Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

Published by croonui, 2022-03-10 08:34:09

Description: รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

Search

Read the Text Version

ของศาสนสถานท่ีมีความสัมพันธ์กับการกระจายของชุมชนโบราณอีกหลายแห่ง และยังพบซากฐานศาสนสถานท่ี กอ่ ดว้ ยอฐิ เทวรปู สมั ฤทธหิ์ ลายองค์ พระพมิ พด์ นิ ดบิ แบบทวารวดี และศรวี ชิ ยั เปน็ จำ� นวนมาก ภาพเขยี นสบี นผนงั ถำ�้ พระนอน และพระน่ังในยุคหลังๆ ต่อมา ส่วนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ท่ีเป็นท่ีลุ่มต�่ำ ไม่ค่อยพบร่องรอย โบราณวัตถุ โบราณสถานท่ีเป็นร่องรอยของบ้านเมืองใหญ่ๆ แต่เมื่อข้ามเทือกเขาเข้าไปในพื้นท่ีของรัฐไทรบุรี ของประเทศมาเลเซยี จะเปน็ พน้ื ทรี่ าบลมุ่ มลี ำ� นำ�้ หลอ่ เลยี้ งหลายสาย เปน็ ทต่ี งั้ ของชมุ ชนใหญใ่ นอดตี คน้ พบศาสนสถาน ของพทุ ธศาสนาสมัยพทุ ธศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๑ และศาสนสถานฮนิ ดทู ีม่ ีอายรุ าวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๕(๒). ด้านฟากฝั่งตะวันตกของประเทศ เป็นพื้นท่ีติดทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย มีการค้นพบเศษ เครือ่ งปั้นดนิ เผาเคลือบของจีนในสมัยราชวงศ์ซ้อง และราชวงศเ์ หม็งเพยี งเล็กน้อย ในพืน้ ทอี่ �ำเภอละงู จังหวดั สตลู เน่ืองจากยังไม่มีการส�ำรวจค้นคว้าเพ่ิมเติม จังหวัดตรัง ปรากฏชุมชนโบราณในเขตอ�ำเภอปะเหลียน และอำ� เภอหว้ ยยอด ซงึ่ คาดวา่ นา่ จะเปน็ เมอื งทา่ ในอดตี สว่ นในจงั หวดั กระบ่ี และจงั หวดั พงั งา ทเ่ี ปน็ พน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี ง พบซากเรือโบราณในอ�ำเภอคลองท่อม แต่ไม่มีเรือสินค้าขนาดใหญ่ เป็นเพียงเรือท่ีใช้แล่นในทะเลของชุมชน ท่ีมีอาชีพในการท�ำแร่ดีบุก นอกจากนั้นยังค้นพบแก้ว หิน ดวงตราเหรียญ ลูกปัด และเคร่ืองประดับต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นศิลปะของอินเดียใต้ ที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ และอ�ำเภอตะก่ัวป่า จังหวัดพังงา บรเิ วณลำ� น�้ำตะกว่ั ปา่ และเกาะคอเขา เปน็ สถานที่พักสนิ คา้ ของชาวตา่ งประเทศ เชน่ อนิ เดยี จีนในราชวงศ์ถงั มา จนถึงราชวงศ์ซ้อง และตะวันออกกลาง เป็นต้น เพราะมีการพบลูกปัด ดวงตรา และถ้วยชาม ซ่ึงเป็นลักษณะ ของศิลปกรรมของอินเดียใต้ และจีนตามล�ำดับ และยังพบเทวรูปในศาสนาฮินดู ฝีมือช่างอินเดีย ในสมัยราชวงศ์ ปัลลวะ ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ - ๑๕ รวมทั้งการพบศิลาจารึกท่ีระบุถึงการสร้างที่เก็บน�้ำเพ่ือชุมชน ร่องรอย ทตี่ ง้ั ชมุ ชนโบราณเลก็ ๆ ลกู ปดั ชน้ิ สว่ นของหมอ้ โลหะของชาวอนิ เดยี ในเขตอำ� เภอตะกว่ั ปา่ แตใ่ นพนื้ ทจี่ งั หวดั ระนอง ทเี่ ปน็ ภเู ขาสงู จะไมพ่ บรอ่ งรอยของชมุ ชนโบราณแตอ่ ยา่ งใด และอกี ประการหนงึ่ คอื พนื้ ทใ่ี นภมู ภิ าคนอี้ ดุ มไปดว้ ย แรด่ บี ุก มกี ารท�ำแรก่ นั มาก ทำ� ใหห้ ลกั ฐานทางโบราณคดที อ่ี ย่บู นพน้ื ผิวดนิ ถกู ทำ� ลายไป ตามหลกั ฐานทก่ี ลา่ วมาในขา้ งตน้ สรปุ ไดว้ า่ พน้ื ทส่ี องฟากฝง่ั ทะเลดา้ นตะวนั ออก จะมรี อ่ งรอยทางโบราณคดี ซง่ึ เปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรม์ ากกวา่ พน้ื ทท่ี างดา้ นตะวนั ตก สว่ นใหญเ่ ปน็ วฒั นธรรมทส่ี บื เนอ่ื งมาจากศาสนาฮนิ ดู ท่ีมาจากประเทศอินเดีย และยังมีวัฒนธรรมทวารวดี - ลพบุรี ของพื้นท่ีภาคกลางของไทยมาผสมผสานอยู่ด้วย และมบี างส่วนเปน็ วฒั นธรรมที่พฒั นาข้ึนเองตามบริบทของท้องถ่นิ ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็น ๔ แควน้ คือ ๑. แควน้ ไชยา มีขอบเขตตัง้ แตอ่ �ำเภอท่าชนะ อำ� เภอไชยา อำ� เภอเมืองสุราษฎรธ์ านี อ�ำเภอกาญจนดิษฐ์ อ�ำเภอพุนพิน อ�ำเภอคีรีรัฐนิคม อ�ำเภอฉวาง อ�ำเภอเวียงสระ และอ�ำเภอพระแสง มีศูนย์กลางท่ีอ�ำเภอไชยา ซงึ่ ไดต้ ดิ ตอ่ สมั พนั ธ์ แลกเปลย่ี นวฒั นธรรมกบั แวน่ แควน้ ในภาคกลางของประเทศไทย มาตง้ั แตส่ มยั ทวาราวดี และลพบรุ ี ทำ� ใหม้ ีศาสนสถานทีส่ ำ� คญั พระพุทธรูป ธรรมจักร และพระพมิ พด์ นิ ดบิ แบบทวาราวดีเหลือเป็นร่องรอยอยู่ ๒. แคว้นนครศรีธรรมราช มีขอบเขตต้ังแต่อ�ำเภอสิชล อ�ำเภอท่าศาลา อ�ำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อ�ำเภอเชียรใหญ่ อ�ำเภอร่อนพิบูลย์ อ�ำเภอลานสกา และอ�ำเภอทุ่งสง มีโบราณวัตถุและโบราณสถานตามลัทธิ ความเชื่อของศาสนาฮินดูกระจายไปทั่วบริเวณ จากนครศรีธรรมราชไปยังฝั่งตะวันตกท่ีจังหวัดตรัง และกระบี่ ย่ิงกว่านั้น ในศิลาจารึกที่ ๒๔ ที่วัดหัวเวียง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจดหมายเหตุชาวจีนระบุไว้ อยา่ งเด่นชัดว่า พนื้ ทสี่ ่วนนี้เปน็ อาณาจกั รตามพรลิงค์ หรือตัง้ หมา่ ลง่ิ ในช่วงสมัยพุทธศตวรรรษที่ ๑๘ (๒) ศรศี กั ดิ์ วลั ลโิ ภดม (๒๕๔๖ : ๒๒ - ๓๐). 91หลกั สูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถิน่ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

๓. แคว้นสทิงพระ มีขอบเขตรอบพ้ืนท่ีทะเลสาบสงขลา ตั้งแต่อ�ำเภอหัวไทร ลงมาครอบคลุมพ้ืนท่ี จงั หวดั สงขลา และพทั ลงุ บรเิ วณทเ่ี ปน็ ศนู ยก์ ลางเรยี กขานกนั วา่ “แผน่ ดนิ บก” ตง้ั แตอ่ ำ� เภอระโนด อำ� เภอสทงิ พระ และอ�ำเภอเมืองสงขลา บริเวณนี้มีร่องรอยของโบราณวัตถุมากมาย ที่แสดงให้เห็นวัฒนธรรมฮินดูในเบื้องต้น และวัฒนธรรมพทุ ธในลำ� ดับถัดมา ๔. แคว้นปัตตานี นับเน่ืองตั้งแต่พ้ืนท่ีอ�ำเภอสทิงพระ สู่ดินแดนจังหวัดปัตตานี และยะลา มีเมืองยะรัง เป็นเมืองส�ำคัญ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้�ำปัตตานี และเป็นเมืองท่าค้าขายมาแต่โบราณ มีชุมชนน้อยใหญ่กระจาย มาจนถงึ จงั หวดั ยะลา มหี ลกั ฐานปรากฏเปน็ วฒั นธรรมฮนิ ดเู ปน็ สว่ นใหญ่ ผสมผสานดว้ ยศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายาน ตอ่ เนือ่ งไปทางรัฐไทรบรุ ี ประเทศมาเลเซียในปัจจุบนั ศรีศักร วัลลิโภดม(๓) กล่าวว่า ในห้วงเวลาช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ สู่ช่วงต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ เมืองสงขลาเป็นเมืองใหม่ ข้ึนมาแทรกซ้อนในพื้นที่เมืองพัทลุง โดยเป็นเมืองในขอบขัณฑสีมาของกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานเอกสารระบุว่า เมืองสงขลาเป็นพื้นท่ีๆ ชาวต่างชาติเข้ามาต้ังหลักแหล่ง ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มชาวอาหรับชาติเปอร์เซีย และกลุ่มชาวจีน เพื่อเข้ามาท�ำการค้าแร่ดีบุก และพริกไทยท่ีเป็นสินค้าส�ำคัญ ของดินแดนแถบนี้ แต่กลุ่มชาวอาหรับจะมีอิทธิพลมากกว่าคนจีน จึงได้รับการแต่งต้ังให้เป็นเจ้าเมืองสงขลา เนอื่ งจากสามารถทจ่ี ะยบั ยง้ั การปลน้ สะดมของโจรสลดั มลายไู ด้ นอกจากนน้ั แลว้ ในภมู ภิ าคแหง่ นย้ี งั มเี มอื งปตั ตานี เป็นเมอื งทา่ การคา้ ที่สำ� คัญ ทมี่ ีความสัมพันธ์อนั ดกี นั มาเป็นเวลานาน ผู้คนทีอ่ าศัยในเมอื งปัตตานี เป็นชนเช้อื ชาติ มลายูทนี่ ับถือศาสนาอ่ืนมาแต่เดมิ ด้วยเหตผุ ลหลายประการ จงึ ไดเ้ ปลย่ี นมานับถือศาสนาอสิ ลาม ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ เมอื งปัตตานี กลายเป็นเมืองท่าส�ำคญั ทางการค้ากบั นานาชาติทง้ั ชาวยโุ รป และชาติอื่นๆ ในเอเชีย ท�ำให้เกิดการแข่งขันทางการค้ากับกรุงศรีอยุธยา และเมืองนครศรีธรรมราช รวมไปถึง เมอื งสงขลา และพทั ลงุ กอ่ ใหเ้ กดิ ขอ้ ขดั แยง้ ถงึ กบั การรบพงุ่ กบั กรงุ ศรอี ยธุ ยา นครศรธี รรมราช และสงขลา ในชว่ งปี พ.ศ. ๒๑๗๓ – พ.ศ. ๒๑๗๗ สงครามได้สิ้นสุดลง โดยมีเมืองไทรบุรีท�ำหน้าท่ีไกล่เกล่ีย ผลสงครามท�ำให้การค้า ของทางภาคใตต้ อ้ งชะงกั บา้ นเมอื งประสบความเสยี หาย จนไมอ่ าจทำ� การคา้ ตอ่ ไปได้ แตเ่ มอื งสงขลาฟน้ื ตวั เรว็ กวา่ เมอื งอนื่ ๆ จึงประกาศตนเปน็ อสิ ระ และขยายอ�ำนาจสร้างความเป็นปกึ แผน่ ให้แก่ตนเองในบริเวณภาคใต้ของไทย เมืองสงขลาเป็นรัฐอิสระ ไม่ข้ึนต่อกรุงศรีอยุธยา นับเป็นการท้าทายอ�ำนาจของกรุงศรีอยุธยา สงครามได้เกิดข้ึน อย่างยาวนาน มาตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มาสิ้นสุดในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ แหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ซงึ่ ใชส้ นั ตวิ ธิ ดี ว้ ยการยอมรบั ใหเ้ มอื งสงขลาเปน็ รฐั อสิ ระ และใหเ้ จา้ เมอื งนบั ถอื ศาสนาอสิ ลามได้ สืบไป ทรงสนับสนุนให้ขุนนางรุ่นใหม่มารับราชการในราชส�ำนัก นโยบายผ่อนปรนช่วยให้สัมพันธภาพ ของกรุงศรีอยุธยากับเมืองสงขลาดีข้ึนตามล�ำดับ มีมิตรไมตรีต่อกันแต่ได้เกิดความบาดหมาง และแข่งขันในทาง การคา้ ระหวา่ งเมอื งทเี่ คยเปน็ พนั ธมติ รตอ่ กนั เมอื งนครศรธี รรมราช เมอื งพทั ลงุ ไปสวามภิ กั ดกิ์ บั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เมอื งปตั ตานี และเมืองไทรบุรี เป็นเมืองท่าการค้าส�ำคัญมาก่อนเมืองสงขลา พร้อมท่ีจะแข่งขันในทางการค้าอย่างเป็นอิสระ ท�ำให้เกิดความขัดแย้งกับเมืองสงขลา ต้องท�ำสงครามกันอย่างยืดเยื้อกันตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๑๔ - พ.ศ. ๒๒๒๑ จนเป็นอุปสรรคต่อการค้าขายกับต่างชาติ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงไกล่เกล่ียให้ท้ังสองฝ่ายยุติสงคราม เมืองสงขลาอยู่ในฐานะล�ำบาก แต่ได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษ เพราะมีผลประโยชน์ทางการค้าร่วมกันอยู่ ดว้ ยการใชเ้ มอื งสงขลา เปน็ ทตี่ ง้ั คลงั สนิ คา้ และเปน็ แหลง่ รบั ซอื้ สนิ คา้ ทำ� ใหฮ้ อลนั ดา และฝรง่ั เศส เสยี ประโยชนท์ างการคา้ (๓) ศรศี กั ร วัลลโิ ภดม (๒๕๔๖ : ๑๙๒ – ๒๐๑). 92 หลักสูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ ้องถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

จงึ รว่ มมอื กบั กรงุ ศรอี ยธุ ยาในการปราบปรามเมอื งสงขลา จนเมอื งสงขลา ไดพ้ า่ ยแพอ้ ยา่ งยบั เยนิ เนอื่ งจากบอบชำ�้ มาจากการท�ำสงครามกับเมืองปัตตานี มาอย่างยืดเย้ือยาวนาน ท�ำให้เกิดความบอบช�้ำมาก ความพ่ายแพ้ ของเมืองสงขลา ในคร้ังน้ี ถือเปน็ การสน้ิ สดุ ยคุ รงุ่ เรืองทางการคา้ ของเมืองสงขลา ท่มี เี จ้าเมอื งนบั ถือศาสนาอสิ ลาม และมเี ช้อื สายอาหรับ ซงึ่ มีท่ที �ำการเมืองอยู่ทบ่ี า้ นหัวเขาแดง อำ� เภอสงิ หนคร จงั หวดั สงขลาในปัจจบุ ัน เมอื่ สิ้นยุค น้ีลงได้ย้ายที่ท�ำการเมืองสงขลา มายังบริเวณแหลมสน และเข้ามาสวามิภักด์ิกับรัฐไทย และมีเจ้าเมืองคนใหม่ ทีเ่ ปน็ คนจนี ต้นตระกูล ณ สงขลา ๒. การเขา้ มาของอารยธรรมต่างๆ ในพ้ืนทีภ่ าคใต้ การขยายอ�ำนาจของประเทศตา่ งๆ ในโลกมอี ยู่สองแนวทาง คือ การทำ� สงครามแยง่ ชิงพ้นื ทเี่ พอ่ื ใชอ้ �ำนาจ เข้าครอบครอง กับอีกวิธีหน่ึงคือ การขยายอ�ำนาจทางเศรษฐกิจโดยการท�ำการค้า พร้อมกับท�ำการเผยแพร่ วฒั นธรรมควบคกู่ นั ไปดว้ ย ในทน่ี จ้ี ะไมก่ ลา่ วถงึ การขยายอำ� นาจตามแนวทางแรก คอื การทำ� สงคราม แตจ่ ะกลา่ วถึง แนวทางท่ีสอง คือ การเข้ามายึดครองโดยการใช้อ�ำนาจทางเศรษฐกิจ โดยการท�ำการค้า และเผยแพร่วัฒนธรรม ในพื้นที่อุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia) เป็นพื้นท่ีหน่ึงที่มีการใช้ยุทธศาสตร์ การขยายอ�ำนาจดว้ ยวธิ กี ารดังกลา่ ว ซ่งึ ปรากฏผลให้เห็นในระยะยาว และฝงั อยู่ในวถิ ีชวี ติ ของผูค้ นตลอดมา พ่อค้าชาวอินเดียเดินทางเข้ามาท�ำการค้าขาย และน�ำอารยธรรมของตนมาเผยแพร่ในพื้นท่ีสามจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ในช่วงก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ซ่ึงเป็นช่วงเวลาของการเข้ามาของพุทธศาสนา วันวิสาข์ ธรรมานนท(์ ๔) กล่าวในบทคัดยอ่ ว่า การเขา้ มาของศาสนาพุทธว่า แบ่งออกเปน็ ๓ ชว่ ง คอื ๑. ช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๘ – ๑๒ พุทธศาสนานิกายมหาสังฆิกะ เข้ามามีบทบาทในพื้นท่ี เมอื งโบราณยะรงั อ�ำเภอยะรัง จงั หวดั ปตั ตานี เป็นชุมชนท่นี บั ถอื ศาสนาพทุ ธนกิ ายเจตยิ วาททเ่ี ปน็ นิกายทแ่ี ยกตัว มาจากนิกายมหาสังฆิกะ โดยการสันนิษฐานจากการพบชิ้นส่วนของสถูปเป็นจ�ำนวนมาก ภายในศาสนสถาน เมอื งโบราณยะรงั เพราะหลกั คำ� สอนของนกิ ายนเ้ี นน้ ใหส้ รา้ งเจดยี ์ การประดบั เจดยี ์ และการบชู าเจดยี ์ เชอ่ื วา่ จะได้ บุญกศุ ลท่ยี ิง่ ใหญ่ ๒. ช่วงประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๖ ศาสนาพุทธมหายานตันตระ รุ่งเรืองอยู่บนคาบสมุทรมลายู ภายใตก้ ารอุปถัมภ์จากรฐั ศรีวิชัยทีม่ ีอ�ำนาจอยใู่ นเวลาช่วงนน้ั ๓. ชว่ งประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๙ โบราณวัตถทุ ป่ี รากฏ แสดงใหเ้ ห็นว่า มใี นชุมชนอ�ำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ที่นับถือศาสนาพุทธเถรวาท นิกายลังกาวงศ์ ที่มีข้อปฏิบัติตนแตกต่างจากศาสนาพุทธมหายาน อย่างชัดเจน การเลือกนับถือศาสนาพุทธมหายานตันตระ ที่อุปถัมภ์โดยราชวงศ์ปาละของอินเดีย ได้เข้ามามีบทบาท ในพื้นท่ีแถบน้ี ดังปรากฏหลักฐานผ่านงานศิลปกรรมท่ีเกี่ยวเน่ืองจากพระพุทธศาสนา เช่น พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวรสองกรจากเมืองโบราณยะรัง สถูปจ�ำลองส�ำริดจากถ้�ำคูหาภิมุข อ�ำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา และสถูปจ�ำลองวัดพระพุทธ อ�ำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส นอกจากน้ันแล้ว ยังมีการส�ำรวจพบหลักฐาน ทางโบราณคดีอีกมากมาย ท้ังในพ้ืนท่ีภาคใต้ตอนกลาง และตอนบน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหลักฐานทางโบราณคดี ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการนับถอื ศาสนาพุทธ (๔) วนั วสิ าข์ ธรรมานนท์ (๒๕๔๙ : ๖ – ๗). 93หลักสตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัติศาสตรท์ อ้ งถนิ่ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

นอกจากนั้น ครองชัย หัตถา(๕) พบว่า บนแผ่นดินสุวรรณภูมิ หรือแผ่นดินทองค�ำแห่งนี้ เป็นแผ่นดิน ท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ “คาบสมุทรทองค�ำ” ท่ีปโตเลมีบันทึกไว้น้ัน หมายถึง แผ่นดินคาบสมุทรมลายู โดยนับรวมตั้งแต่ตอนใต้ของพม่าลงมาจรดปลายคาบสมุทร ส่วนอ่าว “เปอริมูลิคอส” คือ อ่าว “จ้ินหลิน” ในจดหมายเหตุจีนหมายถึง อ่าวไทย แร่ทองค�ำ และสินแร่ต่างๆ รวมท้ังของป่า เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ส�ำคัญมาแต่ยุคโบราณ จนกระท่ังยุคการค้าสมัยอาณานิคม ทองค�ำยังเป็นสินค้าส�ำคัญ คาบสมุทรแห่งนี้เป็นท่ีรู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในฐานะแหล่งโภคทรัพย์ท่ีเป็นที่ต้องการของโลกในยุคนั้น สถานที่ส�ำคัญแห่งหนึ่งตอนล่างสุด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอ่าว “เปอริมูลิคอส” ตามบันทึกของปโตเลมี คือ “อ่าวปัตตานี” ต้ังอยู่ในต�ำแหน่งที่เหมาะสมทางภูมิศาสตร์ ท�ำให้กลายเป็นแหล่งการค้าส�ำคัญ และเปน็ สถานที่กำ� เนดิ รฐั และอาณาจักรโบราณในเวลาตอ่ มา ความเหมาะสมของการอยู่ระหว่างสองแหล่งอารยธรรมตะวันออกกับตะวันตกของโลกในขณะนั้น คือ จีน และอินเดีย และยังเป็นสะพานเช่ือมต่อระหว่างแผ่นดินตอนใต้ คือ ออสเตรเลีย และหมู่เกาะต่างๆ กบั แผน่ ดนิ ของเอเชยี ทำ� ใหค้ าบสมทุ รมลายเู ปน็ เสน้ ทางเชอ่ื มมหาสมทุ รทย่ี งิ่ ใหญ่ รองรบั การเดนิ ทางของผคู้ นหลากหลาย เช้ือชาติวัฒนธรรมมาเป็นเวลานาน คาบสมุทรแห่งน้ีมีเมืองท่าหลายแห่งที่เป็นสถานีการค้า และเติบโต เปน็ เมอื งขนาดใหญ่ เชน่ เมอื งไชยา เมอื งลกิ อร์ เมอื งสทงิ ปรุ ะ และเมอื งปตั ตานี เปน็ ตน้ เพราะเปน็ เสน้ ทางการเดนิ เรอื ท่ีมีกระแสลมธรรมชาตชิ ่วยเอื้อต่อการเดนิ เรือไดส้ อดคล้องกับระยะเวลาท่ีตอ้ งการของจีน อินเดีย และลังกา พิจารณาตามระยะเวลาท่ีเอกสารวรรณกรรมอินเดียท่ีเข้ามาสู่คาบสมุทรมลายู เป็นหลักฐานยืนยันว่า ชาวอินเดียเดนิ ทางมายงั เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ต้ังแต่พทุ ธศตวรรษที่ ๑ หรือราว ๒,๕๐๐ ปที ่ผี ่านมา การเขา้ มา ของชาวอินเดียได้น�ำอารยธรรมฮินดู (Hindu Civilization) เข้ามาอย่างรวดเร็ว ท้ังในเรื่องความเชื่อ วัฒนธรรม และศาสนา โดยท่ีไม่ได้เข้ามาในฐานะผู้ปกครอง ท�ำให้ผู้คนพร้อมใจรับวัฒนธรรมฮินดูทางด้านภาษา กฎหมาย การปกครอง การบรหิ าร และอนื่ ๆ มาใชเ้ พือ่ ประโยชน์ในทางการคา้ และยิง่ ชัดเจนมากขนึ้ การรบั เอาพทุ ธศาสนา มาผสมผสานกบั ศาสนาฮนิ ดู เพราะไมไ่ ดเ้ ปน็ ปฏปิ กั ษก์ นั เนอ่ื งจากมที มี่ าจากสงั คมเดยี วกนั ทำ� ใหผ้ สมกลมกลนื กนั ได้ การยึดหลักการเคารพนับถือซ่ึงกันและกัน ท�ำให้อิทธิพลของทั้งสองศาสนาฝังรากลึกสู่วิถีชีวิตของผู้คนรุ่นแล้ว รุ่นเล่า เพียงช่ัวระยะเวลาไม่นานอารยธรรมอินเดียจากอิทธิพลของพุทธศาสนา และศาสนาฮินดู ได้แผ่ขยายไป ท่วั ท้งั คาบสมทุ รมลายู อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยมีอาณาจักรโบราณหลายอาณาจักรเคยรุ่งเรืองมาก่อน ทางตอนเหนือ ของคาบสมทุ รมลายู เปน็ อาณาจกั รฟนู นั (Funan) อาณาจกั รจมั ปา (Champa) และอาณาจกั รเจนละ (Chen - la) ขณะน้ันอิทธิพลของอารยธรรมฮินดูได้เข้ามาแพร่หลายอย่างกว้างขวาง ถัดจากน้ันมาศาสนาพุทธก็ตามมา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑ เปน็ ตน้ มา เมอ่ื อาณาจกั รฟนู นั เสอื่ มลง อาณาจกั รลงั กาสกุ ะไดเ้ จรญิ ขน้ึ มาแทนที่ บนแผน่ ดนิ จากปลายคาบสมทุ รมลายู ไปจนถึงตอนบนของคาบสมุทรไปจนถึงอ่าวเบงกอล สามารถควบคุมเส้นทางการค้าตลอดคาบสมุทรมลายู ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ อาณาจักรเจนละตกเป็นของอาณาจักรเขมร (Cambodia Empire) ส่วนอาณาจักร จัมปายังครอบครองดินแดนเขมรอยู่ ในพุทธศตวรรษที่ ๗ อาณาจักรลังกาสุกะรุ่งเรืองข้ึน ปกครองดินแดน ต้ังแต่ตอนใต้ของนครศรีธรรมราชลงไปจนถึงปลายคาบสมุทร ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ อาณาจักรลังกาสุกะ ขยายอาณาเขตมายังฝั่งตะวันออกที่เมืองปัตตานี เหนือข้ึนไปเป็นอาณาจักรตามพรลิงค์ (Tambrallinga) (๕) ครองชัย หัตถา (๒๕๕๐ : ๑ – ๕). 94 หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตร์ท้องถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

มีศูนย์กลางอยู่ท่ีเมืองลิกอร์ หรือ นครศรีธรรมราช และเหนือขึ้นไปอีกมีอาณาจักรร่วมสมัยอีกแห่งหนึ่ง คือ อาณาจักรพัน – พัน เป็นอาณาจักรเล็กๆ แถบอ่าวบ้านดอน อาณาจักรนี้ผู้คนเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา เป็นอย่างย่ิง อาณาจักรลังกาสุกะเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างจีนกับอินเดีย เพราะพัฒนามาจากเมืองท่าชายฝั่ง ทะเลเล็กๆ ของชาวพื้นเมืองจนเติบโตเป็นรัฐ นักการค้าชาวอินเดียยุคแรกมีอิทธิพลทางด้านศาสนา ภาษา และวิทยาการต่อลังกาสุกะอย่างกว้างขวาง ดังที่ปรากฏในหลักฐานทางโบราณคดี และสืบทอดทางวัฒนธรรม ต่อเนือ่ งกนั มาไมน่ ้อยกวา่ ๑,๔๐๐ ปี การเส่ือมสลายของอาณาจักรลังกาสุกะ เชื่อกันว่าเพราะอิทธิพลของอาณาจักรทวาราวดีท่ีเข้ามา ครอบครอง ต่อมาอีกราว ๕๐ – ๖๐ ปี ลังกาสุกะได้ตกไปอยู่ในอ�ำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยอีกต่อหน่ึง ในยุคที่อาณาจักรลังกาสุกะรุ่งเรืองมีศูนย์กลางการปกครองเป็นสองแห่ง คือ เมืองเคดาห์ มีอ�ำนาจหน้าท่ี ในการควบคุมดูแลพ้ืนท่ีซีกฝั่งทะเลตะวันตก และเมืองปัตตานีมีอ�ำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลพ้ืนท่ี ซีกฝั่งตะวันออก แต่ในเวลาต่อมาศูนย์กลางของอาณาจักรลังกาสุกะมาอยู่ท่ีเมืองปัตตานีเพียงแห่งเดียว เอกสารทรี่ ะบเุ รอื่ งนอ้ี ยา่ งชดั เจน คอื เอกสารบนั ทกึ การเดนิ ทางของนายพลเจงิ้ - เหอ (Cheng - ho) แมท่ พั ผยู้ งิ่ ใหญ่ ของจนี ท่ีเดินทางเข้ามาท�ำการค้าในภมู ภิ าคน้ี ๒.๑ อารยธรรมฮนิ ดู - พราหมณใ์ นภาคใต้ ช่วงระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๙ เปน็ หว้ งเวลาทอ่ี าณาจกั รลังกาสุกะรุ่งเรืองสงู สดุ โดยเฉพาะ ทางด้านการเผยแผ่ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ ชาวเมืองนับถือศาสนาท้ังสองศาสนาแทนความเชื่อด้ังเดิม มากขึ้น ศาสนาฮินดูพราหมณ์เข้ามาก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ช่วงเวลานั้นกษัตริย์แห่งลังกาสุกะนาม ภัคทัตต์ รับอารยธรรมอินเดียเข้ามาอยา่ งเตม็ ท่ี ชาวเมืองตา่ งกย็ อมรบั นับถือศาสนาฮินดพู ราหมณ์ตามผูป้ กครอง ตอ่ มาเมอื่ อาณาจกั รศรวี ชิ ยั เขา้ มาครอบครองอาณาจกั รตามพรลงิ ค์ ในชว่ งปี พ.ศ. ๑๓๑๘ ไดข้ ยายตัว มายังอาณาจักรลังกาสุกะที่เมืองปัตตานี ท�ำให้ชาวเมืองเปล่ียนมานับถือศาสนาพุทธ มีการค้นพบพระพุทธรูป สมัยศรีวิชัยท่ีถ้�ำวัดคูหาภิมุข จังหวัดยะลา รวมทั้งสถาปัตยกรรมแบบฮินดูอีกหลายแห่ง เมื่อชาวเมืองเปล่ียนมา นับถือศาสนาอิสลามในช่วงหลัง ได้มีการขนย้ายวัตถุโบราณออกไปจากพื้นที่เป็นจ�ำนวนมาก ท�ำให้เหลือ รอ่ งรอยนอ้ ยมาก เม่ือเทียบกับพน้ื ทอ่ี นื่ ๆ ทเ่ี กดิ ในยุคสมัยเดยี วกนั สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย(๖) ไดร้ ะบเุ กย่ี วกบั เรอ่ื งนวี้ า่ ศาสนาพราหมณเ์ ปน็ ศาสนาทเี่ กดิ เมอ่ื ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ก่อนพทุ ธกาล เป็นศาสนาแบบพหเุ ทวนยิ ม คอื นับถือเทพหลายองค์ แล้วมีการเปลย่ี นแปลงไปทีละขน้ั จากเทพองค์เดียวที่เป็นนามธรรม จนวิวัฒนาการมาเป็นศาสนาฮินดูท่ีมีพระเจ้าสูงสุด ๓ องค์ คือ พระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และพระศิวะ (พระอิศวร) รวมเรียกว่า “ตรีมูรติ” ศาสนาพราหมณ์ก�ำเนิดในประเทศ อนิ เดยี มคี วามเช่ือในเร่อื งสงั สารวฏั หรอื การเวยี นวา่ ยตายเกดิ แบ่งมนษุ ย์เป็น ๔ วรรณะ คอื พราหมณ์ (นักบวช) กษตั รยิ ์ (นกั รบ) แพศย์ (พอ่ คา้ ) และศทู ร (กรรมกร) โดยมพี ราหมณเ์ ปน็ ผทู้ ส่ี อื่ สารกบั พระเจา้ ตามหลกั ฐานปรากฎว่า ศาสนาพรหมณเ์ ขา้ มาในพนื้ ทภี่ าคใตข้ องไทย ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ เนอื่ งจากพบโบราณวตั ถแุ ละโบราณสถาน จ�ำนวนมากในพ้ืนท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราช เช่น อ�ำเภอขนอม อ�ำเภอสิชล อ�ำเภอท่าศาลา อ�ำเภอพรหมคีรี และอ�ำเภอเมืองนครศรีธรรมราช บางแห่งเป็นเทวาลัยร้างท่ีมีอายุในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๒ หลายแห่ง และพบศวิ ลงึ กท์ เ่ี ปน็ รปู เคารพแทนพระอศิ วรและโยนสิ ญั ลกั ษณอ์ วยั วะเพศหญงิ รปู เคารพแทนองคพ์ ระนางปารวตี หรอื พระนางอุมา ชายาของพระอิศวร และยังพบหลักฐานทางโบราณคดีในพ้ืนที่ตา่ งๆ ของภาคใต้อีกหลายชิ้น (๖) สารานุกรมวฒั นธรรมไทย (๒๕๔๒ : ๗๓๔๗ – ๗๓๖๗). 95หลักสตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถนิ่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

นอกจากนนั้ ยงั คน้ พบหนงั สอื จารกึ หนงั สอื บดุ (สมดุ ขอ่ ย) ทแี่ สดงใหเ้ หน็ อทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ์ ในภาคใต้เป็นจ�ำนวนมาก เป็นต้นว่า จารึกที่มีอายุก่อนปี พ.ศ. ๑๘๒๖ ที่พบในภาคใต้ จ�ำนวน ๙ ช้ิน เป็นจารึก ท่ีมีอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์และมีอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ผสมผสานอยู่ถึง ๖ หลัก และเป็นหลักฐาน เก่าแก่ท่ียืนยันถึงการเข้ามาของศาสนาพราหมณใ์ นภาคใต้อยา่ งชดั เจน ศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลต่อภาคใต้ในหลายประการ ดังที่ มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย(๗) ไดก้ ล่าวไว้ ดงั นี้ ด้านความเชื่อ โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้า เช่น การชุมนุมเทวดา เป็นการเชิญเทวดา ท้ังแปดทิศให้มารวมกันในพิธีกรรมศักดิ์สิทธ์ิ เช่น การอ้อนวอนพระศิวะ ความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าสูงสุด ศาสนาพราหมณ์ถือว่าพระพรหม พระวิษณุและพระศิวะมีความส�ำคัญเท่าเทียมกัน ความเช่ือเกี่ยวกับวิญญาณ เช่น จะน�ำมาใช้ในพิธีกรรมการท�ำขวัญเด็ก การท�ำขวัญนาค พิธีกรรมในวันสงกรานต์ พิธีกรรมในวันสาร์ท เมื่อผู้มีชื่อเสียงเสียชีวิตลง จะได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ต้องสร้างศาลที่อยู่ให้ ความเช่ือในด้านนี้ ได้ขยายต่อไปอีกแล้วมากมาย เช่น ในการต่อเรือจะมีพิธีกรรม จะมีพิธีเรียกขวัญไม้ท�ำเรือ เพ่ือให้คุ้มครอง เจ้าของเรอื มโี ชคมีลาภ ท�ำมาหากนิ คลอ่ ง เปน็ ตน้ ส่วนความเช่อื เกี่ยวกบั กรรม จะสัมพนั ธ์กบั เรือ่ งวญิ ญาณ นรก สวรรค์ การเกดิ ใหม่ ชาติน้ีชาติหน้า ท�ำกรรมใดย่อมไดร้ ับผลตอบสนองความเชอ่ื ทางไสยศาสตร์ ศาสนาพราหมณ์ ยงั มกี ารใชเ้ วทมนตค์ าถาและพลงั อำ� นาจทอี่ ยใู่ นเครอ่ื งรางของขลงั ทง้ั จากธรรมชาต ิ และจากการเสกเวทมนตค์ าถา เข้าไป การดื่มน้�ำพิพัฒสัตยาเพ่ือสาบานต่อผู้เป็นใหญ่ว่าจะซื่อสัตย์สุจริต ดังจะเห็นได้ว่าคนใต้มักจะเชื่อถือ ในเรอ่ื งราวเหลา่ นเ้ี ปน็ จำ� นวนมาก พธิ กี รรมเกยี่ วกบั ชมุ ชน เชน่ พธิ ตี รยี มั ปวายหรอื พธิ แี หน่ างกระดาน พธิ แี รกนาขวญั พธิ สี วดภาณยกั ษ์ พธิ ดี ม่ื นำ�้ พพิ ฒั นส์ ตั ยา พธิ ขี อฝน พธิ สี ารทเดอื นสบิ พธิ สี งกรานต์ เปน็ ตน้ นอกจากนน้ั ยงั มพี ธิ กี รรม เกย่ี วกบั ชวี ติ ทกี่ ระทำ� เพอ่ื ใหช้ วี ติ มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื ง ไมเ่ ปน็ โรคภยั ใหป้ ลอดภยั ใหม้ อี ายยุ นื โดยการทำ� พธิ อี อ้ นวอน ต่ออำ� นาจทีอ่ ยเู่ หนอื มนษุ ย์ แทบทุกพธิ จี ะคล้ายคลึงกนั มกี ารต้ังนะโม การชมุ นมุ เทวดา เป็นต้น ๒.๒ อารยธรรมพุทธในภาคใต้ ตามหลักฐานการค้นคว้าของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดย์ และการสรุปวินิจฉัยของสมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ในพระนิพนธต์ า่ งๆ สรปุ ได้วา่ (๘) ยุคท่ี ๑ พุทธศาสนาแพร่เข้ามาสู่ดินแดนสยามยุคแรก เมื่อก่อน พ.ศ. ๕๐๐ เป็นลัทธิเถรวาท ทพ่ี ระเจา้ อโศกมหาราชทรงสง่ พระโสณเถระ และพระอตุ ตรเถระ มาเผยแผศ่ าสนาในดนิ แดนสวุ รรณภมู ิ พทุ ธศาสนา ลัทธิเถรวาทเชื่อว่าอยู่ในบริเวณจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรทวาราวดี เพราะได้พบหลักฐาน ที่เป็นศิลารูปธรรมจักรจารึกพระพุทธพจน์เป็นภาษาบาลี และองค์พระปฐมเจดีย์อันเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารรี กิ ธาตุ ซง่ึ พระเจา้ อโศกมหาราชไดพ้ ระราชทาน เพอ่ื ใหน้ ำ� มาประดษิ ฐานในดนิ แดนทเี่ ปน็ จดุ ศนู ยก์ ลาง ของการเผยแผ่พระศาสนาของสมณฑูตทกุ สาย ยุคท่ี ๒ เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๖ พุทธศาสนาลัทธิมหายานได้เข้ามาทางอินเดียภาคเหนือ แพร่เข้ามาทางเอเชียกลางดินแดนที่เป็นประเทศจีน และสุวรรณภูมิ โดยทางบกผ่านเบงกอล เข้าทางพม่า มอญ และไทย ในส่วนที่เป็นอาณาจักรทวาราวดี แต่ไม่เป็นท่ีแพร่หลาย เพราะนับถือศาสนาพุทธเถรวาทอยู่แล้ว (๗) มูลนธิ ิสารานกุ รมวฒั นธรรมไทย (๒๕๔๒ : ๗๓๖๘ – ๗๓๗๑). (๘) มูลนธิ สิ ารานุกรมวฒั นธรรมไทย (๒๕๔๘ : ๗๓๗๒ – ๗๓๗๖). 96 หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ ้องถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต้)

อกี ทางหน่งึ เขา้ มาทางเรอื ที่แหลมมลายู เกาะสุมาตรา บางพวกแล่นเรืออ้อมแหลมมลายู มายงั กมั พชู า ในปจั จุบนั ปรากฎว่าได้รับความนิยมแพร่หลายมากข้ึน เฉพาะส่วนในภาคใต้ของไทย มีหลักฐานร่องรอยความเจริญรุ่งเรือง ของพุทธศาสนานิกายนีท้ อ่ี �ำเภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ทพ่ี ระบรมธาตไุ ชยา และพระมหาธาตุนครศรีธรรมราช องค์เดิม พระพุทธรูปแบบมหายาน พระโพธิสัตว์ และพระพิมพ์ดินดิบจ�ำนวนมาก พระพุทธรูปเหล่าน้ีมีลักษณะ เดยี วกับท่ีสร้างขน้ึ อินเดยี เหนอื ยุคท่ี ๓ พระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทแบบพุกาม เข้ามาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ พระเจ้าอนุรุทธ มหาราช หรอื อโนรธามงั ชอ่ ทรงอปุ ถมั ภบ์ ำ� รงุ และสง่ สมณฑตู ออกไปเผยแผใ่ นดนิ แดนทพี่ ระองคย์ กทพั ไปปราบปราม ได้แก่ บริเวณที่เป็นอาณาจักรล้านนา ตลอดจนถึงอาณาจักรทวาราวดี พุทธศาสนาลัทธินี้ เรียกว่า “ลัทธิหินยาน อยา่ งพกุ าม” แพรห่ ลายในทางตอนเหนือของประเทศไทย ยุคท่ี ๔ พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ แพร่หลายเข้ามาในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ หลังจาก ได้มีการสังคายนาพระธรรมวินัยให้ถูกต้องตามหลักพระศาสนาแล้ว พุทธศาสนาลัทธิน้ีได้กระจายเข้ามาในพม่า มอญ และไทย โดยมพี ระภกิ ษจุ ากเมอื งไทย เชอ่ื วา่ จากนครศรธี รรมราช นำ� ลทั ธนิ ก้ี ลบั มา เพอื่ ปรบั ปรงุ พระศาสนา ตามแบบลังกา จนมีผู้เลื่อมใสมากข้ึน นับได้ว่าศาสนาพุทธลัทธิลังกาวงศ์ได้เข้าสู่นครศรีธรรมราช ศูนย์กลาง แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ เม่ือราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ในยุคสมัยของพระเจ้าจันทรภาณุ ช่วงสมัยท่ีก�ำลังรุ่งเรือง จนทำ� ใหแ้ พรห่ ลายไปทง้ั ภาคใต้ นกั โบราณคดเี ชอื่ วา่ ในดนิ แดนภาคใตข้ องไทย และมาเลเซยี มมี นษุ ยห์ นิ เกา่ อาศยั อยรู่ าว ๕๐,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ ปมี าแลว้ กลมุ่ แรกเปน็ พวกนกิ รโิ ต เดนิ ทางมาจากแอฟรกิ า มาอยกู่ นั อยา่ งกระจดั กระจายไปตลอดแหลม มลายู และออสเตรเลีย กลุ่มที่ ๒ เป็นพวกพ้ืนเมืองมลายูเดิม อยู่ในวัฒนธรรมยุคหินใหม่ มีความเจริญมากกว่า พวกแรก กลุ่มที่ ๓ เป็นพวกดิวเทอโรมาเลย์ กลุ่มนี้มีวัฒนธรรมสูงกว่าท้ังสองพวก รู้จักการเพาะปลูก รู้จัก การแลกเปล่ียนสินค้า ตั้งฐานเป็นหลักแหล่ง สามารถขับไล่กลุ่มด้ังเดิมได้ จนสามารถครอบครองพ้ืนท่ีได้ ตอ่ มาชนชาตเิ มง็ หรอื มอญ อพยพลงมาจากดนิ แดนสวุ รรณภมู ทิ างตอนเหนอื กลมุ่ นไ้ี ดแ้ ตง่ งานกบั ชาวมลายพู นื้ เมอื ง ท�ำให้ขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มมากขึ้น และยังมีพ่อค้าอินเดียเข้ามามากข้ึน จึงได้ท�ำการเผยแพร่ศาสนาพราหมณ์ และวัฒนธรรมพราหมณไ์ ด้อย่างเตม็ ท่ี ต่อมาในราวพุทธศตวรรษท่ี ๙ - ๑๐ ชนชาติไทยจากจีนแผ่นดินใหญ่ อพยพผ่านลุ่มน�้ำเจ้าพระยา เข้ามาได้รวมตัวกับชาวเมืองที่อยู่ดั้งเดิมจนเป็นปึกแผ่น กลายเป็นอาณาจักรตามพรลิงก์ ที่มีเมืองนครศรีธรรมราช เปน็ ศนู ยก์ ลางของอาณาจกั ร และศาสนจกั ร ความเปน็ ปกึ แผน่ ของการรวมตวั กนั เปน็ อาณาจกั รครง้ั น้ี ไดร้ วมใจกนั เสียสละทรัพย์ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ในภาคใต้ เปน็ ทยี่ อมรบั ของพอ่ ขนุ รามคำ� แหง แหง่ อาณาจกั รสโุ ขทยั ไดอ้ าราธนาพระเถระจากเมอื งนครศรธี รรมราช ไปเผยแผศ่ าสนา ดงั หลกั ฐานปรากฎในหลกั ศิลาจารกึ หลักที่ ๑ อนนั ต์ วฒั นานกิ ร(๙) กลา่ ววา่ ในชว่ งตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๐ ศาสนาพทุ ธเขา้ มาแพรห่ ลายในลงั กาสกุ ะ ดว้ ยชาวฮนิ ดเู ปลยี่ นมานบั ถอื ศาสนาพทุ ธ ชาวจนี ในลงั กาสกุ ะ กเ็ ปลยี่ นมานบั ถอื ศาสนาพทุ ธเชน่ เดยี วกนั กลา่ วไดว้ า่ ชาวลังกาสุกะนับถือศาสนาพุทธกันเป็นจ�ำนวนมาก ส่วนความเชื่อ และประเพณีต่างๆ ตามแบบของฮินดูก็ปฏิบัติ สืบต่อกันมาเร่ือยๆ ศาสนาพุทธในลังกาสุกะ รุ่งเรืองมาจนถึงพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ อาณาจักรมัชฌาปาหิตเข้ามา (๙) อนนั ต์ วฒั นานกิ ร (๒๕๒๘ : ๒๕). 97หลกั สตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตร์ท้องถน่ิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

มีอ�ำนาจแทนที่ พระเจ้าปรเมศวรแห่งมะละกาเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม และเดินทางมารุกรานลังกาสุกะ ท�ำลายศาสนสถานจนเกือบหมดส้ิน ศาสนาอิสลามจึงรุ่งเรืองแทนศาสนาพุทธมาตั้งแต่บัดนั้น หลังจากนั้น เรอื่ งราวของอาณาจกั ลงั กาสกุ ะหายไปจากหนา้ ประวตั ศิ าสตรเ์ อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ แตป่ รากฎชอ่ื ของเมอื งปตั ตานี เขา้ มาแทนที่ เมอ่ื โปรตเุ กสเขา้ มายดึ ครองมะละกาในปี พ.ศ. ๒๐๕๔ ทำ� ใหบ้ รรดาพอ่ คา้ ชาตอิ น่ื ๆ ทไ่ี มพ่ อใจโปรตเุ กส ตา่ งพากันเข้ามาคา้ ขายในเมอื งปตั ตานแี ทน ทำ� ใหเ้ มืองปตั ตานเี ป็นเมอื งท่าทสี่ ำ� คญั ขึน้ มาทันที ๒.๓ อารยธรรมอิสลามในภาคใต้ สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้(๑๐) ได้สรุปปัจจัยของการขยายตัวของศาสนาอิสลามในพ้ืนท่ี เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ไว้ดังนี้ ๑. ช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ – ๑๗ จีนเปล่ียนยุทธศาสตร์การค้าขยายพ้ืนท่ีการค้าออกไปยัง เมืองท่าย่อยต่างๆ อย่างกว้างขวาง ท�ำให้มีเมืองท่าเล็กๆ มากขึ้น พ่อค้าอินเดีย อาหรับ และเปอร์เซียสามารถ ซื้อสินค้าของจีนในเมืองท่าต่างๆ เหล่านั้นได้ทันที โดยไม่ต้องเดินทางไปค้าขายท่ีประเทศจีน ในขณะเดียวกัน ได้ทำ� การเผยแผ่ศาสนา และวัฒนธรรมของตนในเมืองทา่ เหลา่ น้นั ไปโดยปรยิ าย ๒. ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ศาสนาอิสลามได้ขยายตัวในอินเดียอย่างรวดเร็ว พ่อค้าอินเดีย จ�ำนวนมากเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อออกไปท�ำการค้ายังดินแดนต่างๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงถือโอกาสท�ำการเผยแผ่ศาสนาไปด้วย ท�ำให้ผู้คนในเมืองท่าบนคาบสมุทรมลายู และสุมาตรา เปล่ียนนับถือ ศาสนาอสิ ลามเป็นจ�ำนวนมาก ๓. อาณาจักรมัชปาหิตบนเกาะชวา ท่ีเป็นอาณาจักรฮินดู - พุทธ แหล่งสุดท้ายเส่ือมอ�ำนาจลง จนไม่สามารถท�ำนุบ�ำรุงศาสนาไว้ได้ ส่วนอาณาจักรตามพรลิงค์ท่ีนครศรีธรรมราช ก็ถูกบีบคั้นจากรัฐทางเหนือ คือ อาณาจักรทวาราวดี ที่อยู่ทางแถบลุ่มน�้ำเจ้าพระยา ท�ำให้ไม่สามารถท่ีจะรักษาจรรโลงศาสนาไว้ได้อย่างเต็มที่ จึงกลายเป็นช่วงจังหวะของการขยายตัวของศาสนาอิสลามในคาบสมุทรตอนล่าง และเกาะสุมาตรา จนสามารถ ขยายตัวไปไดเ้ กอื บครงึ่ พนื้ ทขี่ องเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ในเวลาต่อมา การขยายอ�ำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ และเปล่ียนศาสนาของกษัตริย์มะละกา เป็นปัจจัย เบ้ืองต้นประการหน่ึงที่ท�ำให้ศาสนาอิสลามขยายตัวในพ้ืนที่แถบน้ี แม้กระท่ังเมืองปัตตานี ก็รับศาสนาอิสลาม มาจากเมืองมะละกา โดยกระบวนการติดต่อค้าขายและขยายต่อไปยังเมืองกลันตัน และคาบสมุทรมลายูตอนล่าง จนเต็มพื้นท่ี อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมฮินดู - พุทธ ท่ีฝังรากลึกมานานยังคงติดอยู่ในวิถีชีวิต โดยเฉพาะ ความเชื่อเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ในเชิงไสยศาสตร์ ท่ีปะปนอยู่ในวิถีของความเป็นอยู่ของคนมลายูแต่เดิม ได้ติดอยู่ ในวิถีชีวิต แม้ว่าจะเข้ารับอิสลามแล้วก็ตาม เพราะหลักธรรมของศาสนาไม่ได้แทรกตัวไปท�ำลายล้างความเช่ือ ความศรัทธาเดิมให้หมดส้ินไป ท�ำให้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานมาจนถึงปัจจุบัน ดังที่เห็นได้จากพิธีกรรม และการทำ� สมาธิ หรอื การฝกึ ตบะตา่ งๆ เปลยี่ นไปจากการใชภ้ าษาสนั สกฤตเปน็ ภาษาอาหรบั จากอลั - กรุ อา่ นเทา่ นน้ั อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของศาสนาฮินดู - พุทธ ในชวามีมาก ความส�ำเร็จของการขยายรัฐอิสลาม ในชวา จึงไม่ได้เกิดจากความศรัทธาอย่างแรงกล้า หากเกิดจากการผสมผสานกลมกลืนของศาสนาเดิม กับศาสนาอิสลามมากกว่า ท�ำให้การขยายตัวของศาสนาอิสลามในชวาเป็นไปอย่างล่าช้า ท�ำให้รัฐฮินดู - พุทธ และบาหลี รวมตัวกันต่อต้านรัฐอิสลามจากชวากลาง กว่าท่ีจะยอมเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามก็ตกมาถึง พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ แต่บาหลียังคงรกั ษาความเปน็ ฮนิ ดู - พุทธ ของตนไวไ้ ด้จนถึงทุกวนั น้ี (๑๐) สารานุกรมวฒั นธรรมไทยภาคใต้ (๒๕๔๒ : ๗๓๙๕ – ๗๓๙๘) . 98 หลักสตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถนิ่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

เม่ือพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ศาสนาอิสลามแพร่หลายในคาบสมุทรอาหรับเต็มพ้ืนท่ีแล้ว ต่อจากน้ันได้ ขยายตัวเข้าไปในอินเดียในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างเปอร์เซีย อาหรับ จีน และเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ไดข้ ยายตวั เขา้ สปู่ ระเทศจนี จมั ปา (เขมร) และอาณาจกั รตา่ งๆ ทางตอนบนของสยาม โดยการน�ำของพ่อค้าชาวอาหรับท่ีค้าขาย และเผยแผ่ศาสนาอิสลามควบคู่กันไป ท�ำการค้าที่ใดจะถ่ายทอด วิถีชีวิตแบบอิสลามไปด้วย เส้นทางสายไหม (Silk Road) เป็นเส้นทางหลักของการเผยแผ่ศาสนาอิสลามสู่เอเชีย เม่ือปี พ.ศ. ๑๑๗๑ พ่อค้าชาวอาหรับใช้เส้นทางสายนี้ในการเดินทางไปยังเมืองกวางตุ้งของจีน และได้ต้ังถ่ินฐาน บ้านเมือง และสร้างมัสยดิ เอาไวห้ ลายแหง่ จนศาสนาอิสลามและวฒั นธรรมอิสลาม ไดฝ้ งั รากลกึ บนแผน่ ดินแถบน้ี อย่างแนบแน่น เม่ือเส้นทางนี้ถูกปิดลงในสมัยราชวงศ์ถัง เส้นทางการค้าขายของชาวอาหรับได้เปลี่ยนมาเป็น เส้นทางเรือ ผ่านทางมหาสมุทรอินเดียเข้ามาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มายังคาบสมุทรมลายู ท�ำให้กลายเป็น แหล่งค้าขาย และเผยแผ่ศาสนาอิสลามไปในตัวด้วย แต่ในเบ้ืองต้นมีผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามน้อยมาก เพราะสว่ นหนงึ่ ยังยึดมนั่ อยกู่ บั ความเชือ่ ด้งั เดมิ และนบั ถอื ศาสนาพุทธและฮนิ ดูอยูเ่ ดิมแลว้ ส�ำหรับการเข้ามาของศาสนาอิสลามในเมืองปัตตานี น�ำโดยพ่อค้าชาวอาหรับเช่นกันเดียวกัน ในระยะแรกพ่อค้าชาวอาหรับยังไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม ส่วนใหญ่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนายูดาย และศาสนาคริสต์ แต่พ่อค้าท่ีมาค้าขายในภายหลังจะนับถือศาสนาอิสลาม ท�ำให้คนมลายูเปลี่ยนมานับถือ ศาสนาอิสลามกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น จึงกล่าวได้ว่าเมืองปัตตานีในสมัยน้ัน มีทั้งมลายูพุทธ และมลายูมุสลิม อยา่ งไรก็ตาม ในระยะต้นชนช้นั ปกครองยังไมไ่ ด้เปลย่ี นศาสนา เน่ืองจากนบั ถือพทุ ธศาสนามากอ่ น เพงิ่ มาเปลยี่ น มานับถอื ศาสนาอิสลาม เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๐๐๐ จงึ ถือได้ว่าเมอื งปตั ตานี ได้ประกาศเปน็ รฐั อิสลามตัง้ แต่นนั้ เปน็ ต้นมา สว่ นชาวเมอื งสว่ นหนง่ึ ไดเ้ ปลยี่ นไปนบั ถอื ศาสนาอสิ ลามมากอ่ นหนา้ นนั้ แลว้ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรไ์ ดร้ ะบไุ วว้ า่ ศาสนาอิสลามเข้ามาแพร่หลายในเมืองปตั ตานี และเมืองปาหงั กอ่ นทจี่ ะเผยแพรไ่ ปยังเมืองมะละกา กษัตริย์ปัตตานีที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นองค์แรก คือ พญาอินทิราหรือสุลต่านอิสมาอีล ซาห์ การเปลย่ี นศาสนาของพระองคท์ ำ� ใหโ้ อรส ธดิ า ขุนนางทั้งหลายเปลี่ยนมานับถือศาสนาอสิ ลามกนั เปน็ จำ� นวนมาก ตอ่ จากนั้นจะขยายไปยงั เครือญาติหวา่ นเครอื และขา้ ทาสบริวาร ตา่ งหันมานบั ถือศาสนาอสิ ลาม มีหลักฐานกลา่ ว ถึงสาเหตุของการเปล่ยี นมานบั ถอื ศาสนาอิสลามของกษัตรยิ ์ปตั ตานีไวใ้ นหนังสอื Hikayat Pattani ว่า(๑๑) “...อยู่มาวันหน่ึง เจ้าเมืองปัตตานีก็ทรงประชวร หมอหลวงทุกคนก็ได้ถวายการรักษา แต่ว่าอาการประชวรก็ยังไม่หาย ในท่ีสุดก็มีชายคนหนึ่งเป็นชาวปาไซ นามว่า ชัยคฺ ซาอิด (Sheikh Said) ไดถ้ วายตวั เพอื่ เขา้ ทำ� การรกั ษาเจา้ เมอื ง แตม่ ขี อ้ แมอ้ ยวู่ า่ หากทรงหายจากอาการประชวรแลว้ เจา้ เมอื งจะตอ้ ง เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งได้รับตอบตกลงจากเจ้าเมือง แต่หลังจากทรงหายประชวรแล้ว ไม่ทรงท�ำ ตามสัญญา เวลาล่วงเลยมาหลายปีพระองค์ก็ทรงประชวรอีก เน่ืองจากพระโรคเก่าก�ำเริบ แล้วก็ได้ไปเชิญ ชัยคฺ ซาอิด (Sheikh Said) มารักษาเหมือนเดิม และมขี ้อตกลงเหมือนเดมิ แต่เมอื่ หายประชวรแลว้ พระองค์ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญาอกี จนกระทงั่ สดุ ทา้ ย ครงั้ ที่ ๓ พระองคท์ รงตรสั วา่ ถา้ ฉนั หายจากโรคเกา่ รา้ ยครง้ั น้ี ฉนั จะ ไม่ลืมสญั ญาท่ีไดใ้ หไ้ ว้ตอ่ หน้าพระพุทธรปู ท่ศี ักดสิ์ ิทธ์ิ ถา้ ฉนั ไม่ท�ำตามสัญญา ขอให้ฉันเปน็ โรครา้ ยน้ตี ลอดไป” หลังจากพระองค์หายจากประชวรแล้ว พระองค์และครอบครัว ตลอดจนข้าราชการในวังเข้ารับอิสลามทันที ตงั้ แต่นน้ั มาศาสนาอิสลามกข็ ยายตวั กว้างขวางมากขึ้นตามล�ำดับ (๑๑) Hikayat Pattani (Teeuw and Wyatt, ๑๙๗๐ : ๗๓). 99หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

กษัตรยิ ์ท่ปี กครองเมอื งปัตตานีสบื ต่อมา คอื กษัตรยิ ร์ าชวงศศ์ รวี ังสา ได้เขา้ รับอสิ ลามต่อเนือ่ งกันมา ชัยคฺ ซาอิด (Sheikh Said) ได้รับการแต่งต้ังให้เป็นครูสอนศาสนาอิสลามในราชส�ำนักเป็นคนแรก และได้รับ การยกยอ่ งว่า เปน็ ผใู้ หก้ �ำเนดิ อิสลามในภมู ิภาคปัตตานี เมืองปัตตานใี นขณะนนั้ มเี ชื้อชาตติ ่างๆ มากมาย เช่น จีน อาหรบั อนิ เดยี สยาม และเขมร สว่ นหนงึ่ ไดเ้ ปลยี่ นมานบั ถอื ศาสนาอสิ ลาม ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ เมอื งปตั ตานจี ะมผี นู้ บั ถอื ศาสนาอสิ ลามเชอื้ สายต่างๆ มากมาย เชน่ มสุ ลมิ เชอ้ื สายจีน มุสลิมเชื้อสายอาหรบั มสุ ลมิ เชอื้ สายอินเดีย เปน็ ตน้ ในพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ เมืองปัตตานีกลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรม และการเผยแพร่ความคิดอิสลาม ออกไปยังภูมิภาคต่างๆ จนกล่าวได้ว่าเมืองปัตตานีเป็นศูนย์กลางการศึกษาอิสลามที่ดีท่ีสุดในภูมิภาค ท�ำให้ มีผู้เดินทางมาศึกษาศาสนาอิสลามในปัตตานีเป็นจ�ำนวนมาก ท�ำให้ได้รับการกล่าวขานกันว่าปัตตานี เปน็ “ระเบยี งแหง่ เมกกะ” (Serambi Mekah) อย่างไรก็ตาม ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๗ ปัตตานีในฐานะท่ีเป็นเมืองท่าส�ำคัญของอาณาจักร ลังกาสุกะ ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรทวาราวดี อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรพัน - พัน อาณาจักร ตามพรลิงก์ มาเป็นล�ำดับ เพราะดินแดนเหล่านี้อยู่ในคาบสมุทรเดียวกัน และเป็นอาณาจักรที่ได้รับอิทธิพล ทางด้านวัฒนธรรมจากฮินดูและพุทธมาอย่างต่อเนื่องดังที่ ไข่มุก อุทยาวลี(๑๒) กล่าวสรุปว่า มลายูในอดีต รับวัฒนธรรมอินเดียจากชาวฮินดูที่เดินทางมาอยู่อาศัย และค้าขายปะปนกับชาวสยามและชาวมลายูพ้ืนเมือง อิทธิพลของอารยธรรมอินเดียต่อดินแดนแถบนี้ ปรากฎหลักฐานเก่ียวกับการเผยแผ่วัฒนธรรมด้านศาสนา คือ ศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ อาณาจักรโบราณท่ีกล่าวถึงเป็นอิทธิพลการรับศาสนาฮินดู เช่น อาณาจักร ตามพรลิงก์ การาฮี (ครหิ) ตักโกลา และเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะความรุ่งเรืองของตามพรลิงก์ หรือนครศรีธรรมราช (ลิกอร์) สะท้อนการรับเอาศาสนาพุทธต่อการปกครองและวัฒนธรรมด้านต่างๆ เป็นอย่างดี ความส�ำคัญ ของศาสนาท่ีมาจากอินเดียต่อดินแดนดังกล่าว ท�ำให้ชาวฮินดูท่ีเข้ามาอาศัยในแผ่นดินนี้ได้รับการตอบรับ เป็นอย่างดี ขณะเดียวกับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ ยังช่วยเสริมพระบรมเดชานุภาพ ของพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่น่าเกรงขามต่อบ้านเมืองต่างๆ อิทธิพลของพระพุทธศาสนายังแพร่เข้าไปทางเหนือ ของแหลมอินโดจีน อันเป็นท่ีต้ังของสยามด้วย เพราะดินแดนสยามยังได้รับความสัมพันธ์อันดีต่อเมืองต่างๆ ในแหลมมลายู และขยายอทิ ธพิ ลลงสใู่ ต้ ทำ� ใหเ้ กดิ การผสมผสานกนั ระหวา่ งคนสองวฒั นธรรม หมายถงึ สยาม - ฮนิ ดู และในทส่ี ดุ ฮินดูในดินแดนมลายกู ็ตกอยใู่ ตอ้ ทิ ธิพลการปกครองของสยาม ปัตตานีกับกรุงศรีอยุธยาท�ำสงครามต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ท�ำให้ประชาชนชาวปัตตานี ส่วนหนึ่งอพยพไปอาศัยในแว่นแคว้นต่างๆ เช่น กลันตัน เคดาห์ ตรังกานู เปรัค เปอร์ลิส ปาหัง สุมาตรา ฯลฯ แต่ในท่ีสุด กรุงศรีอยุธยาสามารถปราบปรามปัตตานีลงได้ ปัตตานีกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยาม ต้ังแต่นั้นมา ถึงกระน้ันก็ตาม ไข่มุก อุทยาวลี(๑๓) ได้ศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับวิถีชีวิตของชาวมลายูในท้องถ่ินพบว่า จะกล่าวถึงประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่วิถีชีวิตของชาวบ้าน มีอาชีพการออกทะเล หาปลาชายฝั่ง วัฒนธรรมความเป็นอยู่ร่วมกันระหว่างชาวไทยพุทธกับอิสลาม จะผสมกลมกลืนกัน โดยเฉพาะ ในกลุ่มชนช้ันสูงและกลาง แม้จะมีความแตกต่างกันก็สามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ทางด้านการค้าน้ันปรากฏ ในบันทึกของชาวต่างชาติทางยุโรป จีน อาหรับ และเปอร์เซียว่า ปัตตานีมักจะสินค้าประเภทข้าว เกลือ แร่ธาตุ เครื่องเทศ พริกไทย และการบูร ออกไปจ�ำหน่ายกับประเทศต่างๆ ส่วนสินค้าน�ำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ ผ้าอินเดีย เครื่องเทศ มดี กระจก ถว้ ยชาม ไหมดิบ และทาส (๑๒) ไข่มกุ อทุ ยาวลี (๒๕๔๘ : ๒๓๖). (๑๓) ไขม่ ุก อุทยาวลี (๒๕๔๘ : ๒๔๖ - ๒๔๘). 100 หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

๒.๔ อารยธรรมคริสต์ในภาคใต้ ภาสกร วงศ์ตาวัน(๑๔) วิเคราะห์ว่า การเข้ามาของชนชาติยุโรปในพื้นที่อุษาคเนย์หรือเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโปรตุเกสเป็นชาติแรกท่ีออกส�ำรวจโลกทางทะเลในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิง การเดินทางของมาโคโปโล และคณะท่ีเดินทางโดยทางเรือและทางบก และได้อาศัยอยู่ในเมืองจีนนานถึง ๒๐ ปี ท�ำให้รู้ว่าแผ่นดินแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แต่เอเชียในสายตาชาวยุโรป คือ ยังไม่มีส่ิงที่ ยึดเหนี่ยวทางจิตใจศาสนาที่นับถืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาชินโต และศาสนาขงจื๊อ ไมใ่ ชเ่ สน้ ทางทรี่ จู้ กั พระเจา้ (God) เจตนารมณห์ ลกั ของการเขา้ มาของชาวยโุ รปในอดตี คอื การเผยแผศ่ าสนาครสิ ต์ ตอ้ งการใหป้ ระเทศในแถบเอเชยี รบั พระเจา้ ในศาสนาครสิ ต์ เพราะหว้ งเวลานน้ั เปน็ การแยง่ ชงิ พนื้ ทกี่ บั ศาสนาอสิ ลาม ที่มาจากตะวันออกกลาง ส่วนการค้าเป็นเพียงเร่ืองรองเท่าน้ัน อย่างไรก็ตาม การแสวงหาอาณานิคมในยุคนั้น เป็นไปตามพระสงค์ของพระเจา้ เปน็ หลกั ในขณะเดียวกันกเ็ ปน็ ความประสงคข์ องกษัตริย์ ในการขยายอาณานิคม เพ่อื ขยายอำ� นาจใหม้ ากข้ึน ซ่งึ จะเปน็ ประโยชน์ในทางการคา้ และแสวงหาทรพั ยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทองคำ� และเครื่องเทศนานาชนิดท่ีมีอยู่มากมาย เพราะยุโรปอยู่ในเขตหนาว จ�ำเป็นจะต้องถนอมอาหารไว้บริโภค ในหน้าหนาว การหมักดองด้วยเกลือ และรมควันให้แห้งที่ปฏิบัติกันอยู่ ท�ำให้อาหารมีกล่ิน และรสชาติไม่อร่อย แตก่ ารถนอมอาหารโดยการใชเ้ ครอ่ื งเทศ ท�ำให้รสชาติอาหารมีความกลมกล่อม และเป็นท่ีนยิ มของชาวยุโรปมาก โปรตุเกสเดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับอยุธยาเป็นคร้ังแรกในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๐๕๔ หลังจากที่เข้ายึดครองมะละกา ซ่ึงเดิมเป็นเมืองขึ้นของสยาม โดยมีจุดประสงค์เพื่อท�ำการค้า เปน็ หลกั ในเบอ้ื งตน้ โปรตเุ กสไดจ้ ดั ตง้ั สถานกี ารคา้ ทเี่ มอื งปตั ตานี ในปี พ.ศ. ๒๐๕๙ กลา่ วไดว้ า่ การเจรญิ สมั พนั ธไมตรี ระหว่างสยามกับโปรตุเกสเป็นไปอย่างราบร่ืน ชาวโปรตุเกสที่เข้ามาในอยุธยาจ�ำนวนมาก สมัครเป็นทหารรักษา พระองค์ และพลอาสาในกองทัพ ท�ำให้กองทัพสยามรู้จักใช้อาวุธปืนในการท�ำสงคราม ในขณะเดียวกันโปรตุเกส ไดเ้ ผยแพรแ่ นวคดิ ของศาสนาครสิ ตน์ กิ ายโรมนั คาทอลกิ ไปดว้ ย เพราะสยามไมม่ นี โยบายกดี กนั การเผยแพรศ่ าสนา แต่อย่างใด ชุมชนโปรตุเกสในอยุธยามีการพัฒนามาอย่างต่อเน่ือง มีโบสถ์เป็นศูนย์กลาง เพราะแต่ละแห่ง มีชาวโปรตุเกส อาศัยอยู่ราว ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ คน ต่อมามีชาวตะวันตกชาติอ่ืนๆ เข้ามาเพิ่มข้ึน เช่น ฮอลันดา เป็นชาติที่สองท่ีมาติดต่อกับไทยในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นคร้ังแรก ต่อเนื่องไปจนถึง รัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๔ ฮอลันดาเข้ามาตั้งสถานีการค้าเป็นครั้งแรกท่ีเมืองปัตตานี โดยมี นายเดเนียล ฟาน เดอ เลค เป็นหัวหน้าสถานีการค้า ต่อมาอีกสองปีได้เดินทางเข้าไปท่ีกรุงศรีอยุธยา เพ่ือเข้าเฝ้า สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช และสรา้ งสมั พนั ธไมตรที างการคา้ ตอ่ ไป แตไ่ มป่ ระสบความสำ� เรจ็ มากนกั จงึ หนั ไปชว่ ยเหลอื ในทางการทหารในการสู้รับกับบรรดาหัวเมืองปักษ์ใต้ เช่น ปัตตานี สงขลา เป็นต้น หลังจากน้ันชาติต่างๆ ในยโุ รปไดเ้ ขา้ มาท�ำการค้า และล่าอาณานคิ มในเอเชียกนั หลายประเทศ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ อังกฤษ และฝรั่งเศส อยา่ งไรกต็ าม นน้ั เปน็ เหตผุ ลหนง่ึ ในทางการเมอื งและการคา้ เพราะภมู ภิ าคแถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ อดุ มไปดว้ ยแรท่ องคำ� และเครอ่ื งเทศ แตม่ อี กี เรอื่ งหนง่ึ ทแี่ ฝงเขา้ มาเกอื บทกุ ชาตทิ กุ ภาษา คอื การเผยแผศ่ าสนาครสิ ต์ ในพื้นท่ีใหม่ ไทยเป็นพ้ืนท่เี ป้าหมายทบี่ รรดาประเทศลา่ อาณานคิ มเหลา่ นี้ต้องการ แต่หากเราคดิ ว่าการเขา้ มาของ ประเทศเหล่านี้ เราต่างก็ได้ประโยชน์จากกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในทางวัฒนธรรมท่ีท�ำให้เราสามารถ ด�ำรงอย่ไู ดด้ ้วยความเขา้ ใจซง่ึ กนั และกัน (๑๒) ภาสกร วงศต์ าวนั (๒๕๕๖ : ๑๖ – ๒๓). 101หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

๒.๕ อารยธรรมจีนโพ้นทะเลในภาคใต้ ส่วนการเข้ามาของชาวจีนนั้น ภูวดล ทรงประเสริฐ กล่าวว่า(๑๕) ชาวจีนโพ้นทะเลได้เข้ามาตั้ง บ้านเรือนท่ีอยู่อาศัยอย่างถาวรในเมืองท่า ตลาดการค้า และบริเวณรอบๆ แหล่งแร่ดีบุกส�ำคัญของภาคใต้ เชน่ ปตั ตานี นครศรธี รรมราช บา้ นดอน หลงั สวน กระบ่ี กนั ตงั และตะกวั่ ปา่ ตงั้ แตก่ อ่ นจะมกี ารสถาปนากรงุ สโุ ขทยั เปน็ ราชธานี แตห่ ลงั จากการเขา้ มาของพอ่ คา้ ชาวอาหรบั และเปอรเ์ ซยี โดยการเดนิ เรอื ทเี่ ปน็ เสน้ ทางการคา้ ทสี่ ำ� คญั ของโลกในเวลานน้ั คอื จนี คาบสมทุ รมลายู อนิ เดยี และตะวนั ออกกลาง เรอื สำ� เภาของจนี นำ� เขม็ ทศิ มาใชใ้ นการเดนิ เรอื เป็นชาติแรกของโลก พ่อค้าชาวจีนน�ำสินค้าจากทะเลจีนใต้ มาแวะจอดพักตามเมืองท่าชายฝั่งทะเลตะวันออก ของภาคใต้ ถัดจากนั้นจะใช้สตั วเ์ ป็นพาหนะ และแรงงานคนลำ� เลยี งสนิ ค้าในการขนส่งทางบก ไปลงเรอื ในบรเิ วณ เมอื งทา่ ทางฝง่ั ทะเลตะวนั ตก คอื ทะเลอนั ดามนั อกี ตอ่ หนง่ึ ในทางกลบั กนั สนิ คา้ ใดทข่ี นสง่ มาจากมหาสมทุ รอนิ เดยี จะใช้วิธีการขนส่งแบบเดียวกันในการขนย้ายสินค้าไปฟากหนึ่งของภาคใต้ เง่ือนไขดังกล่าว ท�ำให้พ่อค้าชาวจีน โพน้ ทะเลเหลา่ นี้ จ�ำเป็นต้องสร้างอาคารท่ี โกดงั เก็บสนิ คา้ อย่างถาวรตามบรเิ วณเมืองทา่ โบราณทั้งสองฝง่ั ทะเล ชาวจีนโพ้นทะเลส่วนใหญ่ จะเดินทางมาจากมณฑลกวางตุ้ง และมณฑลฝูเจ้ียน ที่อยู่ทางภาคใต้ ของจนี เนอ่ื งจากชาวจนี ในมณฑลดงั กลา่ วถกู ราชวงศห์ ยวน ทมี่ าจากมองโกลขบั ไล่ ตอ้ งการทำ� ลายใหส้ น้ิ ซาก เพราะ เป็นกลุ่มที่ต่อต้านมองโกลมากที่สุด ในช่วงเวลาที่มองโกลเข้ามารุกรานแผ่นดินจีน เมื่อปลายคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๓ ต่อเนื่องไปจนถึงปลายคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๔ ชาวจีนโพ้นทะเลกลุ่มน้ีต้องกระเสือกกระสนหนีไปตายเอาดาบหน้า ยังดินแดนต่างๆ ในทะเลจีนใต้ เมืองท่าส�ำคัญในฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรมลายู เช่น ปัตตานี จนท�ำให้ กลายเปน็ ชมุ ชนจนี โพน้ ทะเลทใ่ี หญท่ ส่ี ดุ แหง่ หนง่ึ ของภมู ภิ าคมาตง้ั แตน่ น้ั มา เชน่ เดยี วกบั ทเ่ี มอื งมะละกา ทไ่ี ดพ้ ฒั นา มาเป็นเมอื งทา่ ทส่ี ำ� คญั อกี แห่งหนึ่งของโลก และเป็นศนู ย์กลางการเผยแผข่ องศาสนาอสิ ลาม ชาวจีนโพ้นทะเลเหล่าน้ีจะได้รับการคุ้มครองจากจักรวรรดิจีนอย่างเต็มที่ ถึงกับยกกองทัพเรือ มาแสดงแสนยานุภาพ โดยการเคล่ือนกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่ภายใต้การน�ำของนายพลเรือเจ้ิง เหอ มากถึง ๗ คร้ัง มาอวดโฉมในนา่ นนำ้� แถบนใ้ี นระหวา่ ง พ.ศ. ๑๙๔๘ – ๑๙๗๖ และครงั้ ที่ ๒ ยงั ยกกองทพั เรอื มาปรามกรงุ ศรอี ยธุ ยา มิให้มาคุกคามมะละกา ต่อมาในช่วง พ.ศ. ๒๑๒๑ – ๒๑๒๓ หลิม โตเคี้ยม และพลพรรคโจรสลัดจีนฮกเก้ียน ราวประมาณ ๒,๐๐๐ คน หลบหนีการปราบปรามของราชวงศ์หมิง มาขอความช่วยเหลือจากชาวจีนฮกเกี้ยนท่ี เมอื งปตั ตานี ภายหลงั ไดแ้ ตง่ งานกบั ธดิ าของสลุ ตา่ นเมอื งปตั ตานี และเปลยี่ นมานบั ถอื ศาสนาอสิ ลาม สว่ นนอ้ งสาว คือ หลิม โกเน้ียว พยายามให้พี่ชายเดินทางกลับไปยังเมืองจีน แต่ไม่ประสบความส�ำเร็จ จึงฆ่าตัวตายเป็น การสังเวยชวี ิต จนกลายเปน็ ต�ำนานอันศักดิ์สิทธขิ์ องเมืองปัตตานมี าจนถึงทกุ วนั น้ี ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๗ ชาวจีนโพ้นทะเลได้กระจายตัวเข้าไปท�ำเหมืองแร่ในพื้นที่ต่างๆ ของสยาม ทางฝง่ั ทะเลตะวนั ตก แถบเมอื งถลาง เมอื งตะกว่ั ปา่ และเมอื งอนื่ ๆ มากขน้ึ เพราะรฐั ตอ้ งสง่ แรด่ บี กุ ออกสตู่ ลาดโลก ตามโควต้าท่ีได้รับจัดสรรแต่ละปี ความเช่ียวชาญทางด้านการท�ำเหมืองแร่ดีบุก และการค้าขายมากกว่าคน ในทอ้ งถิ่น ท�ำใหก้ จิ การคา้ ตกอยู่ในมือของชาวจนี เสียเปน็ ส่วนใหญ่ ท้ังที่เปน็ กิจการคา้ ของราชสำ� นกั ในเมืองหลวง และครอบครัวของเจ้าเมืองต่างๆ รวมทั้งการค้าปลีกในหัวเมืองในชุมชนต่างๆ ของภาคใต้พ่อค้าชาวจีนเข้าไปมี บทบาทในการค้าไปโดยปริยาย เพราะชุมชนชาวจีนกระจายอยู่ในทุกภูมิภาค เพื่อท�ำการค้าควบคู่ไปกับการท�ำ เหมืองแรดีบุกและสวนยางพารา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้ังแต่ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี ๒๐ จะมีทุน และแรงงาน จากชาวจีนโพน้ ทะเลเข้ามามาก ซงึ่ มสี ่วนผลกั ดันใหย้ างพาราเป็นพชื เศรษฐกิจที่มีส่วนส�ำคญั ในการก�ำหนดวถิ ีชีวติ ของชาวบ้านในภาคใต้ค่อนข้างมาก เพราะการลงทุนท�ำสวนยางในแปลงขนาดใหญ่จะเกินความสามารถ ในการลงทุนของชาวพ้นื เมืองท่เี ป็นไทยพุทธและมุสลิม (๑๕) ภวู ดล ทรงประเสรฐิ (๒๕๔๘ : ๑๖ – ๕๒). 102 หลักสตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

หลงั การท�ำสนธิสญั ญาเบาริง่ (The Bowring Treaty ) เม่ือ พ.ศ. ๒๓๙๘ เงอื่ นไขของสนธสิ ญั ญานี้ จะบังคับทางอ้อมให้รัฐสยามเปิดประตูต้อนรับการอพยพเข้ามาต้ังถิ่นฐานของชาวจีนโพ้นทะเล ท่ีมาขายแรงงาน มากยิ่งกว่ายุคสมัยใด ท�ำให้ชาวจีนในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ชุมชนคนจีนขนาดใหญ่อย่างในภาคใต้ เช่น ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช บ้านดอน และบริเวณแหล่งแร่ดีบุกในภาคใต้ฝั่งตะวันตกของคาบสมุทร มีชาวจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่เป็นจ�ำนวนมาก ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๑๙ เป็นต้นมา เรือกลไฟของบริษัทชาวตะวันตก มาเปิดบริการรับส่งผู้โดยสารจากเมืองท่าส�ำคัญต่างๆ ระหว่างภาคใต้ของจีน เช่น เมืองเซี่ยเหมิน เมืองซันโถว่ เมืองกวางตุ้ง และเมืองไหโขว่มายังสิงคโปร์ นับเป็นศูนย์กลางการขนถ่ายชาวจีนโพ้นทะเลท่ีใหญ่ท่ีสุดในภาคพื้น เอเชียอาคเนย์ ตลอดจนบริการรับส่งสินค้า และผู้โดยสารระหว่างสิงคโปร์กับกรุงเทพมหานคร สิงคโปร์กับย่างกุ้ง ท�ำให้ชาวจีนโพน้ ทะเลร่นุ ใหมอ่ พยพมาตงั้ ถิ่นฐานในภาคใตเ้ พ่มิ มากข้ึนตามลำ� ดับ นอกจากน้ันแล้ว เมื่อเส้นทางรถไฟสายใต้บางส่วนเปิดบริการ ท�ำให้ชาวจีนฮกจิวจากรัฐเปรัค และรัฐอ่ืนๆ ในมาเลเซีย อพยพเข้ามาในพื้นภาคใต้ของสยาม เป็นจ�ำนวนมาก เน่ืองจากเป็นพ้ืนที่เหมาะสม ในการท�ำสวนยางพารา ความหลากหลายของกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล ท้ังด้านภาษา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ต่างๆ ทีม่ มี ากถงึ ๖ ส�ำเนยี งภาษา เช่น ฮกเก้ียน กวางตุ้ง แตจ้ ๋วิ แคะ ไหหลำ� และฮกจวิ ท�ำให้วฒั นธรรม และประเพณี และธรรมเนยี มปฏบิ ตั ทิ ป่ี ฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มาแตค่ รงั้ บรรพบรุ ษุ ไดถ้ กู นำ� มาปฏบิ ตั ใิ นกลมุ่ ของตนเอง และผทู้ อี่ ยใู่ กลเ้ คยี ง ท�ำให้วัฒนธรรมความเป็นอยู่เหล่านี้เผยแพร่ไปยังกลุ่มอื่นๆ ด้วย การเข้ามาของชาวจีนโพ้นทะเล เป็นจ�ำนวนมากเหล่านี้ ส่งผลใหม้ ีการรวมกล่มุ กนั จัดตง้ั สมาคมของตนเอง เพือ่ ร่วมทำ� กิจกรรมต่างๆ เพราะคนจนี แตล่ ะภาษาจะมลี กั ษณะรว่ ม คอื นบั ถอื บรรพบรุ ษุ รกั พร่ี กั นอ้ ง รกั เพอ่ื นฝงู และชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู ผทู้ มี่ ชี อ่ื แซเ่ ดยี วกนั เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เพื่อให้มีความเป็นอยู่ท่ีม่ันคง ร�่ำรวยม่ังค่ัง และสืบเครือญาติให้เป็นปึกแผ่นและถ่ายทอด วฒั นธรรมประเพณีปฏบิ ัตขิ องตนเองใหด้ �ำรงอยู่สืบไป ความอุดมสมบูรณ์ของปลาทูจากอ่าวบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก กลายเป็นปัจจัยส�ำคัญอีก ประการหน่ึงที่ท�ำให้ชาวจีนไหหล�ำและชาวจีนแต้จิ๋วอพยพมาตั้งถ่ินฐานอย่างถาวรในบริเวณปากแม่น้�ำหลังสวน ปากแมน่ ำ้� ตาปี และปากพนงั จนกระทงั่ เมอื งทา่ และหมบู่ า้ นชาวประมงตา่ งๆ ตงั้ แตช่ มุ พรไปจนถงึ นครศรธี รรมราช ได้กลายเป็นชุมชนจีนโพ้นทะเลขนาดใหญ่ โดยมีชาวจีนแต้จ๋ิว และชาวจีนไหหล�ำเป็นชนกลุ่มใหญ่ ประกอบกับ ในขณะนั้นรัฐบาลในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีนโยบายเพ่ิมจ�ำนวนประชากร จึงได้น�ำเอาชาวจีนโพ้นทะเล มาเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเพิ่มประชากร เพื่อสร้างความรุ่งเรืองให้แก่ประเทศเหมือนเมื่อคร้ังกรุงศรีอยุธยา เรืองอ�ำนาจ ท�ำให้ชาวจีนสามารถแต่งงานกับคนไทยได้จุดเปลี่ยนน้ีเองเป็นส่วนหนึ่งที่ท�ำให้วัฒนธรรมไทย และจนี ผสมผสานกนั ไดอ้ ย่างลงตวั การอยู่ร่วมกันในสังคมชาวจีนโพ้นทะเลด้วยกันที่ใช้ภาษาคนละภาษา วัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติ ในชวี ติ ประจำ� วนั แตกตา่ งกนั เมอื่ มาอยรู่ ว่ มกนั ในแผน่ ดนิ ใหม่ ทำ� ใหว้ ฒั นธรรมในชวี ติ ประจำ� วนั บางอยา่ งหลอ่ หลอม ผสมผสานกัน จนถึงกับมีค�ำกล่าวว่า “กินแบบกวางตุ้ง ฝังแบบฮกเก้ียน” ในหมู่ชาวจีนด้วยกัน หมายความว่า ต้องกินอาหารดีๆ ที่มีรสชาติอร่อยเหมือนอาหารของจีนกวางตุ้ง เพราะคนจีนถือว่าเร่ืองอาหารการกิน เป็นเร่ืองส�ำคัญ ในขณะมีชีวิตอยู่ต้องอยู่ดีกินดี จะได้มีแรงเอาไว้ท�ำงานอย่างเต็มท่ี เม่ือส้ินชีวิตลง จะต้องฝังร่าง ลงในโลงศพท่ีมั่นคง ภายในสุสานที่ฮวงจุ้ยที่งดงาม และสวยงามด้วยศิลปะที่วิจิตรพิสดารอย่างสุสาน ของชาวจนี ฮกเกยี้ น รวมไปถงึ การมพี ธิ กี งเตก็ ทยี่ ง่ิ ใหญ่ และมเี ครอื่ งใชท้ จ่ี ำ� เปน็ ในโลกนี้ และโลกหนา้ อยา่ งครบถว้ น จะไดม้ ชี วี ติ ในภพใหม่ทีเ่ ป็นสุขสมบรู ณ์ 103หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถิน่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

ภาสกร วงศ์ตาวัน กล่าวว่า(๑๖) วิลเลี่ยม จี สกินเนอร์ ได้ศึกษาสังคมจีนในประเทศไทย จากหลักฐาน โบราณบางช้ินของไทยพบว่า เม่ือศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๔ แหลมมลายูเป็นแหล่งแรกท่ีพ่อค้าชาวจีน และชาวประเทศอน่ื ๆ เขา้ มาโดยขบวนเรอื ส�ำเภาสินค้าและไดพ้ บแรด่ ีบกุ ในพ้นื ที่ภาคใตข้ องไทย เพราะได้จอดเรือ ทางฝั่งตะวันออกเพื่อขนส่งสินค้าไปยังฝั่งตะวันตกของไทย ท�ำให้ค้นพบแร่ดีบุกในบริเวณภาคใต้ของไทย แถบจังหวัดชุมพร สุราษฎรธานี และนครศรีธรรมราช คนจีนบางส่วนจึงได้ลงหลักปักฐานท�ำมาหากินในบริเวณ พ้ืนที่เหล่านี้ ส่วน ดร.สืบแสง พรหมบุญ ผู้เช่ียวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยสมัยโบราณ อธิบายว่า ในช่วงปลายราชวงศ์ซ้อง พวกมองโกลรุกรานจีนได้ส�ำเร็จ ท�ำให้กษัตริย์จีน และราชวงศ์ส่วนหน่ึงต้องหนี ออกนอกประเทศ สว่ นหนงึ่ เขา้ มาในแผน่ ดนิ สวุ รรณภมู ใิ นยคุ สมยั สโุ ขทยั เปน็ ราชธานี และ รศ.ดร.ศรศี กั ดิ์ วลั ลโิ ภดม นักวิชาการทางโบราณคดีได้สรุปว่า ต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๘ เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้ามาค้าขาย ต้ังหลักแหล่งและลี้ภัยทางการเมือง แต่จะมีการหยุดชะงัก ไปบ้างเป็นบางช่วงเพราะเหตุผลทางการเมือง แต่ที่แน่นอนที่สุดว่าย่อมจะมีการผสมผสานทางชาติพันธุ์ ระหวา่ งคนไทยกบั คนจนี มาโดยตลอด เพราะชาวจนี ไดแ้ ตง่ งานกบั หญงิ สาวชาวไทย ทำ� ใหค้ นจนี สามารถขยบั ฐานะ ทางสังคมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและระบบราชการของไทยได้ไม่ยากนัก ด้วยความเช่ียวชาญทางการค้าของชาวจีน ท�ำให้สามารถดำ� รงอยู่ในสังคมไทยได้อยา่ งมเี อกภาพมาจนถึงทุกวันน้ี (๑๖) ภาสกร วงศ์ตาวัน (๒๕๓๗ : ๗๙ – ๙๐). 104 หลกั สตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถ่ินจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

บทท่ี ๒ วัฒนธรรมพื้นที่ ประเพณีพนื้ เมอื ง ๑. ความหมายของวฒั นธรรมและประเพณี ค�ำว่า วัฒนธรรม มาจากภาษาบาลีสันสกฤต ซ่ึงแปลว่า ธรรม เป็นต้นเหตุให้เจริญ ในภาษาบาลีสันสฤต เขียนวา่ “วฑฺฒนธมมฺ ” หมายถึง ความดี หรือลักษณะท่ีจะแสดงถึงความเจรญิ วัฒนธรรม ในภาษาอังกฤษ คือ culture ที่มาจากภาษาฝร่ังเศส ซ่ึงมีรากศัพท์มาจากค�ำว่า cultura ในภาษาละติน มีความหมายว่า การเพาะปลูก หรือการปลูกฝัง ซ่ึงก็พออธิบายได้ว่ามนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังให้เกิด ความเจรญิ งอกงาม ค�ำว่าวัฒนธรรม เป็นค�ำรวมกันสองค�ำ คือ ค�ำว่า “วัฒนะ” ท่ีหมายถึง เจริญงอกงาม และ “ธรรม” ท่ีหมายถึง กฎระเบียบ ข้อปฏิบัติ เมื่อรวมกันแล้วจึงหมายถึง ข้อปฏิบัติที่ท�ำให้เกิดความเป็นระเบียบวินัย อนั จะท�ำใหเ้ กิดความเจรญิ งอกงาม ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕ ให้ความหมายของค�ำว่า วัฒนธรรมไว้ว่า(๑) หมายถึง ลักษณะท่ีแสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบ ความกลมเกลียว ความก้าวหน้าของชาติ ศีลธรรมอนั ดงี ามของประชาชน วัฒนธรรม เป็นสิ่งท่ีเกิดขึ้นจากการท่ีประชาชน ประพฤติปฏิบัติร่วมกัน เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันมา ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างต่อเนื่องกัน ซึ่งมีการสืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน หรืออาจเป็นการประดิษฐ์คิดค้น ส่ิงท่ีดีงามขึ้นมาใหม่ หรือว่าได้รับมาจากสังคม ประเทศอ่ืน และต้องได้รับการยอมรับ ยึดถือเป็นแบบแผนปฏิบัติ ร่วมกนั ของสมาชกิ ในสงั คมนน้ั ๆ จงึ จะถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของสังคมนั้น สารานุกรมเสรี กล่าวไว้ว่า(๒) วัฒนธรรม โดยทั่วไปหมายถึง รูปแบบของกิจกรรมมนุษย์ และโครงสร้าง เชิงสัญลักษณ์ท่ีท�ำให้กิจกรรมน้ันเด่นชัดและมีความส�ำคัญ วิถีการด�ำเนินชีวิต ซ่ึงเป็นพฤติกรรมและส่ิงท่ีคน ในหมูผ่ ลิตสรา้ งขึน้ ด้วยการเรยี นรจู้ ากกนั และกนั และร่วมใช้อยูใ่ นหมู่พวกของตน วัฒนธรรมส่วนหน่ึงสามารถแสดงออกผ่าน ดนตรี วรรณกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม การละคร และภาพยนตร์ แมบ้ างครง้ั อาจมผี กู้ ลา่ ววา่ วฒั นธรรม คอื เรอ่ื งทวี่ า่ ดว้ ยการบรโิ ภคและสนิ คา้ บรโิ ภค เชน่ วฒั นธรรม ระดับสูง วัฒนธรรมระดับต�่ำ วัฒนธรรมพื้นบ้าน หรือวัฒนธรรมนิยม เป็นต้น แต่นักมานุษยวิทยาโดยท่ัวไป มักกล่าวถึงวัฒนธรรมว่า มิได้เป็นเพียงสินค้าบริโภค แต่หมายรวมถึงกระบวนการในการผลิตสินค้าและ การให้ความหมายแก่สินค้านั้น ๆ ด้วย ท้ังยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ทางสังคม และแนวการปฏิบัติที่ท�ำให้วัตถุ และกระบวนการผลิตหลอมรวมอยู่ด้วยกัน ในสายตาของนักมานุษยวิทยาจึงรวมไปถึงเทคโนโลยี ศิลปะ วทิ ยาศาสตร์รวมทง้ั ระบบศีลธรรม   (๑) พระราชบญั ญตั ิวฒั นธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕. (๒) สารานกุ รมเสรี. 105หลกั สตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

          กล่าวโดยสรุปแล้ว ค�ำว่า วัฒนธรรม หมายถึง วิถีแห่งการด�ำรงชีวิตของคนในสังคมนั้นๆ นับต้ังแต่ การด�ำรงชีวิติในแต่ละวัน การกิน การอยู่ การแต่งกาย การพักผ่อน การท�ำงาน การจราจรการขนส่ง การแสดง อารมณ์ การอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งวิถีชีวิตนั้น เริ่มมาจากการท่ีมีต้นแบบ อาจจะเป็นตัวบุคคลแล้วมีคน ส่วนใหญ่ หรือประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นด้วย และปฏิบัติสืบทอดกันมา โดยส่ิงน้ันต้องเป็นส่ิงที่ดีงาม เพื่อด�ำรงไวต้ ราบจบชั่วลกู ช่วั หลาน สว่ นคำ� วา่ ประเพณี (Tradition) เปน็ กจิ กรรมทม่ี กี ารปฏบิ ตั สิ บื เนอื่ งกนั มา เปน็ เอกลกั ษณ์ และมคี วามสำ� คญั ตอ่ สงั คม เชน่ การแตง่ กาย ภาษา วฒั นธรรม ศาสนา ศลิ ปกรรม กฎหมาย คณุ ธรรม ความเชอ่ื ฯลฯ อนั เปน็ บอ่ เกดิ ของวฒั นธรรมของสังคมเชื้อชาติตา่ งๆ กลายเปน็ ประเพณีประจ�ำชาติ และถ่ายทอดกันมาโดยล�ำดบั หากประเพณี นน้ั ดีอยแู่ ลว้ ก็รกั ษาไว้เปน็ วัฒนธรรมประจำ� ชาติ หากไมด่ ีกแ็ กไ้ ขเปลยี่ นแปลงไปตามกาลเทศะ พระยาอนมุ านราชธน(๓) ใหค้ วามหมายของคำ� วา่ ประเพณไี วว้ า่ คอื ความประพฤตทิ ช่ี นหมหู่ นง่ึ อยใู่ นทแี่ หง่ หนง่ึ ถือเป็นแบบแผนกันมาอย่างเดียวกัน และสืบต่อกันมานาน ถ้าใครในหมู่ประพฤติออกนอกแบบก็ผิดประเพณี หรือผดิ จารตี ประเพณี คำ� วา่ ประเพณี ตามพจนานกุ รมภาษาไทยฉบบั บณั ฑติ ยสถาน(๔) ไดก้ ำ� หนดไวว้ า่ เปน็ ขนบธรรมเนยี มแบบแผน ซ่ึงสามารถแยกค�ำต่างๆ ออกได้เป็น ขนบ มีความหมายว่า ระเบียบแบบอย่าง ธรรมเนียมมีความหมายว่า ที่นิยมใช้กันมา และเมื่อน�ำมารวมกันแล้วก็มีความหมายว่า ความประพฤติที่คนส่วนใหญ่ ยึดถือเป็นแบบแผน และไดท้ ำ� การปฏิบตั ิสบื ตอ่ กันมา จนเป็นต้นแบบทจ่ี ะให้คนร่นุ ตอ่ ๆ ไปได้ประพฤตปิ ฏิบตั ิตามกนั ตอ่ ไป โดยสรุปแลว้ ประเพณี หมายถงึ ระเบยี บแบบแผนท่กี �ำหนดพฤติกรรมในสถานการณ์ตา่ งๆ ทค่ี นในสงั คม ยึดถือปฏิบัติสืบกันมา ถ้าคนใดในสังคมน้ันๆ ฝ่าฝืนมักถูกต�ำหนิจากสังคม ลักษณะประเพณีในสังคมระดับ ประเทศชาติ มีท้ังประสมกลมกลืนเป็นอย่างเดียวกัน และมีผิดแผกกันไปบ้างตามความนิยมเฉพาะท้องถิ่น แต่โดยมาก ย่อมมีจุดประสงค์ และวิธีการปฏิบัติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีเฉพาะส่วนปลีกย่อยที่เสริมเติมแต่ง หรือตัดทอนไปในแต่ละทอ้ งถิน่ ๒. วฒั นธรรม ประเพณที ่ีสบื เน่อื งมาจากศาสนา วัฒนธรรมและประเพณีในภูมิภาคต่าง ๆ อาจได้รับอิทธิพลจากการติดต่อกับภูมิภาคอื่น เช่น การเป็น อาณานิคม การค้าขาย การย้ายถ่ินฐาน การสื่อสารมวลชน และศาสนา อีกทั้งระบบความเช่ือ ไม่ว่าจะเป็นเร่ือง ศาสนามีบทบาทในวฒั นธรรมในประวตั ศิ าสตรข์ องมนุษยชาติมาโดยตลอด รัตติยา สาและ กล่าวถึงโดยสรุปว่า(๕) อาณาจักรลังกาสุกะ เป็นที่อยู่ของคนเชื้อสายมลายูที่เคยนับถือ ภูตผี และวิญญาณมาก่อน ส่วนศาสนาพราหมณ์ ฮินดู พุทธ เข้ามาในภายหลัง ซ่ึงได้รับอิทธิพลจากอาณาจักร มัชปาหิต ท่มี ศี นู ยก์ ลางอยทู่ เี่ กาะชวากลาง และยังไดร้ ับอทิ ธิพลจากอาณาจกั ศรีวิชยั ที่มศี ูนย์กลาง ท่นี ครปาเล็มบงั บนเกาะสมุ าตรา ทำ� ใหไ้ ดร้ บั วฒั นธรรมทเ่ี ปน็ วถิ ชี วี ติ แบบชวา – ฮนิ ดู มาดว้ ยทำ� ใหเ้ กดิ การผสมผสานเปน็ วฒั นธรรม มลายู – ชวา วฒั นธรรมมลายู – ฮนิ ดู วัฒนธรรมมลายู – พทุ ธ และวัฒนธรรมมลายู – ฮินดู – พุทธ (๓) พระยาอนมุ านราชธน. (๔) พจนานกุ รมภาษาไทยฉบบั บัณฑติ ยสถาน. (๕) รัตตยิ า สาและ (๒๕๔๐ : ๓๑ – ๓๘). 106 หลกั สตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถ่ินจังหวัดชายแดนภาคใต)้

ทุกศาสนามีค�ำสอนปรากฏในคัมภีร์ต่าง ๆ ให้ศาสนิกใช้ในการปฏิบัติตนตามท�ำนองคลองธรรม ตามข้อก�ำหนดของธรรมะท่ีองค์ศาสดาได้ส่ังสอนไว้ ให้เป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจของคน อันจะช่วยจรรโลงสังคม ให้ด�ำรงอยู่ได้อย่างเป็นสุข หลักธรรมค�ำสอนของศาสนาต่างๆ เป็นวัฒนธรรมหลักท่ีผู้คนทุกเผ่าพันธุ์ยอมรับนับถือ หลกั คำ� สอนบางอยา่ งไดพ้ ฒั นาเปน็ แนวปฏบิ ตั ใิ นวถิ ชี วี ติ ของผคู้ น เปน็ ประเพณขี องสงั คมทปี่ ฏบิ ตั สิ บื เนอื่ งมายาวนาน จนถึงปจั จุบัน ซ่งึ จะกลา่ วถงึ ในล�ำดับตอ่ ไปนี้ ๒.๑ วัฒนธรรมทสี่ ืบเนื่องมาจากศาสนาพุทธ กล่าวไว้ในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ว่า(๖) ชาวใต้ถือว่า วัดเป็นศูนย์รวมของสังคม เป็นแหล่ง วิทยาการต่างๆ โดยมีพระเป็นครู เป็นผู้น�ำทางจิตใจ เป็นแพทย์ เป็นโหร รวมเรียกว่าเป็นท่ีพึงทางใจ จึงนิยม ให้ลูกหลานเข้าไปบวชเรียนในวัด วัฒนธรรมการบวชเรียนจึงเกิดข้ึน โดยชาวพุทธน�ำบุตรหลานไปฝากวัด เพอื่ ใหบ้ วชเรยี นศาสตรห์ ลายสาขา เชน่ สถาปตั ยกรรม ประตมิ ากรรม จติ รกรรม วรรณกรรม และคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ต่อไปนจี้ ะจ�ำแนกให้เหน็ อย่างชัดเจน คือ ๑) วัฒนธรรมด้านการประติมากรรม ถือว่าประติมากรรมเก่าแก่ท่ีสุดในทางพุทธศาสนา คอื เสมาธรรมจกั ร เพราะเปน็ ศลิ ปกรรมทมี่ าจากสกลุ ชา่ งอนิ เดยี สมยั พระเจา้ อโศกมหาราช ตอ่ มาไดม้ กี ารออกแบบ เปน็ พระพทุ ธรปู ทเ่ี ปน็ พระพทุ ธศรศี ากยมนุ ี พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวร เปน็ จำ� นวนมาก ทงั้ ทเี่ ปน็ ฝมี อื ชา่ งสกลุ อนิ เดยี และช่างพ้ืนบา้ นภาคใต้ เชน่ พระพทุ ธสหิ งิ ค์ท่ถี ือวา่ เปน็ แบบฉบบั ของภาคใต้ และยังพบพระโพธิสตั ว์อวโลกเิ ตศวร สมัยศรีวชิ ยั ท่อี �ำเภอไชยา จังหวดั สรุ าษฎรธ์ านี เป็นตน้ ๒) วัฒนธรรมด้านสถาปัตยกรรมของไทยเป็นศิลปะที่มาจากอิทธิพลของศิลปะอินเดียที่เข้ามา พรอ้ มศาสนาพทุ ธและศาสนาพราหมณ์ เชน่ พระมหาธาตุนครศรธี รรมราชองค์เดมิ เปน็ เจดยี ์แบบวชั รญาน ๕ ยอด เช่นเดียวกับพระมหาธาตุไชยา เพราะสร้างขึ้นในยุคสมัยเดียวกัน ต่อมามีเจดีย์มากมายที่มาจากอิทธิพล ของพระมหาธาตุนครศรีธรรมราช เช่น พระธาตุเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว จังหวัดพัทลุง พระธาตุเจดีย์วัดพะโคะ จังหวัดสงขลา นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการสร้างอุเทสิกเจดีย์ที่นิยมสร้างกัน เพื่ออุทิศถวายพระพุทธเจ้า โดยมพี ทุ ธบัลลังก์เป็นตวั แทนพระพุทธเจ้า และยงั มพี ระสถปู พระปรางคใ์ นอกี หลายวัดในภาคใต้ ๓) วัฒนธรรมด้านจิตรกรรม งานส่วนใหญ่จะเป็นภาพพุทธประวัติ นิทานชาดก ภาพภูมิช้ัน ของนรกและสวรรค์ ภาพแสดงหลักธรรม ปริศนาธรรม ภาพวรรณคดีทางศาสนา นิทานเปรียบเทียบ และนทิ านพน้ื บา้ นสว่ นใหญจ่ ะเขยี นลงบนผนงั พระอโุ บสถ วหิ าร ศาลาการเปรยี ญ หรอื ผนงั ถำ�้ เพราะจะตดิ อยนู่ าน และเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป เรียกว่า จิตรกรรมฝาผนัง และยังเขียนลงในสมุดข่อยหรือหนังสือบุด เปน็ ภาพประกอบนทิ าน เชน่ ไตรภูมิ พระมาลัย อศภุ กรรมฐาน เป็นตน้ ๔) วัฒนธรรมด้านวรรณกรรม สมัยก่อนผู้ท่ีมีความรู้ เช่น พระ หรือผู้เคยบวชเรียนจะนิยมเขียน เรอื่ งราวต่างๆ เอาไว้ เพ่ือเปน็ ประโยชน์ในทางการศึกษา โดยจะเขียนออกมาในรูปของร้อยแก้วบ้าง ร้อยกรองบ้าง ตามความถนัดของแต่ละคน วรรณกรรมท้องถ่ินภาคใต้มีจ�ำนวนเกินกว่าครึ่งที่สร้างสรรค์ข้ึน เพ่ือเป็นพุทธบูชา หวังให้เป็นอานิสงส์เพื่อตน และญาติมิตรในชาตินี้และชาติหน้า ซ่ึงจะสร้างสรรค์ออกมาด้วยลายมือเขียนท่ีงดงาม ผู้ท่ีมีลายมือดีจะคัดลอกงานเหล่านี้ถวายวัด ผู้มีจิตศรัทธาจะว่าจ้างบุคคลอ่ืนคัดลอกงานให้แพร่หลายมากข้ึน สว่ นใหญจ่ ะถวายวดั เพราะเปน็ ศนู ยร์ วมของการจดั การศกึ ษา ทกุ ชน้ิ งานจะทำ� อยา่ งประณตี มภี าพประกอบสวยงาม (๖) สารานุกรมวฒั นธรรมภาคใต้ (๒๕๔๒ : ๗๓๗๖ – ๗๓๙๓). 107หลักสตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตร์ทอ้ งถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

เพราะถือเป็นหนังสือที่ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากน้ันจะเป็นวรรณกรรมท้องถ่ินภาคใต้ที่สืบเนื่องจากพระพุทธศาสนา เช่น เร่ืองมโนหรานิบาต ฉบับวัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา เร่ืองสวัสดิรักษาค�ำกาพย์ ฉบับวัดหงสาราม อ�ำเภอปะนาเระ จงั หวดั ปัตตานี วฒั นธรรมทุกอย่างทีก่ ล่าวมาข้างตน้ จะแฝงดว้ ยคณุ ธรรม จริยธรรม เพราะงานศลิ ปกรรมทุกแขนง เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ซ่ึงมีเนื้อหาสาระที่จะสร้างคนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม อยู่ร่วมกันในสังคม ได้อย่างสงบสุข นอกจากนั้นแล้ว ยังมีวัฒนธรรมที่สะท้อนออกมาเป็นประเพณีท้องถิ่นภาคใต้มากมายหลายอย่าง เชน่ ประเพณกี ารถวายขา้ วตอก ในวันเข้าพรรษาเดือน ๘ ประเพณีการทำ� บญุ เดอื นสบิ ทม่ี ีการยกสำ� รบั หรือหมรบั การตงั้ เปรต การชงิ เปรต ประเพณกี ารลากพระในเดอื น ๑๑ ประพณงี านบญุ เทศนม์ หาชาติ ประเพณกี ารทอดกฐนิ ประเพณีการทอดผ้าป่า ประเพณีแกงเวียนหรือแกงเวร ฯลฯ และยังมีประพณีปฏิบัติส่วนครอบครัว เช่น ประเพณีการบวช ประเพณีการท�ำขวัญนาค ประเพณีการบังสุกุลกระดูก ประเพณีการท�ำบุญสวดบ้าน ประเพณีจ�ำเริญอายุ อย่างไรก็ตาม ภาคใต้ยังมีประเพณีท่ีไม่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธแต่อย่างใด แต่เป็นท่ีนิยมในหมู่ชาวบ้าน เช่น การมีพิธีสงฆ์ในงานแต่งงาน พระสวดบ้านใหม่ การสะเดาะเคราะห์ การแก้บน การไหว้ครู การไหว้ครูมโนราห์ การท�ำบัวบรรจุอัฐิในสถูป หรือเจดีย์ความผูกพันกับพุทธศาสนามาอย่างยาวนาน ทำ� ใหม้ ีพธิ ีพระเข้าไปเกยี่ วขอ้ งในงานบญุ ต่างๆ ในวิถชี วี ิตประจำ� วัน ๒.๒ วฒั นธรรมทสี่ บื เน่ืองมาจากศาสนาอิสลาม สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ระบุไว้ว่า(๗) คัมภีร์อัล – กุรอานเป็นธรรมนูญการด�ำเนินชีวิต ของมุสลิมในตัวบทเท่านั้น ความจริงแล้ว ชาวบ้านได้ใช้วัตรปฏิบัติประจ�ำวันขององค์ศาสดามาเป็นแบบอย่าง ในการดำ� เนนิ ชีวติ ดว้ ย ศาสนาอสิ ลามในพื้นท่ีภาคใตข้ องไทย ได้รบั อทิ ธพิ ลมาจากพอ่ คา้ ชาวอินเดยี ท่ีนบั ถอื ศาสนา อิสลามในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ชาวอาหรับ และเปอร์เซีย ที่เดินทางเข้ามาท�ำการค้าขายในเมืองท่าต่างๆ ชายฝั่งทะเลภาคพ้ืนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๖ การแต่งงานระหว่างพ่อค้าชาวอินเดีย ชาวอาหรับ และชาวเปอร์เชียกับชาวพื้นเมืองในท้องถิ่น เป็นหนทางหน่ึงของการเผยแผ่ศาสนาอิสลามท่ีแยบยล เป็นอย่างย่ิง ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือ “ต�ำนานปัตตานี” (Sejarah Kerajaan) ของ อิบรอฮีม ชุกรี แปลเป็น ภาษาไทย โดย หะสนั หมดั หมาน ซงึ่ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี ไดจ้ ดั พมิ พข์ น้ึ กลา่ วไวย้ อ้ นไป ในอดีตว่า ท่ีจริงดินแดนมลายูน้ัน มิได้หมายความว่า ชนชาวมลายูเป็นชาติแรกท่ีอาศัยอยู่ เพราะชาวมลายู เปน็ ชาตหิ ลงั สดุ ทเี่ ขา้ มาอาศยั อยู่ ชาวฮนิ ดู ชาวสยาม เขา้ มามอี ำ� นาจอยกู่ อ่ นทชี่ าวมลายจู ะเขา้ มา ชาวฮนิ ดเู ดนิ ทางนำ�้ สฝู่ ง่ั ตะวนั ออกของเอเชยี เขา้ สแู่ หลมมลายแู ละหมเู่ กาะทะเลใต้ เชน่ เกาะสมุ าตรา ชวา บาหลี บรไู น สยาม กมั พชู า และอานาม ทำ� ใหช้ าวพน้ื เมอื งแถบนน้ี บั ถอื ศาสนาพราหมณ์ และพทุ ธนกิ ายมหายาน เมอ่ื ประมาณสองพนั ปลี ว่ งมาแลว้ สว่ นชาวสยามไดเ้ คลอ่ื นยา้ ยมาสดู่ นิ แดนมลายใู นชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๔ – ๕ ซง่ึ ตอ่ มาไดม้ อี ำ� นาจเหนอื กวา่ ชาวฮนิ ดู ได้สร้างความเจริญขึ้นบนแผ่นดินทางตอนใต้ของมลายู ส�ำหรับชาวมลายูเดิมอยู่ที่เกาะเปรจา หรือเกาะสุมาตรา และเคยนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ และพทุ ธนกิ ายมหายานมากอ่ น จะเหน็ ไดว้ า่ บรรพบรุ ษุ ของไทยพทุ ธ และไทยมสุ ลมิ ในภาคใต้ ตา่ งนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ และพทุ ธมากอ่ น ทง้ั เคยมคี วามสมั พนั ธท์ างการปกครอง มสี ภาพภมู ปิ ระเทศ และทรัพยากรที่คล้ายคลึงกัน อันเป็นเหตุให้มีวัฒนธรรมด้ังเดิมท่ีเป็น “วัฒนธรรมร่วม” สืบต่อกันมาช้านาน เช่น การพนมมือไหว้แสดงการคารวะกันในยามพบปะกันของคนในภูมิภาคนี้ สามารถกระท�ำได้โดยไม่ขัดต่อ หลักศาสนา เป็นต้น ซง่ึ ส่งผลต่อวัฒนธรรมภาคใต้ทีส่ ืบเน่ืองมาจนถงึ ปัจจบุ ันในหลายๆ ด้านต่อไปน้ี (๗) สารานกุ รมวฒั นธรรมภาคใต้ (๒๕๔๒ : ๗๓๙๔ – ๗๓๑๐). 108 หลกั สตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ ้องถน่ิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

๑) วฒั นธรรมดา้ นการพดู มสุ ลมิ ทกุ คนจะมคี วามผกู พนั กบั องคอ์ ลั ลอฮอฺ ยา่ งใกลช้ ดิ เพราะทกุ กจิ กรรม ในชีวิตจะกระท�ำในนามของพระองค์ท้ังส้ิน มุสลิมจะต้องเอ่ยนามของพระองค์ด้วยความเคารพ เช่น จะกล่าวว่า “บสิ มลิ ลาฮริ เฺ ราะหมฺ านริ หฺ มี ” แปลวา่ ดว้ ยพระนามของอลั ลอฮฺ ผทู้ รงกรณุ าปรานี ผทู้ รงเมตตาเสมอ กอ่ นทปี่ ฏบิ ตั ิ กจิ กรรมทกุ อยา่ งในชวี ติ ประจำ� วนั เปน็ ตน้ เมอ่ื มกี ารทกั ทายจะมกี ารกลา่ วสลาม ดว้ ยการกลา่ ววา่ “อสั สลามอุ ะลยั กุม วะเราะหฺมะตุลลิฮิ วะบะเราะกาตุฮฺ” แปลว่า ขอสันติสุข ความเมตตาปรานี และความสิริมงคลจากอัลลอฮฺ จงมีแด่ท่าน ผู้กล่าวตอบรับจะตอบว่า “วะอะลัยกุมุสสลาม วะเราะหฺมุตุลลอฮิ” แปลว่า ขอความสันติสุข ความเมตตาปรานี และความเปน็ สริ มิ งคลจากอลั ลอฮฺ จงมแี ตท่ า่ นเชน่ กนั โดยทผี่ เู้ ยาวต์ อ้ งใหส้ ลามแกผ่ อู้ าวโุ สกวา่ กอ่ น ๒) วฒั นธรรมการตง้ั ชอื่ ผชู้ ายมกั จะตงั้ ชอื่ ตามคณุ ธรรมของศาสนา เชน่ อบั ดลุ เราะฮมี อบั ดลุ แปลวา่ ขา้ บา่ ว เปน็ ต้น บางครงั้ ตง้ั ชื่อตามพระนบแี ละรสูล (ผเู้ ผยแพร่ศาสนา) เชน่ อบิ รอฮมิ มูฮมั มัด เปน็ ตน้ สว่ นผู้หญิง จะต้ังช่ือตามชือ่ ของภรรยาและบตุ รีของนบี เช่น ขาตย้ะ อาอเี สาะ เปน็ ตน้ ๓) วัฒนธรรมการแต่งกายของมุสลิมชายและหญิง ต่างสืบเนื่องมาจากหลักการทางศาสนา ท่ีก�ำหนดเอาไว้ว่า ชายต้องปิดอวัยวะของร่างกายที่อยู่ระหว่างสะดือกับหัวเข่า หญิงต้องปกปิดทั้งร่างกาย ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ หากผู้ใดละเมิดถือเป็นบาป ส่งเสริมให้ผู้ชายสวมหมวก แต่ต้องไม่มีปีก หรือให้ใช้ ผ้าโพกศีรษะ ส่วนหญิงให้ใช้เครื่องประดับได้ทุกชนิด ชายจะใช้ผ้าไหมเป็นเครื่องแต่งกาย และปูละหมาดไม่ได้ รวมท้ังห้ามใช้เครื่องประดบั ทเ่ี ปน็ ทองคำ� เวน้ เด็กท่ียงั ไม่บรรลศุ าสนธรรม กลา่ วรวมๆ แลว้ วัฒนธรรมการแต่งกาย จะตอ้ งไมข่ ัดกับศาสนบัญญัติ สามารถปรบั ไปตามสมัยนิยมและสากลนยิ มได้ ๔) วัฒนธรรมการเคารพสถานที่ เพราะมุสลิมยึดถือความสะอาดเป็นการสักการะพระเจ้า ก่อนขึ้น บ้านเรือนจะต้องถอดรองเท้า ล้างเท้า ต้องได้รับอนุญาตก่อนเข้าบ้านผู้อื่นได้ ในศาสนสถานก็เช่นเดียวกัน จะต้องแต่งกายที่สะอาด เรียบร้อย ไม่น�ำส่ิงต้องห้ามเข้าไป เงียบ ส�ำรวม เพื่อให้การประกอบศาสนกิจเป็นไป ตามพระประสงค์ของพระเจา้ ๕) วฒั นธรรมการสนั ทนาการ อสิ ลามสง่ เสรมิ ใหม้ กี ารรน่ื เรงิ ในวนั รายอเทา่ นนั้ สว่ นรปู แบบการรนื่ เรงิ จะตอ้ งไม่ขัดกบั หลกั ศาสนา ส่วนประเพณีท่ีถือปฏิบัติสืบต่อกันมาของกลุ่มชนที่นับถือศาสนาอิสลามในภาคใต้ จะยึดถือตาม ท่ีศาสนบัญญัติเอาไว้ เช่น การละหมาด การถือศีลอด การไปแสวงบุญ การรับประทานอาหาร การแต่งงาน การโกนผมไฟ การเขา้ สนุ ตั การกวนอาซรู อ งานศพ ฯลฯ แตม่ กี ารผสมผสานกบั ศาสนาอน่ื ดว้ ย เชน่ การนง่ั บลั ลงั ก์ ในพธิ ีแตง่ งานตามวัฒนธรรมฮินดู ๒.๓ วัฒนธรรมท่สี บื เนอื่ งมาจากจนี โพน้ ทะเล ภาสกร วงศ์ตาวนั (๒๕๓๗ : ๗๘ - ๙๐) ชาวต่างประเทศทเี่ ขา้ มาในคาบสมุทรมลายนู านทีส่ ุดน่าจะ เป็นคนจีน เพราะหากพิจารณาจากสภาพภูมิศาสตร์แล้ว ถือว่าเป็นศูนย์กลางระหว่างสองอารยธรรมหลัก ในภาคพน้ื ตะวนั ออก คอื อนิ เดยี กบั จนี ทำ� ใหแ้ ผน่ ดนิ ทเี่ รยี กวา่ แหลมทอง คอื ประเทศไทยในปจั จบุ นั มกั กลายเป็น จุดพักเรือสินค้าของบรรดาพ่อค้าในชาติเอเชียมานับแต่อดีต จีนเป็นประเทศหนึ่งท่ีมีความสัมพันธ์อันแนบแน่น กับพื้นท่ีและภูมิภาคแห่งนี้มาแต่อดีต แต่ต้องเข้าใจว่าจีนเป็นราชอาณาจักรท่ียิ่งใหญ่มีอารยธรรมที่มั่นคง จนเป็นท่ีรู้จักของบรรดาเมืองต่างๆ ในภาคพ้ืนอุษาคเนย์ท่ีก่อตัวเข้มแข็งข้ึนอย่างต่อเน่ือง ไม่เว้นแม้แต่สยาม ที่คนไทยเข้ามาปักหลักอาศยั และต้งั ถิ่นฐาน 109หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต)้

สาเหตุส�ำคัญที่ชาวจีนเดินทางมายังภูมิภาคแห่งนี้มีปัจจัยหลักอยู่สองสามประการ คือ การเดินทาง มาหาท�ำเลการค้า พร้อมปักหลัก อีกสาเหตุหนึ่งเพราะความยากจนในแผ่นดิน หรือไม่ก็เพราะความวุ่นวาย ทางการเมืองภายในประเทศจีน ท�ำให้เกิดการอพยพมาหาแหล่งท�ำกินใหม่ คนจีนเข้ามาตั้งหลักแหล่งในภูมิภาคนี้ นับแตก่ อ่ นกำ� เนิดสุโขทยั แตย่ งั ไม่มบี ทบาทใดๆ นอกจากมาตงั้ หลกั แหลง่ และทำ� การคา้ เทา่ นนั้ อีกเหตุผลหน่ึงของการเข้ามาต้ังถ่ินฐานในภูมิภาคน้ีมากข้ึน เพราะวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ของคนในภมู ภิ าคทไ่ี มไ่ ดม้ คี วามแตกตา่ งทางชาตพิ นั ธม์ุ ากนกั และทส่ี ำ� คญั คนไทยหรอื ผคู้ นในแถบถนิ่ นไี้ มไ่ ดม้ ลี กั ษณะ ของการกดี กนั ชาวตา่ งชาตอิ ยา่ งในบางภมู ภิ าค การเขา้ มาอยขู่ องคนจนี ทำ� ใหไ้ ดร้ บั วฒั นธรรมของชาวจนี หลายอยา่ ง ดงั นี้ ๑) วัฒนธรรมทางด้านการค้า เป็นที่ยอมรับกันว่าชาวจีนมีความเชี่ยวชาญการค้ามาต้ังแต่อดีต ประกอบกับความเช่ียวชาญในการเดินเรือส�ำเภาในทะเล ท�ำให้สามารถขนส่งสินค้าไปยังเมืองท่าต่างๆ ได้สะดวก กวา่ ชาตอิ นื่ ๆ การเขา้ มาทำ� การคา้ อยา่ งตอ่ เนอื่ งของชาวจนี ในพน้ื ทต่ี า่ งๆ ได้ ทำ� ใหม้ บี ทบาทมากขน้ึ ในทางเศรษฐกจิ จนสามารถเข้าส่รู ะบบราชการในราชส�ำนกั ไทยได้ ๒) วัฒนธรรมทางด้านปรัชญาความเชื่อความศรัทธา โดยลักษณะนิสัยของคนจีนแล้วจะเป็น ผูท้ อ่ี ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตบรกิ ารตอ่ ผู้อน่ื อย่างเต็มที่ ซ่งึ เป็นคุณสมบตั ทิ เ่ี อ้อื ตอ่ การคา้ ขาย ประกอบกับมีความขยนั มองโลกในทางบวกเปน็ ทนุ เดมิ ทำ� ใหก้ จิ การเจรญิ กา้ วหนา้ ไปเปน็ ลำ� ดบั ลกั ษณะอกี อยา่ งหนงึ่ ทชี่ าวจนี นำ� มาถา่ ยทอด ไว้ในทุกถิ่นท่ีอาศัย คือ การให้บุตรหลานท�ำงานในกิจการของครอบครัว เพื่อสร้างนิสัยรักการท�ำงานและสืบต่อ อาชีพใหม้ ั่นคงสืบไป ๓) วัฒนธรรมทางด้านศิลปะและวรรณกรรม การติดต่อค้าขายเป็นเครื่องมือของการน�ำ ศลิ ปวฒั นธรรมเขา้ มาในภมู ภิ าคตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งแนบเนยี นทสี่ ดุ เพราะโดยนสิ ยั แลว้ คนจนี จะปฏบิ ตั ติ นตามธรรมเนยี ม ประเพณขี องตนอยา่ งเครง่ ครดั เชน่ อาหารการกนิ การนบั ถอื บรรพบรุ ษุ การอา่ นวรรณกรรม ฯลฯ ทำ� ใหว้ ฒั นธรรม เหล่านี้ซึมซาบเข้าไปในวิถีปฏิบัติของผู้คนในถ่ินที่ชาวจีนไปอาศัย ส�ำหรับในทางสถาปัตยกรรมจีนจะปรากฎ ให้เห็นอย่างชัดในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะศาสนสถานต่างๆ จะแสดงให้เห็นความโดดเด่นของศิลปะจีนอย่างชัดเจน ซง่ึ พอๆ กบั เพลง และดนตรีจนี จะได้รับการยอมรบั จากทกุ ภูมภิ าคทีม่ ีชาวจีนอาศัยอยู่ ๔) วัฒนธรรมทางด้านอาหารการกิน คนจีนถือว่าเรื่องการกินดีอยู่ดีเป็นเร่ืองส�ำคัญ ทุกวันจะ ท�ำงานหนักด้วยความมุ่งมั่น เพ่ือสร้างฐานะและครอบครัวให้เป็นปึกแผ่น และเป็นที่ยอมรับของสังคม ร่างกาย จะต้องแข็งแรงในการที่จะฟันฝ่ากับอุปสรรคต่างๆ มากมาย จึงให้ความส�ำคัญกับเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ ดงั จะเหน็ ไดว้ ่าอาหารจนี ไดเ้ ข้าไปมีอทิ ธิพลในความเป็นอยขู่ องชาติพนั ธ์ตุ ่างๆ ในภูมภิ าคนีม้ ากมาย จนไม่มีชนชาติ ใดไมร่ ู้จกั อาหารจีน ๕) วัฒนธรรมทางด้านการปฏิบัติตนในสังคม การท่ีคนจีนกับคนไทยมีความเช่ือและเช้ือชาติ ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะได้รับอิทธิพลทางด้านศาสนาพุทธเหมือนกัน ท�ำให้ยอมรับกันง่ายมากข้ึน และการที่มีการแต่งงานระหว่างคนจีนกับคนไทยด้วยกันแล้ว ยิ่งท�ำให้การแลกเปล่ียนวัฒนธรรมความเป็นอยู่เป็น ไปไดม้ ากยิ่งขึน้ จนอาจเรยี กได้วา่ เป็นการผสมผสานทางชาตพิ ันธ์อุ ย่างเป็นเนอื้ เดียวกนั กไ็ ด้ จนสามารถขยบั ฐานะ ทางสงั คมเปน็ ชนชนั้ สูงของประเทศได้กระท่ังถงึ ปัจจบุ นั ศิลปวัฒนธรรมท่ีกล่าวมาในข้างต้นนั้นกล่าวไว้อย่างเป็นสังเขปเท่าน้ัน แต่ส่ิงที่ปรากฏให้ เห็นเชิงประจักษ์ได้ คือ ไม่ว่าชาวจีนจะไปอยู่ในส่วนไหนของโลก มักจะมีย่านชุมชนของคนจีนเกิดขึ้นอย่าง เป็นปกึ แผ่น สามารถควบคมุ กลไกทางสังคมในชมุ ชนน้ันไดอ้ ยา่ งม่นั คง 110 หลักสตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตรท์ ้องถน่ิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

๓. บทสรปุ รัตติยา สาและ กล่าวไว้ในงานวิจัย เร่ือง “การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกท่ีปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส” ว่า(๘) สภาพความแตกต่างโดยบริบทของความเป็นศาสนิก ซึ่งแฝงความเป็นทายาท ทางชาตพิ นั ธค์ุ วบคดู่ ว้ ยนนั้ เปน็ ปจั จยั สำ� คญั อยา่ งหนง่ึ ทท่ี ำ� ใหศ้ าสนกิ ผเู้ ปน็ “มสุ ลมิ ” และ “ไทยพทุ ธ” มวี ฒั นธรรม ต่างกันตามความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมชาติพันธุ์ดั้งเดิม (ethno – religious beliefs) เม่ืออาศัยข้อมูล เชิงประจักษ์พบว่า ศาสนิกที่เป็นมุสลิมส่วนใหญ่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พยายามครองตนเพื่อคงไว้ ซึ่งเอกลักษณ์ (identity) หรือ “ตาหนา” ของความเป็นมลายู - อิสลามท่ีถือสัญชาติไทยต้ังแต่ก�ำเนิด และเป็นเจ้าของแผ่นดินไทยเช่นเดียวกันกับคนไทยสยามท่ัวไป ส่วนศาสนิกที่เป็นไทยพุทธก็ครองตนตามวิถีทาง ของไทย – พุทธ ซ่ึงเป็นวิถีของคนไทยโดยส่วนใหญ่ท่ีอาศัยอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย สภาพดังกล่าว จะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าผู้คนสองกลุ่มนี้สามารถใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ โดยไม่จ�ำเป็นต้องพ่ึงพาอาศัย และเก่ียวข้องกัน ซึ่งไม่มีโอกาสท่ีจะเป็นอย่างน้ันได้แน่นอน เพราะในสภาพความเป็น “คน” มนุษย์ทุกชาติพันธุ์ และศาสนาย่อมมีความต้องการพื้นฐานเหมือนกันทุกคน คือ ต้องการอาหาร ท่ีอยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค จึงท�ำให้เกิดวัฒนธรรมด้านโภชนาการ วัฒนธรรมทางสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมการแต่งกาย และวัฒนธรรมสาธารณสุข ท้ังน้ีก็เพื่อความอยู่รอด ความต้องการจ�ำเป็นท่ีเป็นเง่ือนไขสากลเหล่าน้ี นับได้ว่า เป็นพลังส�ำคัญมากที่ผลักดันให้มนุษย์ต้องสร้างและสานความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน พร้อมกันนั้นก็เปิดโอกาส ใหม้ กี ารปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งกันด้วย นอกจากน้ัน รัตติยา สาและ ไดก้ ล่าวไวใ้ นบทอภปิ ราย สรปุ ผลและเสนอแนะ ในขอ้ ที่ ๗ ความว่า(๙) “ต้องยอมรับร้รู ่วมกนั วา่ ชีวติ มนษุ ย์ทุกผู้ทกุ นาม ทกุ วัย ทุกเผ่าพนั ธุ์ ทุกชาติ ทกุ ศาสนา ทุกคนต้องการระบบการปกครองท่ีสร้างให้เขาเป็นมนุษย์ท่ีมีจิตวิญญาณ มีอิสระในการคิดและกระท�ำ ทั้งต่อตนเองและสังคมตามแต่อัตภาพ ความต้องการเหล่านั้นคงยังหาได้ไม่ล�ำบากมากนัก ขอเพียงแต่ ได้อยู่อย่างปกติสุข ปราศจากการข่มเหง รังแก ดูถูกดูแคลน และไม่บังคับขู่เข็ญเท่านั้นก็เหลือพอ ข้อขอร้อง ดังกล่าวนี้เป็นหลักการส�ำคัญท่ีจะเอื้อให้เกิดผลดีในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันในระดับหน่ึง ถ้าท�ำได้ดังน้ี จะช่วยให้สังคมมีความสงบสุข มีความปลอดภัย มีความสะดวกใจในการท�ำมาหากิน ท�ำให้เศรษฐกิจของผู้คนดีข้ึน เศรษฐกิจของชุมชนจะดีตาม และภาคใต้จะมั่นคง” จังหวัดชายแดนภาคใต้ดินแดนปลายคาบสมุทรของอุษาคเนย์เป็นพื้นที่ที่มีทะเลล้อมรอบทั้งสองด้าน คอื ฝง่ั ทางตะวนั ออกตดิ ตอ่ กบั อา่ วไทยทต่ี อ่ เนอ่ื งมาจากทะเลจนี ใตใ้ นมหาสมทุ รแปซฟิ กิ สว่ นทางฝง่ั ตะวนั ตกตดิ ตอ่ กบั ทะเลอนั ดามนั ในมหาสมทุ รอนิ เดยี ทง้ั สองดา้ นเปน็ เสน้ ทางการเดนิ เรอื ของอารยะประเทศทมี่ าจากอนิ เดยี เปอรเ์ ซยี ฮอลนั ดา โปรตเุ กส ฝรงั่ เศส องั กฤษ และจนี โพน้ ทะเลทเี่ ปน็ พอ่ คา้ ตวั จรงิ ในภมู ภิ าคนี้ การมที ำ� เลทเี่ หมาะสมกบั การตดิ ตอ่ กับต่างประเทศ ท�ำให้อารยธรรมจากประเทศเหล่าน้ันหลั่งไหลเข้ามาในดินแดนแห่งนี้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน การแลกเปล่ียนวัฒนธรรมได้เกิดข้ึนอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ จนกลายเป็นผลึกทางวัฒนธรรม ทผี่ สมผสานกนั เปน็ เนอ้ื เดยี วกนั สะทอ้ นออกมาเปน็ ประเพณวี ฒั นธรรมตา่ งๆ ในวถิ ชี วี ติ ของผคู้ นในจงั หวดั ชายแดน ภาคใต้ ซ่ึงนักวิชาการทางวัฒนธรรม เรียกว่า วิถีสังคมแบบพหุวัฒนธรรม ท่ีมีรากเหง้ามาจากอารยธรรมแดนไกล และอารยธรรมเดิมของท้องถ่ิน ดังที่ปรากฎหลักฐานในทางโบราณคดีและมานุษยวิทยาในแหล่งต่างๆ มากมาย รวมทงั้ แหลง่ ทเ่ี ปน็ อาณาจกั รโบราณหลายแหง่ เชน่ อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ อาณาจกั รศรวี ชิ ยั อาณาจกั ลงั กาสกุ ะ เปน็ ตน้ (๘) รตั ตยิ า สาและ (๒๕๔๔ : ๑๒๓ – ๑๒๔). (๙) รัตตยิ า สาและ (๒๕๔๔ : ๑๙๒ – ๑๙๓). 111หลกั สตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตร์ท้องถ่ินจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

การศึกษารากเหง้าความเป็นมาทางสังคมและวัฒนธรรมให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จะช่วยให้ผู้คนในสังคม มีความเข้าใจกันมากขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวการเรียนรู้ประวิติศาสตร์ในทุกมิติจึงเป็นเร่ืองที่จ�ำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะท�ำให้รู้จักตัวเอง มีจิตส�ำนึกในความเป็นชาติ มีเหตุมีผลมองเห็นบทเรียนในอดีตที่มีท้ังความส�ำเร็จ และความลม้ เหลว ส่ิงเหล่านีจ้ ะเป็นบทเรยี นท่มี คี ณุ คา่ ต่อการดำ� รงอยูร่ ่วมกันในสังคมได้เป็นอยา่ งดี เราจงึ ไมอ่ าจปฏเิ สธการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมไดเ้ ลย เพราะการทไ่ี ดม้ กี ารแลกเปลย่ี นวฒั นธรรมซง่ึ กนั และกนั จะช่วยใหส้ งั คมมคี วามสมบูรณ์ยิง่ ข้ึน 112 หลกั สูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตร์ทอ้ งถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต้)

บทท่ี ๓ ภมู ิปญั ญาถนิ่ ภูมิปัญญาชาวบ้าน ๑. ความหมายและประเภทของภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ กองวจิ ยั ทางการศกึ ษา กรมวชิ าการ กลา่ ววา่ (๑) ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ (Local wisdom) หรอื ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น (popular wisdom) เป็นองค์ความรู้ความสามารถของชาวบ้านท่ีสั่งสมสืบทอดกันมาอันเป็นศักยภาพหรือ ความสามารถที่จะใช้แก้ปัญหา ปรับตัว เรียนรู้ และมีการสืบทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ หรือคือแก่นของชุมชนท่ีจรรโลง ชุมชนให้อยรู่ อดจนถึงปัจจบุ ัน ศนู ยพ์ ฒั นาหลกั สตู ร กรมวชิ าการ กลา่ ววา่ (๒) ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ (Local wisdom) หรอื ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น (popular wisdom) คอื ความรทู้ เี่ กดิ จากประสบการณใ์ นชวี ติ ของคนเราผา่ นกระบวนการศกึ ษา สงั เกต คดิ วเิ คราะห์ จนเกิดปัญญา และตกผลึกมาเป็นองค์ความรู้ท่ีประกอบกันข้ึนมาจากความรู้เฉพาะหลาย ๆ เรื่อง ความรู้ดังกล่าว ไม่ได้แยกย่อยออกมาให้เห็นเป็นศาสตร์เฉพาะสาขาวิชาต่าง ๆ อาจกล่าวได้ว่า ภูมิปัญญาท้องถ่ินเป็นความรู้ ท่ีมีอยู่ทั่วไปในสังคม ชุมชน และในตัวของผู้รู้เอง หากมีการสืบค้นหาเพ่ือศึกษาและน�ำมาใช้ก็จะเป็นที่รู้จักกันเกิด การยอมรบั ถา่ ยทอด และพัฒนาไปส่คู นรนุ่ ใหม่ ตามยคุ ตามสมัยได้ มณนิภา ชตุ บิ ุตร และนคิ ม ชมพูหลง(๓) ได้แบ่งภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ ออกเป็น ๔ กลมุ่ คอื ๑. คติ ความคดิ ความเชอื่ และหลักการเปน็ พืน้ ฐานขององคค์ วามรู้ทถ่ี า่ ยทอดกันมา ๒. ศลิ ปะ วฒั นธรรม และขนบธรรมเนยี ม ประเพณที เ่ี ปน็ แบบแผนของการดำ� เนนิ ชวี ติ ทปี่ ฏบิ ตั ิ สบื ทอดกันมา ๓. การประกอบอาชพี ในแต่ละทอ้ งถิน่ ที่ไดร้ ับการพฒั นาใหเ้ หมาะสมกบั กาลสมัย ๔. แนวคิดหลักปฏิบัติแลเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ชาวบ้านน�ำมาใช้ในชุมชนเป็นอิทธิพลของความก้าวหน้า ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภูมิปัญญาไทย เป็นผลของประสบการณ์สั่งสมของคนที่เรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ปฏิสัมพันธ์ ในกลมุ่ ชนเดยี วกนั และระหวา่ งกลมุ่ ชมุ ชนหลาย ๆ ชาตพิ นั ธ์ุ รวมไปถงึ โลกทศั นท์ ม่ี ตี อ่ สงิ่ เหนอื ธรรมชาติ ภมู ปิ ญั ญา เหล่าน้ีเคยเอ้ืออ�ำนวยให้คนไทยแก้ปัญหาได้ด�ำรงอยู่ และสร้างสรรค์อารยธรรมของเราเองได้อย่างมีดุลยภาพ กับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในระดับพ้ืนฐานหรือระดับชาวบ้าน ภูมิปัญญาในแผ่นดินน้ีมิได้เกิดข้ึนเป็นเอกเทศ แตม่ สี ว่ นแลกเปลยี่ นเลือกเฟน้ และปรบั ใหภ้ มู ิปัญญาจากอารยธรรมอืน่ ตลอดมา ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ภาคใต้ เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมอนั เกดิ จากการพฒั นา การปรบั ตวั ปรบั วถิ ชี วี ติ ของคน ในภาคใต้ท่ีประกอบด้วยคนไทย และอีกหลายชาติพันธุ์ที่อยู่ร่วมกันในคาบสมุทร มีมลายู จีน และประชากร ท่มี าจากอินเดียฝ่ายใต้ แต่กลุ่มชนทีม่ ีจ�ำนวนมากทสี่ ดุ คอื ไทยสยาม โดยสภาพภูมศิ าสตร์ท่เี ปน็ แหลมทอง มที ะเล กว้างใหญ่ขนาบอยู่ท้ังสองข้างมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ท้ังในทะเลและบนแผ่นดิน การอยู่ในเขตมรสุม ใกล้เส้นศูนย์สูตรท�ำให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะต่อการท�ำมาหากินผู้คนหลายชาติหลายภาษาหลายวัฒนธรรม (๑) กองวจิ ัยทางการศึกษา กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. (๒) ศูนยพ์ ัฒนาหลักสตู ร กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (๓) มณนิภา ชุติบุตร (๒๕๓๘ : ๒๑) และนิคม ชมพูหลง (๒๕๔๒ : ๑๓๑). 113หลกั สตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตร์ท้องถ่นิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

จึงเดินทางมาทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อมาตั้งหลักแหล่งแสวงหาโภคทรัพย์ และท�ำมาค้าขายเป็นเวลาติดต่อกัน ยาวนานกว่าพันปี การต้ังถ่ินฐานท�ำมาหากินกันหลายลักษณะท้ังบริเวณชายทะเล ที่ราบระหว่างชายทะเล กับเทือกเขาหลังเขา และตามสายน้�ำน้อยใหญ่จ�ำนวนมากท่ีไหลจากเทือกเขาลงสู่ทะเลท้ังสองด้าน ภูมิปัญญา ของภาคใต้ จึงมีความหลากหลายท้ังท่ีได้พัฒนาการจากการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หรือคนต่างถิ่นที่พกพามาจากแหล่งอารยธรรมต่างๆ จนหลอมรวมกันเกิดเป็นภูมิปัญญาประจ�ำถ่ินซึ่งมีอยู่ ในหลายลกั ษณะ คอื ๒. ภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ินในดา้ นการดำ� รงชีพ การแสวงหาปัจจัยพ้ืนฐานของการยังชีพถือเป็นส่ิงส�ำคัญเบื้องต้นของชนทุกชาติทุกภาษา ซึ่งวิธีการ จะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ส�ำหรับชนชาวใต้ท่ีมีท�ำเลตั้งถิ่นฐานค่อนข้างหลากหลาย คือ มีทั้งที่ราบ ตามแนวชายฝง่ั ปากอา่ ว ทา่ เรอื ทรี่ าบเชงิ เขา หลงั เขา ตามแนวสายนำ�้ นอ้ ยใหญ่ บนเกาะ ประกอบกบั ความอดุ มสมบรู ณ์ ของผืนแผ่นดิน ท�ำให้ชาวใต้ได้เรียนรู้และส่ังสมประสบการณ์ความสามารถ อย่างมากมายในการจัดการ และปรบั ตัวใหส้ ามารถด�ำรงอยอู่ ย่างกลมกลืนกับสภาพแวดลอ้ มซ่งึ มอี ยูห่ ลายประการ คอื ๑. การขุดสระน้�ำ เพ่ือให้ได้น�้ำจืดใสสะอาดไว้กินไว้ใช้ตลอดท้ังปี เนื่องจากอยู่ใกล้ทะเลยามท่ีน�้ำข้ึน น้�ำเค็มจะไหลเอ่อเข้ามาในแผ่นดิน จะอาศัยอาบกินก็ไม่สะดวก ดังนั้นจึงเกิดภูมิปัญญาในการหาท�ำเลขุดบ่อน้�ำ ซึง่ บรเิ วณทเี่ หมาะสม เช่น บรเิ วณที่มีหญา้ ขนึ้ ในฤดแู ล้ง บริเวณที่มีตน้ กะพ้อ มะเดือ่ หรือมจี อมปลวก เปน็ บรเิ วณ ที่มีความชื้นอยู่มาก น�้ำใต้ดินอยู่ใน ระดับต้ืน ทดสอบโดยใช้กะลามะพร้าวผาซีก ไปคว่�ำไว้ตามจุดท่ีสงสัยว่า จะมีตาน�ำ้ เมอื่ หงายดถู า้ พบว่ามหี ยดนำ้� จับอยมู่ ากกเ็ ช่อื ได้เลยว่าตาน�้ำอยไู่ มล่ ึก ๒. การปลกู ตน้ ไมบ้ รเิ วณบา้ น ชาวใตม้ คี วามเชอื่ ทำ� นองเดยี วกนั กบั ภาคอนื่ วา่ การปลกู ตน้ ไมใ้ นบรเิ วณบา้ น ต้องเลือกปลูกเฉพาะไม้ท่ีเป็นมงคลและปลูกให้ถูกทิศทาง โดยมีประโยชน์แฝงไว้เพื่อให้เกิดความร่มเย็น ทั้งกายใจ ส่วนท่ีห้ามปลูกในบริเวณบ้าน เป็นพวกไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขามาก หรือชื่อไม่เป็นมงคล เช่น เต่าร้าง ลั่นทม ความเชื่อน้ีเกิดข้ึนโดยอาศัยความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการโคจรของดวงอาทิตย์ ทิศทางของลมมรสุม ความหนักเบาของฝน ซ่งึ จะแตกต่างกนั ไปในแต่ละวนั รวมถงึ ความเข้าใจธรรมชาตขิ องตน้ ไม้ในแตล่ ะพนั ธ์ุดว้ ย ๓. การปลูกสร้างบา้ นเรอื น จะมลี กั ษณะแตกตา่ งจากภาคอ่ืนๆ คือ ชาวใตน้ ิยมแผ้วถางพ้นื ทีบ่ ริเวณบ้าน ให้เตียนเรียบจนเห็นเป็นพ้ืนทรายขาวสะอาด มีเหตุผลด้านสภาพแวดล้อม คือ การเดินเข้าออกสะดวก ปลอดภัย จากสตั วร์ า้ ย เชน่ งู ตะขาบ แมงปอ่ ง ทม่ี อี ยอู่ ยา่ งชกุ ชมุ บา้ นเรอื นมหี ลงั คาเตยี้ ลาดชนั ยกพนื้ สงู และไมฝ่ งั เสาลงดนิ แต่จะวางอยู่บนตีนเสาท่ีเป็นก้อนหิน ไม้เน้ือแข็ง หรือ แท่งซีเมนต์หล่อ เนื่องจากฝนตกชุกท�ำให้ดินอ่อนตัว โอกาสท่ีเสาจะทรุดตัวมีได้มาก นอกจากน้ีแล้วยังเป็นการป้องกันปลวกและเช้ือรากัดกิน ไม่ปลูกบ้านขวางตะวัน นยิ มปลกู หนั หน้าไปในแนวเหนอื ใต้ เพื่อหลบแสงแดดท่จี ะสอ่ งเข้าบา้ น ๔. อุบายในการครองชีพ สังคมของชาวใต้มีเคล็ดหรืออุบายในการด�ำรงชีพ และการท�ำมาหากิน ตามสภาพแวดล้อมหลายประการ เช่น เครื่องหมายแสดงเจตจ�ำนงแต่เดิมชาวใต้ไม่รู้หนังสือ หรือแม้จะรู้บ้าง แต่การสื่อความหมายโดยใช้เครื่องหมายบอกเจตจ�ำนงก็ยังนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ยอมรับเป็นกติกาแห่งสังคม ท่ีอยู่กินกันแบบพ่ึงพาอาศัยท่ีนิยมใช้กัน คือ เคร่ืองหมาย ห้าม ขอ ขัดใจ (ห้าม หรือภาษาถ่ินที่เรียกว่า ปักก�ำ กาหยงั หรอื กาแย เป็นเคร่อื งหมายท่จี ะนำ� ไปปักไว้ในทีห่ วงห้าม เช่น ห้ามจบั ปลาในหนองน้ำ� หา้ มน�ำววั ควายเข้า มากินหญ้าขอเป็นเครื่องหมายท่ีจะน�ำไปปักไว้ในท่ีท่ีต้องการจะขอจากเจ้าของ แต่ไม่มีโอกาสร้องขอด้วยวาจา 114 หลกั สูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

เช่น ขอเข้าไปแผ้วถางป่าเพื่อปลูกพืชผล ขัดใจ เป็นเครื่องหมายที่ใช้คู่กับเคร่ืองหมาย ห้าม เพ่ือเพ่ิมน�้ำหนัก ถา้ มกี ารละเมดิ กจ็ ะต้องมีการขดั ใจกัน) - ชาวไทยพุทธในภาคใต้ไม่นิยมกินเนื้อกระบือ เนื่องจากเป็นสัตว์มีคุณที่ได้อาศัยท�ำมาหากิน จึงไม่ควรฆา่ กิน - ชาวใต้จะเก่ียวข้าวโดยใช้เคร่ืองมือที่เรียกว่า แกะ เพื่อเก็บเอาเฉพาะรวงเท่าน้ัน เพราะข้าวท่ี เก็บเกีย่ วเป็นพนั ธุต์ น้ สงู ส�ำหรับหนนี ำ้� บางครั้งต้องพายเรอื เก่ียวข้าว - ชาวใต้นยิ มกนิ ผักสด หรือท่ีเรยี กว่า ผกั เหนาะ เนอ่ื งจากภาคใตอ้ ดุ มไปดว้ ยพชื ผักพ้ืนบา้ นนานาชนิด ท่ีสะอาด ปลอดภัยจากสารพิษมีคุณค่าทางด้านโภชนาการสูง อีกท้ังยังเป็นสมุนไพร ช่วยบ�ำรุงร่างกาย รวมท้ัง ช่วยตัดทอนความเผ็ดร้อนของอาหาร เม่ือประกอบกับอาหารประเภทอ่ืน ที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ท้ังหอย ปู กุง้ ปลา ท�ำให้คนใต้มรี ่างกายทีแ่ ข็งแรงสมบรู ณ์ ปราศจากโรคภยั ไข้เจ็บ ๓. ภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นในด้านความสมั พนั ธแ์ ละการพึ่งพา จากสภาพภูมิศาสตร์ของภาคใต้ที่มีอยู่อย่างหลากหลายเป็นตัวก�ำหนดส�ำคัญท่ีท�ำให้ชุมชนแตกต่าง ไปจากภาคอื่นๆ ท้ังลักษณะการต้ังถ่ินฐาน และการท�ำมาหากินที่ส�ำคัญประการหน่ึงคือชุมชนต่างๆ ของชาวใต้ ไม่อาจอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเองโดยล�ำพัง ชาวสวนผลไม้ สวนยาง และเหมืองแร่ในป่า ต้องการข้าวสาร กะปิ น้�ำปลา ก้งุ แหง้ จากหมบู่ า้ นพ้ืนราบหรือชายฝงั่ ขณะเดียวกนั หมู่บา้ นเหลา่ นกี้ ต็ อ้ งการของป่า เครือ่ งเทศ สมุนไพร ฟืนจากป่าเขา การไปมาหาสู่กันเพื่อแลกเปลี่ยนข้าวปลาอาหารของกินของใช้ จึงเป็นส่ิงจ�ำเป็นและได้ท�ำต่อเน่ือง กันมาเป็นเวลาช้านาน ก่อให้เกิดกลไกความสัมพันธ์และการพ่ึงพาระหว่างคนต่างชุมชน ซ่ึงเป็นแบบฉบับ ของชนชาวใตด้ งั เชน่ ปัจจบุ นั มดี ังตอ่ ไปนี้ ๑. ธรรมเนยี มการเปน็ เกลอกนั มกั จะทำ� กนั ตง้ั แตย่ งั เลก็ ๆ โดยพอ่ แมท่ งั้ สองฝา่ ยจดั การให้ เพราะตอ้ งการ สานมติ รไมตรีที่ผูกพันกนั อยู่กอ่ นแลว้ ให้แนน่ แฟน้ ย่ิงขึ้น แต่ก็มไี มน่ อ้ ยคูท่ ยี่ ินดเี ป็นเกลอกนั เองเพราะรจู้ ักมักคุ้นกนั เปน็ พิเศษ เมอื่ เป็นเกลอกันแล้ว ญาติของทัง้ สองฝา่ ยต่างใหค้ วามรกั ใครผ่ ูกพนั คู่เกลอเสมือนญาติคนหนึ่ง ๒. วันนัด เป็นวันที่จัดให้มีตลาดนัดข้ึนเพื่อชุมชนจะได้ซื้อขายหรือแลกเปล่ียนผลผลิตทางการเกษตร ที่ผลิตได้ในท้องถิ่นนั้นๆ โดยก�ำหนดสถานท่ีหมุนเวียนกันไป นอกจากนี้แล้วยังใช้เป็นวันนัดหมายพบปะกันแทน การใช้ปฏทิ นิ ส�ำหรบั ชี้แจงข้อราชการ หรอื กจิ กรรมพัฒนาทอ้ งถิ่นต่างๆ ๓. วันว่าง จะตรงกับวันสงกรานต์ของภาคอ่ืนๆ แต่ธรรมเนียมการปฏิบัติจะแตกต่างกัน โดยตลอด ระยะเวลาวนั วา่ ง ทกุ ครวั เรอื นจะหยดุ ทำ� มาหากนิ ไมด่ า่ วา่ รา้ ยใคร ไมฆ่ า่ สตั วต์ ดั ชวี ติ ดแู ลบา้ นเรอื นของตนใหส้ ะอาด รักษาอารมณ์ให้แจ่มใส แสดงกตเวทตี ่อผูใ้ หญ่ดว้ ยการรดน�ำ้ ดำ� หวั และตกั บาตร ฟังเทศฟังธรรม ๔. กินงาน กินวาน ข้าวหม้อแกงหม้อ เป็นวัฒนธรรมการพ่ึงพาของชาวใต้โดยใช้ธรรมเนียมการกิน เป็นตัวชักน�ำให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือเก้ือกูลกันในงานที่แต่ละครอบครัวไม่สามารถท�ำเองได้ เชน่ งานศพ งานบวช เก่ยี วข้าว ทอดกฐิน และทอดผา้ ปา่ 115หลักสูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถ่ินจงั หวัดชายแดนภาคใต)้

๔. ภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ ในด้านภาษาและวรรณกรรม ภาษาในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง กริยาอาการท่ีแสดงออกมาแล้วสามารถท�ำความเข้าใจกันได้ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์ ส่วนภาษาในความหมายอย่างแคบนั้น หมายถึง เสยี งพูดท่มี นุษย์ใช้ส่ือสารกนั ระหว่างมนษุ ย์ พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ค�ำจำ� กดั ความของค�ำว่า(๔) “ภาษา”ว่า “ถ้อยคำ� ที่ใช้ พูดหรือเขียนเพื่อส่ือความของชนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน หรือเพื่อสื่อความเฉพาะวงการ เช่น ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาธรรม เสียง ตัวหนังสือ หรือกิริยา ; อาการที่สื่อความได้ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขยี น ภาษาทา่ ทาง ภาษามอื ” ในประเทศไทยมีผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่อยู่ทั่วไปในทุกจังหวัดของทุกภาค ภาษาไทยท่ีใช้พูดกัน อยทู่ ว่ั ไปนนั้ ยงั แบง่ ออกเปน็ ภาษายอ่ ยไดต้ ามทอ้ งถน่ิ ทอ่ี ยขู่ องผพู้ ดู ซง่ึ เรยี กวา่ ภาษาไทยถน่ิ เชน่ ภาษาไทยถน่ิ เหนอื ภาษาไทยถ่ินอีสาน ภาษาไทยถิ่นใต้ ในจังหวัดชายแดนใต้ นอกจากผู้คนจะใช้ภาษาไทยกลาง ภาษาไทยถิ่นแล้ว ยังมีชาวไทยใช้ภาษามลายูท้องถิ่นปัตตานีเป็นภาษาแม่ และยังมีชนกลุ่มซาไกใช้ภาษาซาไกเป็นภาษาแม่ รวมอยดู่ ว้ ย ๔.๑ กลุ่มคนท่ีพดู ภาษาไทยกลาง ภาษาไทยกลางเปน็ ภาษาไทยมาตรฐานทพ่ี ดู โดยคนไทยสว่ นใหญท่ อ่ี ยบู่ รเิ วณภาคกลางของประเทศ ถือเป็นภาษากลางและเป็นภาษาราชการ แต่ภาษาท่ีพูดมีความแตกต่างกันไปตามท้องที่บ้างเล็กน้อยตามอิทธิพล ของภาษาทไ่ี ดร้ บั จากภาคกลาง ประชากรในจงั หวดั ชายแดนใตท้ พี่ ดู ภาษาไทยกลางสว่ นใหญ่ จะพดู ในแวดวงราชการ การเรียนการสอนในสถานศึกษาของรฐั และประชากรที่นับถอื ศาสนาพุทธเป็นหลัก ๔.๒ กลมุ่ คนทีพ่ ูดภาษาไทยถิน่ ใต้ ภาษาไทยถิ่นใต้ ได้แก่ภาษาไทยท่ีพูดโดยคนไทยส่วนใหญ่บริเวณภาคใต้ของประเทศไทยนับแต่ จงั หวดั ชมุ พรลงไปถงึ ชายแดนประเทศมาเลเซีย รวม ๑๔ จังหวดั ซึง่ แยกออกเปน็ ๒ ถ่นิ คือ ภาษาถนิ่ ใตต้ ะวนั ออก ไดแ้ ก่ ภาษาไทยถน่ิ ใตท้ พ่ี ดู ทางตะวนั ออกของชายฝง่ั ทะเล บรเิ วณจงั หวดั ตรงั นครศรีธรรมราช สงขลา สตูล ปัตตานี และนราธิวาส ภาษาไทยถิ่นใต้ท่ีอยู่ในจังหวัดเหล่าน้ี จะมีลักษณะ ของภาษาที่คลา้ ยคลึงกนั ภาษาถ่ินใต้ตะวันตก ได้แก่ ภาษาไทยถิ่นใต้ท่ีพูดอยู่บริเวณพื้นท่ีจังหวัดกระบี่ พังงา ภูเก็ต ระนอง สุราษฎร์ธานี และชุมพร ภาษาไทยถ่ินใต้ท่ีพูดอยู่บริเวณพื้นที่จังหวัดเหล่าน้ีจะมีลักษณะเด่นท่ีคล้ายคลึงกัน เช่น ออกเสียงค�ำวา่ แตก เป็น แตะ กลุ่มคนในจังหวัดชายแดนใต้ที่พูดภาษาไทยถิ่นใต้ ส่วนใหญ่เป็นคนในจังหวัดอ่ืนๆ ที่มาอาศัย หรือท�ำงานในจังหวัดชายแดนใต้ จึงน�ำภาษาของแต่ละจังหวัดมาพูดกันในกลุ่มของจังหวัดนั้นๆ ส่วนใหญ่ จะเป็นคนจงั หวดั นครศรธี รรมราช พัทลุง สงขลา และสรุ าษฎร์ธานี (๔) พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. 116 หลกั สูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถน่ิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

๔.๓ กลมุ่ คนท่พี ูดภาษาไทยถน่ิ ตากใบ ภาษาไทยถ่ินใต้ส�ำเนียงตากใบ หรือภาษาเจ๊ะเห เป็นภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มหนึ่ง ท่ีพูดกันมาก ต้ังแต่อ�ำเภอปานาเระ อ�ำเภอสายบุรีของจังหวัดปัตตานี ลงไปจนถึงชายแดนไทย - มาเลเซีย ฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะอ�ำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส รวมถึงในเขตอ�ำเภออ่ืนๆ ของจังหวัดนราธิวาสด้วย นอกจากน้ี ภาษาเจ๊ะเห ยังใช้พูดกันในกลุ่มคนมาเลเซียเชื้อสายไทยในรัฐกลันตันของมาเลเซียด้วย ถือเป็นภาษาไทยถิ่นใต้ ท่ีมีเอกลักษณ์พิเศษ มีค�ำท่ีแตกต่างจากภาษาไทยถ่ินใต้ทั่วไปค่อนข้างมาก ค�ำพูดและส�ำเนียงภาษาได้สร้าง ความพศิ วงแกช่ าวใตด้ ว้ ยกนั เองรวมไปถงึ ชาวไทยกลมุ่ อน่ื ดว้ ย คอื สำ� เนยี งพดู เสยี งชาวใตผ้ สมกบั ภาษาไทยถนิ่ เหนอื เชน่ ถ้าชาวตากใบถามว่า มาทำ� ไม เขาจะพูดวา่ “มาเยียได” ปลายประโยคทอดเสียงยาวว่า “มาเยยี ด้าย” มาร์วิน บราวน์ (Marvin Brown) ได้ศึกษาภาษาถิ่นของไทยและให้ความเห็นว่า ภาษาไทยถิ่นใต้ ส�ำเนียงตากใบมีวิวฒั นาการมาจากภาษาสโุ ขทยั โดยตรง ตากใบมตี ำ� นานที่เก่ียวข้องกบั เมอื งเหนอื เชน่ กรงุ สโุ ขทยั จนทำ� ใหภ้ าษามเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะ ตำ� นานแรกเลา่ วา่ ตากใบเคยอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของสโุ ขทยั จงึ มขี นุ นางสโุ ขทยั เดินทางมาปกครองต่างพระเนตรพระกรรณ จึงสันนิษฐานว่ามีก�ำแพง และวัง หรือวัดปรักหักพังที่บ้านโคกอิฐ และเมื่อขุนนางสุโขทัยเดินทางมาที่ตากใบแล้วย่อมมีบริวารตามมาหลายคน ด้วยเหตุน้ีเองวัฒนธรรมภาษาพูด เมืองเหนือ จึงผสมผสานกับภาษาชาวตากใบ และวัฒนธรรมอ่ืนๆ เช่น สถาปัตยกรรมในวัด ไม่ว่าจะเป็นวิหาร ศาลาการเปรยี ญ มรี ปู แบบและศลิ ปะคอ่ นไปทางเหนอื สว่ นตำ� นานทส่ี องกลา่ วถงึ ชาวสโุ ขทยั ตดิ ตามชา้ งเชอื กสำ� คญั มาทางเมืองใต้ ในที่สุดมาตั้งหลักแหล่งที่ตากใบ เป็นท่ีน่าสังเกตว่ามีชื่อหมู่บ้าน และต�ำบลเกี่ยวข้องกับช้าง เช่น บ้านไพรวัลย์ มาจากค�ำว่า บ้านพลายวัลย์ สถานท่ีช้างลงอาบน�้ำ เดิมเรียก บ้านปรักช้าง ต่อมาเปล่ียนเป็น ฉัททันต์สนาน ซ่ึงเป็นชื่อวัดในหมู่บ้านน้ี เล่ากันว่ามีช้างส�ำคัญมาล้มท่ีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ภายหลังเรียกว่า บ้านช้างตาย ปัจจุบันต้ังอยู่ในอ�ำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ปัจจุบันเรียกเป็นภาษามลายูว่า บ้านกาเยาะมาตี อีกต�ำนานหน่ึงเล่าว่า เมื่อคร้ังทัพไทยสมัยโบราณยกไปตีหัวเมืองมลายู มีคนไทยลงมาต้ังหมู่บ้านคอยต้อนรับกัน เป็นทอดๆ จะเห็นว่าปัจจุบันมีบางหมู่บ้านท่ีมีชาวบ้านพูดจาคล้ายๆ เสียงของชาวตากใบ เช่นที่อ�ำเภอปะนาเระ อ�ำเภอสายบรุ ี ในจังหวัดปตั ตานี และชาวบา้ นในอ�ำเภอสไุ หงปาดี และอำ� เภอแว้ง ในจงั หวดั นราธวิ าส บางต�ำนานบอกว่า คนท่ีพูดภาษาเจ๊ะเห เป็นเช้ือกษัตริย์อาณาจักรฟูนาน เม่ือครั้งคริสต์ศตวรรษท่ี ๖ เกิดสงครามแยง่ ชิงบนั ลังก์ ทำ� ใหฝ้ า่ ยกษัตรยิ ฟ์ ูนานแพ้เลยอพยพมาทางเรอื ข้นึ เรือท่ีตากใบ ภาษาน้ีเป็นภาษาที่มีผู้พูดอาศัยกระจายในวงกว้าง ช่ือเรียกของภาษานี้จึงมีให้เรียกต่างๆ กันไปอย่าง ภาษาเจ๊ะเห มาจากชื่อต�ำบลเจ๊ะเห อ�ำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ภาษาไทยถิ่นใต้ส�ำเนียงตากใบ เป็นค�ำเรียก ในวงกว้าง ชี้เฉพาะว่าภาษานี้มีผู้พูดกลุ่มใหญ่อยู่ในอ�ำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส หรือภาษาตุมปัต ที่เรียก ในกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยในรัฐกลันตัน โดยเฉพาะที่เมืองตุมปัต ที่มีคนเชื้อสายไทยเป็นจ�ำนวนมาก นอกจากนี้ยงั มีเรยี กตามท้องถิน่ อยา่ ง ภาษาสายบุรี เปน็ ตน้ ๔.๔ กลมุ่ คนทีพ่ ดู ภาษาถนิ่ พเิ ทน ภาษาไทยถ่ินใต้ส�ำเนียงพิเทน เป็นภาษาถิ่นย่อยของภาษาไทยถิ่นใต้ส�ำเนียงตากใบที่ใช้อยู่ ในตำ� บลพเิ ทน อำ� เภอทงุ่ ยางแดง และตำ� บลกะรบุ ี อำ� เภอกะพอ้ จงั หวดั ปตั ตานี โดยสำ� เนยี งพเิ ทนมรี ะบบวรรณยกุ ต์ แตกต่างไปจากกลุ่มตากใบ และมีแนวโน้มว่าภาษามลายูปัตตานีจะเข้าใช้แทนที่ในที่สุด จากการศึกษาพบว่า ภาษาถนิ่ พเิ ทนและภาษามลายูปัตตานมี คี ำ� ยืมและค�ำใช้ดว้ ยกันถงึ ๙๗% 117หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

ส�ำเนียงพิเทนเป็นรอยต่อระหว่างภาษาไทยถ่ินใต้ กับส�ำเนียงตากใบ พร้อมกับอิทธิพลของ ภาษามลายูปัตตานีท่ีรายล้อม ท�ำให้ส�ำเนียงพิเทนเกิดการผสมผสานระหว่างภาษาไทยถิ่นใต้กับภาษาตากใบ และไดน้ �ำค�ำมลายูปัตตานมี าใช้ จนภาษามลายปู ัตตานมี ีอิทธิพลมากตอ่ ภาษาถ่ินพิเทน การน�ำค�ำภาษามลายูท้องถ่ินปัตตานี มาใช้ในภาษาถิ่นใต้ต�ำบลพิเทนเป็นอันมาก ท�ำให้ภาษาถิ่นใต้ ต�ำบลพิเทน ได้รับอิทธิพลทั้งด้านเสียงและค�ำจากภาษามลายูท้องถ่ินปัตตานีอีกด้วย ภาษาถ่ินพิเทนที่มีใช้ ในปจั จบุ นั นีไ้ ด้รบั อทิ ธิพลจากภาษามลายปู ตั ตานใี นด้านต่างๆ เช่น อทิ ธพิ ลดา้ นเสยี ง และอทิ ธิพลดา้ นค�ำ ปัจจุบันคนในต�ำบลพิเทนพูดภาษาไทยถิ่นพิเทนน้อยลง ส่วนมากจะใช้ภาษามลายูปัตตานี ในชีวิตประจ�ำวัน ตามความนิยมของผู้ใช้ภาษาส่วนใหญ่ การใช้ภาษาเดิมของถ่ินน้ียังคงมีใช้กันบางหมู่บ้าน เช่น หมู่ ๒, ๓ และ ๔ ผู้ท่ีสามารถใช้ส�ำเนียงพิเทนได้ดีคือ ผู้ท่ีมีอายุ ๔๐ ปีข้ึนไป อายุน้อยกว่านี้บางคนไม่ยอม พูดภาษาของตน หรือพูดได้ก็ยังไม่ดีเท่าท่ีควร เพราะค�ำศัพท์บางค�ำไม่สามารถบอกได้ว่า ภาษาเดิมใช้ว่าอย่างไร และจะใชค้ ำ� ศัพท์ในภาษามลายปู ตั ตานีแทน จนคิดว่าภาษามลายปู ัตตานเี ปน็ ของตนเอง ๔.๕ กล่มุ คนทีพ่ ดู ภาษามลายูทอ้ งถ่ิน ภาษามลายูถิ่นปตานี เป็นภาษามลายูถิ่นที่ชาวไทยมุสลิมส่วนใหญ่ใช้พูดกันในสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ของประเทศไทย ไดแ้ ก่ ปตั ตานี ยะลา และนราธวิ าส นับเป็นสมบตั ลิ ำ�้ ค่าของชาวไทยเชอื้ สายมลายู ภาษามลายูถิ่นปาตานียังคงท�ำหน้าท่ีหลักเช่นเดียวกับภาษาอ่ืนๆ คือเป็นส่ือในการแสดงความคิด ความรสู้ กึ อารมณ์ และความตอ้ งการ เปน็ ตน้ นอกจากนภ้ี าษามลายถู น่ิ ยงั ถกู ใชเ้ ปน็ สอ่ื เพอื่ จดุ ประสงคเ์ ชงิ พาณชิ ย์ และจิตวทิ ยาการเมอื งการปกครองอกี ดว้ ย ดังจะเห็นได้จากการประชาสัมพันธ์ข่าวสารตา่ งๆ แกช่ าวไทยมุสลิม ภาษามลายูปัตตานี (Bahasa Melayu Patani, ‫ )بهاس ملايو فطاني‬หรือนิยมเรียกอย่าง ไม่เป็นทางการว่า ภาษายาวี (อักษรยาวี : ‫ )بهاس جاوي‬เป็นภาษากลุ่มออสโตรนีเซียน ที่พูดโดยชาวไทย เชือ้ สายมลายใู นจังหวัดปตั ตานี, นราธิวาส, ยะลา และในบางอำ� เภอของสงขลา (ไมร่ วมสตลู ) ในประเทศไทยมีประชากรท่ีพูดภาษานี้มาก ภาษาน้ีใกล้เคียงกับภาษาถิ่นในรัฐกลันตัน ประเทศ มาเลเซยี ซง่ึ พดู ภาษาถน่ิ ทแี่ ตกตา่ งจากสว่ นทเ่ี หลอื ของประเทศมาเลเซยี ความแตกตา่ งระหวา่ งภาษามลายปู ตั ตานี กับภาษามลายกู ลางหรอื ภาษามาเลย์มดี ังน้ี - การใช้คำ� บางค�ำท้ังสองภาษาใช้ค�ำต่างกัน เช่น ฉัน ภาษามาเลย์ใช้ ซายา ภาษามลายูปัตตานีใช้อามอ หรอื ซายอ มนั เทศ ภาษามาเลยใ์ ช้ อบู ี กลิ เิ ดะ ภาษามลายปู ตั ตานใี ช้ อปู กี อื แตลอ นอกจากน้ี ยงั มกี ารใชค้ ำ� ภาษาไทย ปนเขา้ มาในบางส่วน - การออกเสยี ง ออกเสยี งสระตา่ งกนั ได้แก่ เสียงอะ + พยัญชนะนาสิกในภาษามาเลย์เป็นแอในภาษามลายูปัตตานี เช่น อายัม (ไก่) เป็น อาแย มากนั (กนิ ) เปน็ มาแก เสยี งอะ + ห ในภาษามาเลย์เปน็ เอาะในภาษามลายูปัตตานี รมู ะหฺ (บา้ น) เป็น รเู มาะหฺ เสียงอะในภาษามาเลย์เป็นเอาะในภาษามลายูปัตตานี บาวะ (พา) เป็น บอเวาะ มินตะ (ขอ) เป็น ม๊เตาะ 118 หลักสูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

เสยี งอาทา้ ยค�ำในภาษามาเลยเ์ ปน็ ออในภาษามลายปู ัตตานี นามา (ช่อื ) เปน็ นามอ ซีลา (เชญิ ) เปน็ ซลี อ เสียงอีท้ายค�ำท่ีประสมกับพยัญชนะนาสิกในภาษามาเลย์เป็นเสียงอิงในภาษามลายูปัตตานี สินี (ที่นงั่ ) เป็น สนิ ิง เสยี งไอทา้ ยคำ� ในภาษามาเลยเ์ ป็นอาหรือแอในภาษามลายปู ตั ตานี เชน่ ซไู ง (คลอง) เป็น ซงู า หรอื ซแู ง กอื ได (ตลาด) เปน็ กอื ดา หรอื กอื แด การเพยี้ นเสยี งเปน็ แอ พบในบางทอ้ งถนิ่ เทา่ นนั้ เสียงเอาท้ายคำ� ในภาษามาเลยเ์ ป็นอาในภาษามลายปู ตั ตานี เช่น ปเี ซา (มดี ) เป็นปซี า เสยี งอัวในภาษามาเลย์เป็นออในภาษามลายปู ตั ตานี เชน่ ปวั ซอ (บวช) เปน็ ปอซอ เสยี งเอยี ในภาษามาเลยเ์ ป็นเสยี ง อี + ย ในภาษามลายูปตั ตานี เชน่ เสยี ม (สยาม) เป็น สแี ย เสยี งเอยี พยางคห์ นา้ ในภาษามาเลยเ์ ปน็ แอในภาษามลายปู ตั ตานี เชน่ เบยี ซา (เคย) เปน็ แบซอ ออกเสยี งตวั สะกดต่างกนั ตัวสะกดที่เป็นเสียงเสียดแทรก (ส, ฟ) ในภาษามาเลย์เป็นเสียงที่เกิดจากคอหอย (ห) ในภาษามลายูปัตตานี เช่น มาลัส (เกียจคร้าน) เปน็ มาละหฺ ตัวสะกด น, ม ในภาษามาเลย์เป็น ง สะกด ในภาษามลายูปัตตานี เช่น ฮากิม (ตุลาการ) เปน็ ฮาเกง็ ออกเสยี งพยญั ชนะต้นตา่ งกันเช่น ร ในภาษามาเลย์เป็น ฆฮ ในภาษามลายูปัตตานี เช่น โอรงั (คน) เปน็ ออแฆฮ นอกจากนี้ภาษามลายูปัตตานียังนิยมลดเสียงและค�ำที่พูดเช่น เออมะ เสาดาราในภาษามาเลย์ เป็นเมาะสดารอ ในภาษามลายูปัตตานี ภาษามลายูปัตตานีนิยมเรียงประโยคแบบภาษาไทยคือใช้รูปประธาน กระท�ำ ส่วนภาษามลายูใช้ประโยคแบบประธานถูกกระท�ำ เช่น ภาษามาเลย์ใช้ ตูวัน ดีเปอรานะกัน ตีมานา (ทา่ นถกู เกดิ ท่ีไหน) ภาษามลายูปัตตานีใช้ ตแู ว บอื ราเนาะ ดีมานอ (ท่านเกิดท่ไี หน) สำ� หรับในดา้ นไวยากรณ์จะมีความต่างกนั ในหลายประการ เชน่ - ภาษามลายูปัตตานีคัดค�ำอุปสรรคทไ่ี มจ่ ำ� เป็นออก เชน่ บรยาลัน ในภาษามาเลยเ์ ป็น ยาแล - ภาษามลายูปัตตานีใช้ค�ำง่ายกว่า เช่น มาแก ใช้ได้ท้ัง กินข้าว ดื่มน�้ำ สูบบุหร่ี แต่ภาษามาเลย์ แยกเปน็ มากัน (กนิ ) มนี ุม (ด่ืม) หซิ ะ (สูบ) - ภาษามาเลย์มีการแยกระดับของค�ำมากกว่า เช่น ผู้ชายใช้ ลากี-ลากี สัตว์ตัวผู้ใช้ ยันตัน สว่ นภาษามลายูปตั ตานีใช้ ยาแต กบั ท้ังคนและสัตว์ สว่ น ลลากี มีใช้นอ้ ย - ภาษามลายปู ัตตานีมีการเรียงคำ� แบบภาษาไทยมากกว่า เช่น ท�ำนา ใช้ บูวะบือแน 119หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตรท์ อ้ งถิน่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

๔.๖ กลุม่ คนที่พดู ภาษาซาไก ห่างจากตัวเมืองจังหวัดยะลาไปประมาณ ๘๐ กิโลเมตร เป็นท่ีอยู่อาศัยของชนเผ่า “เงาะซาไก” ซ่ึงเดิมด�ำรงชีวิตอยู่ด้วยการหาของป่า มีความช�ำนาญในด้านสมุนไพรและเป่าลูกดอกล่าสัตว์ บ้านเรือนของซาไก ดงั้ เดมิ สรา้ งดว้ ยไมไ้ ผ่ มงุ หลงั คาจาก ตอ่ มากรมประชาสงเคราะหไ์ ดร้ วบรวมชาวซาไกมาอาศยั อยใู่ นบรเิ วณเดยี วกนั ส่งเสริมอาชีพท�ำสวนยางและได้กราบบังคมทูล สมเด็จ พระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ขอพระราชทานนามสกุล “ศรีธารโต” ให้ซาไกทุกคน ปัจจุบันมีชนเผ่าซาไกที่ยังคง อาศัยอยู่จ�ำนวนไม่มากนัก บางส่วนได้แยกย้ายไปท�ำงาน ท่ีอ่ืนมีการศึกษาเกี่ยวกับภาษาซาไก พบว่า ลักษณะของ ค�ำที่ซาไกใช้อยู่บางค�ำยืมไปจากภาษามลายู โดยน�ำไป ดัดแปลงเสียง คงไว้บ้าง ลักษณะของค�ำภาษาซาไก มีลักษณะค�ำพูดโดยมากจะออกเสียงเลียนธรรมชาติ กล่าวคือ ค�ำพูดยืมไปจากภาษามลายู มีการน�ำไปดัดแปลง เสียง บ้างก็คงไว้ลักษณะเสียงออกจากล�ำคอ ลักษณะ บางค�ำกม็ เี สยี งข้ึนจมูก ดังเชน่ ภาษาซาไกกล่มุ กันซวิ ๔.๗ วรรณกรรม วรรณกรรม (Literature) หมายถึง งานเขียนท่ีแต่งข้ึนหรืองานศิลปะ ท่ีเป็นผลงานอันเกิดจาก การคดิ และจนิ ตนาการ แลว้ เรยี บเรยี ง นำ� มาบอกเลา่ บนั ทกึ ขบั รอ้ ง หรอื สอ่ื ออกมาดว้ ยกลวธิ ตี า่ งๆ โดยทว่ั ไปแลว้ จะแบง่ วรรณกรรมเปน็ ๒ ประเภท คอื วรรณกรรมลายลกั ษณ์ คอื วรรณกรรมทบ่ี นั ทกึ เปน็ ตวั หนงั สอื และวรรณกรรม มขุ ปาฐะ อันได้แก่วรรณกรรมท่ีเล่าดว้ ยปาก ไม่ไดจ้ ดบนั ทกึ ด้วยเหตุน้ี ความหมายของวรรณกรรมครอบคลุมไปถึงประวัติ นิทาน ต�ำนาน เร่ืองเล่า ข�ำขัน เรื่องสน้ั นวนยิ าย บทเพลง ค�ำคม เป็นต้น สว่ นวรรณกรรมมขุ ปาฐะจะเปน็ เรอื่ งเลา่ เชน่ นทิ านพนื้ บา้ นเปน็ วรรณกรรมประเภทหนง่ึ เปน็ ผลผลติ ทางปัญญาและจินตนาการของคนในสังคม มีการถ่ายทอดเล่าสืบต่อกันมาช้านาน นิทานพ้ืนบ้านจึงเป็นมรดก ทางปญั ญาชิ้นสำ� คัญทีส่ ะท้อนภาพความเป็นอยู่ ความนึกคิด ค่านยิ มและประเพณขี องคนในสงั คมเปน็ อยา่ งดี นิทานพ้ืนบ้านของชาวไทยมุสลิมในถ่ินใต้มีมากมายหลายเร่ือง ซึ่งล้วนแต่สะท้อนภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวไทยมุสลิมในด้านต่างๆ นิทานพื้นบ้านให้ท้ังความบันเทิง และแง่มุมที่ดีแก่ผู้ฟังหรือผู้อ่าน ตลอดจนแสดงถึงความเชือ่ วฒั นธรรม ประเพณีและคา่ นิยมในสังคม เช่น ๑) ต�ำนานหลวงพ่อไกร หลวงพ่อไกรเป็นพระธุดงค์แถบเทือกเขาล�ำพะยา อ�ำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา มีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์จนเป็นท่ีเคารพของชาวบ้าน เมื่อส้ินบุญลงชาวบ้านได้สร้างรูปเหมือนไว้ในวัดล�ำพะยา เพื่อให้เป็น ทีเ่ คารพสักการะของชาวบา้ น ตามค�ำบอกเล่าของคนสมยั กอ่ นท่านจะมีชีวติ อยู่ร่วมกบั เสือและงจู งอาง 120 หลักสูตรสงั คมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตรท์ ้องถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

๒) ตำ� นานคนธรรพ์ มีเร่ืองเล่าว่าชาวบ้านพบถ้�ำคนธรรพ์ในบริเวณวัดของหลวงพ่อไกร ภายในมีส่ิงของเคร่ืองใช้ จ�ำพวกภาชนะในครัวเรือนมากมาย สามารถยืมไปใช้ได้แต่ต้องน�ำมาใช้คืน ภายหลังมีชาวบ้านมายืมไปใช้ในงาน แตค่ ืนของไมค่ รบ คนธรรพ์รู้วา่ คืนของไม่ครบจงึ ปดิ ปากถ้�ำเสีย ต้ังแต่นน้ั มาชาวบา้ นไม่ได้พบเห็นคนธรรพ์อีกเลย ๓) ตำ� นานผีหลังกลวง บริเวณแถบเทือกเขาสันกาลาคีรีมีเร่ืองเล่าเกี่ยวกับผีหลังกลวงมานานแล้ว ชอบออกมาพบปะ คนในงานตอนกลางคนื รปู รา่ งหนา้ ตาเหมอื นคน แตไ่ มค่ อ่ ยสหู้ นา้ กบั คนและไมย่ อมใหใ้ ครเหน็ หลงั ของตน ชาวบา้ น เล่าให้ฟังว่าหลังของพวกเขาเป็นรูกลวง หากใครโยนเบ็ดตกปลาหรือปลาหมอใส่หลัง จะร้องโอดโอยด้วย ความเจ็บปวด พวกเขาอยู่ร่วมกับคนไม่ได้เพราะไม่ซ่ือสัตย์ตอ่ พวกเขา ท�ำให้คอ่ ยๆ หายไปเหลอื เพียงเรือ่ งเล่าขาน เทา่ นั้น ๔) นทิ านเร่ือง เปาะเน เมาะเน ณ หมบู่ า้ นแหง่ หนง่ึ ในชว่ งฤดทู ำ� นา มสี องสามี ภรรยามกั จะทะเลาะกนั เปน็ ประจำ� จนเปน็ ทร่ี กู้ นั ทั้งหมู่บ้าน วันหน่ึงเปาะเนผู้เป็นสามีออกไปท�ำนา ตกเย็นขณะเดินทางกลับบ้าน มองเห็นมะม่วงสุกช่อหนึ่ง เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครจึงปลิดมะม่วงช่อน้ันกลับบ้าน ตั้งใจจะเอาไปฝากเมาะเนผู้เป็นภรรยาท่ีบ้าน แต่ด้วยความเหนื่อยและหิวก็กินมะม่วงน้ันเสีย พอถึงบ้านก็บอกภรรยาว่ามะม่วงที่เก็บมาฝากนั้นได้กินหมดแล้ว หากเมาะเนอยากกนิ ใหไ้ ปเกบ็ ใหมท่ ก่ี ลางทงุ่ นา ดว้ ยความอยากกนิ มะมว่ งเมาะเนกไ็ ปตามทสี่ ามบี อก พบววั ตวั หนงึ่ เพิ่งปัสสาวะเสร็จใหม่ๆ น้�ำปัสสาวะยังหยดต๋ิงๆ อยู่เมาะเนเห็นนึกว่าใช่แน่แล้ว จึงเอามีดตัดเอาลูกอัณฑะ ของวัวด้วยคิดว่าเป็นลูกมะม่วง กลับถึงบ้านบอกสามีว่าได้มะม่วงมาแล้ว จึงเกิดการทะเลาะโต้เถียงกันใหญ่ เมาะเนอดกินมะม่วง ซ�ำ้ ววั กต็ ายด้วยความเบาปญั ญาของนางนัน่ เอง ๕) นทิ านเรื่อง เปาะแซเดาะ ยังมีครอบครัวหนึ่งอยู่กันสามคน พ่อ แม่ และลูกชายอายุ ๘ ปี ชายผู้เป็นพ่อชื่อ เปาะแซเดาะ เปาะแซเดาะเปน็ คนชา่ งฝนั ไมค่ อ่ ยชอบทำ� งานอยมู่ าวนั หนงึ่ เปาะแซเดาะไดพ้ าลกู ชายไปดบู รเิ วณทจ่ี ะปลกู ผกั ผลไม้ ทภ่ี เู ขาลกู หนง่ึ ในระหวา่ งทางพอ่ ลกู ไดห้ ยดุ พกั ใตต้ น้ ไมต้ น้ หนง่ึ เปาะแซเดาะพดู กบั ลกู ชายวา่ ถา้ เราไดป้ ลกู ผกั ผลไม้ คงจะไดก้ �ำไรมหาศาลเลย ทีน่ จ้ี ะซ้อื ควายมาเลยี้ งกนั ควายจะออกลกู ให้เราทุกปี เราจะรวยกนั ใหญใ่ นคราวน้ี สว่ นลกู ชายไดย้ นิ พอ่ พดู เชน่ นนั้ อยากไดล้ กู ควายมาเลน่ แตพ่ อ่ บอกวา่ เลน่ ไมไ่ ดล้ กู ชายกไ็ มย่ อมฟงั รอ้ งจะเอาลกู ควายใหไ้ ด้ เปาะแซเดาะเหน็ ลกู ชายดอ้ื ไมย่ อมฟงั เลยโมโหตลี กู ชาย ลกู ชายวงิ่ หนกี ลบั บา้ น เปาะแซเดาะ เห็นลูกชายว่ิงกลับบ้าน ก็ว่ิงตามด้วยฝ่ายภรรยาเห็นลูกชายร้องไห้กลับมาก็ถามว่าลูกร้องไห้ท�ำไม ลูกบอกว่า โดนพ่อตี ภรรยาหันไปถามเปาะแซเดาะว่าตีลูกท�ำไม เปาะแซเดาะตอบว่ามันดื้อจะเอาลูกควายมาเล่นให้ได้ ภรรยาถามต่อวา่ ลกู ควายที่ไหน เปาะแซเดาะตอบว่าลูกควายที่ขา้ แค่เพียงคดิ ไว้กอ่ นเทา่ นนั้ เอง ๖) ปนั ตนุ ปนั ตนุ (ภาษามาเลย์ : Pantun; ภาษามลายปู ตั ตานี : ปาตง) เปน็ รปู แบบของวรรณกรรมพนื้ บา้ น ท่ีพบท่ัวไปในภาษามลายู ท้ังในภาษามาตรฐานและภาษาถ่ินเร่ิมจากเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะก่อนแล้วจึงเร่ิม มกี ารบันทกึ เปน็ ลายลักษณอ์ ักษรราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ ในพงศาวดารของมาเลเซยี และ Hikayat Hang Tuah 121หลักสูตรสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัติศาสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

ปันตุนหรือปาตง เป็นค�ำประพันธ์เก่าแก่ประเภทหนึ่งของชาวมลายู และชาวไทยมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยไม่ปรากฏช่ือผู้แต่ง และไม่ทราบว่าแต่งข้ึนในสมัยใดแต่เป็นที่แพร่หลาย และได้รบั ความนิยมกนั มาก ปนั ตุนมคี วามหมายท่เี ต็มไปดว้ ยความเปรียบเทียบ สภุ าษิต ค�ำพงั เพย ส�ำนวนโวหาร และแม้แต่คาถาอาคมก็ใชแ้ บบปันตุนอย่ไู ม่น้อย โครงสรา้ งของปันตนุ ประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ ปึมบายงั (pembayang) หรอื เงาแห่งความหมาย กลา่ วถงึ สงิ่ แวดลอ้ มธรรมชาตทิ ส่ี อื่ ถงึ ความหมายเชงิ วฒั นธรรม พบในสว่ นครง่ึ แรกของปนั ตนุ กบั มกั สดุ (maksud) แปลว่าความหมาย เปน็ เน้อื หาหลักทตี่ ้องการใหผ้ ูฟ้ ังเขา้ ใจ พบในครึง่ หลงั ของปันตุน ลักษณะของปันตุนประกอบด้วยข้อความท่ีเป็นอิสระ จัดวางเป็นวรรคขนานกันเป็นคู่ๆ แตล่ ะวรรคประกอบดว้ ยคำ� พ้ืนฐาน ๔ คำ� ซ่งึ อาจเติมหน่วยค�ำเพิ่ม โดยทั่วไปจึงมี ๕ – ๑๐ พยางค์ สัมผัสสระเป็น แบบ a-b-a-b หรือ a-a-a-a (แบบกลอนหัวเดียว) ตวั อยา่ งปันตุนภาษามาเลย์ Tanam selasih di tengah padang, Sudah bertangkai diurung semut, Kita kasih orang tak sayang, Halai-balai tempurung hanyut. ปนั ตนุ แบง่ ออกเปน็ หา้ ชนดิ ด้วยกันตามตัวอย่างดงั น้ี ๑. ปันตุนสองวรรค เชน่ ‫ساتو دوا تيك امفت‬ ซาตู ดูวอ ตฆี อ ปะ ‫راجين بلاجر لكس دافت‬ ราเฌง็ บลาฌา ลกะฮ์ ดาปะ ค�ำแปล : หนึ่ง สอง สาม ส ี่ ขยันเรยี นไดว้ ิชาเรว็ ๒. ปนั ตนุ ส่ีวรรค เช่น ‫كالو ادا جاروغ فاته‬ กาลู อาดอ ฌารง ปาเตาะฮ์ ‫جاغن سيفن دالم فتي‬ ฌาแง ซแี ป ดาแล ปือตี ‫كالو ادا سيلف ساله‬ กาลู อาดอ ซีละ ซาเลาะฮ์ ‫جاغن سيمفن دالم هاتي‬ ฌาแง ซแี ป ดาแล ฮาตี คำ� แปล : ถ้ามีเข็มหกั อย่าเกบ็ ไว้ในหบี ถา้ มีผดิ พลาด อยา่ เกบ็ ไว้ในใจ 122 หลกั สูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัติศาสตร์ท้องถน่ิ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

๓. ปันตนุ หกวรรค เชน่ ‫وأفا دهارف فادي سبراغ‬ วาปอ ดีฮารบั ปาดี ซบอื แร ‫ده براته ده‬ เดาะฮ์ บือรา เตาะฮ์ เดาะ ‫ده دماكن فيفيق ملايغ‬ เดาะ ดมี าแก ปเี ปะ มลาแย ‫اف دهارف ككاسيه اورغ‬ อาปอ ดีฮารบั กกาเซะฮ์ ออแร ‫تأ جراي تأ ده‬ เตาะ จือรา เตาะเดาะ ‫ده ماكين برتمبه سايغ‬ เดาะมาเกง็ บือตาเมาะฮ์ ซาแย ค�ำแปล : หวังท�ำไม ข้าวจากฝั่งตรงข้าม อาจหล่นหรือไม่หล่น อาจถูกกินโดยนกกระจาบร่อน หวงั อะไรคนรกั ของคนอ่นื อาจไม่มีการหย่ากัน ความรักก็เพมิ่ มากยงิ่ ข้ึน ๔. ปนั ตุนแปดวรรค เช่น ‫مات جاتوه كرومفوت‬ มาตอ ฌาโตะฮ์ กอื รปู ุ ‫جاتوه كرومفوت تروس هيلغ‬ ฌาโตะฮ์ กือรูปุ ตรฮุ ์ ฮแี ล ‫نية دهاتي نأ برتونغ‬ นียะ ดฮี าตี เนาะ บือตูแน ‫تافي دويت بلوم ادا‬ ตาปี ดวู ิ บือลง อาดอ ‫دري مات تيدقله لوفوت‬ ดารี มาตอ ตเี ดาะละฮ์ ลปู ุ ‫دري هاتي تأ ماهو هيلغ‬ ดารี ฮาตี เตาะมาฮู ฮแี ล ‫سياغ جادي اغن اغن‬ ซแี ย ญาดี อาแง อาแง ‫مالم جادي ميمفي فولا‬ มาแล ญาดี มปี ี ปลู อ ค�ำแปล : ถ้าแหวนตกลงบนหญ้า ตกบนหญ้าเลยหาย ต้ังใจจะขอหม้ัน แต่เงินยังไม่มี ไม่คลาด  จากตา กลางวนั คิดถึง กลางคืนฝนั ถึง ๕. ปนั ตนุ ตอ่ เนอ่ื ง ประกอบดว้ ยบทปนั ตนุ สองบทเปน็ อยา่ งนอ้ ย แตล่ ะบทจะมกี ารสมั ผสั กนั เหมอื นกบั ปันตุนส่วี รรค ปันตนุ ประเภทนี้ สามารถแบง่ ประเภทเนอ้ื หาออกเป็น ๓ ประเภทด้วยกัน คือ ปนั ตุนบเู ดาะ (ปนั ตุนเด็ก) ปันตุนออรงั มดู อ (ปนั ตุนคนหนุ่ม) และปนั ตุนออรงั ตวู อ (ปันตุนผู้สงู อาย)ุ 123หลกั สูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

๕. ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ ในดา้ นหัตถกรรมพืน้ บา้ น หัตถกรรมพ้ืนบ้านภาคใต้เป็นภูมิปัญญาและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรมท่ีได้ มีการสืบสานความรู้ ความสามารถและความช�ำนาญต่างๆ มายังคนรุ่นปัจจุบัน ส่ิงใดประดิษฐ์ข้ึนใช้แล้วไม่ได้ผล หรอื มสี งิ่ อนื่ ทด่ี กี วา่ กจ็ ะเสอื่ มสลายไป สง่ิ ใดใชไ้ ดด้ แี ละสะดวกตอ่ การผลติ สงิ่ นน้ั กย็ งั คงอยู่ อกี ทงั้ ยงั มกี ารสอดแทรก คณุ คา่ ทางดา้ นศลิ ปะลงในงานดว้ ย หตั ถกรรมพนื้ บา้ นภาคใตเ้ ปน็ การนำ� เอาวตั ถดุ บิ ในธรรมชาติ โดยเฉพาะพชื พรรณ ทีม่ อี ยู่อย่างมากมาย ทง้ั บนบกและในนำ้� เช่น ไม้ไผ่ หวาย กระจดู กก มะพรา้ ว ลิเพา รวมถงึ ปาลม์ น�ำมาดดั แปลง เปน็ เคร่อื งใชไ้ มส้ อยต่างๆ เพือ่ ใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวนั เช่น ๕.๑ ไม้ไผ่ ล�ำต้นใช้เป็นส่วนผสมของยาหลายขนาน เป็นแร้วดักสัตว์ ท�ำตะกร้า กระบุง เข่ง ชลอม และทำ� แพ ส่วนหนอ่ ใช้ปรงุ เป็นอาหาร ๕.๒ มะพรา้ ว รากใชท้ ำ� ยา ล�ำต้นใชท้ ำ� เสาและเคร่อื งเรอื น ผลน�ำมารับประทานหรอื ปรุงอาหาร ใบใช้หอ่ ของหรอื ทำ� ไม้กวาด ๕.๓ ย่านลิเพา น�ำมาท�ำของใช้ ท่ีนิยมกัน ได้แก่ เชี่ยนหมาก กล่องยาเส้น พาน และหมวก มีราคา ค่อนขา้ งสูง เพราะเป็นงานจักสานท่ตี ้องใชค้ วามประณีตบรรจง ๕.๔ ปาลม์ หรอื หมาก ใชท้ ำ� ภาชนะตักนำ�้ ท่เี รียกวา่ หมา โดยท�ำมาจากสว่ นทีเ่ ป็นกาบหรือใบ สามารถ ใช้ตกั หรือวิดน�้ำไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ๕.๕ ซาโอว หรือ สวิงตักปู เป็นสวิงชนิดหน่ึง กรอบท�ำด้วยลวดสังกะสีเป็นวงกลมและมีด้ามถือ (ต่างกับสวิงทั่วไปซ่ึงท�ำกรอบด้วยไม้ไผ่หรือหวายและไม่มีด้ามถือ หรือบางทีก็มีด้ามถือ) และมีตาข่ายอยู่เบ้ืองล่าง สวิงชนิดน้ีสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสวิงท่ัวไป แต่ส่วนใหญ่มักนิยมใช้ครอบจับปูทะเล ปูม้า ซ่ึงอาศัยอยู่ ในท่ีต้ืนๆ ตามรมิ ตล่ิงเวลากลางคนื เดือนมดื พบการใชเ้ ครือ่ งมอื น้ีในท้องที่จงั หวัดนราธวิ าส ๕.๖ ผ้าบาติกหรือปาเต๊ะ การท�ำผ้าบาติก จัดอยู่ในหมวดเครื่องอุปโภคในชีวิตประจ�ำวันของชุมชน ชาวภาคใต้ ทน่ี ยิ มแพรห่ ลายในหมสู่ ตรมี สุ ลมิ ทุกวยั มอี ุปกรณ์และเครือ่ งใชท้ �ำผ้าบาตกิ หรอื ปาเตะ๊ นอกจากนี้แล้วยังมีงานหัตถกรรมที่ส�ำคัญอีกชนิดหน่ึง คือ เหล็กขูด หรือ กระต่ายขูดมะพร้าว ส�ำหรับ น�ำเน้ือมะพร้าวมาท�ำอาหารทั้งคาวหวาน โดยจะมีการปรับเปล่ียนรูปแบบไปตามจินตนาการของผู้ประดิษฐ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะท�ำเป็นรูปสัตว์ แสดงให้เห็นถึงความมีอารมณ์ขันและมีวัฒนธรรมการรับประทานท่ีผูกพันอยู่ กบั มะพรา้ วซงึ่ เปน็ พืชเศรษฐกจิ ทสี่ �ำคญั ในดนิ แดนแถบน้ี ๖. ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ ในด้านสถาปัตยกรรมและทอี่ ย่อู าศัย ๖.๑ มสั ยดิ วาดลิ ฮเู ซน็ หรอื มัสยิดตะโละมาเนาะ หรือมสั ยดิ ๓๐๐ ปี ตัง้ อยทู่ ีบ่ ้านตะโละมาเนาะ หมู่ท่ี ๑ ต�ำบลลโู บ๊ะสาวอ อำ� เภอบาเจาะ เป็นสถาปัตยกรรมการสรา้ งทมี่ ีฝมี ือการสรา้ งแบบโบราณทีต่ ้องใช้ความพยายาม ค่อนขา้ งมาก ๖.๒ จิตรกรรมวัดชลธาราสิงเห วัดชลธาราสิงเห หรือบางคนเรียกว่า วัดเจ๊ะเห ตั้งอยู่ที่ต�ำบลเจ๊ะเห อ�ำเภอตากใบ วัดน้ีสร้างข้ึนเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ ตอนน้ันให้ชื่อว่า วัดท่าพรุ ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๑๖ จึงได้สร้าง อุโบสถขึ้นให้พระไชย วัดเกาะสะท้อน เป็นช่างก่อสร้าง และเขียนลวดลายภายในและภายนอกอุโบสถ จิตรกรรม ฝาผนงั ในอโุ บสถ ฝาผนงั ๓ ดา้ น (ยกเวน้ ดา้ นหลงั พระประธาน) ทเี่ สา และทเ่ี พดานเขยี นขนึ้ ในสมยั ตน้ รตั นโกสนิ ทร์ รัชสมยั รชั กาลที่ ๔ 124 หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถนิ่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

๖.๓ วัดเขากง เป็นวัดเก่าแก่ สร้างขึ้นสมัยรัชกาลท่ี ๕ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๒๑ มีหลวงพ่อเปาะเลาะ จันทูปะโน เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก และมีเจ้าอาวาสมาจนถึงปัจจุบัน รวม ๔ องค์ ต่อมากลายเป็นวัดร้างจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๔ หลวงพอ่ โทะ๊ อาภาสโร ไดม้ าจำ� พรรษาและมพี ระสงฆเ์ ขา้ มาจำ� พรรษาอกี ครงั้ หนง่ึ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ไดย้ กฐานะเป็นวดั เมื่อวนั ท่ี ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ๖.๔ จวนเจ้าเมืองเก่า จวนพระยาภูผาภักดี เป็นบ้านเจ้าเมืองระแงะ ตั้งอยู่ ณ ต�ำบลบางนาค ถนนสถติ ยร์ ายา อำ� เภอเมอื งนราธวิ าส ปจั จบุ นั เปน็ ทด่ี นิ ของ นางกจู ิ สนทิ วาที ผเู้ ปน็ หลานสาวของพระยาภผู าภกั ดี ปัจจุบันแบ่งให้ชาวบ้านเช่า โดยก้ันเป็นห้อง มีอยู่ถึง ๙ ครอบครัว ส�ำหรับนางกูจิ สนิทวาที น้ันอาศัยอยู่ ณ บา้ นตนั หยงมสั หมทู่ ี่ ๑ ตำ� บลบาโงสะโต อำ� เภอระแงะ เสน้ ทางเขา้ ถงึ จวนพระภผู าภกั ดี เปน็ ถนนลาดยางตดิ ถนน เดินเขา้ ไปจากถนนสถิตยร์ ายาเพยี ง ๕๐ เมตร ๖.๕ มัสยิดยุมอียะห์ หรือมัสยิดรายา สร้างเม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๔ ต้ังอยู่ใกล้ส่ีแยกหอนาฬิกา อ�ำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เป็นมัสยิดเก่าแก่แห่งหน่ึง เป็นท่ีประกอบพิธีทางศาสนาของชาวไทยท่ีนับถือศาสนาอิสลาม มีเน้ือท่ี ๒ ไรเ่ ศษ มสั ยิดรายอ ซ่งึ ค�ำวา่ รายอ หมายถึง เจ้าเมืองเพราะเปน็ มัสยิดของพระยาภผู าภกั ดี หรือพระยาระแงะ แม้ทางราชการจะสร้างมัสยิดกลางประจ�ำจังหวัดนราธิวาสแห่งใหม่แล้วก็ตาม มัสยิดแห่งน้ียังเป็น ท่เี ลอื่ มใสศรทั ธาของประชาชนในการประกอบศาสนกจิ เป็นอยา่ งมาก เนอ่ื งจากเป็นกโู บร์ (สสุ านเจา้ เมอื งเกา่ ) มัสยิดยุมอียะห์มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเด่น คือ มีโดมมัสยิดท่ีลักษณะแปลกไม่เหมือนกับโดมมัสยิดอ่ืนๆ ในบรเิ วณใกล้เคยี ง ๗. ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นในด้านการแพทย์ ภาคใต้เป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพมาก ท�ำให้บรรพบุรุษ มีความรู้ความสามารถในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรดังกล่าวได้มาก ภูมิปัญญาดังกล่าวได้ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่ง ไปสู่อีกรุ่นหน่ึง การใช้ประโยชน์จากสมุนไพรเป็นภูมิปัญญาท่ีชาวใต้ได้รับการถ่ายทอดมาจนปัจจุบันการใช้ชีวิต ใกลช้ ดิ กบั ปา่ ดงพงไพร เมอ่ื เจบ็ ปว่ ยไดน้ ำ� พชื สตั ว์ หรอื สนิ แร่ มาทดลองใชใ้ นการบำ� บดั รกั ษา เชน่ เงาะปา่ มคี วามชำ� นาญ ในเร่ืองสมุนไพร ซ่ึงมีท้ังยาบ�ำบัดและยาบ�ำรุงที่มีคุณภาพดีท้ังสิ้น เช่น ยาแก้ปวดเม่ือย ท่ีเรียกว่า เลาะเคาะ เป็นพืชคล้ายต้นฝรั่ง ใช้ต้มเอาน�้ำมานวดบริเวณที่ปวดเมื่อย ยาคุมก�ำเนิด เป็นรากไม้ให้ผู้หญิงแทะกิน หรือกินกับหมาก ยาเสริมก�ำลังทางเพศ หรือ ตาง๊อตมีลักษณะคล้ายหัวเผือก เปลือกสีขาว ใช้กินสดหรือแห้งก็ได้ ยารักษาโรคส่วนใหญ่จะใช้สมุนไพรเพียงชนิดเดียว ภูมิปัญญาเหล่าน้ีจะบอกต่อกันมาจากพืชที่อยู่ใกล้ตัว เช่น หอม กระเทียม ขิง ข่า ตะไคร้ จนขยายขอบเขตเป็นพืชพรรณในป่า นอกจากนั้นการแลกเปล่ียนความรู้ และประสบการณ์กับคนต่างชาติพันธุ์ จะเป็นการขยายฐานความรู้และเกิดการพัฒนาปรับปรุงเป็นยาขนานต่างๆ มากขึ้น เช่น ยากระชับล�ำไส้ เป็นส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิด ใช้ขับลมในกระเพาะอาหาร ยาก�ำลังราชสีห์ เป็นส่วนผสมของดอกไม้หลายชนิด ใช้ส�ำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วมีบุตรยากช่วยให้มีบุตรได้ ยาแก้โรคไต เป็นส่วนผสมของรากไม้หลายชนดิ ดองกบั เหล้าขาว ใช้บรรเทาอาการปวดหลงั ปวดเอว นอกจากนี้แลว้ เพ่อื ให้เกดิ ผลในทางจติ วทิ ยา หรือเปน็ กำ� ลงั ใจใหก้ ับคนปว่ ย อาจจะมกี ารร่ายเวทมนต์คาถาประกอบ 125หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

๘. ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิน่ ในด้านทศั นคติ โดยภาพรวมแลว้ ทศั นคตติ อ่ สง่ิ แวดลอ้ มของชาวใตม้ ไิ ดแ้ ตกตา่ งไปจากภมู ภิ าคอนื่ เทา่ ใดนกั เวน้ แตจ่ ะผกู พนั แนบแนน่ อยกู่ บั ธรรมชาตทิ เี่ ปน็ คาบสมทุ ร รวมทง้ั การไดแ้ ลกเปลยี่ นสงั สรรคก์ บั คนจากวฒั นธรรมอน่ื อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง กนั มาเปน็ เวลานาน ทำ� ใหเ้ กดิ การผสมผสานของวฒั นธรรมอยตู่ ลอดเวลา สภาพดงั กลา่ วนเี้ ปน็ ลกั ษณะเดน่ ทมี่ อี ทิ ธพิ ล ต่อทัศนคติท่เี ป็นภูมิปัญญาเฉพาะถิน่ และถอื ปฏบิ ัติเป็นบรรทดั ฐานของชาวใต้ ๘.๑ ด้านสิ่งแวดล้อม คนในภาคใต้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับธรรมชาติในลักษณะท่ีได้รับการเกื้อกูล จากธรรมชาตมิ าแตอ่ ดตี เพยี งแคเ่ กบ็ เกย่ี วเอาทรพั ยากรทมี่ อี ยู่ มาใชด้ ว้ ยนำ้� พกั นำ�้ แรงของตนเองกอ็ ยไู่ ดอ้ ยา่ งสบาย จะเห็นได้จากการปลูกสร้างบ้านเรือนการท�ำมาหากิน ที่อยู่บนหลักการของการเคารพธรรมชาติ จะท�ำการส่ิงใด เพ่ือการครองชีพ จะมีพิธีบอกกล่าวส่ิงศักด์ิสิทธ์ิท่ีปกป้องคุ้มครองอยู่ ดังจะเห็นได้จากพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีขอป่า เป็นพิธีกรรมที่ชาวบ้านภาคใต้ท�ำขึ้นเพื่อขอตัดไม้ในป่า ส�ำหรับปลูกสร้างบ้านเรือนหรือที่ท�ำกิน โดยการนำ� อาหารคาวหวานพรอ้ มกบั ตดั กง่ิ ไมเ้ ปน็ รปู ตะขอมาเซน่ ไหวเ้ จา้ ปา่ เจา้ เขา แลว้ อธษิ ฐานขออนญุ าตเขา้ ถางปา่ นอกจากนี้แล้วการแสดงออกถึงการยอมรับนับถือความส�ำคัญของธรรมชาติและปรับตัวให้สอดคล้องกับ ธรรมชาตแิ ลว้ ซงึ่ เหน็ ไดใ้ นพธิ กี รรมการเคารพแมโ่ พสพ เคารพขนุ เขา และเคารพแผน่ ดนิ เกดิ ทอี่ ดุ มสมบรู ณไ์ ปดว้ ย ทรัพยากรธรรมชาติ ประกอบกับความศรัทธาในศาสนาท่ีสอนให้ไม่โลภ ไม่สะสม หม่ันท�ำบุญท�ำทาน เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั คนในภมู ภิ าคอน่ื คนใตม้ คี วามสมถะ เรยี บงา่ ย เพราะจดุ มงุ่ หมายของชวี ติ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ค่ี วามมงั่ คงั่ หากแต่จะอยูอ่ ยา่ งกลมกลนื กบั ธรรมชาตใิ ห้มากที่สดุ ๘.๒ การปกครอง ระยะเวลาสองศตวรรษท่ีผ่านมา หัวเมืองปักษ์ใต้มิได้ถูกปกครองอย่างใกล้ชิด จากเมืองหลวง แต่จะอาศัยเมืองหลักอย่างนครศรีธรรมราชและสงขลาเป็นศูนย์กลางปกครองดูแลอีกต่อหนึ่ง ฉะนั้นความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจระหว่างเมืองหลวงกับหัวเมืองปักษ์ใต้ จึงไม่ใช่การรวมศูนย์อ�ำนาจอย่างเข้มข้น หวั เมอื งตา่ งๆ มอี สิ ระในการปกครองและดแู ลกนั เอง ถงึ แมว้ า่ จะไมเ่ ปน็ แบบนที้ ง้ั หมด แตห่ ลายๆ หมบู่ า้ นกเ็ กดิ จาก การสร้างตัวด้วยล�ำแข้งของตนเองท่ามกลางสภาพธรรมชาติท่ีเก้ือกูลเป็นอันดี ชาวใต้จึงมีทัศนะในการปกครอง แบบพ่ึงพาตนเอง รักอิสระ รกั ความเปน็ ธรรม ๘.๓ สถานภาพ สงั คมของคนชาวใตใ้ หค้ วามสำ� คญั กบั เพศชายสงู กวา่ เพศหญงิ ขณะเดยี วกนั กม็ คี วามคาดหวัง ใหผ้ ูห้ ญงิ เป็นผู้มีคณุ คา่ สมเป็นกุลสตรีไทย ซงึ่ มีทัศนะตา่ งๆ ดังต่อไปน้ี ๑) การยกย่องบุรุษเพศในการเป็นหัวหน้าครอบครัว พร้อมกันนั้นก็คาดหวังว่าบุรุษต้องเป็น ผู้มคี วามรู้ มคี ุณธรรม และตอ้ งเป็นคนจริง คอื เชอื่ ถือได้ไม่เหลวไหล ๒) ในการยกย่องบุรุษเพศ ชาวใต้นิยมนับถือ นักเลง ซ่ึงหมายถึงผู้ท่ีมีบุคลิกพิเศษ มีน้�ำใจ เปน็ คนใจกวา้ ง กลา้ ไดก้ ลา้ เสยี รกั ษาคำ� พดู รกั พวกพอ้ ง ซง่ึ ในทอ้ งถน่ิ ทฝี่ า่ ยปกครองดแู ลไมท่ วั่ ถงึ นกั เลงจะทำ� หนา้ ท่ี ดูแลจัดการให้ท้องถิ่นมีความสงบเรียบร้อย พร้อมๆ กับคอยปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนเองและบริวาร ไม่ใหน้ ักเลงถิ่นอนื่ เข้ามารงั แก ๓) ชาวใต้ให้คุณค่าต่อพรหมจารีของผู้หญิงสูงมาก โดยยึดถือกันท่ัวไปว่า สตรีต้องรักนวลสงวนตัว ประพฤตติ นเรยี บรอ้ ย สำ� รวมกรยิ ามารยาท มคี วามเปน็ แมศ่ รเี รอื น ขอ้ ยดึ ถอื เหลา่ นที้ ำ� ใหผ้ หู้ ญงิ ภาคใตจ้ ะไมส่ นทนา ปราศรัยกับคนแปลกหนา้ หรือคนทีไ่ ม่นา่ ไวว้ างใจ ฝ่ายผู้ชายกจ็ ะไมม่ นี สิ ัยพดู จาแทะโลมผู้หญิง 126 หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตรท์ ้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต)้

๙. ภูมิปญั ญาท้องถน่ิ ในด้านการปลกู ฝังคุณธรรม ในความเปน็ สงั คมเปดิ ทมี่ เี ครอื ขา่ ยระบบความสมั พนั ธก์ วา้ งขวางและตอ้ งปรบั ตวั เขา้ กบั ความเปลยี่ นแปลง พร้อมๆ กับการที่ต้องรักษาความเช่ือแบบธรรมเนียมท่ีเป็นบรรทัดฐานของสังคมไว้ เพื่อให้การด�ำเนินชีวิตราบร่ืน ผาสุกตามครรลองที่สืบทอดกันมา สังคมชาวใต้จึงมีกรรมวิธีปลูกฝังรักษาความเช่ือและบรรทัดฐานของสังคมไว้ ในหลายๆ วิธี ด้วยการอาศัย บ้าน ชุมชน วัด พิธีกรรม วรรณกรรมท้องถิ่น เป็นตัวถ่ายทอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วรรณกรรมค�ำสอน สุภาษิต ตลอดจนการละเล่นต่างๆ เมื่อคนเติบโตขึ้นท่ามกลางค่านิยมและแบบอย่าง ความประพฤติ ในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและกิจกรรมตามขนบประเพณีที่ได้ท�ำหน้าท่ีถ่ายทอด หรือตอกยำ�้ ก็จะเกดิ การซึมซบั รับเอาโดยอตั โนมตั ิ ซง่ึ ชาวใต้มีวิธกี ารปลกู ฝงั และรักษาบรรทดั ฐานของสังคมดงั นี ้ ๙.๑ เพลงกล่อมเด็ก สังคมภาคใต้เป็นสังคมเกษตรกรรมเน้นการบอกเล่ามากกว่าการอ่าน การปลูกฝัง จึงเริ่มตั้งแต่เยาว์วัยด้วยการอบรมเล้ียงดูในบ้านอันประกอบด้วย พ่อแม่ และเครือญาติ ด้วยน้�ำเสียงท่ีเห่กล่อม กอ่ ใหเ้ กดิ ความอบอนุ่ และสขุ กายสบายใจแกเ่ ดก็ ออ่ น สว่ นเนอ้ื หาทแ่ี ฝงอยดู่ ว้ ยเรอ่ื งคณุ ธรรมเปน็ สง่ิ ทตี่ อ้ งการจะสอื่ ใหก้ บั เด็กโตทีพ่ อจะเขา้ ใจ รวมทัง้ วงศาคณาญาตทิ ี่ไดย้ ินได้ฟงั ๙.๒ วรรณกรรมค�ำสอนและสุภาษิต สังคมภาคใต้มีวรรณกรรมที่ยึดหลักค�ำสอนของพุทธศาสนา เปน็ สว่ นใหญ่ อาจจะมกี ารสอดแทรกคตนิ ยิ มพน้ื บา้ นไวด้ ว้ ยโดยประสมประสานกนั ไป ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ เครอื่ งมอื แนะนำ� สัง่ สอนจริยธรรม ค่านยิ ม ให้คนในสงั คมทกุ ลำ� ดบั ชัน้ ดงั เช่น ๑) สุภาษิตร้อยแปด พุทธภาษิต ต้นสมุดสุภาษิต เป็นวรรณกรรมท่ีใช้ส�ำหรับสอนบุคคลทั่วไป ใหร้ ู้จักประมาณตน เว้นจากอบายมขุ มีคุณธรรม ๒) ปรศิ นาสอนนอ้ ง สภุ าษติ สอนหญงิ คำ� กาพย์ เปน็ วรรณกรรมทใี่ ชส้ ำ� หรบั สอนสตรี ใหม้ มี ารยาทดงี าม ๓) พาลสี อนนอ้ ง เปน็ วรรณกรรมทใี่ ชส้ ำ� หรบั สอนขนุ นางขา้ ราชการ ใหจ้ งรกั ภกั ดตี อ่ พระมหากษตั รยิ ์ รกั เกยี รตแิ ละศักดิ์ศรี เป็นท่พี ่ึงของประชาชน ๔) พระอนิจจลักขณกถา เปน็ วรรณกรรมทีใ่ ช้ส�ำหรบั สอนพระสงฆ์ ให้เคร่งในศีลในธรรม ๙.๓ การไหว้ เป็นประเพณีปฏิบัติดั้งเดิมที่เป็นวัตรปฏิบัติส่วนหน่ึงของชาวภาคใต้ เพราะเชื่อว่าการไหว้ เป็นมงคลแก่ตัวเองและน�ำความสวัสดีมีชัยมาให้ โดยเป็นการสวดเพื่อระลึกถึงคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ และสิ่งศกั ด์ิสทิ ธ์ิท้ังหลาย ให้ชว่ ยคุม้ ครองและบนั ดาลให้สัมฤทธผ์ิ ลในกจิ ที่ปรารถนา ๙.๔ พิธีลอยเคราะห์ คนไทยภาคใต้มีความเชื่อตามศาสนาพราหมณ์ว่า คนเราทุกคนมีช่วงเวลาท่ี ดาวพระเคราะห์มาเสวยอายุ ยามใดท่ีดาวพระเคราะห์มาเสวยอายุก็จะเกิดโทษกับผู้นั้น อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีเหตุการณ์ร้ายๆ มากระทบต่อการด�ำเนินชีวิตของตัวเองและญาติมิตร ดังน้ันจึงนิยมลอยเคราะห์เพ่ือให้ตน พ้นจากเคราะห์กรรมนั้น ด้วยการน�ำต้นกล้วยมาท�ำเป็นแพ แล้วเอาผม เล็บ ข้ีไคล รวมท้ังดอกไม้ ธูปเทียน ใส่ในแพลอยนำ�้ ไป ๙.๕ การสอ่ื ขา่ วสารผา่ นการละเลน่ ของชาวบา้ นภาคใตท้ สี่ บื ทอดกนั มา ทงั้ หนงั ตะลงุ มโนรา เพลงบอก และล�ำตัด ตลอดจนลเิ กปา่ ลว้ นแต่มบี ทบาทตอ่ สังคม ซง่ึ นอกเหนอื จากความบนั เทิงแล้ว การละเล่นเหลา่ น้ยี ังท�ำ หน้าท่ีกระจายข้อมูลข่าวสาร ให้ความรู้ทันต่อสถานการณ์บ้านเมืองและความเปล่ียนแปลงต่างๆ ศิลปะการแสดง เหล่าน้ี มีจุดเด่นอยู่ที่ท่วงท�ำนอง จังหวะ ถ้อยค�ำส�ำนวนที่เต็มไปด้วยปฏิภาณไหวพริบ และน�้ำเสียงท่ีก่อให้เกิด ความหรรษา ท�ำให้เข้าถึงความสนใจของชาวบ้านได้มากกว่าสื่อธรรมดา 127หลักสตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

๑๐. ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ในเร่ืองการแตง่ กาย เสือ้ ผ้าทใี่ ชใ้ นการแตง่ กายของบรุ ษุ และสตรีในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้กเ็ ปน็ เหมือนกับดา้ นอน่ื ๆ คอื ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากประเทศอน่ื ๆ ทน่ี บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม เชน่ ซาอดุ อี ารเบยี ปากสี ถาน อฟั กานสิ ถาน มาเลเซยี อนิ โดนเี ซยี เชน่ เส้ือมลายู หรือเสื้อตาโละบลางอ เป็นท่ีนิยมของมุสลิมภาคใต้มาก ชาวกลันตัน เรียกว่า เสื้อมุมบัง และชาวมลายใู นถ่นิ เรยี กว่า เสอ้ื มลายู หรอื เสอ้ื ตาโละบลางอ เสอื้ โต๊ปหรอื เสอ้ื ยเู บ๊าะ ได้รับอทิ ธพิ ลมาจากการแต่งกายของชาวอาหรับในประเทศซาอุดอี าราเบยี เส้ือปากี ได้รบั อิทธพิ ลมาจากการแตง่ กายของชาวปากีสถาน อัฟกานสิ ถาน เสอื้ มอรอ็ กโค ได้รับอทิ ธพิ ลมาจากการแต่งกายของชาวมอรอ็ คโค เสื้อปปี ี หรือเส้อื สาฟารี ได้รับอิทธิพลมาจากการแต่งกายของอนิ โดนเี ซยี เส้อื เชิ้ตบาตกิ ได้รบั อิทธิพลมาจากอนิ โดนเี ซียซึ่งได้รบั ความนนยิ มกนั มากในปัจจุบนั ชุดกรู ง ชดุ กูรงน้ี เป็นการแต่งกายของสตรชี าวมลายู ชุดอาบายะฮฺ เป็นการแต่งกายของสตรีมุสลิมอาหรับ แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมมากในหมู่สตรีมุสลิม ในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ ชดุ บนั ดง หรอื บานง เปน็ การแตง่ กายของสตรอี นิ โดนีเซีย นยิ มใส่กันในงานพธิ ีต่างๆ ๑๑. ภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ ในดา้ นอาหารและการถนอมอาหาร การถนอมอาหารเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณท่ีสืบทอดบอกต่อกันมารุ่นสู่รุ่น เนื้อสัตว์และปลาน้�ำจืด รวมถงึ ปลาทะเล เพอ่ื เปน็ การเกบ็ ไวบ้ รโิ ภคนานๆ ชาวใตใ้ ชว้ ธิ หี มกั และใสเ่ กลอื เชน่ เดยี วกบั ชาวไทยในภมู ภิ าคอนื่ ๆ ในที่นี้ผลิตผลของชาวใตท้ ี่ข้นึ ชือ่ และรู้จักกันเปน็ ท่ีแพรห่ ลาย เช่น พงุ ปลา น้�ำบูดู เป็นต้น ๑๑.๑ บดู ู เป็นค�ำมลายู หมายถึง น้�ำท่ีเกิดจากการหมักปลา ท�ำนองเดียวกับการท�ำน�้ำปลา ปลาท่ีนิยม น�ำมาหมักท�ำน�้ำบูดูมักเป็นปลาทะเลตัวเล็กๆ เช่นปลาไส้ตัน หรือท่ีชาวบ้านเรียกตามภาษาจีนว่าปลาจิงจ้ัง และปลากะตัก ชาวบ้านเรียกตามภาษามลายูว่า “เมฺระ” หรือปลาลูกเมฺระ (ออกเสียง ม-ร ควบกัน) เร่ิมต้นด้วย การน�ำปลาดังกล่าวมาล้างให้สะอาด แล้วคลุกเกลือ กะคร่าวๆ โดยประมาณปลา ๕ ลิตร ต่อเกลือ ๒ ลิตร จากนั้นน�ำไปหมักลงไหหรือโอ่ง ใช้เวลาหมักนานเป็นแรมปี คือนานจนกระทั่งเน้ือปลาเปื่อยหลุดออกมาจากก้าง แล้วกรองดว้ ยกระชอนหรอื ผา้ ขาวบางเพื่อแยกก้างปลาออกท้งิ จากน้ันจงึ นำ� น�ำ้ บดู ูเพือ่ ใชป้ รงุ อาหารต่อไป น้�ำบูดูมี ๒ ชนิด ชนิดแรกเป็นน�้ำบูดูเค็ม รสเข้มข้นอยู่ในตัว สามารถน�ำมาท�ำเป็นอาหารได้ หลายอย่าง เฉกเช่นเดียวกับพุงปลาและปลาร้าทางภาคอีสาน ตัวอย่างเช่น น้�ำบูดูทรงเคร่ือง โดยน�ำน้�ำบูดูมา ตงั้ ไฟ เสรจ็ แลว้ ใสเ่ ครือ่ งปรงุ ตะไคร้ ใบมะกรดู หอม พรกิ สด นำ้� ตาล และมะนาว ชาวบ้านนยิ มใช้น้�ำบูดูดังกลา่ ว ราดขา้ ว แลว้ ตามด้วยผักเหนาะหรอื ผกั จิ้ม บางคนนยิ มจ้มิ น้ำ� บุดดู ว้ ยปลายา่ ง ปลาเผา น�้ำบูดูอีกชนิดหน่ึงผสมน้�ำตาลปี๊บ มีรสหวาน พร้อมใส่เครื่องปรุง ใบมะกรูด ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม แลว้ นำ� ไปเคี่ยวรวมกันเพื่อทำ� เปน็ น�้ำข้าวย�ำ ซงึ่ เปน็ อาหารส�ำคญั อยา่ งหนงึ่ ของคนใต้ ท้องถิน่ ทม่ี ชี อื่ เสียง ในการท�ำน้�ำบูดูอยู่ที่ชายแดนใต้ อ�ำเภอสายบุรี ปัตตานี และท่ีน่าสนใจ โรงเรียนสายบุรี “แจ้งประภาคาร” สามารถผลติ บูดแู ทง่ สำ� เรจ็ รปู ออกจ�ำหน่ายเผยแพรเ่ ป็นที่กว้างขวางอีกด้วย 128 หลกั สูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

๑๑.๒ พงุ ปลา ชาวภาคกลางเรียก “พุงปลา” วา่ “ไตปลา” แต่คนใต้เรียกวา่ “พงุ ปลา” นั้น ความหมายกวา้ ง ขวางกว่า กล่าวคอื โดยทั่วไปคนใตม้ กั เรียกท้องว่า “พุง” เช่น ปวดท้องคลอด จะพูดว่าเจบ็ พงุ เกิด เปน็ ตน้ คำ� ว่า “พุงปลา” จึงหมายถึงส่วนท้องของปลาและเรียกรวมอวัยวะทุกอย่างในท้องปลา ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะ ตับ ไต และล�ำไส้ ยกเว้นแต่ขี้ปลาท่ีรีดออกจากไส้ปลา พุงปลาที่คนใต้นิยม เช่น พุงปลาทู ปลาโคบ ปลากระบอกและ ปลากระดี่ ปลาบางชนดิ เชน่ ปลาชอ่ นตอ้ งเอาดปี ลาทม่ี รี สขมออกเสยี กอ่ น เมอ่ื ลา้ งพงุ ปลาจนสะอาดเรยี บรอ้ ยแลว้ จึงบรรจุลงในภาชนะ เช่น ไห หรือขวดโหล พร้อมกับเอาเกลือคลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วหมักพุงปลาทิ้งไว้ ประมาณ ๑๐ - ๑๕ วัน จึงน�ำมาแกงได้ ชาวใต้เรียกว่า “แกงพุงปลา” แต่ชาวภาคกลางเรียกว่า “แกงไตปลา” แกงพงุ ปลาเปน็ แกงเผ็ดรสจดั จา้ นมนี ำ้� มากกวา่ เน้อื รสคอ่ นขา้ งหนักไปทางรสเคม็ สีคลำ�้ อมเหลอื ง มีสว่ นประกอบ ท่สี �ำคัญ คอื 129หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

พุงปลา ปลาย่าง บ้างใส่ผักลงไปด้วย เช่น หน่อไม้ ฟักทอง เม็ดขนุน ฯลฯ บ้างก็ใส่หัวกะทิลงไป เพื่อเพิ่มความมัน แต่อย่างไรก็ตามแกงพุงปลาต้องให้มีรสเผ็ดจึงจะอร่อย และท่ีขาดเสียไม่ได้คือ เครื่องเคียง ผักเหนาะหรือผักส�ำหรับแกล้ม เช่น ยอดยาร่วงหรือที่ชาวภาคกลางเรียกกันว่ายอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะกอก สะตอ ลกู เนยี ง ลูกเนียงนก ลูกเหรียง แตงกวา ยอดมนั ปูและถวั่ ฝกั ยาว ฯลฯ ๑๑.๓ กะปิ ชาวประมงตอ้ งการจะดองกงุ้ ทจ่ี บั มาได้ เพอื่ เอาไวร้ บั ประทานไดใ้ นระยะเวลานานๆ กะปเิ ปน็ ตำ� รบั อาหารของเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ้ ในปจั จบุ นั กะปกิ ลายมาเปน็ หนงึ่ ในวฒั นธรรมอาหารทสี่ รา้ งรายไดใ้ หแ้ กช่ มุ ชน ต่างๆ จากการผลิตกะปิและจ�ำหน่ายกะปิท่ีท�ำจากตัวเคยหรือกุ้งเคย เป็นสัตว์ทะเลชนิดหน่ึง มีลักษณะคล้ายกุ้ง แตต่ วั เลก็ กวา่ และไมม่ ีกรีแหลมๆ ทบี่ ริเวณหัว เหมอื นกุง้ ตัวสีขาวใส มีตาสดี ำ� อาศยั อย่ตู ามบริเวณผวิ ทะเล ๑๑.๔ ปลาจ้ิงจัง หรอื ปลาไสต้ ัน เป็นปลาทะเลขนาดเล็ก ยาวเรียว เกล็ดหลุดง่าย สีเส้นขาวเงินขนาบข้างล�ำตัว ส่วนมากนิยม นำ� มาทำ� นำ�้ ปลา นำ�้ บดู แู ละทำ� “จง้ิ จงั ” คำ� วา่ จงิ้ จงั คอื ชอื่ อาหารหมกั เคม็ ชนดิ หนงึ่ ทำ� จากปลาจง้ิ จงั หรอื ปลาไสต้ นั โดยน�ำมาหมักเกลือกับข้าวคั่วจนเปื่อยยุ่ย อย่างเดียวกับการท�ำปลาเจ่าของทางภาคกลาง ชาวบ้านมักน�ำมาย�ำ ใสต่ ะไคร้ หอมแดง พรกิ ขหี้ นซู อย ปรงุ รสดว้ ยมะนาว รสชาตใิ กลเ้ คยี งกบั บดู ทู รงเครอื่ ง แตจ่ งิ้ จงั มกี ลนิ่ คาวมากกวา่ หรอื ไมก่ น็ �ำมาลวกน�้ำรอ้ น ตากแหง้ นำ� มาทอด กนิ เล่นเปน็ อาหารว่าง 130 หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต)้

๑๑.๕ ข้าวหมาก เป็นอาหารพื้นเมืองชนิดหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชาวบ้านเรียกว่า “ตาแป” นิยมท�ำ ในเทศกาลตา่ งๆ มหี ลากหลายสตู รเฉพาะแต่ละพ้ืนที่ เพอ่ื เป็นอาหารว่างใหแ้ ขกเหรอ่ื ๑๑.๖ ซามาอีแกหรอื ปลาปน่ บางพื้นที่เรียกว่า สมันปลา หมายถึง การน�ำเน้ือปลาสดมาปรุงเป็นปลาหยอง นิยมรับประทาน กับขา้ วเหนยี ว 131หลักสตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)

๑๒. ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ในดา้ นวฒั นธรรมประเพณี ๑๒.๑ ศาสนสถานทีส่ ำ� คญั ทุกต�ำบล ทุกหมู่บ้านของชาวไทยมุสลิมจะมีมัสยิด หรือสุเหร่าเป็นศาสนสถานประจ�ำต�ำบล หรอื หมบู่ า้ น มขี นาดใหญ่ เลก็ สวยงามตามฐานะของผคู้ นในชมุ ชน สำ� หรบั ในการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ เชน่ การละหมาด รว่ มกนั นอกจากนน้ั แลว้ ยงั ใชเ้ ปน็ ทอ่ี บรมสง่ั สอนเยาวชนในดา้ นวชิ าการศาสนา บางครง้ั ใชเ้ ปน็ สถานทปี่ ระชมุ ชแ้ี จง เรื่องเก่ียวกับงานของชุมชนและทางราชการ ชาวบ้านแต่ละท้องถ่ินจึงได้ออกแบบสถาปตั ยกรรมของมัสยิดของตน อย่างสวยสง่าเปน็ ศาสนสถานส�ำคัญ ไดแ้ ก่ ๑) มสั ยิดกรอื เซะ มัสยิดเก่าแก่แห่งหน่ึงในภาคใต้ตอนล่างที่สันนิษฐานว่ามีสร้างมาก่อน พ.ศ. ๒๓๒๘ ลกั ษณะเปน็ เสากลมกอ่ ดว้ ยอฐิ หรอื ปนู เปน็ รปู แบบศลิ ปะทางตะวนั ออกกลาง ทมี่ ลี กั ษณะรปู ทรงโดมทสี่ รา้ งไมเ่ สรจ็ และบรเิ วณใกล้เคียงเปน็ ฮวงซยุ้ หรือท่ฝี ังศพเจ้าแมล่ ่มิ กอเหนย่ี วอยใู่ นบรเิ วณเดยี วกนั ๒) มสั ยิดกลางปัตตานี ศาสนาสถานของไทยมสุ ลมิ ทสี่ วยงามและใหญท่ สี่ ดุ ลกั ษณะอาคารรปู ทรงคลา้ ยโคม สญั ลกั ษณ์ ของพระจันทร์เส้ียวและดาวอยู่บนยอด ปัจจุบันใช้เป็นสถานท่ีประกอบพิธีทางศาสนาของชาวปัตตานี และจงั หวัดใกล้เคียง ๓) วดั คหู าภมิ ขุ ชาวบ้านเรียกว่า “วัดหน้าถ�้ำ” หรือ “วัดถ�้ำ” ต้ังอยู่ท่ีต�ำบลหน้าถ�้ำ อ�ำเภอเมืองยะลา จงั หวดั ยะลา ภายในภเู ขาเปน็ ถำ้� ใหญ่ ปากถำ�้ มรี ปู ปน้ั ยกั ษเ์ ฝา้ สว่ นภายในถำ�้ ประดษิ ฐานพระพทุ ธไสยาสนข์ นาดใหญ่ ตามตำ� นานวา่ กษตั รยิ ศ์ รวี ชิ ยั เปน็ ผเู้ กณฑเ์ จา้ เมอื งตา่ งๆ ไปสรา้ ง พระบรมธาตทุ จี่ งั หวดั นครศรธี รรมราช ปรากฎวา่ มีเจ้าเมืองกลุ่มหน่ึงไปไม่ทัน จึงได้สร้างพระนอนทดแทน และถือว่าวัดนี้เป็นวัดส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาว ภาคใตต้ อนล่างมาจนถึงทุกวันน้ี ๔) วดั ราษฎรบูรณะหรอื วดั ชา้ งให้ วัดช้างให้ตั้งอยู่ต�ำบลควนโนรี อ�ำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เป็นวัดท่ีชาวพุทธรู้จักกัน ท่วั ประเทศเพราะเป็นวดั ท่มี ี “หลวงพอ่ ทวดเหยียบนำ�้ ทะเลจืด” ประดิษฐานอยู่ ท่านเป็นพระอรยิ สงฆ์ท่ชี าวไทย และชาวต่างประเทศเคารพนับถือกันมาก บริเวณด้านหน้าริมทางรถไฟเป็นที่เก็บอัฐิของหลวงพ่อทวดเหยียบน้�ำ ทะเลจืด ชาวบา้ นเรียกสถูปน้วี า่ “เขื่อนบรรจอุ ัฐ”ิ ทกุ วันจะมผี ้ไู ปกราบไหว้ บนบานกนั มากมาย ๕) วัดชลธาราสงิ เห วัดชลธาราสิงเห ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๓ บ้านบางน้อย ต�ำบลเจ๊ะเห อ�ำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เรียกขานกันว่า “วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย” เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่และสวยงาม แสดงว่ากลุ่มคนไทยในพื้นถ่ิน ละแวกนี้มีวัฒนธรรมท่ีศรัทธามั่นในพระพุทธศาสนา หลักฐานการสร้างวัดชลธาราสิงเหกล่าวว่า พระครูโอภาษ พุทธคุณ (พุฒ) เจ้าอาวาสวัดบางเตย หมู่ที่ ๑ ต�ำบลพร่อน อ�ำเภอตากใบ ได้ขอบริจาคที่ดินจากชาวบ้านท่ีเป็น 132 หลกั สูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถ่นิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)

ไทยพุทธในรัฐกลนั ตัน เพอื่ สร้างวดั แหง่ นีข้ ึ้นเม่ือ ปี พ.ศ. ๒๔๐๓ ขณะนั้นชาวบา้ นเรยี กว่า วัดเจะ๊ เห พระครโู อภาษ พุทธคุณ (พุฒ) ได้มอบหมายให้ทิดไชย หรือพระชัยวัดเกาะสะท้อน ร่วมกับพระธรรมาธร (จุ้ย) พร้อมด้วยทิด มีช่างฝีมือชาวสงขลา ร่วมกันสร้างพระอุโบสถและเขียนภาพบนผนังพระอุโบสถขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๑๖ เพื่อบันทึก เร่ืองราวในพระพุทธประวัติและวิถีชีวิตของชาวบ้านไว้อย่างน่าสนใจ รูปทรงของพระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรม แบบรัตนโกสินทรผ์ สมผสานกับแบบทอ้ งถิน่ หลงั คาเป็นอาคารไม้ ทรงไทย ประตูเข้า ๓ ประตู หนา้ บนั ทัง้ สองดา้ น เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ๓ เศียร มีหน้าต่างด้านละ ๔ ช่อง บนประตูและหน้าต่างปั้นกนก ลวดลายซุ้ม ทรงมงกฎุ ภาพจติ รกรรมภายในพระอโุ บสถเปน็ ภาพเขียนสีฝุน่ บนเนอ้ื ท่ีประมาณ ๑๘๘ ตารางเมตร ๖) วดั มจุ ลนิ ทวาปีวหิ าร หรอื วัดตุยง วดั มจุ ลนิ ทวาปวี หิ ารเปน็ วดั พระอารามหลวง ตงั้ อยทู่ ต่ี ำ� บลตยุ ง อำ� เภอหนองจกิ จงั หวดั ปตั ตานี เป็นวัดเก่าแก่ท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ และได้ใช้เป็นสถานท่ีประกอบพิธีถือน้�ำพิพัฒนาสัตยาของข้าราชการในยุคนั้น พระองค์ได้พระราชศรัทธาบริจาค พระราชทรัพย์เป็นเงินจ�ำนวน ๘๐ ช่ัง ให้แก่พระยามุจลินทร์สราภิธานนัคโรปการสุนทรกิจมหิศราชภักดี (ทดั ณ สงขลา) เพอื่ ทำ� นบุ ำ� รงุ พระอโุ บสถทที่ รดุ โทรม พระองคไ์ ดพ้ ระราชทานนามวดั นวี้ า่ “วดั มจุ ลนิ ทวาปวี หิ าร” เพ่ือให้สอดคล้องกับช่ือเมืองหนองจิก (มุจลินท แปลว่า ไม้จิก วาปี แปลว่า หนองน�้ำ) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ พระราชพทุ ธิรงั สี (หลวงพอ่ ดำ� นนทิโย) เจา้ อาวาสและเจา้ คณะจังหวัดปัตตานี ได้เปดิ สอนปริยตั ธิ รรมสามัญศึกษา ระดับมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ – ๖ โดยมีพระสิทธิญาณมุนี (หลวงพ่อสุข สุมงคโล) เป็นผู้จัดการโรงเรียน เพอื่ ใหพ้ ระภกิ ษสุ ามเณรในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ และจงั หวดั ใกลเ้ คยี งมาเลา่ เรยี นกนั ขณะนยี้ งั เปดิ ทำ� การสอน อยูต่ ามปกติ วัดมุจลินทวาปีวิหารเป็นส�ำคัญแห่งหนึ่งของเมืองปัตตานีที่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ อยา่ งยาวนาน ๗) ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ศาลเจ้าแห่งหน่ึงที่ต้ังอยู่ในตัวเมืองปัตตานี เป็นท่ีประดิษฐานรูปสลักด้วยไม้มะม่วงหิมพานต์ เปน็ รปู ของเจา้ แมล่ ม่ิ กอเหนยี่ ว ซงึ่ มตี ำ� นานเลา่ เรอ่ื งเกย่ี วขอ้ งกบั สถานทสี่ ำ� คญั ตา่ ง ๆ ภายในศาลเจา้ มรี ปู สง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ของเจ้าแม่กวนอิมและกระถางธูปทองเหลืองขนาดใหญ่ท่ีรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงอุทิศเป็นพระราชกุศลถวาย รชั กาลที่ ๕ อีกด้วย ศาลเจ้าแห่งหน่ึงที่ต้ังอยู่ในตัวเมืองปัตตานี เป็นท่ีประดิษฐานรูปสลักด้วยไม้มะม่วงหิมพานต์ เปน็ รปู ของเจา้ แมล่ ม่ิ กอเหนย่ี ว ซง่ึ มตี ำ� นานเลา่ เรอื่ งเกยี่ วขอ้ งกบั สถานทส่ี ำ� คญั ตา่ ง ๆ ภายในศาลเจา้ มรี ปู สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ ของเจ้าแม่กวนอิมและกระถางธูปทองเหลืองขนาดใหญ่ท่ีรัชกาลท่ี ๖ ได้ทรงอุทิศเป็นพระราชกุศลถวาย รัชกาลท่ี ๕ อกี ด้วย 133หลักสูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่ินจงั หวัดชายแดนภาคใต)้

๑๒.๒ ประเพณีทส่ี ำ� คญั ๑) การท�ำบุญเดือนสบิ สภาวัฒนธรรมจังหวัดยะลา (๒๕๕๔๐ : ๔๙ – ๕๐) ได้สรุปสาระส�ำคัญของประเพณีการท�ำบุญ เดอื นสบิ หรอื ประเพณกี ารชงิ เปรตไวใ้ นหนงั สอื ศลิ ปวฒั นธรรมแลภมู ปิ ญั ญาไทยในจงั หวดั ยะลาไวด้ งั นี้ พทุ ธศาสนกิ ชน ในจังหวัดภาคใต้ มีความเชื่อสืบทอดกันมาว่า ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้องหรือบรรพบุรุษท่ีล่วงลับไปแล้ว ผู้ใดได้ กลายเป็นเปรตถูกจองจ�ำอยู่ในภพหนึ่ง ปีหนึ่งจะถูกปลดปล่อยให้ออกมาเพียง ๑๕ วัน ในระหว่างวันแรม ๑ ค่�ำ ถึงแรม ๑๕ ค�่ำ เดือนสิบ ญาติพ่ีน้องที่มีชีวิตอยู่จะจัดพิธีรับเปรตในช่วงระยะเวลาดังกล่าว คือ วันรับเปรต ในวันแรม ๑ ค�่ำ วนั ส่งเปรตในวันแรม ๑๕ ค�ำ่ ท้ังวนั รบั เปรตและวันสง่ เปรต จะมีการท�ำขนม อาหารหวานคาวกนั หลายอย่าง เช่น ขนมต้ม ขนมลา ขนมข้าวพอง น�ำไปวัด เพื่อให้ดวงวิญญาณญาติพี่น้องได้กินกัน ในวันส่งเปรต แรม ๑๕ คำ�่ จะจดั งานยง่ิ ใหญ่ แตล่ ะหมบู่ า้ นจะจดั ใหม้ กี าร “ประกวดหมรบั ” กนั ทำ� ขนมตม้ ขนมลา ขนมขา้ วพอง อาหารหวานคาว ผลหมากรากไม้ตามฤดูกาล ไปถวายพระและวางบน “ร้านเปรต” ซึ่งบางวัดจัดให้มีร้านเปรต “ร้านเสาสูง” หรือ “ร้านต�่ำ” ตามแต่สะดวก เด็กๆ คนเฒ่าคนแก่ ต่างสนุกสนานกับการที่ได้ “ชิงเปรต” กัน หลังจากท่ีได้ท�ำพิธีบวงสรวงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านจะน�ำอาหารท่ีได้จากร้านเปรตไปแขวนท่ีต้นไม้ เพราะเช่ือว่าจะช่วยให้ผลหมากรากไม้ออกดอกออกผลตามฤดูกาล ประเพณีการท�ำบุญเดือนสิบเป็นประเพณี สำ� คญั ทว่ี ดั ทกุ แหง่ ในจงั หวดั ภาคใตจ้ ดั ขนึ้ ในหว้ งเวลาของการทำ� บญุ เดอื นสบิ ผทู้ น่ี บั ถอื ศาสนาพทุ ธจะเดนิ ทางกลบั ไปท�ำบุญทบ่ี ้านเกดิ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในชว่ งของการส่งเปรต อยา่ งไรก็ตาม จังหวัดที่จัดงานเดือนสิบยง่ิ ใหญท่ ส่ี ดุ ในภาคใต้ คอื จงั หวดั นครศรีธรรมราช ๒) การชักพระ สภาวฒั นธรรมอำ� เภอโคกโพธิ์ จงั หวดั ปตั ตานี (๒๕๔๕ : ๑ - ๓) ความเชอ่ื เรอื่ งนมี้ าจากความศรทั ธา ในภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากความเช่ือในทางพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ใน “เทโวโรทณสูตร” ว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงหนีออกไปบรรพชา บ�ำเพ็ญทุกข์กริยา เพ่ือค้นหาความจริงเก่ียวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตายของมวลมนุษย์ จนบรรลุพระสมั มาโพธิญาณในมรรค ๘ ประการ จนเปน็ “ศาสดาเอกของโลก” จึงได้ไปเผยแผห่ ลกั ธรรมคำ� สอน ของบรรดาสาวกและเสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพ่ือจ�ำพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือน เม่ือครบก�ำหนด วันแรม ๑ ค�่ำ เดือน ๑๑ คือ วันออกพรรษา จึงเสด็จลงจากเทวโลก การเสด็จกลับโลกมนุษย์คร้ังน้ี บรรดาเหล่า นางฟา้ สวรรคแ์ ละเทพยดาไดส้ ง่ เสดจ็ อยา่ งยงิ่ ใหญ่ บรรดาพทุ ธศาสนกิ เฝา้ รอรบั เสดจ็ พระพทุ ธองคก์ นั อยา่ งลน้ หลาม พระองค์ได้เสด็จโปรดพุทธบิดาและพุทธมารดา ณ เมือง สักกะนคร ในวันน้ีมีการถวายอาหารบิณฑบาตรต่อ องคส์ มั มาสมั พทุ ธเจา้ แตเ่ นอื่ งจากผคู้ นเนอื งแนน่ มาก ไมส่ ามารถเขา้ ไปใกลช้ ดิ พระพทุ ธองคไ์ ด้ จงึ ไดน้ ำ� ขา้ วสาลสี กุ มาปั้นกลมๆ เพื่อโยนใส่บาตรพระ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็น “ข้าวต้มโยน” และการท�ำบุญในวันดังกล่าว เรียกว่า “ตักบาตรเทโว” การท�ำบุญใน “วันเทโวโรหณะ” ดังกล่าวได้จ�ำลองมาเป็น “วันชักพระ” หรือ “วันลากพระ” คณะพุทธบริษัทได้ร่วมกันสร้างเรือพระจากไม้ไผ่ข้ึนเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นจะมียอดในส่ีมุม มุงด้วยใบสีเหรง ตกแต่งให้สวยงาม จะออกแห่แหนพร้อมกันในวันแรม ๑ ค�่ำ เดือน ๑๑ มีการชักพระ ตีตะโพนอย่างสนุก ครึกครื้น 134 หลักสตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตร์ทอ้ งถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต้)

ในวันบุญดังกล่าวจะมีการทำ� ขนมนมเนยตามประเพณีกาลก่อน แต่ท่ีเป็นท่ีรู้จักกันอย่าแพร่หลาย “ข้าวต้มสามมุม” พระภิกษุฉันภัตตาหารเช้า อัญเชิญพระพุทธรูปปางประทับยืนเป็นพระลากขึ้นประดิษฐาน บนบุษบก (ม่านแกวก) ตอนท่ี ๓ ของเรือพระ จากนั้นก็เริ่มการชักลากเพ่ืออาเคล็ดตามความยาวของล�ำเรือ พร้อมทั้งตีกลองตะโพนเป็นจังหวะ ออกจากวัดไปยังสถานท่ีชุมชน ครั้นถึงเวลาบ่ายชาวบ้านจะชักลากกลับวัด ในระหว่างการชักลากกลับวัดจะมีการเล่นสาดโคลนใส่กันอย่างสนุกสนาน ถึงวัดจะมีการสรงน�้ำพระ และอัญเชิญพระพทุ ธรูปเขา้ ทป่ี ระดษิ ฐานเดมิ เป็นอันเสร็จพิธี แต่ในปัจจุบันได้เพิ่มพิธีการใหม่เข้าไป โดยการชักลากเรือพระไปรวมกัน ณ ท่ีใดที่หน่ึง เพ่ือการประกวดประชันและจัดให้มีงานรื่นเริงควบคู่ไปด้วย เช่น การจัดงานชักพระของอ�ำเภอโคกโพธ์ิ จังหวัดปัตตานี งานชักพระของเทศบาลนครยะลา งานชักพระของจังหวัดสงขลา เป็นต้น แต่ละท้องที่ จะมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วถือว่า “งานชักพระอ�ำเภอโคกโพธิ์ จงั หวดั ปัตตาน”ี มคี วามย่ิงใหญ่และเปน็ ต้นแบบของการจดั งานชักพระ ๑๓. ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ในด้านศิลปะการแสดง ๑๓.๑ โนรา หรือ มโนราห์ โนราเป็นการละเล่นพ้ืนเมืองที่สืบทอดกันมานานและนิยมกันอย่างแพร่หลาย เป็นการละเล่น ท่ีมีการร้องร�ำ บางส่วนเล่นเป็นเรื่องและแสดงตามคติความเชื่อท่ีเป็นพิธีกรรม โนรา เป็นศิลปะการละเล่นท่ี ได้รับความนิยมมากพอ ๆ กับหนังตะลุงเป็นเอกลักษณ์ที่ส�ำคัญยิ่งของชาวภาคใต้ แม้ว่าปัจจุบันความนิยม โนราจะลดน้อยลงเน่ืองจากมีสิ่งบันเทิงใหม่ ๆ เข้ามาแทนท่ี แต่หากผู้เป็นเจ้าของมรดกวัฒนธรรมด้านนี้ได้ ตระหนักถึงคุณค่าแล้วช่วยกันอนุรักษ์ และส่งเสริมให้ด�ำรงอยู่ โนราก็จะมีโอกาสท�ำหน้าท่ีด้านพิธีกรรม และความบนั เทิงใหแ้ กช่ าวใต้ตอ่ ไป ๑๓.๒ หนังตะลุง ค�ำว่า “ตะลุง” เป็นค�ำใหม่ สมัยก่อนชาวใต้เรียกหนังตะลุงว่า “หนัง” บ้าง “หนังควน” บ้างเพ่ิงเรียกว่าหนังตะลุง เม่ือสมัยรัชกาลท่ี ๓ น้ีเอง เพราะสมัยนั้น “หนัง” ของเมืองพัทลุงได้เข้าไปแสดง ในกรุงเทพฯ ชาวกรุงเทพฯ เรียกหนังควนว่า “หนังพัทลุง” ต่อมาก็เพ้ียนมาเป็น “หนังทลุง” และเป็น “หนังตะลุง” ในท่ีสุด หนังตะลุงส่วนใหญ่เชื่อเร่ืองไสยศาสตร์ ส่ิงท่ีเด่นชัด คือ เมตตามหานิยม การป้องกัน ทำ� และแกค้ ุณไสยตา่ งๆ การหาฤกษห์ ายาม การถอื เคล็ด และคาถาอาคมตา่ งๆ การแสดงออกเก่ยี วกบั ไสยศาสตร์ ของหนงั ตะลงุ ปรากฏใหเ้ หน็ ทกุ ขน้ั ตอน ตงั้ แตก่ ารออกจากบา้ น การเดนิ ทางเมอื่ ถงึ สถานทแี่ สดง การขน้ึ โรงขอขมา ขอท่ีขอทางจากพระภูมิ ซ่ึงทุกข้ันตอนจะมีการว่าคาถา ท�ำพิธีต่างๆ จนกระทั่งถึงคาถาเรียกคนดู เบิกตารูป คาถาเรียกเสียง นอกจากนี้ยังมีรูปศกั ดไ์ิ วบ้ ูชากันเภทภัยอกี ด้วย ปัจจุบัน แม้มีจะมีมหรสพให้ความบันเทิงแก่ชาวใต้มากมาย แต่หนังตะลุงยังคงครองความรู้สึก และฝังแน่นอยู่ในใจ แม้หนังตะลุงจะได้เปล่ียนแปลงรูปแบบไปบ้างตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่ส่ิงหนึ่ง ท่ีไม่เปล่ียนแปลงของหนังตะลุง คือ ความรับผิดชอบต่อสังคม จึงท�ำให้หนังตะลุงยังคงอยู่และได้รับการอนุรักษ์ไว้ เปน็ สมบตั ทิ างวัฒนธรรมของภาคใต้และของชาติ 135หลกั สูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

๑๓.๓ รองเงง็   เป็นการแสดงพ้ืนบา้ นของชาวไทยมสุ ลมิ ในสามจังหวดั ชายแดนภาคใตม้ ีวิวัฒนาการมาจากการเตน้ รำ� พน้ื เมอื งของชาวสเปน โปรตเุ กส ซงึ่ นำ� มาแสดงในแหลมมลายู เมอ่ื คราวไดเ้ ขา้ มาตดิ ตอ่ ทำ� การคา้ จากนน้ั ชาวมลายู ไดน้ ำ� มาดดั แปลงและเรยี กการเตน้ รำ� แบบนวี้ า่ “รองเงง็ ” มหี ลกั ฐานปรากฏแนช่ ดั ในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใตว้ า่ มีการเต้นรองเง็งมานานแล้ว สันนิษฐานว่าสมัยก่อนการยกเลิกการปกครอง ๗ หัวเมืองภาคใต้ โดยนิยมเต้นกัน เฉพาะในวังของเจ้าเมือง แขกผู้ชายท่ีได้รับเชิญมารื่นเริงในวัง จะได้จับคู่เต้นกับฝ่ายผู้หญิงที่เป็นบริวารในวัง และมีหน้าที่เต้นรองเง็ง ต่อมารองเง็งได้แพร่หลายไปสู่ชาวบ้าน โดยใช้เป็นรายการแสดงสลับฉากของมะโย่ง ผู้แสดงมะโย่งท่ีเป็นผู้หญิงจะร้องเพลงเชิญชวนให้ผู้ชมขึ้นไปร่วมเต้นรองเง็งด้วย การเต้นรองเง็งจึงเป็นกิจกรรม ท่ีสนุกถูกใจชาวบ้าน จึงมีผู้ตั้งคณะรองเง็งข้ึนมาในลักษณะการร�ำวงเปิดโอกาสให้ผู้ชมขึ้นไปเต้นคู่กับหญิงรองเง็ง แล้วเก็บเงินค่าเต้นเพื่อหารายได้เป็นส�ำคัญ โดยท่ีไม่ได้รักษาแบบฉบับดั่งเดิมท่ีงดงาม ท�ำให้การเต้นรองเง็ง เส่ือมความนิยมไประยะหนงึ่ ใน พ.ศ. ๒๔๙๖ ขุนจารุวิเศษศึกษาการ ศึกษาธิการอ�ำเภอเมืองปัตตานี ได้รื้อฟื้นรองเง็งข้ึนมาใหม่ ในรูปของการแสดงบนเวที ปรากฏว่ารองเง็งเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไป ท�ำให้รองเง็งได้รับการฟื้นฟูและ พัฒนาขึ้นตามล�ำดับ มีบทเพลงในการเต้นเพ่ิมมากข้ึนถึง ๑๔ เพลง แต่ปัจจุบันนิยมกันเพียง ๘ เพลง คอื ลากูดูวอ  ลานัง ปูโจะ๊ ปซี งั   เมาะอินังชวา  จินตารายัง  เมาะอินงั ลามา  อาเนาะดิดแ๊ี ละรมุ บา้ รองเง็ง การแสดงรองเง็งเป็นการแสดงหมู่ ประกอบด้วยผู้เต้นชาย - หญิง เต้นคู่กันไปไม่น้อยกว่า ๕ คู่ เข้าแถวแยกกันเป็นแถวตอน เม่ือคนตรีข้ึนเพลงแต่ละเพลงคู่เต้นจะสลามซึ่งกันและกัน และเม่ือจบเพลง จะสลามอกี ครงั้ ทา่ เตน้ ของรองเงง็ แตล่ ะเพลงจะมลี ลี าไมเ่ หมอื นกนั ผแู้ สดงจะตอ้ งจำ� เพลงและลลี าการเตน้ ประจำ� เพลงให้ได้ จุดเด่นของการเต้นคือ การเปล่ียนจังหวะช้า - เร็ว ของเพลงประกอบการเต้นซึ่งลีลาการเต้น จะเปลี่ยนไปด้วย เพลงที่เป็นท่ีรู้จักกันดี และนิยมบรรเลงในงานลีลาศต่าง ๆ มีอยู่ ๒ เพลง คือ เพลงลาฆูดูวอ และเพลงมะอีนงั ลามา ซึง่ เป็นเพลงทเ่ี ตน้ กันมาต้งั แตโ่ บราณ ส่วนเพลงอื่น ๆ เหมาะสำ� หรบั แสดงหมู่ (เพลง ลาฆดู ู วอ และ เมาะอีนังลามา เหมาะส�ำหรับผู้ช�ำนาญท่ีสามารถแสดงลวดลายได้อย่างเต็มที่ การเต้นรองเง็งส่วนใหญ่ ใช้ผู้เต้นเป็นชายและหญิง ฝ่ายละ ๕ คน โดยเข้าแถวแยกเป็นชายแถวหน่ึง หญิงแถวหนึ่ง ยืนห่างกันพอสมควร เพราะตอ้ งใชล้ ลี าของมอื เทา้ และลำ� ตวั เคลอื่ นไหวไปขา้ งหนา้ ขา้ งหลงั ใหเ้ ขา้ กบั ดนตรที ปี่ ระกอบ อกี ประการหนง่ึ มีผู้ให้ความเห็นว่า ความสวยงามของรองเง็งอยู่ท่ีการใช้เท้าเต้นให้เข้ากับจังหวะ ส่วนการร่ายร�ำเป็นเพียง องคป์ ระกอบเทา่ นนั้   ชาวบา้ นนยิ มจดั ใหม้ กี ารแสดงรอแงง็ กนั ในงานแตง่ งานของชาวบา้ นในชนบท งานฉลองตา่ งๆ เช่น ขึน้ บา้ นใหม่ การแกบ้ น       การแต่งกายของนักแสดงชาย คือ สวมหมวกหนีบไม่มีปีก (หรือท่ีเรียกหมวกแขก) สีด�ำหรือบางครั้ง อาจจะสวม “ชะตางัน” หรือโพกผ้าแบบเจ้าบ่าวมุสลิมก็ได้ นุ่งกางเกงขากว้าง (คล้ายกางเกงขาก๊วยของคนจีน) ใส่เสื้อคอกลมแขนยาวผ่าครึ่งอกสีเดียวกับกางเกง ใช้ผ้าหน้าแคบคล้ายผ้าขาวม้าเรียก “ผ้าลิลินัง” หรอื “ผา้ ซาเลนดงั ” เปน็ ผา้ ไหมยกดอกดนิ้ ทองดนิ้ เงนิ ผนื งาม พนั รอบสะโพกคลา้ ยนงุ่ โสรง่ สนั้ ทบั กางเกงอกี ชน้ั หนึ่ง สว่ นผหู้ ญงิ ใสเ่ สอ้ื เขา้ รปู แขนกระบอกเรยี กเสอื้ “บนั ดง” ยาวคลมุ สะโพก ผา่ อกตลอด ตดิ กระดมุ ทอง เปน็ แถวยาว นุง่ ผ้าถุงสีหรือลายยาวกรอมเท้า มผี ้าผนื ยาวบางๆ คลุมไหลใ่ ห้สตี ดั กบั สเี สอ้ื 136 หลักสูตรสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

เคร่ืองดนตรีท่ีใช้บรรเลงประกอบการแสดงมี ไวโอลิน แมนโดลิน ร�ำมะนาและฆ้อง บทเพลงท่ีใช้ ประกอบการแสดงรองเง็งแต่เดิมใช้ ปันตน ซึ่งเป็นค�ำประพันธ์เก่าแก่ประเภทหน่ึงของชาวมลายู และชาวไทย ในจงั หวัดชายแดนภาคใตข้ องไทย แต่ปัจจุบนั ไมน่ ยิ มรอ้ งเพลงประกอบการแสดง วงดนตรีรองเง็งเดิมจะประกอบด้วย ไวโอลิน แมนโดลิน แอคโคเดียน กลองบานา (แทนร�ำมะนา) กลองกรือโต๊ะ (แทนฆ้อง) ฆ้องซีละ (แทนฆ้องเล็ก) และใช้ดนตรีไทย คือ ขลุ่ย ขิม และกลองแขกเข้าประกอบ และมีการประยุกต์บทเพลง เพลงที่ใช้บรรเลงซ่ึงจะมีเพลงหลักคือ เพลงพ้ืนเมืองท่ีได้รับการถ่ายทอดโดยตรง จากครขู าเดร์ แวเดง็ ซึ่งสว่ นใหญค่ ือเพลงบรรเลงสำ� หรบั การเตน้ รองเง็ง อันไดแ้ ก่เพลงตอ่ ไปนี้ ๑) เลนัง เป็นเพลงเริ่มด้วยจังหวะช้า สลับด้วยจังหวะเร็ว ช่วงจังหวะช้ามีลีลาคล้ายเสียงกล่อม นอ้ งใหน้ อน จงั หวะเร็วแสดงถงึ ความสนกุ สนานรา่ เรงิ ๒) ปโู จะ๊ ปซี งั ชอ่ื เพลงหมายถงึ ยอดตอง มลี ลี าพลว้ิ เหมอื นกบั ยอดตองทสี่ ะบดั ใบพลว้ิ ไปกบั สายลม เปรยี บเสมือนยอดแห่งความรกั ท่กี ำ� ลังสดชื่น ๓) เมาะอินังชวา เป็นเพลงโบราณจากดินแดนชวา ชื่อเพลงหมายถึง แม่นมหรือพ่ีเล้ียงชาวชวา ได้ท่าร�ำค�ำร้องเดิมมาจากชวามีลีลาจังหวะเนิบนาบเหมือนเรือกอและที่ลอยล�ำให้ลมโยกโยนไปตามยอดคล่ืน โดยไม่ต้องมที ศิ ทาง ๔) จินตาซายัง ช่ือเพลงหมายถึง ความส�ำนึกในความรักอันดูดดื่มเริ่มด้วยจังหวะช้าแล้วสลับ ด้วยจังหวะเรว็ ลีลาของเพลงคลา้ ยเสยี งครำ่� ครวญถึงคนอันเป็นที่รักผสมกับเสยี งสะอกึ สะอ้นื รำ� พนั ๕) เมาะอินังลามา ช่ือเพลงหมายถึง แม่นมหรือพี่เล้ียง เป็นเพลงเก่าแก่ (ลามา แปลว่า เก่าแก่) ลีลาออกทางสนุกสนานเม่ือใช้เพลงน้ีเต้นรองเง็ง ความงามจะอยู่ท่ีการป้อของฝ่ายชายในขณะท่ีฝ่ายหญิง คอยหลบหลกี ๖) อาเนาะดีด๊ี ชื่อเพลงหมายถึง ลูกบุญธรรมหรือลูกสุดที่รัก ในเนื้อเพลงเดิมมีความหมาย ในท�ำนอง ค�ำรอ้ งเรยี กหาลกู ซ่ึงคอยวิง่ ซ่อนที่น่ันท่ีน่ี ๗) บุหงาร�ำไป หรอื เพลงรมุ บ้ารองเงง็ จงั หวะรุมบา้ ลีลาออกทางสนุกสนาน ๘) มาศแมเราะห์ ช่ือเพลงหมายถึง ทองเน้ือเก้า เพลงช้าท่ีมีลีลาของเสียงไวโอลินพล้ิวมาก เปน็ เพลงท�ำนองผสมผสานระหวา่ งท�ำนองจนี กบั ทำ� นองมลายพู ื้นเมือง ๙) ซัมเปง็ เป็นเพลงหน่งึ ในหลายๆเพลงที่ใช้สำ� หรบั เตน้ ซัมเปง็ ๑๐) โยเก็ตรองเง็ง เปน็ เพลงท่ใี ชเ้ ต้นรองเงง็ คำ� ว่า โยเก็ต เป็นคำ� เรยี กท่าเต้นตามภาษาพ้ืนบา้ น ๑๑) ซ�ำมาริซ�ำ เป็นเพลงที่ได้รับอิทธิพลมาจากมาเลย์ มีจังหวะลีลาเหมือนการเต้นของลูกแกะ ทว่ี งิ่ เล่นดว้ ยความสนุกสนาน ร่าเรงิ ๑๒) ปรุ าคำ� เปา เปน็ ชอ่ื เกาะแหง่ หนงึ่ บรเิ วณปลายแหลมมลายู นบั วา่ เปน็ เพลงทมี่ าจากเกาะแหง่ นนั้ ลีลาเพลงออกทางสนุกสนานร่าเริง ๑๓) แกแนะอูแด ตามชื่อเพลง หมายถึง การขยับตัวของกุ้ง มีลีลาสนุกสนาน คล้ายการเต้น ของกลุม่ ลกู กุง้ ซึง่ โยกโยนตัวพรอ้ มๆ กนั 137หลักสูตรสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)

เมื่อเวลาท่ีมีการบรรเลงเพลงเหล่านี้ก็จะมีผู้มาเต้นรองเง็งเป็นรีวิวประกอบเพลงบ้าง เพื่อให้ มกี ารเคล่อื นไหวบนเวทีตามสมควร ลักษณะการเต้นร�ำ เมื่อดนตรีข้ึนเพลง ผู้ชายจะไปโค้งฝ่ายหญิงแล้วพากันไปเต้นร�ำเป็นคู่ๆ ตามจงั หวะเพลง มที ้งั ช้าและเรว็ หรอื สลับกัน กระบวนทา่ มที ้งั ท่ายนื ทา่ น่ัง ปรบมอื เลน่ เทา้ หมนุ ตัว วาดลวดลาย ไล่เลียงกันด้วยความช�ำนาญ และเข้ากับจังหวะเพลงอย่างสวยงามน่าดู สนุกสนาน เร้าใจ การเต้นร�ำจะไม่ถูกเน้ือ ต้องตวั กัน เน้นความสภุ าพ ความออ่ นชอ้ ย ไมห่ ยาบโลน เน้นศิลปะความสวยงาม ๑๓.๔ มะโยง่ มะโย่ง หรอื  เมาะโยง่  (รูมี : Mak Yong, Mak Yung) เปน็ การแสดงพนื้ บ้านของชาวไทยเชอื้ สายมลายู ในแถบสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และบางส่วนของ จังหวัดสงขลา นอกจากน้ียังมีการแสดงมะโย่งใน รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู รัฐเกดะห์ และรัฐปะลิส ในประเทศ มาเลเซีย และหมู่เกาะริเยา ในประเทศอินโดนีเซีย โดยการแสดงมะโย่ง เป็นศิลปะการร่ายร�ำที่ผสมผสาน ทางพิธีกรรม ความเช่ือ การละคร นาฎศิลป์ และดนตรีเข้าด้วยกัน ปัจจุบันการแสดงมะโย่งอยู่ในภาวะขาด การสืบทอด เน่ืองจากบางส่วนเห็นว่าผิดหลักศาสนา และการเข้ามาของสื่อวิทยุโทรทัศน์ท�ำให้การแสดงมะโย่ง หมดความส�ำคัญลงไป อย่างไรก็ตามมหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ได้เล็งเห็นความส�ำคัญของการแสดงมะโย่ง ได้มีการฟื้นฟู และให้นักศึกษาได้ศึกษาและค้นหาความรู้และค้นหาความรู้ เพื่อน�ำมาปฏิบัติจริง โดย มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง มีลีลาคล้ายคลึงกับมโนราห์มาก แสดงเพื่อความบันเทิง และเพ่ือใช้แก้บนหรือสะเดาะเคราะห์ 138 หลักสูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตรท์ ้องถนิ่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

ความเป็นมาของมะโย่งน้ันคงได้รับการถ่ายทอดวิธีการเล่นจาก แหล่งเดียวกันกับละครร�ำของไทย ซึ่งสมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ กล่าวว่า “ละครร�ำไทยมี ๓ อย่าง ละครชาตรีหรือมโนรา ละครใน ละครนอก ซึง่ ไดร้ ับมาจากอนิ เดียเชน่ เดียวกับพม่า ละครพม่าทีเ่ ลน่ กันในพน้ื เมอื ง กระบวนการเล่นเป็นแบบเดียวกับละคร (มโนรา) ชาตรีของไทย คือ ตัวละครมีแต่นายโรง ๑ นางตวั ๑ จำ� อวดตวั ๑ ตวั ละครขบั รอ้ งเอง มลี กู คแู่ ละปพ่ี าทยร์ บั ” ทร่ี ฐั เกรละทางตอนใตข้ องประเทศอนิ เดยี ยังมีการแสดงละครเร่อยู่แบบหน่ึงมีช่ือเรียกว่า ยาตรี หรือ ชาตรี ซ่ึงเชื่อกันว่าเป็นต้นก�ำเนิดของโนรา และมะโย่ง โดยส�ำหรับในประเทศไทย เรื่องราวเก่ียวกับมะโย่ง โดยเชื่อว่าต้นก�ำเนิดของมะโย่งอยู่ท่ีปัตตานี โดยมขี อ้ สันนิษฐานแตกต่างกันไป ดงั นี้ ๑) มะโย่งเป็นการแสดงท่ีเกิดจากในวงั ของเมอื งปัตตานี เป็นคร้งั แรก เมื่อประมาณ ๔๐๐ ปมี าแลว้ จากน้ันแพร่หลายไปทางกลนั ตนั ๒) พจิ ารณาจากรปู ศพั ท์ ซงึ่ กลา่ ววา่ คำ� วา่  มะโยง่  หรอื  เมาะโยง่  มาจากคำ� วา่  มคั ฮยี งั  (MAKHIANG) แปลวา่  พระแมโ่ พสพ เนอื่ งจากพธิ ที ำ� ขวญั ขา้ วในนาของชาวมสุ ลมิ ในสมยั โบราณนน้ั จะมหี มอผทู้ ำ� พธิ ที รงวญิ ญาณ พระแม่โพสพเป็นการแสดงความกตัญญูที่พระแม่โพสพมีเมตตาประทานน�้ำนมมาให้เป็นเมล็ดข้าว เพอ่ื เปน็ โภชนาหารของมนษุ ย์ ตลอดทง้ั เพอื่ ขอความสมบรู ณพ์ นู สขุ ความสวสั ดมิ งคลใหบ้ งั เกดิ แกช่ าวบา้ นทง้ั หลาย ในพิธีจะมีการร้องร�ำบวงสรวงด้วย ซ่ึงในภายหลังได้วิวัฒนาการมาเป็นละครที่เรียกว่า มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง  มกี ารรอ้ งรำ� และมีดนตรปี ระกอบ ๓) เมาะโย่งเป็นการแสดงที่ได้รับอิทธิพลมาจากชวาตั้งแต่คร้ังโบราณแล้วเป็นที่นิยม จนแพร่หลาย ในหมู่ชาวไทยมุสลิมในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้อธิบายเพิ่มเติมโดยกล่าวถึงที่มาของค�ำว่ามะโย่ง ค�ำว่า มะ หรือ เมาะ แปลว่า แม่ ส่วน โย่ง หรือโยง เป็นพระนามของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งแห่งชวา จึงชวนให้ สนั นิษฐานตอ่ ไปได้ว่า เหตุทีเ่ รยี กละครประเภทนว้ี า่ มะโยง่ อาจเปน็ ตวั พระ จงึ เรยี กกนั โดยใช้ค�ำว่า มะ หรือ เมาะ น�ำหน้าเคร่ืองดนตรี นิยมใช้กันอยู่ ๓ ชนิด คือ รือบับ จ�ำนวน ๑ – ๒ คน กลองแขกสามหน้า จ�ำนวน ๒ ใบ และฆอ้ งใหญเ่ สียงท้มุ แหลมอยา่ งละใบ มะโยง่ บางคณะยังมเี ครอ่ื งดนตรอี กี ๒ ช้ิน คือ กอเลาะ (กรับ) จำ� นวน ๑ คู่ และจือแระ จ�ำนวน ๓ – ๔ อัน (จือแระ ท�ำด้วยไม้ไผ่ยาวประมาณ ๑๖ – ๑๘ นิ้ว ใช้ส�ำหรับตี) อย่างไรก็ตาม การแสดงมะโย่งได้ปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในปี ๒๑๕๕  ความว่า “เม่ือปี ๒๑๕๕ ชาวยุโรปคนหนึ่งช่ือ ปีเตอร์ ฟลอเรส ได้รับเชิญจากนางพญาตานี หรือเจ้าเมืองปัตตานีสมัยนั้นให้ไปร่วมเป็นเกียรติในงานเลี้ยง ตอ้ นรบั สลุ ตา่ นรฐั ปาหงั งานดงั กลา่ วปเี ตอรเ์ ลา่ วา่ มกี ารละเลน่ อยา่ งหนงึ่ ลกั ษณะการแสดงคลา้ ยนาฏศลิ ปช์ วา ผแู้ สดงแตง่ กายแปลกนา่ ดมู าก ศลิ ปะดงั กลา่ วคงหมายถงึ มะโยง่ ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ดั แสดงในงานเพอื่ ใหอ้ าคนั ตกุ ะ ได้ชม” มะโย่งเข้าไปเล่นในกรุงเทพฯ ต้ังแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอยู่โรงหน่ึงแสดงดี เป็นที่นิยมของผู้ดู เรียกกันว่า ละครตาเสือ ตัวตาเสือเป็นนายโรง เล่นตามแบบละครมายง แต่งตัวเป็นมลายู ร้องเป็นภาษามลายู แต่เจรจาเป็นภาษาไทย ชอบเล่นเร่ืองอิเหนาใหญ่ ละครตาเสือเล่นมาจนถึงรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว 139หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถนิ่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

๑๔. ภมู ปิ ัญญาท้องถนิ่ ในดา้ นศิลปะการละเล่นพ้ืนบ้าน ๑๔.๑ จาโต เป็นการเล่นอย่างหน่ึงของชาวไทยมุสลิม ซึ่งพอเทียบได้กับการเล่นหมากรุกไทย หมากรุกฝร่ัง และหมากรกุ จนี ไมว่ า่ จะเปน็ กระดาน จำ� นวนตาราง ตวั หมาก การวางหมาก การเดนิ การกนิ และการไล่ กระดาน เป็นรปู สีเ่ หลี่ยมผนื ผ้า มจี ำ� นวน ๖๔ ตาราง ตามกวา้ ง ๘ ตาราง ตามยาว ๘ ตาราง ตวั หมาก มฝี า่ ยละ ๑๖ คอื เต มี ๒ ตวั เทียบเท่ากบั เรอื ของหมากรุกไทย กดู อ มี ๒ ตวั เทียบเทา่ กบั มา้ ของหมากรุกไทย กาเยาะ มี ๒ ตัว เทียบเท่ากับ โคน ของหมากรกุ ไทย รายอ มี ๑ ตัว เทียบเท่ากับ ขุน ของหมากรุกไทย กรี มี ๑ ตัว เทียบเท่ากบั เมด็ ของเมด็ หมากรกุ ไทย บีเดาะ มี ๘ ตวั เทยี บเทา่ กบั เบ้ยี ของหมากรกุ ไทย การวางหมาก วาง ๒ แถวจากแถวล่างสุด ซ้ายไปขวาดังนั้น เต กูดอ กาเยาะ รายอ กรี กาเยาะ กูดอ เต แถวถัดไปชิดกบั แถวแรก (ตั้งเหมือนหมากรุกฝรั่ง ) เปน็ ท่ีตั้งของบีเดาะ ๘ ตวั การเดิน ต่างตัวต่างเดินไม่เหมือนกันคือ “เต” เดินในทิศทางตรงไปข้างหน้า ถอยหลัง ไปข้างซ้าย ไปขา้ งขวา จะยาวทลี ะตาหรอื กี่ตากไ็ ด้ เหมือนหมากรกุ ไทยทกุ อยา่ ง ๑๔.๒ การเล่นฉับโผง การเล่นฉับโผงเป็นการละเล่นของเด็กผู้ชายท่ีเล่นได้ในทุกฤดูกาล อุปกรณ์การเล่นเป็นวัสดุพ้ืนบ้าน คือ ไม่ไผ่ท่ีมีรูเล็กๆ ทะลุตลอดยาวประมาณ ๑ ฟุต ไม้ไผ่เหลาขนาดเท่ากับรูกระบอกไม้ไผ่ ท�ำด้ามส�ำหรับถือ ขนาดเหมาะมือ ลูกกระสุนนิยมใช้ลูกพลา (ผลไม้ป่าชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กประมาณครึ่งเซนติเมตร เป็นอาหาร ของนก เด็กชอบกินเล่น รสชาติหวานอมเปร้ียว) เวลาเล่นจะแบ่งกันเป็นสองฝ่าย ใช้กระสุนลูกพลาอัดเข้าไป ในกระบอกประมาณครง่ึ เวลายิงกระท้งุ เขา้ ไปอยา่ งแรง ท�ำใหเ้ กดิ เสยี งดงั เพราะในกระบอกจะมีอากาศอยู่ ๑๔.๓ การเลน่ เต้นเชือก บางแห่งเรียกเต้นเชือก หรือว่ิงเชือกหรือกระโดดเชือก มีผู้เล่น ๒ – ๑๐ คน ใช้เชือกขนาดโต พอประมาณ ยาวราวสองวา จะเริ่มต้นด้วยการเสี่ยงทาย หรือ วัน ตู ซ่ม ว่าใครจะเป็นผู้แกว่งเชือกก่อนสองคน โดยเป็นผู้จับปลายเชือกคนละด้าน แกว่งให้คนอื่นกระโดด ผู้กระโดดทุกคนจะต้องยืนใกล้เชือกก่อน ผู้แกว่งเชือก จะแกว่งไปเรื่อยๆ ผู้กระโดดจะต้องกระโดดข้ามเชือกเมือเชือกตกถึงพื้น โดยไม่ให้อวัยวะส่วนใดกระทบเชือก หากใครกระทบเชอื กถอื ว่าเป็นผู้แพ้ จะต้องออกไปท�ำหน้าที่เป็นผแู้ กวง่ เชอื กแทน และให้คนเดิมเขา้ มาเล่นแทน ๑๔.๔ การเลน่ เตย การเลน่ เตย นยิ มเลน่ กันในชนบท มผี ้เู ลน่ ๖ – ๑๔ คน สามารถบนสนามหรอื บนลานทรายที่กวา้ ง พอสมควร มีวิธีเล่นง่ายๆ คือ ผู้เล่นต้องพยายามว่ิงผ่านกรอบสนามที่ก�ำหนด แต่ละเส้นจะมีผู้คอยสกัดอยู่ เมอ่ื สามารถว่ิงผ่านไปได้ จะต้องวิง่ กลบั สูจ่ ุดเริ่มต้นใหม่ โดยไม่ถกู แตะต้องตวั 140 หลักสูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ อ้ งถ่ินจงั หวัดชายแดนภาคใต้)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook