บทท่ี ๖ ประวัตศิ าสตร์ สถาบนั ปอเนาะและอลุ ะมาฮ์ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ พ้ืนท่ีตลอดแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรมลายูในอดีต เร่ิมต้ังแต่บริเวณคอคอดกระ ปัจจุบันอยู่ที่ อ�ำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง จนถึงฮูญงตาะเนาะฮฺ๑ ซึ่งหมายถึงประเทศสิงคโปร์ในปัจจุบันน้ัน เคยเปน็ ที่ตง้ั ของราชอาณาจกั รมลายโู บราณลงั กาสุกะและปาตาน๒ี ดารุสสลาม พืน้ ท่ดี ังกลา่ วไดก้ ลายเป็นท่ีตง้ั ของ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย การเข้ามาของศาสนาอิสลามในปาตานีในอดีต ท�ำให้ดินแดนแห่งนี้ กลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ศาสนาอิสลามของภูมิภาค ปาตานีเป็นแหล่งก�ำเนิดสถาบันการศึกษาแบบปอเนาะ แห่งแรกของเอเชียอาคเนย์ ตั้งแต่ปีคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๔ : ๙๓ - ๙๔) เกิดจากจิตส�ำนึกของบรรดาปัญญาชนมุสลิมหรืออุละมาอฺท่ีเล็งเห็นความส�ำคัญของการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การศกึ ษาศาสนาอสิ ลามท้งั วชิ าฟัรฎอู นี ๓ และฟรั ฎกู ิฟายะฮฺ๔ โดยมีจุดเรม่ิ ตน้ ที่ส�ำนักพระราชวัง กรอื เซะ นบั ตง้ั แต่ คร้ังที่สุลต่านอิสมาอีล ชาฮฺ กษัตริย์พระองค์แรกของราชอาณาจักรปาตานี ดารุสสลาม เร่ิมนับถือศาสนาอิสลาม โดยพระองค์ได้แต่งตั้งชัยคฺสะอีด อัล-บาซีซา เป็นท่ีปรึกษาและผู้สอนศาสนาในพระราชวัง จากนั้นเป็นต้นมา การเรียนการสอนศาสนาอิสลามไดข้ ยายออกไปยังหม่บู า้ นต่างๆ เชน่ ทสี่ เุ หรา่ บาลยั มัดเราะซะฮแฺ ละมัสยดิ “ปอเนาะ” เปน็ คำ� ยมื ภาษาอาหรบั ทใี่ ชอ้ ยา่ งแพรห่ ลายในภาษามลายปู าตานี๕ โดยมที มี่ าจากคำ� วา่ “”فندق อ่านว่า “ฟุนดุก” ค�ำว่า funduk, foundouk, fondok, funduck ตามความหมายในพจนานุกรม Webster’s New International Dictionary of the English Language (๑๙๕๓) ระบวุ ่า “Funduk” ท่ใี ชใ้ นภาษาอาหรบั น้ันเดิมทีชาวอาหรับยืมมาจากภาษากรีกโบราณ ท่ีเรียกว่า “pandukos” หมายถึง การได้รับทุกส่ิงทุกอย่าง และอีกความหมายหนึง่ หมายถึงโรงแรม (ท่พี กั ชัว่ คราว) ๑. ประวัตกิ ารก�ำเนิดปอเนาะยคุ แรกของปาตานี ๑.๑ ยุคท่ี ๑ ราว ค.ศ. ๑๔๐๐ - ๑๕๕๐/ พ.ศ. ๑๙๔๓ - ๒๐๙๓ ๑) ปอเนาะกรือเซะ (ยคุ ท่ี ๑) โดย ชยั คฺเศาะฟียดุ ดีน อัล-อบั บาส ตัง้ อย่ทู ี่หมู่บ้านโตะ๊ ฟากฮิ ฺ ดี ราญา ปจั จุบนั อยู่ท่ีหลังโรงเรยี น ชุมชนบ้านกรือเซะ อำ� เภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ๑ (ฮูญง แปลว่า ปลาย, ตาเนาะฮฺ แปลวา่ แผน่ ดนิ ) ๒ ปาตานีเขียนโดยยึดหลักตามค�ำเขียนในภาษามลายูอักษรญาวี ڤتانيแปลว่า ชายหาดน้ี ทั้งน้ีปาตานี หมายถึง อาณาจักรมลายูอิสลามปาตานี ดารุสสลามในอดีต ส�ำหรบั คำ� วา่ ปัตตานี หมายถึง จังหวดั ปัตตานภี ายใตก้ ารปกครองของรัฐไทยในปจั จุบัน ๓ วิชาศาสนาทบี่ ังคับใหม้ ุสลมิ ตอ้ งเรียน ๔ วิชาศาสนาทสี่ ง่ เสรมิ ให้มสุ ลมิ เรยี นแต่ไม่บังคับ ๕ ภาษามลายูถิ่นทใ่ี ช้ในพ้นื ที่สามจงั หวดั ชายแดนภาคใตแ้ ละบางพน้ื ท่ขี องจังหวัดสงขลารวมท้ังเขตท่ใี ช้ภาษามลายูในภาคกลาง 41หลกั สตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)
ชัยคฺเศาะฟียุดดีน อัล-อับบาส อัล-ยะมานีย์ เป็นอุละมาอฺที่สืบเช้ือสายจากท่านศาสดามุฮัมมัด ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะสลั ลมั ทา่ นเดนิ ทางมายงั ปาตานี เมอ่ื ราวปี ค.ศ. ๑๔๐๐ / พ.ศ. ๑๙๔๓ สมรสกบั ชาว ปาตานี และสร้างบ้านเรือนในหมู่บ้านใกล้กับพระราชวังกรือเซะ ได้อุทิศตนเพื่อเผยแผ่ศาสนาอิสลามให้กับคนในท้องถิ่น โดยใช้บ้านของตนเองเป็นศูนย์การเรียนรู้และปฏิบัติศาสนกิจ บ้านหลังน้ีจึงถือเป็นจุดก�ำเนิดปอเนาะแห่งแรก บนแผ่นดินปาตานี ท่านมีลูกหลานเป็นจ�ำนวนมาก หนึ่งในน้ันคือ ชัยคฺดาวุด อัล-ฟะฏอนีย์ ท่านได้รับการแต่งต้ัง จากสุลต่านมุซ็อฟฟัร ชาฮฺ ให้ด�ำรงต�ำแหน่งดาโต๊ะฟากิฮฺ ดี ราญา (ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์อิสลาม ประจ�ำราชส�ำนัก) (Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๙ : ๒๖ - ๒๗) ๒) ปอเนาะกวั ลาบอื เกาะฮฺ (ยคุ ที่ ๑) ชัยคฺอุษมาน อัล-ยะมานีย์ เดนิ ทางเขา้ มายังปาตานเี พ่อื ท�ำการคา้ ขายและเผยแผศ่ าสนาอิสลาม โดยท�ำการค้าขายท่ีปากแม่น�้ำปาตานี ดารุสสลาม (บาบุสสลาม) ชัยคฺอุษมาน อัล-ยะมานีย์ มีบุตร ๓ คน บุตร ๑ ใน ๓ ของท่านได้เปิดสถาบันปอเนาะชื่อปอเนาะกัวลาบือเกาะฮฺในบริเวณปากแม่น�้ำกัวลาบือเกาะฮฺ (ปากแมน่ ำ้� ปัตตานีในปัจจุบัน) (H.W.M Shaghir Abdullah, ๑๙๙๐ : ๒๓) มัสยดิ กรือเซะศูนยก์ ลางการศึกษาระบบปอเนาะดงั้ เดิมของปาตานดี ารสุ สลามสร้าง ค.ศ. ๑๕๑๔/พ.ศ. ๒๐๕๗ ภาพอ้างองิ จาก อิศร์มัย เบญจสมิทธ.ิ์ ๒๕๕๕ : ๕๙ หนงั สืออนสุ รณ์ ๗๒ ปี ปอเนาะบ้านตาล 42 หลกั สตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้
สเุ หรา่ เอาหฺรว่ มสมยั กับมสั ยิดกรอื เซะ ต้งั อยทู่ ่ี บ้านนัดตนั หยง ต.มะนงั ยง อ.ยะหริง่ จ.ปตั ตานี ภาพอ้างอิงจาก อิศร์มัย เบญจสมิทธ.ิ์ ๒๕๕๕ : ๕๙ หนังสืออนสุ รณ์ ๗๒ ปี ปอเนาะบ้านตาล ๓) ปอเนาะลอื แฆะฮฺ ก่อตั้งโดย ชัยคฺวันมุฮัมมัดศอลิหฺ อัล-ลือแฆะฮี บิน ซัยยิดอะลี นูรุลอาลัม ปัจจุบัน คือ อ�ำเภอตาเนาะห์แมเราะห์ รัฐกลนั ตัน ประเทศมาเลเซีย ๔) ปอเนาะบนึ ดังกเู จ ปอเนาะแห่งนี้เป็นปอเนาะท่ีปังลีมาฮังตูเวาะฮฺ แม่ทัพของรัฐอิสลามมะละกา เคยอาศัยอยู่ ในช่วงที่ท่านมาศึกษาวิชาตะเศาวุฟและวิชาการป้องกันตัวด้วยกริช ณ หมู่บ้านบึนดังกูเจ เมื่อปี ค.ศ. ๑๔๙๙ / พ.ศ. ๒๐๔๒ (นิกรอซดี ีน บิน นิกวันฮุเซน, สมั ภาษณ์วันท่ี ๓ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๐) ไว้ทีเ่ ชิงอรรถ ๑.๒ ยคุ ท่ี ๒ ราว ค.ศ. ๑๕๕๐ / พ.ศ. ๒๐๙๓ ปอเนาะกรอื เซะ (ยคุ ที่ ๒) ก่อต้ังโดย ชัยคฺวันสนิก บิน สุลต่านฆอมบุล (ซัยยิดอะลี นูรุลอาลัม) บิน ซัยยิด อะหฺมัด อัล-อิดรุส ตั้งอยู่ที่บ้านปาเระ บริเวณใกล้แม่น้�ำกรือเซะ เมื่อราวปี ค.ศ. ๑๕๕๐ (สัมภาษณ์ Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah เมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ ธนั วาคม ค.ศ. ๒๐๐๒) ๑.๓ ยุคที่ ๓ ราว ค.ศ. ๑๕๖๐ - ๑๕๙๓ / พ.ศ. ๒๑๐๓ – ๒๑๓๖ ปอเนาะสะนอญนั ญรั กอ่ ตงั้ โดยชัยคฺฟากฮิ ฺ ลอื บยั วันมูซา บนิ วนั มุฮมั มัด ศอลหิ ฺ อลั -ลือแฆะฮี บิน ซยั ยิดอะลี นูรุลอาลมั ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ต�ำบลสะนอ อ�ำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี กุโบรฺของท่านฝังอยู่ท่ีหมู่บ้านโต๊ะแดวอ ต�ำบลสะนอ อำ� เภอยะรัง จังหวดั ปตั ตานี (H.W.M Shaghir Abdullah, ๑๙๙๙ : ๔๘ - ๔๙) 43หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถ่ินจังหวดั ชายแดนภาคใต้)
๑.๔ ยุคท่ี ๔ ราว ค.ศ. ๑๖๒๔ / พ.ศ. ๒๑๖๗ (สงครามระหว่างอยุธยากับปาตานี ในรัชสมัยของ ราชนิ อี ูงู บินติ สุลตา่ นมันศูร ชาฮ)ฺ ปอเนาะตะโละมาเนาะ ก่อตั้งโดยซัยยิดวันฮุเซน บิน ซัยยิดอะลี นูรุลอาลัม จากปัญหาสงครามระหว่างอยุธยาและปาตานี ท่านได้รับค�ำส่ังจากส�ำนักพระราชวังให้อพยพจากหมู่บ้านสะนอไปยังท�ำเลใหม่ที่ปลอดภัย ท่านจึงเดินทางไปเปิด ปอเนาะและสร้างมัสยิดที่ช่ือว่ามัสยิด “วาฎี อัล-ฮุเซน” ที่หมู่บ้านตะโละมาเนาะ ปัจจุบันต้ังอยู่ท่ี ต�ำบลบลูกาสาเมาะ อำ� เภอบาเจาะ จงั หวดั นราธวิ าส มัสยิดแห่งนีป้ จั จุบนั มีอายรุ าว ๓๘๙ ปี ๑.๕ ยุคท่ี ๕ ราว ค.ศ. ๑๗๐๙ / พ.ศ. ๒๒๕๒ ปอเนาะพอเบาะ ปัจจุบนั ต้ังอยูท่ ่มี ัสยิดพอเบาะ ตำ� บลกาวะ อำ� เภอมายอ จังหวดั ปัตตานี ก่อตั้งโดย ชัยคอฺ บั ดลุ มบุ นี บิน ญะลัยนีย์ (เช้ือสายบรูไน) ชัยคฺอับดุลมุบีนและบิดาของท่านเป็นอุละมาอฺร่วมสมัยกับฟากิฮฺ ลือบัย วันมูซา ราวปี ค.ศ. ๑๗๐๙ / พ.ศ. ๒๒๕๒ บุตรของท่านช่ือว่า ชัยคฺอับดุรเราะหฺมานได้แต่งต�ำราเกี่ยวกับวิชาอภิปรัชญา (ตะเศาวุฟ) ต่อจากท่าน นอกจากนี้ชัยคฺอับดุรเราะหฺมานยังเป็นผู้สานต่อปอเนาะพอเบาะต่อจากท่านและ ได้รับการขนานนามว่า “Toknyang Waliyullah” หรือ “โต๊ะชัยคฺพอเบาะ” (H.W.M Shaghir Abdullah, ๑๙๙๙ : ๒๗ - ๒๘)๖ ทง้ั นปี้ อเนาะพอเบาะเปน็ แหลง่ กำ� เนดิ อลุ ะมาอทฺ มี่ ชี อ่ื เสยี ง เปน็ ทรี่ จู้ กั แหง่ เอเชยี อาคเนย์ ๔ ทา่ น ไดแ้ ก่ ชัยคฺมุฮัมมัดอัรชาด อัล-บันญารีย์ อัช-ชะฮีด ชัยคฺอับดุสเศาะมัด อัล-ฟาเล็มบะนีย์ ชัยคฺดาวุด อัล-ฟะฏอนีย์ และปังลีมาชัยควฺ ันมสุ เฏาะฟา โตะ๊ บึนดังดายอท่ี ๑ ๑.๖ ยุคที่ ๖ ราว ค.ศ. ๑๗๒๖ / พ.ศ. ๒๒๖๙ ปอเนาะกวั ลาบอื เกาะฮฺ (ยุคท่ี ๒) และปอเนาะปูยดุ ในรชั สมัยท่ยี ังดีเปอรฺตูวนั อาลงยนู สุ (ค.ศ. ๑๗๒๖ - ๑๗๒๗ / พ.ศ. ๒๒๖๙ - ๒๒๗๐) ปกครองปา ตานี พระองค์ทรงพ�ำนักท่ีพระราชวังอาเยรฺลีเละฮฺ บันดัร ปาตานี (ปัจจุบันอยู่หลังโรงเรียนศาสนูปถัมภ์ ม.๒ ต�ำบลบานา อ�ำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี) ในยุคนี้มีอุละมาอฺจากต่างแดนเดินทางมาจากมหานครมักกะฮฺ เข้ามายังปาตานีเพื่อท�ำการสอนศาสนาอิสลามหลายท่าน เช่น ชัยคฺอับดุลลอฮฺ จากเยรูซาเล็ม สืบเชื้อสาย จากท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสัลลัม เดินทางผ่านตรังกานูสู่ปาตานี ฮัจญียูนุส อะลี และ ชัยคฺอับดุลกอดิร (ท่านทั้งสองเดิมเป็นชาวปาตานี) นอกจากนี้ยังมีฮัจญีอับดุรเราะหฺมาน ชาวชวา อินโดนีเซีย โดยอุละมาอฺท้ังหมดได้แต่งงานกับสตรีชาวปาตานี อีกท่านหนึ่งคือ ฟากิฮฺ อับดุลมันนาน เดิมเป็นชาวมินังกะเบา ท่านแต่งงานกับชาวปูยุด บรรดาอุละมาอฺท่ีกล่าวมาท้ังหมดนั้นเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้เก่ียวกับกฎหมายของ อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ตามที่ได้ระบุไว้ในพระมหาค�ำภีร์อัล-กรุอาน ให้แก่ ชาวปาตานี จากความรู้ ความเข้าใจในหลักการศาสนาน่ันเอง ท�ำให้ประชาชนชาวปาตานีอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขภายใต้การปกครอง ตามหลักกฎหมายอิสลาม มีผลท�ำให้ช่ือเสียงของราชาแห่งปาตานีโด่งดังไปทั่วทั้งภาคตะวันตกและตะวันออก” (Siti Hawa Hj. Salleh, ๑๙๙๒ : ๕๓ - ๕๔) ๖ H.W.M Shaghir Abdullah. ๑๙๙๙. Penyebaran Islam, Sisilah Ulama Sejagat Dunia Melayu Jilid ๖ 44 หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถ่ินจังหวดั ชายแดนภาคใต)้
๑.๗ ยคุ ท่ี ๗ ราว ค.ศ. ๑๗๕๐ - ๑๘๗๐ / พ.ศ. ๒๒๙๓ - ๒๔๑๓ ปอเนาะบนึ ดงั ดายอ (ยคุ ที่ ๑) ปอเนาะบึนดงั ดายอ กอ่ ตั้งโดยปงั ลีมาโอรังกายา ชยั ควฺ นั มุสเฏาะฟา บิน วันมุฮัมมัด บิน วันมฮุ ัมมดั ซัยนัลอาบิดีน บิน ฟากิฮฺ ลือบัย วันมูซา ปอเนาะแห่งน้ีปัจจุบันต้ังอยู่ท่ี หมู่ ๑ ต�ำบลยะรัง อ�ำเภอยะรัง จงั หวัดปตั ตานี ชยั คฺวันมสุ เฏาะฟา มีบุตร ๔ คน เป็นอลุ ะมาอฺที่มีชือ่ เสียง คือ ๑) ชยั ควฺ ันมฮุ ัมมัดซยั นฺ (ฮ.ศ. ๑๒๓๓/ ค.ศ. ๑๘๑๗ - ๒๒ ซลุ ฮิจญะฮฺ ฮ.ศ. ๑๓๒๕/ ๒๕ มกราคม ค.ศ. ๑๙๐๘) ๒) ชยั คฺวนั อับดุลกอดริ (ฮ.ศ. ๑๒๓๔/ ค.ศ. ๑๘๑๘ - ๑๖ ซุลฮจิ ญะฮ์ ฮ.ศ. ๑๓๑๒/ ค.ศ. ๑๘๙๔) ทา่ นได้รบั ฉายาว่า โตะ๊ บนึ ดังดายอที่ ๒ ๓) ชัยคฺวันอับดุลละฏีฟ (ฮ.ศ. ๑๒๘๓/ ค.ศ. ๑๘๖๖ - ฮ.ศ. ๑๓๕๕/ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๓๖) ผบู้ ุกเบกิ ปอเนาะท่าอฐิ อ.ปากเกรด็ จ.นนทบรุ ี ๔) ชยั ควฺ นั ดาวดุ สอนทีม่ ัสยดิ อลั -หะรอม ๑.๘ ยุคท่ี ๘ ราว ค.ศ. ๑๘๕๓ - ๑๘๙๔ / พ.ศ. ๒๓๙๖ - ๒๔๓๗ ปอเนาะบึนดงั ดายอ (ยคุ ที่ ๒) ปอเนาะบนึ ดงั ดายอ (ยคุ ที่ ๒) กอ่ ตง้ั โดยชยั คฺ วนั อบั ดลุ กอดริ บนิ วนั มสุ เฏาะฟา ราวปี ค.ศ. ๑๘๑๘ - ๑๘๙๔ ปาตานีอยู่ภายใต้การปกครองของสุลต่านตวนสุหลงและสุลต่าน ชะรีฟุดดีน ชาห์ ชัยคฺวันอับดุลกอดิร บิน ชัยคฺวันมุสเฏาะฟา มีศักดิ์เป็นอาของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ท่านเป็น อุละมาอฺปาตานีที่มีชื่อเสียง โดดเดน่ ทส่ี ดุ ในชว่ งกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๙ ทา่ นไดร้ บั การขนานนามวา่ “โตะ๊ บนึ ดงั ดายอที่ ๒” และอกี ฉายาหนง่ึ คือ “ฮัจญีอับดุลกอดิร ลัยละตุลเกาะดัร” ชัยคฺวันอับดุลกอดิรได้ อุทิศตนเพ่ือด�ำเนินการสานต่อการสอน ศาสนาอิสลามที่ปอเนาะบึนดังดายอต่อจากบิดาของท่าน ท่านนับเป็นอุละมาอฺท่ีมีคุณูปการต่อแผ่นดินปาตานี เป็นอย่างยิ่ง ท้ังนี้เพราะในขณะน้ันปาตานีก�ำลังอยู่ในภาวะสงคราม ท�ำให้บรรดาอุละมาอฺของปาตานีต้องอพยพ ไปอยู่ต่างแดนมากมาย ชัยคฺวันอับดุลกอดิรจึงเปรียบเสมือนเสาหลักของสถาบันปอเนาะและอุละมาอฺปาตานี ดารุสสลาม ในขณะนัน้ ภารกิจสุดท้ายของชัยคฺวันอับดุลกอดิร คือ ท่านได้รับเกียรติจากสุลต่านสุไลมาน ชะรีฟุดดีน ชาห์ เจ้าเมืองปาตานี ให้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ให้แก่บรรพชนของสุลต่านท่ีล่วงลับไปแล้ว ในปี ฮ.ศ. ๑๓๑๒ ตรงกับ ค.ศ. ๑๘๙๕ การเดนิ ทางไปประกอบพิธีฮจั ญค์ รัง้ น้ีมคี ณะติดตามดังน้ี ๑) ฮจั ญฮี เุ ซน บิน อับดุลละฏฟี (โต๊ะกอื ลาบอ) ศษิ ย์เอกของท่าน ๒) วนั อสิ มาอีล บุตรชายของทา่ นทก่ี ำ� ลังอยูใ่ นช่วงวัยรุ่น ต่อมาเป็นทรี่ จู้ ักในนาม ปะดอแอมกั กะฮฺ ๓) วนั อิบรอฮีม น้องชายของท่าน (ปะจูเฮง ปอเนาะฆาเญาะฮฺมาตี รฐั เคดาห)์ การไปประกอบพิธีฮัจญ์ครั้งน้ีได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดน่ันคือ ชัยคฺวันอับดุลกอดิรได้เสียชีวิตลง ณ มหานครมักกะฮฺ หลังจากการประกอบพิธีฮัจญ์ได้เสร็จสิ้นลงในวันอาทิตย์ท่ี ๑๖ ซุลฮิจญะฮฺ ฮ.ศ. ๑๓๑๒ ตรงกับวันท่ี ๙ มิถุนายน ค.ศ. ๑๘๙๕ (Ahmad Fathy, ๒๐๐๑ : ๒๘๒ - ๒๘๔) 45หลกั สูตรสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้
ปอเนาะปอเนาะบึนดงั ดายอ (ยคุ ที่ ๒) ได้ผลิตบรรดาอุละมาอฺทีม่ ชี อ่ื เสยี งหลายท่าน อาทิเชน่ ๑) ฮจั ญมี ุฮมั มดั ศอลหิ ฺ ปอเนาะบึนดงั กูเจ ตำ� บลกะมิยอ อ�ำเภอเมอื ง จงั หวัดปตั ตานี ๒) โต๊ะกือลาบอ (ฮัจญีมุฮัมมัดฮุเซน บิน ฮัจญีอับดุลละฏีฟ) อุละมาอฺประจ�ำมัสยิดสลินดงบายู ตำ� บลตะลบุ นั อำ� เภอสายบรุ ี จังหวดั ปตั ตานี และทป่ี รกึ ษาของเจ้าเมืองสายบรุ ี (สุลตา่ นเตง็ กอู บั ดลุ มฏุ เฏาะลิบ) ๓) ฮจั ญีวันสะตัง บนิ วันอดิ รีส ผู้สถาปนาปอเนาะบรือมิน ๔) โต๊ะตีตี (ปอเนาะใน ต�ำบลตาลีอายร์ อำ� เภอยะหรงิ่ จงั หวดั ปัตตานี) ๕) ฮัจญมี ฮุ ัมมัดอัรฺชาด ปอเนาะโตะ๊ บดี นั บิดาของโต๊ะครูปอเนาะดาลอ ตำ� บลมะนงั ยง อำ� เภอยะหร่งิ จังหวดั ปตั ตานี ๖) ฮัจญีมฮุ มั มดั ชาห์ หรือโต๊ะซาเยา๊ ะ ปอเนาะสามยอด อำ� เภอโคกโพธ์ิ จงั หวัดปตั ตานี ๗) ฮจั ญอี บั ดลุ ลอฮฺ บนิ ฮจั ญมี ฮุ มั มดั อะกบี บนิ ดนี ารฺ หรอื โตะ๊ จาเอาะ ปอเนาะจาเอาะ ตำ� บลมะนงั ยง อำ� เภอยะหริ่ง จังหวดั ปตั ตานี ๘) ฮัจญีอิดรีส บิน อับดุลกะรีม บิน มุฮัมมัดดาฮาน บิน ชัมซุดดีน ปอเนาะโต๊ะรายอฮัจญี ท่านผู้น้ี เป็นลูกพี่ลูกน้องของตวนมีนาล อัล-ฟะฏอนีย์ ปัจจุบันปอเนาะโต๊ะรายอฮัจญีต้ังอยู่ที่บ้านพาลูแว ริมแม่น้�ำยามู อ�ำเภอยะหร่ิง จังหวัดปตั ตานี ชยั คอฺ สิ มาอีล บนิ ชัยคฺวันอบั ดลุ กอดริ อลั -ฟะฏอนีย์ (ปะดอแอ มกั กะฮฺ) ผ้มู ศี กั ดิ์เป็นอาของ อาจารย์ยะหย์ า ลาตีฟี ปอเนาะทา่ อิฐ นนทบรุ ี ภาพอ้างอิงจาก Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah. ๒๐๐๕ : ๒๙ SYEIKH AHMAD AL - FATHANI PEMIKIR AGUNG MELAYU DAN ISLAM Jilid ๑ 46 หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต้)
ปอเนาะด้ังเดมิ ปอเนาะมะดาแฆ ปัจจบุ ันโรงเรียนมูฮมั มาดยี ะฮ์ บา้ นสลาม ตำ� บลนาประดู่ อ�ำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปตั ตานี ภาพอ้างอิงจาก Hasan Madmarn. ๒๐๐๑. Pondok dan Madrasah di Patani ๑.๙ ยคุ ท่ี ๙ ราว ค.ศ. ๑๘๘๖/ พ.ศ. ๒๔๒๙ ปอเนาะจาเอาะ กอ่ ตงั้ โดย ตวู นั ฆรู ู ฮจั ญี อบั ดลุ ลอฮฺ บนิ ฮจั ญมี ฮุ มั มดั อะกบี บนิ ดนิ ารฺ เกดิ ราวปี ค.ศ. ๑๘๕๑ - ๑๙๒๑ ปอเนาะแห่งนี้ก่อต้ังขึ้นราวปี ค.ศ. ๑๘๘๖ ณ หมู่บ้านจาเอาะ ต�ำบลมะนังยง อ�ำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ท่านเป็นศิษย์ของโต๊ะบึนดังดายอที่ ๒ (ชัยคฺวันอับดุลกอดิร) และชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ (Ahmad Fathy, ๒๐๐๑ : ๒๘๘ - ๒๘๙) ต่อมาบุตรของท่านชือ่ ฮัจญอี ับดลุ มะญีด อึมบล ไดเ้ ปิดโรงเรยี นเอกชนสอนศาสนาอสิ ลาม นามว่า โรงเรียนสตรีพัฒนศึกษา “หะยีนิเซาะ อาเก็บอุไร-บ�ำเพ็ญ” ที่บ้านกรือเซะ ต�ำบลตันหยังลูโล๊ะ อำ� เภอเมือง จังหวดั ปตั ตานี จนถึงปัจจุบัน ปอเนาะโตะ๊ ราญอฮจั ญี กอ่ ตงั้ ราว ค.ศ. ๑๙๐๕ / พ.ศ. ๒๔๔๘ ปจั จุบนั คอื ตำ� บลยามู อ�ำเภอยะหร่งิ จังหวดั ปัตตานี กอ่ ต้ังโดย ปะจูเยะฮฺ โต๊ะราญฮัจญี ตวู นั ฆรู ู ฮัจญี อิดรสิ บิน ฮจั ญี อบั ดุลกะรีม บนิ มฮุ มั มัด ดะฮฺฮาน บิน ชัมซุดดีน (ค.ศ. ๑๘๖๕ - ๑๙๓๕ / พ.ศ. ๒๔๐๘ - ๒๔๗๘) ท่านเป็นศิษย์ของโต๊ะบึนดังดายอท่ี ๒ (ชยั คฺวันอับดุลกอดิร) และชัยคฺวันอะหมดั อลั -ฟะฏอนีย์ (Ahmad Fathy, ๒๐๐๒ : ๒๖๑) 47หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)
รายช่ือลูกศษิ ยข์ องท่านมี ดงั น้ี ๑) ฮจั ญสี ะอีด สุไหงปันดัน และน้องชายคอื ฮจั ญีอับดุรเราะชดี บันดัร ๒) โตะ๊ ยะมนั ปะนาเระ ๓) ฮจั ญอี บั ดซุ เศาะมดั ยาคา (โตะ๊ ยาคา) ๔) โตะ๊ ดาลอที่ ๑ ๕) ปะจเู ฮม ฆาเญาะฮมฺ าตี รฐั เคดาห์ ประเทศมาเลเซยี ๖) ฮัจญดี าวดุ ตาระ ๑.๑๐ ยคุ ที่ ๑๐ ราว ค.ศ. ๑๙๓๘ จนถงึ ปจั จุบัน ปอเนาะดาลอ ก่อตั้งโดย โต๊ะดาลอท่ี ๑ ตูวันฆูรู ฮัจญี อับดุลเราะหฺมาน บิน ตูวันฆูรู ฮัจญี มุฮัมมัด อัรชาด บิน อับดุลฆอนี ตรังกานู ทา่ นเกดิ เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๙๘ และเสียชวี ิตเม่ือ ปี ค.ศ. ๑๙๗๕ ปอเนาะแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเม่ือราวปี ค.ศ. ๑๙๓๘ / พ.ศ. ๒๔๘๑ ณ บ้านดาลอ ต�ำบล มะนังยง อ�ำเภอยะหร่ิง จังหวัดปัตตานี ท่านเป็นศิษย์และบุตรเขยของปะจูเยะฮฺ โต๊ะราญอฮัจญี นอกจากน้ีท่านยัง เป็นศิษย์ของปะดอแอ มักกะฮฺและเปาะจิดาวุด บิน มุสเฏาะฟา บึนดังดายอ หลังจากที่ท่านเสียชีวิตลง บุตรเขยของท่าน คือ ฮัจญีฮุเซน บิน ฮัจญีอะหมัด ได้สานต่อการด�ำเนินงานภารกิจปอเนาะจากท่าน ท่านได้รับ สมญานามว่า “โตะ๊ ดาลอท่ี ๒” เมอื่ ฮัจญีฮเุ ซน เสียชีวติ ค่เู ขยของท่านคือฮจั ญอี ับดลุ กะรมี ฮซั บลุ ลอฮฺ นาคนาวา เป็นผู้สานต่อปอเนาะจากท่านจนถึงปัจจุบันและได้รับสมญานามว่า “โต๊ะดาลอท่ี ๓” นอกจากนี้ทั้งฮัจญีฮุเซน และฮัจญีอับดุลกะรีม ต่างด�ำรงต�ำแหน่งเป็นประธานสภาอุละมาอฺฟะฏอนีย์ ดารุสสลาม ปอเนาะดาลอเป็น สถาบันท่ีผลิตอุละมาอฺท่ีมีช่ือเสียงหลายท่านในคาบสมุทรมลายู ปัจจุบันยังคงสานต่อเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ในการคงไวซ้ ่งึ สถาบนั ปอเนาะแบบดั้งเดมิ ของปาตานี ปอเนาะดงั้ เดมิ ปอเนาะดาลอ ปจั จุบัน ต�ำบลมะนังยง อ�ำเภอยะหรง่ิ จงั หวดั ปตั ตานี ภาพอ้างอิงจาก Hasan Madmarn. ๒๐๐๑. Pondok dan Madrasah di Patani 48 หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถนิ่ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้
๒. ปาตานีในฐานะศนู ยก์ ลางการศกึ ษาและการเผยแผศ่ าสนาอสิ ลามในเอเชยี อาคเนย์ จนได้รบั ฉายาวา่ กระจกเงาแหง่ มักกะฮฺ การเข้ามาของอิสลามยังปาตานีในอดีต ท�ำให้ดินแดนแห่งน้ีกลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ศาสนาอิสลาม ของภูมิภาค ปาตานีเป็นแหล่งก�ำเนิดสถาบันการศึกษาแบบปอเนาะแห่งแรกของเอเชียอาคเนย์ ตั้งแต่ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๒ (Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๔ : ๙๓ - ๙๔) ซงึ่ เกดิ จากจิตสำ� นกึ ของบรรดาปัญญาชน มุสลิมหรืออุละมาอฺท่ีเล็งเห็นความส�ำคัญของการศึกษา โดยอย่างย่ิงการศึกษาศาสนาอิสลามท้ังวิชาฟัรฎูอีนและ ฟัรฎูกิฟายะฮฺ โดยมีจุดเริ่มต้นที่ส�ำนักพระราชวังโกตานีลัม กรือเซะ นับตั้งแต่ครั้งที่สุลต่าน อิสมาอีล ชาฮฺ กษัตริย์พระองค์แรกของราชอาณาจักรมลายูอิสลามปาตานี ดารุสสลาม เร่ิมนับถือศาสนาอิสลาม โดยพระองค์ ได้แต่งต้ังชัยคฺสะอีด อัล-บาซีซา เป็นท่ีปรึกษาและผู้สอนศาสนาในพระราชวัง จากน้ันเป็นต้นมาการเรียน การสอนศาสนาอิสลามไดข้ ยายออกไปยงั หมบู่ า้ นต่างๆ เชน่ ที่สุเหร่า บาลยั มดั เราะซะฮฺและมสั ยดิ สถาบันปอเนาะ อุละมาอฺและกติ าบญาวี : สืบสานมรดกจากบรรพชน “ปอเนาะ” เปน็ คำ� ยมื ภาษาอาหรบั ทใี่ ชอ้ ยา่ งแพรห่ ลายในภาษามลายปู าตานี โดยมที ม่ี าจากคำ� วา่ “”فندق อ่านว่า “ฟุนดุก” ค�ำว่า funduk, foundouk, fondok, funduck ตามความหมายในพจนานุกรม Webster’s New International Dictionary of the English Language (๑๙๕๓) ระบวุ า่ “Funduk” ท่ใี ช้ในภาษาอาหรบั นั้นเดิมทีชาวอาหรับยืมมาจากภาษากรีกโบราณ ที่เรียกว่า “pandukos” หมายถึง การได้รับทุกส่ิงทุกอย่าง และอกี ความหมายหนง่ึ หมายถึงโรงแรม (ทพ่ี ักชว่ั คราว) ราชอาณาจักรมลายูปาตานีในอดีตถือเป็นแหล่งก�ำเนิดสถาบันการศึกษาปอเนาะและเป็นอู่อารยธรรม หรือศูนย์กลางด้านการศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (A. Teeuw and D.K. Wyatt, ๑๙๗๐ : ๔) โดยระบบการศึกษาศาสนาอิสลามระบบปอเนาะดั้งเดิมนั้นได้รับการสืบทอดจนถึงปัจจุบัน ทั้งน้ีจากอดีตจนถึง ปัจจุบัน สถาบันปอเนาะถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์เด่นของปาตานี ดารุสสลาม รวมทั้งอุลามะอฺ (ปวงปราชญ์) และกิตาบญาวี ระบบการศึกษาของปอเนาะแบบด้ังเดิมนั้นเป็นการศึกษาแบบ “หะลาเกาะฮฺ” อันหมายถึง การจัดให้นักเรียน (โต๊ะปาเก) น่ังเรียนรวมกันเป็นวงกลมต่อหน้าโต๊ะครูผู้สอนพร้อมกับการอ่านต�ำราที่เป็น ทั้งภาษาอาหรบั และภาษามลายู (อักษรญาว)ี บรรดานักเผยแผ่ศาสนาอิสลามท่ีเข้ามายังปาตานีในยุคแรกๆ มาจากเมืองหะเฎาะเราะเมาตฺ (ประเทศเยเมน) อลุ ะมาอเฺ หลา่ นไ้ี ดน้ ำ� หลกั ศรทั ธา (Aqidah) มซั ฮบั ชาฟอิ ยี แ์ ละแนวทางอะลซุ ซนุ นะฮฺ วลั -ญะมาอะฮฺ เข้ามายังแหลมมลายู จึงเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเหล่าอุละมาอฺปาตานีในฐานะผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของ ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมและเป็นผู้น�ำทางจิตวิญญาณของประชาชนในการท�ำหน้าท่ี ตะเลม็ (สอน) และดะอวฺ ะฮฺ (เผยแผ)่ อลั -อสิ ลามในภมู ภิ าคนี้ หากจะกลา่ วโดยสรปุ กค็ อื อลุ ะมาอแฺ ละสถาบนั ปอเนาะ แบบด้ังเดิมเป็นป้อมปราการส�ำคัญในการพิทักษ์หลักศรัทธา (อะกีดะฮฺ) ของแนวทางอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ นับเป็นการเร่ิมต้นของการใช้ระบบนูบูวะฮ์ อัซลียะฮ์ (ศาสนวิถีแห่งศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสลั ลัม) 49หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)
อลุ ะมาอฺจากเยเมนผูส้ บื ทอดมรดกวถิ ศี าสดา ผู้น�ำการเปล่ยี นแปลงระบบเทวาธริ าชสรู่ ะบบ อัล-อิสลาม ในเอเชียอาคเนย์ ที่มา : M. Arifin Amin. B. A. ๑๙๘๔. Risalah MONISA-Dalam Lintasan Sejarah Bangsa นับจากอดีตจนถึงปัจจุบันประมาณ ๕๐๐ ปี ปาตานีถือเป็นแหล่งก�ำเนิดอุละมาอฺและเป็นแผ่นดิน แหง่ อลุ ะมาอฺ (Ardul Ulama’) อยา่ งแทจ้ รงิ อลุ ะมาอปฺ าตานสี ว่ นใหญจ่ ะมคี ำ� ลงทา้ ยชอื่ วา่ อลั -ฟะฏอนยี ์ (al-Fatani) เปน็ การบ่งบอกถึงที่มาของมาตุภมุ ิแหล่งกำ� เนดิ (อัล-ฟะฏอนีย์ หมายถึง ณ ปาตานี หรอื จากปาตานี) ตำ� ราทบ่ี รรดาอลุ ะมาอสฺ ว่ นใหญใ่ ชใ้ นการเรยี นการสอนวชิ าตา่ งๆ นน้ั เรยี กวา่ กติ าบญาวหี รอื “กติ าบกนู งิ ” หมายถึง ต�ำราสีเหลือง (มีที่มาจากการตีพิมพ์ด้วยกระดาษสีเหลือง) เป็นต�ำราที่แต่งข้ึนโดย อุละมาอฺท้ังใน และต่างประเทศ โดยใช้ภาษาอาหรับและภาษามลายูอักษรญาวี ชาวปาตานีถือว่าอักษรญาวีนั้นเป็นพยัญชนะ ของอลั กรุ อาน พีรยศ ราฮิมมูลา (๒๕๔๕ : ๕๐ - ๕๑) ได้ระบุเกี่ยวกับบทบาทของอุละมาอฺและกิตาบญาวี และการใช้ ภาษามลายอู ักษรญาววี ่า “ในฐานะอุละมาอฺที่ย่ิงใหญ่และโดดเด่น ชัยคฺวันอะหมัดมีบทบาทส�ำคัญด้านการสอนศาสนา บรรณารักษศาสตร์ การเขียนและการแปลต�ำราศาสนาจากภาษาอาหรับเป็นภาษามลายู โดยท่านได้ใช้ ภาษามลายูอักษรญาวีในการเขียนและแปลต�ำราดังกล่าวเพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ชาวมลายูมุสลิมปาตานี เน่ืองจากประชาชนชาวมลายูมุสลิมในภูมิภาคนี้พูดภาษามลายูและใช้พยัญชนะญาวีในการเขียนและ สอนหนังสือ รวมทั้งต้องการที่จะท�ำนุบ�ำรุงศาสนาอิสลามและรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นมลายูของ ชาวปาตานี ซ่ึงชาวมลายูปาตานีได้เรียนรู้และเข้าใจศาสนาอิสลามผ่านกิตาบญาวีและถือว่าอักขระญาวี เปน็ ตวั หนงั สอื ศาสนา” กติ าบญาวจี งึ เปน็ มรดกลำ�้ ค่าท่คี ู่ควรอย่างยิง่ แก่การอนรุ ักษแ์ ละด�ำรงไว้สืบตอ่ ไป ชัยคฺเศาะฟียุดดีน อัล-อับบาส เป็นอุละมาอฺปาตานีท่านแรกท่ีได้เขียนต�ำราเก่ียวกับวิชาการแพทย์ “Sia-Sia Berguna” โดยใชภ้ าษามลายอู กั ษรญาวใี นการเขยี น (Hj. Wan Mohd.Shaghir Abdullah, ๑๙๙๕ : ๒) นอกจากน้ีท่านยังเขียนหนังสือช่ือ “Foram Ilmiyah - Manuskrip Islam” และประวัติศาสตร์ปาตานี (Tarikhh Petani) โดยกีตาบที่ช่ือ “ตาริค ปาตานี” นั้นท่านเขียนเป็นภาษาอาหรับ ต่อมาหลานของท่าน คือ ชัยคฺ ฟากิร วันอาลี บิน ชัยคฺวันมุฮัมมัด บิน ชัยคฺเศาะฟียุดดีน ได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามลายูอักษรญาวี เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๖๒๔ ต่อมาชัยคฺดาวุด บิน อับดุลลอฮฺ อัล-ฟะฏอนีย์ ได้น�ำมาคัดลอกใหม่ โดยเพ่ิม คำ� อรมั พบทเมอื่ ปี ฮจิ เราะฮศฺ กั ราช ๑๒๒๘ ตรงกบั ค.ศ. ๑๘๑๓ (Hj. Wan Mohd. Shaghir bin Abdullah, ๑๙๙๙ : ๒๙) 50 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้
ราวกลางคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๖ อุละมาอฺท่ีชื่อฟากิฮ ลือบัย วันมูซา บิน มุฮัมมัดศอลิหฺ อัล-ลือแฆฮฮี ได้เปิดปอเนาะท่ีสะนอญันญัรและแต่งต�ำราที่ช่ือ “เศาะร็อฟและมันติก” (วิชาตรรกะ) กับ อัล-เซาวา ฟิลบายาน (Al-Sawa fil Bayan) ในปีฮิจเราะฮฺ ๑๐๐๒ ตรงกับ ค.ศ. ๑๕๙๓ (Hj. Wan Mohd. Shaghir bin Abdullah, ๒๐๐๐ : ๒ - ๓) อลุ ะมาอรฺ ว่ มสมยั กบั ชอื่ ฟากฮิ ลอื บยั วนั มซู า บนิ มฮุ มั มดั ศอลหิ ฺ คอื ชยั คอฺ บั ดลุ มบุ นี บนิ ญยั ลานี อลั -ฟะฏอนยี ์ (ผกู้ ่อตั้งปอเนาะพอเบาะ) ท่านไดเ้ ขียนกตี าบเกยี่ วกับวชิ า ตะเศาวฟุ (อภปิ รัชญา) แตไ่ ม่ทันเสร็จ บตุ รของทา่ นช่ือ ชัยคฺอับดุรเราะหฺมาน อัล-ฟะฏอนีย์ เป็นผู้เขียนต่อจนเสร็จสมบูรณ์และ ได้สานต่อปอเนาะพอเบาะในเวลาต่อมา โดยชัยคฺอับดุรเราะหฺมาน บิน ชัยคฺอับดุลมุบีนน้ัน ได้รับการขนานนามว่า “Tok Nyang Waliyullah หรือ อกี ชอื่ หนง่ึ “โตะ๊ ชยั คพฺ อเบาะ” ตอ่ มาปอเนาะพอเบาะถกู สานตอ่ โดยชยั คมฺ ฮุ มั มดั ศอลหิ ฺ บนิ ชยั คอฺ บั ดรุ เราะหมฺ าน และทายาทคนสดุ ทา้ ย คอื ชยั คอฺ บั ดลุ ลอฮฺ บนิ ชยั คมฺ ฮุ มั มดั ศอลหิ ฺ ซง่ึ เปน็ เจา้ ของผลงานตำ� รา Tanbih al-Ghalibin (เขียนด้วยอักษรญาวี) ใน ค.ศ. ๑๗๗๐ ปัจจุบันยังมีขายอยู่ในโลกมลายู ทั้งนี้ปอเนาะพอเบาะมีชื่อเสียงและ มีบทบาทส�ำคัญในการถ่ายทอดความรู้วิชาการอิสลามในปาตานี ไม่เฉพาะวิชาหลักความเชื่อ (Aqidah) และ วิชากฎหมาย (Fiqh) เทา่ นน้ั แตย่ งั รวมถึงตะเศาวุฟ (อภปิ รัชญา) และแนวทางปฏบิ ตั ิ (Tarekat) อุละมาอฺท่ียิ่งใหญ่ที่เป็นศิษย์จากปอเนาะพอเบาะ ได้แก่ ชัยคฺดาวุด อัล-ฟะฏอนีย์ ชัยคฺอับดุซเศาะมัด อลั -ฟาเลม็ บานี (สอนในมสั ยดิ อลั -หะรอม มหานครมกั กะฮ)ฺ ชยั คอฺ บั ดรุ เราะหมฺ าน บนิ อบั ดลุ มะอรฺ ฟุ อลั -ฟะฏอนยี ์ ชัยคฺวันหะซัน อิสฮาก อัล-ญาวี อัล-ฟะฏอนีย์ ชัยคฺวันอาลี อิสฮาก อัล-ฟะฏอนีย์ วันหะซัน บือซุต (เปิดปอเนาะ ทบี่ อื สตุ ตรงั กาน)ู และชยั คอฺ บั ดลุ กอดรี บกู ติ บายสั (เปดิ ปอเนาะทตี่ รงั กาน)ู ฯลฯ (Ahmad Fathy al-Fatani, ๒๐๐๑ : ๑๓) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ และตลอดคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๙ ปาตานียังคงมีบทบาทส�ำคัญย่ิง ในฐานะเป็นอู่อารยธรรมอิสลามและยังเป็นศูนย์กลางด้านวรรณกรรมมลายูตามแนวทางของอิสลามอันเป็น ผลจากการก�ำเนดิ อุละมาอทฺ ีม่ ชี อ่ื เสยี ง อุละมาอเฺ หล่านั้นได้เขยี นต�ำราด้านศาสนาอิสลามในสาขาตา่ งๆ ไว้มากมาย จนเป็นท่ีรู้จักไม่เฉพาะในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์เท่าน้ัน แต่ยังมีช่ือเสียงเป็นท่ียอมรับในโลกอาหรับ ตุรกีและ แอฟริกาเหนืออีกด้วย อุละมาอฺปาตานีได้รับเกียรติให้เป็นผู้สอนกิตาบท่ีมัสญิด อัล-หะรอม มหานครมักกะฮฺ ในขณะนนั้ ปาตานไี ดร้ บั การขนานนามวา่ เป็น “กระจกเงาแห่งมกั กะฮ”ฺ หรือ Cermin Makah (Hj. Wan Mohd. Zamberi A. Malek, ๑๙๙๔ : ๙๕) ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ทายาทรุ่นท่ี ๔ ของฟากิฮฺ ลือบัยวันมูซา อัล-ฟะฏอนีย์ (ผู้ก่อตั้งปอเนาะ สะนอญนั ญรั กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๖) ชอ่ื ชยั ควฺ นั มสุ เฏาะฟา โตะ๊ บนึ ดงั ดายอที่ ๑ ไดก้ อ่ ตง้ั ปอเนาะบนึ ดงั ดายอขนึ้ ต่อมาปอเนาะดังกล่าวถูกสานต่อโดยบุตรของท่านคือชัยคฺวันอับดุลกอดิร หรือโต๊ะบึนดังดายอที่ ๒ ท่านมี สานุศิษย์มากมาย ราวปี ค.ศ. ๑๙๓๐ หลังจากที่ปอเนาะบึนดังดายอยุติการเรียนการสอนลง บรรดาลูกศิษย์ของ ทา่ นกไ็ ด้เปดิ ปอเนาะทว่ั ภูมิภาคปาตานภี ายหลงั จากสำ� เรจ็ การศกึ ษาจากมหานครมกั กะฮฺ ต่อมาระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๓๐ - ๑๙๙๐ มีโต๊ะครูหรืออุละมาอฺปาตานี ได้แก่ โต๊ะบรือมิน (ศิษย์ของ โต๊ะเซอมูลาตวู อ) ฮจั ญอี ะหมดั ปาลวู นั (ศษิ ยข์ องปะจูเยะห์ โต๊ะรายาฮัจญ)ี โต๊ะจือมา (ศิษย์ของฮจั ญีอบั ดุรเราะชดี บานา) ฮจั ญหี ะซนั เมาะโงล (ศษิ ยโ์ ตะ๊ จาเอาะ) โตะ๊ ดาลอ (ศษิ ยแ์ ละบตุ รเขยปะจเู ยะห์ โตะ๊ รายาฮจั ญ)ี ตวู นั ฆรู ฮู จั ญี อบั ดลุ ละฏฟี บนิ ฮจั ญี อบั ดลุ ลอฮฺ หรอื โตะ๊ สแต๗ อำ� เภอบาเจาะ จงั หวดั นราธวิ าส (ศษิ ยข์ องโตะ๊ ดกู แู ละโตะ๊ เซอมลู า ๗ สมั ภาษณ์ ดร. ดลวานะ ตาเยะ คณบดบี ัณฑติ วิทยาลยั . ส�ำนกั งานเลขานุการ. บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัย อิสลามยะลา วันที่ ๑๗ มนี าคม ๒๕๕๑ 51หลักสตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัติศาสตรท์ อ้ งถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้)
หรือโต๊ะอาเยาะฮฺมะตูวอ) ตูวันฆูรู หะยีสุหลง (ศิษย์ฮัจญีอับดุรเราะชีด บานา) ฮัจญีอับดุลมะญีด อึมบน (ศิษย์และบุตรของโต๊ะจาเอาะ) ฮัจญีอะหมัด บิน อับดุลวาฮับ อัล-ฟูซานนี (ศิษย์ฮัจญีอับดุรเราะชีด บานาและ โตะ๊ จาเอาะ) และฮจั ญอี ดิ รีส โต๊ะยง (ศษิ ยฮ์ ัจญอี ับดลุ ลอฮฺ บึนดังกเู จ) เป็นตน้ ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษท่ี ๒๐ ปาตานียังคงโดดเด่นในด้านการประสิทธ์ิประสาทวิชาความรู้เก่ียวกับ ศาสนาอิสลามผ่านระบบปอเนาะแบบดังเดิม อุละมาอฺปาตานีท่ีมีช่ือเสียงในยุคน้ี ได้แก่ ฮัจญีอับดุลลอฮฺ บือแนกือบง (ศิษย์โต๊ะบรือมินท่ี ๑) ฮัจญีอับดุรเราะหฺมาน บิน อะหมัด ปอเนาะพ่อม่ิง (ศิษย์โต๊ะบรือมินและ โตะ๊ เมาะโงล) ฮจั ญอี สิ มาอลี เซอมลู า (ศษิ ยโ์ ตะ๊ บรอื มนิ ) ฮจั ญวี นั มฮุ มั มดั บนิ วนั อบั ดลุ กอดริ หรอื โตะ๊ ครฮู จั ญมี ะดาแฆ นาประดู่ (ศษิ ยข์ องฮจั ญสี นิ กอื ราเซาะ (โตะ๊ นาฮทู ่ี ๔ หรอื โตะ๊ นาฮเู บยี รา) และโตะ๊ เมาะโงล) ฮจั ญี หเุ ซน็ กอื ราเซาะ (ศษิ ยโ์ ตะ๊ ดาลอและฮจั ญอี ะหมดั อลั -ฟซู านน)ี ฮจั ญอี บั ดลุ หะมดี นำ�้ บอ่ (ศษิ ยโ์ ตะ๊ ดาลอ) และตวู นั ฆรู บู าบอฮจั ญหี เุ ซน็ บนิ อะหมดั อัล-กาลูบี ศิษยแ์ ละบตุ รเขยโตะ๊ ดาลอ อดตี ประธานสภาอลุ ะมาอฟฺ ะฏอนยี ์ดารสุ สลาม เป็นตน้ จะเห็นได้ว่าอุละมาอฺและสถาบันปอเนาะมีบทบาทต่อสังคมมลายูปาตานีมานับตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้ง ราชอาณาจักรมลายูลังกาสุกะในราวต้นปีคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๒ กระทั่งมีราชอาณาจักรมลายูปาตานีดารุสสลาม เมอื่ ปีครสิ ตศ์ ตวรรษ ที่ ๑๕ เรอื่ ยมาจนถึงศตวรรษที่ ๒๐ ซ่งึ ตลอดระยะเวลาที่ผา่ นมานัน้ การเผยแผศ่ าสนาอิสลาม และการเรียนการสอนวิชาการอิสลามในแผ่นดินดารุสสลาม (ดินแดนแห่งสันติ) แห่งน้ียังคงมีมาอย่างต่อเน่ือง ไมเ่ คยหยดุ นงิ่ ชอื่ เสยี งของบรรดาอลุ ะมาอปฺ าตานที ลี่ งทา้ ยชอ่ื ดว้ ยคำ� วา่ อลั -ฟะฏอนยี ์ นนั้ ถอื เปน็ การประกาศศกั ดศิ์ รี และความรุ่งโรจน์ของปาตานีในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการศึกษาและการเผยแผ่ศาสนาอิสลามและเป็นกระจกเงา แห่งมักกะฮฺอยา่ งแท้จริง ความสำ� คญั จากบทที่ ๖ ๑. สถาบันศึกษาปาเนาะ คือ แหล่งเรียนรู้ท่ีคนมุสลิมในชุมชนและสังคมให้เป็นที่เรียนรู้วิชาการ ทางศาสนาอิสลามทั้งภาคความรู้และภาคปฎิบัติ เมื่อสามารถเรียนรู้จนมีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักความเชื่อและ หลักปฏิบัติทางศาสนาได้แล้ว หลายคนก็จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้น�ำทางศาสนาในท้องถิ่นของตน จงึ กลายเป็นผู้ที่ประชาชนใหก้ ารยอมรับ เชือ่ ถอื และยกยอ่ งใหเ้ ป็นผนู้ �ำชมุ ชนด้านศาสนาสบื ตอ่ ไป ผู้ท่ีส�ำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาปาเนาะหลายคนได้เดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมในแถบ ตะวนั ออกกลาง ซงึ่ เปน็ ถนิ่ กำ� เนดิ ของศาสนาอสิ ลาม หลายคนกลายเปน็ ผทู้ ร่ี ู้ ทม่ี คี วามเชยี่ วชาญจนไดร้ บั การยอมรบั ยกยอ่ งมากยง่ิ ขนึ้ จนเปน็ เหตใุ หค้ นในพน้ื ทน่ี ยิ มสง่ บตุ รหลานไปศกึ ษาตอ่ ประเทศอาหรบั มาตง้ั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ๒. ราชอาณาจักรปาตานีในอดีตได้รับการยอมรับว่ามีผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาระดับสูงและมีจ�ำนวนมาก จนมคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งถงึ กบั ไดร้ บั ขนานนามวา่ เปน็ “กระจกและระเบยี งของมกั กะฮ”ฺ ซง่ึ เปน็ ศนู ยก์ ลางทางศาสนา อสิ ลามของโลก ขอ้ คิดและบทเรียนท่ไี ด้รับจากประวัตศิ าสตร์ ๑. ความรู้และวิทยาการด้านต่าง ๆ ย่อมมีวิวัฒนาการมาจากการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ และยุคสมัยอยา่ งไมม่ ขี อบเขตและทีส่ ้ินสดุ ๒. กาลสมัย ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะเป็นปัจจัยชี้น�ำให้สังคมมนุษยชาติรู้ว่าต้องเรียนรู้เรื่องอะไร จากแหล่งใดในเวลาใด 52 หลกั สูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ อ้ งถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้
บทท่ี ๗ อุละมาอทฺ โี่ ดดเด่นของปตานี ๑. บทบาทของสถาบันปอเนาะและอลุ ะมาอฺของปตานี ราชอาณาจักรมลายูปตานีในอดีตถือเป็นแหล่งก�ำเนิดสถาบันการศึกษาปอเนาะและเป็นอู่อารยธรรม หรือศูนย์กลางด้านการศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (A. Teeuw and D.K. Wyatt, ๑๙๗๐ : ๔) โดยระบบการศึกษาศาสนาอิสลามระบบปอเนาะดั้งเดิมนั้นได้รับการสืบทอดจนถึงปัจจุบัน ทั้งน้ีสถาบันปอเนาะ ถือเป็นหนึ่งในลักษณะเด่นท่ีเป็นเอกลักษณ์ของปตานีดารุสสลาม จากอดีตจนถึงปัจจุบันน่ัน คือ อุลามะอฺ (ปรวงปราชญ์) กิตาบญาวี และสถาบันปอเนาะแบบด้ังเดิม ระบบการศึกษาของปอเนาะแบบดั้งเดิมนั้น เป็นการศึกษาแบบ “หะลาเกาะฮฺ” อันหมายถึงการจัดให้นักเรียน (โต๊ะปาเก) นั่งเรียนรวมกันเป็นวงกลมต่อหน้า โต๊ะครูผสู้ อนพรอ้ มกบั การอ่านต�ำราทเ่ี ปน็ ท้ังภาษาอาหรบั และภาษามลายู (อักษรญาว)ี บรรดานักเผยแผ่ศาสนาอิสลามที่เข้ามายังปตานีในยุคแรกๆ มาจากเมือง หะเฎาะเราะเมาตฺ (ประเทศเยเมน) อลุ ะมาอเฺ หลา่ นไี้ ดน้ ำ� หลกั ศรทั ธา (Aqidah) มซั ฮบั ชาฟอิ ยี แ์ ละแนวทางอะลซุ ซนุ นะฮฺ วลั -ญะมาอะฮฺ เขา้ มายงั แหลมมลายู จึงเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเหล่าอุละมาอฺปตานีในฐานะผู้สบื ทอดเจตนารมณ์ของทา่ น ศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมและเป็นผู้น�ำทางจิตวิญญาณของประชาชนในการทำ� หน้าท่ีตะเล็ม (สอน) และดะอฺวะฮฺ (เผยแผ่) อัล-อิสลามในภูมิภาคนี้ หากจะกล่าวโดยสรุปก็คือ อุละมาอฺและสถาบันปอเนาะ แบบดงั้ เดมิ เปน็ ปอ้ มปราการสำ� คญั ในการพทิ กั ษห์ ลกั ศรทั ธา (อะกดี ะฮ)ฺ ของแนวทางอะฮลฺ ซุ ซนุ นะฮฺ วลั -ญะมาอะฮฺ นับเปน็ การเริม่ ตน้ ของการใชร้ ะบบนบู ูวะฮ์ อซั ลยี ะฮ์ (ศาสาตร์วถิ แี ห่งศาสดามุฮัมมดั ซ.ล.) ในท่ีนจ้ี ะกล่าวถึงอลุ ะมาอฺทม่ี ชี ่ือเสียงของปตานี ๒ ทา่ น คอื ชัยคฺดาวุดบิน วันอับดุลลอฮฺ อัล-ฟะฏอนีย์ และชัยคฺวันอะหมัด บิน วันมุฮัมมัดซัยน์ อัล- ฟะฏอนีย์ ทั้งสองท่าน ถือก�ำเนิดขึ้นในยุคที่ห่างกันราว ๑๐๐ ปี ซ่ึงเชื่อว่าอาจเป็นการเปลี่ยนถ่ายอุละมาอฺของปตานี ครบ ๑ ศตวรรษ ตรงกับหะดษี บทหนึ่งของทา่ นนบมี ฮุ ัมมัด ศ็อลลลั ลอฮอุ ะลัยฮวิ ะสัลลมั ท่ีว่า ()إن الله يبعث لهذه الأمة على رأس كل مائة سنة من يجدد لها دينها ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺ จะให้มีนักฟื้นฟู (ตัจญฺดีด) กับอุมมะฮฺนี้ในทุกๆ ต้นศตวรรษ เพ่ือฟื้นฟู ในเร่ืองของศาสนา” (บันทึกโดยอบูดาวุด (๔๒๙๑) อิบนฺ อะดีย์ ใน : อัลกามิล ฟี อัลฎุอะฟาอฺ (๑/๒๐๕), อลั บานีย์ ในสลิ สิละฮฺ อลั ฎออฟี ะฮฺ (๕๙๙) ในศอเหย้ี ะห์อบูดาวดุ (๔๒๙๑) หะดษี ศอเห้ยี ะห์ (อัลบานีย์ : ศอเหีย้ ะห์ อบดู าวุด ๔๙๒๑)) 53หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถิ่นจังหวดั ชายแดนภาคใต)้
๑.๑ ชัยคฺ วนั ดาวุด บิน วันอบั ดุลลอฮฺ อลั -ฟะฏอนยี ์ ๑) ประวตั ิสงั เขป ท่านมีชื่อเต็มว่า อัล-อาลิม อัล-อัลลามะฮฺ อัล-อาริฟ อัรร๊อบบานีย์ ชัยคฺ วันดาวุด บิน ชัยคฺ วนั อบั ดลุ ลอฮฺ บนิ ซยั ยดิ อลั -ฟะฏอนยี ์ มารดาชอื่ นางวนั ฟาตมี ะฮฺ ซงึ่ เปน็ ชาวจำ� ปา (อดตี ตง้ั อยใู่ นประเทศเวยี ดนาม) ท่านเกิดที่หมู่บ้านปาเระ สุไหงกรือเซะ อ�ำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ ๑ มุฮัรรอม ฮ.ศ. ๑๑๘๓ ตรงกับ วันที่ ๗ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๗๖๙ / พ.ศ. ๒๓๑๒ ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าตากสินมหาราช และเสียชีวิต เมือ่ วันพฤหสั บดี ที่ ๒๒ รอ่ ญบั ฮ.ศ. ๑๒๖๓ ตรงกับวันที่ ๘ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๔๗ / พ.ศ. ๒๓๙๐ ณ เมอื งฏออฟิ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย สุสานของท่านต้ังอยู่ใกล้กับสุสานของอับดุลลอฮฺ บิน อับบาส ลูกพ่ีลูกน้องของ ทา่ นศาสดามุฮมั มัด ศ็อลลลั ลลอฮุอะลัยฮิวะสลั ลัม ชยั คดฺ าวดุ มพี น่ี อ้ งทง้ั หมด ๕ คน ดงั นี้ ๑) ชยั คดฺ าวดุ ๒) ชยั ควฺ นั อบั ดลุ กอดริ ๓) ชยั ควฺ นั อบั ดลุ รอชดี ๔) ชัยควฺ ันอิดริส ๕) นอ้ งสาว (ไมท่ ราบชอ่ื ) (Ismail Che Daud, ๑๙๘๘ : ๑๒ - ๑๘) ในวัยเด็ก ชัยคฺดาวุดเติบโตข้ึนในหมู่บ้านปาเระกรือเซะ เย็นวันหนึ่งมีอุละมาอฺชาวเยเมน ท่านหน่ึงได้เดินทางเข้ามายังหมู่บ้าน ขณะน้ันเด็กๆ ในหมู่บ้านก�ำลังเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน ชัยคฺจากเยเมน หยุดพัก เพ่ือดูการเล่นของเด็ก ท่านเหลือบไปเห็นเด็กคนหน่ึงที่ก�ำลังยืนดูเพื่อนๆ เล่น เขาจึงเข้าไปถามเด็กชาย คนดงั กลา่ ววา่ เหตใุ ดเขาถงึ ไมไ่ ปเลน่ กบั เพอื่ นๆ เดก็ นอ้ ยคนนนั้ อมยมิ้ และกม้ หนา้ ชยั คจฺ ากเยเมนทา่ นนน้ั ถามตอ่ วา่ เจ้าช่ืออะไร หนูน้อยตอบว่า ผมช่ือดาวุด บิน อับดุลลอฮฺ จากน้ันชัยคฺเยเมนก็เอามือลูบบนศรีษะพร้อมขอพร จากเอกองค์อัลลอฮฺ ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างรู้สึกฉงนกับส่ิงที่เกิดขึ้นและต่างสอบถามชัยคฺ ผู้นั้นว่า ท�ำไมท่านจึงสนใจในตัวดาวุดเป็นพิเศษ ชัยคฺท่านนั้นตอบว่า ข้าได้ขอพรจากอัลลอฮฺเพ่ือให้พระองค์ได้ให้ เด็กผู้ชายคนนี้เป็นดวงดาวจรัสแสง เป็นดวงจันทร์จรัสสี เป็นแสงอาทิตย์ท่ีส่องหล้า เป็นนักปราชญ์ใหญ่ แห่งแผ่นดินญาวี (คาบสมุทรมลายู) ชัยคฺวันมุฮัมมัดฮุเซน บิน อับดุลลาติฟ อัล-ฟะฏอนีย์ (โต๊ะกือลาบอ) เดิมเปน็ ชาวกะลาพอ จังหวดั ปัตตานี ได้กล่าวถงึ บา้ นเกดิ ชัยคฺดาวดุ เปน็ บทกวี ดังนี้ “Fathani yang masyhur Negeri Muallifnya Negerinya itu Kerisik yang hampir sungainya” หมายถงึ “ฟะฏอนยี ท์ เี่ กรยี งไกร คอื ชอ่ื มาตภุ มู ขิ องผแู้ ตง่ บา้ นกรอื เซะใกลแ้ มน่ ำ�้ นามถนิ่ เกดิ ” (H.W.M. Shaghir Abdullah ๑๙๙๐ : ๘๓) ๒) การศึกษา ทา่ นเรม่ิ ศกึ ษาวชิ าศาสนาอสิ ลามกบั ครอบครวั ของทา่ นทป่ี อเนาะกรอื เซะ โดยมที วดของทา่ น คอื ชัยคฺวันสนิก บิน ซัยยิดอะลี นูรุลอาลัม เป็นผู้สอน ทั้งน้ีชัยคฺวันสนิกเป็นผู้ก่อตั้งปอเนาะท่ีกรือเซะเม่ือราว ปี ค.ศ. ๑๕๕๐ / พ.ศ. ๒๐๙๓ ทา่ นเปน็ อุละมาอทฺ ม่ี ีชอ่ื เสยี งของปตานี ดารุสสลาม (H.W.M. Shagir Abdullah, ๑๙๙๙ : ๔๗) ต่อมาเมื่อชัยคฺดาวุดบรรลุศาสนภาวะแล้ว บิดาได้ส่งท่านไปศึกษาต่อท่ีปอเนาะพอเบาะ (ปัจจุบัน ตั้งอยู่ใน ต�ำบลกาหวะ อ�ำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี) ปอเนาะแห่งนี้ด�ำเนินการสอน โดยชัยคฺอับดุลเราะหฺมาน บิน มุบีน นับเป็นปอเนาะท่ีมีช่ือเสียงโด่งดังมากในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ มีอุละมาอฺนามอุโฆษ จากอินโดนีเซีย หลายท่านมาศึกษาที่น่ีก่อนจะเดินทางไปศึกษา ณ มหานครมักกะฮฺ เช่น ชัยคฺมุฮัมมัด อัรชาด อัลบันญารี ผู้แต่ง กิตาบฟิกฮฺที่โด่งดังช่ือ SABILA MUHTADI, ชัยคฺอับดุลซอมัด อัล-ฟาเล็มบานี ผู้แต่งกิตาบตะเศาวุฟ (อภิปรัชญา) SIYARUSSALIKIN และ HIDAYATUSSALIKIN และอีกท่านหนึ่งท่ีเป็นอุละมาอฺ ที่มีชื่อเสียงของปตานี น่ันคือ ชัยคฺวนั มุสเฏาะฟา บนึ ดังดายอ อลั -ฟะฏอนีย์ (บนึ ดงั ดายอปัจจบุ ันอยใู่ น ตำ� บลยะรัง อำ� เภอยะรงั จงั หวดั ปตั ตานี) 54 หลกั สูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถน่ิ จังหวดั ชายแดนภาคใต)้
ในระยะนั้นได้เกิดสงครามคร้ังใหญ่ ปตานีถูกโจมตีจากกองทัพสยาม ทั้งทางบกและทางเรือ ในเดือนกรกฎาคมถึงพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ปตานีพ่ายแพ้สงคราม สุลต่านมุฮัมมัด ดูวา ถูกยิงส้ินพระชนม์ ในสนามรบ (Mohd. Zamberi A. Malik, ๑๙๙๓ : ๙๖) จากเหตุสงครามคร้ังนี้ชัยคฺดาวุดและครอบครัวต้องอพยพล้ีภัยไปยังรัฐตรังกานู เมื่อเหตุการณ์ เข้าสู่ภาวะปกติ ครอบครัวของท่านได้ส่งชัยคฺดาวุดไปศึกษาต่อท่ีเมืองอาเจะห์ ดารุสสลาม ท่านศึกษาที่น่ัน เป็นเวลา ๒ ปี จากนั้นก็เดินทางไปศึกษาต่อ ณ มหานครมักกะฮฺ การเดินทางไปยังมหานครมักกะฮฺของท่านนั้น มกี วีแหง่ อาเจะห์ ท่ีชอื่ ชัยคดฺ าวดุ ซูนรู เนอรมู นุ อาเจะห์ ได้เขียนบทกวีเกยี่ วกบั ท่านวา่ “Tiga bulan dari Aceh lebih kurang Pelayaran kapal lalu menyeberang Bertiyub angin dari belakang Sampai ke Juddah laut yang tenang” ความว่า “ราวสามเดอื นจากอาเจะห์ ท่เี รือใบได้โลดแลน่ สายลมนำ� พาไปขา้ งหนา้ ถึงท่าเรือญิดดะฮฺอยา่ งปลอดภยั ” ชัยคฺดาวุดเดินทางไปยังมหานครมักกะฮฺด้วยเรือใบ ใช้เวลาในการเดินทางราว ๓ เดือน ทา่ นศกึ ษาในมหานครมกั กะฮเฺ ปน็ เวลา ๓๐ ปี จากนน้ั กไ็ ปศกึ ษาตอ่ ทมี่ หานครมาดนี ะฮอฺ กี ๕ ปี (Ismail Che Daud, ๑๙๘๘ : ๘) ท่านมีผลงานทางวิชาการมากมาย เท่าท่ีสามารถรวบรวมได้ในปัจจุบันมีจ�ำนวนท้ังสิ้น ๕๗ เล่ม มที ง้ั ทเ่ี ขยี นเปน็ ภาษาอาหรบั และภาษามลายอู กั ษรญาวี ไวม้ ากมายนบั รอ้ ยเลม่ เชน่ (H.W.M. Shaghir Abdullah : ๑๙๙๐, ๕๕ - ๕๗) ๑. Bughyatut Tullab บุฆยะตตุ ตลุ ลาบ ๒. As Shaiduwaz Zabaaih อซั ซยั ดุ วัซซะบาอฮิ ฺ ๓. Al Bahjatus Saniyah อลั -บะฮฺญะตุซซะนียะฮฺ ๔. Dhiyaaul Murid ดยิ าอลุ มุรดี ๕. Shifat Dua Puluh ซฟี ตั ๒๐ ๖. Terjemahan Bidayatul Bidayah ค�ำแปล : บิดายะตลุ บดิ ายะฮฺ ๗. Wasaya al Abrarwa Mawaiz al Akhyar วะศอยา อลั อบั รอรฺ วะ มะวาอซิ อลั -อัคยารฺ ๘. Manhalus Shafi มันฮะลซุ ศอฟี ๙. Bisyaratul Ikhwan บชิ าเราะตลุ อคิ วาน ๑๐. Qisah Nabi Yusuf Alaihis Salam ประวตั นิ บียซู ุป อะลัยฮิสสลาม 55หลักสตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถิน่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)
๑๑. Hikayat laki-laki yang Saleh ต�ำนาน บุรษุ ผูท้ รงธรรม ๑๒. Kaifiyat khatam al-Quran กยั ฟิยะตุลคอตัมอัล-กรุ อาน ๑๓. Muzakaratul Ikhwaan มุซฺากะเราะตลุ อิควาน ๑๔. Risaalatus Saail ริซาละตุซซาอิล ๑๕. Kifayatul Mubtadi กิฟายะตุล มบุ ตะดี ๑๖. Muqaddimat al Kubra มกุ ็อดดิมัตอลั -กบุ รอ ๑๗. Al QurbuilaIlah อลั -กรุ บุ อิลลั ลอฮฺ ๑๘. Kifayat al Jawiyat กฟิ ายัตอลั -ญาวยี าต ๑๙. Tanbih al Ghafilin ตนั บฮี ลุ ฆอฟิลีน (คำ� เตือนส�ำหรับผูห้ ลงลมื ) ๒๐. Jinayat al Taktub ญนิ ายตั อลั -ตักตบุ ๒๑. Ta’ alluq bi Kalimat al Iman ตะอลั ลกุ บิ กะลมี าตอัล-อีมาน ๒๒. Kaifiat Salat Tarawih กยั ฟยิ ตั เศาะลาต ตะรอวีฮฺ ๒๓. Risalah tentang kelebihan Basmalah คู่มือ : คุณค่าของการใช้พระนามของอัลลอฮฺ (บิสมิลละฮ) ๒๔. Risalah kelebihan Hamdalah คู่มือ : คณุ ค่าของการสรรเสริญอลั ลอฮฺ (อลั ฮัมดลุ ลิ ละฮฺ) ๒๕. Risalah jawab persoalan คู่มอื ถาม-ตอบ ๒๖. Kifayat al Muhtaj กฟิ ายะตลุ มฮุ ฺตาจญฺ ๒๗. Idah al Bab อิฎอฮุลอัล-บาบ ๒๘. Nahju al Raghibin นะหญฺ ลุ รอฆบิ นี ๒๙. Ghayat al Taqrib ฆอยะตตุ ตักรบี ๓๐. Bulugh al Maram บลุ ูฆุลมรั รอม ๓๑. Ghayat al Maram ฆอยะตุลมรั รอม ๓๒. Al Dur al Thamin อัดดุรุซษะมีน ๓๓. Tuhfat al Raghibin II ตหุ ฺฟะตุรรอฆิบนี II ๓๔. Nahju al Raghibin II นะหฺญลุ รอฆบิ ีน II ๓๕. Masau waddah มะซาอวุ ดั ดะฮฺ ๓๖. Kasyful Ghummah กัชฟุลฆุมมะฮฺ ๓๗. Jam’ul Fawaaid ญัมอลุ ฟะวาอิด ๓๘. Minhajul ‘Abidiin มนิ ฮาญุล อาบิดีน ๓๙. Kanzul Minan กนั ซลุ มนิ ัน ๔๐. Munyatul Musyalli มนุ ยะตลุ มศุ อ็ ลลี 56 หลักสูตรสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตร์ท้องถ่นิ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)
๔๑. Hidayatul Muta’allim ฮดิ ายะตุล มุตะอัลลิม (ทางนำ� สำ� หรับผแู้ สวงหาความรู้) ๔๒. ‘Aqidat al Jawahir อะกดี ะตลุ ญะวาฮิร ๔๓. Fat-Hul Mannan ฟัตฮุล มนั นาน ๔๔. Jawaahirus Saniyah ญะวาฮริ ซุ ซานียะฮฺ ๔๕. Sullamul Mubtadi ซลุ ละมลุ มบุ ตะดี ๔๖. Furuu’ul Masaail ฟุรอู ลุ มะซาอลิ ๔๗. Bahjatul Mardhiyyah บะฮญฺ ะตุลมรั ดียะฮฺ ๔๘. Al Bahjatul Wardhiyah อัล-บะฮญฺ ะตุลวัรดยี ะฮฺ ๔๙. Matnu Hikam li al ‘Allamah Ibni Ruslan มตั นุลฮิกมั ลิ อัล-อัลลามะฮฺ อบิ นิ รสุ ลนั ๕๐. Al-Tanbih อตั -ตันบฮี ฺ ๕๑. Fawaidul Fikri Imamil Mahdi ฟะวาอดิ ุล ฟิกริ อิมามลิ มะฮดฺ ี ๕๒. Qismuz Zakati Bainal Asnaf กิซมุซ ซะกาติ บัยนลั อซั นาฟ ๕๓. Risalah Syathariyah wa Samaniyah รีซาละฮฺชะฏอรียะฮฺ วะ ษะมะนยี ะฮฺ ๕๔. Fatwa Berjual Beli dengan Kafir ฟตั วาการซ้ือขายกบั คนตา่ งศาสนิก ๕๕. Hukum Haid dan Istihadhah หลักการเกยี่ วกบั ประจ�ำเดือนและเลือดเสยี ๕๖. Nubzah fi Bayan Syurutil Jumu’ah นุบซะฮฟฺ บี ะยาน ชรุ ตู ิล ญุมุอะฮฺ ๕๗. Ta’liqul Latif ตะอลฺ ีกุล ละฏีฟ ๕๘. Dan lain-lain dalam peringkat penyelidikan และอีกหลายเล่มที่ก�ำลงั สืบคน้ อยู่ .......................(น่าจะยกตัวอย่างทเี่ ดน่ สกั ๔ - ๕ เลม่ )......................... ชยั คมฺ ฮุ มั มดั นูร บนิ ชยั คมฺ ฮุ ัมมดั เศาะฆรี อลั -ฟะฏอนีย์ (ค.ศ. ๑๘๗๓ - ๑๙๔๔) ผมู้ ศี ักดเิ์ ปน็ หลานของ ชยั คดฺ าวดุ อัล-ฟะฏอนีย์ ภาพอ้างอิงจาก HJ WAN MOHD SHAGHIR ABDULLAH. ๒๐๐๙ : ๖๒ Koleksi Ulama Nusantara (JILID ๒) 57หลกั สตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตร์ท้องถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้
บาลายปอเนาะโมะโงล ปจั จบุ นั ตำ� บลถนน อ�ำเภอมายอ จงั หวดั ปัตตานี ภาพอา้ งองิ จาก Hasan Madmarn. ๒๐๐๑. Pondok dan Madrasah di Patani ๓) ความภาคภมู ิใจของชัยคดฺ าวุด อลั -ฟะฏอนยี ์ หลังจากท่ีชัยคฺดาวุด อัล-ฟะฏอนีย์ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในมหานครมักกะฮฺเป็นเวลาหลายสิบปี ท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครองมหานครมักกะฮฺซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลออตโตมัน ตุรกี (ระบอบ การปกครองแบบเคาะลีฟะฮฺระบอบสุดท้ายที่ปกครองประเทศในแถบคาบสมุทรอารเบียในขณะน้ัน) ให้เป็น ครผู สู้ อนวชิ าศาสนาทม่ี สั ยดิ อลั -หะรอม ทา่ นไดร้ บั สมญานามวา่ “อลั -อาลมิ อลั -อลั ลามะฮฺ อลั -อารฟิ อรั รอ็ บบานยี ”์ แปลว่า อุละมาอฺผู้มีความรู้ยิ่ง เป็นผู้ใกล้ชิดและภักดีต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติ และการยอมรับที่รัฐบาลออตโตมันมีต่อท่าน ชัยคฺดาวุดเป็นอุละมาอฺหนึ่งเดียวจากนูซันตารา๑ มลายูรายา (เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต)้ ทไี่ ดร้ บั การขนานนามวา่ “อรั รอ็ บบานยี ”์ (H.W.M. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๗ : ๑๐๖) นอกจากน้ีแล้ว ชัยคฺดาวุดยังได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลออตโตมัน ตุรกี ให้ด�ำรงต�ำแหน่งหัวหน้าคณะ ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์หรืออะมีรุลฮัจญ์ นับได้ว่าท่านเป็นชาวมลายูคนแรกที่ได้รับต�ำแหน่งท่ีมีเกียรติน้ี (H.W.M. Shaghir Abdullah, ๑๙๘๗ : ๓๐) ชัยคฺดาวุดเป็นอุละมาอฺท่ีมีจิตส�ำนึกรักบ้านเกิดเมืองนอน แม้ท่านจะอยู่ในแดนไกล แต่ท่านก็ร�ำลึกถึง มาตภุ ูมอิ ยเู่ สมอ ทา่ นมีความหว่ งใยตอ่ ลูกหลานชาวมลายปู ตานีว่าอาจจะลมื ประวตั ศิ าสตร์ความเป็นมาของตนเอง และบรรพบุรุษ ท่านจึงได้คัดลอกและเรียบเรียง “ตารีคปตานี” (ประวัติศาสตร์ปตานี) ที่เขียนโดย เมาละนา ฟากิฮฺ อะลยี ์ บนิ มฮุ ัมมดั บนิ ชยั คฺเศาะฟยี ดุ ดีน อัล-ฟะฏอนีย์ ในปี ค.ศ. ๑๕๐๐ ชัยคดฺ าวุดได้ทำ� การคัดลอดใหม่ ใน ค.ศ. ๑๘๑๓ ต่อมา ชะอฺรอนีย์ บิน ฮัจญีอับดุลลอฮฺ อะหมัด บิน ฮัจญีเราะอูฟ เญอรีงอ และอาจารย์เสนีย์ มะดากะกลุ ไดค้ ัดลอกใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. ๑๙๖๘/ พ.ศ. ๒๕๑๑ ใน “ตารีคปาตาน”ี ๒ ๑ นูซัน แปลว่า หมเู่ กาะ, ตารา มาจากค�ำวา่ อนั ตารา หมายถึง ระหว่างหมู่เกาะต่างๆ ๒ คดั ลอกใหม่โดย : Almarhum Hj.SyaRani Bin Hj.Abdullah Ahmad Bin Abdurrauf Jeringa (อ.เสนยี ์ มะดากะกุล) เมื่อ ค.ศ. ๑๙๖๘/พ.ศ. ๒๕๑๑ 58 หลักสูตรสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้
เน้ือหาในหนังสือ “ตารีคปตานี” ถือเป็นองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ปัตตานีที่มีความชัดเจน และครอบคลุม แสดงหลักฐานท่ีเช่ือมโยงกันของอาณาจักรมลายูลังกาสุกะและปตานี ดารุสสลาม จุดเริ่มต้น ของการเผยแผ่ศาสนาในภูมิภาคน้ี เริ่มขึ้นหลังการเข้ามาของนักเผยแผ่ศาสนาชาวอินเดีย คือ พราหมณ์ ฮินดู และพุทธ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อคาบสมุทรมลายูในขณะนั้น นอกจากน้ีแล้วมีการเผยแผ่ศาสนายูดาย คริสต์ และโซโรแอสเตอร์ (ลัทธิบูชาไฟจากเปอร์เซีย) ด้วยเช่นกัน ต่อมาศาสนาอิสลามก็เข้ามายังลังกาสุกะ ชาวมลายู ลังกาสุกะได้หันมาเปล่ียนรับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่ง “ตารีคปตานี” ระบุว่า ประชากรลังกาสุกะมีทั้งที่เป็น ชาวมลายมู สุ ลิมและมลายูพุทธ สลุ ตา่ นมฮุ มั มดั เศาะฟยี ดุ ดนี แหง่ ซมั บสั เปน็ หนงึ่ ในศษิ ยข์ องชยั คดฺ าวดุ ทมี่ หานครมกั กะฮฺ เมอื่ ครง้ั พระองค์ ทรงขน้ึ ครองราชย์ พระองคใ์ หเ้ ชญิ ชยั คดฺ าวดุ ใหก้ ลบั มารว่ มพธิ เี ฉลมิ ฉลองการขนึ้ ครองราชยข์ องพระองคท์ เ่ี มอื งซมั บสั เกาะชวา (ปัจจุบันคือ ประเทศอินโดยนีเซีย) ชัยคฺดาวุดตอบรับค�ำเชิญและเดินทางกลับมาร่วมพิธีส�ำคัญนี้ ในปี ค.ศ. ๑๘๒๐ / พ.ศ. ๒๓๖๓ (Ismail Che Daud, ๒๐๐๒ : ๓๐) ในการนี้ชัยคฺดาวุดไดม้ อบตาบเขยี นมือของ ท่านใหก้ ับ Hj. Abdus Shamad อิหมา่ มใหญ่ ณ เมืองซัมบัส (H.W.M. Shaghir Abdullah ๒๐๐๐ : ๑๐)๓ พ.ศ. ๒๓๒๙ ปตานตี กอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของสยามเปน็ ครงั้ แรก ชาวปตานจี ำ� นวนมากพากนั อพยพไป หาท่ีอยู่ในเมืองต่างๆ ของรัฐมลายูใกล้เคียง ครอบครัวของชัยคฺดาวุดได้อพยพไปยังรัฐตรังกานู (กัมปง Pulau Duyung Kecil) จากเหตุการณ์ดังกล่าวชัยคฺดาวุดตัดสินใจเดินทางกลับสู่มาตุภูมิเพ่ือปลดปล่อยปตานี จากสยาม ท่านเดนิ ทางกลบั พร้อมกับสหายรกั ของทา่ นคอื ชัยคฺอบั ดุซเศาะมัด อัล-ฟะเลม็ บานี ในปี ค.ศ. ๑๘๓๒ / พ.ศ. ๒๓๗๕ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ บรรดาสุลต่านในรัฐเคดาห์ ตรังกานู กลันตนั และปตานรี ่วมกนั ต่อตา้ นสยาม แต่ฝา่ ยสยามไดร้ บั ชยั ชนะในสงครามครงั้ น้ีอกี ชยั คดฺ าวดุ เดินทาง กลบั มหานครมกั กะฮอฺ กี ครงั้ ในขณะทช่ี ยั คอฺ บั ดซุ เศาะมดั ไดเ้ สยี ชวี ติ (ชะฮดี ) ในสงคราม (ศพของทา่ นถกู ฝงั ทบ่ี รเิ วณ บ้านตรับ ต�ำบลจะโหนง อ�ำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา) ทั้งนี้ H.W.M. Shaghir Abdullah ผู้เช่ียวชาญ ดา้ นประวตั ิศาสตรท์ ีโ่ ดง่ ดงั ชาวอนิ โดนเี ซีย เชอ้ื สายปตานี ได้กล่าวสดดุ วี รี กรรม ความกล้าหาญและความเสียสละ ของชัยคฺอับดุซเศาะมัด อัล-ฟะเล็มบานี ว่าท่านคือ อุละมาอฺศูฟีย์แห่งโลกมลายูผู้มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพล การเสียชีวิตชะฮีดในสงครามศาสนาของท่านได้สร้างปรากฏการณ์ในวงการนักการศาสนาหรือศูฟีย์ (ปราชญ์ทาง อภิปรัชญา) ว่าท่ีจริงแล้วบรรดาศูฟีย์มิได้ละเลยต่อการญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ) แต่อย่างใด (สังคมส่วนใหญ่เข้าใจกันว่า บรรดานักศูฟีย์ทั้งหลายจะจ�ำกัดตนเอง มีความเป็นอยู่อย่างปลีกวิเวก สันโดษ มุง่ มนั่ ปฏิบัตธิ รรมต่อพระผู้เปน็ เจ้าเพียงอย่างเดยี ว ไมส่ นใจความเป็นไปทางสงั คม สาธารณะและพนั ธกจิ ทางโลก) ๑.๒ ชยั ควฺ ันอะหมัด อลั -ฟะฏอนีย์ ๑) ประวตั ิสังเขป ชยั ควฺ นั อะหมดั บนิ วนั มฮุ มั มดั ซยั นฺ บนิ วนั มสุ เฏาะฟา บนิ วนั มฮุ มั มดั อลั -ฟะฏอนยี ์ เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี ๕ เดือนชะอฺบาน ฮ.ศ. ๑๒๗๒ ตรงกับ ๑๐ เมษายน ๒๓๙๙ ณ บ้านริมแม่น�้ำยามู อ�ำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เปน็ ปเี ดยี วกนั กบั ทสี่ ลุ ตา่ นมฮุ มั มดั (เตง็ กบู อื ซารฺ เชอ้ื สายเจา้ เมอื งกลนั ตนั )สลุ ตา่ นองคแ์ รกของพระราชวงั จะบงั ตกิ อ ปตานสี นิ้ พระชนม์ ชยั ควฺ นั อะหมดั ใชช้ วี ติ วยั เดก็ ทบี่ า้ นเกดิ เพยี งไมน่ าน เมอื่ อายไุ ด้ ๔ ขวบ ทา่ นกร็ ว่ มเดนิ ทางพรอ้ ม กับบิดา และมารดาไปพ�ำนกั ยังมหานครมักกะฮฺ (Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๒ : ๑๒ - ๑๕) ๓ Penyebaran Islam & Silsilah Ulama Sejagat Dunia Melayu Jilid ๑๐ 59หลกั สูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตรท์ อ้ งถน่ิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้
บนั ทกึ หลายเลม่ ไดก้ ลา่ วถงึ ชอ่ื ทางการของชยั ควฺ นั อะหมดั อลั - ฟะฏอนยี ์ คอื อลั -อาลมิ อลั -อลั ลามะฮฺ อัซ-ซฺากีย์ ชัยคฺอะหมัด บิน มุฮัมมัดซัยนฺ บิน มุสเฏาะฟา อัล-ฟะฏอนีย์ (Hj.Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๐ : ๓๓) ทา่ นเปน็ ทรี่ จู้ กั ในนามโตะ๊ ฟะรดี ะฮฺ ตามชอ่ื หนงั สอื ทท่ี า่ นเขยี นนน่ั คอื “กติ าบฟะรดี ะฮ”ฺ ซง่ึ เปน็ ตำ� รา ทมี่ ีอิทธิพลและมีช่ือเสียง ถกู ใชอ้ ยา่ งแพร่หลายในสถาบนั ปอเนาะของ คาบสมทุ รมลายู วนั มฮุ มั มดั เศาะฆรี อบั ดลุ ลอฮฺ (๑๙๙๐ : ๓๔ - ๓๕) ไดใ้ หข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั ครอบครวั ของชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ วา่ บดิ าของทา่ น ชอื่ วา่ ชยั ควฺ นั มฮุ มั มดั ไซนลั อาบดิ นี ตอ่ มาไดเ้ ปลยี่ นชอ่ื เปน็ วนั มฮุ มั มดั ซยั นฺ อลั -ฟะฏอนยี ์ เกดิ เมอ่ื ปี ฮ.ค. ๑๒๓๓ (ค.ศ. ๑๘๑๗/ พ.ศ. ๒๓๖๐) ทปี่ อเนาะสะนอญนั ญารฺ ปตานี ดารสุ สลาม ดา้ นมารดาของทา่ น มชี ื่อว่า วนั จิ บนิ ติ วนั มุฮมั มัดศอลิหฺ อลั - ฟะฏอนยี ์ บิน วันอบั ดลุ ละฏฟี หรอื วนั เตะ๊ ฮฺ เคยดำ� รงตำ� แหน่งรฐั มนตรี กลาโหมของปตานี ดารสุ สลาม ปู่ของชัยคฺวันอะหมัด คือ ชัยคฺวันมุสเฏาะฟาบิน มุฮัมมัด บิน มุฮัมมัดซัยนฺ บิน ลือบัยวันมูซา อัล-ฟะฏอนีย์ หรืออีกช่ือเรียกหน่ึง คือ เปาะอันญังวันปา ท้ังน้ีมุฮัมมัดเศาะฆีร อับดุลลอฮฺ (๒๐๐๐ : ๕)๔ ได้ระบุ เพิ่มเติมว่า ชัยคฺวันมุสเฏาะฟาน้ันเคยด�ำรงต�ำแหน่งแม่ทัพของสุลต่านแห่งปตานี (สุลต่านตวนสุหลง) ท่านเป็น ผู้ที่น�ำพันธุ์ยางพาราเข้ามาปลูกในปตานีเป็นคนแรก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๖๐/ ค.ศ. ๑๘๑๗ ท่านได้เปิดปอเนาะ บึนดังดายอ จนได้รับการขนานนามว่า “โต๊ะบึนดังดายอท่ี ๑” สุสานของท่านอยู่ท่ีบ้านบึนดังดายอ หมู่ท่ี ๑ ตำ� บลสะนอ อำ� เภอยะรงั จังหวดั ปัตตานี ใกล้ๆ กบั บอ่ น�ำ้ ลยั ละตลุ เกาะดรั ดา้ นอสิ มาอลี เจะ๊ ดาวดุ (๑๙๘๘ : ๕๕ - ๕๖) ไดก้ ลา่ วถงึ เชอ้ื สายและวงศต์ ระกลู ของชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนีย์ วา่ “ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ เป็นทายาทผู้สืบเช้ือสายจากนักเผยแผ่อิสลามท่ี เดินทางมาจาก หะเฏาะเราะเมาตฺ ประเทศเยเมน กล่าวกันว่าต้นตระกูลของชัยคฺวันอะหมัดมีเช้ือสาย มาจากไซยิดินา อับบาส อิบนุ อับดุลมุฏเฏาะลิบ ซ่ึงเป็นอาของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และเคาะลฟี ะฮฺ ไซยิดนิ าอษุ มาน บนิ อฟั ฟาน” ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ได้รับการศึกษาในระยะแรกจากบิดาของท่านเอง หลังจากนั้น กไ็ ด้ศกึ ษากับอาของทา่ น คอื ชัยคฺวันอบั ดุลกอดิร หรือ ทรี่ ูจ้ กั กันในนาม “โตะ๊ บึนดังดายอที่ ๒” ซ่งึ เป็นโต๊ะครูที่ได้ รบั ความเชอื่ ถอื จากชาวปตานเี ปน็ อยา่ งมากในชว่ งกลางครสิ ตศ์ ตวรรษ ท่ี ๑๙ (Ismail Che Daud, ๑๙๘๘ : ๑๒๘) หลงั จากทที่ า่ นไดศ้ กึ ษาทม่ี หานครมกั กะฮแฺ ลว้ ชยั ควฺ นั อะหมดั ไดเ้ ดนิ ทางไปศกึ ษาตอ่ ทเ่ี มอื งเยรซู าเลม็ ประเทศปาเลสไตน์ การเดินทางเป็นไปด้วยความยากล�ำบาก ท่านจ�ำเป็นต้องดื่มน้�ำปัสสาวะของตนเอง เพราะ ขาดน้�ำดื่ม เม่ือถึงเยรูซาเล็ม ท่านเข้าเรียนวิชาการแพทย์ ท่านได้รับการบันทึกไว้ว่าเป็นชาวมลายูคนแรก ทีเ่ รยี นวชิ าการแพทย์ ชยั ควฺ นั อะหมัดได้แตง่ ต�ำราวิชาการแพทย์ที่ช่อื “Tayyib al - Ihsan fi Thibbil Insan” นอกจากศาสตรด์ า้ นการแพทยแ์ ลว้ ทา่ นยงั เรยี นวชิ าดา้ นศาสนาอสิ ลามดว้ ย ทา่ นเปน็ สหายกบั ไซยดิ ยซู ฟุ อนั นบั ฮานี เจา้ ของหนงั สือ อลั -อนั วารลุ มฮุ มั มะดยี ะฮฺ ๔ Penyebaran Islam & Silsilah Ulama Sejagat Dunia Melayu Jilid ๑๑ 60 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัติศาสตรท์ อ้ งถ่ินจังหวัดชายแดนภาคใต้)
ครั้นเม่ือชัยควฺ ันอะหมดั เดนิ ทางกลับไปยังมหานครมักกะฮฺ บิดาและมารดาของท่านกร็ สู้ กึ แปลกใจ ท่ีเห็นบุตรชายมุ่งสนใจแต่วิชาการแพทย์และการผลิตยา ไม่ปรากฏวี่แววว่าชัยคฺวันอะหมัดจะปฏิบัติตนเป็น อลุ ะมาอฺ เปน็ เหตใุ หบ้ ดิ าของทา่ นตอ้ งรอ้ งไห้ หลงั จากเหตกุ ารณค์ รง้ั นนั้ ชยั ควฺ นั อะหมดั ตดั สนิ ใจเดนิ ทางไปศกึ ษาตอ่ ด้านศาสนาอิสลามอย่างจริงจัง ณ กรุงไคโร ประเทศอียิบต์ เพราะท่านทราบดีว่า ที่นั่นเป็นศูนย์กลางความรู้ ดา้ นอสิ ลาม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ชอ่ื เสยี งและเกยี รตภิ มู ขิ องมหาวทิ ยาลยั อลั -อซั ฮรั ซง่ึ เปน็ มหาวทิ ยาลยั ทเ่ี กา่ แกท่ สี่ ดุ ของโลกอิสลาม ก่อนออกเดินทางท่านได้กล่าวแก่บิดา มารดาและครอบครัวของท่านว่า “ลูกจะใช้เส้ือผ้าเพียง สองตัวและจะไม่ผกู ผา้ ซอื รอื บ่นั (ผา้ พันศรี ษะ) ทมี่ ีหางยาวเหมือนอุละมาอปฺ ตานี หากลูกศึกษาไม่ส�ำเรจ็ ” ท่านเดินทางไปยังอียิปต์ด้วยการเดินเท้า เม่ือถึงแม่น้�ำไนล์ ท่านทูนพระมหาคัมภีร์อัล-กรุอาน ไวบ้ นศรษี ะ จากนน้ั จงึ วา่ ยนำ้� ขา้ มแมน่ ำ�้ ไนลไ์ ป ขณะศกึ ษาอยทู่ ม่ี หาวทิ ยาลยั อลั - อซั ฮรั นน้ั ทา่ นใชช้ วี ติ อยา่ งเรยี บงา่ ย ซักเสื้อผ้าทุกๆ ๒ วัน สวมใส่เส้ือผ้าและโสร่งท่ีน�ำติดตัวมาจนจบการศึกษา ด้านอาหารการกิน ท่านรับประทาน โรตีแห้งวันละ ๔ แผ่น ทานเป็นอาหารกลางวัน ๒ แผ่น และอีก ๒ แผ่น ท่านทานในตอนกลางคืน ท่านมักจะ แบ่งโรตีให้กับนักศึกษาท่ียากจนคนอ่ืนๆ ว่ากันว่าโรตีที่ท่านได้รับทุกวันน้ันเป็นโรตีที่บรรดาลูกศิษย์ที่มาเรียนกับ ทา่ นในมสั ยิดอลั -อซั ฮัรนำ� มามอบให้ ชัยคฺวนั อะหมัด อลั -ฟะฏอนยี ์ นบั เป็นชาวเอเชียอาคเนยค์ นแรกทม่ี โี อกาสเรยี นต่อในประเทศอียิปต์ เมอ่ื สำ� เรจ็ การศกึ ษาทา่ นไดเ้ ดนิ ทางกลบั ไปยงั มหานครมกั กะฮเฺ พอ่ื สอนวชิ าศาสนาและแตง่ ตำ� รา ตอ่ มาลกู ศษิ ยข์ อง ทา่ นหลายคนกไ็ ดไ้ ปศกึ ษาตอ่ ยงั ประเทศอยี ปิ ตเ์ ชน่ กนั (Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๒๐๐๕ : ๔๒ - ๔๔)๕ ๒) ชวี ติ ครอบครวั หนังสือ Fatawa tengtang Binatang Hidup Dua Alam ของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ซงึ่ เรยี บเรยี งใหมโ่ ดยวนั มฮุ มั มดั เศาะฆรี อบั ดลุ ลอฮฺ (๑๙๙๐ : ๕๓) ไดร้ ะบเุ กย่ี วกบั ชวี ติ ครอบครวั ของ ชยั ควฺ นั อะหมดั อัล-ฟะฏอนยี ์ว่า ชยั คฺวนั อะหมัด อลั -ฟะฏอนยี ์ ผา่ นการสมรส ๒ คร้ัง ครัง้ แรกสมรสกับ นางวนั กัลซูม บนิ ติ ฮัจญี วนั อสิ มาอีล ชาวหมูบ่ า้ นกรอื เซะ ปตานี มีบตุ รและธดิ า ๒ คน คือ ๑) ฮัจญวี ันอิสมาอีล ฮัจญีวันอิสมาอีล สัสดีพันธ์ เป็นอดีตดาโต๊ะยุติธรรมจังหวัดปัตตานี ถึงแก่กรรมที่ บ้านยามู อ�ำเอภยะหร่ิง จังหวัดปัตตานี เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐/ค.ศ. ๑๙๕๗ มีบุตรธดิ า ๘ คน คอื ๑) ฮัจญะฮฺวันอาอิชะฮฺ สมรสกับฮัจญีวันอิสมาอีล บิน หาวัน อดีตดาโต๊ะยุติธรรมจังหวัดยะลา และเบตง มบี ุตรชอ่ื ดาโตะ๊ อะซีซ เบญ็ หาวัน ๒) ฮจั ญะฮวฺ ันกลั ซูม ๓) ฮจั ญะฮฺวันนะฟซี ะฮฺ ๔) ฮัจญะฮวฺ นั ไซนับ ๕) วนั มุสเฏาะฟา (พ.ต.อ. ประเสรฐิ สัสดีพนั ธ)์ ๖) วนั อบั ดรุ เราะชดี ๗) วันฟารดี ะฮฺ ๘) วนั เฟาซยี ะฮฺ ๕ Syeikh Ahmad al-Fathani Pemikir Agung Melayu dan Islam Jilid ๑ 61หลักสตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถนิ่ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้
๒) ฮัจญะฮฺวันฟาฏมิ ะฮฺ ท่านสมรสกับฮัจญีมุฮัมมัดนูรฺ บิน ชัยคฺวันอับดุลละฏีฟ อัล-ฟะฏอนีย์ (ปอเนาะท่าอิฐ) มีธิดาช่ือ ฮจั ญะฮวฺ นั นะฟีซะฮฺ สมรสกับตวู ันฆูรู ฮจั ญอี ะหมดั ปอเนาะเซอรเี ดะ ต.สะดาวา อ.ยะรัง จ.ปตั ตานี ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ สมรสครั้งที่ ๒ กับ ฮัจญะฮฺซีตีเซาดะฮฺ บินติ ชัยคฺอับดุลลอฮฺ ซ่ึงเป็นหลานสาวของชัยคฺมุฮัมมัด บิน อิสมาอีล อัด-ดาวุดีย์ อัล-ฟะฏอนีย์ (ชัยคฺนิกมัต กือจิ อัล-ฟะฏอนีย์) มบี ตุ รธดิ า ๔ คน คอื ๑) ฮัจญะฮฺวนั ไซนบั (มารดาของ ฮจั ญวี นั มฮุ ัมมดั เศาะฆรี บิน อบั ดลุ ลอฮ)ฺ ท่านสมรสกับฮัจญีวันอับดุลลอฮฺ บิน ฮัจญีวันอับดุรเราะหฺมาน (เดิมเป็นชาวยะโฮร์/ริเยา) มบี ตุ รและธดิ า ๑๒ คน (Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๐ : ๕๓) หนงึ่ ในนน้ั คอื ฮจั ญวี นั มฮุ มั มดั เศาะฆรี บนิ อบั ดลุ ลอฮฺ นกั เขยี นทม่ี ชี อื่ เสยี งโดง่ ดงั และผบู้ กุ เบกิ การเขยี นชวี ประวตั ขิ องอลุ ะมาอใฺ นเอเชยี อาคเนย์ ซง่ึ ทา่ นได้ เรมิ่ งานดา้ นน้ี ตง้ั แตอ่ ายุ ๑๒ ปี (สมั ภาษณ์ ฮจั ญวี นั มฮุ มั มดั เศาะฆรี บนิ อบั ดลุ ลอฮฺ วนั ที่ ๓๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๕) ๒) วนั นะฟีซะฮฺ ๓) วนั มฮุ มั มดั ศอลิหฺ ๔) วันมฮุ มั มัดนูร นอกจากน้ีวันมุฮัมมัดเศาะฆีร อับดุลลอฮฺ (๑๙๙๐ : ๕๕ - ๕๙) ได้บอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล ในครอบครัวของชัยคฺวนั อะหมัด อลั -ฟะฏอนีย์ สรุปได้ ดังน้ี ๑. ชัยควฺ ันมฮุ ัมมัดซยั นฺ บิน วนั มสุ เฏาะฟา บิดาของชัยคฺวนั อะหมดั อัล-ฟะฏอนีย์ สอนหนงั สือ ในมสั ยิดอัล-หะรอม มหานครมกั กะฮฺ ๒. ชัยคฺวนั อับดุลกอดิร บิน วันมสุ เฏาะฟา (โตะ๊ บึนดงั ดายอที่ ๒) ท่านมศี กั ด์ิเป็นอาของชัยควฺ ัน อะหมัด ท่านอุละมาอฺแห่งปอเนาะบึนดังดายอ ซ่ึงเป็นปอเนาะที่มีนักเรียนจากเอเชียอาคเนย์มาศึกษาเป็น จำ� นวนมาก ชัยคฺวนั อับดลุ กอดิร (โตะ๊ บนึ ดังดายอท่ี ๒) มที ายาทที่เปน็ อลุ ะมาอฺ ดงั น้ี ๑) ชยั ควฺ นั อสิ มาอลี บนิ วนั อบั ดลุ กอดริ (โตะ๊ บนึ ดงั ดายอท่ี ๒) อลั -ฟะฏอนยี ์ (ค.ศ. ๑๘๘๒ - ๑๙๖๕/ พ.ศ. ๒๔๒๕ - ๒๕๐๘) หรอื ปะดอแอมกั กะฮฺ สอนหนังสอื ที่มัสยดิ อัล-หะรอม มหานครมักกะฮฺยาวนานถงึ ๕๐ ปี ท่านเป็นพ่อตาของโต๊ะครูฮัจญีอับดุรเราะหฺมาน บิน อะหมัด (โต๊ะพ่อม่ิง) อ�ำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี โดยทา่ นไดแ้ ตง่ กิตาบชอ่ื “บะกเู ราะฮฺ อัล-อะมานีย์” ๒) ชัยคฺวันอิบรอฮีม บิน วันอับดุลกอดิร (โต๊ะบึนดังดายอที่ ๒) หรือ ปะจูเฮง เปิดปอเนาะ ที่บ้านฆาเญาะฮฺมาตี ปึนดัง รัฐเคดาห์ มาเลเซีย ลูกศิษย์ท่ีมีช่ือเสียง คือ ชัยคฺอับดุลกอดิร บิน อับดุลมุฏเฏาะลิบ อลั -มันดีลี จากอินโดนีเซีย ผลงานทางวชิ าการของท่าน คือ กิตาบ “ฟตั หุลญะลลี ” และ “Penawar bagi Hati” ๓) ตูวันฆูรูฮัจญีอับดุลกอดิร บิน อิสมาอีล สะนอ มารดาช่ือ วันมีนะฮฺ บินติ ชัยคฺอับดุลกอดิร ท่านเป็นหลานตาของโต๊ะบึนดังดายอที่ ๒ เร่ิมสอนหนังสือคร้ังแรกที่ปอเนาะสะนอ ต่อมาได้เปิดปอเนาะที่บ้าน นัดโต๊ะมง นิบงบารู อ.เมือง จ.ยะลา ท่านแต่งต�ำราช่ือ “อิบบานะตุลอิอฺรอบียะฮฺ” เป็นต�ำราที่อธิบายตัวบทของ “ฟตั วา อัล-ฟะฏอนียะฮ”ฺ ทแ่ี ตง่ โดยชยั คฺอะหมดั อัล-ฟะฏอนีย์ 62 หลกั สตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวัติศาสตรท์ ้องถน่ิ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)
๔) ตูวันฆูรูฮัจญีวันอับดุลหะมีด บิน ฮัจญีวันอิดรีส เตอลาฆอซึมบีลัน (นัดต้นมะขาม อ.ยะรัง จ.ปตั ตาน)ี มารดาชอื่ ฮจั ญะฮวฺ นั อาอชิ ะฮฺ บนิ ติ ชยั คอฺ บั ดลุ กอดริ ทา่ นเปน็ หลานตาของโตะ๊ บนึ ดงั ดายอท่ี ๒ ภรรยา ชือ่ ฮัจญะฮวฺ ันมรั ยมั เหลนของชยั ควฺ นั อบั ดลุ ละฏฟี บนิ วนั มุสเฏาะฟา อัล-ฟะฏอนยี ์ ปอเนาะท่าอฐิ ตูวันฆูรูฮัจญีวันอับดุลหะมีด เป็นผู้สานต่อปอเนาะ ตือลาฆอซึมบีลันซ่ึงเปิดโดยปู่ของภรรยา คือ ฮัจญีวนั อสิ ฮาก บิน ชัยคฺวันอับดลุ ละฏฟี บิน มสุ เฏาะฟา ปอเนาะทา่ อิฐ จงั หวัดนนทบุรี ๕) ตูวนั ฆูรฮู ัจญีมฮุ มั มัด บนิ อิดรีส ปอเนาะบรือมิน ศิษย์ของชัยคฺวนั อะหมัด อลั -ฟะฏอนีย์ ภรรยา ชื่อฮัจญะฮฺวันเศาะฟียะฮฺ บินติ ชัยคฺวันอับดุลกอดิร (โต๊ะบึนดังดายอท่ี ๒) ท่านสอนท่ีปอเนาะบรือมิน ต.ยามู อ.ยะหรง่ิ จ.ปตั ตานี ตอ่ จากพชี่ ายคอื โตะ๊ สะแต ปอเนาะบรอื มนิ เปน็ ปอเนาะทมี่ อี ายยุ าวนานกวา่ ๑๐๐ ปี มชี อื่ เสยี ง โดง่ ดงั เทยี บเท่ากับปอเนาะโตะ๊ กอื นาลี รฐั กลันตนั ประเทศมาเลเซีย ๖) ตวู นั ฆรู ฮู จั ญมี ฮุ มั มดั บอื แซง บดิ าชอื่ ฮจั ญวี นั ยซู ฟุ บนิ ชยั ควฺ นั อบั ดลุ กอดริ (โตะ๊ บนึ ดงั ดายอที่ ๒) ท่านเปิดปอเนาะที่บ้านบือแซง ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา เป็นลูกศิษย์ของตูวันฆูรูฮัจญีอับดุลกอดิร สะนอ ทา่ นมบี ุตรทเี่ ปน็ นกั วิชาการด้านศาสนา คอื ดร.วนั อบั ดลุ กอดริ ๓. ชัยคฺวันอับดุลละฏีฟ บิน วันมุสเฏาะฟา เปิดปอเนาะท่ีหมู่บ้านท่าอิฐ จ.นนทบุรี (ปัจจุบันคือ โรงเรยี นทา่ อิฐศึกษา ต.ท่าอิฐ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบรุ )ี ท่านมีทายาททีส่ บื สานงานปอเนาะดงั น้ี ๑) ตูวันฆูรูฮัจญีวันอิสฮาก บิน วันอับดุลละฏีฟ อัล-ฟะฏอนีย์ เปิดปอเนาะท่ีตือลาฆอซึมบีลัน (บ้านนัดต้นมะขาม ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี) ต่อมาปอเนาะแห่งน้ีได้รับการสานต่อโดยบุตรของท่าน ที่ชือ่ ชัมซุดดีน และหลานเขยของทา่ นคือ ตวู ันฆรู ฮู จั ญีวันอบั ดลุ หะมีด บนิ วันอดิ รสี ๒) ตูวันฆูรูฮัจญีวันอะหมัด บิน วันอับดุลละฏีฟ อัล-ฟะฏอนีย์ หลังจากที่จบการศึกษาท่ีมหานคร มักกะฮฺ ท่านได้เดินทางไปยังรฐั กลนั ตนั ประเทศมาเลเซยี และทำ� การสอนทปี่ อเนาะปเู ลาจอนดอง รฐั กลันตัน ๓) ตูวนั ฆูรฮู ัจญีวนั ยะหยฺ า บนิ วนั อสิ มาอลี บิน วันอบั ดลุ ละฏฟี อัล-ฟะฏอนยี ์ อุละมาอฺที่มีชอ่ื เสียง ของกรุงเทพมหานครและปรมิ ณฑล ๔. ชัยควฺ ันดาวดุ บนิ วันมสุ เฏาะฟา อุละมาอฺท่มี ีชอื่ เสยี งของมัสยิดอัล - หะรอม มหานครมักกะฮฺ คณาจารย์ของชัยคฺวันอะหมัด บิน อัล-ฟะฏอนยี ์ เชอ้ื สายอาหรับ อาทเิ ช่น ๑) ชยั คอฺ ุมัรฺ อัช-ชามี อัล-บากออี ๒) ไซยิดฮุเซน อัล-ฮับชี ๓) ไซยิดอะบูบักริ ชาฏอ ๔) ไซยิดอะหมดั บิน ไซนีย์ ดะหลฺ ัน ๕) ชยั คมฺ ุฮมั มดั บนิ สไุ ลมาน ฮสั บุลลอฮฺ คณาจารย์เชอ้ื สายปตานี อาทิเชน่ ๑) ชัยคฺมุฮัมมดั บนิ อสิ มาอีล ดาวดุ ีย์ อัล-ฟะฏอนยี ์ ๒) ชัยคฺอับดรุ เราะหมฺ าน อลั -ฟะฏอนยี ์ เชอ้ื สายกลันตัน ๓) ชยั คฺวนั อะลี กูตัน อัล-กลนั ตานยี ์ 63หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้
คณาจารย์ เช้อื สายอฟั กานิสถาน ๑) ชัยคอฺ ับดรุ เราะฮีม อลั -กาบลู ยี ์ (Hj.Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๒๐๐๕ : หนา้ สารบัญ)๖ ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ กลับสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ที่เมืองมีนา มหานครมักกะฮฺ ขณะประกอบพิธีฮัจญ์ ในคืนวันที่ ๑๑ ซุลฮิจญะฮฺ ฮ.ค. ๑๓๒๕ ตรงกับวันท่ี ๑๔ มกราคม ค.ศ. ๑๙๐๘/ พ.ศ. ๒๔๕๑ ศพของท่านถูกน�ำมาฝังท่ีสุสานมะอฺลามหานครมักกะฮฺ ใกล้กับที่ฝังศพของ ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ ภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ส�ำหรับสาเหตุการเสียชีวิตของ ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ น้ัน จากบันทึกของชัยคฺวันดาวุด บิน วันมุสเฏาะฟา อัล-ฟะฏอนีย์ และชัยคฺวัน อิสมาอีล บิน ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ท่ีส่งไปยังเต็งกูลง บิน เต็งกูเงาะฮฺ เจ้าเมืองเบอซุต ตรังกานู ลงวันท่ี ๒๒ เดือนซุลฮิจญะฮฺ ฮ.ศ. ๑๓๒๕ ระบุว่า ในตอนแรกท่านล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤตคร่ึงตัว เมื่อวันที่ ๒๒ เดอื นญะมาดลิ อาคิร จากนั้นก็หายป่วย ทา่ นถือศีลอดเป็นเวลา ๖ วัน จากนั้นทา่ นกล็ ้มปว่ ยลงอีก แต่ไม่นานกห็ าย เป็นปกติ สามารถเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้ หลังจากละหมาดซุบหฺในวันตรุษอีดิลอัฎฮาท่านได้ล้มป่วย ลงอีกครั้ง จากนั้นท่านก็สิ้นลมหายใจกลับไปสู่เมตตาของอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลาหลังละหมาดมัฆริบ ในคำ่� วันเดยี วกนั (Hj.Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๐ : ๖๐) ๒. ความภาคภูมิใจของชยั คฺวนั อะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ๑) ชยั คฺวนั อะหมดั อัล-ฟะฏอนยี ์ ในฐานะบดิ าแหง่ เอกราชของประชาชาติมลายรู ายา ในปี ค.ศ. ๑๘๗๓ / พ.ศ. ๒๔๑๖ ชยั คฺวนั อะหมัดได้กอ่ ตัง้ องคก์ ร “Jam’iyah al-Fataniyah” หรอื สภาฟะฏอนีย์ ขึ้นในมหานครมักกะฮฺ เป็นการรวมกลุ่มกันของบรรดาอุละมาอฺและปัญญาชนนูซันตารา เพ่ือต่อต้านจักรวรรดินิยมกุฟฟาร (ต่างศาสนิก) ท่ีเข้ามารุกรานประชาคมมลายู (Riduan Mohd. Nor, Mohd. & Fadil Ghani, ๒๐๐๗ : ๙๗) มอี ุละมาอฺจากโลกมลายเู ข้าเป็นสมาชกิ ของขบวนการนีห้ ลายท่าน ชัยควฺ ันอะหมัด ได้รับเลือกเป็นผู้น�ำองค์กร สภาฟะฏอนีย์มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อปลุกจิตส�ำนึกให้เยาวชนจากโลกมลายูลุกข้ึน มาปลดปลอ่ ยตนเองจากการครอบครองของจกั รวรรดนิ ยิ ม ชยั ควฺ นั อะหมดั ตระหนกั ถงึ ความสญู เสยี จากภยั สงคราม ท่านรู้สึกปวดร้าวยิ่งที่โลกมลายูถูกยึดครองโดยชนต่างศาสนิก ปตานีถูกยึดครองโดยสยามซ่ึงนับถือศาสนาพุทธ แหลมมลายูก็ถูกครอบครองโดยอังกฤษและอินโดนีเซียถูกยึดครองโดยเนเธอร์แลนด์ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ ทั้งนี้ Jam’iyah al-Fathani’yah ถือเป็นขบวนการการต่อสู้ขบวนการแรกของโลกมลายู มีขึ้นก่อนท่ี H.O.S. Tjokvoaminoto ผู้น�ำชาวชวาจะจัดตั้ง Syarikat Islam ในปี ค.ศ. ๑๙๑๒ ซึ่งเป็นขบวนการ ท่ีก่อต้ังข้ึน เพอื่ ต่อต้านจักรวรรดนิยม เนเธอร์แลนด์ ที่มหานครมักกะฮฺ ชัยคฺวันอะหมัดได้ปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองให้แก่ศิษย์ของท่าน เม่ือศิษย์ เหล่านี้เดินทางกลับสู่มาตุภูมิ ก็ได้ตั้งขบวนการเพ่ือต่อต้านภัยรุกรานจากนักล่าอาณานิคมขึ้น อาทิเช่น Raja Hj. Ali Kelana ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของรายาแห่งริเยา-ลิงฆา ท่านเป็นนักต่อสู้ทางการเมืองต่อต้านเนเธอร์แลนด์ รว่ มกันจดั ตงั้ ขบวนการ Jam’iyah as-Rusydiyah ทีเ่ มืองรเิ ยา ลิงฆา (Riau-Lingga) ประเทศอินโดนเี ซยี ๖ Syeikh Ahmad al-Fathani Pemikir Agung Melayu dan Islam Jilid ๑ 64 หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตร์ท้องถ่นิ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้
ทง้ั นช้ี ยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ เหน็ วา่ หนทางเดยี วทจี่ ะปลดปลอ่ ยโลกมลายใู หห้ ลดุ พน้ จากเงอ้ื มมอื ของจักรวรรดินิยมต่างศาสนิกก็คือการติดต่อขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอุษมานียะฮฺ ตุรกี (ออตโตมาน) ด้วยเหตุน้ีท่านและรายาอาลี เกอลานา แห่งริเยาจึงเดินทางไปยังตุรกีเพ่ือเข้าเฝ้าสุลต่านอับดุลฮามิดคานท่ี ๒ (Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๒๐๐๐ : ๕๓)๗ ในหนงั สอื Shaykh Ahmad Al-Fatani Ulama dan Tokoh Persuratan Melayu Dari Zaman Klasik Ke arah Dunia Moden ของ Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah (๑๙๙๕ : ๑๔) ได้กลา่ วถงึ เรอ่ื งน้ี ความวา่ : “หลังจากชัยคฺวันอะหมัดได้พารายาอาลี เกอลานา เข้าเฝ้าสุลต่านอับดุลฮามิดคานที่ ๒ แห่ง ออตโตมาน ได้ไม่นานชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ก็กลับสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๕๑ (ค.ศ. ๑๙๐๘) สง่ ผลใหก้ ารตดิ ต่อขอความชว่ ยเหลือระหว่างรเิ ยากับตรุ กชี ะงัก ช่ัวคราว ถึงกระนนั้ ใน พ.ศ. ๑๙๑๑ - ๑๙๑๒ รายาอาลี เกอลานาได้รว่ มมือกันทำ� งานทางการเมืองแบบลับๆ กับรายาคอลิด ฮิต�ำหรือที่รู้จักกันในนาม รายา ฮัจญีอุษมาน ซ่ึงเป็นศิษย์อีกคนหน่ึงของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ในการปลดแอกโลกมลายูให้ ได้รับอิสรภาพและสถาปนารัฐมลายูท่ีใช้ระบอบการปกครองแบบอิสลามรายาคอลิด ฮิต�ำและคณะได้เดินเท้า ไปยงั ประเทศญปี่ นุ่ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๒ - ค.ศ. ๑๙๑๓ เพอื่ ตดิ ตอ่ ขอความชว่ ยเหลอื จากรฐั บาลญป่ี นุ่ ในการปลดปลอ่ ย ริเยาและลิงฆา ในระหว่างนั้นเองรายาคอลิด ฮิต�ำ ได้สิ้นพระชนม์ลงที่โรงพยาบาลกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๑๔ / พ.ศ. ๒๔๕๗ อยา่ งไรก็ตามในปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ตวั แทนจากรัฐบาลญปี่ นุ่ ไดเ้ ดินทางไป ยังสิงคโปร์ เพื่อเข้าพบกับทายาทของรายาคอลิด ฮิต�ำ โดยตัวแทนของรัฐบาลญ่ีปุ่นได้ติดต่อผ่านอิบรอฮีม ยะกู๊บ (Ibrahim Yaakob) ซ่ึงเป็นผู้ส่ือข่าวประจ�ำสิงคโปร์ในขณะนั้น อิบรอฮีม ยะกู๊บได้ติดต่อประสานงาน กับทายาทของรายาคอลิด ฮิต�ำ คือรายาฮัจญีมุฮัมมัด ยูนุส ซึ่งขณะนั้นก�ำลังก่อสร้างวิทยาลัยอิสลามท่ี เกาะเปอเญองัต (Pulau Penyengat) ต่อมาเม่ือเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น (สงครามโลกครั้งที่ ๒) อิบรอฮีม ยะกู๊บและรายาฮัจญีมุฮัมมัด ยูนุสได้เข้าร่วมกับญี่ปุ่นต่อสู้กับเนเธอร์แลนด์ ภายหลังสงครามสงบ แม้ญี่ปุ่นจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ผู้น�ำการต่อสู้ของอินโดนีเซีย ชื่อซูการ์โนก็สามารถประกาศเอกราชให้แก่ อินโดนีเซียได้ส�ำเร็จในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ และตนกูอับดุรเราะหฺมาน ได้ประกาศอิสรภาพของสหพันธรัฐมาลายา จากองั กฤษใน ค.ศ. ๑๙๕๗ / พ.ศ. ๒๕๐๐ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทเ่ี กดิ ข้นึ นบั เป็นมรดกทางความคดิ ของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ที่ปลูกฝังให้กับลูกศิษย์ของท่าน รวมท้ังเป็นผลพวงจากการที่ท่านได้ติดต่อ ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลออตโตมานตุรกี เพื่อต่อสู้กับจักรวรรดินิยมกาฟิรอย่างต่อเน่ือง ส่งผลให้ อนุชนรุ่นหลังประสบความส�ำเรจ็ ทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจนถึงทกุ วนั น”้ี ๒) ชัยคฺวันอะหมดั อลั -ฟะฏอนีย์ ในฐานะนักวชิ าการระดับนานาชาติ ในปี ค.ศ. ๑๙๐๓ โลกอิสลามร้อนระอุข้ึนเน่ืองจากมีขบวนการปฏิรูปอิสลามและเกิดข้อขัดแย้ง (Khilafiah)๘ ทางศาสนาระหวา่ งอลุ ะมาอฺซัยยิดยูซฟุ อนั -นับฮานแี หง่ กรุงเบรตุ ประเทศเลบานอน กบั ชยั คมฺ ฮุ มั มดั อับดุฮฺ แห่งอียิปต์ ทางสภาอุละมาอฺแห่งมหานครมักกะฮฺมีมติให้ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์เป็นตัวแทนเข้าไป ไกลเ่ กลีย่ ปัญหาข้อขดั แย้งดงั กล่าว ๗ Wawasan Pemikiran Islam Ulama Asia Tenggara Jilid ๒. ๘ การมีความเหน็ ทีไ่ มต่ รงกันในประเดน็ ศาสนาของอลุ ะมาอฺ (ปราชญ์ทางศาสนา) 65หลกั สตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตรท์ ้องถ่นิ จังหวัดชายแดนภาคใต)้
Dr. Eman Mohamad Abbas (๒๐๐๗ : ๘๗๕ - ๘๗๖) ได้กลา่ วถงึ ปญั หาข้อพิพาทรวมท้งั จดุ ยืนของ ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ต่อแนวคิดการฟื้นฟูอิสลาม และการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งด้านคิลาฟิยะฮฺ (khilafiyah) ระหวา่ งชัยคฺมฮุ ัมมัดอบั ดฮุ กฺ บั ชัยคฺยูซุฟ อลั -นับฮานี วา่ “ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั ความคดิ เหน็ ของชยั คมฺ ฮุ มั มดั อบั ดฮุ แฺ ละคณะวา่ ดว้ ย การไมว่ าญบิ (Wajib) หรอื ไมบ่ งั คบั ใหม้ สุ ลมิ ทกุ คนยดึ ถอื มสั ฮบั (Mazhab)๙ โดยชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ ได้ให้เหตุผลว่า มุสลิมโดยทั่วไปควรถือมัสฮับเพื่อสะดวกต่อการเรียนรู้ ท�ำความเข้าใจและปฏิบัติตามค�ำสอน ตามมัสฮับของตน แตห่ ากเปน็ อาลิม (ผู้ร้)ู โดยเฉพาะด้านศาสนา เขากจ็ ะมีอสิ ระในการเลือกขอ้ วินิจฉัยที่เหน็ เหมาะสม ถูกตอ้ งตามสถานการณ์ไดด้ ว้ ยตนเอง สำ� หรบั จดุ ยนื ดา้ นการเมอื ง ชยั คมฺ ฮุ มั มดั อบั ดฮุ แฺ ละคณะมคี วามเหน็ วา่ ประชาชาตมิ สุ ลมิ ควรมที า่ ที ถอ้ ยทถี อ้ ยอาศยั กบั จกั รวรรดนิ ยิ มองั กฤษ การเจรจาอยา่ งสนั ตจิ ะทำ� ใหไ้ ดส้ ทิ ธกิ ลบั คนื มา ในขณะที่ ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ ปฏเิ สธทจ่ี ะเจรจาอยา่ งสนั ตกิ บั จกั รวรรดนิ ยิ มทก่ี ำ� ลงั กดขปี่ ระชาชาตมิ สุ ลมิ ดว้ ยความไมย่ ตุ ธิ รรม อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นปัญหาข้อขัดแย้ง คือ ชัยคฺมุฮัมมัดอับดุฮฺและคณะได้เสนอความคิดเห็น ในเรอ่ื ง Ijtihad Mutlak (การกลน่ั กรองเบด็ เสรจ็ ) และการอธบิ ายดว้ ยสตปิ ญั ญา (Pentafsiran dengan Akal) ประเด็นนี้เป็นปัญหาลุกลาม เป็นที่โต้เถียงไม่มีท่ีสิ้นสุดระหว่างชัยคฺมุฮัมมัดอับดุฮฺกับชัยคฺยูซุฟ อัน-นับฮานี แหง่ เบรตุ จนเปน็ เหตใุ หส้ ภาอลุ ะมาอแฺ หง่ มหานครมกั กะฮฺ ประชมุ รว่ มกนั และเลอื กชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนีย์ เป็นตัวแทนไกล่เกล่ยี จนเปน็ ที่ยอมรบั ของอลุ ะมาอใฺ หญ่ของกรุงเบรตุ และกรุงไคโร” ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ เดนิ ทางมายงั กรงุ ไคโรเพอ่ื เขา้ พบชยั คมฺ ฮุ มั มดั อบั ดฮุ ฺ ทา่ นรสู้ กึ ไมส่ บายใจ เปน็ อยา่ งมากกบั กรณพี พิ าทขอ้ ขดั แยง้ ทางศาสนาทเ่ี กดิ ขนึ้ เนอื่ งจากเกรงวา่ จะนำ� ไปสคู่ วามแตกแยกในสงั คมมสุ ลมิ ก่อนการเข้าพบชัยคฺมุฮัมมัดอับดุฮฺ ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ได้เตรียมแผนการบางอย่าง โดยแจ้งให้บรรดา ลูกศิษย์ของท่านท่ีกรุงไคโรทราบว่า การเดินทางมาครั้งนี้ท่านจะไม่เปิดเผยตัวตนท่ีแท้จริงให้อุละมาอฺที่ กรงุ ไคโรทราบ เม่อื ถึงเวลาเข้าประชมุ ท่านจะทำ� ตัวเปน็ คนธรรมดา แต่งตวั ซอมซ่อ เป็นคนไมม่ ีความรู้ โดยท่านได้ มอบหมายให้โต๊ะกือนาลี ศิษย์เอกของท่านอยู่ในฐานะ อุละมาอฺใหญ่ ตัวแทนจากสภาอุละมาอฺแห่งมหานคร มักกะฮฺมาท�ำหน้าที่ไกล่เกล่ียปัญหาข้อขัดแย้งท่ีเกิดข้ึน เกี่ยวกับเร่ืองน้ีมีบทความที่เขียนโดย Abdulah Al-Qari ในหนังสอื Tok Qadhi dan Tok Guru (Syaaban ๑๔๐๘ H : ๒๗ - ๒๘) ระบุว่า โตะ๊ กือนาลกี ลา่ วว่า “หากใครในท่ีประชุมถามความเห็นหรือปัญหาใดๆ ก็ตามที่เป็นเรื่องเล็ก ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ได้มอบหมายให้ข้าเป็นผู้ตอบ แต่หากเป็นหัวข้อหรือปัญหาที่ตอบยาก ข้าจะส่งสัญญาณให้ท่าน แล้วท่าน ซ่ึงแสร้งว่าเป็นศิษย์ของข้าจะเป็นผู้ตอบ” เม่ือถึงเวลาประชุมทุกคร้ังที่มีปัญหาหรือข้อสงสัย โต๊ะกือนาลี ได้ท�ำหน้าที่ตอบปัญหาอย่างชัดแจ้งและถูกต้องทุกประการ ท่ีประชุมต่างประทับใจในค�ำตอบและข้อคิดเห็น เกี่ยวกับปัญหา Khilafiah ของโตะ๊ กือนาลซี ึ่งพวกเขาเขา้ ใจว่าเปน็ ชัยควฺ ันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ตวั แทน อลุ ะมาอฺ จากมหานครมักกะฮฺ ในวนั สดุ ทา้ ยของการประชมุ ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ นง่ั ดา้ นซา้ ยมอื ของโตะ๊ กอื นาลใี นฐานะลกู ศษิ ย์ อีกเช่นเคย ตัวแทนอุละมาอฺของอียิปต์ในฐานะคณะกรรมการจัดงานได้ลุกขึ้นอ่าน Syair ซ่ึงเป็นบทกวีข้ันสูง ให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับฟัง ทันใดน้ันเองชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ซ่ึงน่ังใกล้ๆ กับโต๊ะกือนาลีได้เขียน Syair ๙ ส�ำนกั คิดตามหลกั นติ ิศาสตร์อิสลาม 66 หลกั สตู รสงั คมพหุวฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สตู รประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถนิ่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต)้
ท่ีมีความหมายลึกซ้ึงกว่าท่ีตัวแทนอุละมาอฺอียิปต์เพ่ิงอ่านเสร็จ ในหมายเหตุของ Syair ที่ชัยคฺวันอะหมัด อลั -ฟะฏอนียเ์ ขียนวา่ การอ่าน Syair เมอื่ สกั ครู่มิได้อา่ นตามวธิ ี Arudh Qawafi๑๐ ทา่ นไดม้ อบจดหมายฉบบั น้ันแก่ โตะ๊ กือนาลีเพอื่ สง่ ไปใหค้ ณะกรรมการทน่ี ่งั อยู่ด้านหนา้ ไดอ้ า่ น Syair ดังกลา่ ว เมอื่ อุละมาอฺจากอียปิ ต์ไดอ้ า่ นก็ต้อง ตกตะลึงในบทกลอนที่บรรจงเขียนขึ้น เน่ืองจากเป็นบทกลอนที่มีความหมายลึกซ้ึงตามแบบฉบับวรรณกรรม อาหรับ เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้เขียน Syair น้ีจะเป็นบุคคลที่น่ังข้างๆ ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ (โต๊ะกือนาลี ที่ปลอมตัวเป็นชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์) แต่งตัวด้วยเส้ือผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน แต่กลับมีความสามารถ ในการเขียนบทกวีนิพนธ์อาหรับคลาสสิกที่มีอรรถรสสุนทรีย์ และมีวาทศิลป์ที่เป็นเลิศ อุละมาอฺอียิปต์ท่านน้ัน จึงถามชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ (โต๊ะกือนาลี) ว่า “ผู้ที่น่ังข้างท่านเป็นใครหรือ” โต๊ะกือนาลีตอบว่า “แท้จริงแล้วข้าช่ือมุฮัมมัดยูซุฟ เป็นลูกศิษย์ของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ผู้ซึ่งน่ังข้างข้าและเป็นผู้เขียน Syair ในกระดาษทข่ี ้าส่งไปยงั ท่าน” หนงึ่ ในอลุ ะมาออฺ ยี ปิ ตท์ อี่ ยใู่ นทป่ี ระชมุ กลา่ ววา่ “นเ่ี ปน็ เพยี งแคล่ กู ศษิ ยแ์ ลว้ ยงั สามารถตอบปญั หาได้ อย่างทะลุปรุโปร่งถึงเพียงน้ี แล้วถ้าอาจารย์เป็นผู้ตอบค�ำถามเอง จะชัดเจนขนาดไหน?” ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ จึงตอบค�ำถามด้วยน�้ำเสียงสุภาพ อ่อนน้อม ว่า “อันวิชาการอิสลามนั้นกว้างใหญ่ไพศาลย่ิงกว่า ความกวา้ งและความลกึ ของมหาสมทุ ร มคี วามสงู สง่ ระฟา้ ความรทู้ งั้ ปวงมไิ ดม้ ไี วเ้ พอื่ การววิ าทและโตว้ าทหี รอื เพ่ือแสวงหาความผิดพลาดของฝ่ายอ่ืน แต่ความรู้นั้นมีไว้เพื่อการศึกษาและปฏิบัติเพื่อผลบุญในโลกหน้า วันน้ีความจริงได้ปรากฏในที่ประชุมแห่งน้ี ท่านท้ังหลายอยู่ในความประมาท มิทราบว่าใครเป็นใคร ในงาน การประชุมวิชาการวันนี้ แท้จริงแล้วเรามิได้มาเพื่อกล่าวเท็จ แต่ฝ่ายท่านต่างหากที่มิได้ให้เกียรติสอบถาม ชอ่ื เสียงเรียงนามของผรู้ ว่ มประชุม” ชัยคฺวนั อะหมดั อัล-ฟะฏอนีย์ยังกล่าวต่อไปวา่ “สภาพภายนอก (รูปธรรม) เรายังเหน็ คลุมเครือ นับประสาอะไรกับเรอื่ งนามธรรมท่มี องดว้ ยสายตาไม่เห็น” จากนน้ั ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ ไดก้ ลา่ วทงิ้ ทา้ ยวา่ “หากทา่ นตอ้ งการใหก้ ารถกเถยี งในขอ้ ขดั แยง้ ตา่ งๆ ดำ� เนนิ ตอ่ ไปเรากย็ นิ ด”ี ถงึ กระนนั้ ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ ไดก้ ลา่ วเสรมิ ในเชงิ สรา้ งสรรคต์ อ่ ทปี่ ระชมุ วา่ “เราควรปฏิบัติตามทัศนะและความรู้ที่เราต่างคนต่างร�่ำเรียนเพื่อป้องกันความคิดที่แตกต่าง ในท�ำนองแสดง จดุ รว่ ม สงวนจดุ ตา่ ง” หลงั จากคำ� กลา่ วของชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ การประชมุ กส็ นิ้ สดุ ลงดว้ ยความราบรื่น ทุกคนโอบกอดกนั ด้วยความรกั และสมานฉนั ท์ จะเห็นได้ว่าชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์เป็นอุละมาอฺที่มีความเมตตาและไว้วางใจศิษย์ของ ทา่ นเป็นอยา่ งมาก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ โตะ๊ กือนาลซี ึง่ เปน็ ศิษย์เอก อสิ มาอลี เจ๊ะดาวดุ (๑๙๘๘ : ๑๒๙) ได้กลา่ วถงึ ความสัมพันธร์ ะหว่างครูและศษิ ย์ทัง้ สองท่านน้วี ่า “โตะ๊ กอื นาลรี ำ่� เรยี นกบั ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ท์ ม่ี หานครมกั กะฮเฺ ปน็ เวลานาน ๒๐ ปี นอกจาก จะเป็นศิษย์และบุตรบุญธรรมของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์แล้ว โต๊ะกือนาลียังเป็นผู้รับใช้ท่ีใกล้ชิด และจงรักภักดีต่อผู้เป็นครูอย่างถึงท่ีสุด ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ประทับใจในตัวศิษย์ผู้น้ีเป็นอย่างย่ิง ทา่ นไวว้ างใจและคาดหวงั ทจี่ ะใหโ้ ตะ๊ กอื นาลเี ปน็ อลุ ะมาอทฺ ม่ี ชี อื่ เสยี งในอนาคต” ชยั ควฺ นั อะหมดั ไดพ้ าโตะ๊ กอื นาลี เดนิ ทางไปยงั กรงุ ไคโร ประเทศอียิปตพ์ รอ้ มกบั ท่านดว้ ย ทงั้ นชี้ ัยควฺ นั อะหมัด อลั -ฟะฏอนยี ์ เป็นคนแรกท่ีเรยี ก โต๊ะกือนาลีว่า Awan๑๑ ต่อมาเรียกเป็น Awang โดยวันหน่ึงชัยคฺวันอะหมัดได้กล่าวชมเชยและยอมรับ ๑๐ ศาสตร์เก่ยี วการอา่ นและแตง่ บทกลอน ๑๑ หมายถงึ ก้อนเมฆ โดยเปรยี บความรู้ของโตะ๊ กือนาลสี งู สง่ ดุจกอ้ นเมฆ 67หลักสตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัติศาสตรท์ ้องถ่ินจงั หวัดชายแดนภาคใต้)
ในความรคู้ วามสามารถของพวกเจา้ ถงึ จดุ สงู สดุ เกอื บถงึ มา่ นเมฆ แตก่ ย็ งั ไมส่ งู ถงึ ฟากฟา้ (หมายถงึ โตะ๊ กอื นาล)ี ส่วนความรู้ของเพ่ือนๆ ของเจ้าอยู่เพียงใต้เมฆ จะอย่างไรก็ตามความรู้ของเจ้าและเพ่ือนๆ ก็เพียงพอแล้ว สำ� หรับแผ่นดินญาวี” ๓) ชัยคฺวันอะหมัด อลั -ฟะฏอนยี ์ ในฐานะผูเ้ ชีย่ วชาญดา้ นภาษาศาสตร์ ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนีย์ คือ หนึ่งในบรรดาอุละมาอฺมลายทู ่ีมคี วามเช่ยี วชาญดา้ นภาษา ไมว่ ่าจะ เปน็ ภาษาอาหรบั หรอื ภาษามลายู ทา่ นเปน็ ทรี่ จู้ กั ในฐานะนกั กวนี พิ นธ์ (Puisi) ภาษาอาหรบั สามารถอรรถาธบิ ายวรรณกรรม คลาสสกิ ของอาหรับได้เทยี บเทา่ กบั ชาวอาหรบั เจา้ ของภาษา กระทั่งท่านไดร้ บั การขนานนามวา่ “พยัคฆราชแหง่ มักกะฮ”ฺ เนื่องจากครงั้ หนง่ึ ท่านเคยได้รบั รางวลั ชนะเลิศ ลำ� ดบั ที่ ๑ ในการแขง่ ขันแตง่ บทกวกี บั ชาวอาหรบั ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ มีบทบาทส�ำคัญในการปลูกฝังความคิดด้านภาษาศาสตร์ให้แก่ชนชาติ มลายูให้เรียนรู้ภาษาที่ได้รับความนิยมจากนานาประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาดัตช์หรือภาษาอื่นๆ ของ คนต่างศาสนา ท่านเห็นหากชาวมลายูรู้ภาษาต่างประเทศจะท�ำให้ได้รับความรู้รอบด้าน นอกจากนี้ยังสามารถ สรา้ งความสมั พนั ธ์อนั ดกี บั ชาวตา่ งชาติ สามารถค้นหาประสบการณใ์ นโลกกว้างดว้ ยความม่ันใจ แมว้ า่ ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี จ์ ะจากบา้ นเกดิ เมอื งนอนเปน็ เวลานานตงั้ แตอ่ ายเุ พยี ง ๔ ปี แตท่ า่ น กม็ คี วามชำ่� ชองในการใชภ้ าษาแม่ คอื ภาษามลายเู ปน็ อยา่ งดี ทา่ นตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของการเขยี นภาษามลายู อักษรญาวี และได้แนะน�ำให้มีการเพ่ิมตัวอักษรในระบบเขียนภาษามลายูอักษรญาวีให้ตรงกับส�ำเนียงภาษามลายู คอื “( ”خจอ) “ ( ”غงอ) “ ( ” ضฆอ) และ “ ( ” ثยอ) (ผศ.ดร.พีรยศ ราฮิมมูลา, ๒๕๔๕ : ๖๒) นอกจากนี้ ท่านยังเพ่ิมจุด ๓ จุดข้างบนของพยัญชนะ “( ”فฟาอฺ) เป็นพยัญชนะ “( ”فปอ) เพื่อให้เกิดความแตกต่าง ระหว่างพยัญชนะ ฟาอฺ (ภาษาอาหรับ) กับ ปอ (ภาษามลายู) ความพยายามของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ในการใช้ภาษามลายูอักษรญาวีในระบบเขียนน้ัน ก็เพ่ือให้เกิดความถูกต้อง สมบูรณ์ และสอดคล้องกับส�ำเนียง ภาษามลายูปตานีซึ่งเป็นภาษาพูดให้มากท่ีสุด ทั้งนี้ กิตาบหรือต�ำราต่างๆ ที่ใช้ศึกษาเรียนรู้ศาสนาอิสลาม ในโลกมลายูต่างก็ใช้กิตาบภาษามลายูอกั ษรญาวีทั้งสิ้น ชัยคฺวันอะหมัด อลั -ฟะฏอนีย์ ได้กล่าวถึงความส�ำคัญของการเรียนรภู้ าษาศาสตร์ความวา่ “ความรู้ด้านภาษาศาสตร์มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวง หากผู้ใดมีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ นอกจากภาษาของตนเองแล้ว เขาก็จะมีความคล่องแคล่วในการติดต่อสานสัมพันธ์กับสังคมต่างชาติ ถา้ หากไมม่ คี วามรดู้ า้ นภาษาตา่ งประเทศ (โดยเฉพาะภาษาอาหรบั ) ศาสนาอสิ ลามกไ็ มม่ โี อกาสไดอ้ อกไปเผยแผ่ กับสังคมโลก ศาสนาอิสลามคงจะถูกก�ำหนดขอบเขตเฉพาะโลกอาหรับเท่าน้ัน ผู้คนจะไม่มีโอกาสเข้าใจ ความหมายของพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน อัล-หะดีษ รวมท้ังกฎต่างๆ ที่มีอยู่ในกิตาบ ดังน้ัน เยาวชน คนหนุ่มสาวต้องต้ังใจเรียนภาษาต่างๆ ให้มีความเช่ียวชาญ โดยเฉพาะลูกหลานเชื้อพระวงศ์ เจ้านาย ชนช้นั ปกครอง ตลอดจนราษฎรท่วั ไป” (Hj.Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๒ : ๕๙) ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ได้ผลักดันและสนับสนุนให้บรรดาศิษย์และบุตรของท่านตั้งใจเรียน ภาษาต่างประเทศ ซ่ึงมีความส�ำคัญอย่างย่ิงในโลกวิชาการและการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศน่ันก็คือ ภาษาอังกฤษ และภาษาอาหรับรวมท้ังภาษาอ่ืนๆ ท่านได้ส่งจดหมายไปยังบุตรชายของท่านคือ อิสมาอีล ซ่ึงก�ำลังศึกษาต่อ ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ โดยฝากบอกให้ส่งจดหมายดังกล่าวไปยังลูกศิษย์ของท่าน คนอ่ืนๆ รวมถึง ชัยคฺฏอฮิร ญะลาลุดดีน มินังกาเบา (Syeikh Thahir Jalaluddin Minangkabau) ร่วมฟังด้วย ขอ้ ความในจดหมายปรากฏดงั น้ี 68 หลกั สตู รสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้
“ความรู้ด้านภาษาน้ัน มิได้หมายความว่าต้องเน้นและให้ความส�ำคัญเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น ภาษาอาหรบั กม็ คี วามสำ� คญั ไมแ่ พก้ นั ดงั นน้ั ขอใหเ้ จา้ จงใหค้ วามสำ� คญั กบั ทงั้ สองภาษา ตอนนที้ เ่ี มอื งเจดดาห์ ซาอุดิอารเบีย เริ่มมีสถาบันสอนภาษาอังกฤษแล้ว เป็นโอกาสที่ดีท่ีพวกเจ้าจะได้ไปศึกษาเล่าเรียน ภาษาอังกฤษได้ และถ้าหากพวกเจ้าต้องการศึกษาภาษาอาหรับ ฉันก็พร้อมที่จะให้พวกเจ้าได้มาเรียน กบั ตวั ฉันเอง” จากเน้ือความจดหมายท่ีชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ เขียนถึงบุตรและศิษย์ของท่านท่ีกรุงไคโร ท�ำให้เห็นถึงความต้ังใจและความห่วงใยของท่านต่อนาคตของบรรดาลูกหลานมลายูท่ีก�ำลังศึกษาในต่างแดน ผู้เขียนเห็นว่าอุละมาอฺมลายูในยุคสมัยของท่านหรือก่อนหน้าน้ันไม่มีผู้ใดท่ีมีบทบาทในการผลักดันให้นักศึกษา มลายูได้เรียนภาษาของชาวตะวันตก บางท่านห้ามไม่ให้เรียนภาษาของคนต่างศาสนาเสียด้วยซ้�ำ ด้วยเหตุผลที่ว่า เปน็ ภาษาของคนกาฟริ (คนต่างศาสนกิ ) (Hj.Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๑๙๙๒ : ๖๓) หากพิจารณาเรื่องหลักภาษาที่ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ใช้ในการโต้ตอบและให้ค�ำอธิบาย ในหนังสือที่ท่านแต่ง เช่น “หะดีเกาะตุล อัล-อัซฮัร” (Hadiqat al-Azhar) “อัล-ฟัตวา อัล-ฟะฏอนียะฮฺ” (Al-Fatwa al-Fathaniah) และอื่นๆ จะเห็นอย่างเด่นชัดว่า ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ คือ อุละมาอฺท่ีมี ความสามารถในการใช้หลักภาษามลายูเป็นอย่างมาก ซ่ึงในประเด็นนี้วันมุฮัมมัดเศาะฆีร บิน อับดุลลอฮฺ ได้ให้ ทศั นะว่า หลงั จากยคุ ของ Raja Ali Haji ชัยควฺ ันอะหมดั อลั -ฟะฏอนีย์ คอื นกั ปราชญท์ ม่ี ีความรู้ด้านภาษามลายู ที่โดดเด่นแห่งยุคสมัยก่อนหน้า Zainal Abidin Bin Ahmad (Za’ba) หรือซะบาบิดาแห่งภาษามลายูสมัยใหม่ นอกจากน้ี ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ยังมีบทบาทในการอนุรักษ์และสืบทอดการใช้ค�ำศัพท์ภาษามลายู ตามหลักภาษา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้การเรียนรู้ความหมายของค�ำศัพท์มลายูอย่างถูกต้อง ท่านได้ตอบรับ การเรียนเชิญให้แต่งต�ำราหลักไวยากรณ์มลายู (Nahu Melayu) จาก ชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ ได้ให้ ความหมายของคำ� วา่ ชาติมลายูและภาษามลายู ดังน้ี “ชาตมิ ลายู คอื กลุ่มชาตพิ นั ธุก์ ลุ่มใหญ่ อยู่ภายใตร้ ัฐท่ีอดุ มสมบรู ณ์ ท่ามกลางพื้นท่ีอนั กว้างใหญ่ ไพศาล ต้ังอยู่ระหว่างอินเดียและจีน ชาวอาหรับส่วนใหญ่เรียกชาวมลายูว่า “ชวา” ชาวมลายูมีภาษาเป็น ของตนเอง โบราณเรียกว่า “ภาษามลายู” อันภาษามลายูน้ันเป็นภาษาที่เรียบง่าย ชาวตะวันออกกลางใช้ ภาษามลายูในการส่ือสารเม่ือเขาเดินทางมายังหมู่เกาะมลายู ชาติมลายูเป็นชนชาติท่ีซื่อสัตย์ สุขุมคัมภีรภาพ และสุภาพอ่อนโยน มีมนุษยสัมพันธ์ดี โดยรวมแล้วชาวมลายูเป็นชนชาติที่มิชอบขอความช่วยเหลือ แม้ว่า ชาวมลายูจะอยู่ในสภาพท่ียากจน คนมลายูเคารพและให้เกียรติผู้อ่ืนเสมอ เป็นชนชาติท่ีมีความสามารถ ในงานช่างทุกรูปแบบ ชอบค้นคว้าหาความรู้สมัยใหม่ มีการศึกษาที่ดี ปฏิบัติตนอยู่ในคุณธรรม ชาติมลายู มีอ�ำนาจอธิปไตยแต่ก็ถูกอ�ำนาจของกาฟิร (คนนอกศาสนา) ริดรอนและครอบครอง ข้าฯ ขอให้อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ปกป้องพิทักษ์คุ้มครองบรรดารัฐอิสลามจากกลุ่มชนกาฟิรอามีน” (Hj.Wan Mohd. Shaghir Abdullah, ๒๐๐๕ : ๑๑๘ - ๑๑๙)๑๒ ๑๒ Syeikh Ahmad al-Fathani Pemikir Agung Melayu dan Islam Jilid ๑ 69หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตรท์ ้องถน่ิ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)
ปี ค.ศ. ๑๙๐๒ หรือ พ.ศ. ๒๔๔๕ เป็นปีท่ีทางการสยามได้ประกาศยกเลิกระบบการปกครองของปตานี ที่มีเจ้าเมืองและสุลต่านเป็นประมุข เหตุการณ์ดังกล่าวมีผลกระทบต่อความรู้สึกทางจิตใจของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ เป็นอย่างมาก ท่านมีความทุกข์ใจกับส่ิงที่เกิดข้ึนกับบ้านเมืองของตนเองด้วยตระหนักดีว่าปตานี ไดถ้ กู ครอบครองโดยสยามอย่างเบด็ เสรจ็ ไปแลว้ ทา่ นจงึ มอบหมายใหศ้ ษิ ยข์ องทา่ น คอื โตะ๊ กอื นาลแี ละโตะ๊ ญาโงะ ซ่ึงเป็นชาวกลันตันให้กลับไปต่อสู้ เพื่อปลดปล่อยปตานีจากการครอบครองของสยามรวมท้ังปกป้องรัฐกลันตัน ทีก่ �ำลงั ถูกคกุ คามโดยนักล่าอาณานคิ มอังกฤษ (Nik Anuar Nik Mahmud, ๑๙๙๙ : ๒๓) ๔) โตะ๊ ญาโงะ (Tok Janggut) ศษิ ยข์ องชัยคฺวนั อะมัด อลั -ฟะฏอนีย์ จับอาวธุ ต่อสูก้ ับจักรวรรดินิยม องั กฤษ กลนั ตนั เปน็ รฐั มลายรู ฐั หนงึ่ ทม่ี คี วามใกลช้ ดิ กบั ปตานมี ากทสี่ ดุ ในแงค่ วามเปน็ มาทางประวตั ศิ าสตร์ กลนั ตนั ได้รับการขนานนามว่า “ซือรัมบี มักกะฮฺ (Serambi Makkah)” หรือระเบียงแห่งมักกะฮฺ เช่นเดียวกับปตานี เพยี งแตป่ ตานนี นั้ ชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ ไดเ้ พม่ิ คำ� วา่ “Cermin dan Serambi Makkah” หรอื กระจกเงา และระเบยี งแหง่ มกั กะฮฺ กลนั ตันเปน็ ดินแดนทมี่ ีสถาบันปอเนาะแบบดงั้ เดมิ ท่ีสบื มรดกทางการศึกษาแบบปอเนาะ จากปตานี ทงั้ นี้เพราะอุละมาอฺกลนั ตนั สว่ นใหญม่ ีสายสมั พันธ์จากการเปน็ ศษิ ย์และเครอื ญาติกับอลุ ะมาอฺปตานี หลังจากที่ปตานีถูกรัฐสยามครอบง�ำอย่างเบ็ดเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ (ค.ศ. ๑๙๐๒) กลันตันได้กลาย เป็นป้อมปราการด่านสุดท้ายของอิสลามในแผ่นดินมลายูที่จะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง ชัยคฺวัน อะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ จึงได้มอบหมายให้อุละมาอฺมลายูกลันตันรวมพลังปกป้องกลันตันให้ปลอดภัยจากการรุกรานของ อ�ำนาจต่างชาติ หากกลันตันต้องตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจของคนต่างชาติจะท�ำให้เสถียรภาพการเป็นระเบียงแห่ง มักกะฮฺของกลนั ตนั ถูกสั่นคลอน คำ� ร้องขอของชยั ควฺ ันอะหมัด อลั -ฟะฏอนยี ์ ไดร้ ับการตอบรบั จากบรรดาอุละมาอฺ และนักต่อส้เู พอ่ื พทิ ักษอ์ ิสลามมลายูกลันตนั (Nik Anuawar Nik Mahmud, ๑๙๙๙ : ๑๖) เมื่ออังกฤษได้เข้าครอบครองกลันตันแทนสยามในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. ๑๙๐๙) ปอเนาะและมัสยิด ในกลันตันได้กลายเป็นศูนย์กลางการต่อต้านอังกฤษ ในช่วงแรกการต่อต้านอังกฤษเป็นไปอย่างรุนแรง ไม่มี การประณปี ระนอม และเมอ่ื รฐั บาลออตโตมานตรุ กี ไดป้ ระกาศเขา้ ขา้ งเยอรมนั ในสงครามโลกครง้ั ที่ ๑ (ค.ศ. ๑๙๑๔) การประกาศลุกข้ึนต่อสู้กับอังกฤษในแนวญิฮาดจึงเกิดขึ้น ฝ่ายอังกฤษได้พยายามยับย้ังขบวนการ นิยมตุรกี ในกลันตันโดยอังกฤษได้ขอความร่วมมือจากสุลต่านให้ระงับการต่อต้านอังกฤษและท่ีสุดแล้วให้สุลต่านกลันตัน เข้าขา้ งฝ่ายองั กฤษในสงครามโลกคร้งั ท่ี ๑ ถึงอย่างไรก็ตาม สงครามที่สืบเน่ืองกันมาถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๘ (ค.ศ. ๑๙๑๕) ท�ำให้เกิดขบวนการการต่อสู้ ด้วยอาวุธ เพ่ือต่อต้านอังกฤษขึ้นในอ�ำเภอปาเซรฺปูเตะฮฺ รัฐกลันตัน ภายใต้การน�ำของฮัจญีมัด ฮาซัน หรือ โตะ๊ ญาโงะ (Nik Anuar Nik Mahmud, ๑๙๙๙ : ๒๘) ซงึ่ เปน็ ศษิ ยข์ องชยั ควฺ นั อะหมดั อลั -ฟะฏอนยี ์ ทา่ นมชี อ่ื เตม็ วา่ ฮัจญีหะซัน บิน ปังลีมามูนัซ จือรัม กลันตัน (ค.ศ. ๑๘๕๐ - ๑๙๑๕) ชาวกลันตันให้ความร่วมมือกับโต๊ะยาโง๊ะ ในการต่อสู้กับทหารของอังกฤษ ท่านมีสหายร่วมรบที่เป็นนักต่อสู้มลายูปาหัง เช่น Tok Gajah, Mat Kilau, Datuk Bahaman และ Mat Seman หรือ Mat Kelantan (Nik Anuar Nik Mahmud, ๑๙๙๙ : ๒๔) ท้ังนี้ ในช่วงวัยหนุ่มท่านเคยเดินทางไปศึกษาวิชาศิลปการป้องกันตัวประจ�ำชาติมลายู คือ เบอดิกา หรือการสิลัต จาก Tok Mekong Bujud แหง่ เมอื งลือแฆะห์ ปัจจุบนั อำ� เภอระแงะ จังหวดั นราธิวาส (Abdul Razak Mahmud, ๒๐๐๒ : ๑๗๖) 70 หลักสูตรสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตรท์ ้องถ่ินจงั หวดั ชายแดนภาคใต)้
ท่านเสียชีวิต (ชะฮีด) ลงในระหว่างสงครามต่อสู้กับฝ่ายอังกฤษ ณ หมู่บ้านก�ำปงดาลัม ปูโปะฮฺ กลันตัน เมื่อวนั ท่ี ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ (Nik Anuawar Nik Mahmud, ๑๙๙๙ : ๓๕) ด้านโต๊ะกอื นาลนี ั้น ภายหลงั สงคราม ท่านได้กลายเป็นอุละมาอฺที่โด่งดังของกลันตัน สืบทอดเจตนารมณ์ของชัยคฺวันอะหมัด อัล-ฟะฏอนีย์ โดยก่อตั้งหนังสือพิมพ์ปืองาโซะฮฺ (Pengasuh) พิมพ์แพร่หลายในรัฐกลันตันจนถึงปัจจุบัน (Nik Anuar Nik Mahmud, ๑๙๙๙ : ๒๒ - ๒๓) คติพจน์ของชยั ควฺ นั อะหมัด อัล-ฟะฏอนยี ์ “Urusan Islam adalah pertama-tama dan utama, Urusan-urusan lain adalah sambil-sambil sahaja. Barangsiapa mendahulukan urusan-urusan lain daripada Islam agamanya, maka telah khianat kepada agamanya. ความว่า : พนั ธกิจอสิ ลามต้องมากอ่ น ถอื พนั ธกิจอน่ื เป็นรอง ผู้ใดเนน้ พันธกจิ อื่นท่มี ใิ ช่ศาสนา เขาผู้นนั้ ถอื เปน็ ผูท้ �ำลายศาสนาของตนเอง” ที่มา : Koleksi Khazanah Syeikh Ahmad Al-Fathani Pameran Manuskrip dan Khazanah Ulama-ulama Kelantan dan Patani โดย: Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah Kelantan ๑๙๙๒ ๑.๓ ชัยคฺมุฮัมมัดสะอีด อัล-บาซีซา อัล-ยามานี (โต๊ะปาซัย) นักเผยแผ่ศาสนาและนักการแพทย์ ผูป้ ระกาศและขนานนาม ปตานดี ารสุ สลาม อารยธรรมอสิ ลาม คาบสมุทรทองคำ� “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) จงท่องเที่ยวไปตามแผ่นดิน แล้วพิจารณาดูว่าพระองค์ทรงให้บังเกิดอย่างไร แล้วอัลลอฮฺ ทรงใหฟ้ น้ื คนื ชพี ในปรโลก แทจ้ รงิ อลั ลอฮนฺ นั้ เปน็ ผทู้ รงอนภุ าพ เหนือทกุ สิ่ง” (อลั -อังกะบูต : ๒๐) หมบู่ ้านเบียราโตะ๊ ปาซัย ต้ังอยู่ทห่ี มู่ท่ี ๖ ต�ำบลตะลโุ บะ อ�ำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ช่ือเบียราเป็นชื่อท่ีมีความหมาย ทางศาสนาฮินดู มีรากศัพท์เดิมมาจากค�ำว่า วิฮารา หมายถึง สถานท่ีปฏิบัติธรรมทางศาสนาฮินดู วิฮาราเป็นภาษามลายู สันสกฤต ในภาษาไทยหมายถึงวิหาร บ้านเบียราจึงเป็นหมู่บ้าน ท่ีมีความส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ของบรรพชนมลายูโบราณ ก่อนจะรับนับถือศาสนาอิสลาม ชาวบ้านในพ้ืนที่น้ีเคยนับถือ สสุ านซัยดสฺ ะอีด อัล-บาซีซา (โต๊ะปาซัย) ศาสนาพราหมณ์ ฮนิ ดู และพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน บา้ นเบยี รา ค.ศ. ๑๔๕๗ - ๒๐๐๐ ตั้งอยูท่ ่หี มู่ที่ ๖ ต�ำบลตะลโุ บะ อ�ำเภอเมอื ง จังหวัดปตั ตานี 71หลกั สตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต)้
ในส�ำเนียงมลายูปตานีปัจจุบันคือ แบรอ หมู่บ้านเบียรา มีบริเวณกว้างขวาง ชาวบ้านเรียกชื่อแต่ละหมู่บ้าน ในบริเวณใกล้เคียงกันด้วยช่ือเรียกที่แตกต่างกันไป เช่น แบรอโต๊ะปาซัย แบรอจือรัง แบรอปอเนาะบาบอแซะ แบรอปูโปะ แบรอกวู ง แบรอโตะ๊ นาฮู แบรอแว แบรอบแู ญซมึ บแี ล แบรอจือรังบองอ และแบรอปาแดบองอ ชื่อหมู่บ้าน “โต๊ะปาซัย” มาจากชื่อของนักดะอฺวะฮฺนามอุโฆษ “ชัยคฺมุฮัมมัดสะอีด อัล-บาซีซา” ท่านเป็นแพทย์ผู้อุทิศตนให้กับงานศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวาตะอาลา ท่านเดินทางไกลจากอาหรับเยเมน สถานทที่ อี่ หิ มา่ มชาฟอี เี คยเปน็ ผปู้ กครองรฐั ดว้ ยเรอื ใบขา้ มคาบสมทุ รอาหรบั ผา่ นมหาสมทุ รอนิ เดยี ใชเ้ วลาแรมเดอื น ชัยคฺสะอีดได้แวะที่หมู่เกาะมลายูเป็นแห่งแรก คือ หมู่เกาะสุมาตรา เมืองปาซัย ปัจจุบันเปล่ียนชื่อเมืองเป็น อาเจะห์ดารุสสลาม หลังจากที่ได้ใช้เวลาท�ำงานศาสนาที่เมืองปาซัยเป็นเวลาพอสมควร ชัยคฺสะอีด อัล-บาซีซา ก็ได้เดินทางมายังปตานี เมืองปตานีในขณะน้ันเป็นเมืองท่ีเพิ่งสร้างใหม่ โดยเปลี่ยนจากเมืองโบราณลังกาสุกะ ทม่ี เี มอื งหลวง คอื โกตามหั ลฆิ ยั ญอื รงั (เมอื งโบราณยะรงั ) มาสรา้ งเมอื งใหมท่ ร่ี มิ ชายทะเล โดยกษตั รยิ แ์ หง่ ราชวงศ์ ลังกาสุกะองค์สุดท้าย คือ พญาตูนะกะปา ผู้สถาปนาเมืองปตานี มีพระราชวังชื่อ พระราชวังโกตานิลัม กรือเซะ ผู้ครองนครพญาตูนะกะปา ในขณะน้ันยังนับถือศาสนาพุทธมหายาน แม้ว่าทางประวัติศาสตร์จะบันทึกว่า อิสลามได้เข้ามาสู่คาบสมุทรมลายูโดยเฉพาะในราชอาณาจักรมลายูลังกาสุกะ เป็นเวลานับพันปีมาแล้ว และ ท่ีส�ำคัญประวัติศาสตร์กลันตัน ระบุว่า เม่ือ พ.ศ. ๑๖๙๓ มีนักดะอฺวะฮฺจากปตานีโบราณ (ลังกาสุกะ) ได้น�ำ ศาสนาอิสลามไปเผยแผ่ท่ีกลันตัน ตรังฆานู และปาหัง ตามบันทึกของชาวยุโรป บอกให้ทราบว่าอิสลามนั้น เป็นทีร่ ับในหมู่อาณาประชาราษฎร์ กอ่ นกษัตรยิ ์ลังกาสกุ ะเปน็ เวลา ๓๐๐ - ๕๐๐ ปี การท่ีนักดะอฺวะฮฺชัยคฺสะอีด ได้เดินทางมาพ�ำนักและต้ังถ่ินฐานด้วยการสมรสกับคนพ้ืนเมือง ท�ำให้ มีครอบครัวมุสลิมเกิดข้ึน และจากการที่ท่านเคยท�ำงานดะอฺวะฮฺท่ีเมืองปาซัยสุมาตรา จึงท�ำให้ชาวบ้านเบียรา เรยี กทา่ นวา่ โตะ๊ ปาซยั ทา่ นใชว้ ชิ าความรดู้ า้ นการแพทยท์ ำ� การรกั ษาผปู้ ว่ ยโดยไมค่ ดิ คา่ รกั ษา ผปู้ ว่ ยจะไดร้ บั คำ� เชญิ ชวนใหก้ ลา่ วคำ� ชะฮาดะฮฺ (คำ� ปฏญิ าณตนเปน็ มสุ ลมิ ) หลงั จากหายจากโรคแลว้ นค่ี อื ยทุ ธวธิ กี ารนำ� สจั ธรรมอสิ ลาม มาเผยแผ่อย่างสันติวิธี ชัยคฺสะอีดได้รับความเช่ือถือจากชาวบ้านให้ด�ำรงต�ำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านใช้เบียรา ทเี่ คยเปน็ ศาสนสถานของคนมลายฮู นิ ดทู ใี่ ชเ้ ปน็ สถานทป่ี ฏบิ ตั ธิ รรม มาเปน็ สเุ หรา่ หรอื บาลยั สำ� หรบั กราบไหวพ้ ระ ผู้เปน็ เจ้า อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) ทา่ นทำ� หน้าทส่ี อนศาสนาและดะอวฺ ะฮทฺ ่ัวรัฐปตานดี ารสุ สลาม ในขณะนั้นที่พระราชวังโกตานิลัมกรือเซะ พระราชาพญาตูนากะปาทรงพระประชวรเป็นโรคผิวแตก มีหมอและโหรประจ�ำราชส�ำนักรักษาก็ไม่หาย ย่ิงนานเข้าโรคของพระองค์ก็ย่ิงก�ำเริบ พระองค์จึงตรัสส่ังให้ดาโต๊ะ บันดารา (ปัจจุบันเทียบเท่านายกรัฐมนตรี) ออกพระราชโองการประกาศให้ชาวเมืองทราบว่า ผู้ใดรักษาพระองค์ ให้หายจากโรคผิวหนังได้ พระองค์จะรับเป็นราชบุตรเขย จากน้ันร้ิวขบวนมหาดเล็ก ก็ออกตีกลองร้องประกาศ ท่ัวเมือง จนถึงหมู่บ้านเบียราโต๊ะปาซัย ดังปรากฏหลักฐานจากพงศาวดารปตานี ท่ีเรียบเรียงโดย อับดุลลอฮฺ อับดุลกอดิร มุนชี มะลากา เมื่อวันที่ ๙ ชะอฺบาน ฮ.ศ. ๑๒๕๕/๑๖ - ๑๐ ค.ศ. ๑๘๓๙ และถูกแปลโดย เอธิว และ ดี.เค วัยอัต ค.ศ. ๑๙๗๐ หน้า ๗๒ - ๗๕ เป็นภาษาอินโดนีเซียและอังกฤษ และอาจารย์วัน มะโรหะบุตร (Hj.Wan Ahmad Wan Abdullah) (๒๔๔๘ - ๑๒ เม.ย ๒๕๓๑) แปลเป็นภาษาไทย จากหนังสือ เรื่องเล่าจาก ชาวใต้ ชดุ ท่ี ๒ ประพนธ์เรอื งณรงค์ ศูนยก์ ารศกึ ษาเก่ยี วกบั ภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี ๒๕๓๑ : ๘ - ๑๔) 72 หลักสูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถนิ่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)
เม่ือได้ยินคนตีฆ้องร้องป่าวประกาศ มาใกล้บ้านของตน ชัยคฺสะอีดก็เดินลงมายังประตูรั้ว และยืนดูอยู่ ท่ีประตูรั้ว คร้ันคนตีกลองผ่านมาหน้าประตูจึงร้องถามไปว่า “มีเหตุอะไรหรือ ท่านจึงเดินตีฆ้องมาเช่นน้ี” มหาดเล็กตีกลองก็ตอบว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเจ้าเมืองของเราก�ำลังป่วยเป็นโรคผิวหนัง ท้ังหมอและโหร ได้เข้าไปรักษาโรคน้ีหลายคนแล้วยังไม่หายได้ ถ้าผู้ใดสามารถรักษาโรคของพระองค์ให้หายได้ พระองค์ก็จะ ยกขึ้นเป็นเขย” เม่ือชัยคฺสะอีด ได้ฟังเช่นน้ันจึงกล่าวว่า “การท่ีจะได้เป็นเขยเจ้าเมืองน้ัน ข้าไม่ปรารถนา แตถ่ า้ เจ้าเมอื งยอมท่ีจะเข้ารบั นบั ถือศาสนาอิสลามของเราแล้ว เราก็จะรักษาให้ได้” เมื่อมหาดเล็กตีฆ้องได้ยินดังนั้น ก็รีบกลับไปเข้าหาต�ำมะหงง (ต�ำแหน่งแม่ทัพ) แจ้งข้อความดังที่ ชัยคฺสะอีด บอกให้ต�ำมะหงงทราบ เมื่อต�ำมะหงงทราบก็รีบไปพบบันดาราแจ้งเรื่องตามมหาดเล็กตีฆ้องบอก เมื่อบันดาราทราบก็รีบเข้าเฝ้าเจ้าเมืองในพระราชวัง กราบทูลดังท่ีต�ำมะหงงบอก พระองค์จึงรับส่ังบันดารา เรยี กชาวปาไซ คนนัน้ เข้าเฝา้ โดยเร็ว บันดาราก็ส่ังให้คนไปเชิญชัยคฺสะอีดเข้าเฝ้ายังพระราชวัง เม่ือชัยคฺสะอีดมาเข้าเฝ้าพระองค์ก็รับสั่ง ถามชยั คฺสะอีด ว่า “ทา่ นว่า ทา่ นสามารถรักษาโรคของเรา จริงหรอื ” ชยั คสฺ ะอดี กราบทลู วา่ “ถ้าหากพระองค์ ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามแล้วข้าพระองค์ก็ยอมรับรักษาโรคพระองค์ได้” เจ้าเมืองได้ยินดังน้ันก็ตรัสว่า “ถ้าแม้นทา่ นรักษาโรคของเรานีใ้ หห้ ายได้แลว้ ทา่ นตอ้ งการอย่างไร เราก็ยอมปฏิบัติทุกอย่าง” ชยั คสฺ ะอดี กข็ อใหพ้ ระองคใ์ หค้ ำ� มนั่ สญั ญาซงึ่ พระองคก์ ย็ นิ ยอม ในวนั นนั้ ชยั คสฺ ะอดี กเ็ รมิ่ ทำ� การรกั ษาโรค ของพระองค์ทันที ชัยคฺสะอีดพ�ำนักอยู่ในวังเป็นเวลา ๗ วัน โรคของเจ้าเมืองก็เร่ิมทุเลาลงจนสามารถออกว่า ราชการเมอื งได้ เม่ือเห็นว่าโรคของพระองคท์ ุเลาลงมากแลว้ ชยั คฺสะอดี กก็ ลับไปยังบ้านของตน ตอ่ จากน้นั ไม่กี่วนั โรคของเจ้าเมืองกห็ ายแตเ่ จา้ เมืองหาได้ปฏบิ ัติตามคำ� มัน่ สัญญาที่ให้ไวต้ ่อชยั คฺสะอดี อีกประมาณ ๒ ปี ต่อมา เจ้าเมืองก็เริ่มมีอาการป่วยเป็นโรคเดิมอีก พระองค์ก็ตรัสสั่งให้เชิญชัยคฺสะอีด มาเฝ้าอีก เม่ือชัยคฺสะอีด มาเฝ้าพระองค์ จึงรับส่ังกับ ชัยคฺสะอีด ว่า “ท่านจงรักษาโรคของเราอีกครั้งเถอะ เม่ือหายแล้วเราก็จะท�ำตามค�ำร้องของท่าน” ชัยคฺสะอีด จึงกราบทูลว่า “ถ้าหากพระองค์รับรองจะปฏิบัติ ตามสญั ญาทใ่ี หไ้ วแ้ กข่ า้ พระองค์ แลว้ ขา้ พระองคก์ ย็ อมจะรกั ษาโรคของพระองคอ์ กี แตถ่ า้ พระองคไ์ มย่ อมปฏบิ ตั ิ ตามสัญญา ข้าพระองค์ก็ไม่อาจจะรักษาโรคของพระองค์ได้” เจ้าเมืองก็ตรัสรับรองแก่ชัยคฺสะอีด ว่าจะปฏิบัติ ตามค�ำสญั ญา ชยั คฺสะอดี ก็เร่ิมรกั ษาโรคของเจ้าเมือง ชัยคฺสะอีด รักษาเจ้าเมืองเป็นเวลา ๕ วัน ชัยคฺสะอีดก็ขอลากลับบ้านไปเช่นเดียวกับคราวท่ีแล้ว และ ตอ่ มาประมาณสบิ ห้าวันโรคของเจ้าเมอื งก็หาย แต่เจา้ เมอื งก็หาได้ปฏิบตั ิตามคำ� มั่นสัญญานน้ั ไม่ อย่มู าประมาณหน่ึงปีเศษ เจ้าเมอื งก็ปว่ ยดว้ ยโรคเดมิ นนั้ อีก มอี าการรา้ ยแรงกวา่ ที่แลว้ มา จะนงั่ จะนอนก็ ไม่เป็นสุข จึงรับส่ังให้มหาดเล็กออกไปเชิญชัยคฺสะอีดมาอีกตามเคย ชัยคฺสะอีดจึงกล่าวแก่ผู้ท่ีมาเชิญนั้นว่า “เจา้ จงกลบั ไปกราบทูลเจา้ เมอื งเถิดว่า เราไมต่ ้องการจะรักษาเจ้าเมอื งแลว้ เพราะเจ้าเมืองผิดสัญญากับเรา” มหาดเล็กได้ฟังกลับไปเฝ้าเจ้าเมืองและกราบทูลตามค�ำพูดของชัยคฺสะอีดทุกประการ เจ้าเมืองก็ตรัสแก่ เจ้าหน้าท่ีกรมวังว่า “เจ้าจงไปเชิญคนปาไซน้ันมาอีกเถอะ บอกเขาว่า ถ้าโรคของเราหายคร้ังนี้ ในนาม แห่งเทวรูปท่ีเรากราบไหว้ เราจะไม่ผิดสัญญาอีกเป็นอันขาด ถ้าเราผิดสัญญาไม่ปฏิบัติตามท่ีเราพูดขอให้ โรคของเราน้อี ย่าได้หายตลอดชีวติ ” 73หลักสตู รสังคมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถนิ่ จังหวัดชายแดนภาคใต)้
ฝ่ายเจ้าหน้าที่กรมวังก็ออกไปหาชัยคฺสะอีด แจ้งให้ทราบตามท่ีพระองค์รับส่ังทุกประการ ชัยคฺสะอีด ได้ฟงั แลว้ กก็ ลา่ ววา่ “ถ้าเช่นน้นั เราจะเชอื่ และเทวรูปเคารพของเจา้ เมืองจะเป็นพยานให้” ครน้ั แล้ว ชัยคสฺ ะอดี ก็ออกจากบ้านมายังพระราชวัง เม่ือชัยคฺสะอีดมาเฝ้าแล้ว พระองค์ก็ตรัสว่า “ขอท่านรักษาโรคเราอีกครั้งเถอะ ถา้ หายจากโรคนแ้ี ลว้ เรายนิ ดจี ะปฏบิ ตั ติ ามทา่ นทกุ อยา่ ง” ชยั คสฺ ะอดี จงึ กราบทลู วา่ “ถา้ เชน่ นน้ั ขา้ พระองคย์ นิ ดี จะรกั ษาโรคของพระองค์ และถา้ หากโรคของพระองคห์ ายเปน็ ปกตแิ ลว้ พระองคไ์ มย่ อมรบั นบั ถอื ศาสนาอสิ ลาม ดังค�ำสัญญาอีก ถ้าโรคของพระองค์เป็นขึ้นมาอีก ข้าพระองค์จะไม่ยอมรับรักษาให้อีกอันขาด แม้นพระองค์ จะใหป้ ระหารชีวิตใหต้ ายไป ข้าพระองคก์ ็ยอม” เจ้าเมืองได้ยินดังนั้นก็กล่าวว่า “เอาเถอะ เรารับรองจะปฏิบัติตามทุกประการ” ชัยคฺสะอีด ก็เร่ิมรักษา เจ้าเมืองอีกครั้ง ชัยคฺสะอีด อยู่รักษาเจ้าเมืองสามวันก็ลากลับไปอยู่บ้าน และต่อมาอีกประมาณย่ีสิบวัน โรคของเจ้าเมืองกห็ ายเปน็ ปกติ หลังจากนั้นประมาณเดือนเศษ วันหน่ึงเจ้าเมืองก็เสด็จออกท้องพระโรงพร้อมด้วยไพร่ฟ้าข้าราชบริพาร ของพระองค์ และตรสั วา่ “ท่านทงั้ หลาย เราขอแจง้ ใหท้ ราบว่าเราจะเข้ารับนบั ถืออสิ ลาม ท่านท้ังหลายจะคิด อย่างไร” บรรดาข้าราชบริพารก็กราบทูลว่า “ควรมิควรแล้วแต่พระองค์จะทรงโปรด บรรดาข้าพระองค์ท้ังหลาย ก็เหน็ ควรแลว้ พระองค์ก็ทรงยินดีปรดี าเปน็ อันมาก เสาศลิ าหลุมฝ่ังศพของสุลต่านอสิ มาอลี ชะห์ คร้ันรุ่งเช้าเจ้าเมืองก็ตรัสสั่งมหาดเล็ก มีกาลีมะห์ซาฮาดะห์ ให้ออกไปเชิญชัยคฺสะอีด และสั่งให้บันดารา รวบรวมบรรดาข้าราชบริพารตลอดจนไพร่ฟ้า ต้งั อยู่ทหี่ มูท่ ี่ ๒ ต�ำบลบาราโหม อ�ำเภอเมอื ง จังหวัดปตั ตานี ทั้งหลายมาเฝ้าพร้อมกัน เม่ือชัยคฺสะอีดมาถึง พระองค์ก็ต้อนรับด้วยความเคารพและตรัสว่า การทเี่ ราเชญิ ทา่ นมาครงั้ น้ี กเ็ นอื่ งจากเราไดส้ ญั ญา แก่ท่านที่จะเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม บัดน้ี “เราพร้อมที่จะปฏิบัติตามสัญญาแล้ว” เมื่อ ชัยคฺสะอีดได้ฟังพระองค์กล่าวเช่นน้ัน ก็รู้สึกยินดี เป็นอย่างย่ิง ท่านย่ืนมือออกเพื่อจับพระหัตถ์ของ เจ้าเมืองแล้วก็จูบพระหัตถ์ของเจ้าเมืองพร้อมท้ัง ยกขน้ึ ทนู เหนอื ศรี ษะ ตอ่ จากนนั้ ชยั คสฺ ะอดี กส็ อน คำ� ปฏญิ าณรบั ศาสนาอสิ ลามโดยกลา่ ววา่ “Asyhadu an la ilaha il Lallah wa as yha du anna - Muhammadan rasul LulLah” แปลว่า “ข้าขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอ่ืนใด นอกจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และข้าขอปฏิญาณ ตนวา่ มฮุ มั มดั เปน็ ศาสนทตู ของอลั ลอฮฺ (ซ.บ.)” เม่ือชัยคฺสะอีดสอนค�ำปฏิญาณรับศาสนาอิสลาม แก่พระองค์แล้ว ก็หันมาสอนบรรดาเช้ือพระวงศ์ 74 หลกั สูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถน่ิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)
และข้าราชบริพาร ตลอดจนไพร่ฟ้าทั้งหลายท่ัวทุกคน เม่ือชัยคฺสะอีดสอนค�ำปฏิญาณแก่ทุกคนแล้ว ก็กราบทูลว่า “เมื่อพระองค์ได้รับศาสนาอิสลามแล้วก็สมควรที่พระองค์จะได้เปล่ียนชื่อของพระองค์เป็นช่ือมุสลิมด้วย เพื่อจะได้เป็นสิริมงคลต่อพระองค์และประชาชนท้ังหลาย” เจ้าเมืองตรัสว่า “ถ้าเช่นน้ันขอให้ท่านต้ังชื่อ ให้เราด้วย” ชัยคฺสะอีด จึงตั้งช่ือพระองค์ว่า สุลต่านอิสมาอีล ชาห์ ซิลุลลอฮฺ ฟิล อาลัม เม่ือชัยคฺสะอีดตั้งช่ือ พระองค์แล้วเสร็จ พระองค์ก็รับส่ังว่า “อันบุตรของเราทั้งสามน้ันก็ขอให้ท่านตั้งช่ือให้เป็นมุสลิม พร้อมๆ กันเสียเลย เพ่ือการรับนับถือศาสนาของเราจะได้สมบูรณ์ข้ึน” ชัยคฺสะอีดได้ฟังก็กล่าวว่า “ขอให้เดชะบารมี ของพระองค์จงปกป้องเมืองปตานีดารุสสลามไปจนถึงลูกหลาน อย่าได้เส่ือมคลายตลอดไป” คร้ันแล้ว ชัยคฺสะอีด จึงต้ังชื่อบุตรธิดาของเจ้าเมืองท้ังสาม โอรสคนโตนั้นให้ช่ือ สุลต่านมุซ็อฟฟาร์ ชาห์ องค์กลางเป็นธิดา ให้ช่ือว่า ซีตีอาซีซะฮฺ และองค์สุดท้ายเป็นโอรส ให้ชื่อว่า สุลต่าน มันซูร์ ชาห์ เมื่อชัยคฺสะอีดตั้งชื่อบุตรธิดา ของเจ้าเมืองแล้ว เจ้าเมืองจึงพระราชทานส่ิงของ ท้ังเงินทองและเส้ือผ้าแก่ชัยคฺสะอีดเป็นจ�ำนวนมาก จากนั้น ชยั คฺสะอีดกก็ ราบทูลลากลับไปยงั บ้านของตนทีเ่ บยี รอ โต๊ะปาซยั ประวัติการอุทิศตนเพ่ืออิสลามของชัยคฺสะอีด โต๊ะปาซัยนั้น นับว่ามีคุณูปการต่อราชอาณาจักรปตานี ดารุสสลามย่ิงนัก แม้นว่าอิสลามจะได้รับการนับถือจากประชาชนก่อนราชวงศ์และราชส�ำนักหลายร้อยปี ก็มิได้ท�ำให้อิสลามขจรขจายได้มากนัก แต่เม่ืออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้อนุมัติให้ชัยคฺสะอีด รักษาโรคผิวหนังแก่ พระราชาไดส้ ำ� เรจ็ และชัยคสฺ ะอีด โตะ๊ ปาซัย ยนื ยนั ไมต่ ้องการเปน็ ราชบุตรเขย เพยี งขอใหพ้ ระองคแ์ น่วแน่ม่ันคง กับการเป็นมุสลิมที่แท้จริง และท่ีสุดโต๊ะปาซัย (ชัยคฺสะอีด ) ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ จากสุลต่าน อสิ มาอลี ชาห์ ซลิ ลุ ลอฮฺ ฟลิ อาลมั ใหด้ ำ� รงตำ� แหนง่ เปน็ ทป่ี รกึ ษาประจำ� ราชสำ� นกั ระบบการบรหิ ารแบบเทวาธริ าช และการปกครองแบบสมมุติเทพอันเป็นมรดกท่ีรับมาจากอารยธรรมอินเดียสืบทอดจากราชอาณาจักรมลายู ลังกาสุกะซ่ึงยาวนานประมาณ ๑,๕๐๐ ปี จึงถูกยกเลิก และได้น�ำเอาระบบอัล-อิสลามมาใช้แทนที่ จึงท�ำให้ ราชอาณาจักรปตานีดารุสสลาม ก่อก�ำเนิดเป็นรัฐมลายูอิสลามอันเป็นแหล่งก�ำเนิดของอู่อารยธรรมอิสลาม แหง่ คาบสมทุ รทองคำ� สถาบนั ปอเนาะไดถ้ อื กำ� เนดิ เพมิ่ ขน้ึ มากมายหลงั จากสลุ ตา่ น อสิ มาอลี ชาห์ ซลิ ลุ ลอฮฺ ฟลี อาลมั ครองราชย์และปกครองตามแบบเดาละฮฺอิสลามียะฮฺ (รัฐอิสลาม) เช่น ปอเนาะกัวลาบือเกาะฮฺ (ปากน�้ำปัตตานี) โดย อบิ นชู ยั คอฺ ษุ มาน อลั -ยามานี ปอเนาะสไุ หงปาแน โดย โตะ๊ ฟากรี อาบู ปอเนาะ กรอื เซะ โดย ชยั คเฺ ศาะฟยี ดุ ดนี อลั -อับบาส (ดาโตะ๊ รายอ ปากริ ) ปอเนาะ บนึ ดังกแู จ ปอเนาะซามูลา โดย ชัยคอฺ ับดลุ ฆอฟรู ชัยคฺสะอีด อัล-บาซีซา มีลูกหลานเป็นอุละมาอฺ สืบทอดภารกิจการสอนศาสนาและดะอฺวะฮฺอิสลามียะฮฺ มากมาย ผู้สืบเชอ้ื สายของโต๊ะปาซัยท่านหนง่ึ ไปบกุ เบิกเปิดปอเนาะเปน็ แหง่ แรกในรัฐเคดาห์มาเลเซยี คอื ปอเนาะ ปเู ลาปีซังจิตรา คือ ชัยคอฺ ับดสุ เซาะมตั บนิ ฟากิรฺ ฮัจญีอับดุลลอฮฺ บนิ อิหมา่ มฮาซมิ เป็นท่รี จู้ ักในนาม โต๊ะปเู ลา จอดอง อุละมาอฺท่านนี้เป็นลูกศิษย์ และญาติสนิทของชัยคฺดาวูด อัลฟะฏอนีย์ เปิดปอเนาะท่ี ปูเลาจอดอง รฐั กลนั ตัน ปจั จุบันบา้ นโต๊ะปาซัย หมู่ท่ี ๕ ต�ำบลตะลุโบะ อ�ำเภอมือง จังหวดั ปัตตานี ยังคงสภาพภมู ทิ ศั นเ์ ดมิ ดังเชน่ ในอดตี ทงุ่ นาและปา่ ละเมาะของหมู่บา้ น มลี านดนิ รูปร่างคล้ายปลายลนิ้ พื้นที่บรเิ วณนเ้ี ปน็ ทฝี่ ังศพของชัยคสฺ ะอีด โต๊ะปาซัย ที่ฝังศพประกอบด้วยก้อนอิฐแดงส่ีเหลี่ยมมีต้นตะเคียนใหญ่ และต้นมะม่วงอายุหลายร้อยปีล้อมรอบ พื้นท่ีตรงปลายล้ิน (DATARAN TANAH- UJUNGLIDAH) ใกล้มะกอม (สุสาน) ของโต๊ะปาซัย มีบ่อน้�ำโบราณ ของโต๊ะปาซัย ต้ังอยู่ ด้านทิศเหนือเป็นหมู่บ้านโต๊ะปาซัยในอดีต ลูกหลานเพ่ิงจะย้ายมาสร้างบ้านเรือน เมื่อทาง ราชการได้ตัดถนนจากแบรอจะรังมายังหมู่บ้านจือโระ เป็นการเปิดหมู่บ้านใหม่เม่ือประมาณ ๔๐ ปีที่ผ่านมา คือ 75หลกั สตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถนิ่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)
บ้านจะรังบองอ บา้ นปาแดบองอ สว่ นด้านทศิ ตะวนั ตกเป็นทฝ่ี งั ศพของโตะ๊ กอื มีรี ซงึ่ เปน็ ฮูลบู าลัง (ทหารคนสนทิ ) ประจำ� ตวั ของโตะ๊ ปาซยั ผอู้ าวโุ สในหมบู่ า้ นเลา่ วา่ “โตะ๊ กอื มรี ี เปน็ ผทู้ ร่ี เิ รม่ิ จดั ทำ� พธิ ปี โู ละซอื มางตั (ขา้ วเหนยี วขวญั ) เมื่อครั้งจะเข้าสุหนัตสุลต่านอิสมาอีล ชาห์ ในพระราชวังโกตานิลัม กรือเซะ มีพิธีการท�ำบัลลังก์และ ถวายขนมโบราณ คอื ตอื ปงดาดา ปตู ู ดอดอ ฆเี น กาหระ ตอื ลอ อาแยปาแง ในพระราชพธิ เี ขา้ สหุ นตั ของสลุ ตา่ น มมี หรสพ การแสดง เชน่ วายงั กลู ติ (หนงั ตะลงุ ) เมาะโยง่ เบอดกี า (ซลี ะ) และขบวนแหช่ า้ ง เปน็ งานเฉลมิ ฉลอง อยา่ งยง่ิ ใหญ”่ ผอู้ าวโุ สของบา้ นปาแดบองอเลา่ ใหฟ้ งั วา่ “หลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ (สงครามญปี่ นุ่ ) มชี าวอยี ปิ ต์ ชอ่ื มฮุ มั มดั ดะหลฺ นั อา้ งตวั เปน็ ลกู หลานชยั คสฺ ะอดี เขาเดนิ ทางมาเพอื่ เยยี่ มสสุ านของบรรพบรุ ษุ คอื ชยั คสฺ ะอดี มีการน�ำเอาจดหมายและแผนที่โบราณท่ีเขียนเป็นภาษาอาหรับ มุฮัมมัด ดะหฺลัน มาปัตตานี ตามหาสุสาน ของชยั คสฺ ะอดี ไปทวั่ ปตั ตานี เปน็ เวลาหลายเดอื นกห็ าไมพ่ บ ชาวบา้ นไมร่ จู้ กั สดุ ทา้ ยเขากต็ ามหากโู บรโ์ ตะ๊ ปาซยั ชาวบ้านจงึ รูจ้ ัก และนำ� เขามายังสสุ านของชยั คสฺ ะอดี สมความตง้ั ใจ เขาเยยี่ มสุสานของชัยคฺสะอีด เป็นเวลา ๗ วนั เขาขออ�ำนวยพรตอ่ อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ใหพ้ ระองค์โปรดประทานเราะหม์ ตั และสรวงสวรรคใ์ หแ้ กท่ า่ น” เวลาผา่ นไปกว่า ๕๐๐ ปแี ลว้ ในปัจจบุ นั สุสานของโต๊ะปาซัย อยู่ในสภาพทรุดโทรมมากขึน้ จงึ เป็นภารกิจ ท่ีลูกหลานชาวปัตตานีและประชาคมมุสลิมที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และฟื้นฟู สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องด�ำเนิน โครงการจัดต้ังให้บริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานประวัติศาสตร์อิสลามฟะฏอนีย์ดารุสสลาม เพื่อเป็นสถาบันเรียนรู้ ผลงานของบิดานักดะอฺวะฮฺและการแพทย์แห่งปัตตานี รวมท้ังเป็นแหล่งท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์อารยธรรมอิสลาม ทส่ี �ำคัญของจงั หวดั ปัตตานี อนิ ชาอัลลอฮฺ หมายเหตุ มฮุ ัมมดั ดะหลฺ นั ไดพ้ �ำนักท่บี ้านของฮัจยีอิสมาแอ แวนิ บ้านเลขที่ ๒ หมู่ที่ ๖ ต�ำบลตะลุโบะ อำ� เภอเมือง จังหวัดปัตตานี ระหวา่ งท่เี ขามาเย่ยี มกโู บร์ โต๊ะปาซัย และผใู้ หข้ ้อมูล คอื ฮัจยอี สิ มาแอ แวนิ ขณะน้ันอายปุ ระมาณ ๑๕ ปี บรรณานุกรม HIKAYAT PATANI (พงศาวดารปตาน)ี เรยี บเรยี งโดยอบั ดลุ ลอฮฺ อบั ดลุ กอดรี มนุ ชี มะละกา แปลโดย เอธวิ และ ดี.เค วยั อัต ๑๙๗๐ เร่ืองเล่าจากชาวใต้ ชุดที่ ๒ ประพนธ์เรือง ณรงค์ ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี ๒๕๓๑ ประวัติเมืองลังกาสุกะ เมอื งปตั ตานี อนันต์ วฒั นานกิ ร พ.ศ. ๒๕๓๑ ปัตตานี อดตี ปจั จบุ นั อ.บางนรา พ.ศ. ๒๕๑๙ สัมภาษณ์ เมือ่ ครั้งส�ำรวจ สสุ านโต๊ะปาซัย ชัยคสฺ ะอีด คร้งั แรก ๑๖ สงิ หาคม ๒๕๓๖ 76 หลกั สตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถน่ิ จังหวัดชายแดนภาคใต้)
บคุ ลานกุ รม บาบอมุฮัมมัด ก�ำปงบากา ฮัจยอี สิ มาแอ แวนิ (เกิด พ.ศ. ๒๔๖๙ - ๒๕๔๙) บา้ นเลขท่ี ๒ ม.๖ ต.ตะลุโบะ อ.เมอื ง จ.ปัตตานี ฮัจยีสาและ อาแว บอื ราเฮง บา้ นเลขท่ี ๑๗ ม. ๕ ต.ตะลุโบะ อ.เมือง จ.ปัตตานี นายบือราเฮง สอเฮาะ (นกั การภารโรง โรงเรียน จะรังบองอ) ม. ๕ ต.ตะลุโบะ อ.เมอื ง จ.ปัตตานี นายอับดลุ เลาะ เบญญากาจ (กรรมการ PUSTA ผรู้ ่วมสำ� รวจกับผ้เู ขียน) โตะ๊ วอลี มะดาฮาน ผอู้ าวุโส หม่บู า้ น เบียรา โตะ๊ ปาซัย ปะงาะห์โซ๊ะ แบปาซา ผู้อาวโุ ส หมู่บา้ น เบียรา โตะ๊ ปาซยั ความรูค้ วามส�ำคญั ของบทที่ ๗ ๑. ชัยคฺ วันดาวูด บิน ชัยคฺวันอับดุลลอฮฺ บิน ซัยยิด อัล-ฟะฏอนีย์ คืออุลามะอฺ (ปราชญ์) ชาวปัตตานี ที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับ ท่านได้เริ่มศึกษาวิชาศาสนากับครอบครัวของท่านที่ปอเนาะกรือเซะ โดยมีทวดของท่านชื่อชัยคฺวันสนิก บิน ซัยยิดอะลี นูรุลอาลัม และศึกษาต่อท่ีมหานครมักกะฮฺเป็นเวลา ๓๐ ปี ทม่ี หานครมาดนี ะฮฺอีก ๕ ปี ทา่ นมผี ลงานวิชาการเท่าทสี่ ามารถรวบรวมไดใ้ นปัจจุบนั มีทัง้ สิ้น ๕๗ เล่ม ๒. ชัค์วันอะหมัด บิน มุฮัมมัดซัยนฺ บิน วันมุสเฏาะฟา อัล-ฟะฏอนีย์ เป็นทายาทผู้สืบทอดเช้ือสาย จากนักเผยแผ่อิสลามที่เดินทางมาจาก หะเฏาะเราะเมาตฺ ประเทศเยเมน ได้รับการศึกษาในระยะแรกจากบิดา ของทา่ นเอง หลงั จากนน้ั กไ็ ดศ้ กึ ษากบั อาของทา่ น คอื ชยั ควฺ นั อบั ดลุ กอดริ หลงั จากทที่ า่ นไดศ้ กึ ษาทมี่ หานครมกั กะฮฺ แล้วชัยคฺวันอะหมัดได้เดินทางไปศึกษาต่อท่ีเมืองเยรูซาเล็ม ประเทศปาเลสไตน์ ท่านเป็นหน่ึงในบรรดาอุลามะอฺ มลายูท่ีมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาอาหรับหรือภาษามาลายูท่านได้รับการขนานนามว่า “พยคั ฆราชแหง่ มกั กะฮฺ” ขอ้ คดิ และบทเรยี นที่ไดร้ ับจากประวัตศิ าสตร์ ๑. การทมุ่ เทเพื่อการศึกษาเพ่ือพัฒนาตนเองเปน็ หนา้ ทห่ี ลกั ของมนุษยชาติ ๒. การศกึ ษาหาความรไู้ มม่ ีขอบเขตจำ� กดั และไมม่ ที ีส่ ิ้นสดุ ๓. ตามหลักค�ำสอนของอิสลามผู้รู้ คือ ผู้ท่ีได้รับมรดกทางปัญญาจากทางศาสดา จึงจ�ำเป็นท่ีจะต้อง เผยแพรค่ วามรทู้ ่มี อี ยู่ให้กับอนชุ นให้ไดร้ ับรู้สืบตอ่ ไป ๔. แบบอย่างการทุ่มเทเพ่ือแสวงหาความรู้ของปราชญ์ในอดีต คือ แบบอย่างที่ดีของชนรุ่นหลังทุกยุค ทกุ สมัยได้เป็นอย่างดี ๕. ความคดิ เหน็ ทางการเมอื งการปกครองของบคุ คลตา่ งๆ ในอดตี ถอื วา่ เปน็ เรอื่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ และสน้ิ สดุ ลงไป แล้วในอดีต 77หลกั สตู รสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ จังหวดั ชายแดนภาคใต้)
บทที่ ๘ บิดาแห่งการศึกษาของจงั หวดั ปัตตานี ยุคปัจจบุ ัน อำ�มาตย์โทพระยาพบิ ลู พิทยาพรรค (ทอง คุปตาสา) ท่านแตง่ เครื่องแบบลกู เสอื มณฑลปัตตานี โดยสวมหมวกดำ� แบบปตั ตานี (Songkok Melayu Patani) สกั วาโพธท์ิ องของเหล่าศิษย ์ พิบูลพทิ ยาพรรคหลักศึกษา ผดุงรฐั ปตั ตานีเดิมทมี่ า แต่ขุนหลวงพระยาปรชี าชาญ กอปรเมตตาปรานีไมตรจี ติ อบรมศษิ ยส์ มยคุ ทกุ สถาน ขอเชดิ ชบู ชู าคณุ อาจารย ์ ตลอดกาลชีวิตของศิษยเ์ อย 78 หลักสูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถนิ่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)
สักวาบทน้ีประพันธ์โดยขุนวิชัยศึกษากร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยยกย่องบุคคลส�ำคัญที่สร้างสรรค์ จังหวัดปัตตานี ให้มีความเจริญก้าวหน้าด้วยการส่งเสริมการศึกษาแก่กุลบุตรกุลธิดา ท่านคือ พระยาพิบูล พิทยาพรรค บดิ าแหง่ การศกึ ษาจงั หวัดปตั ตานี พระยาพบิ ลู พิทยาพรรค เดมิ ชอื่ ทอง คุปตาสา (ได้รบั พระราชทานนามสกุลในรัชกาลท่ี ๖) เกดิ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๒๖ ณ บา้ นบางกะปิ ต�ำบลน�ำ้ ตาล อ�ำเภออินทร์บรุ ี จังหวดั สิงหบ์ ุรี บิดาชอ่ื นายบุญธรรม มารดาช่อื นางสนุ่ ท่านเจ้าคุณฯ เร่ิมต้นเรียนหนังสือท่ีโรงเรียนประจ�ำอ�ำเภออินทร์บุรี ต่อมาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ โดยมาอาศัยอยู่กับท่านมหามีแห่งวัดราชบพิธ เม่ือส�ำเร็จการศึกษาชั้นต้นแล้วก็เข้ารับราชการเป็นครูในกระทรวง ธรรมการเป็นคร้ังแรกในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ในต�ำแหน่งครูรอง ณ โรงเรียนวัดราชบพิธ ได้เงินเดือนๆ ละ ๑๕ บาท ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๔๔ - ๒๔๔๕ ท่านเจ้าคุณฯ ได้เข้าอบรมวิชาครูที่โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ (โรงเลี้ยงเด็ก) และโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ด้วยความต้ังใจและรักในการแสวงหาวิชาความรู้ ท่านเจ้าคุณฯ จึงสอบไล่ได้คะแนน ดเี ยยี่ ม และไดร้ บั ประกาศนยี บตั รครปู ระถมศกึ ษาพเิ ศษ (ปปพ.) ทา่ นเจา้ คณุ ฯ นบั วา่ เปน็ นกั เรยี นฝกึ หดั ครเู รม่ิ แรก ท่จี ดั การศกึ ษาแผนใหมส่ มัยพระบาทสมเด็จ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัว จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ท่านเจ้าคุณฯ ได้ด�ำรงต�ำแหน่งเป็นครูโรงเรียนกล่อมพิทยา (วัดพระเชตุพนฯ) และต่อมาทา่ นไดย้ า้ ยไปสอนทโี่ รงเรยี นวดั มหาธาตแุ ละโรงเรยี นสวนกุหลาบ ตามลำ� ดับ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ ไดอ้ ปุ สมบทเมอ่ื วนั ที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ณ วดั มะมว่ ง อำ� เภออนิ ทรบ์ รุ ี จงั หวดั สงิ หบ์ รุ ี อยู่ภายใต้รม่ กาสาวพสั ตรไ์ ด้ ๑ พรรษา กไ็ ดล้ าสกิ ขาบทออกมารับราชการต่อไป ๑. ธรรมการมณฑลปัตตานี เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ในกระทรวงธรรมการขณะน้ันมีสายตาไกลคือ มองเห็นว่าท่านเจ้าคุณฯ เป็นผู้มีความคิด สร้างสรรค์ และมีความขยันหม่ันเพียรในราชการเป็นอันดี จึงเห็นสมควรส่งไปเป็นผู้น�ำทางการศึกษา ณ จังหวัด ภาคใต้ โดยสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพรับพระบรมราชโองการคัดเลือกตัวมอบให้กับพระคุณเจ้า เจา้ คณุ รตั นธชั มนุ ี สมยั ยงั เปน็ ทพ่ี ระศริ ธิ รรมมนี (มว่ ง รตั นธโช ป. ๔) เจา้ คณะมณฑลนครศรธี รรมราช ทา่ นเจา้ คณุ ฯ ได้มาเป็นครูอยู่ท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ และด้วยความสามารถอันยอดเย่ียมของท่านเจ้าคุณฯ โดยแท้ จงึ ไดย้ า้ ยมาดำ� รงตำ� แหนง่ เปน็ วา่ ทธ่ี รรมการมณฑลปตั ตานี ทำ� งานอยปู่ ระมาณ ๒ ปี จงึ ไดเ้ ลอื่ นตำ� แหนง่ ขนึ้ เป็นธรรมการมณฑลปัตตานี และก�ำกับการนครศรีธรรมราชอกี มณฑลหนึ่งด้วย ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เดนิ ทางมาอยปู่ ตั ตานคี รง้ั แรกเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ซงึ่ ขณะนนั้ พระยาเดชานชุ ติ (หนา บนุ นาค) เม่ือครั้งยังเป็นพระยาศกั ดเิ์ สนีเป็นสมุหเทศาภบิ าล ๒. เปิดโอกาสใหเ้ ด็กไทยมุสลิมเรียนภาษาไทย ท่านเจ้าคุณฯ เร่ิมต้นโดยพยายามน�ำผู้ใหญ่ชาวไทยมุสลิมมาเป็นตัวอย่างเพ่ือเล่าเรียนหนังสือไทย ท่านเจ้าคุณฯยังเชิญหะยีโต๊ะครูท่ีชาวไทยมุสลิมนิยมมาสอนคัมภีร์อัลกุรอานในโรงเรียน หวังประโยชน์ให้ ผปู้ กครองเดก็ ไทยมสุ ลมิ สง่ บตุ รหลานเขา้ โรงเรยี น นอกจากน้ันทา่ นเจา้ คุณฯ ยงั บรรจุตงึ กยู โู ซฟ ลูกหลานเจ้าเมือง เก่าและขุนศิริอับดุลบุตร น้องชายพระยายะหริ่งเป็นผู้ช่วย เพื่อส่งเสริมให้เด็กไทยมุสลิมได้เล่าเรียนภาษาไทย ย่ิงกว่าน้ันยังชักชวนพระตามวัดต่างๆ เป็นครูสอนเด็ก โดยอาศัยวัดเป็นโรงเรียน จัดหาสถานที่ หาครู ฝ่ายท่านเจ้าคุณฯ สนับสนุนเดก็ เข้าเรียน จงึ เกิดเปน็ โรงเรียนวดั มากมาย 79หลกั สตู รสงั คมพหวุ ัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตรท์ ้องถนิ่ จงั หวัดชายแดนภาคใต)้
จากค�ำไว้อาลัยของนายผัด นะมาตย์ อดีตศึกษาธิการจังหวัดปัตตานีได้กล่าวถึงความเป็นห่วง ของทา่ นเจ้าคุณฯ ทมี่ ตี อ่ เดก็ ไทยมสุ ลิมดังความตอนหนงึ่ ว่า “ผัด...การโอนโรงเรียนประชาบาลเขาจะท�ำกันอย่างไรก็ช่าง แต่เราอย่าทอดท้ิงเราต้องการ ใหเ้ ขารู้ภาษาไทย เราตอ้ งอบรมเดก็ ต้องปรบั ปรุงครูและสร้างโรงเรยี นดี ๆ ใหพ้ อ เราต้องสรา้ งคน บ้านเมือง จงึ จะเจริญ และฉันอยากไปดพู ระบรมรูปรชั กาลท่ี ๕ ท่สี ร้างทีโ่ รงเรียนเบจมฯ” ๓. สนับสนุนการลกู เสอื และอนกุ าชาด ท่านเจ้าคุณฯ เป็นคนแรกที่ร่วมมือกับสมุหเทศาภิบาลมณฑลปัตตานี ปรับปรุงและขยายกิจการลูกเสือ และอนุกาชาดให้แพร่หลาย โดยไปศึกษาในโรงเรียนกองฝึกหัดผู้ก�ำกับลูกเสือในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งท่าน เป็นผู้อาวุโสกว่าใครๆ ท่านจึงได้รับเลือกเป็นผู้อ่านค�ำถวายชัยมงคลแทนคณะ และในขณะท่ีท่านเป็น ผู้ตรวจการมณฑล ก็ได้เป็นผู้น�ำกองลูกเสือปัตตานีที่มีชื่อเสียงตลอดมา และในคราวท่ีท่านเจ้าคุณฯ ได้น�ำลูกเสือ ปัตตานีไปชุมนุมลูกเสือแห่งชาติเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ผลการแสดงการเล่นพื้นเมืองของลูกเสือปัตตานี ท�ำให้เจ้านายทรงพอพระทัยถึงกับประทานรางวัลให้เป็นพิเศษ ส่วนทางด้านอนุกาชาดท่านก็ริเร่ิมให้เด็กรู้จัก บำ� เพญ็ ประโยชนแ์ กช่ าวบา้ น ด้วยการอบรม แนะน�ำใหไ้ ปอา่ นหนงั สือใหช้ าวบา้ นฟังบา้ ง และจัดให้มกี ารประกวด การอ่านหนังสือให้ชาวบ้าน ผู้ท่ีอ่านดีท่านก็มีรางวัลส่วนตัวให้ ท�ำให้ชาวบ้านเลื่อมใส และมีใจสนับสนุนลูกหลาน เป็นสมาชกิ อนกุ าชาดเพ่ิมข้ึน ด้วยความเอาใจใส่มุ่งจะให้เด็กไทยมุสลิมนิยมเป็นลูกเสือ ท่านเจ้าคุณฯ ยังขออนุญาตต่อเสนบดี ให้ลูกเสือปัตตานีใช้หมวกซอเกาะ (หมวกมลายู) ติดหน้าเสื้อข้างหน้า เพราะในเวลาน้ันชาวไทยมุสลิมท่ัวไป ไมน่ ยิ มใชห้ มวกปกี ถือว่าบาป เม่ือเสนาบดีอนมุ ตั ิ อปุ สรรคเด็กไทยมุสลิมเป็นลกู เสอื ก็หมดไป ความดีนี้เองทางกระทรวงธรรมการได้ลงประกาศในหนังสือวิทยาจารย์ ซ่ึงเป็นหนังสือของกระทรวงว่า “ปัตตานเี ป็นมณฑลตวั อย่าง คอื ดที งั้ การศกึ ษา และการลูกเสอื และอนกุ าชาด” ๔. แต่งแบบเรยี นและหนงั สือทีน่ า่ สนใจ ผลงานเขียนของทา่ นเจา้ คณุ ฯ เกี่ยวกบั แบบเรยี นและหนงั สอื ทนี่ ่าสนใจ มีดังตอ่ ไปน้ี ๑. แบบเรยี นเรว็ ไทย - มลายู หนงั สอื นท้ี า่ นเจา้ คณุ ฯ มคี วามประสงคใ์ หเ้ ดก็ ไทยมสุ ลมิ ใชเ้ ปน็ แบบเรยี น โดยเฉพาะเด็กไทยมุสลิมส่วนใหญ่พูดภาษามลายูเป็นประจ�ำ ไม่สนุกต่อการเรียนภาษาไทย อ่านออกแล้วไม่รู้เรื่อง การเรียนภาษาไทยของเด็กไทยมุสลิมไม่ก้าวหน้าตามที่ควร ท่านเจ้าคุณฯ จึงได้แต่งแบบเรียนเล่มนี้ เป็นแบบสอบอ่านใช้ตัวอักษรไทยแต่มีค�ำภาษามลายูปะปน เมื่อเด็กไทยมุสลิมอ่านออกแล้วก็รู้เรื่อง เกิดความสนุกและได้ผล ๒. การตงั้ โรงเรยี นศลี ธรรมในวดั หนงั สอื เลม่ นท้ี า่ นเจา้ คณุ ฯ รว่ มมอื กบั พระคณุ เจา้ เจา้ คณุ พระธรรม วโรดม (เชง่ ) วตั ถปุ ระสงค์ส�ำคัญเพือ่ “ช่วยการปกครอง เพราะท่านเจา้ คุณฯ เลง็ เหน็ วา่ การปกครองของเรามแี ต่ การปราบกายคอื จบั คนผดิ มาไดก้ ข็ งั ตะรางขงั คกุ อยา่ งแรงกป็ ระหาร ไมไ่ ดป้ ราบใจ เมอ่ื ใจคนไมเ่ กรงบาปเกรงกศุ ล พอพ้นโทษไปแล้ว ไม่ช้าก็ท�ำชั่วอีก เหตุนี้เองท่านเจ้าคุณจึงได้จัดต้ังเรียนศีลธรรมในวัด เพื่อได้ช่วยกันปราบคน ทางใจให้คนกลวั กรรมมากกว่ากลวั กฎหมาย 80 หลกั สตู รสังคมพหุวฒั นธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถิ่นจงั หวัดชายแดนภาคใต้)
๓. เลา่ ความเตอื นเพยี้ น เปน็ หนงั สอื ใหค้ ตโิ ลก และคตธิ รรมสอนใจอยา่ งดี เชน่ มสี าระสำ� คญั ดงั ตวั อยา่ ง ดงั นี้ “การศึกษานั้นต้องเอาธรรมะเป็นหลักปลุกใจให้มั่นในทางธรรมะ คือ สอนจรรยาให้ดี พยายาม ปลุกเสกเอาใจใส่ หัดเด็กให้ท�ำความดี ให้รู้ และเห็นจริงว่าคนขาดศีลธรรม ขาดจรรยาเป็นคนดีไม่ได้” และว่า “คนทจ่ี ะเข้าสมาคมได้มาก ตอ้ งเป็นคนมกี ริ ยิ าดี เคารพดี” ๕. นกั สักวา ท่านเจ้าคุณฯ มีความสนใจในด้านกาพย์กลอน เคยเปน็ นักเลน่ สักวาของวง น.ม.ส. และพระยาธรรมศักด์ิ มนตรี จากจดหมายท่ีท่านเขียนไปถึงพระยาอุดรธานี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้เล่าความในใจเกี่ยวกับ ความรักในกวีดังน้ี “ผมเป็นคนสนุก ความวิตกวิจารณ์จึงไม่หมักหมม อารมณ์จึงแจ่มใสมากกว่ามืดมัว พลอยได้พลานามัยดี อายุก็ยืนยาว การเขียนหนังสือจะเป็นโครงกลอนอะไรก็ตาม ท�ำให้ใจสงบ และชื่นบาน ไม่แกว่งใจแส่ไปเบียดเบียนผู้อื่น มิอิจฉาตาร้อน เป็นต้น ถนัดทางความเรียงก็เขียนความเรียง ถนัดกลอนก็เขียนกลอน ถนัดโคลงก็เขียนโคลง ใจจดจ่ออยู่กับเร่ืองนั้นๆ เรียกว่า เป็นสมาธิประจ�ำก�ำกับ เรื่องนน้ั ๆ”๑ ท่านเจ้าคุณฯ ยังเป็นผู้ริเร่ิมให้มีการเล่นสักว่าซ่อนเงื่อนกับเจ้าคุณอุดม พงษ์เพ็ญสวัสดิ์ และจัดให้มี การพบปะข้าราชการผู้ร่วมงานเดือนละครั้ง ณ สโมสรข้าราชการ โดยต่างคนต่างท�ำอาหารคนละอย่าง ไปรับประทาน เสร็จแล้วก็เล่นสักว่ากันอย่างสนุก ตัวอย่างสักวาท่ีท่านเจ้าคุณฯ ประพันธ์เก่ียวกับการจัดตั้ง บรษิ ัทจังหวัด สมัยจอมพล ป.พิบลู สงคราม “สกั ว่าบริษัทจังหวัดตงั้ เกิดสะพรงั่ แพรวพราวราวกบั เห็ด คอ่ ยเก่าเปื่อยจนดินหมิน๒ เหมือนเวจ็ ราษฎรหลาบเข็ดตาม ๆ กัน เงินหลวงขาดราษฎรว์ อดจอดกนั สน้ิ พวกจดั การปลอ้ มปลิน้ หอบไปฉัน เหลือแตก่ ลิน่ เน่าฟุ้งพลงุ่ เป็นควัน นี่แหละชน้ั เชิงค้ารฐั พาเอย” ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ มีการประกาศยุบท้องท่ีบางมณฑล และบางจังหวัด ด้วยเหตุผลในการประหยัด และสะดวกตอ่ การบงั คบั บญั ชา ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหย้ บุ เลกิ มณฑลปตั ตานี โดยใหร้ วมเมอื งในมณฑลนครศรธี รรมราช เข้ากับมณฑลปัตตานี ท่านเจ้าคุณฯ ก็ย้ายจากปัตตานีไปเป็นธรรมการมณฑลนครศรีธรรมราชแห่งเดียว โดยมีส�ำนักงานธรรมการมณฑลอยู่ท่ีสงขลา คร้ันต่อมาทางราชการได้มีการยุบเลิกมณฑล ตามพระราชบัญญัติ วา่ ดว้ ยระเบยี บราชการบรหิ ารแหง่ ราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ แลว้ มณฑลตา่ ง ๆ ทวั่ ราชอาณาจกั รกย็ บุ เลกิ ไป และในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านเจ้าคณุ ฯ ได้อำ� ลาชวี ิตราชการออกรับเงนิ บ�ำนาญ ๑ สัมภาษณ์ขนุ จรรยาวิธาน ๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๖ ณ บ้านเลขที่ ๒๐/๑ ถนนพระยาเมือง ต.รสู ะมแิ ล อ.เมือง จ.ปัตตานี ๒ หมนิ ภาษาถน่ิ ใต้ เท่ากบั เหมน็ 81หลักสูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ิศาสตรท์ ้องถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)
ท่านเจ้าคุณฯ ได้กลับมาอยู่ปัตตานี และซ้ือที่ดินตั้งนิวาสสถาน ณ ท้องถิ่นอันเป็นท่ีรัก แต่ความดี ของทา่ นยงั ขจรขจายไปทวั่ ไมเ่ ฉพาะภาคใต้ แมท้ างกรงุ เทพฯ กม็ บี รษิ ทั การคา้ หลายแหง่ อยากไดต้ วั ทา่ นเขา้ รว่ มงาน ท่านเจ้าคุณฯ ก็ปฏิเสธ แต่มาตกลงใจร่วมงานกับบริษัทประกันชีวิตบูรพา เพราะเห็นว่าเป็นการช่วยส่วนรวม ทางหนึ่ง จากความสามารถในการท�ำงานดังกล่าวนี้ ท่านเจ้าคุณฯ ได้รับตุ๊กตาทองแห่งความสามารถ ๓ ปีซ้อน และไดร้ บั ประกาศนยี บตั รชมเชยจากบรษิ ัท พระยาพบิ ูลพิทยาพรรค ได้ถึงแก่อนจิ กรรมเมือ่ วนั ที่ ๓ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๐๙ อายไุ ด้ ๘๓ ปี ณ บา้ นพกั ในจังหวัดปัตตานี นับว่าเป็นการสูญเสียบุคคลท่ีรักของชาวปัตตานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมความก้าวหน้า ทางการศึกษา และชาวปตั ตานีไดย้ กย่องทา่ นเจา้ คณุ ฯ เป็น “บิดาแหง่ การศึกษาของจงั หวดั ปตั ตานี” ทมี่ า : ศนู ยก์ ารศกึ ษาเกย่ี วกบั ภาคใต้ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี ประพนธ์ เรอื งณรงค์ บรรณาธกิ าร ๒๕๒๖ หนา้ ๒๐ - ๒๖ 82 หลักสตู รสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวัตศิ าสตร์ท้องถน่ิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)
บรรณานกุ รม หนังสืออา้ งอิงภาษาไทย ขนุ ศลิ ปะกจิ จพ์ สิ ณั ห.์ ๒๕๒๕. “ขอ้ คดิ บางประการเกย่ี วกบั ประวตั เิ มอื งปตั ตาน”ี . ลมุ่ นำ้� ตานี (หนา้ ๕๐). ปตั ตานี : ศนู ย์การศกึ ษาเกยี่ วกับภาคใต้ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ธวัช รตั นาภชิ าต,ิ มปป. ประวัติศาสตร์สี่จังหวดั ภาคใต้. กรงุ เทพ : กรมศลิ ปากร ประพนธ์ เรอื งณรงค.์ ๒๕๒๖. “บคุ คลสำ� คญั จงั หวดั ชายแดนภาคใต”้ , ศนู ยก์ ารศกึ ษาเกยี่ วกบั จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปตั ตานี พระยาวิเชียรคีรี (ชม). ๒๕๐๗. “พงศาวดารเมืองสงขลา”, ประชุมพงศาวดารฉบับหอสมุดแห่งชาติ, เล่ม ๒. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั พิมพ์ก้าวหน้า. พรี ยศ ราฮมิ มลู า. ๒๕๔๕. บทบาทสถาบนั อลู ามะฮแฺ ละการศกึ ษาอสิ ลามปตั ตานใี นอดตี ตงั้ แต่ ค.ศ.๑๗๘๕ - ๑๙๔๕. ปัตตานี : ม.ป.ท. สงั ข์ พัทโนทยั . ๒๕๒๒. “ราชทูตลงั กาสกุ ะ”, เมืองโบราณ. ปที ่ี ๕ ฉบบั ท่ี ๒ ธันวาคม ๒๕๒๑ - มกราคม ๒๕๒๒. สบื สาย กระจายพนั ธุ์. ๒๕๓๔. ร้อยแซ่พนั ธุ์มงั กร. ใน หนังสือพิมพผ์ ้จู ัดการ ปที ี่ ๕ ฉบับ ๒๔๘ หน้า ๓๒ เสนยี ์ มาดากะกลุ . ๒๕๑๑. ตารคี ปตานี (ภาษามลายูอกั ษรญาวฉี บบั เขยี นมอื ). -------------. ๒๕๑๙. “ประวัติศาสตร์ปัตตานีโบราณ ราชอาณาจักรลังกาสุกะอยู่ไหน”. วิกฤติปัตตานี หนงั สอื รายงาน ๑๐ ปสี มาคมยุวมสุ ลมิ แหง่ ประเทศไทย. -------------. ๒๕๓๙. “ประวตั ศิ าสตร์ปัตตานีโบราณ ราชอาณาจักรลังกาสกุ ะอยู่ทไี่ หน”. มสุ ลิมในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : หอสมุดกลางอสิ ลาม เสาวนยี ์ จติ ตห์ มวด. ๒๕๓๑. กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ : ชาวไทยมุสลิม. กรงุ เทพฯ : กองทนุ สง่ารจุ ริ ะอัมพร. อนนั ต์ วฒั นานกิ ร. ๒๕๒๘. แลหลงั เมอื งตาน.ี ปตั ตานี : ศนู ยก์ ารศกึ ษาเกยี่ วกบั ภาคใต้ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี. -------------. ๒๕๓๑. ประวัตเิ มอื งลงั กาสุกะ - เมอื งปัตตาน.ี กรงุ เทพฯ : มิตรสยาม. อบั ดลุ ลอฮฺ ลออแมน. ๒๕๓๒. ทร่ี ะลกึ ครบรอบ ๓๗๐ ปี มสั ยดิ วาดอี ลั ฮเู ซน็ (ตะโละมาเนาะ). ปตั ตานี : มติ รภาพ. อ.บางนรา. ๒๕๑๙.ปัตตานีอดตี - ปจั จุบนั . กรุงเทพฯ : ศนู ยก์ ารพิมพก์ รุงเทพฯ. สัมภาษณ์ นกิ รอซดี ีน นกิ วันฮเุ ซน. (ชา่ งกรชิ ) สัมภาษณ์วันที่ ๓ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๐. ฮจั ญีวันมฮุ ัมมัดเศาะฆรี บิน อับดลุ ลอฮฺ. (นกั เขียน) สัมภาษณว์ นั ท่ี ๓๐ ธนั วาคม ค.ศ. ๒๕๔๕. หนังสืออา้ งองิ ภาษาต่างประเทศ Abdullah Halim Nasir. ๒๐๐๗. “Lembangan Sungai dalam Peradaban Melayu”. Universiti Kebangsaan Malaysia Bangi Ahmad Fathy al-Fatani, ๒๐๐๑. Ulama’ besar dari Patani. Selangor : Bangi UKM. Allan, William. ๑๙๕๓. Webster’s New Internatinal Dictionary of the English Language. Second Edition. U.S.A. : G. & C. Merriam Company. 83หลกั สูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หลักสูตรประวัตศิ าสตร์ท้องถิน่ จงั หวัดชายแดนภาคใต้)
Arifin Amin, Monisa dalam lintasan sejarah Bangsa, (Medan : Rahmat:๑๙๘๕) Hal ๑๐ A. Teeuw & D.K.Wyatt. ๑๙๗๐. Hikayat Patani I. Natherland Floris, Peter (๒๐๐๒) [๑๙๓๔]. Mooreland, W.H., ed. Peter Floris His Voyage to the East Indies in the Globe, ๑๖๑๑-๑๖๑๕ Siam, Pattani, Bantam. White Lotus Co., Ltd. Hj. Wan Mohd. Shaghir Abdullah. ๑๙๙๐. Syeikh Daud bin Abdullah al-Fatani Ulama’ dan Pengarang Terulung Asia Tenggara. Shah Alam Selangor : Commercial. -------------. ๒๐๐๐. Penyebaran Islam & Silsilah Ulama Sejagat Dunia Melayu Jilid ๑๑. Kuala Lumpur : Persatuan Pengkajian Khazanah Klasik Nusantara & Khazanah Fathaniyah. Khoo Kay Kim, Muhd. Yusof Ibrahim dan Zainal Abidin B. Abdul Wahid. ๑๙๘๑. Kursus Sejarah untuk Tingkatan ๑. Singapor : Singapore National Printers. Mohd. Zamberi A.Malek. ๑๙๙๓. Umat Islam Patani Sejarah dan Politik. Shah Alam : HIZBI Reprografik. -------------. ๑๙๙๔. Patani dalam Tamadun Melayu. Selangor : Dewan Bahasa dan Pustaka. Wan Hashim Wan Teh. ๑๙๙๑. “Rumpun Melayu Sebagai Kelompok Minoriti”. Rumpun Melayu- Polinesia. ๔ (Ogos), ๗. Yayasan Al-Jenderami. ๒๐๐๗. Majlis Seminar Ijtima’ Ulama’ Pondok Senusantara Ke ๒ Sejarah Nusantara Melayu Sempena Sambutan Maulidurrasul ๑๔๒๘ di Konpleks Yayasan Al- Jenderami, Sepang, Selangor, Darul Ehsan. ๑๒-๑๔ April. Abdullah Al-Qari. ๑๔๐๘ H. Tok Qadhi dan Tok Guru. Abdul Razak Mahmud. ๒๐๐๒. Ikhtisar Sejarah Kelantan. Kota Bharu. Pustaka Aman Press Sdn. Bhd. Ahmad Fathy. ๒๐๐๑. Ulama’ besar dari Patani. Selangor: Bangi UKM. Ahmad Fathy. ๒๐๐๒. Ulama’ besar dari Patani. Selangor: Bangi UKM. Allan, William. ๑๙๕๓. Webster’s New International Dictionary of the English Language. Second Edition. U.S.A. : G. & C. Merriam Company. A. Teeuw & D.K.Wyatt. ๑๙๗๐. Hikayat Patani I. Natherland Eman Mohamed Abbas. ๒๐๐๗. Sultan Abd al-Hamid II Dan Kejatuhan Khilafah Islamiah. Kuala Lumpur : Pustaka Salam SDN BHD. H.W.M. Shaghir Abdullah. ๑๙๘๗. Syeikh Daud Bin Abdullah al-Fatani Penulis Islam Produktif Asia Tenggara C. V. Ramadhan, Solo, Indonesia. -------------. ๑๙๙๐a. Fatawa Tentang Binatang Hidup Dua Alam Syeikh Ahmad al-Fatani. Shah Alam : Commercial. -------------. ๑๙๙๐b. Syeikh Daud bin Abdullah al-Fatani Ulama’ dan Pengarang Terulung Asia Tenggara. Shah Alam Selangor : Commercial. -------------. ๑๙๙๒. Al-‘Allamah Sheikh Ahmad al Fathani Ahli Fikir Islam dan Dunia Melayu 84 หลักสูตรสงั คมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ิศาสตรท์ ้องถิน่ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้)
Guru kepada hampir semua ulama dan tokoh Asia Tenggara Abad ke ๑๙ - ๒๐ Jilid ๑. Kuala Lumpur: Khazanah Fathaniyah. -------------. ๑๙๙๕. Shaykh Ahmad Al-Fatani Ulama dan Tokoh Persuratan Melayu Dari Zaman Klasik Ke arah Dunia Moden. Seminar Antara bangsa Kesusasteraan Melayu IV Bangi ๑๔-๑๖ Ogos ๑๙๙๕ Anjuran Jabatan Melayu Universiy kebangsaan Malaysia. -------------. (๑๙๙๗, February-March). Sejarah Ulama’- Ulama’ Mengarang Nusantara: Syeikh Daud Bin Abdullah Al-Fatani. Dian Digest Vol. ๙๗, p. ๑๐๖. -------------. ๑๙๙๘. Tarikh Fathani Syeikh Faqih ‘Ali Al-Fathani. Kuala Lumpur: Persatuan Pengkajian Khazanah Klasik Nusantara & Khazanah Fathaniyah. -------------. ๑๙๙๙a. Penyebaran Islam & Silsilah Ulama Sejagat Dunia Melayu Jilid ๓. Kuala Lumpur : Persatuan Pengkajian Khazanah Klasik Nusantara & Khazanah Fathaniyah. -------------. ๑๙๙๙b. Penyebaran Islam & Silsilah Ulama Sejagat Dunia Melayu Jilid ๖. Kuala Lumpur : Persatuan Pengkajian Khazanah Klasik Nusantara & Khazanah Fathaniyah. -------------. ๒๐๐๐a. Penyebaran Islam & Silsilah Ulama Sejagat Dunia Melayu Jilid ๑๐. Kuala Lumpur: Persatuan Pengkajian Khazanah Klasik Nusantara & Khazanah Fathaniyah. -------------. ๒๐๐๐b. Penyebaran Islam & Silsilah Ulama Sejagat Dunia Melayu Jilid ๑๑. Kuala Lumpur: Persatuan Pengkajian Khazanah Klasik Nusantara & Khazanah Fathaniyah. -------------. ๒๐๐๐c Wawasan Pemikiran Islam Ulama Asia Tenggara Jilid ๒. Kuala Lumpur : Persatuan Pengkajian Khazanah Klasik Nusantara & Khazanah Fathaniyah. -------------. ๒๐๐๕. Syeikh Ahmad al-Fathani Pemikir Agung Melayu dan Islam Jilid ๑. Selangor : Hizi Print. Ismail Che Daud. ๑๙๘๘. Tokoh-tokoh Ulama’ Semenanjung Melayu (๑). Kuala Lumpur : Perniagaan Rampai Utama. -------------. ๒๐๐๒. Syeikh Daud al-Fatani (๑๗๖๙-๑๘๔๗). In Ahmad Fathy al-Fatani (Ed.). Ulama Besar dari Patani (๑st ed., p.๓๐). Selangor : UKM. Mohd. Zamberi A.Malek. ๑๙๙๓. Umat Islam Patani Sejarah dan Politik. Shah Alam : HIZBI Reprografik. -------------. ๑๙๙๔. Patani dalam Tamadun Melayu. Selangor : Dewan Bahasa dan Pustaka. Nik Anuar Nik Mahmud. ๑๙๙๙. Tok Janggut Pejuang Atau Penderhaka. Bangi: Jabatan Sejarah Universiti Kebangsaan Malaysia Riduan Mohd. Nor, Mohd. & Fadil Ghani. ๒๐๐๗. Ulama dalam Sorotan Perjuangan Kemerdekaan. Selangor: MHI Publication. Siti Hawa Hj. Salleh. ๑๙๙๒. Hikayat Patani. Selangor : Dewan Bahasa dan Pustaka. 85หลักสตู รสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตร์ท้องถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)
บทที่ ๑ รากเหงา้ ของเราบนแผน่ ดนิ ๑. บทนำ� โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เป็นผืนแผ่นดินติดต่อกันเป็นผืนเดียว มีอาณาเขตติดต่อกับรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย คือ ท่ีรัฐเคดาห์ รัฐเปรัค รัฐกลันตัน และรัฐเปรัค เว้นเพียงจังหวัดปัตตานีเท่าน้ัน ที่ไม่มีพ้ืนที่ติดต่อกับประเทศมาเลเซีย แต่มีพ้ืนท่ีติดต่อกันทางทะเลฝั่งตะวันออก เป็นแนวยาวไปจนจดปลายแหลมมลายูเช่นเดียวกับจังหวัดนราธิวาส จากสภาพดังกล่าว ท�ำให้ประชาชนทั้งสอง ประเทศไปมาหาสู่กันเป็นนิจ ซึ่งเป็นการเชื่อมสัมพันธภาพที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน การพึ่งพาต่อกันมีอยู่ คอ่ นข้างสูง บางสว่ นกเ็ ป็นเครอื ญาติกัน การไหลบา่ ของวัฒนธรรมประเพณแี ละภูมปิ ญั ญาเปน็ ไปได้งา่ ย ตามหลกั ฐานในทางประวตั ศิ าสตร์ พน้ื ทแ่ี หง่ นม้ี ผี คู้ นหลายเชอ้ื ชาตอิ าศยั อยรู่ ว่ มกนั เชน่ มลายู ชวา อนิ เดยี จีน อาหรับ เป็นต้น โดยนบั ถอื ลทั ธบิ ูชาภตู ผีวิญญาณมากอ่ นการนับถอื ศาสนาต่างๆ ศาสนาพราหมณ์ ฮนิ ดู พทุ ธ และอิสลามเข้ามาในภายหลัง ผู้คนเหล่านี้จะมีความเช่ือ ความศรัทธา และศาสนาท่ีแตกต่างกัน จึงเป็นบ่อเกิด ของวัฒนธรรมที่สืบเน่ืองต่อมาจากศาสนา ท�ำให้มีวัฒนธรรมฮินดู วัฒนธรรมพุทธ และวัฒนธรรมอิสลาม ในท่ีสุด กลายเปน็ วฒั นธรรมผสมผสานทโี่ ยงยึดอยู่กบั ศาสนา และความเชอ่ื ระเบียบประเพณี และกฎระเบยี บบ้านเมือง ภาคใต้ของประเทศไทย เป็นแหล่งที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สุดแห่งหน่ึงในเอเชียอาคเนย์ ดังจะเห็น ได้จากหลักฐานทางโบราณคดี ท่ีแสดงให้เห็นร่องรอยของผู้คนในยุคต่างๆ ตั้งแต่ยุคหินใหม่ และยุคโลหะ ซง่ึ เปน็ ยคุ ทแ่ี สดงความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางดา้ นเทคนคิ วทิ ยาการของคนในภาคใต้ เหน็ ไดจ้ ากเครอื่ งใชท้ สี่ รา้ งดว้ ยสมั ฤทธิ์ เครื่องประดบั และภาชนะเขยี นสีในหลายทอ้ งท่ี สิง่ ของเครื่องใชเ้ หลา่ นี้มกี ารขดุ พบในหลายประเทศ ไม่วา่ จะเป็น ลาว ญวน ไทย เขมร มาเลเซีย และอินโดนีเซีย วัฒนธรรมเหล่าน้ีมีอายุโดยประมาณ ๑๐๐ ปี ไปจนถึง ๕๐๐ ปี กอ่ นครสิ ต์ศกั ราช หรอื มากกวา่ นน้ั ศรีศักร วัลลิโภดม(๑) กล่าวถึงภูมิภาคนี้ว่า เนื่องจากพื้นที่ภาคใต้ติดต่อกับฝั่งทะเลท้ังสองด้าน คอื ฝง่ั ทะเลดา้ นตะวนั ออกทเี่ ปน็ อา่ วไทย และฝง่ั ทะเลตะวนั ตกทเ่ี ปน็ ทะเลอนั ดามนั ทง้ั สองฟากฝง่ั มคี วามเหมาะสม ในการต้ังถิ่นฐานบ้านเมือง แต่เป็นท่ีน่าสังเกตว่าการตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งตะวันออกมากกว่าฝั่งตะวันตก ตามหลักฐานพบว่า ผู้คนท่ีอยู่แถบนี้จะมีอารยธรรมสูงกว่าทางซีกตะวันตก ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง ผู้คนจะเป็นชาวพื้นเมืองที่มีความเป็นอยู่ล้าหลัง อยู่กันเป็นชุมชนเล็กๆ มีอาชีพท�ำการประมงดั้งเดิม ล่าสัตว์ และท�ำไร่เล่ือนลอย แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นชาวต่างประเทศ มีอาชีพค้าขาย และขุดแร่ดีบุก เนื่องจากเป็นแหล่ง แร่ดีบุกยาวตลอดแนวจากเหนือลงไปใต้สุดของประเทศ กลุ่มนี้สามารถรวมตัวกันเป็นหลักแหล่ง และสามารถ รวมตวั กันเปน็ ชุมชนเมอื งได้ (๑) ศรีศกั ร วัลลโิ ภดม (๒๕๔๖ : ๑๗ – ๒๒). 89หลกั สูตรสงั คมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลักสตู รประวตั ศิ าสตร์ท้องถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต้)
ส�ำหรับร่องรอยของความเจริญในภาคใต้ ที่ปรากฏหลักฐานในเชิงโบราณคดี มีกระจายไปท่ัวท้ังภาคใต้ เร่ิมตั้งแต่เขตอ�ำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงมาจนถึงอ�ำเภอปะทิว และอ�ำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร มีการค้นพบพระพุทธรูปยืนแบบอมราวดีแถบอ�ำเภอปราณบุรี เพราะเคยเป็นเส้นทางคมนาคมท่ีติดต่อกับ เมืองมะริด และตะนาวศรี และยังพบร่องรอยชุมชนโบราณริมล�ำน้�ำชุมพรในเขตอ�ำเภอท่าชนะ จังหวัดชุมพร และร่องรอยของชุมชนโบราณในเมืองชุมพรริมแม่น�้ำสวี เป็นอีกแห่งหน่ึงท่ีมีร่องรอยของชุมชนโบราณ ณ บริเวณน้ันมีพระธาตุสวีที่มีศิลปกรรมตระกูลเดียวกับพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช ท่ีสร้างข้ึน ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ - ๑๙ ในพื้นท่ีอ�ำเภอท่าชนะ ต่อแดนกับอ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีการพบ พระพทุ ธรปู หนิ ทรายสแี ดง พระพทุ ธรปู นอน และพระพมิ พแ์ บบศรวี ชิ ยั ภายในถำ้� ใหญ่ สนั นษิ ฐานกนั วา่ เคยใชเ้ ปน็ ศาสนสถานทางพระพุทธศาสนาของชุมชนโบราณในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ ส่วนในอ�ำเภอพุนพิน เลยลงมาทาง อ�ำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบเทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกแขกแบบก่อนอาณาจักรขอม และพระพทุ ธรปู หินทรายแบบคปุ ตะ ที่สรา้ งขนึ้ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ – ๑๙ ลงมา อำ� เภอกาญจนดิษฐ์ ลงไปถงึ อ�ำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการส�ำรวจพบชุมชนโบราณใหญ่น้อยเรียงรายกันเป็นระยะ เลยต่�ำลงมา ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช เช่น อ�ำเภอสิชล และอ�ำเภอท่าศาลา พบเทวรูปเก่าแบบสวมหมวกแขก ศิวลึงก์ และสระนำ�้ ศกั ดส์ิ ทิ ธติ์ ามความเชอ่ื ของศาสนาฮนิ ดทู บี่ า้ นนาขอม และเขาคา นอกจากนนั้ ยงั พบพระพทุ ธรปู หนิ ทรายแดง ณ วัดโมคลาน อ�ำเภอท่าศาลา และซากเจดีย์เก่า พระพิมพ์ดินดิบแบบทวาราวดี - ศรีวิชัย แล้วยังพบชิ้นส่วน ของศาสนสถานทีท่ ำ� ด้วยแท่งหินอคั นมี ีลวดลายสลกั อีกด้วย สำ� หรบั บรเิ วณอำ� เภอเมอื งนครศรธี รรมราช เปน็ ทรี่ าบลมุ่ กวา้ งใหญ่ มเี มอื งโบราณตง้ั อยบู่ นสนั ทรายเดยี วกนั ถึงสองแห่ง แห่งหนึ่งอยู่ท่ีวัดพระเวียงร้าง และในบริเวณที่เป็นวัดพระมหาธาตุวรวิหาร วัดท้าวโคตรและ วัดทา่ เรอื ตรงบริเวณนมี้ ีการคน้ พบโบราณวตั ถหุ ลายอยา่ ง เช่น เทวรปู ศวิ ลึงก์ ฐานศิวลึงก์ ศิลาจารึก พระพทุ ธรูป แบบศรีวิชัย พระพุทธรูปหนิ และปูนปนั้ ในยคุ สมยั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ ทางด้านใต้ของเมืองมีล�ำน้�ำนครศรีธรรมราชไหลพาดผ่านจากตะวันตกไปออกทางทะเลฝั่งตะวันออก ล�ำน้�ำน้ีเคยเป็นเส้นทางการเดินเรือสินค้า หลักฐานที่ปรากฏชัด คือ ซากเรือสินค้าบริเวณวัดท่าเรือ ลงมาทางใต้ บริเวณอ�ำเภอเชียรใหญ่ และหัวไทร ไม่พบร่องรอยของชุมชนโบราณ เนื่องจากเป็นท่ีลุ่มต่�ำ ท�ำเลไม่เหมาะต่อ การเปน็ แหลง่ ชมุ ชน แตผ่ คู้ นจะมาตงั้ ถนิ่ ฐานกนั รอบๆ พน้ื ทท่ี ะเลสาบสงขลา บรเิ วณอำ� เภอควนขนนุ อำ� เภอระโนด อ�ำเภอสทิงพระ อ�ำเภอเมืองสงขลา อ�ำเภอปากพะยูน อ�ำเภอรัตภูมิ และอ�ำเภอเขาชัยสน พื้นที่บริเวณดังกล่าว ค้นพบโบราณสถาน โบราณวัตถุเก่าแก่ในศาสนาฮินดู แบบปัลลวะ แบบปาละ และแบบศรีวิชัยที่มีอายุ อยใู่ นชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ - ๑๙ ส่วนใต้ลงไปยังพ้ืนท่ีปัตตานี และยะลา เป็นท่ีราบกว้างใหญ่ มีล�ำน้�ำสายใหญ่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิต ของผู้คนมาแล้วหลายรุ่นมาจนถึงปัจจุบัน คือ แม่น�้ำปัตตานี และตรงบริเวณปากอ่าวที่อ�ำเภอยะรัง ในปัจจุบัน มีเมืองโบราณขนาดใหญ่ มีคูน้�ำล้อมรอบสามช้ัน แต่ละช้ันห่างกันประมาณ ๑๕๐ เมตร ระหว่างช้ันที่ ๒ และช้ันที่ ๓ ทางทิศใต้มีหนองน�้ำอยู่ตรงกลาง ริมคูทางทิศใต้นอกเมืองมีสระน�้ำขนาดใหญ่รูปสี่เหล่ียมผืนผ้า ไมป่ รากฎให้เห็นซากกำ� แพงดนิ เช่นในภาคอื่นๆ ภายในบรเิ วณพน้ื ทร่ี ะหวา่ งคูน�้ำชน้ั ที่ ๑ กบั ช้นั ท่ี ๒ สนั นษิ ฐานวา่ เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั สว่ นภายในชน้ั ที่ ๓ เปน็ ราชฐานของกษตั รยิ ์ และทอี่ ยขู่ องเจา้ นายและขนุ นาง จงึ พบเครอื่ งปน้ั ดนิ เผา ซากอฐิ และซากหนิ อคั นที เ่ี ปน็ สว่ นประกอบของสถาปตั ยกรรม ซากเนนิ ดนิ ทเ่ี ปน็ ศาสนสถาน พระพทุ ธรปู แบบทวารวดี ศิวลึงก์ พระพุทธรูป และเทวรูปแบบศรีวิชัย เลยข้ึนไปตามล�ำน้�ำปัตตานีในเขตจังหวัดยะลา ปรากฏร่องรอย 90 หลักสูตรสังคมพหวุ ฒั นธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้ (หลกั สูตรประวตั ศิ าสตรท์ ้องถ่ินจังหวัดชายแดนภาคใต)้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328