Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง ร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อหน้าท้อง

รายงานวิจัย โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง ร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อหน้าท้อง

Published by ์Nuttaporn Suddee, 2022-09-26 17:13:58

Description: รายงานวิจัยสมรรถภาพ(ฉบับสมบูรณ์)

Search

Read the Text Version

รายงานการวิจัย โปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทาง กายดว้ ยตนเองร่วมกบั นวตั กรรม ดราิจยิทงัลาเนพก่อื าสรว่งจิ เัยสรมิ ความแข็งแรงของ กลา้ มเนอื้ หน้าท้อง รองศาสตราจารย์ ณฐั พร สดุ ดี ศาสตราจารย์ ดร.เนาวนติ ย์ สงคราม โครงการวจิ ัยนไี้ ดร้ บั ทนุ อดุ หนนุ การวจิ ยั จากกองทนุ รชั ดาภเิ ษกสมโภช จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ปงี บประมาณ 2563



รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง ร่วมกบั นวตั กรรมดจิ ิทัลเพื่อส่งเสรมิ ความแขง็ แรง ของกลา้ มเน้ือหน้าทอ้ ง Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to Enhance the Abdominal Muscle Strength รองศาสตราจารย์ ณัฐพร สุดดี ศาสตราจารย์ ดร.เนาวนิตย์ สงคราม คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย โครงการวจิ ยั นีไ้ ดร้ ับทนุ อดุ หนนุ การวิจยั จากกองทนุ รัชดาภเิ ษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ปงี บประมาณ 2563 (This Research is funded by Chulalongkorn University : CU GR_63_07_27_02)



คำนำ รายงานการวิจัย เรื่องโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือ ส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง มีที่มาจากการดำรงชีวิตของมนุษย์ท่ีมีวิถีชีวิตท่ีเปลี่ยนไป การดูแล ตัวเองให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง สมส่วนด้วยการออกกำลังกายด้วยตนเองมีจำนวนเพิ่มขึ้น การบริหารร่างกาย ด้วยการลุก-น่ัง หรือเรียกว่า Sit up ก็เป็นกิจกรรมการออกกำลังกายที่แพร่หลายของผู้ที่ชอบออกกำลังกายท้ังใน ห้องออกกำลังกาย (Fitness) หรือสถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อให้การออกกำลังกายด้วยการ Sit up ได้ ประโยชน์ทางด้านสมรรถภาพอย่างสมบูรณ์ และช่วยให้การออกกำลังกายดังกล่าวได้ผลดีและสามารถฝึกปฏิบัติ ได้ด้วยตนเอง ผู้วิจัยจึงได้คิดค้นอุปกรณ์นวัตกรรมดิจิทัล และโปรแกรมการออกกำลังกายท่ีจะช่วยในการทำ Sit up ให้ง่ายและได้ประโยชน์มากขึ้น โดยนวัตกรรมดิจิทัลจะมีฟังก์ชันการทำงานท่ีจะทำให้กล้ามเน้ือหน้าท้องมี ความแข็งแรง เหมาะสมในแต่ละชว่ งอายุ สามารถเพ่ิมประสิทธิภาพทางสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงของ กลา้ มเนอ้ื หนา้ ทอ้ งได้ดี สง่ ผลตอ่ สขุ ภาพสว่ นตวั และโดยรวมในการดำรงชีวติ อยู่ในสังคมได้อยา่ งมีความสขุ ผู้วิจยั ขอขอบพระคณุ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ท่ีอนมุ ัตเิ งินอุดหนุนการวจิ ัยจากเงนิ รายไดข้ องมหาวทิ ยาลัย ประเภททุนวิจัยกองทุนรัชดาภิเษกสมโภช ปีงบประมาณ 2563 (ครั้งที่ 4) ทำให้ผู้วิจัยได้มีโอกาสสร้างสรรค์ ผลงานวิจัย และสร้างองคค์ วามรู้และนวตั กรรมใหม่ที่เป็นประโยชน์แกส่ ังคม และวงการการศึกษาไทย ขอบพระคุณ กลุ่มภารกิจวิจัยและบริการวิชาการ ฝ่ายวิชาการ คณะครุศาสตร์ท่ีช่วยดูแล ประสานงานการติดต่อหน่วยงานที่ เกย่ี วขอ้ ง รวมถึงการดำเนนิ งานในเร่ืองการเบิกจ่ายงบประมาณให้เปน็ ไปไดอ้ ย่างรวดเรว็ และคลอ่ งตัวอยา่ งมาก ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคน กลุ่มสหสถาบัน ชุดที่ 1 ที่ช่วยให้ คำแนะนำ ตรวจโครงร่างวิจัยและเครื่องมืออย่างละเอียด แก้ไข เพ่ิมเติมข้อมูล ทำให้ผู้วิจัยได้รับความรู้เพ่ิมขึ้น รวมถึง ขอบพระคุณอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิท่ีให้คำแนะนำและตรวจสอบแก้ไขเครื่องมือ รวมถึงตรวจรายละเอียดงานวิจัย และให้ คำแนะนำเพอื่ ใหผ้ ู้วิจัยนำไปปรบั แกไ้ ข ทำให้งานวิจัยมีคุณภาพ ถูกตอ้ ง และมคี ณุ คา่ มากย่งิ ขน้ึ ขอขอบคุณกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นิสิต นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยท่ัวประเทศ ท่ีให้ความอนุเคราะห์ ชว่ ยเหลอื ในการเก็บข้อมูลวจิ ัยในครงั้ นี้เปน็ อย่างดี รวมถึงขอบพระคุณพ่ี ๆ เพ่ือนๆ นอ้ ง ๆ ท่ีจบการศึกษาจาก คณะครุศาสตร์ สาขาสุขศึกษาและพลศึกษา และสาขาต่าง ๆ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไปปฏิบัติ หน้าท่ีตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ช่วยประสานงานในการเก็บข้อมูลแบบสอบถามออนไลน์ ในระยะที่ 1 ทำให้ได้ จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามเป็นจำนวนมาก สามารถนำมาปรบั ใช้ในงานวจิ ยั ระยะอน่ื ๆ ต่อไป ขอขอบพระคุณผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของการทำงานวิจัยคร้ังน้ี ด้วยความกรุณาจาก ศาสตราจารย์ ดร.เนาวนิตย์ สงคราม อาจารย์ผู้รว่ มวจิ ัย ในการให้โอกาส ให้คำปรกึ ษา คำแนะนำ และคอยชว่ ยเหลือ ดำเนินการในข้ันตอนต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน รวมถึงขอบคุณอ.ทรพั ย์สิดี เที่ยงพูนวงศ์ อ.ปุณทิศา กลัดทอง ท่ีช่วย ตรวจสอบ ตรวจทานทางดา้ นการใช้ภาษา และให้ขอ้ เสนอแนะในการจดั ทำรายงานฉบับสมบรู ณ์ และท้ายสุดนี้ผ้วู จิ ัย หวังเป็นอย่างย่ิงว่า ผลการวิจัยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคล หน่วยงาน ผู้ท่ีเก่ียวข้องและผู้ที่สนใจท่ัวไปในด้าน สุขภาพรา่ งกายที่แขง็ แรงอันเป็นประโยชนต์ ่อการดำรงชวี ติ อยู่ในสังคมไทย สงั คมโลกได้อยา่ งมีความสขุ ต่อไป ผูว้ จิ ยั สงิ หาคม 2565



ช โปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกบั นวตั กรรมดิจิทัลเพ่อื ส่งเสรมิ ความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อหนา้ ท้อง ณัฐพร สดุ ดี1 เนาวนติ ย์ สงคราม2 บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ทั่วไป คือ เพ่ือพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และมีวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพ และความต้องการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความ แขง็ แรงของกล้ามเน้ือหนา้ ทอ้ ง 2) เพอื่ พัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดจิ ทิ ัล เพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง 3) เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วย ตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง 4) เพ่ือรับรองโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองรว่ มกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือสง่ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนอื้ หน้าท้อง กลมุ่ ตัวอยา่ ง ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้เรียนระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะ วิทยาศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพศชายและเพศหญิงที่มี อายุต้งั แต่ 18 ป–ี 23 ปี จำนวน 60 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง แบง่ เป็นกลมุ่ ตวั อย่างกลุ่มละ 30 คน กล่มุ ท่ี 1 กลุ่มทดลอง คือ กลุ่มท่ี ใช้อุปกรณ์นวัตกรรมดิจิทัลกับโปรแกรมการฝึกฯ กลุ่มท่ี 2 กลุ่มควบคุม คือ กลุ่มที่ใช้ โปรแกรมการฝึกฯ แต่ไม่ใช้อุปกรณ์นวัตกรรมดิจิทัล โดยกลุ่มตัวอย่างต้องเข้าร่วมกิจกรรมตามโปรแกรมใน ระยะเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน รวม 18 วัน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยมี 6 ชุด คือ 1) โปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองในระยะเวลา 6 สปั ดาห์ ประกอบด้วย วตั ถุประสงค์ กิจกรรม ระยะเวลา อุปกรณ์ที่ใช้ ประกอบโปรแกรม การประเมินผล 2) เกณฑ์การประเมินผลความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง 3) นวัตกรรม ดิจิทัล ประกอบด้วยอุปกรณ์ Sit-Up Sensor พร้อมสายรัดหน้าอก นาฬิกาดิจิทัล หรือสมาร์ทโฟนที่ติดตั้งแอปพลิ เคชันการทดลอง (Sit-Up Application) 4) แบบบันทึกการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group Discussion Form) 5) แบบสอบถามสภาพความจริง ความต้องการและการยอมรับโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง รว่ มกับนวัตกรรมดิจทิ ัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง 6) แบบรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ ทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ 1) สถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 2) สถิติอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ ค่าเฉล่ีย T-test การวิเคราะห์องคป์ ระกอบเชิงยืนยัน (Confirm Factor Analysis) และการวิเคราะห์โมเดลสมการ โครงสร้าง (Structural Equation Modeling Analysis) 3) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาเพื่อสังเคราะห์ลักษณะ โปรแกรมการฝึกฯ 4) ตรวจสอบด้านความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) ของนวตั กรรมดิจทิ ลั ผลการวจิ ยั สรุปได้ดังนี้ 1. การศึกษาสภาพและความต้องการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสรมิ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง พบว่าคา่ เฉลี่ยสภาพความเป็นจริงและความ

ซ ตอ้ งการโปรแกรมและอุปกรณ์ในการออกกำลังกายด้วยตนเองแตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 และผลการศึกษาสภาพความเปน็ จรงิ และความต้องการอุปกรณ์เช่อื มต่อทางเทคโนโลยีท่ีนำมาใช้ออกกำลังกาย ในโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองพบว่า ค่าเฉลี่ยสภาพความเป็นจริงและความต้องการ อุปกรณ์เชื่อมต่อทางเทคโนโลยีท่ีใช้ออกกำลังกายในโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองแตกต่าง กันอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 2. ผลการพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริม ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องพบว่า การพัฒนาอุปกรณ์สายรัดหน้าอกอัจฉริยะเป็นการพัฒนาสายรัด หน้าอกสำหรับวัดความชันของลำตัวของผู้เรียนด้วยการ Sit up โดยมีฟังก์ชันการทำงานท่ีบอกถึงระดับความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ระยะเวลาการ Sit up และฟังก์ชันอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการทำงานร่วมกับ Smart Phone และแอปพลิเคชันเฉพาะ (Sit-Up Fitness Tracker Application) เพื่อเพิ่มความสะดวกใน การ Sit up ให้มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และที่สำคัญผู้เรียนสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ซ่ึงจะทำให้ช่วยลด การบาดเจ็บไดอ้ กี ดว้ ย 3. การใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ผลการวิจัยพบว่าค่าเฉลีย่ หลังการทดสอบเม่ือผู้เรียนทดสอบด้วยโปรแกรมการ ฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องสูง กว่าค่าเฉลี่ยก่อนฝึก แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 และคา่ เฉล่ียของกลมุ่ ทดลองหลังฝึกเม่ือ ผู้เรียนฝึกด้วยโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องมีค่าเฉล่ียสูงกว่าค่าเฉล่ียของกลุ่มควบคุมหลังทดสอบแตกต่างกันอย่างมี นยั สำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 4. การรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริม ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องหลังเสร็จสิ้นการทดลองการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วย ตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ผู้วิจัยได้นำโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไปให้ ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ เพ่ือรับรองและปรับปรุงโปรแกรมฯ ผลการวิจัยพบว่า ภาพรวมของทุกข้ันตอนใน 6 สัปดาห์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (mean = 4.99) เมื่อพิจารณาในแต่ละสัปดาห์พบว่า ทุกสัปดาห์มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากท่ีสุด โดยสัปดาห์ท่ี 2, 3, 4, 5, 6 เป็นสัปดาห์ที่มีคะแนนสูงสุด เฉล่ียเท่ากัน โดยมี ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5.00 สว่ น สัปดาห์ท่ี 1 เป็นสัปดาห์ที่มีคะแนนเฉล่ียน้อยท่ีสุด โดยมี ค่าเฉลี่ย อยู่ที่ 4.93

ฌ Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to Enhance the Abdominal Muscle Strength Nuttaporn Suddee1 Noawanit Songkram2 Abstract The general purpose of this study was to develop the Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to enhance Abdominal Muscle Strength. The specific goals were (1) to study the condition and the need to use a Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to enhance Abdominal Muscle Strength and (2) to develop a Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to enhance Abdominal Muscle Strength, (3) to study the effect of Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to enhance Abdominal Muscle Strength and (4) to verify the effectiveness of Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to enhance Abdominal Muscle Strength. The participants comprised of 60 undergraduate university students aged between 18-23 years old from the faculties of Education, Law, Sports Science, Science, Political Science, and Commerce and Accountancy at Chulalongkorn University. The study used purposive sampling divided into two groups: the experimental group and the control group, each consisting of 30 participants. The experimental group used digital innovation with Self-Physical Fitness Training Program. The control group used the Self-Physical Fitness Training Program without digital innovation. The programs lasted for six weeks, three days per week (18 days in total), and involved six research instruments: 1) Self-Physical Fitness Training Program consisting of objectives, activities, the period, the equipment used for the program and the evaluation, 2) Scoring Criteria for the Abdominal Muscle Strength, 3) Digital Innovation consisted of Sit-Up Sensor with the chest strap, digital watch or smartphone with Sit-Up Application, 4) Focus Group Discussion Form, 5) Authentic, need, and acceptance of the Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to enhance the Abdominal Muscle Strength and 6) The survey form of Self-Physical Fitness Training Program with Digital Questionnaires Innovationto improve the Abdominal Muscle Strength. The data were analyzed by using 1) descriptive statistics using frequency distribution, percentage, mean,and standard deviation, 2) Inferential Statistics using T-test, Confirm Factor Analysis, and Structural Equation Modeling Analysis 3) descriptive analysis for synthesizing the Self- Physical Fitness Training Program 4) content validity of Digital Innovation.

ญ The finding of this research was as follows: (1) The Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to Enhance Abdominal Muscle Strength study found a significant difference between the study results of the current stage and the need analysis of technology connection devices for exercising in the program at the.05 levels. (2) The result of developing the Self Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to enhance Abdominal Muscle Strength found that a chest strap can measure the slope of the exerciser's body by using the function that can check abdominal muscle strength while doing a sit-up. Moreover, the strap can measure the sit-up duration along with other tasks which connect with the Smartphone and Sit-Up Fitness Tracker Application. This makes it convenient, effective, and easy to self-exercise and reduces injuries. (3) The Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation was used to improve Abdominal Muscle Strength, and it was discovered that the mean of the experimental group increased after using the Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to improve Abdominal Muscle Strength, with a significant difference at the.05 levels. (4) To verify the effectiveness of the Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to enhance Abdominal Muscle Strength after using the program, the researcher tested the program with experts to ensure and adjust the program. It was found that overall the Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation to enhance Abdominal Muscle Strength in 6 weeks is the most suitable. (Mean= 4.49) Considering each week, it was found that the program is the most suitable for all weeks. The highest mean scores from the second week to the sixth week are the same (Mean= 4.49), while the first week has the least mean score. (Mean= 4.93)

บทสรปุ การวิจัย การวิจัยครั้งนเ้ี ป็นงานวิจยั ประเภทการวจิ ัยและพัฒนา (Research & Development) มีวตั ถุประสงค์ 4 ประการ คอื 1) เพื่อศึกษาสภาพและความตอ้ งการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง 2) เพ่ือพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ ทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริม ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง 3) เพื่อศึกษาผล การใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อหน้าท้อง 4) เพ่ือรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือ ส่งเสรมิ ความแข็งแรงของกลา้ มเนอื้ หนา้ ท้อง กลุ่มตัวอย่างมี 4 กลุ่ม แบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะท่ี 1 ศึกษาสภาพและความต้องการใช้โปรแกรม การฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกบั นวัตกรรมดิจิทลั เพ่ือส่งเสรมิ ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหนา้ ท้อง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เรียนระดับปริญญาตรีท่ัวประเทศ เป็นกลุ่มออกกำลังกายหรือไม่ออกกำลังกาย เพศชาย และเพศหญิง ท่ีมีอายุตั้งแต่ 18 ปี – 23 ปี ซึ่งเป็นชว่ งวัยที่ควรทำกิจกรรมเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ในระดบั ความเข้มข้นปานกลางถึงมากท่ีสดุ ในกลมุ่ กล้ามเน้อื ทกุ ส่วน (WHO, 2020) ได้มาจากการเลือกสุ่มแบบ หลายข้ันตอน ระยะที่ 2 การสร้างต้นแบบโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรม ดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน อัน ประกอบด้วย 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ จำนวน 1 ท่าน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรม ดิจิทัลจำนวน 2 ท่าน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 1 ท่าน 4) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิจัย จำนวน 1 ทา่ น โดยผู้วิจัยเลือกกลุ่มตวั อย่างแบบเจาะจง ที่มคี ุณสมบัติ คือ มีความเชี่ยวชาญในด้านท่ีเกี่ยวข้อง ไม่น้อยกว่า 5 ปี ระยะท่ี 3 การศึกษาผลการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้อื หน้าท้อง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผเู้ รียนระดับปริญญาตรี ทว่ั ประเทศ เพศชายและเพศหญิงที่มีอายุต้ังแต่ 18 ปี – 23 ปี โดยกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงที่มีคุณสมบัติ คือ มีความพร้อมในด้านการใช้เคร่ืองมือและอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี และตอบรับในการใช้โปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแร งของกล้ามเน้ือหน้ าท้อง กลุ่มตวั อย่างต้องเขา้ ร่วมกจิ กรรมตามโปรแกรมในระยะเวลา 6 สัปดาห์ สปั ดาห์ละ 3 วัน รวม 18 วนั (การทำ กิจกรรมที่สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อควรทำกิจกรรมสัปดาห์ละ 2 วันขึ้นไป (WHO, 2020)) ระยะท่ี 4 การรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน คือ 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรม การฝึกสมรรถภาพ จำนวน 1 ท่าน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัล จำนวน 2 ท่าน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ 1 ท่าน 4) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิจัย จำนวน 1 ท่าน โดยผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจงท่ีมคี ณุ สมบัติ คือ มคี วามเช่ียวชาญในดา้ นทเี่ ก่ียวขอ้ งไม่น้อยกว่า 5 ปี

ฏ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยมี 6 ชุด ได้แก่ 1. แบบสอบถามสภาพความจริง ความต้องการและการ ยอมรับโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของ กล้ามเน้ือหน้าท้อง ซ่ึงข้อคำถามมาจากแบบจำลองการยอมรับเทคโนโลยี (Davis, Bagozzi และ Warshaw (1989)) แบบสอบถามจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การศึกษาสภาพและความต้องการการใช้ โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง และส่วนท่ี 2 การยอมรับนวัตกรรมดิจิทัลทางพลศึกษา 2. แบบบันทึกการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group Discussion Form) ประกอบด้วย ผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม ย่อย ผู้บันทกึ การสนทนา หัวข้อหรือแนวคำถามในการสนทนามาจากผลการวิจัยจากระยะท่ี 1 และการศึกษา ข้อมูลเพิ่มเติม เร่ือง วรรณคดีที่เก่ียวข้อง ประกอบด้วย (1) การฝึกสมรรถภาพทางกาย (2) นวัตกรรมดิจิทัล ทางพลศึกษา (3) ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง มาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพ่ือพัฒนาโปรแกรมการ ฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง 3. โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง ผู้วิจัยกำหนดระยะเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คร้ัง วัน เว้นวัน ตามหลักการของการออกกำลังกายอย่างน้อย (American College of Sports Medicine. (2013)). ประกอบด้วย วัตถปุ ระสงค์ กิจกรรม ระยะเวลา อุปกรณท์ ่ใี ช้ประกอบโปรแกรม การประเมนิ ผล 4. เกณฑก์ าร ประเมินผลความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง (The YMCA Physical Fitness Test / Y’s Way to Physical Fitness : the Complete Guide to Fitness Testing and Instruction, 1989) 5. นวัตกรรม ดิจทิ ัล ประกอบด้วยอปุ กรณ์ Sit Up Sensor พร้อมสายรดั หน้าอก นาฬิกาดิจทิ ัล หรอื สมาร์ทโฟนทต่ี ิดตั้งแอป พลิเคชันการทดลอง (Sit-Up Application) และ 6. แบบรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วย ตนเองรว่ มกบั นวตั กรรมดจิ ิทลั เพอ่ื สง่ เสริมความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อหนา้ ท้อง การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการตามระยะการวิจัย ดังนี้ ระยะท่ี 1 ผู้วิจัยทำจดหมาย ขอความอนุเคราะห์ไปยังสถาบันการศึกษา เพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูลไปยังกลุ่มตัวอย่าง โดยผู้วิจัยจะเก็บ ข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ โดยใช้ Google form ซ่ึงในจดหมายขออนุญาตเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจะแนบ QR Code , Link สำหรบั การเข้าไปตอบแบบสอบถาม ,และเอกสารข้อมูลสำหรบั ผู้มีส่วนร่วมในการวิจยั และหนงั สือ แสดงยินยอมเข้าร่วมการวิจัย เม่ือผู้วิจัยดำเนินการเก็บแบบสอบถามการวิจัยจนครบถ้วนแล้ว ผู้วิจัยจะทำ หนังสือขอบคุณในความอนุเคราะห์ไปยังสถาบันการศึกษา ระยะท่ี 2 ผู้วิจัยดำเนินการพัฒนาโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกบั นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อสง่ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหนา้ ท้อง โดยมี รายละเอียด ดังนี้ 1. การนำผลการวิจยั จากระยะท่ี 1 และการศกึ ษาข้อมูลเพมิ่ เติม ได้แก่ การศึกษาวรรณคดีท่ี เก่ียวข้อง ในเร่ือง 1) การฝึกสมรรถภาพทางกาย 2) นวัตกรรมดิจิทัลทางพลศึกษา 3) ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ หน้าท้อง มาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง 2. ผู้วิจัยจัดการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group Discussion Form) โดยเชิญกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน คือ 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการ ฝกึ สมรรถภาพ จำนวน 1 ท่าน 2) ผ้ทู รงคุณวฒุ ิด้านนวัตกรรมดิจทิ ัลจำนวน 2 ท่าน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือ 1 ท่าน 4) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิจัย จำนวน 1 ท่าน ซึ่งมีคุณสมบัติในด้านที่เก่ียวข้อง ไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยใช้แบบบันทึกการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group Discussion Form) มีการแจ้ง

ฐ วัตถุประสงค์ในการสนทนากลุ่มย่อย การรับรองจริยธรรมในการเข้าร่วม รวมท้ังการจัดส่งเอกสารท่ีเกี่ยวข้อง ให้ผทู้ รงคุณวฒุ ิพจิ ารณาล่วงหน้า 3. ผ้วู จิ ัยวเิ คราะหข์ ้อมูลจากการสนทนากลมุ่ โดยใช้การวจิ ยั เชิงพรรณนาเพื่อ สังเคราะห์ลักษณะโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง ระยะที่ 3 ผู้วิจัยได้ดำเนินการ 1. ส่งจดหมายขอความอนุเคราะห์ไปยังคณะ ครุศาสตร์ และหอพักนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพ่ือประชาสัมพันธ์ให้นิสิตมาสมัครเป็นกลุ่มตัวอย่าง ดว้ ยความสมคั รใจ โดยการลงช่ือ พร้อมทง้ั ใส่เบอรโ์ ทรศพั ท์ติดต่อ 2. ใหน้ ิสติ ตอบแบบประเมินความพรอ้ มกอ่ น การฝึกตามโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรง ของกล้ามเน้ือหน้าท้อง (Google forms) 3. ผู้วิจัยนัดหมายนิสิตกลุ่มตัวอย่าง และกลุ่มควบคุม ท่ีผ่านเกณฑ์ จากการตอบแบบประเมินความพร้อม โดยมีรายละเอียด คือ 1) ซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตน ทั้งการ เตรียมตัวก่อนเข้าร่วมกิจกรรม รูปแบบการฝึกซ้อม และรูปแบบการทดสอบก่อนและหลังการทดลองตาม โปรแกรมฯ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 2) กลุ่มควบคุม จะทำการทดลองกับอุปกรณ์นวัตกรรมดิจิทัลท่ีคณะ ครุศาสตร์ และหอพกั นิสติ ของจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ตามแผนการจัดโปรแกรมฯ พร้อมบันทึกผลการปฏิบตั ิ ผ่านทางแอปพลิเคชัน ซ่ึงผู้เข้าร่วมจะเป็นผู้ลงข้อมูลส่วนตัวเองในการฝึกปฏิบัติ เพ่ือความถูกต้องของข้อมูล ส่วนตัว อุปกรณ์ Sit-Up Sensor ผู้วิจัยจะเป็นผู้ดูแล ผู้เข้าร่วมจะมาใช้กับผู้วิจัย โดยผู้วิจัยเป็นผู้กำกับใน ขั้นตอนการใช้ และดูแลเรือ่ งการทำความสะอาดของอปุ กรณ์หลังการใช้ ใช้เวลาในการเก็บข้อมูลประมาณ 30 นาที 4. สำหรับกลุ่มควบคุมจะใช้โปรแกรมการฝึกฯ แต่ไม่ใช้อุปกรณ์นวัตกรรมดิจิทัล จะทำท่ีจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยหรือท่ีบ้าน ตามตารางนัดหมายผ่านโปรแกรม ZOOM โดยมีผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการตลอดการฝึก ปฏิบัติ และหลังจากฝึกปฏิบัติทุกคร้ัง นิสิตจะส่งผลการปฏิบัติผ่านทาง Google Forms ใช้เวลาการฝึก ประมาณ 30 นาที 5. ขั้นตอนการดำเนินการทดลอง 1) ก่อนการทดลองตามโปรแกรมฯ ผู้วิจัยจะนัดหมาย นิสิตกลุ่มตัวอย่างและกลมุ่ ควบคมุ เพื่อทำการทดสอบการลุก-นั่ง คร้งั ที่ 1 กับอปุ กรณ์ Sit-Up Sensor โดยจะ นัดหมายเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 20 คน และจะนัดหมายในวันและเวลาเดียวกับข้อ 3 .2) ทดลองโดยใช้ โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยการลุกน่ัง (Sit up) 6 สัปดาห์ โดยแบ่งกลุ่มออกเป็น กลุ่มตัวอย่าง ออกกำลังกาย ดว้ ยการลุก-น่ัง (Sit up) ตามโปรแกรม 6 สัปดาห์ และใช้อุปกรณ์ Sit-Up Sensor โดยผู้วิจัยจะนัดหมายนิสิต ที่มหาวิทยาลัย โดยแบ่งเป็นกลุ่มละ 6 คน 5 กลุ่ม ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อกลุ่ม กลุ่มควบคุม ออกกำลัง กายด้วยการลุก-น่ัง (Sit up) ตามโปรแกรม 6 สัปดาห์ แต่ไม่ใช้อุปกรณ์ Sit-Up Sensor ผู้วิจัยจะให้นิสิตกลุ่ม ควบคุมฝึกปฏิบัติตาม“เอกสารข้ันตอนการทำลุก-นั่ง (Sit up) และจะฝึกปฏิบัติพร้อมกันผ่านหน้า จอคอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือสมารท์ โฟน ด้วยโปรแกรม ZOOM โดยมีผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการ ฝึกพร้อมกันทุก คน ใชเ้ วลาประมาณ 30 นาที 3) หลังการทดลอง ผู้วิจัยจะนัดหมายนสิ ติ กลมุ่ ตัวอยา่ ง และกล่มุ ควบคุม เพอ่ื มา ทำการทดสอบการลุก-น่ัง คร้ังที่ 2 กับอุปกรณ์ Sit-Up Sensor หลังการออกกำลงั กายตามโปรแกรมที่กำหนด โดยผวู้ ิจัยจะนัดหมายนิสิตท่ีมหาวิทยาลัย โดยจะนัดหมายเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 20 คน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ต่อ กลุ่ม ในระยะที่ 3 นี้ จะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2565 ระยะท่ี 4 ผู้วิจัยได้ดำเนินการ 1.ประสานงานผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพ จำนวน 1 ทา่ น ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัล จำนวน 2 ทา่ น ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความแข็งแรง

ฑ ของกล้ามเน้ือ จำนวน 1 ท่าน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิจัย จำนวน 1 ท่าน ท่ีมีคุณสมบัติ ความเช่ียวชาญใน ดา้ นท่เี กีย่ วข้องไม่น้อยกว่า 5 ปี รับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง โดยใช้แบบรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วย ตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง พร้อมจัดส่งผลการวิเคราะห์ ข้อมูล ของระยะท่ี 3 ให้กับผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านทำการประเมินรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกาย ด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง โดยใช้เวลา 2 สัปดาห์ จากน้ันกำหนดให้ผู้ทรงคุณวุฒิส่งกลับคืนมาทางอีเมลล์ หรือผู้วิจัยไปรับด้วยตนเองตามความประสงค์ของ ผู้ทรงคุณวุฒิ 2. ผู้วิจัยนำข้อมูลและข้อเสนอแนะท่ีได้มาปรับปรุงแก้ไขเพ่ือให้ได้ต้นแบบโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองรว่ มกับนวัตกรรมดจิ ทิ ัลเพอ่ื ส่งเสรมิ ความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติการวิเคราะห์ข้อมูลตามส่ิงท่ีต้องการศึกษา โดยแบ่งการ วเิ คราะหข์ ้อมลู ระยะท่ี 1 ไดด้ ังน้ี 1.วเิ คราะห์ขอ้ มูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามโดยสร้างเป็นแบบตรวจสอบ รายการ และข้อคำถามปลายเปิด ได้แก่ เพศ อายุ ช่ือจังหวัด มหาวิทยาลัย สังกัด คณะ สาขาวิชา วิชาเอก ช้ันปี ความถ่ีในการออกกำลังกายต่อสัปดาห์ ประสบการณ์การใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเพ่ือช่วยในการออกกำลังกาย ในกรณีมีประสบการณ์ ความถ่ีในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลต่อสัปดาห์ เพื่อศึกษาลักษณะข้อมูลทั่วไปของกลุ่ม ตัวอยา่ ง ผูว้ ิจัยใชส้ ถิติความถี่ ร้อยละ ค่ามชั ฌิมเลขคณติ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 2.วเิ คราะห์สภาพความ ต้องการจำเป็น ผู้วิจัยใช้สถิติค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ T-test และ F- test 1) สถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 2) สถิติอนุมาน ได้แก่ การ วิเคราะห์ค่าเฉล่ีย T-test การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirm Factor Analysis) และการวิเคราะห์ โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling Analysis)) 3) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาเพื่อ สังเคราะห์ลักษณะโปรแกรมการฝึกฯ 4) ตรวจสอบด้านความตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) ของนวัตกรรม ดิจิทัล ระยะที่ 2.วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิจัยเชิงพรรณนาเพ่ือสังเคราะห์ลักษณะโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ระยะ ที่ 3.วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ 1) สถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) สถิติอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย T-test และระยะท่ี 4 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยาย ได้แก่ คา่ ความถ่ี รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน สรุปผลการวเิ คราะห์ข้อมลู เพื่อตอบวตั ถปุ ระสงค์การวิจัย ซ่งึ มที ้งั หมด 4 ข้อ ดังน้ี 1. เพ่ือศึกษาสภาพและความต้องการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวตั กรรมดิจิทลั เพ่ือสง่ เสรมิ ความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง ผลจากการวิจัย พบว่าค่าเฉล่ียสภาพความเป็นจริงและความต้องการโปรแกรมและอุปกรณ์ ในการ ออกกำลังกายดว้ ยตนเองแตกตา่ งกันอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 (Sig=.000) โดยสภาพความเป็นจริง มีค่าเฉลี่ย 4.04 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.457 และความต้องการมีค่าเฉลี่ย 4.40 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.355 และผลการศึกษาสภาพความเป็นจริงและความต้องการอุปกรณ์เช่ือมต่อทางเทคโนโลยีที่ท่านใช้ออก

ฒ กำลังกาย ในโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองพบว่า ค่าเฉล่ียสภาพความเป็นจริงและความ ต้องการอุปกรณ์เชื่อมต่อทางเทคโนโลยีที่ใช้ออกกำลังกาย ในโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (Sig=.000) โดยสภาพความเป็นจริงมีค่าเฉลี่ย 4.86 ส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐาน 1.617 และความต้องการมีค่าเฉลี่ย 5.12 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 1.557 รวมท้ังผล การศกึ ษาการยอมรับนวัตกรรมทางการศึกษาพบว่า การรับรถู้ ึงประโยชนท์ เ่ี กิดจากการใช้ มีค่าอทิ ธพิ ลทางตรง ไปยังทัศนคติ เท่ากบั 0.34 (p < 0.001) การรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน มีคา่ อิทธิพลทางตรงไปยังทัศนคติ เท่ากับ 0.53 (p < 0.001) ทัศนคติมีค่าอิทธิพลทางตรงไปยังเจตนาแสดงพฤติกรรม เท่ากับ 0.88 (p < 0.001) เจตนาแสดงพฤติกรรมมีค่าอิทธิพลทางตรงไปยังการใช้งานจริง เท่ากับ 0.84 (p < 0.001) สอดคล้องกับ World Health Organization (2019), มาลีวัล เลิศสาครศิริ และชะบา คาปัญโญ (2560) กล่าวว่าโลกของเราในปัจจุบันมีส่ิงอำนวยความสะดวกมากมายถูกขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกิดการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษท่ีผ่านมา โดยเฉพาะเทคโนโลยีส่งผลให้ผู้คนในปัจจุบันมี พฤติกรรมและการดำเนินชีวิตท่ีเปล่ียนไป มีผลท้ังในเร่ืองสุขภาพกายและสุขภาพจิตระยะยาวโดยท่ีมนุษย์ไม่ รู้ตัว เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันจะหมดไปกับการทำงานและการเดินทาง การมีเทคโนโลยีและส่ิงอำนวยความ สะดวกจงึ มีความจำเปน็ และมีความสำคญั ท่ีจะช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวันให้ง่ายข้ึน การนั่งทำงานหนา้ จอ คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน การมีเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอเนื่องจากต้องเดินทางระหว่างที่ทำงาน ที่เรียน และท่ีพัก มีภาวะสะสมของความเครียด การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซ่ึงการใช้เคร่ืองติดตาม สามารถช่วยให้คนออกกำลังกายเพ่ิมมากขึ้นการเข้าถึงของตัวติด ตามที่สวมใส่ได้ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถ ตรวจสอบกิจกรรมทางกายภาพของตนควบคู่ไปกับแอปพลิเคชันออนไลน์ด้วยเคร่ืองมือสร้างแรงจูงใจและ ติดตาม การตรวจสอบอย่างเป็นระบบหลายครั้งแสดงให้เห็นว่าเครื่องติดตามท่ีสวมใส่ได้มีประสิทธิภาพ หาก เคร่ืองติดตามที่สวมใส่ได้ร่วมสมัยแตกต่างจากเคร่ืองนับก้าวท่ัวไป โดยเป็นอุปกรณ์ท่ีซับซ้อนซึ่งให้ผลตอบรับ แบบหลายมิติแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับพารามิเตอร์ทางสรีรวิทยาและสุขภาพ ซึ่งรวมถึงจำนวนก้าว แคลอรี่ที่เผา ผลาญ ระยะทางท่ีครอบคลุม เวลาแอคทีฟ การประเมินการนอนหลับ และอัตราการเต้นของหัวใจ และอาจ รวมถึงการเช่ือมต่อมือถือหรืออินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชันเพื่อให้รายงานข้อเสนอแนะส่วนบุคคล ปัจจุบันนี้ งานวิจัยส่วนใหญ่เก่ียวกับเคร่ืองติดตามแบบสวมใส่ได้มุ่งเน้นไปที่ความเป็นไปได้ ความถูกต้อง และความ น่าเช่ือถือ โดยมีข้อมูลจำกัดเก่ียวกับผลกระทบจากการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในการปรับปรุงการออกกำลังกาย (Eysenbach, 2020) 2. เพ่ือพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองรว่ มกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริม ความแข็งแรงของกล้ามเน้อื หนา้ ทอ้ ง ผลการวิจัย เป็นการพัฒนาอุปกรณ์สายรัดหน้าอกอัจฉริยะ (Sit-Up Fitness Tracker) เป็นสายรัด หน้าอก สำหรับวัดความชันของลำตัว ผู้ออกกำลังกายด้วยการ Sit up เมื่อ Sit up ได้ความชันตามมาตรฐาน หรือความชันที่ต้องการ จะมีเสียงเตือนดังข้ึน เพื่อบอกถึงท่าทางในการ Sit up และระดับกล้ามเนื้อหลัง ส่วนล่างท่ียกขึ้นจากพื้น รวมถึงฟังก์ชันการทำงานท่ีบอกถึงระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ระยะเวลาการ Sit up ท่ีเหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ และฟังก์ชันอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง มีการทำงานร่วมกับ Smart

ณ Phone และแอปพลิเคชันเฉพาะ (Sit-Up Fitness Tracker Application) เพ่ือเพ่ิมความสะดวกในการ Sit up ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และผู้ออกกำลังกายสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง โดยไมเ่ กิดการบาดเจ็บ ในชดุ อปุ กรณป์ ระกอบด้วย อปุ กรณ์ตรวจวัดการออกกำลังกายส่วนกล้ามเน้ือหนา้ ท้อง สายรดั หน้าอก และสายชารจ์ USB-C เร่ิมตน้ ให้นำสายรัดหน้าอกเกีย่ วเขา้ กับหูเก่ียวสายรดั หน้าอกของอปุ กรณ์ ใหส้ วมใสแ่ ละปรับระดบั อปุ กรณ์ให้อยูใ่ นระดับหน้าอกดังภาพตัวอย่างด้านล่าง หลังจากนน้ั ให้กดปุ่ม เปิด/ปิดท่ี อุปกรณ์ 1 คร้ังเพื่อทำการเปิดอุปกรณ์ และหากต้องการปิดให้กดค้างไว้โดยประมาณ 5 วินาทีหรือจนกว่า จอแสดงผลอุปกรณ์จะดับ ทำการเช่ือมต่อกับแอปพลิเคชันและเข้าใช้งานอุปกรณ์ผ่านแอปพลิเคชัน เม่ือเปิด เคร่อื งแล้วหน้าจอจะแสดงตวั อกั ษร B (Bluetooth) เพื่อการรอเช่อื มต่อเข้ากับ Application แล้วเมื่อเชอื่ มต่อ แล้วจะเปล่ียนเป็น R (Ready) เครื่องสามารถตั้งค่าองศาของท่าซิทอัพได้ใน Application เม่ือเสร็จแล้วจะ ปรากฏบนหน้าจอเคร่ือง Sit Up Fitness Tracker เพื่อให้ผใู้ ช้งานทราบและพร้อมเร่มิ ทำการฝกึ ซทิ อัพไดท้ ันที และเมอื่ เร่ิมซิทอัพแล้วระบบจะทำการนบั จำนวนครงั้ ทซี่ ทิ อัพ และแสดงทั้งหน้าจอ เมื่อซิทอัพเสร็จระบบจะทำ การสรุปเวลาต่อรอบ เวลาพักต่อรอบ องศา จำนวนครั้งท้ังหมด และจำนวนเซ็ต แสดงให้ผู้ใช้งานทราบ นวัตกรรมและเทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์การกีฬาท่ีถูกพัฒนาขึ้น โดยใช้องค์ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ (Knowledge and Creativity Idel) รวมถงึ เทคโนโลยี (Technology) ซึ่งอาจทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการ ใหม่ หรือกระบวนการใหม่ โดยเทคโนโลยี (Technology) จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดนวัตกรรมดิจิทลั เพราะ เป็นการใช้ความรู้ เครื่องมือ กระบวนการ เทคนิควิธีการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์เพ่ือให้เกิดฟังก์ชันการ ทำงานที่ดีท่ีสุด การสร้างนวัตกรรมจึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในทุก ๆ ด้าน รวมท้ังด้านการออกกำลัง กายและเล่นกีฬาสามารถทำให้คนเรามีสมรรถภาพทางกายและสุขภาพที่ดีได้ ดังนั้นการพัฒนาทางด้านความ เป็นเลิศทางกีฬาในปัจจุบัน จึงนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพ่ิมขีดความสามารถให้กับนักกีฬา รวมถึงเป็นส่วน สนับสนุนด้านการฝึกซ้อมให้กับผู้ฝึกสอนอีกด้วย สอดคล้องกับกรมพลศึกษา (2563) ได้กล่าวถึง นวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านการกีฬาที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพ่ือตอบสนองความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน ทั้งท่ีเป็น อุปกรณ์ส่วนบุคคล เช่น เคร่ืองแต่งกาย และอุปกรณ์ท่ีใช้เพ่ือออกกำลังกายและเล่นกีฬา ตัวอย่างที่พบเห็นได้ ท่ัวไป คือ 1. รองเท้า เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรบั นักกีฬาส่วนใหญ่ ผู้ผลิตจึงพยายามใช้ความรูท้ างวิทยาศาสตร์ การกีฬาเพ่ือคิดค้นนวัตกรรมรองเท้าท่ีมีวัสดุและรูปทรงเหมาะกับการเคลื่อนไหวของผู้เล่นกีฬาแต่ละชนิด 2. ชุดวา่ ยน้ำ มีการออกแบบชุดว่ายน้ำให้สามารถลดแรงเสียดทานระหวา่ งพนื้ ผิวของชุดกบั แรงต้านของกระแสน้ำ โดยเลือกเส้นใยทม่ี ีลักษณะเบา ไมอ่ มนำ้ แห้งเร็ว ช่วยกระชับกล้ามเนื้อ ทำให้นักกฬี าผู้สวมใส่ สามารถว่ายน้ำ ได้ดีข้ึน 3. นาฬิกาอัจฉริยะ ที่มีฟังก์ชันการทำงานสำหรับการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพ เช่น การนับก้าว เดิน การคำนวณแคลอร่ีทใี่ ช้ การวัดอัตราการเต้นของหวั ใจ ทงั้ น้ีนาฬิกาอจั ฉริยะนี้สามารถเช่ือมต่อกบั สมาร์ท โฟนได้ด้วย 4. ยางยืดบริหารกล้ามเน้ือ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกกำลังกายและบริหารกล้ามเนื้อกด้วยแรง ต้าน โดยแรงต้านท่ีเกิดจากยางยืดจะไม่มีแรงกระชาก ลดการบาดเจ็บได้ดี พกพาสะดวกและสามารถ ประยุกต์ใช้งานไดห้ ลายท่าออกกำลังกายอกี ด้วย ยังมนี วตั กรรมที่นา่ สนใจอีกมากมายในตลาดด้านการกฬี าโลก ซ่ึงสามารถดึงดูดกลุ่มผู้ใช้งานได้มาก เช่น นวัตกรรมกลไกท่ีช่วยในการเคล่ือนที่ของมนุษย์ (Mechanics of Human Motion) นวัตกรรมการใช้เซนเซอร์ (Sensors) นวัตกรรมวัสดุทางเลือกท่ีแปลกใหม่ (New

ด Materials) นวัตกรรมเทคโนโลยีสงิ่ ทอ (Textile Technology) นวัตกรรมเหล่าน้ีจะส่งผลดีโดยตรงต่อสุขภาพ ช่วยลดพฤติกรรมเนือยนิ่งของเด็กและเยาวชนท่ีอาจทำให้เกิดโรคอ้วนได้ รวมท้ังยังสามารถสร้างแรงจูงใจใน การรักษาสุขภาพให้กับคนสูงวัยอีกด้วย นำไปสู่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีเชิงสังคมอีกทางหนึ่ง ด้วย เหตุน้ีการพฒั นานวัตกรรมดา้ นวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี าจึงมคี วามสำคัญ และไม่ยุ่งยากซับซ้อนเสมอไป เพราะยัง มีนวัตกรรมอีกมากมายที่เรียบง่าย แต่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล เช่น โบซู่บอล (Bosu Ball) ลูก บอลครึ่งวงกลม อุปกรณ์นับก้าวแบบพกพา (Pedometer) ฯลฯ ดังนั้นหากผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมมีความ เข้าใจในประเด็นปัญหา หรือมีความรู้ในการพัฒนาทางกายและสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายก็สามารถสร้าง นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาได้เช่นกัน เช่นเดียวกับไทยรัฐออนไลน์ (2557) กล่าวว่า อุปกรณ์ช่วยให้ ออกกำลังกาย (Tao Exercise Device) เปน็ อปุ กรณท์ ี่ทำท่ใี หค้ ุณสามารถออกกำลังกายได้อย่างอย่างดาย โดย อุปกรณ์ดังกล่าวจะเป็นตัวออกคำส่ังเพียงคุณถือไว้ในมือเท่านั้น ใช้ได้ทุกที่และทุกเวลา ไม่ว่าผู้ใช้จะนั่งดูทีวี ทำงานอยู่บนโต๊ะทำงาน หรือน่ังเครื่องบนิ ก็สามารถออกกำลังกายได้ เพียงแคผ่ ู้ใช้ถอื เครือ่ งน้ีและกดปุ่มทำงาน Tao จะเป็นเหมือนโค้ชที่ควบคุมการออกกำลังกายของผู้ใช้อย่างถูกวิธี รวมท้ังอุปกรณ์ท่ีเก็บข้อมูลการออก กำลังกาย (Jaybird Reign Fitness Tracker) ออกแบบมาใหส้ ามารถเช็คสภาพรา่ งกายของแตล่ ะคนให้มีความ พร้อมก่อนออกกำลังกาย เป็นเทคโนโลยีฟิตเนสที่จะตามติดผู้ใช้ไปทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การข้ึน บันได หรือการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ นอกจากน้ันยังช่วยคำนวณออกมาเป็นระยะทาง ความเร็ว หรือ เป็นแคลอร่ี เพื่อใหเ้ ราปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรม และทำใหเ้ ราทำตามเปา้ หมายท่ีเรากำหนดไวไ้ ด้สำเรจ็ 3. เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อ ส่งเสริมความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อหนา้ ท้อง ผลการวิจยั การใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองรว่ มกับนวัตกรรมดิจทิ ัลเพื่อส่งเสริม ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องพบว่า ค่าเฉลี่ยหลังการทดลองใช้โปรแกรมฝึกเมื่อผู้เรียนฝึกด้วย โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อหน้าท้องสงู กว่าค่าเฉล่ียก่อนเรยี น แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05 และค่าเฉล่ียของ กลุ่มทดลองหลังทดลองเม่ือผู้เรียนฝึกด้วยโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรม ดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องมีค่าเฉล่ียสูงกว่าค่าเฉล่ียของกลุ่มควบคุมหลังเรียน แตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05 ซ่ึงความแข็งแรงของกล้ามเน้ือเป็นกำลังสูงสุดท่ีกลา้ มเน้ือมัด เนื้อหรือกลุ่มหน่ึงปล่อยออกเพื่อต้านกับแรงต้านทาน เป็นที่ยอมรับกันว่า การพัฒนาความแข็งแรงของ กล้ามเน้ือสามารถสร้างได้โดยฝึกให้กล้ามเนื้อได้ออกแรงต่อสู้กับความต้านทานหรือน้ำหนักท่ีสูงข้ึนน่ันก็คือ การฝึกน้ำหนักน่ันเอง การพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขึ้นอยู่กับ ความเข้มของกำหนดการฝึก จะบรรจุ กิจกรรมท่ีต่อสู้กับความต้านทานสูงหรือน้ำหนักที่มากกว่าปกติ โดยยึดหลักการฝึกเกินอัตรา รวมไปถึง ระยะเวลาในการฝึกและความต่อเน่ือง โดยปกติสัปดาห์หน่ึงควรฝึก 2-3 วันหรือมากกว่าแต่ต้องมีวันหยุดบ้าง ฝกึ ต่อเนื่องกนั ทุกสัปดาห์ ลกั ษณะของรูปกาย คนทส่ี ูง บาง กระดูกเล็ก จะพัฒนาไปสขู่ ีดความแข็งแรงเร็วกว่า คนอ้วน ปูอม กระดกู ใหญ่ ถึงแม้จะฝึกจากกำหนดการฝึกเดียวกันก็ตาม (พิชิต ภูติจันทร์, 2543) สอดคล้อง กับ Kato, et. Al. (2017) ได้ทำการศึกษาถึงอุปกรณ์ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ

ต หนา้ ท้อง โดยเกบ็ รวบรวมข้อมลู เกย่ี วกบั ความสงู , ดชั นีมวลกาย และขนาดของรอบเอว จากกลุ่มตวั อย่างท่ีเป็น อาสาสมัครผู้ชายจำนวน 30 คน โดยวัดแรงบีบมือ และแรงดึงหลังโดยใช้อุปกรณ์ในการวัด กลุ่มตัวอย่างทำ การทดสอบลุก-นั่ง ซึ่งเป็นตัวบ่งช้ีถึงความแข็งแรงของกล้ามเน้ือลำตัวในการยืดหดตัว ผู้วิจัยยังได้วัดความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยใช้อุปกรณ์ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น ซ่ึงจะทำให้สามารถประเมินความสัมพันธ์ ระหว่างความแข็งแรงของกล้ามเน้ือลำตัว และสัดส่วนของร่างกายที่เป็นค่าตัวเลขเช่นเดียวกับความแข็งแรง ของกล้ามเน้ือส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 5 ใน 30 คน ท่ีเข้าร่วม ได้เข้าตรวจใน เครื่องเอกซเรย์ร่างกาย Positron Emission Tomography (PET) จำนวนสองชุดประกอบด้วยการตรวจ หลังจากช่วงพัก (กลุ่มควบคุม) และระหว่างการออกกำลังกาย (กลุ่มทดลอง) ในกลุ่มศึกษากลุ่มตัวอย่างได้ใช้ อุปกรณ์ช่วยในการออกกำลังกาย จำนวน 2 รอบ รอบละ 20 นาที โดยใช้อุปกรณ์ก่อนและหลังฉีด Fluorodeoxyglucose (FDG) เข้าร่างกายการคำนวณการเอกซเรย์ร่างกายด้วยเครื่อง PET จากภาพท่ีได้รับ ประมาณ 60 นาทีหลังจากฉีด FDG ผู้วิจัยได้มีการเปรียบเทียบการเผาผลาญพลังงานของกล้ามเน้ือโครงร่าง ของผู้เขา้ ร่วมในการศึกษาท้ังสองกลุ่ม ซง่ึ ผลการวิจัยพบวา่ ความแขง็ แรงของกลา้ มเนอ้ื โดยการใชอ้ ุปกรณ์ และ การลุก-น่ัง 30 วินาที มีความสัมพันธ์การสะสม FDG ภายในช่องท้องและกล้ามเน้ือช่องท้องสูงขึ้นอย่างมี นัยสำคัญในกลุ่มทดลอง จะเห็นได้ว่าการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ควรมีความจำเพาะของการฝึก (Specificity of training) กล่าวคือ ควรมุ่งฝึกกล้ามเน้ือหรือกลุ่มกล้ามเนื้อที่จะใช้ในการแข่งขันจริง ๆ จึงจะ เกิดประโยชน์สูงสุด การฝึกกล้ามเน้ือมัดหนึ่งหรือกลุ่มหน่ึง จะไม่ช่วยให้กล้ามเน้ือมัดอ่ืน ๆ หรือกลุ่มอ่ืน ๆ แข็งแรงตามไปด้วย เว้นเสียแต่ว่ากล้ามเนื้อมัดนั้นจะถูกทำให้ไปร่วมทำงานด้วย ซ่ึงทำได้โดยการเพ่ิมความ ตา้ นทานให้มากกว่าปกติ เป็นการช่วยเพ่ิมความแข็งแรงขึ้นได้แน่นอนว่าวิธีสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ นิยมมากในปัจจุบัน คอื การฝกึ น้ำหนัก ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คอื การออกกำลังกายแบบไอโซเมตริก ซ่ึงเป็นวิธีการที่ ทำให้กล้ามเน้ือทนต่อการเป็นหนี้ออกซิเจนได้ดีข้ึน อันเป็นผลทำให้การสร้างพลังงานระบบไม่ใช้ออกซิเจน ดำเนินไปได้ดกี วา่ 4. เพื่อรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจทิ ัลเพ่ือส่งเสริม ความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง หลังเสร็จสนิ้ การทดลองการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองรว่ มกบั นวตั กรรมดิจทิ ัล เพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ผู้วิจัยได้นำโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเอง ร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ เพื่อ รับรองและปรับปรุงโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องมีความเหมาะสมมากที่สุด สอดคล้องกับรุ้ง เสาวลักษณ์ กิจเมธีกุล สมบัติ อ่อนศิริ อำนวย ตันพานิชย์ และ วิสูตร กองจินดา (2563) ได้ทำการศึกษาผล ของการประยุกต์ใช้หลัก FITT ในการสอนพลศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพของนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประยุกต์ใช้หลัก FITT ท้ังหมด 5 ข้ันตอน การทดลองใช้เวลาทั้งหมด 6 สัปดาห์ โดยให้กลุ่มทดลองเรียนสัปดาห์ละ 3 วัน คือ วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ ระหว่างเวลา 14.00-16.00 น. กลุ่ม

ถ ควบคุมเรียนสัปดาห์ละ 2 วัน คือ วันอังคาร วันพฤหัสบดี ระหว่างเวลา13.00-16.00 น. ผลการวิจัยพบว่า ความแตกต่างของคา่ เฉลย่ี สมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพด้านความอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและระบบ หายใจระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญท่ีระดับ .05 เช่นเดียวกับ Capritto (2020) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการออกกำลังกาย ได้ศึกษา รูปแบบที่เหมาะสมและข้อผิดพลาดท่ัวไปของวิธีการ ซิทอัพ โดยท่ัวไปแล้วการออกกำลังกายท่ีเป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง การซิทอัพอย่างถูกต้องสามารถ เพิ่มความแข็งแรงให้กับแกนกลางและความยืดหยุ่นในกระดูกสนั หลังได้ อย่างไรก็ตามการซิทอัพไม่ถกู ต้องอาจ นำไปสู่การบาดเจ็บได้ ประโยชน์ของการซิทอัพคือการเพ่ิมความแข็งแรงของแกนกลาง การซิทอัพช่วยให้ กล้ามเน้ือหน้าท้องทำงานได้ทั้งหมด โดยเฉพาะชุดกล้ามเน้ือซิกแพคที่เรียงตัวอยู่ด้านหน้าท้อง อีกทั้งยังช่วย สร้างความตอ่ เนื่องเวลาเคลื่อนไหว ความยืดหยนุ่ ของกระดูกสันหลัง การซิทอัพทำไดย้ ากในตอนแรกเนอื่ งจาก อาจไม่สามารถงอและยืดกระดูกสันหลังได้ การซิทอัพบนพื้นแข็ง เช่น พ้ืนไม้เน้ือแข็งกระเบ้ืองหรือพ้ืนเสื่อยิม อาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำที่บาดเจ็บท่ีกระดูกสันหลังส่วนเอวได้ การซิทอัพบนพื้นผิวที่นุ่ม เช่น พรมเนื้อนุ่มอาจ ให้ความสบายมากข้ึนและป้องกันการบาดเจ็บได้ ขั้นตอนการทำการซิทอัพอย่างเหมาะสม 1) นอนหงายบน พื้น งอเข่าเพื่อให้เท้าราบกับพื้น วางเท้าของคุณให้ม่ันคงวางไว้ใต้ม้านั่งหรือไม้ค้ำยันอื่น ๆ หากคุณมีผู้ช่วยฝึก คุณสามารถให้พวกเขาจับเท้าของคุณไว้ได้ ท้ังน้ีวิธีท่ีดีท่ีสุดในการซิทอัพ คือการไม่มีท่ีรั้งเท้า หรือมีผู้ช่วยใน การจับขา จะทำให้ซิทอัพได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า 2) กอดอกไว้เหนือหน้าอก มือซ้ายควรวางบนไหล่ขวา มือขวาวาง ไว้บนไหล่ซ้าย ไม่วางมือไว้ข้างหลังศีรษะเพราะอาจทำให้มือต้องดึงคอข้ึนมา 3) ให้หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนท่ีจะ เรมิ่ ตวั แทนครั้งแรก 4) ออกแรงกล้ามเน้ือหน้าท้องเพื่อยกหลังข้ึนจากพื้น สะโพกอยู่นิ่งและกดลงกบั พื้นจนกว่า คุณจะต้ังตรงได้เต็มท่ี 5) ลดตัวกลับไปท่ีตำแหน่งเริ่มต้นไม่ส่งแรงกระแทก 6) ทำซ้ำจนกว่าจะครบจำนวนคร้ัง หรือเวลาท่ีกำหนด ดังนั้นการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือ สง่ เสริมความแขง็ แรงของกลา้ มเน้ือหนา้ ท้อง สามารถช่วยสง่ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้อื หน้าทอ้ ง ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื การใช้ประโยชน์จากการวจิ ยั 1.1 การออกกำลังกายด้วยการทำ Sit up กับนวัตกรรมดิจิทัล (Sit-Up Sensor) ร่วมกับการใช้ โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซ่ึงนวัตกรรม ดิจิทัล ประกอบด้วย อุปกรณ์สายรัดหน้าอกอัจฉรยิ ะสำหรับวัดความชันของลำตัวผู้ออกกำลังกายเพ่ือบอกถึงระดับ กล้ามเน้ือหลังส่วนล่างและท่าทางในการ Sit up ท่ีถูกต้อง รวมถึงฟังก์ชันการทำงานท่ีบอกถึงระดับความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อหน้าท้อง, ระยะเวลาการ Sit up ท่ีเหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ และฟังก์ชันอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง โดยมี การทำงานร่วมกับ Smart Phone และแอปพลิเคชันเฉพาะ ท้ังหมดนี้เพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ออกกำลังกาย สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง หากผู้ออกกำลังกายได้ทำท่าทางการ Sit up ได้สมบูรณ์และถูกต้อง จะช่วยลดการ บาดเจบ็ เพ่ิมประสทิ ธิผลทางสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องได้ดีอีกดว้ ย 1.2 นวัตกรรมดิจิทัล (Sit-Up Sensor) เป็นอุปกรณ์ ที่ใช้ได้ง่าย เมื่อมาใช้ร่วมกับโปรแกรม การฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองเพอื่ ส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซง่ึ นวัตกรรมดิจิทัลชว่ ย

ท ให้กะระยะในการข้ึนได้ดีช่วยบอกในเร่ืองขององศาที่ควรจะเป็นทำได้ง่ายคนเดียว มีเครื่องช่วยในการนับ tracking การออกกำลังกาย การโฟกัสไปท่ีท่าทางและแน่นการเกร็งหน้าท้องมากขึ้น สามารถสร้างกล้าม กล้ามเนื้อหน้าท้องได้ดี มีเป้าหมายในการออกกำลังกายที่ชัดเจน สามารถเป็นแรงกระตุ้นในการออกกำลังกาย ได้ รวมทัง้ ช่วยกระต้นุ ให้ผูใ้ ช้มีวนิ ยั ในการออกกำลงั กายและทำท่าท่ีถูกต้องแนน่ อน 2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้ังต่อไป 2.1 ควรนำโปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองไปใช้กับอุปกรณก์ ารออกกำลังกายเพ่ือ เสรมิ สร้างสมรรถภาพทางด้านอนื่ 2.2 ควรปรับเปลี่ยนรูปแบบโปรแกรมให้มีหลายทักษะท่ีคนนิยมนำมาออกกำลังกายให้อยู่ใน โปรแกรมการฝกึ หรือออกกำลังกายเพื่อใหเ้ กดิ ความน่าสนใจ รู้สึกผอ่ นคลายกับคนออกกำลงั กาย 2.3 อุปกรณ์ตัวแสดงผลอ่ืน ๆ ในแอปพลิเคชัน ควรเพิ่มฟังก์ชันอื่น ๆ เช่น เพ่ิมการส่ันสำหรับคน ตาบอด หหู นวกใช้ หรอื มีตวั บอก ไขมนั มวลกระดูก เป็นต้น

สารบัญ หนา้ คำนำ จ บทคดั ย่อภาษาไทย....................................................................................................................................... ช บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ.................................................................................................................................. ฌ บทสรุปการวิจัย............................................................................................................................................. ฎ สารบัญ......................................................................................................................................................... ธ สารบัญตาราง............................................................................................................................................... ป สารบัญภาพ.................................................................................................................................................. ผ บทท่ี 1 บทนำ............................................................................................................................................... 1 ความความสำคัญและที่มาของปญั หา.................................................................................................. 1 วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย......................................................................................................................... 3 คำถามการวิจยั ........................................................................................................................................ 4 สมมตุ ิฐานการวจิ ยั ................................................................................................................................... 4 ขอบเขตของการวิจยั ............................................................................................................................... 4 คำจำกดั ความในการวิจยั .................................................................................................................. 6 ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ บั ...................................................................................................................... 7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วข้อง......................................................................................................... 8 ตอนท่ี 1 สมรรถภาพทางกาย (Physical fitness)................................................................................... 9 ตอนท่ี 2 ความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength).................................................................... 27 ตอนที่ 3 โปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกาย (A Training Program for Physical Fitness)............ 35 ตอนท่ี 4 นวัตกรรมดิจิทัล (Innovation Digital)…………………………………………………………………………. 46 ตอนที่ 5 งานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้อง................................................................................................................... 56 ตอนที่ 6 กรอบแนวคิดการวิจัย………………………………………………………………………………………………….. 65 บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนนิ การวิจยั ........................................................................................................................ 66

น หน้า ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพความตอ้ งการการใชโ้ ปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองและ การยอมรับนวัตกรรมดิจิทัลทางพลศึกษา................................................................................ 66 ระยะที่ 2 การสร้างต้นแบบโปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองรว่ มกบั นวัตกรรมดจิ ทิ ลั เพอ่ื สง่ เสริมความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อหนา้ ท้อง.................................................................... 71 ระยะท่ี 3 การศึกษาผลการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกบั นวัตกรรมดิจิทลั เพอื่ ส่งเสริมความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือหนา้ ท้อง.................................................................... 72 ระยะที่ 4 การรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจทิ ลั เพ่ือ สง่ เสรมิ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง.......................................................................... 75 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล....................................................................................................................... 79 ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาสภาพและความต้องการใช้โปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวตั กรรมดจิ ิทัลเพ่ือส่งเสรมิ ความแข็งแรงของกล้ามเนือ้ หน้าท้อง............................................. 80 ตอนที่ 2 ผลของการพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจทิ ลั เพื่อ สง่ เสริมความแข็งแรงของกลา้ มเน้ือหน้าท้อง.......................................................................................... 84 ตอนท่ี 3 ผลการใชโ้ ปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกบั นวตั กรรมดิจิทลั เพอ่ื ส่งเสรมิ ความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อหน้าท้อง............................................................................ 87 ตอนท่ี 4 ผลการรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกบั นวตั กรรมดิจทิ ลั เพ่ือ ส่งเสรมิ ความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง............................................................................. 88 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ................................................................................. 91 สรปุ ผลการวจิ ัย......................................................................................................................................... 93 อภปิ รายผล............................................................................................................................................... 95 ข้อเสนอแนะ............................................................................................................................................. 100 บรรณานุกรม.................................................................................................................................................. 101 ภาคผนวก ก รายนามผู้ทรงคุณวฒุ ิ............................................................................................................... 110 ภาคผนวก ข โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกบั นวตั กรรมดจิ ิทลั เพ่ือส่งเสริมความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง 6 สปั ดาห์................................................................................ 112 ภาคผนวก ค แบบสอบถามสภาพความจริง ความตอ้ งการและการยอมรบั โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทาง กายด้วยตนเองรว่ มกบั นวัตกรรมดจิ ทิ ลั เพื่อสง่ เสริมความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง......... 135

บ ภาคผนวก ง แบบสอบถามการยอมรับนวตั กรรมดจิ ิทลั เพอื่ ส่งเสรมิ ความแข็งแรงของกลา้ มเนื้อหน้าท้อง….. 138 ภาคผนวก จ แบบประเมินความพร้อมก่อนการออกกําลงั กายด้วยการ Sit up............................................. 143 ภาคผนวก ฉ แบบสัมภาษณแ์ บบกึง่ โครงสรา้ งโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเอง รว่ มกบั นวตั กรรมดิจิทลั เพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง............................... 145 ภาคผนวก ช ตัวอยา่ งภาพการออกกำลังกายด้วย Sit Up ในโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วย ตนเองรว่ มกับนวัตกรรมดจิ ทิ ัลเพือ่ ส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง..................... 168 ภาคผนวก ซ แบบรบั รองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองรว่ มกบั นวัตกรรมดิจิทลั เพื่อ สง่ เสรมิ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหนา้ ท้อง.......................................................................... 172 ภาคผนวก ฌ เอกสารการรับรองโครงการวจิ ยั จากคณะกรรมการพจิ ารณาจรยิ ธรรมการวิจยั ในคน............. 176 ประวัติผู้เขียนวิจัย.......................................................................................................................................... 182

ป ตารางที่ สารบัญตาราง หน้า 3.1 77 4.1 แผนการดำเนินงานวจิ ยั ....................................................................................................... ผลการสำรวจสภาพและความตอ้ งการโปรแกรมและอปุ กรณ์ในการฝกึ สมรรถภาพทาง 80 4.2 กายดว้ ยตนเอง.................................................................................................................... 80 4.3 ผลการสำรวจสภาพและความต้องการอุปกรณ์เชื่อมต่อทางเทคโนโลยี .............................. 81 4.4 ตัวอย่างจำแนกตามคณะ (N=1,001)……………………………………………………………..........…. 82 4.5 การตรวจสอบโมเดลการวัด…………………………………………………………………………………. 84 4.6 Goodness of fit statistical between the model components and empirical data. 87 4.7 ผลการทดลองกลุ่มทดลองก่อนเรียนและหลงั เรียน............................................................ 87 4.8 ผลการทดลองกล่มุ ควบคุมกบั กลมุ่ ทดลองหลังเรียน.......................................................... ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลคะแนนรับรองต่อโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ 88 ทางกายดว้ ยตนเองรว่ มกับนวตั กรรมดจิ ทิ ัลเพื่อส่งเสริมความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อหน้าท้อง

ผ สารบัญภาพ ภาพท่ี หน้า 2.1 เซนเซอร์สกี หรือ“สกีอัจฉรยิ ะ” ………………………………………………………………………...……… 49 2.2 อุปกรณ์สวมศรี ษะตรวจสอบการกระแทก.............................................................................. 49 2.3 อปุ กรณ์เสริมสร้างบุคลิกภาพ................................................................................................. 50 2.4 อปุ กรณช์ ว่ ยให้ออกกำลังกาย................................................................................................. 50 2.5 อปุ กรณ์ทเ่ี ก็บขอ้ มลู การออกกำลงั กาย.................................................................................... 51 2.6 อุปกรณว์ ัดชพี จร............................................................................................................................... 51 2.7 เครื่อง EMSculpt................................................................................................................... 52 2.8 อุปกรณ์ Abs8 toning belt................................................................................................... 53 2.9 กล้ามเน้อื บริเวณหนา้ ท้องหลังจากทำ Sit up ในระยะเวลา 2 สปั ดาห์.................................. 54 2.10 นวัตกรรมดิจิทลั ทางพลศึกษาเพ่ือสร้างความแข็งแรงของหนา้ ทอ้ ง........................................ 55 2.11 กรอบแนวคิดการวิจัยโปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกบั นวตั กรรม ดิจิทลั เพือ่ ส่งเสริมความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อหนา้ ท้อง.......................................................... 65 4.1 โมเดลสมการโครงสร้างการยอมรบั นวตั กรรมดจิ ทิ ลั ทางพลศกึ ษา.......................................... 83 4.2 นวัตกรรมดจิ ิทัลทางพลศึกษาเพ่อื สรา้ งความแข็งแรงของหน้าท้อง........................................ 85 4.3 อุปกรณ์ช่วยฝกึ ความแข็งแรงของหนา้ ท้อง............................................................................. 85 4.4 หนา้ จอ Sit-Up Fitness Tracker.......................................................................................... 86 4.5 หน้าจอ Application……………………………………………………………………………………………….. 86 4.6 การตั้งคา่ องศา…………………………………………………………………………………………………………. 87

บทท่ี 1 ความสำคัญ และท่ีมาของปัญหา โลกในปัจจุบันมีส่ิงอำนวยความสะดวกมากมายถูกขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกิดการ เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีส่งผลให้ผู้คนใน ปัจจุบันมีพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตท่ีเปล่ียนไป มีผลทั้งในเร่ืองสุขภาพกายและสุขภาพจิตระยะยาวโดยที่ มนุษย์ไม่รู้ตัว เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันของคนส่วนใหญ่จะหมดไปกับการทำงานและการเดินทาง การมี เทคโนโลยีและส่ิงอำนวยความสะดวกจึงมีความจำเป็นและมคี วามสำคัญที่จะช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวันให้ ง่ายข้ึน การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน การมีเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ เนื่องจากต้อง เดินทางระหว่างท่ีทำงาน ท่ีเรียน และที่พัก อาจทำให้เกิดภาวะความเครียดสะสม และการขาดการออกกำลัง กายอย่างสม่ำเสมอ (World Health Organization, 2019; มาลีวัล เลิศสาครศิริ และชะบา คาปัญโญ, 2560) ด้วยที่เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างสูงในสังคมยุคใหม่ ดังนั้นทำอย่างไรจึงจะนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ ประโยชน์อย่างเต็มท่ี และเหมาะสมกับการดำรงชีวิต การเตรียมงานและเตรียมคนในอนาคต โดยเฉพาะคนรุ่น ใหม่ ท่ีถนัดในการใช้เทคโนโลยีจะสามารถใช้ได้อย่างเป็นประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และเกิดประสิทธิภาพกับ ตนเอง ได้มากข้ึนตามกาลเวลาและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทร่ี วดเรว็ (ณัฐพร สุดดี, 2562) พฤติกรรมเหล่าน้ีล้วนเป็นสาเหตุของโรคร้ายท่ีจะเข้ามาสู่ร่างกายเราท้ังส้ิน จากการสำรวจปี 2555-2557 พบว่าคนไทยท่ีมีพฤติกรรมทางกายที่เพียงพอ มีเพ่ิมข้ึนเพียงเล็กน้อยจากร้อยละ 66.3 เป็น 68.3 เม่ือจำแนกตามเจ เนอเรชัน ได้แก่ กลุ่มประชากรเจเนอเรชันวาย(Generation Y) ที่มีอายุ 11-32 ปี ในปี 2557 พบว่าจำนวนมากยังเป็น เด็กและเยาวชนท่ีเป็นกลุ่มท่ีมีพฤติกรรมทางกายน้อยท่ีสุดเมื่อเทียบกับ ไซเลนต์เจเนอเรชัน (Silent generation) เบ บ้ีบูมเมอร์ (Baby boomer) และเจเนอเรชันเอกซ์ (Generation X) ท้ังในด้านสัดส่วนผู้ท่ีมีพฤติกรรมทางกายเพียงพอ และจำนวนช่ัวโมงในการมีพฤติกรรมทางกายในแต่ละวัน (สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหดิ ล, 2559) สอดคล้องกับปจั จบุ นั จะพบวา่ มอี บุ ตั ิการณข์ องโรคต่าง ๆ ทเ่ี กิดเพิ่มมากขนึ้ เพราะพฤตกิ รรมการใช้ชวี ิตที่เปลยี่ นไปของ คนรุ่นปัจจุบัน เช่น โรค NCDs (Non-communicable diseases) คือ โรคไม่ได้เกิดจากเช้ือโรคและไม่สามารถ แพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคท่เี กิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนนิ ชีวติ ท่ีไม่ถกู ต้องตามหลักสขุ ปฏิบัติ ซ่ึง จะมีการเติบโตของโรคอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ สะสมอาการอย่างต่อเน่ือง และเมื่อมีอาการของโรคแล้วมักจะเกิดการเร้ือรัง ของโรคตามมาด้วย โดยมีข้อมูลสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กลุ่มโรคไม่ ตดิ ต่อ NCDs เป็นสาเหตุการตายอันดับหน่ึงของคนไทย โดยมีคนไทยป่วยเป็นโรค NCDs ถึง 14 ล้านคน เสียชวี ิตปีละ กวา่ 300,000 คน และคาดว่ามีแนวโน้มทจ่ี ะเพ่มิ มากขน้ึ ในทุก ๆ ปี ซ่งึ ส่วนใหญ่เสียชีวติ ก่อนอายุ 60 ปี และที่นา่ ตกใจ พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากกลุ่มโรค NCDs สูงถึง 73% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของท่ัวโลก (World Health Organization, 2018) กลุ่มของโรค NCDs ได้แก่ โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อีกทัง้ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคอ้วนลงพุงและโรคอน่ื ๆ ดังนัน้ การปรับพฤติกรรมที่จะเกิดโรค

2 NCDs จงึ ต้องปรับพฤติกรรมของตนเองหลัก ๆ ได้แก่ ลดปัจจยั ความเสี่ยง อาทิ งดด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ งดสบู บุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์ เน้นการรับประทานผักและผลไม้ และท่ีสำคัญ คือ การออกกำลัง กายอยา่ งสม่ำเสมอ การออกกำลังกาย อย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย (ศูนย์จัดการความรู้ ผู้ป่วย โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, 2559) นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้วยังเป็นการรักษาทรวดทรงไม่ให้ อ้วนจนเกินไป กิจกรรมออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมือ หรือพ้ืนท่ีในการบริหาร มากนักและสามารถทำได้ทุกคนด้วยตนเอง (ธิติมา บุญเจริญ, 2556; วิรุณ เวชศิริ, 2561) เช่น ท่าลุกยืนแล้วน่ัง ท่าดันกำแพง ท่าดันพื้น ท่ายืดเหยียดกล้ามเน้ือ ท่าบริหารหน้าท้องแบบต่าง ๆ การบริหารร่างกายกับเก้าอ้ี เป็นต้น การลุกนั่ง หรือเรียกอีกช่ือว่า Sit up ซึ่ง Sit up ซิทอัพเป็นการออกกำลังกายท่ีช่วยบริหารกล้ามเนื้อ ได้หลายส่วน ได้แก่ คอ หน้าอก กล้ามเน้ือข้อต่อสะโพก และหลังส่วนล่าง Sit up ไม่ใช่เพียงแค่เพ่ิมความ แข็งแรงให้กล้ามเนื้อหน้าท้องเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการช่วยเผาผลาญแคลอร่ีได้เป็นอย่างดี รวมไปถึง ช่วยให้กล้ามเน้ือแกนกลางลำตัวมีความแข็งแรง ซ่ึงกล้ามเนื้อส่วนนี้เป็นส่วนท่ีโอบล้อมลำตัวและกระดูกเชิง กราน มคี วามสำคญั อย่างย่ิงในการชว่ ยรกั ษาความมั่นคงใหร้ ่างกาย ไมว่ า่ จะเปน็ การเออ้ื มตวั ยดื เหยยี ด และงอ ตัว นอกจากนั้นการสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางของลำตัว ยังมีส่วนช่วยพัฒนาท่าทางของร่างกายและบริหาร กล้ามเน้ือได้หลายส่วน ได้แก่ คอ หน้าอก กล้ามเนื้อข้อต่อสะโพก และหลังส่วนล่าง ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มความ แข็งแรงให้กล้ามเนื้อหน้าท้องเท่าน้ัน แต่ยังมีส่วนสำคัญในการช่วยเผาผลาญแคลอรี่ ลดภาวะการอ้วนลงพุงที่ เป็นสาเหตุของโรค NCDs ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงช่วยให้กล้ามเน้ือแกนกลางลำตัวมีความแข็งแรงและอาจ ชว่ ยป้องกันการบาดเจ็บท่ีอาจเกิดขน้ึ กับหลังสว่ นล่างไดอ้ ีกด้วย การออกกำลังกายแบบ Sit up น้ันจะมีหลาย ท่าแต่ท่าพ้ืนฐานน้ันจะเรมิ่ ต้นด้วยการนอนเรียบหงายบนพ้ืน และงอเข่าข้ึนให้สามารถงอตัวได้เล็กน้อย ต่อมา เป็นการเอามือไว้ท่ีต้นคอ บนอก หรือจะท่ีไหนก็ได้แล้วแต่ความถนัดท่ีจะไม่ต้องใช้แรงจากมือช่วยดึงข้ึน จากน้ันจึงทำการออกแรงจากหน้าท้องเล็กในการท่ีจะยกเอาตัวขึ้นมาให้ช่วงหลังสูงเหนือพื้นประมาณ 15 องศา โดยไม่จำเป็นต้องเอาหลังข้ึนมาท้ังหมด (Curl-up) เพราะจะทำให้ปวดหลังและบาดเจ็บได้ ทำอย่างน้อย 3 เซท เซทละ 10 ครั้งเป็นอย่างน้อย การ Sit up ระหว่างมุมนั่งที่ 90° ถือว่าเป็นมุมนั่ง Sit up ท่ีทำให้เกิดการ เปล่ียนแปลงรอบเอวและหน้าท้องได้ดีกว่า มุมนั่ง ที่ 45 ° และ 120 ° กล่าวว่า วิธีการยกร่างกายส่วนบนจาก ท่านอนหงายแล้วสร้างมุมซทิ อัพ 90° มีการเปลี่ยนแปลงโดยการเปลี่ยนมุมนั่ง 90° เป็น 45° และ 120° นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าการ Sit up จะทำให้เกิดการเปล่ียนแปลงไขมันบริเวณช่องท้องให้ลดลง ซ่ึงจะส่งผลดี ต่อสุขภาพเป็นอยา่ งมาก (Todingan, Moningka, Danes, 2016) ถึงแม้ว่าการ Sit up จะมปี ระโยชน์ในการช่วยเพิ่มความแขง็ แรงให้แกนกลางของลำตัวหรอื กล้ามเนื้อ หน้าท้อง แต่การ Sit up ก็มีความเส่ียง สำหรับคนท่ีทำท่าทางไม่ถูกต้อง เพราะคนส่วนใหญ่ที่ Sit up มักจะใช้ กล้ามเน้ือสะโพกในการออกแรงเพื่อให้ได้จำนวนคร้ังที่มาก ซ่ึงอาจทำให้เกิดแรงกดทับหมอนรองกระดูกบริเวณ กระดกู สันหลงั ได้ รวมถงึ ความเส่ยี งทำใหเ้ กิดการบาดเจ็บที่คอและหลงั ส่วนลา่ งได้เช่นกัน จากข้อมลู การบาดเจบ็

3 จากการ Sit up เกิดจากการใช้กล้ามเน้ือหน้าท้องมากเกินไป แต่การ Sit up โดยเฉพาะแบบงอเข่ากลับทำให้ใช้ กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างมากกว่าจะเป็นหน้าท้อง ซึ่งหาก Sit up ไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ส่วน หลัง (พัชรี ย่ำเที่ยง พงษเ์ ทพ สาระไกร และวีระชัย หอมดอก , 2559; สนธยา สลี ะมาด, 2557; ถาวร กมุทศรี, 2560; Corbin& Masurier 2014; Tayashiki and et.al.2016,) ดังน้ันเพื่อให้การออกกำลังกายด้วยการ Sit up ได้ประโยชน์ทางด้านสมรรถภาพอย่างสมบูรณ์ ลดปัญหาการบาดเจ็บดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้คิดค้นอุปกรณ์ช่วยในการทำ Sit up ให้ง่ายและได้ประโยชน์มากขึ้น นวัตกรรมดิจิทัลด้านเทคโนโลยีทางสุขภาพ คืออุปกรณ์ที่จะช่วยในการออกกำลังกายด้วยท่าทางการ Sit up ท่ี ถูกต้องร่วมกับโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง โดยนวัตกรรมดิจิทัลประกอบด้วย อุปกรณ์สายรัดหน้าอกอัจฉริยะสำหรับวัดความชันของลำตัวผู้ออกกำลังกาย เพ่ือบอกถึงระดับกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง และท่าทางในการ Sit up ที่ถูกต้องรวมถึงฟังก์ชันการทำงานที่บอกถึง ระดบั ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง ระยะเวลาการ ท่ีเหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ และฟังก์ชันอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง โดยจะมีการทำงานร่วมกับ Smart Phone และแอปพลิเคชันเฉพาะ เพิ่มความสะดวกให้แก่ ผู้ออกกำลังกายสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ลดเกิด การบาดเจ็บ เพราะผู้ออกกำลังกายจะรู้ระดับความสามารถและความพร้อมด้านสุขภาพของตนเอง หากผู้ออก กำลังกายทำท่าทางการ Sit up ได้ถูกต้อง ก็จะเพ่ิมประสิทธิภาพทางสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงของ กล้ามเน้อื หน้าท้องได้ดีอีกดว้ ย วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย วตั ถุประสงคท์ ่ัวไป เพือ่ พฒั นาโปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดจิ ิทลั เพ่ือสง่ เสริมความ แข็งแรงของกล้ามเน้อื หนา้ ทอ้ ง วัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ 1. เพอื่ ศึกษาสภาพและความตอ้ งการใช้โปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดจิ ิทลั เพื่อสง่ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง 2. เพอื่ พัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวตั กรรมดจิ ิทลั เพ่อื ส่งเสริม ความแขง็ แรงของกลา้ มเนือ้ หน้าท้อง 3. เพอื่ ศึกษาผลการใชโ้ ปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกบั นวัตกรรมดิจิทลั เพื่อ ส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหนา้ ท้อง 4. เพื่อรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริม ความแขง็ แรงของกล้ามเนือ้ หน้าท้อง

4 คำถามการวจิ ัย 1. สภาพและความต้องการการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองของผู้เรียนเป็น อยา่ งไร 2. การยอมรับนวตั กรรมดจิ ทิ ลั ทางพลศึกษาของผู้เรียนเปน็ อยา่ งไร 3. โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกบั นวตั กรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรง ของกลา้ มเน้ือหน้าท้องมลี ักษณะอย่างไร สมมติฐานการวิจัย 1. ผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยของความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องหลังทดลองใช้โปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดจิ ิทลั สูงขึ้นกวา่ ก่อนทดลองใช้ 2. ผู้เรียนกลมุ่ ทดลองมีคา่ เฉล่ียของความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องหลังทดลองใช้โปรแกรมการฝึก สมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกบั นวตั กรรมดิจทิ ัลสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ 0.5 3. ผู้เรียนที่ใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริม ความแข็งแรงของกล้ามเนอ้ื หน้าทอ้ งมีความพึงพอใจอย่ใู นระดับดี-ดีมาก ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยคร้ังนี้สนใจศึกษาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือ ส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องโดย ตัวแปรต้น ท่ีใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ ทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล เป็นโปรแกรมการฝึกเพ่ือพัฒนาสมรรถภาพทางกายด้านความ แขง็ แรงของกล้ามเนอ้ื หนา้ ท้องของแต่ละบุคคลหรอื ความสามารถในการตอบสนองของกล้ามเน้อื หน้าทอ้ งในการ ทำ Sit up อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล ประกอบด้วย 1) อุปกรณ์ Sit-Up Sensor พร้อมสาย รัดหน้าอก 2) สมาร์ทโฟน ท่ีมีแอปพลิเคชันเฉพาะ (Sit-Up Application) เพ่ือให้ผู้ออกกำลังกายใช้งานง่าย และสามารถดำเนินการ Sit up ได้ด้วยตนเอง และตัวแปรตาม ที่ใช้ในการวิจัย คือ ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ หน้าทอ้ งเป็นความสามารถในการทำงานของกลุ่มกล้ามเนื้อหน้าทอ้ ง ที่กระทำต่อแรงต้านทานได้สูงสุด ในท่ีน้ีจะ หมายถึงความสามารถในการทำท่าลุก-น่ัง Sit up 60 วินาที ให้ได้จำนวนครั้งมากท่ีสุด ซึ่งผู้วิจัยดำเนินการ ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเป็น 4 ระยะ

5 ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพและความตอ้ งการใชโ้ ปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกบั นวตั กรรมดจิ ทิ ลั เพื่อส่งเสริมความแขง็ แรงของกล้ามเนือ้ หน้าท้อง ประชากร ได้แก่ ผ้เู รยี นระดบั ปริญญาตรที ั่วประเทศ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เรียนระดับปริญญาตรีทั่วประเทศ เพศชายและเพศหญิงท่ีมีอายุต้ังแต่ 18 ปี – 23 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ควรทำกิจกรรมเพ่ือสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเน้ือในระดับความเข้มข้นปานกลางถึงมาก ที่สุดในกลุ่มกล้ามเนื้อทกุ ส่วน (WHO, 2020) ระยะที่ 2 การสร้างต้นแบบโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือ ส่งเสรมิ ความแขง็ แรงของกลา้ มเนอ้ื หน้าท้อง ประชากร ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัลจำนวน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 4) ผู้ทรงคุณวุฒิ ดา้ นการวจิ ยั กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน คือ 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพ จำนวน 1 ท่าน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัลจำนวน 2 ท่าน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือ 1 ท่าน 4) ผู้ทรงคุณวุฒิดา้ นการวิจัย จำนวน 1 ท่าน โดยผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง ทม่ี คี ุณสมบัติ คอื มคี วามเชี่ยวชาญในด้านที่เกย่ี วข้องไม่นอ้ ยกวา่ 5 ปี ระยะที่ 3 การศึกษาผลการใช้โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อ สง่ เสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าทอ้ ง ประชากร ได้แก่ ผู้เรียนระดบั ปริญญาตรีทั่วประเทศ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เรียนระดับปริญญาตรีทั่วประเทศ เพศชายและเพศหญิงท่ีมีอายุตั้งแต่ 18 ปี – 23 ปี ซ่ึงเป็นชว่ งวัยท่ีควรทำกจิ กรรมเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเน้ือในระดบั ความเข้มขน้ ปานกลางถงึ มาก ท่ีสุดในกลุ่มกล้ามเน้ือทุกส่วน(WHO, 2020) โดยกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงท่ีมีคุณสมบัติ คือ มีความพร้อมใน ด้านการใช้เคร่อื งมอื และอุปกรณท์ างเทคโนโลยี และตอบรับในการใชโ้ ปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วย ตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง โดยกลุ่มตัวอย่างต้องเข้าร่วม กิจกรรมตามโปรแกรมในระยะเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน รวม 18 วัน (การทำกิจกรรมท่ีสร้างความ แข็งแรงใหก้ ล้ามเน้ือควรทำกิจกรรมสปั ดาห์ละ 2 วนั ขึ้นไป (WHO, 2020)) ระยะท่ี 4 การรับรองโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริม ความแข็งแรงของกลา้ มเนอ้ื หน้าท้อง ประชากร ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย 1) ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพ 2) ผทู้ รงคณุ วุฒิดา้ นนวตั กรรมดจิ ิทัล 3) ผทู้ รงคณุ วุฒิด้านความแข็งแรงของกล้ามเนอื้ 4) ผูท้ รงคุณวฒุ ิด้านการวจิ ัย

6 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน คือ 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโปรแกรมการฝึก สมรรถภาพ จำนวน 1 ท่าน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนวัตกรรมดิจิทัล จำนวน 2 ท่าน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือ 1 ท่าน 4) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิจัย จำนวน 1 ท่าน โดยผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจงทมี่ คี ณุ สมบตั ิ คอื มีความเช่ียวชาญในด้านที่เก่ียวขอ้ งไม่น้อยกว่า 5 ปี คำจำกดั ความในการวิจัย 1. โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล (Self-Physical Fitness Training Program with Digital Innovation) หมายถึง โปรแกรมการฝึกเพ่ือพัฒนาสมรรถภาพทางกายด้าน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องของแต่ละบุคคลหรือความสามารถในการตอบสนองของกล้ามเน้ือหน้า ท้องในการทำ Sit up อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล ประกอบด้วย 1) อุปกรณ์ Sit-Up Sensor พร้อมสายรัดหน้าอก 2) สมาร์ทโฟน ที่มีแอปพลิเคชันเฉพาะ (Sit-Up Application) เพื่อให้ผู้ออกกำลังกายใช้ งานง่าย และสามารถปฏิบัติ Sit up ไดด้ ้วยตนเอง 2. สมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness) เป็นคุณลักษณะท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาพหรือเป็นทักษะ ความสามารถของร่างกายของแต่ละบุคคลในการทำงานประจำวัน การปฏิบัติภารกิจ หรือความสามารถในการ ตอบสนองการทำกิจกรรมทางกายอย่างใดอย่างหน่ึงอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงบุคคลท่ีมีสมรรถภาพทางกายที่ดีก็ จะสามารถปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ออกกำลงั กาย เลน่ กีฬา และเผชิญสภาวะฉุกเฉนิ ได้เป็นอย่างดี สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่นมีความสุข ซ่ึงผู้วิจัยเลือกสมรรถภาพทางกายท่ีต้องการทดสอบ คือ การทำลุก-นง่ั (Sit up) 60 วินาที 3. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Abdominal Muscle Strength) เป็นความสามารถใน การทำงานของกลมุ่ กล้ามเน้ือหน้าท้องท่ีกระทำต่อแรงตา้ นทานไดส้ ูงสุด ในที่นจ้ี ะหมายถึงความสามารถในการ ทำท่าลุก-นั่ง (Sit up) 60 วินาที ให้ได้จำนวนคร้ังมากท่ีสุด ท้ังน้ีกล้ามเน้ือหน้าท้องเป็นส่วนหน่ึงของกลุ่ม กล้ามเนอ้ื แกนกลางลำตวั ซ่ึงมีหน้าที่ทำให้สามารถเคล่ือนไหวรา่ งกาย ยนื น่ัง ทรงตัว เดิน วิ่ง หรอื ทำกิจกรรม ต่าง ๆ ได้ นอกจากน้ียังช่วยพยุงร่างกายของเรารวมทั้งกระดูกสันหลังให้สามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่าง ๆ ได้ กลา้ มเนื้อหน้าท้องมีท้ังหมด 4 ส่วน ประกอบด้วย 1) กล้ามเน้ือหน้าท้องช้ันนอกหรอื เรยี กว่า ซิกแพค (Rectus Abdominis) 2) กล้ามเนื้อท้องด้านข้างช้ันนอก (External Abdominal Oblique) เช่ือมต่อกับซิกแพค 3) กล้ามเน้ือหน้าท้องช้ันใน (Transverse Abdominis) เป็นส่วนท่ีมองไม่เห็นจากภายนอก แต่เป็นส่วนที่ สนับสนุนการทำงานของอวัยวะภายใน และช่วยให้บุคลิกภาพดี หลังตรง 4) กล้ามเน้ือท้องด้านข้างช้ันใน (Internal Abdominal Oblique) เป็นส่วนที่มองไม่เห็นจากภายนอกเช่นกัน แต่มีความสำคัญในการทำงาน ควบคไู่ ปกบั กลา้ มเน้อื หนา้ ทอ้ งชัน้ ใน มีประโยชน์ต่อการเคลือ่ นไหวและการทรงตวั 4. นวัตกรรมดิจิทัล (Digital Innovation) หมายถึง อุปกรณ์สายรัดหน้าอกอัจฉริยะ (Sit-Up Sensor) ใช้สำหรับวัดความชันของลำตัว ผู้ออกกำลังกายด้วยการ Sit up เมื่อทำ Sit up ได้ความชันตาม

7 มาตรฐาน หรือความชันท่ีต้องการ จะมีเสียงเตือนดังขึ้น เพ่ือบอกถึงท่าทางในการทำ Sit up และระดับ กล้ามเน้ือหลังส่วนล่างท่ียกขนึ้ จากพื้น รวมถึงฟังก์ชันการทำงานท่ีบอกถึงระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้า ท้อง ระยะเวลาการทำ Sit up ท่ีเหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ และฟังก์ชันอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้อง มีการทำงานร่วมกับ Smart Phone และแอปพลิเคชันเฉพาะ (Sit-Up Application) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำ Sit up ให้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และผู้ออกกำลังกายสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง โดยไม่เกิดการ บาดเจบ็ ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะได้รับ 1. ประโยชน์เชิงวิชาการ คือ มีโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรม ดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่างเป็นรูปธรรมและได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพตาม หลักการวจิ ัย 2. ประโยชน์เชิงสงั คม คือ มีโปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกายดว้ ยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้องที่เหมาะสมแต่ละบุคคลในการนำไปใช้งานและมีแนวทางใน การออกแบบนวัตกรรมดจิ ิทัลเพือ่ สขุ ภาพทน่ี ่าสนใจเหมาะสมกบั สภาพทางสังคมในปจั จบุ นั 3. ประโยชน์เชิงพาณิชย์ คือ มีต้นแบบโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดิจทิ ลั เพอื่ ส่งเสรมิ ความแข็งแรงของกลา้ มเนือ้ หนา้ ท้องท่สี ามารถนำไปตอ่ ยอดในเชงิ พาณิชย์ได้

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่เี กยี่ วขอ้ ง จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทาง กายด้วยตนเองร่วมกับนวัตกรรมดิจิทัลเพ่ือส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง ผู้วิจัยได้แบ่งการ นำเสนอออกเปน็ 6 ขน้ั ตอนดังนี้ ตอนท่ี 1 สมรรถภาพทางกาย (Physical fitness) 1.1 ความหมายสมรรถภาพทางกาย (The Physical Fitness Meaning) 1.2 องคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกาย (Component of Physical Fitness) 1.3 แบบทดสอบและเกณฑ์สมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness Testing Norms) ตอนที่ 2 ความแขง็ แรงของกลา้ มเน้ือ (Muscle Strength) 2.1 ความหมายของความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อ (Muscle Strength) 2.2 ความหมายและความสำคัญของความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง (Abdominal Muscle Strength) 2.3 ความหมายและวิธีการฝกึ ท่าลุก-นัง่ (Sit up) 2.4 ความหมายและวิธกี ารฝกึ ทา่ ครนั ช์ (Crunches) ตอนที่ 3 โปรแกรมการฝกึ สมรรถภาพทางกาย (A Training Program for Physical Fitness) 3.1 โปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกาย (A Training Program for Physical Fitness) 3.2 โปรแกรมและแบบทดสอบการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง (Abdominal Muscle Strength Training Program) 3.3 หลักการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Principles of Strength Training) ตอนที่ 4 นวตั กรรมดิจทิ ลั (Innovation Digital) 4.1 ความหมายนวตั กรรมดิจทิ ลั (The Innovation Digital Meaning) 4,2 ความหมายเทคโนโลยีด้านสุขภาพ (Fitness Technology) 4.3 ตัวอยา่ งนวตั กรรมและเทคโนโลยีด้านกฬี า 4.4 นวัตกรรมดิจิทัลในงานวิจัยโปรแกรมการฝึกสมรรถนะทางกายด้วยตนเองร่วมกับ นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความแขง็ แรงของกลา้ มเนอื้ หนา้ ทอ้ ง

9 ตอนที่ 5 งานวจิ ัยที่เกยี่ วข้อง 5.1 งานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้องกบั สมรรถภาพทางกาย 5.2 งานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ งกับความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือหน้าท้อง 5.3 งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั โปรแกรมการฝกึ ความแข็งแรงของกลา้ มเนื้อหน้าท้อง 5.4 งานวจิ ัยที่เก่ยี วขอ้ งกบั นวัตกรรมและเทคโนโลยดี ้านกฬี า ตอนที่ 6 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ตอนท่ี 1 สมรรถภาพทางกาย (Physical fitness) 1.1 ความหมายของสมรรถภาพทางกาย นักวิชาการทางพลศึกษาหลายท่านไดใ้ ห้คำจำกัดความของคำว่าสมรรถภาพทางกายที่แตกต่างกัน ข้ึนอยู่กบั ว่าในแตล่ ะช่วงเวลาน้ันมีความต้องการสมรรถภาพทางกายเพ่ือวัตถุประสงคใ์ ดเป็นสำคัญ ความหมาย ของคำวา่ สมรรถภาพทางกาย มดี งั นี้ Caspersen, Powell, and Christenson (1985) ได้กลา่ วว่า สมรรถภาพทางกายเปน็ คุณลักษณะที่ เกย่ี วข้องกับสุขภาพหรือทักษะ ระดบั สมรรถภาพทางร่างกายของแต่ละบุคคลสามารถวัดได้ดว้ ยการทดสอบท่ี เฉพาะเจาะจง สมรรถภาพทางกายกายน้ันถูกนิยามว่าเป็นความสามารถในการทำงานประจำวันด้วยความ แข็งแรงและความตื่นตัวโดยไม่อ่อนเพลียเกินควรและยังมีพลังงานในการแสวงหาความบันเทิงยามว่างและ สามารถตอบสนองตอ่ เหตุฉกุ เฉินที่ไม่คาดฝันได้ทันท่วงที Tritscher (2000) ได้กล่าวถึงสมรรถภาพทางกายว่า เป็นความสามารถของร่างกายในการปฏิบัติ ภารกิจในชีวิตประจำวันโดยใช้ความแข็งแรง และความตื่นตัวโดยไม่เหนื่อยล้า และยังมีพลังงานเหลือเพียง พอท่ีจะทำกิจกรรมในเวลาวา่ งและเผชิญกบั ภาวะฉุกเฉนิ ได้ และสามารถคงสมรรถภาพไว้ได้ตลอดชวี ติ Bouchard, Blair, and Haskell (2006) ได้กล่าวว่า สมรรถภาพทางกายมีองค์ประกอบหลายอย่าง และมีการกำหนดประสทิ ธิภาพหรือสุขภาพท่ีเก่ียวข้องกับการเล่นกีฬาท่ีดีท่ีสุดของแต่ละบุคคล ในทางกลับกัน การออกกำลังกายท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาพนั้นเป็นลักษณะทั่วไปของสุขภาพและได้รับผลกระทบทางบวกหรือ ทางลบ โดยนิสัยการออกกำลังกายของแต่ละบุคคลข้นึ อยกู่ ับสมรรถภาพทางกาย Sharkey and Gaskill (2013) ได้กล่าวถึงสมรรถภาพทางกายว่า สมรรถภาพทางกายถูกนำมาใช้ใน บริบทของความหมายสองประการคือ สมรรถภาพท่ัวไป (สภาวะสุขภาพและความเป็นอยู่ท่ีดี) และ สมรรถภาพทางกายที่เฉพาะเจาะจง (ความสามารถในการเล่นกีฬาหรือทักษะอาชีพเฉพาะ) เกณฑ์สำหรับ

10 สมรรถภาพทางกายได้ขยายรวมถึงความสามารถในการตอบสนองความต้องการทางกายภาพในสถานการณ์ ฉุกเฉินซึ่งสมรรถภาพทางกายน้ีรวมไปถึงสมรรถภาพของหัวใจหลอดเลือด ปอด และกล้ามเน้ือ เพื่อการ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คำจำกดั ความของสมรรถภาพทางกายไดถ้ ูกกำหนดให้เป็นความสามารถของ ร่างกายในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในกิจกรรมการทำงานและการพักผ่อนไม่เพียงแต่ในเวลาที่กำหนด แต่ในช่วงอายุและช่วงเวลาต่าง ๆ ในวงจรชีวิตของบุคคล กุญแจสำคัญคือการค้นหาสุขภาพท่ีดีท่ีสุดภายใน ขอบเขตของการดำเนนิ ชีวิตเพอ่ื ใหส้ ามารถต้านทานโรค Corbin and Masurier (2014) ได้ให้ความหมาย สมรรถภาพทางกาย หมายถึงความสามารถของ ระบบร่างกายของบุคคลในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้แต่ละบุคคลมีสุขภาพที่แข็งแรงและ ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน การมีประสิทธิภาพหมายถึงการทำกิจกรรมประจำวันโดยใช้ความพยายามน้อย ที่สุดผู้ที่มีสมมรถภาพทางร่างกายท่ีเหมาะสมจะสามารถทำงานบ้านที่เป็นความรับผิดชอบในบ้านและยังมี พลงั งานเพียงพอทจี่ ะสนกุ กบั กีฬาและกิจกรรมสันทนาการอื่น ๆ สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ในชีวิตปกติ ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ถนอมวงศ์ กฤษณเ์ พ็ชร์ และกลุ ธดิ า เชิงฉลาด (2544) ไดก้ ลา่ วถึงความหมายของสมรรถภาพทางกาย ไว้ว่า เป็นความสามารถของร่างกายในการประกอบภารกิจประจำวันได้อย่างกระฉับกระเฉง มีประสิทธิภาพ และฟ้ืนตัวกลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่นมีความสุข ปราศจากโรคภัยท่ีเกิดจากการไม่ออกกำลังกาย สอดคล้องกับวรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) ได้กล่าวถึง ความหมายของสมรรถภาพทางกายไว้ว่า เปน็ สภาพของร่างกายที่สามารถประกอบกิจกรรมหรือการงานอย่าง หน่ึงอย่างใดได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพโดยไม่เหนื่อยอ่อนจนเกินไป และในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะ ถนอมกำลังให้เหลือ ไว้ใช้ในกิจกรรมที่จำเป็นสำหรับชีวิต รวมท้ังกิจกรรมในเวลาว่าง เพื่อความสนุกสนานใน ชีวิตประจำวันได้อีกด้วย ทั้งนี้สุพิตร สมาหิโต (2541) ได้กล่าวว่าสมรรถภาพทางกายเป็นสภาวะของร่างกายท่ีดี ช่วยให้บุคคลสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเส่ียงของปัญหาสุขภาพท่ีมีสาเหตุมาจากการขาดการ ออกกำลังกาย บุคคลท่ีมีสมรรถภาพทางกายดีจะสามารถปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย การเล่นกฬี าได้เป็นอยา่ งดี ซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นทจี่ ะต้องทดสอบสมรรถภาพทางกายก่อนออกกำลังกาย เพราะเหตุผลดงั นี้ 1) เพื่อให้ทราบข้อมูลสมรรถภาพทางกายของแตล่ ะบุคคล 2) เพ่ือนำข้อมูลไปจัดโปรแกรม การออกกำลังกายท่ีถูกต้องเหมาะสม 3) เพื่อให้ข้อเสนอแนะความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ทดสอบนำไปปฏิบัติ 4) เพื่อหาวิธีการปรับปรุงข้อบกพร่องของสมรรถภาพทางกาย 5) เพ่ือส่งเสริมการออกกำลังกายให้เกิดการ พัฒนาสมรรถภาพทางกายได้อย่างสูงสุด และ 6) เพ่ือเป็นแรงกระตุ้นและจูงใจให้กับผู้ทดสอบไปพัฒนา สมรรถภาพทางกายของตนเองให้ดีย่ิงขึ้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2549) ได้กล่าวถึงความหมายของสมรรถภาพ ทางกายไว้ว่า เป็นสภาวะของร่างกายท่ีอยู่ในสภาพที่ดีเพ่ือที่จะช่วยให้บุคคลสามารถทำงานได้อย่างมี

11 ประสิทธิภาพ บุคคลที่มีสมรรถภาพทางกายดีกจ็ ะสามารถปฏิบัติภารกจิ ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวนั การออกกำลังกาย การ เล่นกีฬา และการแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับ กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้ให้ความหมาย ของสมรรถภาพทางกายไว้ว่าเป็นความสามารถของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล บุคคลท่ีมีสมรรถภาพทางกายดีน้ัน จะสามารถประกอบกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่าง กระฉับกระเฉง โดยไมเ่ หน่ือยลา้ จนเกนิ ไปและยงั มพี ลังงานสำรองมากพอสำหรับกจิ กรรมนนั ทนาการหรอื กรณฉี ุกเฉิน สนธยา สีละมาด (2557) ได้ให้ความหมายของสมรรถภาพทางกายไว้ว่า เป็นการมีสภาพสรีรวิทยาที่ ช่วยให้บุคคลสามารถประกอบกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือการมีสภาพสรีรวิทยา พน้ื ฐานสำหรับการมีความสมบรู ณ์ทางการกฬี า หรอื ท้งั สองอย่าง ณัฐพร สุดดี (2562) ได้กล่าวถึง การจัดฐานกจิ กรรม (Circuit Training) เกีย่ วกับการออกกำลังกายท่ี เสริมสร้างสมรรถภาพ (Fitness Circuit) โดยมีท้ังหมด 6 ฐาน 1 ในฐานกิจกรรมเสริมสร้างสมรรถภาพทาง กายนั้น คือ ฐาน Sit up มีวัตถุประสงค์เพ่ือแสดงให้เห็นว่าทักษะ Sit up ช่วยในการเสริมสร้างสมรรถภาพ ทางกาย ใช้ในการออกกำลังกาย และช่วยในการเล่นกีฬาทำให้ร่างกายแข็งแรงและสุขภาพท่ีดี ช่วยทำให้ กระฉับกระเฉงสามารถทำกิจกรรมต่อเนื่องไดต้ ลอดท้ังวนั อกี ด้วย สรุปจากการสังเคราะห์ความหมายของนักวิชาการพลศึกษา พบว่า สมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness) เป็นคุณลักษณะท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาพหรือเป็นความสามารถของร่างกายของแต่ละบุคคลในการ ทำงานประจำวัน ปฏิบัติภารกิจ ได้อย่างกระฉับกระเฉง มีประสิทธิภาพและฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่าง รวดเร็ว ซ่ึงบุคคลที่มีสมรรถภาพทางกายท่ีดีจะสามารถปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ออกกำลังกาย เลน่ กีฬา และเผชิญสภาวะฉุกเฉินได้เปน็ อย่างดี สามารถดำรงชวี ิตอยใู่ นสังคมได้อย่างราบรื่น มคี วามสุข 1.2 องคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกาย (Component of Physical Fitness) องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดสุขภาพในรัฐธรรมนูญปีค.ศ.1948 ว่า สถานะของความสมบูรณ์ทาง รา่ งกายจติ ใจและสังคมไม่เพียงแค่ทำให้บุคคลไม่มีโรคหรือร่างกายอ่อนแอ สมรรถภาพคือการตอบสนองความสามารถ ทางกายภาพ การมีสมรรถภาพทางกายที่ดีน้ันเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ดำเนินไป อย่างมคี วามสุข ซ่ึงมนี ักวชิ าการหลายทา่ นไดแ้ บ่งและอธบิ ายองค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย ไว้ดงั นี้ Thompson (1991) ได้กล่าวว่า สมรรถภาพทางกายพ้ืนฐานในแต่ละด้านต่อไปนี้ นักกีฬาจะต้องได้รับ การฝึกควบคู่ไปกับการฝึกพัฒนาความสามารถทางด้านเทคนิค ทักษะ ของแต่ละชนิดกีฬา เพราะเป็น องคป์ ระกอบทจ่ี ะทำใหก้ ลไกการเคลือ่ นไหวของรา่ งกายมคี วามสมบูรณ์ โดยประกอบไปด้วย 1. ความอดทน (Endurance) 2. ความแข็งแรง (Strength )

12 3. ความเรว็ (Speed) 4. ความอ่อนตัว (Flexibility) 5. การประสานงานและความสมั พนั ธข์ องระบบประสาทและกล้ามเนอ้ื (Coordination) องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกายพ้ืนฐานท้ัง 5 ด้าน มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อการทำงาน ของ รา่ งกายในขณะเล่นกีฬา ผู้ฝึกสอนและนักกีฬาต้องให้ความสำคัญ เน่ืองจากธรรมชาติในการเล่น หรือแข่งขันกีฬา แต่ละชนิดน้ันมีความแตกต่างกันในการเคลื่อนไหว ระยะเวลาการเล่น อวัยวะท่ีใช้ รวมถึงระบบพลังงานของ ร่างกายท่ีจะขับเคลื่อน โดยแต่ละชนิดกีฬามีความแตกต่างกัน จึงทำให้รูปแบบหรือวิธีการฝึกพัฒนาสมรรถภาพ ทางกายพื้นฐานแต่ละด้านถกู กำหนดรูปแบบและวธิ ีการฝึกแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งสำคัญทีท่ ำให้ร่างกายสามารถ เคล่ือนไหวออกแรงขับเคลื่อนไปในทศิ ทางท่ตี ้องการท้ังในแบบต่อเน่อื งหรือเป็นจังหวะในการปฏิบัติเทคนิค ทักษะ ของแต่ละชนิดกีฬา คือพื้นฐานสมรรถภาพทางกายทั้ง 5 ด้านที่เหมาะสมกับนักกีฬา จึงจะทำให้เกิดประสิทธิภาพ ในการออกแรง เคล่อื นไหวหรือเคลื่อนท่ี เพอ่ื ทำให้ความสามารถการเล่นมีประสิทธิภาพสูงสุด สมาคมสุขศึกษา พลศึกษา นันทนาการ และเต้นรําแห่งสหรัฐอเมริกา อ้างถึงใน Riley and Prentice (1999) ได้แบ่งสมรรถภาพทางกายออกเป็น 2 ส่วน คือ สมรรถภาพทางกายเกี่ยวกับทักษะกลไก หรอื ทักษะกีฬา และสมรรถภาพทางกายเกยี่ วกบั สขุ ภาพ ซึง่ มรี ายละเอียดดงั นี้ สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ (Health – Related Physical Fitness) เป็นสมรรถภาพทาง กายที่ช่วยลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดปัญหาทางด้านสุขภาพต่าง ๆ นับเป็นตัวบ่งช้ีของการมีสุขภาพดี ซึ่ง ประกอบด้วย เป็นความสามารถของระบบตา่ ง ๆ ในร่างกายประกอบดว้ ย ความสามารถเชงิ สรีรวิทยาดา้ นตา่ ง ๆ ทช่ี ่วยป้องกันบคุ คลจากโรคที่มีสาเหตุจากภาวะการขาดการออกกำลังกาย นับเป็นปัจจัยหรอื ตวั บ่งช้สี ำคัญของการ มีสุขภาพดี ความสามารถหรอื สมรรถนะเหล่าน้ี สามารถปรับปรุงพัฒนาและคงสภาพได้ โดยการออกกำลังกายอย่าง สม่ำเสมอ สมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพมีองคป์ ระกอบ ดงั นี้ 1) องค์ประกอบของร่างกาย (Body Composition) ตามปกติแล้วในร่างกายมนุษย์ประกอบ ด้วย กล้ามเนื้อ กระดูก ไขมัน และ ส่วนอื่น ๆ แต่ในส่วนของสมรรถภาพทางกายนั้นหมายถึง สดั ส่วนปริมาณไขมัน ในร่างกายกบั มวลรา่ งกายทปี่ ราศจากไขมนั โดยการวัดออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ไขมัน (% Fat) 2) ความอดทนของระบบไหลเวียนเลือด (Cardiorespiratory Endurance) หมายถึง สมรรถนะเชิง ปฏิบัติของระบบไหลเวียนเลือด (หัวใจ หลอดเลือด) และระบบหายใจในการลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์กล้ามเนื้อ ทำใหร้ า่ งกายสามารถยืนหยัดที่จะทำงานหรือออกกำลังกายท่ีใช้กลา้ มเนื้อมดั ใหญ่เป็นระยะเวลายาวนานได้ 3) ความอ่อนตวั หรือความยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง พสิ ัยของการเคลื่อนไหวสูงสุดเทา่ ที่ จะทำได้ของข้อตอ่ หรอื กลมุ่ ข้อต่อ 4) ความอดทนของกล้ามเน้ือ (Muscular Endurance) หมายถึง ความสามารถของ กล้ามเน้ือมัดใดมัดหนึ่งหรือกลุ่มกล้ามเน้ือ ในการหดตัวซ้ำ ๆ เพ่ือต้านแรงหรือความสามารถในการหดตัวครั้ง เดียวได้เป็นระยะเวลายาวนาน

13 5) ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscular Strength) หมายถึง ปริมาณสูงสุดของแรงท่ี กล้ามเนอ้ื มดั ใดมดั หนึ่งหรอื กลุม่ กล้ามเนอื้ สามารถออกแรงตา้ นทานได้ในช่วงการหดตัว 1 ครงั้ สมรรถภาพทางกลไก (Motor Fitness) หรือ สมรรถภาพเชิงทักษะปฏิบัติ (Skill – Related Physical Fitness) คือ ความสามารถของร่างกายท่ีช่วยให้บุคคลสามารถประกอบกิจกรรมทางกาย โดยเฉพาะอย่างย่ิง การเล่นกฬี าได้ดี มอี งค์ประกอบ 6 ด้าน ดงั นี้ 1) ความคล่องแคล่วว่อง (Agility ) หมายถึงความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนท่ี ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และสามารถควบคุมได้ 2) การทรงตัว (Balance) หมายถึงความสามารถในการรักษาดุลของร่างกายเอาไว้ได้ท้ัง ในขณะอยกู่ ับทแ่ี ละเคล่ือนที่ 3) การประสานสัมพันธ์ (Coordination) หมายถึงความสามารถในการเคลื่อนไหวได้อย่าง ราบร่นื กลมกลนื และมีประสทิ ธภิ าพ ซึ่งเป็นการทำงานประสานสอดคลอ้ งระหว่างตา มือ และเท้า 4) พลังกล้ามเนื้อ (Power) หมายถึงความสามารถของกล้ามเนื้อส่วนหน่ึงส่วนใดหรือ หลาย ๆ ส่วนของร่างกายในการหดตัวเพ่ือทำงานด้วยความเร็วสูง แรงหรืองานที่ได้เป็นผลรวมของความ แขง็ แรงและความเร็วทใี่ ชใ้ นชว่ งระยะเวลาสนั้ ๆ เชน่ การยืนอยกู่ บั ที่ กระโดดไกล การทุม่ นำ้ หนกั เปน็ ต้น 5) เวลาปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction Time) หมายถึง ระยะเวลาท่ีร่างกายใช้ในการ ตอบสนองต่อสิ่งเรา้ ต่าง ๆ เช่น แสง เสยี ง สมั ผัส 6) ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถในการเคลื่อนที่จากที่หน่ึงไปยังอีกที่หน่ึงได้ อย่างรวดเร็ว Davis, Bull, and Roscoe (2000) ได้กล่าวว่า สมรรถภาพทางกายเป็นความสามารถของนักกีฬาในการ ตอบสนองต่อความต้องการทางกายภาพที่หลากหลายในการเล่นกีฬา โดยร่างกายไม่มีสภาวะเหน่ือยล้า ซ่งึ องคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกาย ได้แก่ 1. องค์ประกอบของร่างกาย (Body composition) เป็นการวัดเปอร์เซ็นต์ร้อยละของไขมัน กลา้ มเน้ือ กระดกู นำ้ และอวัยวะสำคัญท่ีประกอบขนึ้ เปน็ น้ำหนักร่างกายของแต่ละคน ทุกคนเกิดมาพร้อม กับองค์ประกอบของร่างกายแต่ละคนโดยเฉพาะ แต่การออกกำลังกายและอาหารสามารถนำมาซึ่งการ เปลย่ี นแปลงส่งิ สำคญั คือคณุ มรี ่างกายท่เี ป็นองค์ประกอบที่ถกู ต้องในการเล่นกีฬา 2. ความอดทน (Endurance) ความสามารถในการออกกำลังกายเป็นระยะเวลานาน ตัวอย่างเช่นสามารถอยู่บนลู่ว่ิงไฟฟ้าหรือรูปไข่เป็นเวลาหนึ่งช่ัวโมงเทียบกับเพียงห้าหรือสิบนาที รวมทั้งการมี พลังงานและความแข็งแกรง่ อยู่ในเกมการแข่งขัน 3. ความอ่อนตัว (Flexibility) ความสามารถของข้อต่อของแต่ละคนในการเคลื่อนท่ีอย่าง เต็มทกี่ ารเคลื่อนไหว ยง่ิ มีความยดื หยุ่นของแตล่ ะคนมากเทา่ ใดก็ย่ิงเคลื่อนไหวไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพมาก

14 4. ความแข็งแรง (Strength) เป็นปริมาณของแรงท่ีกล้ามเนือ้ สามารถสร้างขึ้นได้เมื่อมันหด ตัวและสามารถต้านทาน ย่ิงคนที่มีความแข็งแกร่งมากเท่าใดการทำงานประจำวันก็ง่ายข้ึนเท่านั้น เช่น การยก และการแบกเป็นตน้ 5. ความเร็ว (Speed) เป็นอัตราท่ีร่างกายหรือส่วนหน่ึงของร่างกายสามารถแสดงการ เคลอ่ื นไหวได้ กรรวี บุญชยั (2541) ได้แบ่งองค์ประกอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพประกอบดว้ ย 1) ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ เป็นความแข็งแรงสูงสุดที่เกิดจากการหดตัวหน่ึงคร้ังของ กล้ามเนอ้ื การวดั ความแขง็ แรงของกลา้ มเน้อื จะใช้การทดสอบดว้ ยอุปกรณ์ยกนำ้ หนกั 2) ความอดทนของระบบหัวใจและการหายใจ เป็นประสิทธิภาพของของระบบไหลเวียน โลหิตและระบบหายใจ ซ่ึงช่วยให้ร่างกายสามารถปฏิบัติงานติดต่อกันเป็นเวลานาน การวัดความอดทนของ ระบบหัวใจและการหายใจมักจะทดสอบโดยใชก้ ารวงิ่ ระยะไกล 3) ความอดทนของกล้ามเนื้อ เป็นความสามารถของกล้ามเนื้อท่ีจะทำงานซึ่งมีความหนัก พอประมาณได้ติดต่อกัน การวัดความอดทนของกล้ามเนื้อมักใช้การทดสอบลุกน่ัง งอแขนห้อยตัว ดันพ้ืน ดึงขอ้ กระโดดย่อตัว 4) ความอ่อนตัวของกล้ามเนื้อ เป็นความสามารถในการเคล่ือนไหวของข้อต่อต่าง ๆ ในการ ยืดของเน้ือเยื่อ เอ็น และกล้ามเนื้อ ความอ่อนตัวของกล้ามเน้ือถือเป็นส่ิงสำคัญต่อสมรรถภาพทางกายเป็น อย่างมาก ถา้ ความออ่ นตัวมีไมเ่ พียงพอการออกกำลงั กายกอ็ าจจะเกิดอนั ตรายได้ 5) ส่วนประกอบของร่างกาย เป็นการวัดเปอร์เซ็นต์ไขมัน บุคคลที่มีรูปร่างอ้วนจะมีไขมัน มากกว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ สำนักงานกองทนุ สนบั สนุนการสรา้ งเสริมสขุ ภาพ (2549) ได้แบ่งสมรรถภาพทางกายแบ่งออกเปน็ 2 ชนิด คือ สมรรถภาพทางกายที่สัมพนั ธ์กับสุขภาพ (Health-Related Physical Fitness) และสมรรถภาพทาง กายทสี่ ัมพันธ์กันทกั ษะ (Skill-Related Physical Fitness) ดงั นี้ สมรรถภาพทางกายท่ีสัมพันธ์กับสุขภาพ เป็นสมรรถภาพทางกายท่ีชว่ ยลดอัตราความเส่ียงของการ เกิดปญั หาทางด้านสขุ ภาพต่าง ๆ ซง่ึ ประกอบด้วย 1) ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ (Muscular Strength) เป็นความสามารถของกล้ามเน้ือ ซ่ึงทำ ให้เกดิ ความตึงตัวเพ่ือใช้แรงในการยกหรือดงึ ส่ิงของต่าง ๆ ความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือจะช่วยทำให้ร่างกายทรงตัว เป็นรูปร่างขึ้นมาได้ หรือท่ีเรียกว่าความแข็งแรงเพื่อรักษาทรวดทรง ซึ่งจะเป็นความสามารถของกล้ามเน้ือท่ีช่วย ให้รา่ งกายทรงตัวด้านกับแรงศูนย์ถ่วงของโลกอยู่ได้โดยไม่ล้ม เป็นความแข็งแรงของกายเน้ือที่ใช้ในการเคลื่อนไหว ขั้นพ้ืนฐาน เช่น การว่ิง การกระโดด การเขย่ง การกระโจน การกระโดดขาเดียว การกระโดด สลับเท้า เป็นต้น ความแข็งแรงอีกชนิดหนึ่งของกล้ามเนื้อเรียกว่า ความแข็งแรงเพื่อเคลื่อนไหวในมุมต่าง ๆ ได้แก่ การเคลื่อนไหว แขนและขาในมุมต่าง ๆ เพ่ือเล่นเกมกีฬา หรือใช้ในการปา การขว้าง การเตะ การตี เป็นต้น และความแข็งแรง

15 ชนิดสุดท้ายเรียกว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในการเกร็ง เป็นความสามารถของร่างกายหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ของร่างกาย ในการต้านทางแรงทมี่ ากระทำจากภายนอกโดยไมล่ ้มหรือสญู เสียการทรงตัวไป 2) ความอดทนของกล้ามเนื้อ (Muscular Endurance) หมายถึง ความสามารถของ กล้ามเน้อื ในการออกแรงทำให้วัตถุเคล่ือนทต่ี ่อกนั เป็นเวลานาน ๆ หรือหลายคร้ังติดต่อกันได้ ความอดทนของ กล้ามเนื้อ สามารถเพิ่มได้มากขึ้นโดยการเพิ่มจำนวนคร้ังในการปฏิบัตกิ ิจกรรมซ่ึงจะขึน้ อยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ เพศ ระดบั สมรรถภาพทางกายของเดก็ และชนิดของการออกกำลงั กาย 3) ความอดทนของระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ (Cardiorespiratory Endurance) หมายถึง ความสามารถของหัวใจ ปอด และหลอดเลือดในการลำเลียงออกซเิ จน และสามารถไปยังกล้ามเนื้อที่ ใชใ้ นการออกแรง และขณะเดียวกันกน็ ำสารท่ีไมต่ ้องการ ซ่ึงเกิดขน้ึ ภายหลังการทำงานของกล้ามเนอ้ื ออกจาก กล้ามเน้ือที่ใช้ในการออกแรงในการการพัฒนาหรือเสริมสร้างนั้นเด็กจะต้องมีการเคลื่อนไหวกล้ามเนือ้ มัดใหญ่ เชน่ การวิ่ง การกระโดด โดยใช้ระยะเวลาติดต่อกัน อย่างน้อยคร้ังละ ประมาณ 10-15 นาที 4) ความอ่อนตัว (Flexibility) หมายถงึ ความสามารถในการเคลื่อนไหวของส่วนแขน ส่วนขา หรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เต็มขีดจำกัดของการเคลื่อนไหวนั้น ๆ การพัฒนาทางด้านความอ่อนตัวทำได้ โดยการยืดเหยยี ดกล้ามเนื้อและเอ็น หรือการใช้แรงต้านทานในกล้ามเน้ือและเอ็นต้องการทำงานมากขึ้น การ ยืดเหยียดของกล้ามเน้ือทำได้ทั้งแบบอยู่กับที่หรือมีการเคลื่อนที่ เพ่ือให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรใช้การเหยียด ของกล้ามเนื้อในลักษณะอยู่กับที่ นั่นก็คืออวัยวะส่วนแขนและขาหรือลำตัวจะต้องเหยียด จนกว่ากล้ามเนื้อจะ รู้สึกตงึ และตอ้ งอยู่ในท่าเหยยี ดกลา้ มเนอ้ื ในลักษณะน้ีประมาณ 10-15 นาที 5) องค์ประกอบของร่างกาย (Body Composition) จะเป็นดชั นปี ระมาณคา่ ทีท่ ำให้ทราบถึง เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักท่ีเป็นส่วนของไขมันทม่ี ีอยู่ในร่างกายองค์ประกอบของรา่ งกายประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ไขมันในร่างกาย กับน้ำหนักของส่วนต่าง ๆ ที่ปราศจากไขมันได้แก่ส่วนของกระดูกและกล้ามเน้ือการรักษา องค์ประกอบในร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะช่วยทำให้นักเรียนไม่เป็นโรคอ้วนซึ่งโรคอ้วนจะเป็น จุดเร่ิมต้นของการเป็นโรคท่ีเสียอันตรายต่อไปอีกมาก เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจ และ โรคเบาหวาน เป็นต้น สำหรับการหาองค์ประกอบของร่างกายน้ันจะกระทำได้โดยการตัดความหนาของไขมัน ใตผ้ ิวหนงั (skinfold thickness) โดยใช้เคร่อื งมอื ทเ่ี รียกวา่ skinfold caliper สมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับทักษะ (skill-Related Physical Fitness) เป็นสมรรถภาพทาง กายท่ีจำเป็นจะต้องใช้สำหรับการเล่นกีฬาซึ่งจะทำให้การเล่นกีฬามีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยประกอบ ด้วย สมรรถภาพทางกายท่ีสมั พนั ธ์กับสุขภาพควบคู่กบั องคป์ ระกอบด้านอ่ืน ๆ ดังนี้ 1) ความเร็ว (speed) หมายถึงความสามารถในการเคล่ือนไหวไปสู่จุดหมายท่ีตอ้ งการโดยใช้ ระยะเวลาอนั สัน้ ทส่ี ดุ ซึ่งกล้ามเนอ้ื จะต้องออกแรงและหดตวั ด้วยความเร็วสูงสุด 2) กำลังของกล้ามเนื้อ (Muscle Power) หมายถงึ ความสามารถของกล้ามเนอื้ ในการทำงานโดย การออกแรงสงู สุดในช่วงเวลาท่ีสั้นทส่ี ุดซึง่ จะต้องมีความแข็งแรงของกล้ามเน้ือและความเร็วเป็นองคป์ ระกอบหลกั

16 3) ความคล่องแคล่วว่องไว (Agility) หมายถึงความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางและ ตำแหนง่ ร่างกายในขณะท่ีกำลังเคลื่อนไหวโดยใช้ความเรว็ ได้อย่างเต็มที่จัดเป็นสมรรถภาพทางกายที่จำเป็นใน การนำไปสกู่ ารเคล่อื นไหวขน้ั พื้นฐานสำหรบั ทักษะในการเล่นกีฬาประเภทตา่ ง ๆ ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ 4) การทรงตวั (Balance) หมายถึงความสามารถในรักษาตำแหน่งและท่าทางของรา่ งกายให้ อยู่ในลกั ษณะตามที่ตอ้ งการได้ทงั้ ขณะท่ีอยกู่ ับท่ีหรอื ในขณะทมี่ ีการเคลื่อนท่ี 5) เวลาปฏิกิริยา (Reaction Time) หมายถึงเวลาท่ีเร็วท่ีสุดท่ีร่างกายเริ่มมีการตอบสนอง หลังจากท่ีได้รับการกระตุ้นซ่ึงเป็นความสามารถของระบบประสาทเม่ือรับรู้การถูกกระตุ้นแล้วสามารถสั่งการ ใหอ้ วัยวะทำหน้าท่ีเก่ียวขอ้ งกับการเคลื่อนไหวให้มกี ารตอบสนองอย่างรวดเร็ว 6) การทำงานที่ประสานกัน (Coordination) หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของ ระบบประสาทและระบบการเน้ือในการท่ีจะปฏิบัติกิจกรรมทางกลไกท่ีสลับซับซ้อนในเวลาเดียวกันอย่าง ราบรนื่ และแมน่ ยำ กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบสมรรถภาพทางกายไว้ในหลักสูตรการศึกษา ขั้นพ้ืนฐานพ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา โดยแบ่งสมรรถภาพทางกายออกเป็น สมรรถภาพกลไก (Motor Fitness) หรือสมรรถภาพเชิงทักษะปฏิบัติ (Skill-Related Physical Fitness) และสมรรถภาพทางกายเพอื่ สุขภาพ (Health–Related Physical Fitness) โดยมรี ายละเอียดดงั น้ี สมรรถภาพกลไก (Motor Fitness) หรือสมรรถภาพเชิงทักษะปฏิบัติ (Skill-Related Physical Fitness) ความสามารถของร่างกายที่ช่วยให้บุคคลสามารถประกอบกิจกรรมทางกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ เลน่ กฬี าไดด้ ี มีองคป์ ระกอบ 6 ดา้ น ดงั นี้ 1. ความคล่องแคล่ว (Agility) หมายถึง ความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางการเคล่ือนท่ีได้ อยา่ งรวดเร็วและสามารถควบคุมได้ 2. การทรงตัว (Balance) หมายถึง ความสามารถในการรักษาดุลของร่างกายเอาไว้ได้ ทง้ั ในขณะอยู่กับทแ่ี ละเคลื่อนท่ี 3. การประสานสมั พันธ์ (Co–ordination) หมายถึง ความสามารถในการเคลื่อนไหวได้อย่าง ราบร่ืน กลมกลืน และมีประสิทธภิ าพ ซ่ึงเป็นการทำงานประสานสอดคลอ้ งกันระหวา่ งตา-มือ-เทา้ 4. พลังกล้ามเนื้อ (Power) หมายถึง ความสามารถของกล้ามเนื้อส่วนหนึ่งส่วนใดหรือ หลายๆ ส่วนของร่างกายในการหดตัวเพ่ือทำงานด้วยความเร็วสูง แรงหรืองานท่ีได้เป็นผลรวมของความ แข็งแรงและความเรว็ ทใี่ ชใ้ นช่วงระยะเวลาน้นั ๆ เชน่ การยนื อยกู่ บั ที่ กระโดด การท่มุ นำ้ หนัก เป็นต้น 5. เวลาปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction time) หมายถึง ระยะเวลาที่ร่างกายใช้ในการ ตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้ ตา่ ง ๆ เชน่ แสง เสยี ง สัมผัส 6. ความเรว็ (Speed) หมายถึง ความสามารถในการเคล่ือนท่ีจากที่หนึ่งไปยังอีกหนงึ่ ได้อย่าง รวดเร็ว

17 สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ (Health–Related Physical Fitness) ความสามารถของระบบ ตา่ ง ๆ ในร่างกายประกอบด้วย ความสามารถเชิงสรีรวิทยาด้านต่าง ๆ ที่ช่วยปอ้ งกนั บคุ คลจากโรคทม่ี ีสาเหตุ จากภาวะการขาดการออกกำลงั กาย นับเป็นปัจจุบันหรือตัวบ่งชี้สำคัญของการมีสุขภาพดี ความสามารถหรือ สมรรถนะเหล่าน้ี สามารถปรับปรงุ พฒั นาและคงสภาพได้ โดยการออกกำลังกายอยา่ งสม่ำเสมอ สมรรถภาพ ทางกายเพ่อื สุขภาพมอี งคป์ ระกอบดังน้ี 1. องค์ประกอบของร่างกาย (Body Composition) ตามปกติแล้วในร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย กล้ามเนื้อ กระดูก ไขมัน และส่วนอ่ืน ๆ แต่ในส่วนของสมรรถภาพทางกายนั้น หมายถึง สัดส่วนปริมาณไขมันใน รา่ งกายกับมวลร่างกายท่ีปราศจากไขมัน โดยการวดั ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ไขมัน (% fat) ด้วยเครอ่ื ง 2. ความทนทานของระบบไหลเวียนโลหิต (Cardiorespiratory Endurance) หมายถึง สมรรถนะเชิงปฏบิ ัติของระบบไหลเวียนโลหิต (หัวใจ หลอดเลือด) และระบบหายใจในการลำเลยี งออกซิเจนไปยังเซลล์ กล้ามเนื้อทำให้ร่างกายสามารถยืนหยัดท่ีจะทำงานหรือออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเน้ือมัดใหญ่เป็นระยะเวลา ยาวนานได้ 3. ความอ่อนตวั หรอื ความยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถงึ พิสัยของการเคลอื่ นไหวสูงสุดเท่าท่ี จะทำได้ของขอ้ ต่อหรือกล่มุ ข้อตอ่ 4. ความทนทานหรือความอดทนของกลา้ มเน้ือ (Muscular Endurance) หมายถงึ ความสามารถ ของกลา้ มเนื้อมดั ใดมัดหน่งึ หรือกลุ่มกลา้ มเน้ือในการหดตวั ซำ้ ๆ เพ่ือต้านแรงหรือความสามารถ ในการคงสภาพการหดตัวคร้ังเดียวได้เป็นระยะเวลายาวนาน 5. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscular Strength) หมายถึง ปริมาณสูงสุดของแรงที่ กลา้ มเนอ้ื มัดใดมัดหนึ่งหรือกลมุ่ กล้ามเนือ้ สามารถออกแรงตา้ นทานได้ ในช่วงการหดตวั 1 ครัง้ สุพิตร สมาหิโต (2555) ได้แบ่งสมรรถภาพทางกายออกเป็น 2 ประเภทคือ สมรรถภาพทางกายที่ สัมพันธ์กับสุขภาพ (Health–Related Physical Fitness) และสมรรถภาพทางกายท่ีสัมพันธ์กับทักษะ (Skill–Related Physical Fitness) ดงั นี้ สมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพ (Health–Related Physical Fitness) เป็นสมรรถภาพ ทางกายทเ่ี กยี่ วกบั การพัฒนาสุขภาพและเพ่ิมความสามารถในการทำงานของรา่ งกาย ประกอบด้วย 1) ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ (Muscle Strength) เป็นความสามารถของกล้ามเนื้อที่ออกแรงใน แต่ละคร้ังเพื่อต้านกับแรงต้านทาน ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือจะทำให้เกิดความตึงตัวเพ่ือใช้แรงในการยก ความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อจะช่วยให้ร่างกายสามารถทรงตัวเป็นรูปร่าง สามารถต้านกับแรงโน้มถ่วงอยู่ได้โดยไม่ล้ม ซ่ึง เป็นความแข็งแรงท่ีใช้ในการเคล่ือนไหวขนั้ พ้ืนฐานเช่น การวิ่ง การกระโดด การเขย่ง การกระโดดขาเดียว เป็นต้น ความแข็งแรงอีกแบบหน่ึงของกล้ามเน้ือเป็นความแข็งแรงในการเคล่ือนไหวมุมต่าง ๆ เพ่ือเล่นกีฬา ออกกำลังกาย และดำเนินชีวติ ประจำวัน

18 2) ความอดทนของกล้ามเน้ือ (Muscle Endurance) เป็นความสามารถของกล้ามเน้ือที่ใช้ แรงระดับปานกลาง สามารถทำให้วัตถุเคลื่อนท่ีติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ความอดทนของกล้ามเน้ือสามารถ เพิ่มได้มากขึ้นโดยการเพิ่มจำนวนครั้งในการปฏิบัติกิจกรรม โดยมีปัจจัยหลายอย่าง คือ อายุ เพศ ระดับ สมรรถภาพ และประเภทของการออกกำลังกาย 3) ความอ่อนตัว (Flexibility) เป็นความสามารถของข้อต่อในร่างกายท่ีเคลื่อนไหว การยืด เหยยี ดกล้ามเนอื้ ทำได้ทัง้ อยกู่ บั ที่และมกี ารเคล่ือนที่เพื่อช่วยพัฒนาให้กล้ามเนอื้ มีความออ่ นตวั 4) ความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด (Cardiovascular Endurance) เป็น ความสามารถของหัวใจและหลอดเลือดในการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปยังกล้ามเน้ือที่ใช้ในการออก แรง ให้ทำงานได้เป็นระยะเวลานาน 5) องค์ประกอบของร่างกาย (Body Composition) เป็นส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็น น้ำหนักของแต่ละคน โดยมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นไขมันและปราศจากไขมัน ทำให้ทราบถึงเปอร์เซ็นต์ของ น้ำหนักท่ีเป็นส่วนของไขมนั ที่อยใู่ นรา่ งกาย การรักษาองค์ประกอบร่างกายให้อย่ใู นระดับที่เหมาะสมจะช่วยลด ความเส่ียงในการเป็นโรคอว้ นซึ่งจะเปน็ จุดเริ่มตน้ ของโรคที่เส่ียงอนั ตรายอีกมากตามมา สมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับทักษะ (Skill–Related Physical Fitness) เป็นสมรรถภาพทางกายท่ี สนับสนนุ ใหเ้ กดิ ระดับความสามารถและการแสดงออกในการเคลื่อนไหว การเลน่ กฬี ามีประสิทธิภาพมากข้ึน ดงั นี้ 1) ความเร็ว (Speed) เป็นความสามารถในการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายที่ต้องการภายใน ระยะเวลาอนั สั้น ซ่ึงกลา้ มเนอื้ จะต้องหดตัวและออกแรงด้วยความเรว็ 2) กำลังของกล้ามเน้ือ (Muscle Power) เป็นความสามารถของกล้ามเน้ือในการทำงานโดย ออกแรงมากทส่ี ุดในชว่ งเวลาอนั สั้น 3) ความคล่องแคล่วว่องไว (Agility) ความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางในขณะท่ีกำลัง เคลอื่ นไหวโดยใช้ความเรว็ ได้อยา่ งเตม็ ที่ นำไปสกู่ ารเคลื่อนไหวขั้นพืน้ ฐานสำหรับทักษะการเล่นกีฬาต่าง ๆ ให้ มปี ระสทิ ธภิ าพ 4) การทรงตัว (Balance) เป็นความสามารถในการควบคุมรักษาตำแหน่งและท่าทางของ รา่ งกายให้อยใู่ นลักษณะตามท่ตี อ้ งการท้ังอยู่กบั ท่ีและเคลื่อนที่ 5) เวลาปฏิกิริยา (Reaction Time) ระยะเวลาเร็วที่สุดท่ีร่างกายมีการตอบสนองเม่ือได้รับ แรงกระตนุ้ 6) การทำงานทปี่ ระสานกัน (Coordination) เป็นความสัมพันธ์ของการทำงานระหว่างระบบ ประสาทและระบบกล้ามเน้ือในการทำกจิ กรรมท่ีซบั ซ้อนในเวลาเดียวกันได้อย่างดี ถาวร กมทุ ศรี (2560) ไดแ้ บง่ องคป์ ระกอบสมรรถภาพทางกายออกเป็น 5 ด้าน ดงั นี้ 1. ความอดทน (Endurance) คือ ความสามารถในการเคล่ือนไหวหรือปฏิบัติงานของ ร่างกายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยอาศัยการทํางานของระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด และระบบ

19 กล้ามเน้ือที่ทำงานภายใต้อุปสรรค คือเกิดอาการเม่ือยล้า (Fatigue) จากกล้ามเนื้อที่ออกแรงเกือบสูงสุด เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเคลื่อนไหวอย่างตอ่ เนื่องหรือปฏบิ ตั ิซำ้ เปน็ เวลานาน โดยแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1.1 ความอดทนแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic Endurance) เป็นการทำงานของ กล้ามเนื้อหรือการเคล่ือนไหวที่ใช้ออกซิเจนในการผลิตพลังงานขณะที่ร่างกายทำงานไม่หนักแต่ระยะเวลา ตอ่ เนือ่ งเพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวขณะเลน่ กีฬาได้อย่างมีประสิทธภิ าพตลอด 1.2 ความอดทนแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Endurance) คอื ระบบพลังงาน ที่เก็บไว้ในกล้ามเน้ือท่ีร่างกายดึงออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการใช้เป็นพลังงานในการออกแรงในเวลา สั้น ๆ และปฏบิ ตั ิซ้ำบ่อยคร้ังในกจิ กรรมเคลื่อนไหวของแต่ละชนดิ กีฬา 2. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength) คอื ความสามารถของกล้ามเนอ้ื ทีห่ ดตัวออกแรงด้วยความ พยายาม เอาชนะแรงต้านหรือความต้านทานที่มากระทำตอ่ รา่ งกาย โดยความแขง็ แรงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คอื 2.1 ความแข็งแรงสูงสุด (Maximum Strength) คือ ความสามารถของกล้ามเนื้อท่ี หดตวั ออกแรงแต่ละครั้งไดแ้ รงมากท่ีสุด 2.2 ความแข็งแรงแบบยืดหยุ่น (Elastic Strength) คือ ความสามารถของกล้ามเน้ือ หดตัวออกแรงเคลอื่ นไหวกระทำกบั แรงต้านได้อยา่ งรวดเร็ว ทำใหเ้ กดิ กำลัง (Power) ของกล้ามเนือ้ 2.3 ความแข็งแรงอดทน (Strength Endurance)เป็นความสามารถของกล้ามเน้ือที่ หดตัวออกแรงเพอ่ื เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเน่ืองสม่ำเสมอในสภาวะทม่ี ีความล้า โดยต้องออกแรงเกือบสงู สุด และตอ่ เนื่องเป็นเวลานานเพือ่ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในรปู แบบตา่ ง ๆ 3. ความเร็ว (Speed) คือ ความสามารถในการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด หนึ่งไดอ้ ยา่ ง รวดเร็วโดยใช้เวลาส้ันท่สี ุด ซงึ่ สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภท ดงั ตอ่ ไปน้ี 3.1 กำลังความเร็ว (Power Speed) เป็นความเร็วที่พบในการเปล่ียนจังหวะหรือ ทศิ ทางในการเคลื่อนทอ่ี ย่างรวดเรว็ จะพบในชนิดกีฬาท่มี ีการออกตวั เคลอื่ นไหว เคลอ่ื นที่ อย่างรวดเรว็ 3.2 ความเร็วสูงสุด (Maximum Speed) เป็นความเร็วที่มีการเคลื่อนท่ีหรือ เคลื่อนไหวอยา่ งตอ่ เน่ือง ภาใตร้ ะยะเวลาสน้ั ๆ ไม่เกนิ 10 วินาที เช่น การวิ่งระยะทาง 50-60 เมตร 3.3 ความเร็วอดทน (Speed Endurance) เป็นความเร็วทม่ี ีความจำเป็นในชนดิ กีฬา ท่ีมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่มีการปฏิบัติซ้ำอย่างต่อเนื่อง เช่น การวิ่งขณะเล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ ที่มี การเคลื่อนท่ีในการเล่น 4. ความอ่อนตัว (Flexibility) คือ ความสามารถในการทำงานของข้อต่อในร่างกายในทุก ๆ การเคลอ่ื นไหว ดว้ ยระยะทางหรือมุมท่ีมากกว่าปกติ โดยสามารถแบ่งความออ่ นตวั ออกเป็น 3 ประเภท คอื 4.1 ความอ่อนตัวแบบมีการเคล่ือนไหว (Dynamic Flexibility) เป็นความสามารถ ในการทำงานของกล้ามเนอ้ื ท่ีทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของแขนหรือขาได้สุดมมุ หรือระยะการ เคลื่อนไหวทเ่ี ป็น ธรรมชาติของข้อตอ่ สว่ นนั้น 4.2 ความอ่อนตัวแบบคงสภาพการเคล่ือนไหวด้วยแรงหดตัวของกล้ามเนื้อ (Static Active Flexibility) เป็นความอ่อนตัวท่ีเคลื่อนไหวด้วยตัวเองสู่ตำแหน่งท่ีต้องการแล้วคงสภาพเท่านั้นไว้ โดย

20 การทำงานของกลุ่มกล้ามเน้ือท่ีหดตัวออกแรง (Agonist) ร่วมกับกล้ามเนื้อ สนับสนุนการเคลื่อนไหว (Synergist) หดตัวออกแรงเกร็ง ณ ตำแหน่งนั้น แลว้ กลมุ่ กลา้ มเนื้อตรงข้าม (Antagonist) จะคลายตวั หรือเหยยี ดออก 4.3 ความอ่อนตัวแบบคงสภาพการเคล่ือนไหวด้วยเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ (Static Passive Flexibility) เป็นความอ่อนตัวที่เริ่มจากการเคล่ือนไหวไปสู่ตำแหน่งหรือท่าทางท่ีต้องการ แล้วคงท่า น้ันไว้โดยใช้อุปกรณ์รองรับ ณ ตำแหน่งนั้น เช่น โต๊ะ เก้าอ้ี รั้ว โดยให้น้ำหนักตัวท้ิงแรงลงท่ีข้อต่อท่ีเก่ียวข้อง นน้ั เพอ่ื เปน็ แรงกระทำใหเ้ กดิ การยดื เหยยี ดท่ีข้อต่อนนั้ ๆ 5. การประสานงานการเคลื่อนไหว (Coordination) คือ ความสามารถในการปฏิบัติการ เคล่ือนไหวที่ใช้ร่างกาย หลายส่วนประกอบกัน ให้การปฏิบัติทักษะได้ผลตามต้องการด้วยจังหวะการ เคลื่อนไหวที่เป็นไปตามลำดับแต่ละข้ันตอนของทักษะ และในแต่ละส่วนของร่างกายอย่างสัมพันธ์กัน ทำให้ การควบคุม ร่างกายในการทำงานตอบสนองการสั่งการของระบบประสาทอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและสัมพันธ์กับ การหดตัวของกล้ามเนอื้ ตลอดการเคลอ่ื นไหว 1.3 แบบทดสอบและเกณฑ์สมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness Testing Norms) แบบทดสอบและเกณฑ์สมรรถภาพทางกาย เป็นเครื่องมือท่ีใช้ประเมินสมรรถภาพทางกายเพ่ือจะได้ ทำให้ทราบข้อมูลพื้นฐาน ด้านสมรรถภาพทางกายส่วนบุคคล และสามารถนำข้อมูลท่ีได้ไปวางแผนในการ ส่งเสริมพัฒนาสุขภาพและสมรรถภาพทางกายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากโรคภยั การทดสอบสมรรถภาพทางกาย มีมาต้ังแต่สมัยกอ่ นสงครามโลกครง้ั ที่ 2 โดยมีการศกึ ษาการ ทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบต่าง ๆ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึนในประเทศแถบยุโรปและ อเมริกา มีนักวิชาการ และหน่วยงานระดับประเทศ ได้กล่าวถึงแบบทดสอบและเกณฑ์สมรรถภาพทางกายไว้ อยา่ งหลากหลาย ดังน้ี นับดาว ทองวินิชศิลป (2559) ได้กล่าวถึง แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย ท่ีใช้กันในปัจจุบันมีรายการ ทดสอบท่ีแตกต่างกันหรือใกล้เคยี งกัน ซง่ึ แล้วแต่วตั ถปุ ระสงค์ของแบบทดสอบ เชน่ 1. แบบทดสอบสมรรถภาพกลไกของอินเดียน่า (Indiana Motor Fitness Test) ผู้ท่ีคิดค้น ข้ึนคือ บคุ๊ วอลเตอร์ (Book Walter) 2. แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกทางทหารบก (Motor Fitness Test for The Armed Force) 3. แบบทดสอบทางกายทใ่ี ชท้ ดสอบกบั นกั บินนาวี (The Naval Pre-Fligth Program) 4. แบบทดสอบสมรรถภาพกลไกระดับประถมศึกษา (Elementary School Motor FitnessTests) ของแฟรงคก์ ล้นิ และเลห์เสตน (Franklin and Lehsten) 5. แบบทดสอบสมรรถภาพกลไกของโอเรกอน (Oregon Motor Fitness Test) แบบทดสอบความสามารถทั่วไป (General Motor Fitness Test) เป็นแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึนมาเพื่อทดสอบความสามารถท่ัวไป มีรายการทดสอบท่ีคลายคลึงกัน เช่น

21 1. แบบทดสอบความสามารถทางกลไกท่วั ไปของนิวตนั (Newton ’s Motor Ability Test) 2. แบบทดสอบความสามารถทางกลไกของสก๊อต (Scott Motor Ability Test) 3. แบบทดสอบความสามารถทางกลไกของแบร์โวร์ (Barrow Motor Ability Test) 4. แบบทดสอบความสามารถในการเล่นกีฬาท่ัวไป โดยวัดจากความสามารถทางด้านกลไกล ของโค เซน็ (The Coizen’s Test of General Athletic Ability) 5. แบบทดสอบความสามารถทางกลไกของลาร์สัน (Larson’s Motor Ability Test) 6. แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกทั่วไปของแม็คคลอย (McCloy’s General Motor Ability Test) แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายมาตรฐานระหว่างประเทศ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายของ AAHPER สมาคมสุขศึกษา พลศึกษาและนันทนาการแห่ง สหรัฐอเมริกา (The American Association for Health, Physical Education and Recreation and :AAHPER) ได้คิดแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับเยาวชนอายุระหว่าง 10-18 ปี แบบทดสอบมีทั้งหมด 7 รายการ ดังนี้ 1. ดึงข้อ (Pull-ups) ใช้สำหรับนักเรียนชาย งอแขนห้อยตัว (Flexed-am Hang) ใช้สำหรับ นกั เรยี นหญงิ 2. ลกุ -นั่ง (Sit-ups) 3. วิ่งเก็บของ (40 Yards Shuttle Run) 4. ยนื กระโดดไกล (Standing Broad Jump) 5. วิ่งเร็ว 50 หลา (50 Yards Dash) IPEST 6. ขว้างลกู ซอฟท์บอล (Softball Throw) 7. ว่งิ -เดนิ 600 หลา (600 Yards Run-walk) แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกของสมาคมกีฬาสมัครเล่นแห่งประเทศญี่ปุ่น [Japan Amateur Sport Association (JASA)] สำหรับประเทศในเอเชียแบบทดสอบสมรรถภาพท่ีเป็นท่ีนิยมแบบทดสอบหน่ึง คือ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกของสมาคมกีฬาสมัครเล่นแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Amateur Sport Association (JASA) เหตุผลท่ีแบบทดสอบดังกล่าวเป็นที่นิยม เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นได้เล็งเห็นความสำคัญของ การพัฒนาคุณภาพของพลเมืองจึงได้ให้ความสำคัญของการเร่งสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณค่าอย่างสงู สุด สุขภาพ พลานามัยของพลเมืองเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การกีฬาทุกประเภทเป็นส่ือสำคัญท่ีจะกระตุ้นให้พลเมืองมีร่างกายและ จิตใจสมบูรณ์แข็งแรง มีการนำแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายของต่างชาติมาใช้เพ่ือเป็นแรงกระตุ้นและมีการ ติดตามผลการพัฒนาคุณภาพของประชากรเป็นระยะ ๆ อย่างมปี ระสิทธภิ าพและจริงจงั โดยคณะกรรมการระดับชาติ เป็นประจำทุกปี ในปี ค.ศ.1970 ได้มกี ารคิดปรบั ปรงุ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายโดยโครงการสง่ เสริมสมรรถภาพ ทางกายของสมาคมกีฬาสมัครเล่นแห่งประเทศญ่ีปุ่น (Project of Promotion Physical Fitness in Japan

22 Amateur Sport Association) JASA เป็นแบบทดสอบท่ีสามารถนำไปใช้กับบุคคลทุกระดับอายุ มีความสะดวกใน การทดสอบใช้อุปกรณ์ในการทดสอบน้อย สามารถกระทำได้ทุกหนแห่ง และต่อมาในปี ค.ศ. 1983 ได้มีการปรับปรุง เกณฑ์มาตรฐาน (Norms) ซึ่งสามารถใช้ทำการทดสอบได้ตั้งแต่อายุ 4 ปี จนถึง 65 ปี แบบทดสอบประกอบด้วยข้อ ทดสอบ 5 รายการ ดังน้ี 1. ยนื กระโดดไกล (Standing Long Jump) 2. ลกุ -น่ัง (Sit-up) 3. ดนั พื้น (Push-up) 4. วิง่ กลับตัว (Timed Shuttle Run) 5. ว่งิ 5 นาที (5 Minutes Distance Run) แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย ฟสิ สิคอล เบสท์ (Physical Best) เป็นแบบทดสอบสมรรถภาพ ทางกายและเป็นโปรแกรมการให้การศกึ ษาดา้ นสมรรถภาพทางกายสำหรบั นกั เรยี น อายุ 5-18 ปี แบบทดสอบ ฟิสสิคอล เบสท์ (Physical Best) สร้างข้ึนโดย “AAHPERD” (The American Alliance for Health, Physical Education, Recreation and Dance) เริ่มนำมาใช้ในโรงเรียนในสหรัฐอเมริกาต้ังแต่ปี ค.ศ.1988 แบบทดสอบนี้เขา้ มาแทนแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบอืน่ ๆ ท่ีสหพันธแ์ ห่งสหรัฐอเมริกา (American Alliance) ได้สร้างข้ึนมาก่อนหน้าที่ เช่น แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับเยาวชนของ “AAHPER” (1958) หรือแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับเยาวชนฉบับปรับปรุงของ “AAHPER” (1976) หรือ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับเยาวชนฉบบั ปรับปรงุ ใหม่ (1980) ของ “AAHPER” (1980) ข้อแตกต่างระหว่างแบบทดสอบฟิสสิคอล เบสท์ (Physical Best) กับแบบทดสอบสมรรถภาพทาง กายชุดอื่น ๆ คือ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายชุดอื่น ๆ จะใช้เกณฑ์มาตรฐานท่ีได้มาจากประชาชนของ ประเทศน้ัน ๆ หรือจากกลุ่มเฉพาะ เช่น เกณฑ์มาตรฐานระดับโรงเรียน ระดับเขตการศึกษา ระดับจังหวัด เป็นต้น แต่เกณฑ์ท่ีใช้ของฟิสสิคอล เบสท์ (Physical Best) ได้แก่ เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายท่ี สัมพันธ์กับสุขภาพ (Health Fitness Standards) ซ่ึงเป็นเกณฑ์ที่ได้จากการวิจัย และพบว่าค่าที่ปรากฏใน เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายท่ีสัมพันธ์กับสุขภาพ (Health Fitness Standards) เป็นค่าต่ำสุดที่ สามารถปอ้ งกันปญั หาดา้ นสุขภาพของร่างกายทง้ั ในปัจจบุ ันและอนาคต แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายฟิสสิคอล เบสท์ (Physical Best) ประกอบด้วยรายการทดสอบ 5 รายการ 1. การทดสอบเดิน วิ่ง 1 ไมล์ (One Mile Walk/Run) เพ่ือประเมินความสามารถในการ ทำงานของระบบไหลเวยี นโลหิตและระบบหายใจ 2. การทดสอบหาผลรวมความหนาของไขมันใตผ้ ิวหนังระหว่างกลา้ มเน้ือต้นแขนดา้ นหลังกับ กล้ามเนอ้ื น่อง (Sum of Triceps and Calf Skinfolds) เพ่ือประเมนิ สดั ส่วนของร่างกาย

23 3. การทดสอบนั่งงอตวั ไปขา้ งหน้า (Sit and Reach) เพื่อประเมนิ ความอ่อนตวั ของร่างกาย 4. การทดสอบลุก-นั่ง (Modified Sit-up) เพื่อประเมินความแข็งแรงและความอดทนของ กลา้ มเน้อื หนา้ ท้อง (Abdominal Muscle) 5. การทดสอบดึงข้อ (Pull-ups) เพื่อประเมินความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเน้ือ แขนและหวั ไหล่ แบบทดสอบ ICSPFT ( International Committee for the Standardization of Physical Fitness Test) เป็นแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายมาตรฐานระหว่างประเทศ หมายถึง แบบทดสอบ สมรรถภาพทางกายตามแบบของ “คณะกรรมการนานาชาติเพื่อจดั หามาตรฐานทดสอบความสมบูรณ์ทางกาย (International Committee for the Standardization of Physical Fitness Test) ชื่อย่อ ICSPFT แต่ใน ปัจจุบันได้เปล่ียนจากคณะกรรมการนานาชาติเพื่อจัดมาตรฐานการทดสอบความสมบูรณ์ทางกายเป็น IPEST สภานานาชาติเพื่อการวิจัยความสมบูรณ์ทางกาย “International Council for Physical Fitness Research” มีชื่อย่อ ICPFR ซ่ึง แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายมาตรฐานระหว่างประเทศ (International Committee for the Standardization of Physical Fitness Test = ICSPFT) ใช้ทดสอบสมรรถภาพทางกายท้ังชายและหญิง อายุระหวา่ ง 6-32 ปี แบบทดสอบมี 8 รายการ ดงั น้ี 1. วิ่งเรว็ 50 เมตร (50 Meter Sprint) 2. ยนื กระโดดไกล 3. แรงบบี มอื (Grip Strength) 4. ลกุ -น่งั 30 วนิ าที (30 Second Sit-up) 5. ก. ดึงขอ้ สำหรบั ชาย อายุ 12 ปขี ึ้นไป ข. งอแขนห้อยตวั สำหรบั ชายอายตุ ่ำกว่า 12 ปี และหญงิ ทกุ ระดับอายุ 6. วิง่ เกบ็ ของ (Shuttle Run) 7. นั่งงอตวั ไปข้างหน้า (Trunk Forward Flexion) 8. ว่ิงระยะไกล (Distance Run) แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คอื ก. วิ่ง 1,000 เมตร สำหรบั ชายอายุ 12 ปขี ้นึ ไป ข. วงิ่ 800 เมตร สำหรับหญิงอายุ 12 ปขี นึ้ ไป ค. วิ่ง 600 เมตร ทง้ั ชายและหญิงทีอ่ ายุต่ำกวา่ 12 ปี สำนักวิทยาศาสตรการกีฬา กรมพลศึกษา กระทรวงการทองเท่ียวและกีฬา (2562) ได้จัดทำคู่มือ แบบทดสอบและเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายของเด็ก เยาวชน และประชาชนไทยขึ้น โดยแบ่ง แบบทดสอบและเกณฑ์การทดสอบเป็นช่วงอายุ ดังน้ี แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กและเยาวชน อายุ 7-18 ปี ประกอบด้วยรายการ ทดสอบ 6 รายการ ดงั น้ี

24 รายการทดสอบท่ี 1 ชั่งน้ำหนัก (Weight) องค์ประกอบท่ีต้องการวัดเพ่ือนำไปประเมิน สัดสว่ นของร่างกายในส่วนของดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI) รายการทดสอบที่ 2 วดั ส่วนสูง (Height) องคป์ ระกอบท่ีตอ้ งการวดั เพ่ือนำไปประเมินสัดสว่ น ของร่างกายในส่วนของดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI) รายการทดสอบท่ี 3 น่ังงอตัวไปข้างหน้า (Sit and Reach) องค์ประกอบท่ีต้องการวัดเพ่ือ ตรวจประเมินความอ่อนตัวของข้อไหล่ หลงั ขอ้ สะโพก และกล้ามเน้ือต้นขาดา้ นหลัง รายการทดสอบที่ 4 ดันพื้ นประยุกต์ 30 วินาที (30 Seconds Modified Push Ups) องค์ประกอบท่ีต้องการวัดเพ่ือตรวจประเมินความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเน้ือแขนและกล้ามเน้ือ สว่ นบนของร่างกาย รายการทดสอบท่ี 5 ลุก-น่ัง 60 วินาที (60 Seconds Sit Ups) องค์ประกอบที่ต้องการวัด เพ่ือตรวจประเมินความแขง็ แรงและความอดทนของกล้ามเน้ือท้อง รายการท ดส อบ ท่ี 6 ยื น ยก เข่าขึ้ น ลง 3 น าที (3 Minutes Step Up and Down) องค์ประกอบที่ต้องการวัดเพ่ือตรวจประเมนิ ความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียนเลอื ด แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับประชาชนท่ัวไป อายุ 19-59 ปี ประกอบด้วยรายการ ทดสอบ 6 รายการ ดงั น้ี รายการทดสอบท่ี 1 ช่ังน้ำหนัก (Weight) องค์ประกอบท่ีต้องการวัดเพ่ือนำไปประเมิน สัดสว่ นของรา่ งกายในส่วนของดชั นีมวลกาย (Body mass index: BMI) รายการทดสอบที่ 2 วดั ส่วนสูง (Height) องคป์ ระกอบท่ีต้องการวดั เพื่อนำไปประเมินสัดส่วน ของร่างกายในส่วนของดชั นมี วลกาย (Body mass index: BMI) รายการทดสอบท่ี 3 น่ังงอตัวไปข้างหน้า (Sit and Reach) องค์ประกอบท่ีต้องการวัดเพื่อ ตรวจประเมินความอ่อนตัวของข้อไหล่ หลัง ข้อสะโพก และกล้ามเนอื้ ตน้ ขาด้านหลัง รายการทดสอบท่ี 4 แรงบีบมือ (Grip Strength) องค์ประกอบท่ีต้องการวัดเพื่อตรวจ ประเมนิ ความแข็งแรงของกล้ามเนอื้ มอื และแขนท่อนลา่ ง รายการทดสอบที่ 5 ยืน-น่ังบนเก้าอ้ี 60 วินาที (60 Seconds Chair Stand) องค์ประกอบท่ี ตอ้ งการวัดเพอื่ ตรวจประเมนิ ความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเนื้อขา รายการทดสอบที่ 6 ยืนยกเข่าขึ้น ลง 3 นาที (3 Minutes Step Up and Down) องค์ประกอบทีต่ อ้ งการวดั เพื่อตรวจประเมนิ ความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวยี นเลือด แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายสำหรับผู้สูงอายุ อายุ 60-69 ปี ประกอบด้วยรายการทดสอบ 6 รายการ ดังน้ี รายการทดสอบ 1 ชั่งนำ้ หนัก (Weight) องคป์ ระกอบท่ตี อ้ งการวัดเพอ่ื นำไปประเมนิ สัดส่วน ของรา่ งกาย ในสว่ นของดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI)

25 รายการทดสอบ 2 วัดส่วนสูง (Height) องค์ประกอบท่ีต้องการวัดเพื่อนำไปประเมินสัดส่วน ของรา่ งกายในสว่ นของดัชนมี วลกาย (Body mass index: BMI) รายการทดสอบ 3 แตะมือด้านหลัง (Back Scratch Test) องค์ประกอบที่ต้องการวัดเพ่ือ ตรวจประเมินความอ่อนตวั ของเอน็ ข้อต่อและกลา้ มเนื้อรอบหัวไหล่ รายการทดสอบ 4 ยืน-น่ัง บนเก้าอี้ 30 วินาที (Chair Stand 30 Seconds) องค์ประกอบที่ ต้องการวดั เพือ่ ตรวจประเมินความแขง็ แรงและความอดทนของกลา้ มเนื้อขา รายการทดสอบ 5 เดินเร็วอ้อมหลัก (Agility Course) องค์ประกอบท่ีต้องการวัดเพื่อตรวจ ประเมนิ ความวัดคล่องแคล่วว่องไวและความสามารถในการทรงตวั แบบเคล่ือนท่ี รายการทดสอบ 6 ยืนยกเข่าขึ้นลง 2 นาที (2 Minutes Step Up and Down) องค์ประกอบ ทีต่ ้องการวัดเพื่อตรวจประเมินความอดทนของระบบหวั ใจและไหลเวยี นเลือด แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายเป็นเคร่ืองมือที่สำคัญในการที่จะวัดระดับความสามารถ ของ รา่ งกายในการแสดงออกสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ผู้ทดสอบจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ เพ่อื นำไปสู่การประเมิน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะเดียวกันเม่ือผู้ถูกประเมินทราบข้อมูลพื้นฐาน ด้านสมรรถภาพทางกายส่วน บุคคลของตนเองแลว้ จะทำให้ไปวางแผนในการแกไ้ ข และพฒั นาสุขภาพและสมรรถภาพทางกายขอตนเองใหม้ ี คุณภาพชวี ติ และสุขภาพสมบรู ณ์ แข็งแรงปราศจากโรคภัยได้อีกด้วย แบบทดสอบมมี ากมายหลายแบบ แตล่ ะ แบบทดสอบจะมีรายการทดสอบที่แตกต่างกันตามวตั ถุประสงคข์ องการทดสอบและจะครอบคลมุ สมรรถภาพ ทางกายด้านต่าง ๆ ตามที่ต้องการ แบบทดสอบท่ีเป็นสากลนั้น ต้องมีค่าความเชื่อมั่นของการทดสอบท่ีได้ มาตรฐาน คือ เป็นเคร่ืองมือที่มีการให้คะแนนคงท่ี มีความเท่ียงตรง เช่ือถือได้ และมีเกณฑ์มาตรฐานการ ทดสอบ การใช้แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายควรเลือกรายการทดสอบท่ีเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง ตรงตามวตั ถปุ ระสงคท์ ตี่ ้องการทดสอบ จากการสังเคราะห์ข้อมูลจากนักวิชาการ และองค์กรทางพลศึกษา รวมท้ังองค์ประกอบ สมรรถภาพทางกายในหลักสูตรการศึกษา ข้ันพื้นฐานพ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพล ศึกษา ผู้วิจัยสามารถแบ่งองค์ประกอบสมรรถภาพทางกายที่จะนำมาใช้ในงานวิจัย ได้เป็น 2 องค์ประกอบ คอื องค์ประกอบสมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพ (Health–Related Physical Fitness) และองค์ประกอบ สมรรถภาพทางกายที่สมั พนั ธ์กับทกั ษะ (Skill-related Fitness) โดยมรี ายละเอียด ดังตอ่ ไปน้ี 1. สมรรถภาพทางกายเพอ่ื สุขภาพ (Health–Related Physical Fitness)ประกอบด้วย 1.1 ความอดทนของกล้ามเนื้อ (Muscle Endurance) คือ ความสามารถในการ เคลือ่ นไหวหรอื ปฏิบตั ิงานของรา่ งกายอยา่ งต่อเน่ืองเป็นเวลานาน โดยอาศัยการทำงานของระบบหัวใจ และไหลเวียนเลือด และระบบกล้ามเนอ้ื ที่ทํางานภายใต้อุปสรรค โดยแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ ความ อดทนแบบใช้ออกซเิ จน (Aerobic Endurance) และความอดทนแบบไม่ใชอ้ อกซเิ จน (Anaerobic Endurance)