Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

Published by croonui, 2022-03-10 08:34:09

Description: รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

Search

Read the Text Version

๑. จับคแู่ ละแบง่ ผเู้ ล่นออกเปน็ สองฝ่าย เสยี งทายกนั วา่ ฝ่ายใดจะเปน็ ผ้รู ุกหรอื ผู้รับ ๒. ฝ่ายสกัดจะเข้าที่ประจ�ำเส้นละ ๑ คน เพ่ือท�ำหน้าที่สกัดบนเส้นท่ีรับผิดชอบ ยกเว้นผู้สกัด ด่านแรกที่เรียกว่า นายสาย มีสิทธิพิเศษสามารถวิ่งสกัดบนเส้นของตนและวิ่งตามเส้น ผ่ากลางสนามไดต้ ลอด ๓. เมื่อเริ่มเล่น ฝ่ายรุกจะถามฝ่ายสกัดว่า “อุดหรือไม่อุด” หมายความว่า พร้อมหรือไม่พร้อม ถ้าฝ่ายสกัดตอบว่า อุด ฝ่ายรุกก็จะว่ิงผ่านแดนแรก จนกระท่ังผ่านด่านสุดท้าย (เรียกว่าขาขึ้น) และตอ้ งวง่ิ ผา่ นดา่ นสดุ ทา้ ยกลบั มาสจู่ ดุ เรม่ิ ตน้ ใหไ้ ด้ (เรยี กวา่ ขากลบั หรอื ขาลง) เมอื่ ฝา่ ยรกุ คนใด คนหนงึ่ วงิ่ ผา่ นด่านต่างๆ ไดท้ ง้ั ขาข้ึนและขาลง ใหร้ อ้ งว่า เตย หรอื โบ้ย ฝา่ ยรุกจะเปน็ ฝา่ ยชนะ ๔. ฝา่ ยสกดั กพ็ ยายามใชม้ อื ตสี กดั ฝา่ ยรกุ แตว่ งิ่ ไลส่ กดั ไดเ้ ฉพาะในเสน้ หรอื บนดา่ นของตนเองเทา่ นน้ั จะออกไปตีนอกเส้นไม่ได้ ยกเว้นผู้สกัดในด่านที่ ๑ ท่ีสามารถว่ิงสกัดในเส้นของตนและ วิ่งตามเส้นขีดกลางตลอดไว้ ในฐานะนายสาย ถ้าฝ่ายสกัดสามารถมาว่ิงผ่านด่านต่างๆ ทงั้ ขาขน้ึ และขาลงในชอ่ งสนามทขี่ ดี ไว้ จะวง่ิ ออกนอกเขตเรยี กวา่ “ฉกี เตย” ไมไ่ ด้ ถอื วา่ “ตาย” จะถกู ปรบั เปน็ แพ้ การเลน่ เตยจะตอ้ งใช้ความวอ่ งไว ไหวพริบปฏภิ าณคอ่ นขา้ งมาก ๑๔.๕ การเล่นเรือบิน เรือบินเป็นการเล่นของเด็กในชนบท บางแห่งเรียกว่า ลูกเหยกหรือลูกเขยก เล่นได้ทั้งในท่ีร่ม และที่แจ้ง จ�ำนวนผู้เล่นมีเพียง ๒ – ๓ คน ก่อนลงมือเล่นจะต้องขีดเส้นลงบนพื้นดินเป็นรูปเคร่ืองบินสองชั้น และท�ำล�ำตัวเป็นช้ันๆ จ�ำนวนตามต้องการ เรียกว่า เมือง ให้เส้นห่างพอประมาณ และใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า กยุ หรอื เกย ทท่ี ำ� ด้วยเศษกระเบ้อื งๆ มีวธิ เี ลน่ ดังต่อไปน้ี ๑. เร่ิมต้นเส่ียงทายว่าจะให้ฝ่ายใดเป็นผู้เร่ิมเล่นก่อน โดยการหันหลังให้กับตาราง แล้วโยนกุยข้าม ไปยงั หวั เมอื งดา้ นหวั เครือ่ งบิน กยุ ของใครตกใกลเ้ ส้นปกี มากท่ีสุด ใหผ้ นู้ น้ั เปน็ ผูเ้ รมิ่ เล่นกอ่ น ๒. ในระหว่างที่เล่นกันอยู่ผู้ใดท�ำผิดกติกาจะหมดสิทธิในการเล่นในรอบนั้น จะต้องวางกุย หรอื เกยลงในท่ีเมอื งท่กี ำ� ลงั เลน่ นน้ั อยู่ คนอืน่ ๆกไ็ มม่ สี ิทธิที่จะเหยียบหรือเขย่งเท้าในเมอื งน้ันได้ ๓. การท่ีจะเป็นผู้ชนะในการเล่นก็เพราะสาเหตุใดสาเหตุหน่ึงดังนี้ คือ ได้เมืองมากที่สุด เมื่อคู่ต่อสู้ ยอมแพ้ สว่ นจะปรบั กันหรือไมอ่ ยา่ งไรอยู่ทีข่ ้อตกลงก่อนการเล่น การเล่นเรอื บนิ เป็นการเลน่ ของเด็กในสมัยก่อน ปจั จุบันไม่คอ่ ยเห็นการเลน่ นีแ้ ลว้ ๑๔.๖ การเลน่ ลูกข่าง เด็กในสมัยก่อนนิยมการเล่นลูกข่างกันมากโดยเฉพาะเด็กชาย ลูกข่างที่นิยมกันมาก คือ ลูกข่างไม่มีเดือยเป็นเหล็กแหลม แต่บางท่ีก็เล่นลูกข่างไม้ท่ีเรียกว่า ลูกข่างหัว ลูกข่างทั้งสองอย่างมีลักษณะ แตกต่างกัน ลูกข่างเดือยจะมีเหล็กแหลมประมาณนิ้วคร่ึงฝังอยู่ในตัวลูกข่าง ส่วนลูกข่างหัวจะไม่มีเดือยเหล็ก แต่จะมีปุ่มเล็กๆ อยู่บนหัวลูกข่าง ลูกข่างท้ังสองแบบจะใช้เชือกเป็นส่วนประกอบในการเล่นเหมือนกัน การนยิ มเล่นกันในหนา้ แลง้ เพราะต้องใชส้ นามดนิ แห้งและแข็งในการเล่น 141หลกั สูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตร์ท้องถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

วิธีเล่นลูกข่างมีดังนี้ ลูกข่างเดือยเล่นโดยขีดเส้นเป็นวงกลม ผู้เล่นทุกคนจะต้องซัดลูกข่าง ให้ลงตรงกลางวงกลมที่ท�ำเคร่ืองหมายเอาไว้ให้มากที่สุด ผู้ที่ซัดลูกข่างใกล้กึ่งกลางวงกลมมากท่ีสุด จะได้เป็น ผู้เล่นก่อน คนอ่ืนๆจะต้องเอาลูกข่างของตนเองวางตรงกลางวงกลม เพื่อให้คนแรกซัดลูกข่างลงไปแทงลูกข่าง ในวงกลมนั้น ทุกครั้งท่ีซัดลูกข่างลงไปลูกข่างจะต้องหมุนด้วย หากไม่หมุนถือว่าแพ้หรือหมุนแต่ออกนอกวงถือว่า แพ้เช่นกัน จะต้องวางลูกข่างลงกลางวง ผู้เล่นคนอ่ืนๆยกลูกข่างออกจากวง และซัดลูกข่างลงกลางวงเพื่อให้ เจาะลูกข่างคนอ่ืนต่อไป ผู้ท่ีท�ำลูกข่างตายจะต้องวางลูกข่างให้ผู้อ่ืนเจาะ หากมีลูกข่างอยู่ในวงหลายลูก และถูกซัดกระเด็นออกจากวง เจ้าของจะมีโอกาสได้เล่นต่อไป หมุนเวียนอยู่อย่างน้ีเร่ือยไป ส่วนลูกข่างหัวจะเล่น โดยถือเอาระยะเวลาในการหมนุ นานหรอื ชนกนั แลว้ จะมคี วามทนทานมากน้อยเพยี งใด ๑๔.๗ การเลน่ วง่ิ เปยี้ ว วิ่งเปี้ยวเปน็ การเลน่ ของเด็กในชนบท มกั น�ำมาใชใ้ นการแขง่ ขยั กีฬาพน้ื บ้านอย่เู สมอ เล่นได้ไม่จำ� กัด จ�ำนวน แต่ต้องมีฝ่ายละเท่าๆกัน อุปกรณ์การเล่นมีเพียงสองอย่างคือ ไม้ปักหลัก ๒ หลัก กับผ้าส�ำหรับเป็น ไม้ว่ิงผลัด วิธีเล่นไม่ยาก ผู้เล่นรวมกันได้ท้ังหญิงชาย แต่ต้องให้มีจ�ำนวนเท่ากัน ให้ปักหลัก ๒ หลัก ระยะห่าง ไม่น้อยกว่า ๒๐ เมตร หรืออาจไม่ใช้หลักแต่ให้คนยืนแทนก็ได้ ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายยืนเข้าแถวตอนเรียงหน่ึงหลังเส้น ทีข่ ีดเอาไว้ ผ้ทู ีล่ �ำเสน้ ไปไดจ้ ะตอ้ งเป็นผู้วงิ่ เทา่ นัน้ เมอ่ื พรอ้ มจะให้สญั ญาณนับ ๑ ๒ ลกั ข ๓ ผู้ว่งิ ของทง้ั สองฝา่ ยจะ มารับผ้าจากมือกรรมการ แล้วว่ิงเวียนอ้อมหลักของฝ่ายตรงข้าม มาส่งผ้าให้ฝ่ายตนเองคนถัดไปที่รอรับผ้าอยู่ วงิ่ ไลก่ ันใหท้ นั ฝ่ายท่ีถูกไลท่ นั จะเปน็ ฝา่ ยแพ้ แตก่ ารแพ้ชนะอยู่ท่ีการตกลงกนั ในเบอื้ งต้น ๑๔.๘ การเล่นหมากขมุ การเล่นหมากขุมมีผู้เล่นสองคน น่ังคนละข้างของรางหมากขุม นั่งหันหน้าเข้าหากัน น�ำหมากขุม ใสห่ ลมุ ๆ ละ ๗ เมด็ การเลน่ จะตกลงกนั วา่ จะใหฝ้ า่ ยใดเลน่ กอ่ นหรอื จะเลน่ พรอ้ มกนั ใครเดนิ ตายกอ่ นจะตอ้ งหยดุ เดนิ ให้อีกฝ่ายหนึ่งเดินต่อจนกว่าจะตาย แล้วผลัดให้อีกฝ่ายหนึ่งเดินต่อจนตาย สลับกันอย่างน้ีเรื่อยไป การเดินหมาก จะเริ่มเดนิ ทีห่ ลุมใดก็ได้ แตเ่ ดินเดินในแดนของตน เดินร่ายไปทางซ้ายมอื เม่ือเดินผา่ น “หลมุ แม่เรนิ ” (หลมุ ใหญ่) ของตน ใหเ้ อาหมากขน้ึ แมเ่ รนิ ได้ ๑ เมด็ ทกุ ครงั้ แลว้ เดนิ เขา้ ไปในฝา่ ยตรงกนั ขา้ ม รา่ ยไปเรอื่ ยๆ เมอ่ื ถงึ หลมุ สดุ ทา้ ย ของฝา่ ยตรงขา้ มกจ็ ะตอ่ มาทหี่ ลมุ แรกของตน (ไมใ่ สห่ ลมุ แมเ่ รนิ ของฝา่ ยตรงขา้ ม) เดนิ ไปเชน่ นเี้ รอ่ื ยๆ จนกวา่ หมาก ท่ีได้มาจากการหยิบคร้ังแรกหมด ซึ่งมีกติกาว่าถ้าหมากเม็ดสุดท้ายตกตรงหลุมท่ีหมากอ่ืนเหลืออยู่ ให้เอาหมาก ทั้งหมดได้ ถ้าหมากเม็ดสุดท้ายมดในหลุมนั้นเดินต่อไปได้ ถ้าหมากเม็ดสุดท้ายตกตรงหลุมที่ไม่มีหมากอื่นอยู่เลย ถอื วา่ การเดินนนั้ “ตาย” ต้องหยุดเดินทันที และถา้ เปน็ การเดินในรอบแรกทเี่ ริ่มลงมอื เดนิ พรอ้ มกนั ต้องปลอ่ ยให้ ฝา่ ยตรงขา้ มเดนิ ตอ่ ไปเพยี งฝา่ ยเดยี วจนกวา่ จะตาย จงึ เปลย่ี นใหค้ นทต่ี ายกอ่ นเดนิ สลบั กนั ไปเรอ่ื ยๆ เมอื่ ผเู้ ดนิ หมาก แตล่ ะฝ่ายเดินหมากจนตายทกุ คราว ผู้เดินตายต้องตรวจดูว่าตายในแดนตวั เองเท่านน้ั และในหลมุ ที่อยูใ่ นแดนของ ฝ่ายตรงกันข้ามของหลุมน้ันมีหมากอยู่ ผู้เดินตายก็จะได้กินหรือกินแทนหมากในหลุมน้ันทั้งหมด โดยน�ำไปใส่ แม่เรินของตนแล้วเปล่ียนให้ฝ่ายตรงข้ามเดินต่อไป แต่ถ้าหมากเม็ดสุดท้ายตกลงตรงแม่เรินของตนพอดี ผนู้ นั้ ยงั มสี ทิ ธเ์ิ ดนิ ตอ่ ไปได้ โดยจะเลอื กหยบิ หมากในแดนของตนได้ หา้ มหยบิ จากแดนฝา่ ยตรงขา้ ม เมอ่ื ผลดั กนั เดนิ หมากไปเรอื่ ยๆ จนทง้ั สองฝา่ ยไดห้ มากขน้ึ หวั จนหมดหมากทจ่ี ะเดนิ ตอ่ ไปไดอ้ กี การแขง่ ขนั รอบนนั้ ยตุ ลิ ง แตล่ ะฝา่ ย น�ำหมากในหลุมแม่เรินของตนมาเรียงใส่หลุมในแดนของตนใหม่ ฝ่ายท่ีเสียหมากไปมาก ไม่อาจใส่หมากให้ครบ ทกุ หลุมได้ ขาดไปก่หี ลมุ ถอื ว่าเปน็ หมา้ ยไปเทา่ น้ันหลมุ ต้องยกเลิกไมใ่ ช้หลมุ น้นั เล่นในรอบต่อไป 142 หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถน่ิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

๑๕. ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินในดา้ นอาชีพ ๑๕.๑ กริซ (รามนั ห์) กรชิ รามนั จดั อยใู่ นกรชิ สกลุ ชา่ งปตั ตานี เรยี กวา่ กรซิ ตะยง หรอื กรซิ จอแต็ง รูปลักษณ์ของดา้ ม กรซิ มองดผู วิ เผินดา้ มกรชิ จะมีจมูกยาวแหลมคล้ายปากนกกระเต็น รูปลักษณ์ที่แท้จริง คือ ยักษ์ในตัววายัง หรือตัวหนังของชวาท่ีเคยเข้ามามีอิทธิพล ในศลิ ปกรรมทอ้ งถ่นิ ของเมืองปตั ตานีในอดตี กริซชนดิ นมี้ ใี ช้กนั ตัง้ แต่พนื้ ทใ่ี นจังหวัดสงขลาตอนใตล้ งไป ส่วนกริชของจังหวัดยะลามีชื่อและประวัติความเป็น มาท่ยี าวนาน คือ กริซเมอื งรามนั เมือ่ ประมาณ ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี ก่อนเจ้าเมืองรามัน (อ�ำเภอรามัน จังหวัดยะลา) ในปัจจุบัน ประสงค์จะให้มีกริซ เป็นอาวุธคู่บ้านคู่เมือง และต้องการมีกริซ ประจำ� ตวั ดว้ ย ถงึ กบั เชญิ ชา่ งผชู้ ำ� นาญการจากประเทศอนิ โดนเี ซยี มีชื่อว่า ปาแนซาระห์ (ปาแน แปลว่า ช่าง ซาระห์ เป็นช่ือท่ี เจ้าเมืองตั้งให้) มาท�ำกริซที่เมืองรามันในรูปแบบปัตตานี และรูปแบบรามัน ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ จนกริซรูปแบบนี้ ถกู เรียกขานในท้องถน่ิ ว่า กริซรูปแบบปาแนซาระห์ ตัง้ แตน่ น้ั มา จึงมีการสบื ทอดการทำ� กรชิ ในพ้นื ที่เมืองรามนั โดยเฉพาะท่ีตำ� บลตะโละหะลอ อ�ำเภอรามัน จงั หวัดยะลา นอกจากนี้ยังท�ำเป็นหัวรูปไก่ หัวงูจงอาง และรูปคน ส่วนใหญ่สลักด้วยไม้หรือกระดูกปลา กริซมีหลาย รปู แบบ เชน่ กริชแบบกลุม่ บาหลีและมดูรา กริชแบบชวา กรชิ แบบคาบสมทุ รตอนเหนอื กริชแบบบฆู ิส กริชแบบ สมุ าตรา กริชแบบปัตตานี กรชิ แบบซนุ ดาหรอื ซนุ ดัง และกรชิ แบบสกุลชา่ งสงขลา ลักษณะท่ีโดดเด่นของกริชรามันห์ คือ มีการแกะสลักหัวกริซด้วยเอกลักษณ์ท้องถ่ินภาคใต้ ใชไ้ ม้ตามธรรมชาติ ลวดลายสวยงามทัง้ หัวกรซิ ตัวกรซิ และด้ามกรซิ ศาสตร์การท�ำกริช จรรยาบรรณการท�ำกริชมุ่งเน้นการปฏิบัติตัวท่ีดี ซึ่งช่างท�ำกริชทุกคน ต้องปฏิบัติ ตามอยา่ งเครง่ ครัด และการท�ำกรชิ ตอ้ งสุนทรยี ในการท�ำ ใสจ่ ิตวญิ ญาณในตัวกรชิ ๑๕.๒ เสน้ หม่เี บตง ความจริงแล้วเส้นหมี่เหลืองจะมีกันอยู่โดยทั่วไป เพราะเส้นหม่ีเป็นอาหารที่สืบทอดมาจากชาวจีน เน่ืองจากชาวจีนจะไปต้ังถ่ินฐานท่ีไหนจะน�ำอาหารประจ�ำชาติของตนไปด้วย ในขณะเดียวกันก็จะเผยแพร่ ใหแ้ พรห่ ลายยง่ิ ขน้ึ เสน้ หมเ่ี บตงกเ็ ชน่ เดยี วกนั เสน้ หมเ่ี บตงจะมลี กั ษณะพเิ ศษกวา่ เสน้ หมที่ อ่ี น่ื ตรงทม่ี คี วามเหนยี วนมุ่ อันเป็นผลมาจากกรรมวิธีการผลิตท่ีละเอียดลออ เริ่มต้นจากการน�ำแป้งสาลีผสมกับน�้ำเกลือมานวดคลุกเคล้า ให้เป็นเนื้อเดียวกัน ต่อจากน้ันจะน�ำไปเข้าเคร่ืองตัดให้เป็นเส้น จากนั้นจะน�ำเข้าตู้น่ึงประมาณสองช่ัวโมง เม่ือสุกแล้วจะนามาขดให้เป็นก้อน น�ำไปตากแดดทั้งวันเพื่อให้แห้งสนิท จากนั้นก็บรรจุถุงไปจ�ำหน่ายต่อไป ส�ำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานเป็นเส้นหมี่สด จะมีจ�ำหน่ายในตลาดเช้าเบตงหรือตลาดจังหวัดใกล้เคียง 143หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของความเหนียว นุ่ม ท�ำให้เส้นหมี่เบตงได้รับความนิยมกว่าเส้นหมี่อ่ืนๆ ท�ำให้เป็นเส้นหม่ียอดนิยม ปัจจุบันนอกจากเส้นหม่ีเบตงจะผลิตโดยคนไทยเช้ือสายจีนต้นต�ำหรับแล้ว ยังมีการถ่ายทอดภูมิปัญญาน้ีไปยังคนไทยเชื้อสายมลายูด้วย เส้นหมี่เบตงเหนียว นุ่ม จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ ของสายใยของความเชอื่ มโยงความสมั พนั ธก์ นั ทางวฒั นธรรมของชาวไทยจนี ไทยพทุ ธ และไทยมสุ ลมิ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี และสร้างรายได้ทมี่ น่ั คงให้แก่ผผู้ ลิตเป็นจำ� นวนมาก ๑๕.๓ ซีอวิ๊ เบตง ซีอิ๊วหรือซ๊อสจีนเบตงเป็นเคร่ืองปรุงอาหารอีกต�ำหรับหน่ึงท่ีถูกบันทึกไว้ในต�ำนานของความอร่อย เพราะเป็นซีอิ๊วท่ีมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างไปจากต�ำหรับอ่ืนๆ ท�ำให้เป็นที่นิยมของประชาชนท่ัวไป จนกลายเปน็ ของฝากทผ่ี ใู้ หแ้ ละผรู้ บั มคี วามยนิ ดกี นั ทงั้ สองฝา่ ย ดว้ ยกรรมวธิ กี ารผลติ ทเี่ รยี บงา่ ย ไมม่ ขี นั้ ตอนทซี่ ำ้� ซอ้ น แต่อย่างใด มีเพียงแต่การน�ำถ่ัวเหลืองมาคัดเลือก โดยใช้เม็ดท่ีสมบูรณ์ น�ำไปล้างให้สะอาดแล้วน�ำมาต้มจนสุก เม่ือเห็นว่าถั่วนิ่มดีแล้ว จะเทน้�ำทิ้ง วางไว้ให้สะเด็ดน้�ำและเย็น จึงน�ำไปคลุกแป้งหมี่ น�ำไปเกลี่ยบนกระด้ง วางในที่ร่มประมาณสามส่ีวัน แต่จะต้องเกล่ียถ่ัวให้แห้งท้ังเม็ด จากนั้นน�ำไปใส่โอ่งในวันที่มีแดดและปิดฝาโอ่ง ในวนั ทม่ี ฝี นตก ถา้ แสงแดดดจี ะหมกั ไวห้ กเดอื น ถา้ แสงแดดไมด่ จี ะหมกั ไวน้ านถงึ เกา้ เดอื น จนนำ�้ ทหี่ มกั ไวก้ ลายสดี ำ� กรองเอาเฉพาะนำ้� จะไดน้ ำ้� ทกี่ รองครง้ั แรกเปน็ ซอี วิ้ ขาว หากตอ้ งการซอี วิ๊ ชน้ั ทส่ี อง ใหใ้ สเ่ กลอื ในอตั ราสว่ นทเี่ หมาะสม หมักตากแดดไว้สิบห้าวัน แล้วกรองเอาเฉพาะน้�ำ จะได้เป็นซีอ๊ิวช้ันสอง หากต้องการซีอ๊ิวข้นหรือซีอ๊ิวด�ำ ให้น�ำไปตากแดดไม่น้อยกว่าสิบวัน จะได้ซีอ๊ิวด�ำตามต้องการ แต่จะต้องน�ำไปต้มให้เดือด ปล่อยท้ิงไว้ให้เย็น จงึ จะบรรจุภาชนะทส่ี ะอาดและแห้งสนทิ ได้ ปัจจุบันซีอิ๊วเบตงกลายเป็นสินค้าท่ีสร้างรายได้ให้ปีละไม่น้อยทีเดียว เพราะทุกข้ันตอนของ กรรมวิธีผลิตที่เรียบง่าย แต่มีเคล็ดลับในเชิงเทคนิคที่ปราศจากสารปรุงแต่ง ท�ำให้รสชาติทรงไว้ซึ่งความเป็น เอกลกั ษณไ์ ด้เป็นอยา่ งดี ๑๕.๔ ผา้ คลุมผมสตรมี สุ ลิม อัลกุรอาน บทที่ ๓๒ ซูเราะฮอัลอะห์ซาบ โองการท่ี ๕๙ ระบุบทบัญญัติในด้านการแต่งกาย ความวา่ โอ้ ศาสดามฮู ำ� มดั “จงกลา่ วแกภ่ รรยาทง้ั หลายของเจา้ และลกู หญงิ ของเจา้ และผหู้ ญงิ ของชายผศู้ รทั ธา ท้ังหลาย ให้นางกระชับเสื้อคลุมของนางให้มิดชิด (เม่ือออกจากบ้านหรือท่ามกลางชาย) นั้นเป็นการท่ี เหมาะสมกว่าที่นางจะไดเ้ ป็นทส่ี งั เกต (ว่าเปน็ มสุ ลมิ ) แล้วจะไดไ้ ม่ถกู ระราน” (๓๒ : ๕๙) สตรีมสุ ลิมคลุมศรี ษะ ได้ประกาศจุดยืนของเธอว่า เธอคือมุสลีมะฮ์ ทีเพียบพร้อมด้วยศีลธรรม จรรยาที่งดงาม ด้วยส�ำนึกในเกียรติ และศกั ดศ์ิ รขี องสตรที ค่ี วรคา่ แกก่ ารสรรเสรญิ ยง่ิ นกั ปจั จบุ นั สตรมี สุ ลมิ ตา่ งหนั กนั มาใชผ้ า้ คลมุ กนั มากขนึ้ ตามลำ� ดบั แมก้ ระทงั่ ในกลมุ่ วยั รนุ่ กน็ ยิ มกนั อยา่ งแพรห่ ลาย จนกลายเปน็ แฟชนั่ สตรที ม่ี มี ลู คา่ ใหแ้ กผ่ มู้ อี าชพี ในการสรา้ งสรรค์ ผา้ คลมุ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ได้กลายเป็นแรงบันดาลให้เกิดกลุ่มสตรีท่ีหันมาร่วมแรงร่วมใจกันศึกษา ความเปน็ มาของผา้ คลมุ ศรี ษะสตรแี ละรว่ มกนั สรา้ งสรรคเ์ พอ่ื เปน็ สนิ คา้ การศกึ ษาพบวา่ การแตง่ กายของสตรมี สุ ลมิ ในยุคศตวรรษที่ ๑๑ ได้รับอิทธิพลมาจากการแต่งกายของสาวฮินดูและชาวพุทธในยุคนั้นท่ีนิยมใช้ผ้าคลุม ซง่ึ อาจจะมีเหตผุ ลทแ่ี ตกต่างไปจากขอ้ กำ� หนดไว้ในกรุ อาน 144 หลักสตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

กลุ่มสตรีมุสลีมะฮ์ ต�ำบลกอตอตือระ อ�ำเภอรามัน จังหวัดยะลา จึงได้รวมกลุ่มกันผลิตผ้าคลุมสตรี ในรปู แบบตา่ งออกมามากมาย เชน่ เดียวกบั กล่มุ อืน่ ๆ ในพ้นื ทีจ่ ังหวดั ชายแดนภาคใต้ ศลิ ปะต่างๆ ทเ่ี ปน็ ภูมปิ ัญญา ท้องถ่ินได้รับการบันทึกลงบนผืนผ้าผนวกกับฝีไม้ลายมือท่ีประณีตบรรจง ท�ำให้เกิดผืนผ้าท่ีทรงคุณค่า กลายเป็น อาภรณป์ ระดับกายของสตรมี ุสลมิ ใหม้ ีความงดงามมากย่ิงขน้ึ เนื่องจากงานดังกล่าวต้องท�ำด้วยมือ เป็นไปอย่างประณีต ไม่มีการวางจ�ำหน่ายในท้องตลาด ผู้ท่ีต้องการจะต้องส่ังล่วงหน้า แต่ปรากฏว่ามีผู้จ�ำหน่ายได้ส่ังสินค้าดังกล่าวเป็นจ�ำนวนมาก จุดเด่นประการหนึ่ง ของผ้าคลุมสตรีฝมี อื ชาวบา้ น คอื สามารถผลิตตามความต้องการของลูกคา้ ได้ร้อยเปอรเ์ ซ็นต์ ผ้าทุกผืนได้รับการประกันคุณภาพ เพราะผลิตจากผ้าเนื้อดีอย่างผ้าบาวาและปักลายดอกพิกุล ลายดอกกุหลาบ ลายดอกชบา ลายใบไม้ และลายปะการัง แต่ละลายมีความงดงาม เป็นที่นิยมของลูกค้า เพราะไมข่ ัดกับหลกั การของศาสนาอสิ ลาม ลายทุกลายเป็นฝีไม้ลายมือของกลุ่มสตรีท่ีทุ่มเทฝีมืออย่างเต็มที่ ผ้าคลุมบาวาท่ีผลิตในประเทศไทย จะเป็นท่ีนิยมมากกว่าผ้าท่ีผลิตจากต่างประเทศ ขณะนี้ผ้าคลุมท�ำมือของประเทศไทยก�ำลังเป็นท่ีนิยมของสตรี ในประเทศอาเซียน คาดว่าอนาคตของสนิ ค้าฝีมอื ของคนไทยจะเปน็ ท่ียอมรับของตลาดอาเซยี นในโอกาสตอ่ ไป ๑๕.๕ เคร่อื งแกงผงส�ำเร็จ คงไม่มีใครไม่รู้จักเคร่ืองเทศ เพราะเป็นส่วนหน่ึงของชีวิตของแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนอ่ื งจากเครอื่ งเทศประเภทกระวาน กานพลู พรกิ ไทย ไมห้ วาน ไมห้ อม ไมจ้ นั ทนห์ อมขาว ไมจ้ นั ทนห์ อมเหลอื ง ฯลฯ เคยเป็นสินค้าส�ำคัญในอดีตกาลที่มีแม่น�้ำปัตตานีเป็นเส้นทางล�ำเลียง ไปส่งยังท่าเรือใหญ่ปัตตานีให้แก่ประเทศ คู่ค้าต่างประเทศ ซ่ึงไทยจะได้ประโยชน์ท้ังสองด้าน คือ ขายสินค้าและรับวัฒนธรรมทางด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ทางด้านอาหารการกนิ มาจากประเทศอินเดีย เปอร์เซยี ฯลฯ อาหารที่ขึ้นช่ือลือชามากที่สุด “แกงมัสมั่น” ถึงกับได้รับโหวตจากนักท่องเท่ียวท่ีมาเที่ยว ในประทศไทยให้เป็นอาหารอร่อยอันดับ ๑ ของโลกจากอาหารชาติต่างๆ ๕๐ ชนิด (เว็ปไซต์ ซี เอ็น เอ็น โก เมื่อเดือนกรกฎาคมปี ๒๕๕๔) เหตุผลเพราะว่าแกงมัสมั่นมีส่วนผสมของเครื่องเทศในอัตราที่พอเหมาะ ท�ำให้กลุ่มเกษตรกรแห่งหน่ึงของอ�ำเภอรามัน จังหวัดยะลา คือ กลุ่มเคร่ืองแกงอามานะฮ์ ได้รวมกลุ่มกันผลิต เครื่องแกงต่างๆ ขึ้นจ�ำหน่าย เพราะในพ้ืนท่ีบ้านเรามีเครื่องเทศที่เป็นส่วนผสมของเครื่องแกงมากมาย จึงได้รวม กลุ่มกันท�ำเคร่ืองแกงส�ำเร็จรูปจ�ำหน่าย กลุ่มดังกล่าวได้ท�ำการศึกษาภูมิปัญญาทางด้านอาหารจากบรรพบุรุษ เพื่อค้นหาเคล็ดลับจากผู้คนรุ่นเก่าท่ีมีฝีมือในการท�ำอาหาร เพื่อน�ำมาท�ำเคร่ืองแกงที่ถูกปากลูกค้าและเป็น ส่วนผสมของวัฒนธรรมการกินอาหารของฮินดู พุทธ มลายู เปอร์เซีย โปรตุเกสและชนชาติอื่นๆ ให้มาอยู่ ในอัตราส่วนที่ลงตัว เพ่ือเป็นเครื่องแกงที่มีรสชาติที่มีความเป็นสากล คนทุกภาค คนทุกชาติรับประทานได้ แต่กย็ งั คงมเี อกลักษณข์ องความเป็นแกงมสั มน่ั ท่มี คี วามรอ้ นท่นี ่มุ นวลและหอมกร่นุ ด้วยเครอื่ งเทศไทย แม่บ้านกลุ่มน้ีได้สร้างสรรค์ “เครื่องแกงมัสมั่น” และเครื่องแกงอื่นๆ เพ่ือประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ พร้อมๆ กับสืบทอดวัฒนธรรมผสมผสานของวัฒนธรรมอาหารฮินดู พุทธและมลายูให้เป็นเน้ือเดียวกันให้ผู้คน ทอ่ี าศัยอยูบ่ นแผ่นดนิ เดียวกนั เพือ่ ให้ส�ำนึกรวู้ ่าแท้จริงแล้วเราอยรู่ ่วมแผน่ ดนิ เดียวกันมานานแล้ว 145หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ อ้ งถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้)

๑๕.๖ หมวกกะปิเยาะห์ หมวกกะปิเยาะห์เป็นวัฒนธรรมการใส่หมวกของชาวอาหรับ รวมท้ังในแถบคาบสมุทรมลายู แตใ่ นประเทศไทยนยิ มใสห่ มวกทเ่ี รยี กวา่ ซอเกาะ การทำ� หมวกกะปเิ ยาะหเ์ ปน็ นำ� ผา้ หลายๆ ชนดิ มาตดั เยบ็ ซอ้ นกนั จนเกิดเป็นลวดลายต่างๆ บนหมวก มีอยู่หลายทรง เช่น ทรงดาดา ทรงจาบา ทรงเมกกะ ทรงสูง ทรงสายรุ้ง ทรงซอเกาะด�ำ ทรงซอเกาะดำ� ทรงมัสยดิ ทรงตริดจอแดน แต่ละทรงจะมีความงดงามทีแ่ ตกตา่ งกนั ในอดตี ผลติ กนั ใชเ้ องในครวั เรอื น แตเ่ รม่ิ ผลติ เปน็ สนิ คา้ ครงั้ แรกในหมบู่ า้ นกะมยี อ อำ� เภอเมอื งปตั ตานี จังหวัดปัตตานี เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยกลุ่มผูเ้ ดินทางไปแสวงบญุ ที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดอี าระเบยี ปจั จบุ นั ได้ ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ กว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกเป็นตลาดประเทศซาอุดีอาระเบีย รองลงมาเป็น ประเทศบรูไน ประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซียและในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ท�ำให้มีความส�ำคัญ ตอ่ เศรษฐกจิ ของชาวกะมียอเป็นอยา่ งยิ่ง หมวกกะปิเยาะห์เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชายมุสลิม เพราะต้องใช้สวมใส่ในการประกอบ ศาสนกจิ และในชวี ติ ประจ�ำวันอกี ดว้ ย บทสรุป รายละเอียดท่ีกล่าวมาในบทนี้เป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินที่เป็นผลมาจากการสั่งสมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน จนเป็นที่ยอมรับของสังคม เพราะภูมิปัญญาเหล่าน้ีเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์และสะท้อนให้เห็นความเป็นมา ของสงั คมทสี่ บื ทอดกนั มารนุ่ แลว้ รนุ่ เลา่ ในทกุ มติ ทิ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ชวี ติ ของคน เพราะภมู ปิ ญั ญาเปน็ สงิ่ ทสี่ รา้ งสรรคข์ นึ้ เพ่ือรับใช้ผู้คนในสังคม สืบทอดกันมาและมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันมาเป็นล�ำดับ ดังจะเห็นได้ว่า ภูมิปัญญาที่น�ำเสนอในบทนี้จะเก่ียวข้องกับการด�ำรงชีพ การสัมพันธ์พึ่งพา ภาษาและวรรณกรรม หัตถกรรม พื้นบ้าน สถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัย การแพทย์ ทัศนคติ การปลูกฝังคุณธรรม การแต่งกาย อาหารและการถนอม อาหาร วฒั นธรรมประเพณี ศิลปะการแสดง การละเล่นพนื้ บา้ น อาชีพต่างๆ อยา่ งไรกต็ าม เนอ้ื หาทก่ี ลา่ วถงึ ในทนี่ เ้ี ปน็ เพยี งสว่ นหนง่ึ เทา่ นน้ั เพราะภมู ปิ ญั ญาทม่ี อี ยใู่ นทอ้ งถน่ิ มมี ากกวา่ น้ี เพราะเป็นภูมิปัญญาท่ีเกิดข้ึนเพื่อสนองความต้องการของปัจจัย ๔ ของคนในชุมชน ซ่ึงอาจมีความแตกต่างกัน ในรายละเอียดและไม่อาจน�ำเสนอไว้ในที่น้ีได้ท้ังหมด จึงเลือกมาน�ำเสนอเป็นเพียงบางส่วนเพื่อสะท้อน ให้เห็นคติ ความคิด ความเชื่อ หลักการ ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีตลอดจนการน�ำไปประยุกต์ใช้ เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นในสังคม เพื่อปรับตัวปรับวิถีชีวิตให้เหมาะสมกับสังคมสมัยใหม่ แต่กระนั้นก็ตาม ท้ังภูมิปัญญาเก่าและภูมิปัญญาใหม่จะต้องสอดรับกันอย่างลงตัว เพราะต้องใช้เป็นฐาน ซ่งึ กนั และกัน เพ่ือจะใหไ้ ดม้ าซึง่ ภูมปิ ญั ญาประยกุ ต์ทเ่ี หมาะกบั บริบทปัจจบุ ัน 146 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้)

บรรณานกุ รม กุลธิดา จรัสเกื้อกูลพงศ์, ๒๕๕๔. เครื่องแกงอามานะฮ์ : อดีต ปัจจุบันและอนาคต. ในภูมิปัญญาท้องถ่ิน จังหวัดยะลา. กรุงเทพมหานคร : องคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั ยะลา. กุลธิดา จรัสเกื้อกูลพงศ์, ๒๕๕๔. ผ้าคลุมศีรษะสตรี : ค�ำประกาศตนของการเป็นมุสลีมะฮ์. ในภูมิปัญญาท้องถ่ิน จังหวัดยะลา. กรงุ เทพมหานคร : องค์การบริหารส่วนจังหวดั ยะลา. เขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษายะลา เขต ๑, สำ� นกั งาน. ยะลาบ้านเกดิ เมืองนอน.ยะลา : บริษัท เอสพร้นิ ท์ จ�ำกดั . ไขม่ กุ อทุ ยาวล,ี ๒๕๔๘. การศกึ ษาตำ� นานเมอื งปตั ตานี : มติ ทิ างประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรมภาคใต.้ ในวารสาร สงขลานครนิ ทร์ ฉบบั สงั คมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์ ปีที่ ๑๑ ฉบับท่ี ๒ ประจ�ำเดือน เมษายน - มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๘. หน้า ๒๓๔ - ๒๕๓. ครองชยั หัตถา, ๒๕๕๐. ประวัติศาสตร์ปัตตานี สมัยอาณาจักรโบราณถึงการปกครอง ๗ หัวเมือง. ภาควิชา ภมู ศิ าสตร์ คณะมนุษย์ศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร.์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปตั ตาน.ี คณะกรรมการประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. ๒๕๔๔. วัฒนธรรม พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ เอกลกั ษณ์ และภูมปิ ัญญาไทยจังหวดั ยะลา. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร. คณะกรรมการประมวลเอกสารและจดหมายเหต.ุ ๒๕๔๔. วัฒนธรรม พฒั นาการทางประวัตศิ าสตร์ เอกลกั ษณ์ และภมู ิปัญญาไทยจังหวัดนราธิวาส. กรงุ เทพมหานคร : กรมศิลปากร. โชคชยั วงษต์ าน,ี ๒๕๕๕. “ความหลากหลายทไ่ี มห่ ลากหลาย : การจดั การในการอยรู่ ว่ มกนั ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ ในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้” ใน มิติวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และภาพอนาคต คืนสู่สันติจังหวัด ชายแดนภาคใต.้ กรงุ เทพมหานคร : กระทรวงวัฒนธรรม. ภาสกร วงศต์ าวัน, ๒๕๕๖. นานาชาตเิ หนอื แผน่ ดนิ สยาม. กรงุ เทพมหานคร : นานาส�ำนกั พิมพ.์ ภวู ดล ทรงประเสริฐ, ๒๕๔๘. เพลิงทักษิณ เอกภาพ : ท่ามกลางความแปลกแยกในภาคใต้. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนกั พิมพ์ยเู รกา้ . มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒. สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่ม ๓. กรุงเทพมหานคร : บริษทั สยามเพรส แมเนจเมน้ ท์ จ�ำกัด. มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒. สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่ม ๑๕. กรุงเทพมหานคร : บริษัท สยามเพรส แมเนจเม้นท์ จำ� กดั . รตั ตยิ า สาและ, ๒๕๔๐. การปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งศาสนกิ ในจงั หวดั ปตั ตานี ยะลา และนราธวิ าส. กรงุ เทพมหานคร : สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวิจัย (สกว.). ศรศี ักร วลั ลิโภดม, ๒๕๔๖. ออู่ ารยธรรมแหลมทองคาบสมทุ รไทย. กรุงเทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พม์ ตชิ น. ศึกษาธิการจังหวัดยะลา. ส�ำนักงาน. ๒๕๔๐. ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยในจังหวัดยะลา. ยะลา : สภาวัฒนธรรมจังหวัดยะลา. 147หลักสตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

วันสาข์ ธรรมานนท์, ม.ป.ท. ศาสนาพุทธที่ปรากฎในเขตพื้นท่ีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนพุทธศตวรรษ ท่ี ๑๙ : การศึกษาจากหลกั ฐานโบราณคดี ในวารสารคณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร.์ มหาวิทยาลัย สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตาน.ี สุจิตต์ วงษ์เทศ, บรรณาธิการ. ๒๕๕๗. ประวัติศาสตร์ปกปิดของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐปัตตานี ใน “ศรีวชิ ยั ” เก่าแกก่ ว่ารัฐสโุ ขทยั ในประวตั ิศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนกั พมิ พม์ ตชิ น. 148 หลกั สูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัติศาสตรท์ ้องถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)





บทท่ี ๑ อตั ลกั ษณข์ องประชาชนในพน้ื ทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใต้ ประชาชนในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนใต้มีความภาคภูมิใจในเสรีภาพและวิถีชีวิตแบบไตรภาคของความเป็น พลเมอื งไทย นับต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั ของพลเมอื งไทยในพ้ืนทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใต้ มีวิถีชวี ิตท่ีอย่บู นพ้นื ฐาน ส�ำคญั ๓ ประการ คือ ๑. วิถีแหง่ ชาติพันธ์ุ มีรากฐานจากวัฒนธรรมชาตพิ นั ธุ์ เปน็ หลกั ในการดำ� เนินชีวติ ๒. วถิ ีแห่งศาสน์ มรี ากฐานจากหลกั ค�ำสอนของศาสนาเปน็ หลกั ในการด�ำเนินชีวิต ๓. วถิ แี หง่ ชาติ (วถิ ไี ทย) มรี ากฐานจาก รฐั ธรรมนญู พระราชบญั ญตั ิ กฎ ระเบยี บ คำ� สง่ั และประกาศตา่ ง ๆ ของราชการ เป็นหลกั ในการด�ำเนนิ ชวี ิต ประชาชนทุกคนในท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีหลักด�ำเนินชีวิตอยู่สามประการในข้างต้น กล่าวคือเป็นคนเช้ือสายมลายู เป็นศาสนิกชนของศาสนาใดศาสนาหน่ึง และเป็นคนไทย ด้วยสถานภาพท้ัง สามประการจะส่งผลให้วิถีชีวิตของผู้คน ยึดม่ันอยู่ในชาติพันธุ์ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมและในข้อก�ำหนด คำ� สงั่ และระเบยี บกฎหมายทเ่ี ปน็ บรรทดั ฐานของสงั คม ซง่ึ ทง้ั สามวถิ นี ถ้ี กู บรู ณาการเขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งเปน็ เอกภาพ และลงตัว ซึง่ จะได้กล่าวถึงในรายละเอยี ด ดงั นี้ 151หลกั สตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถ่ินจงั หวัดชายแดนภาคใต)้

๑. วิถีแหง่ ชาตพิ นั ธ์ุ วิถีแห่งชาติพันธุ์นับเป็นวิถีแรกท่ีได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ที่มีรากฐานมาจากวัฒนธรรม ของชาติพันธุ์ท่ีถูกก�ำหนดโดยพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เป็นทางเลือกของพวกเขา ดังน้ันเรื่องราวของคนในพ้ืนท่ี จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีทั้งความเช่ือทางศาสนา ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีท่ีโยงใยจากอดีตสู่ปัจจุบัน ทั้งที่สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับหลักค�ำสอนทางศาสนา ซง่ึ จะได้น�ำเสนอในล�ำดบั ตอ่ ไป ๒. วิถแี ห่งศาสนา วิถีแห่งศาสนาของชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีรากฐานมาจากหลักความเช่ือและหลักค�ำสอนของ ศาสนาของศาสนาท่ีเป็นเสมือนสิ่งท่ีน�ำทางให้กับวิถีชีวิต ในปัจจุบันศาสนาที่ประชาชนในภูมิภาคจังหวัด ชายแดนใต้นับถือส่วนใหญ่ คือศาสนาอิสลาม รองลงมาศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาซกิ ตามลำ� ดับ ๓. วถิ ีแหง่ ชาติหรอื วิถีไทย วิถีแห่งชาติหรือวิถีไทย หมายถึง การปฏิบัติตนของประชาชนชาวไทยตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พระราชบญั ญตั ิ ระเบยี บ กฎหมาย คำ� สงั่ และประกาศของรฐั บาลหรอื ทางราชการทม่ี เี จตนารมณใ์ หป้ ระชาชนชาวไทย ในทุกภูมิภาคได้ปฏิบัติตนของพลเมืองตามสิทธิ เสรีภาพและโอกาสโดยมุ่งม่ันที่จะให้ทุกคนในประเทศ ได้รับสิทธิเสรีภาพและโอกาสด้านศาสนา การศึกษา วัฒนธรรม ประเพณี การเมือง เศรษฐกิจ ด้านส่วนตัว และสังคม ตลอดจนการเข้ารับราชการและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน การที่ประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพและโอกาสแก่ประชาชาติไทยในทุกาคส่วนของชาติให้สามารถ ดำ� เนนิ ชวี ติ ตามสภาพของชาตพิ นั ธพ์ รอ้ มกบั การนบั ถอื และปฏบิ ตั ติ ามคำ� สอนของศาสนาตามความเชอื่ ทตี่ นนบั ถอื ได้อย่างเสรีน้ัน นับเป็นการให้ท่ียิ่งใหญ่และถือว่าเป็นการให้เกียรติและให้ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ แกค่ นในชาตทิ ่ีสูงสง่ ยิง่ คนชาติพันธุ์มลายู ท่ีอาศัยอยู่ต้ังแต่ดั้งเดิมและขยายตัวในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบัน เป็นชนชาติพันธุ์มลายูท่ีถูกผสมผสานกับหลายชาติพันธุ์ เช่น ชาติพันธุ์อาหรับ อินเดีย และจีน มีสิ่งส�ำคัญท่ีติดตัว มาพร้อมกับความเป็นชาติพันธุ์มลายูของพวกเขาคือศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณีและความเช่ือทางศาสนา ความเชอ่ื ทางศาสนาซงึ่ เรมิ่ จากยคุ ทไ่ี มม่ ศี าสนาแตพ่ วกเขาเชอ่ื ในความมพี ลงั อำ� นาจของธรรมชาตแิ ละพลงั วญิ ญาณ ที่อยู่พ้นธรรมชาติ (metapphysics) ต่อมาได้เปล่ียนความเช่ือเป็นนับถือศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ ต่อมานับถือ ศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามตามล�ำดับซ่ึงทุก ๆ ศาสนาท่ีผ่านมาสร้างความเปลี่ยนทางความเช่ือของพวกเขา ล้วนแต่มีอิทธิพลในการก�ำหนดกรอบหรือรูปแบบของวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของคนและกลุ่มบุคคล ในภมู ภิ าคนเี้ ปน็ อยา่ งยง่ิ ดว้ ยเหตนุ ้ี จงึ สง่ ผลใหศ้ ลิ ปะ วฒั นธรรม และจารตี ประเพณขี องประชาชนในจงั หวดั ชายแดน ภาคใต้ มีทั้งท่ีสอดคล้องและไม่สอดคล้องกับหลักค�ำสอนของศาสนาโดยเฉพาะศาสนาอิสลาม ซึ่งได้เปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตของผู้รับและเช่ือในค�ำสอนของศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตามวิถีไทยยังให้สิทธิเสรีภาพและโอกาศให้แก่ 152 หลักสูตรสงั คมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตร์ทอ้ งถน่ิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

“บุคคลซ่ึงรวมกันเป็นชุมชน ชุมชนท้องถิ่นหรือชุมชนถิ่นดั้งเดิม ย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ศลิ ปวฒั นาธรรมอนั ดขี องทอ้ งถน่ิ และของชาติ และมสี ว่ นรว่ มในการจดั การ การบำ� รงุ รกั ษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ท้ังความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุล และยงั่ ยนื ” (รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๖๖) ซ่ึงเริ่มจากยคุ ที่ไมม่ ีศาสนาแต่พวกเขา เช่ือในความมีพลังอ�ำนาจของธรรมชาติพลังของวิญญาณพ้นธรรมชาติต่อมาได้เปลี่ยนความเชื่อในศาสนาฮินดู หรอื พราหมณ์ ศาสนาพุทธและศาสนาอสิ ลามตามล�ำดับ วถิ ไี ทยยงั ไดใ้ หส้ ทิ ธเิ สรภี าพและโอกาสดา้ นศาสนาแกบ่ คุ คลอยา่ งบรบิ รู ณใ์ นการถอื ศาสนานกิ ายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรม ตามความเชื่อของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นต่อการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน ซง่ึ ในการใชเ้ สรภี าพดงั กลา่ ว บคุ คลยอ่ มไดร้ บั ความคมุ้ ครองมใิ หร้ ฐั กระทำ� การใด ๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายศาสนาลัทธิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพธีกรรมตามความเชื่อถือ แตกต่างจากบุคคลอื่น (รัฐธรรมนูญแห่งราชอานาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๗) วิถีดังกล่าวท�ำให้คนไทยทุกคนซ่ึงท้ังคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนใหญ่สามารถนับถือศาสนา และปฏิบัติตามศาสนบัญญัติด้วยศีลธรรมหรือจริยธรรมของศาสนาอิสลามได้อย่างสมบูรณ์ในขณะเดียวกันมีสิทธิ ได้รับการคุ้มครองมิให้รัฐกระท�ำการใด ๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุ ท่ถี ือศาสนาปฏิบตั ิตามศาสนบัญญัตแิ ละจริยธรรมของศาสนา ความสมบูรณ์แบบแห่งสิทธิในการเช่ือปฏิบัติตามศาสนา บัญญัติอย่างมีจริยธรรมของลคนไทยที่นับถือ ศาสนาอิสลามตรงตามหลักค�ำสอนของศาสนาอิสลามโดยแท้ เว้นแต้ผู้น�ำไปใช้ว่าจะมีความสามารถในการแปล ความได้ถกู ตอ้ งแมน่ ยำ� แคไ่ หน ซึ่งถ้าพจิ ารณาโครงสร้างค�ำสอนของศาสนาอิสลามสามารถแปรความได้ระดับหน่งึ อิสลามเป็นค�ำสอนที่ประกอบด้วยเร่ืองหลัก ๓ ประการ คือหลักศรัทธา หลักปฏิบัติและหลักจริยธรรม เรื่องหลักศรัทธา มี ๖ ประการ คือการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ต่อบรรดามะลาอิกะฮฺ บรรดากิตาบ บรรดารอซูล ของอัลลอฮฺ ต่อวนั อคเี ราะฮและเกาะฏอร-์ เกาะดรั ของอลั ลอฮฺ เรอ่ื งหลกั ปฏบิ ตั มิ ี ๓ ส่วน คือการปฏบิ ัตติ อ่ อลั ลอฮฺ เช่น การละหมาด การถือศีลอด การปฏิบัติต่อมนุษย์ท้ังเก่ียวส่วนตัว ครอบครัว สังคม การศึกษา เศรษฐกิจ ตลอดทั้งการเมืองการปกครอง อิสลามได้วางกรอบและหลักการทั้งสิ้น สุดท้ายคือ เร่ืองหลักจริยธรรม ได้แก่ การปฏิบัตดิ ้วยมีสจั จะ จรงิ ใจ รับผิดชอบ ตรงเวลา อดทน เมตตา เสียสละ เปน็ ตน้ การที่วิถีไทยได้ให้สิทธิเสรีภาพในลักษณะดังกล่าวข้างต้น คนไทยทุกคนไม่ว่าจะมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ใด นับถือศาสนาอะไร ควรภูมิใจและแสดงความขอบคุณหรือตอบแทนด้วยการเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ คือเป็นคนท่ีมีความรักในชาติ ศาสน์และกษัตริย์ มีความสัตย์ เผ่ือแผ่และแบ่งปัน หวังดีต่อผู้อื่นรักษาวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงาม มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมายและค�ำนึงผลประโยชน์ของส่วนรวมและชาติมากกว่า ผลประโยชนข์ องตนเอง 153หลักสูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

บทท่ี ๒ ชาติพันธ์ุและศาสนาของประชาชน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑. ววิ ฒั นาการและการผสมผสานทางชาติพนั ธ์มุ ลายใู นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ๑.๑ ชาตพิ นั ธแ์ุ ละวัฒนธรรมดงั้ เดมิ ของคนมลายู คนมลายูและภาษามลายู เป็นชาติพันธุ์และภาษาหนึ่งในตระกูลออสโตรนีเซีย เป็นหน่ึงในสามสายพันธุ์ จากตระกูลออสตรอนิส ชาติพันธุ์มลายู คือผู้ที่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาสื่อสารในชีวิตประจ�ำวันนักวิชาการ มคี วามเหน็ ทแ่ี ตกตา่ งเกีย่ วกบั ท่มี าของชาตพิ ันธุ์มลายอู อกเป็น ๒ ทัศนะ ดงั นี้ ๑. เป็นชนเผา่ ทอี่ พยพมาจากดินแดนท่รี าบสูงของเอเชยี กลาง ๒. เป็นชนเผา่ ดง้ั เดิมทีอ่ าศัยอยู่ตามเกาะแกง่ ในแหลมมลายู นักวิชาการที่ให้ทัศนะว่าชาติพันธุ์มลายูนั้นเป็นชนเผ่าที่อพยพมาจากดินแดนท่ีราบสูงของเอเชียกลาง ประกอบด้วย Proto hominoid ท่ีสันนิษฐานว่ามีส่ิงมีชีวิตอยู่ก่อนท่ีจะมีมนุษย์เกิดข้ึนในโลกนี้และเคยด�ำรงอยู่ เม่ือ ๑ ล้านปีก่อน และได้มีวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ ในขณะที่มนุษย์เร่ิมปรากฏเม่ือ ๔๔,๐๐๐ ปีก่อน และมนุษย์ สมยั ใหม่ (Homo sapiens) เพ่ิงปรากฏประมาณ ๑๑,๐๐๐ ปกี ่อน 154 หลกั สตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

ในยุคก่อนมีมนุษย์ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกและออสเตรเลีย อยู่ก่อนแล้ว ซ่ึงได้รับการยืนยันจากหลักฐานที่ค้นพบว่า คือ Homo soloinensis และ Homo wajakensis (มนุษย์ชวา “Java Man”) ท่ีคาดวา่ มอี ายอุ ยู่ราว ๑ ลา้ นปี ในยุคนพ้ี ืน้ ท่ดี งั กล่าวมมี นุษยอ์ าศัย อยู่ ๓ กลมุ่ (Homo sapiens) คือ กลุ่มชนเนกริโต (Negrito) อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นท่ีอิเรียน และเมลานีเซีย ชนชาติ Caucasus ในอินโดนีเซีย ตะวนั ออก สลุ าเวสี และฟลิ ปิ ปินส์ รวมทงั้ Mongoloid ในทางภาคเหนือและภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเอเชีย หากพิจารณาจากแง่มุมของวิชาโบราณคดี การค้นพบกะโหลกมนุษย์ในแหลมมลายูได้ชี้ให้เห็นว่า บริเวณนี้มีมนุษย์อยู่มานานแลว้ การค้นพบดังกลา่ ว อาทิเชน่ ๑. Pithecanthropus Mojokerto (Jawa), ซง่ึ ปจั จบุ ันมีอายุโดยประมาณ ๖๗๐,๐๐๐ ปี ๒. Pithecanthropus Trinil (Jawa), ปจั จบุ นั มีอายุโดยประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ ปี ๓. Manusia Wajak (Jawa) ปัจจุบนั มอี ายุโดยประมาณ ๒๑๐,๐๐๐ ปี และหลักฐานจากซากฟอสซิลทั้ง ๓ ฟอสซิลดังกล่าว เม่ือน�ำมาเปรียบเทียบกับซากฟอสซิล (Fossil) ของมนุษย์ปักกิ่ง (Peking) หรือ Sinanthropus Pekinensis (China) ที่มีอายุเพียง ๕๕๐,๐๐๐ ปีโดยประมาณ พบวา่ มนุษย์โบราณมคี วามสะดวกทจี่ ะมีชวี ติ อยู่ และสบื ทอดสายพนั ธุอ์ ยู่ใกลบ้ ริเวณเสน้ ศูนยส์ ูตร (Khatulistiwa) เร่ืองดังกล่าวมีน�้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยการค้นพบซากกะโหลกมนุษย์ที่แอฟริกาท่ีมีชื่อเรียกว่า Zinjanthropus ซง่ึ มอี ายุ ๑,๗๕๐,๐๐๐ ปี 155หลักสตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถ่ินจังหวดั ชายแดนภาคใต้)

จากเหตุผลต่างๆ ที่มีการโต้แย้งกันดังกล่าว ท�ำให้ได้ข้อสรุปของ Gorys Keraf ในเบ้ืองต้นที่กล่าวว่า บรรพบุรุษของชาวมลายูทใี่ ชภ้ าษาในตระกูลนซู ันตารานัน้ มีความชัดเจนวา่ จะอยูค่ วบค่กู บั แหลมมลายูมากอ่ นแลว้ จึงมีขอ้ สงสยั เกดิ ขึ้นตามมาว่า หากชาตพิ นั ธุ์มลายูมรี ากเหงา้ ดั้งเดิมบนแหลมมลายูกอ่ นแล้ว ภาษามลายู เป็นเวลานับศตวรรษท่ีผู้อาศัยอยู่ในแหลมมลายูได้ด�ำเนินชีวิตแบบแยกกันอยู่เป็นกลุ่มๆ โดยปราศจาก การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ พวกเขาถูกแยกออกจากกัน โดยเกาะแก่งและคาบสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ถึงแม้ว่าพวกเขาเริ่มต้นมาจากหนึ่งเดียว แต่เนื่องจากห้วงเวลาที่ขาดหายไปและจากกันที่ยาวนาน ท�ำให้วิถีชีวิต ของพวกเขามอี ตั ลกั ษณท์ แ่ี ตกตา่ งกนั ไปตามสภาพภมู ปิ ระเทศ ภมู อิ ากาศและอาชพี ของแตล่ ะกลมุ่ ปรากกฎการณ์ ดงั กล่าวไดก้ ่อใหเ้ กิดชนเผา่ อนิ โดนเี ซีย มาเลเซีย และฟิลปิ ปินส์ ฯลฯ เมอื่ หลายรอ้ ยปกี อ่ นครสิ ตก์ าลบรรดาพอ่ คา้ วาณชิ ยช์ าวอาหรบั ไดใ้ ชช้ อ่ งแคบมะละกา เปน็ เสน้ ทางคมนาคม ล�ำเลียงสินค้าจาก ตีอองค็อก (จีน) สุมาตรา และอินเดีย ไปยังเมืองท่าเยเมน จนท่าเรือในแหลมมลายูกลายเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษ ส�ำหรับพ่อค้าชาวอินเดียและตีอองค็อกใช้ในการแลกเปล่ียนสินค้า และการแวะเวียน เข้ามาของชาวอินเดียอย่างไม่ขาดสาย ส่งผลให้ภาษามลายูโบราณที่ใช้อยู่ในแหลมมลายูได้เปล่ียนแปลง ไปตามสถานการณ์ใหม่ หลักฐานเก่าแก่เก่ยี วกบั ภาษามลายูโบราณปรากฏบนหลกั ศลิ าจารึกที่ส�ำคัญๆ มี ดงั น้ี ๑. หลกั ศิลาจารกึ เกอดกุ นั บกู ติ “Kedukan Bukit” (Palembang) เกาะสมุ าตรา อินโดนีเซยี บนั ทกึ ไว้ ในปี ๖๐๕ ซาคา ตรงกบั ค.ศ. ๖๘๓ /พ.ศ. ๑๑๒๖ อักษรทีใ่ ช้คือ อกั ษรปาลวะ (Palava) ๒. หลักศิลาจารึกตาลัง ตูโว “Talang Tuwo” (Palembang) เกาะสมุ าตรา อนิ โดนเี ซยี บันทึกไว้ในปี ๖๐๖ ซาคา ตรงกับ ค.ศ. ๖๘๔ หรือ พ.ศ. ๑๑๒๗ ศิลาจารึกน้ีค้นพบโดย Residen Westenenk เมอ่ื วนั ท่ี ๑๗ พฤศจกิ ายน ค.ศ. ๑๙๒๐ หรือ พ.ศ. ๒๔๖๓ ๓. หลกั ศลิ าจารกึ โกตา กาปรู ฺ “Koto Kapur” (Bangka) บันทึกไว้ในปี ๖๐๘ ซาคา ตรงกับ ค.ศ. ๖๘๖ หรือ พ.ศ. ๑๑๒๙ ๔. หลักศิลาจารึกการัง บราฮี “Karang Brahi” (Jambi) ตั้งอยู่บนเกาะสุมาตราตอนใต้ บนั ทกึ ไวใ้ นปี ๖๑๔ ซาคา ตรงกบั ค.ศ. ๖๙๒ หรอื พ.ศ. ๑๑๓๕ ค�ำว่า มลายู ในบันทึกของชาวจีน ตือองค็อก (ค.ศ. ๖๔๔ หรือ พ.ศ. ๑๑๗๘) ได้บันทึกเก่ียวกับ เหตุการณ์ช่วงหน่ึงว่ามีผู้ส�ำเร็จราชการจากรัฐมลายูได้ถวายผลผลิตของแผ่นดินแก่กษัตริย์ไคซัต ตือองค็อก รัฐมลายูดังกลา่ วเชือ่ ว่าต้ังอยู่ทจ่ี มั บี (Daerah Jambi) ทางตอนใต้ของเกาะสมุ าตราในปจั จบุ นั 156 หลักสตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต)้

อีกหลักฐานหน่ึงท่ีมีค�ำท่ีมีความคล้ายคลึงกันเป็นบันทึกท่ีบันทึกโดยอ้ีฉิง นักบวชในพุทธศาสนา ช่ืออี้ฉิง ซึ่งได้เคยหยุดพัก ณ นครรัฐศรีวิชัย ก่อนเดินทางต่อไปยังเบงกอล (อินเดีย) เพื่อศึกษาพุทธศาสนา ท่ีมหาวิทยาลัยลันดา (ค.ศ. ๖๗๕ - ๖๘๕ หรือ พ.ศ. ๑๑๑๘ - ๑๑๒๘) ในบันทึกค�ำว่า มลายู ปรากฏอยู่โด มีความตอนหน่ึงว่า “ในขณะที่อ้ีฉิงเย่ียมเยียนสุมาตรา เขาได้พบกับสองรัฐใหญ่นั่นคือ มลายูท่ีเป็นเมืองท่า ณ แมน่ ้�ำ บาตัง และ (มลายู) ศรวี ชิ ัยใกล้กับปาเล็มบัง”๑ ๑.๒ การผสมผสานทางชาตพิ นั ธแุ์ ละวฒั นธรรมของคนมลายู คนมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการผสมผสานกันทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมมานานนับพันปี เช่น ชาวมลายูกับชาวชมพูทวีป (อินเดีย ปากีสถาน บังกาลาเทศ) ชาวมลายูกับชาวอาหรับ (ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน เยเมน) ชาวมลายูกับชาวจีน เป็นต้น การผสมผสานทางชาติพันธุ์ท�ำให้คนมลายูในภูมิภาคน้ีกลายเป็น คนที่มีชาติพันธุ์ร่วมหรือผสมผสาน ไม่มีใครเป็นมลายูดั้งเดิม เว้นแต่มีคนมลายูด้ังเดิมท่ีได้รับการอนุรักษ์ ในเขตอ�ำเภอบนั นังสตา และอำ� เภอธารโต จังหวัดยะลา ซ่งึ รจู้ กั กนั ในนามชนเผา่ ซาไก ๒. พัฒนาการดา้ นการปกครองดินแดนของคนมลายใู นจงั หวัดชายแดนใต้ ๒.๑ อาณาจักรลังกาสุกะ ปาตานีดารุสลามกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย (ค.ศ. ๘๐ - ๑๕๐๐/พ.ศ. ๖๒๓ - ๒๐๔๓ (๑๔๒๐ ปี) ๑) ลังกาสกุ ะอาณาจกั รสมยั โบราณของจังหวดั ชายแดนภาคใต ้ อาณาจักรลังกาสุกะ หรือลังกาซูก ซ่ึงถือกันว่า เป็นอาณาจักรท่ีเก่าแก่ท่ีสุดบนแหลมมลายู ปอล วิตลีย์ กล่าวว่า ชาวจีนได้บันทึกรายละเอียดไว้ต้ังแต่ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ ว่าแคว้นลังกาสุกะตั้งอยู่ ระหว่างเมืองกลันตันกับเมืองสงขลา และเป็นท่ียอมรับของนักประวัติศาสตร์มากที่สุด แต่ศาสตราจารย์ ม.จ.สภุ ทั รดศิ ดศิ กลุ ทรงอา้ งวา่ จดหมายเหตขุ องจนี ราชวงศเ์ หลยี ง (พ.ศ. ๑๐๔๕ - ๑๐๙๙) กลา่ ววา่ อาณาจักรลงั กา สุกะ ได้ต้ังมาก่อนหน้านี้แล้วต้ัง ๔๐๐ ปี ซึ่ง หมายความว่าได้ตั้งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๗ และกล่าวด้วยว่า อาณาจักรน้ีมีอาณาเขตจรด ทั้งสองฝั่งทะเล คือ ด้านตะวันออกจดฝั่งอ่าวไทยบริเวณเมืองปัตตานี ด้านตะวันตก จดฝั่งอ่าวเบงกอลเหนือ เมืองไทรบุรี ในประเด็นหลังน้ัน ศาสตราจารย์ฮอลล์เห็นด้วย ซ�้ำยังกล่าวเพ่ิมเติมว่า เพราะอาณาจักรลังกาสุกะ มีอ�ำนาจปกครองครอบคลุมทั้งสองฝั่งทะเล จึงได้ท�ำหน้าท่ีควบคุมเส้นทางเดินข้าม แหลมมลายูมาแต่โบราณ แต่ศาสตราจารย์ปอล วีตลีย์ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องแหลมมลายูโดยเฉพาะ มีความเห็น แตกต่างออกไป โดยกล่าวว่าจะเชื่อถือ เร่ืองราวอันวิปริตจากต�ำนานไทรบุรี - ฮีกายัตมะโรงมหาวังศาไม่ได้ เพราะเปน็ เทพนยิ ายทแี่ ตง่ ขน้ึ เมอื่ ชาวอนิ เดยี ไดเ้ ขา้ มาถงึ ในพทุ ธศตวรรษที่ ๖ นเ้ี อง การทเี่ นอื้ ความของเทพนยิ ายนี้ ชวนให้คิดว่า อาณาจักรลังกาสุกะกับแคว้นไทรบุรีตั้งทับกันอยู่ และอาณาจักรลังกาสุกะมีอาณาเขต ครอบคลุม ทั้งสองฟากฝั่งทะเลน้ัน จึงเช่ือไม่ได้อาณาจักรลังกาสุกะตั้งอยู่บนฝั่งทะเลตะวันออกเท่าน้ัน นอกจากน้ัน ยงั อ้างหลกั ฐานของเลียงซวู า่ อาณาจักรลังกาสกุ ะได้ตงั้ ข้นึ เม่อื ปลายพุทธศตวรรษที่ ๗ ทง้ั ยังกล่าวด้วยวา่ ในขณะท่ี พระเจา้ ฟนั ชมิ นั แหง่ อาณาจกั รฟนู นั เขา้ ครอบครองนน้ั มอี าณาจกั รทไี่ มป่ รากฏชอ่ื อยา่ งเปน็ ทางการ อาณาจกั รลงั กาสกุ ะ และอาณาจักรอ่นื ๆ ในระหวา่ งพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๗ - ๒๐ ไดถ้ ูกกลบหายไปจากแผนท่แี หลมมลายู แตเ่ หลา่ ชาติพันธุ์ ท่ีมรี กรากอยู่ในอาณาจักรเหลา่ นั้นยงั คงด�ำรงอยู่ เวน้ แต่ชื่อบ้านเมอื งตา่ งๆ ได้เปล่ยี นไปตามสถานการณ์ ๑ อา้ งอิง หนงั สอื ปาตานี...ประวตั ศิ าสตร์ และการเมอื งในโลกมลายู หนา้ ๑๗ - ๒๕ เรียบเรยี งโดย อารฟี นิ บนิ จิ/อบั ดลุ ลอฮฺ ลออแมน/ซฮู ัยมยี ์ อิสมาแอล 157หลกั สตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต)้

มีการกล่าวถึงเมืองปัตตานีว่าเก่ียวกับอาณาจักรลังกาสุกะไว้ว่า ตามชายฝั่ง แม่น�้ำปัตตานี มีร่องรอยว่า เคยมชี มุ ชนโบราณตงั้ เรยี งรายกนั อยหู่ ลายแหง่ เฉพาะทเี่ ปน็ แหลง่ ใหญ่ และคน้ พบเศษโบราณวตั ถุ และซากโบราณ สถานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าสถานที่แห่งน้ีเคยเป็นที่ตั้งเมืองมาก่อน ซึ่งมีอยู่ ๒ แห่ง คือบริเวณบ้านท่าสาป ณ สนามบินเก่าเมืองยะลา วัดคูหาภิมุข (วัดหน้าถ้�ำ) และเขาก�ำปั่นในจังหวัดยะลา และบริเวณอ�ำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี อีกแห่งหนึ่ง หลักฐานท่ีพบในบริเวณอ�ำเภอยะรังจังหวัดปัตตานีเป็นหลักฐานท่ีแสดงให้เห็นว่า ที่น่ันเป็นท่ีต้ังของโบราณสถาน อยู่ ๒ แห่ง ตั้งอยู่ห่างกันประมาณ ๓ - ๔ กิโลเมตร คือ ท่ีบ้านประแว และทบ่ี า้ นวดั ทบ่ี า้ นประแวพบซากเมอื งโบราณขนาดเลก็ มกี ำ� แพงลอ้ มชนั้ เดยี ว ทำ� ใหส้ ามารถเขา้ ใจไดว้ า่ กอ่ นพทุ ธ ศตวรรษที่ ๑๘ สถานที่แห่งน้ีอาจจะเป็นศาสนสถาน เพราะสถานที่มีลักษณะเป็นเนินดิน ท่ีเคยเป็นที่ตั้ง ของอารามมาก่อน และมีการขุดพบเครื่องปั้นดินเผา ธรรมจักร และพระพุทธรูป ซึ่งมีลวดลายและรูปทรงแบบ ศิลปทวารวดีของภาคกลาง (พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๖) มากมาย และยังได้พบเทวรูปพระโพธิสัตว์สัมฤทธ์ิ แบบศิลปศรีวิชัย พบศิวลึงค์ของลัทธิฮินดูสมัยต่างๆ และใบเสมาสมัยอยุธยาบ้าง ซ่ึงนับได้ว่าเป็นพุทธสถาน ขนาดใหญ่แห่งหน่งึ ของภาคใต้ บรเิ วณท่อี ยอู่ าศัยของประชาชนส่วนใหญต่ ง้ั อยู่ในบริเวณ บ้านวัด และน่าจะเป็นบ้านเมืองมาตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ - ๑๒ ชื่อ “บ้านวัด” นั้นเดิมที คงจะเป็นวัดพุทธศาสนามาก่อน เพราะพบเนินดินสูงๆ อย่ทู ั่วบริเวณสวนของชาวบา้ น ร่อยรอยทางประวัตศิ าสตรท์ ี่มีการค้นพบในพนื้ ท่ี 158 หลักสูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถน่ิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

การคน้ พบหลกั ฐานทางโบราณคดดี งั กลา่ วนี้ ทำ� ใหน้ กั โบราณคดแี ละนกั ประวตั ศิ าสตรจ์ ากองั กฤษ มาเลเซยี และสหรัฐ ที่เดินทางเข้ามาส�ำรวจต่างก็ให้ ความเห็นในทางเดียวกันว่า “ประแว” คือเมืองลังกาสุกะที่ปรากฏ ในจดหมายเหตจุ นี ในพทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ จากนนั้ กม็ ปี รากฏในพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ อกี ครง้ั หนง่ึ แลว้ เงยี บหาย ไปในพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ คุณอนันต์เป็นอีกคนหน่ึง ท่ีมีโอกาสไปส�ำรวจต�ำบลต่างๆ ที่ห่างไกลออกไปจากบริเวณ ดงั กล่าวมาก่อน ให้ความเห็นวา่ เมอื งประแวน้เี ปน็ เมืองปตั ตานเี ก่าทีย่ า้ ยมาเปน็ แหง่ ที่ ๓ นบั จากบรเิ วณสนามบิน วัดคูหาภมิ ขุ ไปอยู่ที่อำ� เภอรือเสาะ แล้วจึงย้ายเมอื ง (ศูนยก์ ารปกครอง) มาท่ี “ประแว” ตามลำ� ดับ สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้บันทึก เรื่องราวความเป็นมาของปัตตานีไว้ว่า ในท้องท่ีปัตตานีปัจจุบัน มีผู้คนย้ายเข้ามาอาศัยตั้งถิ่นฐานมานานแล้ว จากการสำ�รวจได้พบ รอ่ งรอยของชมุ ชนโบราณในปตั ตานที ่ี อำ�เภอยะรงั ซง่ึ เปน็ ทรี่ จู้ กั กนั โดยทั่วไปในภาษาท้องถิ่นว่า “เมืองประแว” ซ่ึงเชื่อกันว่าเพ้ียนมา จากคำ�ว่า “พระวัง” หรือ “พระราชวัง” หรือตรงกับภาษามลายู โบราณว่า “โกตามะลิฆา” หรือ “โกตา ม้ะฮ์ลิฆา” และมีปรากฏ ในเอกสารของชาวต่างชาติโดยเฉพาะเอกสารชาวจีน อาหรับ และชวา วา่ “ลงั กาสกุ ะ” เปน็ เมอื งทม่ี คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื ง อยรู่ ะหวา่ ง พทุ ธศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๘ ตามขอ้ สนั นษิ ฐานของประทมุ ชมุ่ เพง็ พนั ธ์ เช่ือว่า “ลังกาสุกะ” มีอาณาเขตกว้างขวาง มีอำ�นาจปกครอง เทยี บไดก้ บั อาณาจกั รขนาดยอ่ มแหง่ หนงึ่ ทเี ดยี ว เพราะจากหลกั ฐาน แหลง่ โบราณคดที ่รี ัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซยี ทางโบราณคดที คี่ น้ พบ ยนื ยนั ในขอ้ นไ้ี ดเ้ ปน็ อยา่ งดี แตไ่ มม่ หี ลกั ฐาน แน่ชัดว่าขณะท่ีเมืองลังกาสุกะเจริญสูงสุด มีอาณาเขตปกครอง จากไหนถึงไหน ทราบแต่เพียงว่าภายหลังท่ีอาณาจักรแห่งนี้เส่ือมอำ�นาจเนื่องจากถูกอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) ผนวกไว้เป็นดินแดนเดียวกัน ถ้าพิจารณาจากจดหมายเหตุอาหรับและจีน ทำ�ให้ทราบว่า เมืองลังกาสุกะเป็นเมืองใหญ่ อาณาเขตด้านทิศเหนือติดต่อเมืองสงขลา และเมืองพัทลุง อาณาเขตด้านทิศใต้ แผ่ไปสุดแหลมมลายู ทางด้านตะวันออกจดอ่าวไทย ทางด้านตะวันตกจดฝ่ังทะเลตะวันตกในทะเลอันดามัน เมอื งไทรบรุ โี บราณจึงรวมอยใู่ น อาณาจักรลงั กาสกุ ะด้วย ต�ำนานพื้นเมืองของปตั ตานี กลา่ วว่าผสู้ ร้างเมืองพระวงั หรือ โกตา มะ้ ฮ์ลิฆา คือ เสยี ม อสั ลี ตามร่องรอย ท่ีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เมืองนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ โบราณสถานเป้นซากปรักหักพังแล้วท้ังหมด เหลือแต่เฉพาะกองอิฐ เชื่อกันว่า เคยเป็นเจดีย์ อุโบสถ วิหาร และเทวาลัย ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดประมาณ ๑๖ แห่ง อีกท้ังยังมีร่องรอยสระน้�ำขนาดใหญ่อีก ๓ แห่ง ศิลปวัตถุของเมืองนี้จึงกระจัดกระจายอยู่ในท่ีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลาสมัยทวารวดี พระโพธิสัตว์สัมฤทธิ์ ศิวลึงค์ เสมาธรรมจักร เครื่องถ้วยชามจีน เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา เงนิ เหรยี ญชวา และเงนิ เหรยี ญอาหรบั เปน็ ตน้ จากหลกั ฐานเหลา่ น้ี แสดงใหเ้ หน็ วา่ เมอื งลงั กาสกุ ะ เป็นเมืองที่ประชาชนนับถือพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน และศาสนาฮินดู ส่วนชาวเมืองน้ันไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็น ชนชาติใด ตามความเห็นของผู้บันทึกประวัติศาสตร์ปัตตานีคนหน่ึง คือ อิบรอฮิม ชุกรี เชื่อว่าดินแดน ปัตตานี เป็นทอ่ี ยู่ของชาวสยามมาก่อน ศาสนาอสิ ลามเขา้ มา ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ในรัชสมัย พระเจา้ ศรวี งั สา กษัตริย์ท่ีนับถือศาสนาพุทธองค์สุดท้ายของอาณาจักรลังกาสุกะ ในช่วงน้ีมีชาวมลายูเดินทางมาจาก 159หลักสตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถนิ่ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)

ปลายแหลมมลายูและสุมาตรา มาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่บริเวณริมฝั่งทะเลของเมืองพระวัง จนในที่สุดชุมชน ของชาวมลายูค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะสามารถติดต่อกับพ่อค้าต่างชาติได้สะดวกกว่าเมืองพระวังท่ีอยู่ห่างทะเล เข้าไปหลายสิบกิโลเมตร เมืองพระวังค่อยๆ เสื่อมโทรมลงไป เพราะชาวเมืองได้อพยพไปอยู่ท่ีอ่ืน ชุมชน ของชาวมลายูได้พัฒนากลายเป็น “เมืองปัตตานี” ปัจจุบัน ต่อมาได้กลายมาเป็นศูนย์กลางปกครองท้องถ่ิน แทนเมืองพระวังท่ีค่อย ๆ เสื่อมสลายไปโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าส่วนหน่ึงอาจจะด้วยเหตุ ท่ีอยู่ห่างไกลจากชายฝั่งทะเลยากแก่การท�ำมาค้าขาย ส่วนเมืองปัตตานีอยู่ใกล้ทะเลและเป็นศูนย์กลาง ของศาสนาอิสลามได้รุ่งเรืองขึ้นตามล�ำดับ พลโทกติ ติ รตั นฉายา กลา่ วถงึ ประวตั คิ วามเปน็ มาของจงั หวดั ปตั ตานวี า่ ตามหลกั ฐาน ทางประวตั ศิ าสตรน์ น้ั ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าได้ตั้งข้ึนเมื่อไร แต่ตามจดหมายเหตุของจีน ตอนท่ีชาวจีนมีการติดต่อกับดินแดน ในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ ในครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๒ นั้น เมืองลงั กาสกุ ะตง้ั ข้นึ แล้ว จากจดหมายเหตุดังกลา่ วนักศกึ ษา ชาวยุโรปหลายคนเชื่อว่า เมืองลังกาสุกะ ดังกล่าวเป็นเมืองเดิมของปัตตานี นักประวัติศาสตร์หลายคนเช่ือว่า ชาวลังกาสุกะนับถือ ศาสนาฮินดู หรือพราหมณ์ ภายใต้อิทธิพลของอารยธรรมอินเดีย หลักฐานจากโบราณวัตถุ สถานที่บริเวณเมืองโบราณ อ�ำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พบพระพุทธรูปสมัยคุปตะ เจดีย์ ดินเผามีลวดลาย แบบคุปตะ (หรือทวาราวดี) แสดงว่าชาวลังกาสุกะนับถือศาสนาฮินดูและพุทธ (ศิวพุทธ) ด้วยและลังกาสุกะ เป็นเมืองท่าท่ีส�ำคัญตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๘ เพราะว่าอ่าวลังกาสุกะ (อ่าวปัตตานี) ใช้เป็นท่ีหลบภัยมรสุม ของพอ่ ค้าท่ีเดินทางมาทางเรือได้เป็นอย่างดี ต่อมาอาณาจกั รศรีวิชัย (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๘) ได้แผอ่ าณาจกั ร ครอบคลุมบริเวณปัตตานี แหลมมลายู บางส่วนของ บอร์เนียว ชวา และสุมาตรา อิทธิพลของพุทธศาสนา ไดเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งมากในบรเิ วณนี้ ดงั นน้ั ชาวปตั ตานจี งึ มกี ารนบั ถอื ศาสนาพทุ ธกนั โดยทวั่ ไป ศาสนาอสิ ลามเขา้ สปู่ ตั ตานี โดยเมืองมะละกา สมัยมูซัฟฟาร์ ราว พ.ศ. ๒๐๐๒ ประวัติเมืองปัตตานีฉบับภาษามลายู (อักษรยาวี) ระบุว่ากษัตริย์เมืองตานีช่ือศรีอินทราเป็นผู้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามองค์แรก สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ เมือง มะละกา ปตั ตานหี รือเมืองตานตี ้ังขึน้ หลงั จากเมอื งลงั กาสุกะสลายตวั ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ - ๑๙ จากบันทึกของท่าน ฟากิฮฺ อาลี ว่าราชธานีลังกาสุกะน้ันตั้งขึ้นก่อนคริสตกาล แต่จากจดหมายเหตุ ของจนี ทเ่ี ขยี นในระหวา่ ง ค.ศ. ๕๐๒ - ๕๕๖ / พ.ศ. ๑๐๔๕ - ๑๐๙๙ วา่ ราชอาณาจกั รลงั กาสกุ ะตงั้ มาแลว้ มากกวา่ ๔๐๐ ปี หมายความว่าอาณาจักรดงั กลา่ วตงั้ ขน้ึ ในราว ค.ศ. ๑๐๒ - ๑๕๖ / พ.ศ. ๖๔๕ - ๖๙๙ หรือกอ่ นหนา้ นนั้ นอกจากน้ัน จดหมายเหตุของจีนหลายฉบับที่กล่าวถึงราชอาณาจักลังกาสุกะ เช่นจดหมายเหตุท่ีว่า “เรือของ ราชทูตสมัยราชวงศ์ซุย (Sui) ท่ีเเล่นไปยังชีทู (น่าจะเป็นเมืองไชยา – ผู้เขียน) ได้เเล่นจากเกาะแห่งหนึ่งใกล้ ชายแดนอาณาจักร จามปา ในแหลมอินโดจีนพวกเขาแล่นไปทางใต้ ตามเกาะแก่งต่างๆ จนถึงเกาะสมุย หลังจากนนั้ ก็ได้แล่นต่อไปอกี ประมาณ ๒ - ๓ วัน พวกเขาก็เห็นภเู ขาของราชอาณาจกั รลงั กาสกุ ะ ซงึ่ ปรากฏ อยู่ทางทิศตะวนั ตก” มจ.จริ ายุ รชั นี ไดใ้ หค้ วามเหน็ วา่ “เทอื กเขาดงั กลา่ ววา่ เปน็ เทอื กเขาสามรอ้ ยยอดในจงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ซ่ึงแสดงว่า อาณาเขตตอนบนของลังกาสุกะในสมัยน้ัน รวมถึงพ้ืนท่ีคอคอดกระ (Segeting Kra) ขึ้นไปด้วย สอดคล้องกับรายงานของเคดี้ (Cady, ๑๙๖๔ : ๕๖ - ๕๗) ที่ระบุว่า ต้ังแต่พุทธศตวรรษ ที่ ๑๑ เป็นต้นมา อาณาจักรลังกาสกุ ะมีอำ� นาจปกครองเหนือคอคอดกระตลอดไปจนถงึ ชายฝ่ังเบงกอล (อินเดยี ) 160 หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

ในจดหมายเหตขุ องจนี อกี ฉบบั หนง่ึ คอื หนงั สอื จฟู านจอ้ื ระบวุ า่ “แลน่ เรอื จากตานหมา่ ลงิ (หรอื Tambraling หรอื ตามพรลิงค)์ ไปยังหลงิ ยาซอื กวั (อาณาจกั รลังกาสกุ ะ) ใช้เวลาเดนิ ทางภายใน ๖ วนั ๖ คนื ทางบกกม็ ”ี (หวาง เหวย หมิน ๒๕๓๕ : ๘๗) ในเอกสาร Hsu Kao Seng Chuan ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนา ในประเทศจีน ในช่วงคริสต์ศักราชท่ี ๘ พระภิกษุจูนาโลโตต้องการเดินทางไปยังอาณาจักร Lang Chieh Hsiu ภิกษุทั้งสามท่านคือ อี้หลัง ฉีหงาน และอ้ีฉวน แล่นเรือจากจีนผ่านฟูนันมาถึงทะเลของ Lang Chia Shu (หมายถึง ลังกาสุกะ) และได้ทอดสมออยู่ท่ีนั่นพวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพระราชา ได้รับความเอ้ือเฟื้อ จัดที่พ�ำนักอย่างเหมาะสม เรื่องราวเกี่ยวกับพระภิกษุของจีน และพุทธศาสนาท่ีลังกาสุกะ มีมาอย่างต่อเน่ือง การเดินทางจากจีนไปอินเดียมักจะแวะพักท่ีลังกาสุกะ ภิกษุบางรูปมาพ�ำนักอยู่จนกระท่ังมรณภาพที่ลังกาสุกะ เช่น ภกิ ษุ อ้ี หัว ในขณะที่ภิกษรุ ปู อ่นื ๆ บางสว่ นได้เดนิ ทางตอ่ ไปยงั อนิ เดีย (ครองชัย หตั ถา : ๒๕๔๘) เหลยี ง ชู นกั ประวตั ิศาสตรจ์ ีนได้เขียนเกยี่ วกบั ลงั กาสกุ ะค่อนขา้ งละเอยี ดไวว้ ่า “ราชอาณาจักรหลงั ยาสิว (ลังกาสุกะ) ต้ังอยู่ทางทะเลใต้ มีอาณาบริเวณจากพรมแดนทิศตะวันออกถึงพรมแดนทิศตะวันตก ใช้เวลาเดินเท้า ๓๐ วัน และจากพรมแดนทิศใต้ถึงพรมแดนทิศเหนือ (ใช้เวลาเดินเท้า) ๒๐ วัน อยู่ห่างจากกวางเจา (กวางตุ้ง) ๒๔,๐๐๐ ล้ี ภมู ปิ ระเทศและผลผลติ คล้าย ๆ กบั อาณาจักรฟูนัน ท่ีมีไม้จันทน์ การบูร อยา่ งอดุ มสมบูรณ๒์ ปาตานีเป็นอาณาจักรที่มีความต่อเน่ืองมาจากอาณาจักรลังกาสุกะ ต้ังแต่ก่อนคริสตศักราช จนถึงคริสต์ ศตวรรษที่ ๑๔ ศึกษาจากต�ำนานปาตานี โกตามหลิฆัย คือต�ำหนักและศูนย์กลางการปกครองของ ลังกาสุกะ โดยมี พญาตู กรุป มหายานา เป็นกษัตริย์นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน เป็นผู้ปกครองนครรัฐแห่งน้ีราวก่อน ค.ศ. ๑๔๐๐ / พ.ศ. ๑๙๔๓ (หน้า ๖๗) ๒ หน้า ๔๐ - ๔๑ 161หลกั สูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ ้องถนิ่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

ในระหวา่ งท่ี พญาตู นกั ปา ครองราชยอ์ ยทู่ โี่ กตามหลฆิ ยั นนั้ บรเิ วณชายทะเลปากแมน่ ำ้� ปาตานี ซงึ่ หา่ งจาก โกตามหลฆิ ยั ประมาณ ๑๒ กโิ ลเมตร มชี มุ ชนเลก็ ๆ ทเี่ รยี กหมบู่ า้ นปาตานี มเี รอื สนิ คา้ เขา้ มาจอดแวะตดิ ตอ่ คา้ ขาย จ�ำนวนมาก ในขณะเดียวกันแม่น�้ำปาตานีซ่ึงเดิมมีความกว้างและลึกพอท่ีเรือสินค้าสามารถขนถ่ายสินค้า ข้ึนล่องค้าขายกับชาวเมืองโกตามหลิฆัยและเมืองใกล้เคียงอื่น ๆ ได้โดยสะดวก แต่ต่อมาแม่น�้ำสายต่างๆ ที่ติดต่อกับเมืองภายในเกิดตื้นเขิน เรือสินค้าไม่สามารถจะขนถ่ายสินค้าข้ึนล่องแม่น้�ำ ปาตานี สินค้าที่น�ำเข้า และส่งออก จึงถูกน�ำมาข้ึนลงที่ท่าเรือบริเวณปากน้�ำและชายฝั่ง เช่น ที่กัวลาบือเกาะฮ์ (Kulala Bedah) และบังกาลันบือซา (Pangkalan Besar) ชาวเมืองท่ีเคยค้าขายอยู่ท่ีโกตามหลิฆัย และที่อ่ืน ๆ ก็จะเดินทางไปมา คา้ ขายยงั บรเิ วณปากนำ้� มากขนึ้ ทำ� ใหบ้ รเิ วณปากนำ้� มผี คู้ นมาอยอู่ าศยั มากมายจนกลายเปน็ ชมุ ชนใหญท่ ห่ี นาแนน่ ขนึ้ ทุกวัน ในขณะเดียวกันเมืองโกตามหลิฆัย ผู้คนลดน้อยลงจนเงียบเหงา จึงเป็นเหตุผลที่ท�ำให้พญาตูนักปา จ�ำต้องยา้ ยเมอื งหลวงจากโกตามหลฆิ ยั ไปยงั ชายฝ่ังทะเลบ้านกรอื เซะ ดงั ตำ� นานท่ีปรากฏ การยา้ ยเมอื งในครั้งนี้อาจเปน็ เพราะพระองค์ทรงเหน็ ว่าบรเิ วณดงั กลา่ ว มภี มู ิประเทศท่ีสวยงามเหมาะแก่ การสรา้ งตำ� หนกั และเมอื งหลวง จึงได้มีด�ำรัสสงั่ ให้อำ� มาตย์ มนตรี ก่อสรา้ งวังหลวงข้ึนใหม่ ณ บรเิ วณทกี่ ระจงขาว หายตัวไป (ตามต�ำนาน) การสร้างเมืองใหม่ในครั้งน้ีได้ใช้เวลานานประมาณ ๒ เดือนจึงแล้วเสร็จ พญาตูนักปา ได้ย้ายต�ำหนักและเมืองหลวงจากโกตามหลิฆัย มายังสถานท่ีแห่งใหม่ และได้ตั้งช่ือเมืองตามชื่อชายผู้เฒ่าว่า “เปาะตานี” (Pak Tani)” และบางคนกล่าวว่าเป็นช่ือของหาดทรายท่ีกระจงหายไป ชาวพื้นเมืองพูดว่า “ปาตานิง (Pantai ini)” เป็นชอ่ื เมืองใหมว่ ่า “ปาตาน”ี พญาตูนักปามีพระโอรสและพระธิดา จ�ำนวน ๓ พระองค์ คือ องค์แรกนามว่า “กรุปพิชัยภายหน้า” องคท์ สี่ องเปน็ พระธดิ ามพี ระนามวา่ “เตงิ กมู หาชยั ” และองคท์ ส่ี ามเปน็ พระโอรสมพี ระนามวา่ “มหาชยั ภายหลงั ” หลังจากการย้ายเมอื งหลวงมายงั สถานท่แี ห่งใหม่ คำ� วา่ “ลังกาสุกะ” ได้หายไปโดยไม่มีการกล่าวถึงอกี เลย ล�ำดับพัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กอ่ นการเปลย่ี นแปลงเปน็ จงั หวดั เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๗๖ แผน่ ดนิ แหง่ นเ้ี ปลย่ี นผา่ นอารยธรรมมาหลายยคุ หลายสมยั ดงั นี้ ๑.๑ สมัยก่อนประวัติศาสตร์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีหลักฐานการอยู่อาศัยของชนพ้ืนเมือง มาตง้ั แต่ ๓๐๐๐ ปที ผี่ า่ นมา เรยี กโดยรวมวา่ พวกโอรงั อสั ลี (Orang Asli) ซง่ึ ไดแ้ ก่ กลมุ่ นกิ รโิ ต (Nigrito) เชน่ ซาไก และเซมัง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มซีนอย (Senoi) เผ่ามองโกลอยด์ใต้ ได้แก่ บรรพบุรุษของชาวสยามและชาวมลายู อยู่อาศัยมานานนบั พันปีเช่นกนั หลักฐานทสี่ �ำคัญทพี่ อจะพบได้ในสมยั น้ีไดแ้ ก่ ภาพเขียนสีสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ ท่ถี ้�ำศิลป์ จังหวดั ยะลา เครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ขวานหนิ ซ่งึ พบหลายแหง่ ตามถ�้ำและที่ราบทั่วไป ๑.๒ สมยั เรมิ่ ประวตั ศิ าสตร์ ประมาณ ๒๐๐๐ ปที ผ่ี า่ นมา ถงึ ราว พ.ศ. ๗๐๐ มชี าวอนิ เดยี และชาวอาหรบั บางกลุ่มเดินทางมายังแถบนี้ พร้อมกับน�ำศาสนาฮินดูและวัฒนธรรมมาเผยแผ่ให้แก่ชาวพ้ืนเมือง ในระยะนี้ ชนพน้ื เมอื งเรมิ่ ทำ� มาคา้ ขายกบั ชาวตา่ งชาตมิ ากยงิ่ ขน้ึ เรมิ่ มกี ารกอ่ ตงั้ บา้ นเรอื นเปน็ กลมุ่ มากขนึ้ โดยเฉพาะบรเิ วณ ปากแม่น�้ำและบริเวณท่ีมีการติดต่อค้าขายสะดวก จนกลายเป็นศูนย์กลางของการพบกันของพ่อค้าวานิช และนกั เดินเรอื ท�ำใหช้ มุ ชนบางแหง่ ขยายตวั เปน็ เมืองใหญใ่ นเวลาตอ่ มา ๑.๓ สมยั อาณาจกั รโบราณลงั ยาซหู รอื ลงั กาสกุ ะ ราว พ.ศ. ๗๐๐ – ๑๔๐๐ ปรากฏใน บนั ทกึ การเดนิ ทาง ของชาวจนี ว่า มรี ฐั ต่างๆ เกดิ ข้ึนหลายแห่งบนคาบสมุทรมลายู โดยอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจของอาณาจักรฟูนนั (Funan) ซงึ่ มีรฐั ลังยาซู (Lang Ya Shiu) รวมอย่ดู ้วย ราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ลังยาซเู ปน็ อิสระ มีหลักฐานการส่งทตู ไป 162 หลักสูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

เยือนจีนเม่ือ พ.ศ. ๑๐๕๘, ๑๐๖๖, ๑๐๗๔ และ ๑๑๑๑ ระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๔ ถือเป็นยุครุ่งเรือง ของลงั ยาซหู รอื ลงั กาสกุ ะ แหลง่ โบราณสถานแถบทา่ สาป อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ยะลาและอำ� เภอยะรงั จงั หวดั ปตั ตานี ท่ียังคงปรากฏร่องรอยอยู่เป็นจ�ำนวนมาก ได้สร้างข้ึนในระยะน้ีตามคตินิยมและอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ ๑.๔ สมัยลังกาสกุ ะภายใต้การปกครองของศรวี ชิ ยั ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ - ๑๕ ลังกาสกุ ะตกอยภู่ ายใต้ อำ� นาจของอาณาจกั รศรวี ชิ ยั ซงึ่ มกี ำ� ลงั กองทพั เรอื เปน็ จำ� นวนมาก ในชว่ งเวลาเดยี วกนั นนั้ พทุ ธศาสนาฝา่ ยมหายาน ไดร้ บั ความนยิ มมาก ชาวลงั กาสกุ ะยอมรบั นบั ถอื ศาสนาพทุ ธแบบมหายานอยา่ งแพรห่ ลาย ศาสนาสถานหลายแหง่ และศิลปวัตถุในพุทธศาสนาสร้างขึ้นในยุคน้ี รวมทั้งพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ ในถ�้ำคูหาภิมุข อ�ำเภอเมือง จงั หวดั ยะลา และพระพุทธรปู ปางตา่ งๆ จำ� นวนมากที่กระจัดกระจายในที่ตา่ งๆ ในภูมภิ าคเอเชียอาคเนย์ วดั คูหาภมิ ขุ อำ� เภอเมือง จงั หวัดยะลา ๑.๕ สมัยลังกาสุกะภายใต้อ�ำนาจของโจฬะ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๕๓๕ เป็นต้นมา กองทัพโจฬะแห่งอินเดีย เข้าโจมตีเมืองต่างๆ ของอาณาจักรศรีวิชัย เพ่ือควบคุมเส้นทางการค้าในช่องแคบมะละกาและเมืองท่าหลายแห่ง รวมทั้งลังกาสุกะก็ตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจการปกครองของโจฬะในปี พ.ศ. ๑๕๖๗ แต่หลังจากน้ันในปี พ.ศ. ๑๕๘๗ ชาวเมืองลังกาสุกะก็สามารถยึดอ�ำนาจคืนมาได้ แม้ว่าการปกครองของศรีวิชัยจะกลับมามีอ�ำนาจได้ในระยะหน่ึง ในปี พ.ศ. ๑๘๓๖ ก็พ่ายแพ้ต่ออาณาจักรมัชปาหิตซึ่งเป็นอาณาจักรท่ีเกิดข้ึนใหม่ ช่วงเวลาน้ีศาสนาอิสลาม แผเ่ ขา้ มามากข้นึ โดยพ่อค้าและนักเผยแผ่ศาสนาชาวอาหรับและชาติตา่ งๆ ท่เี ขา้ มาในรปู ของการคา้ ๑.๖ สมัยลังกาสุกะภายใต้การปกครองของสุโขทัย – อยุธยาและมัชปาหิต ในปี พ.ศ. ๑๘๓๘ กองทพั สโุ ขทยั เคลอ่ื นทพั ลงมาถงึ เมอื งนครศรธี รรมราชในรชั สมยั พอ่ ขนุ รามคำ� แหงรว่ มกบั กองทพั เรอื นครศรธี รรมราช ลงไปท�ำสงครามเพื่อปกป้องเมืองต่างๆ บริเวณปลายแหลมมลายูไปจนถึงเตมาสิก (สิงคโปร์ในปัจจุบัน) ไปจนถงึ เมอื งปาโซ บนเกาะสมุ าตรา ตำ� นานนครศรธี รรมราชบนั ทกึ ไวว้ า่ “ไทยไดส้ ง่ เจา้ เมอื งไปปกครองหวั เมอื งมลายู ไดแ้ ก่ เมอื งตานี (ลงั กาสกุ ะ) เมอื งสาย (สายบรุ )ี เมอื งกลนั ตนั เมอื งปาหงั เมอื งไทร (ไทรบรุ )ี เมอื งอะเจ (อาเจะห)์ ฯลฯ 163หลกั สูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิ่นจังหวดั ชายแดนภาคใต้)

แต่ครองอ�ำนาจได้ไม่นาน อาณาจักรมัชปาหิตก็ขยายอ�ำนาจมาปกครองหัวเมืองดังกล่าว โดยลังกาสุกะ ซ่งึ ตอ้ งตกอยภู่ ายใต้อิทธิพลของมัชปาหติ ในปี พ.ศ. ๑๘๘๔ - ๑๙๐๗ ขณะเดียวกันศาสนาอสิ ลามกแ็ พร่ขยาย เข้ามามากขน้ึ ในหมปู่ ระชาชน หัวเมืองมลายู โดยเฉพาะแถบเมืองปาไซและมะละกา” ๒) อณาจกั รปาตานดี ารสุ ลาม ค.ศ. ๑๕๐๐ - ๑๗๘๖ หรือ พ.ศ. ๒๐๔๓ - ๒๓๒๙ (๒๘๗ ป)ี เมื่ออาณาจักรลังกาสุกะล่มสลายและก�ำเนิดเมืองปาตานีในช่วงต้นสมัยอยุธยา มะละกามีอ�ำนาจ มากขึ้น ต่อมาได้ปฏิเสธอ�ำนาจมัชปาหิตและสยาม ท�ำให้สยามต้องยกทัพไปปราบปรามมะละกา แต่ไม่สามารถ เอาชนะได้ ในปี ค.ศ. ๑๙๙๘ กองทัพมะละกาได้บุกเข้าโจมตีเมืองโกตามหลิฆัยของลังกาสุกะ และขยายอ�ำนาจ เข้าปกครองเมืองต่างๆ แถบปลายแหลมมลายูท�ำให้ชาวเมืองหันมานับถือศาสนาอิสลามตามแบบอย่าง ของมะละกามากขึน้ เรอ่ื ยๆ สำ� หรบั ปตั ตานีน้ันพระยาอินทิราโอรสของราชาศรีวังสาแหง่ โกตามหลฆิ ยั ไดส้ รา้ งเมอื ง “ปาตาน”ี ข้นึ ใหม่ท่ีรมิ ทะเลบ้านกรือเซะบานา ตอ่ มาราว พ.ศ. ๒๐๐๐ ทรงเขา้ รบั นบั ถอื ศาสนาอสิ ลามและเปลยี่ นพระนามเปน็ สลุ ตา่ น อสิ มาอลี ชาห์ ปกครองเมืองปัตตานี ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๔๓ - ๒๐๗๓ นับจากนั้นเมืองปัตตานีเข้าสู่ยุคอิสลามโดยสมบูรณ์ และมีความรุ่งเรืองทั้งในด้านการผลิตนักเผยแผ่อิสลามและเป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสนาอิสลาม จนได้รับ การยกยอ่ งวา่ “ปาตานเี ปน็ กระจกเงาและเปน็ ระเบยี งแหง่ เมกกะ” ปตั ตานมี สี ลุ ตา่ นหรอื ราชาเปน็ เจา้ เมอื งปกครอง ต่อเนื่องมาถึง ๒๓ พระองค์ จนถึงปี พ.ศ. ๒๓๕๑ จึงมีการจัดระบบการปกครองเป็น ๗ หัวเมือง มีสุลต่าน และราชาปาตานี ดังนี้ สสุ ตา่ นและราชาปาตานีทงั้ หมดมี ดงั น้ี ๑. ราชาในราชวงศ์ศรีวงั ศา มดี ังน้ี สลุ ตา่ น อสิ มาอลี ชาห์ พ.ศ. ๒๐๔๓ - ๒๐๗๓ สุลตา่ นมฏุ ็อฟฟาร์ ชาห์ พ.ศ. ๒๐๗๓ - ๒๑๐๗ สลุ ตา่ นราชามนั ศูร ชาห์ พ.ศ. ๒๑๐๗ - ๒๑๑๕ สลุ ตา่ นปาเตะ๊ สยาม พ.ศ. ๒๑๑๕ - ๒๑๑๖ สุลตา่ นบาฮาดรู ชาห์ พ.ศ. ๒๑๑๖ - ๒๑๒๗ ราชินีฮิเญา พ.ศ. ๒๑๒๗ - ๒๑๕๙ ราชินบี ีร ู พ.ศ. ๒๑๕๙ - ๒๑๖๖ ราชนิ อี ูง ู พ.ศ. ๒๑๖๖ - ๒๑๗๘ ราชนิ ีกูนิง พ.ศ. ๒๑๗๙ - ๒๒๒๙ ๒. ราชาในราชวงศ์กลันตนั และเคดะห์ ราชาบากาล พ.ศ. ๒๒๓๑ - ๒๒๓๓ ราชานมี สั กลนั ตนั พ.ศ. ๒๒๓๓ - ๒๒๕๐ ราชนิ ีมัส ชายมั พ.ศ. ๒๒๕๐ - ๒๒๕๓ ราชนิ ีเดว ี พ.ศ. ๒๒๕๓ - ๒๒๖๒ 164 หลกั สตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถ่ินจงั หวัดชายแดนภาคใต้)

๓. ราชาท่เี ปน็ ชาวปาตานี ราชาบอื แนบาแด พ.ศ. ๒๒๖๒ - ๒๒๖๖ ราชาลักษมานาดายงั พ.ศ. ๒๒๖๖ - ๒๒๖๗ ๔. ราชาจากราชวงศ์กลนั ตันคนื สู่ปาตานี ราชนิ ีมัส ชายมั พ.ศ. ๒๒๖๗ - ๒๒๖๙ ราชาหลวงยนู สุ พ.ศ. ๒๒๖๙ - ๒๒๗๒ ๔. ราชาจากขนุ นางปาตานี สลุ ต่านมฮู ัมหมัด พ.ศ. ๒๒๗๒ - ๒๓๒๙ เติงกลู ามีเด็น พ.ศ. ๒๓๓๐ - ๒๓๓๔ (สยามแต่งตงั้ ) ดาโตะ๊ ปงั กาลนั พ.ศ. ๒๓๓๔ - ๒๓๕๓๓ ๓) ปาตานภี ายใตก้ ารปกครองของสยาม (พ.ศ. ๒๓๑๑ - ๒๔๕๒) เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๒๙ กองทพั สยามนำ� โดยกรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สหี นาทพระยากลาโหม พระยาราชวังสัน (แม้น) พระยาพัทลุง (พัทลุงเป็นส่วนหนึ่งของสงขลาในขณะน้ัน) ตั้งทัพรอค�ำตอบจากปาตานี เมื่อสุลต่านมูฮัมหมัดปฏิเสธเรื่องการส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองให้กับสยาม จึงจัดเตรียมรี้พลเข้าโจมตีปาตานีทันที ซึ่งขณะนั้นอยู่ในภาวะท่ีอ่อนแอ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร กองทัพเรือสยามก็เริ่มทางเข้าปิดล้อม อ่าวเมืองปาตานี ส่วนทางบกก็ส่งกองทัพเข้าไปปิดล้อมเช่นเดียวกัน การป้องกันข้าศึกทางด้านทิศตะวันออกหรือ เมืองยามู (ยะหริ่ง) น้ันค่อนข้างหละหลวมและไม่อาจจะต้านทานกองทัพสยามได้ เม่ือการโจมตีเป็นอย่างรุนแรง ท�ำให้กองทัพสยามสามารถบุกทะลวงเขา้ ยึดเมอื งไดอ้ ยา่ งสะดวก ผลของสงครามท�ำให้พระราชวังนีลัม มัสยิดปินตูกืรบัง (มัสยิดกรือเซะ) ถูกเผาท�ำลายย่อยยับ บ้านเรือนของราษฎรเสียหายเป็นจ�ำนวนมาก ปืนใหญ่ ๒ กระบอกท่ีมีชื่อว่า ปืนศรีนือกือรีและปืนศรีปาตานี ถกู ยดึ ลงแพใหญเ่ พอ่ื นำ� ไปกรงุ เทพมหานครฯ แตป่ นื ศรนี อื กอื รี ตกลงทะเลเสยี กอ่ น นอกจากนน้ั ยงั ควบคมุ ลกู หลาน สุลต่าน ขุนนางผู้ใหญ่และประชาชน จ�ำนวนประมาณ ๔,๐๐๐ คน ไปเป็นตัวประกัน รวมทั้งทรัพย์สินที่ยึดมาได้ น�ำไปลงเรือเดินทางกลับไปกรงุ เทพมหานครฯ ก่อนที่พระยากลาโหมจะถอนทัพกลับ ได้แต่งต้ัง “เติงกู ลามีเด็น” (Tengku Lamiden) ใหเ้ ปน็ เจา้ เมอื งปกครองภายใตก้ ารดแู ลของเจา้ เมอื งนครศรธี รรมราช โดยกำ� หนดวา่ จะตอ้ งสง่ ดอกไมเ้ งนิ ดอกไมท้ อง ถวายเป็นเคร่ืองบรรณาการไปยังกรุงเทพมหานครเป็นประจ�ำทุกๆ ปี เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี ต่อกรุงสยาม พระยากลาโหมได้น�ำเชลยศึกชาวมลายูปาตานี ๔,๐๐๐ คน ลงเรือไปยังกรุงเทพมหานครฯ ระหว่างการเดินทางบางคนกระโดดจากเรือลงทะเลหลบหนี บางคนสามารถหลบรอดกลับมาได้ แต่ส่วนใหญ่ ก็เสียชีวิตขณะหลบหนี เพ่ือมิให้ชาวปาตานีโดดเรือหนีลงทะเล ทหารสยามจึงได้ใช้วิธีตัดหวายมาร้อยท่ีเอ็นเหนือ ส้นเทา้ (เอน็ รอ้ ยหวาย) ของเชลยเหล่านั้นผกู พ่วงตอ่ กนั หลายๆ คน เชลยท่ีเป็นหญิงกเ็ อาหวายเจาะใบหูผูกพ่วงไว้ เช่นเดียวกัน และให้น่ังอยู่ภายในเรือเดินทางไป จนถึงกรุงเทพมหานครฯ บางคนเจ็บป่วยล้มตายในเรือระหว่าง เดินทาง สว่ นที่รอดชวี ติ มาได้ก็ได้รับบาดเจบ็ หรือเจบ็ ป่วยอยา่ งแสนสาหัส ๓ (หนา้ ๑๗๘) 165หลักสตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

เมอื่ เชลยศกึ ถกู ควบคมุ ไปถงึ กรงุ เทพมหานครฯ บรรดาลกู หลานของสลุ ตา่ นกถ็ กู แยกใหไ้ ปตงั้ ถน่ิ ฐาน อยู่บริเวณหลังวัดอนงค์รามฝั่งธนบุรี บริเวณดังกล่าวจึงถูกเรียกขานว่าหมู่บ้านแขกมลายูหรือบ้านแขก (ปัจจุบันเป็นสี่แยกบ้านแขก อยู่ในต�ำบลบ้านสมเด็จเจ้าพระยาธนบุรี) ส่วนเชลยศึกท่ีเป็นคนมลายูสามัญชน กถ็ ูกเกณฑไ์ ปใช้แรงงานขดุ คลองแสนแสบและจัดให้ทำ� ไรท่ ำ� นารอบๆ พระนคร เชน่ พื้นที่ ต�ำบลหนองจอก มีนบุรี ตำ� บลทา่ อิฐ และอกี หลายๆ ตำ� บลในจงั หวัดนนทบรุ ีและจังหวัดปทุมธานี (หน้า ๑๖๘) หลังพ่ายแพ้สงครามในปี พ.ศ. ๒๓๒๙ สมัยสุลต่านมูฮัมหมัด สยามก�ำหนดให้ปาตานี อยู่ในความควบคุมดูแลของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ขุนนางปาตานีท่านหน่ึงที่เป็นหลานของราชาบือแน บาแด ช่ือว่า เติงกู ลามีเด็น ได้รับการแต่งต้ังจากสยามให้เป็นเจ้าเมืองปาตานีซึ่งจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองให้ สยามทุกสามปี เพื่อเป็นการแสดงถึงการจงรักภักดี ในน้ันเมืองจะนะ (Cenak) และเมืองเทพา (Tiba) ได้ถูกแยก ออกจากปาตานไี ปเปน็ สว่ นหนงึ่ ของเมอื งสงขลา (หนา้ ๑๗๑) เม่ือปี พ.ศ.๒๓๓๒ เติงกู ลามีเด็น เจ้าเมืองปาตานีได้ติดต่อส่งหนังสือลับไปยังกษัตริย์เกียลอง หรือองเชียงสือ แห่งอันนามหรือเวียดนาม เพ่ือขอให้จัดทัพโจมตีสยามโดยโจมตีทางด้านตะวันออก ส่วนปาตานี จะโจมตีทางด้านทิศใต้ พร้อมสาส์นดังกล่าว เติงกูลามีเด็น ได้ส่งส่ิงเป็นก�ำนัลแก่องเชียงสือ คือปืนส้ันมีลวดลาย เคลอื บทอง ๑ กระบอก พรอ้ มดาบด้ามทองคำ� ๒ เลม่ และแหวนเพชรอกี ๑ วง สมเดจ็ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ไดเ้ ขยี นคำ� นำ� ไวใ้ นประชมุ พงศาวดาร ภาคที่ ๓ วา่ “พระยาปาตานี คนนี้ไม่ซ่ือตรงต่อกรุงเทพฯ เม่ือปีระกา เอกศก พ.ศ. ๒๓๓๒ เจ้าเมืองปาตานีได้มีหนังสือไปชวนองเชียง สือเจ้าอนัมก๊ก ให้เป็นใจเข้ากันมาตีหัวเมืองในพระราชอาณาจักร องเชียงสือบอกความเข้ามากราบทูล พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกพระองคจ์ งึ ทรงตอ้ งยกกองทัพลงไปตีเมืองปัตตานอี ีกครัง้ ......” จนกระทั่งกองทัพสยามน�ำโดยพระยากลาโหมเดินทางไปถึง จึงได้ร่วมกันกับกองทัพ นครศรธี รรมราช สงขลา และพัทลุง ไล่ตีโอบล้อมกองทัพปาตานี จนตอ้ งล่าถอยไปต้ังหลกั ท่ีเขาลูกช้างเมืองสงขลา อกี ครงั้ หนึ่ง การทำ� ศึกยดื เยอ้ื มาเปน็ เวลานานถงึ ๓ ปี จนในทส่ี ุด กองทพั ปาตานตี อ้ งแตกพา่ ย ทหารตา่ งหลบหนี เอาตัวรอดหลบซ่อนตัวในป่าเขาและเมืองมลายูอ่ืน ๆ เมื่อได้รับชัยชนะในการท�ำศึกแล้ว พระยากลาโหมก็ได้ ท�ำการเผาท�ำลายต�ำหนักของเติงกูลามีเด็นที่ปราวันจนหมด จากน้ันก็ได้กวาดต้อนบรรดาชาวเมืองมลายูปาตานี น�ำกลับไปยงั เมืองหลวงสยามอกี ครั้งหน่งึ ก่อนยกทัพเดินทางกลับ พระยากลาโหมได้แต่งตั้งให้ดาโต๊ะปังกาลันขึ้น เป็นเจ้าเมืองปาตานี พรอ้ มกบั แตง่ ตง้ั เสนาบดชี าวสยามผหู้ นงึ่ มชี อ่ื วา่ “พระจะนะ หรอื ลกั ษะมานาดาญงั ” เปน็ ผคู้ วบคมุ ดแู ลในปาตานี และคอยรายงานความเคลอ่ื นไหวหากชาวปาตานคี ดิ ทรยศตอ่ สยาม ดาโต๊ะปังกาลัน เป็นขุนนางคนหน่ึงของปาตานี ซึ่งสยามได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปาตานี โดยมีต�ำแหน่งเรียกว่า “คุณหลวง” ซ่ึงนับว่าเป็นต�ำแหน่งชั้นสูงและส�ำคัญในขณะน้ัน ดังน้ันต�ำแหน่งคุณหลวงได้ กลายเปน็ ฉายาทส่ี ยามใหแ้ กผ่ ปู้ กครองหรอื ขนุ นางชนั้ สงู ลกู หลานสามารถสบื ทอดไดด้ ว้ ย ในขณะเดยี วกนั สยามได้ แต่งตั้งพระจะนะหรือลักษะมานาดาญัง เป็นผู้ว่าราชการเมืองปาตานีซ้อนข้ึนมาอีกคนหน่ึงด้วย จึงถือกันว่า พระจะนะ เปน็ ผวู้ า่ ราชการปาตานคี นแรกในประวตั ศิ าสตรก์ ว็ า่ ได้ นอกจากนสี้ ยามยงั ไดแ้ ตง่ ตงั้ ขา้ ราชการชาวสยาม อกี จ�ำนวนหนง่ึ ไปปฏิบัติงานในปาตานเี พือ่ ควบคมุ กำ� กับดแู ลและคานอำ� นาจเจา้ เมือง ปาตานีอกี ทางหนงึ่ ดว้ ย 166 หลักสูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

ในระหว่างการปกครองของดาโต๊ะปังกาลัน น้ันเหตุการณ์ในปาตานีได้สงบเรียบร้อยลงช่ัว ระยะเวลาหนึ่ง แต่ต่อมาไม่นานปัญหาความขัดแย้งระหว่างขุนนางช้ันผู้ใหญ่ปาตานีกับข้าราชการสยามที่ได้รับ การแต่งต้ังไปอยู่ปาตานีน้ันเร่ิมก่อตัวขึ้น โดยเฉพาะปัญหาขัดแย้งในเร่ืองกฎระเบียบปฏิบัติและขนบธรรมเนียม ประเพณีต่างๆ ของชาวมลายูปาตานี เม่ือความขัดแย้งได้ก่อตัวและรุนแรงมากย่ิงข้ึนมลายูปาตานีได้ร่วมกัน ขับไล่ชาวสยามให้ออกไปจากปาตานี พระจะนะ และขา้ ราชการสยามทอี่ ยใู่ นปาตานตี อ้ งพากนั หลบหนอี อกไปจากปาตานไี ปยงั เมอื งสงขลา และได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในปาตานีให้คุณหลวงสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสงขลาได้ทราบ จากน้ันคุณหลวง สวุ รรณครี กี ไ็ ดร้ ายงานเหตกุ ารณต์ อ่ ไปยงั กรงุ เทพฯ เมอื่ ทางกรงุ เทพฯ ทราบเรอ่ื ง กไ็ ดส้ ง่ั ใหเ้ จา้ เมอื งนครศรธี รรมราช จัดกองทัพไปสมทบกับเมืองสงขลาเข้าไปปราบปรามเจ้าเมืองมลายูปาตานี กองทัพจากนครศรีธรรมราช และสงขลาได้ร่วมกันต่อสู้กับชาวมลายูปาตานีเป็นเวลานานหลายเดือนก็ไม่สามารถเอาชนะชาวปาตานีได้ จนต้องลา่ ถอยกลับสงขลาและนครศรีธรรมราชไป การร่วมต่อต้านกองทัพสยามจากนครศรีธรรมราชและสงขลาในคร้ังนี้ ดาโต๊ะปุยุตกับดาโต๊ะสาย (ขุนนางผหู้ นึง่ ของเมืองสาย) เป็นผูด้ ำ� เนินการวางแผนไว้ทกุ ข้นั ตอนจนกองทพั สยามตอ้ งพ่ายแพก้ ลับไป ต่อมาอีกไม่ก่ีเดือนกองทัพสยามซ่ึงน�ำโดย เจ้าพระยาพลเทพ (บุนนาค) จึงเดินทางจากกรุงเทพฯ พร้อมด้วยกองทัพเรือจ�ำนวนมากโดยการสนับสนุนก�ำลังพลจากสงขลาและนครศรีธรรมราช ต่างมุ่งเข้าสู่ ปาตานี การต่อส้ไู ด้เกิดขึ้นอยา่ งรนุ แรง โดยการปะทะกันเกดิ ขึ้นที่บริเวณเมอื งยามู เมืองกรอื เซะและบาโระลากนู ี (ทุง่ กนู งิ ) ในการท�ำศึกสงครามครงั้ น้ี สยามได้มีหนงั สือสั่งใหส้ ลุ ต่านอะหมัดตาญดดนี ฮาลมิ ชาห์ ที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๔๗ - ๒๓๘๖ แห่งเคดะห์สง่ กองทัพและเสบยี งอาหารไปสนบั สนุนสยามเพ่ือสู้รบกบั ปาตานีดว้ ย แตส่ ลุ ตา่ นอะหมดั กลับเพกิ เฉย ไม่ปฏิบัติตาม สงครามกย็ ังคงด�ำเนินต่อไปอยา่ งยดื เยือ้ ส�ำหรับดาโต๊ะปูยุต และบริวารได้ปักหลักต่อสู้กับทหารสยามอย่างทรหดท่ีหมู่บ้านกาฮง จนถึงบ้านปูยุต ส่วนดาโต๊ะปันกาลันเจ้าเมืองปาตานีเอง ปักหลักต่อสู้กับสยามอย่างกล้าหาญเช่นเดียวกัน แตใ่ นทสี่ ดุ ดาโต๊ะปงั กาลันเสียชวี ิตในสนามรบ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปาตานีเสียใหม่ โดยให้นายขวัญซ้ายไปเป็นเจ้าเมืองปาตานี แทนการตั้งแต่ง เจา้ เมอื งจากชาวมลายู นับเป็นคร้งั แรกท่ีมีผู้ปกครองเปน็ ชาวสยามมีอำ� นาจเต็มในปาตานี นายขวัญซ้าย มีช่ือเดิมว่า กวงไส เป็นบุตรของนายเค่ง ชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ท่ีเดินทางโดยเรือ สำ� เภามาทีเ่ มืองสงขลา ได้แตง่ งานกับหญงิ สาวเมืองสงขลา มบี ตุ ร ๒ คน คือ นายขวัญซา้ ย กับนายพา่ ย นายเค่งได้ ช่วยงานราชการในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยการเสนอของพระยาสงขลา (บุญฮุ้ย) ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก ไดท้ รงแต่งตัง้ นายเค่งใหเ้ ป็นพระมหานภุ าพปราบสงคราม ผู้ว่าราชการเมือง “จะนะ” นายเค่งได้ถวายนายขวัญซ้าย บุตรชายคนโตให้เป็นมหาดเล็กของรัฐกาลที่ ๑ ที่กรุงเทพฯ ต่อมาพระยาสงขลาได้กราบบังคมทูลขอตัวนายขวัญซ้ายมหาดเล็กมารับราชการในต�ำแหน่งปลัดเมืองจะนะ คอยชว่ ยเหลอื พระมหานาภาพปราบสงครามผเู้ ปน็ บดิ าทช่ี ราภาพ เมอื่ นายขวญั ซา้ ยไดเ้ ปน็ เจา้ เมอื งปาตานี จงึ นำ� คนสยาม จากพทั ลงุ และสงขลา เขา้ มาอยใู่ นปาตานไี มน่ อ้ ยกวา่ ๕๐๐ ครวั เรอื น ทำ� ใหว้ ถิ ชี วี ติ วฒั นธรรมความเปน็ อยผู่ สมผสานกนั เม่ือนายขวัญซ้ายได้เสียชีวิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๘ นายไผ่หรือนายพ่าย น้องชายของนายขวัญซ้าย ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง และมีการแต่งต้ังให้นายเหมไสหรือย้ิมซ้ายลูกพี่ลูกน้องเป็นหลวงสวัสด์ิภักดี ทำ� หนา้ ท่ผี ู้ช่วยเจา้ เมอื งปาตาน๔ี ๔ (หน้า ๑๗๒ - ๑๗๗) 167หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตรท์ ้องถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

๔) การปกครอง ๗ หัวเมืองในสามจังหวดั ชายแดนภาคใต้ การสถาปนายศถาบรรดาศักดิต์ ามศักดนิ าที่เคยเรยี กวา่ “สลุ ตา่ น” หรือ “ราชา” และลงทา้ ยดว้ ย ค�ำว่า “ชาห์” ค่อยๆ หมดไปจะแต่งต้ังให้เป็นต�ำแหน่ง “พระยา” หรือ “หลวง” ตามรูปแบบการปกครอง ของสยามแทน แต่เจ้าเมืองก็มีสิทธิจะเลือกทายาทหรือบุคคลท่ีใกล้ชิดให้รัฐบาลสยามแต่งตั้งเป็นอุปราช หรือ Raja Muda เพ่ือท�ำหน้าท่ีรักษาราชการแทนเจ้าเมืองในบางโอกาส นอกจากนี้เจ้าเมืองยังมีหน้าที่ต้องส่ง ดอกไมเ้ งนิ ดอกไมท้ องใหร้ ฐั บาลสยาม รวมทงั้ สงิ่ ของบรรณาการทม่ี คี า่ อน่ื ๆ อกี เพอื่ เปน็ การแสดงถงึ ความจงรกั ภกั ดี ต่อสยามอีกดว้ ย (หน้า ๑๘๑ หนงั สอื อะไร?) ครั้นเมื่อพระยาอภัยสงคราม เจ้าเมืองสงขลาแยกปาตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง นายพ่าย พระยาเมืองปัตตานี นายย้ิมซ้ายผู้ช่วยพระยาเมือง ซึ่งตั้งบ้านเรือนและว่าราชการอยู่ที่บ้านยามู เขตเมืองยะหร่ิง ท่านจึงต้องการให้นายพ่าย เป็นพระยาเมืองยะหริ่งและนายยิ้มซ้ายเป็นผู้ช่วยต่อไป จึงให้นายพ่ายเสนอช่ือบุคคล ท่ีเห็นว่าเหมาะสมเป็นพระยาเมืองปัตตานี เมืองสายบุรี เมืองระแงะ เมืองรามันห์ เมืองยะลา และเมืองหนองจิก ดงั นนั้ นายพ่ายจงึ ไดเ้ สนอรายชื่อบคุ คลใหเ้ ปน็ เจ้าเมอื งต่างๆ ทั้ง ๖ หัวเมือง มอบใหแ้ กพ่ ระยาอภยั สงคราม ดังน้ี ๑. ต่วนสหุ ลง บ้านอยกู่ รือเซะ เป็นผรู้ กั ษาการพระยาเมืองปตั ตานี ๒. ตว่ นนิค บ้านอยู่หนองจกิ เปน็ ผรู้ กั ษาการพระยาเมืองหนองจกิ ๓. ต่วนมาโซ เปน็ ผ้รู กั ษาการพระยาเมอื งรามันห์ ๔. ต่วนยาลอ เปน็ ผ้รู ักษาการพระยาเมืองยะลา ๕. นดิ ะห์ เป็นผ้รู ักษาการพระยาเมืองสายบุรี ๖. นิเดะ๊ เป็นผูร้ ักษาการพระยาเมอื งระแงะ (ลือเกะห)์ ๗. นายพา่ ย ยา้ ยจากเมืองปตั ตานไี ปรกั ษาการพระยาเมอื งยะหรงิ่ เจา้ เมืองใน ๗ หัวเมืองปาตานี ใน ปี พ.ศ. ๒๓๗๔๕ ช่อื เมือง ชอื่ เจ้าเมอื ง สถานทท่ี ำ� การ/วัง ๑. ปตั ตานี นายนิโซะ๊ (โต๊ะก)ี บ้านคลองชา้ ง (กวั ลาบือกะห)์ ๒. หนองจกิ นายมิง่ (สยาม) บ้านหนองจกิ ๓. รามนั ห์ ต่วนมาโซร์ บา้ นโกตาบารู ๔. ยะลา นายย้มิ ซ้าย หรอื เหมไส บ้านยาลอ ๕. สายบรุ ี นายนดิ ะห์ บ้านยือริงงา (ยีง่ อ) ๖. ระแงะ นายนิบอซู บา้ นตันหยงมสั ๗. ยะหริง่ นายพ่ายหรอื ไผ่ บา้ นยามู ๕ (หน้า ๑๙๖ หนงั สอื อะไร) 168 หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตร์ท้องถ่ินจังหวดั ชายแดนภาคใต้)

ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ รัฐบาลสยามประกาศจัดตั้งมณฑลปัตตานีมี โดยมีสมุหเทศาภิบาลที่ได้รับการแต่งต้ัง จากสยามเป็นผู้ปกครอง ประกอบด้วย เมืองปัตตานี (รวมเมืองหนองจิก ยะหริ่ง และปัตตานี) เมืองยะลา (รวมเมืองรามันห์และยะลา) เมืองสายบุรี และเมืองระแงะ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ได้ยกฐานะเมืองเป็น จังหวัด ท�ำให้เมืองทั้งส่ีกลายเป็นจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสายบุรี และจังหวัดนราธิวาสตั้งแต่น้ันมา ในสมัยมณฑลเทศาภิบาล อ�ำนาจและบทบาทของเจ้าเมืองในระบบเดิมซ่ึงมีมาต้ังแต่ พ.ศ. ๒๐๔๓ สิ้นสุดลง ท�ำให้มีข้อขัดแย้งกันในหลายกรณี จนน�ำไปสู่การเคล่ือนไหวจัดต้ังองค์กร เพ่ือเรียกร้องอิสรภาพปัตตานี ในเวลาตอ่ มา ๕. จงั หวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๕๒ - ปจั จบุ นั เมอื่ พ.ศ. ๒๔๗๔ รฐั บาลประกาศยกเลกิ มณฑลปตั ตานี และยบุ จงั หวดั สายบรุ ี ลดฐานะเปน็ อำ� เภอหนงึ่ ของจังหวัดปัตตานี โดยรวมจังหวัดทั้งสามเข้าไว้ในการปกครองมณฑลนครศรีธรรมราช ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ รัฐบาลได้ออกพระราช บัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคแบ่งการปกครองออกเป็น จังหวัด และอ�ำเภอ ท�ำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีฐานะเป็นจังหวัดตามระเบียบ ราชการบรหิ ารสว่ นภูมภิ าคและมผี วู้ ่าราชการจังหวดั เป็นผ้ปู กครอง ตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นตน้ ไปจนถึงปจั จบุ ัน ความเป็นมาดังกล่าวของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเจริญ รุ่งเรืองมาตามล�ำดับ ต้ังแต่ก่อนสมัยสุโขทัยเมืองหลวงแห่งแรกของราชอาณาจักรไทย ต่อมาอ�ำนาจของสุโขทัยได้แผ่ขยายลงมาทางใต้ มาถึงสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ แต่ละช่วงสมัยความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับปัตตานีหรือสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้แตกต่างกันไปตามบริบททางการเมือง ดังนั้น การน�ำเสนอล�ำดับพัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจช่วยให้เกิดความเข้าใจท่ีชัดเจนมากยิ่งข้ึน๖ ๖ อ้างอิงจาก http://yeawya.prd.go.th/view_ebook.php?id=๙ เว็ปไซต์ประชาสัมพันธ์การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการความไม่สงบ ในพน้ื ท่จี ังหวัดชายแดนภาคใต้ กรมประชาสัมพนั ธ์ 169หลักสตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตรท์ ้องถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

๒.๒ มสุ ลมิ เชอื้ สายมลายปู าตานใี นกรงุ เทพมหานครฯ ภาคกลางและภาคตะวนั ออกของประเทศไทย ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในพ้ืนท่ีภาคกลางและกรุงเทพมหานคร มีบรรพบุรุษมาจากเช้ือชาติพันธุ์ ท่ีหลากหลาย จากหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่คี อ่ นข้างจะชดั เจน คอื อาหรบั - เปอรเ์ ซยี เนื่องจากชาวเปอร์เซยี ไดน้ ำ� เครอื่ งกระเบอื้ งเขา้ มาคา้ ขายยงั สยามประเทศมาตงั้ แต่ ๑,๒๐๐ ปมี าแลว้ สว่ นชาวอาหรบั นนั้ เรามจี ดหมายเหตุ ของพวกอาหรบั เปน็ หลกั ฐานยนื ยนั ใหเ้ ราทราบวา่ เขาไดเ้ ขา้ มาเกยี่ วขอ้ งกบั ดนิ แดนสว่ นนต้ี ง้ั แตส่ มยั ๑,๑๐๐ ปมี าแลว้ เหมือนกัน (ประยรู ศกั ด์ิ ชลายนเดชะ, ๒๕๓๙ : ๔) มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่ามุสลิมได้เข้ามาตั้งถ่ินฐานอยู่ในกรุงศรีอยุธยามานานแล้ว ดังปรากฏ ตามจดหมายเหตุโบราณว่า มีคนที่คนโบราณเรียกว่า “แขกเทศ” ตั้งบ้านเรือนอยู่ต้ังแต่ประตูจีนด้านตะวันตก ของกรุงศรีอยุธยาไปจนถึงหลังวัดนางมุกแล้วก็เลี้ยวลงไปท่ี “ท่ากายี” เป็นบริเวณที่มุสลิมต้ังบ้านเรือนอยู่ ในก�ำแพงเมือง มีถาวรวัตถุร้างปรากฏอยู่ ซ่ึงชาวบ้านเรียกขานกันโดยท่ัวไปว่า “กุฎีทอง” ค�ำว่า “แขกเทศ” มีปรากฏชัดเจนอยู่ในจดหมาย นักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามท่ีมีรกราก มาจากอาหรับ เช่น ประเทศอิหร่านหรือเปอร์เซียมาตั้งรกรากเพื่อท�ำการค้าขาย จนในท่ีสุดก็กลายเป็นคนไทย (ประยูรศักดิ์ ชลายนเดชะ, ๒๕๓๙ : ๓) ในสมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากเชคอะหมัด ชาวเปอร์เซียที่มาตั้งถิ่นฐานและสร้างมัสยิดท่ีเรียกว่า “กุฎีทอง” แล้วยังมีชาวเปอร์เซียที่ส�ำคัญอีกท่านหนึ่งท่ีเดินทางเข้ามาต้ังถ่ินฐานที่หัวเขาแดง (สงขลา) หลังจาก ตั้งถ่ินฐานท่ีอินโดนีเซียมาแล้วระยะหนึ่ง ชาวเปอร์เซียท่านน้ีเป็นมุสลิมสายซุนนะฮ์ช่ือ “ท่านโมกอล”  (เข้ามาในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ. ๒๑๔๕) บิดาของท่านสุลัยมาน ผู้ที่ประกาศแยกสงขลาออกเป็นอิสระ จากกรงุ ศรอี ยธุ ยาในรชั สมยั พระเจา้ ปราสาททองและสถาปนาตนเองเปน็ “สลุ ตา่ นสลุ ยั มาน ซาห”์  เมอื่ พ.ศ. ๒๑๔๓ และได้ถึงแก่อสัญกรรมลง เม่ือ พ.ศ. ๒๒๑๑ ตรงกับสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สุสาน ของท่านอยู่ทบี่ ้านหัวเขาแดง อำ� เภอเมืองสงขลา จงั หวัดสงขลา มสุ ลิมเช้ือสายชวา-มลายู ชาวมุสลิมเชื้อสายปัตตานีที่ชาวบ้านเรียกว่า “แขกปัตตานี” มักจะประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม และคา้ ขาย (ประยรู ศกั ด์ิ ชลายนเดชะ, ๒๕๓๙ : ๒๑) คนทนี่ ับถอื ศาสนาอิสลามในสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยาตง้ั บ้านเรอื น อยู่เลียบคลองตะเคียนทางทิศใต้ เป็นชุมชนใหญ่ หลายร้อยหลายพันหลังคาเรือน ส่วนมุสลิมที่มาจากอินโดนีเซีย จากเกาะ “เกาะมากาซา” หรือ “มักสัน” ต้ังบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้�ำเจ้าพระยาด้านฝั่งตะวันตกลงไป (ประยูรศักด์ิ ชลายนเดชะ, ๒๕๓๙ : ๓) ดงั นนั้ จงึ เปน็ ไปไดว้ า่ ชว่ งสงครามไทย - พมา่ จนมาถึงช่วงการส้ินสุดอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา มุสลิมกลุ่มนี้ ได้อพยพหลบหนีมาต้ังถ่ินฐานอยู่ในธนบุรี นอกจากนั้นตลอดสมัยธนบุรีถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ก็คงมีมุสลิมเชื้อสายชวา-มลายู ย้ายถิ่นฐานมา จากปัตตานีมาอยู่ในธนบุรี เพราะถูกจับมาเป็นเชลยศึก และเชิญชวนมาช่วยปฏิบตั ิงานรับใช้ชาติ 170 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตรท์ ้องถนิ่ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

การที่ปาตานีพ่ายแพ้สงครามแก่สยาม ครั้งแรกเม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๙ ซึ่งสยามได้ควบคุมลูกหลาน สลุ ต่านวงศานุวงศ์ ขุนนางผใู้ หญ่ และประชาชนจำ� นวน ประมาณ ๔,๐๐๐ คน เป็นลงเรือเดินทางกลับไปยัง กรุงเทพฯ แต่ส่วนหนึ่งเสียชีวิตในระหว่างเดินทาง และครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๕ ก็ได้กวาดต้อนบรรดา ชาวเมอื งมลายปู าตานี ไปยงั เมอื งหลวงสยามอกี ครง้ั หนงึ่ เป็นจ�ำนวนมาก เม่ือไปถึงเมืองกรุงเทพฯ ลูกหลาน สุลต่านก็ถูกแยกไปไว้บริเวณหลังวัดอนงค์ราม ฝั่งธนบุรี บริเวณดังกล่าวเรียกว่า หมู่บ้านแขกมลายูหรือบ้านแขก ในปัจจุบันเป็นส่ีแยกบ้านแขกอยู่ในต�ำบลบ้านสมเด็จ พระเจ้าพระยาธนบุรี น้ันนับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ประจักษ์ว่า ทางราชการได้ดูแลและให้สิทธิเสรีภาพ แก่มุสลิมปาตานีท่ีถูกอพยพไปยังกรุงเทพฯ ท้ังสิทธิในการนับถือและปฏิบัติตามข้อบัญญัติของศาสนาอิสลาม สิทธิการมีครอบครัว ขยายทายาทผู้สืบตระกูล สิทธิในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ส�ำหรับเป็นท่ีอยู่อาศัย ท่ีท�ำมาหากินสิทธิในการเป็นผู้น�ำมุสลิม นักวิชาการและ เป็นนักการเม่ืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ด้วยการได้รับสิทธิตามท่ีกล่าวถึงข้างต้นซ่ึงการพัฒนาการในห้วงเวลา เป็นอย่างดีได้ส่งผลให้คนชาติพันธุ์มลายู ท่นี ับถอื ศาสนาอิสลาม สามารถแผ่ขยายอย่างกวา้ งขวางเพม่ิ ขึน้ ในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ มุสลิมเช้อื สายจาม-เขมร จามและเขมรเป็นคนละเช้ือชาติ เพราะจามเป็นเผ่าพันธุ์ที่ผสมสานระหว่างขอมเดิม อินเดีย มลายู และจีน จามเข้ามาตั้งถ่ินฐานอยู่ในกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยเข้ามารับราชการ เป็นทหารอาสา ดังความในกฎหมายไทย (๒๔๓๙ : ๑๙๒) ปรากฏว่า ยังมีแขกอีกพวกหน่ึงซ่ึงปรากฏในมณเฑียร บาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เรียกว่า “อาสาจาม” มุสลิมท่ีอพยพจากกัมพูชานี้ ภายหลังเข้ามารวม เปน็ พวกอาสาจาม สว่ นสาเหตทุ อี่ พยพเขา้ มาในไทยเพราะถกู รกุ รานจากเวยี ดนาม (รชั น ี สาดเปรม, ๒๕๒๑ : ๑๘) เม่ือเกิดสงครามไทย-พม่า กองอาสาจามจึงเป็นก�ำลังส�ำคัญในการต่อสู้กับข้าศึก และเสียชีวิตลงในสนามรบ เป็นจ�ำนวนมาก ที่รอดชีวิตส่วนหนึ่งได้อพยพลงมาตามแม่น้�ำเจ้าพระยา และตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณบางอ้อและ อีกหลายชุมชนดังปรากฏในปัจจุบัน มสุ ลมิ เช้ือสายอินเดยี -ปากสี ถาน-บังกลาเทศ เมอ่ื ปากสี ถานและบงั กลาเทศแยกออกจากประเทศอนิ เดยี แลว้ ไดเ้ ขา้ มาตดิ ตอ่ คา้ ขายและตงั้ ถน่ิ ฐาน ในประเทศไทย มีท้ังท่ีนับถือนิกายชีอะฮ์และซุนนีย์ ต่อมาได้มีการรวมตัวกันเป็นชุมชนเฉพาะกลุ่ม มีการแต่งงาน กับมสุ ลมิ เชอื้ สายอนื่ ๆ มุสลิมอินเดียเชอื้ ทนี่ บั ถือนกิ ายชอี ะฮ์ คือ มุสลิมในชุมชน “มัสยิดตกึ ขาว” (เซฟ)ี   มีสสุ าน อยู่ใกล้กับกุฎีเจริญพาศน์ ส่วนกลุ่มที่เป็นซุนนีย์ คือ มุสลิมที่อาศัยอยู่ในชุมชน “มัสยิดฮารูน” ซึ่งเป็นชุมชนริมฝั่ง เจ้าพระยาด้านตะวันออกหรือฝั่งพระนคร นอกจากนั้นกลา่ วได้วา่ ทุกชุมชนเกา่ แก่ในธนบรุ ี มีมสุ ลมิ เช้อื สายอนิ เดยี ต้งั ถ่ินฐานอยู่ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ คือ ชุมชน “มสั ยดิ ตึกแดง” ซ่งึ เป็นบริเวณท่ีตั้งของพระคลงั สนิ ค้า 171หลกั สูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตรท์ ้องถ่ินจังหวัดชายแดนภาคใต)้

มุสลมิ เช้อื  สายจนี มุสลิมเชื้อชาติจีนที่ตั้งถ่ินฐานในธนบุรีอาจมีอยู่บ้าง แต่จ�ำนวนไม่มากเหมือนทางภาคเหนือของไทย และส่วนที่มีอยู่จะเป็นลักษณะการผสมระหว่างเช้ือชาติเสียมากกว่า กล่าวคือ ชาวจีนซึ่งอาจจะมีท้ังจีนมุสลิม แต่เดิมและชาวจีนท่ีนับถือศาสนาอื่นแต่มาแต่งงานกับมุสลิมเชื้อชาติต่างๆ เช่น จามมุสลิมก็เป็นกลุ่มเชื้อชาติผสม จีน มุสลิมจากอาณาจักรปัตตานี โดยเฉพาะอย่างย่ิงแถบบริเวณอ่าวปัตตานีจ�ำนวนไม่น้อยก็เป็นมลายูผสมจีน ทัง้ น้ีจากการเดินทางเขา้ มาตดิ ตอ่ คา้ ขาย ในปจั จุบันมสุ ลมิ จากเชอ้ื ชาตติ า่ งๆ ที่ตง้ั ถิน่ ฐานอยูใ่ นธนบุรี ส่วนหนง่ึ กไ็ ด้ แตง่ งานกบั ลูกหลานชาวจนี ทนี่ บั ถือศาสนาอืน่ และนับถือศาสนาอสิ ลาม จนกลายเป็นมสุ ลมิ ผู้เคร่งครัดในศาสนา การตัง้ ถิน่ ฐานและชุมชนมสุ ลมิ ในไทย ชมุ ชนมสุ ลมิ ไมว่ า่ จะมบี รรพบรุ ษุ สบื เนอ่ื งมาจากเชอื้ ชาตเิ ผา่ พนั ธใ์ุ ด จะมกี ารตง้ั ถน่ิ ฐานอยรู่ วมกนั เปน็ ชมุ ชน จะมีผ้นู ำ� ท้ังน้ีกเ็ ป็นไปตามรูปแบบและค�ำสอนในอสิ ลามทง้ั หมด  เม่ือเกิดการรวมตวั ตง้ั เปน็ กลุ่มหรอื ชมุ ชน หรือท่ีเรียกในภาษามลายูซึ่งมาจากภาษาเขมรว่า “ก�ำปง” แล้วมุสลิมในแต่ละชุมชนจะเสียสละท้ังก�ำลังกาย และก�ำลังทรพั ยส์ ร้างศนู ยก์ ลางของชุมชนขึ้น โดยมี “มสั ยดิ ” หรอื “สุเหร่า” เป็นศนู ยร์ วม และหากพนื้ ที่ไมจ่ ำ� กดั จนเกินไป บริเวณมัสยิดจะมีหน่วยอื่นๆ ประกอบด้วย อาคารมัสยิด อาคารเรียน อาคารอเนกประสงค์ และสสุ าน (กโุ บร)์ สำ� หรบั ฝงั ศพ แตบ่ างชมุ ชนอาจตอ้ งใชส้ ว่ นหนง่ึ ของมสั ยดิ เปน็ สถานศกึ ษาและไปใชส้ สุ านรว่ มกับ ชมุ ชนอน่ื แทน ความเป็นมาดังกล่าวของสามจงั หวดั ชายแดนใตม้ คี วามเจรญิ รงุ่ เรืองมาตามล�ำดบั ตง้ั แต่ก่อนสมยั สุโขทัย เมืองหลวงแห่งแรกของราชอาณาจักรไทย ต่อมาอ�ำนาจของสุโขทัยได้แผ่ขยายลงมาทางใต้ มาถึงสมัยอยุธยา และรัตนโกสินทร์ แต่ละช่วงสมัยความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับปาตานีหรือสามจังหวัดชายแดนใต้แตกต่างกันไป ตามบรบิ ททางการเมอื ง ดงั นนั้ การนำ� เสนอลำ� ดบั พฒั นาการทางภมู ริ ฐั ศาสตร์ อาจชว่ ยใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจมากยงิ่ ขนึ้ 172 หลกั สตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิ่นจังหวดั ชายแดนภาคใต้)

บทท่ี ๓ สทิ ธเิ สรภี าพและโอกาสของพลเมือง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ ได้ให้สิทธิเสรีภาพและโอกาสแก่คนไทยทุกคนในพื้นท่ี จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ สามารถดำ� เนนิ ชวี ติ ไดต้ ามสทิ ธเิ สรภี าพและโอกาสอนั พงึ มใี นทกุ ดา้ น ทง้ั ดา้ นศาสนา การศกึ ษา วฒั นธรรม การเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม รวมทงั้ การรบั ราชการหรอื เปน็ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั อยา่ งเตม็ ที่ ซึง่ สรุปโดยสงั เขปไดด้ งั นี้ ๑. ด้านศาสนา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับได้ก�ำหนดในส่วนที่เก่ียวกับสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ในการนบั ถอื ศาสนา นกิ ายของศาสนา หรอื ลทั ธนิ ยิ มในทางศาสนาและยอ่ มมเี สรภี าพในการปฏบิ ตั ติ ามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าท่ีของพลเมือง และไม่เป็น การขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระท�ำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่นับถือศาสนา นิกายศาสนา ลัทธินิยม ในทางศาสนา หรอื ปฏบิ ตั ติ ามศาสนธรรม ศาสนาบญั ญตั ิ หรอื ปฏบิ ตั พิ ธิ กี รรมตามความเชอ่ื ถอื แตกตา่ งจากบคุ คลอน่ื (มาตรา ๓๔ รัฐธรรมนญู แหว่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๖๐) มสั ยิดเก่าแก่ท่ีตะโละมาเนาะ 173หลักสตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัติศาสตรท์ อ้ งถ่ินจังหวัดชายแดนภาคใต้)

พระราชบญั ญตั กิ ารบรหิ ารองคก์ รศาสนาอสิ ลาม พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓ ใหย้ กเลิกพระราชบญั ญัติ มัสยิดอิสลาม พุทธศักราช ๒๔๙๐ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พุทธศักราช ๒๔๘๘ และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม (ฉบับท่ี ๒) พุทธศักราช ได้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทย ได้เริ่มมีการตราหรือก�ำหนดกฎหมายเกี่ยวกับกิจการอิสลามมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซ่ึงมีอายุเกือบ ๗๐ ปีมาแล้ว แต่ถ้าสังเกตถึงการมีต�ำแหน่งจุฬาราชมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งแรก “จุฬาราชมนตรี” กรมท่าขวาเป็น หัวหน้าฝ่ายแขก ในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ. ๒๑๔๘ สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีอายุมากกว่า ๔๐๐ ปี มาแล้วน้ัน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยได้ให้การดูแลคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลามมาโดยตลอด และพัฒนา ในทางทดี่ แี ละสนองสทิ ธพิ รอ้ มใหโ้ อกาสในทางทดี่ ขี น้ึ เปน็ ลำ� ดบั ดงั ขอ้ กำ� หนดในพระราชบญั ญตั กิ ารบรหิ ารองคก์ ร ศาสนาอสิ ลาม พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ บางมาตราที่ควรทราบ ดงั น้ี มาตรา ๖ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังจุฬาราชมนตรีคนหน่ึง เพื่อเป็นผู้น�ำกิจการศาสนาอิสลาม ในประเทศไทยให้นายกรัฐมนตรีน�ำช่ือผู้ท่ีจะด�ำรงต�ำแหน่งจุฬาราชมนตรีซึ่งได้รับความเห็นชอบจากกรรมการ อสิ ลามประจ�ำจงั หวดั ท่ัวประเทศข้นึ ทลู เกล้าฯ เพ่อื ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แตง่ ตง้ั เปน็ จฬุ าราชมนตรี มาตรา ๘ จฬุ าราชมนตรีมอี ำ� นาจหนา้ ท่ี ดังต่อไปน้ี (๑) ใหค้ �ำปรกึ ษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกีย่ วกับกิจการศาสนาอิสลาม (๒) แต่งตั้งคณะผทู้ รงคณุ วุฒเิ พอ่ื ให้ค�ำปรกึ ษาเกี่ยวกับบัญญตั ิแห่งศาสนาอิสลาม (๓) ออกประกาศแจ้งผลการดดู วงจนั ทร์ตามมาตรา ๓๕ (๑๑) เพื่อก�ำหนดวันสำ� คญั ทางศาสนา (๔) ออกประกาศเกย่ี วกับข้อวินิจฉัยตามบญั ญัติแหง่ ศาสนาอิสลาม มาตรา ๔ ในพระราชบัญญตั ินไ้ี ดก้ �ำหนดเก่ยี วกับ มัสยดิ สัปปรุ ุษประจำ� มัสยดิ อหิ มา่ ม คอเตบ็ และบิลน่ั ดังนี้ “มัสยิด” หมายความว่า สถานท่ีซึ่งมุสลิมใช้ประกอบศาสนกิจโดยจะต้องมีละหมาดวันศุกร์เป็นปกติ และเป็นสถานทีส่ อนศาสนาอสิ ลาม “สัปปุรุษประจ�ำมัสยิด” หมายความว่า มุสลิมที่คณะกรรมการอิสลามประจ�ำมัสยิดมีมติรับเข้าเป็น สัปปุรุษประจ�ำมัสยิด และมีช่ืออยู่ในทะเบียนสัปปุรุษประจ�ำมัสยิด แต่ผู้น้ันจะเป็นสัปปุรุษเกินกว่าหน่ึงมัสยิด ในเวลาเดียวกันไมไ่ ด้ “อหิ มา่ ม” หมายความวา่ ผู้นำ� ศาสนาอิสลามประจ�ำมัสยิด “คอเตบ็ ” หมายความว่า ผูแ้ สดงธรรมประจำ� มัสยดิ “บหิ ลั่น” หมายความวา่ ผูป้ ระกาศเชิญชวนใหม้ สุ ลิมปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ตามเวลา มาตรา ๑๖ ไดก้ ำ� หนดใหม้ คี ณะกรรมการคณะหนงึ่ เรยี กวา่ “คณะกรรมการกลางอสิ ลามแหง่ ประเทศไทย” ประกอบดว้ ยจฬุ าราชมนตรเี ปน็ ประธานกรรมการและกรรมการ ซงึ่ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตง้ั จากกรรมการ อิสลามประจ�ำจังหวัด ซึ่งเป็นผู้แทนคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด จังหวัดละหนึ่งคน และจากกรรมการอ่ืน ซ่ึงคัดเลือกโดยจุฬาราชมนตรีมีจ�ำนวนหน่ึงในสามของจ�ำนวนผู้แทนคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด ถ้ามเี ศษใหป้ ัดทิง้ 174 หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

มาตรา ๒๓ ไดก้ ำ� หนดให้จงั หวดั ใดมีราษฎรนับถือศาสนาอิสลาม และมีมัสยิดตามมาตรา ๑๓ ไมน่ ้อยกว่า สามมัสยิด ให้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยประกาศให้จังหวัดนั้นมีคณะกรรมการอิสลาม ประจ�ำจงั หวัดคณะหนงึ่ ประกอบด้วยกรรมการมีจำ� นวนไมน่ ้อยกวา่ เกา้ คนแต่ไมเ่ กินสามสบิ คน มาตรา ๒๖ ได้ก�ำหนดให้ในจังหวัดท่ีมีคณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด ให้คณะกรรมการมีอ�ำนาจ หนา้ ท่ี ๑๓ ข้อดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ใหค้ �ำปรึกษาและเสนอความเห็นเกีย่ วกบั ศาสนาอสิ ลามตอ่ ผู้วา่ ราชการจงั หวัด (๒) ก�ำกับดูแลและตรวจตราการปฏิบัติงานของคณะกรรมการอิสลามประจ�ำมัสยิดในจังหวัด และจงั หวัดอืน่ ตามทีค่ ณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยมอบหมาย (๓) ประนีประนอมหรือช้ีขาดค�ำร้องทุกข์ของสัปปุรุษประจ�ำมัสยิดซ่ึงเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จากคณะกรรมการอสิ ลามประจ�ำมัสยดิ (๔) กำ� กบั ดแู ลการคัดเลือกกรรมการอสิ ลามประจำ� มัสยดิ ให้เป็นไปโดยเรียบรอ้ ย (๕) พจิ ารณาแตง่ ตั้งและถอดถอนกรรมการอิสลามประจ�ำมัสยดิ (๖) สอบสวนพจิ ารณาใหก้ รรมการอิสลามประจำ� มัสยิดพ้นจากต�ำแหนง่ ตามมาตรา ๔๐ (๔) (๗) สงั่ ใหก้ รรมการอิสลามประจ�ำมสั ยิดพักหน้าทีร่ ะหวา่ งถกู สอบสวน (๘) พจิ ารณาเกยี่ วกับการจดั ตงั้ การยา้ ย การรวม และการเลิกมสั ยดิ (๙) แตง่ ต้ังผูร้ ักษาการแทนในต�ำแหน่ง อหิ ม่าม คอเตบ็ และบหิ ล่นั เมอ่ื ตำ� แหนง่ ดงั กลา่ วว่างลง (๑๐) ออกหนงั สอื รับรองการสมรสและการหย่าตามบัญญัติแหง่ ศาสนาอสิ ลาม (๑๑) ประนีประนอมข้อพิพาทเกี่ยวกับเร่ืองครอบครัวและมรดกตามบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม เมอื่ ได้รบั การรอ้ งขอ (๑๒) จัดท�ำทะเบียนทรัพย์สิน เอกสารและบัญชีรายรับ รายจ่าย ของส�ำนักงานคณะกรรมการอิสลาม ประจ�ำจังหวัดให้ถูกต้องครบถ้วนเป็นปัจจุบัน และรายงานผลการด�ำเนินงานฐานะการเงินและทรัพย์สิน ให้คณะกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทยทราบปีละหน่งึ ครัง้ ภายในเดือนมีนาคมของทกุ ปี (๑๓) ออกประกาศและใหค้ �ำรับรองเก่ยี วกับกจิ การศาสนาอิสลามในจังหวัด มาตรา ๓๐ ไดก้ �ำหนดใหม้ คี ณะกรรมการอสิ ลามประจำ� มัสยดิ คณะหนึง่ ประกอบดว้ ย (๑) อิหม่ามเปน็ ประธานกรรมการ (๒) คอเต็บเปน็ รองประธานกรรมการ (๓) บิหลั่นเปน็ รองประธานกรรมการ และ (๔) กรรมการอื่นตามจ�ำนวนที่ท่ีประชุมสัปปุรุษประจ�ำมัสยิดน้ันก�ำหนดจ�ำนวนไม่น้อยกว่าหกคน แต่ไมเ่ กินสิบสองคน ใหส้ ปั ปรุ ษุ ประจำ� มสั ยดิ ซง่ึ มอี ายตุ งั้ แตส่ บิ หา้ ปบี รบิ รู ณข์ นึ้ ไป ประชมุ กนั คดั เลอื กผดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ ตามวรรคหนง่ึ ใหค้ ณะกรรมการอสิ ลามประจำ� มสั ยดิ เลอื กกรรมการตาม (๔) เปน็ เลขานกุ ารหนง่ึ คน นายทะเบยี นหนง่ึ คน เหรัญญกิ หน่ึงคน และต�ำแหนง่ อ่นื ตามความจ�ำเปน็ 175หลกั สตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิน่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

มาตรา ๓๕ ไดก้ �ำหนดให้คณะกรรมการอิสลามประจ�ำมสั ยดิ มีอำ� นาจหนา้ ที่ ๑๒ ขอ้ ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) บ�ำรุงรกั ษามัสยดิ และทรัพยส์ ินของมสั ยดิ ให้เรยี บร้อย (๒) วางระเบยี บปฏบิ ตั ภิ ายในของมัสยดิ เพ่อื ใหก้ ารดำ� เนนิ งานของมสั ยิดเปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย (๓) ปฏบิ ตั ติ ามคำ� แนะนำ� ชแ้ี จงของคณะกรรมการกลางอสิ ลามแหง่ ประเทศไทยและคณะกรรมการอสิ ลาม ประจำ� จังหวัดในเมื่อไม่ขัดตอ่ บญั ญตั ิแหง่ ศาสนาอิสลามและกฎหมาย (๔) สนับสนุนสัปปุรุษในการปฏิบัติศาสนกิจ ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีและช่วยเหลือซ่ึงกัน และกัน ในทางทชี่ อบตามบัญญตั ิแหง่ ศาสนาอสิ ลาม (๕) พจิ ารณามีมติรบั มสุ ลิมเข้าเปน็ สปั ปรุ ุษประจ�ำมสั ยิด (๖) อำ� นวยความสะดวกและอบรมสัง่ สอนใหส้ ปั ปุรุษประจ�ำมสั ยิดปฏิบัติศาสนกจิ โดยถูกต้องเคร่งครัด (๗) ประนีประนอมข้อพพิ าทระหวา่ งสปั ปุรุษประจ�ำมสั ยดิ เมอ่ื ไดร้ ับการรอ้ งขอ (๘) จดั ใหม้ แี ละรกั ษาสมดุ ทะเบยี นสปั ปรุ ษุ ประจำ� มสั ยดิ และตรวจตราแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ สมดุ ทะเบยี นดงั กลา่ ว ให้ถกู ต้องตรงตามความเปน็ จรงิ (๙) จำ� หนา่ ยชอ่ื สปั ปรุ ษุ ประจำ� มสั ยดิ ออกจากทะเบยี น เมอ่ื ไดส้ อบสวนแลว้ ปรากฏวา่ ผนู้ น้ั กระทำ� การฝา่ ฝนื หรือไม่ปฏบิ ตั ิให้ถกู ตอ้ งตามบัญญตั แิ หง่ ศาสนาอสิ ลาม (๑๐) จัดให้มีทะเบียนทรัพย์สิน เอกสาร และบัญชีรายรับรายจ่ายของมัสยิดให้ถูกต้องตรงความเป็นจริง และจดั ท�ำรายงานผลการด�ำเนนิ งาน ฐานะการเงนิ และทรพั ย์สินของมัสยดิ แลว้ รายงานใหค้ ณะกรรมการอิสลาม ประจำ� จังหวัดทราบภายในเดอื นมีนาคมของทุกปี (๑๑) ดดู วงจนั ทรแ์ ละแจ้งผลการดูดวงจนั ทรต์ อ่ คณะกรรมการอิสลามประจำ� จงั หวดั (๑๒) สง่ เสรมิ การศึกษาและจัดกิจกรรมทไี่ มข่ ดั ต่อบัญญัตแิ หง่ ศาสนาอสิ ลาม จากข้อกำ� หนดของพระราชบญั ญตั ิการบรหิ ารองค์กรศาสนาอสิ ลาม พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ตามมาตรา ๑๖  คือ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย จุฬาราชมนตรีเป็นประธานกรรมการ มาตรา ๒๓ คือให้จังหวัดใดมีราษฎรนับถือศาสนาอิสลามและมีมัสยิด ตามมาตรา ๑๓ ไม่น้อยกว่าสามมัสยิด ให้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยประกาศให้จังหวัดน้ัน มคี ณะกรรมการอสิ ลามประจำ� จงั หวดั คณะหนงึ่ ประกอบดว้ ยกรรมการมจี ำ� นวนไมน่ อ้ ยกวา่ เกา้ คนแตไ่ มเ่ กนิ สามสบิ คน และมาตรา ๓๐ ใหม้ คี ณะกรรมการอสิ ลามประจำ� มสั ยดิ คณะหนงึ่ ประกอบดว้ ย (๑) อหิ มา่ มเปน็ ประธานกรรมการ (๒) คอเต็บเป็นรองประธานกรรมการ (๓) บิหล่ันเป็นรองประธานกรรมการ และ (๔) กรรมการอื่นตามจ�ำนวน ท่ีประชุมสัปปุรุษประจ�ำมัสยิดน้ันก�ำหนดจ�ำนวนไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบสองคน นั้นได้จัดระดับการบริหาร องคศ์ าสนาอสิ ลามไว้ ๓ ระดับ คอื ๑) ระดับชาติ ไดแ้ ก่ คณะกรรมการกลางอสิ ลามแหง่ ประเทศไทย ๒) ระดบั จังหวดั ไดแ้ ก่ คณะกรรมการอสิ ลามประจ�ำจงั หวดั ๓) ระดับมสั ยิด ได้แก่ คณะกรรมการอิสลามประจ�ำมัสยดิ 176 หลักสตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถน่ิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

เงนิ ค่าตอบแทนผู้บริหารมสั ยดิ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนประธานกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด อหิ มา่ ม คอเตบ็ และบหิ ลนั่ (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๒ ตำ� แหน่ง อัตรา/เดือน ก.  ประธานกรรมการอสิ ลามประจำ� จงั หวัด   (๑)  จังหวดั ขนาดใหญ่ ได้แก่ จังหวัดทมี่ มี สั ยิดตง้ั แต่ ๑๐๑ แห่งขนึ้ ไป (๒)  จงั หวดั ขนาดกลาง ไดแ้ ก่ จังหวัดทม่ี มี สั ยดิ ตั้งแต่ ๕๑ ถงึ ๑๐๐ แห่ง ๓,๕๐๐  บาท (๓)  จังหวดั ขนาดเลก็ ได้แก่ จงั หวดั ทมี่ ีมสั ยดิ ไมเ่ กนิ ๕๐ แห่ง ๒,๗๐๐  บาท ข.  อิหมา่ ม ๑,๙๐๐  บาท ค.  คอเตบ็ ๑,๒๐๐  บาท ง.  บหิ ล่นั ๑,๐๐๐  บาท ๑,๐๐๐  บาท ทำ� เนยี บจฬุ าราชมนตรแี หง่ ประเทศไทย ขอ้ มูลจากหนงั สือประวตั ิศาสตร์เก็บตกท่ีอิหรา่ น ยอ้ นรอยสายสัมพันธไ์ ทย-เปอร์เซีย กรนุ่ กลิ่นอารยธรรม เปอร์เซยี ในเมืองสยามโดย สดุ ารา สจุ ฉายา ระบุวา่ จฬุ าราชมนตรคี นแรก หรือปฐมจุฬาราชมนตรี คอื เจ้าพระยา บวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ท่านมีเชื้อชาติเปอร์เซีย เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๐๘๖ ณ ต�ำบลปาอิเนะชาฮาร เมืองกุม เมืองศูนย์กลางศาสนาอิสลาม ตั้งอยู่บนท่ีราบต�่ำทางตอนเหนือของเมืองแตหะรานประเทศอิหร่าน ท่านเปน็ มุสลมิ ชอี ะหอ์ ิษนาอะชะรยี ะห์ (สบิ สองอิมาม) การเดินทางสู่กรุงศรีอยุธยาในยุคสมัยของท่านเฉกอะหมัดน้ัน เป็นยุคที่โปรตุเกสเรืองอ�ำนาจทางทะเล ในแถบมหาสมุทรอินเดีย ท�ำให้พ่อค้าชาวพ้ืนเมืองต้องใช้เส้นทางขนส่งสินค้าทางบกเป็นช่วงๆ โดยเส้นทาง ท่ีเป็นไปได้ในการเดินทางจากอิหร่านเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาในสมัยน้ัน คือเดินเท้าจากเมืองแอสตะราบาดเข้าสู่แคว้น คุชราตในอินเดียตะวันตก จากน้ันเดินเท้าตัดข้ามประเทศอินเดียมายังฝั่งตะวันออกทางด้านโจฬะมณฑล แล้วลงเรอื ข้ามอา่ วเบงกอลและทะเลอนั ดามนั มายงั เมืองตะนาวศรี หรอื เมอื งมะริด แลว้ จงึ เขา้ สกู่ รงุ ศรอี ยธุ ยา ตอนปลายแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เฉกอะหมัดและบริวารได้เข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ตั้งบ้านเรือนและห้างร้านค้าขายอยู่ท่ีต�ำบลท่ากายี ท่านค้าขายจนกระทั่งมีฐานะเป็นเศรษฐีใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา และสมรสกบั ทา่ นเชย มีบตุ ร ๒ คน ธดิ า ๑ คน ล่วงมาถงึ ปลายแผ่นดนิ สมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรม ทา่ นเฉกอะหมัด ได้ช่วยปรับปรุงราชการกรมท่าจนได้ผลดี จึงสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดเกล้าฯ ให้เป็น “พระยาเฉกอะหมัด รัตนราชเศรษฐี” เจ้ากรมท่าขวาและจุฬาราชมนตรี นับได้ว่าท่านเป็นปฐมจุฬาราชมนตรี และเป็นผู้น�ำพาศาสนา อิสลามนิกายชีอะห์อิษนาอะชะรียะห์มาสู่ประเทศไทย ต่อมาท่านเฉกอะหมัดพร้อมมิตรสหายได้ร่วมใจกัน ปราบปรามชาวต่างชาติกลุ่มหน่ึงที่ก่อการจลาจลจะยึดพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็น “เจ้าพระยา เฉกอะหมัดรตั นาธบิ ดี” สมุหนายก อคั รมหาเสนาบดฝี า่ ยเหนือ 177หลักสูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถ่ินจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

ปลายแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง โปรดเกลา้ ฯ ใหท้ า่ นเฉกอะหมดั ซง่ึ มอี ายุ ๘๗ ปี เปน็ “เจา้ พระยา บวรราชนายก” จางวางกรมมหาดไทย ท่านถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๔ รวมอายุ ๘๘ ปี ท่านเป็นต้นสกุล ของไทยมุสลิมที่ส�ำคัญคือสกุลบุนนาคและอีกหลานสกุล เป็นต้นสกุลของเจ้าพระยาหลายท่านในระยะเวลาต่อมา อาทิ เจ้าพระยาอภัยราชา (ช่ืน) เจ้าพระยาช�ำนาญภักดี (สมบุญ) เจ้าพระยาเพชรพิไชย (ใจ) และที่มีบรรดาศักด์ิ เป็นสมเด็จเจ้าพระยาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ๓ ท่าน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต) และสมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาศรสี ุริยวงศ์ (ช่วง บนุ นาค) จฬุ าราชมนตรี เปน็ ตำ� แหนง่ ฝา่ ยมสุ ลมิ ใหข้ อ้ ปรกึ ษาดา้ นศาสนาอสิ ลามแกก่ รมการศาสนา มปี ระวตั มิ าแต่ คร้ังกรุงศรีอยุธยา ในท�ำเนียบศักดินาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถท�ำเนียบต�ำแหน่งขุนนาง ซ่ึงในช้ันหลัง เรียกวา่ กรมทา่ ขวา มี พระจุฬาราชมนตรี เปน็ หัวหน้าฝา่ ยแขก คกู่ ับหลวงโชฎกึ ราชเศรษฐี หัวหนา้ ฝา่ ยจีน ตอ่ มา หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต�ำแหน่งจุฬาราชมนตรีได้มีการเปล่ียนแปลงจากเดิมท่ีแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ และเปน็ คนในสายสกลุ เฉกอะหมดั ทน่ี บั ถอื นกิ ายชอี ะหม์ าตลอด เปน็ การเลอื กตง้ั โดยตวั แทนคณะกรรมการอสิ ลาม ประจ�ำจังหวดั และผู้ที่ได้รบั เลือกเปน็ ผ้นู ับถือนิกายสหุ นี่ซง่ึ เป็นชนส่วนใหญข่ องมสุ ลิม ประเทศไทย ตำ� แหนง่  “จฬุ าราชมนตรี” แหง่ ราชอาณาจักรไทย สมัยกรุงศรีอยุธยา ท�ำเนียบศักดินาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑ บอกว่า “จุฬาราชมนตรี” บางแห่งเรียกว่า “จุลาราชมนตรี” กรมท่าขวาเป็นหัวหน้าฝ่ายแขก ไม่ปรากฏตัวตนว่าเป็น ใครแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ. ๒๑๔๘ - ๒๑๖๓ ว่ามีตัวตนปรากฏอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นใครแต่ที่แน่ๆ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ. ๒๑๖๓ – ๒๑๗๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเฉกอะหะหมัด เขา้ รบั ราชการ มบี รรดาศกั ดเิ์ ปน็ พระยาเฉกอะหะหมดั รตั นราชเศรษฐี เจา้ กรมทา่ ขวา จงึ นบั ไดว้ า่ ทา่ นเฉกอะหะหมดั เปน็ ปฐมจฬุ าราชมนตรแี หง่ กรงุ สยาม ทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ ทงั้ กระทรวงการตา่ งประเทศ ควบคมุ เกย่ี วขอ้ งกบั ชาวตา่ งประเทศ การรบั แขกเมอื ง เกบ็ ภาษอี ากร สนิ คา้ ขาเขา้ สนิ คา้ ขาออก เรอ่ื งการเดนิ เรอื พาณชิ ยร์ ะหวา่ งประเทศกบั ควบคมุ ดแู ล เกย่ี วกับกิจการทางดา้ นศาสนาอิสลามในราชอาณาจกั รสยาม จฬุ าราชมนตรสี มยั กรงุ ศรีอยุธยา ๑. เจา้ พระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เป็นชาวเปอร์เซีย เป็นมุสลิมนิกายชีอะต์ อิสนาอะซะรี ด�ำรงต�ำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรชั สมยั พระเจา้ ทรงธรรม (พ.ศ. ๒๐๔๕ - ๒๑๗๐) จนถงึ รชั สมยั พระเจา้ ปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๓ - ๒๑๙๘) แห่งกรุงศรีอยุธยา สุสานของ ท่านต้ังอยู่ในบริเวณมหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนครศรอี ยธุ ยาในปจั จบุ ัน ๒. พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) เป็นบุตรของพระยาศรี เนาวรัตน์ มารดาชื่อท่านชี เป็นน้องชายของพระยาหาญณรงค์ (ยี) มีศักด์ิเป็นหลานของพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ด�ำรงต�ำแหน่ง จุฬาราชมนตรีในรชั สมัยพระนารายณม์ หาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๒๕) แหง่ กรงุ ศรอี ยุธยา 178 หลักสตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถิน่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

๓. พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) เป็นบุตรของเจ้าพระยาศรีไสยหาญณรงค์ (ยี) ในสายสกุลของท่าน เฉกอะหมดั ดำ� รงตำ� แหน่งจฬุ าราชมนตรใี นรัชสมัยพระเจ้าอยู่บรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ - ๒๓๐๑) แห่งกรงุ ศรอี ยุธยา ๔. พระยาจุฬาราชมนตรี (เชน) บตุ รเจา้ พระยาเพชรพิไชย (ใจ) สายสกุลทา่ นเฉกอะหมดั ดำ� รงตำ� แหน่ง จุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยสมเด็จพระที่น่ังสุริยาสน์อมรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศ (พ.ศ. ๒๓๐๑ - ๒๓๑๐) แหง่ กรุงศรอี ยธุ ยา จฬุ าราชมนตรีสมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ ๕. พระยาจฬุ าราชมนตรี (กอ้ นแกว้ -มฮุ มั มดั มะอซ์ มู ) เปน็ บตุ รพระยาจฬุ าราชมนตรี (เชน) ดำ� รงตำ� แหนง่ จุฬาราชมนตรใี นรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แหง่ กรุงรตั นโกสินทร์ ๖. พระยาจุฬาราชมนตรี (อากาหยี่) เป็นน้องชายพระยาจุฬาราชมนตรีก้อนแก้ว ด�ำรงต�ำแหน่ง จฬุ าราชมนตรใี นรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลัย แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ ๗. พระยาจฬุ าราชมนตรี (เถอื่ น-มฮุ มั มดั กอซมิ ) เปน็ บตุ รพระยาจฬุ าราชมนตรี (กอ้ นแกว้ ) ดำ� รงตำ� แหนง่ จฬุ าราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หวั แหง่ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ๘. พระยาจฬุ าราชมนตรี (นอ้ ย-มฮุ มั มดั บาเกร) เปน็ บตุ รพระยาจฬุ าราชมนตรี (อากาหย)ี่ ดำ� รงตำ� แหนง่ จุฬาราชมนตรีในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๙. พระยาจุฬาราชมนตรี (นาม-มุฮัมมัดตะกี) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (เถ่ือน) ด�ำรงต�ำแหน่ง จฬุ าราชมนตรีในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ๑๐. พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน-ฆุลามฮุเซน ต่อมาทายาทได้รับ พระราชทานนามสกลุ อหะหมดั จฬุ า) เปน็ บตุ รพระยาจฬุ าราชมนตรี (นาม) ด�ำรงต�ำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจา้ อยหู่ วั แหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ๑๑. พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยา จุฬาราชมนตรี (สนิ ) ดำ� รงตำ� แหน่งจฬุ าราชมนตรีในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผู้รับพระราชทาน นามสกุล “อหะหมัดจฬุ า” เม่ือวนั ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๔๕๖ 179หลกั สูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้)

๑๒. พระยาจุฬาราชมนตรี เกษม อหะหมัดจุฬา เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สัน) ด�ำรงต�ำแหน่ง จุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และด�ำรงต�ำแหน่งในสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่ ถึงสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั แหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ๑๓. พระยาจุฬาราชมนตรี สอน อหะหมัดจุฬา บุตรพระยา จุฬาราชมนตรีสัน (พ.ศ. ๒๔๗๓) ถือเป็นจุฬาราชมนตรีคนสุดท้าย ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านถึงแก่กรรม เมื่อวันท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ ๑๔. จุฬาราชมนตรี แช่ม พรหมยงค์ (ซัมซุดดีน มุสตาฟา) ท่านเป็นมุสลิมนิกายซุนนีย์คนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พ.ศ. ๒๔๘๘ ด�ำรงต�ำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๘ - ๒๔๙๐ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานนั ทมหิดล- ในหลวงรชั กาลที่ ๙ ๑๕. ต่วน สุวรรณศาสน์ (อิสมาแอล ยะห์ยาวี) โดยได้รับการโปรด เกล้าฯ แต่งตั้งหลังจากได้รับการเลือกตั้งจากคณะกรรมการอิสลาม ประจำ� จงั หวดั ๒๔ จงั หวดั ดำ� รงตำ� แหนง่ ในระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๕๒๔ ท่านเป็นมุสลิมนิกายซุนนีย์คนท่ี ๒ ที่ได้รับแต่งต้ังให้ด�ำรงต�ำแหน่ง จุฬาราชมนตรี ๑๖. ประเสรฐิ มะหะหมดั (อะ หมดั บนิ มะหะหมดั ) ดำ� รงตำ� แหนง่ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๔ ท่านเป็นมุสลิมนิกายซุนนีย์คนที่ ๓ ที่ได้รับ การแตง่ ต้ังให้ด�ำรงตำ� แหนง่ จุฬาราชมนตรรี ะหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๒๔ – ๒๕๔๐ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช (ในหลวงรชั กาลที่ ๙) 180 หลักสูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

๑๗. สวาสด์ิ สุมาลยศักดิ์ (อะหมัด บิน มะห์มูด ซัรกอวี) เขา้ ดำ� รงค์ตำ� แหนง่ เมือ่ วนั ท่ี ๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๐ ทา่ นเปน็ จุฬาราชมนตรี คนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กร ศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐ และเป็นประธานกรรมการกลางอิสลาม แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับคัดเลือกจากคณะกรรมการอิสลามประจ�ำ จังหวัด จ�ำนวน ๒๙ จังหวัด และได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้ง เม่ือวันท่ี ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ด�ำรงต�ำแหน่งตั้งแต่ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๐ - ๒๕๕๓ ๑๘. อาศิส พิทักษ์คุมพล เข้ารับต�ำแหน่งจุฬาราชมนตรี เม่ือวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ปัจจุบัน 181หลักสตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถนิ่ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

จ�ำนวนจังหวดั ที่มคี ณะกรรมการอิสลามประจำ� จังหวัด คณะอิสลามประจ�ำจังหวัด ตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป มีกรรมการที่ได้รับเลือก ใหเ้ ป็นประธานกรรมการ มี ๓๖ จังหวัด ดงั ตอ่ ไปน๑ี้ ภาคกลาง มี ๑๕ จังหวัด ได้แก่จังหวดั ล�ำดบั ที่ จังหวัด ชอ่ื และที่อยู่ประธาน ทอ่ี ยู่สำ� นกั งาน ๑ กรุงเทพมหานคร นายอรณุ บญุ ชม ๔๕ หมู่ ๓ ถนนคลองเกา้ แขวงคลองสบิ เขตหนองจอก กรงุ เทพมหานคร ๑๐๕๓๐ โทร. ๐-๒๙๔๙-๔๑๘๗, ๐-๙๔๙-๔๒๕๙ ๒. ชะชงิ เทรา นายอรุณ อซี อ ๔๕ หมู่ ๗ ต�ำบลหมอนทอง ๑/๑ หมทู่ ่ี ๑๔ ต�ำบลดอนฉมิ พลี อำ� เภอบางน้ำ� เปรี้ยว จงั หวัดฉะเชิงเทรา อำ� เภอบางน้�ำเปร้ียว จังหวดั ฉะเชงิ เทรา ๒๔๑๕๐ ๒๔๑๕๐ ๓. นครนายก นายอบั บาส อตุ สาหะ ๔๓ หมู่ ๕ ตำ� บลชุมพล อำ� เภอองค์รักษ์ ๒๙/๑ หมู่ ๑๑ ต�ำบลองค์รักษ์ จงั หวดั นครนายก ๒๖๑๒๐ จังหวัดนครนายก ๒๖๑๒๐ ๔. ปทมุ ธานี นายสนัน่ ล�ำ้ ประเสรฐิ ๕ หมู่ ๒ บึงคอไห อ�ำเภอลำ� ลูกกา จังหวดั ปทมุ ธานี ๑๒๑๕๐ มือถอื ๐-๑๘๖๙-๒๓๗๕ ๕. ประจวบคีรขี ันธ์ นายยซู บ โตะ๊ วัง ๕ หมู่ ๑๐ ตำ� บลอ่าวนอ้ ย อ�ำเภอเมอื ง ๓๔๖ หมู่ ๑๐ ตำ� บลอา่ วนอ้ ย อำ� เภอเมอื ง จังหวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ๗๗๒๑๐ จังหวดั ประจวบคีรขี ันธ์ ๗๗๒๑๐ มือถอื ๐-๑๘๕๖-๖๑๗๓ ๖. พระนครศรอี ยธุ ยา นายประดษิ ฐ์ รตั นโกมล มัสยิดอะมาดยี ะห์ หมู่ ๑ ๑๙/๑ หมู่ ๑ ตำ� บลพระยาบนั ลอื อำ� เภอ ต�ำบลพระยาบนั ลอื อำ� เภอลาดบงั หลวง ลาดบัวหลวง จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ๑๓๒๓๐ ๑๓๒๓๐ มอื ถอื ๐-๑๘๖๖-๐๒๑๘ ๗. เพชรบุรี นายซอ้ น โครงเซน็ มสั ยดิ จรงุ อสิ ลาม ๖/๑ ตำ� บลทา่ แรง้ ออก ๖๐ หมู่ ๒ ตำ� บลทา่ แรง้ อำ� เภอบา้ นแหลม อำ� เภอบา้ นแหลม จงั หวดั เพชรบรุ ี ๗๖๑๑๐ จังหวดั เพชรบรุ ี ๗๖๑๑๐ โทร. ๐-๓๒๔๒-๘๒๕๑ มือถอื ๐-๑๘๔๔-๖๐๗๕ ๘. สมุทรปราการ นายไพศาล พรหมยงค์ บรษิ ทั ๓๑ อารต์ แอนด์ ดไี ซน์ จำ� กดั ๓๑ บรษิ ทั ๓๑ อารต์ แอนด์ ดไี ซน์ จำ� กดั ๓๑ หมู่๑๙ ซอยสขุ มุ สวสั ด์ิ ๓๙/๑ ตำ� บลบางพง่ึ หมู่๑๙ ซอยสขุ มุ สวสั ด์ิ ๓๙/๑ ตำ� บลบางพง่ึ อำ� เภอพระปะแดง จงั หวดั สมทุ รปราการ อำ� เภอพระปะแดง จงั หวดั สมทุ รปราการ ๑๐๑๓ โทร. ๐-๒๔๖๓-๒๔๑๓-๔. ๑๐๑๓๐ โทร. ๐-๒๔๖๓-๒๔๑๓-๔, ๐-๒๔๖๒-๗๙๗๗ ๐-๒๔๖๒-๗๙๗๗ ๑ ประกาศรายช่ือผู้ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัด และผู้ได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และเลขานุการ ดังกล่าวข้างต้น มาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกันประกาศ ณ วันท่ี ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ลงชื่อ ยงยทุ ธ วชิ ยั ดิษฐ รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงมหาดไทย 182 หลักสตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถ่ินจังหวัดชายแดนภาคใต)้

ลำ� ดับที่ จังหวดั ชอ่ื และทีอ่ ยู่ประธาน ทอ่ี ยู่สำ� นักงาน ๙. ลพบุรี ๑๐. สระบรุ ี นายวีระศักดิ์ แสงวมิ าน มัสยิดนูรุ้ลมุฮายีรีน ( บ้านสวน) ๖๑/๒ หมู่ ๒ ต�ำบลถนนใหญ่ อ�ำเภอเมือง ๑๑. กาญจนบุรี จังหวดั ลพบุรี ๑๕๐๐๐ นาย เสน่ห์ พงษส์ วา่ ง ๒ ซอย๑๔ ถนนพิชัยรณรงค์สงคราม ๒ ซอย๑๔ ถนนพิชัยรณรงค์สงคราม ปากเปรียว อ�ำเภอเมือง จังหวัดสะบุรี ปากเปรียว อ�ำเภอเมือง จังหวัดสะบุรี ๑๘๐๐๐ โทร. ๐-๓๖๒๑-๑๘๑๓ ๑๘๐๐๐ โทร. ๐-๓๖๒๑-๑๘๑๓ นายลขิ ติ ปาทาน ๙๖๒ หมู่ ๓ ถนนแสงโต ต�ำบลท่าม่วง อ�ำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑๑๑๐ โทร. ๐-๓๔๖๑-๑๑๔๘ ๑๒. นนทบุรี นายอรุน วนั แอเลาะ มสั ยดิ นะ๊ อฏ์ อตลุ๊ อสิ ลาม ๒ ตำ� บลละหาร ๓๓/๑ หมู่ ๔ ต�ำบลละหาร อ�ำเภอ อำ� เภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบรุ ี ๑๑๑๑๐ บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ๑๑๑๑๐ โทร. ๐-๒๕๗๑-๗๗๕๗, ๐-๒๕๑-๑๗๙๖ โทร. ๐-๒๕๗๑-๑๗๙๖, ๐-๒๕๗๑-๗๗๕๗ ๑๓ นครสวรรค์ (ปธ) นายอุสมาน งามสมชาติ ๑๔. ราชบุรี นายอดิศักด์ิ ภทั รโชคชยั ๑๕. อ่างทอง นายบุญเสรมิ หนทู อง ภาคใต้ มี ๑๔ จงั หวดั ได้แก่ จังหวดั ลำ� ดับที่ จังหวดั ชื่อและท่อี ยปู่ ระธาน ที่อยู่สำ� นักงาน ๑. กระบ่ี นายอัสนาวี มุครุ ะ ๒๕/๑ ถนนสุขส�ำราญ ต�ำบลปากน้�ำ อำ� เภอเมือง จังหวัด กระบี่ ๘๑๐๐๐ โทร. ๐-๗๕๖๓-๑๙๖๗ ๒. ชุมพร นายยาซิ นรินทร ๔ หมู่ ๔ นคิ มทา่ แซะ ซอย ๑ ตำ� บลทา่ แซะ ๕๐/๘ หมู่ ๑๓ ซอย ๒ ต�ำบลท่าแซะ อำ� เภอท่าแซะ จังหวัดชมุ พร ๘๖๑๔๐ อ�ำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ๘๖๑๔๐ โทร. ๐-๗๗๕๙-๙๖๗๕ โทร. ๐๗๗๕๙-๙๕๐๐ ๓. ตรงั นายหนอด ตู้ด�ำ ๒๒๒/๒๕ ถนนกันตัง อ�ำเภอปะเหลียน ๑๒๔/๒ หมู่ ๘ ต�ำบลปะเหลียน จังหวดั ตรงั ๙๒๐๐๐ อำ� เภอเมอื ง จังหวัดตรงั ๙๒๑๘๐ โทร. ๐-๗๕๒๑-๔๖๙๐ (นายอเุ สน็ กะกา ) ๔. นครศรธี รรมราช นายเอกชยั ดารากยั ๔๒/๒ หมู่ ๓ ต�ำบลโพธิเ์ สด็จ ๔๒/๒ หมู่ ๓ ตำ� บลโพธเิ์ สดจ็ อำ� เภอเมอื ง อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จงั หวัดนครศรธี รรมราช ๘๐๑๖๐ ๘๐๑๖๐ 183หลักสูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่นจังหวดั ชายแดนภาคใต)้

ล�ำดับท่ี จังหวดั ช่ือและทอ่ี ยปู่ ระธาน ท่ีอยสู่ ำ� นกั งาน ๕. นราธิวาส ๖. ปตั ตานี นายซาฟอี ี เจะ๊ เลาะ ถนนพิชิตบำ� รุง ต�ำบลบางนาค อ�ำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ๙๖๑๘๐ ๗. พงั งา โทร. ๐-๗๓๕๑-๑๐๖๑ ๘. พทั ลุง ๙. ภูเก็ต นายแวดือแม มะมิงจิ ๓๙ ถนนกาลาพอ ต�ำบลอาเนาะรู ๔/๑ หมู่ ๕ ถนนพระยาเมือง ต�ำบล อ�ำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ๙๔๐๐๐ ๑๐. ยะลา รูสะมิแล อ�ำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี โทร. ๐-๗๓๓๔-๙๒๒๘, ๐-๗๓๓๔-๙๗๔๒ ๑๑. ระนอง ๙๔๐๐๐ โทร ๐-๗๓๓๓-๒๑๔๓ ๑๒. สงขลา นายอะหมดั และเยาะ ๒/๑ หมู่ ๑ ตำ� บล คลองเคียน ๑๓. สตลู อ�ำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ๘๒๑๖๐ ๑๔. สุราษฎร์ธานี โทร. ๐-๗๖๔๑-๙๐๐๗ นายสุบหยาน ยีหรีม ๖ ตำ� บลแม่ขรี อ�ำเภอตะโหมด จังหวดั พัทลุง ๙๓๑๖๐ โทร. ๐-๗๔๖๙-๕๐๕๑ จ.ส.ต.โกมล ดุมลกั ษณ์ ๕๗/๒๘ หมู่ ๕ ถนนเทพกษตั รี นายบงั รุง สำ� เภารัตน์ ต�ำบลเกาะแก้ว อ�ำเภอเมือง ๑๗๕ หมู่ ๒ ซอยแหลมมะพร้าว จังหวดั ภเู กต็ ๘๓๒๐๐ ถนนเทพกษตั รี ต�ำไม้ขาว อ�ำเภอถลาง โทร. ๐-๗๖๒๒-๔๔๓๖ จงั หวดั ภเู ก็ต ๘๓๑๔๐ โทรสาร. ๐-๗๖๒๐-๖๐๘๓ โทร. ๐-๗๖๒๐-๖๐๘๓ นายสะมะแอ ฮารี ถนนผงั เมือง ๕ ต�ำบลสะแตง อ�ำเภอเมือง จงั หวัดยะลา ๙๕๐๐๐ โทร. ๐-๗๓๒๑-๓๒๒๕, ๐-๗๓๒๔-๗๐๖๔ นายทรงศกั ดิ์ หมานจิตร ตู้ ป.ณ. ๑๐๑ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ระนอง ๑๔/๓ หมู่ ๓ ต�ำบลก�ำพวน ๘๕๐๐๐ อำ� เภอสขุ สำ� ราญ จงั หวดั ระนอง ๘๕๑๒๐ โทร. ๐-๗๗๘๑-๒๙๐๒ . โทร. ๐-๗๗๘๔-๔๐๗๒ โทรสาร. ๐-๗๗๗๘๒-๒๑๔๖ (ลขานกุ าร) นายศักด์กิ รียา บิลแสละ ๖๕๘ ซอย ๔๑ ถนนเพชรเกษม ต�ำบลควนลงั อ�ำเภอหาดใหญ่ จงั หวัดสงขลา ๙๐๑๑๐ นายหมาน มาราสา ๒๘๒ หมู่๑ ถนนยนตรการกำ� ธร ตำ� บลฉลงุ อำ� เภอเมือง จังหวัดสตลู ๙๑๑๔๐ โทร. ๐-๗๔๗๙-๙๓๓๘ นายรอมฎนั หะสาเมาะ ๒๘/๕ หมู่ ๔ ตำ� บลบางกุ้ง อำ� เภอเมือง จงั หวัดสุราษฎร์ธานี ๘๔๐๐๐ โทร.๐-๗๗๒๒-๕๐๘๓-๗ 184 หลกั สูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

ภาคเหนือ มี ๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวดั ล�ำดับท่ี จังหวัด ชื่อและท่ีอยปู่ ระธาน ทีอ่ ยสู่ ำ� นักงาน ๑. เชียงใหม่ นายกวินธร วงศ์ลือเกียรติ ๘๐ โรงเรียนจิตต์ภักดี ถนนหน้าวัดเกตุ ซอย ๑ ต�ำบลหน้าวัดเกตุ อ�ำเภอเมือง ๒. เชยี งราย นายราชัน รจุ พิ รรณ จงั หวดั เชยี งใหม่ ๕๐๐๐๐ โทร. ๐-๕๓๒๔-๗๖๖๗ ๓. ตาก นายด�ำรง กะลำ� คาร ๙๑ หมู่ ๒๐ ตำ� บลรอบเวยี ง อำ� เภอเมอื ง นายเกษม นาเงิน จงั หวัดเชยี งราย ๕๗๐๐๐ ๘๗/๑ ถนน มหาดไทยบำ� รงุ โทร. ๐-๕๓๗๔-๘๙๙๙ ต�ำบลหนองหลวง อำ� เภอเมอื ง ๘๗/๑ ถนนมหาดไทยบำ� รงุ จงั หวดั ตาก ๖๓๐๐๐ ตำ� บลหนองหลวง อ�ำเภอเมือง โทร. ๐-๕๕๕๑-๒๓๕๐ จังหวดั ตาก ๖๓๐๐๐ โทร. ๐-๕๕๕๑-๒๓๕๐ ภาคตะวันออก มี ๓ จังหวดั ไดแ้ ก่ จงั หวดั ลำ� ดับท่ี จงั หวัด ช่อื และทอี่ ยู่ประธาน ท่ีอยู่ส�ำนักงาน มสั ยิดยามอี ุลอิสลาม ๒๔ หมู่ ๖ ๑. ชลบรุ ี นายสมหวงั ขำ� หลี ตำ� บลหนองปรอื อำ� เภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ๒๐๑๕๐ ๒. ตราด นายสมาน อาด�ำ โทร. ๐-๓๘๗๓-๐๒๒๒, ๐-๓๘๔๑-๒๑๖๕ ๓. ระยอง ๒๔ หมู่ ๒ ต�ำบลเทพนิมติ ร ๒๔ หมู่ ๒ ตำ� บลเทพนมิ ิตร อำ� เภอเขาสมิง จังหวัดตราด ๒๓๑๕๐ อ�ำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด ๒๓๑๕๐ มอื ถอื ๐-๙๐๐๔-๕๗๕๐ โทร. ๐-๓๙๕๓-๐๕๘๒ นายไพศาล อบั ดุลลอ โทร. เลขา ๐-๖๐๖๒-๕๑๐๑ ๑๒๘/๑ ถนนตากสนิ มหาราชา ตำ� บลท่าประดู่ อำ� เภอเมือง จงั หวดั ระยอง ๒๑๐๐๐ โทร. ๐-๘๘๗-๒๐๗๘, ๐-๓๘๘๗-๗๘๗๐ 185หลักสูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตร์ทอ้ งถ่ินจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

๒. ด้านการศึกษา รัฐบาลไดใ้ ห้ความสำ� คญั กบั การจัดการศกึ ษาในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ดงั นี้ ๒.๑ สทิ ธเิ สรีภาพและโอกาสการได้รับการศกึ ษา ประชาชนในพื้นท่ีสามจังหวัดชายแดนใต้ได้รับสิทธิเสรีภาพและโอกาสการได้รับการศึกษาทุกภาค และทุกระดับการศึกษา คือ ภาคอิสลามศึกษา สามัญศึกษาและอาชีวศึกษา ทั้งระดับปฐมวัยระดับการศึกษา ขนั้ พน้ื ฐานและระดับอดุ มศึกษา โดยท่ฝี ่ายรัฐไดใ้ หส้ ิทธิและโอกาสศกึ ษาทัง้ ในและต่างประเทศได้อยา่ งเสรี ๒.๒ สิทธิเสรีภาพและโอกาสการให้จัดการศึกษา ประชาชนในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนใต้ได้รับสิทธิเสรีภาพและโอกาสให้เป็นผู้จัดการศึกษาประเภท โรงเรียนเอกชนท้ังในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัยการ ส�ำหรับโรงเรียนในระบบรัฐได้ให้โอกาสจัดต้ัง สถานศึกษาทุกประเภทและทุกระดับ ในขณะเดียวกันรัฐได้ให้การสนับสนุนด้านการเงินงบประมาณในการจัด การศกึ ษาเปน็ อย่างดี การจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนใต้ มีผู้จัดสองส่วน คือ ส่วนที่หน่ึงเป็นการศึกษาที่ภาครัฐบาล เป็นผู้จัดการศึกษา อันเป็นพันธกิจของชาติที่ต้องจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนท่ัวประเทศอย่างเท่าเทียม และท่ัวถึง ส่วนที่สองเป็นการศึกษาที่ภาคเอกชนเป็นผู้จัดการศึกษาอันเป็นพันธกิจเชิงสังคมที่เอกชนอาสา เพ่ือมีหุ้นส่วนในการจัดการการศึกษาแก่เยาวชนตามบริบทของภาคเอกชนน้ัน ๆโดยที่รัฐเป็นผู้ก�ำกับดูแล และสนบั สนนุ งบประมาณตามความเหมาะสมและความจำ� เปน็ ในสว่ นทภ่ี าคเอกชนเปน็ ผจู้ ดั การศกึ ษา นอกจากรฐั ไดก้ ำ� กบั ดแู ลแลว้ รฐั ไดใ้ หก้ ารสนบั สนนุ ดา้ นการเงนิ หรือเงินอุดหนุนแก่โรงเรียนเอกชนของมุสลิมท้ังประเภทสามัญศึกษาและอิสลามศึกษาเหมือนกับที่โรงเรียน ท่ีศาสนิกอื่นจัดอย่างเท่าเทียมกัน ส�ำหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม รัฐได้สนับสนุนทางการเงินที่รัฐ ต้องจ่ายเงิน เพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยได้จัดงบประมาณต่อเดือนต่อปีเป็นเงินจ�ำนวนมหาศาล ส�ำหรบั สนบั สนุนในกิจกรรมต่าง ๆ ต่อไปนี้ ๑) เงนิ สนับอดุ หนุนรายคน ๒) เงินอดุ หนุนเรียนฟรี ๑๕ ปี ๒) เงินค่าครองชพี และสวัสดกิ ารครู ๔) เงนิ ยมื สร้างอาคารเรียน ๕) ทนุ การศึกษาที่รฐั ใหก้ ับนักศกึ ษามุสลมิ ตัวอย่างทุนการศึกษาจากกระทรวงมหาดไทย ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วย เงินทุนอุดหนุนการศึกษาแก่นักศึกษาชาวไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนใต้เข้าศึกษาต่อในสถาบันวันทนา รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงมหาดไทยในขณะน้ัน 186 หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

๓. ด้านวฒั นธรรม รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย สว่ นท่ี ๑๒ สทิ ธชิ มุ นมุ มาตรา ๖๖ ได้กำ� หนดวา่ “บคุ คลซง่ึ รวมตวั กนั เป็นชุมนุม ชุมชนท้องถ่ินหรือชุมชนท้องถ่ินด้ังเดิม ย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญา ท้องถ่ิน ศิลปวัฒนธรรมอันดีของท้องถ่ินและของชาติ ส่ิงแวดล้อมรวมท้ังความหลากหลายทางชีวภาพ อยา่ งสมดลุ และย่ังยืน” สิทธิเสรีภาพที่ปวงชนชาวไทยได้รับจากมาตราน้ีนั้น เมื่อค�ำนึงถึงวิถีชีวิตของความเป็นมุสลิม แล้วต้องปฏิบัติตามวิถีศาสนาอิสลามเป็นหลัก ชวนวัฒนธรรมเป็นวิถีรองท่ีต้องเลือกปฏิบัติโดยต้องค�ำนึงถึง ความเปน็ ทอี่ นญุ าตและไมเ่ ปน็ ทอ่ี นญุ าตของศาสนาอสิ ลามเปน็ สำ� คญั เชน่ วฒั นธรรมดา้ นปจั จยั พน้ื ฐานในการดำ� รงชวี ติ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย รักษาโรค และเคร่ืองอ�ำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งมีส่ิงท่ีอิสลามอนุญาต และไม่อนุญาตโดยหลักการท่ีต้องพิจารณาอย่างละเอียดอ่อนมาก มิฉะนั้นแล้วจะขัดกับหลักค�ำสอนของศาสนา ในท�ำนองเดียวกันกับ ประเพณีต่างๆ เช่นประเพณีงานแต่งงานประเพณีการจัดหรือหารายได้เพื่อการกุศล เรื่อง ศิลปะและการแสดงตา่ งๆ ลว้ นแตต่ อ้ งค�ำนึงถึงหลักการเป็นทีอ่ นุญาตหรือเปน็ ท่ีไม่อนุญาตของศาสนาเปน็ สำ� คัญ การทมี่ นษุ ยอ์ ยรู่ ว่ มกนั เปน็ กลมุ่ ชมุ ชน สงั คม ขนึ้ มา ยอ่ มตอ้ งมที ง้ั ความเหมอื นและความตา่ ง แตถ่ งึ กระนนั้ กย็ งั คงมคี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมาชกิ ของสงั คม ทงั้ ทเ่ี ปน็ ชาวบา้ น ชาวเมอื ง แมจ้ ะแตกตา่ งกนั ในเรอื่ งของวฒั นธรรม แตส่ ง่ิ จำ� เปน็ กต็ อ้ งมรี ะเบยี บแบบแผนทค่ี วบคมุ พฤตกิ รรมของสมาชกิ ในกลมุ่ ใหอ้ ยใู่ นขอบเขตใหอ้ ยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ ง มีความสุข และส่ิงจ�ำเป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของคนกลุ่มน้ี ก็คือส่ิงที่เรียกว่า วัฒนธรรม เพราะวฒั นธรรมเปรยี บเสมอื นอาภรณป์ ระดบั กายหอ่ หมุ้ เรอื นรา่ ง ใหด้ สู วยงามเปน็ เอกลกั ษณท์ ส่ี รา้ งความเปน็ ทน่ี า่ รจู้ กั เป็นวิถีชีวิตท่ีถูกเลือก ท่ีได้รับการสร้างสรรค์จากความรู้ ความเช่ือ ความเข้าใจ มาเป็นเกราะป้องกันการรุกราน จากภายนอก เป็นการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของกลุ่มชน ที่มีความหลากหลายท้ังด้านความรู้ วธิ คี ดิ ความเชอื่ และความศรทั ธาตอ่ ศาสนา ความตา่ งทางวฒั นธรรมในจงั หวดั ชายแดนใต้ จงึ เปน็ แคค่ วามแตกตา่ ง ไม่ใช่ความแตกแยก เพราะคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงมีฐานะเป็นคนไทยไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนา และภาษาใดเม่ือเกิดบนผืนแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเกิดในภูมิภาคใดของประเทศ พวกเขาก็จะได้รับสิทธิเสรีภาพ ในฐานะทเ่ี ปน็ คนไทยในทกุ ๆ ด้านอย่างเทา่ เทยี มกัน ๔. ด้านการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครองประเทศไทยเป็นการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ได้ให้สิทธิเสรีภาพและโอกาสแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นนักการเมืองนัก การปกครองทงั้ ในระดบั ชาตแิ ละระดับท้องถน่ิ อย่างเสรตี ามแต่ความสามารถของแตล่ ะบคุ คล อ�ำนาจการปกครองระดับชาติอันมีสามอ�ำนาจคืออ�ำนาจนิติบัญญัติซ่ึงมีสภานิติบัญญัติก�ำหนดกฎหมาย ของแผ่นดิน อ�ำนาจบริหารซึ่งมีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารกิจการของชาติและอ�ำนาจตุลาการ ซ่ึงมีศาลต่างๆ เป็นฝ่ายก�ำกับดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความยุติธรรมของสังคมไทย ในการใช้อ�ำนาจดังกล่าวมีบุคคล ที่เป็นตัวแทนของชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นับถือศาสนาอิสลามหลายคน ท่ีเคยรับต�ำแหน่งเป็นประมุข หรือประธานสภานิติบัญญัติและเป็นสมาชิกรัฐสภาซึ่งเป็นส่วนของสภานิติบัญญัติ นอกจากน้ันยังมีผู้ที่เคย ดำ� รงตำ� แหนง่ รองนายกรฐั มนตรแี ละรฐั มนตรใี นบางกระทรวงซง่ึ เปน็ สว่ นของอำ� นาจบรหิ ารหลายคน สง่ิ นไ้ี ดส้ ะทอ้ น ให้เห็นวา่ นค่ี อื สทิ ธิเสรีภาพ และโอกาสทคี่ นในจงั หวัดชายแดนใต้ไดร้ บั จากวิถไี ทย 187หลกั สตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

ส�ำหรับการเมืองการปกครองระดับภูมิภาคนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๒๘๒ และหรอื รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ไดก้ �ำหนดว่า “ภายใต้บังคบั มาตรา ๑ รัฐจะตอ้ งใหค้ วามอสิ ระแก่องคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ ตามหลัก แห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น และส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เป็นหนว่ ยงานหลักในการจดั ท�ำบริการสาธารณะ และมสี ว่ นร่วมในการตัดสินใจในการแก้ปัญหาในพื้นท่ี” ๕. ด้านเศรษฐกิจและสังคม สภาพภูมิศาสตร์ท่ีอุดมสมบูรณ์ มีทะเล มีภูเขา มีแม่น้�ำล�ำธาร ของพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ นับเป็นสิ่งเส้ือต่อการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจต่างๆ ท่ีม่ันคงและย่ังยืน ประชาชนมีสิทธิและได้ใช้โอกาส ด้านอสังหาริมทรัพย์ ท่ีสามารถครอบครองที่ดินและสิ่งก่อสร้างตามกฎหมายได้ตามศักยภาพ สามารถใช้ท่ีดิน ในครอบครองเพื่อสร้างเศรษฐกิจในการประกอบอาชีพด้านท�ำธุรกิจและการค้าขาย การเกษตรท่ีมีสวนยาง สวนมะพร้าวและพชื ผลไม้นานาชนิด ดา้ นการประมงท่มี กี ารจบั ปลาทะเล เลย้ี งปลาดุกปลากระพงและ กงุ้ กลุ าดำ� อย่างแพร่หลาย ด้านการปศุสัตว์ที่มีการเล้ียงวัว เล้ียงแพะและแกะส�ำหรับขายและบริโภคท่ัวพ้ืนท่ี ดา้ นกจิ การโรงงานอตุ สาหกรรม โดยเฉพาะอตุ สาหกรรมการจบั ปลาในอา่ วไทยรวมทง้ั ในทะเลจนี ใต้ ทะเลอนิ โดนเี ซยี มาเลเซีย เพื่อการค้าและน�ำเข้าสู่โรงงานผลิตอาหารปลากระป๋องที่ได้รับเครื่องหมายหรือตรา ฮาลาล (อนุญาต) สำ� หรับมสุ ลมิ บรโิ ภค ที่สามารถขายสง่ ในตลาดทั่วประเทศและประเทศมุสลมิ ทวั่ โลกไดอ้ ย่างภาคภูมใิ จ บทสรุป บนแผ่นดินคาบสมุทรท่ีเรียกว่าแหลมมลายูที่เป็นภาคใต้ของไทย ได้เปลี่ยนผ่านมาหลายยุคสมัย เพราะบนคาบสมทุ รแหง่ นมี้ อี าณาจกั รโบราณอยหู่ ลายแหง่ ปรากฏรอ่ งรอยของอารยธรรมทเี่ หน็ มาถงึ ทกุ วนั นี้ เปน็ ตน้ ว่าอาณาจักรศรีวิชัยท่ีมีศูนย์กลางท่ีบริเวณอ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อาณาจักรตามพรลิงค์ที่มีเมืองลิกอร์ เป็นศูนย์รวมแห่งความเจริญ คือ นครศรีธรรมราชในปัจจุบัน เคลื่อนลงมาทางใต้สุดเป็นอาณาจักรโบราณ อกี แหง่ หนงึ่ คอื อาณาจกั รลงั กาสกุ ะทมี่ พี น้ื ทค่ี รอบคลมุ ๓ จงั หวดั ชายแดนภาคใตแ้ ละบางสว่ นของประเทศมาเลเซยี ในปัจจุบัน พื้นที่ทั้งคาบสมุทรและอารยธรรมฮินดู-พราหมณ์ และพุทธได้แทรกซึมอย่างลึกมานานนับพันปี แต่ต่อมาได้เปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคของอารยธรรมอิสลามท่ีเข้ามาแทนที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาณาจักรลังกาสุกะ ในช่วงปลายจนค่อยๆ กลายเป็นอาณาจักรปาตานีดารุสสลาม ซ่ึงนับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ท�ำให้ประชากร ในจังหวัดชายแดนใต้นับถือศาสนาอิสลามมากข้ึนในอัตราส่วนท่ีมากกว่าศาสนาอ่ืนๆ กระนั้นก็ตาม แม้จะนับถือ ศาสนาต่างกันก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความเข้าใจท่ีดีต่อกัน เพราะวัฒนธรรมเดิมกับวัฒนธรรมใหม่ได้ ผสมผสานกันตามความเหมาะสม ไม่ไดเ้ ป็นอปุ สรรคต่อการอยู่รว่ มกนั แต่อยา่ งใด 188 หลกั สตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถนิ่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook