Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 20101-2001 งานเครื่องยนต์แก๊สโซลีน engine work

20101-2001 งานเครื่องยนต์แก๊สโซลีน engine work

Published by ADACSOFT CO.,LTD., 2021-03-08 05:21:22

Description: 20101-2001 งานเครื่องยนต์แก๊สโซลีน engine work

Search

Read the Text Version

งานเครื่องยนต์แกส๊ โซลีน 193 สรปุ ผลและวจิ ารณก์ ารปฏิบตั ิ …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… ความเหน็ ของครผู ู้สอน …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………… ครูผู้สอน ……..…………………………………………… ผคู้ วบคมุ การฝึก ……..…………………………………………… วนั ที่ / เดือน / พ.ศ.

9 ระบบไฟฟ้าจุดระเบิด จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม (Behavioral Objectives) หลังจากศกึ ษาจบบทเรยี นนแ้ี ลว้ นกั ศึกษาจะมคี วามสามารถดังน้ี 1. บอกหนา้ ทขี่ องระบบไฟฟา้ จุดระเบิดได้ 2. อธิบายพน้ื ฐานการทำ� งานของระบบไฟฟ้าจดุ ระเบิดเบือ้ งตน้ 3. สรุปลำ� ดบั การจุดระเบิดของเคร่อื งยนต์ได้ 4. อธบิ ายระบบจุดระเบดิ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ได้ 5. สรปุ เก่ียวกบั ระบบจุดระเบิดแบบไร้จานจ่ายได้ 6. ปฏิบตั ิการถอด-ใสห่ วั เทยี นและตรวจสอบได้

9 ระบบไฟฟา้ จดุ ระเบิด หน้าที่ของระบบไฟฟ้าจดุ ระเบิด ระบบไฟฟ้าจุดระเบิด ท�ำหน้าที่สร้างประกายไฟ ซ่ึงจะใช้ในการจุดระเบิดอากาศผสมภายใน กระบอกสูบของเคร่ืองยนต์ ในการนี้จะต้องท�ำได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์และด้วยอัตราการจุดระเบิดท่ี ค่อนข้างสูงถึง 1,000 ครั้งต่อนาที ส�ำหรับกระบอกสูบแต่ละกระบอกของเคร่ืองยนต์ โดยจังหวะเวลา (Timing) ในการจุดระเบิดต้องเหมาะสมกับความเร็วรอบและภาระของเครื่องยนต์ ซึ่งถ้าจังหวะเวลา ในการจุดระเบิดผิดพลาดแม้เพียงเสี้ยววินาที อาจจะส่งผลให้เคร่ืองยนต์เดินสะดุดหรือไม่ติดเลยก็ได้ นอกจากนี้ ระบบจดุ ระเบิดต้องมคี วามทนทานต่อการสน่ั สะเทือนและความร้อนของเครอื่ งยนตด์ ้วย ระบบจดุ ระเบิดประกอบด้วยอุปกรณห์ ลกั คือ แบตเตอรี่ (Battery) สวติ ช์จุดระเบิด (Ignition Switch) คอยล์จุดระเบิด (Coil) ทองขาว (Contactor) คอนเดนเซอร์ (Condenser) จานจ่าย (Distributor) สายไฟแรงสูง (High Voltage Wire) และหัวเทยี น (Spark Plug) ระบบไฟฟา้ จุดระเบิดจะจา่ ยไฟฟา้ ที่มีแรงเคลื่อนไฟฟา้ (โวลต)์ ที่สงู มากไปยงั กระบอกสบู แต่ละ กระบอก ในขณะทล่ี กู สบู เคล่อื นท่ีไปยงั ต�ำแหน่งสงู สดุ ในจงั หวะอดั (Compression Stroke) บริเวณตอน ปลายของหวั เทียนท่ีเรยี กว่า เขย้ี วหวั เทยี น (Spark Plug Gap) นน้ั จะมรี ะยะหา่ งซึง่ แรงเคลอ่ื นไฟฟ้า จะต้องกระโดดข้ามไปยังสายดนิ เพ่อื ทีจ่ ะใหเ้ กดิ ประกายไฟขนึ้

196 บทที่ 9 ระบบไฟฟา้ จดุ ระเบดิ โดยท่วั ไป แรงเคลื่อนไฟฟา้ ที่จะจ่ายใหก้ บั หวั เทียนจะอยูร่ ะหวา่ ง 20,000 และ 50,000 โวลต์ ดังนน้ั หน้าท่ขี องระบบไฟฟ้าจุดระเบดิ คือ ผลิตแรงเคลือ่ นไฟฟ้าขนาดสูงมากดังกล่าวจากแหลง่ ก�ำเนดิ (แบตเตอร่ี) ทม่ี คี า่ เพียง 12 โวลต์ เพื่อปอ้ นให้แกก่ ระบอกสบู โดยเรียงตามล�ำดบั จดุ ระเบิดก่อนหลงั และ ถูกจังหวะเวลาด้วย ระบบจุดระเบิดไฟฟ้าจึงต้องกระท�ำหน้าที่ 2 ประการ ประการที่ 1 ผลิตแรงเคล่ือนไฟฟ้า ขนาดสูง (มากกว่า 20,000 โวลต์) เพ่ือให้ประกายไฟฟ้ากระโดดข้ามระยะห่างของเข้ียวหัวเทียนได้ เพื่อให้ประกายไฟนั้นแกพ่ อที่จะจุดระเบิดอากาศผสมเพือ่ ให้เกิดการสนั ดาป ประการท่ี 2 ควบคุมจังหวะ การเกดิ ประกายไฟ เพื่อให้จุดระเบิดไดถ้ ูกจังหวะเวลาและถูกลำ� ดับกอ่ นหลงั ของแตล่ ะกระบอกสบู วงจรของระบบจุดระเบดิ ไฟฟ้าจะแบง่ ออกเป็น 2 วงจร คือ วงจรปฐมภมู ิ (Primary Circuit) ซึง่ ทำ� งานดว้ ยแรงเคล่ือนไฟฟ้าของแบตเตอรี่ คือ 12 ถงึ 14.5 โวลต์ ท�ำหน้าที่ก�ำเนิดสัญญาณเพ่อื ที่ จะจดุ หวั เทยี นให้ถูกจังหวะเวลาและสง่ สัญญาณดังกลา่ วไปยังคอยล์จุดระเบดิ (Ignition Coil) ซึ่งเป็นชิ้นสว่ นที่ เปลี่ยนสัญญาณ 12 โวลต์ ใหม้ ากกว่า 20,000 โวลต์ ในขณะทโ่ี วลตก์ ำ� ลังเพม่ิ ข้นึ สัญญาณดงั กลา่ วจะถกู ส่งไปยงั วงจรทุตยิ ภูมิ (Secondary Circuit) ซ่งึ จะอัดประจุ 20,000 โวลต ์ ตรงไปยังหัวเทียนในจังหวะ เวลาทีถ่ กู ตอ้ ง พน้ื ฐานการท�ำงานของระบบไฟฟ้าจดุ ระเบดิ เบ้ืองต้น ตามทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ ไฟฟา้ ทใ่ี ชใ้ นรถยนตจ์ ะเปน็ ไฟกระแสตรง นนั่ หมายความวา่ กระแสไฟฟา้ จะเคลอื่ นท่ีไปในทศิ ทางเดียว คือ ออกจากข้ัวบวกของแบตเตอรไ่ี ปยังขว้ั ลบของแบตเตอร่ี ในกรณขี อง รถยนต์น้ัน จะใช้สายไฟขนาดใหญต่ อ่ ข้วั ลบของแบตเตอรีไ่ ปยงั ตัวถงั รถหรอื เครอ่ื งยนต์ ซึ่งทำ� หน้าท่เี ป็น สายดนิ อธิบายได้วา่ กระแสไฟจะไหลกลบั ไปยังข้วั ลบ เพอื่ ใหค้ รบวงจรได้โดยผ่านตัวถงั หรอื เคร่อื งยนต์ ของรถยนต์ ณ บรเิ วณใดก็ได้ ตวั อยา่ งท่ีดที ีใ่ ชใ้ นการอธิบายการท�ำงานของวงจรแบบน้ีคือ วงจรของไฟหน้าส่องสว่าง ซ่ึงจะมี สายไฟตอ่ จากขว้ั บวกของแบตเตอรไี่ ปยงั สวติ ชไ์ ฟสอ่ งสวา่ ง สายไฟอกี 1 เสน้ จะตอ่ จากสวติ ชไ์ ฟสอ่ งสวา่ ง ไปยงั ขวั้ ของหลอดไฟขว้ั หนง่ึ และสายไฟเสน้ ท่ี 3 จะตอ่ จากขวั้ ของหลอดไฟขว้ั ที่ 2 ไปยงั ตวั ถงั ของรถยนต ์ ดังน้ัน การเปิดสวิตช์ไฟส่องสว่างจึงเป็นการต่อวงจรให้กระแสไฟไหลจากแบตเตอรี่ไปยังไฟส่องสว่าง โดยตรง กระแสไฟจะไหลผ่านไปยังเสน้ ลวดในหลอดไฟ (ท�ำให้เสน้ ลวดร้อนและสอ่ งสวา่ ง) และไหลออก ไปยังตัวถังรถยนต์ซึ่งทำ� หนา้ ท่ีเป็นข้ัวลบของแบตเตอร่ี เป็นอนั ครบวงจรการท�ำงาน

งานเคร่อื งยนตแ์ ก๊สโซลีน 197 การท�ำงานของไฟส่องสว่างดังกล่าวจะเป็นหลักการพื้นฐานของระบบจุดระเบิดด้วยไฟฟ้า ซ่ึงไม่เคยเปลยี่ นแปลงตลอดระยะเวลา 75 ปี ส่ิงทีเ่ ปลย่ี นแปลงคือวธิ ใี นการสร้างและกรรมวิธีในการจา่ ย ประกายไฟฟ้าเทา่ นน้ั ในปัจจุบนั ระบบจุดระเบิดมอี ยู่ 3 ระบบ คอื ระบบจดุ ระเบดิ ทางกล (Mechanical Ignition System) ระบบจุดระเบิดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Ignition System) และระบบจุดระเบิดแบบ ไร้จานจ่าย (Distributorless Ignition System) ระบบจดุ ระเบิดทางกล แผนผังการท�ำงานของระบบน้ี ดังรปู ที่ 9.1 เปน็ ระบบแรกซึง่ ใชม้ าถงึ ปี ค.ศ. 1975 เป็นระบบท่ี รวมระบบกลศาสตร์และระบบไฟฟา้ เข้าดว้ ยกนั โดยไม่มีการใชอ้ ปุ กรณอ์ เิ ล็กทรอนกิ ส์ หัวใจของระบบจะ อยทู่ ่จี านจ่าย (Distributor) ท�ำหนา้ ท่ี 2 อย่าง คือ เป็นไก (Trigger) ควบคมุ ประกายไฟให้เหมาะกบั รอบ ท�ำงานของเครอ่ื งยนต์ และทำ� หนา้ ทน่ี �ำประกายไฟจา่ ยใหก้ ับกระบอกสูบให้ถูกลำ� ดบั กอ่ นหลงั วงจรไฟแรงตำ่� (Low - Tension Circuit) จะเริ่มตน้ ที่แบตเตอร่ีจา่ ยพลงั งานไฟฟา้ แรงเคลอ่ื น 12 โวลต์ ผ่านสวิตช์จุดระเบิดไปยงั คอยล์จุดระเบิดดา้ นขดลวดปฐมภูมิ และต่อไปยงั หน้าทองขาว ในจาน จา่ ย ส่วนวงจรไฟแรงสงู (High - Tension Circuit) เร่มิ ตน้ จากขดลวดทตุ ิยภูมิของคอยล์ จดุ ระเบิดไปยงั ฝาครอบจานจ่าย (Distributor Cap) และเขา้ ทหี่ วั นกกระจอก (Rotor) โดยผา่ นสายไฟแรงสงู และส่งตวั ไปยังหัวเทยี น Spark Plugs Spark Plugs Distributor Cap Point Rotor Vacuum Advance Primary Resistor Condenser Coil Distributor Ignition Switch Battery Primary Wiring (Low Voltage) Secondary Wiring (High Voltage) Ground All Ground Connected to Metal Body & Frame รปู ท่ี 9.1 การท�ำงานของระบบจดุ ระเบิดทางกล

198 บทที่ 9 ระบบไฟฟ้าจดุ ระเบิด คอยล์จดุ ระเบดิ (Ignition Coil) ดังรปู ท่ี 9.2 เป็นอปุ กรณ์ทที่ �ำหนา้ ที่เช่นเดียวกบั หมอ้ แปลงคอื เพ่ิมแรงเคล่ือน (โวลต์) ของกระแสไฟ โดยจะเพิ่มแรงเคล่ือนต่�ำจาก 12 โวลต์ ซึ่งไม่สามารถจุดระเบิด ในหอ้ งเผาไหมไ้ ด้ เปน็ แรงเคล่อื นไฟฟา้ แรงสงู มากกวา่ 20,000 โวลต์ กระบวนการสร้างไฟฟ้าแรงสูงขนาดน้ีเกิดจากการออกแบบโดยใช้หลักท่ีว่า เมื่อกระแสไฟฟ้า ผา่ นขดลวดจะเกิดสนามแม่เหลก็ และในทางกลับกนั เมอื่ สนามแมเ่ หลก็ น้นั หมดลง กระแสไฟฟ้าจะถูก สร้างข้นึ ในขดลวดอีกขดหน่ึงซึง่ อย่ใู นสนามแม่เหลก็ นั้น เพ่อื ใหแ้ รงเคลอ่ื นไฟฟ้ากระโดดขา้ มเข้ยี วหวั เทยี นในการสร้างโวลต์ขนาดดังกล่าวได้นั้น ภายใน คอยลจ์ ะประกอบด้วยขดลวดปฐมภูมพิ นั ด้วยลวดทองแดงขนาดใหญ่ ทับขดลวดทตุ ยิ ภมู ิประมาณ 150 - 300 รอบ สว่ นขดลวดทตุ ิยภูมิพนั ดว้ ยลวดทองแดงขนาดเลก็ พันรอบแกนเหลก็ ออ่ นประมาณ 20,000 รอบ โดยมีกระดาษบางคนั่ อยู่ระหว่างขดลวดทงั้ สอง เพือ่ ป้องกันการลัดวงจร ปลายดา้ นหนึ่งของขดลวด ปฐมภมู ิจะตอ่ อยูก่ บั ข้วั บวก ส่วนปลายอกี ดา้ นหน่ึงจะตอ่ เข้ากบั ข้วั ลบส�ำหรบั ขดลวดทุติยภมู จิ ะตอ่ ปลาย ด้านหนึง่ เขา้ กับขดลวดปฐมภมู ทิ างข้วั บวก อกี ด้านหนึง่ จะต่ออย่กู บั ขัว้ ไฟแรงสูง โดยมีน�ำ้ มันท�ำหน้าท่ี เปน็ ฉนวนและชว่ ยระบายความรอ้ น อยา่ งไรกด็ ี ดว้ ยความกา้ วหน้าทางอิเล็กทรอนกิ ส์ เคร่อื งยนต์ High - Voltage รุ่นใหม่ ๆ หลายรุน่ ได้เปลีย่ นไปใชก้ ระบวนการสร้างปริมาณแรงดนั ไฟ Coil Cable ขนาด 25,000 ถงึ 30,000 โดยใชอ้ ุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์แทนการใช้ Resistance Wire คอยล์จุดระเบดิ Primary Winding รูปที่ 9.2 คอยล์จุดระเบดิ Secondary Winding หลกั การทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ แรงเคลอ่ื นไฟแรงสงู จะใชห้ ลกั การเหนย่ี วนำ� ตวั เอง (Self - Induction Effect) กล่าวคือ เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลเข้าไปในขดลวดจนเต็มและถูกตัดวงจรอย่างทันทีทันใด สนามแม่เหล็ก จะยบุ ตวั ลงตดั กบั ขดลวด เกดิ การเหนยี่ วน�ำของแรงแม่เหลก็ ของขดลวดทำ� ใหเ้ กดิ แรงดันไฟฟา้ ขน้ึ พจิ ารณาลกั ษณะของคอยลจ์ ดุ ระเบดิ จะเหน็ วา่ ขดลวดปฐมภมู แิ ละขดลวดทตุ ยิ ภมู ถิ กู พนั อยรู่ อบ ๆ แกนเหล็กอ่อนเดยี วกัน ดงั นนั้ เมือ่ ขดลวดปฐมภูมิถกู ตัดวงจรอยา่ งทันทที นั ใด จะเกดิ การเปลีย่ นแปลง เสน้ แรงแม่เหล็กโดยเสน้ แรงแมเ่ หลก็ ยบุ ตัว ท�ำใหข้ ดลวดทุติยภูมเิ กดิ แรงดนั ไฟฟ้าข้ึน แรงดันไฟฟ้าที่เกิดจากการเหนี่ยวน�ำจะมากหรือน้อย ข้ึนอยู่กับจ�ำนวนของเส้นแรงแม่เหล็ก ที่เกิดข้ึนในขดลวด ถ้ามีมากแรงเคลื่อนไฟฟ้าท่ีเกิดจากการเหน่ียวน�ำก็จะมาก รวมทั้งจ�ำนวนรอบของ ขดลวดทุตยิ ภมู ิ ซึ่งถา้ มมี ากเมือ่ เกิดการเหน่ียวน�ำร่วม (Mutual Induction Effect) ก็จะเกิดแรงเคลอื่ น

งานเคร่ืองยนตแ์ กส๊ โซลีน 199 ไฟฟา้ ไดส้ งู เพอื่ ทจี่ ะไดร้ บั แรงเคลอื่ นไฟฟา้ สงู ในระหวา่ งการเหนย่ี วนำ� รว่ ม กระแสไฟทไี่ หลในวงจรขดลวด ปฐมภูมิ จะตอ้ งมากและจะตอ้ งถูกตัดวงจรอย่างทนั ทีทันใด คอยลจ์ ดุ ระเบดิ บางประเภทจะมคี วามตา้ นทานภายนอกเปน็ สว่ นประกอบ ซง่ึ ตวั ตา้ นทานดงั กลา่ ว จะต่ออนุกรมกับขดลวดปฐมภูมิ และจะใช้ขดลวดท่ีมีขนาดใหญ่ข้ึน เพื่อท�ำให้จ�ำนวนรอบที่พันลดลง ความตา้ นทานลดลง ซ่งึ จะทำ� ให้กระแสไฟฟา้ ไหลเขา้ ไดม้ ากและเรว็ ข้ึน การนำ� ความตา้ นทานภายนอก มาต่ออนุกรมกับขดลวดปฐมภูมิ ก็เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าไหลเข้าขดลวดมากเกินไปเมื่อความเร็วรอบ เครอื่ งยนตต์ �่ำ ซงึ่ จะทำ� ให้คอยลม์ ีความรอ้ นมากเกินไปจนเสยี หายได้ จานจา่ ย (Distributor) ดังรูปท่ี 9.3 ท�ำหนา้ ท่ีจา่ ยแรงเคลื่อนไฟ สูงจากคอยล์ไปยังกระบอกสูบตามจังหวะการจุดระเบิดของเคร่ืองยนต์ ภายในจะมีชดุ หนา้ ทองขาวเปน็ สวิตช์ ปดิ - เปดิ วงจรปฐมภูมทิ �ำให้เกดิ การเหนยี่ วนำ� ในการสร้างแรงเคล่อื นไฟฟ้าแรงสงู ขึน้ รูปท่ี 9.3 ลักษณะภายนอกของจานจ่าย จานจา่ ยส�ำหรับระบบจดุ ระเบิดทางกล ดังรปู ที่ 9.4 จะประกอบด้วย ฝาจานจ่าย (Distributor Cap) ชดุ หนา้ ทองขาว (Breaker Section) คอนเดนเซอร์ (Condenser) ชดุ กลไกจดุ ระเบิดลว่ งหน้าแบบ สญุ ญากาศ (Vacuum Advance) หรือแบบแรงเหว่ียงหนีศนู ย์ (Centrifugal Advance) A Connection to coil B Breaker points C Adjusting screw D Cam follower E Distributor cam F Condenser รูปที่ 9.4 ภายในจานจา่ ยแบบจดุ ระเบิดทางกล ชุดหน้าทองขาว (Breaker Point) ท�ำหน้าท่ีในการตดั ตอ่ วงจรไฟปฐมภมู ิ และเปน็ ตัวก�ำหนด จังหวะการจุดระเบิดท่ีแน่นอน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีอยู่กับที่ซ่ึงจะต่อลงสายดินและส่วน ท่ีเคล่ือนท่ีซึ่งจุดหมุนของส่วนนี้จะมีฉนวนป้องกันการลงดิน จะต่อโดยตรงกับขดลวดปฐมภูมิในคอยล์ จุดระเบิดและมไี ฟเบอรท์ ำ� หนา้ ทถ่ี ่ายทอดก�ำลงั จากลกู เบยี้ วจานจ่าย (Distribution Cam) (ซึง่ หมุนไป กับเพลาจานจ่าย ถูกสร้างให้มีมุมของลูกเบี้ยวเท่ากับจ�ำนวนของลูกสูบในเครื่องยนต์) เพื่อท�ำหน้าท่ีปิด เปิดหนา้ ทองขาว สปริงแผ่นของหนา้ ทองขาวจะท�ำหน้าท่ีกดหนา้ ทองขาวให้ปดิ สนิท

200 บทที่ 9 ระบบไฟฟา้ จุดระเบดิ ระยะห่างระหว่างหน้าทองขาวจะมีค่าเหมาะสมส�ำหรับเคร่ืองยนต์แบบหน่ึง ๆ ซึ่งหากท�ำการ ต้ังระยะหา่ งของหน้าทองขาวชิดมากเกิดไป การจุดระเบิดทีห่ วั เทียนจะชา้ กว่าปกติ ท�ำให้เคร่ืองยนต์เสยี ก�ำลัง หรือที่เรียกว่า ไฟอ่อน ในทางตรงกันข้ามหากต้ังระยะหน้าทองขาวห่างมากไป การจุดระเบิดท่ี หัวเทียนจะเร็วกว่าทคี่ วรเปน็ ทำ� ใหเ้ กดิ การชิงจุดระเบิดก่อน เครอื่ งยนต์จะเกดิ อาการ “นอ็ ค” หรอื ท่ี เรยี กว่า ไฟแก่ อย่างไรกด็ ี ในบางคร้งั อาการไฟอ่อนหรอื ไฟแกอ่ าจจะเกดิ จากการตั้งองศาจดุ ระเบดิ ดว้ ย มุมดะแวล (Dwell Angle) คือ มมุ ของลกู เบี้ยวในต�ำแหน่งท่หี นา้ ทองขาวปดิ โดยทวั่ ไปใน เคร่ืองยนต์ 4 สูบ การปรบั ตงั้ ระยะห่างของหนา้ ทองขาวท่ีถูกตอ้ งตามมาตรฐานนัน้ มมุ ดะแวลจะอยใู่ น ค่าประมาณ 46 ถึง 58 องศา มุมดะแวลจะเปน็ ตวั กำ� หนดระยะห่างของหนา้ ทองขาว กลา่ วคอื เม่อื หนา้ ทองขาวหา่ งมากเกนิ ไป (Point gap too wide) เป็นผลใหม้ ุมดะแวลมคี า่ นอ้ ย หรือเมื่อหน้าทองขาวห่าง น้อยเกินไป (Point gap too small) เปน็ ผลใหม้ มุ ดะแวลมคี ่ามาก - มุมดะแวลท่ีน้อยเกินไป (Dwell angle too small) จะท�ำให้หน้าทองขาวใช้เวลาในการ ปิดส้ัน ทำ� ให้กระแสไฟฟา้ ที่ไหลผา่ นขดลวดปฐมภมู ิมเี วลานอ้ ยลง ดงั น้นั เมอ่ื ความเรว็ รอบของเครือ่ งยนต์ เพิ่มมากขน้ึ กระแสไฟฟ้าวงจรปฐมภมู ิจะมีไม่เพียงพอ ซ่งึ จะท�ำใหแ้ รงเคลือ่ นไฟฟา้ ในวงจรทุตยิ ภูมลิ ดลง จังหวะจุดระเบดิ กจ็ ะผิดพลาด - มมุ ดะแวลมากเกนิ ไป (Dwell angle too large) จะทำ� ใหร้ ะยะหา่ งหนา้ ทองขาวแคบลง เกดิ ประกายไฟไดง้ ่าย ซึ่งเมอ่ื หนา้ ทองขาวเรมิ่ เปดิ กระแสไฟไหลจะผา่ นหน้าทองขาวได้ง่าย ท�ำใหก้ ระแส ไฟฟา้ ไมถ่ ูกตดั วงจรอย่างทนั ทีทนั ใด ดังน้นั แรงเคลอื่ นไฟฟ้าในวงจรทตุ ิยภมู ิจะเกดิ ขึน้ น้อยทำ� ใหจ้ ังหวะ การจุดระเบิดจะผดิ พลาดเช่นกนั คอนเดนเซอร์ (Condenser) เปน็ ช้ินส่วนทตี่ ่อขนาน (Serie) กับหนา้ ทองขาว ทำ� หน้าทเ่ี ก็บ ประจุไฟฟ้าเมือ่ หนา้ ทองขาวเปดิ เพอ่ื ให้การตดั วงจรในขดลวดปฐมภูมเิ กิดขน้ึ อย่างทันทีทนั ใดและให้เกิด ประกายไฟทีห่ นา้ ทองขาวนอ้ ยที่สดุ และเมอื่ หน้าทองขาวปดิ คอนเดนเซอร์กจ็ ะคายประจุไฟฟา้ ให้กบั วงจร การเลือกใช้คอนเดนเซอร์จะต้องเลือกขนาดความจุให้เหมาะสมกับระบบจุดระเบิดของ เครอื่ งยนต์ การใชค้ อนเดนเซอรท์ มี่ คี ่าความจุน้อยเกินไปจะทำ� ให้เนื้อโลหะของหนา้ ทองขาวด้านบวกนูน ออกมาและทางด้านลบเป็นหลมุ ถา้ ความจุมากเกินไปจะทำ� ให้เน้อื โลหะของหน้าทองขาวทางดา้ นบวก เป็นหลมุ และทางด้านลบนนู ออกมา หัวนกกระจอก (Rotor) ท�ำหน้าที่หมุนจ่ายแรงเคล่ือนไฟแรงสูงท่ีรับมาจากคอยล์จุดระเบิด ไปยงั ฝาครอบจานจา่ ยตามจงั หวะการจดุ ระเบดิ ของเครื่องยนต์ ฝาครอบจานจา่ ย (Distributor Cap) มรี ตู รงจดุ กงึ่ กลางดา้ นในไวต้ ดิ ตง้ั แทง่ คารบ์ อน รอบ ๆ ฝาจานจ่ายจะมีรูสายหัวเทียนรับแรงเคล่ือนไฟแรงสูงจากหัวนกกระจอก ระยะห่างระหว่างสะพานไฟ ของหัวนกกระจอกกับขั้วไฟของฝาครอบจานจา่ ยประมาณ 0.8 มม. (0.031 นิว้ )

งานเครอ่ื งยนต์แกส๊ โซลีน 201 ชดุ กลไกจดุ ระเบดิ ล่วงหน้าแบบสุญญากาศ (Vacuum Advance Unit) มีหลักการท�ำงานดงั นี้ คอื เม่อื เครือ่ งยนตท์ ำ� งานอยู่ทีร่ อบเดินเบา การจุดระเบดิ จะเกดิ ขึ้นก่อนทล่ี ูกสบู จะเคลื่อนทไี่ ปสูต่ ำ� แหน่ง ศูนย์ตายบน (Top Dead Center) ในปลายจังหวะอัด ท�ำให้ก๊าซมีเวลาขยายตัว และดันลูกสูบลงได้ แต่เมื่อเวลาทีเ่ ครอื่ งยนต์ท�ำงานท่ีรอบความเร็วสงู ลูกสูบเคลือ่ นทีเ่ ร็วมากขน้ึ เวลาการเผาไหมจ้ ึงน้อยลง จ�ำเป็นต้องท�ำให้เกิดการจุดระเบิดข้ึนล่วงหน้า เพื่อเพิ่มเวลาให้เกิดการเผาไหม้ ซ่ึงก๊าซหลังการเผาไหม้ จะมีเวลาขยายตัวมากพอท่จี ะดันลูกสบู ลงในปลายจังหวะอัด ชุดปรับล่วงหน้าแบบสุญญากาศ เป็นชุดอุปกรณ์ท่ีท�ำงานด้วยระบบสุญญากาศ (Vacuum) กล่าวคือ ตัวอุปกรณ์นี้จะมีท่อต่อออกไปท่ีบริเวณท่อร่วมไอดี เม่ือเครื่องท�ำงานที่รอบเดินเบา แรงดูด อากาศยงั ไมม่ ากพอทจ่ี ะทำ� ใหช้ ดุ ปรบั อากาศลว่ งหนา้ ทำ� งานได้ แตเ่ มอ่ื เครอื่ งยนตม์ รี อบการทำ� งานทส่ี งู ขน้ึ ชุดปรับล่วงหน้าแบบสญุ ญากาศจะทำ� งานโดยปรับจังหวะเวลาจดุ ระเบดิ (Ignition Timing) ให้เกิดขน้ึ ลว่ งหน้า หัวเทยี น (Spark Plug) ดงั รูปท่ี 9.5 ท�ำหนา้ ทีส่ รา้ งประกายไฟสำ� หรับจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ ลกั ษณะของหัวเทียนจะมเี ปลือกนอกเป็นโลหะ และมีกระเบอื้ งเคลอื บอยูภ่ ายใน ขั้วกลางของหัวเทยี น ได้รับแรงเคล่ือนไฟฟ้ามาจากสายไฟแรงดันสูง (High - Tension Leads) ซ่ึงต่อมาจากจานจ่าย (Distributor) อีกทอดหนึ่ง ขั้วกลางของหัวเทียนจะย่ืนผ่านศูนย์กลางของฉนวนออกไปท่ีบริเวณหัว ของหัวเทียน ส่วนเปลือกนอกที่เป็นโลหะจะมี ขั้วสายดินติดอยู่ เวลาติดตง้ั หัวเทียนจะต้องหมุน เกลียวหัวเทียนเข้าสวมไปกับเกลียวของฝาสูบ เพื่อที่บริเวณหัวของหัวเทียนจะได้ยื่นเข้าไปเป็น สว่ นหนึง่ ของหอ้ งเผาไหม้ กระแสไฟจดุ ระเบดิ จะ วงิ่ เขา้ มาท่ีท้าย หัวเทยี นผ่านศูนยก์ ลางหัวเทียน แล้วมาจุดประกายไฟ ที่เขี้ยวหัวเทียน (เพราะ ท่ีเขี้ยวหัวเทียนเป็นข้ัวดินซึ่งขันเกลียวติดอยู่กับ ฝาสบู ) รูปท่ี 9.5 หวั เทยี น การเลือกใช้หัวเทียนที่ถูกต้องกับสภาพการใช้งาน จะเป็นผลให้เครื่องยนต์ท�ำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยพจิ ารณาจากอณุ หภูมขิ องหวั เทยี น (Heat Value) ดงั นี้ - หวั เทยี นร้อน ดังรปู ท่ี 9.6 คอื หวั เทียนท่รี ะยะทางระบายความรอ้ นจากเข้ยี วหวั เทียนถงึ ปลายล่างฉนวนยาว ความร้อนจงึ สะสมอยใู่ นตวั ได้มาก ใช้ส�ำหรับเครอ่ื งยนต์ที่ทำ� งานดว้ ยความเร็วตำ�่ และมีระยะเวลาในการทำ� งานชว่ งสั้น ๆ - หัวเทียนมาตรฐาน คือ หัวเทียนที่มีขีดความร้อนปานกลาง เหมาะส�ำหรับเครื่องยนต์ ที่ทำ� งานดว้ ยความเร็วปานกลาง

202 บทที่ 9 ระบบไฟฟา้ จุดระเบดิ - หัวเทียนเย็น ดงั รูปที่ 9.6 คอื หวั เทยี นทมี่ รี ะยะทางระบายความร้อนจากเขี้ยวหัวเทยี น ถึงปลายล่างฉนวนส้ัน ความร้อนจึงระบายได้เร็ว ใช้ส�ำหรับเคร่ืองยนต์ท่ีท�ำงานด้วยความเร็วสูง หรือใช้วิ่งทางไกล รปู ท่ี 9.6 หัวเทยี นรอ้ นและหวั เทยี นเย็น ความเหมาะสมในการใชห้ วั เทยี นขึ้นอยู่กบั การทำ� งานของเครอื่ งยนต์ เพราะเม่ือผูข้ บั ข่ีใชร้ ถใน สภาพหนัก เช่น ขับขี่ดว้ ยความเรว็ สูงเปน็ เวลานาน หรือบรรทุกของหนกั ทต่ี อ้ งใช้กำ� ลงั มาก ตอ้ งการการ เผาไหมส้ งู หอ้ งเผาไหมจ้ ะมคี วามรอ้ นสงู สง่ ผลใหม้ คี วามรอ้ นสะสมอยใู่ นหวั เทยี นมาก เชน่ นี้ ควรใชห้ วั เทยี น เย็นเพราะจะระบายความร้อนได้ดี แต่ถ้าเป็นรถยนต์ที่ขับข่ีด้วยความเร็วต�่ำ ในช่วงเวลาไม่นาน ควรใช้ หัวเทียนชนิดหวั เทยี นรอ้ น การใช้หัวเทียนไม่ตรงกับลักษณะการใช้งาน เช่น ใช้หัวเทียนร้อนกับเครื่องยนต์ที่ท�ำงานหนัก และต่อเน่ืองตลอดเวลาเป็นเวลานาน ๆ น้ัน ความร้อนจะสะสมอยู่ในหัวเทียนมาก เม่ือความร้อนเพิ่ม มากขนึ้ จนถงึ จดุ ๆ หนงึ่ จะมีโอกาสทจี่ ะเกดิ การชงิ จุดระเบดิ ก่อน เครือ่ งยนต์อาจไดร้ ับความเสยี หาย กรณีท่ีใช้หัวเทียนเย็นกับเคร่ืองยนต์ที่ท�ำงานไม่หนักนั้น เมื่อเกิดการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ หัวเทยี นเย็นจะมีความสามารถในการระบายความรอ้ นได้เร็ว อณุ หภูมิที่เกดิ ขน้ึ ตรงหัวเทยี นมีโอกาสทจ่ี ะ ต่�ำกว่าประสิทธิภาพที่ควรจะเป็น จึงอาจเกิดคราบสกปรกที่บริเวณหัวเทียน ซ่ึงเป็นสาเหตุให้กระแสไฟ วิ่งผ่านลำ� บาก เครอื่ งยนตอ์ าจว่งิ สะดุดได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรถยนต์ได้ค�ำนวณความสามารถของหัวเทียนที่ใช้กับเคร่ืองยนต์รุ่นต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยระบุไว้ที่คู่มือการใช้รถแต่ละรุ่น การเปลี่ยนหัวเทียนควรยึดถือตามคู่มือประจ�ำรถ เพราะจะเป็นหวั เทียนท่ีเหมาะสมสำ� หรับเคร่ืองยนต์รุ่นน้ันแลว้ การต้ังระยะห่างของเข้ียวหัวเทียนให้ค่าถูกต้อง ต้องใช้ฟิลเลอร์เกจแบบลวดกลม โดยท่ัวไป ค่ามาตรฐานจะอยรู่ ะหว่าง 0.6 ถึง 0.8 มม. (0.024 ถงึ 0.031 นิ้ว) สายหวั เทยี น (Ignition Wires) ดงั รปู ท่ี 9.7 เปน็ สายเคเบลิ ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับ แรงเคลื่อนไฟฟ้ามากกว่า 20,000 โวลต์ หน้าท่ีของสายหัวเทียนคือ เป็นสะพานไฟเพ่ือน�ำก�ำลังไฟฟ้า ขนาดใหญ่นี้ไปสู่หัวเทียนโดยไม่มีการรั่วไหลออก สายหัวเทียนต้องทนทานต่อความร้อนของเคร่ืองยนต์

งานเครื่องยนต์แก๊สโซลนี 203 ขณะทำ� งาน และทนตอ่ สภาวะการเปลยี่ นแปลงอากาศ ดงั นนั้ เพอ่ื ทจี่ ะรองรบั สภาวะการทำ� งานดงั กลา่ วได้ สายหวั เทยี นจงึ สรา้ งมาจากโลหะทคี่ อ่ นขา้ งหนาหมุ้ ดว้ ยฉนวนพเิ ศษ อยา่ งไรกด็ ี เมอ่ื ใชไ้ ปนาน ๆ ถา้ พบวา่ สายหัวเทียนเริ่มแข็งตัว แตกปริ ซึ่งส่งผลให้การน�ำพาก�ำลังไฟฟ้าได้ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้การจุดระเบิด เกิดการผดิ พลาดใหเ้ ปลี่ยนใหม่ รปู ที่ 9.7 สายหวั เทยี น ระบบจุดระเบิดอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ระบบจดุ ระเบิดอิเลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Ignition System) เป็นระบบที่พัฒนามาจากระบบ จุดระเบดิ ทางกล ทำ� ให้การสนั ดาปของเครอื่ งยนต์ดีข้นึ มลพิษลดลง ประหยดั กว่า และมีความน่าเช่อื ถือ มากกว่า ระบบน้ีก�ำเนิดประกายไฟเพ่ือจุดระเบิดได้แรงกว่า ดังน้ัน จึงสามารถจุดระเบิดอากาศผสม ในย่านอากาศบาง (Lean Fuel Mixture) ได้ ระบบจดุ ระเบดิ ทางกลตอ้ งมีการใชต้ วั ตา้ นทาน (Resistor) เพ่ือลดทอนแรงเคลื่อนไฟฟ้า (โวลต์) ของวงจรปฐมภูมิลงในการที่จะยืดอายุการใช้งานหน้าสัมผัสของ หน้าทองขาว แต่ในขณะที่วงจรปฐมภูมิของระบบจุดระเบิดด้วยไฟฟ้านั้นแบตเตอรี่ท�ำงานด้วยโวลต์เต็ม ซ่ึงช่วยให้เกดิ ประกายไฟท่แี รงกว่า ดงั น้นั จงึ สามารถเพม่ิ ระยะหา่ งของขัว้ หวั เทยี นใหม้ ากขึน้ ไดเ้ น่ืองจาก แรงเคล่ือนไฟฟ้ามีมากข้ึน ประกายไฟจึงสามารถกระโดดข้ามขั้วหัวเทียนได้ดีข้ึน ท�ำให้การสันดาป สะอาดข้ึน สมบรู ณ์ขน้ึ สง่ ผลให้อายุการใชง้ านของหัวเทียนยาวนานขึน้ โดยท่ัวไปคอยล์จดุ ระเบดิ จะตดิ ต้ังแยกออกจากชดุ จานจ่าย แต่มรี ะบบจดุ ระเบดิ ด้วยไฟฟา้ บาง แบบได้น�ำคอยล์จุดระเบิดใส่ไว้ท่ีฝาจานจ่ายรวมเป็นหน่วยเดียวกัน เรียกว่า คอยล์ใน (Internal Coil) แต่หลักการทำ� งานยงั คงเดมิ ระบบจุดระเบิดดว้ ยไฟฟ้าอาจจะดวู า่ เป็นระบบทมี่ ีการทำ� งานซับซอ้ น แต่ในความเปน็ จริงแลว้ การท�ำงานของระบบนี้แตกต่างจากระบบจุดระเบิดทางกลเพียงเล็กน้อย ระบบจุดระเบิดด้วยไฟฟ้า

204 บทที่ 9 ระบบไฟฟา้ จุดระเบดิ จะแบ่งเปน็ 2 วงจรเชน่ เดยี วกัน คอื วงจรปฐมภมู ิและวงจรทตุ ยิ ภูมิ โดยวงจรทตุ ยิ ภูมิจะเหมอื นกันกับ ระบบจดุ ระเบดิ ทางกลทกุ ประการ รวมถงึ ในสว่ นของวงจรปฐมภมู ติ ง้ั แตแ่ บตเตอรจี่ นไปถงึ คอยลจ์ ดุ ระเบดิ สง่ิ ทแ่ี ตกต่างของระบบท้งั สองจะอยทู่ ี่ชดุ จานจา่ ย ดงั รปู ที่ 9.8 ซึ่งจะแทนทลี่ ูกเบ้ยี วจานจา่ ยหน้า ทองขาว และคอนเดนเซอรด์ ว้ ยอารเ์ มเจอร์ (Armature) หรอื รีลักเตอร์ (Reluctor) โดยมที รานซิสเตอร์ และอุปกรณ์ก่ึงตัวน�ำอื่น ๆ ท�ำหน้าท่ีเสมือนสวิตช์อิเล็กทรอนิกส์ในการปิดเปิดวงจรปฐมภูมิของคอยล์ จุดระเบิด เรียกว่า หนว่ ยควบคมุ อเิ ล็กทรอนิกส์ (Electronic Control Module, ECM) รปู ท่ี 9.8 ระบบจดุ ระเบิดทางกลและไฟฟา้ พิจารณาการท�ำงานดังรูปท่ี 9.9 เมื่อหมุนสวิตช์จุดระเบิดให้เริ่มท�ำงาน กระแสไฟฟ้าจะไหล จากแบตเตอรี่เข้าไปยังวงจรปฐมภูมิของคอยล์จุดระเบิด โดยการตัดต่อการไหลของกระแสไฟฟ้าน้ี จะถูกควบคุมจากการหมุนของรีลักเตอร์ขณะท่ีผ่านคอยล์จับสัญญาณ (Pickup Coil) ในขณะท่ีเดือย ของรีลักเตอร์เข้าไปใกล้คอยล์จับสัญญาณ จะก�ำเนิดแรงเคล่ือนไฟฟ้าซึ่งจะส่งสัญญาณไปยังหน่วย ควบคุมอเิ ล็กทรอนกิ ส์ เพ่อื ตัดวงจรปฐมภูมทิ �ำใหเ้ กิดสนามแม่เหลก็ ข้ึน จากนั้นวงจรจงั หวะเวลาภายใน หนว่ ยควบคุมอิเล็กทรอนกิ ส์จะตอ่ วงจรอีกครั้ง สนามแมเ่ หล็กท่ีเกิดข้นึ ในวงจรปฐมภูมิจะถกู เหน่ียวน�ำไป ยังวงจรทุติยภูมิ และเปล่ียนเป็นกระแสไฟฟ้าแรงสูง จากนั้นข้ันตอนการท�ำงานก็จะเหมือนกับระบบ จุดระเบดิ ทางกลดงั ที่ไดก้ ลา่ วไปแลว้

งานเคร่ืองยนตแ์ กส๊ โซลนี 205 Spark Plug Distributor Ignition Electronic Cap Coil Control Module Ignition Rotor Switch Vacuum Magnetic Battery Advance Reluctor Pick - Up or Armature รูปท่ี 9.9 การทำ� งานของระบบจดุ ระเบิดดว้ ยไฟฟ้า ระบบจุดระเบดิ แบบไรจ้ านจา่ ย นวัตกรรมของระบบจุดระเบิดของรถยนต์ในปัจจุบัน ได้พัฒนาจากระบบจุดระเบิดทางกล มาเปน็ ระบบจุดระเบิดทีใ่ ชอ้ เิ ล็กทรอนิกส์ซึ่งไม่มีช้นิ สว่ นท่ีเคล่ือนไหว ระบบเหลา่ นี้ควบคุมการจุดระเบดิ ดว้ ยแผน่ คอมพวิ เตอร์ (On - Board Computer) แทนทจ่ี านจา่ ย เรยี กวา่ ระบบจดุ ระเบดิ แบบไรจ้ านจา่ ย ดงั รปู ที่ 9.10 ซงึ่ จะมกี ารใชค้ อยลจ์ ดุ ระเบดิ มากกวา่ 1 ตวั กบั หวั เทยี น 1 หรอื 2 หวั โดยทวั่ ไป เครอ่ื งยนต์ 6 สูบ จะมีคอยล์จุดระเบิด 3 ตัวติดตั้งเป็นชุดร่วมกัน น่ันคือ คอยล์ 1 ตัวจะจุดระเบิดหัวเทียน 2 หัว สายหวั เทยี นจะต่อตรงจากคอยลแ์ ต่ละตวั ไปยังหวั เทียนโดยเป็นอิสระตอ่ กนั คอยลจ์ ะจดุ ระเบดิ หัวเทียน ท้ัง 2 หัวในเวลาเดียวกัน หัวเทียนตัวที่ 1 จะถูกจุดในจังหวะอัด (Compression Stroke) ของลูกสูบ เกิดการสันดาปอากาศผสมเพ่ือผลิตก�ำลัง ในขณะที่หัวเทียนตัวท่ี 2 ถูกจุดในจังหวะคาย (Exhaust Stroke) เพ่ือใหค้ รบวงจรของการทำ� งานเท่านัน้ ไมไ่ ด้มผี ลใด ๆ ต่อการทำ� งาน Ignition Coils Module Engine Magnetic Control Trigerring Module Device รูปที่ 9.10 ระบบจุดระเบดิ แบบไรจ้ านจา่ ย

206 บทท่ี 9 ระบบไฟฟา้ จุดระเบิด ส่วนประกอบหลักของระบบจุดระเบดิ แบบไร้จานจา่ ย คือ หนว่ ยควบคุมเครื่องยนต์ (Engine Control Unit : E.C.U.) หนว่ ยควบคมุ การจุดระเบิด (Ignition Control Unit : I.C.U.) อุปกรณค์ วบคุม จงั หวะแมเ่ หลก็ (Magnetic Triggering Device) เชน่ เซนเซอรบ์ อกตำ� แหนง่ เพลาขอ้ เหวย่ี ง (Crankshaft Position Sensor) และเซนเซอรบ์ อกตำ� แหนง่ เพลาลกู เบยี้ ว (Camshaft Position Sensor หรอื Cylinder - Identification Sensor : C.I.D.) และชดุ คอยลจ์ ดุ ระเบดิ (Coil Packs) เซนเซอร์บอกต�ำแหน่งเพลาข้อเหว่ียง ดังรูป ที่ 9.11 จะส่งสัญญาณความเร็วของเพลาข้อเหวี่ยง และต�ำแหน่งของลูกสูบมายังหน่วยควบคุมการจุด ระเบดิ ซึ่งจะบอกใหท้ ราบวา่ ขณะนีล้ ูกสูบเคล่ือนทขี่ ้นึ มาใกล้ต�ำแหนง่ ศูนย์ตายบนในจังหวะอดั ตวั แลว้ หน่วย ควบคุมการจุดระเบิดจะสั่งให้คอยล์จุดระเบิดหัวเทียน ทันที รปู ที่ 9.11 เซนเซอร์บอกต�ำแหน่งเพลาขอ้ เหวย่ี ง รูปท่ี 9.12 จานจงั หวะของเพลาข้อเหวยี่ ง โดยทัว่ ไป เซนเซอรต์ รวจจับสัญญาณจะอยู่ในลกั ษณะเป็นจาน เรียกว่า จานจังหวะ (Timing Disc) ดงั รปู ที่ 9.12 ซ่ึงจะหมนุ ไปพรอ้ ม ๆ กับเพลาข้อเหวยี่ ง เมือ่ ฟัน (Tooth) ของจานหมนุ มาตรงกับ ตัวเซนเซอร์ จะท�ำให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเต้นเป็นจังหวะซึ่งเป็นสัญญาณให้หน่วยควบคุมการจุดระเบิด ทราบถงึ ต�ำแหน่งและความเรว็ ของเพลาขอ้ เหวี่ยง

งานเครอ่ื งยนต์แก๊สโซลนี 207 เซนเซอรบ์ อกตำ� แหนง่ เพลาลกู เบยี้ ว จะทำ� ใหเ้ กดิ แรงเคลอ่ื นไฟฟา้ เตน้ เปน็ จงั หวะ ซงึ่ เปน็ สญั ญาณ ให้หนว่ ยควบคุมการจดุ ระเบดิ ทราบถงึ ตำ� แหน่งของลกู สบู ลูกที่ 1 ซงึ่ หน่วยควบคุมการจดุ ระเบิดจะบนั ทกึ เอาไว้วา่ ณ ตำ� แหน่งน้ันเป็นตำ� แหน่งจดุ ระเบดิ ของวฏั จักร ซง่ึ จะจุดระเบดิ ทกุ ๆ การหมนุ 2 รอบของ เพลาลกู เบย้ี ว ล�ำดับการจุดระเบิด สายหัวเทียนจะตอ่ จากฝาจานจ่ายไปยังหัวเทียนอย่างจำ� เพาะเจาะจงในแต่ละหัว เพ่อื ใหก้ ารจดุ ระเบดิ ของแตล่ ะหัวเทียนเป็นไปตามลำ� ดบั ก่อนหลัง ซึง่ เรยี กว่า ล�ำดบั การจุดระเบดิ (Firing Order) หัว เทียนแต่ละหวั น้นั จะจุดระเบดิ ในจังหวะอดั ของลูกสูบในชว่ งเวลาที่ต่างกัน ดงั นน้ั การจัดลำ� ดบั กอ่ นหลัง ในการจดุ ระเบิดใหแ้ มน่ ยำ� จึงมีความส�ำคัญยิ่ง ตวั อยา่ งเช่น เครือ่ งยนต์ 8 สบู วี จะมลี ำ� ดับการจุดระเบิดเป็น 1, 8, 4, 3, 6, 5, 7 และ 2 ซ่งึ กระบอก สูบจะถูกก�ำหนดหมายเลขจากด้านหน้าไปด้านหลังของเคร่ืองยนต์ โดยกระบอกสูบที่ 1 จะอยู่ทาง ดา้ นหนา้ ซ้ายของเครอ่ื งยนต์ ดงั น้ัน กระบอกสบู ทางฝงั่ ซา้ ยของเครอื่ งยนต์จงึ มีหมายเลข 1, 3, 5 และ 7 ตามล�ำดับ ขณะทที่ างฝง่ั ขวาของเครื่องยนต์มหี มายเลข 2, 4, 6 และ 8 เช่นกนั ดงั รูปท่ี 9.13อย่างไรกต็ าม ข้อก�ำหนดดังกล่าวไม่ใช่เป็นหลักตายตัว เครื่องยนต์บางชนิดอาจจะมีการก�ำหนดหมายเลขกระบอกสูบ ที่แตกตา่ งกันออกไป ใหศ้ กึ ษาคู่มือประจ�ำรถในกรณีท่ีตอ้ งการการซ่อมบำ� รุง รปู ที่ 9.13 หมายเลขประจำ� กระบอกสูบและลำ� ดบั การจดุ ระเบดิ ของเครื่องยนต์ 8 สบู วี

208 บทท่ี 9 ระบบไฟฟา้ จุดระเบดิ แบบทดสอบและกจิ กรรมการฝกึ ทกั ษะ บทท่ี 9 ระบบไฟฟ้าจดุ ระเบิด ตอนท่ี 1 อธิบาย (หมายถึง การให้รายละเอียดเพ่ิมเติม ขยายความ ถ้ามีตัวอย่างให้ยกตัวอย่าง ประกอบ) ตอบแบบสนั้ 1. สรุปหน้าทีข่ องระบบไฟฟา้ จดุ ระเบดิ 2. อธิบายพื้นฐานการทำ� งานของระบบไฟฟ้าจดุ ระเบดิ เบือ้ งต้น 3. ปัจจบุ ันระบบจดุ ระเบดิ มี 3 ระบบ ไดแ้ ก่อะไรบ้าง 4. คอยล์จดุ ระเบิดเป็นอุปกรณ์ทที่ ำ� หน้าทอี่ ะไร 5. จานจ่ายเปน็ อปุ กรณท์ ีท่ ำ� หน้าท่ีอะไร 6. ชุดหนา้ ทองขาวท�ำหนา้ ท่อี ะไร 7. มุมดแวล (Dwell Angle) คืออะไร 8. คอนเดนเซอรท์ �ำหนา้ ที่อะไร 9. หัวนกกระจอกทำ� หนา้ ท่ีอะไร 10. ชดุ กลไกจดุ ระเบิดลว่ งหน้าแบบสุญญากาศมีหลกั การทำ� งานอยา่ งไร 11. หวั เทียนทำ� หนา้ ทีอ่ ะไร 12. การเลอื กใชห้ วั เทยี นท่ถี ูกต้องกบั สภาพการใชง้ านพิจารณาจากอะไร 13. อธบิ ายระบบจดุ ระเบดิ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ 14. อธิบายระบบจดุ ระเบิดแบบไรจ้ านจา่ ย 15. ยกตัวอยา่ งลำ� ดับการจดุ ระเบดิ ตอนท่ี 2 อธบิ ายค�ำศัพท์ (หมายถึง แปลคำ� ศัพท์ ใหร้ ายละเอยี ดเพม่ิ เติม ขยายความ ถา้ มีตัวอย่าง ให้ยกตัวอย่างประกอบ) ตอบแบบสั้น 1. Spark Plug Gap 2. Mechanical Ignition System 3. Ignition Coil 4. Distributor 5. Breaker Point 6. Dwell Angle

งานเคร่ืองยนต์แกส๊ โซลนี 209 7. Condenser 8. Rotor 9. Vacuum Advance Unit 10. Spark Plug 11. Ignition Electricity System 12. Distributor less Ignition System 13. Armature 14. Firing Order 15. Timing Disc ตอนท่ี 3 จงเลือกค�ำตอบขอ้ ที่ถกู ทส่ี ุด 1. ระบบจุดระเบดิ ทำ� หนา้ ทห่ี ลายประการยกเวน้ ข้อใด ก. ควบคุมความดันในจังหวะอัดตัวของลูกสูบ ข. สรา้ งประกายไฟให้กระโดดขา้ มขั้วหวั เทียน ค. จดุ ระเบิดอากาศผสม ง. จา่ ยประกายไฟให้ถูกจงั หวะเวลา 2. ในระบบจดุ ระเบิดทางกลวงจรปฐมภมู ปิ ดิ เปิดไดด้ ว้ ยสงิ่ ใด ก. โซลินอยด์ ข. หน้าทองขาว ค. สวติ ช์กล ง. สวิตชอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ 3. ในระบบจุดระเบดิ ไฟฟ้าวงจรปฐมภูมปิ ดิ เปิดไดด้ ว้ ยสงิ่ ใด ก. โซลินอยด์ ข. หน้าทองขาว ค. สวติ ชก์ ล ค. สวิตช์อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 4. รีลกั เตอร์หมุนเพื่ออะไร ก. เคลอ่ื นย้ายสนามแม่เหล็กไปยงั คอยลจ์ บั สัญญาณ ข. เชือ่ มต่อหนา้ สมั ผสั ในจานจา่ ย ค. ควบคมุ แรงเคลอื่ นไฟฟา้ ในวงจรทตุ ิยภมู ิ ง. ก�ำหนดชว่ งเวลาในการจดุ ระเบิดลว่ งหน้า 5. ระบบจุดระเบิดระบบแรกทีน่ �ำมาใช้คือระบบใด ก. ระบบจุดระเบิดทางกล ข. ระบบจดุ ระเบดิ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ค. ระบบจุดระเบิดไรต้ ัวจา่ ยไฟ ง. ระบบจดุ ระเบดิ ดว้ ยไฟฟ้า

210 บทที่ 9 ระบบไฟฟา้ จุดระเบิด ตอนที่ 4 กิจกรรมการฝกึ ทกั ษะ (ใหค้ วามส�ำคญั การท�ำงานเป็นทมี งาน) 1. แบง่ กลุม่ เพอ่ื นสนิท 4 กลมุ่ จ�ำนวนเท่า ๆ กนั เลอื กหัวหน้าระบบไฟฟา้ จดุ ระเบดิ ระดับ 6 ประชมุ คณะท�ำงาน แบง่ หน้าที่และความรบั ผดิ ชอบ จบั ฉลากเลือกกจิ กรรมต่อไปนี้ จดั เตรียมส่ือ อปุ กรณ์ ตัวอย่าง ท่ีช่วยสนับสนนุ การนำ� เสนอใหเ้ กิดความชัดเจนและครบสาระการเรยี นรู้ บรหิ ารเวลากลมุ่ ละ 15 นาที นำ� เสนอด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ / แผน่ ใส 1. จัดบอรด์ เชงิ ปฏบิ ตั ิการ “ระบบไฟฟา้ จุดระเบิด” 2. สนทนาเชงิ ปฏิบัตกิ าร “พน้ื ฐานการทำ� งานของระบบไฟฟา้ จดุ ระเบดิ เบ้ืองต้น” 3. อภิปราย (Discuss) “ลำ� ดบั การจุดระเบดิ เปน็ สง่ิ จ�ำเป็น หรือ ไม่จ�ำเปน็ ” 4. แตล่ ะกล่มุ งานปฏิบัติตามใบงานที่ 10 “เรือ่ งการถอดใส่หัวเทียนและการตรวจสอบ”

งานเครอ่ื งยนต์แกส๊ โซลนี 211 9.1ใบงานที่ เร่ือง การถอดใสห่ ัวเทยี นและการตรวจสอบ จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เพอ่ื ให้นักศึกษาสามารถถอดและใสห่ ัวเทียน พรอ้ มทง้ั ตรวจสภาพเบือ้ งตน้ ความรู้เบ้ืองตน้ การเปลีย่ นหัวเทียนเปน็ งานบำ� รุงรักษาเคร่อื งยนตส์ ว่ นหน่ึง ช่วงเวลาในการเปลีย่ นหัวเทียนข้ึน อยู่กบั ปัจจัยหลายอยา่ ง อยา่ งไรก็ดี ชว่ งเวลาทแ่ี นะน�ำใหเ้ ปลีย่ นหัวเทียนคือ ตัง้ แต่ 32,000 ถงึ 160,000 กิโลเมตร ในบางครั้งการถอดหัวเทียนออกมาเพื่อตรวจสภาพการใช้งานเป็นส่ิงที่ควรกระท�ำ บางคร้ัง หัวเทียนเสื่อมสภาพก่อนก�ำหนดจะช้ีให้เห็นถึงความผิดปกติของเครื่องยนต์ได้ การตรวจสภาพของ หัวเทียนอาจจะทำ� ไดโ้ ดยการสังเกตด้วยตา การวัดระยะห่างระหว่างเขี้ยว หรอื ลักษณะการกระโดดของ ประกายไฟได้ เครื่องมือและอุปกรณ์ 1. ประแจบลอ็ กและบลอ็ กยาวส�ำหรบั ถอดหวั เทียน 2. ฟลี เลอรเ์ กจ 3. ประแจแรงบิด ข้ันตอนการปฏบิ ตั งิ าน 1. หลังจากเปิดฝากระโปรงรถ ให้ถอดสาย หัวเทียนโดยจับท่เี บ้าของมันแลว้ คอ่ ย ๆ หมนุ บิดออก อยา่ ดึงที่ตัวสาย เพื่อประหยัดเวลาและป้องกันการใส่กลับ สลับท่ี ควรท�ำเคร่อื งหมายไว้ทส่ี ายหวั เทยี นดว้ ยว่าถอดมา จากต�ำแหนง่ ใด

212 ใบงานท่ี 9.1 การถอดใสห่ ัวเทียนและการตรวจสอบ 2. ใช้ประแจบล็อกร่วมกับบล็อกถอดหวั เทยี น (บลอ็ กยาว) คลายเกลยี วหวั เทยี นออกประมาณ 2 รอบ 3. หลงั จากหวั เทียนหลวมออกจากเบ้า ใหใ้ ช้ปม๊ั ลมเป่าสิ่งสกปรกรอบ ๆ เบ้าออก 4. ถอดหัวเทียนออกเพือ่ ตรวจสอบ 5. สังเกตสภาพของหัวเทียน มีคราบเขม่าหนาหรือไม่ ความสึกของข้ัวหัวเทียน หัวเทียนท่ี สภาพดจี ะมีสแี ทนออ่ น สภาพดี เสอื่ มสภาพ 6. ตรวจสอบระยะห่างระหว่างเข้ยี วกับข้ัวหัวเทยี นโดยใช้ฟีลเลอร์เกจ ระยะตรวจสอบไดจ้ าก คู่มือประจ�ำรถ โดยท่วั ไประยะดังกลา่ วไมค่ วรเกิน 0.001 นว้ิ สำ� หรบั ระยะวิง่ 16,000 กโิ ลเมตร ถ้าห่าง เกินไปควรเปลยี่ นใหม่ หัวเทียนท่ีสกปรกหรือเสื่อมสภาพอาจจะท�ำงานได้เมื่อเครื่องยนต์เดินตัวเปล่าหรือวิ่งด้วย ความเร็วตำ�่ แต่จะไม่ท�ำงานเมอ่ื มีน้ำ� หนกั บรรทุกท่ีรถมากหรอื วงิ่ ด้วยความเรว็ สงู 7. ถา้ ตรวจสอบแล้วพบวา่ หัวเทยี นยังอยูใ่ นสภาพใชง้ านได้ ใหเ้ ช็ดทำ� ความสะอาด ปรบั ระยะ ห่างระหวา่ งขั้วและเขยี้ วหัวเทียนด้วยการเคาะเบา ๆ 8. ประกอบกลับเขา้ ไปทเ่ี ครื่องยนต์ ใชป้ ระแจแรงบิดขันด้วยแรงบดิ ที่ถกู ต้อง คำ� ถามท้ายการปฏิบัติงาน 1. อธิบายข้ันตอนการถอดหวั เทยี นและตรวจสอบ …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………

งานเครอ่ื งยนตแ์ ก๊สโซลีน 213 2. ช่างเคร่อื งคนนี้กำ� ลังท�ำอะไร ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………….......................... สรุปผลและวจิ ารณ์การปฏิบัติ …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… ความเหน็ ของครผู สู้ อน …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………… ครูผู้สอน ……..…………………………………………… ผคู้ วบคมุ การฝึก ……..…………………………………………… วันที่ / เดอื น / พ.ศ.

10 การตรวจสอบชิ้นสว่ นต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม (Behavioral Objectives) หลงั จากศกึ ษาจบบทเรียนนแี้ ล้ว นกั ศึกษาจะมคี วามสามารถดังนี้ 1. ตรวจสอบระบบกำ� ลงั อดั ได้ 2. ปฏิบัตกิ ารตรวจสอบระบบระบายความร้อนได้ 3. บอกวธิ ีการดูแลรักษาสว่ นประกอบเครือ่ งยนต์ของระบบระบายความรอ้ นได้ 4. ตรวจสอบจุดระเบดิ ได้ 5. ปฏิบัติการตรวจสอบระบบติดเคร่อื งยนตไ์ ด้

10 การตรวจสอบชิ้นสว่ นตา่ ง ๆ ของเครื่องยนต์ การตรวจสอบระบบกำ�ลังอัด 1. การตรวจสอบระยะเวลาการเปิด - ปิดลิ้น ดงั รปู ที่ 10.1 1.1 ใช้ประแจหมุนเพลาข้อเหวยี่ งสองรอบให้สูบที่ 1 อย่ใู นตำ� แหน่งศนู ยต์ ายบนจงั หวะอัดสุด 1.2 ตรวจเครื่องหมายท่ีพูลเลย์กับเฟืองของเพลาข้อเหวี่ยงและเพลาลูกเบี้ยวจะมีเครื่องหมาย ตรงกนั 1.3 ทำ� เคร่ืองหมายที่สายพานกบั พูลเลย์ รสู ลกั เกลียว เพลาข้อเหวย่ี งและเพลาลกู เบีย้ ว 12 นาฬกิ า (กง่ึ กลาง) ไทมิ่ง มารค์ บนฝาล้ิน มาร์คสีเขยี ว ไทมิง่ ดอท แนวก่ึงกลาง BOLT HOLE ด้านไอเสีย ดา้ นไอดี รูปที่ 10.1 การตรวจสอบการเปดิ -ปดิ ลิ้น

216 บทท่ี 10 การตรวจสอบชน้ิ ส่วนตา่ ง ๆ ของเครอื่ งยนต์ 2. การตรวจวัดระยะรนุ ของเพลาลูกเบีย้ ว (Thrust Clearance) ดังรปู ท่ี 10.2 ขยับไปมาหน้าหลงั รูปท่ี 10.2 การตรวจวดั ระยะรุนของเพลาลูกเบย้ี ว กอ่ นถอดเพลาลกู เบย้ี ว ควรทำ� การตรวจสอบระยะรนุ ของเพลาลกู เบย้ี วเพอ่ื พจิ ารณาความเสยี หาย ดงั นี้ 2.1 ใช้ไดอัลเกจวัดระยะรนุ ทีเ่ พลาลกู เบ้ียวและใช้ไขควงดันเพลาลูกเบยี้ วไปมาหนา้ หลัง ระยะรนุ ของเพลาลกู เบี้ยวไอดี 0.030-0.085 มม. (0.0012-0.0033 น้วิ ) ระยะรุนของเพลาลกู เบย้ี วไอเสยี 0.35-0.090 มม. (0.0014-0.0035 นว้ิ ) คา่ ระยะรนุ สูงสดุ 0.12 มม. (0.0047 นวิ้ ) 2.2 ถ้าค่าระยะรุนเกินกว่าค่าสูงสุด ให้เปล่ียนเพลาลูกเบ้ียวใหม่ ถ้าจ�ำเป็นให้เปลี่ยนฝาแบริ่ง และฝาสบู ดว้ ย 3. การตรวจสอบระยะแบ็กแลชของเฟอื งเพลาลูกเบ้ียว แบ็กแลช (Backlash) คือ ระยะห่างระหว่างฟันของเฟืองขับและเฟืองตาม ซึ่งมีผลต่อการ ท�ำงานของเฟอื ง เช่น หากระยะห่างของเฟืองมากเกินไปก็อาจทำ� ให้เกดิ การกระแทกทร่ี ุนแรง หรอื หากชิด เกินไปก็จะท�ำให้เฟืองเกิดความร้อนและอาจไหม้ได้ การตรวจหาระยะแบ็กแลชของเฟืองเพลาลูกเบี้ยว ดงั รปู ท่ี 10.3 รูปท่ี 10.3 การตรวจสอบระยะแบ็กแลชของเฟืองเพลาลกู เบยี้ ว

งานเครอ่ื งยนตแ์ ก๊สโซลนี 217 3.1 ใชไ้ ดอัลเกจวัดค่าระยะแบ็กแลช คา่ ระยะแบก็ แลช ไม่ควรเกนิ 0.020-0.200 มม. (0.0008-0.0079 นวิ้ ) ค่าแบกแลชสูงสดุ 0.300 มม. (0.0118 น้วิ ) 3.2 ถา้ คา่ แบ็กแลชเกินกวา่ ค่าสูงสดุ ให้เปลย่ี นเพลาลูกเบยี้ วใหม่ 4. การตรวจสอบระยะรนั เอา้ ทข์ องเพลาลูกเบย้ี ว รันเอ้าท์ (Runout) ของเพลา คือ การหนีศูนย์ของเพลา หรือเพลาแกว่ง ซ่ึงจะท�ำให้เกิดการ สั่นสะเทอื นและปญั หาอน่ื ตามมา ตรวจสอบ (รปู ท่ี 10.4) ดงั น้ี รูปท่ี 10.4 การตรวจสอบระยะรันเอา้ ท์ของเพลาลกู เบย้ี ว 4.1 ใช้ไดอัลเกจแตะท่ีผิวบนสดุ ของเพลาแล้วหมุน แลว้ วดั ระยะหนีศนู ย์ จำ� เป็นตอ้ งมี V-Block 2 ตวั วางบนโต๊ะระดบั และขยบั เพลาไปเรือ่ ย ๆ อา่ นค่าความตา่ งจากไดอลั เกจแลว้ หาร 2 คา่ รนั เอาต์สูงสุด 0.060 มม. (0.0024 นวิ้ ) 4.2 ถา้ คา่ รันเอา้ เกินกวา่ คา่ สงู สดุ ใหเ้ ปลี่ยนเพลาลกู เบ้ยี วใหม่ 5. การตรวจสอบความสงู ของลกู เบี้ยว ความสงู ของลกู เบย้ี ว (Lobe Height) สามารถวดั ได้ ดงั น้ี รปู ท่ี 10.5 การตรวจสอบความสูงของลูกเบ้ยี ว

218 บทที่ 10 การตรวจสอบชน้ิ สว่ นตา่ ง ๆ ของเครอ่ื งยนต์ 5.1 ใช้ไมโครมิเตอรว์ ัดครอ่ มลกู เบ้ียว ดงั รูปท่ี 10.5 ค่ามาตรฐานของลูกเบีย้ วไอดี 45.31-45.41 มม. (1.7839-1.7878 น้ิว) คา่ มาตรฐานของลูกเบีย้ วไอเสยี 45.06-45.16 มม. (1.7740-1.7779 น้ิว) 5.2 ถ้าความสูงของลูกเบ้ียวตา่ กวำ�่ ค่าต�ำ่ สุด ให้เปลย่ี นเพลาลกู เบยี้ วใหม่ 6. การตรวจวดั ระยะกนั รนุ ของก้านสบู 6.1 ใช้ไดอัลเกจวดั ระยะกนั รนุ เม่ือขยบั กา้ นสบู เคล่อื นไปมา 6.2 คา่ ระยะกันรนุ 0.15-0.25 มม. (0.0059-0.0098 น้วิ ) 7. การตรวจวัดระยะกนั รุนของเพลาขอ้ เหวย่ี ง 7.1 ใชไ้ ดอัลเกจวัดระยะกนั รุน (Endplay) ทเี่ พลาขอ้ เหวยี่ ง และใช้ไขควงดนั ใหเ้ พลาข้อเหว่ยี ง เลอื่ นไปมาข้างหน้าและขา้ งหลงั ดังรปู 10.6 7.2 ค่าระยะกนั รุน 0.085 มม. (0.0020 นว้ิ ) รปู ที่ 10.6 การตรวจวดั ระยะกนั รุนของเพลาขอ้ เหว่ียง 8. การตรวจสอบความโกง่ ของฝาสูบและเสื้อสบู วดั ความโก่งโดยใช้ไม้บรรทัดเหล็ก (บรรทดั ขอบตรง) ร่วมกับฟิลเลอรเ์ กจ ดงั รปู 10.7 การใชบ้ รรทดั ตรงร่วมกบั ฟลี เลอรเ์ กจ แนวในการวัดความโก่ง รปู ที่ 10.7 การตรวจสอบความโก่งของฝาสูบและเสื้อสบู

งานเคร่ืองยนตแ์ ก๊สโซลนี 219 8.1 ผิวหน้าฝาสบู ทีส่ มั ผสั กับเส้ือสบู และดา้ นท่อรว่ ม คา่ ความโก่งสูงสดุ 0.085 มม. (0.0020 นวิ้ ) 8.2 วัดความโกง่ ผิวส่วนบนเสอ้ื สบู ค่าความโกง่ ไม่ควรเกิน 0.05 มม. (0.0020 น้ิว) 9. การตรวจสอบความโกง่ ของทอ่ ร่วมไอดแี ละไอเสีย วัดความโก่งผิวหน้าสัมผัสด้านติดต้ังท่อร่วมไอดีและไอเสีย วัดโดยวิธีเดียวกันกับการวัดฝาสูบ และเสอื้ สูบ คา่ ความโก่งท่อรว่ มไอดี 0.2 มม. (0.008 นว้ิ ) ค่าความโกง่ ท่อรว่ มไอเสีย 0.3 มม. (0.011 นวิ้ ) 10. ตรวจสอบก้านลิ้นและปลอกลิน้ รปู ที่ 10.8 ตรวจสอบก้านล้ินและปลอกล้นิ ใช้ไมโครมิเตอร์วัดความโตของก้านลิ้นและใช้คาลิเปอร์หรือบอร์เกจวัดความโตด้านในของ ปลอกน�ำลน้ิ ดงั รูปที่ 10.8 คา่ ระยะชอ่ งว่างนำ�้ มันหล่อลื่นไอดี 0.08 มม. (0.0031 นว้ิ ) คา่ ระยะชอ่ งว่างน�้ำมนั หลอ่ ล่นื ไอเสีย 0.10 มม. (0.0039 นวิ้ ) 11. การตรวจวัดลกู สบู 11.1 วัดความโตของเส้นผ่าศูนย์กลาง โดยวัดให้ห่างจากกระโปรงลูกสูบ (ตรงข้ามสลัก ลกู สูบ) 11.2 ใช้ฟลิ เลอ่ ร์เกจวัดระยะห่างระหว่างแหวนลูกสูบตวั ใหมก่ บั รอ่ งแหวนลูกสูบ ตัวที่ 1 0.04-0.08 มม. (0.0016-0.0031 น้ิว) ตวั ท่ี 2 0.03-0.07 มม. (0.0012-0.0028 นิว้

220 บทที่ 10 การตรวจสอบชนิ้ สว่ นตา่ ง ๆ ของเครอ่ื งยนต์ 11.3 การตรวจวดั ระยะห่างปากแหวนลกู สูบ - ใส่แหวนลูกสูบท่ีจะวัดลงในกระบอกสูบ ใช้ลูกสูบดันให้แหวนลูกสูบเล่ือนลงไปใน กระบอกสูบประมาณ 87 มม. (3.4 น้วิ ) จากผวิ หน้าเสื้อสบู - ใชฟ้ ิลเลอ่ ร์เกจวดั ระยะหา่ งของปากแหวนลูกสูบแตล่ ะตวั แหวนตวั ท่ี 1 ประมาณ 0.25-0.35 มม. (0.0098-0.0138 นิว้ ) แหวนตวั ท่ี 2 ประมาณ 0.15-0.30 มม. (0.0059-0.0118 น้ิว) แหวนกวาดน�ำ้ มัน ประมาณ 0.10-0.60 มม. (0.0039-0.0236 นิ้ว) 12. การตรวจวดั ความคดงอของเพลาขอ้ เหวย่ี ง ดังรูป 10.9 วางเพลาข้อเหว่ียงลงบนวี-บล็อก และใช้ไดอัลเกจวัดความคดงอที่จุดก่ึงกลาง และหมนุ เพลาไปรอบ ๆ ค่าท่อี ่านไดจ้ ากเขม็ วดั จะไดไ้ มเ่ กนิ 0.6 มม. (0.0024 นิว้ ) รองรับดว้ ยแทน่ หมุนหรอื วี-บล๊อค รปู ท่ี 10.9 การตรวจวดั ความคดงอของเพลาขอ้ เหวยี่ ง 13. การตรวจวัดช่องวา่ งนำ้� มันของแบริง่ ก้านสบู - ตอกเครื่องหมายของกา้ นสูบแตล่ ะกา้ นใหต้ รงกันระหว่างประกบั ก้านสูบ เพ่ือประกอบกลับ ได้ถกู ต้อง - คลายแปน้ เกลียวประกบั กา้ นสูบออก - ใช้คอ้ นพลาสตกิ เคาะทส่ี ลกั เกลยี วและยกประกับก้านสบู ออก - ใช้พลาสตกิ เกจวางบนประกับก้านสูบ ดังรูป 10.10 - ประกอบประกับก้านสูบเข้ากับก้านสูบโดยให้เครื่องหมายตรงกัน ขันแป้นเกลียวสลับกัน ด้วยแรงขวดขันประมาณ 36 ฟุต-ปอนด์ - ถอดฝาประกบั ก้านสูบและใช้แถบวัดพลาสติกเกจตรงจดุ ท่ีมีความกว้างมากท่สี ดุ ระยะช่องว่างนำ้� มัน 0.020-0.051 มม. (0.0008-0.0002 นิว้ )

งานเครื่องยนต์แกส๊ โซลนี 221 พลาสตกิ เกจ ประกับก้านสูบ รปู ท่ี 10.10 วางพลาสตกิ เกจบนประกบั ก้านสูบ 14. การตรวจวัดระยะช่องว่างน�้ำมนั ของเพลาข้อเหวยี่ ง - คลายแปน้ เกลยี วประกับแบร่ิงเพลาข้อเหว่ียงออกโดยให้คลายแป้นเกลยี วสลบั กนั - ใชส้ ลกั เกลยี วของประกบั เพลาขอ้ เหวย่ี งทถ่ี อดออกมาแลว้ ใสเ่ ขา้ ไปในประกบั เพลาขอ้ เหวย่ี ง แล้วโยกไปมา ถอดประกับเพลาข้อเหวีย่ งออก - วางพลาสติกเกจลงในแนวขวางของขอ้ เมนหลกั ของเพลาขอ้ เหวย่ี ง ดังรปู 10.11 - ประกอบแบริ่งประกับข้อเมนหลักของเพลาข้อเหวี่ยงและกวดขันแป้นเกลียวด้วยแรงขัน ประมาณ 44 ฟุต-ปอนด์ - คลายแปน้ เกลยี วออกและถอดประกบั ขอ้ เมนหลกั ของเพลาขอ้ เหวยี่ งออกใชแ้ ถบวดั พลาสตกิ เกจส่วนท่ีกวา้ งทส่ี ุด ระยะห่าง 0.015-0.033 มม. (0.0006-0.0013 นวิ้ ) รูปท่ี 10.11 วางพลาสติกเกจลงในแนวขวางของขอ้ เมนหลกั ของเพลาขอ้ เหวยี่ ง

222 บทท่ี 10 การตรวจสอบชน้ิ สว่ นต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ การตรวจสอบระบบระบายความรอ้ น เครื่องยนต์ใช้พลังงานความร้อนในการขับเคล่ือน โดยเครื่องยนต์จะต้องสะสมความร้อนเอาไว้ ในตัวเองระดับหน่ึง แต่อุณหภูมิของเคร่ืองยนต์ในแต่ละส่วนและในแต่ละเวลาไม่เท่ากัน ดังน้ัน จ�ำเป็น ต้องมีระบบระบายความรอ้ น เพ่อื ควบคมุ อุณหภมู กิ ารทำ� งานของเคร่ืองยนต์ให้คงท่ี กรณที ่ีอณุ หภูมิของ เครื่องยนตไ์ มค่ งที่น้นั จะส่งผลเสียกับเครอื่ งยนต์ไมน่ ้อย เชน่ ถ้าอณุ หภมู ิของเครื่องยนตส์ ูงมาก ๆ จะ ท�ำให้ไอดีที่จะเข้ากระบอกสูบน้ันขยายตัวเร็วเกินไป จะท�ำให้เกิดการน็อกได้ง่าย(นอกจากปัญหาเรื่องนี้ แล้ว มนั ยงั สง่ ผลถึงเรื่องของอายกุ ารใชง้ านของชน้ิ ส่วนอื่น ๆ ด้วย ทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยาง พลาสตกิ นำ้� มนั เครอ่ื ง รวมถึงชนิ้ ส่วนอ่ืน ๆ ทอ่ี ยู่รอบ ๆ จะมอี ายกุ ารใชง้ านสัน้ ลง) ในท�ำนองตรงข้าม ถา้ เคร่อื งยนต์ มอี ณุ หภูมติ �่ำมาก ๆ จะท�ำให้การแตกตวั ของไอดีทำ� ไดย้ าก ไอดจี ะกล่ันตวั แล้วเกาะตามผนังกระบอกสบู ท�ำให้ฟิล์มของน�้ำมันหล่อลื่นท่ีเคลือบผิวกระบอกสูบถูกชะล้างออกไป ท�ำให้เกิดการสึกหรอมากขึ้น เพราะไม่มีฟิล์มของน้�ำมันเคร่ืองคอยป้องกัน นอกจากน้ัน การแตกตัวที่ยากของไอดีท�ำให้การเผาไหม้ ไมส่ มบูรณ์ ท�ำให้หวั เทยี นบอดง่าย การแก้ไขปญั หาท้ังสองอย่างน้ีคือ การรกั ษาอุณหภูมิการทำ� งานของ เครือ่ งยนต์ ให้คงท่ี ระหว่าง 85-90 องศาเซลเซยี ส เพอ่ื ใหเ้ คร่ืองยนต์ท�ำงานได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ด้วย การใชป้ ระโยชนจ์ าก “ระบบระบายความรอ้ น” ซงึ่ สามารถแบ่งหน้าทไ่ี ด้ 2 ประการด้วยกนั คอื 1) รักษา อุณหภมู กิ ารท�ำงานของเคร่อื งยนตใ์ ห้คงท่ี และ 2) ระบายความร้อนสว่ นเกนิ ออกไป ระบบระบายความร้อน แบง่ ได้เปน็ 2 ประเภทหลักคอื 1) ระบบระบายความร้อนดว้ ยอากาศ และ 2) ระบบระบายความรอ้ นด้วยของเหลว ระบบระบายความรอ้ นดว้ ยอากาศ นน้ั ปจั จบุ นั มรี ถเพยี งไมก่ ร่ี นุ่ ทย่ี งั คงใชอ้ ยู่ เชน่ Porsche หรอื Volkswagen ข้อดีของระบบระบายความร้อนประเภทน้ีก็คือ สามารถออกแบบให้เคร่ืองยนต์มีขนาด กะทดั รดั และดแู ลรักษางา่ ย แถมมีต้นทนุ ท่ตี ำ่� เพราะการออกแบบครีบระบายความร้อนรอบ ๆ กระบอก สูบท�ำได้ง่ายกว่าการท�ำท่อทางเดินน้�ำในเสื้อสูบ การควบคุมอุณหภูมินั้น จะมีพัดลมระบายความร้อน เป็นตัวน�ำอากาศเยน็ จากภายนอกเขา้ มาระบายความรอ้ นของเครือ่ งยนต์ มโี ครงพัดลมและท่อทางคอย น�ำอากาศเข้ามา จะมลี ิ้นควบคุมปรมิ าณลมคอยเปิดให้ลมเขา้ มากนอ้ ยตามอุณหภมู ขิ องเคร่อื งยนต์ โดย ใช้เทอร์โมสตรัทเป็นตัวควบคุมอีกทีหน่ึง แต่ข้อเสียคือการควบคุมอุณหภูมิในเมืองร้อนท�ำได้ค่อนข้าง ลำ� บาก หลาย ๆ ครงั้ จงึ มกี ารตดิ ตง้ั ระบบระบายความรอ้ นน้ำ� มนั เคร่ืองหรือออยล์คลู เลอร์ (Oil Cooler) ช่วยระบายความร้อนของเครอ่ื งยนตไ์ ปกบั น้ำ� มนั เครื่องด้วย

งานเคร่อื งยนตแ์ ก๊สโซลีน 223 ท่อยางตวั บน ปั๊มน�้ำ หม้อน้ำ� วาล์วน้ำ� ฝาปิดหมอ้ น�ำ้ ถงั พกั น้ำ� อากาศไหล ทอ่ ยางตัวลา่ ง พดั ลมระบายความร้อน รปู ท่ี 10.12 ระบบระบายความร้อนดว้ ยน้ำ� ระบบระบายความรอ้ นดว้ ยของเหลว นยิ มใชใ้ นรถยนตส์ ว่ นใหญ่ ดงั รปู 10.12 ขอ้ ดคี อื สามารถ ควบคุมอณุ หภูมไิ ดอ้ ย่างแม่นยำ� ทกุ สภาพอากาศ สว่ นประกอบหลกั ๆ ของระบบระบายความรอ้ นดว้ ย ของเหลวหรอื ท่ีเรียกกันวา่ ระบายความร้อนด้วยนำ�้ นัน้ มสี ่วนประกอบสำ� คญั ๆ และวิธกี ารตรวจสอบ ดังน้ี ปมั๊ นำ้� ทำ� หน้าที่หมนุ เวยี นน้ำ� หล่อเย็นจากเครื่องไปยงั หมอ้ น้�ำ แล้วไหลกลบั เข้าเครื่องการท�ำงานของ ป๊มั นำ้� จะอาศัยสายพานจากเคร่อื งยนต์มาหมนุ และจะมีลูกปืน มารองรบั ในการหมุน ปญั หา สาเหตุท่ีท�ำให้ปั๊มน้�ำไม่ท�ำงาน สาเหตุแรกก็คือสายพานขาด เม่ือสายพานขาดปั๊มน�้ำก็ไม่ สามารถหมุน เมอื่ ปมั๊ น�้ำไมห่ มนุ ก็ไม่มีการไหลเวยี นของน้ำ� เพอ่ื เอาความร้อนออกจากเครือ่ งยนตส์ าเหตุ อีกประการหน่ึง คือ การสึกหรอหรือแตกของลูกปืน จะท�ำให้ปั๊มน้�ำปิดตายไม่ยอมหมุน หรือหมุนแบบ แกวง่ ตวั ทำ� ใหส้ ว่ นอน่ื ของเครอื่ งยนตเ์ สยี หายตามไปดว้ ย สว่ นปญั หาทเี่ จอกนั บอ่ ยของปม๊ั นำ้� กค็ อื ปม๊ั นำ�้ รว่ั การตรวจสอบท�ำโดยการตดิ เคร่อื งและเรง่ เครือ่ งยนต์ จะท�ำใหเ้ หน็ ไดช้ ัดเจนวา่ จะมีนำ้� ไหลออกมา แต่ถ้า จอดรถไวเ้ ฉย ๆ โดยไมม่ กี ารตดิ เครอื่ งยนต์ หรือติดเครอ่ื งในรอบเดินเบาน�้ำจะไมร่ ัว่ ซมึ ใหเ้ หน็ การร่ัวของปั๊มน้�ำส่วนมากมักจะเกิดในบริเวณซีลแกนหมุนน้�ำ จะไหลออกมาทางด้านหน้า และออกจากรรู ะบายอากาศ วิธกี ารตรวจสอบและดูแลรักษา 1. ตรวจสอบสายพานให้อยู่ในสภาพท่ีใช้งานได้ อย่าให้ขาด สายพานควรจะเปลี่ยนใหม่ เม่ือมีการใชง้ านรถเป็นระยะทาง 40,000 ก.ม 2. เม่อื ลกู ปนื ปมั๊ น้�ำมีเสียงดงั แสดงว่าลกู ปนื สึกหรอควรรบี เปล่ยี นทันที

224 บทที่ 10 การตรวจสอบช้ินส่วนต่าง ๆ ของเครอื่ งยนต์ 3. การตรวจสอบแบร่ิงของปั๊มน�้ำ ท�ำโดยจับใบพัดท้ังส่วนบนและล่างและโยกไปมาข้างหน้า และข้างหลัง ถา้ ใบพดั ขยับไดแ้ สดงว่าแบรงิ่ ป๊มั น�้ำสกึ หรอ ตอ้ งเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้าปัม๊ น�ำ้ ไม่มใี บพัด ให้จับ บนพลู เลย์ ในบางครั้งซลี ปม๊ั น้�ำรั่วจะมีนำ้� ไหลออกมา หรือแบรง่ิ มเี สยี งก็ควรเปลีย่ นปม๊ั น�ำ้ ใหม่ วาล์วน�ำ้ (เทอรโ์ มสตัต) ท�ำหน้าทปี่ ดิ กนั้ ทางเดนิ น�ำ้ ไมใ่ หไ้ หลเข้าเครือ่ งเม่ือเครอื่ งยนตเ์ ยน็ เพ่ือที่จะท�ำให้เครอื่ งยนตร์ อ้ น ถึงอุณหภมู ิการท�ำงานเร็วขึ้น ปัญหา วาล์วนำ้� เป็นอปุ กรณท์ ไี่ ม่คอ่ ยมีปัญหา แตก่ ย็ ังมโี อกาสเสีย เช่น วาลว์ น้ำ� ไมเ่ ปดิ เมอ่ื รอ้ นเน่ืองจาก เกิดการเสื่อมสภาพ ท�ำใหเ้ ครอื่ งรอ้ นจัด (โอเวอรฮ์ ที ) การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทำ� ไดโ้ ดยการถอดวาลว์ นำ�้ ออกช่วั คราว กอ่ นถอดวาล์วน้�ำออก ใหถ้ ่ายนำ�้ หล่อเย็นออกบางสว่ น ถอดทอ่ น�้ำออกจากโลหะ ถอดแปน้ เกลยี วทย่ี ึดฝาครอบวาล์วน�้ำ ควรคลายแป้นเกลยี วออกทลี ะน้อย ๆ เพ่ือไม่ให้ฝาครอบบิดตัว ถ้าฝาครอบ ติดแนน่ บนเส้ือหมุ้ ใหใ้ ชแ้ ทง่ ไมต้ อกเบา ๆ เพื่อใหฝ้ าครอบหลดุ ออกมา หลังจากนน้ั ยกวาลว์ น�้ำออกและ ควรใช้เศษผ้าอุดชอ่ งเปิดไว้กอ่ น ขูดปะเก็นเกา่ ออกให้หมดแล้วทำ� ความสะอาดผิวหนา้ ประกบและเปลย่ี น ประเก็นใหม่ สังเกตว่าวาล์วน�้ำเสียหรือไม่ดูจากจากการเปิดฝาหม้อน�้ำแล้วติดเคร่ืองยนต์จนร้อน แล้วเร่งเครอ่ื ง ถา้ เกจ์วัดความร้อนขน้ึ สูงแตไ่ ม่มกี ารหมนุ วนของน�ำ้ อย่างเร็ว โดยดจู ากช่องฝาปิดหม้อนำ้� ท่ีเปิดไว้ แสดงว่าวาล์วน้�ำมีปัญหา หรืออีกกรณีหน่ึงการที่วาล์วเปิดตลอดเวลาท�ำให้เคร่ืองยนต์ร้อนช้า ถ้าเปิดฝาหมอ้ นำ�้ แล้วเร่งเครอ่ื งถึงแม้วา่ เคร่อื งยนตจ์ ะเยน็ กต็ าม แต่จะมีการหมนุ วนของน้�ำอยา่ งเร็ว วิธตี รวจสอบและดแู ลรกั ษา การตรวจสอบวาลว์ น้ำ� ท�ำโดยเริ่มตนั จากการสตาร์ตเครอ่ื งยนตใ์ นขณะท่เี คร่ืองเยน็ ใชม้ ือสัมผัส ท่ีหม้อน้�ำหรือท่อน้�ำอันบน ซ่ึงในช่วงแรกยังคงเย็นอยู่แต่ถ้าผ่านไปสัก 2-3 นาที จะร้อนขึ้นอย่างเร็ว แสดงว่าวาล์วน�้ำท�ำงานผิดปกติ แต่ถ้าค่อย ๆ ร้อนข้ึนทีละหน่อย แสดงว่าวาล์วน�้ำเปิดค้างตลอดเวลา แตถ่ ้ารอ้ นขึน้ ชา้ มากและเครอ่ื งเร่มิ ร้อนจัด แสดงว่าวาล์วน้�ำปดิ ตาย ถ้าต้องการทราบว่าวาลว์ น้�ำท�ำงาน ได้หรอื ไม่ ท�ำโดยถอดวาลว์ นำ้� แล้วนำ� ไปแชใ่ นนำ�้ ร้อน เมื่อน�้ำมอี ุณหภูมขิ ึ้นจนมคี า่ ใกล้เคยี งกับอณุ หภมู ิ ท�ำงานที่แสดงไว้บนวาล์ว วาล์วน้�ำจะเปิดออกและเม่ือยกวาล์วน�้ำขึ้นจากน�้ำร้อนแล้วปล่อยให้เย็น วาล์วนำ้� กจ็ ะปิด

งานเคร่อื งยนตแ์ กส๊ โซลนี 225 หม้อน�้ำ ท�ำหนา้ ที่ระบายความรอ้ นของน�ำ้ ท่ีเดนิ ทางมาจากเครอื่ งยนต์ โดยทีห่ มอ้ น�ำ้ จะมีท่อทางเดินน�ำ้ แลว้ ปดิ ดว้ ยครบี รงั ผงึ้ เพอ่ื ระบายความรอ้ นมาทคี่ รบี เมอื่ ลมพดั ผา่ นทอ่ ทางเดนิ นำ้� กเ็ กดิ การถา่ ยเทความรอ้ น ไปกับลม ทำ� ใหน้ �้ำเยน็ ตวั ลง ปญั หาและการป้องกัน การร่ัวของหม้อน�้ำ ถ้าร่ัวตามตะเข็บตัวล่างจะท�ำให้สังเกตได้ยากเพราะส่วนของหม้อน้�ำจะบัง เอาไว้ แต่ถา้ มีการร่ัวซมึ ในบริเวณอ่นื จะสังเกตได้งา่ ย ปญั หาอกี อยา่ งหนึ่งของหมอ้ นำ�้ คือ การอุดตัน ถา้ มี การอุดตันของหม้อน�ำ้ ตอ้ งมกี ารถอดหมอ้ นำ้� ออกมาทำ� ความสะอาดโดยการทะลวงเอาส่งิ สกปรกออกมา แต่ถ้าเป็นหม้อน้�ำรุ่นใหม่ที่เป็นอลูมิเนียมและใช้ฝาครอบพลาสติกจะใหญ่และถอดออกมาไม่ได้ การใช้ นำ�้ ยาล้างหม้อน�ำ้ แก้การอุดตนั ของหม้อนำ้� ส่วนใหญ่จะได้ผลไมด่ นี ัก ดังนน้ั ควรมีการปอ้ งกันการอดุ ตนั ของหม้อน�้ำ โดยการใช้น�้ำยาหม้อน�้ำของทางบริษัทรถ และมีการเปลี่ยนน้�ำปีละครั้งหรือสองคร้ังตาม ค�ำแนะนำ� ของคมู่ อื รถ ฝาปดิ หม้อน�้ำ ฝาหมอ้ นำ�้ ทำ� หนา้ ทเี่ กบ็ แรงดนั ในหมอ้ นำ้� ทำ� ใหจ้ ดุ เดอื ดของนำ�้ เพมิ่ สงู ขน้ึ เปน็ 120 องศาเซลเซยี ส จากเดมิ 100 องศาเซลเซียส ความดนั ของหมอ้ น�้ำจะถกู ควบคุมดว้ ยฝาหมอ้ น้ำ� ดังนน้ั ตอ้ งมกี ารตรวจ สอบการท�ำงานของวาล์ว แหวนซีลตอ้ งขยับตัวได้อสิ ระต้านกบั แรงสปริง และแหวนยางต้องมีสภาพทีด่ ี แผ่นยางและสปริงเมื่อใช้งานไปนาน ๆ แผ่นยางจะเสื่อมไม่สามารถเก็บแรงดันได้ หรือสปริงเส่ือม แรงต้านลดลงไม่สามารถเก็บแรงดันได้สูง เม่ือน�้ำมีอุณหภูมิสูงจะไหลกลับไปยังถังพักน้�ำ แต่จะไม่ไหล กลบั เข้าหมอ้ น้�ำเมื่อเมอ่ื เครือ่ งเยน็ ทำ� ใหน้ �ำ้ ในหมอ้ นำ�้ ลดลง ขาดประสทิ ธภิ าพในการระบายความรอ้ น ท�ำใหเ้ ครื่องยนตม์ คี วามร้อนสูงกวา่ ปกติ การตรวจสอบและวิธีดแู ลรักษา ตรวจสอบระดบั น�้ำในหมอ้ น�ำ้ เป็นประจ�ำ ปกติระดับน้ำ� ในหมอ้ นำ้� จะเต็มเสมอ หากผ้ขู บั ข่ีตรวจ พบว่ามีการพร่องของน�้ำในหม้อน้�ำ แสดงว่ามีการร่ัวของหม้อน�้ำ หรือระบบระบายความร้อนมีปัญหา บางครั้งอาจมีสาเหตุมาจากการปล่อยน้�ำในถังพักน้�ำแห้งเน่ืองจากฝาหม้อเส่ือมสภาพ การเปล่ียน ฝาหม้อน้�ำใหม่ จะต้องมขี นาดเขี้ยวล็อคฝาและแรงดันเท่าเดมิ ตอ้ งสังเกตดว้ ยวา่ เป็นหนว่ ยอะไร

226 บทที่ 10 การตรวจสอบชนิ้ ส่วนตา่ ง ๆ ของเครื่องยนต์ ถังพักน้ำ� ท�ำหน้าท่ีเก็บน้�ำ เม่ือน้�ำในหม้อร้อนและขยายตัว มันจะดันผ่านวาล์วฝาปิดหม้อน�้ำไหลมา ถังพักน้�ำ เมื่อเคร่ืองยนต์เย็นน�้ำและแรงดนั ในหม้อลดลง มันจะดูดนำ�้ จากถังพกั น้�ำไหลเขา้ หม้อน�้ำ การตรวจสอบ ถ้าพบว่าเวลาเคร่ืองเย็นน�้ำในถังพักน�้ำมีปริมาณมากผิดปกติ โดยท่ีไม่ได้เติมน�้ำเกินขีดสูงสุด แสดงวา่ ปะเกน็ ฝาสูบอาจจะแตก สามารถตรวจสอบตอ่ ไปด้วยการเปดิ ฝาหม้อน้�ำเอาไว้ ตดิ เคร่อื งจนถงึ อุณหภูมิท�ำงานแล้วเร่งเคร่ือง สังเกตน้�ำในหม้อน้�ำถ้ามีฟองอากาศว่ิงผ่านแสดงว่าฝาปะเก็นสูบแตก ในทางกลับกนั พบว่าน�้ำในถงั ลดระดับเรว็ จนต้องเตมิ น�้ำบ่อย ๆ แสดงว่าฝาหม้อนำ�้ มปี ญั หา หรือมกี ารรั่ว ในระบบระบายความรอ้ น ใหแ้ ก้ไขตามอาการ พัดลมระบายความรอ้ น มีหน้าท่ีดูดลมให้ผ่านรังผ้ึงหม้อน้�ำ เพ่ือระบายความร้อนน้�ำหล่อเย็น พัดลมจะมีประโยชน์เม่ือ รถว่งิ ดว้ ยความเร็วตำ่� หรอื การจอดรถเปน็ เวลานาน ๆ เชน่ รถตดิ แตถ่ า้ รถว่งิ ด้วยความเรว็ ระดบั 60 กม./ ชม.ข้ึนไป จะมีกระแสลมท่ีมาปะทะหน้าหม้อน้�ำ เครื่องยนต์ก็ไม่จ�ำเป็นต้องใช้พัดลม ในเวลารถติดถ้า พดั ลมมปี ระสิทธิภาพในการทำ� งานไม่เพียงพอ จะท�ำใหเ้ ครอ่ื งยนต์มีความรอ้ นสูง ปญั หา สาเหตุทพี่ ดั ลมมีประสทิ ธภิ าพในการทำ� งานไม่เพียงพอ เนือ่ งมาจาก ใบพัดเสือ่ มสภาพไมก่ นิ ลม ชดุ ฟรคี ลัทช์ของแกนใบพัดเสอ่ื ม ท�ำให้ใบพัดหมุนชา้ ในรอบต�่ำ หรอื มอเตอร์พดั ลมเสีย วิธดี แู ลรกั ษา เมื่อชุดฟรีคลัทช์ของแกนใบพัดเสื่อม วิธีแก้ไขต้องอัดน้�ำยาประเภทพาราฟินเพิ่ม หรือเปล่ียน ชดุ ฟรีคลัทช์ใหม่ สว่ นรถท่ีใช้พัดลมไฟฟ้า จะมีปญั หาเกย่ี วกบั ระบบควบคมุ ท�ำให้ใบพดั ไม่หมนุ หรือหมนุ แต่ไมเ่ ร็วพอเนอื่ งจากการเสือ่ มสภาพของมอเตอรใ์ บพดั หรอื ถา่ นสกึ ตอ้ งซ่อมหรอื เปล่ียนใหม่ สายพาน ท�ำหน้าท่ขี ับเคล่ือนปัม๊ นำ้� พดั ลมและอลั เทอร์เนเตอร์ ปัญหา ถ้าสายพานตึงเกินไปอาจท�ำให้แบริ่งของปั๊มน้ำ� และอัลเทอรเ์ นเตอร์เสยี ได้ แตถ่ ้าสายพานหย่อน เกินไปจะเกิดการล่นื ไถล ท�ำให้พดั ลม ปั๊มน้ำ� และอัลเทอร์เนเตอร์ทำ� งานไมเ่ ตม็ ที่ และจะทำ� ให้สายพาน เสยี หายในทีส่ ุด การตรวจสอบและบ�ำรงุ รักษา เม่ือพบความผิดปกติของสายพานควรเปลี่ยนใหมก่ อ่ นท่จี ะขาด สภาพสายพานที่ควรเปลี่ยนใหม่ คือ

งานเคร่อื งยนตแ์ ก๊สโซลนี 227 1. สายพานหักเปน็ ชว่ ง ๆ ตรวจสอบโดยการดดั สายพานให้โคง้ งอ จะเหน็ รอ่ งรอยการแตกหกั เปน็ ชว่ ง ๆ 2. สายพานถูกนำ้� หล่อลื่นหรือจารบีจบั เป็นเวลานาน จนมสี ภาพอ่อนนมุ่ และยยุ้ ยางสายพาน แยกตวั ออกจากเสน้ ใย 3. สายพานมีลักษณะเปน็ เงามันเนอื่ งมาจากการล่ืนไถล ถ้าลื่นไถลมากจะเงามาก ถ้าสายพาน เพ่ิงเรม่ิ เปน็ เงาเพยี งเลก็ นอ้ ยควรปรบั ให้ตึงขึน้ เล็กนอ้ ย จะช่วยใหด้ ีขน้ึ 4. สายพานมีรอยขาด เส้นใยเร่มิ สกึ และขาดในทส่ี ุด 5. สายพานแยกตวั เปน็ ชนั้ และเสน้ ใยแตกเปน็ ฝอย ถา้ ปลอ่ ยไวน้ านจะทำ� ใหส้ ายพานขาดในทส่ี ดุ การปรับความตึงของสายพานต้องคลายสลักเกลียวที่อัลเทอร์เนเตอร์ ที่ยึดติดกับเครื่องยนต์ ดว้ ยแปน้ ยึดและสลกั เกลียวทีก่ า้ นปรับ ซงึ่ จะมีร่องส�ำหรับการปรับระยะ ถา้ ตอ้ งการปรับสายพานให้ตึง ให้ใช้ไมส้ อดเข้าไประหวา่ งอัลเทอร์เนเตอร์กับเส้อื สบู แลว้ งัดเบา ๆ เมื่อสายพานตงึ ตามท่ีต้องการให้ขัน สลกั เกลยี วของกา้ นปรบั ให้แนน่ หลังจากนนั้ กต็ รวจสอบความตงึ ของสายพานอกี ครัง้ แตถ่ ้าสายพานตงึ เกนิ ไป ให้ดันอลั เทอรเ์ นเตอรเ์ ข้าหาเครอื่ ง การเปลี่ยนสายพานต้องคลายสลักเกียวออกทุกตัวก่อน และดันให้อัลเทอร์เนเตอร์เข้าหา เครอ่ื งยนต์ แลว้ ดงึ สายพานออกจากพลู เลยอ์ นั บนสดุ และถอดสายพานออกจากพลู เลยข์ องเพลาขอ้ เหวย่ี ง และปั๊มนำ้� แตถ่ า้ เครอ่ื งยนตต์ ดิ ต้งั แบบตามขวาง ต้องถอดสายพานใหผ้ ่านใบพดั ของพัดลม สำ� หรบั เครอ่ื งยนตบ์ างรนุ่ ตอ้ งถอดกำ� บงั ลมออกกอ่ น การเลอื กสายพานใหมค่ วรเลอื กชนดิ ทผ่ี ผู้ ลติ กำ� หนด และตอ้ งตรวจสอบเบอร์ของสายพานให้เท่ากับสายพานเกา่ กอ่ นใส่สายพานควรท�ำความสะอาด รอ่ งพลู เลย์กอ่ น แลว้ คล้องสายพานเขา้ ไปในรอ่ งพลู เลย์ ถา้ ไมส่ ามารถใส่สายพานเข้ารอ่ งพลู เลย์ได้ง่ายก็ ใหห้ มนุ พลู เลย์ โดยหมนุ ทใี่ บพดั ของพัดลมหรือใชป้ ระแจช่วยในการหมนุ หลังจากนน้ั ตรวจดวู ่าสายพาน เข้าไปในร่องสายพานได้อย่างเหมาะสมและไม่บิดตัว แล้วปรับความตึงของสายพาน ควรตรวจสอบ ความตึงของสายพานหลังจากท่ใี ช้งานไปแล้ว 300 กโิ ลเมตร เม่ือสายพานพัดลมมีเสียงดังเอ๊ียด ๆ อยา่ ใชน้ ้ำ� มันหลอ่ ลน่ื หรอื จาระบีทาเด็ดขาด เพราะถา้ ทา น้ำ� มันเสยี งจะหายไปชัว่ คราว แตส่ ายพานจะบวมหรือเหนียวจนใช้งานไมไ่ ด้ ทอ่ ยางตัวลา่ ง ทำ� หน้าท่เี ปน็ ทางนำ้� นำ� นำ�้ จากหมอ้ นำ�้ ทเี่ ย็นลงบ้างแล้วกลับเขา้ เครื่องยนต์ ปัญหา จะเกดิ การรวั่ ซมึ ของนำ�้ ใชม้ อื บบี ทอ่ นำ้� ตามความยาวของทอ่ ใหส้ งั เกตดสู ว่ นลา่ งของทอ่ ยางหรอื ดา้ นลา่ งใตท้ อ่ ยาง วา่ มรี อยของการรวั่ ซมึ หรอื การหยดของนำ้� หรอื ไม่ โดยเฉพาะบรเิ วณสว่ นโคง้ และขอ้ ตอ่ ทอ่ น�ำ้ ตอ้ งไม่นิม่ หรอื แขง็ กระด้าง หรอื มอี าการบวมเพราะอาจจะทำ� ใหท้ ่อแตกได้เม่ืออย่ภู ายใตค้ วามดัน สายรดั ทอ่ เปน็ สง่ิ สำ� คัญเช่นเดียวกบั ทอ่ ควรมีการตรวจสอบสายรัดท่อดว้ ย

228 บทที่ 10 การตรวจสอบชนิ้ ส่วนตา่ ง ๆ ของเครื่องยนต์ วิธีดูแลรกั ษา ต้องตรวจเช็คสภาพและคอยเปล่ียนเหมือนกับท่อยางตัวบน โดยเปลี่ยนท่อยางตัวบน 2 ครั้ง ต่อการเปล่ยี นทอ่ ยางตัวลา่ ง 1 ครง้ั การถา่ ยนำ้� หล่อเย็นควรท�ำทกุ ๆ 2-3 ปี ควรทำ� ในขณะที่เครอ่ื งเยน็ โดยการคลายปล๊ักถ่ายน�้ำของหม้อน�้ำออก ควรเปิดฝาหม้อน�้ำด้วยเพ่ือการไหลของน้�ำเร็วข้ึน จากนั้น ใส่ปล๊ักถ่ายน�้ำเข้าที่เดิมแล้วเติมน�้ำเข้าไปในหม้อน้�ำ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เคร่ืองท�ำงานเพื่อที่จะไล่ ฟองอากาศออกจากระบบ และเติมน้�ำในถังพักนำ้� ดว้ ย เมื่อรถมีการใช้งานไปนาน ๆ น้�ำหล่อเย็นจะหายไปบางส่วน การเติมน�้ำหล่อเย็นไม่ควรท�ำ ในขณะท่เี ครอ่ื งรอ้ นเพราะน�้ำร้อนและไอนำ�้ ภายใตค้ วามดนั จะพงุ่ ออกมา แต่ถ้าจำ� เปน็ จริงกค็ วรใช้ผา้ ปิด บนฝาหม้อน�ำ้ และคอ่ ย ๆ คลายออกทีละน้อยเพ่ือให้ความดนั ออกมาทลี ะนอ้ ย ถ้าน้�ำในถังพักลดลงมากก็เติมในถังน้�ำส�ำรองได้ทันที ควรมีการเติมน้�ำยาหล่อเย็น (Coolant) ผสมลงไปในน�้ำหล่อเย็นด้วย เพื่อป้องกันการเกิดตะกรันและเพ่ิมจุดเดือดของน้�ำให้สูงข้ึน ปริมาณน�้ำยา ท่ีเตมิ ลงไปในนำ�้ ควรมีปรมิ าณท่ีเหมาะสมตามทก่ี ำ� หนด ท่อยางตวั บน ท�ำหน้าท่ีเป็นทางไหลของน้�ำที่ได้รับความร้อนจากเคร่ืองยนต์เข้าไประบายความร้อนท่ี หม้อน้�ำ อายุการใชง้ านของทอ่ ยางตวั บนมกั จะสนั้ และเกดิ ปญั หาบอ่ ย จงึ ควรมกี ารตรวจสอบของทอ่ ยาง เปน็ ประจำ� ว่า มกี ารแข็งตัว มรี อยแตก รอยบวมหรือไม่ แต่ถ้ามีอายกุ ารใช้งานประมาณ 3 - 4 ปี ก็ควรจะ เปลี่ยนใหมแ่ ละควรจะเปล่ยี นพรอ้ มกบั เหล็กรัดทอ่ ยาง ไม่ควรท่ีจะใช้เหล็กรดั ตัวเก่าเพราะอาจจะท�ำให้ รดั ไม่แน่น หรือมกี ารคลายตวั ทหี ลงั ปัญหา เช่นเดยี วกบั ท่อยางตวั ล่าง วธิ ดี แู ลรกั ษา อายกุ ารใช้งานของท่อยางตวั บนมกั จะสัน้ และเกดิ ปัญหาบอ่ ย จงึ ควรมีการตรวจสอบของท่อยาง เป็นประจ�ำวา่ มีการแขง็ ตัว มรี อยแตก รอยบวมหรือไม่ แต่ถา้ มีอายกุ ารใชง้ านประมาณ 3 - 4 ปี ก็ควรจะ เปล่ียนใหมแ่ ละควรจะเปลี่ยนพรอ้ มกับเหลก็ รัดทอ่ ยาง ไม่ควรทีจ่ ะใช้เหลก็ รดั ตวั เกา่ เพราะอาจจะทำ� ให้ รัดไมแ่ น่นหรอื มีการคลายตัวทีหลัง สภาพของทอ่ น้ำ� ท่คี วรจะเปลย่ี นใหม่เป็นดงั นี้ 1. ทอ่ นำ้� ทีม่ สี ภาพบวมโป่ง ควรมกี ารเปลยี่ นใหมท่ ันที เพราะท่อน�ำ้ อาจจะระเบดิ ได้ทุกเวลา เมื่อรอ้ นจดั หรืออยู่ภายใต้ความดนั สูง การทท่ี ่อน�้ำบวมมีสาเหตจุ ากบรเิ วณท่ีบวมมคี ราบน้�ำมันหลอ่ ล่ืน เปยี กช้ืนอยู่ เสมอ 2. ท่อน�้ำท่ีมีรอยแตกร้าวเป็นเส้นหรือแตกเป็นลาย ควรเปล่ียนใหม่ทันทีเพราะถ้าปล่อยไว้ นาน ๆ แล้วเสน้ ใยภายในท่อน�ำ้ จะเรม่ิ ขาดและทอ่ น�ำ้ จะฉีกขาดในท่สี ดุ

งานเคร่อื งยนตแ์ กส๊ โซลนี 229 3. ปลายท่อน้�ำช�ำรุดมีสาเหตุมาจากสายรัดท่อแน่นเกินไป กดยางจนเปื่อย หรือสายรัด หลวมเกินไป ทำ� ให้มนี ำ้� รวั่ ออกมาในขณะที่เครอื่ งร้อน ปลายทอ่ จะบานและมีตะกอนจบั ดังนน้ั ควรใช้ สายรดั ทอ่ ทมี่ คี วามกระชบั พอดีกบั ขนาดท่อ 4. มีตะกอน ตะกรัน และส่ิงสกปรกอยู่ภายในทอ่ น้ำ� ท�ำให้ท่อน้�ำเสอื่ มสภาพเร็วขึน้ 5. ถ้าบีบท่อน้�ำแลว้ ทอ่ นำ�้ น่มิ เกินไป (ตีบแน่น) หรอื แขง็ จนบีบไม่ลง ควรเปล่ยี นใหม่ การตรวจสอบระบบจดุ ระเบิด สวติ ช์จุดระเบิด สวติ ชจ์ ดุ ระเบดิ สายแรงต�่ำ จานจ่ายไฟ คอยลจ์ ุดระเบดิ หัวเทียน แบตเตอร่ี รูปที่ 10.13 ระบบจุดระเบดิ ระบบจดุ ระเบิด (Ignition System) ประกอบดว้ ย สวติ ช์จดุ ระเบดิ คอยล์จดุ ระเบดิ สายไฟ แรงตำ�่ สายไฟแรงสงู จานจา่ ยไฟ และหัวเทียน สว่ นต่าง ๆ เหล่าน้ปี ระกอบข้นึ เป็นกลไกส�ำหรบั ทำ� ใหเ้ กิด ประกายไฟทจ่ี งั หวะอนั เหมาะสม และจดุ ระเบดิ ส่วนผสม (ไอด)ี ระบบจุดระเบดิ มักจะเปน็ ระบบแรก ๆ ทตี่ ้องตรวจสอบเม่อื เครื่องยนต์ขัดข้อง เมอ่ื มอเตอร์สตารต์ หมุนและมีน�้ำมนั เพยี งพอแตเ่ ครอ่ื งยนต์ไม่ตดิ ใหต้ รวจสอบระบบจดุ ระเบิดของเครอ่ื งยนต์ รายการตรวจสอบระบบจดุ ระเบดิ มีดังน้ี การตรวจดปู ระกายไฟหัวเทยี น วธิ ีตรวจ ดงั รปู 10.14 ดังนี้ 1. ถอดสายไฟแรงสงู ออกจากหัวเทียน 2. จับสายไฟแรงสงู แลว้ จอ่ ใหป้ ลายอย่หู า่ งจากเครือ่ งยนต์ ประมาณ 6 - 7 มม.

230 บทท่ี 10 การตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเคร่ืองยนต์ 3. สตาร์ตเครอื่ งยนต์ ถ้ามปี ระกายไฟกระโดดจากปลายสายไฟไปยังเครือ่ งยนต์แสดงวา่ ระบบ ไฟจุดระเบิดไปยังหัวเทียนเรียบร้อยดี ในกรณีท่ีเคร่ืองยนต์ไม่ติดอาจเน่ืองมาจากหัวเทียนเองหรือต้ัง จงั หวะจุดระเบิดไม่ถูกต้อง รปู ที่ 10.14 การตรวจดูประกายไฟหวั เทยี น การตรวจดปู ระกายไฟท่ีขวั้ กลางของฝาจานจ่าย วิธตี รวจ ดงั รูป 10.15 ดงั นี้ จ่อปลายสายห่างจากตัวเคร่ือง จานจา่ ยไฟ ประมาณ 5-6 มม. ตวั เครื่อง (ลงดิน) สวิตชไ์ ฟ จุดระเบดิ สวิตชไ์ ฟ ถอดตรงนี้ จุดระเบิด แบตเตอรี่ คอยล์จดุ ระเบิด ตอ่ ลงดิน รูปที่ 10.15 การตรวจดูประกายไฟทข่ี ้วั กลางของฝาจานจ่าย 1. ดึงสายไฟแรงสูงทีต่ ่อจากคอยล์มายงั ข้วั กลางของจานจา่ ยไฟใหอ้ อกจากฝาจานจ่าย 2. จ่อให้ปลายที่ดึงออกมาใหห้ า่ งจากตัวเครื่องประมาณ 5 - 6 มม. 3. สตาร์ตเครื่องยนต์หรือเปิดฝาจานจ่ายออกและเปิดสวิตช์ไฟเครื่องยนต์ แล้วใช้มือเข่ีย หน้าทองขาวให้เปดิ ปดิ 4. ถ้ามีประกายไฟโดดข้าม แสดงว่าระบบจุดระเบิดจากส่วนแรกจนกระทั่งถึงขั้วต่อสายไฟ แรงสงู ทต่ี รงกลางของจานจา่ ยทำ� งานเรยี บรอ้ ยดี ฉะนน้ั ปญั หาอยทู่ ฝี่ าจานจา่ ยหรอื โรเตอรจ์ านจา่ ยไฟเสยี ถ้าไม่มีประกายไฟแสดงวา่ ข้อบกพร่องอยทู่ ีว่ งจรไฟต่ำ�

งานเครอื่ งยนตแ์ กส๊ โซลนี 231 การตรวจฝาจานจา่ ยไฟ วิธีตรวจ ดังรูป 10.16 ดงั นี้ 1. ถอดฝาจานจ่ายไฟออก ตรวจหารอยร้าวในฝาจานจา่ ยไฟ ถา้ มีรอยรา้ วไฟแรงสูงจะเดินทาง รอยร้าวและไม่มีไฟไปยงั หัวเทียน 2. ถ้ารูส�ำหรับใส่สายไฟแรงสูงท่ีฝาจานจา่ ยไฟเป็นสนมิ หรือเป็นรอยไหม้ ใหใ้ ชก้ ระดาษทราย ขดั ทำ� ความสะอาด 3. ตรวจดูผิวหน้าหัวขั้วแต่ละช่องของฝาจานจ่าย ถ้าขรุขระและไม่เสมอกันโดยมีเขม่ามาจับ ใหใ้ ช้ไขควงขูดออก รสู �ำหรบั ใส่สายแรงสงู หัวขว้ั หวั ขว้ั รบั สายไฟแรงสูง ของฝาครอบจานจา่ ยไฟ ฝาจานจา่ ยไฟ รูปท่ี 10.16 การตรวจฝาจานจ่าย การตรวจโรเตอร์ วิธีตรวจ ดงั รูป 10.17 ดงั น้ี 1. ดึงสายไฟแรงสูงท่ีมาจากคอยล์จุดระเบิดออกจากรูกลางของฝาจานจ่าย จ่อปลายสายไฟ แรงสงู ห่างจากส่วนทเ่ี ปน็ โลหะของโรเตอรป์ ระมาณ 3 มม. 2. สตารต์ เครื่องยนต์หรือเปิดสวิตช์ไฟเคร่อื งยนต์ แลว้ เปดิ ปิดหนา้ ทองขาวซ้�ำกนั สองสามครั้ง ถ้ามีประกายไฟระหวา่ งโรเตอรก์ ับปลายสายไฟแสดงวา่ ฉนวนโรเตอร์ไมด่ ี เปล่ียนโรเตอร์ใหม่ โรเตอร์ หน้าทองขาว ก คอยลจ์ ุดระเบดิ จานจา่ ย รอยแตก ก-ข โลหะสะพานไฟของโรเตอร์ การทดสอบโรเตอร์ รปู ที่ 10.17 การตรวจโรเตอร์

232 บทที่ 10 การตรวจสอบชิน้ สว่ นต่าง ๆ ของเคร่อื งยนต์ การตรวจไฟแรงต�ำ่ ไปยงั จานจา่ ยไฟ ถ้าการตรวจประกายไฟที่ขั้วกลางของฝาจานจ่ายไม่มีประกายไฟ แสดงว่าส่วนหนึ่งส่วนใด ในวงจรไฟต่�ำจากแบตเตอรไี่ ปลงดนิ ผา่ นสวิตชไ์ ฟเคร่อื งยนต์ คอยลจ์ ุดระเบิดและจานจ่าย ข้ัวต่อสายไฟแรงตำ่� ปิดสวติ ชไ์ ฟ เปดิ สวิตชไ์ ฟ เครอื่ งยนต์ เครอ่ื งยนต์ ถอดทน่ี ี่ ตอ่ สายแรงตำ่� ที่ถอดไวล้ งดิน รูปที่ 10.18 การตรวจไฟแรงต�่ำไปยงั จานจ่ายไฟ วธิ ตี รวจ ดงั รูป 10.18 ดงั นี้ 1. ปิดสวิตช์ไฟเคร่ืองยนต์ ถอดสายไฟแรงตำ�่ ทางดา้ นจานจา่ ยไฟออก 2. เปดิ สวิตช์ไฟเคร่อื งยนต์และต่อสายไฟแรงต�่ำลงดิน ถา้ มปี ระกายไฟกระโดดจากปลายสาย ไฟไปยังตวั เครื่องยนต์ แสดงว่าวงจรไฟต่�ำ (แบตเตอร่ี สวติ ช์ไฟเคร่ืองยนต์ คอยลจ์ ดุ ระเบิด ขั้วไฟต�ำ่ ของ จานจ่ายไฟ) เรยี บรอ้ ย 3. ถ้าไม่มีประกายไฟหมายความว่าจุดใดจุดหน่ึงในวงจรไฟต่�ำจากแบตเตอรี่ไปยังจานจ่ายไฟ บกพรอ่ ง การตรวจไฟแรงตำ่� ไปยังคอยล์จุดระเบิด ถอดสายตรงน้ี เปิดสวิตชไ์ ฟ เคร่ืองยนต์ ปิดสวิตช์ไฟ เคร่ืองยนต์ ต่อสายไฟแรงต�่ำที่ ถอดออกมาลงดิน รูปท่ี 10.19 การตรวจไฟแรงต่�ำไปยงั คอยลจ์ ุดระเบิด

งานเครอ่ื งยนตแ์ ก๊สโซลนี 233 วิธตี รวจ ดงั รปู 10.19 ดังนี้ 1. ปิดสวิตช์ไฟเคร่ืองยนต์ ปลดสายไฟแรงต�่ำท่ีต่อระหว่างสวิตช์ไฟเคร่ืองยนต์กับคอยล์ จุดระเบิดทางปลายดา้ นคอยล์ 2. เปิดสวิตช์ไฟเคร่ืองยนต์และต่อปลายสายที่ปลดไว้ลงดิน ถ้ามีประกายไฟออกมาแสดงว่า ส่วนของวงจรไฟแรงตำ่� คือ แบตเตอรี่ สวิตช์ไฟเครือ่ งยนต์ ขว้ั ไฟแรงต่�ำเข้าคอยล์จุดระเบิดไมม่ อี ะไรเสยี หาย ดงั นน้ั จุดบกพร่องอยูท่ คี่ อยลจ์ ดุ ระเบดิ หรอื สายไฟแรงต่�ำจากคอยลไ์ ปยงั จานจ่ายไฟขาดหรือขั้วไฟ ต่อไว้ไม่แน่น การตรวจไฟแรงต�่ำไปยงั สวิตช์ ถอดสายตรงน้ี ถอด เปดิ สวติ ชไ์ ฟ ปดิ สวิตชไ์ ฟ เครื่องยนต์ เครื่องยนต์ ตอ่ สายไฟแรงต�ำ่ ของคอยล์ ตอ่ ตรงกบั แบตเตอร่ี ลงดนิ โดยใช้ไขควง รูปท่ี 10.20 การตรวจไฟแรงตำ่� ไปยังสวิตช์ วิธีตรวจ ดงั รปู 10.20 ดังนี้ 1. เปดิ สวติ ช์ไฟเครอื่ งยนต์ 2. ตอ่ สายไฟแรงต่ำ� ของคอยลจ์ ดุ ระเบดิ ไปยงั จานจ่ายไฟ ใชไ้ ขควงแตะขั้วลบของคอยล์ลงแทน่ เคร่ืองยนต์ถ้ามีประกายไฟ คอยล์จุดระเบิดอยู่ในสภาพดีถ้าไม่แสดงว่าคอยล์เสียหรือจุดใดจุดหน่ึง จากแบตเตอร่ีสวิตชไ์ ฟเครอ่ื งยนต์ ไปยังข้วั บวกของคอยล์บกพรอ่ ง

234 บทท่ี 10 การตรวจสอบชิ้นสว่ นตา่ ง ๆ ของเครื่องยนต์ การตรวจหนา้ ทองขาว ใชไ้ ด้ ตะไบส�ำหรบั แต่ง อยา่ งน้ใี ชไ้ ม่ได้ หน้าทองขาว สภาพของหนา้ ทองขาว ใชไ้ มไ่ ด้ ใช้ได้ การขดั หนา้ ทองขาว ลกั ษณะการสมั ผสั ของหนา้ ทองขาว สภาพของการสมั ผสั กันของหน้าทองขาว รูปที่ 10.21 การตรวจหนา้ ทองขาว วธิ ีตรวจ ดังรปู 10.21 ดังน้ี 1. เปดิ ฝาจานจา่ ยไฟและดงึ โรเตอรอ์ อกมา ถา้ หนา้ ทองขาวเปดิ ทำ� ใหป้ ดิ โดยการหมนุ เครอื่ งยนต์ 2. เปิดสวติ ช์ไฟเครื่องยนต์และใช้มือขยับหน้าทองขาวใหเ้ ปดิ ปิด ตรวจดปู ระกายไฟท่กี ระโดด จากปลายสายไฟแรงสงู ทีต่ อ่ มาจากคอยล์ไปยงั ตวั เครอื่ งยนต์ ถา้ ไมม่ ปี ระกายไฟหรอื เพียงอ่อน ๆ และให้ ตรวจดปู ระกายไฟที่หนา้ ทองขาว ถ้าไม่มีประกายไฟแสดงวา่ หนา้ ทองขาวไม่ดี 3. ตรวจดูผิวหน้าสัมผัสกันของหน้าทองขาว ถ้าหน้าสัมผัสกันไม่เรียบ ปิดสวิตช์เครื่องยนต์ และใช้ตะไบขดั หนา้ ทองขาว หรอื กระดาษทราย ขดั ให้เรยี บ การตั้งหนา้ ทองขาว สว่ นยอดของลกู เบี้ยว เดือยของก้านหน้าทองขาว แผ่นวดั ระยะห่าง ระยะหนา้ ทองขาว สกรตู ้ังระยะ รูปที่ 10.22 การตงั้ หนา้ ทองขาว กา้ นหน้าทองขาว ด้านทตี่ รงึ อยูก่ ับที่ สกรูยึด สกรสู �ำหรับปรับระยะ รอ่ งบาก

งานเครอ่ื งยนตแ์ กส๊ โซลนี 235 1. ถอดฝาจานจ่ายไฟและโรเตอร์เม่ือปิดสวิตช์ไฟเครื่องยนต์แล้ว ใช้ประแจหมุนเคร่ืองยนต์ จนกระท้ังเดอื ยของก้านหน้าทองขาวข้ึนไปอยบู่ นยอดลกู เบ้ยี วของแกนจานจ่าย 2. ใช้ฟลิ เลอรเ์ กจวดั ระยะห่างหน้าทองขาว ถ้าไม่ถกู ตอ้ งใหค้ ลายสกรซู งึ่ ยึดก้านหนา้ ทองขาว และปรับหน้าทองขาวใหไ้ ด้ระยะถูกตอ้ ง การตรวจสอบระบบติดเครอ่ื งยนต์ เคร่อื งยนตส์ ตารต์ ไม่ตดิ หรอื สตาร์ตตดิ ยาก แบง่ เปน็ 2 กรณี คือ 1. กรณีสตาร์ตหมุนปกติแต่เครื่องไม่ติด ส่วนใหญ่สาเหตุจะไม่ได้มาจากระบบติดเคร่ืองยนต์ แตม่ าจากระบบอ่ืนๆ ใหต้ รวจสอบดังน้ี 1.1 ดูทม่ี าตรวัดนำ�้ มันเชอ้ื เพลงิ วา่ มนี ำ�้ มนั เช้ือเพลิงเพียงพอหรอื ไม่ 1.2 ตรวจข้ัวต่อต่าง ๆ เช่น สายคอยล์ สายจานจ่าย และสายหัวเทียนว่าอยู่ในต�ำแหน่ง และแน่นดี ถ้าเคร่ืองยังอุ่น ๆ อยู่ขณะสตาร์ตและได้กล่ินน�้ำมันเบนซิน สาเหตุอาจจะมาจากน�้ำมันท่วม ให้ปฏบิ ตั ติ ามคำ� แนะนำ� วิธีการตดิ เคร่อื งยนต์ 1.3 ถ้าเคร่ืองยังคงไม่ติด ถอดหัวเทียนออกมาเช็ดให้แห้ง สตาร์ตเคร่ืองใหม่ประมาณ 20 วินาที แล้วจึงใสห่ วั เทยี นกลบั ทเ่ี ดิม ลองสตาร์ตอกี ครง้ั หน่ึง 2. กรณสี ตารต์ ไมห่ มุนหรอื หมนุ ชา้ อาจมสี าเหตุมาจากมอเตอร์สตาร์ตขัดขอ้ ง เม่ือเปิดสวติ ช์ สตารต์ จะมเี สียงดงั แชก็ ๆ เครื่องยนตจ์ ะหมนุ ช้า ๆ แตไ่ มต่ ิดหรือมักเสยี งดงั กรกิ๊ ๆ ในเครื่องยนต์ สาเหตุ จะมาจากแบตเตอรม่ี ไี ฟไมพ่ อ ขวั้ แบตเตอรต่ี อ่ ไวไ้ มด่ ี สายไฟทส่ี วทิ ชส์ ตารต์ ตอ่ ไวไ้ มด่ ี หรอื มอเตอรส์ ตารต์ ไมด่ ี ทดลองบบี แตรและเปิดไฟหน้าไว้ ถ้าเสียงแตรไม่ดังและไฟหนา้ หร่ี ใหต้ รวจสอบดูที่ขว้ั แบตเตอรี่ ว่าสายไฟตอ่ ไวเ้ รียบร้อยหรือไม่ มีขี้เกลือขาว ๆ จบั ขวั้ แบตเตอร่หี รือไม่ ถ้ามีขีเ้ กลอื จับอยใู่ หร้ าดน้ำ� ร้อนที่ ข้วั แบตเตอรี่หรือถขู ี้เกลอื ขาว ๆ ออกให้หมด และตรวจดูปรมิ าณนำ�้ กล่ันในแบตเตอรีว่ า่ มพี อหรอื ไม่ ถา้ มี ระดับตำ�่ กวา่ ขีดต่ำ� สุดทีอ่ ยู่ขา้ งหม้อแบตเตอรี่ ให้เตมิ น้�ำกล่นั ให้ไดร้ ะดบั พอดี ถ้าแตรดังเปน็ ปกตแิ ละโคมไฟสว่าง สาเหตุการขดั ข้องอาจมาจากสวทิ ชม์ อเตอรส์ ตารต์ เสยี หรอื ตัวมอเตอรส์ ตาร์ตเสียเอง ให้ตรวจสอบง่าย ๆ ดังน้ี กดสวิทช์สตาร์ต ถ้ามอเตอร์สตาร์ตไม่หมุน ให้ปล่อยสวิทช์ทันทีและลองเปิดโคมไฟหน้ารถดู แล้วกดสวิทช์สตาร์ตใหม่ - ถา้ ไฟหนา้ มดื ลงหรอื ดบั ไปเลยในขณะนน้ั แสดงวา่ กระแสไฟฟา้ สว่ นมากเขา้ ไปในระบบสตารต์ สรปุ ได้เลยว่า วงจรของระบบสตารต์ ไมม่ อี ะไรเสีย และจะต้องหาสาเหตุของการขดั ข้องที่ส่วนอนื่ ซ่งึ ไม่ เกย่ี วกบั มอเตอร์สตารต์ ตวั อยา่ งเช่น เฟืองขับของมอเตอร์สตาร์ตอาจขบแน่นกับรงิ เกียรข์ องเครอื่ งยนต์

236 บทที่ 10 การตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเคร่อื งยนต์ - ถ้าโคมไฟหน้าไม่หร่ีลงเม่ือกดสวิทช์สตาร์ตเครื่อง ก็หมายความว่าไม่มีไฟเข้าไปในวงจร สตารต์ สรปุ ได้วา่ ขอ้ ขัดขอ้ งอยทู่ ส่ี ่วนประกอบอนื่ ๆ ของมอเตอรส์ ตารต์ เชน่ สวทิ ช์สตารต์ รีเลสตารต์ สายไฟสตาร์ต ฯลฯ ในกรณเี ชน่ นี้ ขอใหต้ รวจสอบดูที่ตรงข้วั ต่อสายไฟเขา้ มอเตอรส์ ตาร์ตก่อนถา้ พบวา่ หลวมกข็ ันใหแ้ น่น และลองสตาร์ตเครื่องดใู หมถ่ า้ เครอ่ื งยนต์ยังไม่หมนุ จงพยายามหมุนมอเตอรส์ ตาร์ต เมื่อต้องตรวจดูแสงของโคมไฟหน้าด้วยตัวเองโดยไม่มีผู้ช่วยดู จงหันรถให้ไฟส่องไปยังร้ัวหรือต้นไม้ ท่ีอยู่ใกล้ แมจ้ ะเป็นเวลากลางวันก็สามารถสังเกตการเปล่ยี นแปลงของแสงไฟทส่ี ะทอ้ นกลับมาได้ ถ้าเฟืองขับมอเตอร์สตาร์ตขบแน่นติดกับริงเกียร์ โคมไฟหน้าจะหร่ีหรือมืดไปเลยเมื่อกดสวิตช์ สตารต์ ในกรณนี ้ี เป็นอันตรายได้เลยว่าเฟืองขบั ของมอเตอรส์ ตารต์ ขบแนน่ ติดกบั ฟนั เฟืองทีร่ ิงเกียร์ วธิ ี ที่จะท�ำให้ฟันเฟืองที่ขบอยู่ให้หลุดจากกันให้ท�ำดังนี้ ประการแรกให้ตรวจสอบดูให้แน่ว่าได้ดับสวิทช์ไฟ เครอ่ื งยนต์แลว้ ใสเ่ กียรส์ องหรือเกียรส์ ามปลอ่ ยหา้ มล้อมือ แลว้ โยกรถไปมา เมือ่ ท�ำเช่นนีแ้ ลว้ ส่วนมาก เฟอื งเกยี รท์ ขี่ บกันอยจู่ ะหลุดออกจากกนั แต่ถ้าไมห่ ลุดตอ้ งถอดประกอบและแก้ไขตอ่ ไป การตรวจสอบมอเตอร์สตาร์ต การตรวจสอบมอเตอร์สตาร์ตและสวิตช์แม่เหล็กสามารถตรวจสอบได้ทั้งก่อนและหลังจาก ประกอบมอเตอรส์ ตารต์ แลว้ ซ่ึงจะทำ� ให้สามารถวเิ คราะหส์ ภาพการทำ� งานของมอเตอร์สตารต์ ไดถ้ ูกตอ้ ง และรวดเร็วย่ิงข้นึ การตรวจสอบมอเตอรส์ ตารต์ แบบธรรมดาและมอเตอรส์ ตารต์ แบบทดรอบ ก็จะมวี ิธี การปฏิบัตแิ บบเดียวกัน และขณะท�ำการทดสอบใหร้ ีบกระท�ำอย่างรวดเร็วประมาณ 3 ถึง 5 วนิ าที เพือ่ ป้องกนั สวติ ชแ์ ม่เหลก็ เสียหาย 1. การทดสอบขดลวดชุดดงึ การทดสอบขดลวดขดุ ดึงแสดงดังรูปที่ 10.23 ใหถ้ อดสายไฟมอเตอรส์ ตารต์ ท่ขี วั้ C ออก น�ำ สายไฟแบตเตอรข่ี วั้ บวกหนึง่ เสน้ คีบเขา้ ที่ขั้ว 50 และสายลบ 2 เส้นคบี เข้าที่ข้ัว C และทโี่ ครงมอเตอร์ สตาร์ต สวิตช์แม่เหล็กจะท�ำงาน เฟืองขับจะถูกดันออกจนสุดแสดงว่าขดลวดขุดดึงท�ำงาน ถ้าเฟืองขับ ไม่ถกู ดนั ออกแสดงวา่ ขดลวดขดุ ดึงขาดใหเ้ ปลีย่ นสวิตช์แมเ่ หล็กใหม่ รูปที่ 10.23 การทดสอบขดลวดชุดดึง

งานเครอื่ งยนตแ์ กส๊ โซลีน 237 2. การทดสอบขดลวดชดุ ยึด เม่ือเอาสายลบท่ขี ้ัว C ออก เฟืองขบั จะยงั ไม่ดีดตวั กลับ แสดงวา่ ขดลวดชดุ ยึดท�ำงาน ถา้ เฟอื ง ดีดตัวกลับ แสดงว่าขดลวดชุดยึดขาด ให้เปลี่ยนสวิตช์แม่เหล็กใหม่ การทดสอบขดลวดขุดยึดแสดง ดังรูปที่ 10.24 รูปท่ี 10.24 การทดสอบขดลวดชดุ ยดึ 3. การตรวจสอบระยะห่างเฟอื งขับ ขณะที่ขดลวดชุดยึดยังท�ำงานให้ใช้เวอร์เนียวัดระยะห่างระหว่างเฟืองขับกับปลอกกันชน ซง่ึ จะต้องอยูใ่ นคา่ พิกดั ระหว่าง 0.1 ถงึ 0.4 มิลลิเมตร (0.004 ถึง 0.016 นวิ้ ) การตรวจสอบระยะหา่ ง เฟืองขบั แสดงดงั รปู ที่ 10.25 รูปที่ 10.25 การตรวจสอบระยะหา่ งเฟอื งขับ 4. การตรวจสอบการคืนกลับของเฟืองขบั เมื่อเอาสายลบทีโ่ ครงของมอเตอรส์ ตาร์ตออก เฟืองขับจะดีดตัวกลับเข้าท่เี ดมิ ด้วยแรงของ สปริง แสดงว่าการประกอบสปริงและกา้ มปูถกู ตอ้ ง การตรวจสอบการคืนกลับของเฟอื งขบั แสดงดงั รูปท่ี 10.26

238 บทท่ี 10 การตรวจสอบชน้ิ สว่ นต่าง ๆ ของเคร่ืองยนต์ รปู ท่ี 10.26 การตรวจสอบการคืนกลับของเฟืองขบั 5. การทดสอบมอเตอรส์ ตาร์ตขณะไม่มโี หลด ต่อแอมมิเตอร์เข้ากับสายบวกของแบตเตอร่ีแบบอนุกรม แล้วต่อข้ัว 30 เข้ากับขั้ว 50 มอเตอรส์ ตารต์ จะทำ� งาน ตรวจดกู ารหมนุ ของมอเตอรส์ ตารต์ ตอ้ งนม่ิ นวลและความเรว็ คงท่ี ขณะเดยี วกนั อา่ นค่าท่แี อมมเิ ตอรต์ ้องไมน่ ้อยกว่า 50 แอมป์ ที่ 11 โวลต์ ดังรปู ท่ี 10.27 ตรวจสอบการหยุดของมอเตอร์สตาร์ต เม่ือตัดวงจร มอเตอร์สตาร์ตต้องหยุดโดยทันที ถ้ายงั หมนุ อยู่ แสดงวา่ เกดิ เหตุบกพร่องกับอารม์ าเจอร์เบรก ให้ท�ำการตรวจเชก็ ดอู ารม์ าเจอร์เบรกใหม่ รปู ที่ 10.27 การทดสอบมอเตอร์สตาร์ตขณะไมม่ ีโหลด

งานเคร่ืองยนตแ์ ก๊สโซลีน 239 แบบทดสอบและกิจกรรมการฝึกทกั ษะ บทที่ 10 การตรวจสอบช้ินส่วนตา่ ง ๆ ของเครื่องยนต์ ตอนที่ 1 อธิบาย (หมายถึง การให้รายละเอียดเพิ่มเติม ขยายความ ถ้ามีตัวอย่างให้ยกตัวอย่าง ประกอบ) ตอบแบบสั้น 1. ระยะทีต่ ้องตรวจสอบบนเพลาลกู เบย้ี วมีอะไรบา้ ง และคา่ ต่ำ� สุดท่ยี อมให้ไดม้ ีค่าเท่าไร 2. อธิบายการตรวจสอบมอเตอรส์ ตารต์ มาพอสงั เขป 3. จงอธบิ ายวิธีการตรวจสอบช้ินสว่ นของเครอ่ื งยนต์ ดงั รปู และคา่ ที่ไดอลั เกจอ่านไดไ้ ม่ควรเกนิ เทา่ ไร 4. อธบิ ายการวัดระยะรุนดงั รปู ถ้าเพลาลูกเบี้ยวดังรูปเป็นเพลาลูกเบ้ียวไอเสีย หลังท�ำการทดสอบแล้วพบว่า ไดอัลเกจอ่านค่าได้ 0.14 มลิ ลเิ มตร จงบอกสภาพของเพลาลูกเบ้ียวน้ี 5. อธิบายการตั้งหนา้ ทองขาวมาพอสังเขป

240 บทท่ี 10 การตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครอื่ งยนต์ ตอนที่ 2 อธิบายค�ำศัพท์ (หมายถึง แปลค�ำศพั ท์ ใหร้ ายละเอยี ดเพมิ่ เติม ขยายความ ถา้ มตี ัวอย่าง ให้ยกตัวอยา่ งประกอบ) ตอบแบบสนั้ Thrust Clearance 2. Backlash 3. Runout 4. Lobe Height 5. Endplay 6. Ignition System ตอนท่ี 3 จงเลอื กค�ำตอบข้อทถ่ี ูกทีส่ ุด 1. การวัดความคดของเพลาลกู เบยี้ วใช้เครือ่ งมอื ใด ก. ไดอัลเกจ ข. ฟิลเลอร์เกจ ค. ไมโครมเิ ตอร์ ง. เวอรเ์ นยี รค์ าร์ลบิ เปอร์ 2. การท�ำงานของมอเตอร์สตาร์ตจะสิน้ สุดลงเมอ่ื ใด ก. เม่ือรถยนตม์ กี ารเคลอื่ นท ่ี ข. เมือ่ คลตั ช์ทางเดยี วหยุดท�ำงาน ค. เม่อื เครื่องยนต์ท�ำงานเองได้ ง. เม่ือเครอ่ื งยนต์หยุดหมุน 3. ระบบจดุ ระเบดิ ของเครื่องยนตห์ น้าทใ่ี ด ก. จ่ายไฟแรงสูงไปยงั หัวเทียน ข. สร้างไฟแรงต�่ำใหเ้ กดิ ประกายไฟแรงสูงท่ีห้องเผาไหม้ ค. ทำ� ให้เกดิ การเหนีย่ วนำ� เพ่อื เกดิ แรงเคลอื่ นไฟแรงสูง ง. เกิดประกายไฟท่หี ้องเผาไหม้ 4. เครื่องยนตห์ มุนแตส่ ตาร์ตไม่ติด ควรตรวจสอบจุดใด ก. ระบบหลอ่ ลืน่ , ระบบสตารต์ ข. ระบบไฟฟา้ , ระบบจุดระเบิด ค. ระบบน้ำ� มนั เชือ้ เพลิง, ระบบจุดระเบิด ง. ระบบระบายความร้อน, ระบบเช้ือเพลงิ 5. ถ้าขดลวดรเี ลย์เตือนไฟชาร์ทขาดหรือไหม้จะมีผลอย่างไร ก. มีการประจุไฟมากเกินไป ข. กระแสไฟในระบบตกคร่อม ค. มกี ารประจุไฟน้อย ง. แรงเคลอื่ นจะตำ่� 6. เครือ่ งมอื ใด ใชว้ ัดความโตของกระบอกสบู ก. plastic gauge ข. outside micrometer ค. dial gauge ง. bore gauge

งานเครือ่ งยนต์แกส๊ โซลีน 241 7. การวัดกำ� ลงั อัดเครอื่ งยนตแ์ บบเปยี ก ถา้ มคี ่าก�ำลังอดั เพิ่มขึน้ เกดิ จากสาเหตุใด ก. ลิ้นรั่ว ข. ฝาสูบโกง่ งอ ค. แหวนลูกสบู สกึ หรอ ง. ปะเก็นฝาสูบชำ� รดุ 8. เครือ่ งยนต์สภาพดี ใชห้ ัวเทยี นถกู ตอ้ ง เขีย้ วหวั เทียนจะมสี ีใด ก. สขี าว ข. สนี ำ�้ ตาลอ่อน ค. สีดำ� เปียก ง. สีด�ำแห้ง 9. ลกั ษณะใดทแ่ี สดงวา่ ปลอกน�ำลิ้นสกึ ก. ควันไอเสียมีสีขาว ข. ควนั ไอเสียมีสดี �ำ ค. เครือ่ งยนต์ไมม่ ีก�ำลัง ง. สนิ้ เปลอื งน�้ำมันเช้อื เพลงิ 10. การตรวจปรับระยะหา่ งลนิ้ ไอดี และไอเสยี ไดพ้ รอ้ มกัน สูบนั้นตอ้ งอยู่จังหวะใด ก. ดดู ข. โอเวอรแ์ ล๊บ ค. ระเบิด ง. อัด 11. การวดั ความโก่งของฝาสบู ใชเ้ ครอ่ื งมอื ใด ก. ไดอลั เกจและฟิลเลอรเ์ กจ ข. พลาสตกิ เกจและฟิลเลอรเ์ กจ ค. เวอร์เนยี และฟลิ เลอร์เกจ ง. บรรทดั เหลก็ และฟิลเลอรเ์ กจ 12. การวัดขนาดลกู สบู ท่ถี ูกต้องวัดในต�ำแหนง่ ใด ก. หวั ลกู สูบ ข. แนวสลักก้านสูบ ค. กลางลูกสูบ ง. แนวชายกระโปรงลกู สูบ 13. การปรบั สว่ นผสมน้ำ� มนั เช้อื เพลิงกบั อากาศทีค่ ารบ์ เู รเตอร์มีวิธีการท�ำแบบใด ก. หมนุ สกรปู รบั อากาศเข้าและคลายออก หนงึ่ รอบครึ่ง ข. ตดิ เครอ่ื งยนตป์ รับสกรอู ากาศและเร่งเครอ่ื ง ค. ติดเคร่ืองยนต์อนุ่ ให้ไดอ้ ณุ หภมู ิการท�ำงานและปรับสกรูอากาศ ง. หมุนสกรูปรบั อากาศให้แนน่ แล้วหมุนสกรปู รบั ล้นิ เรง่ 14. การวดั ระยะรนุ ระยะห่างฟนั เฟือง ความเบย้ี วของเพลาใชเ้ ครือ่ งมอื ใด ก. ไมโครมิเตอร์ ข. ไดอัลเกจ ค. ฟลิ เลอร์เกจ ง. เวอรเ์ นยี รค์ าลปิ เปอร์ 15. สายพานหมดอายกุ ารใชง้ านดูจากอะไร ก. ดูจากความยาวของสายพานจะสนั้ ลง ข. ดจู ากสขี องสายพานจะเปลย่ี นไป ค. ดจู ากรอยสมั ผัสของสายพาน ง. ดจู ากรอยปรแิ ตกของสายพาน

242 บทท่ี 10 การตรวจสอบช้ินส่วนต่าง ๆ ของเครือ่ งยนต์ ตอนท่ี 4 กจิ กรรมการฝกึ ทักษะ (ให้ความสำ� คญั การท�ำงานเป็นทมี งาน) 1. แบง่ กลุม่ ตามความสมัครใจ 4 กลมุ่ จ�ำนวนเท่า ๆ กนั เลือกหัวหน้าฝ่ายระบบหล่อลืน่ เคร่อื งยนต์ ระดับ 5 ประชมุ คณะท�ำงาน แบ่งหนา้ ทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบ จบั ฉลากเลอื กกจิ กรรมตอ่ ไปน้ี จดั เตรยี ม ส่อื อปุ กรณ์ ตัวอย่าง ที่ชว่ ยสนับสนุนการน�ำเสนอใหเ้ กิดความชัดเจนและครบสาระการเรียนรู้ บริหาร เวลากลุ่มละ 25 นาที นำ� เสนอด้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ / แผน่ ใส 1. จัดบอร์ดเชิงปฏบิ ัติการ “ระบบหล่อลื่นเคร่อื งยนต”์ 2. สนทนาเชิงปฏิบตั กิ าร “ปัญหาท่ีเกิดขึ้นกับระบบหล่อลื่น” 3. อภิปราย (Discuss) “เครอื่ งแสดงในระบบหลอ่ ลน่ื เป็นสิ่ง จ�ำเปน็ หรือ ไมจ่ ำ� เป็น” 4. แตล่ ะกลมุ่ งานปฏิบตั ิตามใบงานที่ 5 “เร่ืองการใส่แหวนลูกสบู ” (บรหิ ารเวลากลมุ่ ละ 30 นาท)ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook