34 “ไตรยางค์สอน” เรยี กยอ่ ๆ วา่ “OLE” (ไพฑูรย์ สินลารตั น์, 2526) นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ อีกหลายประการที่ผู้สอนสามารถนาไปใสไ่ ว้ในแผนการ จัดการเรียนรู้ ซง่ึ มสี ่วนประกอบดงั น้ี 1. จุดประสงค์การเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้คือ ผลที่ผู้สอนต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรียนในขณะท่ีจัด การเรยี นการสอนหรือภายหลังที่เสร็จส้ินการเรียนการสอน โดยท่ัวไปจุดประสงค์การเรียนรู้มักจะ ถูกกาหนดไว้ในหลักสูตร ซ่ึงการเรียนการสอนที่จะประสบความสาเร็จและมีประสิทธิภาพน้ัน ผู้สอนจะต้องกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ชัดเจน เพ่ือให้ผู้สอนกาหนดและจัดกิจกรรมการ เรียนรวมท้ังการวัดประเมินผลได้ถูกต้อง ทั้งนี้ Bloom et al, 1956 ได้จาแนกจุดมุ่งหมายการ เรียนรู้ออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) และดา้ นทกั ษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) โดยมรี ายละเอียดดังนี้ ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมท่ีเกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความเฉลียวฉลาด ความสามารถในการคิดเร่ืองราวต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็น ความสามารถทางสตปิ ญั ญา ซึง่ พฤติกรรมทางพุทธพิ สิ ยั มี 6 ระดบั ไดแ้ ก่ 1. ความรู้ (Knowledge) ความสามารถในการเกบ็ รกั ษามวลประสบการณ์ตา่ ง ๆ จาก การที่ได้รับรู้ไว้และระลึกสิ่งน้ันได้เม่ือต้องการเปรียบดังเทปบันทึกเสียงหรอื วีดิทัศน์ที่สามารถเก็บ เสียงและภาพของเรอ่ื งราวต่าง ๆ ได้ สามารถเปดิ ฟังหรือ ดูภาพเหลา่ นนั้ ได้ เมอื่ ต้องการ 2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) เป็นความสามารถในการจับใจความสาคัญของสื่อ และสามารถแสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน และขยายความ
35 3. การนาความรู้ไปใช้ (Application) เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถนาความรู้ ประสบการณ์ ไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ จึงจะสามารถ นาไปใช้ได้ 4. การวิเคราะห์ (Analysis) ผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเร่ืองราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ความสามารถในการวเิ คราะหจ์ ะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคดิ ของแตล่ ะคน 5. การสังเคราะห์ (Synthesis) ความสามารถในการท่ีผสมผสานส่วนย่อย ๆ เข้าเป็น เรื่องราวเดียวกันอย่างมีระบบเพ่ือให้เกิดสิ่งใหม่ท่ีสมบูรณ์และดีกว่าเดิม อาจเป็นการถ่ายทอด ความคิดออกมาให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้ง่าย การกาหนดวางแผนวิธีการดาเนินงานขึ้นใหม่ หรือ อาจจะ เกดิ ความคิดในอนั ทจ่ี ะสรา้ งความสมั พันธข์ องสิง่ ที่เปน็ นามธรรมข้นึ มาในรูปแบบ หรอื แนวคิดใหม่ 6. การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการตัดสิน ตีราคา หรือ สรุป เก่ียวกับคุณค่าของส่ิงต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ท่ีเหมาะสม ซง่ึ อาจเป็นไป ตามเนอื้ หาสาระในเรอื่ งนน้ั ๆ หรอื อาจเป็นกฎเกณฑ์ทีส่ งั คมยอมรบั กไ็ ด้ การวัดประเมินผลในด้านพุทธพิ ิสัยนี้มีรูปแบบในการประเมินเป็นลาดับช้ัน สอดคล้องกับ แนวคิดของ Anderson and Krathwohl (2001) ผู้เรียนจะผ่านการประเมินในขั้นสูงได้จะต้องผ่านการ ประเมินในขั้นแรกมาก่อน ซ่ึงขั้นแรกจะเป็นขั้นเบื้องต้นจนนาไปสู่ขั้นท่ีซับซ้อนยิ่งข้ึน แต่แนวคิดของ Anderson and Krathwohl (2001) เป็นแนวคิดการวัดและประเมินผลด้านพุทธิพิสัยท่ีมีการพัฒนามา จากทฤษฎีการเรียนรู้ของ Bloom et al (1956) ท่ีเดิมเป็นการวัดและประเมินผลในแบบ นามธรรม ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นรูปธรรม(เป็นการกระทา) มากย่ิงขึ้น โดยยังคงมีการวัดและ ประเมนิ ผล 6 ระดบั ได้แก่ 1. ความจา (Remembering) ความสามารถในการดึงเอาความรู้ที่มีอยู่ในหน่วย ความจาระยะยาวออกมาใชไ้ ด้ 2. ความเข้าใจ (Understanding) ความสามารถในการกาหนดความหมายของคาพูด ตวั อกั ษร และการสื่อสารจากสื่อต่างๆ ทีเ่ ป็นผลมาจากการสอน แบ่งได้ 7 ลักษณะ คือ การตีความ (Interpreting) การยกตัวอย่าง (Exemplifying) การจาแนกประเภท (Classifying) การสรุป (Summarizing) การอนุมาน (Inferring) การเปรียบเทียบ (Comparing) และการอธิบาย (Explaining)
36 3. การประยุกต์ใช้ (Applying) ความสามารถในการใช้ข้ันตอนวิธีการจากสถานการณ์ที่ กาหนดให้ แบง่ ได้ 2 ลักษณะ คอื การดาเนนิ งาน (Executing) การใชเ้ ป็นเครื่องมือ (Implementing) 4. การวิเคราะห์ (Analyzing) ความสามารถในการแยกส่วนประกอบของส่ิงต่าง ๆ และค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ ความสัมพันธ์ระหว่างของส่วนประกอบกับ โครงสร้างรวมหรือส่วนประกอบเฉพาะ แบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ การบอกความแตกต่าง (Differentiating) การจัดโครงสรา้ ง (Organizing) และการระบุคุณลักษณะ (Attributing) 5. การประเมินค่า (Evaluating) ความสามารถในการตัดสินใจโดยอาศัยเกณฑ์หรือ มาตรฐาน แบง่ ได้ 2 ลกั ษณะ คอื การตรวจสอบ (Checking) และการวิพากษว์ จิ ารณ์ (Critiquing) 6. ความคิดสร้างสรรค์ (Creating) ความสามารถในการรวมส่วนประกอบต่างๆ เข้า ด้วยกันด้วยรูปแบบใหม่ ๆ ท่ีมีความเช่ือมโยงกันอย่างมีเหตุผล หรือทาให้ได้ผลิตภัณฑ์ท่ีเป็น ต้นแบบ แบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ การสร้าง (Generating) การวางแผน (Planning) และการผลิต (Producing) ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ที่เน้นในด้านความสนใจ เจตคติ คา่ นิยม อารมณ์และความประทับใจซ่ึงวัดได้โดยการสงั เกต แตบ่ างเรอื่ งก็ไมส่ ามารถสังเกต ได้โดยตรง การระบุพฤตกิ รรมท่คี าดหวังใหผ้ ้เู รียนแสดงออกน้ัน ตอ้ งอาศยั การรวบรวมพฤตกิ รรมท่ี ชี้ถึงความร้สู ึก เจตคติและค่านิยมของตนเองและผู้อื่น แล้วนามาใช้ในการกาหนดเป็นพฤติกรรมที่ คาดหวัง ซ่งึ พฤติกรรมตามระดับการเรยี นรู้ด้านจิตพิสยั แบ่งไว้ 5 ได้แก่ 1. การรับรู้ (Receiving) เป็นความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนต่อปรากฏการณ์ หรือสิ่งเร้าอย่างใด อย่างหน่ึง ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของสิ่งเร้าน้ันว่าคืออะไร แล้วจะแสดง ออกมาในรปู ของความรสู้ ึกทเี่ กิดขน้ึ 2. การตอบสนอง (Responding) เป็นการกระทาท่ีแสดงออกมาในรูปของความเต็ม ใจ ยินยอม และพอใจต่อส่ิงเรา้ นัน้ 3. การเกิดค่านิยม (Valuing) เป็นการเลือกปฏิบัติในส่ิงท่ีเป็นที่ยอมรับกันในสังคม การยอมรบั นบั ถอื ในคณุ คา่ นนั้ ๆ หรือปฏบิ ตั ิตามจนกลายเป็นความเชื่อและเกิดทัศนคตทิ ด่ี ีในส่ิงนัน้ 4. การจัดระบบ (Organization) เป็นการสร้างแนวคิดจัดระบบของค่านิยมที่ เกิดข้ึนโดยอาศัยความสัมพันธ์ ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดถือต่อไปแต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับอาจจะ ยอมรบั ค่านยิ มใหมโ่ ดยยกเลิกคา่ นิยมเกา่
37 5. บุคลิกภาพ (Characterization) เป็นการนาค่านิยมที่ยึดถือมาแสดงพฤติกรรมท่ี เปน็ นสิ ยั ประจาตัว ให้ประพฤติปฏิบัติแต่ส่งิ ท่ีถกู ต้องดีงาม พฤตกิ รรมดา้ นนีเ้ ร่ิมจากการได้รับรจู้ าก ส่ิงแวดล้อมแล้วจึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ ขยายกลายเป็นความรู้สึกด้านต่าง ๆ จนกลายเป็นค่านิยม และยงั พฒั นาต่อไปเป็นความคิด อดุ มคติ ด้ าน ทั ก ษ ะพิ สั ย (Psychomotor Domain) เป็ น ลั ก ษ ณ ะ พ ฤ ติ ก รรม ที่ บ่ งถึ ง ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่ว ชานาญ สามารถแสดงออก โดยมีเวลาและ คุณภาพของงานเป็นตัวช้ีระดับของทักษะ โดยเริ่มจากพฤติกรรมการรับรู้เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้ หลักการปฏิบัติท่ีถูกต้อง เป็นการเลือกหาตัวแบบท่ีสนใจ กระทาตามแบบ เป็นพฤตกิ รรมที่ผ้เู รียน พยายามฝกึ ตามแบบท่ีตนสนใจและพยายามทาซ้า เพื่อที่จะให้เกิดทักษะตามแบบทต่ี นสนใจ การ หาความถูกต้อง เป็นพฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยเคร่ืองช้ีแนะ เม่ือได้ กระทาซ้าแล้วก็พยายามหาความถูกต้องในการปฏิบัติการกระทาอย่างต่อเนื่องหลังจากตัดสินใจ เป็นการเลือกรูปแบบที่เป็นของตัวเองทาตามรูปแบบน้ันอย่างต่อเน่ือง จนปฏิบัติงานท่ียุ่งยาก ซับซ้อนไดอ้ ย่างรวดเรว็ ถูกตอ้ ง คล่องแคลว่ การที่ผู้เรยี นเกิดทักษะได้ ตอ้ งอาศยั การฝึกฝนและทา อย่างสม่าเสมอ และทาได้อย่างเป็นธรรมชาติเป็นพฤติกรรมท่ีได้จากการฝึกอย่างต่อเนื่องจน สามารถปฏบิ ัตไิ ดค้ ลอ่ งแคลว่ ว่องไวโดยอตั โนมัติ เปน็ ไปอยา่ งธรรมชาติซึง่ ถอื เป็นความสามารถของ การปฏิบัติในระดับสูง นอกจากนี้พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2560) ได้เสนอถึงแนวทางใน การกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ไว้ว่า วัตถุประสงค์การเรียนรู้กาหนดเป็นวัตถุประสงค์ เชิงพฤติกรรม ซ่ึงใช้กาหนดเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน โดยมีหลักสาคัญว่า ต้อง เขียนในลักษณะท่ีบ่งบอกถึงการกระทาหรือพฤติกรรมของผู้เรียนท่ีสามารถสังเกตและวัดผลได้ รวมทั้ง เขียนให้ไปสู่ตัวชี้วัด นอกจากน้ีควรเขียนให้ครบทั้งด้านความรู้ (Knowledge: K) ด้าน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attribute: A) และด้านทักษะกระบวนการ (Process: P) ซ่ึงผู้เขียน ได้ยกตัวอย่างการเขียนจดุ ประสงค์การเรยี นรดู้ งั ตารางดา้ นล่าง
38 ตัวอย่างของการเขียนจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ตัวอย่างการเขยี น คากริยาเชิง จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ พฤตกิ รรม 1.ความรู้ (K) - เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นบอกความหมายเกมเบ็ดเตลด็ ได้ บรรยาย อธิบาย เขยี น - เพ่ือให้ผู้เรียนอธิบายถึงวิธีการเล่นเกมกลุ่ม บอก เปรยี บเทยี บ สมั พันธ์ได้ บอกความสมั พันธ์ - เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนบอกความแตกต่างของเกมส่งเสรมิ อธบิ ายเหตผุ ล จับคู่ สมรรถภาพทางกายและเกมนาไปสูก่ ีฬา 2.กระบวนการ (P) -เพอ่ื ให้ผู้เรยี นสาธติ การเล่นเกมเสอื ขา้ มหว้ ยได้ สาธิต บอก อธิบาย แสดง -เพอ่ื ให้ผู้เรียนยิงลกู บอลลงหว่ งได้ 10 ลูก ภายใน เหว่ยี ง ขวา้ ง โยน สง่ เวลา 5 นาที -เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนแสดงทา่ ทางในการเล่นเกมประกอบ วงิ่ เตน้ กระโดด เพลงไดอ้ ย่างมีความสุข ควบมา้ คลาน 3. คุณลักษณะอัน -เพ่อื ให้ผู้เรียนเห็นคณุ ค่าของประโยชน์ทไ่ี ด้จากการ บอกความสาคัญ พงึ ประสงค์ (A) เลน่ กฬี าในช่ัวโมงเรียน แสดงออก - เพอ่ื ส่งเสริมให้ผเู้ รยี นเป็นผ้นู าและผูต้ ามที่ดใี นการ เป็นผ้นู า ผู้ตาม เลน่ เกม ใหค้ วามร่วมมือ มี สว่ นรว่ ม เช่อื ถอื ผู้อนื่ เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นมคี วามมุ่งมัน่ ตอ่ การเลน่ ใหถ้ ูกตอ้ ง พอใจ ต้งั ใจ ทาสาเร็จ ตามกตกิ าท่กี าหนด -เพ่ือใหน้ กั เรียนยอมรบั รู้จกั แพ้ รูจ้ กั ชนะ รู้จกั ความซือ่ สัตย์ มนี ้าใจ การใหอ้ ภัย เป็นนกั กฬี า
39 2. เน้ือหา/ สาระการเรยี นรู้ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2560) ได้เสนอถึงแนวทางในการกาหนดเนื้อหา/ สาระการเรียนรู้ ไว้ว่า ถ้าการเขียนแผนการสอนใช้คาว่า เนื้อหา จะเป็นการเน้นเฉพาะด้านความรู้แต่ ถ้าใช้หัวข้อว่า สาระการเรียนรู้จะเป็นการเน้นท้ังด้านความรู้ (K) ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) และด้านทักษะกระบวนการ (P) ก่อนท่ีผู้สอนจะระบุเน้ือหา/ สาระการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้อง ศึกษาเน้ือหา/ สาระการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ท่ีน่าเชื่อถือ แล้วเขียนให้กะทัดรัด ชัดเจน ซึ่ง ประเภทของสาระต้องประกอบไปด้วย ข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หลักการ กฎ และทฤษฎี นอกจากนี้ สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2545) ได้ให้ข้อมูลว่า เน้ือหาสาระในแผนการ จัดการเรียนรู้ จะต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการคือ ประการท่ี 1 ความถูกต้อง ซ่ึงเนื้อหาสาระตรงกับ หลักวิชา ประการท่ี 2 ความครอบคลุม โดยพิจารณาว่าปริมาณเนื้อหาตามหัวข้อน้ันมีมาก พอท่ีจะก่อให้เกิดความคิดรวบยอดได้หรือไม่ และประการที่ 3 ความชัดเจน โดยพิจารณาว่า เน้อื หามีแบบแผนของการนาเสนอสาระทีไ่ ม่สบั สนเขา้ ใจงา่ ย 3. กิจกรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้เป็นการกระทาของผู้สอนและผู้เรียนที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนตาม ขน้ั ตอนการสอน ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้สามารถแสดงพฤติกรรมได้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ของบทเรียน ซึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต้องจัดให้สอดคล้องกับหลักสูตรซึ่งในปัจจุบัน มุ่งให้จัดโดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญให้ผู้สอนใช้วิธีสอนท่ีหลากหลาย นอกจากน้ีต้องจัดให้เหมาะสม กับวัย ความสามารถ ความสนใจของผู้เรียน เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และลักษณะของ เนื้อหาวิชา รวมทั้งเป็นกิจกรรมท่ีมุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และ สติปัญญา (อาภรณ์ ใจเท่ียง, 2553) สอดคล้องกับแนวคิดของ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2560) ที่กล่าวว่า ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนต้องคานึงถึงรูปแบบการเรียน การสอน วิธีสอน และเทคนิคการสอนให้เหมาะสมกับเนื้อหาและมีความหลากหลาย เหมาะสม กับความสามารถของผู้เรียน รวมทั้งจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถต่างกันและความสนใจแตกต่างกัน ซึ่งทิศนา แขมมณี (2560) ไดเ้ สนอรูปแบบการเรียนการสอนท่ีหลากหลายไวท้ ้ัง การเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนา ด้านพุทธิพิสัย เช่น รูปแบบการเรียนการสอนแบบมโนทัศน์ (Concept attainmentmodel) รูปแบบการสอนโดยใช้ผงั กราฟฟิก(Graphic organizer instruction model) รูปแบบการสอนท่ี
40 เน้นการพัฒนาด้านจิตพิสัย เช่น รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาด้านจิตพิสัย ของบลูมและคณ ะ (Instructional model based on affective domain by bloom and others) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ (Role playing model) รูปแบบการ สอนท่ีเน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย เช่น รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนา ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน (Simpson’s model)ฯลฯ รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นการพัฒนา ทักษะกระบวนการ รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นการบูรณาการหรือเทคนิคการสอนในรูปแบบต่าง ๆ จากนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ได้รับการยอมรับอีกมากมาย นอกจากน้ี พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2560) ยังได้เสนอรูปแบบการจัดกิจกรรมด้วยการบูรณาการ โดยมีการ สอดแทรกคาถามทใ่ี หผ้ ู้เรยี นได้พัฒนาการคิด การสอดแทรกปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งเพื่อการอยู่ อย่างย่ังยืน การสอดแทรกการทางานเป็นทีมเพื่อพัฒนาการอยู่ร่วมกัน หรือการสอดแทรก คุณธรรม จริยธรรมเพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต นอกจากน้ีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต้องอาศัยส่ือการ เรยี นรู้ / แหล่งการเรียนรู้ เป็นส่วนหน่ึงในการจัดกจิ กรรม ส่ือการเรยี นรู้เป็นเคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการ เรียนรู้ของผู้เรียน โดยทาหน้าท่ีถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก เพ่ิมพูนทักษะและ ประสบการณ์ สรา้ งสถานการณ์การเรียนรใู้ ห้แก่ผู้เรียน กระตุ้นให้เกิดศักยภาพทางความคิด ได้แก่ คดิ ไตรต่ รอง คิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ตลอดจน กระตุ้นใหเ้ ป็นผู้แสวงหาความรูแ้ ละมี ทักษะในการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (กรมวิชาการ, 2544) ซึ่งการจัดประเภทส่ือการเรียนรู้มีการ แบง่ ไว้หลายประเภทผู้เขียนขอยกตัวอย่างนักวิชาการบางทา่ นดังน้ี ชัยยงค์ พรมวงศ์ (2523) ได้กล่าวไวว้ ่า สือ่ การสอนแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 1. วัสดุ (Materials) เป็นส่ือเล็กหรือสื่อเบา บางทีเรียกว่า Soft Ware ส่ือประเภท นี้ผุพังได้ง่าย เช่น แผนภูมิ (Charts) แผนภาพ (Diagrams) ภาพถ่าย (Poster) โปสเตอร์ (Drawing) ภาพเขียน (Drawing) ภาพโปร่งใส (Transparencies) ฟลิ ์มสตริป (Filmstrip) แถบ เทปบนั ทึกภาพ (Video Tapes) หรือเทปเสียง (Tapes) ฯลฯ 2. อุปกรณ์ (Equipment) เป็นส่อื ใหญ่หรอื หนัก บางทีเรียกว่า สื่อ Hardware สื่อ ประเภทน้ีได้แก่ เคร่ืองฉายข้ามศีรษะ (Overhead Projectors) เครื่องฉายสไลค์ (Slide Projectors) เครื่องฉายภาพยนตร์ (Motion Picture Projectors) เครื่องเทปบันทึกเสียง (Tape Receivers) เครอ่ื งรบั วิทยุ (Radio Receivers) เครือ่ งรบั โทรทศั น์ (Television Receivers)
41 3. วิธีการ เทคนิค หรือกิจกรรม (Method Technique or Activities) ได้แก่ บทบาท สมมุติ (Role Playing) สถานการณ์จาลอง (Simulation) การสาธิต (Demonstration) การศึกษา นอกสถานท่ี (Field Trips) การจัดนทิ รรศการ (Exhibition) กระบะทราย (Sand Trays) เป็นตน้ 4. การประเมินการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ต้องดาเนินควบคู่ไปกบั การเรียนการสอน เป็นการประเมินสภาพ จริงท่ีให้ข้อมูลสารสนเทศท่ีเที่ยงตรง เช่ือถือได้เก่ียวกับผู้เรียนและกระบวนการทางการเรียนรู้ โดยมี ความสัมพันธ์กับจุดประสงคก์ ารสอน และการจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ ซงึ่ หลักการในการประเมินมี นกั วิชาการไดใ้ ห้ข้อมูลไว้หลากหลาย เช่น สมหวงั พิธิยานุวัฒน์ (2541) คือ กระบวนการใชด้ ุลยพินิจ (Judgment) หรือค่านิยมและข้อจากัดต่าง ๆ ในการพิจารณาตัดสินคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหน่ึงโดยการ เปรียบเทียบผลท่ีวัดได้กับเกณฑ์ท่ีกาหนดอาจเป็นเกณฑ์แบบสัมพัทธ์หรืออ่ิงกลุ่มหรือเกณฑ์สัมบูรณ์ สอดคล้องกับ ศิริชัย กาญจนวาสี (2556) คือ กระบวนการตัดสินคุณค่าของสิ่งต่าง ๆโดยการ เปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานการประเมินจึงเป็นเร่ืองเก่ียวกับ \"คุณค่า\" ของสิ่งต่าง ๆ การ ประเมินสิง่ ใดก็ตามจะต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1) ผลจากการวัด 2) เกณฑ์ทตี่ ั้งไว้ และ 3) การตัดสนิ คณุ ค่า ซึ่งในการประเมนิ ต้องอาศยั เคร่อื งมือที่ใช้ในการวดั โดยผ้สู อนต้องมกี ารวางแผนดา้ น การวัดและประเมินผลครูผู้สอนสามารถเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เชน่ สังเกตพฤตกิ รรม สงั เกตความสนใจ พฤตกิ รรมการเขา้ เรยี น พฤตกิ รรมการทางานกลุม่ การสง่ งาน ท่ีได้รับมอบหมายตรงเวลา สังเกตการทางาน การปฏบิ ัตกิ ิจกรรม การมสี ่วนร่วมในการอภิปราย การ นาเสนอผลงาน การใช้แบบทดสอบ การใช้แบบสอบถาม หรือประเมินผลด้วยแฟ้มสะสมงาน ฯลฯ ซ่ึง พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2560) ได้กล่าวว่า คาถามสาคัญในการประเมินการ เรียนรคู้ อื ประเมนิ อะไร (ดูท่จี ดุ ประสงค์การเรียนรู้) ประเมินดว้ ยเครอ่ื งมืออะไร และประเมินโดยใคร รปู แบบการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เรือ่ งเกม การจดั การเรยี นรูเ้ ร่อื ง “เกม” ..................................... แผนการจดั การเรียนรคู้ วรมีองคป์ ระกอบ ดังต่อไปน้ี 1. ชอื่ เร่อื ง 2. สาระสาคัญ 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
42 4. เน้อื หา / สาระการเรียนรู้ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ 6. สือ่ การเรียนรู้ 7. วธิ วี ดั และประเมินผลการเรียนรู้ การเรียนการสอนพลศึกษาเป็นสาระหนึ่งท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งการท่ีจะจัดการศึกษาสาระพลศึกษาให้ได้ คุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีนั้น ครูผู้สอนพลศึกษาจะต้องวางแผน เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ และสอนพร้อมท้ังจัดกิจกรรมตามแผนท่ีได้กาหนด เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพและนักเรียนได้รับ ความรู้ มีความเข้าใจและนาไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง โดยมีนักวิชาการหลายท่านได้แบ่งข้ันตอน การจดั กิจกรรมการเรยี นรูพ้ ลศกึ ษาไว้หลายท่านดงั น้ี Herbart (1891) ไดน้ าเสนอการจัดการเรียนการสอนพลศกึ ษาแบบ 5 ขน้ั ตอนดังนี้ 1) ขั้นเตรียม เป็นการเตรียมความพร้อมผู้เรียนก่อนทากิจกรรม โดยการให้เข้าแถว สารวจรายช่ือ และอบอุ่นร่างกาย 2) ขั้นอธบิ ายและการสาธติ ผ้สู อนจะอธิบายส่ิงทีผ่ ้เู รยี นจะต้องทาแล้วแสดงตัวอย่างให้ดู 3) ข้ันฝึกหัด ผู้สอนจะแบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนฝึกกิจกรรมต่าง ๆ โดยอาจใช้การฝึกเวียนเป็น ฐานหรือทากิจกรรมเดียวกันข้นึ อย่กู ับความเหมาะสมของการสอน 4) ข้ันนาไปใช้ เป็นการใหผ้ ้เู รียนนาทักษะที่ไดเ้ รียนไปมาประยกุ ต์ใชใ้ นการเล่นเกมการแข่งขนั 5) ข้นั สรุปและประเมินผล เปน็ การสรุปบทเรียนถึงสง่ิ ทน่ี กั เรียนได้ลงมอื ปฏบิ ัติ Raj (2015) ได้นาเสนอวิธีการสอนพลศึกษา โดยมีเป้าหมายที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ใน วิธีการสอนท่ีหลากหลายและแตกต่างกันในการฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ ขณะท่ีสอนผู้สอนจะมีบทบาท เป็นผู้ดูแล ช้ีแนะ หรือแนะนา เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการลงมือทา ฝึกฝน และเกิดทกั ษะใหม่ ๆ โดยแบง่ ขนั้ ตอนการสอนออกเป็น 4 ขั้นตอนคือ 1) ข้ันการสอน ผู้สอนต้องมีคาแนะนาเพื่อให้งานหรือทักษะสมบูรณ์ โดยอาจจะเขียน หรอื พดู โดยผสู้ อนต้องให้นกั เรียนร้วู า่ สิ่งทจี่ าเปน็ สาหรับนักเรียนคืออะไร 2) ขั้นสาธิต ผู้สอนอาจใช้การสาธิตทักษะหรือให้นักเรียนปฏิบัติตาม เป็นส่ิงสาคัญที่จะเป็น การสาธติ ทดี่ ี เพ่อื ให้นักเรยี นสามารถสรา้ งแบบจาลองในความทรงจาและฝึกทักษะการทาสมาธิ
43 3) ขั้นนาไปใช้ นักเรียนฝึกทักษะในสถานการณ์ที่วางแผนไว้เพ่ือช่วยในการถ่ายโอนการ เรยี นรูจ้ ากการปฏิบัติไปสูส่ ถานการณก์ ารแข่งขนั 4) ข้ันการยืนยันความรู้ ซึ่งดูจากการทดสอบหรือประเมิน การที่ผู้สอนมีข้อเสนอแนะ และใหข้ ้อมลู สาหรับนกั เรยี นเกี่ยวกับความสาเรจ็ ของพวกเขา การทดสอบหรือประเมินทักษะช่วย ใหผ้ สู้ อนและนักเรียนสามารถประเมนิ ผลการปฏบิ ัตงิ านได้ สรปุ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ดี ีตอ้ งประกอบดว้ ย 1.ช่อื เร่อื ง 2.สาระสาคัญ 3.จุดประสงค์ การ เรียนร้ทู ี่บ่งบอกถึงการกระทาหรอื พฤตกิ รรมของผู้เรียนที่สามารถสงั เกตและวัดผลได้ โดยเขียน ครบทั้งด้านความรู้ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และด้านทักษะกระบวนการ 4.เนื้อหาหรือ สาระการเรียนรู้ท่ีครอบคลุมรายละเอียดในเรื่องท่ีจะสอน 5.กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีรวมข้ันตอน ต้ังแต่ขั้นอธิบายและสาธิต ข้ันฝึกทักษะ ขึ้นนาไปใช้และขั้นสรุป 6.สื่อการเรียนรู้ และ7.วิธีวัด และประเมนิ ผลการเรียนรู้
44 ตวั อย่างแผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ า............................................... วิชา........................................................... เรื่อง เกมการละเลน่ เสอื ขา้ มหว้ ย ชั้น.............................................................. ผ้สู อน ......................................................................... จานวนคาบ 1 คาบ (60 นาท)ี สถานทีส่ อน .........................................วันทส่ี อน ...................................... เวลา.................... น. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 3 การเคล่ือนไหว การออกกาลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล มาตรฐานที่ 3.1 เขา้ ใจ มที กั ษะในการเคล่ือนไหว กิจกรรมทางกาย การเลน่ เกม และกีฬา มาตรฐานที่ 3.2 รักการออกกาลังกายการเลน่ และการเลน่ กฬี าเป็นประจาอยา่ งสมา่ เสมอ มวี นิ ยั กฎกตกิ า มีนา้ ใจนักกีฬา มีวญิ ญาณในการแขง่ ขัน และช่นื ชมในสุนทรยี ภาพในการกฬี า สาระสาคญั เกมการละเล่นเสือข้ามห้วย (Luksong – Tink) เป็นการเล่นเกมการละเล่นของประเทศ ฟิลิปปินส์ เป็นการละเล่นท่ีทาให้เกิดความสนุกสนาน มีส่วนสาคัญในการพัฒนาศกั ยภาพทางด้าน การเคลื่อนไหวของร่างกาย สติปัญญา ฝึกสมาธิ รู้จักการคิด การวางแผนแก้ปัญหา อีกท้ังยัง สามารถนาเกมการละเลน่ ไปประยุกต์ใชใ้ นวชิ าพลศกึ ษา และวิชาอืน่ ๆ ในชีวิตประจาวันไดอ้ กี ดว้ ย จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. เพือ่ ให้นกั เรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจ และบอกวธิ กี ารเลน่ เกมการละเลน่ เสือขา้ มห้วยได้อยา่ ง ถกู ต้อง (IQ) 2. เพ่อื ให้นักเรยี นสามารถปฏิบตั ิทกั ษะเกมการละเล่นเสอื ขา้ มหว้ ยได้อยา่ งถูกต้องอย่าง น้อย 80% ของจานวนนักเรยี นทั้งหมด (SQ) 3. เพอื่ ใหน้ กั เรียนไดพ้ ฒั นาสมรรถภาพทางกายเพอื่ สขุ ภาพในด้านความอดทดของระบบ ไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจโดยใหน้ ักเรยี นฝึกการกระโดดเชอื ก ภายในเวลา 2 นาที (PQ) 4. เพอ่ื ให้นักเรยี นเคารพกติกาภายในหอ้ งเรยี น และแตง่ กายเรยี บร้อย (MQ) 5. เพ่อื ให้นักเรียนมีความสนุกสนาน จากการฝกึ ทักษะ และการเลน่ เกมในระหว่างการ เรียนได้ (AQ)
45 ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวัง 1. นกั เรยี น 80% ของจานวนนกั เรยี นทั้งหมด สามารถปฏิบตั ิการเลน่ เกมการละเล่นเสอื ขา้ มห้วยไดต้ ามจุดประสงค์การเรียนรู้ 2. นกั เรียนสามารถนาเอาความรเู้ บือ้ งตน้ เกี่ยวกับทักษะการเล่นเกมการละเลน่ เสอื ขา้ ม หว้ ย และแบบฝกึ การพัฒนาสมรรถภาพทางเพือ่ สขุ ภาพ ไปใช้ในการเรียนวิชาพลศึกษาอื่น ๆ และ เล่นกฬี าในชีวติ ประจาวนั ได้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ ขัน้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ผลลัพธ์การ เรยี นรู้ เกมการละเล่นเสอื ขา้ มห้วย 1. ข้นั นา อธิบายทกั ษะด้วยวาจาหรือเขยี น (Luksong – Tink) ของ (15 นาที) ประเทศฟลิ ปิ ปนิ ส์ - ครใู หน้ กั เรยี นเข้าแถวหน้ากระดาน ภาพการเลน่ เสือข้ามห้วย มี ลั ก ษ ณ ะ เ ห มื อ น กั บ = ครู การละเล่นของไทย คือ การ = นกั เรียนชาย นกั เรยี นหญงิ ก ร ะ โด ด ย าง แ ต่ จ ะ ไม่ มี อปุ กรณ์จะคนเป็นฐานในการ - จากน้ันครูสารวจนักเรียนที่ขาดเรียน นักเรียนป่วย - นกั เรยี นเคารพ กระโดด และลาป่วย ให้นักเรียนขยายแถวสองช่วงแขนเพื่อนา กตกิ าภายในห้อง ผู้เล่น สามารถเล่นได้ทั้ ง นักเรยี นอบอุน่ รา่ งกาย เรียนและแตง่ กาย นักเรียนชายและนักเรียน 1.1 อบอ่นุ รา่ งกาย เรียบรอ้ ย หญิง ทา่ ที่ 1 ก้มตวั แตะ วิธีการเล่น การเล่นเสือข้าม ปลายเทา้ ตัวเอง ขา้ งซ้ายและขา้ งขวา หว้ ยLuksong - Tink จะมีท่าพ้ืนฐานที่ใช้เล่นกัน ขา้ งละ 10 ครงั้ โดยท่วั ไป คอื
46 สาระการเรียนรู้ ข้ันตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ผลลัพธ์การ เรยี นรู้ ทา่ ที่ 1 - ผูก้ ้ัน(2 คน)เหยยี ดขา ทา่ ที่ 2 ยดื กล้ามเนื้อน่อง ออกมาทั้งสองขา้ งให้ฝ่าเท้า ด้วยวิธกี ารเขย่งปลายเท้า ประกบกนั ข้นึ ลง 10 - 20 ครง้ั ท่าท่ี 2 - ผู้ก้ันเหยียดแขน กามือทั้ง สองข้างแล้ววางต่อเรียงกัน ขน้ึ ไป 1.2 ขน้ั พัฒนาสมรรถภาพทางกายเพอื่ สุขภาพ - นกั เรียนได้พฒั นา ทา่ ที่ 3 - ให้นักเรียนฝึกกระโดดเชือกเดี่ยว คนละ 2 นาที ให้ได้ สมรรถภาพทางกาย - ผู้ก้ันกางมือออก ให้ปลาย จานวนคร้ังมากที่สุด ถ้าเชือกติดหรือหลุดมือให้ปฏิบัติ เพื่อสุขภาพในด้าน น้ิวก้อยของผู้กั้นคนท่ี 1 จด ต่อไปและนบั จานวนทกี่ ระโดดตอ่ ความอดทดของ ปลายเท้า ส่วนมืออกี ข้างหน่ึง 1.3 นาเข้าสู่บทเรียน และอธิบายด้วยวาจาหรอื การเขียน ระบบไหลเวี ยน วางต่อกันข้ึนไปโดยให้ปลาย - ครอู ธบิ ายเกมการละเล่นเสือข้ามห้วยของประเทศฟลิ ปิ ปินส์ โลหิ ตและระบบ น้ิวก้อยจดกับน้ิวหัวแม่มือ ให้นักเรียนฟัง โดยครูพูดว่าวันน้ีเราจะมาเรียนรู้การละเล่นของ ห า ย ใจ โด ย ให้ ของมือแรก ประเทศฟลิ ิปปินส์ ชื่อเกมวา่ เสอื ข้ามหว้ ย นั กเรียนฝึ กการ - จากนั้นผู้กั้นคนที่ 2 ก็กาง - ครูถามต่อว่า มีนักเรียนคนใดเคยได้ยินชื่อเกมน้ีและ ก ร ะ โด ด เชื อ ก มือแล้ววางมือ (ข้างท่ีถนัด) เคยเลน่ มาก่อนหรือไม่ ภายในเวลา 2 นาที ให้ปลายนิ้วก้อยของตนจดกับ - ครูอธิบายวิธีการเล่น โดยให้นักเรียนดูรปู ภาพ หรือคลิป ปลายนิ้วโป้งของผู้ก้ันคนแรก วดิ ีโอประกอบ แล้วกางมืออีกข้างต่อข้ึนไป - นักเรียนมีความรู้ อีกช้ันหน่งึ 2. ขน้ั สาธติ ทักษะ (5 นาที) 2.1 ครูแสดงตัวอย่างให้นักเรียนดู โดยมีนักเรียนแสดง ความเขา้ ใจและ บอกวิธีการเลน่ รว่ มกับครู ท่าที่ 1 ผู้ก้ัน จะเหยียดขาออกมาทั้งสองข้างให้ฝ่าเท้า เกมการละเล่นเสอื ข้ามห้วยได้อยา่ ง ประกบกนั ท่าท่ี 2 ผู้กน้ั กางมือออก ให้ปลายนิ้วก้อยของผกู้ ้ันจดปลายเท้า ถูกต้อง - นกั เรยี นสามารถ กางนิ้วมอื ออก นิ้วหัวแมม่ ือของมอื แรกชี้ขึ้นด้านบน - การเล่นผู้เลน่ จะใชก้ ารกระโดดข้ามฐานท่ีเพ่ือนกนั้ ไว้ จะ ปฏบิ ตั ิทักษะเกม การละเลน่ เสอื ขา้ มห้วย เล่นจนครบจานวนคน แลว้ เปล่ียนทา่ ทาง
47 สาระการเรียนรู้ ขัน้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ผลลัพธก์ าร เรยี นรู้ 2.2 ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถาม ในส่ิงที่ครูอธิบายและ ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง นักเรียนไมเ่ ข้าใจ ให้นักเรยี นยกมือข้ึนแล้วถามคาถาม อย่างน้อย 80% ของ 3. ขั้นฝกึ ทักษะและนาไปใช้เพ่ือความสนกุ สนาน (30 นาท)ี จานวนนักเรยี นทง้ั หมด 3.1 ฝึกให้นักเรียนเล่นเกมการละเล่นเสือข้ามห้วย โดยครูจะ รว่ มเลน่ ดว้ ยและอธบิ ายกติกาไปพร้อม ๆ กับการฝกึ หดั - นักเรียนมีความ 3.2 ครูให้นักเรียนแข่งขันกันแบบรายบุคคล รวมครูด้วย สนุกสนาน จากการ “แขง่ ขันเกมการละเล่นเสือขา้ มห้วย” ฝึ กทั กษะและการ 3.3 ครูเลือกนักเรียนออกมาเป็นฐานกั้น 2 คน จากนั้นให้ เล่นเกมในระหว่าง คน ท่ี เป็ น ฐานก้ัน ท าท่าท่ี 1 ท่ าท่ี 2 และท่าที่ 3 การเรียนได้ ตามลาดับวิธีการเล่นเกม คนที่รอเล่น จะต้องฟังสัญญาณ นกหวีดเรมิ่ จากครู จะวนจนครบจานวนผู้เล่นแล้วเปลี่ยน คนทเ่ี ปน็ ฐานและเปลีย่ นทา่ ทาง 3.4 เพิ่มระดับความยากและความท้าทายโดยให้นักเรียน ช่วยกันคดิ ท่าทางกัน้ ฐานให้มคี วามสงู มากขึ้นกว่าเดมิ 4. ข้นั สรปุ และสขุ ปฏิบัติ (10 นาที) 4.1 ครใู ห้นักเรยี นไปล้างมือ ลา้ งหนา้ และดม่ื นา้ 4.2 ครูสรุปการฝึกทักษะเกมการละเล่นเสือข้ามห้วย และ การฝึกกระโดดเชือก ให้นักเรียนกลับไปทบทวนเพิ่มเติม หรอื นาไปใชเ้ ลน่ ในชวี ติ ประจาวนั 4.3 ครูเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นซักถาม ขอ้ สงสัย 4.4 ครชู มเชยนกั เรยี นท่มี ีความต้ังใจในชว่ั โมงเรียน 4.5 ครูให้นักเรียนทาความเคารพก่อนกลับห้องเรียนและ ส่ังเลกิ แถว นักเรียนพดู พร้อมกนั วา่ “เรียนเดน่ เลน่ ดี มวี ินยั ไชโย กามือหลวม ๆ อยู่ บริเวณหวั ใจ ชมู ือขึ้น”
48 วสั ดุอปุ กรณ์/สอื่ การเรียนรู้ 1. นกหวดี 2. กรวย และ โคน 3. ปากกาไวนบ์ อร์ด แปรงลบ กระดาน กระดาน เกมการละเลน่ พื้นเมอื ง 4. บตั รคา เกมการละเลน่ พืน้ เมอื ง 5. เชือกกระโดด แหลง่ การเรียนรู้ การละเล่นอาเซียน 10 ประเทศ. สืบค้นเมอื่ 9 กรกฎาคม 2558, จากเว็บไซต์ https://project542.wordpress.com. การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการวดั /ส่งิ ทวี่ ดั 1. สงั เกตความสนใจและการมสี ่วนร่วมในกจิ กรรม 2. ตรวจสอบผลสาเร็จจากการฝึกทักษะและการปฏิบัติของนักเรียนรายบคุ คลในเอกสาร การประเมนิ ผล เครอ่ื งมือวัดผล 1. แบบสงั เกตความสนใจและการมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมและผลสาเร็จของการฝึกทักษะ และการปฏบิ ตั ขิ องนกั เรยี นรายบคุ คล
49 บทสรุป วิธีการจดั การเรยี นการสอนในปจั จุบัน จะเน้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ การวางแผนการสอนโดย การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้จะเป็นเหมือนแสงสว่างคอยนาทางใหก้ ารสอนประสบความสาเร็จ หากการสอนใดขาดแผนการจัดการเรียนรู้เปรียบเสมือนคนตาบอดเดินคลาทาง ต้องใช้ระยะ เวลานานเพ่ือนาบทเรียนท่ีได้เจอมาปฏิบัติในชีวิตจริง ต่างจากคนท่ีวางแผนและจัดทาแผนการ จัดการเรียนรู้ก่อนสอน จะใช้เวลาเดินทางเพื่อให้ประสบความสาเร็จไม่นาน และจะเกิดความ ชานาญนาไปสกู่ ารเปน็ ผูส้ อนท่ีดใี นอนาคต แผนการจัดการเรียนรู้ท่ีดีที่สุดนั้นจะต้องเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้สอนได้เขียนเอง เพราะจะเป็นแผนที่เกิดจากความรู้และความเข้าใจบริบทของผู้สอน แผนการจัดการเรียนรู้จึงถือ ว่าเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญของผู้สอนท่ีดี หากผู้สอนเป็นผู้มีความทันสมัย มีองค์ประกอบความรู้ ใหม่ก็จะทาให้ผู้เรียนได้พบกับประสบการณ์ใหม่ท่ีน่าสนใจแตกต่างจากการสอนเดิม ๆ ผู้สอนที่ดี จะใช้วิธีการสอนที่หลากหลายประกอบกัน เพื่อให้ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้ สดุ ท้ายผู้เรียนแต่ละคนจะ มวี ิธกี ารเรียนและการสรา้ งการเรียนรู้ขนึ้ เอง ผู้สอนจะเป็นเพียงผู้กาหนดสถานการณ์ กิจกรรมและ ประสบการณ์ตามขน้ั ตอน เพ่ือให้การจดั การเรียนการสอนหรือการจดั กิจกรรมทางพลศกึ ษามีความเหมาะสมกบั สมัย ปัจจุบัน ที่เน้นผู้เรียนให้ได้ปฏิบัติมากกว่าการฟังคาอธิบายเพียงอย่างเดียว ผู้เขียนจึงขอสรุป ขั้นตอนการสอนที่เหมาะสมกับนิสิตเพื่อใช้ในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยขั้นตอนการ สอนจะแบ่งออกเปน็ 4 ข้ันตอน ดังนี้ 1) ขน้ั นา เปน็ การอธิบายทักษะด้วยวาจาหรือการเขียน 2) ขน้ั สาธติ ทกั ษะ ผู้สอนจะแสดงท่าทางประกอบการอธิบายเพือ่ ให้เห็นภาพ 3) ขั้นฝกึ ทกั ษะและนาไปใช้ เป็นการเช่ือมโยงทักษะทส่ี อน 4) ขัน้ สรุป ผู้สอนจะให้ขอ้ มูลป้อนกลบั ผเู้ รยี น
50 ความรู้ คาถามท้ายบท ทักษะ กระบวนการ บอก หลีกเลี่ยง บรรยาย เจตคติ ปอ้ งกนั อธบิ าย เหน็ คณุ คา่ มที กั ษะ จับคู่ ยอมรับ รู้เขา้ ใจ ออกกาลงั กาย วเิ คราะห์ ภูมใิ จ ควบคุม จาแนก มคี ่านยิ ม แสดง เปรียบเทียบ มงุ่ มัน่ สามารถ ประยุกต์ ช่ืนชม ปฏิบตั ิ ประเมิน ส่งเสรมิ ต้งั ใจ แสดง จงนาคากรยิ าในตารางดา้ นบน ท้งั 3 ดา้ น ไปแต่งประโยคลงในจุดประสงคใ์ นการเลน่ เกม ใหไ้ ด้อย่างนอ้ ย ดา้ นละ 3 ขอ้ ผลการเรียนรู้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.ความรู้ (K) 2.กระบวนการ (P) 3.คุณลักษณะอันพึ ง ประสงค์ (A)
51 รายการอา้ งอิง ภาษาไทย ทิศนา แขมมณี. (2560). รูปแบบการเรียนการสอน: ทางเลือกท่ีหลากหลาย. พิมพ์ครั้งท่ี 9. กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยนิ ดีสุข. (2560). สอนเขยี นแผนบรู ณาการบนฐานเด็กเป็น สาคัญ. พิมพ์คร้ังท่ี 5. กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สมหวัง พิธิยานุวัฒน์. (2541). วิธวี ิทยาการประเมินทางการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์ แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ศิริชัย กาญจนวาสี. (2556). ทฤษฎีการทดสอบแบบด้ังเดิม. พิมพ์ครั้งท่ี 7. กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . อาภรณ์ ใจเทย่ี ง. (2553). หลักการสอน. พิมพค์ ร้ังท่ี 5. กรงุ เทพมหานคร: โอเดียนสโตร.์ ภาษาอังกฤษ Anderson, W. and Krathwohl, R. (2001). A taxonomy for learning, teaching and assessing: A revision of Bloom’s taxonomyof educational objectives: Complete edition. New york: Longman. Bloom, B. et al. (1956). Taxonomy of educational objectives: The classification of educational goals. Handbook I: Cognitive domain. New York: David McKay Company. Herbart, J. F. (1891). A text-book in psychology. Translated by M.K. Smith. New York: D.Appleton and Company. Retrieved June, 10, 2018, from: https://archive.org/details/ atextbookinpsyc01herbgoog. Raj, X. M. (2015). Methods, Test, Measurement and Evaluation in Physical Education. Retrieved June, 10, 2018, from https://books.google.co.th books Ryan, D.B. (2011) Reading through a plan. Journal of the American Planning Association, Vol. 77, issue 4
52 บทท่ี 4 ลักษณะและประเภทของเกม บทนำ คำว่ำ เล่น กำรเล่น กำรละเล่น และเกมนั้น สำมำรถเทียบกับคำในภำษำอังกฤษได้ 2 คำ คอื คำวำ่ “Play” และ “Game” Play หมำยถึง กำรเล่น เล่นสนุก กำรเล่นอย่ำงบริสุทธิ์ และมักเป็นกำรเล่นอย่ำงง่ำย ๆ เล่นเพียงคนเดียว สองคน หลำยคน หรือเล่นเป็นกลุ่มก็ได้ กำรเล่นจะต้องเล่นด้วยควำมสมัครใจ โดยไมม่ กี ฎเกณฑ์บงั คบั Game หมำยถึง กิจกรรมท่ีเกิดจำกกำรร่วมมือกันหรือกำรแข่งขันในกำรตัดสินใจที่จะ ก้ำวหน้ำ โดยมีวัตถปุ ระสงค์และกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอน และผ้เู ล่นจะตอ้ งเล่นตำมทก่ี ฎเกณฑท์ ่ตี งั้ ไว้ เกมมมี ำกมำยหลำยประเภท ข้ึนอยู่กับจดุ มงุ่ หมำย รูปแบบ ขั้นตอน หรือกระบวนกำรใน กำรเล่น และกลุ่มเป้ำหมำยท่ีจะเล่น โดยอำจจะมีวิธกี ำรเล่นต้ังแต่ง่ำย มีกฎกติกำเล็กน้อย จนถึง เกมท่ีเล่นยำก กฎกติกำซับซ้อน แต่เป้ำหมำยของกำรจัดเกมทุกประเภทต้องทำให้ผู้เล่นรู้สึก สนุกสนำน ผ่อนคลำย โดยส่วนใหญ่แล้วกำรเล่นเกม จะไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ ไม่มีข้อกำหนดในขณะ เล่น กฎเกณฑ์ไม่ตำยตัวแน่นอน ซ่ึงข้ึนอยู่กับผู้นำเกม และผู้เล่นเป็นสำคัญ ส่วนเกมท่ีมีกฎเกณฑ์ กำรแข่งขันท่แี น่นอน มีกำรกำหนดผู้แพ้ผูช้ นะ เม่ือเกมน้นั พัฒนำขึ้นมำจนมีคนยอมรับและเล่นกัน อย่ำงแพรห่ ลำย เกมนั้น ๆ อำจกลำยเปน็ เกมกีฬำ(Sport) ในอนำคตกเ็ ป็นไปได้ ลักษณะและประเภทของเกม กำรแบ่งประเภทของเกม นั้นมีวิธีกำรแบ่งมำกมำย ส่วนใหญ่จะข้ึนอยู่กับหลักกำรต่ำง ๆ ทใี่ ช้เป็นเกณฑ์กำรแบง่ ไม่มีเจำะจงรปู แบบไวอ้ ย่ำงชดั เจน ยกตวั อยำ่ ง เชน่ 1.แบ่งตำมสถำนท่ีทใ่ี ช้จัด เชน่ เกมที่จดั ในร่ม เกมท่จี ดั กลำงแจ้ง เกมที่จัดในน้ำ 2.แบ่งตำมวัตถุประสงคก์ วำ้ ง ๆ เชน่ เกมในโรงเรียนหรือสถำนศึกษำ เกมนันทนำกำรหรือ เกมสำหรบั ชุมชน เกมเพ่อื พฒั นำองค์กร 3. แบ่งตำมเพศ และวัย เช่น เกมสำหรับเด็กปฐมวัย หรือเด็กเล็ก เกมสำหรับเด็กประถม เกมสำหรบั เดก็ มธั ยม เกมสำหรบั ผู้ใหญ่ 4. แบง่ ตำมประเพณวี ัฒนธรรม เชน่ เกมพนื้ บำ้ น เกมประจำชำติ เกมนำนำชำติ 5. แบ่งตำมลักษณะของเกม เช่น เกมเลียนแบบ เกมเบ็ดเตล็ด เกมประกอบเพลง เกม สรำ้ งเสรมิ สมรรถภำพ เกมนำไปสกู่ ีฬำ เกมกล่มุ สัมพันธ์
53 ซงึ่ จำกกำรศึกษำเอกสำร ผเู้ ขยี นรวบรวมประเภทของเกมไว้ดงั น้ี Robert and Sutton-Smith (1959) อ้ำงถึงใน วรศักด์ิ เพียรชอบ (2561) ได้แบ่งประเภทของเกม ออกเปน็ 3 กลุ่มใหญ่คือ 1. เกมเกี่ยวกับทกั ษะทำงรำ่ งกำย (Games of Physical Skills) ซง่ึ แบง่ ไดด้ งั น้ี 1.1 เกมที่มีทักษะทำงด้ำนร่ำงกำยเพียงอย่ำงเดียวเป็นปัจจัยสำคัญในกำรเล่น เชน่ เกมท่ีมนี ำ้ หนกั เขำ้ มำมสี ่วนเกี่ยวขอ้ ง เกมท่ใี ช้ทกั ษะกำรปีนปำ่ ยหรือผลกั ดงึ 1.2 เกมท่ีต้องอำศัยทักษะทำงด้ำนร่ำงกำยและกลวิธีกำรเล่นเป็นปัจจัย สำคญั ในกำรเลน่ เชน่ เกมทใี่ ชล้ ูกบอล เกมท่ีใช้อุปกรณ์ต่ำง ๆ 1.3 เกมที่ต้องอำศัยทักษะทำงด้ำนร่ำงกำยและโชคประกอบกันเป็นปัจจัย สำคญั ในกำรเลน่ เพ่อื ให้ได้ผูช้ นะในกำรแข่งขนั เชน่ เกมเกำ้ อดี้ นตรี เกมเปำ่ ย้งิ ฉุบ 1.4 เกมท่ีต้องต้องอำศัยทั้งร่ำงกำย กลวิธี และโชคเป็นปัจจัยสำคัญ เช่น เกมสนุ ัขแย่งกระดกู เกมวงิ่ เปี้ยว 2. เกมเกี่ยวกับกลวิธแี ละโชค (Games of Strategy) แบ่งได้ดังนี้ 2.1 เกมที่มีกลวธิ ีกำรเลน่ เป็นปจั จยั สำคญั เชน่ เกมหมำกรุก เกมครอสเวริ ด์ 2.2 เกมท่ีมีกลวิธีและโชคประกอบกันเป็นปัจจัยสำคัญ เช่น เกมบริดจ์ เกมกำรละเล่นตีไก่ 3. เกมท่ีเกี่ยวกับโชคเพียงอย่ำงเดียว (Games of Chance) เกมที่ต้องอำศัยโชค เพียงอยำงเดยี วในกำรเล่นไม่มปี ัจจัยอ่ืนประกอบ เชน่ เกมบงิ โก เกมไม้สั้นไมย้ ำว กิติพงษ์ เทียนตระกูล (2533) ได้กล่ำวถึง ประเภทของเกม ว่ำเกมมีมำกมำยหลำยชนิด แต่ในท่ีน้ีจะกล่ำวถึงเกมท่ีมีวิธีกำรเล่นอย่ำงง่ำย ๆ มีกฎกติกำเล็กน้อย และเป็นเกมที่ทำให้เด็ก สนุกสนำนและได้รบั ผลประโยชนจ์ ำกกำรเล่น 1. กำรเล่นเลียนแบบหรือกำรเล่นสมมติ คือกำรเล่นท่ีดัดแปลงลักษณะท่ำทำง ต่ำง ๆ ของคน สัตว์ สิ่งของ จำกนิทำน หรือนิยำย โดยแสดงกิริยำท่ำทำงกำรเคลื่อนไหวให้คล้ำย กบั สง่ิ ตำ่ ง ๆ เหล่ำนน้ั 2. เกมฝึกประสำท คอื กำรเล่นทใี่ ช้ไหวพริบและสติปัญญำ ฝึกในด้ำนควำมสัมพันธ์ ระหวำ่ งประสำทกบั แขน ขำ หรอื ฝกึ ประสำทตำ ประสำทหู จมกู และฝึกควำมจำ เปน็ ต้น ฝกึ ให้ รู้จกั กำรตัดสินใจที่รวดเร็วและถูกตอ้ ง
54 3. เกมกำรแข่งขัน คือกำรเล่นที่แสดงควำมสำมำรถเฉพำะตัว ฝึกให้ผู้เล่นรู้จักกล้ำ แสดงออก ฝึกควำมรับผิดชอบและควำมมีน้ำใจนักกีฬำ เกมกำรแข่งขันมี 2 ประเภท คือ กำร แข่งขันรำยบุคคลและกำรแข่งขนั เปน็ หมู่ 4. เกมกำรต่อสู้ คือกำรเล่นท่ีฝึกให้ผู้เล่นมีควำมแข็งแกร่ง รู้จักใช้ไหวพริบและ ควำมแขง็ แรงในกำรเอำชนะคู่ต่อสู้ เปน็ กำรสง่ เสริมกำรออกกำลังกำย ชว่ ยใหร้ ำ่ งกำยแข็งแรง 5. เกมทดสอบสมรรถภำพ คือกำรเล่นทีฝ่ ึกให้ผู้เล่นมีควำมแขง็ แรง มีกำรทรงตวั ที่ ดี และกำรเคล่ือนไหวท่ีคล่องแคล่ว ฝึกประสำทให้สำมำรถควบคุมอวัยวะต่ำง ๆ ของร่ำงกำยให้ ทำงำนอย่ำงมีประสิทธิภำพ 6. เกมนำไปสู่กีฬำ คือกำรเล่นท่ีมีจุดมุ่งหมำยเพ่ือให้ผู้เล่นได้ฝึกทักษะเบ้ืองต้นของ กีฬำต่ำง ๆ เชน่ ฟุตบอล บำสเกตบอล แชร์บอล วอลเลยบ์ อล เป็นตน้ 7. กำรเล่นพื้นเมือง คือกำรท่ีมีที่มำเป็นเวลำนำนแล้วและเล่นติดต่อกันมำจนถึง ปัจจุบัน เป็นกำรเล่นท่ีสนุกสนำน ร่ำเริง มีกำรใช้ไหวพริบ สติปัญญำ และกำรออกกำลังกำยที่ดี 8. กำรเล่นประกอบเพลง คือกำรเคลื่อนไหวร่ำงกำยโดยใช้เพลงประกอบ ทำให้ สว่ นตำ่ ง ๆ ของร่ำงกำยแขง็ แรง และทำให้ผูเ้ ลน่ มคี วำมสนกุ สนำนเบกิ บำนใจ 9. กำรแสดงเงียบ คือกำรเล่นที่ทำให้เกิดควำมสนุกสนำน ส่งเสริมให้เกิดควำมคิด ริเร่มิ สร้ำงสรรค์ รจู้ กั กำรสงั เกต กำรเปรียบเทียบ และทำให้กลำ้ แสดงออก 10. เกมเบ็ดเตล็ด คือกำรเล่นท่ีไม่มีกติกำมำก มุ่งหวังให้เด็กได้สนุกสนำน เพลิดเพลนิ ใหท้ กุ คนได้มโี อกำสเล่นและไดแ้ สดงออก พีระพงศ์ บญุ ศิริ และมำลี สุรพงศ์ (2536) ได้แบ่งเกมออกเปน็ 9 ประเภท ดังนี้ 1. เกมเบ็ดเตล็ด (Low-Organized Games) หมำยถึง เกมทม่ี ีจุดหมำยเพอื่ ควำม สนุกสนำน มีกฎกติกำน้อย เน้นไปในเรื่องของกำรส่งเสริมทักษะกำรเคล่ือนไหว โดยเฉพำะ ควำมคล่องตวั 2. เกมผำดโผนและทดสอบสมรรถภำพ (Stunt and Self-Testing Activities) หมำยถึง กิจกรรมส่งเสริมสมรรถภำพทำงกำย ได้แก่ ควำมแข็งแรง ควำมทนทำน ควำมยืดหยุ่น ควำมคล่องตัว ควำมว่องไว ควำมเร็ว และควำมสัมพันธ์ของระบบประสำทและระบบกล้ำมเน้ือ เป็นกิจกรรมกำรเคลื่อนไหวร่ำงกำยที่ต้องใช้กล้ำมเน้ือมัดใหญ่อีกทั้งยังช่วยในเร่ืองของควำ ม เช่ือม่ันในตนเอง ควำมกล้ำหำญ กำรตัดสินใจที่ดีเกมประเภทน้ีเหมำะสำหรับกับเด็กในระดับ ประถมศึกษำตอนปลำยและมัธยมศกึ ษำตอนต้น
55 3. เกมกำรเล่นเป็นนยิ ำยและสรำ้ งสรรค์ (Creative and Story Play) หมำยถงึ กิจกรรมท่ีแสดงออกซง่ึ ท่ำทำงตำ่ ง ๆ รวมทง้ั กำรเคลื่อนไหวโดยใช้ทักษะกำรเคลอ่ื นไหวใน ชวี ติ ประจำวนั มำแสดงออกในรปู ของกำรเล่น โดยกำหนดเปน็ บทบำทสมมติ 4. เกมชิงทห่ี มำยและไล่จบั (Goal Games and Tag Games) หมำยถงึ กจิ กรรมกำรเล่นท่ตี ้องอำศัยทักษะกำรเคล่อื นไหวพ้ืนฐำน ควำมเรว็ ควำมคล่องตวั ควำมมี ไหวพรบิ และกลวธิ ีในกำรชิงหรอื ไลจ่ ับเป็นหมำยให้เรว็ ทส่ี ุด สง่ เสริมให้ผู้เล่นมีกำรตัดสนิ ใจได้ อยำ่ งรวดเร็วแม่นยำ 5. เกมรำยบุคคล (Individual Contest) หมำยถงึ เกมทีว่ ดั สมรรถภำพและควำม สำมำรถของเดก็ ใครสำมำรถทำได้ดี และถกู ต้องก็เป็นฝ่ำยชนะ เกมประเภทน้ี ไดแ้ ก่ เกม ประเภทตอ่ สู้และประเภทเลียนแบบ 6. เกมแบบหมู่ละผลัด (Mass Contest and Relay Games) มีลักษณะเดียวกัน หมำยถึง กำรเล่นเป็นกลมุ่ ที่มกี ำรแข่งขนั ระหว่ำงกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะย่งุ เกย่ี วกบั กลมุ่ อ่ืน ๆ ทุก ๆ คน ต้องพยำยำมทำให้ดีที่สุดเพ่ือประโยชน์ของกลุ่ม โดยกำรทำพร้อม ๆ กันหรือทำทีละคนแบบน้ี เรียกว่ำเกมแบบหมู่ ส่วนเกมแบบผลัดมีลักษณะคล้ำยกันแต่แตกต่ำงที่วิธีกำรเล่น ท่ีผู้เล่นแต่ละ ทีมจะปฏิบัติเป็นรำยบุคคลต่อเน่ืองถ่ำยเทเป็นทอด ๆ ระหว่ำงผู้เล่นในทีมเดียวกัน เริ่มต้ังแต่คน แรกจนถึงผู้เล่นคนสุดท้ำย แล้วเก็บคะแนนรวมเป็นผลแพ้-ชนะ เกมประเภทน้ีช่วยส่งเสริมให้ ผูเ้ ลน่ ไดฝ้ กึ ทักษะเบ้ืองตน้ ทจี่ ะนำไปสูก่ ีฬำเหมำะสำหรบั ทกุ เพศทกุ วยั 7. เกมนันทนำกำร (Recreation Games) หมำยถึง กิจกรรมกำรเล่นทมี่ จี ดุ มงุ่ หมำย เพื่อควำมสนกุ สนำนเพลิดเพลนิ นิยมจัดในกำรรวมกลุ่มพบปะสังสรรค์ อำจมีจงั หวะดนตรหี รือ เสียงเพลง ประกอบกำรเล่น เปน็ กจิ กรรมที่เหมำะกับสถำนที่ เวลำ และอปุ กรณ์ เช่น เกม แนะนำตวั เพอ่ื ทำควำมรู้จัก เกมทำยอำชพี เป็นตน้ 8. เกมพืน้ บ้ำนและเกมประจำชำติ (Native and National Games) หมำยถงึ เกมท่ีเล่นกันในแตล่ ะท้องถ่นิ ท่ีมกี ำรถ่ำยทอดมำจำกบรรพบรุ ษุ เป็นเกมทีแ่ สดงถงึ เอกลกั ษณ์ของ ทอ้ งถน่ิ โดยเฉพำะท่สี บื ทอดกนั มำ แสดงให้เหน็ ถึงขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแตโ่ บรำณ มีกำรเล่น ที่เปน็ เอกลกั ษณจ์ นกลำยเป็นเกมประจำชำติทบ่ี ่งบอกถึงเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชำติ 9. เกมนำ (Lead-Up Games) หมำยถงึ กจิ กรรมกำรเลน่ ทั้งประเภทบคุ คลและ ทีมทใ่ี ช้ ทักษะสูงข้ึนโดยดดั แปลงกจิ กรรมเหล่ำนี้ให้มกี ฎ กตกิ ำ และกำรเลน่ ทงี่ ำ่ ยขนึ้ เหมำะสม กบั วยั ของผ้เู ล่นแต่ต้องอำศยั หลักและทกั ษะเช่นเดยี วกบั กีฬำจรงิ ๆ ศกั ด์ิ อนิ พิรดุ (2539) ไดจ้ ัด ประเภทของเกมไว้หลำยประเภท ดังนี้
56 ถ้ำแบง่ ตำมสถำนทจี่ ัด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. เกมในร่ม (Indoor Games) หมำยถงึ เกมที่ใช้กิจกรรมกำรเคลื่อนไหวเล็กนอ้ ย และสำมำรถจัดในพนื้ ที่หรือบริเวณแคบ ๆ ได้ เช่น จัดในห้องเรยี น ห้องประชุม เปน็ ตน้ 2. เกมกลำงแจง้ (Outdoor Games) เกมท่ีใช้กจิ กรรมกำรเคล่ือนไหวมำกๆ ต้องกำร พนื้ ท่ี หรอื สนำมในกำรจดั กว้ำง ๆ ไมส่ ำมำรถจดั ในท่ีแคบได้ ถ้ำแบ่งตำมลักษณะของเกม แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1. เกมเบด็ เตล็ด (Low Organized Games) หมำยถงึ กจิ กรรมกำรเลน่ สั้น ๆ งำ่ ย ๆ มีกฎกติกำไมม่ ำก ไม่สลับซับซ้อน และกติกำสำมำรถยืดหยุน่ ได้ตำมสถำนกำรณ์ และสิ่งแวดลอ้ ม ได้แบง่ ออกเป็น 11 ประเภท คือ 1.1 เกมเลน่ เปน็ นยิ ำย (Story Play Games) 1.2 เกมเลียนแบบ (Imitation or Mimetic Games) 1.3 เกมทีม่ จี ุดหมำยหรือชิงท่ีหมำย (Goal Game or It Games) 1.4 เกมหนีไล่จับหรอื หนไี ล่แตะ (Tag Game or Hunting Games) 1.5 เกมแข่งขันเป็นรำยบุคคล (Individual Games) 1.6 เกมแขง่ ขันเปน็ ทมี (Team Games) 1.7 เกมแขง่ ขันแบบผลดั (Relay Games) 1.8 เกมทดสอบประสำท (Sense Games) 1.9 เกมทดสอบ (Test Games) 1.10 เกมท่ีใชจ้ งั หวะหรือเสียงเพลงประกอบ (Singing Games) 1.11 เกมเงียบ (Quiet Games) 2. เกมนำ (Lead-up Games) หมำยถงึ กจิ กรรมท่ีมีกฎกตกิ ำมำกกว่ำเกมเบ็ดเตล็ด โดยมีจดุ มุ่งหมำยเพื่อฝึกทักษะพื้นฐำนกำรเรียนรู้ กฎ กติกำของกรีฑำ และกฬี ำประเภทตำ่ ง ๆ นวพรรณ อมรรตั นำนนท์ (2540) ได้กล่ำวถงึ ประเภทของเกมวำ่ มีกำรแบง่ ออกใน ลกั ษณะตำ่ ง ๆ กันตำมควำมเหมำะสม โดยแบ่งออกเป็น 7 ประเภทดว้ ยกัน คือ 1. กำรเลน่ เป็นนยิ ำยและกำรเล่นเลยี นแบบ 2. เกมเบด็ เตล็ด 3. เกมนำ 4. กิจกรรมทดสอบสมรรถภำพตนเอง 5. เกมเคลอ่ื นไหวประกอบเพลง
57 6. เกมสันทนำกำร 7. กิจกรรมทำงน้ำ ทศิ นำ แขมมณี (2545) กไ็ ด้จดั แบ่งเกมท่อี อกแบบมำให้เป็นเกมกำรศกึ ษำโดยตรง จำนวน 3 ประเภท กลำ่ วคือ 1. เกมแบบไมม่ กี ำรแขง่ ขนั 2. เกมแบบแขง่ ขนั มีผ้แู พ้ ผชู้ นะ ซ่งึ เกมส่วนใหญจ่ ะเปน็ เกมในลักษณะนี้ เพรำะ กำรแขง่ ขนั ช่วยให้กำรเลน่ เพิม่ ควำมสนุกสนำนมำกข้ึน 3. เกมจำลองสถำนกำรณ์ เปน็ เกมจำลองควำมเป็นจริง สถำนกำรณจ์ ริงซงึ่ ผูเ้ ล่น จะตอ้ งคดิ ตดั สนิ ใจจำกข้อมลู ท่มี ี และได้รับผลของกำรตดั สินใจ เหมอื นกับที่ควรจะได้รบั จรงิ ซ่งึ เกมประเภทน้ีแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ 3.1 เปน็ เกมทจี่ ำลองควำมเป็นจรงิ มำไวใ้ นกระดำนหรอื บอรด์ เช่น เกม เศรษฐเี กมแก้ปญั หำควำมขัดแยง้ (Conflict Resolotion) 3.2 เป็นเกมท่ีจำลองสถำนกำรณ์และบทบำทขึ้นให้เหมอื นควำมเปน็ จรงิ และผเู้ ล่นจะตอ้ งลงไปเล่นจรงิ ๆ โดยสวมบทบำทเป็นผเู้ ลน่ คนใดคนหนง่ึ ในสถำนกำรณ์น้ัน อรทยั มูลคำ (2545) ได้จัดประเภทของเกมตำมลักษณะกำรเลน่ อุปกรณ์ และรูปแบบกำร เลน่ ซ่ึงจำแนกออกเป็น 10 ประเภทหลัก ดังนี้ 1. เกมเบด็ เตลด็ 2. เกมเลน่ เป็นนิยำย 3. เกมประเภทสร้ำงสรรค์ 4. เกมประเภทชิงทีห่ มำยไล่จับ 5. เกมประเภทรำยบุคคล 6. เกมแบบหมหู่ รอื ผลดั 7. เกมพ้นื บำ้ น 8. เกมละลำยพฤตกิ รรม 9. เกมสนั ทนำกำร 10. เกมเพือ่ ประสบกำรณ์กำรเรียนรู้
58 สุชำติ ทวีพรปฐมกุล (2547) ไดก้ ลำ่ วถึงประเภทของเกมไวด้ ังน้ี 1. เกมกำรเล่นเป็นนิยำยและกำรเล่นเลียนแบบ (Story Plays and Mimetics) ได้แก่ กำรเล่นที่มีนิยำยประกอบแสดงท่ำทำงตำมนิยำยและเลียนแบบท่ำทำงกริยำตำมต้นแบบ เช่น เลียนแบบกระต่ำย กำรเคลื่อนไหวแบบกระตำ่ ย หรือเลียนแบบคนชรำ หรอื เดนิ แบบคนชรำ เป็นต้น 2. เกมเบด็ เตลด็ (Low Organized Games) ไดแ้ ก่ กำรเล่นท่ีไม่ยุ่งยำกซบั ซอ้ น มีกฎกตกิ ำกำรเล่นเล็กนอ้ ย เพอื่ ควำมสนกุ สนำน และเสริมใหเ้ ดก็ เกดิ ทกั ษะเบื้องต้นทำงกำร เคลือ่ นไหว เชน่ เกมไล่จับ หำผนู้ ำ ไซมอ่ นเซย์ ฯลฯ 3. เกมกำรเล่นที่ส่งเสริมสมรรถภำพตนเอง (Selftesting Activities) ได้แก่ กำร เล่นที่ส่งเสริมให้เด็กมีควำมแข็งแรงของอวัยวะส่วนต่ำง ๆ ของร่ำงกำย เช่น เดินมือ รถไถ กระโดดกบ เดนิ เป็ด ฯลฯ 4. เกมนำไปสู่กีฬำใหญ่ (Lead–up Games) ได้แก่ เกมที่ทำให้เกิดทักษะนำไปสู่ กำรเล่นกฬี ำใหญ่ ๆ ทงั้ ประเภทบคุ คลและประเภททีม เชน่ เกมลงิ ชิงบอล เกมว่ิงไลจ่ ับ ฯลฯ 5. เกมกำรเคล่ือนไหวประกอบเพลง (Motionsong and Singing Games) ได้แก่ กำรร้องเพลงมที ่ำทำงประกอบ หรือรอ้ งเพลงแล้วเล่นเกมไปดว้ ย 6. เกมนนั ทนำกำร (Recreation Games) ไดแ้ ก่ กำรเลน่ เพ่อื ควำมเพลิดเพลิน ใช้ เวลำวำ่ งผอ่ นคลำยควำมตงึ เครยี ดทำงสมอง และเสรมิ สร้ำงมิตรภำพทำงสังคม 7. เกมประเภทผลดั เปล่ียน (Relay Games) ได้แก่ กำรเลน่ ทมี่ ผี ู้เลน่ เป็นกลมุ่ หรือทมี ทมี่ จี ำนวนเท่ำ ๆ กัน แขง่ ขนั กนั ในกจิ กรรมเดียวกนั ตำมกฎกติกำ 8. เกมธุรกจิ (Commercial Games) ไดแ้ ก่ เกมกำรเล่นทกี่ ่อใหเ้ กิดควำมสนกุ สนำน ท้ำทำย และตัดสินง่ำยดึงดูดท้ังผู้เล่นและผู้ชมให้ตื่นเต้นไปกับกำรแข่งขัน ซ่ึงเกมเหล่ำนี้มุ่งเน้นไป ในทำงธุรกจิ เช่น เกมทำยคำ เกมโชว์ทำงทวี ี 9. เกมกลุ่มสัมพันธ์ (Group dynamic Games) ได้แก่ เกมที่ใช้ในกำรนำเพื่อเป็นสื่อใน กำรสร้ำงควำมสัมพันธ์ของผู้ร่วมกิจกรรมหรือแก้ปัญหำขององค์กร เช่น เกมจับคู่ เกมทำยใจ เป็น ตน้ ประพัฒน์ ลกั ษณพิสทุ ธิ์ (2548) ไดแ้ บง่ ประเภทของเกมเป็น 3 ประเภทคือ 1. เกมเบ็ดเตล็ด (Low organized games) เป็นเกมท่ีใช้ทักษะกำรเล่นและมีกฎ กติกำกำรเล่นน้อย ไม่ยุ่งยำก ซับซ้อน ไม่ต้องใช้สถำนท่ีกว้ำงขวำงหรืออุปกรณ์จำนวนมำก แต่ ยังคงกอ่ ให้เกดิ ควำมสนกุ สนำน
59 2. เกมนำ (Lead up games) เป็นเกมที่มีแนวทำงไปสู่กำรเรยี นกำรเล่นกีฬำใหญ่ ทั้งประเภททีมและบุคคล โดยผู้เล่นจะได้เพิ่มพูนทักษะเบื้องต้นในเรื่องของกฎ กติกำ และวิธีเล่นที่ใช้ใน กฬี ำใหญ่ เกมนำไม่ตอ้ งกำรกำรฝกึ มำกแตเ่ ปน็ กำรผสมผสำนกันระหวำ่ งเกมกำรเล่นและกำรฝึก 3. เกมประเภทผลัดเปลี่ยน (Relay games) เป็นเกมท่ีเปิดโอกำสให้ผู้เล่นได้เข้ำ ร่วมทมี ที่มีจำนวนผเู้ ลน่ เทำ่ กัน รูปแบบเหมอื นกัน แขง่ ขันกับทีมอนื่ เพื่อแสดงให้เห็นวำ่ ทีมใดจะ สำมำรถนำชยั ชนะมำสู่ทีมตนจำกกำรแขง่ ขนั ตำมกติกำ เทพประสิทธ์ิ กุลธวัชวิชัย (2556) ได้กล่ำวถึงประเภทของเกมไว้ว่ำ มีวิธีกำรจัดแบ่ง ประเภทของเกมโดยใช้หรอื พจิ ำรณำจำกเหตุผลหลำยประกำรด้วยกัน โดยมำกแล้วจะแบ่งประเภท เกมเพอ่ื ประโยชน์ตอ่ กำรนำไปใช้และเป็นกำรจดั หมวดหมู่ของลกั ษณะเกม ซง่ึ พอจำแนกได้ดงั น้ี 1. แบ่งตำมสถำนทจ่ี ัด 2. แบง่ ตำมวตั ถปุ ระสงค์ 3. แบ่งตำมเพศและวัย 4. แบ่งตำมวัฒนธรรมประเพณี 5. แบง่ ตำมประเภทใหญ่ 6. แบ่งตำมลักษณะโดยละเอยี ด 7. แบง่ ตำมวัตถปุ ระสงค์กำรใช้ วรศักด์ิ เพียรชอบ (2561) ได้กล่ำวถึงประเภทของเกมไว้ว่ำ เป็นคำที่มีควำมหมำย ครอบคลุมกีฬำต่ำง ๆ ทุกประเภท ดังนั้น โรเบิร์ต (Robert) และ สัตตัน – สมิทธิ (Sutton- Smith) ไดจ้ ำแนกเกมเปน็ กล่มุ ใหญ่ ๆ 3 กลุ่ม ด้วยกนั คอื ก. เกมเก่ียวกบั ทกั ษะทำงรำ่ งกำย (Game of Physical Skills) ข. เกมเกี่ยวกับกลวิธกี ำรเล่น (Game of Strategy) ค. เกมเกี่ยวกบั โชค (Game of Chance) กลำ่ วโดยสรปุ วำ่ หำกพจิ ำรณำจำกสกั ษณะวธิ ีกำรเลน่ เกมแล้ว ผู้เขยี นสำมำรถจะแบ่ง ประเภทของเกมไดด้ งั นี้ 1. เกมกลุ่มสมั พนั ธ์ เป็นเกมทีจ่ ัดข้ึนเพ่อื สรำ้ งควำมสัมพนั ธ์ของผู้ร่วมกจิ กรรม ให้ไดค้ ุยกัน แลกเปล่ยี นกนั และกัน นำไปสู่กำรทำกิจกรรมอ่ืน ๆ รว่ มกนั ไดอ้ ย่ำงรำบรื่น 2. เกมเบด็ เตลด็ เปน็ เกมที่มรี ปู แบบกำรเล่นท่ีไมย่ งุ่ ยำกซับซ้อน มกี ฎ กตกิ ำ กำรเลน่ เล็กนอ้ ย เพ่อื ควำมสนกุ สนำน และเสริมใหเ้ ดก็ เกิดทกั ษะเบอ้ื งตน้ ทำงกำรเคล่ือนไหว
60 3. เกมเลียนแบบ เป็นกิจกรรมท่ีแสดงออกซ่ึงท่ำทำงต่ำง ๆ รวมทั้งกำรเคล่ือนไหว โดยใช้ทักษะกำรเคล่ือนไหวในชีวิตประจำวัน มำแสดงออกในรูปของกำรเล่น โดยกำหนดเป็น บทบำทสมมติ กำรเล่นที่ดัดแปลงลักษณะท่ำทำงต่ำง ๆ ของคน สัตว์ ส่ิงของ จำกนิทำน หรือ นิยำย โดยแสดงกิริยำท่ำทำงกำรเคลื่อนไหวให้คล้ำยกับสิ่งต่ำง ๆ เหล่ำน้ัน กำรเล่นท่ีทำให้เกิด ควำมสนุกสนำน ส่งเสริมให้เกิดควำมคิดริเรมิ่ สรำ้ งสรรค์ รูจ้ ักกำรสงั เกต กำรเปรียบเทียบ และทำ ใหก้ ลำ้ แสดงออก 4. เกมประกอบเพลง เปน็ กำรเล่นโดยมีกำรร้องเพลงแลว้ เลน่ เกมไปด้วยหรอื มี กำรทำทำ่ ประกอบเพลง ทำให้ผู้เลน่ มคี วำมสนกุ สนำนเบิกบำนใจ 5. เกมนำไปสู่กำรเล่นกีฬำ เป็นกำรเล่นท่ีมีแนวทำงให้ผู้เล่นได้ฝึกทักษะ เบ้ืองต้นของกำรเล่นกีฬำ ทั้งประเภททมี และบคุ คล 6. เกมเสรมิ สรำ้ งสมรรถภำพทำงกำย เปน็ กำรเล่นที่สง่ เสริมให้มีควำมแขง็ แรง ของอวยั วะสว่ นต่ำง ๆ ของร่ำงกำยและมกี ำรเคล่อื นไหวทค่ี ลอ่ งแคล่ว 7. เกมนันทนำกำร เป็นกำรเล่นเพ่ือควำมเพลิดเพลิน ใช้เวลำว่ำงผ่อนคลำย ควำมตึงเครยี ดทำงสมอง และเสรมิ สร้ำงมิตรภำพทำงสงั คม 8. เกมทำงน้ำ เป็นกิจกรรมกำรเล่นท่ีช่วยให้เด็กหรือคนที่ยังว่ำยน้ำไม่เป็นหำย จำกควำมกลัวน้ำ จะเน้นถึงควำมเช่ือมโยงระหว่ำงทักษะกำรว่ำยน้ำ กำรผ่อนคลำยและ ควำมสนุกสนำน 1. เกมกล่มุ สัมพันธ์ ควำมหมำยเกมกลมุ่ สัมพนั ธ์ ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์ (2546) ได้กล่ำวถึงกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เป็นกิจกรรมหน่ึงท่ี นำมำใชใ้ นกำรฝกึ อบรม สัมมนำ เพื่อเปน็ กำรละลำยพฤติกรรมของบุคคลในกลุม่ ทม่ี ีที่มำแตกต่ำง กนั ให้มคี วำมสัมพันธ์ มีควำมเป็นมิตรทด่ี ีต่อกนั ในกลุ่ม เพ่ือจะไดส้ ำมำรถทำงำนร่วมกนั ไดอ้ ย่ำงมี ควำมสขุ และประสบควำมสำเร็จตำมเปำ้ หมำยท่ีวำงไว้ สชุ ำติ ทวีพรปฐมกุล (2547) ได้กล่ำวถึงควำมหมำยของเกมกลมุ่ สัมพันธ์ไว้ว่ำ เป็นเกมท่ีใช้ ในกำรนำเพื่อเป็นส่ือในกำรสร้ำงควำมสัมพันธ์ของผู้ร่วมกิจกรรมหรือแก้ปัญหำขององค์กร เช่น เกมจับคู่ เกมทำยใจ เปน็ ตน้
61 เทพประสิทธ์ิ กุลธวัชวิชัย (2556) ได้กล่ำวไว้ว่ำ กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เป็นกิจกรรม นันทนำกำรประเภทหนึ่งท่ีมีกำรกระทำ หรือมีกำรปฏิบัติอย่ำงมีรูปแบบ เป็นระบบ มีข้ันตอน เพื่อให้บรรลุเป้ำหมำยหรือวัตถุประสงค์ของกำรฝึกอบรมพัฒนำบุคลำกรให้สำมำรถทำงำนร่วมกัน อย่ำงมีประสิทธิภำพและอย่ำงมีควำมสุขด้วยควำมเข้ำใจซ่ึงกันและกัน อันจะเกิดประโยชน์ต่อ องค์กรและต่อบคุ คลอยำ่ งหำทเ่ี ปรยี บไม่ได้ สำนักนันทนำกำร กรมพลศึกษำ (2557) ได้กล่ำวถึง เกมกลุ่มสัมพันธ์ เป็นกิจกรรมท่ีให้กลุ่มได้เรียนรู้ ถึงพฤติกรรม ทัศนคติ และเข้ำใจคน ให้กลุ่มรู้วิธีแก้ปัญหำ ยอมรับ พัฒนำตน และรับรู้ด้วยตนเอง เป็นกำร เรียนรู้ปฏิกิริยำภำยในกลุ่ม กระตุ้นให้บุคคลเกิดกำรเปลี่ยนแปลงเพ่ือกำรอยู่ในสังคม เป็นกระบวนกำรกลุ่ม เปน็ แนวทำงให้เกดิ ควำมร่วมมอื ท่ีดตี อ่ กำรพัฒนำองค์กร ลกั ษณะกจิ กรรมกลุม่ สัมพันธ์ ประกอบด้วย 1. กำรสรำ้ งควำมค้นุ เคย 2. กำรทำงำนทมี 3. กำรสงั เกตพฤติกรรม 4. กำรแสดงบทบำท 5. กำรเล่นเกม 6. กำรฝกึ ฟงั – คิด – พดู 7. กำรบรหิ ำรงำนกลุ่ม สถำบันพัฒนำบุคลำกรกำรพลศึกษำและกำรกีฬำ (2557) ได้กล่ำวถึง กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เปน็ กิจกรรมเพ่อื สรำ้ งควำมคนุ้ เคยระหวำ่ งบุคคลหรือระหวำ่ งองคก์ ร รวมทงั้ เพื่อกำรทำงำนเปน็ ทมี และ เพื่อกำรสังเกตพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่ม ตลอดจนกำรจัดฝึกอบรมของหน่วยงำนต่ำง ๆ ทั้งของ ภำครัฐและเอกชน ซึ่งกิจกรรมกลุ่มสัมพนั ธ์เป็นกำรสรำ้ งควำมคุ้นเคยให้กับสมำชกิ ผเู้ ข้ำรับกำรอบรม มี ควำมจำเป็นอย่ำงยิ่งสำหรับกำรจัดฝึกอบรมแต่ละคร้ัง เพรำะเป็นกำรกระตุ้นให้ผู้เข้ำอบรมกล้ำ แสดงออก มีกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตำมวัตถุประสงค์ของกำรฝึกอบรม และจะทำให้กำร ดำเนินกำรฝึกอบรมเป็นไปด้วยควำมรำบรื่น นอกจำกนั้นเป็นกำรเตรียมควำมพร้อมให้กับผู้เข้ำอบรม และเปน็ กำรเสรมิ สรำ้ งควำมคดิ ริเร่ิมสร้ำงสรรค์ เพื่อกำรบรหิ ำรงำนในกลมุ่ หรอื องคก์ ร
62 Scan Me คลปิ ตัวอย่ำงเกมกลุ่มสมั พนั ธ์ สรุปเกมกลุ่มสัมพันธ์ เป็นเกมที่เป็นกำรใช้กระบวนกำรกลุ่ม ในกำรสร้ำง ควำมสัมพันธ์ของ ผู้ร่วมกิจกรรมให้ได้คุยกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกันและกัน มีประโยชน์ทำ ให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้ถึงพฤติกรรม ทัศนคติ และกำรเข้ำใจคน เพื่อยอมรับกันและกัน รู้ วิธีแก้ไขปัญหำ เรียนรู้ปฏิกิริยำของผู้อื่นและค้นหำวิธีกระตุ้นในบุคคลอื่น เพื่อให้เกิดกำร เปล่ียนแปลง อยู่ร่วมกันในสังคมได้ และเป็นแนวทำงให้เกิดควำมร่วมมือที่ดีต่อกำรพัฒนำ องค์กรนำไปสู่กำรทำกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมกันได้อย่ำงรำบร่ืน ตัวอย่ำงกำรจัดกิจกรรมเกมกลุ่มสัมพันธ์ มีดังนี้
63 เกมเรยี งลำดบั ประเภทเกม กลุ่มสัมพนั ธ์ เหมำะสำหรับผเู้ ลน่ อนบุ ำล, ประถมศึกษำตอนต้นขึ้นไป จำนวนผเู้ ลน่ ไม่จำกดั จำนวน วตั ถุประสงค์ในกำรเล่น เพอ่ื ให้ผู้เล่นพูดคยุ กนั และค้นุ เคยกนั ฝึกปฏภิ ำณไหวพริบ ได้วำงแผน ฝึกสติและสมำธิ อปุ กรณ์ - สถำนที่ เหมำะสำหรับเล่นในทร่ี ม่ หรือกลำงแจง้ ท่ีมแี ดดไม่มำก วธิ ีกำรเล่น 1. แบ่งผู้เล่นเป็น 8-12 คน ตอ่ กลุ่ม ให้ผู้เลน่ ในแต่ละกลุ่มยืนเปน็ แถวหนำ้ กระดำน 2. เริ่มเลน่ ผู้นำเกมจะบอกให้ผเู้ ลน่ ทั้งกลุม่ ยนื เรียงลำดับ โดยทำตำมคำสัง่ ในเวลำท่ีกำหนด หรือกลมุ่ ใดทำเสร็จก่อนจะเปน็ ฝ่ำยชนะ คำสั่งที่ 1 ใหย้ ืนเรียงตำมพยญั ชนะต้นตวั แรกของชือ่ คำสั่งที่ 2 ให้ยนื เรยี งตำมควำมสูง คำส่งั ที่ 3 ใหย้ นื เรยี งตำมอำยุ คำสง่ั ที่ 4 ใหย้ นื เรียงตำมวันเกดิ คำส่งั ท่ี 5 ให้ยืนเรียงตำมเดอื นเกิด คำส่งั ที่ 6 ให้ยืนเรียงตำมปีเกิด (คำส่ังอำจเปล่ียนแปลงได้แลว้ แต่ผนู้ ำเกม) ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรัพย์
64 เกมตำมลำ่ หำช่อื ประเภทเกม กล่มุ สมั พันธ์ เหมำะสำหรับผเู้ ล่น ประถมศกึ ษำตอนปลำยขึน้ ไป จำนวนผเู้ ล่น ไม่จำกัดจำนวน วัตถปุ ระสงคใ์ นกำรเล่น เพื่อใหผ้ ู้เล่นไดพ้ ูดคยุ กัน และคนุ้ เคยกัน ฝึกกำรวำงแผน ฝึกควำมกล้ำแสดงออก อปุ กรณ์ กระดำษโนต้ ปำกกำหรอื ดินสอ สถำนที่ เหมำะสำหรับเล่นในที่รม่ หรือกลำงแจ้งทีม่ ีแดดไม่มำก วธิ ีกำรเลน่ 1. เขียนชอื่ ตวั เองบนหัวมุมขวำของกระดำษ กตกิ ำกำรเลน่ ให้ไปล่ำรำยชอื่ เพอื่ น และสอบถำมข้อมลู ควำมเหมอื นหรอื ควำมตำ่ งลงในกระดำษโน้ต 2. เริ่มเล่นโดยให้ผู้เล่นเดินไปรอบ ๆ พูดคุยกับคนที่ไม่รู้จัก แล้วบันทึกควำม เหมือนกันและควำมต่ำงกัน เช่น ชอบขี่จักรยำนเหมือนกันและต่ำงกันท่ีไม่ชอบใส่หมวก กนั นอ็ ค ชอบใสเ่ สอื้ สดี ำเหมอื นกนั แตว่ ำ่ ชอบใส่คอปก แต่ตัวเองชอบใส่คอกลม เป็นต้น 3. ขอขอ้ มลู ใหไ้ ดจ้ นครบ 10 คน แล้วออกมำนำเสนอและชี้ไปทเ่ี พอ่ื นใหต้ รงกัน กับข้อควำมทไี่ ปล่ำมำ ใครใชเ้ วลำในกำรลำ่ รำยชือ่ น้อยสุด และบอกข้อมูลได้ตรงกนั กับที่ ไปลำ่ รำยชอื่ มำ จะเป็นผู้ชนะ ที่มำ : http://acitivities.blogspot.com/2010/05/blog-post_6329.html ภำพประกอบ : อรจิรำ หมอทรัพย์
65 เกมลูกบอลกระดำษขยำ ประเภทเกม กลุ่มสมั พันธ์ เหมำะสำหรบั ผู้เลน่ ประถมศึกษำตอนปลำยขึ้นไป จำนวนผเู้ ลน่ 10-20 คน วตั ถปุ ระสงคใ์ นกำรเลน่ เพือ่ ใหผ้ ู้เล่นเกิดควำมสนกุ และทำใหร้ ้จู กั กันมำกข้นึ ฝึกควำมคดิ ริเรม่ิ สรำ้ งสรรค์ ฝึกควำมกล้ำแสดงออก อุปกรณ์ กระดำษหนงั สอื พิมพ์ กระดำษหน้ำเดียว ปำกกำ เพลงเปดิ คลอ สถำนท่ี เหมำะสำหรับเล่นในท่ีร่ม หรอื กลำงแจ้งทมี่ แี ดดไมม่ ำก วิธกี ำรเลน่ 1. เริ่มเลน่ โดยให้ผูเ้ ล่นเขียนคำถำมหรือคำสง่ั ไว้ในกระดำษทกุ แผน่ 2. ให้ผ้เู ลน่ ขยำกระดำษเป็นวงกลมซ้อน ๆ กนั จนไดล้ ูกบอลกระดำษลกู ใหญ่ 3. ผู้เล่นนั่งเป็นวงกลม เปิดเพลง แลว้ ส่งลูกบอลกระดำษไปเรอ่ื ยๆ เพลงหยดุ กระดำษอยู่ที่ใครคนนนั้ เปดิ กระดำษชน้ั แรกอ่ำน อ่ำนแล้วทำตำมคำสัง่ หรือตอบ คำถำม ท่มี ำ : http://acitivities.blogspot.com/2010/05/blog-post_6329.html ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรัพย์
66 เกมตำใครตำมัน ประเภทเกม กลุ่มสัมพันธ์ เหมำะสำหรบั ผู้เล่น ประถมศึกษำตอนปลำยขึน้ ไป จำนวนผเู้ ล่น 10-20 คน วัตถปุ ระสงค์ในกำรเลน่ เพือ่ ใหผ้ ู้เลน่ รู้จกั ชือ่ เพื่อน ฝกึ ปฏิภำณไหวพริบ อุปกรณ์ ภำพดวงตำผูร้ ่วมกิจกรรมจำนวน 10 คน สถำนท่ี เหมำะสำหรับเล่นหอ้ ง วิธกี ำรเลน่ 1. เริ่มเล่นโดยให้ผู้ร่วมกิจกรรมทำควำมรู้จักสมำชิกคนอ่ืน ๆ โดยไปทำกำรสนทนำ และในระหว่ำงกำรสนทนำจะต้องจดจำชื่อและใบหน้ำของคู่สนทนำให้ได้ กำหนดเวลำไว้ 10 นำที 2. เมื่อหมดเวลำใหผ้ ู้เล่นกลบั มำน่ังที่เก้ำอี้ ผนู้ ำเกมเปดิ ภำพดวงตำ และให้ผูร้ ว่ ม กจิ กรรมทำยวำ่ เปน็ ของผูใ้ ดลงบนกระดำษคำตอบ 3. เม่อื ผู้นำเกมเฉลย ให้ทุกคนสรุปคะแนนของตนเอง หำกใครทำยถูกจำนวน ภำพมำกสดุ จะเปน็ ผชู้ นะ ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรพั ย์
67 เกมท่สี ดุ ประเภทเกม กลุม่ สัมพนั ธ์ เหมำะสำหรับผเู้ ลน่ ประถมศกึ ษำตอนปลำยขึ้นไป จำนวนผเู้ ล่น ไม่จำกดั จำนวน วตั ถปุ ระสงคใ์ นกำรเลน่ เพือ่ ใหผ้ ู้เล่นรจู้ ักชือ่ เพื่อน ไดพ้ ดู คุยกนั ฝกึ ปฏิภำณไหวพริบ อปุ กรณ์ ใบเง่ือนไข สถำนที่ เหมำะสำหรับเล่นในพนื้ ที่ร่ม หรือในหอ้ ง วิธกี ำรเล่น 1. เร่ิมเลน่ โดยผูน้ ำเกมแจกใบเง่อื นไขใหแ้ กผ่ ้รู ่วมกจิ กรรม 2. ใหผ้ เู้ ขำ้ ร่วมกจิ กรรมค้นหำสมำชิกคนอ่นื ๆ ทมี่ ลี ักษณะตำมเงื่อนไขทกี่ ำหนด โดยจะต้องใหส้ มำชกิ ผู้น้นั ลงนำมรับรองด้วย 3. กำหนดเวลำในกำรค้นหำบุคคลตำมเงือ่ นไข 10 นำที 4. เมือ่ หมดเวลำ ผนู้ ำเกมจะขอให้ผู้เข้ำรว่ มกิจกรรมท่ีสำมำรถหำบคุ คลได้ครบ ทกุ เงอื่ นไข ออกมำอำ่ นชื่อในใบงำนของตนเอง และตอ้ งสำมำรถระบไุ ด้ว่ำ เปน็ คนใด(ใชก้ ำรชไ้ี ปที่คนน้ัน) ผู้เล่นคนนน้ั จะเปน็ ผูช้ นะ ภำพประกอบ : อรจิรำ หมอทรพั ย์
68 เกมไลล่ ่ำชอื่ ประเภทเกม กลมุ่ สมั พนั ธ์ เหมำะสำหรบั ผ้เู ลน่ ประถมศึกษำตอนปลำยข้นึ ไป จำนวนผู้เล่น ไมจ่ ำกดั จำนวน วัตถุประสงคใ์ นกำรเล่น เพื่อให้ผู้เล่นรจู้ ักชือ่ เพื่อน ได้พดู คยุ กนั ฝกึ ปฏภิ ำณไหวพริบ ฝึกกำรวำงแผน ควำมสำมัคคี สมำธแิ ละสติ อุปกรณ์ - สถำนที่ เหมำะสำหรับเล่นในพ้นื ที่รม่ หรือในห้อง วธิ กี ำรเลน่ 1. แบ่งกลมุ่ ผ้เู ลน่ กล่มุ ละ 10-12 คน และใหท้ ุกคนนัง่ เป็นวงกลม 2. เร่มิ เลน่ ให้ผู้เล่นคนแรกบอกชอ่ื ตนเอง (แล้ววนไปทำงด้ำนซำ้ ยหรือดำ้ นขวำ (ให้วนไปทำงเดียวกันตลอดกำรเลน่ 1 รอบ) ผู้เลน่ ถัดไปจะบอกชอื่ ตงั้ แต่ คนแรกจนมำถึงชอ่ื ตนเองเปน็ ชือ่ ลำดบั สุดท้ำย 3. หำกผ้เู ล่นคนสดุ ท้ำยของกลุม่ ใดพดู จบใหท้ ุกคนปรบมอื จะถือว่ำปฏบิ ัตภิ ำรกิจ สำเร็จ และกลมุ่ นั้นจะเป็นผู้ชนะ กลุ่มใดมผี เู้ ล่นพดู ชำ้ หรือจำช่ือเพื่อนในกลุ่ม ไม่ได้จะถอื วำ่ แพ้ ภำพประกอบ : อรจิรำ หมอทรพั ย์
69 เกมตบมอื เรยี กช่ือ ประเภทเกม กลมุ่ สัมพันธ์ เหมำะสำหรบั ผู้เลน่ ประถมศกึ ษำตอนต้นข้นึ ไป จำนวนผ้เู ลน่ ไมจ่ ำกัดจำนวน วัตถุประสงคใ์ นกำรเลน่ เพอ่ื ใหผ้ ู้เลน่ ร้จู กั ชอ่ื เพื่อน ฝกึ ปฏิภำณไหวพรบิ ฝึกควำมจำ ฝกึ สติและสมำธิ อุปกรณ์ - สถำนที่ เหมำะสำหรับเล่นในท่ีรม่ วิธกี ำรเลน่ 1. แบง่ ผูเ้ ลน่ เปน็ 10-20 คนตอ่ กลมุ่ เริ่มเล่นโดยคนแรกตบมือ 2 ครง้ั แล้ว เรยี กช่ือตนเองขนึ้ กอ่ นแล้วจึงเรียกชอ่ื เพอ่ื นท่ีนั่งอยู่ทำงดำ้ นซำ้ ยมือ ตำมดว้ ย เรยี กชือ่ เพ่ือนท่นี ่ังอยู่ทำงดำ้ นขวำมือ โดยยกนิว้ โป้งช้ไี ปท่ีเพอ่ื น 2. ผู้เล่นท่ีเรียกชอื่ เปน็ ช่ือสดุ ท้ำย(ในทนี่ ้ีคือผูเ้ ลน่ ท่ีน่ังอย่ดู ำ้ นขวำมือ) จะต้องทำ เหมือนคนแรก 3. ทำไปเรื่อย ๆ จนถึงคนสุดทำ้ ย 4. รปู แบบกำรเล่นอำจเปล่ียนแปลงได้ เช่น เรยี กชื่อคร้ังละมำกกว่ำ 1 คนทั้งทำง ด้ำนซ้ำยหรอื ขวำ ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรพั ย์
70 เกมโยนบอลเรยี กช่อื ประเภทเกม กลุ่มสัมพันธ์ เหมำะสำหรบั ผูเ้ ลน่ ประถมศึกษำตอนตน้ ขน้ึ ไป จำนวนผเู้ ลน่ ไมจ่ ำกดั จำนวน วัตถุประสงคใ์ นกำรเลน่ เพื่อให้ผู้เล่นร้จู กั ชือ่ เพ่ือน ฝกึ ปฏิภำณไหวพริบ ฝกึ ควำมจำ ฝึกสติและสมำธิ อุปกรณ์ ลูกบอล สถำนท่ี เหมำะสำหรับเล่นในทร่ี ม่ หรือกลำงแจ้งทม่ี แี ดดไมม่ ำก วธิ ีกำรเลน่ 1. แบ่งผู้เลน่ เปน็ 10-20 คนตอ่ กลุม่ ใหผ้ ู้เล่นส่วนใหญ่ยืนเป็นวงกลมและใหม้ ี ผู้เล่น 1 คน ยนื กลำงวงกลม ถือลกู บอลไว้ 2. เริ่มเล่นโดยผู้เล่นคนทีอ่ ยู่ในวงกลมจะโยนบอลข้นึ เหนือศรี ษะ และเรียกชอ่ื เพ่ือน คนท่ถี กู เรียกช่ือจะต้องวิ่งออกมำรับบอลไม่ใหก้ ระดอนพ้นื เกิน 1 ครั้ง ทำแบบนี้ ไปเรอื่ ย ๆ กตกิ ำไม่ใหผ้ ูเ้ ล่นเรยี กชื่อเพ่ือนซำ้ กบั ทตี่ นเองได้เรยี กไปแลว้ 3. หำกผู้เลน่ คนใดมำรับบอลไม่ทนั หรือเรยี กชอ่ื เพอ่ื นซ้ำ จะถกู คดั ออก 4. เลน่ แบบนไี้ ปเรอ่ื ย ๆ จนกวำ่ ผู้เล่นแตล่ ะคนจะเรยี กชื่อเพ่อื นครบทุกคน ภำพประกอบ : อรจิรำ หมอทรพั ย์
71 เกมหนังสือพมิ พ์ ประเภทของเกม กลมุ่ สมั พนั ธ์ เหมำะสำหรบั ผ้เู ลน่ ประถมศกึ ษำตอนต้นขนึ้ ไป จำนวนผู้เล่น ไม่จำกัดจำนวน วัตถปุ ระสงค์ในกำรเล่น เพอ่ื ใหผ้ ู้เลน่ รูจ้ กั ชอื่ เพื่อน และมีควำมค้นุ เคยกนั ฝกึ ปฏิภำณไหวพรบิ ฝึกสตแิ ละสมำธิ อุปกรณ์ หนงั สือพิมพ์ สถำนที่ เหมำะสำหรับเล่นในทีร่ ่ม หรือกลำงแจ้งทม่ี แี ดดไม่มำก วิธเี ลน่ 1. แบง่ ผเู้ ลน่ เป็น 8-12 คนตอ่ กล่มุ ให้ผเู้ ลน่ นั่งเป็นวงกลมใหค้ นหน่งึ อย่กู ลำงวงพรอ้ ม กบั กระดำษหนังสอื พิมพ์ 1 แผ่น (คู่) 2. เร่มิ เล่นให้คนทน่ี ัง่ ล้อมวงพูดชอื่ เพือ่ นคนใดคนหนึง่ คนทถี่ ูกเรียกชอ่ื ต้องรบี เรียกช่ือคนอน่ื ตอ่ ไปเรื่อย ๆ คนตรงกลำงตอ้ งรีบใช้หนังสอื พมิ พแ์ ตะขำเพอ่ื นคนท่เี รียกช่ือ อยำ่ งรวดเรว็ กอ่ นท่ีเขำจะเรียกชือ่ คนอ่นื ต่อไป ถ้ำคนทีถ่ กู เรียกช่อื พดู ชำ้ ถูกแตะ ก็จะต้องมำยืนกลำงวงกลมแทน ทีม่ ำ : http://acitivities.blogspot.com/2010/05/blog-post_6329.html ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรัพย์
72 เกมขโมยหวั ใจ ประเภทเกม กลุ่มสมั พันธ์ เหมำะสำหรับผเู้ ลน่ ประถมศกึ ษำตอนปลำยขึ้นไป จำนวนผเู้ ล่น ไมจ่ ำกัดจำนวน วตั ถปุ ระสงคใ์ นกำรเลน่ เพอ่ื ให้ผู้เล่นได้พดู คุย ได้รจู้ ักและแลกเปล่ียนข้อมลู กัน ฝึกปฏิภำณไหวพริบ รู้จักกำรวำงแผน ฝกึ สตแิ ละสมำธิ อุปกรณ์ กระดำษรูปหัวใจ สถำนที่ เหมำะสำหรับเลน่ ในทีร่ ่ม หรอื กลำงแจง้ ที่มแี ดดไม่มำก วิธีกำรเลน่ 1. แจกกระดำษรูปหวั ใจผู้เลน่ คนละ 2 ดวง 2. เร่ิมเลน่ ผู้เล่นจะตอ้ งไปขอหัวใจของเพ่อื นคนอืน่ ให้มำอยู่กับเรำให้ไดจ้ ำนวนมำก ทีส่ ุด โดยผู้เล่นท่ีไปขอหวั ใจ ตอ้ งทำใหเ้ พื่อนพดู ทกุ คำที่ตัวเรำมี เช่น ผ้เู ลน่ มีผิวสดี ำ แลว้ ให้เพ่ือนพดู คำว่ำ “ผิวสีดำ” ได้คนนนั้ จะไดห้ วั ใจของเพอ่ื น 3. เล่นกนั ไปเรือ่ ย ๆ ไม่จำกดั เวลำ แลว้ แต่ขอ้ ตกลงของผนู้ ำเกม 4. เมื่อหมดเวลำทีก่ ำหนด ผู้เลน่ คนใดมีหวั ใจมำกสุด ผู้นัน้ เป็นผชู้ นะ กตกิ ำ - จะขโมยหวั ใจกนั สองตอ่ สองเท่ำน้นั - พนื้ ที่ห้ำมขโมยหวั ใจ คอื หอ้ งนอน และหอ้ งน้ำ ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรพั ย์
73 2. เกมเบ็ดเตลด็ ควำมหมำยเกมเบ็ดเตล็ด กิติพงษ์ เทียนตระกูล (2533) ได้กล่ำวถงึ เกมเบ็ดเตล็ด คอื เกมท่ไี มม่ ีกตกิ ำมำก มุ่งหวงั ให้ เด็กไดส้ นกุ สนำนเพลิดเพลิน ให้ทกุ คนได้มีโอกำสเล่น และไดแ้ สดงออก นวพรรณ อมรรัตนำนนท์ (2540) ได้กล่ำวถึง เกมเบ็ดเตล็ด หมำยถึง กำรเล่นท่ีไม่สู้จะ มีกติกำสลับซับซ้อนเท่ำใดนัก เป็นเกมที่มุ่งหวังท่ีหวังที่ให้เด็กได้สนุกสนำนเพลิดเพลิน ได้เข้ำร่วม แสดงออกในรูปของกิจกรรมทำงกำย ทำให้เด็กมีสุขภำพอนำมัยท่ีดี นอกจำกนั้นเป็นเกมท่ีสร้ำง ทักษะในด้ำนกำรเคล่ือนไหวทำงกำยและทักษะเบื้องต้นที่จะนำไปสู่กำรกีฬำต่ำง ๆ สชุ ำติ ทวพี รปฐมกุล (2547) ไดก้ ล่ำวถึง ควำมหมำยของเกมเบ็ดเตล็ดไวว้ ำ่ เป็นกำรเลน่ ท่ี ไม่ยุง่ ยำกซับซอ้ น มีกฎกตกิ ำกำรเลน่ เล็กนอ้ ย เพื่อควำมสนุกสนำนและส่งเสริมให้เด็กเกิดทักษะ เบอ้ื งตน้ ทำงกำรเคลอื่ นไหว เชน่ เกมไล่จบั หนู หำผู้นำไซม่อนเซย์ ฯลฯ จรี ะนนั ท์ เจรญิ ชัยภินันท์ (2554) ไดก้ ล่ำวถงึ เกมเบ็ดเตลด็ คอื กำรเล่นที่มี กฎ กตกิ ำ ไม่ ยุ่งยำกซับซ้อน ผู้เลน่ ไม่จำเป็นตอ้ งมีทักษะขัน้ สูงในกำรเล่น เพียงแต่ต้องมีทักษะกำรเคลือ่ นไหว เบ้ืองต้นเปน็ พื้นฐำน จุดม่งุ หมำยกเ็ พ่อื ควำมสนุกสนำน ไดอ้ อกกำลังกำย เพ่อื เสริมสร้ำงทักษะด้ำน กำรเคล่ือนไหวทำงกำย เป็นกำรนำไปส่กู ำรเลน่ เกมใหญ่ ๆ เทพประสิทธ์ิ กุลธวัชวิชัย (2556) ไดก้ ลำ่ วถึง ควำมหมำยของเกมเบ็ดเตล็ดว่ำเป็นเกม กำรเล่นโดยทั่วไปที่มีวิธีกำรเล่นง่ำย ๆ มีกฎกติกำกำรเล่นน้อย ไม่เน้นควำมสำมำรถเฉพำะด้ำน หรือทักษะมำกนัก สำมำรถจัดหรือเล่นได้ทุกสถำนท่ี ทุกโอกำส อุปกรณ์ก็ไม่ใช่ส่ิงสำคัญมำก นัก สำมำรถดัดแปลงได้ กำรเลน่ มกั ใช้สำหรับเปน็ กิจกรรมเพอ่ื ควำมสนุกสนำนและนนั ทนำกำร เหมำะสำหรับบุคคลทุกเพศ ทุกวัย เพรำะมีเกมให้เลือกใช้ได้มำกมำย
74 Scan Me คลิปตวั อยำ่ งเกมเบ็ดเตลด็ สรุปเกมเบ็ดเตล็ด เป็นเกมที่มีกำรเล่นไม่ยุ่งยำกซับซ้อน เล่นภำยในเวลำอันส้ัน เสริมสร้ำงทักษะกำรเคล่ือนไหวส่วนต่ำง ๆ ของร่ำงกำย เพ่ือให้เกิดทักษะควำมชำนำญและ ควำมคลอ่ งตัว ไดส้ นุกสนำนเพลดิ เพลิน ตัวอย่ำงกำรจัดกิจกรรมเกมเบ็ดเตล็ด มีดังน้ี
75 เกมสง่ ต่อหมวก ประเภทเกม เบด็ เตลด็ เหมำะสำหรบั ผู้เลน่ ประถมศึกษำตอนปลำยข้นึ ไป จำนวนผ้เู ล่น ผ้เู ล่นต้งั แต่ 10 คนขึ้นไป วตั ถปุ ระสงคใ์ นกำรเลน่ เพือ่ ใหค้ ุยกัน ฝกึ กำรสังเกต ฝึกกำรวำงแผน ปฏิภำณ ไหวพรบิ อปุ กรณ์ หมวก 1 ใบ ตอ่ 1 ทีม วทิ ยหุ รอื เครอ่ื งเสียง สถำนที่ เหมำะสำหรับเล่นในท่ีรม่ หรอื กลำงแจ้งทม่ี แี ดดไม่มำก วธิ ีกำรเลน่ 1. วิธีท่ี 1 เร่ิมเลน่ โดยให้ผู้เลน่ ยืนเป็นวงกลม ผู้นำเกมวำงหมวกบนศีรษะของผู้เล่นคน หนึ่ง ผู้เล่นทุกคนต้องส่งต่อหมวกไปรอบวงกลมโดยไม่ใช้มือของตนเอง หำกผู้เล่นคนใด ทำหมวกหล่น จะตอ้ งถกู คัดออกจำกเกม ผ้ชู นะคือคนสุดทำ้ ยในวงกลมทมี่ หี มวกอยูบ่ นศีรษะ 2. วิธีท่ี 2 ผู้เล่นยืนเป็นวงกลม 2 วง และใช้หมวก 2 ใบ คือ หมวก 1 ใบ ต่อ 1 วงกลม โดยผู้เล่นในวงกลมของแต่ละทีมต้องแข่งขันกัน ผู้เล่นต่ำงส่งผ่ำนหมวกไปรอบ วงกลมโดยไม่ใชม้ อื ทีมแรกท่สี ำมำรถสง่ ผำ่ นหมวกไปจนครบรอบกอ่ นเป็นทีมท่ชี นะ 3. เพอื่ ควำมสนุกสนำนอำจเปิดเสียงเพลงประกอบ ภำพประกอบ : อรจิรำ หมอทรพั ย์
76 เกมหวั เขม็ หมุด ประเภทเกม เบด็ เตล็ด เหมำะสำหรบั ผูเ้ ลน่ ประถมศึกษำตอนปลำยขน้ึ ไป จำนวนผเู้ ลน่ ไมจ่ ำกัดจำนวน วัตถปุ ระสงคใ์ นกำรเล่น เพือ่ ฝึกกำรสงั เกต ฝกึ กำรวำงแผน ปฏิภำณไหวพริบ อปุ กรณ์ หมวก 1 ใบ ตอ่ ผู้เล่น 1 คน และมเี ขม็ หมดุ ตดิ อยูบ่ นหมวก สถำนท่ีเหมำะสำหรับเลน่ ห้องท่เี ตม็ ไปดว้ ยลกู โป่ง วธิ ีกำรเลน่ 1. เร่มิ เลน่ โดย ผูเ้ ลน่ แตล่ ะคนจะต้องพยำยำมใชเ้ ข็มหมดุ ท่ีอยู่บนหมวกเจำะลูกโปง่ ใหแ้ ตก โดยห้ำมถอดหมวก จะมีกรรมกำรทำหนำ้ ทตี่ รวจสอบจำนวนลูกโป่งทแี่ ตกกบั ผเู้ ลน่ 2. ผู้เล่นท่ชี นะคือผู้ที่เจำะลูกโปง่ แตกได้มำกทส่ี ดุ ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรพั ย์
77 เกมหนีบลูกโป่งด้วยเขำ่ ประเภทเกม เบ็ดเตล็ด เหมำะสำหรับผูเ้ ลน่ ประถมศึกษำตอนปลำยขนึ้ ไป จำนวนผเู้ ล่น ไม่จำกดั จำนวน วัตถุประสงค์ในกำรเลน่ เพอ่ื ฝึกกำรสงั เกต ฝกึ กำรวำงแผน ปฏภิ ำณไหวพรบิ อุปกรณ์ ลูกโปง่ ทีเ่ ป่ำแลว้ 1 ใบ ต่อผู้เลน่ 1 คน สถำนที่เหมำะสำหรับเลน่ ห้องท่เี ตม็ ไปด้วยลกู โป่ง วิธกี ำรเล่น 1. แบง่ ผเู้ ล่นออกเป็น 2 ทีม ทีมละ 5 คน 2. เรม่ิ เล่น โดยให้ผเู้ ล่นหนีบลูกโป่งไวท้ ห่ี วั เขำ่ คนแรกของกลุ่มเดนิ ไปขำ้ งหน้ำและเดนิ วน กลบั มำท่ีจดุ เรม่ิ ต้น ทันทที ่ีถงึ ทจ่ี ุดเริ่มต้นตอ้ งบบี ลูกโปง่ ดว้ ยเข่ำใหแ้ ตก 3. เมือ่ คนแรกทำลกู โป่งแตกให้ผ้เู ล่นคนต่อไปของทมี เรม่ิ เดินต่อ ทำแบบน้ีจนครบทุกคน ทีมที่เสรจ็ ก่อนเปน็ ผูช้ นะ ภำพประกอบ : อรจิรำ หมอทรพั ย์
78 เกมปน้ั ดินให้เป็นดำว ประเภทเกม เบ็ดเตล็ด เหมำะสำหรับผ้เู ล่น ประถมศกึ ษำตอนปลำยขึน้ ไป จำนวนผู้เล่น ไมจ่ ำกัดจำนวน วตั ถุประสงค์ในกำรเล่น เพือ่ ให้ผู้เล่นเรียนรู้ท่ีจะตดั สินใจรว่ มกัน และพูดคยุ กนั ฝกึ กำรวำงแผน กำรสังเกต สตแิ ละสมำธิ อุปกรณ์ ดินเหนียวหรือดินนำ้ มนั และผำ้ ปดิ ตำ สถำนท่ี เหมำะสำหรับเลน่ ในทีร่ ่ม หรอื กลำงแจ้งทม่ี แี ดดไม่มำก วธิ กี ำรเลน่ 1. เร่มิ เล่นโดยให้ผู้เลน่ ถกู ปดิ ตำด้วยผำ้ ทุกคน 2. ผ้นู ำเกมจบั ผู้เลน่ มำนง่ั ด้วยกนั เป็นคู่ ๆ ห่ำง ๆ กัน มีดนิ เหนยี วใหค้ ูล่ ะกอ้ น 3. เปดิ เพลงคลอเบำ ๆ ใหผ้ ู้เล่นป้ันอะไรกไ็ ด้รว่ มกันโดยที่ไมค่ ยุ หรือปรึกษำ กนั มำก่อน กำหนดเวลำ เชน่ เม่อื เพลงจบตอ้ งปน้ั เสรจ็ หรือใชเ้ วลำ 3 นำที 4. เม่อื หมดเวลำหลงั จำกน้ันผ้เู ล่นจะได้ดวู ำ่ ได้ป้ันออกมำเปน็ อย่ำงไร แล้วใหค้ ยุ กนั ว่ำ เหตผุ ลใดถึงปัน้ สงิ่ นี้ 5. รอบตอ่ ๆ ไป อำจใหค้ นหนงึ่ เปดิ ตำแล้วปัน้ ดินเหนยี ว อกี คนหนง่ึ ปิดตำ เป็นคนทำย หำกทำยถูกก็จะเปลี่ยนมำเปน็ คนปนั้ ดินเหนยี วสลับกนั ก็ได้ ท่มี ำ : http://acitivities.blogspot.com/2010/05/blog-post_6329.html ภำพประกอบ : อรจิรำ หมอทรัพย์
79 เกมเชอ้ื โรค ประเภทเกม เบ็ดเตล็ด เหมำะสำหรบั ผู้เล่น ประถมศกึ ษำตอนปลำยข้นึ ไป จำนวนผเู้ ล่น ไม่จำกัด วัตถปุ ระสงค์ในกำรเลน่ เพอ่ื ใหผ้ ู้เล่นเกดิ ควำมสนุกในกำรสร้ำงจนิ ตนำกำร ฝกึ กำรวำงแผน ฝึกควำมกล้ำแสดงออก อุปกรณ์ ขวดเปล่ำหรอื สง่ิ ของสมมตอิ ื่นๆ สถำนท่ี เหมำะสำหรับเล่นในท่ีรม่ หรือกลำงแจง้ ทม่ี ีแดดไม่มำก วิธีกำรเล่น 1. เร่ิมเล่นโดยให้ผู้เล่นนั่งเป็นวงกลม ตรงกลำงมีขวดเปล่ำพร้อมฝำปิดวำงอยู่ ผู้นำเกมเข้ำไปตรงกลำงอธิบำยว่ำขวดนี้มีเช้ือโรคอยู่แตกต่ำงกันออกไป หำกผู้ติดเชื้อไป แตะใครคนน้ันจะได้รบั เชือ้ โรคไปดว้ ย 2. ผู้นำเกมเปิดขวด แสดงอำกำรของโรค เช่น คันท้ังตัว หัวเรำะไม่หยุด มือสั่น แลว้ ค่อย ๆ คลำนกลับมำแตะผเู้ ล่นคนอน่ื ๆ 3. ผู้เล่นท่ีถูกแตะต้องแสดงอำกำรเดียวกันกับผู้ที่แตะ แล้วคลำนไปแตะขวดตรง กลำงแล้วคลำนกลบั มำดว้ ยอำกำรใหม่ ๆ แตะผู้เลน่ คนอ่นื ๆ ต่อไป 4. เปล่ยี นคนทำไปเรือ่ ย ๆ โดยทุกคนห้ำมทำทำ่ ทำงซ้ำกบั คนทีท่ ำแลว้ ทม่ี ำ : http://acitivities.blogspot.com/2010/05/blog-post_6329.html ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรพั ย์
80 เกมสะพำนชีวิต ประเภทเกม เบด็ เตล็ด เหมำะสำหรบั ผู้เล่น ประถมศกึ ษำตอนปลำยข้นึ ไป จำนวนผูเ้ ล่น ไมจ่ ำกดั จำนวน วัตถปุ ระสงคใ์ นกำรเล่น เพื่อใหผ้ ู้เล่นร้จู กั ชว่ ยเหลือและร่วมมือ ฝึกกำรวำงแผน ฝึกกำรสงั เกต ปฏภิ ำณไหวพริบ และกำรยนื ทรงตวั อปุ กรณ์ เก้ำอเ้ี ทำ่ จำนวนผู้เลน่ สถำนท่ี เหมำะสำหรับเล่นในทร่ี ่ม หรอื กลำงแจ้งทีม่ ีแดดไม่มำก วิธีกำรเลน่ 1. ใหจ้ ัดเก้ำอี้พนกั ชนกันเป็นแถว ๆ ตำมจำนวนผู้เลน่ 2. เริ่มเล่น ผเู้ ล่นยนื อยู่บนเกำ้ อี้ เปดิ เพลงแลว้ ให้ผู้เลน่ เดนิ บนเกำ้ อ้ี พร้อมเตน้ ไปรอบ ๆ 3. เพลงหยุดให้ทุกคนหยดุ อยู่กบั ที่ ผนู้ ำเกม ทยอยเอำเก้ำออี้ อกทีละตวั ผ้เู ลน่ ตอ้ ง พยำยำมเดินตอ่ เนือ่ งไปเรื่อย ๆ โดยไมใ่ หต้ วั ตกลงไปที่พ้นื หำกตกลงมำผู้เลน่ คนน้นั ตอ้ งออกจำกเกม ทม่ี ำ : http://acitivities.blogspot.com/2010/05/blog-post_6329.html ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรพั ย์
81 เกมตอ่ ตัว ประเภทเกม เบด็ เตลด็ เหมำะสำหรับผูเ้ ลน่ ประถมศึกษำตอนปลำยข้ึนไป จำนวนผ้เู ลน่ ไมจ่ ำกดั จำนวน วัตถุประสงค์ในกำรเล่น เพอื่ ทำงำนร่วมกัน รว่ มใช้ควำมคิดสรำ้ งสรรค์ ฝกึ กำรวำงแผน กำรสังเกต สติและสมำธิ อุปกรณ์ - สถำนที่ เหมำะสำหรับเลน่ ในท่ีรม่ หรอื กลำงแจง้ ทีม่ ีแดดไม่มำก วธิ ีกำรเล่น 1. แบ่งผู้เล่นเป็นกลมุ่ กลมุ่ ละ 4 – 10 คน แล้วแต่จำนวนทงั้ หมด โดยต้องแบ่ง ใหเ้ ท่ำ ๆ กนั 2. เรม่ิ เล่น โดยผูน้ ำจะสง่ั ใหผ้ ูเ้ ล่นทำท่ำทำงต่ำง ๆ เช่น - ผู้นำสง่ั วำ่ ใหผ้ ้เู ล่น“ยนื สำมขำ”ผูเ้ ลน่ ต้องตอ่ ตัวตำมคำส่ัง จะทำอย่ำงไร ก็ไดใ้ หม้ ีขำยนื บนพนื้ เพยี งสำมขำจำกจำนวนทงั้ กลมุ่ หรือ - ผนู้ ำสัง่ วำ่ “ให้หตู ่อหู” ผู้เลน่ จะตอ้ งใช้หขู องตนเองกับหูของเพือ่ นติดกนั ให้ หรอื สัง่ ว่ำ “รูปหวั ใจ” ผู้เล่นต้องใช้ร่ำงกำยเรยี งกนั ใหเ้ ป็นรปู หัวใจ ทมี่ ำ : http://acitivities.blogspot.com/2010/05/blog-post_6329.html ภำพประกอบ : อรจิรำ หมอทรัพย์
82 เกมนำ้ นง่ิ นำ้ ไหล ประเภทเกม เบด็ เตลด็ เหมำะสำหรับผเู้ ลน่ ประถมศกึ ษำตอนปลำยขึ้นไป จำนวนผเู้ ลน่ ไมจ่ ำกัดจำนวน วัตถุประสงคใ์ นกำรเลน่ เพ่อื ให้ผู้เล่นได้ฝกึ ปฏภิ ำณไหวพริบ สติและสมำธิ อุปกรณ์ - สถำนที่ เหมำะสำหรับเลน่ ในที่ร่ม หรือกลำงแจง้ ทมี่ แี ดดไม่มำก วธิ ีกำรเลน่ 1. ให้ทกุ คนยนื กระจำยหำ่ งกนั 1 ช่วงแขน 2. เรมิ่ เลน่ ผู้นำพดู ว่ำ “น้ำนง่ิ ” ให้ทกุ คนยืนนงิ่ เมอื่ ไดย้ ินผนู้ ำพดู วำ่ “นำ้ ไหล” ใหท้ กุ คนยืนย่ำเท้ำอย่กู บั ที่ 3. ถำ้ นักเรียนคนใดทำผดิ ตอ้ งออกจำกกำรเล่น ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรพั ย์
83 เกมเปล่ยี นคู่ ประเภทเกม เบด็ เตล็ด เหมำะสำหรบั ผเู้ ล่น ประถมศกึ ษำตอนปลำยข้ึนไป จำนวนผู้เล่น ไม่จำกดั จำนวน วัตถปุ ระสงคใ์ นกำรเลน่ เพอื่ ใหผ้ ู้เลน่ ฝึกสติ สมำธิ อุปกรณ์ - สถำนท่ี เหมำะสำหรับเล่นในท่รี ่ม หรอื กลำงแจ้งท่มี แี ดดไมม่ ำก วิธีกำรเล่น 1. เขียนวงกลม 4 – 5 วง ห่ำงกันพอสมควร ในวงกลมแต่ละวงมีผู้เล่นยืนจับคู่กัน 2 คน และมีผู้เล่น 2-3 คน อยูน่ อกวงกลม 2. เริ่มเล่น เม่ือได้ยินผู้นำสั่งว่ำ “เปล่ียนคู่” ให้ทุกคนวิ่งเปล่ียนคู่ไปอยู่ในวงกลม อน่ื ส่วนคนที่อยนู่ อกวงกลม ต้องวงิ่ แยง่ เขำ้ ไปอยู่ในวงกลมด้วย 3. ถ้ำใครไมม่ ีค่จู ะถกู คดั ออกจำกเกม หรืออำจถกู ทำโทษ โดยใหท้ ำท่ำทำงตำ่ ง ๆ ภำพประกอบ : อรจริ ำ หมอทรัพย์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246