห้องสมดุ ประชาชนขนาดเล็ก เชน่ ห้องสมดุ ประชาชนอำเภอทวั่ ไป
110 กฎ ขอ้ กำหนด ข้อบงั คบั ระเบยี บ เก่ยี วกับการใช้ห้องสมดุ ประชาชน ห้องสมุดเป็นสถานที่บริการสาธารณะที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าใช้บริการ ดังน้ัน หอ้ งสมดุ ประชาชนแตล่ ะแหง่ จะมีกฎ ข้อกำหนด ขอ้ บงั คับ ข้อปฏิบัติระเบียบ เกย่ี วกบั การใช้หอ้ งสมุด ประชาชน ในการเขา้ รับบริการสาธารณะร่วมกันของคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งผ่านความเห็นชอบของ คณะกรรมการ หอ้ งสมุดและหรอื คณะกรรมการสถานศกึ ษาขน้ึ อย่กู ับความเหมาะสมของแตล่ ะแต่ละ หอ้ งสมุดดังนี้ 1. เวลาทำการ วนั เปิด-ปิด บรกิ ารเชน่ เปิดบรกิ ารทุกวนั จันทร์-วันศุกร์ เวลา 07.30 -21.00 น. วันเสาร์ -วนั อาทติ ย์ เปิดเวลา 09.00 -21.00 น. หยุดวันนกั ขัตฤกษ์ เปน็ ต้น 2. การใชบ้ รกิ ารห้องสมดุ 2.1 การทำบัตรเพือ่ การยืม -คืน ทรพั ยากรสารสนเทศ ให้นำ รปู ถ่ายขนาด1 - 2 นว้ิ จำนวน 2 รปู และสำเนาบตั รประชาชนหรอื สำเนาทะเบียนบา้ น มาประกอบการขอทำบตั ร พร้อมเงิน คา่ สมาชกิ หอ้ งสมุด 2.2 สิทธิในการยืม - คืน ทรัพยากรสารสนเทศ 2.3 การใช้บริการอินเตอร์เน็ต 3. มารยาทการใชบ้ ริการ
111 ใบงาน บทเรียนออนไลนท์ ่ี 2 เรอ่ื งการเลอื กใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ ผู้เรียนดภู าพแล้วเลือกประเภทของแหล่งเรยี นรู้ และการแบ่งตามลกั ษณะท่ีตั้ง โดยกาเครือ่ งหมาย ขอ้ 1 ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหล่งเรยี นรูแ้ บ่งตามลักษณะที่ตง้ั ประเภทบุคคล ประเภทสงิ่ ที่มนุษย์สรา้ งข้นึ แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรียน ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหลง่ เรยี นรนู้ อกโรงเรียน ประเภทกจิ กรรมทางสงั คม ประเพณี และ ความเช่ือ ข้อ 2 ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรูแ้ บ่งตามลกั ษณะทต่ี ั้ง ประเภทบุคคล ประเภทส่ิงทมี่ นุษย์สร้างขึน้ แหลง่ เรยี นรใู้ นโรงเรยี น ประเภททรัพยากรธรรมชาติ แหลง่ เรยี นรู้นอกโรงเรียน ประเภทกิจกรรมทางสงั คม ประเพณี และ ความเช่อื ข้อ 3 ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหล่งเรียนรู้แบง่ ตามลักษณะที่ตั้ง ประเภทบุคคล ประเภทสง่ิ ทม่ี นุษย์สร้างขน้ึ แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหลง่ เรียนรนู้ อกโรงเรียน ประเภทกจิ กรรมทางสังคม ประเพณี และ ความเชอ่ื ขอ้ 4 ประเภทของแหล่งเรียนรู้ แหล่งเรยี นรู้แบง่ ตามลักษณะที่ตั้ง ประเภทบคุ คล ประเภทสิง่ ที่มนุษยส์ ร้างข้นึ แหลง่ เรยี นรใู้ นโรงเรยี น ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหล่งเรยี นร้นู อกโรงเรยี น ประเภทกจิ กรรมทางสงั คม ประเพณี และ ความเช่อื
112 ข้อ 5 ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหลง่ เรยี นรู้แบง่ ตามลักษณะที่ตง้ั ประเภทบคุ คล ประเภทส่ิงที่มนษุ ยส์ รา้ งขึน้ แหลง่ เรียนรู้ในโรงเรียน ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหลง่ เรยี นรนู้ อกโรงเรียน ประเภทกจิ กรรมทางสังคม ประเพณี และความเชือ่ ข้อ 6 ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหล่งเรยี นรแู้ บง่ ตามลกั ษณะทต่ี ัง้ ประเภทบุคคล ประเภทส่ิงที่มนษุ ย์สรา้ งขนึ้ แหลง่ เรียนรู้ในโรงเรียน ประเภททรัพยากรธรรมชาติ แหลง่ เรยี นรู้นอกโรงเรียน ประเภทกิจกรรมทางสงั คม ประเพณี และความเช่ือ ข้อ 7 ประเภทของแหล่งเรียนรู้ แหลง่ เรียนรแู้ บ่งตามลักษณะทต่ี ง้ั ประเภทบคุ คล ประเภทสิ่งทมี่ นษุ ยส์ ร้างขึ้น แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรยี น ประเภททรัพยากรธรรมชาติ แหล่งเรยี นรนู้ อกโรงเรยี น ประเภทกจิ กรรมทางสงั คม ประเพณี และความเชื่อ ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรู้แบ่งตามลักษณะทีต่ ั้ง ขอ้ 8 ประเภทบุคคล ประเภทสง่ิ ทมี่ นุษยส์ รา้ งขน้ึ แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรียน ประเภททรัพยากรธรรมชาติ แหล่งเรียนรนู้ อกโรงเรยี น ประเภทกจิ กรรมทางสังคม ประเพณี และความเชอื่
113 ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ แหล่งเรยี นรู้แบง่ ตามลกั ษณะทีต่ ง้ั ขอ้ 9 ประเภทบคุ คล ประเภทสงิ่ ทีม่ นษุ ย์สรา้ งขน้ึ แหลง่ เรยี นรู้ในโรงเรยี น ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหลง่ เรียนรู้นอกโรงเรียน ประเภทกิจกรรมทางสงั คม ประเพณี และความเชื่อ ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหลง่ เรยี นร้แู บ่งตามลกั ษณะท่ีตั้ง ข้อ10 ประเภทบุคคล แหลง่ เรยี นรใู้ นโรงเรยี น ประเภทส่งิ ที่มนุษยส์ ร้างข้ึน ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหล่งเรยี นร้นู อกโรงเรยี น ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชื่อ
114 เฉลยใบงาน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 2 เร่ืองการเลอื กใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ผู้เรยี นดภู าพแลว้ เลอื กประเภทของแหล่งเรียนรู้ และการแบ่งตามลกั ษณะท่ีตงั้ โดยกาเครอ่ื งหมาย ตอบเฉลย แหล่งเรยี นรใู้ นโรงเรยี น แหล่งเรยี นร้ใู นโรงเรยี น ขอ้ 1 ประเภทบุคคล แหล่งเรยี นร้นู อกโรงเรยี น ข้อ 2 ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ แหล่งเรียนรนู้ อกโรงเรยี น ข้อ 3 ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชื่อ แหลง่ เรยี นรู้นอกโรงเรยี น ขอ้ 4 ประเภทสิ่งท่ีมนษุ ย์สรา้ งขน้ึ แหลง่ เรยี นรนู้ อกโรงเรยี น ขอ้ 5 ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชือ่ แหล่งเรยี นรนู้ อกโรงเรียน ข้อ 6 ประเภทกิจกรรมทางสงั คม ประเพณี และความเช่ือ แหล่งเรยี นรนู้ อกโรงเรียน ขอ้ 7 ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชอ่ื แหลง่ เรียนรู้นอกโรงเรียน ข้อ 8 ประเภทสง่ิ ทม่ี นษุ ยส์ รา้ งขึ้น แหลง่ เรยี นรู้นอกโรงเรียน ขอ้ 9 ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ ข้อ 10 ประเภททรัพยากรธรรมชาติ
115 แบบทดสอบหลงั เรยี น บทเรยี นออนไลน์ที่ 2 เรื่องการเลอื กใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 1. ถ้าจะศึกษาค้นควา้ เรอ่ื งความเปน็ มาของประวตั ิเขาพระวิหารควรจะศกึ ษาจากแหลง่ ใดทม่ี ขี อ้ มลู มากท่สี ุด ก. อุทยานประวัติศาสตร์ ข. พิพธิ ภณั ฑแ์ หง่ ชาติ ค. อินเทอรเ์ น็ต ง. เขาพระวิหาร 2. จำนง ตอ้ งการปลกู ขา้ วใหไ้ ด้ผลดีมากที่สดุ จำนงควรเรียนรู้จากแหล่งใดมากทส่ี ดุ ก. ภมู ิปญั ญา ข. หอกระจายข่าว ค. สวนสมนุ ไพร ง. สวนสาธารณะ 3. ขอ้ ใดเป็นแหล่งเรยี นรกู้ ลุ่มศลิ ปวัฒนธรรม ก. ศาสนสถาน ข. อนุสาวรีย์ ค. หอศิลป์ ง. ถกู ทุกข้อ 4. วัตถุประสงคข์ องการจดั แหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ิน คือข้อใด ก. เปน็ ข้อมูลเพ่ือการพัฒนาประเทศชาติ ข. เป็นแหล่งคน้ คว้าสนบั สนุนการเรยี นการสอน ค. เพือ่ เป็นการพฒั นาชุมชนให้เจริญกา้ วหน้าทนั เทคโนโลยี ง. เป็นแหลง่ การศกึ ษาตลอดชวี ิตทป่ี ระชาชนสามารถหาความรตู้ ่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง 5. ข้อใดควรปฏบิ ตั ิในหอ้ งสมดุ ประชาชน ก. ติวเข้มเพ่อื เตรียมตวั สอบ ข. เตรยี มอาหารและเครื่องด่มื ไปเอง ค. ตอ้ งยมื หนงั สือดว้ ยบัตรสมาชิกของตนเอง ง. ทุกคร้ังทหี่ ยิบหนังสือมาอ่านให้นำ ไปเก็บที่ชั้นหนังสือด้วย
116 เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น บทเรียนออนไลนท์ ่ี 2 เร่อื งการเลอื กใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 1. ค 2. ก 3. ง 4. ง 5. ค
117 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทเรยี นออนไลนท์ ่ี 3 เรอื่ งการจดั การความร(ู้ Knowledge Management ) คำชีแ้ จง จงเลือกขอ้ ท่ถี ูกตอ้ งที่สดุ 1. การจัดการความรเู้ รียกสน้ั ๆ วา่ อะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เปา้ หมายของการจัดการความรู้ คืออะไร ก. พฒั นาคน ข. พฒั นางาน ค. พฒั นาองคก์ ร ง. ถูกทุกข้อ 3. ขอ้ ใดถูกตอ้ งมากท่สี ดุ ก. การจดั การความร\"ู้ ไมท่ ำ -ไม่รู้\" ข. การจดั การความรู้นัน้ จะต้องให้คนท่มี ีพน้ื ฐานคลา้ ย ๆ กัน มารว่ มกนั คิดเปน็ กล่มุ ค. การจัดการความรู้เปน็ เปา้ หมายของการทำงาน ง. การจดั การความรู้ไม่มีการลองผิดลองถกู 4. ขัน้ สงู สดุ ของการเรียนรคู้ ืออะไร ก. ปัญญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ้ มลู ง. ความรู้ 5. ชมุ ชนนักปฏิบัต(ิ CoP) คืออะไร ก. การจดั การความรู้ ข. เปา้ หมายของการจัดการความรู้ ค. วิธีการหนงึ่ ของการจดั การความรู้ ง. แนวปฏบิ ตั ิของการจดั การ
118 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทเรียนออนไลนท์ ี่ 3 เรือ่ งการจดั การความรู้( Knowledge Management ) 1. ข 2. ง 3. ก 4. ก 5. ค
119 ใบกิจกรรม บทเรียนออนไลนท์ ี่3 เรอื่ งการจัดการความรู้ ใหผ้ ู้เรียนศกึ ษาเรยี นรู้จากหนงั สอื แบบเรยี น หรอื อินเทอร์เน็ต และดคู ลิปวดี ีโอจาก Youtube เรอ่ื งการจดั การความรู้ วีดีโอชี้แจ้งการเรียนรู้ โดย ครผู สู้ อน https://youtu.be/m8GLH2dsS9U แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนเรอ่ื งการจัดการความรู้ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeFwGPs3EjAB10dkDgFLNopswC mAVXff2e9CQ16tsN888E66A/viewform?usp=sf_link วีดีโอเร่ืองแนวคดิ การจดั การความรู้ https://youtu.be/-TEcms1XnSg ใบความรูเ้ รือ่ ง การจัดการความรู้ https://drive.google.com/open?id=1UasVC4yGP1kN2uNsODpl7C4xMF8HQirvR 1j15UNGPro ใบงานเรือ่ งการจดั การความรู้ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSexOyJnE0R2ku4veAp5txtBgLz9 k1LJ7n8bDV61uJVROCiNjQ/viewform?usp=sf_link วดี ีโอเรอื่ งชมุ ชนนักปฏบิ ตั ิ https://youtu.be/qOJjqMQxUig ใบความรู้เร่ือง ชมุ ชนนกั ปฏบิ ัติ https://drive.google.com/open?id=13rUTvFKVbbBIU32hxs2cQguOTvDVH0f2p HASeX0jv4E ใบงานเรือ่ งชมุ ชนนกั ปฏิบตั ิ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSehAfiZFxUBCPIs6aAZX7aUKXW nrIN-8GtyK0uyW_MD_JehkQ/viewform?usp=sf_link วีดีโอสรปุ การเรียนรู้ โดยครูผสู้ อน https://youtu.be/RneobNvG_80
120 ใบความรู้ บทเรียนออนไลน์ที่ 3 เรอ่ื งการจดั การความรู้ การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) การจดั การความรู้ คอื การรวบรวมองคค์ วามรู้ที่มอี ยใู่ นสว่ นราชการซ่ึงกระจัดกระจายอยู่ใน ตวั บุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เปน็ ระบบ เพ่ือให้ทุกคนในองค์กรสามารถเขา้ ถึงความรู้ และพัฒนา ตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทัง้ ปฏบิ ัติงานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ อันจะสง่ ผลใหอ้ งค์กรมีความสามารถในเชิง แข่งขันสงู สดุ โดยทคี่ วามรู้มี 2 ประเภท คือ 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเขา้ ใจในสิ่งต่าง ๆ เปน็ ความร้ทู ไ่ี ม่สามารถถ่ายทอด ออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรไดโ้ ดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมอื หรือการคิดเชิง วเิ คราะห์ บางคร้งั จึงเรียกวา่ เป็นความรแู้ บบนามธรรม 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดย ผา่ นวิธีต่าง ๆ เชน่ การบนั ทึกเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร ทฤษฎี คมู่ ือต่าง ๆ และบางคร้งั เรยี กว่าเปน็ ความรู้ แบบรปู ธรรม ความรู้ ๒ ประเภทนี้จะเปลี่ยนสถานภาพ สลับปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา บางครั้ง Tacit ก็ ออกมาเป็น Explicit และบางครงั้ Explicit ก็เปลีย่ นไปเปน็ Tacit นพ.วจิ ารณ์ พานชิ ไดใ้ ห้ความหมายของคำว่า “การจดั การความร”ู้ ไว้ คอื สำหรับนักปฏิบัติ การจดั การความรู้คือ เครื่องมือ เพ่ือการบรรลเุ ปา้ หมายอยา่ งนอ้ ย 4 ประการ ไปพรอ้ ม ๆ กนั ไดแ้ ก่ บรรลุเปา้ หมายของงาน บรรลเุ ป้าหมายการพัฒนาคน บรรลเุ ป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองคก์ รเรยี นรู้ และ บรรลคุ วามเป็นชมุ ชน เปน็ หมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน การจัดการความรเู้ ป็นการดำเนนิ การอย่างนอ้ ย 6 ประการต่อความรู้ ได้แก่ การกำหนดความรหู้ ลักที่จำเป็นหรอื สำคญั ต่องานหรือกิจกรรมของกลุม่ หรือองค์กร การเสาะหาความร้ทู ่ตี อ้ งการ การปรบั ปรุง ดัดแปลง หรือสรา้ งความร้บู างส่วน ให้เหมาะตอ่ การใช้งานของตน การประยกุ ต์ใช้ความรู้ในกจิ การงานของตน การนำประสบการณ์จากการทำงาน และการประยุกต์ใช้ความรู้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ สกดั “ขุมความร”ู้ ออกมาบันทกึ ไว้
121 การจดบนั ทึก “ขมุ ความรู้” และ “แก่นความร”ู้ สำหรับไว้ใช้งาน และปรบั ปรงุ เป็นชดุ ความรู้ ทค่ี รบถ้วน ลุ่มลึกและเชือ่ มโยงมากข้ึน เหมาะตอ่ การใช้งานมากยง่ิ ขึน้ โดยที่การดำเนินการ 6 ประการนบ้ี รู ณาการเป็นเน้ือเดียวกัน ความรทู้ ่ีเกย่ี วขอ้ งเปน็ ท้ังความรู้ ที่ชัดแจ้ง อยู่ในรูปของตัวหนังสือหรือรหัสอย่างอื่นที่เข้าใจได้ทั่วไป (Explicit Knowledge) และ ความรู้ฝังลึกอยู่ในสมอง (Tacit Knowledge) ที่อยู่ในคน ทั้งที่อยู่ในใจ (ความเชื่อ ค่านิยม) อยู่ใน สมอง (เหตุผล) และอย่ใู นมอื และส่วนอ่นื ๆ ของร่างกาย (ทกั ษะในการปฏบิ ตั ิ) การจดั การความรู้เป็น กิจกรรมที่คนจำนวนหนึ่งทำร่วมกันไม่ใช่กิจกรรมที่ทำโดยคนคนเดียว เนื่องจากเชื่อว่า “จัดการ ความรู”้ จงึ มคี นเขา้ ใจผิด เร่มิ ดำเนนิ การโดยรี่เข้าไปที่ความรู้ คอื เริ่มทีค่ วามรู้ น่ีคือความผิดพลาดท่ี พบบ่อยมาก การจัดการความรูท้ ี่ถูกต้องจะต้องเริม่ ที่งานหรือเปา้ หมายของงาน เป้าหมายของงานที่ สำคัญ คือ การบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ ที่เรียกว่า Operation Effectiveness และนิยามผลสัมฤทธ์ิ ออกเป็น 4 ส่วน คอื การสนองตอบ (Responsiveness) ซึ่งรวมทั้งการสนองตอบความต้องการของลูกค้า สนองตอบความต้องการของเจ้าของกจิ การหรือผู้ถอื หุน้ สนองตอบความต้องการของพนักงาน และ สนองตอบความต้องการของสังคมสว่ นรวม การมีนวัตกรรม (Innovation) ทั้งที่เป็นนวัตกรรมในการทำงาน และนวัตกรรมด้าน ผลิตภัณฑ์หรอื บริการ ขีดความสามารถ (Competency) ขององค์กร และของบุคลากรที่พัฒนาขึ้น ซึ่งสะท้อน สภาพการเรยี นรขู้ ององค์กร และ ประสทิ ธิภาพ (Efficiency) ซ่งึ หมายถงึ สัดส่วนระหวา่ งผลลพั ธ์ กับต้นทนุ ทีล่ งไป การทำงาน ที่ประสิทธิภาพสูง หมายถึง การทำงานที่ลงทุนลงแรงน้อย แต่ได้ผลมากหรือคุณภาพสูง เป้าหมาย สุดท้ายของการจัดการความรู้ คือ การที่กลุ่มคนที่ดำเนินการจัดการความรู้ร่วมกนั มีชุดความรู้ของ ตนเอง ท่รี ่วมกันสร้างเอง สำหรบั ใชง้ านของตน คนเหล่านจ้ี ะสร้างความรู้ข้ึนใช้เองอยูต่ ลอดเวลา โดย ที่การสร้างนั้นเป็นการสร้างเพียงบางส่วน เป็นการสร้างผ่านการทดลองเอาความรู้จากภายนอกมา ปรบั ปรงุ ใหเ้ หมาะต่อสภาพของตน และทดลองใช้งาน จดั การความรู้ไมใ่ ชก่ ิจกรรมทีด่ ำเนินการเฉพาะ หรือเกยี่ วกบั เร่อื งความรู้ แตเ่ ปน็ กิจกรรมท่ีแทรก/แฝง หรือในภาษาวชิ าการเรยี กว่า บูรณาการอยู่กับ ทกุ กิจกรรมของการทำงาน และทส่ี ำคัญตัวการจดั การความร้เู องกต็ อ้ งการการจดั การด้วย ตงั้ เป้าหมายการจัดการความรเู้ พอื่ พฒั นา งาน พฒั นางาน คน พฒั นาคน องค์กร เป็นองคก์ รการเรยี นรู้
122 ความเป็นชุมชนในที่ทำงาน การจัดการความรู้จึงไม่ใช่เป้าหมายในตัวของมันเอง นี่คือ หลุมพรางข้อที่ 1 ของการจัดการความรู้ เมื่อไรก็ตามที่มีการเข้าใจผิด เอาการจัดการความรู้เป็น เป้าหมาย ความผิดพลาดก็เริ่มเดินเข้ามา อันตรายที่จะเกิดตามมาคือ การจัดการความรู้เทียม หรือ ปลอม เป็นการดำเนินการเพยี งเพือ่ ใหไ้ ด้ช่อื ว่ามีการจัดการความรู้ การริเร่ิมดำเนนิ การจัดการความรู้ แรงจูงใจ การรเิ ร่มิ ดำเนินการจัดการความรู้เป็นก้าวแรก ถา้ กา้ วถูกทศิ ทาง ถูกวธิ ี ก็มีโอกาสสำเร็จสูง แตถ่ า้ กา้ วผิด กจ็ ะเดินไปสคู่ วามล้มเหลว ตัวกำหนดทีส่ ำคัญคือแรงจูงใจในการริเร่ิมดำเนินการจัดการ ความรู้ การจัดการความรู้ที่ดีเร่มิ ด้วย สัมมาทฐิ ิ : ใช้การจัดการความรเู้ ปน็ เคร่ืองมือเพ่ือบรรลุความสำเร็จและความมั่นคงในระยะยาว การจัดทมี ริเรม่ิ ดำเนินการ การฝกึ อบรมโดยการปฏบิ ัติจริง และดำเนินการต่อเนอื่ ง การจดั การระบบการจดั การความรู้ แรงจูงใจในการรเิ ริ่มดำเนินการจัดการความรู้ แรงจูงใจแท้ต่อการดำเนนิ การจัดการความรู้ คือ เป้าหมายที่งาน คน องค์กร และความเป็นชุมชนในที่ทำงานดังกล่าวแล้ว เป็นเงื่อนไขสำคัญ ใน ระดับที่เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการจัดการความรู้ แรงจูงใจเทียมจะนำไปสู่การดำเนินการจัดการ ความรู้แบบเทียม และไปสู่ความล้มเหลวของการจัดการความรู้ในที่สุด แรงจูงใจเทียมต่อการ ดำเนินการจัดการความรู้ในสังคมไทย มีมากมายหลายแบบ ที่พบบ่อยทีส่ ุด คือ ทำเพียงเพือ่ ให้ได้ชื่อ ว่าทำ ทำเพราะถกู บงั คับตามข้อกำหนด ทำตามแฟช่นั แตไ่ ม่เข้าใจความหมาย และวธิ กี ารดำเนินการ จัดการความรอู้ ย่างแทจ้ ริง องคป์ ระกอบสำคัญของการจดั การความรู้ (Knowledge Process) “คน” ถอื วา่ เปน็ องค์ประกอบท่ีสำคัญท่ีสุดเพราะเปน็ แหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ “เทคโนโลย”ี เปน็ เครอ่ื งมือเพ่อื ใหค้ นสามารถค้นหา จดั เก็บ แลกเปลยี่ น รวมท้ังนำความรู้ไป ใชอ้ ย่างง่าย และรวดเร็วขน้ึ “กระบวนการความรู้” นั้น เป็นการบริหารจัดการ เพื่อนำความรู้จากแหลง่ ความรู้ไปให้ผ้ใู ช้ เพื่อทำให้เกดิ การปรบั ปรุง และนวตั กรรม องคป์ ระกอบท้งั 3 ส่วนน้ี จะตอ้ งเชือ่ มโยงและบูรณาการอย่างสมดุล การจดั การความรู้ของ กรมการปกครอง จากพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี พ.ศ.2546 กำหนดให้ส่วนราชการมีหน้าทีพ่ ัฒนาความรูใ้ นส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์กร แห่งการเรียนรู้อยา่ งสม่ำเสมอ โดยตอ้ งรับรู้ขอ้ มลู ขา่ วสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่าง ๆ เพือ่ นำมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปฏิบตั ิราชการได้อย่างถกู ตอ้ ง รวดเรว็ และเหมะสมต่อสถานการณ์ รวมท้ัง
123 ตอ้ งสง่ เสริมและพฒั นาความรู้ ความสามารถ สร้างวสิ ัยทัศน์ และปรบั เปล่ียนทัศนคติของข้าราชการ ในสงั กัดใหเ้ ป็นบุคลากรท่มี ปี ระสิทธิภาพและมีการเรยี นรู้รว่ มกัน ขอบเขต KM ที่ไดม้ กี ารพจิ ารณาแล้ว เห็นว่ามีความสำคัญเร่งด่วนในขณะนี้ คือ การจัดการองค์ความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิง บรู ณาการ และได้กำหนดเป้าหมาย (Desired State) ของ KM ที่จะดำเนนิ การในปี 2549 คือมุ่งเน้น ให้อำเภอ/ก่ิงอำเภอ เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการในพ้ืนที่ท่ี เปน็ ประโยชนแ์ ก่ทกุ ฝา่ ยท่ีเกยี่ วข้อง โดยมีหนว่ ยท่วี ดั ผลไดเ้ ปน็ รูปธรรม คอื อำเภอ/ก่งิ อำเภอ มีข้อมูล ผลสำเร็จ การแกไ้ ขปัญหาความยากจนเชิงบรู ณาการในศูนย์ปฏบิ ัตกิ ารฯ ไม่น้อยกวา่ ศนู ย์ละ 1 เร่ือง และเพื่อให้เป้าหมายบรรลุผล ได้จัดให้มีกิจกรรมกระบวนการจัดการความรู้ (KM Process) และ กิจกรรมกระบวนการเปลี่ยนแปลง (Change Management Process) ควบคู่กันไป โดยมีความ คาดหวังว่าแผนการจัดการความรู้นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสู่การปฏิบัติราชการในขอบเขต KM และ เป้าหมาย KM ในเรอ่ื งอน่ื ๆ และนำไปสคู่ วามเป็นองคก์ รแหง่ การเรียนรู้ท่ยี ง่ั ยืน ตอ่ ไป
124 ใบงาน บทเรยี นออนไลน์ท่ี 3 เรื่องการจดั การความรู้ ใหผ้ เู้ รียนอธิบายข้อความต่อไปนี้ 1. การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) หมายถงึ ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 2. การจดั การความรมู้ กี ปี่ ระเภท อะไรบา้ ง จงอธิบาย ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 3. การจัดการความรู้ท่ดี ตี ้องเริม่ ตน้ ด้วย จงอธิบาย ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 4. องคป์ ระกอบสำคญั ของการจัดการความรู้ (Knowledge Process) ............................................................................................................................. ............ ....................................................................................................................... ............................... ............................................................................................................................. ......................... ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .........................
125 เฉลยใบงาน บทเรียนออนไลนท์ ่ี 3 เรื่องการจดั การความรู้ จงอธิบายข้อความตอ่ ไปน้ี 1.การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) หมายถงึ ตอบ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือ เอกสาร มาพฒั นาใหเ้ ป็นระบบ เพอื่ ให้ทกุ คนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็น ผรู้ ู้ รวมท้งั ปฏบิ ัติงานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ อันจะสง่ ผลใหอ้ งคก์ รมีความสามารถในเชงิ แข่งขันสงู สุด 2.การจัดการความรู้มกี ่ปี ระเภท อะไรบา้ ง จงอธิบาย ตอบ มี 2 ประเภท คือ 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือ สัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในส่ิงต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอด ออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทกั ษะในการทำงาน งานฝมี ือ หรือการคิดเชิง วเิ คราะห์ บางคร้งั จึงเรยี กว่าเปน็ ความรู้แบบนามธรรม 2. ความร้ทู ่ีชดั แจง้ (Explicit Knowledge) เปน็ ความรูท้ ่ีสามารถรวบรวม ถา่ ยทอดได้ โดยผ่านวิธี ตา่ ง ๆ เชน่ การบนั ทึกเป็นลายลักษณอ์ ักษร ทฤษฎี ค่มู อื ต่าง ๆ และบางคร้งั เรียกว่าเป็นความรู้แบบ รูปธรรม 3.การจดั การความรูท้ ่ดี ตี ้องเรมิ่ ตน้ ดว้ ย จงอธิบาย ตอบ สัมมาทฐิ ิ : ใชก้ ารจดั การความรูเ้ ป็นเคร่ืองมือเพอ่ื บรรลุความสำเร็จและความมน่ั คงในระยะยาว การจดั ทมี รเิ รมิ่ ดำเนนิ การ การฝึกอบรมโดยการปฏิบัติจรงิ และดำเนนิ การต่อเนอื่ ง การจัดการระบบ การจดั การความรู้ แรงจูงใจในการริเริม่ ดำเนินการจัดการความรู้ แรงจูงใจแท้ต่อการดำเนินการจัดการความรู้ คือ เป้าหมายที่งาน คน องค์กร และความเป็นชุมชนในที่ทำงานดังกล่าวแล้ว เป็นเงื่อนไขสำคัญ ใน ระดับที่เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการจัดการความรู้ แรงจูงใจเทียมจะนำไปสู่การดำเนินการจัดการ ความรู้แบบเทียม และไปสู่ความล้มเหลวของการจัดการความรู้ในที่สุด แรงจูงใจเทียมต่อการ ดำเนินการจดั การความรู้ในสังคมไทย มีมากมายหลายแบบ ที่พบบ่อยที่สดุ คือ ทำเพียงเพือ่ ใหไ้ ด้ชือ่ วา่ ทำ ทำเพราะถูกบงั คับตามข้อกำหนด ทำตามแฟชั่นแตไ่ ม่เข้าใจความหมาย และวธิ ีการดำเนินการ จดั การความรอู้ ย่างแทจ้ ริง
126 4.องค์ประกอบสำคญั ของการจดั การความรู้ (Knowledge Process) ตอบ “คน” ถือวา่ เปน็ องคป์ ระกอบที่สำคัญท่สี ุดเพราะเปน็ แหล่งความรู้ และเปน็ ผู้นำความรู้ ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ “เทคโนโลยี” เป็นเครอื่ งมือเพอื่ ใหค้ นสามารถคน้ หา จัดเกบ็ แลกเปล่ยี น รวมท้งั นำความรู้ไป ใช้อย่างงา่ ย และรวดเร็วขน้ึ “กระบวนการความร”ู้ น้นั เป็นการบริหารจดั การ เพ่อื นำความรจู้ ากแหลง่ ความรไู้ ปให้ผู้ใช้ เพ่อื ทำให้เกิดการปรับปรงุ และนวตั กรรม
127 แบบทดสอบหลังเรยี น บทเรยี นออนไลนท์ ่ี 3 เรอื่ งการจดั การความรู้( Knowledge Management ) คำชีแ้ จง จงเลือกขอ้ ท่ถี ูกตอ้ งที่สดุ 1. การจัดการความรเู้ รียกสน้ั ๆ วา่ อะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เปา้ หมายของการจัดการความรู้ คืออะไร ก. พฒั นาคน ข. พฒั นางาน ค. พฒั นาองคก์ ร ง. ถูกทุกข้อ 3. ขอ้ ใดถูกตอ้ งมากท่สี ดุ ก. การจดั การความร\"ู้ ไมท่ ำ -ไม่ร\"ู้ ข. การจดั การความรู้นัน้ จะต้องใหค้ นทมี่ พี น้ื ฐานคล้าย ๆ กัน มารว่ มกนั คดิ เป็นกล่มุ ค. การจัดการความรู้เปน็ เปา้ หมายของการทำงาน ง. การจดั การความรู้ไม่มีการลองผิดลองถกู 4. ขัน้ สงู สดุ ของการเรียนรคู้ ืออะไร ก. ปัญญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ้ มูล ง. ความรู้ 5. ชมุ ชนนักปฏิบัต(ิ CoP) คืออะไร ก. การจดั การความรู้ ข. เป้าหมายของการจัดการความรู้ ค. วิธีการหนงึ่ ของการจดั การความรู้ ง. แนวปฏบิ ตั ิของการจดั การ
128 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น บทเรยี นออนไลน์ที่ 3 เรอื่ งการจดั การความร(ู้ Knowledge Management ) 1. ข 2. ง 3. ก 4. ก 5. ค
129 แบบทดสอบก่อนเรียน บทเรียนออนไลน์ที่ 3 เร่ืองชมุ ชนนักปฏบิ ตั ิ (CoP) 1. กจิ กรรมแลกเปลย่ี นเรียนรูร้ ปู แบบใดทไี่ มเ่ หมาะสมกับความรู้ประเภท Tacit Knowledge ก. ชมุ ชนนักปฏบิ ัติ (CoP) ข. ฐานความรู้ (Knowledge Bases) ค. ระบบพ่ีเลย้ี ง (Mentoring System) ง. เวทีสำหรบั แลกเปลยี่ นความรู้ (Knowledge Forum) 2. ข้อใดลักษณะที่สำคญั ของชุมชนนักปฏิบัติ (Communities of Practice : CoP) ก. กลุ่มคนทีร่ วมตัวกนั โดยมีความสนใจและความปรารถนารว่ มกันในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง ข. ปฏิสัมพนั ธ์และสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม ค. แลกเปลย่ี นและพฒั นาความรู้ร่วมกนั ง. ถกู ทุกขอ้ 3. บทบาทของ Facilitator (คณุ อำนวย) ในกลมุ่ ชุมชนนกั ปฏิบัติ (CoP) ไม่มหี น้าทต่ี ามข้อใด ก. เปน็ สมาชิก วางแผนและจดั การ ชว่ ยเหลือด้านเทคนคิ ข. อำนวยความสะดวก การแลกเปลยี่ นความร้ใู นชุมชนนกั ปฏิบัติ (CoP) ค. ใหท้ ิศทาง แนวคดิ สนับสนนุ ทรพั ยากร สรา้ งแรงจูงใจ ง. ประเมินผลและสอื่ สารความสำเร็จของชมุ ชนนกั ปฏิบัติ (CoP) 4. บทบาทของผบู้ รหิ ารระดบั กลาง-สงู ในกลมุ่ ชุมชนนกั ปฏบิ ัติ (CoP) คอื ใคร ก. Sponsor หรอื Leader (คุณเอือ้ ) ข. Facilitator (คณุ อำนวย) ค. Community historain หรอื Knowledge baker หรือ Secretory (คุณลิขิต) ง. Member (คุณกจิ ) 5. การทำ ARR (After Action Review) คอื อะไร ก. เป็นกจิ กรรมทใี่ ช้ทบทวนหรอื ประเมินผลของกจิ กรรมชมุ ชนนักปฏบิ ัติ (CoP) ข. หาจดุ ดี จุดด้อย โอกาสและอุปสรรค์ในการทำ (CoP) เพอ่ื ปรับปรงุ ในครงั้ ต่อไปใหด้ ีข้นึ ค. เปดิ โอกาสให้สมาชกิ ไดแ้ สดงความคดิ เหน็ ต่าง ๆ เพอื่ การปรบั ปรุงให้สอดคล้องกบั กล่มุ และเป้าหมาย ง. ถกู ทกุ ขอ้
130 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทเรียนออนไลนท์ ่ี 3 เรื่องชมุ ชนนกั ปฏิบตั ิ (CoP) 1. ข 2. ง 3. ค 4. ก 5. ง
131 ใบความรู้ บทเรียนออนไลนท์ ี่ 3 เรอ่ื ง ชมุ ชนนักปฏบิ ัติ ในชมุ ชนมปี ญั หาซับซอ้ นทคี่ นในชุมชนต้องร่วมกันแก้ไขการจัดการความร้จู งึ เป็นเรื่องทท่ี กุ คน ตอ้ งใหค้ วามร่วมมอื และให้ขอ้ เสนอแนะในเชิงสรา้ งสรรคก์ ารรวมกลุ่ม เพ่อื แก้ไขปญั หาหรอื ร่วมมือกัน พัฒนา โดยการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้รว่ มกัน เรยี กว่า “กลุ่มปฏบิ ตั ิการ” บุคคลในกลมุ่ จึงต้องมีเจตคติท่ีดี ใน การแบ่งปันความรู้ นำความรู้ทีม่ อี ยู่มาพัฒนากลุม่ จากการลงมอื ปฏิบัติและเคารพในความคิดเห็น ของผู้อน่ื กระบวนการจัดการความรู้ด้วยการปฏิบัติการกลุ่มจะทำ ให้บุคคลในกลุ่มเกิดการเรียนรู้ซ่ึง กันและกัน โดยเฉพาะการเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานร่วมกัน เป็นความรูท้ ี่บุคคลเคยประสบ ผลสำเร็จมาแล้ว และเมื่อนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันจะเป็นการยกระดับความรู้ให้กับคนที่ไม่รู้ และคนท่รี ู้บางส่วน แล้วจะเกดิ การต่อยอดความรู้และสามารถนา ความรูท้ ีไ่ ด้รับไปปฏบิ ัติได้อย่างเป็น รูปธรรม บุคคลและเครื่องมือท่ีเกยี่ วข้องกับการจดั การความรู้ บุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ ในการจัดการความรู้ด้วยวิธีการรวมกลุ่มปฏิบัติการ เพื่อต่อยอดความรู้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อดึงความรู้ที่ฝังลึกในตัวบุคคลออกมาแล้วสกัดเป็นขุมความรู้ หรือองค์ความรู้เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน นั้นต้องมีบุคคลที่ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน บรรยากาศของการมใี จในการแบง่ ปันความรู้ รวมทงั้ ผู้ท่ที ำหน้าท่ีกระตุ้น ใหค้ นอยากทีจ่ ะแลกเปลี่ยน เรยี นรูซ้ ่ึงกนั และกัน บคุ คลท่ีสำคัญ และเกยี่ วขอ้ งกบั การจัดการความร้มู ดี งั ตอ่ ไปนี้ “คุณเอื้อ ” ชื่อเตม็ คอื “คุณเอื้อระบบ ” เปน็ ผนู้ ำระดบั สูงขององคก์ ร ทำหน้าท่สี ำคญั คือ 1) ทำให้การจัดการความรูเ้ ป็นส่วนหน่ึงของการปฏบิ ตั งิ านตามปกติขององค์กร 2) เปดิ โอกาสใหท้ กุ คนในองค์กรเปน็ “ผ้นู ำ” ในการพฒั นาวธิ กี ารทำงานทตี่ นรับผิดชอบ และ นำประสบการณม์ าแลกเปล่ียนเรยี นร้กู บั เพอ่ื นร่วมงาน สรา้ งวัฒนธรรมเอ้อื อาทรและ แบง่ ปันความรู้ 3) หากุศโลบายทำให้ความสำเรจ็ ของการใชเ้ ครอื่ งมอื การจัดการความรมู้ ีการนำ ไปใช้มากข้นึ “คุณอำนวย” หรือผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้เป็นผู้กระตุ้น ส่งเสริมให้เกิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นำคนมาแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ ทำงานร่วมกันชว่ ยให้คนเหล่านั้น สือ่ สารกัน ใหเ้ กิดความเข้าใจ เหน็ ความสามารถของ กนั และกันเป็นผู้เชอื่ มโยงคนหรือหน่วยงานเข้าหากัน โดยเฉพาะอย่างยิง่ เช่ือมระหว่างคนท่ีมีความรู้ หรือประสบการณ์กับ ผู้ต้องการเรียนรู้และนำ ความรู้นั้น ไปใช้ประโยชน์คุณอำนวยต้องมีทักษะท่ี สำคัญคือ ทักษะการสื่อสาร กับคนที่แตกต่างหลากหลาย รวมทั้งต้องเห็นคุณค่าของความแตกต่าง หลากหลาย และรู้จักประสานความแตกต่างเหล่าน้ัน ให้เห็นคุณค่าในทางปฏิบัติผลักดันให้เกิดการ พัฒนางาน และ ติดตามประเมนิ ผลการดำเนินงาน คน้ หาความสำเร็จหรอื การเปล่ียนแปลงทต่ี ้องการ
132 “คุณกิจ” คือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน คนทำงานที่รับผิดชอบงานตามหน้าที่ของคนในองค์กร ถือเป็นผู้จัดการความรู้ตัวจริงเพราะเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมจัดการความรู้มีประมาณร้อยละ 90 ของ ท้ังหมดเป็นผู้ร่วมกำหนดเป้าหมายการใช้การจัดการความรูข้ องกลุม่ ตน เป็นผู้ค้นหาและแลกเปลีย่ น เรียนรู้ ภายในกลุ่ม และดำเนินการเสาะหาและดูดซับความรู้จากภายนอกเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้ บรรลุเป้าหมาย ร่วมกำหนดไว้เป็นผู้ดำเนินการ จดบันทึกและจัดเก็บความรู้ให้หมุนเวียนต่อยอด ความรู้ไปไมร่ ูจ้ บ “คุณลิขิต” คือคนที่ทำหน้าที่จดบันทึกกิจกรรมจัดการความรู้ต่าง ๆ เพื่อจัดทำเป็นคลัง ความรู้ ขององค์กร ชุมชนนักปฏบิ ตั ิหรอื ชุมชนแหง่ การเรียน (CoP) ในชมุ ชนมปี ญั หาซับซอ้ น ท่ีคนในชุมชนต้องร่วมกันแก้ไขการจัดการความรู้จงึ เปน็ เรื่องท่ี ทุก คนต้องใหค้ วามรว่ มมอื และให้ขอ้ เสนอแนะในเชงิ สร้างสรรคก์ ารรวมกลุ่มเพือ่ แก้ปัญหาหรอื ร่วมมือกัน พัฒนาโดยการแลกเปล่ียนเรียนร้รู ่วมกัน เรยี กวา่ “ชมุ ชนนกั ปฏิบัต”ิ บคุ คลในกลมุ่ จึงต้องมีเจตคติท่ีดี ในการแบ่งปันความรู้นำความรู้ที่มีอยู่มาพัฒนากลุ่มจากการลงมือปฏิบัติและเคารพในความคิดเหน็ ของผู้อน่ื ชุมชนนกั ปฏิบัติคืออะไร ชุมชนนักปฏิบัติคือ คนกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งทำงานด้วยกัน มาระยะหนึ่ง มีเป้าหมายร่วมกัน และ ต้องการที่จะแบง่ ปันแลกเปล่ียนความรู้ประสบการณ์จากการทำงานกลุม่ ดังกล่าวมักจะไมไ่ ด้เกิดจาก การ จดั ต้งั โดยองค์การหรือชุมชน เปน็ กลุ่มที่เกดิ จากความต้องการแก้ปญั หา พฒั นาตนเอง เป็นความ พยายาม ท่จี ะทำให้ความฝันของตนเองบรรลุผลสำเรจ็ กลมุ่ ท่เี กิดขน้ึ ไมม่ ีอำนาจใด ๆ ไม่มีการกำหนด ไว้ใน แผนภูมิโครงสร้างองค์กร ชุมชนเป้าหมายของการเรียนรู้ของคนมีหลายอย่าง ดังนั้น ชุมชนนัก ปฏบิ ัติ จงึ มไิ ด้มีเพียงกลมุ่ เดยี ว แต่เกิดขนึ้ เปน็ จำนวนมาก ทัง้ นอี้ ย่ทู ี่ประเดน็ เน้ือหาทต่ี ้องการจะเรียนรู้ รว่ มกันนั่นเองและคนคนหนึง่ จะเป็นสมาชิกในหลายชมุ ชนก็ได้ ชุมชนนักปฏิบตั มิ คี วามสำคญั อยา่ งไร ชมุ ชนนักปฏิบตั ิเกดิ จากกล่มุ คนทีม่ ีเครือข่ายความสมั พันธ์ทไ่ี ม่เปน็ ทางการรวมตัวกันเกิดจาก ความใกล้ชิด ความพอใจจากการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน การรวมตัวกัน ในลักษณะที่ไม่เป็นทางการจะ เอื้อต่อการเรียนรู้และการสร้างความรู้ใหม่ ๆ มากกว่าการรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ มีจุดเน้นคือ ต้องการ เรียนรู้ร่วมกันจากประสบการณ์ทำงานเป็นหลักการทำงานในเชิงปฏิบัติหรือจากปัญหาใน ชีวิตประจำวัน หรือเรียนรู้เครือ่ งมือใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนางาน หรือวิธิีการทำงานที่ได้ผล และไม่ได้ผลการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก สร้าง ความรู้และความเขา้ ใจได้ มากกวา่ การเรียนรู้จากหนังสือ หรือการฝึกอบรมตามปกติเครอื ข่ายที่ไม่เป็น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373