Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

Published by croonui, 2022-03-10 08:34:09

Description: รูปเล่มสมบูรณ์ พหุวัฒนธรรม ๒๕๖๓

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๑ บทนำ� หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงท�ำการปราบดาภิเษกข้ึนเป็น พระมหากษัตริย์ไทยแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เม่ือวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ พระองค์ได้ทรงสร้าง เมอื งหลวงใหมข่ น้ึ ทางตะวนั ออกของแมน่ ำ�้ เจา้ พระยา ดว้ ยเหน็ วา่ กรงุ ธนบรุ มี พี นื้ ทคี่ บั แคบ ไมส่ ามารถขยายเมอื งได้ เมอื งหลวงใหมน่ มี้ ชี อื่ วา่ “กรงุ เทพมหานคร บวรรตั นโกสนิ ทร์ มหนิ ทรายทุ ธยา มหาดลิ กภพ นพรตั นร์ าชธานบี รุ รี มย์ อุดมราชนิเวศมหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์” ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๔ ไดเ้ ปลย่ี นค�ำว่าบวรรตั นโกสินทร์ เป็น อมรรตั นโกสินทร์ ดงั นั้นจึงเรียกสมัยนว้ี ่า สมัยรตั นโกสินทร์ พระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ จนถึงพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ สังคมไทยยังใช้รูปแบบตามอย่างสมัยอยุธยาตอนปลายและสมัยธนบุรี แตก่ ม็ กี ารดดั แปลงบา้ งบางอยา่ ง และแมว้ า่ ในสมยั รชั กาลท่ี ๔ เรม่ิ รปู แบบจากทางตะวนั ตกเขา้ มาใชบ้ า้ งแลว้ กต็ าม แต่ยังไม่นับว่าเข้าสู่ยุคใหม่ ถือเป็นช่วงหัวเล้ียวหัวต่อระหว่างสมัยเก่ากับสมัยใหม่ จึงเรียกช่วงสมัยนี้ว่า สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ยังคงต�ำแหน่งสูงสุดของสังคมและปกครองประเทศเป็น ผทู้ รงไวซ้ ึง่ อำ� นาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รองลงมา คือ พระมหาอปุ ราชซง่ึ เป็นเจ้าวงั หน้า ต�ำแหน่งกรมพระราชวัง บวรสถานมงคล และกรมเจ้านายหรือพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งเป็นผู้สืบเช้ือสายใกล้ชิดของพระมหากษัตริย์ มีต�ำแหนง่ ลดหล่ันกันลงมา ถัดมา คือ กลุ่มขนุ นาง ไพร่ และทาส 191หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้)

พระบรมรปู พระมหากษตั ริย์ไทยสมัยรัตนโกสนิ ทรท์ ปี่ ราสาทพระเทพบิดร การจัดระเบียบการปกครอง มีสมุหนายกหรือสมุหนายกมหาดไทยเป็นผู้ดูแลปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทง้ั ปวง ทง้ั สองตำ� แหนง่ ถอื เปน็ อคั รมหาเสนาบดกี รมทา่ (ในกรมพระคลงั ) ดแู ลปกครองหวั เมอื งชายทะเลตะวนั ออก ต่อจากนั้นยังมีอีก ๔ ต�ำแหน่งรองลงมา รวมเรียกว่า เสนาบดีจตุสดมภ์ ประกอบด้วย เสนาบดีกรมเมืองหรือ กรมเวยี ง หรอื นครบาล ดูแลความสงบเรียบรอ้ ยภายในพระนคร เสนาบดกี รมวงั ดูแลพระราชวัง พระราชพิธีต่างๆ รวมถึงดูแลคดีความท่ีเกิดข้ึนในเขตพระราชวัง เสนาบดีกรมพระคลัง ควบคุมดูแลการจัดเก็บภาษีอากร มีหน่วยงานย่อย ๒ กรม คือ กรมท่าซ้าย ดูแลการค้ากับจีนและชาติทางตะวันออก และกรมท่าขวา ดูแลการค้า กบั อนิ เดยี อาหรบั และชาตติ ะวนั ตกและเสนาบดกี รมนา ดแู ลสง่ เสรมิ การทำ� ไรน่ าของราษฎร ทนี่ าหลวง เกบ็ ภาษขี า้ ว และพิจารณาคดีความเก่ียวกับท่ีนา ส่วนหัวเมืองประเทศราชหรือดินแดนที่มีประชาชนพลเมืองเป็นชนชาติอื่น มีกษัตริย์ของตนเองเป็นผู้ปกครอง เพียงแต่ยอมถวายความสวามิภักดิ์ มีเครื่องราชบรรณาการดอกไม้ทองเงิน มาเป็นประจ�ำปี เช่น กัมพูชา ราชอาณาจักรศรีสัตนาคนหุต อาณาจักรล้านนา และหัวเมืองมลายู เช่น ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู เปน็ ต้น รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ มีการปฏิรูปประเทศให้มีความเป็น อารยประเทศ คือ มีความเป็นสากลย่ิงข้ึน โดยการรวมอ�ำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางโดยองค์พระมหากษัตริย์ ยกเลิก ระบบการปกครองเดิม ตั้งเป็นกระทรวงต่างๆ ขึ้นดูแลรับผิดชอบแทน ที่ส�ำคัญคือ การยกเลิกระบบไพร่ และ การเลิกทาส ท�ำให้ชนช้ันกลางและชนช้ันล่างได้รับสิทธิเสรีภาพมากข้ึน มีการรับวิทยาการต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ น�ำรูปแบบมาจากตะวันตก จึงนับได้ว่าเริ่มเข้าสู่สมัยใหม่ จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๗ เกิดปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นกฎหมายสูงสุดของชาติ ส่งผลให้ระบบชนชั้น ท่ีแบ่งเป็น เจ้านาย ขุนนาง และสามัญชน ลดความส�ำคัญลงมาก เนื่องจากรัฐธรรมนูญให้สิทธิเสรีภาพแก่ ทุกคนเท่าเทียมกัน บุคคลทั่วไปสามารถเล่ือนฐานะทางสังคมและต�ำแหน่งได้ ชาติก�ำเนิดไม่มีความส�ำคัญมาก ดังแต่ก่อน มีการยกเลิกบรรดาศักดิ์และยศข้าราชการพลเรือน สามัญชนมีบทบาทเพ่ิมขึ้นในการปกครองบริหาร ประเทศ รูปแบบการปกครองนี้ยังคงใช้กันอยู่จนกระท่ังปัจจุบัน แม้ในบางช่วงเวลาจะมีระบบเผด็จการเสริม เขา้ มาบ้างกต็ าม 192 หลักสตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

บทที่ ๒ พระราชประวัตริ ัชกาลที่ ๑ - ๘ รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช รชั กาลท่ี ๑ (พ.ศ. ๒๓๔๕ – ๒๓๕๒) รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช พระนามเดมิ ดว้ ง หรอื ทองดว้ ง พระโอรสในสมเดจ็ พระปฐมบรมมหาชนกซง่ึ มพี ระนามเดมิ วา่ ทองดี และพระราชนนีมีพระนามว่า หยก หรือดาวเรือง เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙ ท่ีกรุงศรีอยุธยา เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลท่ี ๑ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงสถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราชเป็นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จสวรรคตเมือ่ วันที่ ๗ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ พระชนมพรรษา ๗๓ พรรษา ทรงครองสริ ริ าชสมบตั เิ ปน็ เวลา ๒๘ ปี มพี ระราชโอรส และพระราชธดิ ารวม ๔๒ พระองค์ พระนาม “พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก” เปน็ พระนาม ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวถวายพระนามพระพุทธรูปทรงเคร่ือง ๒ พระองค์หน้าฐานชุกชีพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรท่ีทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็น พระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลท่ี ๑ และรัชกาลท่ี ๒ โดยถวายพระนามว่า พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้าสุราลัย (ต่อมาเปลี่ยนเป็น พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช พระพุทธเลิศหล้านภาลัยในรัชกาลที่ ๔) และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเม่ือวันท่ี ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ถวายพระราชสมัญญาเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช เปน็ ชว่ งเวลา พระพุทธมหามณรี ัตนปฏมิ ากร ที่ก�ำลังก่อสร้างบ้านเมืองให้เหมือนครั้งบ้านเมืองดีสมัยอยุธยา มีการสร้าง พระบรมมหาราชวังและมีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่ภายในเขต พระบรมมหาราชวัง ท�ำนองเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่กรุงศรีอยุธยา มีการท�ำศึกสงครามเพื่อป้องกันและขยายประเทศออกไปอย่างกว้างขวาง ไทยตอ้ งทำ� สงครามกบั พมา่ ถงึ ๗ ครงั้ โดยเฉพาะสงครามเกา้ ทพั เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๒๘ นับเป็นสงครามคร้ังใหญ่ที่สุดระหว่างไทยกับพม่า ถึงแม้ว่าไทยจะมี ก�ำลังพลน้อยกว่ามากแต่ก็สามารถตีทัพพม่าให้แตกพ่ายถอยกลับไป และท�ำสงครามขยายอาณาเขตออกไปอยา่ งกว้างขวาง ดนิ แดนลา้ นนา เขมร ลาว และหัวเมืองมลายูตอนเหนือมีฐานะเป็นประเทศราชของไทย รวมถึง องค์เชียงสือเจ้านายญวนท่ีหนีภัยกบฏไกเซินมาพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร จนสามารถกลบั ไปก้ชู าตบิ ้านเมืองได้ 193หลักสูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

วดั พระศรีรตั นศาสดาราม การจัดระเบียบการปกครอง ทรงยึดแบบอย่างสมัยอยุธยา มีการช�ำระพระราชกฎหมายให้ถูกต้องเป็น ฉบบั หลวง เพอื่ ใชบ้ งั คบั ทว่ั ราชอาณาจกั ร เรยี กวา่ กฎหมายตราสามดวง และโปรดใหม้ กี ารทำ� สงั คายนาพระไตรปฎิ ก ใน พ.ศ. ๒๓๓๑ ที่วัดนิพพานาราม ปัจจุบันคือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ิ นับเป็นการสังคายนาคร้ังท่ี ๙ ของโลก ท้ังยังโปรดให้ตรากฎพระสงฆ์ควบคุมสมณปฏิบัติ และข้อพึงปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนอีกหลายฉบับ รวมท้งั พระราชก�ำหนดกวดขนั ศีลธรรมขา้ ราชการ และพลเมือง นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังโปรดให้ร้ือฟื้นพระราชพิธีส�ำคัญๆ คร้ังกรุงศรีอยุธยามาจัดท�ำอย่างถูกต้องตามแบบแผนราชประเพณี และมีการบันทึกไว้เป็นแบบแผนสืบต่อมา เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีสมโภชพระนคร พระราชพิธีพืชมงคล พระราชพิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์ สตั ยา พิธที รงผนวชสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระราชพธิ ีโสกนั ต์ พระราชพธิ สี มโภชพระเศวตกุญชร การออกพระเมรุ และพระราชพิธีถวายพระเพลิงที่ท้องสนามหลวง โปรดให้รวบรวมพระราชพงศาวดารและเอกสารส�ำคัญของ บ้านเมืองที่กระจัดกระจายมาช�ำระเรียบเรียงใหม่ ทรงส่งเสริมนักปราชญ์ราชกวีสร้างงานวรรณกรรมส�ำคัญ เช่น บทละครเร่ืองรามเกียรติ์ บทละครเร่ืองอุณรุท บทละครเร่ืองดาหลังและอิเหนา เพลงยาวรบพม่าที่ท่าดินแดง โคลงยอพระเกียรตพิ ระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช เปน็ ต้น เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชเสดจ็ สวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๕๒ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลที่พระมหาอุปราช เม่อื พ.ศ. ๒๓๔๙ เสด็จขึ้นครองราชยส์ มบัตเิ ป็นพระมหากษัตรยิ ์รชั กาลท่ี ๒ แหง่ พระบรมราชจกั รีวงศ์ 194 หลกั สูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต้)

รชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หล้านภาลยั รัชกาลท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๓๖๗) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช และสมเด็จพระอัมรินทราบรมราชินี พระนามเดิม เจ้าฟ้าฉิม เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันพุธที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๐ ณ นิวาสสถานต�ำบลอัมพวา สมุทรสงคราม เสด็จขึ้นครองราชย์ สมบตั เิ มอื่ วนั ศกุ รท์ ี่ ๘ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ ทรงสถาปนาสมเดจ็ ฯ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนารักษ์ พระอนุชาเป็นสมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาเสนารักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จสวรรคต เมอื่ วนั ท่ี ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ พระชนมพรรษา ๕๖ พรรษา ทรงครองสริ ริ าชสมบตั เิ ปน็ เวลา ๑๕ ปี มพี ระราชโอรสพระราชธดิ า รวม ๗๓ พระองค์ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณ ให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นบุคคลส�ำคัญ ของโลกในอภิลักขิตสมัยครบ ๒๐๐ ปี แห่งพระบรมราชสมภพ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๑ นับวา่ ทรงเปน็ คนไทยล�ำดบั ท่ี ๓ ทไ่ี ดร้ ับประกาศ เกียรติคุณนี้ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองค่อนข้างมีความสงบสุข เน่ืองจากรัชสมัยที่ผ่านมา เป็นช่วงท่ีก�ำลังก่อสร้างบ้านเมือง ท�ำศึกสงครามเพื่อป้องกันและขยายดินแดนออกไป อย่างกว้างขวาง แต่ในรัชสมัยน้ี พม่าซ่ึงถือเป็นประเทศคู่สงครามที่ส�ำคัญของไทยมาตลอดจนถึงต้นรัชกาล เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒ ต้องท�ำสงครามกับประเทศอังกฤษที่เข้ามารุกรานท�ำให้ไม่สามารถมาท�ำสงครามกับไทยได้ สงครามส่วนใหญ่เป็นเพียงสงครามท่ีไทยเข้าไปแก้ไขปัญหาการเมืองภายในของประเทศราชเท่านั้น ส่งผลให้ สมยั นศี้ ลิ ปวฒั นธรรมของชาตริ งุ่ เรอื งอยา่ งมาก พระองคท์ รงสง่ เสรมิ งานศลิ ปะทกุ ประเภท โดยเฉพาะทางวรรณคดี ถือได้ว่าเป็นยุคทองของวรรณคดี พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์งานวรรณกรรมและบทละครต่างๆ ที่ทรงคุณค่าไว้ จ�ำนวนมาก เช่น เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน (บางตอน) บทละครเรื่องอิเหนา ซ่ึงได้รับการยกย่องจากวรรณคดี สโมสรว่าเป็นยอดแห่งบทละครร�ำ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๙ และยังคงส่งเสริมกวีต่างๆ กวีท่ีมีช่ือเสียง เช่น สุนทรภู่ หรอื พระศรสี นุ ทรโวหาร (ภ)ู่ นายนรนิ ทรห์ รอื นายนรนิ ทรธ์ เิ บศร์ (อนิ หรอื ทองอนิ ทร)์ พระยาตรงั (สไี หน หรอื สจี นั ) เปน็ ตน้ และโปรดใหส้ รา้ งสวนขวญั สำ� หรบั ประพาสไวใ้ นพระบรมมหาราชวงั เพอ่ื แสดงใหน้ านาประเทศเหน็ วา่ ไทย มกี ำ� ลังสรา้ งราชธานีใหม่ เหมอื นดังเม่อื ครงั้ กรุงศรีอยธุ ยาเปน็ ราชธานี 195หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

รัชสมัยน้ีมีการสังคายนาบทสวดมนต์ ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นคู่กับการสังคายนา พระไตรปิฎกในรัชกาลที่ ๑ โดยโปรดให้แปล พระปริยัติธรรมท้ังหลายเป็นภาษาไทย และ มีการแก้ไขวิธีการสอบพระปริยัติธรรมจากเดิม แบ่งเป็น ๓ ช้ัน คือ เปรียญตรี เปรียญโท เปรียญเอก เป็นก�ำหนดวิธีสอนเป็น ๙ ประโยค ผู้สอบได้ ๓ ประโยคข้ึนไปนับว่าเป็นเปรียญ และโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ง่ สมณทตู ไปลงั กาเพอ่ื ทราบ พระบรมราชานุสาวรยี พ์ ระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลยั การพระศาสนาและศาสนวงศ์ในลังกาทวปี ดว้ ย และช้างเผือก ๓ ชา้ ง ท่ีเขา้ มาสู่พระบารมี วัดอรุณราชวราราม การค้าในรัชสมัยท่ีเฟื่องฟูอย่างมาก โดยเฉพาะ การค้ากับจีน สืบเนื่องจากในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ไทยได้ส่งทูตและเครื่องราชบรรณาการไปติดต่อสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับราชส�ำนักจีนมาโดยตลอด ประกอบกับ พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ ทรงก�ำกับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ ทรงแต่งเรือส�ำเภาหลวง และส�ำเภาส่วนพระองค์เดินทางไป คา้ ขายกบั จนี เปน็ ประจำ� จนพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงเรยี กวา่ เจา้ สวั ทงั้ ยงั มเี รอื สำ� เภาไปคา้ ขาย กบั จนี เขมร ญวน มลายู รวมทง้ั ประเทศตะวนั ตกตา่ งๆ เชน่ โปรตเุ กส องั กฤษ นำ� รายไดเ้ ขา้ สปู่ ระเทศเปน็ จำ� นวนมาก การติดต่อกับโปรตุเกสส่งผลให้ไทยมีทหารอาสาโปรตุเกสช่วยในการสงคราม ท้ังยังได้เข้ามาสอน การท�ำปืนไฟและการสร้างป้อม รวมถึงเป็นธุระในการจัดหาอาวุธปืนให้ด้วย ส่วนอังกฤษเริ่มส่งทูตเข้ามาติดต่อ ทางไมตรีกับไทย เนื่องจากอังกฤษท�ำสัญญาเช่าเกาะปีนังหรือเกาะหมากจากเมืองไทรบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๔ โดยท่ีเมืองไทรบุรีเป็นเมืองขึ้นของไทย และใน พ.ศ. ๒๖๔ เจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ไม่ซ่ือตรงต่อไทย จึงโปรดให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ยกกองทัพหัวเมืองปักษ์ใต้ลงไปตีเมืองไทรบุรี เจ้าพระยาไทรบุรีหนี ไปอยู่เกาะหมาก อังกฤษจึงต้องส่งทูตมาเจรจากับไทยเพื่อขอเมืองคืนให้แก่เจ้าพระยาไทรบุรี นายมาร์ควิส เฮสติงส์ ผู้ส�ำเร็จราชการอินเดียของอังกฤษท่ีเบงกอลจึงแต่งต้ังให้นายจอห์น ครอว์เฟิด หรือท่ีไทยเรียกว่า การะฝัด เป็นทูตเข้ามาเจรจาทั้งเร่ืองการเมืองและการค้าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๕ แต่ไม่ส�ำเร็จทั้ง ๒ อย่าง ไทยเพียง แต่ท�ำหนังสืออนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษไปมาค้าขายตามอย่างธรรมเนียมเดิม มิได้แก้ไขยกเว้นธรรมเนียมการค้า แตป่ ระการใด พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั เสดจ็ สวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๖๗ โดยมไิ ดม้ อบการสบื พระราชสนั ตตวิ งศ์ ใหพ้ ระองคใ์ ด พระสงั ฆราช พระราชาคณะผใู้ หญ่ พระบรมวงศานวุ งศ์ และเสนาบดผี ใู้ หญร่ ว่ มประชมุ ปรกึ ษาหารอื กนั เหน็ ควรมอบสิริราชสมบตั ิใหพ้ ระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหม่ืนเจษฎาบดินทรร์ กั ษาแผน่ ดนิ สบื ไป 196 หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

รชั สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยหู่ ัว รัชกาลท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔) พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยหู่ วั พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย และเจา้ จอมมารดาเรียม (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระศรีสุลาลัย) พระนามเดิม หม่อมเจ้าทับ เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันจันทร์ที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๓๐ ณ พระราชวงั เดมิ กรงุ ธนบรุ ี เสดจ็ ขนึ้ ครองราชยส์ มบตั ิ เมื่อวันพุธท่ี ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ ทรงสถาปนาพระเจ้าอา หรอื พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจา้ อรโุ ณทยั กรมหมืน่ ศักดพิ ลเสพ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กบั เจา้ จอมมารดานยุ้ ใหญ่ พระสนมเอก เปน็ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานองค์ตะวันตกเม่ือวันพุธท่ี ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ พระชนมพรรษา ๖๓ พรรษา ทรงครองสิริราชสมบัติ เปน็ เวลา ๒๗ ปี มพี ระราชโอรสและพระราชธดิ ารวม ๕๑ พระองค์ ใน พ.ศ. ๒๕๔๐ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดชทรง พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ถวายพระราชสมญั ญาวา่ “พระมหาเจษฎา ราชเจ้า” หมายความว่า พระมหาราชเจ้าผู้มีพระทัยต้ังมั่น ในการบำ� เพ็ญพระราชกิจ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจ้าอยหู่ วั เจ้าอยู่หัว มีการต้ังบ้านขึ้นเป็นเมือง ๒๘ เมือง ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดนิ ทร์ โดยเฉพาะเมืองข้ึนมหาดไทย ซ่ึงส่วนใหญ่ อยทู่ างภาคอสี าน ทงั้ ยงั ปลกู ฝงั ใหร้ าษฎรรว่ มกนั รับผิดชอบหมู่บ้านของตน โดยตราพระราช ก�ำหนดโจรห้าเส้น เพื่อให้ราษฎรช่วยกันดูแล ระมดั ระวงั โจรผรู้ า้ ยภายในรศั มี ๕ เสน้ (ประมาณ ๒๐๐ เมตร) จากบ้านเรือนของตน หากมี เหตุการณ์โจรปลน้ ราษฎรในระยะไมเ่ กิน ๕ เสน้ จะต้องช่วยเจ้าหน้าที่จับโจร มิฉะนั้นจะมี ความผดิ และมกี ารตง้ั กลองวนิ จิ ฉยั เสรใี หร้ าษฎร รอ้ งทกุ ข์ถวายฎีกาไดท้ ุกเวลา 197หลักสูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัติศาสตรท์ อ้ งถนิ่ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

รชั สมยั นไี้ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ มคี วามเจรญิ รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการพระศาสนาเป็น อย่างมาก มีการแก้ไขวิธีการการเก็บภาษีอากร เช่น เปล่ียนการเก็บอากรค่านาจากหางข้าว มาเป็นเงิน มีการตั้งภาษีอากรใหม่อีก ๓๘ ชนิด และการก�ำหนดระบบเจ้าภาษีนายอากร โดยรัฐ เก็บเฉพาะภาษีที่ส�ำคัญบางอย่าง นอกจากน้ัน ให้เอกชนประมูลรับเหมาผูกขาดเก็บภาษีอากร เรอื กำ� ปั่นแบบฝรัง่ ส่งผลให้มีการเพิ่มพูนรายได้แผ่นดินจ�ำนวนมาก ส่วนการค้าส�ำเภาที่สร้างความม่ังคั่งอย่างมากต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ ในปลายรัชกาลเริ่มลดความส�ำคัญลง เพราะชาวตะวนั ตกเรม่ิ ใช้เรือก�ำปนั่ ซงึ่ มปี ระสทิ ธภิ าพดกี วา่ เขา้ มาทำ� การค้าแทนเรอื สำ� เภา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง สร้างปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและพระพุทธรูปเป็น จ�ำนวนมาก วัดที่สร้างขึ้นใหม่ ๔ วัด และวัดที่ได้ บรู ณปฏสิ งั ขรณ์ ๓๕ วดั ทง้ั ยงั โปรดผทู้ มี่ ศี รทั ธาทำ� นบุ ำ� รงุ พระพทุ ธศาสนาดว้ ย ปรากฏวา่ มวี ดั ทเ่ี จา้ นายและขนุ นาง สรา้ งขน้ึ ใหมร่ วม ๑๕ วดั บรู ณปฏสิ งั ขรณ์ ๑๕ วดั ทถ่ี วาย เป็นพระอารามหลวง ทางด้านศิลปกรรม มีลักษณะ เฉพาะทเ่ี ปน็ พระราชนยิ มในรชั กาลที่ ๓ เชน่ การเปลย่ี นแปลง ส่วนหลังคาโบสถ์ ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และ เจดีย์เรือสำ� เภาวดั ยานนาวา การนิยมประดับกระเบื้องเคลือบจานชามจีน อันเป็น รชั กาลท่ี ๓ โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ �ำลองจากเรอื ส�ำเภาของจรงิ ลักษณะผสมผสานแบบจีน เช่น วัดราชโอรสาราม เป็นต้น ท้ังยังโปรดให้มีการช�ำระพระสงฆ์ท่ีหย่อนพระวินัย ประพฤติอนาจารต่างๆ ขณะน้ัน สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ หรือพระวชิรญาณเถโร หรือพระวชิรญาณมหาเถระ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นความจ�ำเป็นท่ีจะต้องแก้ไขปรับปรุงในหมู่คณะสงฆ์ จึงทรงตั้งคณะสงฆ์นิกายใหม่ คือ ธรรมยุตินิกาย ใน พ.ศ. ๒๓๗๒ ทรงวางระเบียบแบบแผนของพระนิกายใหม่ อย่างมาก จนเป็นเหตุให้พระสงฆ์นิกายเดิม ซ่ึงต่อมาเรียกว่า มหานิกาย เร่ิมปรับปรุงตนเองเพ่ือให้เป็นท่ีเลื่อมใส ศรัทธาบ้าง เช่น การฝักใฝใ่ นการเรียนพระธรรมวนิ ัย เป็นต้น วดั ราชโอรสาราม ลกั ษณะศลิ ปกรรมแบบพระราชนยิ มในรชั กาลท่ี ๓ ในช่วงเวลานั้น คณะบาทหลวงและมิชชัน นารีชาวตะวันตก โดยเฉพาะชาวอเมริกันได้เริ่ม เดนิ ทางเขา้ มาเผยแผศ่ าสนาครสิ ต์ และนำ� ความรู้ ทางวิทยาการตะวันตกต่างๆ เข้ามาด้วย เช่น การแพทย์แผนตะวันตก ยาปฏิชีวนะ การปลูกฝี การผ่าตัด การศึกษาแบบตะวันตก ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ฯลฯ ในระยะแรกคนไทย ยงั ไมค่ อ่ ยนยิ มเชอ่ื ถอื วทิ ยาการตะวนั ตกเทา่ ใดนกั ต่อมาเมื่อเห็นถึงประโยชน์ท่ีเกิดขึ้น จึงเร่ิมมี คนใหค้ วามสนใจมากขน้ึ 198 หลักสตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่าต่อไปวิทยาการต่างๆ ของไทยอาจสูญหายไป จึงโปรดให้คัดเลือกและจารึกต�ำราวิชาการต่างๆ รวมถึง ตำ� รายาตา่ งๆ ของไทยไวใ้ นแผน่ ศลิ าออ่ นประดบั บนเสาและผนงั ศาลาราย รวมถงึ รูปฤาษีดัดตนเมื่อครั้งปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามคร้ังใหญ่ใน พ.ศ. ๒๓๗๕ วธิ กี ารนนี้ บั เปน็ การสงวนรกั ษาวทิ ยาการตา่ งๆ ของไทยไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ยังคงส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีน อย่างต่อเน่ือง จนกระท่ังทางจีนได้เปลี่ยนก�ำหนดการถวายเครื่องราชบรรณาการ จากสามปีต่อหน่ึงครั้งมาเป็นส่ีปีต่อหนึ่งครั้งตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๘๒ เป็นต้นมา ส่วนความสัมพันธ์กับอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตกลง หมอบรัดเล ผ้นู ำ� การพมิ พ์ พระทัยช่วงอังกฤษรบพม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ ไทยต้องการได้เมืองเมาะตะมะ และวชิ าการแพทย์สมัยใหมเ่ ข้ามา ทวาย มะริด ตะนาวศรี มาเป็นของไทย แต่อังกฤษต้องการให้มอญเป็นหัวเมือง เผยแพร่ในสังคมไทยเปน็ คนแรก ใหญ่ขึ้นกับอังกฤษ เม่ือเกิดกรณีพิพาทระหว่าง พระยาชุมพรกับพันตรีฟลิท นายทหารองั กฤษผู้ปกครองเมืองมะริด ไทยจึงเรยี กเจ้าพระยามหาโยธากลับ แตอ่ ังกฤษยังต้องการความชว่ ยเหลอื จากไทย จึงส่งร้อยเอกเฮนร่ี เบอร์น่ี (กะปิตันหันแตรบารนี) เป็นทูตเข้ามาติดต่อท�ำสนธิสัญญาใน พ.ศ. ๒๓๖๙ มีข้อความส�ำคัญคือ อังกฤษยอมรับทราบความเป็น เจ้าของดินแดนมลายูตอนเหนือ คือ ไทรบุรี ตรังกานู กลนั ตนั ของไทย แตไ่ ทยจะไมย่ กกองทพั ไปรบกวน เประ หรือสลังงอ ซึ่งเท่ากับทั้งสองเมืองน้ีเป็นอิสระจากไทย ในรชั กาลน้ี และไทยยนิ ยอมรบั รองการเชา่ เกาะปนี งั และ มณฑลเวลสลีย์ตามสัญญาอังกฤษท�ำไว้กับเจ้าพระยา ไทรบรุ ี (ปะแงรนั ) สว่ นทางการคา้ พอ่ คา้ องั กฤษสามารถ เข้ามาค้าขายได้โดยเสรี ยกเว้น ข้าว อาวุธปืน ฝิ่น และ ให้ยกเลิกเก็บภาษีชนิดอื่น เก็บภาษีปากเรืออย่างเดียว แตเ่ กบ็ แพงขนึ้ มาก กลา่ วคอื เรอื บรรทกุ สนิ คา้ เขา้ มาเกบ็ วาละ ๑,๗๐๐ บาท เรอื บรรทกุ อบั เฉาเกบ็ วาละ ๑,๕๐๐ บาท จากเดมิ ทเี่ คยเกบ็ เรอื สามเสาวาละ ๘๐ บาท เรอื สองเสา ตำ� ราแพทยแ์ ผนไทยทจ่ี ารกึ ทวี่ ดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ครึง่ เก็บวาละ ๔๐ บาท แตเ่ ก็บภาษอี ่นื ๆ ดว้ ย พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ สวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๙๔ โดยทรงมอบให้พระบรม วงศานุวงศ์และคณะเสนาบดีประชุมสรรหาเจ้านาย ทเี่ ห็นสมควรข้ึนครองสริ ริ าชสมบตั สิ บื ไป ที่ประชมุ มมี ติ เป็นเอกฉันท์ให้อัญเชิญ พระวชิรญาณมหาเถระให้ทรง ลาสิกขาและให้ข้นึ เสวยราชสมบตั ิ เปน็ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ฤาษดี ดั ตน วัดพระเชตพุ น 199หลกั สูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัติศาสตร์ท้องถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จ พระศรีสรุ เิ ยนทรา บรมราชนิ ี มพี ระนามเดิมวา่ สมเดจ็ เจ้าฟา้ มงกฎุ เสด็จพระราชสมถพเม่ือวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ เสดจ็ ขึ้นครองราชยสมบตั เิ ม่ือวันท่ี ๒ เมษายน พุทธศกั ราช ๒๓๙๓ ทรงสถาปนาสมเด็จพระน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอิศเรศจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตรยิ พ์ ระองคท์ ่ี ๒ เสด็จสวรรคตวันพฤหัสบดีท่ี ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๑๑ พระชนมพรรษา ๖๔ พรรษา ทรงครองสริ ริ าชสมบตั เิ ปน็ เวลา ๑๗ ปี ๖ เดือน มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม ๘๒ พระองค์ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว รัฐบาลไทยได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวว่า “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” และก�ำหนดให้ วนั ท่ี ๑๘ สิงหาคม ของทุกปีเป็น “วนั วทิ ยาศาสตร์แหง่ ชาต”ิ และในโอกาสวนั พระบรมราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี วันท่ี ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ องค์การ การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณให้พระองค์เป็นบุคคลส�ำคัญของโลก สาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา การพฒั นาสงั คม และการส่ือสาร ประจำ� ปี ๒๕๔๖ - ๒๕๔๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่ชาติมหาอ�ำนาจ ตะวันตกโดยเฉพาะ องั กฤษและฝรงั่ เศสกำ� ลงั แขง่ ขนั แสวงหาอาณานคิ ม ไดแ้ ผข่ ยายมายงั ภมู ภิ าคนสี้ ง่ ผลใหป้ ระเทศตา่ งๆ ในทวปี เอเชยี ทั้งประเทศพม่าและญวน ตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจอิทธิพลของจักรวรรดินิยมตะวันตกอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ทำ� ใหพ้ ระองคท์ รงตระหนกั วา่ ถงึ เวลาทไ่ี ทยตอ้ งยอมเปดิ ความสมั พนั ธ์ กบั ประเทศตะวนั ตก โดยทรงวางรากฐานในการยอมรบั ศลิ ปะวทิ ยาการ แบบตะวันตก และเร่ิมปรับปรุงประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าแบบ อารยประเทศ ทรงปรับปรุงเปล่ียนแปลงประเพณีบางอย่างเพื่อให้ ชาวต่างชาติเห็นว่าไทยเป็นประเทศที่ทันสมัย เช่น การให้ขุนนาง สวมเสอื้ เวลาเขา้ เฝา้ การใหท้ ตู ชาวตา่ งชาตยิ นื เขา้ เฝา้ ฯ ในทอ้ งพระโรง ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งหมอบคลาน ทรงแก้ไขและตรากฎหมายไวต้ ลอดรชั กาล ทง้ั ยังทรงจ้างนายทหารชาวตะวันตกเข้ามาฝึกหัดระเบยี บและยทุ ธวิธี ทหารตามแบบตะวันตก ส่งผลให้เกิด “ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรป” หรือ ทหารเกณฑ์หัดอย่าง “ฝร่ังเศส” และโปรดให้จ้างผู้เช่ียวชาญ ชาวยุโรปมาส�ำรวจแผนท่ีชายแดนด้านตะวันออกทันทีเมื่อฝรั่งเศส ทำ� แผนทสี่ ำ� รวจดินแดนลมุ่ แมน่ ำ�้ โขง พระบาทสมเดจ็ พระป่ินเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว 200 หลกั สูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

เงินพดด้วง โรงกษาปณส์ ทิ ธิการ เหรียญเงนิ และเหรยี ญทองตรามงกฎุ ท�ำข้ึนเมอื่ พ.ศ. ๒๔๐๗ รัชสมัยน้ีมีการเก็บภาษีอากรรวม ๔๖ อย่าง โดยใช้วิธีเช่นเดียวกับรัชกาลที่ ๓ มีการจัดตั้งโรงกระษาปณ์ สทิ ธกิ ารขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๐๓ เพอื่ ผลติ เงนิ เหรยี ญทองคำ� ขนึ้ ใชแ้ ทนเงนิ พดดว้ ง มกี ารสรา้ งถนนตามแบบอยา่ งตะวนั ตก คือ ถนนมีความกว้างมากขึ้นส�ำหรับใช้รถม้า เช่น ถนนเจริญกรุง ถนนบ�ำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร ถนนสีลม ฯลฯ ทงั้ โปรดใหม้ กี ารขดุ คลองเพม่ิ ขน้ึ หลายสาย เชน่ คลองผดงุ กรงุ เกษม หรอื คลองคพู ระนคร เทา่ กบั เปน็ การขยายตวั พระนครออกไปจากเดมิ คลองมหาสวัสด์ิ คลองภาษีเจริญ เปน็ ต้น พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงให้ความส�ำคัญและ สนบั สนนุ ธรรมยตุ นิ กิ าย ซงึ่ เปน็ นกิ าย ใหม่ที่พระองค์ทรงต้ังขึ้นในสมัย รชั กาลที่ ๓ ขณะเดยี วกนั กท็ รงอปุ ถมั ภ์ และสนับสนุนคณะสงฆ์มหานิกาย ซง่ึ เปน็ คณะสงฆส์ ว่ นใหญท่ แ่ี พรห่ ลาย อย่างกว้างขวางในสังคมไทยมาแต่ อดตี ดว้ ย ทรงสรา้ งและบรู ณปฏสิ งั ขรณ์ พระสัมพทุ ธพรรณี พระนิรันตราย วัดต่างๆ ท่ีค้างมาแต่รัชกาลท่ี ๓ ท้ังยังทรงสร้างวัดขึ้นใหม่ ๕ วัด ทรงสร้างพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์ทั่วไปมากข้ึน เช่น พระสัมพุทธพรรณี พระพุทธนิรันตราย พระพุทธอังคีรส รวมถึงพระสยามเทวาธิราชด้วยมีพระราชด�ำริว่า ประเทศไทยมีเหตุการณ์ท่ีเกือบจะต้องเสียอิสรภาพหลายคร้ัง แต่มีเหตุให้รอดพ้นภัยอันตรายมาได้เสมอ คงจะมี เทพยาดาท่ีศักดิ์สิทธิ์คอยอภิบาลรักษาอยู่ สมควรท่ีจะท�ำรูปเทพยดาองค์น้ันขึ้นสักการะบูชา รวมถึงการสร้าง และปฏิสังขรณ์พุทธเจดีย์ข้ึนใหม่ตามพระราชนิยม คือ เจดีย์ทรงลังกา เช่น พระปฐมเจดีย์ พระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นต้น ทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์หนังสือต่างๆ เกี่ยวกับ พระศาสนาไวเ้ ปน็ จำ� นวนมาก เช่น บทสวดท�ำวตั รเช้า บทสวดท�ำวตั รคำ่� ซงึ่ ใช้สวดกันทัว่ ไปในปจั จุบนั 201หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งทูตไปถวาย เคร่ืองราชบรรณาการจักรพรรดิจีน เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๕ แต่คณะทูตไทย พระสยามเทวาธริ าช ไม่สามารถเดินทางข้ึนไปยังกรุงปักก่ิงเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิได้ อยู่เพียงเมืองกวางตุ้งเท่าน้ัน เนื่องจากภายในจีนเกิดโจรกบฏไต้เผ็ง ทางไทยขอต่อรองให้คณะราชทูตไปข้ึนบกที่เมืองท่าเทียนสินซึ่งอยู่ ทางเหนือและใกล้กรุงปักก่ิงมากกว่า แต่ทางจีนไม่ยินยอมเพราะผิด ธรรมเนียมปฏิบัติ ทางไทยจึงใช้เป็นข้อต่อรองในการส่งเคร่ืองราช บรรณาการต่อมา แต่เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไมโ่ ปรดวิธีการสง่ เครือ่ งราชบรรณาการไปจ้มิ กอ้ งจักรพรรดจิ ีน ซง่ึ ท�ำให้ จีนเข้าใจว่าไทยเป็นเมืองข้ึนของจีน อีกทั้ง จีนยังประสบปัญหาท้ัง จากสงครามภายในประเทศ และสงครามภายนอกประเทศกับชาติ ตะวันตกต่างๆ ไทยจึงไม่ส่งเคร่ืองราชบรรณาการไปเมืองจีนอีก แตก่ ็ยังคงตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั จนี อยูต่ อ่ มา สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษทรงแต่งตั้ง เซอร์ จอหน์ เบาวร์ งิ ผสู้ ำ� เรจ็ ราชการเมอื งฮอ่ งกง เปน็ อคั รราชทตู เชิญพระราชสาสน์มาเจรจาท�ำสนธิสัญญาทางไมตรีกับไทย ใน พ.ศ. ๒๓๙๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง ต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ อังกฤษและสยามได้ลงนามสนธิ สัญญาเบาว์ริง ส่งผลให้เกิดการยกเลิกระบบผูกขาดของ พระคลังสินค้า สามารถส่งออกและน�ำเข้าสินค้าได้ทุกชนิด ยกเว้นสินค้าข้าว ปลา และเกลือ ท่ีหากปีใดขาดแคลน ทางการไทยสามารถออกประกาศหา้ มสง่ ออกได้ อาวธุ ยทุ ธภณั ฑ์ ซ่ึงต้องขายให้แก่รัฐบาล และฝิ่นต้องขายให้แก่เจ้าภาษีฝิ่น ยกเลกิ การเกบ็ ภาษปี ากเรอื เกบ็ ไดภ้ าษขี าเขา้ รอ้ ยชกั ๓ สว่ นภาษี เซอร์จอห์น เบาว์ริง ขาออกเสียตามพิกัดตายตัวในภาคผนวกต่อท้ายสนธิสัญญา รวมถึงการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตหรือการสูญเสียอ�ำนาจทางการศาล กล่าวคือ หากชาวอังกฤษหรือ คนในบังคับอังกฤษท�ำความผิดไม่ต้องข้ึนศาลไทย ให้ข้ึนศาลกงสุลอังกฤษแทนไทย ได้ท�ำสนธิสัญญา ในท�ำนองเดียวกันนี้กับชาติตะวันตกต่างๆ และญ่ีปุ่น รวม ๑๓ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส นอร์เวย์ สวีเดน เบลเยียม อิตาลี เป็นต้น รัฐบาลไทยได้พยายามแก้ไขสนธิสัญญาท่ีไม่เป็นธรรมนี้ โดยเฉพาะเร่ือง สทิ ธภิ าพนอกอาณาเขต ตงั้ แตร่ ชั กาลท่ี ๕ เปน็ ตน้ มา ซงึ่ ไทยสามารถแกไ้ ขสนธสิ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธสิ ภาพนอกอาณาเขต ได้สำ� เร็จในสมยั รัชกาลท่ี ๖ 202 หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถ่ินจงั หวัดชายแดนภาคใต้)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชด�ำริท่ีจะเจริญสัมพันธไมตรีกับชาวตะวันตก ให้แน่นแฟ้นย่ิงขึ้น จึงโปรดเกล้าให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูตอัญเชิญพระราชสาส์นและ เครอื่ งมงคลราชบรรณาการไปถวายสมเดจ็ พระราชนิ นี าถวกิ ตอเรยี แหง่ องั กฤษ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๐๐ โดยมหี มอ่ มราโชทยั (หมอ่ มราชวงศก์ ระตา่ ย อศิ รางกรู ) เปน็ ลา่ ม และโปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยาศรพี พิ ฒั นร์ าชโกษาธบิ ดี เปน็ ราชทตู อญั เชญิ พระราชสาส์นและเครื่องมงคลราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดินโปเลียนท่ี ๓ แห่งฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๔๐๓ ทั้งยังได้ทรงตง้ั กงสุลสยามประจ�ำต่างประเทศหลายแห่ง วิทยาการตะวันตกที่พระองค์สนพระทัยเป็นพิเศษ คือ วิชาดาราศาสตร์ พระองค์ทรงค�ำนวณและ พยากรณ์ว่าจะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ล่วงหน้าถึง ๒ ปี และเห็นได้อย่างชัดเจนที่ ต�ำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ในวันท่ี ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ท้ังยังเสด็จพระราชด�ำเนินไปยังบ้านหว้ากอ เพื่อพิสูจน์ผลการค�ำนวณของพระองค์ โดยเชิญแขกต่างประเทศที่ส�ำคัญหลายท่าน เช่น เซอร์แฮรี ออร์ด เจ้าเมืองสิงคโปร์ ทูตอังกฤษประจ�ำประเทศไทย ดร.บรัดเลย์ มิชชันนารีชาวอเมริกัน พระสหายของพระองค์ และคณะดาราศาสตร์ฝร่ังเศส ปรากฏว่าทุกข้ันตอนของสุริยคราสตรงกับท่ีทรงค�ำนวณไว้ทุกประการ พระปรีชาสามารถของพระองค์ในคร้ังน้ีเป็นท่ียอมรับในหมู่นักวิทยาศาสตร์นานาชาติ แต่เมื่อเสด็จกลับ จากหว้ากอกท็ รงพระประชวรดว้ ยพระโรคไขม้ าลาเรยี และเสดจ็ สวรรณคตในวนั ท่ี ๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมิได้มอบราชสมบัติแก่ผู้ใด โดยทรงมอบให้เป็นหน้าที่ ของพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีผู้ใหญ่ประชุมปรึกษาหารือกัน ที่ประชุมเห็นพร้อมกันกราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว 203หลักสตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถ่ินจังหวดั ชายแดนภาคใต)้

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั รชั กาลท่ี ๕ (พ.ศ. ๒๓๙๖ - ๒๔๕๓) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันท่ี ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เปน็ พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั  ทป่ี ระสตู แิ ตพ่ ระนางเธอ พระองคเ์ จา้ รำ� เพยภมราภริ มย ์ (ในรัชกาลท่ี ๖ ได้มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเจ้านายฝ่ายในตามราชประเพณีนิยมเป็นสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี) ได้รับพระราชทานนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร ซ่ึงค�ำว่า “จุฬาลงกรณ์” น้ันแปลว่า เคร่ืองประดับผม อันหมายถงึ “พระเกย้ี ว” ที่มรี ูปเป็นส่วนยอดของพระมหามงกุฎหรือยอดชฎา พระองค์มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดารวม ๓ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าจันทรมณฑล, สมเดจ็ เจา้ ฟ้าจาตรุ นตร์ ัศม ี และสมเดจ็ เจ้าฟา้ ภาณุรงั ษีสวา่ งวงศ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นในส�ำนักพระเจ้าอัยยิกาเธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๔ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ได้รับการสถาปนาเป็น เจา้ ฟ้าตา่ งกรมที ่ สมเดจ็ พระเจ้าลูกยาเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ์ กรมหมน่ื พฆิ เนศวรสุรสงั กาศ และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙ พระองค์ผนวชตามราชประเพณี ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ภายหลังจากการผนวช พระองค์ได้รับการเฉลิม พระนามาภิไธยข้ึนเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระองค์จึงได้รับ การทูลเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา โดยในขณะน้ัน มีพระชนมายุเพียง ๑๕ พรรษา จงึ ไดแ้ ตง่ ตง้ั สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) เปน็ ผสู้ ำ� เรจ็ ราชการแทนพระองค ์ จนกวา่ พระองค์ จะมีพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษา โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คร้ังแรก เมื่อวันท่ี ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณเ์ กล้าเจา้ อยู่หัว  ครั้นพระองค์มีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษาแล้ว เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๖ จึงผนวชเป็น พระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเสด็จไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหารเป็นเวลา ๑๕ วัน หลังจากทรงลาสิกขา ได้มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ ขึ้นเม่ือวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๖ โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยในคร้ังนี้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอย่หู ัว พระราชกรณยี กิจการเลิกทาส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีการ “เลิกทาส”  การป้องกันการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และจักรวรรดิอังกฤษ การเลิกทาส เป็นพระราชกรณียกิจอันส�ำคัญยิ่ง ที่ท�ำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จข้ึนเสวยราชสมบัติน้ัน ประเทศไทยมีทาสเป็นจ�ำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมืองของประเทศ เพราะเหตุว่า ลูกทาสในเรือนเบ้ียได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต ได้ตราพระราชบัญญัติข้ึน เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๗ ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีท่ีพระองค์เสด็จข้ึนเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า 204 หลกั สตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต้)

ลกู ทาสซ่งึ เกดิ เม่ือปมี ะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ ใหม้ ีสิทธิได้ลดคา่ ตัวทกุ ปี โดยก�ำหนดวา่ เมอื่ แรกเกิด ชายมคี า่ ตวั ๘ ตำ� ลึง หญิงมีค่าตัว ๗ ต�ำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ ๒๑ ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง  พอถึงปี พ.ศ. ๒๔๔๘ ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.๑๒๔” (พ.ศ. ๒๔๔๘) เลิกเร่ืองลูกทาสในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาส เป็นโทษทางอาญา ส่วนผทู้ ี่เปน็ ทาสอยูแ่ ล้ว ใหน้ ายเงนิ ลดคา่ ตวั ให้เดอื นละ ๔ บาท จนกว่าจะหมด พระราชกรณยี กิจดา้ นการปฏิรปู การปกครอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงการคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ที่มีต่อประเทศในแถบเอเชีย โดยมักอ้างความชอบธรรมในการเข้ายึดครองดินแดนแถบน้ีว่าเป็นการท�ำให้ บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าอันท�ำให้ต้องทรงปฏิรูปบ้านเมืองให้ทันสมัย โดยพระราชกรณียกิจดังกล่าว เร่ิมข้ึน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๖ ประการแรก ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาข้ึนมาสองสภา ได้แก่ สภาท่ีปรึกษาราชการแผ่นดิน (เคาน์ซิลออฟสเตต) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (ปรีวีเคาน์ซิล) ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ และทรงต้ังขุนนางระดับ พระยา ๑๒ นายเปน็ “เคานซ์ ลิ ลอร”์ ใหม้ อี ำ� นาจขดั ขวางหรอื คดั คา้ นพระราชดำ� รไิ ด้ และทรงตง้ั พระราชวงศานวุ งศ์ ๑๓ พระองค์ และขนุ นางอีก ๓๖ นาย ช่วยถวายความคดิ เหน็ หรือเป็นกรรมการดำ� เนินการตา่ ง ๆ พ.ศ. ๒๔๒๗ ทรงปรึกษากับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ อัครราชทูตไทยประจ�ำอังกฤษ ซ่ึงพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พร้อมเจ้านายและข้าราชการ ๑๑ นาย ได้กราบทูลเสนอให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ทรงเห็นว่ายังไม่พร้อม แต่ก็โปรดให้ทรงศึกษารูปแบบ การปกครองแบบประเทศตะวันตก และ พ.ศ. ๒๔๓๑ ทรงเร่ิมทดลองแบ่งงานการปกครองออกเป็น ๑๒ กรม (เทยี บเทา่ กระทรวง) พ.ศ. ๒๔๓๑ ทรงต้งั “เสนาบดีสภา” หรอื “ลูกขนุ ณ ศาลา” ขึน้ เป็นฝ่ายบรหิ าร ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๓๕ ได้ต้ังองคมนตรีสภา เดิมเรียกสภาที่ปรึกษาในพระองค์ เพ่ือวินิจฉัยและท�ำงานให้ส�ำเร็จ และรฐั มนตรสี ภา หรอื “ลกู ขนุ ณ ศาลาหลวง” ขน้ึ เพอื่ ปรกึ ษาราชการแผน่ ดนิ ทเี่ กย่ี วกบั กฎหมาย พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศต้ังกระทรวงข้ึนอย่างเป็นทางการจ�ำนวน ๑๒ กระทรวง เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ อันประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบงานท่ีเดิมเป็นของสมุหนายก ดูแลกิจการ พลเรอื นท้งั หมดและบังคับบญั ชาหวั เมอื งฝา่ ยเหนอื และชายทะเลตะวันออก กระทรวงนครบาล รบั ผิดชอบกิจการ ในพระนคร กระทรวงโยธาธิการ รับผิดชอบการก่อสร้าง กระทรวงธรรมการ ดูแลการศาสนาและการศึกษา กระทรวงเกษตรพานิชการ รบั ผดิ ชอบงานท่ีในปัจจบุ นั เปน็ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม ดูแลเรื่องตุลาการ กระทรวงมรุธาธร ดูแลเคร่ืองราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ กระทรวง ยุทธนาธิการ รับผิดชอบปฏิบัติการการทหารสมัยใหม่ตามแบบยุโรป กระทรวงพระคลังสมบัติ รับผิดชอบงาน ที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ (กรมท่า) รับผิดชอบการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหมรบั ผดิ ชอบกจิ การทหาร และบงั คบั บญั ชาหวั เมอื งฝา่ ยใต้ กระทรวงวงั รบั ผดิ ชอบกจิ การพระมหากษตั รยิ ์ หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ทรงให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบกิจการพลเรือน เพียงอย่างเดียว และให้กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบกิจการทหารเพียงอย่างเดียว และเปลี่ยนชื่อกระทรวง เกษตรพานิชการ เป็น กระทรวงเกษตราธิการ ด้านการปกครองส่วนภูมิภาค มีการรวมอ�ำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ท�ำให้ไทยกลายมาเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ โดยการลดอ�ำนาจเจ้าเมือง และน�ำข้าราชการส่วนกลางไปประจ�ำแทน ทรงท�ำให้นครเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๓๑๗ - ๒๔๔๒) รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ตลอดจนทรงแต่งตั้งให้ 205หลักสตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตร์ท้องถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมนื่ ประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ไปประจำ� ทอี่ ดุ รธานี เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการปกครองแบบเทศาภบิ าล พ.ศ. ๒๔๓๗ ทรงกำ� หนดใหเ้ ทศาภบิ าลขนึ้ กบั กระทรวงมหาดไทย ยกเลกิ ระบบกนิ เมอื ง และระบบหวั เมอื งแบบเกา่ (ได้แก่ หัวเมืองชั้นใน ช้ันนอก และเมืองประเทศราช) จัดเป็นมณฑล เมือง อ�ำเภอ หมู่บ้าน ระบบเทศา- ภิบาล ดังกล่าวท�ำให้สยามกลายเป็นรัฐชาติที่ม่ันคง มีเขตแดนท่ีชัดเจนแน่นอน นับเป็นการรักษาเอกราชของประเทศ และท�ำให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตดีข้ึน พระองค์ยังได้ส่งเจ้านายหลายพระองค์ไปศึกษาในทวีปยุโรป เพื่อมาด�ำรง ต�ำแหน่งส�ำคัญในการปกครองที่ได้รับการปฏิรูปใหม่นี้ และทรงจ้างชาวต่างประเทศมารับราชการในต�ำแหน่ง ทคี่ นไทยยงั ไมเ่ ชี่ยวชาญ ทรงตง้ั สุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศทที่ า่ ฉลอม พ.ศ. ๒๔๔๘ พระราชกรณยี กิจด้านการกฎหมาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ สร้างประมวลกฎหมายอาญาข้ึนใหม่เพื่อให้ ทันสมัยทัดเทียมกับอารยประเทศ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ให้จัดตั้งโรงเรียนกฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย เพอ่ื เป็นสถานทสี่ ำ� คัญท่ีผลิตนักกฎหมายทมี่ ีความรูค้ วามสามารถในการพัฒนาประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมาย ลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ อันเป็นลักษณะกฎหมายอาญาฉบับแรก ทนี่ ำ� ขน้ึ มาใช้ อกี ทงั้ ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ กี ารตง้ั กรรมการขน้ึ มาชดุ หนงึ่ พิจารณาท�ำกฎหมายประมวลอาญาแผ่นดินและการพาณิชย์ ประมวลกฎหมายว่าด้วยพิจารณาความแพ่ง และพระธรรมนูญ แหง่ ศาลยุติธรรมแต่ยังไม่ทันสำ� เรจ็ ดกี ็สิน้ รชั กาลเสยี ก่อน พระราชกรณียกจิ ดา้ นการพยาบาลและสาธารณสุข พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชด�ำริที่จะสร้างโรงพยาบาลเพ่ือรักษาประชาชน ด้วยวิธีการแพทย์แผนใหม่ พระองค์จึงทรงจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นบริเวณริมคลองบางกอกน้อย อันเป็นที่ต้ัง ของพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือวังหลังโดยได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จ�ำนวน ๑๖,๐๐๐ บาท เป็นทุนเร่ิมแรกในการสร้างโรงพยาบาล ให้ใช้ชื่อว่า โรงพยาบาลวังหลัง เปิดท�ำการรักษาแก่ประชาชนทั่วไป เป็นครั้งแรกเมือ่ วนั ท่ี ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ต่อมาพระองค์ได้พระราชทานนามโรงพยาบาลแห่งน้ีใหม่ว่าโรงพยาบาลศิริราช เพ่ือเป็นการระลึกถึง สมเด็จพระนางเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสที่ประสูติในสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ พระราชกรณยี กิจดา้ นการไฟฟ้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่าไฟฟ้าเป็นพลังงานท่ีส�ำคัญและมีประโยชน์ อย่างมาก เมื่อมีโอกาสประพาสต่างประเทศ ได้ทอดพระเนตรกิจการไฟฟ้า และทรงเห็นถึงประโยชน์มหาศาล ที่จะเกิดจากการมีไฟฟ้า พระองค์จึงทรงมอบหมายให้กรมหม่ืนไวยวรนารถเป็นผู้ริเร่ิมในการจ่ายกระแสไฟฟ้าข้ึน ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ซึ่งเป็นการเปิดใช้ไฟฟ้าครั้งแรกของไทยและปีเดียวกัน (พ.ศ. ๒๔๓๓) มีการก่อต้ังโรงไฟฟ้า ทวี่ ดั เลยี บ หรือวดั ราชบรู ณะ 206 หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถนิ่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

พระราชกรณยี กิจด้านการขนส่งและส่ือสาร ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะเสนาบดี และกรมโยธาธิการส�ำรวจเส้นทาง เพื่อวางรากฐานการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ มีการวางแผน ให้ทางรถไฟสายนตี้ ดั เข้าเมืองใหญ่ๆ ในบริเวณภาคกลางของ ประเทศแลว้ แยกเปน็ ชมุ สายตดั เขา้ สจู่ งั หวดั ใหญท่ างแถบภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ การส�ำรวจเส้นทางในการวางเส้นทาง รถไฟนี้เสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ และในวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ ขดุ ดนิ กอ่ พระฤกษ์ เพอ่ื สรา้ งทางรถไฟ ครงั้ แรกทเี่ กดิ ขน้ึ ในประเทศไทย โดยโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ างรถไฟ สายนเ้ี ปน็ รถไฟหลวงแห่งแรกของไทย พระราชกรณียกิจด้านการไปรษณยี ์โทรเลข พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการส่ือสารเป็นเร่ืองส�ำคัญและจ�ำเป็นอย่างมากต่อไป ในอนาคต พระองคโ์ ปรดเกลา้ ฯ ใหก้ ระทรวงกลาโหมดำ� เนนิ การกอ่ สรา้ งวางสายโทรเลขสำ� หรบั สายโทรเลขสายแรก ของประเทศเร่ิมก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๔๑๘ จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ ระยะทาง ๔๕ กิโลเมตร และได้ วางสายใต้น�้ำต่อยาวออกไปจนถึงประภาคารท่ีปากแม่น้�ำเจ้าพระยาส�ำหรับบอกข่าวเรือเข้า - ออก และขยายไป ท่ัวถงึ ในเวลาตอ่ มา พระราชกรณียกจิ ด้านกิจการไปรษณยี  ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๒๔ มีท่ีท�ำการเรียกว่าไปรษณียาคาร ต้ังอยู่ริมแม่น�้ำ เจ้าพระยา และเปิดด�ำเนินการอย่างเป็นทางการคร้ังแรก ในวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ หลังจากน้ันจึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมโทรเลขรวมเข้ากับกรมไปรษณีย์ช่ือว่า กรมไปรษณีย์ โทรเลข พระราชกรณยี กิจดา้ นการโทรศพั ท์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระวิสัยทัศน์ท่ีก้าวไกล และพระปรีชาสามารถอย่างมาก ในการพัฒนาประเทศ โดยกระทรวงกลาโหมได้น�ำโทรศัพท์อันเป็นวิทยาการในการส่ือสารที่ทันสมัยเข้ามาทดลอง ใช้เป็นคร้ังแรกในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ เพ่ือแจ้งข่าวเรือเข้า – ออกท่ีปากน้�ำต่อมา กรมโทรเลขไดม้ ารบั ชว่ งตอ่ ในการวางสายโทรศพั ทภ์ ายในกรงุ เทพฯ ซงึ่ ใชเ้ วลา ๓ ปี จงึ แลว้ เสรจ็ พรอ้ มเปดิ ใหบ้ รกิ าร กับประชาชนและพฒั นามาจนกระทง่ั ทกุ วันน้ี 207หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

พระราชกรณียกจิ ด้านการศึกษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยในการศึกษารูปแบบใหม่โดยโปรดเกล้าฯ ให้มีการต้ังโรงเรียนข้ึน เพ่ือให้ประชาชนได้รับการศึกษาท่ัวกัน จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงเรียนหลวงแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๔ และ โปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบไล่สามัญศึกษาขึ้น เพ่ือเป็นการทดสอบความรู้ที่ได้ศึกษา เล่าเรียนมา นอกจากน้ีพระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงขึ้นอีกหลายแห่ง กระจัดกระจายไป ตามวดั ตา่ ง ๆ ทงั้ ในสว่ นกลางและสว่ นภมู ภิ าค โรงเรยี นหลวงแหง่ แรกทส่ี รา้ งขน้ึ ในวดั คอื โรงเรยี นวดั มหรรณพาราม ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้โอนโรงเรียนเหล่าน้ีอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ มีการพิมพ์ ต�ำราพระราชทาน เพ่อื เปน็ ต�ำราในการเรยี นการสอนดว้ ย พระราชกรณียกิจดา้ นการเปลยี่ นแปลงระบบเงนิ ตรา ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำ� ธนบัตรขน้ึ เรยี กวา่ อัฐ เป็นกระดาษมีมูลค่าเท่ากับเหรียญทองแดง ๑ อัฐ แต่ใช้ได้เพียง ๑ ปีก็เลิกไป เพราะประชาชนไม่นิยมใช้ ต่อมา ทรงตง้ั กรมธนบตั รขน้ึ มา เพอ่ื จดั ทำ� เปน็ ตว๋ั สญั ญาขนึ้ ใชแ้ ทนเงนิ กรมธนบตั รไดเ้ รม่ิ ใชต้ วั๋ สญั ญาเมอ่ื วนั ที่ ๑๙ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๔๕ เป็นคร้ังแรก เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ได้มีการผลิตธนบัตรรุ่นแรกออกมา ๕ ชนิด คือ ๑,๐๐๐ บาท ๑๐๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐ บาท ๕ บาท ภายหลังมีธนบัตรใบละ ๑ บาทออกมาด้วย รวมถึงพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ก�ำหนดหน่วยเงินตรา โดยให้หน่วยทศนิยมเรียกว่า สตางค์ กำ� หนดให้ ๑๐๐ สตางค์ เท่ากับ ๑ บาท พรอ้ มกบั ผลติ เหรียญสตางคข์ ึน้ มาใช้ เป็นครัง้ แรกเรียกวา่ เบยี้ สตางค์ มีอยดู่ ว้ ยกนั ๔ ชนิด คอื ราคา ๒๐ สตางค์ ๑๐ สตางค์ ๔ สตางค์ ๒ สตางค์ครงึ่ ใช้ปนกับเหรียญเส้ียว และอัฐและทรงออกพระราชบัญญัติมาตราทองค�ำ ร.ศ.๑๒๗ ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ ว่าด้วยเร่ืองให้ใช้แร่ทองค�ำเป็นมาตรฐานเงินตราแทนแร่เงิน เพ่ือให้เสถียรภาพเงินตรา ของไทยสอดคล้องกับหลกั สากล และในปีต่อมาทรงออกประกาศเลิกใช้เหรียญเฟอื้ ง และเบ้ยี ทองแดง การเสด็จประพาสต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงช่ืนชอบการเสด็จประพาสยิ่งนัก พระองค์ทรงเสด็จ ประพาสทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ บางครั้งทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนบ้าง ปลอมเป็นขุนนางบ้าง เพ่ือเสด็จดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหัวเมืองต่าง ๆ มากมาย การเสด็จประพาสบ่อยครั้งท�ำให้ได้ ทอดพระเนตรเห็นส่ิงต่าง ๆ มากมายท้ังที่ดีและไม่ดี สิ่งเหล่าน้ีพระองค์ท่านได้น�ำมาพัฒนาบ้านเมืองให้เกิด ความเจรญิ ขึน้ จะเหน็ ได้จากทพี่ ระองคท์ รงพระราชดำ� รใิ นการเสดจ็ ประพาสในแตล่ ะคร้ัง ในปี พ.ศ. ๒๔๑๓ ทรงเสด็จพระราชด�ำเนินไปเยือนประเทศเพ่ือนบ้านเป็นคร้ังแรก ทรงเลือกที่ จะเสด็จพระราชดำ� เนนิ ไปในประเทศเพอื่ นบา้ นใกล้เคยี ง คือ ประเทศสงิ คโปร์ และประเทศชวา ดว้ ยทรงตอ้ งการ ที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพ่ือนบ้านในแถบอินโดจีนด้วย และเพื่อเรียนรู้การปกครองเนื่องด้วยประเทศ ทัง้ สองน้ีต่างก็เป็นเมืองข้นึ ของประเทศองั กฤษ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเสดจ็ ประพาสยโุ รปเปน็ ครงั้ แรก ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ โดยประเทศ ท่ีได้เสด็จประพาส คือ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สวีเดน เบลเย่ียม อิตาลี ออสเตรเลีย ฮังการี สเปน เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อียิปต์และเยอรมัน ทั้งนี้มีเหตุผลอยู่หลายประการในการเสด็จประพาสครั้งน้ี คือ เพ่ือเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอ�ำนาจ และร่วมปรึกษาหารือในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง การเสด็จ ประพาสของพระองคใ์ นครง้ั นีไ้ ด้รบั การต้อนรับอย่างย่งิ ใหญ่และสมพระเกยี รตขิ องพระมหากษัตรยิ ์ไทย 208 หลกั สูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์ไดเ้ สด็จประพาสยุโรปอีกเป็นคร้ังที่ ๒ การเสดจ็ ประพาสคร้ังนี้ น�ำความเจริญ มาสู่บ้านเมืองอย่างมากมาย ทั้งน้ีมีความประสงค์ที่จะพัฒนาประเทศไทยให้ได้รับความเจริญก้าวหน้าให้ ทดั เทยี มกับนานาประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงด�ำเนินการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทรงมีพระกรุณาธิคุณต่อมุสลิมท่ีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและมุสลิมที่ต้ังถ่ินฐานมาตั้งแต่ครั้งสถาปนา กรุงเทพมหานคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานท่ีดินและทรงรับศาสนสถานของมุสลิมหลายแห่งไว้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นอกจานี้ ยังพระกรุณาธิคุณพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างมัสยิด ตามประกาศพระบรมราชูทิศไว้ต้ังแต่วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ เรียกโดยสามัญว่า มัสยิดบางกอกน้อย ตอ่ มาได้จดทะเบยี นในนามมสั ยดิ หลวงอันซอรซิ ซนุ นะห์ พระมหากรุณาธิคุณในล้นเกล้ารัชกาลท่ี ๕ ยังแผ่ลงไปปกเกล้ามุสลิมท่ีอยู่ในเขตหัวเมืองมลายู ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชด�ำเนินประพาสหัวเมืองภาคใต้เพื่อทรงเยี่ยมเยีอนราษฎรและทรงสดับ เรอื่ งราวรอ้ งทกุ ขส์ ขุ ของชาวไทยมสุ ลมิ ในหวั เมอื งปตั ตานี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ประพาส แหลมมลายถู งึ ๒ ครงั้ คอื ใน ร.ศ. ๑๐๗ และ ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๗ และ พ.ศ. ๒๔๓๘) หลงั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ กลบั ถงึ พระนครแลว้ ทรงดำ� เนนิ การปรบั ปรงุ แบบแผนการปกครองในหวั เมอื งมลายแู ละผอ่ นปรนในเรอ่ื งตา่ งๆ โดยยกเลกิ ให้หัวเมืองมลายูไม่ต้องส่งเคร่ืองราชบรรณาการต่อกรุงเทพฯ แต่ให้เข้าสู่ระบบภาษีตามระเบียบกระทรวง การคลงั ตอ่ มาไดท้ รงใหอ้ อก กฎขอ้ บงั คบั สำ� หรบั ปกครองบรเิ วณเจด็ หวั เมอื ง ร.ศ. ๑๒๐ (พ.ศ. ๒๔๔๔) ในขอ้ บญั ญตั ิ ก�ำหนดให้ข้าราชการท่ีจะไปประจ�ำท�ำงานในบริเวณหัวเมืองท้ังเจ็ดพูดภาษามลายูท้องถิ่นเพ่ือให้เข้าถึงประชาชน ในพน้ื ท่ี นอกจากนใ้ี นบทบญั ญตั ขิ อ้ ที่ ๓๒ กำ� หนดใหใ้ ชก้ ฎหมายอสิ ลามตามจารตี ประเพณที างศาสนาในการพจิ ารณา พิพากษาคดีความเร่ืองครอบครัวและมรดก โดยให้ “โต๊ะกาลี” ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ทางศาสนาเป็นผู้พิพากษา คดตี ามกฎหมายอสิ ลาม อย่างไรก็ตามในรัชสมัยของพระองค์ได้เกิดเหตุการณ์ส�ำคัญเกี่ยวกับการเสียดินแดนให้อังกฤษถึง สองครง้ั คือ คร้ังที่ ๑ เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้�ำสาละวิน (๕ เมืองเงี้ยวและ ๑๓ เมืองกะเหรี่ยง) ให้อังกฤษ เม่ือวันท่ี ๒๗ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๓๕ ครั้งท่ี ๒ เสียดินแดน รัฐไทรบุรี รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู และรัฐปะลิส ให้อังกฤษ เม่ือ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๑ เพื่อขอกู้เงิน ๔ ลา้ นปอนด์ทองคำ� อัตราดอกเบ้ีย ๔% ตอ่ ปี มเี วลาช�ำระหน้ี ๔๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะ (ไต) เมื่อวันท่ี ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เวลา ๒.๔๕ นาฬกิ า ณ พระทีน่ ง่ั อัมพรสถาน พระราชวังดสุ ิต รวมสิรพิ ระชนมายุได้ ๕๗ พรรษา 209หลกั สตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๒๓ - ๒๔๖๘)     พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเปน็ พระโอรสองคท์ ่ี ๒๙ ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และทรงเป็นพระโอรสองค์ท่ี ๒ ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง (สมเดจ็ พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศร)ี ทรงพระราชสมภพเมอ่ื วนั เสาร์ เดือนยี่ ข้ึน ๒ ค�ำ่ ปมี ะโรง ตรงกับ วันท่ี ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๒๓ ร.ศ. ๙๙ เม่ือเวลา ๐๘.๕๕ นาฬิกา ทรงได้รับพระราชทานพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราวุธ” เม่ือพระชนมายุได้ ๘ พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี ทรงมีพระเกียรติยศเป็นชั้นท่ี ๒ รองจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีสมเด็จพระพ่ีนางเธอ สมเด็จพระเจ้า นอ้ งนางเธอและสมเด็จพระเจา้ น้องยาเธอ รว่ มสมเด็จพระบรมราชชนก สมเดจ็ พระบรมราชชนนี ดังนี้ ๑. สมเดจ็ เจ้าฟ้าหญงิ พาหรุ ัดมณีชัย กรมพระเทพนารีรัตน์ ๒. สมเด็จเจา้ ฟา้ ชายมหาวชริ าวธุ (รัชกาลที่ ๖) ๓. สมเด็จเจา้ ฟา้ ชายตรเี พ็ชรรตุ ม์ธำ� รง ๔. สมเดจ็ เจ้าฟ้าชายจกั รพงศภ์ วู นาถ กรมหลวงพษิ ณุโลกประชานาถ ๕. สมเด็จเจา้ ฟ้าชายสริ ิราชกกุธภัณฑ์ ๖. สมเดจ็ เจ้าฟ้าหญิง (ส้นิ พระชนม์วันทีป่ ระสูติ) ๗. สมเดจ็ เจา้ ฟา้ ชายจุฑาธชุ ธราดลิ ก กรมขุนเพ็ชรบรู ณ์อินทราชยั ๘. สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รชั กาลท่ี ๗) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบ�ำเพ็ญพระราชกรณียกิจ ในหลายสาขา ทงั้ ดา้ นการเมืองการปกครอง การทหาร การศกึ ษา การสาธารณสขุ การตา่ งประเทศ และท่ีสำ� คัญ ท่สี ดุ คอื ดา้ นวรรณกรรมและอกั ษรศาสตร์ ไดท้ รงพระราชนิพนธบ์ ทรอ้ ยแก้วและรอ้ ยกรองไว้นบั พนั เร่อื ง กระทั่ง ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเม่ือเสด็จสวรรคตแล้วว่า “สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า” พระองค์เป็น พระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรีพระองค์แรกที่ไม่มีวัดประจ�ำรัชกาล แต่ได้ทรงมีการการสถาปนาโรงเรียน มหาดเล็กหลวง หรือวชิราวธุ วทิ ยาลัยในปจั จบุ ัน ข้นึ แทน ใน พ.ศ. ๒๕๒๔ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่อง พระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว วา่ ทรงเปน็ บคุ คลสำ� คญั ของโลก ผมู้ ผี ลงานดเี ดน่ ดา้ นวฒั นธรรม ในฐานะท่ีทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่ง บทละครไวเ้ ป็นจ�ำนวนมาก 210 หลกั สูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต)้

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะทรงพระเยาวไ์ ดท้ รงศกึ ษาในพระบรมมหาราชวัง พระอาจารย์ภาษาไทย คือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) พระยาอิศรพันธุ์โสภณ (ม.ร.ว. หนู อิศรางกูร) และหม่อมเจ้าประภากรในสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยา บำ� ราบปรปักษ์ ส�ำหรับภาษาอังกฤษทรงศึกษาจากครู ชาวอังกฤษ ชื่อ โรเบิร์ต มอแรนต์ (Robert Morant) เมื่อทรงพระชนมายุได้ ๑๐ พรรษา เสด็จเข้ารับการศึกษา ในโรงเรียนราชกมุ าร ซ่ึงตั้งอย่ใู นเขตพระบรมมหาราชวงั เม่ือพระชนมายุ ๑๒ พรรษาเศษ ได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ ตามพระบรมราโชบาย ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ ท่ีจะทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ ไปทรงศึกษาวิชาการในสาขาต่างๆ ณ ทวีปยุโรปเพ่ือน�ำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศให้เจริญทัดเทียมกับ นานาอารยประเทศตอ่ ไป จงึ นบั ไดว้ า่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยพระองคแ์ รก ท่ีทรงได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร สวรรคตในวนั ที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ สถาปนาสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ มหาวชิราวุธ กรมขนุ เทพทวาราวดี ขน้ึ เปน็ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกมุ ารแทน ในระหว่างปิดภาคเรียนขณะทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงศึกษาภาษาฝรั่งเศส และเสด็จ ทอดพระเนตรกจิ การทหารของประเทศในภาคพนื้ ยโุ รปเปน็ เนอื งนจิ ในปพี ทุ ธศกั ราช ๒๔๔๕ ขณะทรงพระชนมายุ ๒๒ พรรษา หลังจากทรงส�ำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดแล้ว พระองค์ได้เสด็จพระราชด�ำเนิน ไปประทับที่กรุงปารีส ประเทศฝร่ังเศส และเสด็จพระราชด�ำเนินทรงเย่ียมประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปจนถึง ประเทศอียิปต์ เพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรี จากน้ันประทับอยู่ในกรุงลอนดอนระยะหนึ่งเพื่อเตรียม พระองค์นิวัตประเทศไทย รวมเวลาที่ทรงศึกษาในประเทศอังกฤษทั้งส้ิน ๙ ปี         ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตประเทศไทยทางเรือ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก สู่สหรัฐอเมริกา และเสด็จประพาสตามหัวเมืองต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา เพื่อทอดพระเนตรการปกครองและการบริหารบ้านเมืองของสหรัฐอเมริกา เสด็จถึงประเทศไทย ในวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ และทรงเข้ารับ ราชการทหารทันที ต่อมาทรงได้รับพระราชทานพระยศนายพลเอกราช องครักษ์พิเศษและจเรทัพบก กับทรงเป็นนายพันโทผู้บังคับการกรมทหาร มหาดเลก็ รกั ษาพระองค์ นอกจากนน้ั ทรงชว่ ยเหลอื กจิ การของสภาทปี่ รกึ ษา ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ 211หลักสตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาอย่างมาก และเป็นไปตามโบราณราชประเพณี หลังจากทรงรับราชการทหารได้ระยะหน่ึง จึงเสด็จออกผนวช ในวันท่ี ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ประทับจ�ำพรรษาท่ีพระต�ำหนักปั้นหยาวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา ๑ พรรษา ทรงไดร้ ับสมณฉายาว่า “วชิราวโุ ธ” เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เวลา ๒๔.๔๕ น. สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ สยามกฎุ ราชกมุ าร ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั สิ บื แทน เมอ่ื เวลา ๐.๔๕ น. ทรงพระนามวา่ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาวชริ าวธุ ฯ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ท่ี ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจัดเป็น ๒ งาน คือ งานพระราชพิธี บรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมนเทียร เม่ือวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๓ และงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมมายุ ๓๐ พรรษา ทรงมีพระราชปณิธานในการปกครอง พสกนกิ ร และแผน่ ดินโดยธรรม พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อย่หู ัว ทรงมีพระราชกรณยี กจิ ทีส่ �ำคัญ ดังนี้ ๑. ด้านการศึกษา - จดั การศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา โดยทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ยกฐานะ โรงเรยี นขา้ ราชการพลเรอื นฯ ขน้ึ เป็น จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ นบั เป็นมหาวทิ ยาลัยแห่งแรกของไทย - ทรงตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา ปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ให้บิดามารดาส่งบุตรเข้าโรงเรียนโดย ไมเ่ สียคา่ เล่าเรยี น - โปรดเกล้าให้จัดต้ังสถาบันการศึกษาหนึ่งและพระราชทานนามว่า โรงเรียนเพาะช่าง ในวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๕๖ ๒. ดา้ นสงั คม - ยกเลิกบ่อนการพนัน และ หวย ก.ข. ซ่ึงเป็นอบายมุขมอมเมาประชาชน แม้ว่าจะเป็นแหล่งรายได้ สำ� คญั ของรฐั บาลแหลง่ หนึง่ ก็ตาม - ลดการคา้ ฝ่นิ ซ่งึ เป็นแหล่งรายได้หลกั อีกแหลง่ หนึ่งของรฐั บาล - ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นการเร่ิมต้นให้คนไทยมีนามสกุลใช้ โดยได้ ทรงพระราชทานนามสกลุ แก่ผทู้ ขี่ อมาดว้ ย 212 หลักสตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถ่ินจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

๓. ดา้ นเศรษฐกจิ - จัดตัง้  ธนาคารออมสินข้นึ เพอื่ ให้ประชาชนร้จู กั ออมทรัพย์ และเชือ่ ม่ันในสถาบันการเงิน เน่อื งจาก มีธนาคารพาณิชย์เอกชนทีฉ่ อ้ โกง และต้องลม้ ละลายปดิ กจิ การ ท�ำใหผ้ ฝู้ ากเงนิ ไดร้ ับความเสยี หายอยูเ่ สมอ - ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อหุ้นของธนาคารสยามกัมมาจลทุน จ�ำกัด (ปัจจุบันคือ ธนาคาร ไทยพาณชิ ย์) ซึง่ มีปัญหาการเงนิ ธนาคารแหง่ น้ีเปน็ ของคนไทยที่ด�ำรงอยมู่ าไดจ้ นถงึ ทุกวนั น้ี - ทรงริเริ่มก่อต้ัง บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จ�ำกัด ซ่ึงได้เป็นกิจการอุตสาหกรรมส�ำคัญของไทยต่อเนื่อง มาจนถงึ ปัจจบุ ัน - ทรงจัดต้งั  สภาเผยแผพ่ าณิชย์ ซึ่งเป็นหนว่ ยงานคล้ายกบั สภาพัฒนาการเศรษฐกิจในปจั จุบัน ๔. ด้านการสง่ เสริมความเป็นประชาธปิ ไตย - ทรงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อมวลชนที่ส�ำคัญ ในยคุ นนั้ คือ หนังสือพิมพ์ ซึ่งอาจกลา่ วไดว้ ่ามีเสรภี าพสงู ย่ิงกว่าสมัยหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ - ทรงทดลองและฝึกให้ข้าราชบริพารรู้จักการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยทรงทดลองตั้ง “เมืองมัง” หลังพระต�ำหนักจิตรลดาเดิม มีระบอบการปกครองของตนเองตามวิถีทางประชาธิปไตย รวมถึง เมืองจ�ำลอง “ดุสิตธานี” ในพระราชวังดุสิต เป็นเมืองท่ีมีพรรคการเมือง การเลือกต้ังและการบริหารบ้านเมือง ตามระบอบประชาธปิ ไตย ๕. ดา้ นการเมอื งการปกครอง ทรงประกาศใช้ “หลักรัฐประศาสนโยบาย เป็นหลัก ๖ ข้อ ระเบียบปฏิบัติภายในมณฑลปัตตานี” ไวเ้ ป็นการเฉพาะดงั พระราชหัตถเลขาที่ ๓/๗๘ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ มสี าระสำ� คัญดังตอ่ ไปน้ี ขอ้ หนง่ึ ระเบียบการหรือวิธีปฏิบัติอย่างใดเป็นทางให้พลเมืองรู้สึกหรือเห็นไปว่าเป็นการเบียดเบียน กดข่ีศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิกแก้ไขเสียทันที การใดจัดขึ้นใหม่ต้องอย่าให้ขัดกับลัทธินิยมของอิสลาม หรือ ย่ิงทำ� ใหเ้ ป็นการอุดหนุนศาสดามฮุ ัมมดั ไดด้ ียิง่ ขอ้ สอง การกะเกณฑอ์ ยา่ งใดๆ กด็ ี การเกบ็ ภาษอี ากรหรอื อยา่ งใดๆ กด็ ี เมอ่ื พจิ ารณาโดยรวมเทยี บกนั ตอ้ งใหย้ ง่ิ กวา่ ทพ่ี ลเมอื งในแวน่ แควน้ ของตา่ งประเทศซงึ่ อยใู่ กลเ้ คยี งตดิ ตอ่ กนั นน้ั ตอ้ งเกณฑ์ ตอ้ งเสยี อยเู่ ปน็ ธรรมดา เมื่อพิจารณาเทยี บกันแต่เฉพาะอย่าง ตอ้ งอยา่ ให้ยงิ่ หย่อนกวา่ กนั จนถึงเปน็ เหตุให้เสียหายในทางปกครองได้ ขอ้ สาม การกดขี่บีบค้ันแต่เจ้าพนักงานของรัฐบาลเนื่องแต่การหม่ินดูแคลนพลเมืองชาติแขก โดยฐานที่เป็นคนต่างชาติก็ดี เน่ืองแต่การหน่วงเหน่ียวชักช้าในกิจการตามเจ้าหน้าท่ีเป็นเหตุให้ราษฎร เสียความสะดวกในการหาเล้ียงชีพก็ดี พึงต้องแก้ไขและให้ระมัดระวังมิให้มีขึ้น เม่ือเกิดข้ึนแล้วต้องให้ผู้ท�ำผิด รองรับผลตามความผิดโดยยุติธรรม ไม่ใช่สักแต่ว่าจัดการกลบเกล่ือนให้เงียบไปเสีย เพ่ือจะไว้หน้า สงวนศักด์ิ ของข้าราชการ ขอ้ ส ี่ กิจการใดทั้งหมดอันเจ้าพนักงานอันต้องบังคับแก่ราษฎร ต้องระวังอย่าให้ราษฎรต้องขัด ต้องเสียเวลา เสียการในทางหาเล้ียงชีพของเขาเกินสมควร แม้จะเป็นการจ�ำเป็นโดยระเบียบการก็ดี เจ้าหน้าท่ี พึงสอดสอ่ งแก้ไขอยูเ่ สมอเทา่ ท่สี ุดจะท�ำได้ 213หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

ขอ้ หา้ ข้าราชการที่จะแต่งต้ังออกไปประจ�ำต�ำแหน่งในมณฑลปัตตานี พึงเลือกเฟ้นแต่คนที่มีนิสัย ซื่อสัตย์สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็น ไม่ใช่สักแต่ว่าส่งไปบรรจุให้เต็มต�ำแหน่ง หรือ ส่งไปเป็นทางลงโทษเพราะเลว เมื่อส่งไปต้องส่ังสอนให้รู้ลักษณะทางการอันพึงประพฤติระมัดระวัง โดยหลักท่ีได้ดังกล่าวในข้อหนึ่ง ข้อสาม และ ข้อส่ี ข้างบนนั้นแล้ว ผ้ใู หญใ่ นทอ้ งท่พี ึงสอดสอ่ งฝกึ ฝนอบรมกันต่อๆ ไปในคุณธรรมเหล่านน้ั เนอื งๆ ไม่ใชแ่ ตค่ อยให้ พลาดพลงั้ ลงไปก่อนแลว้ จงึ ว่ากล่าวลงโทษ ขอ้ หก เจ้ากระทรวงทั้งหลายจะจัดการวางระเบียบการอย่างใดข้ึนใหม่ หรือบังคับการอย่างใด ในมณฑลปัตตานี อันจะเป็นทางพากพานถึงทุกข์สุขของราษฎร ก็ควรพิจารณาหาเหตุผลแก้ไขหรือยับย้ัง ถ้าไม่เห็นด้วยว่ามีมูลขัดข้อง ก็ควรหารือกับกระทรวงมหาดไทย แม้ยังไม่ตกลงกันได้ระหว่างกระทรวง ก็พึง นำ� ความขนึ้ กราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธลุ ีพระบาท ขอพระราชทานพระบรมราชวนิ จิ ฉยั ๖. ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข - ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังวชิรพยาบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๗ - ทรงเปิดสถานเสาวภา เมื่อวันท่ี ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ เพื่อผลิตวัคซีนและเซรุ่ม เป็นประโยชน์ ท้งั แก่ประชาชนชาวไทยและประเทศใกล้เคียงอกี ด้วย - ทรงเปดิ การประปากรุงเทพฯ เมื่อวันท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ๗. ด้านการต่างประเทศ ประเทศไทยรักษาความเป็นกลางอย่างม่ันคง แต่เน่ืองจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว ทรงให้ความสนใจและติดตามข่าวการสงครามอย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในการให้ประเทศไทย ประกาศเขา้ รว่ มกบั ฝา่ ยสมั พนั ธมติ ร จงึ ไดป้ ระกาศสงครามกบั เยอรมนแี ละออสเตรยี -ฮงั การี ในวนั ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ง่ ทหารไทยอาสาสมคั รไปรว่ มรบในสมรภมู ดิ ว้ ย การเขา้ รว่ มสงคราม ในครง้ั นเี้ ปน็ ผลดแี กป่ ระเทศไทยอยา่ งยงิ่ ในฐานะผชู้ นะสงคราม ประเทศไทยสามารถเจรจากบั ประเทศมหาอำ� นาจ ขอแก้ไขสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และสนธิสัญญาจ�ำกัดอ�ำนาจการเก็บภาษีของประเทศไทย ท�ำให้ประเทศไทยพน้ สภาพการเสียเปรยี บในดา้ นการศาล และสามารถด�ำเนินนโยบายดา้ นภาษีไดโ้ ดยอสิ ระ ๘. ด้านกจิ การเสอื ป่าและลูกเสอื ภายหลังจากท่ีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ฯ ทรงพระราชทานก�ำเนิดเสือป่าได้ ๒ เดือน ซ่ึงในระยะเวลาน้ันกิจการเสือป่าได้ด�ำเนินไปอย่างเป็นที่พอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง เห็นได้จากการเพิ่มจ�ำนวน สมาชิกของเสือป่าท่ีมากข้ึน และกิจการเสือป่าถูกจ�ำแนกออกไปเป็นกองเสือป่าประเภทต่างๆ อีกมาก แม้จะ ทรงพอพระราชหฤทัยเพียงใด พระองค์ก็ไม่เคยที่จะยุติในพระราชด�ำริที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่ากิจการเสือป่านั้น แม้จะประสบผลส�ำเร็จเพียงใด แต่สมาชิกนั้นเป็นผู้ใหญ่แต่ฝ่ายเดียว ทั้งๆ ท่ีบ้านเมืองนั้น ประกอบด้วย พลเมืองหลายช่วงวัย เด็กผู้ชายทั้งหลายก็เป็นผู้ที่สมควรจะได้รับการฝึกฝน และปลกู ฝงั อดุ มการณค์ วามรกั ชาตไิ ปพรอ้ มๆ กบั การฝกึ ฝนใหม้ คี วามรแู้ ละทกั ษะในทางเสอื ปา่ ดว้ ย เพอ่ื วา่ ในอนาคต เม่ือเติบโตขึ้นจะได้ประพฤติตัวให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเกิดเมืองนอน ดังน้ันในวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ จึงได้ทรงพระราชทานก�ำเนิดกิจการเสือป่าส�ำหรับเด็กชาย ที่ทรงพระราชทานชื่อวา่ “ลกู เสอื ” 214 หลกั สูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตร์ท้องถ่ินจังหวัดชายแดนภาคใต้)

ในกจิ การนพี้ ระองคท์ รงมพี ระราชประสงคท์ ่ีให้เดก็ ชายจดจ�ำหลักส�ำคัญ ๓ ประการ คือ ๑. ความจงรักภกั ดตี อ่ ผทู้ รงดำ� รงรฐั สีมาอาณาจกั ร โดยต้องตามนิติธรรมประเพณี ๒. ความรักชาติบา้ นเมอื ง และนับถือพระศาสนา ๓. ความสามัคคใี นคณะ และไมท่ �ำลายซ่งึ กนั และกัน การกอ่ ต้ังกจิ การลูกเสือในคร้งั แรกน้นั พระองค์ทรงต้ังกองลูกเสอื ใหม้ ใี นโรงเรียนก่อน และกองลกู เสอื กองแรกของสยามประเทศ คอื กองลกู เสอื โรงเรยี นมหาดเลก็ หลวง หรอื โรงเรยี นวชริ าวธุ ในปจั จบุ นั และถกู เรยี กวา่ กองลูกเสือหลวง หรือกองลูกเสือกรุงเทพท่ี ๑ และลูกเสือในโรงเรียนน้ีก็ถูกเรียกว่า ลูกเสือหลวงเช่นกัน ก่อนท่ี กิจการลูกเสือจะขยายไปสู่โรงเรียนเด็กชายท่ัวประเทศในเวลาไม่นาน โดยลูกเสือคนแรก คือ นักเรียนโรงเรียน มหาดเล็กหลวงท่ีชื่อ ชัพน์ บุนนาค การเป็นลูกเสือของนาย ชัพน์ บุนนาค น้ันเกิดจากการที่ได้แต่งเคร่ืองแบบ ลูกเสือ และกล่าวค�ำปฏิญาณของลูกเสือ ซ่ึงเป็นการกล่าวต่อหน้าพระพักตร์ ต่อมาพระองค์ก็ทรงพระราชทาน คติพจน์ให้กับลูกเสือ ที่ภายหลังลือลั่นไปทั่วทั้งแผ่นดินและเป็นที่กล่าวขาน ร�ำลึก พูดสอนกันอย่างติดปาก ในสงั คม อีกท้งั ยังปรากฏอยูบ่ นเครอ่ื งหมายส�ำคญั ต่างๆ ของลกู เสอื วา่ “เสยี ชีพอย่าเสียสตั ย”์ ในขณะเดยี วกนั ก็ทรงจัดตัง้ กองลกู เสอื สำ� หรับเด็กหญิง และพระราชทานช่อื ว่า “เนตรนาร”ี ซ่งึ เนตรนารี กองแรก คือ กองเนตรนารโี รงเรียนกลุ สตรวี ังหลัง ตอ่ มาได้เปน็ ชื่อ โรงเรียนวฒั นาวทิ ยาลยั ๙. ดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม - ทรงต้ังกรมมหรสพข้นึ เพื่อฟ้ืนฟศู ิลปวัฒนธรรมไทย - ทรงตัง้ โรงละครหลวงขึ้นเพอ่ื ส่งเสรมิ การแสดงละครในหมู่ข้าราชบรพิ าร - ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบอาคารสมัยใหม่เป็นแบบทรงไทย เช่น ตึกอักษรศาสตร์ ซ่งึ เป็นอาคารเรยี นหลังแรกของจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย และอาคารโรงเรยี นวชิราวธุ วิทยาลยั ๑๐. ด้านวรรณกรรมและหนงั สอื พิมพ์ - ทรงส่งเสริมให้มีการแต่งหนังสือ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติวรรณคดี สโมสร สำ� หรับในด้านงานหนงั สอื พิมพ ์ - ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ราพระราชบัญญตั กิ ารพิมพฉ์ บบั แรกขึ้น เรยี กว่า พระราชบญั ญัติ สมดุ เอกสาร และหนงั สือพมิ พ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ - ทรงพระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งราวตา่ งๆ ไวเ้ ปน็ อนั มาก ทง้ั ในภาษาไทย และภาษาองั กฤษ ทงั้ ทเี่ ปน็ รอ้ ยแกว้ และร้อยกรอง ทั้งท่ีเป็นสารคดี และนิยาย มีบทละครร�ำ ละครร้อง ละครพูด ทั้งยังได้ทรงพระราชนิพนธ์ บทความพระราชทานหนังสือพิมพ์ด้วย รวมกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง เป็นมรดกทางวรรณกรรมให้ประชาชนชาวไทยได้ อ่านและชื่นชมสืบทอดกันมา จึงได้รับพระสมัญญานามว่า สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า และ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ก็ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์เป็น ปราชญส์ ยาม 215หลักสตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิน่ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)

๑๑. ด้านการคมนาคม - ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงต้ังกรมรถไฟหลวง และเริ่มเปิดการเดินรถไฟสายกรุงเทพมหานครถึง จงั หวดั เชยี งใหม ่ สายใต้จากธนบุรเี ช่อื มกบั ปีนงั และสงิ คโปร์  - ทรงปรบั ปรงุ และขยายงานกจิ การรถไฟ ใหร้ วมกรมรถไฟซงึ่ เคยแยกเปน็ ๒ กรมเขา้ เปน็ กรมเดยี วกนั เรียกว่า กรมรถไฟหลวง เร่ิมเปิดกิจการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ทรงเปิดเดินรถด่วนระหว่างประเทศ สายใตต้ ิดต่อกับรถไฟมลายู (มาเลเซยี ) - ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานพระราม ๖ ข้ามแม่น้�ำเจ้าพระยาเชื่อมทางรถไฟทั้งปวง ในพระราชอาณาจักรโดยโยงเข้ามาสูศ่ นู ยก์ ลางท่สี ถานีหวั ล�ำโพง - ทรงจัดตั้งกรมอากาศยาน ได้เร่ิมการขนส่งไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศระหว่างกรุงเทพฯ ไปยัง นครราชสมี าเป็นครง้ั แรก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรพระโรคพระโลหิตเป็นพิษในพระอุทร ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ โดยทรงได้เสวยพระกระยาหารผิดส�ำแดงและทรงพระบังคน จนเสดจ็ สวรรคต ณ พระทน่ี ่งั จกั รพรรดพิ ิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง เมอ่ื วันท่ี ๒๖ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๖๘ เวลา ๑ นาฬิกา ๔๕ นาที 216 หลกั สูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตร์ทอ้ งถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต้)

รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว รัชกาลท่ี ๗ (พ.ศ. ๒๔๓๖ - ๒๔๘๔) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรส พระองค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ีประสูติ แต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  ทรงพระราชสมภพเม่ือวันพุธ แรม ๑๔ ค�่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเส็ง ตรงกับ เจา้ ฟ้าประชาธปิ กและพระราชมารดา วนั ท่ี ๘ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระทน่ี งั่ สทุ ธาศรภี ริ มย ์ พระนามทวั่ ไป ขณะทรงพระเยาว์ เรยี กวา่ “ทลู กระหมอ่ มเอยี ดนอ้ ย” พระองคม์ พี ระเชษฐาและพระเชษฐภคนิ ี รว่ มพระครรโภทร ๗ พระองค์ เมื่อพระองค์เจริญพระชันษาพอสมควรทรงเข้ารับการศึกษา ตามประเพณีขัตติยราชกุมาร และจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น นกั เรยี นนายรอ้ ยพเิ ศษ ตอ่ มา ครน้ั ทรงโสกนั ตแ์ ลว้ เสดจ็ ไปศกึ ษาวชิ าการที่ ประเทศองั กฤษ เมอ่ื กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ในขณะนนั้ มพี ระชนมายเุ พยี ง ๑๓ พรรษา ตอ่ จนจบวชิ าทหารทโ่ี รงเรยี นนายรอ้ ยทหาร (Royal Military Academy) ณ เมอื งวูลิช ทรงเลือกศกึ ษาวิชาทหารแผนกปืนใหญม่ า้ คร้ันเม่ือเสด็จกลับประเทศไทย พระองค์เข้ารับราชการ สมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ ในต�ำแหน่งนายทหารคนสนิทพิเศษของ จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมขุนสโุ ขทัยธรรมราชา เจา้ ฟ้ากรมหลวงพษิ ณุโลกประชานาถ ซ่งึ เป็นพระเชษฐาในพระองคต์ ่อมา ทรงลาราชการเพ่ือผนวช ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เม่ือปี และหมอ่ มเจ้าร�ำไพพรรณี พ.ศ. ๒๔๖๐ โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  พระวรชายา ในวนั พระราชพธิ ี เป็นพระอุปัชฌาย ์ ทรงได้รับฉายาว่า “ปชาธโิ ป” เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอลาผนวชและเสด็จเข้ารับ อภิเษกสมรส ราชการแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสขอ หมอ่ มเจา้ รำ� ไพพรรณี สวสั ดวิ ตั น์ ตอ่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ สวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสพระราชทาน โดยมีพิธีข้ึนต�ำหนัก ณ วังศโุ ขทัย  217หลักสูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถิน่ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)

เมื่อวันท่ี ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๙ สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวรับพระบรมราชาภิเษกโดยมีพระนาม อย่างย่อว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการนี้ พระองค์ได้สถาปนา หมอ่ มเจา้ รำ� ไพพรรณี พระวรชายา ขนึ้ เปน็  สมเดจ็ พระนางเจา้ ร�ำไพพรรณี พระบรมราชินี ซึ่งนับเป็นพระอัครมเหสี พระองคแ์ รกทไี่ ดร้ บั การสถาปนาขนึ้ เปน็ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี ในการพระราชพิธบี รมราชาภิเษก พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาประชาธิปก ในขณะท่ีพระองค์ขึ้นครองราชย์นั้น ฐานะทาง ในฉลองพระองค์เต็มยศตามโบราณราชประเพณี การคลังของสยามและสภาวะเศรษฐกิจท่ัวโลกอยู่ในภาวะ ประทับเหนือพระท่ีนั่งภัทรบิฐ แวดล้อมด้วยชาวพนกั งาน ถอื เบญจราชกกธุ ภณั ฑ์และเครอื่ งยศเครื่องสงู ตกต่ำ� อยา่ งมาก พระองค์ได้ตดั ลดงบประมาณในส่วนตา่ งๆ เช่น งบประมาณส่วนพระมหากษัตริย์ งบประมาณด้าน การทหาร รวมถึงการยุบหน่วยราชการและปลดข้าราชการออกเป็นจ�ำนวนมาก เพ่ือลดรายจ่ายของประเทศ ทำ� ใหเ้ กดิ ความไมพ่ อใจ อนั เปน็ สาเหตหุ นง่ึ ทนี่ ำ� ไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงสยามในเวลาตอ่ มา พระราชกรณยี กจิ ทส่ี ำ� คญั ประการหนึ่ง คือ พระองค์มีพระราชปรารภจะพระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองให้แก่สยาม โดยพระองค์ได้ มอบหมายให้นายเรยม์ อนด์ บารท์ เลต็ ต์ สตีเฟนส์ ท่ปี รึกษานโยบายต่างประเทศชาวอเมรกิ ัน และพระยาศรวี สิ าร วาจา ร่วมกันท�ำบันทึกความเห็นในเร่ืองดังกล่าว แต่ถูกทักท้วงจากพระบรมวงศ์ช้ันผู้ใหญ่จึงได้ระงับไปก่อน ภายหลังงานเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ ๑๕๐ ปี พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปยังวังไกลกังวล อ�ำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ขณะนั้นคณะราษฎรได้ท�ำการปฏิวัติยึดอ�ำนาจการปกครองในวันท่ี ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เม่ือพระองค์ทรงทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พระองค์ตรัสเรียกพระบรมวงศานุวงศ์ และเสนาบดีท่ีอยู่ท่ีหัวหินมาประชุมร่วมกันที่วังไกลกังวล อ�ำเภอหัวหิน เพื่อทรงหารือแนวทางต่างๆ ที่จะรับมือกับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน ที่ประชุม มีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายหน่ึงสนับสนุนให้ต่อสู้กับคณะราษฎร และฝ่ายท่ีเห็นว่าไม่ควรสู้ หลังจากน้ัน พระองค์ตรัสว่า “เม่ือได้ฟัง ความเห็นของเจ้านายและเสนาบดีทั้งสองฝ่ายแล้ว ทรงเห็นว่าถ้าจะสู้ ก็คงสู้ได้ แต่จะเสียเลือดเน้ือข้าแผ่นดินซ่ึงเป็นคนไทยด้วยกัน” ในท่ีสุด พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะอยู่ในราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะพระองค์ทรงสนับสนุนท่ีจะให้ประชาชนมี รัฐธรรมนญู มาโดยตลอด พระองคเ์ สดจ็ กลบั พระนครและไดพ้ ระราชทาน พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามช่ัวคราว ในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ และพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อวันท่ี ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระองค์ทรงตัดสินพระทัย สละราชสมบัติ เมื่อวันท่ี ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ในพระราชหัตถเลขา พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั สละราชสมบตั นิ ้นั ปรากฏข้อความท่ใี ช้อ้างอิงกนั เสมอในเวลาตอ่ มาว่า ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจกั รสยาม เมือ่ วนั ที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ 218 หลกั สตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตรท์ ้องถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

........ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอ�ำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยท่ัวไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอ�ำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะเพ่ือใช้อ�ำนาจน้ัน โดยสิทธขิ าด และโดยไมฟ่ งั เสียงอนั แท้จริงของราษฎร... พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงมพี ระราชกรณยี กจิ ที่สำ� คญั ดงั นี้ ๑. ดา้ นการท�ำนบุ �ำรุงบา้ นเมือง เศรษฐกจิ สืบเนื่องจากผลของสงครามโลกคร้ังท่ีหนึ่ง ประเทศทั่วโลกประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่�ำ ซ่ึงมีผลกระทบกระเทือนมาสู่ประเทศไทย พระองค์ได้ทรงพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การควบคุมงบประมาณ ตัดทอนรายจ่าย ลดอัตราเงินเดือนข้าราชการ รวมถึงการลดจ�ำนวนข้าราชการ ปรับปรุง ระบบภาษี การเก็บภาษีเพิ่มเติม ยุบรวมจังหวัด เลิกมาตรฐานทองค�ำเปลี่ยนไปผูกกับค่าเงินของอังกฤษ เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมกิจการสหกรณ์ให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมกันประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ โดยทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ราพระราชบัญญัตสิ หกรณ์ พ.ศ. ๒๔๗๑ ขึน้ การสุขาภิบาล และสาธารณปู โภค โปรดใหป้ รบั ปรงุ งานสุขาภิบาลท่ัวราชอาณาจักรให้ทัดเทียมอารยประเทศด้านการส่ือสารและการคมนาคมน้ัน ได้มีการอัญเชิญ กระแสพระราชด�ำรัสของพระองค์จากพระที่น่ังอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง ถ่ายทอดเสียงทางวิทยุ เปน็ ครง้ั แรกของประเทศไทยในพธิ เี ปดิ สถานวี ทิ ยกุ รงุ เทพฯ ทพี่ ระราชวงั พญาไท ในสว่ นกจิ การรถไฟ ขยายเสน้ ทางรถ ทางทิศตะวันออกจากทางจงั หวดั ปราจีนบุร ี จนกระทัง่ ถึงต่อเขตแดนประเทศกมั พชู า ๒. ด้านการศาสนา การศึกษา ประเพณแี ละวฒั นธรรม ๑.๑ ด้านการศึกษา ทรงส่งเสริมการศึกษาของชาติทั้งส่วนรวม และส่วนพระองค์ โปรดให้สร้างหอพระสมุดส�ำหรับพระนคร เพื่อเปิดโอกาส ให้ประชาชนเข้าศกึ ษาไดอ้ ย่างเสรี ๑.๒ ทรงต้ังราชบัณฑิตยสภา เพื่อมีหน้าท่ีบริหารและเผยแพร่ วิชาการด้านวรรณคดี โบราณคดี และศลิ ปกรรม  ๑.๓ ดา้ นวรรณกรรม โปรดตราพระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองวรรณกรรม และศลิ ปกรรมใน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระราชทานเงนิ สว่ นพระองค์ เปน็ รางวลั แกผ่ แู้ ต่ง หนังสือยอดเย่ียม และให้ทุนนักเรียนไปศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศ การศาสนา ทรงปลกู ฝงั เยาวชนใหม้ คี ณุ ธรรมดงี าม โดยยดึ หลกั คำ� สอนของศาสนาพทุ ธ  พระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงซออู้ ๑.๔ ด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติน้ัน พระองค์ทรงสถาปนาราชบัณฑิตยสภาขึ้น (เดิมคือ กรรมการ หอพระสมุดส�ำหรับพระนคร) เพ่ือจัดการหอพระสมุดส�ำหรับพระนครและสอบสวนพิจารณาวิชาอักษรศาสตร์ เพื่อจัดการพิพิธภัณฑสถานตรวจรักษาโบราณสถานและโบราณวัตถุ และเพ่ือจัดการบ�ำรุงรักษาวิชาช่าง ผลงาน ของราชบณั ฑิตสภาเปน็ ผลดีต่อการอนรุ ักษ์และสง่ เสรมิ ศลิ ปวฒั นธรรมของชาติเป็นอยา่ งมาก ๑.๕ ด้านวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม ทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ปฏิสังขรณ์วัดสุวรรณดาราราม ราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โปรดฯ ให้เขียนภาพพงศาวดาร สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ที่ผนัง พระวิหาร ทรงพยายามสร้างค่านิยมให้มีสามีภรรยาเพียงคนเดียว โปรดให้ตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ. ๒๔๗๓ ริเร่ิมให้มีการจดทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า ทะเบียนรับรองบุตร อันเป็น การปลูกฝังคา่ นิยมแบบใหมท่ ีละน้อยตามความสมัครใจ 219หลกั สตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตรท์ ้องถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้

๓. ความสัมพนั ธ์กบั ตา่ งประเทศ ในต้นรชั สมัยไดท้ รงดำ� เนนิ กิจการส�ำคญั ท่ีทรงเกี่ยวขอ้ งกับตา่ งประเทศทค่ี า้ งมาตง้ั แต่รัชสมยั พระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ส�ำเร็จลุล่วงไป เช่น การให้สัตยาบันสนธิสัญญาต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังทรง ทำ� สัญญาใหม่ ๆ กับประเทศเยอรมนี หลังสถาปนาความสมั พนั ธ์ขั้นปกติ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๗๑ และท�ำสนธิสญั ญากับ ประเทศฝร่ังเศสเกี่ยวกับดินแดนในลุ่มแม่น�้ำโขง  เรียกว่าสนธิสัญญาอินโดจีน พ.ศ. ๒๔๖๙  โดยก�ำหนดให้ มเี ขตปลอดทหาร ๒๕ กิโลเมตร ท้ังสองฝง่ั ของแม่นำ้� โขงแทนท่ีจะมีเฉพาะฝ่งั สยามแตเ่ พียงฝ่ายเดียว  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการจึงมีการสร้าง พระบรมราชานสุ รณ์หลายแห่งเพือ่ เป็นการร�ำลกึ ถงึ พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์   ๑. วงั ศุโขทัย วังศุโขทัย ตั้งอยู่มุมถนนขาวและถนนสามเสน โดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรม ราชชนนีพันปีหลวง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานเป็นของขวัญในการอภิเษกสมรสของสมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (พระยศขณะนั้น) กับหม่อมเจ้าหญิงร�ำไพพรรณี สวัสดิวัตน์  (พระยศขณะนนั้ ) ๒. ถนนประชาธปิ ก ถนนประชาธปิ ก เปน็ ถนนทเ่ี รม่ิ ตงั้ แตส่ ะพานพระพทุ ธยอดฟา้ ถงึ วงเวยี นใหญเ่ ขตธนบรุ  ี กรงุ เทพมหานคร โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงตั้งชื่อถนนถวาย พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยูห่ วั ว่า “ถนนพระปกเกล้า” หรือ “ถนนประชาธปิ ก” ๓. สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพระปกเกล้า เป็นสถาบันพัฒนาประชาธิปไตยที่จัดต้ังข้ึนในวโรกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี วันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชนชาวไทย โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชให้เชิญพระนามของพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจา้ อยูห่ วั มาเปน็ ชือ่ ของสถาบัน ๔. มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นมหาวิทยาลัยเปิด พระบรมราชานสุ าวรีย์ โดยใช้ระบบการศึกษาทางไกล ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั อดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานช่ือมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ ณ อทุ ยานการศกึ ษารชั มังคลาภเิ ษก ตามพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือคร้ัง ทรงดำ� รงพระอสิ รยิ ยศท่ี “กรมหลวงสโุ ขทัยธรรมราชา” มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช 220 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถ่นิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)

๕. โรงพยาบาลพระปกเกลา้ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ เดมิ ชอ่ื  โรงพยาบาลจนั ทบรุ  ี คณะรฐั มนตรมี มี ตใิ หเ้ ปลย่ี นชอื่ เปน็ โรงพยาบาล พระปกเกล้าเพ่ือน้อมเกล้าถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๖ นอกจากนี้ ยงั มกี ารสร้างพระบรมราชานสุ าวรียพ์ ระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยหู่ วั และตึกต่างๆ ๖. พิพธิ ภณั ฑ์พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอย่หู วั พพิ ธิ ภณั ฑพ์ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็นพิพิธภัณฑ์ในความดูแลของสถาบันพระปกเกล้า ตั้งที่อาคารกรมโยธาธิการเดิม บริเวณสี่แยกผ่านฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าได้ บรู ณะเพอื่ จดั ทำ� เปน็ พพิ ธิ ภณั ฑ์ เพอื่ รวบรวมสง่ิ ของเครอ่ื งใช้ ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเดจ็ พระนางเจา้ รำ� ไพพรรณี พระบรมราชนิ ี จดั แสดง ใหป้ ระชาชนไดศ้ ึกษา พพิ ธิ ภัณฑ์พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอย่หู ัว บริเวณสแี่ ยกผ่านฟา้ เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร สมเดจ็ พระนางเจ้ารำ� ไพพรรณี หลังจากท่ีพระองค์ทรงสละราชสมบัติแล้ว พระองค์ยัง พระบรมราชนิ ีทรงอญั เชญิ พระบรมอฐั ิ ประทับอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ แต่พระองค์ทรงพระประชวรอยู่ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๘๐ พระองคท์ รงพระประชวรมากขนึ้ เพราะโรคตวั บดิ เข้าไปอยู่ในพระยกนะ (ตับ) แต่แพทย์ได้รักษาจนหายเป็นปกติ กลับสปู่ ระเทศไทย พระอาการประชวรของพระองค์ก�ำเริบหนักข้ึนโดยล�ำดับ ตั้งแต่ เดอื นธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ แตเ่ รม่ิ ทเุ ลาลงเรอื่ ย จนกระทง่ั วนั ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ พระองค์เสด็จสวรรคตโดยฉับพลันด้วย พระหทยั วาย ขณะทม่ี ีพระชนมายุ ๔๘ พรรษา ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ รฐั บาลไดก้ ราบบงั คมทลู สมเดจ็ พระนางเจา้ รำ� ไพพรรณี พระบรมราชนิ ี ขอพระราชทานใหท้ รงอญั เชญิ พระบรมอัฐิ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กลบั สปู่ ระเทศไทย เพอื่ อญั เชญิ ขึ้นประดิษฐานไว้ร่วมกับสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ในพระบรมมหาราชวงั  ในการน้ี สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีทักษิณานุปทาน อทุ ิศถวายตามพระราชประเพณี 221หลกั สูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

รัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลท่ี ๘ (พ.ศ. ๒๔๖๘ - ๒๔๘๙) พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เป็นพระโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ ข้ึน ๓ ค�่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๘  ณ เมืองไฮเดลแบร์ก สาธารณรัฐไวมาร์ (ปัจจุบันคือประเทศเยอรมนี) ขณะที่สมเด็จ พระราชบิดาทรงศึกษาการแพทย์ที่ประเทศเยอรมัน โดยได้รับ พระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวว่า หม่อมเจ้าอานันทมหิดล พระองค์ทรงมีสมเด็จ พระเชษฐภคินี ๑ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์และสมเด็จ พระอนุชา ๑ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งแรกเม่ือ พระชนมายไุ ด้ ๓ พรรษา โดยประทบั ณ วงั สระปทมุ  ในระหวา่ งนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล สมเด็จ พระราชบิดาทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ พระองค์ เม่ือยงั ทรงพระเยาว์ จึงอยใู่ นความดแู ลของสมเด็จพระราชชนนเี พียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงเริ่มการศึกษาชั้นต้นท่ีโรงเรียนมาแตร์เดอี และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ (รหัสท่ี ท.ศ. ๒๓๒๙ ป.) หลังจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ สมเด็จพระราชชนนี ได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อน�ำพระโอรสและพระธิดา ไปประทบั ทเี่ มอื งโลซาน ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ โดยพระองคไ์ ดเ้ ขา้ ศกึ ษาตอ่ ทีโ่ รงเรียนมีเรมองต์ ต่อมายา้ ยไปศกึ ษาท่โี รงเรียนนแู วลเดอลา ซูวสิ โรมองต์ และทรงศึกษาภาษาไทย ณ ที่ประทับ โดยมีพระอาจารย์ตามเสด็จ ไปจากกรงุ เทพมหานคร วนั ท ่ี ๒ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ทรงสละราชสมบัติ และมิได้ทรงแต่งต้ังให้เจ้านายพระองค์ใดพระองค์หน่ึง เป็นรัชทายาท คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร จงึ ไดอ้ ญั เชญิ เสดจ็ พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อานนั ทมหดิ ล ซงึ่ เปน็ เจา้ นาย สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั อานันทมหดิ ล  เชอ้ื พระบรมวงศพ์ ระองคท์ ี่ ๑ ในลำ� ดบั พระราชสนั ตตวิ งศแ์ หง่ กฎมณเฑยี รบาล สมเดจ็ พระราชชนน ี และ วา่ ดว้ ยการสบื ราชสนั ตตวิ งศ์ พ.ศ. ๒๔๖๗ ขนึ้ ครองราชยเ์ ปน็ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อไป พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทร และได้รับการเฉลิมพระนาม เม่ือวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ว่า  มหาภมู พิ ลอดุลยเดช สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล ขณะนน้ั พระองคม์ พี ระชนมายุ ๘ พรรษา 222 หลักสูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถ่ินจงั หวัดชายแดนภาคใต)้

และยงั คงประทบั อยู่ ณ ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ จงึ ตอ้ งมผี สู้ ำ� เรจ็ ราชการแทนพระองค์ เพอ่ื บรหิ ารราชการแผน่ ดนิ แทนจนกวา่ จะทรงบรรลุนิตภิ าวะ จนกวา่ สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั จะเสด็จกลบั ส่พู ระนคร รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัติพระนคร เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๗ เพื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่เน่ืองจากพระพลานามัยของพระองค์ไม่สมบูรณ์ จึงได้เล่ือนก�ำหนดออกไปก่อน และได้กราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จฯ อีกครั้ง ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่ก็ทรงติดขัด เรื่องพระพลานามัยอีกเช่นกัน หลังจากน้ันรัฐบาลได้ส่ง พลโทพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว. สิทธิ์ สุทัศน์) ไปเขา้ เฝา้ สมเดจ็ พระราชชนนที โ่ี ลซาน ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ เพอื่ ทลู อญั เชญิ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล เสด็จนิวัติพระนครอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ในระหว่างเตรียมการเสด็จนิวัติพระนครนั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลใหม่ คณะรัฐบาลใหม่จึงขอเลื่อนการรับเสด็จออกไปอย่างไม่มีก�ำหนด ต่อมารัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญ เสดจ็ นวิ ตั พิ ระนครอกี ครง้ั ในครง้ั นสี้ มเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล พรอ้ มดว้ ยสมเดจ็ พระราชชนนี สมเดจ็ พระเจา้ พี่นางเธอ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช และเม่ือวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ เรือพระท่ีนั่งได้เทียบจอดทอดสมอท่ีเกาะสีชัง ซ่ึงนับเป็นการเสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นคร้ังแรกหลังจากเสด็จ ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ทรงใช้เวลาอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลาประมาณ ๒ เดือน จึงได้เสด็จ พระราชด�ำเนินกลบั ไปศกึ ษาต่อทปี่ ระเทศสวิตเซอร์แลนด์ เม่ือสงครามโลกคร้งั ที่สองสงบลง พระองค์จึงเสดจ็ นิวัติ พระนครอีกครั้ง พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันท ี่ ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ จึงสามารถบริหารราชการแผน่ ดนิ โดยไม่ตอ้ งมผี ้สู ำ� เรจ็ ราชการแผ่นดนิ อีกตอ่ ไป สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานันทมหิดล ทรงมีพระราชกรณยี กิจ ดงั น้ี พระองค์ได้เสด็จพระราชด�ำเนินไปในพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ และเปิดประชุมสภาผู้แทนในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชด�ำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่าง ๆ และ ทรงเย่ียมชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นคร้ังแรก ณ ส�ำเพ็ง พระนคร พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน  พ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างชาวไทยและชาวไทย เช้อื สายจีน จนเกือบเกดิ สงครามกลางเมือง การเสดจ็ พระราชด�ำเนนิ ส�ำเพ็ง ในครงั้ น้จี งึ เปน็ การประสานรอยรา้ วท่เี กิดข้นึ ให้หมดไป ในการเสด็จนิวัติพระนครคร้ังแรกน้ัน พระองค์ได้ประกอบพิธี ทรงปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ท่ามกลางมณฑลสงฆ์ในพระอุโบสถ วดั พระศรรี ตั นศาสดารามเมอื่ วนั ท ี่ ๑๙ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๘๑ นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงนมัสการพระพุทธรูปในพระอารามที่ส�ำคัญ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิต วนารามราชวรวิหาร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราช พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล วรมหาวหิ าร วดั บวรนเิ วศราชวรวหิ าร และวดั เทพศริ นิ ทราวาสราชวรวหิ าร พรอ้ มด้วยสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าภูมพิ ลอดุลยเดช โดยเฉพาะทว่ี ดั สทุ ศั นเทพวรารามราชวรมหาวหิ ารนนั้ พระองคเ์ คยมพี ระราช เสด็จเยยี่ มชาวไทยเช้อื สายจนี เปน็ ครัง้ แรก ด�ำรัสกล่าวว่า “ที่นี่สงบเงียบน่าอยู่จริง” เม่ือพระองค์เสด็จสวรรคต ณ สำ� เพ็ง พระนคร เม่อื  พ.ศ. ๒๔๘๘ จึงไดน้ �ำพระบรมราชสรีรางคารของพระองคม์ าประดษิ ฐาน ณ วัดแห่งนี้ 223หลกั สตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตรท์ อ้ งถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต)้

ในการเสด็จนิวัติพระนครในครั้งที่ ๒ พระองค์ทรงได้ ประกอบพระราชกรณยี กจิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การศกึ ษาของประเทศ โดยเสด็จพระราชด�ำเนินทอดพระเนตรกิจการของหอสมุด แห่งชาติ รวมท้ังเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเยี่ยมสถานศึกษา หลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนเทพศิรินทร์ ซง่ึ เปน็ โรงเรยี นทที่ รงศกึ ษาขณะทรงพระเยาว์ นอกจากนพี้ ระองค์ ยงั ไดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ พระราชทานปรญิ ญาบตั รเปน็ ครง้ั แรก ของพระองค์ ณ หอประชมุ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั  เมอ่ื วนั ท ่ี ๑๓ พระบรมราชานุสาวรยี ์ รัชกาลที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ และอีกครั้งท่ีหอประชุมราชแพทยาลัย ในคณะแพทยศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมื่อวันท่ี ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยในการพระราชทานปรญิ ญาบตั รครัง้ นี้ มพี ระราชปรารภให้มกี ารผลติ แพทย์เพ่ิมมากขนึ้ เพ่ือให้เพียงพอท่ีจะช่วยเหลือประชาชน โรงเรียนแพทย์แห่งที่ ๒ จึงได้ถือก�ำเนิดข้ึนที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  ซ่ึงในปัจจุบนั คอื  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั หลังจากน้นั เม่อื วันท่ี ๕ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระองคท์ รงหว่านขา้ ว ณ แปลงสาธติ ของมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ถอื เป็นพระราชกรณยี กิจสุดทา้ ยของพระองค์ ก่อนก�ำหนดการเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงศึกษาต่อระดับปริญญาเอก สาขานิติศาสตร์ ท่ีประเทศ สวติ เซอรแ์ ลนด์ เพยี ง ๔ วนั สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ลไดเ้ สดจ็ สวรรคตดว้ ยพระแสงปนื ในวนั ท ่ี ๙ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา ณ ห้องพระบรรทม พระท่ีนั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง ในชั้นต้นทางราชการได้มีการแถลงข่าวสาเหตุการสวรรคตว่าเป็นอุบัติเหตุจากพระแสงปืนล่ัน แต่การสอบสวน ในภายหลังพบว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ หลังจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตแล้ว ได้อัญเชิญพระบรมศพมาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวังและจัดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในระหว่าง วนั ที่  ๒๘ - ๒๙ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ณ พระเมรมุ าศ ทอ้ งสนามหลวง  224 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)

บทที่ ๓ พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร รชั กาลท่ี ๙ ๑. พระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ โดยสงั เขป พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชสมภพ เม่ือวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ เวลา ๐๘.๔๕ น. โรงพยาบาลเมานท์ออเบิร์น เมืองแคมบริดจ์ รฐั แมสสาซเู ซสท์ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ทรงฐานนั ดรเปน็ พระวรวงศเ์ ธอพระองคเ์ จา้ ภมู พิ ลอดลุ ยเดช พระราชโอรส พระองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์) ซ่ึงภายหลังทั้งสองพระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธย เปน็ สมเด็จพระมหติ ลาธิเบศรอดลุ ยเดชวิกรมพระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรนี ครินทราบรมราชชนนี พระนามของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการท่ี ๗ ว่า “ภูมิพลอดุลยเดช” เขียนเป็น ภาษาอังกฤษว่า Bhumibala Aduladeja แปลว่า “พลังของแผ่นดิน เป็นอ�ำนาจที่หาใดเปรียบมิได้” (ให้สังเกตว่า ตอนแรกไม่มี “ย” ทคี่ ำ� วา่ “อดลุ เดช” ภายหลังจงึ เขียนเป็น “อดุลยเดช” พระเชษฐภคนิ ี และพระเชษฐา คอื สมเดจ็ พระเจา้ พนี่ างเธอ เจา้ ฟา้ กลั ยาณวิ ฒั นา (สมเดจ็ พระเจา้ พนี่ างเธอ เจา้ ฟา้ กลั ยาณิวฒั นา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครนิ ทร)์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ครอบครวั มหดิ ล ไดเ้ สดจ็ กลบั มาอยทู่ เ่ี มอื งไทย แตต่ อ่ มาสมเดจ็ พระบรมราชชนกสวรรคต เม่ือวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษาได้ไม่ถึง ๒ พรรษา พอพระชนมายุ ๕ พรรษา ได้เสด็จเข้ารับการศึกษาช้ันต้น ณ โรงเรยี นมาแตรเ์ ดอี กรงุ เทพฯ จนถงึ พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๖ จงึ เสดจ็ ประทบั ณ เมอื งโลซานน์ ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ พร้อมด้วยพระมารดาพระเชษฐภคินี และพระเชษฐา เพื่อทรงศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนเมียร์มองค์ ทรงศกึ ษาวิชาภาษาฝร่งั เศส ภาษาเยอรมัน และภาษาองั กฤษ จากนั้นทรงเขา้ ศกึ ษาชน้ั มัธยม ณ เอกอลนูแวลเดอ ลาชอื อสิ โรมองต์ เมอื งแซลลี ชอื โลซานน์ ทรงไดร้ บั ประกาศนยี บตั รทางอกั ษรศาสตรจ์ ากยมิ นาสกลาซคี กงั โตนาล แหง่ เมืองโลซานน์ และทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลยั โลซานนโ์ ดยทรงเลอื กศึกษาในแขนงวชิ าวศิ วกรรมศาสตร์ วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ รฐั บาลสมยั นนั้ ไดส้ ง่ ขา้ ราชการระดบั สงู มาขอรอ้ งใหห้ มอ่ มสงั วาลย์ (สมเดจ็ พระราชนนฯี ) ยนิ ยอมใหพ้ ระวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าอนันทมหิดลขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์เป็นรัชกาลที่ ๘ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ แมส้ มเดจ็ พระราชชนนฯี ไมส่ เู้ ตม็ พระทยั แตท่ รงเหน็ แกช่ าตบิ า้ นเมอื ง จงึ ทรงยนิ ยอมในทส่ี ดุ พระวรวงศเ์ ธอพระองค์ เจ้าภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช 225หลักสตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

เม่ือ ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ และได้เสด็จพระราชด�ำเนินตามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นิวัติประเทศไทยเป็น คร้ังแรกในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ โดยประทับ ณ พระต�ำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตเป็นการช่ัวคราว แล้วเสด็จกลับไปศึกษาต่อท่ีประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนถึง พ.ศ.๒๔๘๘ ได้เสด็จพระราชด�ำเนินตาม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นิวัติประเทศไทยเป็นคร้ังที่สอง ครั้งน้ีประทับ ณ พระท่ีนั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวงั ในเช้าวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตเนื่องจาก ต้องอาวุธปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช จึงเสด็จขึ้น ครองราชสมบัติสืบราชสันติวงศ์ในวันเดียวกัน โดยมีพิธีส้ันๆ ต่อหน้ามหาสมาคม กอปรด้วยประธานสภาผู้แทน ราษฎร นายกรัฐมนตรี พระบรมวงศานวุ งศ์ และข้าราชการช้ันผใู้ หญ่ ทรงตรสั มีความโดยสังเขปวา่ ข้าพเจา้ ขอบใจ ท่ีมอบราชสมบัติให้ ข้าพเจ้าจะท�ำทุกอย่างเพ่ือประเทศชาติ และเพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างเต็ม ความสามารถ ขอใหท้ า่ นจงชว่ ยกนั ทำ� ดงั กล่าว แล้วเสด็จก้าวไปจากมหาสมาคมนั้น ครั้นแล้วกท็ รงผนั กลบั มาใหม่ แล้วตรัสอยา่ งหนกั หน่วงว่า “และดว้ ยใจสจุ ริต” พระสรุ เสียงและสพี ระพกั ตร์ แสดงความหนักแนน่ จรงิ จงั เราต้องเข้าใจความส�ำคัญของพระราชประวัติ ตอนน้ีว่า ขณะน้ัน ทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๘ พรรษา ทรงตื่นตระหนก และเศร้าหมองอย่างที่สุด เมื่อบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง สนิทสนมย่ิง ต้องจากไปอย่างกระทันหัน ทรงอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า เน่ืองจากทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ พระประยูรญาติต่างๆ ก็ไม่สู้ สนิทสนมคุ้นเคยนัก เหตุการณ์บ้านเมืองหลังคณะราษฎรยึดอ�ำนาจเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า ๑๐ ปี ก็ยังไม่เรียบร้อย มีความแตกแยก แก่งแย่งอ�ำนาจกันมาโดยตลอด สถาบันกษัตริย์ ขณะนั้นส่ันคลอนไม่มั่นคงแข็งแรงเหมือนทุกวันน้ี ฉะนั้น การท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๙ ได้ทรงพิสูจน์ความแข็งแกร่งแห่งพระราชหฤทัย และยึดม่ันในพระราชปฏิญาณอย่างแน่วแน่ ค่อยๆ ประกอบ พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง และประชาชน ทรงสั่งสมพระบารมีจนแก่กล้า ยากทจ่ี ะหาผใู้ ดเสมอเหมอื น จนกลายเปน็ ศนู ยร์ วมจติ ใจ และความเคารพเทดิ ทนู บชู าของคนทงั้ ชาติ ดงั เชน่ ทปี่ รากฏ อยใู่ นปจั จบุ ัน จงึ เป็นสง่ิ ท่ีควรแก่การยกย่องสรรเสรญิ และยึดถือเป็นแบบอย่างไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ ๒. ทรงคุณธรรมอันประเสรฐิ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ โดยมี พระราชจริยวัตรส่วนพระองค์ท่ีงดงามย่ิงนักทรงมีพระนิสัย ขยันขันแข็ง รักการเรียนรู้ และการผจญภัย ทรงมี ความละเอียดรอบคอบในการพิจารณาส่ิงต่างๆ ทรงโปรดที่จะส่ังสอนถ่ายทอดส่ิงท่ีทรงรู้ให้แก่ผู้อ่ืน ทรงประหยัด มัธยัสถ์ ไม่โปรดความฟุ่มเฟือย ทรงมีพระอารมณ์ขันและน�้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณาแก่บุคคลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองการใช้พระสติปัญญา ศึกษา พินิจ วิเคราะห์ปัญหา แนวทางแก้ไขต่างๆ หรือการปฏิบัติ พระราชกรณียกิจ ท้ังที่เป็นส่วนพระองค์ และท่ีเกี่ยวข้องกับราชการ บ้านเมือง ประชาชน ทรงยึดถือหลักธรรม ค�ำสอนในพระบวรพุทธศาสนา เป็นแนวทางในการด�ำรงชีวิต และยังทรงปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรม อยา่ งเคร่งครดั ครบถว้ นอีกดว้ ย กล่าวคือ ๑. ทาน ไดแ้ ก ่ การให้ ๒. ศีล ได้แก ่ การรักษากาย วาจา ใจ ใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ เวน้ จากความช่วั ๓. บริจาค ได้แก่ การยอมเสยี สละประโยชนส์ ว่ นตน เพอื่ ประโยชนส์ ่วนรวม ๔. อาชวะ ได้แก ่ การเปน็ ผมู้ ีอัธยาศยั ซ่ือตรง 226 หลักสูตรสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถนิ่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

๕. มทั ทวะ ได้แก่ ความออ่ นโยน ไม่กระดา้ ง ไม่ดถู กู ผู้อนื่ ๖. ตบะ ได้แก่ การก�ำจดั ความเกียจคร้าน มุ่งทำ� กิจอนั เปน็ หน้าท่ี ๗. อโกรธ ไดแ้ ก่ การไมโ่ กรธ ไมพ่ ยาบาท มุ่งรา้ ย ๘. อวิหงิ สา ไดแ้ ก ่ การไมเ่ บยี ดเบียนผ้ใู ดให้ลำ� บาก ๙. ขันติ ไดแ้ ก ่ ความอดทน ตอ่ ความทกุ ข์กาย ทุกข์ใจ ๑๐. อวโิ รธนะ ไดแ้ ก ่ การไม่ผดิ จารีตประเพณี ยึดถอื ทำ� นองคลองธรรม นอกจากนั้น ในพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” เราจะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้ความส�ำคัญแก่ “ความเพียร” เป็นพิเศษ ซึ่งก็ตรงกับการที่ได้ทรงกระท�ำส่ิงต่างๆ โดยอาศัยความเพียร เปน็ เคร่ืองมือตลอดพระชนม์ชีพ ๓. พระอจั ฉรยิ ภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงเป็นบุคคลมหัศจรรย์ท่ีมีอยู่น้อยคนในโลกน้ีเพราะ ทรงสนพระทยั และมีพระปรีชาสามารถในเร่ืองต่างๆ มากมาย ซึ่งสรปุ ออกมาได้ ดงั น้ี ๓.๑ ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักคอมพิวเตอร์ ทรงมีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม มาก่อน จงึ โปรดและสนพระทยั ดา้ นเคร่อื งยนตก์ ลไก การแก้ปญั หาโดยอาศยั หลักวทิ ยาศาสตร์ อาทิ การปรบั ปรงุ กลไก และเสาอากาศวิทยุมือถือ การปรับปรุงควายเหล็ก เคร่ืองนวดข้าว เครื่องกะเทาะเมล็ดข้าวโพด (ร่วมกับ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกลุ ) โครงการฝนหลวง ซงึ่ ไดค้ ดิ คน้ สตู รตา่ งๆ มากกวา่ ๑๐ สตู ร ทรงคดิ Software คอมพวิ เตอร์ เกี่ยวกบั อกั ษรเทวนาครขี องอนิ เดยี ๓.๒ ทรงเป็นนักภูมิศาสตร์ นักอุตุนิยมวิทยา ทรงเชี่ยวชาญด้านแผนท่ี และมีความรู้ในเร่ือง ดิน ฟ้า อากาศ สภาพดนิ ภูเขา ทางนำ้� ไหล แม่น้ำ� ลำ� คลอง ฯลฯ ทวั่ ประเทศไทย เป็นอยา่ งดีย่งิ ๓.๓ ทรงเปน็ นกั ชลประทาน ทรงถอื วา่ “นำ�้ คอื ชวี ติ ” ทรงศกึ ษาธรรมชาตขิ องนำ้� จนสามารถพระราชทาน ค�ำแนะน�ำในการแก้ปัญหาน้�ำท่วมกรุงเทพฯ ชุมพร พระนครศรีอยุธยา นราธิวาส นครศรีธรรมราช ฯลฯ โครงการท่ีมีช่ือเสียง คือ โครงการลุ่มน�้ำบางนรา โครงการแก้มลิง โครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ โครงการลุ่มน�้ำ ปากพนัง เป็นต้น ๓.๔ ทรงเป็นครู และนักการศึกษา ทรงโปรดการแนะน�ำสั่งสอน ทรงอธิบายเร่ืองราวต่างๆ ได้ละเอียด เข้าใจง่าย ทรงต้ังทุนการศึกษา เช่น ทุนอานันทมหิดล ทุนภูมิพล ทรงต้ังโรงเรียนพระดาบส โรงเรียนจิตรลดา ตลอดจนศูนย์ศึกษาการพัฒนาในภาคต่างๆ ของประเทศรวมหลายแห่ง เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ต�ำบลกะลวุ อเหนอื อ�ำเภอเมือง จังหวดั นราธิวาส ๓.๕ ทรงเป็นนักการเกษตรและนักปฏิรูปท่ีดิน ทรงศึกษาเรื่อง ดิน น้�ำ ปุ๋ย พันธุ์พืช พันธุ์ไม้ ดอกไม้ ทรงทดลองปลูกและปรับปรุง จนสามารถเผยแพร่ให้ประชาชนท่ียากจนน�ำไปปลูกเพ่ิมพูนรายได้ ทรงมีสวน ส่วนพระองค์ที่จังหวัดเชียงใหม่ นาส่วนพระองค์ท่ีจังหวัดปราจีนบุรี แปลงทดลองต่างๆ ในสวนจิตรลดา ฯลฯ โดยเฉพาะในภาคเหนือ ทรงแนะน�ำจนชาวเขาสามารถปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนฝิ่นได้เป็นอย่างดี เช่น โครงการหลวงแบบของการใช้ท่ีดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทรงศรัทธาในการให้เกษตรกรรมรวมตัวช่วยเหลือกัน เป็นกลมุ่ เป็นระบบสหกรณ์ ตวั อยา่ ง คอื หมู่บา้ นเขาเตา่ หมูบ่ ้านหุบกะพง เปน็ ต้น 227หลกั สตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตร์ท้องถนิ่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)

๓.๖ ทรงเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ทรงสอนให้พยายามรักษาสิ่งแวดล้อมและ ประนีประนอมกับธรรมชาติ ขณะที่จ�ำเป็นต้องใช้ทรัพยากรพัฒนาชาติบ้านเมืองควบคู่กันไป ทรงจัดตั้งมูลนิธิ ชัยพฒั นาเพอ่ื ดูแลเรือ่ งนี้โดยเฉพาะ ๓.๗ ทรงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ พระราชทานค�ำแนะน�ำว่า “Our loss is Our gain” ขาดทุนคือก�ำไร ของเรา ถ้ารู้รักสามัคคี รู้เสียสละคือการได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นการนับ ท่ีเป็นมลู คา่ เงนิ มิได้ ทรงเนน้ เรอ่ื งความประหยัด และปฏิบัตพิ ระองคเ์ ป็นแบบอย่างเสมอ ๓.๘ ทรงเป็นนักดนตรี โปรดเพลงแบบแจซ แม้ว่าจะทรงศึกษาดนตรีในแบบคลาสสิก ทรงแต่งเพลง ที่ไพเราะ รวมท้ังเพลงมาร์ช และเพลงประจ�ำสถาบันการศึกษาต่างๆ มากมาย เพลงแรก ชื่อ “แสงเทียน” ทรงแต่งเม่ือเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งมีซือเสียงก้องโลก ทางสถาบันดนตรีแห่งประเทศออสเตรีย ได้รับ พระองค์เข้าเป็นสมาชิกกิตติมศักด์ิ ล�ำดับท่ี ๒๓ โดยมีการแสดงดนตรีพระราชนิพนธ์ที่โรงคอนเสิร์ตออสเตรีย เมื่อวันที่ ๓ ตลุ าคม ๒๕๐๗ ๓.๙ ทรงเป็นช่าง ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างภาพน่ิง ช่างภาพยนตร์ ทรงสร้างเรือใบด้วยพระองค์เองช่ือ เรือราชปะแตน (ประเภทเอน็ เตอรไ์ พรส์) และชื่อ “นวฤกษ์” (ประเภทโอเค) ๓.๑๐ ทรงเป็นศิลปิน ท้ังด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และทรงอนุรักษ์ศิลปกรรมของชาติ โดยจัดต้ัง โรงเรียนศนู ยฝ์ ึกวชิ าชพี หัตถศิลป์ ท่ีจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๙ ๓.๑๑ ทรงเป็นนักกีฬา โปรดการผจญภัย เม่ืออยู่ท่ีสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเล่นสกี หรือขับรถท่องเท่ียวไป ในที่ต่างๆ เมื่ออยู่เมืองไทย พระองค์ท่านทรงเล่นเทนนิส แบตมินตัน เรือใบ ว่ิง ฯลฯ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ ทรงรบั เหรียญทองประเภทเรอื ใบในกีฬาแหลมทอง ๓.๑๒ ทรงเป็นนายแห่งภาษา มีพระปรีชาในด้านภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ทรงเป็นนักพูดท่ีได้รับความชื่นชม ท้ังในประเทศและต่างประเทศ ทรงเป็นนักแปล ผลงาน คือ เร่ืองนายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ และเรื่องตีโต เป็นต้น และทรงเป็นนักเขียน ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” อนั เป็นหนงั สือท่ขี ายดมี าก เหล่าน้ี คือ พระอัจฉริยภาพส่วนหน่ึงท่ีท�ำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็น “ปราชญ์” ในทุกๆ เร่อื ง ที่สนพระทยั ท้ังน้เี พราะทรงอาศัยฉันทะ วิริยะ ความอดทน เอาใจใส่ และความเพียร จนกิจทง้ั หลาย ส�ำเร็จไดบ้ งั เกดิ พระเดชาบารมีแผ่ไพศาลปรากฏแดท่ วยราษฎร์และนานาอารยประเทศ เชน่ ทุกวันนี้ ๔. ฐานะพระมหากษตั รยิ ์ องค์พระมหากษัตริย์ทรงด�ำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ พระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงด�ำรงต�ำแหน่งจอมทัพไทย ทรงไว้ซ่ึงพระราชอ�ำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราช อิสรยิ าภรณ์ 228 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)

บทท่ี ๔ การเสดจ็ ประพาสจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร รชั กาลท่ี ๙ ๑. เสด็จประพาสจังหวัดสตูล วันท่ี ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จประพาสจังหวัดสตูลเป็นครั้งแรก พระองค์ทรงห่วงใยราษฎรชาวจังหวัดสตูลเป็นอย่างยิ่ง เน่ืองจากสภาพ ของจังหวัดสตูลในสมัยนั้น ยังไม่มีความเจริญ สภาพของถนนหนทางท่ีเชื่อมระหว่างจังหวัดยังเป็นถนนลูกรัง บางแห่งเปน็ ทางเกวยี น ทุรกันดารมาก วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรชาวจังหวัดสตูลเป็นคร้ังท่ี ๒ ทรงพระราชทานธงประจ�ำรุ่นลูกเสือชาวบ้าน เสด็จฯ เย่ียมมัสยิดม�ำบัง ทรงปลูกต้นราชพฤกษ์ ๒ ต้น ท่ีหน้ามัสยิดม�ำบัง ได้เสด็จฯ เยี่ยมพ่อค้าประชาชน ณ สมาคมจังหวัดสตลู และไดเ้ สด็จฯ เย่ียมนิคมสรา้ งตนเองพัฒนาภาคใต้จังหวดั สตูล วันท่ี ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ เยี่ยมจังหวัดสตูล เป็นคร้ังที่ ๓ สืบเนื่องมาจากพระองค์ทรงห่วงใยในราษฎร ของพระองค์ท่าน ในการพัฒนาความเป็นอยู่ พัฒนาคุณภาพชีวิตและการประกอบอาชีพ พระองค์ท่านทรง มีพระราชประสงค์ท่ีจะติดตามผลความก้าวหน้าในการจัดท่ีอยู่อาศัย การจัดท่ีท�ำกิน การท�ำการเกษตร ของราษฎรในพื้นท่ีเขตนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ กง่ิ อ�ำเภอควนกาหลง จังหวดั สตูล วันท่ี ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี และสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งนางเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณวลยั ลกั ษณ์ อคั รราชกมุ ารี กรมพระศรสี วางควฒั น วรขตั ตยิ ราชนารี เสดจ็ ฯ เยย่ี มราษฎรจงั หวดั สตลู เปน็ ครงั้ ท่ี ๔ เพอ่ื ประกอบพธิ ยี กชอ่ ฟา้ วดั ดลุ ยาราม ตำ� บลฉลงุ อำ� เภอเมอื งสตลู จงั หวดั สตลู และพธิ เี ปดิ มสั ยดิ มำ� บงั ต�ำบลพิมาน อ�ำเภอเมืองสตูล จงั หวดั สตลู ที่ได้ก่อสร้างมาต้ังแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ และได้ปรับปรุงเป็นมัสยิดกลาง ของจังหวดั สตูล ๒. เสดจ็ ประพาสจังหวัดสงขลา พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ เย่ียมราษฎรจังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ในคราเสด็จพระราชด�ำเนินเยี่ยมราษฎร ๑๔ จงั หวดั ภาคใต้ 229หลกั สูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต้)

วันท่ี ๑๗ มีนาคม ๒๕๐๒ เวลา ๑๔.๐๕ น. เสด็จ พระราชดำ� เนนิ จากศาลากลางจงั หวดั พทั ลงุ ไปยงั จงั หวดั สงขลา นายประพันธ์ ณ พัทลุง ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ทูลเกล้า ทลู กระหมอ่ มถวายพระแสงราชสงขลา-ศาสตราประจำ� จงั หวดั ณ ซุ้มต่อเขตจังหวัดพัทลุงและเสด็จพระราชด�ำเนินต่อไปยัง อำ� เภอรตั ภมู ิ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ถงึ อำ� เภอรตั ภมู เิ วลา ๑๕.๒๙ น. ทรงเย่ียมราษฎรเสร็จแล้วทรงเสวยพระสุธารส ณ ที่ว่าการ อ�ำเภอรตั ภมู ิ และทรงถ่ายภาพราษฎรทมี่ าเฝ้ารบั เสด็จ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ออกจากอำ� เภอรตั ภมู ิ เวลา ๐๖.๕๐ น. ผ่านอ�ำเภอหาดใหญ่ รถยนต์พระท่ีน่ังลอดซุ้มซ่ึงประชาชน หาดใหญ่จัดสร้างถวาย ผ่านซุ้มชาวจีนอ�ำเภอหาดใหญ่และ ซุ้มโค้งอ�ำเภอเมืองสงขลา เสด็จพระราชด�ำเนินถึงต�ำหนัก เขานอ้ ย ซ่ึงจดั ถวายเป็นทป่ี ระทบั แรม เวลา ๑๘.๒๐ น. รุ่งขึน้ วันท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๐๒ เสดจ็ พระราชดำ� เนินไป ยังศาลจังหวัดสงขลา เสด็จประทับบนบัลลังก์ศาล ทรงฟัง การพจิ ารณาคดี ต่อจากน้ันเสด็จพระราชด�ำเนินไปยังสโมสร จังหวัดสงขลา ทรงทอดพระเนตรการร�ำมโนราห์ของ โรงเรียนสตรีประจ�ำจังหวัด และเสด็จพระราชด�ำเนินไปยัง พลบั พลาหน้าศาลากลางจังหวัดสงขลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลากราบบังคมทูลน�ำข้าราชการ และราษฎรเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราช ด�ำรัสตอบ และเสด็จพระราชด�ำเนินลงเยี่ยมราษฎรสงขลา ซึ่งเคยเป็นเมืองโบราณเมืองหน่ึง มาแต่คร้ังอาณาจักรศรีวิชัย เปน็ เมอื งอยใู่ นอาณาเขตประเทศไทย ตง้ั แตส่ มยั พอ่ ขนุ รามคำ� แหง มหาราช เป็นที่ตั้งบัญชาการมณฑลนครศรีธรรมราช สมยั แบง่ การปกครองเปน็ มณฑลเทศาภบิ าล ตอ่ มาเปน็ จงั หวดั ขนึ้ กับมหาดไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๗๖ จนถึงทุกวันน้ี ทรงเย่ียม ราษฎรประมาณ ๒ ชวั่ โมง จงึ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ กลบั ทปี่ ระทบั วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๐๒ เวลา ๐๙.๑๐ น. เสด็จพระราชด�ำเนินไปยังท่าเรือเทศบาลเมืองสงขลา เสด็จพระราชด�ำเนินลงประทับเรือยนต์พัทลุง ซึ่งจังหวัดจัดถวายเป็นเรือพระท่ีน่ัง ทรงทอดพระเนตรการแข่งเรือ ของชาวประมงในทะเลสาบ เรอื พระทนี่ ง่ั ลอดซมุ้ ทะเลของชาวประมง ซงึ่ รว่ มกนั จดั ถวายในการเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ครั้งนี้ โดยมีราษฎรเฝ้ารับเสด็จจ�ำนวนมากท้ังสองฝั่ง เวลา ๑๔.๒๐ น. เสด็จพระราชด�ำเนินไปทอดพระเนตร กจิ การยางพาราคอหงส์ เยยี่ มชมผลติ ภณั ฑท์ ที่ ำ� ดว้ ยยาง ผบู้ งั คบั การจงั หวดั ทหารบกสงขลา กราบบงั คมทลู นำ� นายทหาร และภรยิ าเขา้ เฝา้ ทรงมพี ระราชดำ� รสั ตอบขอบใจในการตอ้ นรบั และทรงยนิ ดที มี่ าพบทหารในคา่ ยนี้ และพระราชทานพร 230 หลักสตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัติศาสตร์ทอ้ งถิ่นจังหวดั ชายแดนภาคใต)้

ใหท้ กุ คนมกี ำ� ลงั กาย กำ� ลงั ใจปฏบิ ตั หิ นา้ ทรี่ าชการโดยทวั่ กนั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ตอ่ ไปยงั พลบั พลาหนา้ โรงเรยี นหาดใหญ่ เสด็จพระราชด�ำเนินลงเยี่ยมราษฎรเมื่อเวลา ๑๖.๔๕ น. ก่อนเสด็จพระราชด�ำเนินท่ีประทับจังหวัดสงขลา เมื่อเวลา ๒๐.๒๐ น. ทรงเสด็จพระราชด�ำเนนิ ไปทอดพระเนตรการตกแต่งไฟฟ้าเนื่องในการรบั เสดจ็ จงั หวดั สงขลา ๓. เสด็จประพาสจงั หวดั ปตั ตานี วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ เสด็จพระราชดําเนิน จากจังหวัดสงขลาถึงจังหวัดปัตตานี ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายเกษม สุขุม ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระแสงราชศาสตรา หลังจากน้ันเสด็จพระราชดําเนินต่อไปยังที่ว่าการอําเภอโคกโพธ์ิ เวลา ๑๓.๔๕ น. ทรงเยยี่ มราษฎรอาํ เภอโคกโพธอิ์ ยา่ งทว่ั ถงึ ประมาณ ๑ ชั่วโมง เสวยพระกระยาหารกลางวัน ณ ทวี่ า่ การอําเภอโคกโพธิ์ เวลา ๑๕.๓๐ น. เสด็จพระราชดําเนินออกจากอําเภอโคกโพธิ์ ไปยังค่ายตํารวจตระเวนชายแดน ผู้กํากับการตํารวจตระเวน ชายแดนกราบทูลพระกรุณานําตํารวจตระเวนชายแดนเฝ้าทูล ละอองธุลีพระบาท ทรงมีพระราชดํารัสตอบและทรงอวยพรให้ตํารวจตระเวนชายแดนทุกคนมีความสุข ความเจริญโดยทวั่ กันเวลา ๑๖.๓๐ น. เสด็จพระราชดําเนนิ ตอ่ ไปยงั โรงเรียนบา้ นตยุ ง อาํ เภอหนองจิก วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ เวลา ๐๙.๑๕ น. เสด็จพระราชดําเนินยังศาลากลางจังหวัดปัตตานี ประชาชนชาว จงั หวดั ปตั ตานี ชาวไทยพทุ ธทงั้ เชอื้ สายไทยและจนี ชาวไทยมสุ ลมิ ได้ร่วมใจกันจัดขบวนแห่คชสีห์ ขบวนแห่นก รวมท้ังขบวนแห่ ของชาวจนี ซง่ึ เปน็ การถวายพระพรและถวายพระเกยี รตอิ ยา่ งสงู สดุ เสรจ็ พธิ แี ลว้ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ปตั ตานกี ราบบงั คมทลู นาํ ขา้ ราชการ และราษฎรเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงมีพระราชดํารัสกับ ประชาชน ราษฎรผู้หนึ่งนําปืนพญาตานีจําลองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของจังหวัดปัตตานีทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เวลา ๑๑.๓๐ น. เสด็จพระราชดําเนินถึงศาลยุติธรรมจังหวัดปัตตานี ทรงฟัง การพจิ ารณาคดี แลว้ เสดจ็ ตอ่ ไปยงั ทวี่ า่ การอาํ เภอยะรงั เสดจ็ เยยี่ ม ราษฎรจนถึงเวลา ๑๒.๒๒ น. จึงเสด็จตอ่ ไปยังจังหวดั ยะลา วนั ที่ ๑๘ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทรงเยยี่ มราษฎร อ�ำเภอสายบุรี จังหวัดปตั ตานี 231หลกั สตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตร์ท้องถนิ่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

วันท่ี ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๗ เสด็จพระราชดําเนิน ณ สนามบินบ่อทอง อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เสด็จ พระราชดาํ เนินไปทรงเยย่ี มราษฎร ณ บ้านสอื ดงั ตําบลเตราะบอน บา้ นปละโละ ตาํ บลมะนงั ดาลาํ คา่ ยลกู เสอื สรุ ยิ สนุ ทร ตาํ บลละหาน หลังจากน้ันเสด็จไปยังท่าเรืออําเภอสายบุรี ประทับเรือกอและ ซ่ึงจัดเป็นเรือยนต์พระที่นั่ง เสด็จตามแม่น้�ำสายบุรี ไปยังบ้านบน ตําบลปะเสยะวอ อําเภอสายบุรี แล้วเสด็จพระราชดําเนินไป ทรงเยย่ี มโรงพยาบาลครสิ เตยี นสายบรุ ี ตาํ บลตะลบุ นั อาํ เภอสายบรุ ี จงั หวดั ปตั ตานี สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เสด็จพระราชด�ำเนินทรงฝังลูกนิมิต วดั ในอำ� เภอยะหรง่ิ และเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ มสั ยดิ กลางจงั หวดั ปตั ตานี วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ เสด็จพระราชด�ำเนิน ณ ศาลเจา้ เลง่ จเู กยี ง ตำ� บลอาเนาะรู อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ปตั ตานี วนั ท่ี ๑๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ เสดจ็ พระราชดำ� เนิน ไปทอดพระเนตรโครงการชลประทานปัตตานีและทรงเยี่ยม ราษฎร ณ วดั สขุ าวดี ต�ำบลยะรงั อำ� เภอยะรัง จงั หวัดปัตตานี วันท่ี ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เสดจ็ พระราชดำ� เนินในพธิ ยี กฉตั ร ทองคำ� ยอดเจดยี ์ ณ วดั ชา้ งให้ ตำ� บลควนโนรี อำ� เภอโคกโพธิ์ จงั หวดั ปตั ตานี วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เสด็จพระราชด�ำเนินเย่ียม บา้ นทงุ่ เคจ็ อำ� เภอสายบรุ ี เพอ่ื ทอดพระเนตรโครงการพฒั นาพรุ “แฆแฆ” ทง้ั นเ้ี นอื่ งจากทรงเลง็ เหน็ วา่ พรดุ งั กลา่ ว ถงึ แมว้ า่ จะมขี นาดใหญ่ แตเ่ ปน็ พรุ ทเี่ สอื่ มโทรม ใชป้ ระโยชนไ์ มไ่ ด้ นา่ จะมกี ารศกึ ษาหาวธิ กี ารทจ่ี ะระบายนำ�้ ในยามน้�ำหลากและเก็บกักน�้ำไว้ใช้ท�ำการเพาะปลูกในยามหน้าแล้ง ซงึ่ จะชว่ ยใหพ้ น้ื ทน่ี บั หมน่ื ไรไ่ ดม้ นี ำ้� ใชใ้ นฤดแู ลง้ แลว้ จงึ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทอดพระเนตรเพื่อวางแผนและมอบหมายให้กรมชลประทาน ดำ� เนินงานโครงการพรุ “แฆแฆ” เพ่อื ประชาชนไดใ้ ช้ประโยชน์ต่อไป 232 หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตร์ท้องถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

วันท่ี ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เสด็จพระราชด�ำเนินไปยังมัสยิดกลางปัตตานี นายสัมพันธ์ ทองสมัคร รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ นายพลากร สุวรรณรัฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กราบบังคมทูลและเบิกตัว ผนู้ ำ� ศาสนาจาก ๑๔ จังหวัดเข้าเฝ้า และทรงพระกรณุ าฉายภาพร่วมกับผู้นำ� ศาสนาอสิ ลาม ๓.๑ พระมหากรุณาธคิ ุณในการพัฒนาจังหวดั ปตั ตานี พระบารมีปกเกล้าฯ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เปรียบเสมือน แสงประทีปแห่งปวงพสกนิกร ทุกคร้ังที่เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระต�ำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ได้เสด็จพระราชด�ำเนินเยี่ยมเยียนพสกนิกรเกือบทุกต�ำบล ทรงพระปรีชาสามารถและทรงหยั่งลึกทราบถึง สภาพพื้นท่ีในชนบทอย่างถ่องแท้ พร้อมทั้งได้มีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานแนวพระราชด�ำริ เพ่ือพัฒนา และแก้ไขปัญหาส�ำคัญให้แก่จังหวัดปัตตานีมากมาย ส่งผลให้พสกนิกรของพระองค์ท่านในจังหวัดปัตตานี มคี ณุ ภาพชวี ติ และความเปน็ อยทู่ ด่ี ขี นึ้ จากแนวพระราชดำ� รแิ ละพระอตุ สาหะ วริ ยิ ะ ในการบำ� เพญ็ พระราชกรณยี กจิ ของพระองค์ ได้ก่อให้เกิด “พลังแห่งศรัทธา” ซ่ึงเป็นจุดเช่ือมให้ทุก ๆ ฝ่าย ทั้งหน่วยงานทางราชการ ประชาชน และองค์กรเอกชน ได้ร่วมกันปฏิบัติงานเพ่ือสนองพระราชปณิธาน ต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นต้นมา พสกนิกรชาวจังหวัดปัตตานี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการแก้ไขปัญหาพ้ืนฐานของราษฎร และส่งเสริมการกินดีอยู่ดีของประชาชน จนก่อให้เกิดโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริท่ีได้มีการด�ำเนินงาน อยา่ งเป็นรูปธรรมดา้ นตา่ ง ๆ ซง่ึ แบ่งได้ ๔ ด้าน คือ ๑. ดา้ นการพัฒนาแหล่งนำ�้ ๒. ด้านการสง่ เสรมิ อาชีพ ๓. ดา้ นการท�ำนุบ�ำรงุ ศาสนา ๔. ดา้ นการศึกษา 233หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถ่ินจังหวัดชายแดนภาคใต)้

๑) พระมหากรุณาธิคุณด้านการพฒั นาแหลง่ นำ้� จังหวัดปัตตานีประสบปัญหาเก่ียวกับการใช้ประโยชน์จากแหล่งน�้ำ ท่ีเกิดจากแม่น้�ำปัตตานี และแมน่ ำ�้ สายบรุ ี บางครงั้ ประสบปญั หานำ้� ทว่ มพน้ื ทเ่ี พาะปลกู ในฤดฝู น หรอื ประสบปญั หาการขาดแคลนนำ้� อปุ โภค และบริโภคในฤดูแล้ง แต่ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ท่ีทรงมุ่งม่ันที่จะพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎรทุกหมู่เหล่า ด้วยโครงการพัฒนาหรือจัดหาแหล่งน�้ำ รูปแบบต่าง ๆ มาโดยตลอด ความเดือดร้อนในเร่ืองน�้ำเพ่ือการอุปโภค บริโภค และการเกษตรของราษฎร ในหลายพ้ืนท่ีของจังหวัดปัตตานี จึงได้รับการขจัดปัดเป่า และผ่อนคลายความเดือดร้อนให้บรรเทาเบาบางลงไป หากเปรียบ “น้�ำคือชีวิต” พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร คือ ผู้พระราชทาน “ชีวิตใหม่” ให้แก่เกษตรกรจังหวัดปัตตานี ด้วยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริหลายโครงการ การพัฒนา แหล่งน�้ำน้ี มีหน่วยงานสังกัดกรมชลประทานและข้าราชการทุกหมู่เหล่าของจังหวัดปัตตานี เป็นผู้ปรับแนว พระราชดำ� ริไปสู่การปฏิบตั โิ ครงการที่สำ� คัญ มีดังน้ี - โครงการฝายทดนำ�้ ห้วยลวดนำ้� เตา้ ตำ� บลทุ่งคลา้ อำ� เภอสายบุรี - โครงการฝายทดน�ำ้ บ้านโต๊ะปิเยาะ ต�ำบลพเิ ทน อำ� เภอทงุ่ ยางแดง - โครงการอ่างเก็บนำ�้ ห้วยกะลาพอ ต�ำบลเตราะบอน อำ� เภอสายบรุ ี - โครงการพฒั นาพื้นที่พรุแฆแฆ ในเขตอำ� เภอสายบรุ แี ละอำ� เภอปะนาเระ - โครงการฝายทดน�้ำเขาใหญ่ ตำ� บลแป้น อำ� เภอสายบรุ ี - โครงการอ่างเก็บน�ำ้ คลองเตราะหกั ตำ� บลนำ�้ บ่อ อำ� เภอปะนาเระ ๒) พระมหากรุณาธิคณุ ดา้ นการสง่ เสรมิ อาชพี จังหวัดปัตตานีเป็นจังหวัดท่ีมีพ้ืนที่ติดทะเล มีคลองบางสายท่ีน�้ำทะเลสามารถไหลเข้าถึงได้ ท�ำให้สภาพของน�้ำในคลองเป็นน�้ำกร่อย เหมาะส�ำหรับการส่งเสริมอาชีพเล้ียงปลาน�้ำกร่อย ราษฎรมีอาชีพ เลี้ยงปลากะพงขาวในกระชัง แต่มักประสบปัญหาการปรับสภาพน้�ำเค็มให้เหมาะสมส�ำหรับการเล้ียง การแก้ไข ปญั หาจะตอ้ งใชห้ ลกั วชิ าดา้ นระบบชลประทานมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการระบายนำ้� เคม็ เขา้ -ออก และปอ้ งกนั ไมใ่ หน้ ำ้� พรุ ทม่ี ีสภาพเป็นกรดไหลลงมายงั คลองน้�ำจืด ดังนี้ - โครงการขุดลอกคลองบางเกา่ ตำ� บลบางเก่า อำ� เภอสายบุรี - โครงการขดุ ลอกคลองบางตาหยาด ตำ� บลตะลุบนั อำ� เภอสายบุรี ๓) พระมหากรณุ าธคิ ณุ ดา้ นการทำ� นุบ�ำรุงศาสนา พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร ไดท้ รงสนบั สนนุ กจิ การศาสนา ในฐานะทท่ี รงเปน็ องคอ์ คั รศาสนปู ถมั ภก ทรงศกึ ษาหลกั การของทกุ ศาสนาอยา่ งถอ่ งแท้ และทรงใหค้ วามสำ� คญั กบั การน�ำค�ำสอนของศาสนามาใช้เป็นหลักในการด�ำเนินชีวิต ในระหว่างท่ีได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพ้ืนที่ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มักจะเสด็จพระราชด�ำเนินเย่ียมเยียน ผู้น�ำศาสนาอิสลามในมัสยิดต่าง ๆ เช่น มัสยิดกลางปัตตานี มัสยิดสือดัง ต�ำบลเตราะบอน และมัสยิดปละโละ ต�ำบลมะนังดาลำ� อ�ำเภอสายบุรี และในฐานะท่ีพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นพุทธมามกะ ได้ทรงประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นอาจิณวัตร ได้เสด็จพระราชด�ำเนินทรงเย่ียมวัดต่าง ๆ เช่น วดั สารวนั อำ� เภอไมแ้ กน่ วดั สขุ าวดี อำ� เภอยะรงั วดั เนนิ ผาโลการาม วดั ถมั ภาวาส อำ� เภอสายบรุ ี วดั มจุ ลนิ ทวาปวี หิ าร อ�ำเภอหนองจิก วัดราษฎร์บูรณะ (วดั ชา้ งให้) อำ� เภอโคกโพธ์ิ และวัดทรายขาว อ�ำเภอโคกโพธิ์ 234 หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ ้องถนิ่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)

ส่วนพ่ีน้องชาวไทยเช้ือสายจีน ที่มีความศรัทธาเคารพสักการะต่อองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซงึ่ ประดษิ ฐานอยู่ ณ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ตำ� บลอาเนาะรู อ�ำเภอเมืองปตั ตานี ก็ได้รับพระมหากรณุ าธคิ ุณอยา่ งสงู ยง่ิ ในการเสด็จพระราชด�ำเนนิ เยอื นสถานที่ศักด์สิ ิทธ์แิ หง่ น้ี ๔) พระมหากรุณาธคิ ณุ ด้านการศกึ ษา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ในพธิ พี ระราชทานปรญิ ญาบตั ร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี จ�ำนวน ๙ ครั้ง ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๐ นอกจากนี้ทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั น ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จแทนพระองค์ในการเยี่ยม โรงเรียนต่าง ๆ ในจังหวัดปัตตานี พระบรมราโชวาท “...การศกึ ษา ก็คือหาความรู้ ความรู้น้ันก็มีความรู้ทางวิชาการส่วนหนึ่ง คือ ความรทู้ จี่ ะนำ� ไปเปน็ อาชพี ตอ่ ไป ปฏบิ ตั งิ านตอ่ ไป ความรอู้ กี อยา่ ง หน่ึงคือ ความรู้ในชีวิต หรือ จิตใจของตัวและในจิตใจของผู้อื่น ความรู้ทั้งสองอย่างนี้ก็ต้องประกอบกัน ...” พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ครั้งที่ ๑ วันพฤหัสบดีท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี ๔. เสด็จประพาสจงั หวดั ยะลา ตน้ ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระมหาภมู ิพลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนาง เจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง เสดจ็ ประพาสภาคใตท้ กุ จงั หวดั ไดเ้ สดจ็ ถงึ จงั หวดั ยะลา รถพระที่นั่งผ่านถนนในเมืองยะลา มีประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จพระราชด�ำเนินเต็มสองข้างทาง เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. และการแสดงต่างๆ และได้มกี ารแหค่ ชสีห์ เปน็ การถวายความจงรักภักดีของประชาชน ชาวจังหวัดยะลา ทรงขอบใจบรรดาชาวไทยมุสลิมท่ีสวดมนต์ถวายพระพร ทรงขอให้ประชาชนสามัคคี ร่วมใจกัน พยายามศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อความเจริญของบ้านเมือง แล้วทรงขอให้ส่ิงศักดิ์สิทธ์ิดลบันดาลให้ ประชาชนชาวจงั หวดั ยะลา ประสบแต่ ความสุขความเจริญโดยทั่วกัน แล้ว เสด็จพระราชด�ำเนินลงเย่ียมราษฎร และเสด็จประทับท่ีคุรุสัมมนาคาร ภาคการศึกษา ๒ ในวนั ท่ี ๒๓ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ทางจงั หวดั ไดน้ ำ� ชาวเงาะปา่ ซาไกมาเฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร มพี ระราชดำ� รสั วา่ “ทรงดพี ระราชหฤทยั มากทไ่ี ดเ้ หน็ ประชาชน มารบั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ อย่างหนาแน่น” 235หลกั สูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถิน่ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้

ต่อจากนั้นพวกเงาะปา่ ซาไกไดแ้ สดงการเป่าลูกดอกถวาย จัดการแสดงรำ� ตอ่ สู้ หรือท่เี รยี กว่า รำ� ศิละ และร�ำฤกษถ์ วาย การเสดจ็ ครงั้ นนั้ มรี าษฎรทงั้ ชาวไทยพทุ ธและชาวไทยมสุ ลมิ ไดม้ าเฝา้ รอรบั เสดจ็ จำ� นวนมาก เมอ่ื ทรงซกั ถาม คนไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม ก็ไม่สามารถกราบทูลเป็นภาษาไทยได้ ต้องใช้ภาษามลายูและมีล่ามแปลความ พระองค์จึงทรงมีกระแสรับส่ังกับผู้ตรวจราชการในสมัยน้ัน คือ นายแปลก ศิลปกรรมพิเศษ (ขุนศิลปกรรม์พิเศษ) ความวา่ “การศกึ ษาทน่ี สี่ ำ� คญั มาก ใหพ้ ยายามจดั ใหด้ ี ใหพ้ ลเมอื งพดู ภาษาไทยได้ แมพ้ ดู ไดไ้ มม่ ากนกั เพยี งแต่ พอรู้เรื่องกันก็ยังดี เพราะเท่าที่ผ่านมาคราวน้ี มีผู้ไม่รู้ภาษาไทยต้องใช้ล่ามแปล ควรให้พูดเข้าใจกันได้ เพอื่ สะดวกในการตดิ ตอ่ ซึ่งกนั และกัน” นายแปลก ศลิ ปกรรมพิเศษ (ขนุ ศิลปกรรมพ์ ิเศษ) ผ้ตู รวจราชการครุ ุสัมมนาคารภาคการศึกษา ๒ ในสมยั น้ัน ควรตัดออกเพราะเป็นเรื่องของในหลวงโดยตรง การแทรกเช่นนีน้ ่าจะไม่ควร 236 หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้

วันท่ี ๙ - ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ พระบาทสมเด็จ พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง เสด็จฯ ไปพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตรแก่ผู้ว่าราชการ จังหวัดยะลา ทรงรับการน้อมเกล้าฯ ถวายช้างส�ำคัญ และ เสด็จฯ ในการพระราชพิธีสมโภชน์ช้างส�ำคัญ ณ พิธีมณฑล หน้าศาลากลางจังหวัด และสนามโรงพิธีช้างเผือกใกล้ศาลา เทศบาลเมอื งยะลา วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอท้ังสองพระองค์ไปทรงเย่ียมราษฎรที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ณ นิคมสร้างตนเอง พัฒนาภาคใต้ บา้ นกือลอง อ�ำเภอบนั นังสตา จงั หวัดยะลา วันท่ี ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอทงั้ สองพระองค์ ไปทรงประกอบพิธยี กช่อฟา้ อุโบสถวดั คหู าภิมุข อ�ำเภอเมอื ง จงั หวดั ยะลา และทรงเย่ียมราษฎรท่ีเฝ้าทูลละอองธุลพี ระบาท วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเจา้ ลกู ยาเธอท้ังสองพระองค์ไปทรงประกอบพิธยี กชอ่ ฟา้ อุโบสถ วัดเวฬุวัน อำ� เภอเมอื ง จังหวดั ยะลา วันท่ี ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเดจ็ พระมหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอท้ังสองพระองค์ไปทรงเย่ียมราษฎรท่ีเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ณ สวนสาธารณะ สนามช้างเผอื ก ต�ำบลสะเตง อ�ำเภอเมือง จงั หวดั ยะลา วันท่ี ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี และสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ไปทอดพระเนตรอุโมงค์ผันน�้ำฝ่ายละแอในการใช้ท่อเหล็ก เพ่ือน�ำน้�ำ ไปใชใ้ นการเกษตรกรรม และอุปโภคบริโภคในหมู่บา้ น ณ ตำ� บลเข่ือนบางลาง อ�ำเภอบันนงั สตา จงั หวัดยะลา วันท่ี ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี และสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งนางเธอ เจา้ ฟา้ จุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกมุ ารี ไปทรงเยีย่ มราษฎรท่เี ฝ้าทูลละอองธุลพี ระบาทอยู่ ณ บรเิ วรวัดพทุ ธภูมิ ตำ� บลสะเตง อำ� เภอเมอื ง จังหวดั ยะลา 237หลกั สตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตรท์ ้องถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

วันท่ี ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๓ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี และสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งนางเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณวลยั ลกั ษณ์ อคั รราชกมุ ารี ไปทรงเยยี่ มราษฎรทเี่ ฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทอยู่ ณ บรเิ วณวดั สริ ปิ ณุ ณาราม (วัดล�ำพะยา) บา้ นท�ำเนยี บ ตำ� บลล�ำพะยา อ�ำเภอเมือง จังหวดั ยะลา วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๓ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ พรอ้ มดว้ ย สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ไปทอดพระเนตรฝายล�ำพะยา ต�ำบลล�ำพะยา อ�ำเภอเมือง จังหวัดยะลา มีพระราชปฏิสันถารกับเจ้าหน้าท่ี กรมชลประทานและเจ้าหน้าท่ีอ�ำเภอ แสดงออกถึงความพอพระราชหฤทัยท่ีกรมชลประทานได้พิจารณาก่อสร้าง ฝายทดน้�ำคอนกรตี เสรมิ เหล็กก้ันลำ� น้ำ� ล�ำพะยาแทนฝายทดน�้ำหินเดิมของราษฎรท่ีช�ำรุด วันท่ี ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จไปทอดพระเนตร โครงการฝายทดน�้ำท่าธงตามพระราชดำ� ริ และทรงเย่ียมราษฎรต�ำบลทา่ ธง อำ� เภอรามนั จังหวัดยะลา วนั ที่ ๑๓ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง มพี ระราชปฏสิ นั ถารกบั ราษฎรทม่ี าเฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทอยู่ ณ บา้ นซาเมาะ ตำ� บลทา่ ธง อำ� เภอรามนั จงั หวดั ยะลา วันท่ี ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปพระราชทานรางวัล แก่ครูโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม จ�ำนวน ๓๘ ราย และอิหม่ามที่ปฏิบัติงานดีเด่นจ�ำนวน ๒๐ ราย ณ สนามโรงพธิ ีชา้ งเผือก อำ� เภอเมือง จังหวัดยะลา วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชปฏิสันถารกับราษฎร ในโอกาสเสด็จพระราชด�ำเนินไปพระราชทานรางวัลแก่ครูโรงเรียนราษฎร์ สอนศาสนาอสิ ลาม ณ สนามโรงพธิ ีช้างเผอื ก อำ� เภอเมือง จงั หวดั ยะลา วันท่ี ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชด�ำเนินไปทอดพระเนตรงานมหกรรมชั้นเด็กเล็ก ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ สำ� นกั งานศึกษาธกิ ารเขต ๒ อ�ำเภอเมือง จังหวัดยะลา วันท่ี ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปทรงเปิดเข่ือนบางลาง ต�ำบลบาเจาะ อ�ำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และทรงเยี่ยมราษฎรบ้านบางลาง บ้านคอกช้าง บ้านสันติ ๑ และ บา้ นสนั ติ ๒ ท่เี ฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท ณ ต�ำบลบาเจาะ อ�ำเภอบนั นงั สตา จังหวดั ยะลา และ วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี พระราชทานนมแกร่ าษฎรทเ่ี ฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทอยู่ ณ บา้ นเขอื นบางลาง ตำ� บลเขอ่ื นบางลาง อ�ำเภอบันนังสตา จงั หวดั ยะลา 238 หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต)้

วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับเงินท่ีราษฎรทูลเกล้าถวายโดยเสด็จพระราชกุศลในโอกาสท่ีเสด็จพระราชด�ำเนินไปยัง วัดพุทธาวาส อ�ำเภอเบตง จังหวดั ยะลา วนั ท่ี ๒๘ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง ทอดพระเนตรการปฏบิ ตั งิ านของหนว่ ยแพทยเ์ คลอื่ นท่ี ในโอกาสเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ เยยี่ มราษฎร บรเิ วณทท่ี ำ� การ อทุ ยานแห่งชาตนิ �้ำตกธารโต อ�ำเภอธารโต จังหวัดยะลา วนั ที่ ๒๘ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๓๙ สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง เสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงปล่อยพันธุ์ปลาลงเขื่อนบางลาง และทรงเย่ียมราษฎรท่ีเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ ณ บรเิ วณเขอ่ื นบางลาง อ�ำเภอบนั นังสตา จงั หวดั ยะลา วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสดจ็ ไปทอดพระเนตรผลการด�ำเนนิ งานศนู ยพ์ ัฒนาเดก็ เล็กจฬุ าภรณพ์ ัฒนา ๑๐ ณ โครงการจุฬาภรณ์พัฒนา ๑๐ อ�ำเภอเบตง จังหวดั ยะลา วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเย่ียมราษฎรท่ีมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในโอกาสเสด็จพระราชด�ำเนินไปเปิดอาคาร ศนู ยส์ ่งเสริมและพัฒนาเด็กเล็กวยั เตาะแตะ ตำ� บลปุโรง กิ่งอ�ำเภอกรงปนิ ัง จังหวัดยะลา วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทอดพระเนตรและศกึ ษาสภาพปา่ ณ เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ฮาลา-บาลา อำ� เภอเบตง จังหวดั ยะลา วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๘ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชด�ำเนินไป ทรงเยยี่ มราษฎรที่เฝา้ ทูลละอองพระบาทอยู่ ณ วัดบาละ อ�ำเภอกาบัง จงั หวดั ยะลา วันท่ี ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี มพี ระราชปฏสิ นั ถารกบั ราษฎรในโอกาสเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทอดพระเนตรผลการดำ� เนนิ งาน ของโรงเรยี นต�ำรวจตระเวนชายแดน โรงงานยาสบู ๒ อ�ำเภอยะหา จังหวดั ยะลา ๕. เสด็จประพาสจังหวดั นราธวิ าส นับแต่ปี ๒๕๑๖ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เสด็จแปร พระราชฐานประทบั แรม ณ พระตำ� หนกั ทกั ษณิ ราชนเิ วศน์ จงั หวดั นราธวิ าส เพอ่ื ทรงเยยี่ มเยยี นราษฎรในพนื้ ทต่ี า่ งๆ ในจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดใกล้เคียงในภาคใต้ ทรงพบเห็นราษฎรประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อน โดยเฉพาะพน้ื ดนิ จงั หวดั นราธวิ าส เปน็ จำ� นวนมากทไี่ มส่ ามารถปลกู พชื ได้ จงึ มพี ระราชดำ� รทิ จ่ี ะพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนใหม้ คี วามเปน็ อยทู่ ดี่ ขี นึ้ โดยพระราชทานโครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำ� รเิ กย่ี วกบั การพฒั นาดนิ เปร้ยี ว ให้สามารถท�ำการเกษตรได้ การพัฒนาแหลง่ น้ำ� เพือ่ อปุ โภค บรโิ ภค และสง่ เสรมิ การเกษตร ซึ่งเป็นอาชพี หลักของจังหวัดนราธวิ าส 239หลกั สตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)

วันท่ี ๒๙ กันยายน ๒๕๒๓ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง พระราชทานเงนิ รางวลั แกส่ มาชกิ กลมุ่ จกั สานทม่ี ผี ลงานดเี ดน่ ในระหวา่ งการเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ เยยี่ มนิคมสรา้ งตนเองพัฒนาภาคใต้ อำ� เภอแวง้ จังหวัดนราธวิ าส วนั ที่ ๑ กนั ยายน ๒๕๒๔ พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร กบั พระอิริยาบถทรงงานร่วมกบั ขา้ ราชบรพิ าร และประชาชน ในเขตพื้นที่ต�ำบลจอเบาะ อ�ำเภอย่ีงอ จังหวดั นราธวิ าส วันที่ ๒๐ กนั ยายน ๒๕๒๗ พระบาทสมเดจ็ พระมหาภูมิพลอดุลย เดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทาน พระบรมราโชวาท ในโอกาสเสด็จฯ ไปทรงเปิดอาคารมัสยิดประจ�ำจังหวัดนราธิวาส อ�ำเภอเมอื งนราธิวาส จงั หวัดนราธวิ าส วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๒๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชปฏิสันถารกับราษฎรท่ีมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสดจ็ ฯ ณ วดั ทรายทอง บา้ นบากง อำ� เภอรอื เสาะ จังหวดั นราธิวาส วันท่ี ๒๒ กันยายน ๒๕๒๗ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง ทอดพระเนตรสภาพนำ้� ในพรุบากง อำ� เภอรอื เสาะ จังหวัดนราธิวาส วันท่ี ๑๗ กันยายน ๒๕๒๘ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชด�ำเนินทรงส�ำรวจแหล่งน้�ำบริเวณ บ้านกูตง-บ้านโงกูโบ และพระราชทานพระราชด�ำริให้กรมชลประทาน พิจารณาหาท�ำเลสร้างอ่างเก็บน�้ำส�ำหรับสนับสนุนน�้ำให้พ้ืนที่เพาะปลูก ของราษฎร ในโอกาสเสด็จพระราชด�ำเนินเย่ียมราษฎรในเขตพ้ืนที่ ต�ำบลบองอ อำ� เภอระแงะ จงั หวดั นราธิวาส 240 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook