101 ตั้งแต่วนั นนั้ เป็นต้นมา มาณพหนุ่มชา่ งทอง ก็ได้อยรู่ ว่ มภริ มยก์ ามรดกี บั ดว้ ยกาญจนวดีกมุ ารีสมมโนรถ ความปรารถนาเปน็ เวลา นานสิน้ กำาหนดสามเดือน จะได้มีบุคคลผูใ้ ดใครผู้หนงึ่ ในทีน่ ่ันลว่ งรู้ความลบั นีก้ ็ หามไิ ด้ ฝา่ ยพระมหาอุปราชน้นั ครนั้ กาลล่วงไปครบสามเดือนแล้ว ก็ทรงทำาเปน็ เสด็จมารบั พระกนิษฐภคินี กลบั ไป พระพทุ ธางกูรโพธิสตั ว์ เมื่อพระองค์ดำารงกฤษดาภินหิ ารพระบารมญี าณยังอ่อน ต้องถกู เพลงิ คอื ราคะกเิ ลส เบยี ดเบยี นบฑี า บังเกิดข้นึ มาแล้ว และมิอาจระงับเสยี ได้ จงึ เปน็ ไปตามอาำ นาจราคะกิเลสประกอบปรทาร โทษล่วงเกนิ ภรรยาของผูอ้ ื่นเปน็ กาย ทุจรติ เชน่ น้ี ครัน้ ดับขนั ธ์สิ้นชีวิตในครั้งนี้แล้ว ก็ตอ้ งสืบปฏิสนธิไป บงั เกดิ ในนรกหมกไหม้ ตอ้ งได้รบั ทุกขเวทนาถงึ สาหสั เปน็ หลายครง้ั หลายหน เวียนวนอยใู่ นภูมอิ นั ตำ่าชา้ นานนักหนา นบั เปน็ เวลาถึง ๑๔ มหากปั ดว้ ยเหตนุ ี้ สมเดจ็ พระชินสีห์บรมโลกตุ มาจารย์ ครน้ั ไดส้ าำ เรจ็ พระปรมาภิเษกสมั โพธญิ าณแลว้ จึงไดท้ รง พระมหากรณุ าตรัสพระธรรมเทศนาส่ังสอนพวกเราชาวพุทธบรษิ ัทว่า \"สตั ว์ ท้งั หลายในโลกสนั นิวาสนี้ ย่อมได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหสั ในอบายภูมสี่ คอื เป็นสัตว์ นรกในนริ ยภูมิเปน็ ตน้ เพราะความกระวนกระวายเดอื ดร้อนด้วยอาำ นาจราคะกิเลส สัตว์ท่ีไม่รู้ พระสัทธรรม ยอ่ มถึงความกอ่ เกิดเปน็ ร่างกายเทีย่ วเวียนว่ายอยู่ในโอฆสงสารเจริญภพเจริญ ชาติมากมาย แมจ้ ะนับดว้ ยหลายล้านหลายโกฏิอสงไขยนัน้ กน็ บั หาได้ไม่ ต่อเมอื่ เปน็ พุทธ บุคคลแล้วนน่ั แล จงึ จะได้ช่ือวา่ เปน็ ผูพ้ ้นจากอบายภมู ิ\" เมอื่ ได้ทราบความพระพทุ ธภาษติ นี้แล้ว ขอให้ท่านผ้มู ปี ญั ญาท้งั หลาย จงเช่อื ถือคาำ สอนของพระพุทธองค์ เถิด จงทำาใจให้เหน็ โทษภัยในอบายจงมาก หากแต่นา่ สงั เวชอยู่ทีว่ า่ วสิ ยั จิตใจของปถุ ุชนคนเราโดยมากทุก วนั นี้ มักคิดไปเองวา่ ตนนนั้ มปี ญั ญดี เมือ่ มผี เู้ อาภัยในอบายมาชแ้ี จงมาแสดงบอก กม็ ักคิดไปว่าแกลง้ มา กลา่ วหลอกลวงให้เกรงกลวั ไม่ยอมเชอ่ื วา่ เป็นจริง เพราะส่งิ ทว่ี ่าคือนรกตนเองพสิ จู นไ์ มไ่ ด้ ใหห้ ันเหคิด ขวางๆ ไปวา่ เป็นเพียงอบุ ายสอนคนโบราณกาลก่อน ตัง้ แตค่ รัง้ สมยั คนเรายงั โงอ่ ย่เู ท่านั้นเอง นรกสวรรค์มี ทไ่ี หนกนั เมื่อคิดผนั แปรไปเชน่ นี้ กจ็ ะพอกพูนความประมาทให้เกิดมากยิ่งข้นึ ในสนั ดานตน
102 อาจประกอบอกุศลกรรมต่างๆ อนั เป็นเหตใุ ห้ไปเกดิ ในอบายได้ ฉะนั้น ตอ้ งสอนตนใหก้ ลวั ภัยในอบายภูมิ กอ่ นนัน่ แลเป็นดี เจ้าหญงิ สมุ ติ ตาเทวี เม่ือพระโพธสิ ตั วเ์ จา้ ของเรา แตค่ ร้ังมีพระบารมียังออ่ นถกู ราคะกิเลสครอบงำา ทำาใหป้ ระกอบกรรมล่วงกาม มิจฉาแล้วไปสบื ปฏสิ นธิเกดิ ในนรกเสวยทกุ ขแ์ สนสาหัส เปน็ เวลานานนกั ถงึ ๑๔ มหากัปดังกลา่ วแลว้ แต่ ต่อจากน้นั ดว้ ยอาำ นาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยไู่ ม่เส่อื มคลายไปง่ายๆ ครนั้ จตุ ิจากนรกแลว้ จงึ ตอ้ งไปสืบ ปฏสิ นธถิ อื กำาเนดิ เกิดเป็นฬา เป็นเวลานานนบั ได้ ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงไปถอื กำาเนิดเป็นโคอกี ๕๐๐ ชาติ แล้วจงึ ถือกำาเนิดเป็นคนพกิ าร ตาบอด หหู นวกแต่กาำ เนิดอีก ๕๐๐ ชาติ แลว้ มิหนำาซำ้าใหถ้ ือกำาเนดิ เปน็ กระเทยอกี ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงมาถือกำาเนดิ เปน็ สตรีอกี เป็นเวลานานถึง ๕๐๐ ชาติ ในกรณนี ้ี ขอใหท้ า่ นผมู้ ีปัญญาท้งั หลาย พึงสนั นษิ ฐานลงเถิดวา่ แตเ่ พยี งเศษของอกุศลกรรมท่ที ำาดว้ ยความ ประมาทมาตามสนอง ก็น่าสะพงึ กลัวย่งิ นักหนา ฉะน้ัน จงอย่าไดป้ ระมาทในอกุศลกรรมความชั่วทง้ั ปวงเลย ดูแตพ่ ระโพธสิ ตั ว์เจา้ ของเรานเ่ี ถิด ท้งั ๆ ทีต่ ั้งพระหฤทยั ไว้แล้วว่า จะขอตรสั เปน็ พระพุทธเจ้าอนุกูล สงเคราะหแ์ ก่สตั วท์ ง้ั หลายอยโู่ ดยแท้ ควรแลหรือทีพ่ ระองค์ยังต้องถูกราคะกเิ ลสมาครอบงำาเหยยี บยาำ่ บฑี า แต่คร้ังเป็นมาณพหนุ่มชา่ งทอง ใหเ้ กิดปรองดองรักใครก่ บั ภรรยาของผูอ้ ่ืน ได้ชมช่ืนร่ืนรมยอ์ ย่เู พยี งสาม เดือน แตต่ อ้ งถกู กรรมมาซดั ทาำ ให้วิบตั ขิ ดั ขวางเสียเวลาท่จี ะสร้างบารมีเพือ่ โพธิญาณ นับเป็นเวลานานถึง เพียงนไ้ี ด้ กจ็ ะปว่ ยกล่าวไปใยถงึ สามญั ชนสัตวท์ วั่ ไปนีเ่ ลา่ อย่าไดป้ ระมาทเลย เมือ่ ถือกาำ เนิดเกิดเปน็ สตรีเพศได้ส่ีร้อยกวา่ ชาติแลว้ ครน้ั ถงึ พระชาติเป็นท่ีส้ินสดุ เศษปรทากรรมคอื การ ลว่ งเกินภรรยาของผูอ้ ืน่ พระชาติสดุ ทา้ ยทีเ่ กิดเป็นสตรเี พศครบหา้ รอ้ ยนน้ั ด้วยอปราปรเวทนียกรรมตาม สนองจึงเปน็ เหตใุ ห้พระองค์ถือกาำ เนิดเป็นขัตติย กุมารี ทรงพระนามวา่ เจ้าฟา้ หญิงสุมติ ตาราชกมุ ารี เปน็ พระธดิ าของพระเจา้ สุปปบุตรมหาราชผเู้ ป็นใหญ่
103 ก็ในสมยั นั้น เป็นกัปทีม่ ชี ื่อว่า สารกปั เพราะมีพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาอบุ ัตติ รสั ในโลกธาตนุ ้พี ระองคเ์ ดียว ทรง พระนามวา่ สมเด็จพระม่งิ มงกุฏปุราณทีปงั กรสัมมาสมั พุทธเจ้า พระองคท์ รงเป็นพระราชบตุ รของพระเจา้ สุปปบุตรมหาราชเชน่ กันฉะนั้น พระโพธสิ ตั วเ์ จา้ ของเราซ่งึ ทรงพระนามวา่ เจ้าฟา้ หญิงสุมิตตราชกมุ ารี จงึ ทรงเปน็ พระกนษิ ฐภคนิ ีของสมเดจ็ พระม่ิงมงกำาุ ฎพระองค์นนั้ แตต่ ่างพระมารดากนั เมื่อสมเดจ็ พระปุราณทีปังกรจอมไตรโลกุตมาจารย์เจา้ เสด็จมากอบุ ตั ิตรสั ในโลก กาลครั้งน้ัน หมมู่ นษุ ย์ นกิ รนานาประชาชาติ มสี มเดจ็ พระพุทธบิดา คือพระเจ้าสุปปบตุ รมหาราชาธิราชเป็นประธาน ไดม้ จี ติ ศรทั ธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอนั มาก พากันจัดสรรทาำ สักการะบชู าอทุ ศิ เป็นพระพุทธบูชา ธรรมบชู า สงั ฆบูชา และอปุ ฏั ฐากบำารุงด้วยจตปุ ัจจยั ในสังฆมณฑล พระพุทธศาสนาถงึ ความเจริญรงุ่ เรอื ง นักหนา ประชาสตั วต์ ่างไดล้ ้มิ รสอมตธรรม สำาเร็จเป็นพระอริยบุคคลเป็นจาำ นวนมาก ตามสมควรแก่ อปุ นิสยั วาสนาบารมขี องตนทีส่ ร้างไว้ วันหนงึ่ เป็นเวลาสายณั หสมยั ใกลค้ ่าำ แลว้ เจา้ ฟา้ หญงิ สมุ ิตตาราชบตุ รี ประทับยืนอยบู่ นปราสาทชน้ั ท่ี ๗ ทอดพระเนตรลงมาข้างล่างกท็ อดทัศนาการเห็นพระภกิ ษุรปู หนง่ึ ทรงสมณสารปู มีกิริยาอาการนา่ เลือ่ มใส ยง่ิ นัก เจา้ กมู าประดษิ ฐานบิณฑบาตอยแู่ ทบพระทวารวัง พระนางเจ้าจงึ ทรงจนิ ตนาว่า \"ภิกษมุ าบณิ ฑบาต ในเวลาเย็น อันมิใชก่ าลท่คี วรบิณฑบาตเชน่ นี้ ชะรอยจะมปี ระสงคส์ ิง่ ใดสิ่งหนง่ึ เปน็ มั่นคง\" ทรงจนิ ตนาดังน้ี แลว้ จึงดำารสั ใช้บุรุษคนหน่งึ วา่ \"ทา่ นจงลงไปถามความตอ้ งการของพระผู้เปน็ เจา้ ให้รูแ้ จ้งแล้วจงมา\" ราชบรุ ษุ รบั พระดำารสั ถวายบงั คม ลงมาถามไดค้ วามแลว้ กลบั ข้นึ ไปทูลวา่ \"พระผูเ้ ปน็ เจ้า ประสงคจ์ ะ บิณฑบาตน้าำ มัน\" เจ้าฟา้ หญิงสุมติ ตาราชบุตรีน้ัน จึงให้ไปอาราธนาพระผู้เปน็ เจา้ ข้ึนมาเอง ณ อาสนะอันสมควรแล้ว จึงมีพระ ดำารสั ถามวา่ \"พระผเู้ ป็นเจ้า ตอ้ งประสงค์นาำ้ มนั เอาไปเพ่ือประโยชน์สงิ่ ใด?\"
104 \"ขอถวายพระพร พระราชธิดา! อาตมภาพโคจรบิณฑบาตนำา้ มนั ไดเ้ ป็นอนั มากแล้ว ก็แต่งประทีปมากมาย นกั หนาทาำ สกั การะบูชาแด่องค์สมเด็จพระมง่ิ มงกฏุ ปรุ าณทีปัง กรสมั มาสัมพุทธเจ้าจนสิน้ ราตรยี ันรงุ่ คร้ัน เวลาสายสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชมุ พรอ้ มกัน ณ สำานักแหง่ พระบรมครูอาตมภาพก็ตามประทปี บูชาพระอรยิ สงฆส์ าวกท้งั หลายอีกเล่า แต่เฝ้ากระทาำ อย่อู ยา่ งนเี้ ปน็ นิตย์เสมอมานะ พระราชธิดา ขอถวาย พระพร\" ทรงไดฟ้ ังพระคณุ เจา้ เลา่ ถวายใหฟ้ ังดงั นี้ เจ้าสมุ ิตตาราชบุตรีกม็ จี ติ ยนิ ดเี ล่อื มใสหนกั หนา จงึ ทรงถอื ขัน สุพรรณภาชนย์ ุรยาตรไปตกั ตวงนำ้ามันพันธ์ผุ กั กาดจนเต็มขันแลว้ ก็ ทนู เหนือเศยี รเกล้านาำ มา ในขณะนน้ั เจา้ หญงิ ราชธิดากท็ รงบงั เกดิ ความคดิ อันสูงส่งบรรเจดิ จา้ ขนึ้ มาวา่ \"สมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าชของเราไดต้ รสั เป็นองคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจ้า ทรงกระทาำ ประโยชนเ์ กอ้ื กูลแก่มวลสตั ว์โลกเป็นอันมากฉนั ใด กาลนานไปเบ้ืองหน้า ขอจงอาตมาไดต้ รสั เปน็ พระพทุ ธเจา้ สักพระองคห์ นง่ึ เพือ่ จะอนกุ ูลแก่สัตวโ์ ลกฉนั นั้นเถิด\" เม่อื เกดิ ความคิดคาำ นึง ฉะนแ้ี ลว้ พระราชธิดาเจา้ จงึ นาำ สพุ รรณภาชน์นา้ำ มนั นัน้ ลงจากเบื้องบนพระเศยี ร เกล้าแล้วกร็ ินลงในบาตรของพระคณุ เจา้ จนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตัง้ มโนปณธิ านวา่ \"ขา้ แต่ พระคุณเจ้าผเู้ จรญิ ดว้ ยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้ ขอจงเปน็ ปจั จัยใหค้ วามปรารถนาของ ขา้ พเจา้ สำาเร็จดังมโนรถเถิด พระคุณเจา้ ขา ขอพระคุณเจ้าจงเอานำ้ามนั นี้ไปบชู าองคส์ มเดจ็ พระบรมเชษฐาธรรมกิ ราช ซ่งึ ตรัสเปน็ องคพ์ ระสัพพัญญูของขา้ พเจ้าแลว้ ขอพระคณุ เจ้าจงมีจิต การุณชว่ ยกราบทลู พระองค์ด้วยว่า พระราชบตุ รีกนิษฐภคิณีของสมเด็จพระพทุ ธองค์เจ้าน้ี ซง่ึ มี นามวา่ สมุ ิตตากุมารี มกี าลประสาทโสมนัสศรัทธายง่ิ นกั หนา ขอน้อมพระเกศถวายอภิวาท พระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณ และขอตง้ั ปณิธานปรารถนาดังนีว้ ่า ดว้ ยเดชะอานิสงสผ์ ล ทานนี้เป็นปจั จยั นานไปในอนาคต จกั ขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งแลขอให้ทรง พระนามวา่ สทิ ธัตถะ เหมือนด้วยชือ่ แหง่ นาำ้ มนั พันธผ์ุ กั กาดนดี้ ว้ ยเถิด\"
105 ครั้นมีพระดำารสั ไปดงั นแ้ี ล้ว สุมติ ตาราชกุมารกี ็ถวายอภวิ าทพลางส่งพระผเู้ ปน็ เจา้ นัน้ กลบั ไป ฝา่ ยพระภิกษุผู้เป็นเจา้ รปู นั้น ครัน้ ไดน้ ำา้ มันตามความประสงค์มากกวา่ ทุกวันแล้วกด็ ใี จนกั หนา รีบอ้มุ บาตร นาำ้ มันกลับมาสมู่ หาวหิ ารในราตรีกาลวันนั้น พระผู้เป็นเจา้ ก็ได้มีโอกาสกระทำาประทปี บูชาใหส้ ว่างไสว มากกวา่ ทุกวัน ครัน้ แลว้ จงึ เขา้ ไปถวายอภวิ าทสมเดจ็ พระสรรเพชญป์ รุ าณทีปงั กรสัมมาสมั พุทธ เจา้ แล้วจึง กราบทูลว่า \"ข้าแต่พระผูท้ รงพระภาค พระเจ้าข้า! เวลาราตรนี ้ขี ้าพระองค์ไดต้ กแตง่ ประทีปบชู ามากขึน้ กว่าทุกราตรีเช่น ทเ่ี ห็น อยูเ่ วลานี้ ดว้ ยนำา้ มันพนั ธ์ผุ ักกาดอนั ภคนิ ีของพระองค์ถวายมาและพระนางเจา้ ไดท้ าำ พุทธภมู ิ ปณิธาน วา่ ด้วยเดชะผลทานที่ถวายดว้ ยใจเลอื่ มใสย่งิ นักนี้ พระกนษิ ฐภคินเี จา้ ปรารถนาขอได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า สกั พระองคห์ น่ึงทรงพระนาม ว่า สทิ ธตั ถะในอนาคต ข้าพระองค์โอกาสกราบทลู ถามวา่ ความปรารถนาของ พระภคินเี ้จ้าจะสำาเร็จหรอื ไม่ พระเจา้ ขา้ ?\" สมเด็จพระมงิ่ มงกุฏปรุ าณทปี งั กรบรมศาสดาไดท้ รงสดบั แลว้ จึงทรงมพี ระพทุ ธฎีกาตรสั ว่า \"ดูกรภกิ ษ!ุ บัดน้ี สุมติ ตาราชกมุ ารกี นิษฐภคนิ ีของเรานั้น เจา้ ยงั ต้งั อยใู่ นอัตภาพเป็นสตรีเพศ จึงยังไม่ สมควรที่จะได้รบั ลัทธยาเทศคำาพยากรณ์กอ่ น\" \"พระเจา้ ขา้ ขา้ แต่พระผมู้ ีพระภาคผเู้ จรญิ ! ก็พระกนิษฐภคินีของพระองคจ์ ักไมมโี อกาสไดส้ ำาเรจ็ พระพุทธภมู ิ เลยหรอื พระเจ้าขา้ \" พระคุณเจ้ารปู นน้ั ถวายนมสั การกราบทูลขึน้ อกี ลำาดับนน้ั สมเดจ็ พระจอมไตรโลกนาถปุราณทีปงั กรสัมมาสมั พุทธเจา้ จงึ ทรงพจิ ารณาดูในอดีตภาคก็ทรง ทราบวา่ พระกนษิ ฐภิคินีสมุ ติ ตรากุมารเี จ้าได้ เคยมพี ทุ ธภมู ิปณธิ านไว้นานนักหนา แตค่ ร้ังเป็นมาณพแบก มารดาว่ายขา้ มมหาสมุทรเปน็ เดิม เมอื่ ทรงพจิ ารณาดูในกาลสว่ นอนาคตภาค ก็ทรงทราบว่าพระนอ้ งนาง
106 เจ้าอาจสำาเรจ็ ซึง่ พระพุทธภูมิปณธิ านได้ จึงทรงมพี ระพทุ ธฎีกาว่า \"ดกู รภกิ ษ!ุ กาลขา้ งหน้าในอนาคตนับแต่น้ไี ปอกี ๑๖ อสงไขยหนงึ่ แสนมหากปั จักมีพระพทุ ธเจา้ พระองค์หน่ึงทรงพระนามวา่ สมเด็จพระที ปังกรซึ่งเปน็ นามเสมอกบั ด้วยเรานี้ จกั เสด็จมาอบุ ัติ ตรสั ในโลก ในกาลนั้นแล สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์น้นั จักไดก้ ล่าวพยากรณซ์ ึง่ พระภคนขี อง เรา พระนอ้ งนางจักไดร้ บั ลทั ธยาเทศในสำานักของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้าพระองค์ นน้ั \" เมอ่ื สมเดจ็ พระปรุ าณทีปังกรสมั มาสมั พุทธเจ้าตรสั ฉะนี้แล้ว พระภกิ ษรุ ูปนั้นก็ถวายนมสั การกระทำาปทกั ษณิ แลว้ กไ็ ปสปู่ ราสาทเจา้ ฟ้าหญงิ สุมติ ตากมุ ารี เล่าแจง้ ความตามท่ีได้ฟงั มาจากพระโอษฐพระผู้มพี ระภาคเจ้า พอไดท้ รงสดับคำาเล่าบอกจบจง เจา้ ฟ้าหญิงกท็ รงมีพระกมลโสมนัสย่งิ นกั มพี ระเสาวณีย์ถวายนติ ย ปวารณาว่า \"ขา้ แตพ่ ระคณุ เจ้าขา! แต่วนั นเ้ี ป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าจงอยา่ ได้เทย่ี วไปแสวงหาทีอ่ นื่ เลย พระุ คณุ จงมารบั นา้ำ มนั ในสาำ นกั แห่งข้าพเจา้ นเี้ ป็นนติ ยท์ ุกวันเถิด\" ต้งั แต่วันน้ันมา พระผ้เู ปน็ เจ้าก็มารบั นำ้ามนั พันธ์ผุ ักกาดจากปราสาทของเจา้ ฟ้าหญงิ สมุ ิตตาราช กมุ ารี ไป ทาำ ประทีปบชู าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า และพระอรยิ สงฆ์สาวกเปน็ นิตย์ทกุ วนั ฝา่ ยเจา้ หญงิ สมุ ติ ตาราชกมุ ารนี นั้ เล่า ครน้ั เวลาอรณุ รุ่งเช้า ก็ใหจ้ ดั แจงอาหารอันประณตี เป็นอันมาก พรอ้ ม ดว้ ยเคร่ืองสกั การะบูชามมี าลาและของหอมเป็นอาทิ แวดล้อมด้วยบรวิ ารเข้าส่มู หาวิหาร ถวายบณิ ฑบาต ทานแกห่ มู่พระภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระพุทธเจา้ เป็นประธาน ด้วยความเชื่อมน่ั เล่ือมใสเป็นอยา่ งย่งิ กจ็ าำ เดิม แตก่ าลนัน้ มา เจา้ ฟา้ หญงิ ก็มใี หพ้ ระหฤทัยเบ่อื หน่ายจากความท่ีได้อตั ภาพเป็นสตรีเพศย่งิ นกั สูอ้ ตุ สา่ หก์ ้ม หนา้ บำาเพญ็ กุศล เปน็ ตน้ ว่าบรจิ าคทาน รักษาศีล สมาทานอโุ บสถ ประพฤติพรหมจรรยเ์ ป็นอาจณิ ครั้นส้นิ พระชนมายแุ ล้ว กไ็ ด้ขึน้ ไปบังเกิดเสวยทิพยสมบตั ใิ นดุสติ เทวโลก ก็เป็นอนั วา่ บัดน้ี สมเดจ็ พระโพธสิ ัตว์ เจา้ ของเราทรงหมดสนิ้ จากเศษปรทารกรรมความลว่ งเกนิ ภรรยา ของผู้อ่นื แตเ่ พียงนี้
107 อรติเทวราชบพิตร เมื่อเจ้าฟา้ หญงิ สมุ ิตตาราชกุมารี สิน้ พระชนมายไุ ปบังเกดิ ในสวรค์เทวโลกชั้นดสุ ติ เปน็ เทพบตุ รเสวยทิพย สมบตั ิอยูส่ ้นิ กาลนาน กาำ หนดได้ห้าสิบเจด็ โกฎิกับอกี หกล้านปแี ล้ว ก็จตุ จิ ากดุสติ สวรรค์ทอ่ งเท่ียวเวียนตาย เวียนเกิดด้วยอำานาจวฎั สงสารอีกสิ้น กาลนานชา้ กาลครงั้ หน่งีึ พระองคไ์ ดท้ รงมาถือกาำ เนิดในราชตระกูล ครน้ั สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตแลว้ ก็ไดส้ บื ราชสมบัตแิ ทนพระราชบิดา ไดร้ าชาภิเษกเป็นเอกองค์อคั รราชาธบิ ดี เถลงิ สิรริ าชสมบัตสิ บื สันตติ วงศ์ ทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระเจ้าอรดีเทวราชบพติ ร ดาำ รงราชกจิ โดยทศพธิ ราชธรรม มอี ำามาตยผ์ ู้หนงึ่ นามวา่ สริ ิคุตมหาอำามาตย์ เปน็ ผอู้ นุศาสนบ์ อกอรรถธรรม กใ็ นกาลครัง้ นี้ ปรากฏว่ามพี ระพุทธเจา้ เสด็จมาอบุ ัติตรสั ในโลกธาตุนี้พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระมิ่งมงกุฎพรหมเทวสัมมาสัมพทุ ธเจ้า คราวหนงึ่ พระองคท์ รงอตุ สาหะเสดจ็ พระพทุ ธดำาเนนิ มา ณ กรณั ฑ กะนครของพระเจ้าอรดเี ทวราช เพือ่ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาประกาศพระบวรพทุ ธศาสนา ใหเ้ หลา่ ประชา สตั ว์ได้ดืม่ อมตธรรม ในขณะที่พระองคเ์ สด็จมาถงึ พระนครนนั้ พระฉัพพัณณรงั ษหี กประการอันซ่านออกจาก พระพทุ ธสรรี ะกาย ปรากฎมากมายนักหนาครอบงำาท่ัวภารา แลดูราวกับว่าภานมุ าศเทพมณฑล คอื พระจนั ทร์มาอทุ ยั ไขรัศมพี ร้อมกันทง้ั พันดวง มรี ัศมรี ุ่งเรืองสวา่ งไสวน่าอัศจรรย์ใจยงิ่ นัก ในระยะนน้ั สมเดจ็ พระเจ้าอรดเี ทวราชบพิตรกาำ ลงั ประทบั น่งั บนพระแท่นรตั นบลั ลังก์ ณ พน้ื เบื้องบนพระ มหาปราสาท มสี ริ ิคุตมหาอาำ มาตย์หมอบเฝ้าอยใู่ นทเี่ ฉพาะพระพักตร์ คร้นั ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นพระ พทุ ธรังษีมาปรากฎอย่างอศั จรรย์ มไิ ด้ทนั ทจี่ ะทรงพระอนสุ รณค์ ำานึงเห็นว่าเป็นอะไรกนั แน่ จะว่าเปน็ พญา ไกรสรสหี ราชหรือวา่ เปน็ เทพยดามนษุ ยน์ ิกรคนธรรพ์กินนรมากระทำา ฤทธิ์ให้วปิ รติ ไปก็ใหท้ รงมีพระกมล สะท้านหวาดเสยี วเปน็ ท่สี ดุ ทรงมีพระอาการจะทรุดพระองคล์ งจากพระราชบัลลงั กอ์ าสน์
108 สิรคิ ตุ มหาอำามาตย์ไดเ้ หน็ พระอาการสะดงุ้ พระราชหฤทัยดงั นัน้ จึงรบี ผายผนั ไปทศั นาดูโดยสีหบัญชรของ พระแกล ก็แลเห็นองค์สมเดจ็ พระบรมศาสดา ซึง่ ทรงพระสิริโสภาประดบั ดว้ ยพระทวตั ติงสะมหาปุริสลักษณ์ และพระอสตี ิยานุ พยญั ชนะมพี ระฉัพพรรณรังษีโอภาสทาำ ให้สวา่ งกระจา่ งจบั ทว่ั สกลภารา สิริคตุ มหาอาำ มา ตยาบดี แต่พอได้ทอดทัศนาเห็นพระองคเ์ ช่นน้กี ท็ ราบได้ทันทวี ่า เจ้าของพระรัศมนี ้นั เป็นพระสมั มาสัมพุทธ เจา้ คราวน้ี หากจะมปี ัญหาวา่ ทำาไมสริ คิ ุตอำามาตย์จึงทราบไดท้ ันทีเชน่ นี้ มคี าำ วสิ ัชนาว่า สิริคุตอำามาตย์ผนู้ ี้ หรอื ก็คอื พระศรีอรยิ เมตไตรยโพธสิ ัตว์ ซึ่งได้มีอภนิ ิหารบารมอี บรมมานานนักหนา นานกว่าพระเจา้ อรดี เทวราชมหากษัตริย์แห่งตน ได้เคยประสบพบปะองค์สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ มามากมายหลายรอ้ ย ชาติแล้ว ทง้ั ในชาตนิ ้ีกเ็ ป็นพระราชครผู ู้รอบรู้ส่งั สอนอรรถธรรมแก่สมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว ฉะน้นั พอไดท้ อด ทศั นาเหน็ สมเด็จพระจอมมนุ ี จงึ พลนั ทราบไดท้ ันทีวา่ องคพ์ ระผู้ทรงพระรศั มีเหน็ ปานฉะน้ี คือ องคส์ มเดจ็ พระชนิ สีหส์ ัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นสริ ิคุตอาำ มาตย์ทราบชัดด้วยใจตนเองเช่นนี้ ก็มจี ิตยินดีโสมนัสเป็นล้นพน้ รีบลนลานกราบทลู สมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ของตน ขา้ แตม่ หาราช พระเจา้ ขา้ ! ขอพระองคอ์ ยา่ ได้ทรงหวาดเสียว ทรงพระวติ กถึงภัยสิง่ ใดเลย แสงพระรัศมีที่ เห็นนัน้ เปน็ แสงแห่งรศั มขี องท่านผ้ทู รงบญุ ญาธกิ ารย่งิ ผู้ หนึง่ ที่กาำ ลังมุ่งหน้ามาสู่พระนครของเราน้ี และ ทา่ นผู้มกี าำ ลังมาสพู่ ระนครเรานน้ี นั้ จะไดเ้ ปน็ สามัญบุคคลก็หามไิ ด้ โดยทีแ่ ท้ ท่านผู้นนั้ คือสมเด็จพระมิง่ มงกฎุ บรมศาสดาจารย์ผทู้ รงพระสัพพัญญุตญาณยอดโลก แล้ว ทา่ นผูน้ ้เี ปน็ องคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธ เจา้ ผอู้ ุดมในไตรโลกเปน็ เอกอัครโลกนายก ทรงอุบัตขิ ้นึ เพ่ือจะเก้อื กูลแกส่ รรพสัตว์ ทรงเปน็ พระเ้จ้าผ้ชู นะ มารและสมควรจะรบั สักการะบชู าน้อยใหญข่ องประชาสัตว์ ทัง้ หลาย ทรงมคี ตทิ ่ีไปเป็นอันดี ทรงไพบลู ย์ ดว้ ยวิทยาและจรณธรรม เป็นผูอ้ ำานวยนาำ นพิ พานสุขใหแ้ กฝ่ งู สตั วไ์ ด้ พระองค์ย่อมเปน็ ใหญ่ในสามภพตรสั รู้ แจง้ จบในสรรพเญยยธรรมทั้งปวง ดว้ ยพระองค์เปน็ ผ้วู เิ ศษในทางทรมานสัตวบ์ รุ ษุ ดจุ สารถีอดุ ม ทรงเป็น บรมศาสดาของหม่เู ทพยดาแลมนษุ ย์ เป็นพุทธบุคคลเบิกบานในโลก จะหาผู้ใดเปรียบโดยคณุ ธรรมใดๆ มไิ ด้ เปน็ ผู้ไม่มีความอาลยั แลว้ ในสรรพสมบตั อิ นั เปน็ เครอ่ื งรดั ตรงึ สตั วท์ ้งั ปวง ไว้ มีปญั ญาจกั ษุลลุ ว่ งใน ทางเป็นประโยชน์ ทรงเป็นธรรมสามีใหญใ่ นธรรมสำาเร็จพระพุทธภูมเิ หมือนพระพุทธเจ้าแตป่ างก่อน ทรงมี พระกมลมากด้วยความละเอยี ดอ่อนย่งิ ด้วยพระมหากรุณา ทรงสามารถท่ีจะประกาศธรรมโฆษณา ทวั่ ทงั้ ไตรโลกธาตุ พระเจ้าขา้ \"
109 เมือ่ สิรคิ ตุ อาำ มาตยป์ ระกาศพรรณนาพระพุทธเจา้ ดว้ ยพจนากถาอยฉู่ ะนี้ องค์สมเดจ็ พระชนิ สหี ์พรหมเทวา สมั มาสมั พทุ ธเ้จ้าไดเ้ สดจ็ มาใกล้สถานที่น้นั โดยลำาดบั กาล สริ คิ ตุ อาำ มาตยเ์ ห็นสมเด็จพระพิชิตมารเสด็จมา ใกล้ จึงทลู เตอื นใหพ้ ระสตแิ ำาก่พระเจ้าอรดเี ทวราชวา่ \"ขา้ แต่มหาราชเจ้า! ขอเชิญเสด็จอุฏฐานการจา กราชบญั ลงั ก์ ไปทาำ ปจั จคุ มนาการตอ้ นรบั สมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ เถิด พระเจ้าข้า\" สมเด็จพระเจ้าอรดเี ทวราชบรมกษตั ริย์ ครัน้ ไดท้ รงสดบั สริ ิคุตมหาอำามาตย์กราบทลู ดังนี้ พระองค์ก็ทรงมี พระกมลโสมนัสเตม็ ตนื้ ไปดว้ ยพระปติ ิ ซาบซา่ นไปทวั่ ทงั้ พระสรีระกาย ทรงมีพระพักตรม์ ดื มนด้วยกาำ ลังพระ ปติ ิกลา้ ในขณะนนั้ พระองค์ก็ทรงมปี วตั ตนาการวิงเวียนลม้ และตกลงมาจากชานพระทวาร นา่ ตกใจกลัวจะ สนิ้ พระชนมน์ ักหนา แตด่ ว้ ยอำานาจพระราชศรทั ธาอนั กล้าหาญของพระองคม์ าโอบอมุ้ จึงเกิดอัศจรรย์ บันดาลเกดิ เปน็ ดอกเศวตโกสมุ ปทุมชาตงิ ามสะอาดตระการประมาณ เทา่ กงเกวยี น แหวกพน้ื ปฐพีผดุ ข้ึน บานรับประคบั ประคองพระองคไ์ ว้ ครน้ั ทรงไดพ้ ระสตจิ ึงทรงเล่อื นพระองค์ลงจากดอกปทมุ บุปผชาติ และ ดอกปทมุ บุปผชาตินน้ั ก็เล่อื นหายไปในขณะนั้นทนั ที สมเดจ็ พระเจ้าอรตีเทวราช จงึ เสด็จยรุ ยาตรไปดว้ ย พระบาทเปลา่ เข้าไปส่สู าำ นกั เฉพาะพระพักตร์แห่งองคส์ มเด็จพระพรหมเทวาสัมมาสัมพทุ ธเจ้า แลว้ ถวาย นมสั การและกระทำาการสกั การะบูชาด้วยสมุ นบุปผชาตเิ ลอื กลว้ นแตท่ ่ดี ีๆ บริบรู ณ์ด้วยสแี ละกลนิ่ บริสุทธิ์ สะอาด ทรงพระราชศรัทธาเล่ือมใสโสมนัสเป็นอยา่ งยิ่ง ไดแ้ ต่ทรงนง่ิ งนั เฝา้ นมสั การบชู าแลว้ บชู าเล่าอยู่ อย่างน้นั เป็นเวลานานแสนนาน ภายหลังต่อมา สมเด็จพระเจา้ อรดเี ทวราชบพติ รพระองคท์ รงมพี ระราชศรทั ธา ทรงบำาเพญ็ พระราชกศุ ล สมภารถวายเครอ่ื งอุปกรณท์ านทั้งหลายอื่นเป็นอันมาก ทรงมีพระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัสนกั แล้วทรงเกดิ ความคดิ บรรเจดิ จ้าปรารถนาซึ่งพระพทุ ธภูมิ จึงทรงซบพระเศยี รเกล้าก้มลงกราบดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์ ตั้งพระทยั อุทศิ ทำาพทุ ธภูมปิ ณธิ านวา่ \" ข้าแตพ่ ระองค์ผสู้ พั พัญญ!ู พระองคไ์ ดต้ รสั เป็นพระพุทธองคบ์ รมนารถ สามารถยังสัตว์โลกท้ัง หลายใหร้ ้ตู ามได้ฉันใด ขอให้ข้าพระองค์ จงไดต้ รัสเป็นพระพุทธเจา้ แล้วจงสามารถนาำ สตั ว์โลก ท้ังหลายใหร้ ูต้ ามด้วยฉนั นั้น อนง่ึ พระองค์ได้ตรัสรพู้ ระสัพพัญญตุ ญาณพน้ จากภพกันดารแล้ว
110 และสามารถเปลอ้ื งตัวในโลกทั้งหลาย ให้ลว่ งพน้ จากภพกนั ดารด้วยฉนั ใด ขอให้ขา้ พระองค์จง ไดต้ รสั รธู้ รรมเชน่ นั้น และสามารถเปลอ้ื งสัตวโ์ ลกทัง้ หลาย ใหล้ ่วงพ้นจากภพกันดารฉนั นั้น เถิด\" เม่ือ สมเดจ็ พระเจ้าอรดีเทวราช ได้ทรงกระทำาพระพุทธภมู กิ ปณธิ านในพระทยั ฉะนีแ้ ล้ว ก็มีพระกมลเบกิ บาน บนั เทงิ เป็นหนกั หนาแล้วจึงถวายนมสั การลา เสด็จอฏุ ฐาการกระทาำ ประทักษิณสมเด็จพระพรหมเทวาโลก นายกแล้ว ก็เสด็จกลบั คนื สพู่ ระราชวัง ตง้ั แตว่ นั นนั้ เปน็ ตน้ มา พระองค์ก็ทรงพระอุตสาหะสรา้ งสมพระราช กุศล ทรงบรจิ าคทานสมาทานศลี อโุ บสถ ประพฤตพิ รหมจรรย์เปน็ อาจณิ มีพระกมลนิยมยินดีในกศุ ลธรรม สุจริต มิได้เบ่ือหน่าย ทรงม่งุ หมายในพระพทุ ธภมู เิ ป็นนริ ันดร์ จนสวรรคตส้ินพระชนมายุแล้ว เสด็จไปอบุ ัติ เกดิ ในสวรรค์เทวโลก การ สรา้ งพระพทุ ธบารมีทเ่ี ลา่ มาน้ี เปน็ การสรา้ งพระบารมเี พื่อพระปรมาภเิ ษกสมั โพธญิ าณตอนเรม่ิ แรก คอื ตอนมโนปณิธาน ตง้ั ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไวแ้ ตใ่ นหฤทัยอย่างเดยี ว มิไดอ้ อกโอษฐ์เปล่งวาจา ปรารถนา ขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ บรมครูแหง่ เราท้งั หลาย แตเ่ พยี งสว่ นน้อยในอสงไขยต้น เท่านั้น มใิ ชท่ ั้งหมด อย่าเข้าใจผดิ เ้ป็นอนั ขาด ความจรงิ พระองคไ์ ดท้ รงสรา้ งพระบารมใี นตอนนีแ้ ละได้ พบพระพทุ ธเจา้ มากมายหลาย ชาตนิ ักหนา จนนบั ไม่ถ้วน ไม่สามารถจะประมวลพระชาตขิ องพระองคม์ า กล่าวไว้ใหห้ มดส้ินในท่ีน้ี ไดจ้ าำ ไว้งา่ ยๆ ก็แลว้ กันวา่ องคส์ มเด็จพระศรีศากยมนุ ีโคดมบรมครูเจ้าของเราทง้ั หลายน้ี พระองคท์ รงสร้างพระบารมตี อนเร่มิ แรก ได้แตน่ กึ ปรารถนาพระพทุ ธภมู ใิ นพระหฤทัย ตามเรื่องท่ี ยกมาเลา่ เปน็ ตวั อย่างนี้ นับเป็นเวลานานถงึ ๗ อสงไขย ใน กรณีน้ี ทา่ นผู้มีปัญญาก็ยอ่ มจะพจิ ารณาเหน็ กนั ทวั่ ไปแล้วหรอื มใิ ช่เลา่ วา่ การสรา้ งพระบารมเี พอื่ ปรมาภเิ ษกสมั โพธญิ าณขององค์พระผมู้ ีพระภาคนน้ั เปน็ การลำาบากแลใชเ้ วลายืนยาวนานเพียงไร พรรณาในมโนปณิธาน ความปรารถนาเรมิ่ แรกซ่ึงพระพทุ ธภูมิแหง่ องค์สมเด็จพระม่ิงมงกฏุ ศรี ศากยมนุ ี โคดม เห็นสมควรท่ีจะยุตลิ งไดแ้ ลว้ จงึ ขอยตุ ลิ ง ด้วยประการฉะนี้
111 บทที่ ๓ พระบารมตี อนกลาง บัดนี้ จักพรรณนาถึงการสรา้ งพระบารมเี พื่อพระปรมาภเิ ษกสมโพธญิ าณ ของสมเดจ็ พระม่ิงมงกฏุ ศรี ศากยมนุ ีโคตมบรมครูเจา้ ของเราในตอนวจีมโนปณธิ าน คือ ตอนทพี่ ระองคอ์ อกโอษฐ์เปลง่ พระวาจาปรารถ นาซงึี พระพุทธภูมิต่อไป ก็องค์สมเด็จพระศรศี ากยมุนีโคดมบรมศาสดาเจ้าของเราทงั้ หลายนน้ั พระองค์ท่านเปน็ พระสัมมาสมั พทุ ธ เจา้ ประเภทปญั ญาธิกะ สรา้ งพระบารมมี าชนดิ ยอดเยยี่ มด้วยพระปญั ญาฉะนั้น หลังจากทรงตง้ั มโนปณิธาน ความปรารถนาเปน็ พระพุทธเจ้าอยู่ในพระหฤทัย มิได้ออกพระวาจามาครบถ้วน ๗ อสงไขย ดังกลา่ วมาแลว้ พระองคย์ งั จะตอ้ งทรงต้งั วจีปณธิ านคอื อกพระวาจาปรารถนาเปน็ พระพทุ ธเจา้ อีก เป็นเวลานานถึง ๙ อสงไขย ตามความเป็นไปท่ีจะไดพ้ รรณนา ดงั ต่อไปนี้ สาครจักรพรรด์ิภูมบิ ดี เมื่อพระบรมโพธสิ ตั ว์ทรงท่องเทยี่ วเวียนวา่ ยตายเกดิ อยูด่ ว้ ยอาำ นาจวัฏสงสารสน้ิ กาลชา้ นานนักหนา บาง เวลากม็ าเกดิ เป็นมนุษย์ บางชาตกิ ็ได้เกดิ เปน็ เทพบุตร เสวยทพิ ยสมบัติในสรวงสวรรค์น้ัน กาลครั้งหน่ึง พระองค์ไดอ้ ตั ภาพมาอุบัติเกดิ เปน็ มนษุ ย์ ในสมัยน้ันเปน็ สุญกัป โลกธาตวุ ่างจากพระบวรพุทธศาสนา พระองคจ์ งึ ไดอ้ อกบรรพชาเป็นดาบสประพฤตพิ รตอยใู่ นป่าใหญ่ พยายามบำาเพญ็ กสณิ บรกิ รรมภาวนาจน ได้สาำ เรจ็ ปฐมฌาน ครนั้ ดบั สงั ขารสน้ิ ชวี ิตแลว้ ก็ได้ไปอบุ ตั เิ กดิ เป็นพระพรหมผู้วเิ ศษอยู่ ณ พรหมโลกช้นั ปฐมฌานพรหมภมู ิเสวยพรหมสมบัตชิ มฌาน เป็นสุขอยู่เปน็ เวลาหนงึ่ มหากัป แลว้ จึงจตุ ลิ งมาจากพรหม โลก
112 ด้วยเดชะอานิสงส์ผลบุญกุศล ทีพ่ ระองคไ์ ด้ทรงสั่งสมสจุ รติ ธรรมความประพฤตดิ ีงามไว้ ในอดตี ชาติแต่ ปางก่อนเป็นอนั มาก หากมาอำานวยผลให้ในคราวนี้ พอจุติจากพรหมโลกแล้ว พระองค์กไ็ ด้สบื ปฏิสนธิถอื กาำ เนิดในราชตระกูล ณ ธญั ญวดมี หานคร เมื่อถงึ ศุภวารดถิ ีวันทจ่ี ะเฉลิมพระนามน้ัน จึงประชุมพระบรมวงศ์ ได้พร้อมกันขนานพระนามว่า สมเดจ็ พระสาครราชกมุ าร คร้ัน เจรญิ วยั วัฒนาการนานมา เมอื่ สมเดจ็ พระ ชนกธบิ ดดี ับขันธ์สวรรคตแลว้ ก็ไดด้ ำารงสิรริ าชสมบัตสิ ืบกษัตรยิ ข์ ตั ติยวงศ์โดยทศพิธราชธรรม ตอ่ มาทรง พระอตุ สาหะปฏิบตั ใิ นจักรพรรดวิ ตั ร ทเ่ี หล่าราชปโุ รหิตจารยก์ ำาหนดถวายต่างๆ อย่างครบถว้ น แตท่ พี่ เิ ศษ ก็คือว่า เมื่อถึงวันอุโบสถข้นึ ๑๕ คำา่ แล้ว สมเดจ็ พระเจา้ สาครจกั รพรรดภิ ูมบิ ดยี อ่ มเสด็จเขา้ ที่สรง ทรงชาำ ระ สระสนานพระองคใ์ ห้สะอาดแล้ว กท็ รงพระภษู าโขมพัสตรพ์ ื้นขาวค่อู โุ บสถวิเศษ เสดจ็ ขึน้ สถิตอยเู่ บอื้ งบน พระมหาปราสาท ทรงพระอาวชั ชนะนึกถึงอุโบสถศีล ที่พระองค์สมาทานเสมอมามิได้ขาด ลาำ ดบั นนั้ ดว้ ยเดชะอำานาจผลแหง่ พระราชกศุ ล ท่ีพระองค์ทรงรักษาอุโบสถศลี เปน็ ประธาน จงึ บนั ดาลให้สตั ตรัตนะอบุ ตั เิ กิดขน้ึ คอื ๑. ทิพยรัตนะจักรแกว้ บังเกดิ แต่เบ้อื งปุริมทศิ แหง่ มหาสมทุ รงามบริสุทธพิ์ ร้อมดว้ ยพนั แห่งกำา กง อลงกต ย่อมมีมหทิ ธปิ ระสิทธสิ ามารถจะใหส้ ำาเร็จความประสงค์ทุกประการ ๒. พญาคชสารหัศดนิ ทรร์ ัตนสาร คือ ชา้ งแกว้ ตัวประเสริฐเกดิ มาแตอ่ ุโบสถตระกูลอันยิง่ ใหญ่ ๓. พญาอัศดรรัตนะมัย คือ มา้ แก้วสินธพชาตติ วั ประเสริฐบงั เกดิ มแี ต่พลาหกตระกลู อาชาไนย ๔. ดวงจินดารตั นะมณี คอื แก้วมณีอนั ช่วงโชติรัศมบี งั เกดิ มมี าแตบ่ รรพตคีรี ๕. ดรุณรตั นะนารี คอื นางแกว้ ที่เกิดคูส่ าำ หรับบรมกษัตรยิ ์ ซงึี เทพเจา้ จดั สรรนาำ มาแต่อตุ ตรกุรุ ทวปี
113 ๖. คหบดรี ัตนะ คือขุนคลังแก้วผูป้ ระเสรฐิ คู่พระบารมี ๗. ปรนิ ายกรตั นะ คือ พระองค์ทรงมีพระบวรดนยั เชษฐวโรรส ดาำ รงตาำ แหนง่ ทป่ี รินายกรตั นะ ขนุ พลแกว้ บริหารราชกจิ ใหช้ าวประชาผาสุกอยู่เป็นนติ ย์ สมเด็จ พระเจ้าสาครราชจกั รพรรดิทรงประกอบด้วยรตั นะท้ัง ๗ ประการ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เสวยม ไหศูรย์ราชสมบัติโดยราชธรรมประเพณี ทรงมีพระเดชานุภาพแผไ่ ปท่ัวพภิ พจบสกลพน้ื ปฐพี มีสาครสมุทร ท้ังสก่ี ้นั เป็นขอบเขต ทรงเสวยจักรพรรดสิ ขุ อยู่แสนจะสำาราญ กาลคร้งั น้ี ปรากฎมสี มเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าเสด็จมาอุบตั ิตรสั ในโลกธาตุน้ีหน่ึงพระองค์ ทรงพระนาม ว่า สมเด็จพระม่ิงมงกฏุ ปุราณศากยมุนีสัมมาสมั พุทธเจ้า เมอ่ื พระองคไ์ ด้ตรัสรู้แลว้ จงึ ทรงแสดงพระธรรม เทศนาธัมมจกั กปั ปวตั นสูตร ตามพระพุทธประเพณีอนั มสี ืบมา ดว้ ยพระมหาเดชานภุ าพแห่งพระธรรมจกั ร ของพระองค์ที่ทรงแสดงในกาลครัง้ นน้ั หนกั ยง่ิ นกั ประหน่งึ วา่ พืน้ แผ่นปฐพนี ี้ จะทรงน้ำาหนกั ซึ่งพระุคุณไว้ มไิ ด้ กเ็ กิดกมั ปนาทหวาดหวน่ั ไหวเป็นมหัศจรรย์ทัว่ โลกธาตุ ก็เพราะให้มอี นั เปน็ เกดิ กัมปนาทหวัน่ ไหวเปน็ มหัศจรรยท์ ่ัวโลกธาตุกเ็ พราะให้ มีอนั เป็นเกิดกัมปนาทหวาดหวัน่ ไหวไปทวั่ พนื้ ปฐพนี ีเ่ อง จงึ เปน็ เหตใุ ห้จักร แก้วของสมเด็จพระเจ้าสาครราชจอมจักรพรรดิ เคลอ่ื นตกจากทตี่ ้ังไว้ เปน็ นิมติเหตุให้เหน็ ประจักษ์ตาอยา่ ง นา่ อศั จรรยย์ งิ่ แทจ้ ริง ธรรมดาจักรแก้วของพระบรมจกั รพรรดิราชเจา้ นัน้ มหาอำามาตยร์ าชบุรุษทง้ั หลาย ย่อมมน่ั คง สวยงามท่ีเสาสองต้นแลว้ เอาเชอื กผูกจักรแกว้ ประดิษฐานตัง้ ไว้ มน่ั คงเปน็ อันดี อภิบาลรกั ษาอยา่ งถว้ นถี่ ไม่มีโอกาสที่จะเคลอื่ นคลาดพลาดตกลงมาได้ ครัน้ เมอ่ื เกิดกัมปนาทไปทัว่ ทัง้ แผ่นดนิ เช่นนนั้ จกั รแก้วก็ พลันตกลงมาจากทตี่ งั้ อย่ ณ ภายใตเ้ สาทง้ั สองนั้น ฝ่ายราชบุรุษผอู้ ภิบาลรักษา ได้เหน็ แลว้ กต็ กใจ จึงรีบ เข้าไปกราบทูลสมเดจ็ พระสาครราชบรมจกั รพรรดิ์ พระองค์ไดส้ ดบั กท็ รงสะดุ้งพระทยั ว่าจักรแกว้ นี้ ยอ่ ม เป็นที่นับถือทั่วโลก เหตไุ ฉนจงึ พลดั ตกไปจากท่ตี ้งั ได้ ในกรณีเชน่ นอี้ นั ตรายแห่งชวี ิตจะมีแก่เรา
114 หรอื ว่าอนั ตรายจะปรากฎมีแกร่ าชสมบตั ิเหน็ ประการใด ทรงสงสัยดังน้ีแล้ว จึงดาำ รัสถามโหราราชเนมติ ทิพาจารย์ท้งั หลายว่าเปน็ ประการใด พระโหราราชครูผูร้ ู้นิมิตทงั้ หลาย ถงึ ถวายพยากรณ์กราบทูลวา่ \"ข้าแตส่ มมตเิ ทวราช! เหตทุ ่ที าำ ให้จกั รแก้วน้ี เกิดมีอันเป็นเลื่อนเคล่ือนตกลงไปนั้นมีอยู่ ๒ ประการ คอื ๑. เป็นนิมติ แห่งอันตรายตอ่ พระชนม์ ของสมเดจ็ พระบรมจักรพรรดิและ ๒. เปน็ นิมิตแหง่ เหตุท่ีสมเดจ็ พระสรรเพชญ์สัมมาสัมพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาอุบตั ิในโลก จกั รแกว้ จะเคลอ่ื นตกจากที่ตัง้ ไวไ้ ด้ ด้วยเหตุ ๒ ประการน้ีเทา่ นนั้ พระเจ้าข้า\" สมเดจ็ พระจักรพรรดิราช จงึ ตรัสถามต่อไปว่า \"กจ็ กั รแกว้ ของเราที่เคลื่อนตกครั้งน้ี จะเปน็ ด้วยเหตุประการใดเล่า?\" พระโหราราชครทู ้ังหลาย จงึ พรอ้ มใจกนั ตรวจดูจนแน่แกใ่ จแล้ว จึงกราบทลู ว่า \"ข้าแตพ่ ระองค์ผู้ทรงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ! การทีจ่ กั รรัตนะตกลงมาคร้งั นี้ จะไดป้ รากฎเป็นนมิ ิตแห่งชวี ิต อนั ตรายของพระองคน์ ั้น หามิได้ดอก พระเจา้ ขา้ โดยท่ีแท้ เปน็ นมิ ิตแหง่ ความทสี่ มเดจ็ พระสรรเพชญส์ ัมมา สมั พทุ ธเจา้ เสดจ็ มาอบุ ตั ติ รัสในโลกธาตุนแี้ ทท้ เี ดียว ก็สมเด็จพระสรรเพชญส์ ัมพุทธเจ้าพระองคน์ นั้ เมอ่ื เสดจ็ มาอุบัติตรสั ในโลกธาตนุ ้ีแล้ว ยอ่ มทรงมพี ระเกยี รติ ศัพทบ์ รรลอื ด้วยพระคณุ มากมายเปน็ อดุลนับไมไ่ ด้ ทรงไว้ซงีึ เนมติ ตกนามดังต่อไปนี้ คอื ๑. อรหำ...ทรงเปน็ พระอรหันตก์ อรปดว้ ยพระคณุ ควรที่จะรับสรรพสักการะน้อยใหญ่ได้ ทกุ ประการของชาว โลกท้ังผอง อาจทำาให้เกดิ อานสิ งสเ์ นืองนองมากมาย แก่สรรพสตั ว์ผู้กราบไหวบ้ ชู า
115 ๒. สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ... ทรงเป็นผตู้ รัสรูเ้ องโดยชอบด้วยอำานาจพระบารมีธรรม ทีพ่ ระองคท์ รงสง่ั สมมาชา้ นานธรรมท้งั ปวงมาเกิดขนึ้ พร้อมในพระหฤทัยของ พระองคเ์ อง ๓. วชิ ชาจรณสมปฺ นฺโน... ทรงไพบูลย์ดว้ ยไตรวชิ าและอษั ฎางควชิ า พรอ้ มท้งั จรณะสิบห้าประการ ๔. สคุ โต... ทรงดำาเนินไปดี เพราะมพี ระนิพพานคตอิ นั ดีเป็นทดี่ ำาเนนิ ไป ๕. โลกวทิ ู... ทรงรู้แจ้งโลก เพราะทรงพระสพั พัญญตุ ญาณร้แู จ้งจบทัง้ สังขารโลก (โลกแห่งความมคี วาม เป็น) และโอกาสโลก (โลกแห่งความว่าง) ๖. อนุตตฺ โร ปรุ ิสทมมฺ สารถ.ิ .. ทรงเปน็ สารถีมีพระปรชี ารูท้ รมานบรุ ษุ ผู้ควรทรมานอย่างประเสรฐิ เลิศยิง่ ใน ไตรภพเปน็ อนั ดไี ม่มีผูเ้ สมอเหมอื น ๗. สตถฺ า เทวมนสุ สฺ าน.ำ .. ทรงเปน็ บรมครูใหญ่ ได้โอกาสตรัสพระพทุ ธฎกี าแก่ฝูงสตั ว์ เทพยดา และหมู่ มนษุ ย์พุทธเวไนยทัว่ โลกสนั นิวาส ให้สามารถบรรลถุ งึ คณุ ธรรม อนั มผี ลเป็นสุขพเิ ศษ มพี ระนิพพานธรรม เปน็ ที่สุด ๘. พทุ โฺ ธ... พระองค์เป็นผูต้ รัสรแู้ ล้วเตม็ ท่ี เปน็ ผ้ตู ่นื แลว้ จากความหลับ คอื กิเลสนทิ รา ๙. ภควา... พระองค์ทรงเปน็ ผ้จู ำาแนกธรรม และเปน็ ผู้มสี ว่ นแหง่ พระบารมธี รรมอนั จำาเรญิ โดยพระเดชานุภาพแห่งองค์สมเดจ็ พระสรรเพชญส์ ัมมาสัมพุทธเจา้ พระองคผ์ ูท้ รงพระคุณอันประเสริฐล้ำา เลศิ ในไตรโลก จักรรตั นของพระองคจ์ งึ หว่นั ไหวให้มีอนั ตกลงมา จะได้มอี นั ตรายอนั ใดอันหน่งึ ก่อนนั้น หามไิ ด้ ขอเดชะ\" พระโหราราชครกู ราบทูลอธิบายอยา่ งยดื ยาว
116 สมเด็จพระเจา้ สาครราชบรมจกั รพรรดิโ์ พธิสัตวไ์ ดท้ รงสดับคาำ เนมติ ตกามาตย์ โหราจารย์กราบทลู พรรณนาบรรยายโดยเอนกประการเช่นนน้ั กท็ รงมพี ระกมลต้นื ตันเตม็ ไปดว้ ยปีติ มอิ าจจะดำารงพระสตใิ ห้ มน่ั คงได้ จงึ ตรัสถามเพอ่ื ใหแ้ นพ่ ระทัยวา่ \"เมอ่ื ครู่นี้ ทา่ นวา่ กระไรนะ พระราชครู! ดูเหมอื นท่านกลา่ ววา่ พทุ โธ หรอื กล่าวว่ากระไร? พระราชครโู หรา จึงกราบทลู สนองไปวา่ \"พระเจ้าขา้ ขา้ แตพ่ ระองค์ผ้สู มมติเทวราช! บดั นี้สมเด็จพระชินสีหส์ ัมมาสมั พทุ ธเจา้ เสดจ็ อุบตั ิเกดิ ในโลกนี้ แล้ว พระเจา้ ขา้ \" ขณะนั้น จึงนายเนมิตตกาจารยผ์ หู้ นงึ่ ซง่ึ ปัญญาดี มคี วามฉลาดไหวพริบรวดเรว็ ได้กระทำาผา้ สะไบเฉยี งบา่ ขา้ งซา้ ย และยอกรประณมถวายนมสั การดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์ บา่ ยหนา้ ไปทางทศิ ทีต่ นทราบว่าองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าประทับอยแู่ ลว้ กล่าวคำาประกาศพระพทุ ธคุณทลู ซาำ้ อกึ วา่ \"ขา้ แตพ่ ระมหาราชะ! สมเด็จพระสรรเพชญสมั มาสัมพุทธเจา้ น้ี พระองค์ทรงเปน็ บรมไตรโลกนาถ ไมม่ ผี ูใ้ ด จะยง่ิ กวา่ เป็นพระอริยะผ้ทู รงคณุ ประเสรฐิ เป็นพระบรมครูตรัสรเู้ ญยยธรรมท้ังปวง เป็นผจู้ าำ แนกธรรมคือ มรรคผลนพิ พาน ทรงพระพทุ ธลกั ษณะงดงามศิริพิลาส ขา้ พระบาทไดท้ ราบมาวา่ พระองค์ทรงปรากฎโดย พระนามขนานว่า สมเดจ็ พระศรีศากยมนุ ีชินสหี ์ สัมมาสมั พุทธเจา้ อนึง่ เลา่ พระองคก์ าำ ลงั เสดจ็ มาประทบั อยู่ ณ มจิ จนี อุทยานกรุงธัญวดีของเรานี่ พระเจา้ ข้า สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรด์ิ ได้ทรงสดบั ดังนี้ กท็ รงมีพระกมลโสมนัสยินดยี ง่ิ นัก จักใคร่เสดจ็ ไป มนัสการสกั การะบูชา จึงมพี ระบรมราชโองการชักชวนวา่
117 \"มาเถิด... ชาวเราเอ๋ย เราจักพากนั ไปเฝ้าสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจา้ เพือ่ เป็นกศุ ลสว่ นทสั สนานุตตรยิ ะ การไดท้ อดทัศนายอดเยยี่ ดำารัสสั่งแลว้ กท็ รงจัดแจงประทีปธูปเทยี นและมาลยั เครือ่ งสกั การะบูชา เสด็จ ด้วยจาตรุ งคิกเสนาบรมจกั รพรรดิ มเี สวกามาตย์ราชบริษัทเป็นปรมิ ณฑลแวดลอ้ มมากมาย เสด็จไปยังมิ จนี อทุ ยาน คร้ันไปถึงได้ทรงทอดทัศนาการเหน็ พระตถาคตเจา้ พระองคก์ ำาลังสถติ เหนือพระบวรบลั ลงั ก์ พทุ ธอาสน์ ทรงงามพิลาศด้วยพระทวัตตงิ สมหาปุริสลักษณะและพระอสตี ยานพุ ยญั ชนะ กท็ รงถวายอภวิ าท ด้วยเบญจางคประดิษฐซ์ บพระเศียรเกลา้ ลงแทบพระบวรพุทธบาทอันไห จิตรด้วยจักรลกั ษณะทงั้ คขู่ อง สมเด็จพระศรศี ากยมุนโี ลกนาถเจ้าแลว้ จงึ ตรัสสดุดีสรรเสรญิ พระพุทธสรีระอันงามหาท่เี ปรียบมไิ ด้ ด้วย พระหฤทัยอนั โสมนัสช่ืนชมวา่ \"โอ้...นับวา่ เปน็ บุญแท้ของตน เราได้ยลพระตถาคตเจ้าพรอ้ มท้ังได้เข้าเฝา้ อยา่ งใกลช้ ิด ณ โอกาสบัดน้ี ความเห็นของเราคราวนี้ นบั วา่ เปน็ ความเห็นอย่างประเสริฐได้ การระบายลม หายใจของเราคราวน้ี ควรนบั ไดว้ า่ เป็นการระบายได้คล่อง ไมข่ ้องขัด ชวี ิตของเราคราวน้ี ก็จกั ได้ว่าเป็น ชวี ิตดีมผี ลประเสรฐิ \" ครน้ั ตรัสสดุดเี ปน็ โถมนวาทีฉะน้ีแล้ว สมเด็จพระเจา้ สาครจักรพรรดริ าช กบ็ ังเกิดพระปีติ ทรงรำาพงึ ใน พระหฤทยั ว่า \"เรานี้ได้อดุ มสมบตั ิ ปรากฎเยย่ี มเทยี มเทพมไหศูรยอ์ ันประเสรฐิ ลา้ำ เลศิ เกดิ แก่เราในชาตินี้ กเ็ พราะมีอตุ สาหะสรา้ งสมกศุ ลสมภารมีทานบรจิ าคและเป็นผู้มากด้วยศลี สมาทานไว้ แต่ชาติปางก่อน จึงอาำ นวยผลใหไ้ ด้ประสบสุขเห็นปานน้ี น่ีเปน็ สว่ นหนึีง ก็ในอนาคตเบอ้ื งหนา้ เล่า บดั นส้ี มเด็จพระตถาคตศรี ศากยมนุ เี จ้า ไดท้ รงเปลือ้ งพระองคใ์ ห้พน้ จากทกุ ขใ์ นวัฏสงสารได้แลว้ ทั้งยงั ทนงนาำ สัตวท์ ง้ั หลายใหห้ ลุด พน้ จากกองทกุ ขไ์ ด้ด้วยฉันใด แม้เรานี้ก็จะตัง้ ใจเปลอ้ื งตนใหห้ ลดุ พน้ จากทขุ ภ์ ัยในวฏั สงสารแลว้ ก็จะนาำ สัตว์ทัง้ หลายอ่นื ให้หลุดพ้นไดด้ ว้ ยฉันนน้ั \" เมอื่ ทรงมพี ระมนสั มงุ่ หมายซึงี พระโพธิญาณ ดงั น้ีแล้วกถ็ วาย บงั คมลาลกุ จากอาสน์ทาำ ประทกั ษิณสมเด็จพระผ้ทู รงพระภาคศรี ศากยมนุ แี ล้ว กเ็ สดจ็ กลบั คืนสพู่ ระนคร ครน้ั เสด็จมาถงึ แล้ว ก็ทรงเรง่ รอ้ นดำารัสสงั่ ให้ราชบริพารนาำ เอาแกน่ จันทนบ์ ริบูรณด์ ้วยสแี ละกลนิ่ มาเปน็ อัน มาก รบั ส่งั ให้ประชุมนายช่างก่อสรา้ งทงั้ หลายมากมายหลายหมวดหลายกอง เ่ร่งใหส้ รา้ งปราสาทกุฎิอนั เป็นทอี่ ยขู่ องพระภิกษุสงฆ์ด้วยไมแ้ ก่นจนั ทน์ มากมายหลายหลงั แล้วรบั ส่งั ใหส้ รา้ งกฎุ ศี าลามณฑป
118 ท่ีพกั ผอ่ นที่หลีกเร้นในราตรีทวิ าวัน สร้างหอฉนั ที่จงกรม โรงไฟ และซุ้มพระทวารลว้ นแล้วแต่แก่นจันทนอ์ กี เชน่ กัน ในวาระสุดทา้ ย ทรงให้เรยี กนายช่างชั้นเอกมาประชุมกนั ออกแบบสรา้ งพระคันธกุาำ ที ่ปี ระทับของ องคส์ มเดจ็ พระผมู้ ีพระภาค สวยงามวิจติ รสมั ฤทธด์ิ ว้ ยแกน่ จนั ทนม์ กี ลิ่นหอม ครั้นมหาวหิ ารอนั สร้างดว้ ย ไมแ้ กน่ จันทน์สำาเร็จลงเรยี บรอ้ ยทุกประการแล้ว สมเดจ็ พระเจา้ สาครราชบรมโพธิสตั วแ์ วดล้อมด้วยราช บรวิ าร เสดจ็ ออกมาเฝ้าสมเดจ็ พระผู้มีพระภาคเจ้า แลว้ ทรงถวายอภวิ าทกราบทลู ถวายพระมหาวหิ ารว่า \"ขา้ พระองคผ์ ู้เจรญ! พระเจา้ ข้า พระมหาจนั ทน์วิหารนี้ ขา้ พระบาทสร้างถวายเฉพาะพระพทุ ธองค์ ขอ พระพุทธองคจ์ งทรงพระมหากรณุ าอนุเคราะห์ข้าพระบาท ขอจงรบั เสนาสนะมหาจนั ทวหิ ารแห่งข้าพระบาท นีด้ ้วยเถิด พระเจา้ ข้า\" ครนั้ กราบทลู ถวายมหาจนั ทนว์ ิหาร ฉะนแ้ี ล้ว ก็ทรงนำาเสดจ็ พระพทุ ธดาำ เนินเข้าสูภ่ ายในวหิ าร ถวายอาหาร บณิ ฑบาตทานแก่พระอริยสงฆ์มอี งคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าเป็น ประธาน พร้อมกับทรงอุทิศถวาย เครื่องอุปกรณ์ทานอีกมากมาย ดว้ ยพระหัตถข์ องพระองค์เอง แล้วทรงมพี ระกมลผอ่ งแผ้วช่ืนชมโสมนัส บัดน้นั สมเดจ็ พระเจา้ บรมจักรพรรดิสาครราชบรมโพธิสัตว์ จงึ เปล่งพระวจปี ณิธานว่า \"ดว้ ย เดชะอำานาจแห่งบุญกรรมน้ี ของจงเปน็ ปัจจยั ราสเี สรมิ ส่งให้ขา้ พระองค์ ไดต้ รัสเปน็ พระพทุ ธเจ้าทรงพระนามวา่ พระศากยมนุ โี คดม เสมอด้วยพระนามพระผู้มพี ระภาคเจา้ นี้ด้วย เถดิ \" คร้ันตรัสฉะนแ้ี ลว้ พระองคจ์ ึงทรงตงั้ วจีปณธิ าน ซ้าำ ลงไปอกี วา่ \"พระบรม ไตรโลกนาถเจา้ นี้ ได้ตรัสเปน็ พระพุทธเจา้ แล้ว ทรงสามารถยงั สตั ว์ทั้งหลายใหร้ ู้ได้ ดว้ ยฉันใด ขา้ พระบาทจักของตรัสเป็นพระพุทธเจา้ จะยงั สตั ว์ท้งั หลายให้ร้ไู ด้ดว้ ยฉนั นน้ั พระ ผ้ทู รงพระภาคผนู้ าถะของโลกนี้ ได้ล่วงพ้นจากสงสารแลว้ ทรงสามารถยงั สัตวท์ ั้งหลายให้ ลว่ ง พน้ ไดด้ ้วยฉนั ใด ขา้ พระบาทขอจงได้เป็นนาถะของโลก ล่วงพน้ จากทกุ ขใ์ นสงสารแลว้ และ สามารถยังสตั ว์ทัง้ หลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันนนั้ พระผ้มู พี ระภาคนาถะของโลกนี้ ทรงขา้ มได้ แลว้ จากโลกและย่อมยงั สตั วท์ ัง้ หลายใหข้ ้ามไดด้ ว้ ยฉันใด ขอข้าพระบาทจงไดเ้ ป็นพระโลกถะ ข้ามได้แลว้ จากโลก และยงั สัตว์ทัง้ หลายให้ข้ามได้ดว้ ยฉนั นัน้ เถิด\"
119 ลาำ ดับนน้ั สมเดจ็ พระปุณาณศรีศากยมุนสี มั มาสัมพุทธเจา้ จงึ มพี ระพุทธฎีกาตรัสวา่ \"ดกู ร มหาบพิตร! การทีจ่ ะปรารถนาซึง่ พระพทุ ธภูมินนั้ ย่อมเป็นการยากยิ่งนกั ทบ่ี คุ คลจะทาำ สำาเร็จได้ ถา้ พระองคใ์ ครจ่ ะเปน็ พระพุทธเจ้าแลว้ จงค่อยสดับความอปุ มาดังน้ี คอื ในเมอื่ หว้ ง จักรวาลอันกวา้ งลึกสุดทจ่ี ะประมาณ เต็มไปด้วยภเู ขาเหล็กลกุ เปน็ โพลงอยู่ไมร่ ดู้ ับ และมพี ื้น เบอ้ื งตำา่ ตามระหวา่ งๆ ขา้ งซอกแห่งภูเขาน้นั เตม็ ไปดว้ ยนำ้าทองแดงทรี่ ้อนแรงจนเหลวละลาย ไหลเหลวเควง้ ๆ อยู่ดุจมหากมุ ภนี รก ผู้ใดมีนำา้ ใจกล้าหาญเด็ดเดย่ี ว สามารถทีจ่ ะว่ายนา้ำ ทองแดงไปได้ดว้ ยกำาลังแขนของตน จนตลอดถึงฟากจักรวาลโนน้ ได้ โดยมิได้อาลยั ถึงเลอื ด เนอ้ื รา่ งกายและชวี ิต ผุ้มนี ำา้ จิตองอาจเหน็ ปานน้ี จึงจะทาำ ตนให้ถงึ พุทธภาวะความเปน็ พระพุทธเจ้าได้ นแี่ หละมหาบพติ ร พระพทุ ธภมู สิ ำาเร็จได้โดยยากดังกลา่ วมาน้ี ขอจงทราบไว้ใน พระทยั เถดิ \" สมเดจ็ พระเจา้ บรมจักรพรรดไิ ด้ทรงสดับพระบรมพุทธาธิบายเปรยี บดงั น้ัน ด้วยกาำ ลงั พระปิติกล้า กท็ รง ออกพระวาจารับเอาว่า \"ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ูเ้ จรญิ ! พระเจา้ ข้า ขา้ พระบาทนแี่ ละสู้กม้ หนา้ ว่ายข้ามแมน่ ้ำาทองแดงรอ้ นนนั้ ไปให้ได้ อยา่ ว่าแตส่ ่ิงทมี่ ีในมนุษยโลกท่ีพระองคท์ รงพระมหากรณุ าชกั อปุ มาเปรียบเทยี บ มาน่ี เลย ถงึ แมว้ ่าพระสัพพัญญตุ ฐาณจะมีอยูใ่ ต้อเวจีมหานรกกด็ ี ตวั ข้าพระบาทน่แี ลพระเจา้ ข้า จะสู้ ก้มหนา้ ดำาดน้ ลงไปค้นควา้ หาให้พบให้จงได\"้ สมเดจ็ พระปุราณศรศี ากยมุนไี ดท้ รงสดบั ดงั นนั้ ก็ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญตุ ญาณวา่ ปณธิ านของ พระบรมจักรพรรดิพุทธางกรู โพธสิ ตั วน์ ี่ นานไปอกี แสนนานถึง สิบสอง อสงไขย กบั เศษแสนมหากัปจงึ จกั สำาเรจ็ ได้ และพระราชาผู้นจี้ กั ไดต้ รัสรู้เปน็ พระพุทธเจา้ ทรงนามว่าพระศรีศากยมนุ ีโคดมเสมอดว้ ยนามเรา ตถาคตน้ี เม่อื พระองคท์ รงทราบชดั ฉะนี้จึงมพี ระพุทธฏีกาดาำ รัสเปน็ พระโอวาทวา่
120 \"ดกู รมหาบพติ ร! ถา้ พระองคม์ ีพระราชประสงคซ์ ึีงพระปรมาภเิ ษกสัมโพธญิ าณแล้ว จงทรง บาำ เพ็ญพระบารมี ๓๐ ใหค้ รบบรบิ รู ณเ์ ถิด\" ฝา่ ย สมเด็จพระเจา้ สาครราชบรมจักรพรรดิเจ้า ครัน้ ได้ทรงสดบั พระพุทธโอวาท ดังนน้ั ก็มีพระกมลโสมนสั เปน็ นักหนาประหนงึ่ ว่า ตนจักได้เป็นพระพุทธเจา้ ในวนั พร่งุ นก้ี ป็ านกนั จำาเดิมแตว่ นั น้ันเปน็ ต้นมา พระองค์ก็ ทรงบรจิ าคทรัพย์สมบัติทงั้ หลายเปน็ อนั มาก กระทาำ บุญสร้างกศุ ลปลกู ฝงั ไว้ในพระบวรพุทธศาสนา แตย่ งั หาทรงอิม่ ในพระทยั ไม่ ในภายหลงั จงึ ไดอ้ อกบรรพชาบวชเป็นพระภิกษสุ งฆอ์ งค์สาวกของพระผมู้ พี ระภาค พระองคน์ ้ัน ทรงพระอตุ สาหะหมัน่ ศึกษาในทางคันถธุระจนชาำ นชิ าำ นาญในพระไตรปิฎกแลว้ จงึ ทรงบาำ เพ็ญ เพยี รในสมถกรรมฐานภาวนาทำาฌานอภญิ ญามิใหเ้ สือ่ ม ครนั้ สนิ้ พระชนมายแุ ลว้ ก็ข้ึนไปอุบตั ิเกิดในรูปาพ จรพรหมโลก การ สร้างพระพทุ ธบารมที เี่ ล่ามานี้ เปน็ การสร้างพระบารมตี อนกลาง คือ ตอนเปล่งวจปี ณธิ านออกโอษฐ ปรารถนาพระพุทธภมู ิ ของสมเดจ็ พระบรมครูเจา้ ของเราท้ังหลายแต่เพยี งชาตแิ รกชาตเิ ดยี ว ตอ่ จากชาติน้ี ไป พระองค์ก็ไดท้ รงเปล่งพระวาจาปรารถนาพระพทุ ธภูมิตอ่ พระพักตรข์ องสมเดจ็ พระ สมั มาสมั พทุ ธเจ้าอีก มากมาย จนไมส่ ามารถจะนำามากลา่ วไวใ้ นทนี่ ้ใี ห้หมดสนิ้ ลงได้ จาำ ไว่ง้ ่ายๆ กแ็ ลว้ กนั ว่า องคส์ มเดจ็ พระศรี ศากยมุนโี คดมบรมครูเจา้ ท่ที รงมีพระมหากรุณาประทานคาำ สอนไว้ ใหพ้ วกเราได้ประพฤติปฏิบตั ิกันทุกวัน น้ีน่ะ พระองค์ี สรา้ งพระบารมตี อนเปล่งวจปี ณธิ านนี้ เป็นเวลานานได้ ๙ อสงไขย พรรณนาในวจีปณธิ าน ความปรารถนาตอนออกโอษฐเปลง่ พระวาจากวา่ จะตรสั รู้แหง่ องคส์ มเด็จพระบรม ครูศรี ศากยมนุ โี คดม เหน็ สมควรจะยุตลิ งไปแล้ว จงึ ขอยุติลง ดว้ ยประการฉะนี้
121 บทที่ ๔ พระบารมีตอนปลาย บัดน้ี จักพรรณนาถึงการสรา้ งพระบารมี เพือ่ พระปรมาภิเษกสมั โพธญิ าณขององคส์ มเด็จพระม่ิงมงกุฎศรี ศากยมนุ ีโคดมบรม ครเู จ้าตอนปลาย คือตอนทท่ี รงไดร้ บั ลัทธาเทศคำาพยากรณจ์ ากสาำ นักสมเด็จพระชินว รสมั มาสัมพุทธ เจา้ ทั้งหลายต่อไป เมื่อพระองคไ์ ดท้ รงเริ่มสรา้ งพระบารมีตอนตน้ เปน็ มโนปณิธานตั้งความปรารถ นาซึงี พระพทุ ธภูมิแตใ่ น พระหฤทัยเป็นเวลานาน ๗ อสงไขยและต่อมาไดท้ รงสรา้ งพระบารมตี อนกลางเป็นวจปี ณธิ านตงั้ ความ ปรารถนาซ่งึ พระพุทธภูมดิ ้วยการออกโอษฐเ์ ปล่งพระวาจาเปน็ เวลานาน ๙ อสงไขย ตามท่ไี ดก้ ล่าวมาแล้ว ในบทก่อน ตอนน้ี ก็ถึงการสรา้ งพระบารมีตอนปลาย ซึีงเปน็ ตอนทส่ี ำาคญั เพราะความม่งุ ม่ันในพระ โพธิญาณของพระองค์ใกลจ้ ะสำาเรจ็ ลง แล้ว โดยไดร้ ับลัทธาเทศคาำ พยากรณจ์ ากสาำ นักแหง่ สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจา้ ทัง้ หลาย ว่าจักไดต้ รัสเป็นพระพทุ ธเจ้าพระองคห์ น่งึ ในกาลอนาคตแนน่ อน ซง่ึ น่นั ก็ หมายความวา่ พระองค์ใดทรงเป็น นิยตโพธิสตั ว์ คือ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้เทยี่ งแทแ้ น่นอนตอ่ การได้พระ ปรมาภิเษกสมั โพธญิ าณ ในตอนน้เี องแม้วา่ พระองค์ใกล้จะได้สำาเร็จพระโพธญิ าณ เพราะได้ผา่ นการสรา้ ง พระบารมีมานาน ๒ ตอนต้น รวมกันถึง ๑๖ อสงไขยก็ดี ถงึ กระนัน้ พระองคก์ ็ยังต้องทรงสรา้ งพระบารมีใน ตอนปลายนี้อกี เป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขย กบั เศษอกี หนง่ึ แสนมหากปั ก่อนอนื่ ขอแจ้งใหท้ ราบว่า ในการกลา่ วถงึ การสร้างพระบารมีตอนปลายน้ี ตงั้ ใจว่าจะพรรณนาใหม้ ากกว่า ตอนอ่นื เพราะเปน็ ตอนสำาคญั ทเ่ี ราท่านควรสนใจ เม่ือได้ปรบั ความเขา้ ใจกันเป็นอนั ดีเช่นน้ีแล้ว กจ็ ะไดเ้ ริ่ม เข้าเร่อื งเสยี ที
122 ทวี่ า่ สมเด็จพระศรีศากยมุนโี คดมบรมครูเจ้าของเราท้ังหลาย ได้ทรงพระอตุ สาหะสร้างพระบารมีในตอน ปลายนี้ เปน็ เวลานานถงึ ๔ อสงไขย กบั อีกหนง่ึ แสนมหากปั นน้ั พงึ ทราบตามลำาดบั ของพระชาติที่พระองค์ ทรงมีโอกาสพบสมเด็จพระพุทธเจ้าและได้ รับลทั ธยาเทศพยากรณจ์ ากสำานกั สมเด็จพระพุทธเจ้าท้ังหลาย ทพี่ ระองคพ์ บในพระชาติน้ันๆ ดังต่อไปน้ี ๑.สมเด็จพระทปี งั กรอุบัติ บรรดาเวลา ๔ อสงไขยกบั หน่งึ แสนมหากัปนัน้ ในอสงไขยทห่ี นึ่งคนแรกทเี ดยี ว ปรากฎวา่ มสี ารมณั ฑกปั หนงึ่ บงั เกดิ ขึ้น กค็ าำ วา่ สารมณั ฑกปั นี้ ทา่ นผมู้ ปี ัญญาทัง้ หลายกค็ งจะจาำ ได้วา่ เป็นกปั ท่มี ีสมเดจ็ พระสัมมา สมั พทุ ธเจา้ เสดจ็ มาอุบตั ิตรัสในโลก ๔ พระองค์ใช่ไหมเล่า เพราะไดเ้ คยกลา่ วไวแ้ ล้วในตอนว่าด้วยเรือ่ งอ สุญกปั โน่นแล้ว ก็ในสารมัณฑกปั ท่เี รากำาลงั พดู ถึงกันอยูน่ ่ี ก็มีสมเด็จพระพุทธเจา้ เสด็จมาอุบัตติ รสั ในโลก ๔ พระองค์ คือ ๑. สมเด็จพระม่ิงมงกุฎตัณหังกรพทุ ธเจ้า ๒. สมเด็จพระมง่ิ มงกุฏเมธงั กรพทุ ธเจ้า ๓. สมเด็จพระมิง่ มงกุฎสรณังกรพุทธเจา้ ๔. สมเด็จพระมิ่งมงกฎุ ทีปงั กรพทุ ธเจ้า กใ็ นระยะกาล ท่ีสมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ๓ พระองคแ์ รก คอื พระตณั หงั กรพทุื ธเจา้ และพระเมธงั กรพทุ ธ เจา้ และพระสรณังกรพุทธเจา้ เสด็จมาอุบตั ิตรสั ในโลกและประกาศพระศาสนาอยนู่ ้นั พระโพธิสัตว์เจา้ ของ เรา กไ็ ด้เกดิ ในโลกน้ี ดป้ ระสบพบปะและสร้างพระบารมีในสำานกั ของพระพทุ ธเจา้ เหล่านนั้ ทกุ ๆ พระองคม์ า แต่เพราะวาสนาบารมยี งั ไม่เต็มท่ีบรบิ รู ณด์ ี จึงยงั ไม่ได้รบั ลทั ธาเทศพยากรณ์จากพระโอษฐข์ องสมเด็จพระ สัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทงั้ สามพระองค์น้ันเลย ฉะนั้นตอนนีจ้ ึงไม่คอ่ ยสาำ คัญเทา่ ใดนกั
123 มาถงึ ตอนสำาคญั เอาเมอื่ ถงึ ศาสนาของสมเด็จพระพทุ ธเจา้ พระองค์สุดท้ายในสารมณั ฑ กัปน้นั คือศาสนา ของสมเด็จพระสรรเพชญทปี ังกรพุทธเจา้ จงึ จะเกิดเหตสุ าำ คญั ซง่ึ จะไดพ้ รรณนาดงั ต่อไปน้ี จะกลา่ วกลับจบั ความ จำาเิดิมต้งั แต่ศาสนาของสมเดจ็ พระมงิ่ มงกฎุ สรณังกรพทุ ธเจ้า ค่อยเส่ือมสลายสญู สิน้ ไปหมดแลว้ โลกกว็ า่ งจากศาสนาอย่ชู ่วั ระยะกาลนานชา้ ต่อมาจงึ ไดม้ สี มเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอบุ ตั ิ ตรสั ข้นึ อกี พระองค์หนงีึ สมเดจ็ พระพทุ ธเจ้าพระองคน์ ีท้ รงพระนามวา่ สมเด็จพระม่ิงมงกฎุ ทีปงั กรสัมมาสัม พทุ ธเจา้ เม่ือพระองคท์ รงอบุ ัติขน้ึ แลว้ กท็ รงประกาศพระพุทธศาสนา ยังศาสนธรรมใหแ้ ผ่กว้างออกไปเหลา่ สตั วท์ ้ังหลายในสมัยน้นั ครน้ั ไดร้ ับรสพระธรรมเทศนา ต่างก็ได้บรรลมุ รรคผลตามสมควรแกอ่ ุปนสิ ัยของ ตนเปน็ อนั มากแลว้ กาลครั้งนนั้ ยังมพี ราหมณม์ าณพหนมุ่ ผูห้ น่ึงปรากฏนามวา่ สุเมธพราหมณ์ มที รพั ยม์ หาศาลนบั ได้มากมาย หลายโกฏิทีเดียว นอกจากน้นั ยงั เป็นผู้เช่ียวชาญในเชิงมนต์ เฟอ่ื งฟ้งุ รแู้ จง้ ในไตรเพทางคศาสตรฉ์ ลาดใน ศลิ ปส์ นิ้ ทกุ ประการ วนั หนึง่ สเุ มธพราหมณผ์ ้หู นุ่มนั้น นงั่ อยภู่ ายในห้องระโหฐานเปน็ ทส่ี งดั แล้วรำาพงึ ข้นึ ดว้ ย จินตามยปญั ญาว่า \"ขึน้ ชื่อวา่ การก่อภพกาำ เนิ ิดเกิดเป็นรูปกายขน้ึ ใหม่นี้ ยอ่ มมกี องทกุ ข์ท่วมทน้ หฤทัยเที่ยงแท้ อน่งึ แมเ้ มอื่ ชนมช์ ีพแตกพรากจากกายทำาลายรา่ งสรรี พยพนัน้ เล่า กเ็ ป็นทกุ ขถ์ งึ ท่ีสดุ ใหญย่ ิง่ กวา่ ทกุ ขท์ งั้ ปวง การกอ่ ภพชาติใหม่น้เี ป็นทกุ ขใ์ หญห่ ลวง เพราะกอ่ ชาตกิ ำาเนดิ ชาติก่อใหเ้ กดิ ชรา ชราก่อให้เกิดพยาธมิ รณะ เม่อื ชาตชิ รา พยาธิ มรณะ มีขน้ึ มาได้แล้ว ความไมเ่ กดิ ไม่แก่ ไม่ เจบ็ ไข้ ไม่ตายก็คงจะมเี ป็นแมน่ นนั่ อย่ากระน้นั เลย ควรทเ่ี ราจะประสงคเ์ จาะจงแสวงหาความ ดับชาติ ชรา พยาธิ มรณะนน้ั ให้จงได้ อน่งึ ตวั เราคงตอ้ งตายต้องทอดทงิ้ ซงึ่ ร่างกายอันเน่า เปอื่ ยปฏกิ ลู น้ี แล้วไปเกดิ ใหม่ใหไ้ ด้ทกุ ข์อกี อยา่ งหลกี เลี่ยงไม่ได้ ไฉนจึงยังหนักหนว่ งหว่ งใยใน รา่ งกายเครอื่ งปฏกิ ลู น้อี ย่เู ล่า ควรท่เี ราจะพงึ หาทางออกไป ไมเ่ กิดเสียจะดกี วา่ กแ็ ตว่ ่าหนทาง นนั้ เหน็ ทีจะพึงพบได้โดยยาก จาำ เราจะพึ่งความพยายามให้จงมาก อตุ สาหะเสาะแสวงหา หนทางนัน้ ให้พบจงได้ อน่ึงความทุกขภ์ ยั พยาธิมีแล้วฉันใด ความสุขกค็ งมเี ชน่ เดียวกนั
124 อีกประการหนึง่ เมือ่ ภวะกาำ เนิดคอื ความก่อเกิดมีแลว้ ฉันใด วิภวะคอื ความไมก่ อ่ กำาเนิดเป็น รา่ งกาย ก็คงจะมเี ชน่ เดยี วกนั อีกประการหนึง่ เมอื่ ความรอ้ นคือเตโชธาตไุ ฟมอี ยูแ่ ล้ว ความ เยน็ คอื อาโปธาตุ ก็มไี ว้สำาหรับความร้อนแกก้ ันฉนั ใด กเ็ มอ่ื ไฟคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย บงั เกดิ มแี ลว้ สง่ิ ท่พี งึ ระงบั ดับอคั คีเหล่าน้นั กค็ งมีเปน็ แมน่ ม่ัน อีกประการหนง่ึ เหมอื นการบาป มีแลว้ ยอ่ มมีการบญุ แก้ ความเกิดมแี น่ ความไม่เกดิ เท่ยี งแทท้ ่ีสัตว์พงึ ปรารถนา ก็คงจักมีเป็น แม่นม่ัน อกี ประการหนึ่ง เปรียบเหมอื นบุรษุ ผทู้ รงพลัง แตม่ ตี วั แปดเปอ้ื นคูถอจุ จาระเน่าเหมน็ รา้ ยกาจ นกั หนา เม่ือมาเหน็ สาระอันเตม็ เปี่ยมดว้ ยน้ำาใสสะอาด ควรหรือทเ่ี ขาจะไม่กระวกี ระวาดลา้ ง เน้ือลา้ งตัวเสยี ให้หมดมลทิน กต็ ัวเรานี้ ในเม่ือมลทินคือกเิ ลสท่ีควรลา้ งกาำ ลงั แปดเปอ้ื นฉันใด ตัวเรานีเ่ ล่า กม็ รี ่างกาย อนั เปรียบประหนง่ึ หมมู่ หาโจรใจฉกาจสามารถที่จะปลน้ ผลาญจิตใจ ให้ ขาดจากกุศลธรรมทงั้ ปวง จาำ เราจะตัดหว่ งเสนห่ าในกายทอดทิง้ เสียอยา่ ใหม้ อี าลัย เหมอื นหนึง่ บุรษุ ทีถ่ ูกโจรชิงทรัพยไ์ ปฉันนัน้ เถิด สเุ มธ มาณพผ้มู ีปรีชา ครัน้ คิดอุปมาทบทวนย้อนหนา้ ยอ้ นหลงั วิจติ รพิศดารมากมายดังนแ้ี ล้ว ในทสี่ ุด ก็ ตัดสินใจใหเ้ ปดิ คลังสมบัติของตนมากมายหลายโกฏิบรจิ าคให้เปน็ ทานแจกจา่ ย ยาจกวณิพกพวกอนาถา หาทพ่ี ่งึ มิได้จนหมดล้นิ แลว้ กอ็ อกไปสูป่ ระเทศเขตป่าใหญ่ ณ ท่ใี กล้เชิงเขาธรรมิกบรรพตจดั แจงสรา้ งบรรณ ศาลาอาศรมบทเปน็ ท่ีอาศยั เสร็จแลว้ ก็เปลอ้ื งผา้ สาฎกเนอ้ื ดีที่ตนครอง นุง่ ผา้ เปลือกป่านและคากรองบวช เป็นดาบสสร้างพรตพรหมจรรย์ ไม่ก่ีวนั ต่อมา กล็ ะทงิ้ เสียซงึ่ บรรณศาลาท่ีอยู่ เพราะรวู้ า่ ยังทาำ ให้เกิดหว่ งใย เข้าป่าลกึ เข้าไปอกี อาศัยสถานรม่ ไม้รกุ ขมลู เปน็ ทีอ่ ยู่ เลือกดูผลไมท้ ี่หลน่ ลงมาเอาเป็นประมาณ รบั ประทานเป็นอาหารพอแตว่ า่ เปน็ ปาปนมตั ิเครอ่ื งเลีย้ งชีพเทา่ นนั้ มีจติ มุง่ มน่ั ปฏบิ ตัิ โิ ดยทางกสิณานโุ ยค พยายามอยู่ในอรญั ญสถานไมน่ านก็ได้ บรรลุอภิญญาสมาบตั ิ ครน้ั เมอื่ สเุ มธดาบสผู้ย่งิ ด้วยพรตพรหมจรรย์ ท่านได้สำาเร็จอภญิ ญาณานสมาบัติบรบิ ูรณ์ดี มีวสภี าพ เช่ียวชาญชำานาญแล้ว กเ็ พลิดเพลนิ เจริญฌานเปน็ สุขอยู่ หารไู้ ม่เลยวา่ บัดนี้ สมเด็จพระชินสหี ท์ ปี ังกรสมั มา สัมพุทธเจา้ ได้ มาตรัสเปน็ พระบรมโลกนายกแลว้ ความจริงนัน้ ควรจะรู้ หากไมเ่ พลดิ เพลินเจริญฌานอยู่
125 เพราะธรรมดาวสิ ยั ของผไู้ ดอ้ ภญิ ญาสมาบัติยอ่ มร้เู หน็ ซ่งึ นมิ ิตในกาลทง้ั ๔ ก่อน คือกาลเมอื่ ผทู้ ีจ่ ะเป็นพระ สัมมาสมั พทุ ธเจา้ เสด็จมาปฏสิ นธิ ๑ กาลเม่อื พระองคป์ ระสตู ิจากพระครรภ์ ๑ กาลเม่อื ได้ตรสั รู้พระอนตุ ต รสมั มาสัมโพธญิ าณ ๑ กาลเมอื่ ทรงประทานพระธรรมจกั รเทศนา ๑ ซึ่งสุเมธดาบสฌานมอี ยูแ่ ล้ว จะไม่ แสวงหาสระนำ้าทม่ี ีอมตธรรมเปน็ อทกวารี แล้วลา้ งเสียซงึ่ มลทนิ คอื กเิ ลสนัน้ หรอื ไฉน อกี ประการหนง่ึ เปรียบเหมอื นโยธนี ายทหารผู้ชายฉลาดทีถ่ ูกข้าศกึ ศตั รู หมู่ปรปกั ษป์ จั จามติ รมาลอ้ มไว้ เมอื่ หนทางทีพ่ อจะประลาดหลกี ลี้หนีไปได้ยงั มอี ยู่ ควรหรือทีจ่ ะหลงมุมานะสูจ้ นเสยี ชีวิตไมค่ ดิ หนี ก็ตัวเราน้ี เมอื่ ข้าศึกคอื กิเลสมีอำานาจรอ้ นรมุ หุ้มหอ้ มลอ้ มไว้อยู่ และหนทางเป็นท่ีเกษมเปรมใจคือพระนพิ พาน อนั เป็น ทีห่ ลกี หนีจากกิเลสมีอยู่ เมื่อเป็นเชน่ นจ้ี กั ไม่คิดหลกี หนไี ปหรอื ไฉน อีกประการหน่ึง เปรยี บเหมอื นบรุ ุษผู้มีโรคาพยาธิบฑี าอยู่ เพ่ือได้พบแพทยผ์ ู้วิเศษแลว้ ควรหรอื ท่บี ุรุษนัน้ จะ ไม่คดิ อ่านเยียวยารกั ษาพยาธิแห่งตนใหห้ าย ก็ตวั เรานี้ เม่อื โรคพยาธคิ อื กเิ ลสมายำา่ ยีบีฑาเบยี ดเบียนอยู่ จะไมเ่ สาะแสวงหาแพทย์ทิพยาจารย์ให้พยาบาลขจดั เสียซึ่งโรคาพยาธคิ ือ กิเลสหรือไฉน อีกประการหนงีึ่ เปรียบเหมือนชายผู้มีน้าำ ใจรักความสะอาด ซ่งึ มซี ากศพอันแรงร้ายกาจดว้ ยกลน่ิ เหม็น ปฏิกูลนา่ เกลยี ดยงิ่ มาผูกพนั กระสันติดอยกู่ บั คอตน ควรหรอื ท่ีชายคนนัน้ จะสูท้ นกล่ินเหมน็ ได้ เขายอ่ มจะ ร้อนรนขวนขวายปลดเปลือ้ งซากศพน้ันใหพ้ น้ จากคอตนเสียโดยเรว็ ฉนั ใด ตัวเรานีเ้ ล่าจะเออื้ เฟ้ืออาลัย อาวรณอ์ ะไร ในรา่ งกายอันเนา่ เปื่อยปฏกิ ลู มากมลู อยู่ด้วยซากสางตา่ งๆ จงรบี หาทางปลดเปล้ืองทอดทิ้ง เสยี อยา่ ให้เปน็ หว่ งใยเฝ้าอาลัยเหลียวแลอยู่ เหมอื นบุรษุ ผู้มซี ากศพตดิ คอนนั่ เถดิ อกี ประการหนึ่ง เปรียบเหมอื นบุรษุ ถูกหมู่โจรรา้ ยใจฉกาจมนั อาจหาญพากันมาปล้นกลุ้มรมุ ชิงฉวย เอาห่อ ทรพั ย์ไดแ้ ล้ว แลเห็นวา่ ตวั จกั ไมส่ ามารถเพอื่ จะหักชิงเอาหอ่ ทรัพยก์ ลับคืนมาได้ เขาย่อมสนิ้ อาลยั ในทรัพย์ ไมเ่ สยี ดาย หมายแตจ่ ะเอาชีวติ รอดรีบวิ่งหนีไปโดยเร็ว ขอ้ นมี้ ไิ ดร้ ใู้ นกาลสำาคญั ทก่ี ล่าวมาน้ี กเ็ พราะความท่ี ตนเพลิดเพลินเจรญิ ฌานเปน็ การหนักอยู่ จงึ มไิ ด้เหน็ มิได้รดู้ ว้ ยมิไดใ้ ฝ่ใจดซู ง่ึ เหตอุ ืน่ เลย ต่อเมอื่ หมู่มหาชน
126 เป็นอนั มาก อาราธนาสมเด็จพระทีปังกรตถาคตเจ้ามาแต่ปัจจนั ตประเทศ จึงเกดิ เหตมุ หาโกลาหลเปน็ การ ใหญ่ เพราะวา่ ประชาชนท้งั หลายมคี วามชนื่ ชมโสมนัสต่างพากันจัดแจงตกแต่งหนทาง แผว้ ถางเกล่ียมูล พูนถมระดมกนั กระทำาทางเปน็ ทเ่ี สด็จพระพทุ ธดาำ เนนิ อยู่ ในขณะนน้ั สเุ มธดาบสผูม้ ีตบะอนั สูง เพราะบรรลุฝัง่ แหง่ อภญิ ญา เท่ียวจารกิ มาทางอากาศกลางเวหา มอง ลงมาเหน็ ประชาชนประชุมอย่เู ป็นหมมู่ าก ดหู ลากประหลาดดว้ ยลว้ นรนื่ เรงิ บันเทงิ จติ น่าพศิ วง สุเมธดาบส จงึ ลงจากคคั ฆณัมพรห้วงเวหาหาว แลว้ มีพจนประภาษถามข่าวคราวชนมนุษยห์ มนู่ นั้ ว่า \"มหาชนชวนชืน่ รืน่ เริงบันเทิงจติ ชวนกนั ประกอบกจิ แผ้วถางปฐพีโสภโณภาสเพ่อื บุคคลผใู้ ดจะ จรมา?\" มหาชนเหล่าน้นั ได้ฟังถาม จึงแจ้งความแกส่ ุเมธฤาษผี ูม้ ีฤทธว์ิ า่ \"ข้า แต่ทา่ นฤาษ!ี สมเด็จพระทปี งั กรสัมมาสมั พุทธเจา้ ผูอ้ นตุ ตรโลกนายกยอดบุคคลเสด็จอบุ ัติ ขึ้น ในโลกแล้ว กาลบดั น้ี ขา้ พเจ้าทัง้ หลายมใี จเลอ่ื มใสในพระองคเ์ ปน็ ยงิ่ นัก จึงชวนกนั แผ้วยถา งเพอื่ ใหเ้ ปน็ ทางท่ีเสด็จพระพทุ ธดำาเนิน ณ สถลมารควิถีเพอื่ ท่ีจะได้เสดจ็ มาแสดงพระธรรม เทศนาโปรดพวกเราชาวเมืองนี้\" สุเมธ ฤาษี แต่พอได้สดบั ว่าสมเดจ็ พระพุทธเจ้าบังเกดิ แล้วในโลกเท่านัน้ ก็พลันเกดิ ปติ เิ ปน็ ลน้ พ้นสดุ ประมาณ จงึ มาจนิ ตนาการว่า กาลนคี้ วรท่ีเราจะหวา่ นพชื เพอื่ ผล ขระน้เี ปน็ มงคลขณะบงั เกิดมี หาควรทีเ่ รา จะมาทาำ ละเมนิ เสยี ไม่ ครนั้ ไดค้ ำานงึ จนิ ตนาด้วยอาำ นาจศรัทธากอปรดว้ ยญาณโสมนสั ฉะนีแ้ ล้ว จงึ กล่าวกะ ชนเหลา่ นน้ั วา่ \"แม้ท่านทัง้ หลาย แผ้วถางทางถวายพระพทุ ธเจ้าละกจ็ งของใหโ้ อกาสแก่เราสกั แหง่ หน่ึงเถิด เราบงั เกดิ ศรัทธาปรารถนาใครจ่ ะทาำ ทางถวายพระพทุ ธเจา้ บ้าง\" คราว น้ัน ชนทั้งหลายเห็นว่าฤาษเี ป็นผู้มีฤทธิเ์ ปน็ ผู้มฤี ทธเิ์ พราะเหาะมากลางอากาศได้ เชน่ นนั้ ก็เลยชม้ี ือ ไปตรงบรเิ วณซงึ่ ถากถางทางยากลำาบาก เพราะมเี ปือกตมโคลนเลน เป็นบรเิ วณทต่ี ้องถมหามูลดิน
127 มาเกล่ียใหเ้ สมอ เปน็ สว่ นที่ทำายาก แล้วบอกแก่ฤาษีวา่ \"ถา้ ทา่ นปรารถนาจะทำาทาง ถวายตอ้ งองค์สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กจ็ งทาำ บริเวณทตี่ รงนั้น ให้สำาเรจ็ ดว้ ยดเี ถิด ทา่ นฤาษ\"ี สุเมธ ดาบสบรมโพธิสัว์ ครัน้ เขายกอนุญ่าตให้ทาำ ท่ตี รงนน้ั ใหส้ ะอาดเรยี บรอ้ ย ก็มริ อชา้ อสุ าหะต้งั หนา้ ประกอบการมจี ติ วารำาพงึ พระพุทธนามวา่ พทุ โธ นัน้ เปน็ เนอื งนติ ย์ เปล้อื งหนงั เสอื ทรี่ องน่ังออกผูกทาำ เปน็ ถงุ กะทอห่อหวิ้ ซึง่ มูลดนิ เอามาถมในทล่ี าดลมุ่ ลกึ เป็นเลนเหลวอยู่น้นั ยงั มิทันทจ่ี ะทำาได้สำาเรจ็ ตลอด เหลอื อยู่ ยาวประมาณช่ัวตัวคน ก็ได้เวลาทส่ี มเดจ็ พระทศพลม่ิงมงกุฎพทุ ธทปี ังกรศาสดา เสด็จพาพระขณี าสวสงฆ์ มากมายมาใกล้จะถึง เสียงศัพทบ์ รรเลงออื้ องึ ดว้ ยสำาเนยี งทวยเทพศุภสรุ คณานกิ รเปน็ ถอ่ งแถวแนวสลอนดว้ ยมหาชนเอนกแน่น หนา ทาำ ปจั จคุ มนาการนาำ เสด็จพระพทุ ธดำาเนินมา บางหม่กู ็ประโคมดุรยิ ดนตรีแตรสังข์กงั สดาลหอ้ งกลอง ก้องสนนั่ ศัพทแ์ ซ่ซอ้ ง สาธกุ าร เอิกเกริกด้วยความโสมนัสทง้ั มนษุ ยแ์ ละเทพยดาอนิ ทร์พรหมตา่ งก็มกี ร ประณมมิได้ คลายเคล่อื นแลละลานเล่อื นตามเสดจ็ พระพทุ ธดาำ เนินมา ฝงู เทวดาก็ประโคมทพิ ยดนตรหี มู่ มนษุ ย์ก็ประโคมดีดสตี ีเปา่ ตามภาษามนุษย์ ดำาเนินนาำ ตามเสดจ็ พระพุทธลลี า บางเทพยดากโ็ ปรยปราย ทิพยบุปฝา มดี วงดอกทิพยมณฑารพโกสุมเปน็ ประธานลอยเลอ่ื นเกลื่อนทว่ั ทงั้ ทิศานทุ ศิ ณ เบ้อื งบน นภากาศ หม่มู นษุ ยชาติก็ยกข้ึนซ่ึงเครือ่ งสกั การะบูชาล้วนเคร่ืองหอม แหห่ อ้ มล้อมจรลีตามเสดจ็ พระพทุ ธ ดาำ เนนิ มา กาลครงั้ นนั้ สเุ มธดาบสก็มีจติ เบิกบานอธิษฐานอทุ ศิ ชีวติ ถวายแดพ่ ระพทุ ธองค์ จงึ ปลดเปล้ืองชำาาสยาย เกษาลง ลาดปูผา้ เปลอื กไม้กบั หนง้ เสอื รอน่งั บนเปือกตมนน้ั แลว้ กท็ อดกายนอนควำา่ หนา้ ลงตอ่ ถนนทีข่ าด ลาดล่มุ เปน็ เลนเหลว ท่ตี นทาำ ยังไมท่ ันเสร็จน้ัน พลนั ต้งั ใจคำานึงนึกวา่ \"ขอ อาราธนาพระพทุ ธองค์ จงทรงพระมหากรุณาพาพระขณี าสวสงฆท์ ้ังหลายเสด็จทรงยา่ ง พระบาทดำาเนินไปบนกาย แห่งข้าพระบาทน้เี ถดิ จกั ไดเ้ กดิ เป็นหิตานุหปิ ระโยชนแ์ กข่ า้ พระบาท พระองคอ์ ย่าไดย้ า่ งพระบาทหลักลงเลียบลยุ เลนเหลวนเี้ ลย\"
128 แลว้ ก็หมอบควำา่ หนา้ น่ิงเฉย เพ่ือรอใหส้ มเด็จพระทปี ังกรพทุ ธเจ้าพาพระอรยิ สงฆท์ รงเหยียบกายของตน ซึง่ ทอดเป็นสะพานอยอู่ ย่างนัน้ มีกรณีท่ีเราท่านทั้งหลาย ควรจะทราบไวใ้ นตอนนี้ ก็คือว่า ในขณะนหี้ ากสเุ มธฤาษจี ะปรารถนาหนว่ งเอา อมตธรรมกาำ จัดกิเลสเสียให้ขาดจาก สันดานแล้ว ก็จักไดส้ าำ เรจ็ อยา่ งแนน่ อน เพราะอปุ นิสสยั แหง่ พระอรหัง รงุ่ เรอื งเต็มอยู่ในสนั ดานแลว้ เพยี งแตไ่ ด้สดบั พระสัทธรรมเทศนาก่งึ บาทพระคาถากจ็ กั ไดบ้ รรลอุ รหัตผล สำาเร็จเป็นพระอรหันตอริยบคุ คลทันที แต่สุเมธมหาฤาษีเคยสร้างพระบารมมี าเพือ่ ปรมาภเิ ษก สมั โพธิญาณ ปรารถนาการไดต้ รัสรู้เปน็ พระพทุ ธเจ้ามานานนกั หนา จงึ ในขณะนท้ี า่ นมหาฤาษีกค็ ดิ ไปวา่ \"จะ มีประโยชนใ์ หญ่หลวงอยา่ งไร หากเราจะไดอ้ มตธรรมแตเ่ พยี งตน จะมปี ระโยชน์ใหญห่ ลวง อยา่ งไร ด้วยการได้ขา้ มโอฆสงสารแต่ผเู้ ดียว แตเ่ มอ่ื ใด เราได้ถึงความเปน็ พระสพั พญั ญผู ขู้ า้ ม โลกแล้ว เมื่อน้ันเราจักยงั สตั ว์ทง้ั หลายทัง้ มนุษยโลกและเทวโลกให้ขา้ มไดด้ ้วย จกั ใหช้ ้ึนสถติ สาำ เภอธรรม ขนสง่ ให้ลลุ ่วงขา้ มถึงฝงั่ แหง่ พระนฤพานใหจ้ งได้ ้\" จนิ ตนาคดิ ไปเสียเช่นน้ี จงึ มิปรารถนาเปน็ สาวกสาำ เร็จเป็นพระอรหันตใ์ นกาลคร้งั นี้ คราวนนั้ สมเด็จพระภควันต์ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจา้ เมื่อเสด็จมาถึง จึงเสดจ็ สถติ อยู่ ณ เบอื้ งเศียรเกล้า แห่งสเุ มธฤาษีน้นั คร้ันทรงพจิ ารณาดูดว้ ยพระสัพพัญญตุ ญาณแลว้ ก็พลนั มพี ระพทุ ธฎีกา ตรสั แก่ชาว ประชาพุทธบรษิ ัททัง้ หลายในทนี่ ้ันวา่ \"ถ้า ทา่ นท้ังหลาย แคล้วคลาดจากอมตธรรมไม่ไดบ้ รรลมุ รรคผลธรรมวิเศษในศาสนาของเรานี้ แล้ว และยงั ต้องทอ่ งเท่ยี วอยู่ในภพสงสาร นานไปในอนาคตกาลเบอ้ื งหนา้ กจ็ งปรารถนาใหไ้ ด้ บรรลุในศาสนาของดาบสนี้เถดิ ตอ่ ไป ดาบสผนู้ ี้จกั ไดอ้ บุ ตั ิตรสั เป็นพระพุทธเจา้ องค์หน่ึงในโลก ทรงนามว่า สมเดจ็ พระศรีศากยมนุ ีโคดม ในระยะเวลาอกี ๔ อสงไขยกับหนง่ึ แสนมหากปั นกั ตัง้ แต่กัปนี้เป็นตน้ ไป ในกรณีย่อมเปรียบเหมือนบรุ ุษทวี่ า่ ยขา้ มมหานทีถึงจะคลาดเคลอ่ื นจาก
129 ท่าเหนอื น้ีข้ามขึ้นไม่ได้แลว้ ไซร้ ก็คงจะข้ามขน้ึ จากท้องนทไี ด้ ณ ท่านา้ำ ต่าำ ลงไปอกี เปน็ แนแ่ ท้ ฉนั ใด เม่อื ทา่ นทงั้ หลายแมค้ ลาดจากศาสนาของเรานแ้ี ลว้ หากมวี าสนาก็คงจะไดส้ ำาเร็จใน ศาสนาของพระพทุ ธังกรู เจ้าดาบสน้ี ในอนาคตกาลฉะนั้น\" เม่ือองคพ์ ระภควนั ต์ที ปงั กรพุทธเจา้ ตรสั พยากรณ์ฉะน้ี ก็ทรงสงเคราะหย์ กทักขณิ บาทเบอ้ื งขวาขน้ึ จรดกาย สุเมธดาบสน้ันก่อน แลว้ กเ็ สดจ็ บทจรพาพระขณี าสวสงฆ์เหยียบกายสะพานน้ันไป ฝา่ ยเทพนกิ ร นาค ครุฑ คนธรรพ์เมอื่ ไดส้ ดับพระพทุ ธฎีกาดงั นนั้ ต่างก็นอ้ มหตั ถน์ มสั การพระพทุ ธงั กูรสเุ มธดาบสเจ้า แลว้ กเ็ ลย หลีกจรดลโดยเสด็จพระพุทธดำาเนิ นต่อไป ครนั้ ล่วงทัศนวิสยั สมเด็จพระพุทธองค์สงฆบ์ รษิ ทั แลว้ สุเมธ ดาบสมหาบรุ ษุ ก็อุฏฐาการลุกขน้ึ จากนนั้ หากแตย่ ังมมี นัสเตม็ ไปด้วยความสุขสันตป์ รดี าปราโมทย์ จึงมไิ ด้ เคลอื่ นกายไปไหน กลับทำาบลั ลังกน์ ่ังสมาธิคาำ นงึ ด้วยปติ วิ า่ \"เรา มฌี านชาำ นาญเปน็ อันดี หมฤู่ าษีทง้ั หลายในหม่ืนโลกธาตุจะไดม้ อี ทิ ธิวชิรธรรม สามารถ เสมอดว้ ยเราน้นั หามไิ ด้ เพราะเราไดอ้ าศยั สมบตั ิธรรมมากอย่ใู นสนั ดาน จงึ ไดเ้ สวยความสุข ส้นิ กายวกิ ารเห็นปานนี้\" กาล เมื่อสเุ มธฤาษนี ่งั บลั ลงั กส์ มาธอิ ย่นู นั้ บรรดาเทพเจา้ ทกุ ราศีสถานในโลกจักรวาล ตา่ งกม็ าประสาน ศัพท์นฤนาทก้องแซ่ซอ้ งสาธกุ ารถวายพรว่า \"ทา่ น จักไดต้ รสั เปน็ สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าเปน็ เทีย่ งแท้ มิได้แปรปรวนวิปรติ ขอองคท์ า่ น จงสถิตถือมัน่ ผกู พนั ความพยายามไวอ้ ยา่ ทำาใหค้ วามเพียรม่นั นัน้ กลบั ถอยนอ้ ยลงไป จงทาำ วิรยิ ะบารมีใหย้ ิง่ ใหญ่ เพื่อไดพ้ ระปรมาภิเษกสมั โพธิญาณตอ่ ไปเถดิ \" สเุ มธ ดาบสบรมโพธสิ ตั ว์ผยู้ ง่ิ ใหญ่ เม่ือไดส้ ดบั พระพทุ ธพยากรณท์ าำ นายและเทพเจา้ ท้งั หลายถวายพรดงั นัน้ ก็ยิ่งมีกมลมนั่ คาำ นงึ พนิ ิจฉนั ในพระพุทธพยากรณ์นีว้ ่า
130 \"อัน ธรรมดาพระพทุ ธพากยกถาขององค์สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าทง้ั หลายน้ีย่อมเปน็ สภุ าษติ จะได้ วปิ รติ ผดิ พจนะกระแสแปรไปเปน็ สองหรอื เปลา่ สญู เสียมเิ ปน็ จรงิ นั้น ย่อมเปน็ ไปมไิ ด้ พระองค์ดำารสั อรรถคดี ส่ิงใด ส่ิงนั้นย่อมมีเป็นแน่แท้สมกระแสพระพุทธบรรหารพระโพธิญาณของเราเห็นจะำาไม่ สูญคงจะสำาเรจ็ สม ประสงคเ์ ปน็ มัน่ คง เราคงไดต้ รัสเปน็ พระสพั พญั ญพู ุทธเจ้าเทีย่ งแทแ้ น่นอน\" ครัน้ คดิ พนิ ิจฉยั ดังน้แี ลว้ สเุ มธมหาฤาษีจึงพจิ ารณาพระทศบารมีธรรมทั้งสิบสบื ไป ดว้ ยอำานาจอภญิ ญาส สมาบัตอิ ันตนชาำ นาญด้วยดีเปน็ วสีภาพ จึงได้ทราบว่าโพธปิ รปิ าจนธรรมสาำ หรับบม่ พุทธภูมนิ ้ัน ตนได้ส่งั สม มามากมายช่วั ระยะเวลานานนักหนาแล้ว ก็แลด้วยเดชะมหานภุ าพที่พระดาบสนง่ั พจิ ารณาบารมี ทเ่ี คย สรา้ งไว้มากมายนับไมถ่ ว้ นอยูใ่ นขณะนน้ั พอจบลงกพ็ ลันบนั ดาลเกดิ โกลาหล ทวั่ พิภพจบสกลพสธุ าดลพนื้ ปฐพี ก็มีอันกอ้ งกึกพลิ กึ สนนั่ หวน่ั ไหว ประหนง่ึ ว่าจะแหลกทลายลงกป็ านนน้ั ครานนั้ มหาชนต่างกล็ ้มสยบหวาดเสยี วอยมู่ ิได้ล่วงรู้ดีประการใด พากนั ตกใจกลวั แต่เหตุการณข์ า้ ทรี่ า้ ย น่นั แหละเป็นกำาลัง จงึ รีบพากันเขา้ ไปเฝา้ สมเดจ็ พระทปี งั กรสมั พทุ ธเจ้าแลว้ กราบทลู ถามว่า \"ข้า แต่พระองค์ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ! มหาโกลาหลนี้ จักเป็นด้วยมหาศกั ดานภุ าพของทวยเทพอนิ ทร์ พรหม ยมยกั ษ์ ฤาษีสทิ ธิศักดิ์ อสรู มานพ นาค ครฑุ ตนใด ขา้ พระบาทท้ังหลายจักได้ทราบน้ันหามไิ ด้ จกั เปน็ มหาวนิ าสภัยมาบีฑาโลกธาตุ หรอื จักเปน็ ดว้ ยอาำ นาจอุปัทวะการบาปกรรมสง่ิ ใดประดามี หอื วา่ จะมี สวัสดีมงคลเปน็ ประการใด ขอพระองค์จงทรงแสดงเหตุให้ทราบเกลว้ แกเ่ หลา่ ขา้ พระบาทท้งั ปวงดว้ ยเถิด พระเจ้าขา้ \" สมเดจ็ พระทีปงั กรสัมพทุ ธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาสาำ แดงเหตมุ หาุโกลาหลแกม่ หาชนเหลา่ นัน้ ว่า
131 \"ทา่ น ทัง้ หลาย อย่ามคี วามสะดุ้งหวาดเสียวตอ่ ภัยส่งิ ใดเลย เหตทุ ี่เมทนีคือแผ่นดนิ เกิดกึกกอ้ งโกลาหล กาำ เรบิ เชน่ น้ี ก็เพราะเราตถาคตได้พยากรณ์สเุ มธฤาษวี ่า เธอจะไดต้ รัสเปน็ พระพทุ ธเจ้าพระองค์หนึง่ ในอนาคตกาล บัดนี้ สเุ มธดาบสนน้ั พินิจฉยั คาำ นงึ ในบารมธี รรมของตน ดว้ ยเหตนุ น้ั มหาโกลาหลจึงบังเกดิ ข้นึ ดว้ ยเดชะอาำ นาจคณุ บารมขี องพระโพธิสตั วน์ ัน้ เปน็ เหตุ\" หมู่มหาชน คร้นั ไดส้ ดับพระพทุ ธฎีกาดังนนั้ ต่างก็มกี มลโสมนัสปสนั การในพระสเุ มธโพธสิ ตั ว์ จึงพากันรีบ จัดประทปี ธูปเทียนบปุ ผาสมุ าลัย ออกไปประชมุ กันกระทาำ สกั การบูชา ตา่ งกันก็มีมุรอตั ถวาทีถวายพรดว้ ย คาำ มงคลเป็นตน้ ว่า \"ขอให้ท่านดาบส ได้ตรัสเปน็ พระพุทธเจา้ ในอนาคตกาลเบอ้ื งหนา้ สมจรงิ เถดิ \" แม้ทวยเทพในสกลสถานท่ัวหมน่ื โลกธาตุ ก็พากนั มาประชุมสักการะบูชา ดว้ ยทพิ ยสุคนธมาลยั งามเลิศ ตา่ งๆ โปรยปรายลงมาราวกะหา่ ฝน ทีพ่ นื้ ปฐพดี ลดารดาษทัว่ ทิศ บันลือศพั ท์สาธกุ ารเพรียกพร้องร้องถวาย เทพพรมงคลว่า \"ข้า แตพ่ ระสเุ มธดาบสผเู้ จริญ! วันนที้ า่ นมาทาำ ปณิธานอนั ย่ิงใหญ่ ได้แลว้ ซ่งึ คำาพยากรณจ์ ากสาำ นักแห่ง สมเดจ็ พระทปี งั กรทศพลญาณ ขอความปรารถนาของทา่ น จงสาำ เรจ็ สมประสงค์ ขอทา่ นจงไดต้ รสั เปน็ องค์ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ สาำ เรจ็ พระปรมาภเิ ษกสัมโพธิญาณ เหมอื นเชน่ พรรณพฤกษชาติ ย่อมทรงช่อต่อผล อบุ ตั โิ ดยฤดกู าล อน่งึ สมเด็จพระบรมศาสดาจารยพ์ ระองคท์ ่ลี ว่ งแลว้ ๆ ล้วนแตไ่ ดท้ รงบาำ เพ็ญพระบารมี ถงึ ทีส่ ุด ก็ไดต้ รสั รพู้ ระอนตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณสถติ เหนือ อปราชิตบลั ลังกแ์ ละได้ทรงแสดงพระธรรมจักร เทศนา อนั เป็นพระพุทธประเพณีสบื มาฉนั ใด ขอท่านดาบสจงบำาเพ็ญบารมใี หถ้ ึงท่สี ุด แลว้ สถิตเหนอื อปรา ชิตบลั ลงั กแ์ สดงธรรมจักรเทศนา เหมอื นกบั สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าเหลา่ น้ันเถิด อน่ึง นทีแมน่ ้าำ นอ้ ย ใหญ่ใดๆ ย่อมมีกระแสชลอนั ไหลหลัง่ มาสมู่ หาสมุทรทง้ั หมดนฉ้ี นั ใด ขอท่านจงได้ตรสั รูพ้ ระอนตุ รสัมมา สมโพธญิ าณ เปน็ องคส์ มเดจ็ พระบรมโลกุตมาจารยจ์ อมโลก เป็นท่ีไหลหลัง่ มาแหง่ สรรพสัตวท์ ัว่ โลกธาตุ ประชมุ เป็นสโมสรสนั นิบาตกัน ณ สาำ นกั แหง่ พระองค์ ดังมหาสมทุ รใหญ่เปน็ ที่รวมแห่งกระแสชล ฉะน้นั \"
132 เมอ่ื สุเมธฤาษผี ูม้ ฤี ทธ์ิใหญ่ ไดเ้ ห็นหมู่เทพยดาและมนุษยนกิ รมาสโมสรประชุมกันกระทำาสกั การะบูชา และ อำานวยศุภพรดว้ ยประการเปน็ อันมากเชน่ น้ี กม็ ีความปรีดาว่า กาลยงั อกี ๔ อสงไขยกับเศษอกี แสนมหากปั เทา่ นน้ั เราก็จะไดต้ รัสเป็นพระพทุ ธเจา้ อยา่ งเท่ียงแท้ เมื่อแน่แกใ่ จตนเช่นนนั้ ก็มคี วามอ่มิ ใจย่งิ นัก จงึ อธษิ ฐานมน่ั ดว้ ยวริ ยิ ะบารมีหนว่ งเอาพระพทุ ธานสุ สตเิ ป็นอารมณ์ นอ้ มกายบา่ ยพกั ตร์นมัสการเฉพาะทศิ ซ่งึ เปน็ ทสี่ ถิตอยู่แห่งองคส์ มเด็จพระผูม้ พี ระภาคพทุ ธทีปงั กรแล้ว กเ็ หาะไปสปู่ ระเทศป่าใหญอ่ ันเป็นทอ่ี ยู่ ของตนโดยนภากาศอยเู่ จรญิ อภญิ ญา สมาบัตมิ ิให้เสอ่ื ม สนิ้ ชนมายุแล้วก็ไปอบุ ัติเกดิ ในพรหมโลก ดว้ ย ประการฉะน้ี. ๒.สมเด็จพระโกณฑญั ญะอุบัติ เมื่อ สมเด็จพระทีปงั กรสมั มาสมั พุทธเจ้า เสดจ็ ดบั ขันธป์ รินิพพานลว่ งไปแล้ว ศาสนาของพระองคก์ ย็ งั เจริญ ถาวรอย่ใู นโลกนส้ี บื ต่อมาอีกหนึ่งแสนปี เม่ือครบกาำ หนดหน่งึ แสนปีแลว้ ศาสนาของพระองคก์ ็สน้ิ อายลุ ง เพราะวา่ พระอรยิ สงฆส์ าวกผู้ไดด้ มื่ อมตธรรมวิเศษสาำ เรจ็ เป็นพระอรหันต์ ตา่ งก็ดับขันธ์นพิ พานไปหมดสนิ้ ทั้งเหลา่ พุทธศาสนิกชนคนนบั ถอื พระพุทธศาสนาต่างกท็ ำากาลกริ ยิ าตายไปๆ ศาสนธรรมกเ็ สอ่ื มถอยนอ้ ย ลงจนหาผูท้ รงจาำ คำาสอนขององคส์ มเดจ็ พระบรมศาสดามิได้ ด้วยอำานาจแหง่ โลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำา อยู่ในดวงจติ ของสตั ว์ท้ังหลายนักหนา ปวงประชาจงึ ไม่สนใจใยดใี นพระสัทธธรรม มหิ นำาซาำ้ พากนั ประพฤติ ยำา่ ยี บรรพชติ นักบวชกเ็ ป็นอลัชชีหลงใหลในอามิสสักการะ ไม่นาำ พาที่จะทรงไวซ้ ง่ึ ศาสนาธรรมคำาสอนของ พระองค์ดว้ ยการประพฤติปฏบิ ัตชิ อบใน พระธรรมวนิ ยั จะปว่ ยการกล่าวไปใย ถงึ ฝา่ ยคฤหสั ถ์ชาวบา้ นทีย่ ัง ครองเรอื น เมอื่ เจ้ากูท้ังหลายไม่สนใจทรงจำาคาำ สอนในพระพทุ ธศาสนาแลว้ กจ็ ักทรงศาสนาไว้ได้อย่างไร เมอ่ื เป็นเช่นน้ี ศาสนาขององคพ์ ระชินสีหท์ ีปังกรสมั มาสมั พุทธเจ้ากเ็ ส่ือมสูญลงสน้ิ จะได้ยนิ แมแ้ ต่เพยี งบท ว่า นโม ตสสฺ ดังนี้ จากปากของผูใ้ ดผ้หู นง่ึ ยอ่ มไม่มี จงึ นับได้ว่า บัดนศี้ าสนาของพระองค์ไดส้ ิ้นสดุ ลงแลว้
133 กาลเวลาคอ่ ยลว่ งลงไปเรื่อยๆ นานนักหนา เป็นเวลาถงึ อสงไขยหนึง่ ซ่ึงเรียกวา่ เปน็ สญุ กัป เพราะไม่มี สมเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระปจั เจกพทุ ธเจ้า และสมเดจ็ พระเจ้าบรมจักรพรรดเิ สดจ็ มาอุบัตใิ นโลกเราน้ี เลย ครน้ั ตอ่ มาจงึ มีสารกัปบงั เกิดขึน้ คาำ วา่ สารกปั นี้ ท่านท้งั หลายยงั พอจำาได้หรอื ไมว่ า่ หมายความว่า อย่างไร? ใชแ่ นแ่ ลว้ กาลเวลาท่เี รยี กวา่ สารกปั นี้ หมายถึงวา่ เป็นกัปที่มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรสั ในโลก หนึ่งพระองค์ กใ็ นสารกปั ท่ีเรากำาลังพดู ถึงกนั อยนู่ ี้ ก็มีสมเดจ็ พระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัตติ รัสในโลกหน่งึ พระองค์ ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระม่ิงมงกุฏโกณฑัญญะ สัมมาสมั พุทธเจา้ พระองค์ทรงเป็นพระบรม ไตรโลกนายก ทรงพระเดชพระยศหาทีส่ ดุ มิได้ ประกาศศาสนธรรมใหเ้ หลา่ สัตว์ผู้เลอ่ื มใสได้ด่มื อมติธรรม นำาตนให้พน้ จากภัยในวัฏสงสารเป็นอนั มาก กาลคร้ังนัน้ พระบรมโพธิสัตวเ์ จา้ ของพวกเราไดอ้ ุบตั ิเกิดเป็นสมเดจ็ พระเจา้ จักพรรดริ าช ทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระเจ้าวชิ ติ าวี บรมจกั รพรรดิ พระองค์ ทรงตง้ั อยู่ในจกั รพรรดิธรรม มีนำ้าพระทยั เตม็ เป่ียมไปดว้ ย พระเมตตาการุญภาพ ในสรรพสตั วท์ ุกถว้ นหน้าทงั้ มนุษยแ์ ละนก โดยมิไดม้ ีอาชญาและศาสตราเครอื่ ง ประหารสัตว์ ทรงบำารงุ ประชาชนและบาำ เพญ็ ราชกจิ ในราชสมี ามณฑลโดยธรรมสมาำ่ เสมอเป็นนติ ย์ ครั้ง หนึง่ สมเด็จพระโกณฑัญญะศาสดาจารย์เจา้ ทรงมพี ระอริยสงฆ์สาวกแวดล้อมเป็นบรวิ าร เสด็จจารกิ ไป โดยลำาดับจนถงึ พระนครของพระเจา้ วิชิตาวีราชบรมจกั รพรรดิ พระองค์จงึ เสด็จออกไปทรงกระทาำ การ ตอ้ นรับดว้ ยความเคารพเลอ่ื มใสแลว้ ไดท้ รงบำาเพญ็ มหาทานแกพ่ ระภกิ ษุสงฆ์ ซงึ่ มอี งคส์ มเดจ็ พระ สพั พญั ญูพทุ ธเจ้าเป็นประธาน เปน็ เวลานานตลอดไตรมาสมไิ ดข้ าดเลย สมเด็จพระโกณฑญั ญะสัพพัญญู เจ้าได้ทรงกระทำาพุทธพยากรณไ์ วใ้ นคราวน้ันวา่ \"พระ บรมขตั ติยาธิบดวี ิชติ าวจี กั รพรรดพิ ระองค์น้ี คอื หน่อพระชนิ สีหพ์ ระโพธสิ ตั ว์ สืบไปเมื่อ หน้าในอนาคตกาล พระองค์จะได้ตรสั เปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หน่งึ ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าเปน็ แม่นมั่น\"
134 สมเด็จ พระโกณฑญั ญะสัพพัญญเู จา้ ดำารสั พยากรณ์ทำานายพระบรมโพธิสตั วโ์ ดยนยั นแี้ ลว้ ก็ทรงแสดงพระ สทั ธรรมเทศนาสมเด็จพระบรมจักพรรดริ าชทรงปสาทะเล่ือมใส จงึ ทรงสละมไหศูรย์สมบติใหแ้ กข่ ้าราชการ บรพิ ารผู้ใหญค่ นหนง่ึ แลว้ ก็ทรงบรรพชา ในสำานักพระบรมศาสดาเพอื่ บาำ เพญ็ เนกขมั มบารมใี นพระบวร พทุ ธศาสนา ทรงศึกษาเล่าเรยี นในคันถธุระ พระปริยตั ิธรรมไตรปฎิ ก และทรงบาำ เพญ็ สมถกรรมฐาน ในท่สี ุด ก็ได้สำาเรจ็ ฌานอภิญญามิไดเ้ สือ่ มถอย ครนั้ กาลเวลาเคล่ือนคล้อยล่วงไป ถึงคราวทพี่ ระภกิ ษุวิชติ าวบี รม โพธิสัตว์ ผมู้ ีพทุ ธบารมีถึงแก่ชีพิตกั ษัยแล้ว กไ็ ปอบุ ตั เิ กดิ เปน็ พระพรหมในพรหมโลกเสวยพรหมสมบัติ เป็นสุขสืบไป ๓. สมเด็จพระสมุ งั คละอุบัติ เม่อื ศาสนาของสมเดจ็ พระสพั พัญญโู กณฑัญญะพุทธเจา้ เสอ่ื มสญู ไปหมดแลว้ กาลเวลากล็ ว่ งมาจนสิ้น สารกัปน้ัน และเวลาตอ่ มาจากนน้ั มา โลกกว็ า่ งจากพระพุทธศาสนา เพราะไมม่ สี มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาประกาศอมตธรรมนำาสตั ว์ออกจากโอฆสงสารช้านาน ตอ่ กาลครัง้ หนง่ึ จึงมสี ารมัณฑกัปบังเกดิ ขน้ึ อีก ก็ ในสารมณั ฑกปั นี้ ปรากฎมีพระพุทธเจา้ เสด็จมาอบุ ตั ติ รสั ในโลก ๔ พระองค์ คือ ๑. สมเดจ็ พระม่งิ มงกุฎสุมังคละสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ๒. สมเดจ็ พระมิ่งมงกฎุ สุมนะสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ๓. สมเด็จพระมง่ิ มงกฎุ เรวตะสมั มาสมั พุทธเจ้า ๔. สมเด็จพระมง่ิ มงกุฎโสภีตะสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ใน สมัยทส่ี มเด็จพระพุทธเจา้ องค์แรกในสารมัณฑกปั นคี้ ือ ขณะที่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมงั คละสัมมาสมั พุทธเจ้า กาำ ลงั ทรงประกาศพระศาสนา ยังมหาชนให้ด่มื อมตธรรมคณุ พเิ ศษอยนู่ ัน้ พระโพธสิ ัตว์เจ้าของพวก เรากไ็ ด้มาอบุ ัติเกิดถอื กำาเนดิ ในตระกลู พรหมณ์มหาศาล มีนามอนั เป็นมงคลวา่ สรุ จุ พิ ราหมณ์
135 อยู่มาวันหน่ึง สุรจิ พิ ราหมณ์ได้ออกไปถวายนมัสการและสดบั ธรรมีกถา ณ สาำ นักแห่งองค์สมเดจ็ พระสมุ ังคละสัมพุทธเจา้ บรมโลกนายกแล้ว จงึ กราบทลู อาราธนาวา่ \"ขอ้ แต่ พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสรฐิ วันพร่งุ นี้ ข้าพระบาทขออาราธนาพระพุทธองค์ พร้อมกบั พระภิกษุสงฆ์ท้งั ปวงไปรบั อาหารบิณฑบาตของพระบาท พระเจา้ ข้า\" สมเดจ็ พระสมุ งั คละศาสดาทรงรับอาราธนาแล้ว พราหมณก์ ็ถวายบงั คมลามาสู่เรือนและราำ พึงวา่ พสั ดุ สง่ิ ของทงั้ หลายทจ่ี ะตกแตง่ เปน็ ยาคภู ัตตาหาร กบั ท้งั ผ้าไตรจวี รที่จะถวายแก่พระภกิ ษุสงฆส์ าวกของพระผู้ มีพระภาค ทอ่ี าราธนาได้เปน็ จาำ นวนมาก กพ็ อจะมถี วายทวั่ ทกุ องค์ได้ ก็แต่วา่ สถานท่ีๆ จะแตง่ ตั้งอาสนะ ท่ีน่งั ของภกิ ษทุ ั้งหลายให้เพียงพอนี่แล รู้สึกว่าจะอตั คัตคบั แคบขัดขอ้ งนัก จักทาำ ฉันใดดี? สุรจุ พิ ราหมณ์เธอ ครุ่นคดิ วติ กอยู่อยา่ งนี้ กเ็ พราะวา่ พระภกิ ษุสงฆส์ าวกของพระตถาคตเจา้ ในกาลคร้งั น้ันมมี ากมายนัก นัยว่า มตี ้งั แสนกวา่ รปู ข้ึนไป แตด่ ้วยใจเล่ือมใสโอฬารกว้างขวาง เธอจึงนมิ นต์อาราธนามาฉันทีเ่ รือนของตนหมด ทุกรปู ไมท่ ันคิด มาคิดได้เอาก็เมอื่ กลับถงึ บ้านแล้วนน่ั เอง ด้วย เดชะอาำ นาจอภนิ ิหารทานบารมีของพระโพธสิ ตั วเ์ จา้ กใ็ หบ้ นั ดาลร้อนถึงบณั ฑุกมั พล สลิ าอาสน์สมเด็จ พระอินทราธิราชเจา้ จอมไตรตรงึ ษส์ วรรค์ ท้าวเธอจึงพลันตรวจดูก็ทรงรู้เหตวุ ่า \"พระบรม โพธิสัตวส์ ุรุจพิ ราหมณ์ เธออาราธนาพระภกิ ษูสงฆก์ บั พระสัพพญั ญูเจ้าแล้ว บัดนี้ วติ ก ด้วยวา่ จะตกแต่งปูลาดอาสนะใหพ้ อเพียงแก่พระสงฆ์อนั มากมายนักหนา กาลน้ีควรทเี่ ราจะ ตอ้ งลงไปชว่ ยสงเคราะหใ์ นบญุ กรรมนนั้ \" ทรง ดาำ รดิ ังนแ้ี ล้ว สมเดจ็ พระอมรนิ ราธิราชจอมทวยเทพเจ้าเหลา่ ชาวสวรรคช์ ้นั ไตรตรึงษ์ จึงจาำ แลงแปลง เพศเป็นนายชา่ งใหญ่ มีมอื ถอื ขวานมายืนปรากฎอยตู่ ่อหนา้ พราหมณโ์ พธิสัตว์ แล้วจึงทรงเออื้ นอรรถตรัส ถามวา่ \"ทา่ นผ้เู จรญิ ทา่ นจะตอ้ งการจ้างทาำ งานสิ่งใดบา้ งหรอื ไม่?\" \"ท่านรบั จา้ งทำางานสิ่งใดเปน็ บ้างเลา่ ?\" สุรจุ ิพราหมณ์ถามข้ึนทงั้ ๆ กำาลังวิตกอยู่
136 \"ขน้ึ ชือ่ วา่ ศลิ ปศาสตร์ในการชา่ ง สง่ิ ไรท่ขี ้าพเจา้ จะมิได้รู้ มไิ ด้เชยี่ วชาญนนั้ มไิ ดม้ ี คอื การสรา้ งโรงร้าน หรือ เรอื นอยู่ หรอื มณฑปใหญ่ ใครจะจา้ งทำาสิ่งใดๆ ขา้ พเจา้ กย็ อ่ มทาำ ไดอ้ ยา่ งสวยงามส้ินทุกประการ\" อัน ทวัฑฒกคี อื นายช่างพระอินทรบ์ อกความสามารถของตน \"ถา้ เช่นนนั้ ก็ดีแลว้ เรามกี ารที่จะจ้างทา่ นให้ทาำ สักอย่างหน่งึ แต่กส็ งสยั วา่ ทา่ นจะทาำ ไม่ไดเ้ สรจ็ ตามความ ประสงค์ของข้าพเจ้า\" พราหมณก์ ล่าวขึน้ ตามความร้สู ึกอันจรงิ ใจของตนในขณะน้ัน \" ข้าแต่ท่านมหาพรามหณ์ การสิง่ ใดของทา่ นมี กจ็ งบอกแกข่ ้าพเจา้ เถิด ข้าพเจ้าคิดวา่ จกั ทำาให้สาำ เร็จตาม ความต้องการของทา่ นได้ \"นายช่างพระอนิ ทรร์ กุ เร้าถาม สรุ ุจิ พราหมณจ์ งึ วา่ \"ดกู รนายช่าง บัดน้เี ราได้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์มีองคส์ มเดจ็ พระพุทธเจา้ เปน็ ประธาน ประมาณแสนกวา่ รปู เอาไวใ้ หม้ ารับบณิ ฑบาตฉนั ในวนั พรุ่งน้ี ตอนอรุณรุง่ เช้า เราคิดวา่ จะจ้างใหท้ า่ นสร้าง มหามณฑปใหญ่ ให้ปูลาดเปน็ อาสนะถวายพระสงฆม์ ากมายเหน็ ปานนัน้ ทา่ นยงั จะสามารถรับทำาได้หรือ ไม่?\" \"ขา้ พเจา้ รับจะสรา้ งให้เสรจ็ ตามความตอ้ งการของท่านได้แต่ว่าทา่ นสามารถจะให้ค่าจ้าง แก่ขา้ พเจา้ ได้ หรอื ?\" นายชา่ งพระอนิ ทรก์ ลบั ถามถึงเร่อื งคา่ จา้ งแรงงาน \"เอาเถิด เมือ่ ทา่ นทาำ ได้ตามความต้องการของข้าพเจ้าแล้ว ทา่ นประสงคค์ ่าจา้ งเทา่ ใด ข้าพเจ้าจะไมข่ ดั ขอ้ ง เลย แมแ้ ต่ชวี ิตของข้าพเจ้ากย็ นิ ดีสละให้ได้ อย่าว่าแต่ทรัพยส์ มบัติทข่ี ้าพเจา้ มอี ยู่เลย ขอให้ขา้ พเจา้ มสี ถาน ที่ๆ จะถวายอาหารบิณฑบาตแกพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ตามความต้ังใจของขา้ พเจ้าก็แลว้ กนั \"พราหมณ์กล่าวตอบ อินทวัฑฒกกี ก็ ล่าวว่า \"ดีแล้ว\" ถา้ เช่นนน้ั ขา้ พเจ้าจะรบั ทำาเอง ขอทา่ นจงบอกสถานท่ีๆ จะกอ่ สร้างมณฑปน้นั เถิด\" เม่อื สรุ จุ พิ ราหมณช์ ีม้ อื ไปยังบริเวณเนอื้ ที่อันกวา้ งใหญ่ของตนแหง่ หนงึ่ จงึ ไปยืนแลดูทบ่ี ริเวณนั้นด้วย กำาลังเทพศักดามหานภุ าพ กบ็ ันดาลภูมสิ ถานบริเวณกวา้ งใหญ่น้นั ให้มอี นั เตยี นเล่ยี นตลอดราบร่ืนมพี ื้น เสมอเป็นอนั ดี สมเดจ็ ท้าวสักรนิ ทรโกสียจ์ งึ ดำาริว่า
137 \"ในภูมิสถานมปี ระมาณเทา่ นี้ มหามณฑปแลว้ ไปด้วยแกว้ เจ็ดประการ จงบงั เกิดมี ณ กาลบัดนี้\" ครา ทนี่ ้ัน ก็บังเกิดมหศั จรรยด์ ้วยเทพนฤมติ มหามณฑปวิภูสิตสำาเรจ็ แลว้ ดว้ ยแกว้ หลังใหญ่ ก็ทาำ ลายปฐพี ผดุ ข้ึนมา เสาและขือ่ แหง่ มหามณฑปน้นั ประดบั สลบั ตน้ กนั แล้วไปดว้ ยแก้วและเงินทอง ตามเชงิ ขา่ ยราย รอบเขตมณฑปนนั้ มรี ะบายตาข่ายกระดงึ แก้วและทองห้อยอยรู่ ะยับสลับกนั เปน็ อันดี เวลามลี มออ่ นราำ เพย พดั ก็อบุ ตั ิเสียงเสนาะศัพทส์ ำาเนยี งกระดึงดงั วงั เวงฟังเสียงดงั เพลงทพิ ย์ อนง่ึ ในทว่ี ่างบางแห่งยอ่ มมีทพิ ย์ สุคนธบุปผชาติหอมฟุง้ ขจรตลบอบอวลไปทั่วมหามณฑป สถาน แล้วสมเด็จท้าวมฆั วานเทวราชจึงอธษิ ฐาน จิตเนรมติ ว่า \"อาสนะอนั สมควรพร้อมทัง้ ต่งั รองเทา้ น้าำ ใช้นาำ้ ฉนั จงพลันบงั เกดิ ขนึ้ ภายในมณฑปนี้\" ทรง อธษิ ฐานแลว้ กท็ อดพระเนตรไปในมหามณฑปขณะนั้น อาสนะสงฆ์ครบจำานวนก็บังเกิดขน้ึ พลันพร้อม ไพบลู ย์และมีตุ่มใหญๆ่ เตม้ ไปดว้ ยนำา้ ใสตัง้ ไวต้ ามมมุ มหามณฑปนนั้ ครนั้ สำาเร็จส่งิ ประสงค์แล้ว ก็กลับมาบ อกความแกส่ รุ ุจิพราหมณ์ผเู้ ป็นนายจา้ ง ซงึ่ บดั น้กี าำ ลังนง่ั วิตกอยูใ่ นเรือนด้วยคดิ วา่ บรุ ษุ นายช่างน้ันคงทาำ ไมส่ ำาเรจ็ เสียมากกวา่ เพราะตามธรรมดาตอ้ งใช้เวลาสรา้ งนานเป็นเดือนเป็นปี ครน้ั ท้าวโกสียแ์ ปลงมาบอก ว่า \"ขา้ แตท่ า่ น บดั น้ี มหามณฑปนั้น ข้าพเจา้ ทำาสาำ เรจ็ แลว้ ทา่ นจงไปดูก่อน เสรจ็ แลว้ อย่าลืมย้อน กลบั มาใหค้ า้ จา้ งค่าออกแกข่ ้าพเจา้ เสยี ก็แลว้ กนั \" พราหมณ์ ผ้โู พธิสตั ว์เจา้ ได้สดบั ดังน้นั ก็ดใี จ รีผลุนผลนั ลุกข้ึนออกไปดู ครน้ั เหน็ ประจักษแ์ จ้งแกส่ ายตา ก็มี ความโสมนัสเปน็ ล้นพน้ มกี มลเตม็ ไปดว้ ยปิติ มไิ ดท้ นั ที่จะคดิ ถงึ สงิ่ ใด รีบกลับเขา้ ไปในเรือนเพอื่ จกั จ่าย ทรัพย์อนั เปน็ คา่ จ้างแก่นายช่างผวู้ ิเศษ ก็ให้เกดิ เหตอุ ัศจรรยใ์ จเปน็ ล้นพน้ เพราะว่าคนผเู้ ป็นนายช่างซ่งึ ทวง ค่าจ้างอยูเ่ ม่อื ครู่น้ี ให้มอี นั เป็นอันตรธานหายไปเสยี แลว้ จึงได้สตวิ ิจารณด์ ดู ้วยปญั ญา ก็ตระหนกั แน่แก่ใจ ว่า
138 \"มหา มณฑปประดับงามตระการเปน็ ปานน้ี มนุษยท์ ไี่ หนจักทาำ ได้ นชี่ ะรอยทา้ วสหัสนัยน์จอม ไตรตรงึ ษท์ รงรถู้ งึ ความวิตกหนกั ใจของเรา จงึ ทรงพระอตุ สาหะเสดจ็ มากระทำาความอนุเคราะห์ แกอ่ าตมาเป็นแนแ่ ท\"้ คร้นั ตระหนักแน่ในใจฉะนี้ กม็ คี วามเลือ่ มใสศรทั ธาเป็นทวตี รีคณู ในบุญวิบากเปน็ นักหนา จงึ จนิ ตนาการ สบื ไปวา่ \"ดว้ ย ความงามของมหามณฑปมคี วามประเสริฐถงึ เพียงน้ี อาตมาจะถวายทานแกพ่ ระสงฆ์มี องค์สมเด็จพระสพั พญั ญูเป็นประธาน แตเ่ พียงเวลากาลวนั เดยี วหาควรไม่ จาำ เราจกั อาราธนา พระสงฆถ์ วายทานสบื ไปอีก ใหไ้ ดส้ ักเจด็ วนั เถดิ น่นั แหละจึงจะสมควร\" ดำาริ ดังนี้แล้ว สุรจุ พิ ราหมณ์ผ้มู ที รัพย์มหาศาลกส็ ่งั ให้จดั แจงพัสดุสิ่งของสำาหรบั ถวายทาน เพ่ิมขน้ึ อกี เปน็ อันมาก ไดบ้ าำ เพญ็ มหาทานบริจาคแดพ่ ระสงฆ์มากมายสดุ ประมาณทุกๆ วันถ้วนถึงเจ็ดวัน ครน้ั ถงึ วนั อวสานที่สุดจะเลิกแลว้ นัน้ สุรุจิพราหมณ์บรมโพธิสัตวไ์ ดจ้ ดั บาำ เพ็ญมหาทานเป็นพิเศษ คือคร้ันพระภกิ ษู สงฆ์ท้งั ปวงฉนั ภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยกใ็ หช้ าำ ระบาตรเชด็ ถู ให้สะอาดดแี ล้ว ก็ให้ใสใ่ หเ้ ต็มด้วยน้าำ มันเนย นำา้ ผง้ึ น้ำาออ้ ยทัง้ แสนกว่าบาตรเป็นส่วนเภสชั ทานแล้ว กจ็ ดั การถวายไตรจีวรครบผา้ บรวิ ารอนั กอปรด้วย มูลค่าเปน็ อันมาก แต่ผา้ ไตรจีวรทีม่ ิสู้งามทถี่ ึงแกพ่ ระภกิ ษุนวกะผบู้ วชใหม่ สถิต ณ อาสนส์ ุดท้าย กย็ ังมีค่า นบั ไดห้ ลายตาำ ลึง จะป่วยการกลา่ วไปใย ถึงไตรจีวรท่ีได้แกพ่ ระเถระผู้ใหญใ่ นสังฆมณฑลนั่นเลา่ คราวนน้ั สมเด็จพระสมุ งั คละบรมโลกตุ มาจารย์ เมื่อจะทรงประทานภัตตานโุ มทนากถา จึงทรงพจิ ารณาว่า \"มหาพราหมณ์ผนู้ ้ี มอี ุตสาหะมาบาำ เพ็ญอามิสมหาทานใหญ่ย่ิงนกั ฉะน้ี จะมอี านิสงสเ์ ปน็ ประการใดหนอ\"
139 กท็ รงทราบดว้ ยพระญาณทกุ ประการแล้ว จงึ โปรดประทานพทุ ธฎีกาดำารสั พยากรณว์ ่า \"ดกู ร มหาพราหมณ์ กาลล่วงไปในอนาคตกำาหนดไว้ ๒ อสงไขยเศษอีกแสนกปั ในเบอ้ื งหนา้ นน้ั ตัวทา่ นจะไดต้ รสั เป็นพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ทรงนามวา่ พระศรีศากยมนุ โี คดม ในภทั รกัปอันจกั มี ณ ที่สดุ ๒ อสงไขยกบั เศษแสนมหากัปน้ัน\" ครัน้ ได้สดบั พระพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระชนิ สีหเ์ ป็นลัทธยาเทศเช่นน้ี สรุ จุ มิ หาพราหมณ์ โพธิสัตว์กป็ รีดาปราโมยย์ ิง่ นัก ดาำ รวิ ่า \"เรา จักไดส้ ำาเรจ็ โพธิญาณเปน็ เที่ยงแท้แลว้ กแ็ ต่วา่ บัดนี้ จกั มปี ระโยชน์อันใด ดว้ ยฆราวาสวสิ ัย ครองเรือนอยู่ จาำ เราจกั สอู้ ุตสาหะบำาเพ็ญเนกขัมมบารมอี อกบวชดีกว่า\" เบื้อง วา่ พระโพธสิ ตั วน์ ้ัน ครน้ั คดิ บาำ เพญ็ เนกขมั มบารมเี ชน่ นี้ จงึ สละสมบัติอันไพบูลย์มิไดอ้ าลัย ออก บรรพชาในสำานกั พระผ้มู ีพระภาคเจ้าบรมศาสดา อตุ สาหบ์ าำ เพ็ญคนั ถะธรุ ะและสมถกรรมฐาน กส็ ำาเร็จฌาน อภญิ ญาสมาบัติมไิ ด้เส่ือม สิ้นชนมายแุ ล้วก็ไปอุบตั เิ กดิ เปน็ องค์พระพรหมวเิ ศษ เสวยพรหมสขุ ณ ชนั้ พรหม โลก ๔. สมเดจ็ พระสุมนะอบุ ตั ิ เม่อื ศาสนาของสมเด็จพระมิง่ มงกฎุ สุมงั คละบรมโลกนายกเส่ือมสิ้นล่วงไปแลว้ โลกก็วา่ งจากพระบวรพุทธ ศาสนาอยูเ่ ป็นเวลานานสิน้ กาลได้พทุ ธนั ดรหนงึ่ จึงปรากฎมสี มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้ามาเสดจ็ อบุ ตั ติ รัส ในโลกนี้อกี พระองค์ หนึง่ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมง่ิ มงกุฎสมุ นะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองคผ์ ทู้ รงเปน็ พระบรมไตรโลกนายก ทรงประกาศศาสนธรรมนาำ สตั ว์ทงั้ หลายให้ออกจากทุกขใ์ นวฏั สงสารได้เป็นจำานวน มาก
140 กาลคร้ังน้ัน พระบรมโพธิสัตวเ์ จ้าของเราได้สบื ปฏสิ นธถิ ือกำาเนดิ ในภุชงคตระกูล เปน็ พญานาคราชนามวา่ พญาอดลุ ยวาสุกรี มีมหิทธศักดานุภาพอันยง่ิ ใหญ่ ไดเ้ ป็นอสิ สราธิปไตยในนาคพภิ พ ครั้นไดแ้ จ้งกติ ติศัพท์ บันลือวา่ \"บัดน้ี สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ทรงพระนามวา่ พระสมุ นะบรมศาสดาจารย์ ทรงอบุ ัตมิ า ตรัสในโลกแล้ว\" เพยี ง แต่ไดส้ ดับอรรถประโยคน้เี ขา้ เท่านน้ั พญาอดลุ ยวาสกุ รกี ใ็ ห้มีอนั เป็นเกดิ ขนพองสยองเกลา้ ด้วย ความปรีดาปราโมทย์เป็น นกั หนา รบี พาประยูรวงศส์ มั พันธ์ ญาติคณานาคบริษัทออกจากนาคพภิ พมา ถวายนมัสการกระทำาสกั การะบชู าสมเด็จพระสุมนะ พุทธองค์กับพระอริยสงฆ์บรวิ าร ทาำ การประโคมด้วย ดรุ ิยางคด์ นตรสี ำาเนยี งเสนาะเลิศ แลว้ ได้อุทศิ ถวายทพิ ยภูษามีสงี ามประเสรฐิ แดพ่ ระพุทธองคแ์ ละพระสงฆ์ บริวารมี หฤทัยเบิกบานชมชืน่ ในพระพุทธคณุ ถึงพระไตรสรณคมนเ์ ป็นนาถะที่พึง่ จึงในกาลคร้งั นัน้ สมเด็จพระสุมนะบรมศาสดาจารย์ไดท้ รงมพี ระพุทธฎกี าดาำ รัสพยากรณว์ ่า \"พญา อดุลยนาคราชนี้ นานไปในอนาคตกำาหนดได้ ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนกปั แล้วจกั ได้ ตรสั เปน็ พระสพั พญั ญูพทุ ธเจ้าองคห์ นงึ่ ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกปั อนั จักมี ณ ท่สี ุดแห่ง ๒ อสงไขยกับแสนมหากัปนัน้ \" ครัน้ ไดส้ ดบั พระพทุ ธพยากรณฉ์ ะนี้ พญาอดุลยวาสกุ รกี ม็ ีจิตยนิ ดีปราโมทย์ยิ่งนกั แลว้ ถวายนมสั การลงพา บรวิ ารของตนกลับไปยงั นาคพภิ พ เสวยภริ มย์ชมสมบตั เิ ป็นสุขอยูต่ ลอดกาลนาน จวบจนถงึ กาลอายขุ ยั
141 ๕. สมเดจ็ พระเรวตะอุบตั ิ เมอื่ ศาสนาของสมเดจ็ พระมง่ิ มงกุฎสุมนะสัมมาสมั พุทธเจา้ เส่อื มสญู หมดส้นิ ไปแลว้ โลกก็ว่างเปลา่ จาก พระบวรพทุ ธศาสนาอยเู่ ปน็ เวลาส้ินกาลนับได้พทุ ธนั ดรหนง่ึ แล้วจงึ มีสมเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าเสดจ็ มา อุบัตติ รสั ในโลกอีกพระองคห์ นึ่ง ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระมิ่งมงกฎุ เรวตะสมั มาสัมพทุ ธเจา้ พระองคผ์ ทู้ รง เป็นพระบรมโลกนายกทรงพระยศพระคณุ หาทีส่ ดุ มไิ ด้นำาสัตวท์ ั้งหลายให้ลถุ งึ ความเกษมสวัสดีเป็นอนั มาก กาลครั้งหนงึ่ พระบรมโพธิสตั ว์เจ้าของเราได้สืบปฏสิ นธถิ อื กำาเนิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามวา่ อตเิ ทว มาณพ ศึกษาเจนจบในไตรเวทางคศาสตร์ วนั หน่งึ ได้มีโอกาสสดับมธรุ สธรรมกิ ถา ที่แสดงคณุ แหง่ ปหาน การละกเิ ลส จากพระโอษฐองค์สมเดจ็ พระโลกเชษฐเรวตะพุทธเจา้ แลว้ มีจติ เลื่อมใสนักหนามศี รัทธาตั้งอยู่ ในไตรสรณคมน์ ยกมือขน้ึ เหนืออุตมางค์ พลางเปล้ืองผ้าหม่ สสี วยสดมีค่าหนึง่ พันตำาลงึ ออกทาำ สกั การะ บูชาพระสัทธรรมเทศนา จงึ ในกาลครง้ั นัน้ สมเด็จพระเรวตะบรมศาสดาจารย์ไดท้ รงมพี ระพทุ ธฎกี าดำารสั พยากรณว์ า่ \"อติ เทวมาณพผนู้ ี้ นานไปในอนาคตจกั ได้ตรัสเปน็ พระสพั พัญญูพทุ ธเจา้ องคห์ นง่ึ ทรงนามว่า พระศรศี ากยมุนโี คดมในกาลภทั รกปั อันจกั มี ณ ทส่ี ุดแหง่ ๒ อสงไขยกบั เศษอีกแสนมหากัป\" ครน้ั ไดส้ ดบั พระพุทธพยากรณ์ ฉะน้ี อติเทวมาณพผูโ้ พธสิ ตั วท์ รงพทุ ธบารมี กม็ ีจิตยินดีปลาบปลมื้ เป็นทียงิ่ อุตสาหะบาำ เพญ็ กศุ ลทรงพระบารมี ครั้นถงึ แกช่ ีพติ กั ษยั ก็ได้ไปอบุ ตั เิ กดิ ในสคุ ติภมู ิ
142 ๖. สมเด็จพระโสภติ ะอบุ ัติ เม่อื ศาสนาขององค์สมเดจ็ พระมิ่งมงกุฎเรวตะสมั มาสัมพุทธเจ้าเสอ่ื สญู หมดสนิ้ ไปแลว้ โลกก็วา่ งเปล่าจาก พระบวรพทุ ธศาสนาอยู่เป็นเวลานานนับไดป้ ระมาณพทุ ธันดรหน่ึง แล้วจึงปรากฎมีสมเด็จพระสมั มาสัม พุทธเจา้ เสด็จมาอุบตั ิตรัสในโลกอีกพระองค์ หนึ่ง นบั เป็นองคส์ ดุ ท้ายในสารมัณฑกัปนั้น ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระมง่ิ มงกฎุ โสภิตะ สัมมาสัมพทุ ธเจ้า พระองค์ผทู้ รงเปน็ บรมโลกนายกทรงพระยศและพระคณุ หา ท่สี ุดมิได้ ทรงยงั พทุ ธเวไนยท้ังหลายให้ได้ดืม่ อมตรสบรรลอุ รยิ ธรรมขา้ มพน้ จากหวั งมหรรณพ ภพสงสาร เป็นประมาณมิใช่นอ้ ย ตามสมควรแก่อปุ นสิ ัยแหง่ ตน กาลครัง้ นน้ั พระโพธิสัตว์เจ้าของเราไดส้ บื ปฏสิ นธถิ อื กาำ เนิ ิดในตระกูลพราหมณม์ หาศาล มีนามว่า อชิ ตมาณพ อยู่ ในเมอื งรมั มวดนี คร วันหน่งึ ไดม้ โี อกาสสดับมธุรธรรมิกถาจากพระโอษฐสมเดจ็ พระโลกเชษฐ โสภิตะสมั มา สัมพทุ ธเจ้าแล้วมจี ิตเลื่อมใสนักหนา มศี รัทธาตั้งอยใู่ นไตรสรณคมนแ์ ละศลี ต่อมาได้บำาเพ็ญ มหาทานการบรจิ าคอนั ย่งิ ใหญ่แก่พระอรยิ สงฆซ์ ง่ึ มีองค์สมเด็จ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน สละ ทรัพย์บริจาคทานมากมายในครง้ั นี้อยู่นานถงึ หนึ่งสัปดาห์ คราทีน่ ้ัน จึงองค์สมเดจ็ พระสรรเพชญโ์ สภิตะบรมศาสดาจารย์ได้ทรงมพี ระพุทธฎีกาดาำ รสั พยากรณ์ว่า \"อชติ พราหมณผ์ นู้ ้ี นานไปในอนาคตจักได้ตรสั เป็นพระสัพพัญญพู ุทธเจ้าองคห์ นงึ่ ทรงนามวา่ พระศรีศากยมุนโี คดม ในกาลภัทรกัปปอ์ นั จักมี ณ ทีส่ ุด แห่ง ๒ อสงไขยกบั เศษอกี แสนมหากปั \" ครั้นได้สดับพระพุทธ พยากรณฉ์ ะน้ี อชติ พราหมณผ์ โู้ พธิสตั วก์ ็มีจิตยินดีปลาบปลมื้ เป็นท่ีย่งิ อตุ สาหะ บาำ เพญ็ กศุ ลสรา้ งพระบารมตี ่อไป ในไม่ช้า ก็ถงึ แก่ชีพติ ักษัย ไปอบุ ตั ิเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐ ณ เทวโลก แดนสุขาวดี
143 ๗. สมเด็จพระอโนมทสั สีอุบัติ เมือ่ สมเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทงั้ ๔ พระองค์ คือพระสุมงั คลพทุ ธเจา้ ๑ พระสมุ นะพุทธเจา้ ๑ พระเรวตะ พุทธเจา้ ๑ และพระโสภติ ะพุทธเจา้ ๑ ได้เสดจ็ มาอบุ ัติตรสั ในโลกเรียงกนั ตามลำาดบั และได้ทรงกระทำาพทุ ธ พยากรณท์ ำานาย พระบรมโพธสิ ัตวข์ องเรามาทกุ ๆ พระองค์ดังกลา่ วแลว้ น้ัน กาลตอ่ มา ครนั้ สิน้ อายุศาสนา ของสมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้าองคส์ ุดท้าย คือ พระโสภิตะพุทธเจ้า โลกกว็ า่ งเปลา่ จากพระพุทธศาสนา อยู่นาน จนสน้ิ สารมัณฑกปั นัน้ คร้นั ข้นึ อสงไขยกัปใหมก่ ย็ ิ่งซาำ้ รา้ ย เพราะอสงไขย หนง่ึ ตอ่ มานนั้ เป็นสญุ อสงไขยคือ ไมม่ ีพระพุทธเจ้ามาตรัสเลยสักพระองคเ์ ดยี ว เม่อื เปน็ เชน่ นี้ กท็ ำาให้โลกเรามือบอดปลอดจาก พระสัทธรรม ถกู อวชิ ชาเขา้ ครอบงาำ เพราะไมม่ ผี ู้นาำ ทางไปสู่ความสวา่ ง คือพระนฤพาน เมอ่ื โลกว่างเว้นหา่ ง ไกลจากพทุ ธกาลนานนักแล้ว คราทนี่ น้ั จงึ มี วรกปั หนึง่ บงั เกดิ ขน้ึ ก็คำาวา่ วรกัปนี้ ก็คงจะเป็นทีท่ ราบกนั ดีแล้วว่า เปน็ ชอ่ื ของกปั ท่มี ีพระพทุ ธเจา้ มาอุบตั ิตรัสในโลก ๓ พระองค์ ใช่ไหมเลา่ กว็ รกปั ทเ่ี รากาำ ลังกลา่ ว ถงึ กันอยู่นี้ ก็มีสมเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ เสด็จมาอุบัตติ รัสในโลก ๓ พระองค์ คือ ๑. สมเด็จพระม่ิงมงกุฎอโนมทัสสีสัมพทุ ธเจ้า ๒. สมเดจ็ พระมิ่งมงกุฎปทมุ ะสมั พทุ ธเจา้ ๓. สมเด็จพระม่ิงมงกฎุ นารทะสัมพุทธเจา้ ในกาลเมอ่ื สมเดจ็ พระมงิ่ มงกุฎอโนมทัสสีสัมมาสมั พุทธเจ้าเสดจ็ มาอุบตั ิตรัสในโลกเป็นองค์ปฐมใน วรกัป นั้น พระองคท์ รงประกาศพระบวรพทุ ธศาสนา ยังศาสนธรรมไดแ้ พรห่ ลาย นาำ ความสว่างไสวใหเ้ กิดข้ึนใน ดวงใจของเหลา่ ประชานกิ ร เพราะไดส้ ดับคำาสอนอนั เป็นสัจธรรม นำาตนใหพ้ น้ ภยั ไดบ้ รรลุคณุ วเิ ศษ ตาม สมควรแก่อุปนสิ ยั วาสนาบารมีของตนๆ เป็นอันมากแลว้ กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราทง้ั หลายได้สบื ปฏสิ นธิถอื เอากาำ เนิดเกิดเปน็ พญายักขเสนาบดี มี ฤทธาศักดานภุ าพมาก ไดเ้ ปน็ ใหญก่ วา่ ยกั ษบ์ รษิ ทั นับได้แสนโกฏปิ กครองบริษัทบริวารของตนใหไ้ ด้รบั ความสขุ โดยถว้ นหนา้ กาลวันหน่งึ ได้สดบั ขา่ วว่า
144 สมเดจ็ พระอโนมทสั สสี มั มาสัมพุทธเจา้ เสด็จอุบัตติ รัสในโลกแลว้ พอ ได้สดบั กติ ติ ศัพท์บนั ลือเชน่ น้ี ก็มีจติ ยนิ ดีเตม็ ตน้ื ไปดว้ ยปิติเป็นทยี่ งิ่ จึงนริ มตมิ ณฑปใหญอ่ นั วจิ ติ ร งดงามล้วนไปด้วยแก้วเจ็ดประการ แล้วอาราธนาสมเดจ็ พระพทุ ธองคพ์ รอ้ มกบั พระอริยสงฆบ์ ริวารเขา้ ไป ในมณฑปนัน้ พร้อมด้วยยัขบริวาร บาำ เพ็ญมหาทานเป็นอันมาก ตลอดเจด็ วนั ด้วยมีมนสั มุง่ พระโพธญิ าณ กาลครั้งนั้น จึงองคส์ มเด็จพระอโนมทัสสบี รมศาสดา เมื่อจะทรงกระทำาอนโุ มทนาทาน จงึ มีพระพทุ ธฎกี า ดาำ รัสพยากรณว์ ่า \"ทา่ น พญายักขเสนาบดีน้ี นานไปในอนาคตกำาหนดอีก ๑ อสงไขยแสนมหากปั จักไดต้ รสั เป็น พระสัพพัญญูพทุ ธเจา้ พระองคห์ น่ึง ทรงนามว่า พระศรศี ากยมนุ โคดม ในกาลภัทรกปั อนั จกั มี ณ ท่สี ุดแห่ง ๑ อสงไขยแสนมหากัปนน้ั \" ครัน้ ไดส้ ดับพระพทุ ธพยากรณ์ ฉะนี้ พญายักขเสนาบดกี ็มีจติ ยินดีปรดี าปราโมทย์เปน็ ย่ิงนัก ตง้ั จิตม่ันในอัน ทจี่ ะสรา้ งพระบารมี เพื่อพระปรมาภเิ ษกสมั โพธญิ าณต่อไป
145 ๘. สมเดจ็ พระปทุ มะอุบตั ิ กาลเมอื่ ศาสนาของสมเดจ็ พระมง่ิ มงกุฎอโนมทสั สีสัมมาสมั พุทธเจ้าเสื่อมสูญหมด สิน้ ไปแล้ว โลกก็ว่าง เปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เปน็ เวลานาน นับได้พทุ ธนั ดรหนง่ึ แล้วจึงปรากฎมีสมเดจ็ พระสมั มาสัม พุทธเจ้าเสดจ็ มาอบุ ัตติ รสั ในโลกอกี พระองค์ หน่ึง ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระมงิ่ มงกุฎ ปทมุ ะ สัมมาสัมพทุ ธ เจา้ พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกนายก ทรงพระยศและพระเดชพระคุณหาทีส่ ุดมิได้ ทรงนำาสัตว์ทง้ั หลายให้ บรรลุถงึ ความเกษมสวสั ดเี ป็นอันมากแล้ว กาลคร้งั นั้น พระบรมโพธิสตั วเ์ จ้าสบื ปฏสิ นธิถือกำาเนดิ ในดริ จั ฉานภมู ิ ดว้ ยอำานาจวฏั สงสารความเวยี นว่าย ตายเกิดในวัฏฏะชักพาใหอ้ งคพ์ ระโพธิสัตวเ์ กดิ เปน็ พญาไกรสรสีหราช อยใู่ นอรญั ญประเทศ วันหน่งึ ไดพ้ บ สมเด็จพระปทุมะสมั มาสมั พุทธเจา้ พรอ้ มกับพระสงฆ์บรษิ ทั กาำ ลงั ทรงน่งั เข้านิโรธสมาบตั อิ ยู่ ณ รกุ ขมลู โคน ต้นไมใ้ หญ่ พญาไกรสรสีหราช ไดเ้ ห็นภาพ อนั ควรแกก่ ารเลอื่ มใสทีใ่ ครๆ จะมโี อกาสเหน้ ไดโ้ ดยยากเช่นนั้นแล้ว กม็ ีจิต ชน่ื บานคดิ ว่า \"เราจักทำาการพิทักษร์ ักษาพระผมู้ ีพระภาคเจ้ากับพระอรยิ สงฆเ์ หล่าน้ี แม้จะส้ินชวี ีไปกต็ ามท\"ี แลว้ กก็ ระทำาประทักษณิ บริรกั ษ์เดินเวียนไปมาเฝา้ ดอู ยู่ หวงั ใจให้พระบรมครูกับพระอรยิ สงฆ์ปลอด อนั ตราย จนสรรี ะกายอดิ โรยอ่อนเพลียนักหนา เพราะมไิ ดข้ วนขวายแสวงหาภักษาหารตลอดกาลหนง่ึ สัปดาห์ คร้ันสมเดจ็ พระปทุมะสมั มาสัมพุทธเจา้ ซง่ึ เสด็จยบั ยัง้ เสวยวิมตุ ิสุขอยใู่ นนิโรธสมาบัติครบ ๗ วันแลว้ จึง ทรงออกจากสมาบัติ ไดท้ รงเห็นพญาสตั วไ์ กรสรสีหราชกระทำาอธิการ คือผสู้ ละชวี ติ เฝา้ บรริ ักษอ์ ย่เู ชน่ นนั้ จงึ ทรงมพี ระพุทธฎีกาดำารัสพยากรณ์วา่
146 \"พญา ไกรสรสหี ราชน้ี นานไปในอนาคตกำาหนดพอสนิ้ อสงไขยนกี้ ับอกี แสนมหากปั จักไดต้ รัส เปน็ พระพุ ุทธเจ้าองค์หนึง่ ทรงนามวา่ พระศรศี ากยมุนีโคดม ในภัทรกปั อันจักมี ณ ที่สดุ แห่ง อสงไขยกับอีกแสนมหากัป\" เมือ่ สมเด็จพระปทมุ ะสัมมาสมั พุทธเจา้ ทรงกระทาำ พทุ ธพยากรณด์ งั นแ้ี ล้ว ก็พาพระภกิ ษุสงฆ์ออกจากอรญั ราวปา่ ไป เพอื่ ทรงทาำ พุทธกิจเกอื้ กลู พทุ ธเวไนย ถงึ อวสานกาลแล้ว ก็เสด็จดบั ขนั ธ์ปรนิ พิ พานล่วงไป ฝา่ ย พญาไกรสรสีหาชนั้น ครั้นสิ้นชวี ิตกาลก็ไปอุบตั เิ กดิ เปน็ เทพบตุ รสดุ ประเสริฐเสวยทพิ ยสัมบัติ เป็นสุขอยู่ ณ เทวโลก แดนสขุ าวดี ๙. สมเด็จพระนารทะอบุ ตั ิ กาลเมือ่ ศาสนาของสมเดจ็ พระมงิ่ มงกาำุ ฎปทุมะพระพุทธเจ้าเสือ่ มสญู หมดส้ินไป แล้ว โลกกว็ ่างเปล่าจาก พระพทุ ธศาสนาอย่เู ปน็ เวลาช้านาน ส้ินกาลนับได้พทุ ธนั ดรหนง่ึ แล้ว จงึ ปรากฎมสี มเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธ เจา้ เสดจ็ มาอบุ ัตติ รสั ในโลกอกี พระองค์หนง่ึ ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระม่งิ มงกุฎนารทะสมั มาสมั พุทธเจ้า พระองค์ทรงเปน็ พระบรมโลกนาย ทรงพระยศและพระเดชพระคณุ หาท่ีสดุ มไิ ด้ ทรงนาำ สตั ว์ทง้ั หลายใหล้ ถุ ึง ความเกษมสวสั ดีเปน็ อนั มากแลว้ กาลคร้งั นนั้ พระบรมโพธสิ ัตวเ์ จ้าของเราไดส้ บื ปฏิสนธิถอื กำาเนิดเกดิ มาเป็นมนษุ ย์ หวังความบรสิ ทุ ธ์แิ หง่ ขันธสันดานจงึ ไดไ้ ปสร้างอาศรมอย่ใู นปา่ ใหย่ ออกบวชเปน็ ฤา๊ษี มีวริ ิยะบาำ เพญ็ พรตพรหมจรรย์ จนได้ สำาเร็จฌานสมาบัติและอภิญญาอันแกล้วกลา้ ชาำ นาญ วนั หนง่ึ สมเดจ็ พระพทุ ธนารทะบรมครูแวดลอ้ มดว้ ย พระอรยิ สงฆผ์ ทู้ รงคณุ วิเศษชั้นพระ อรหันตแ์ ละพระอนาคามีบุคคล กับอุบาสกอกี มากมายหลายทา่ น ได้พา กันเข้าไปในทใี่ กล้อาศรมฤาษี คราท่นี น้ั องค์พระมหาฤาษโี พธสิ ตั ว์ผทู้ รงอภิญญาไดท้ อดทัศนาเหน็ กใ็ ห้ บงั เกดิ ความเลอื่ มใสจึงไดเ้ นรมติ อาศรมมากมายใหม้ จี ำานวนเพียงพอกบั พระบรมครูเจา้ และพระสาวกท้งั หลาย ถวายให้น่ังเปน็ ท่ีเรยี บรอ้ ยแลว้
147 สมัยน้ัน สมเดจ็ พระภควันตน์ ารทะศาสดาจารย์เจา้ จงึ แสดงพระธรรมเทศนานวิ าสนานุโมทนา และอานสิ งส์ แหง่ การเจรญิ พระพุทธานุสติ ด้วยมธรุ สวาทขี องสมเดจ็ พระชนิ สีหส์ ัพพัญู ฤาษีโพธิสัตวไ์ ดส้ ดบั มีความ ปรีดาปราโมทย์เป็นทีส่ ุด ในวันรุ่งขน้ึ จึงเหาะไปยงั อุตตรกรุ ุทวีปด้วยอำานาจฌานวิสยั เพอ่ื นำาเอาภัตตาหาร มาถวายพระพุทธองคแ์ ละพระอรยิ สงฆ์ พร้อมกบั อุบาสกทงั้ หมดอยา่ งพอเพยี ง กระทาำ อยู่อยา่ งนี้เปน็ เวลา นานถงึ หนง่ึ สปั ดาห์ ในวนั สดุ ท้าย ไดท้ ำาพุทธบชู าสักการะดว้ ยแก่นจนั ทรแ์ ดงอันมีคา่ สูง ด้วยความเล่อื มใส เปน็ อย่างยง่ิ จึงในครัง้ นนั้ สมเดจ็ พระสรรเพชญนารทะสมั มาสมั พุทธเจ้าได้ทรงมีพระพุทธฎกี า ดำารสั พยากรณ์วา่ มหา ฤาษีผู้มี มี หานภุ าพน้ี นานไปในอนาคตกาำ หนดแตน่ ไ้ี ปในที่สดุ ๑ อสงไขย แสนมหากัป จกั ได้ตรสั เปน็ พระพุทธเจา้ พระองคห์ น่ึงทรงพระนามวา่ พระศรศี ากยมนุ โี คดม อย่างแม่นมั่น ใน ท่ีสดุ แห่ง ๑ อสงไขยแสนมหากัปนั้น ครน้ั ได้สดับพระพทุ ธพยากรณจ์ ากพระโอษฐข์ องสมเด็จพระชนิ สีห์เจ้าฉะน้ี ทา่ นมหาฤษีโพธสิ ัตว์ผ้ทู รง อภิญญากม็ จี ติ ปลาบปลมื้ ปราโมทยน์ กั หนา อตุ สาหะบำาเพญ็ พระพทุ ธบารมีเม่อื ถงึ แกช่ พี ิตกั ษยั แล้ว ก็ไป อบุ ตั ิบงั เกดิ เป็นพระพรหมวิเศษ ณ พรหมโลก ทา่ น ผมู้ ีปัญญาทั้งหลาย สมเดจ็ พระมิง่ มงกุฎสมณโคดมบรมครเู จา้ ของเราท่านทกุ วันน้ี พระองคไ์ ดท้ รง สร้างพระบารมใี นตอนปลายเป็นนยิ ตโพธิสตั วเ์ ทยี่ งแท้ที่จะได้ ตรัสรเู้ ป็นพระพทุ ธเจา้ เพราะไดร้ ับลัทธยา เทศคาำ พยากรณจ์ ากสำานักของพระพุทธเจา้ เป็นลำาดับมาทุกๆ พระองค์ นบั ตั้งแต่พระองคท์ ่ีหน่งึ คอื สมเดจ็ พระมิ่งมงกฎุ ทปี ังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถงึ สมเดจ็ พระม่ิงมงกุฎนารทะสัมพทุ ธเจา้ ที่เรากาำ ลังกล่าวถึงกัน อยใู่ นบดั น้ี นับไปไดก้ พ่ี ระองค์แลว้ เลา่ ? \"...ออ๋ กจ็ ะไปยากอะไร นบั ไดท้ ัง้ หมดดว้ ยกนั รวม ๙ พระองค์ ใช่หรอื ไม่?\"
148 \"ถูกต้องแล้ว...\" \"...อ้าว ก็ในเมื่อถูกตอ้ งแลว้ ไฉนจงึ มาเฉไฉให้เสียเวลาไปเปล่าๆ สะดดุหยดุ เสยี กลางคันเชน่ น้ี มเี หตผุ ลอะไรรึ... หรือวา่ พระองคส์ ร้างพระบารมมี าเพยี งแค่นี้?\" \"เปลา่ ! ทห่ี ยุดลงน่ี ไมใ่ ช่คิดจะกลา่ วออกไปนอกเรอื่ งหรือว่าพระองค์สรา้ งพรี ะบารมีเพียงแค่นี้ ไมใ่ ชท่ ั้งสิ้น แต่ต้องการทีจ่ ะบอกให้ทราบวา่ บัดนี้ กาลเวลากไ็ ด้ลว่ งเลยมาแล้ว...\" \"กาลเวลาอะไรกัน แลว้ มนั เก่ยี วพนั กบั เร่อื งนีอ้ ย่างไร?\" \"อ้าว...ก็ กาลเวลาที่พระบรมโพธสิ ตั ว์เจ้าของทรงใช้ในการสรา้ งพระบารมีตอนปลายนนี้ ะซี นับต้งั แตไ่ ดพ้ บ พระพุ ุทธทปี งั กรองค์ท่ี ๑ เป็นตน้ มา จนถงึ พระพุทธนารทะองค์ที่ ๙ นน้ี ับเปน็ เวลาได้ ๔ อสงไขยแลว้ ทนี ้ี สมเดจ็ พระศรีศากยมนุ ีโคดมบรมครูเจ้าของเรา กท็ รงเปน็ พระพุทธเจา้ ประเภททีไ่ ด้กล่าวมาแลว้ คือ ทรง เป็นพระพุทธเจา้ ประเภท ปญั ญาธิกะ ก็อนั วา่ พระพุทธเจา้ ประเภทปญั ญาธิกะนี้ ตอ้ งทรงสร้างพระพทุ ธบารมี ตอนปลายเป็นเวลานานถงึ ๔ อสงไขย กบั เศษอีกหนึง่ แสนมหากัป ฉะนนั้ จึงจำาเป็นตอ้ งหยดุ เรอื่ งการ พรรณนาเรือ่ งไวเ้ สียสกั นิดกอ่ นในตอนน้ี แล้วบอกใหท้ ราบว่า ในระยะเวลายาวนานถงึ ๔ อสงไขยนี้ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราทรงได้มโี อกาสพบพระพทุ ธเจา้ เพยี ง ๙ พระองค์เทา่ นนั้ ส่วนเวลาทเี่ หลือเศษ อกี หนง่ึ แสนมหากปั นน้ั พระบรมโพธสิ ตั ว์จะมีโอกาสพบพระพทุ ธเจ้าอีกก่ีพระองค์ และทรงเสวยพระชาติ เป็นอะไรบ้าง กจ็ ะไดพ้ รรณาใหฟ้ งั ในกาลบัดนี้ ขอจงตัง้ อกตัง้ ใจสดบั ดว้ ยดตี ่อไปเถิด
149 ๑๐. พระปทมุ มุตระอุบตั ิ บัดนี้ จะขอกล่าวกลับจบั ความ จำาเดิมเมือ่ สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ทั้ง ๓ พระองค์คอื พระอโนมทสั สี สมั มาสัมพุทธเจา้ และพระนารทะสมั มาสัมพุทธเจา้ ได้เสดจ็ มาอบุ ัติและทรงกระทาำ พทุ ธพยากรณ์ ทาำ นาย พระบรมโพธสิ ัตวเ์ จา้ ของเรา โดยทรงพยากรณเ์ รียงกนั ตามลำาดบั ในวรกับดังกลา่ วมาแลว้ กาลตอ่ มา เมื่อ ส้ินศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ โลกเราน้ีก็วา่ งเปลา่ จากพระพทุ ธศาสนาอย่นู านจนสนิ้ วรกัปนนั้ คร้นั สิ้นวรกปั นัน้ แล้วขน้ึ กัปใหมต่ ่อมา ก็นา่ อนาถ เพราะขาดผทู้ รงคุณพิเศษ ไม่มสี มเด็จพระพทุ ธเจ้ามา เสด็จอุบตั ิสักพระองค์เดยี ว เลยกลายเป็นสญุ กปั คือกปั ทีสูญเปล่าจากพระพทุ ธเจา้ ไป ทำาใหโ้ ลกวา่ งเว้น จากพุทธกาลมาชา้ นานนักหนา คราท่ีนน้ั จงึ มสี ารกปั หนง่ึ บังเกดิ ขนึ้ ปรากฎมสี มเด็จพระสรรเพชญสมั มา สัมพุทธเจ้าเสดจ็ มาอุบตั ติ รัสในโลก นพ้ี ระองคห์ นึ่ง พระนามว่า สมเดจ็ มิ่งมงกฎุ ปทมุ ุตระสมั มาสมั พุทธเจ้า คราว นน้ั พระบรมโพธสิ ัตวเ์ จ้าของเราไดส้ บื ปฏิสนธถิ อื กาำ เนดิ เป็นนายบา้ นช่ือ ชฎลิ ต่อมาไดท้ รงเพศเป็น ดาบส ปรากฎด้วยตบะเดชะมีฌานธรรมอันเช่ียวชาญ วันหนง่ึ ได้มโี อกาสพบสมเด็จพระผมู้ พี ระภาคเจ้า แลว้ มีนา้ำ ใจประกอบไปด้วยความเลอื่ มใสเป็นอันมาก จงึ ไดต้ กแต่งจวี รทานถวายพระอริยสงฆ์ซึ่งมอี งค์ สมเดจ็ พระปทุมมุตระพทุ ธเจา้ เปน็ ประธาน เมอื่ องคส์ มเด็จพระปทมุ ุตระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทรงเสวยภัตตาหารและทรงแสดงอนโุ มทนากถาจบลงแล้ว จงึ ทรงมพี ระพุทธฎีกาดำารัสพยากรณ์ว่า \"ชฎลิ ดาบสผู้นี้ นานไปในอนาคต จักไดต้ รัสเป็นพระพุทธเจา้ พระองค์หนง่ึ ทรงนามว่า พระศรี ศากยมุนโี คดม ในภัทรกปั อนั จักมใี นทสี่ ุดหน่งึ แสนมหากปั \"
150 คร้ัน ไดส้ ดับพระพทุ ธฎกี าทรงพยากรณฉ์ ะนี้ ชฎิลดาบสกป็ ลาบปล้มื ยินดเี ป็นล้นพน้ มีดวงกมล กระหย่ิมอยู่ ดูประหนง่ึ ว่าตนจกั ไดส้ ำาเรจ็ แกพ่ ระปรมาภเิ ษกสัมโพธิญาณในวันในพรงุ่ จงึ มีวิริยะ อตุ สาหกรรมสรา้ งพระบารมใี ห้ยง่ิ ขน้ึ ไป ไม่ช้านาน ไปในเบ้อื งต้น ๑๑. สมเด็จพระสุเมธะอบุ ัติ เมอื่ ศาสนาของสมเด็จพระมิง่ มงกุฎปทุมตุ ระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าเส่อื มสูญไปแลว้ โลกก็วา่ งจากพระบวรพทุ ธ ศาสนาจนส้นิ สารกัปนนั้ ครัน้ ข้ึนมหากัปใหม่ตอ่ มา กเ็ ป็นเวลาทเ่ี รียกวา่ เป็น สญุ กปั คอื เป็นกปั ทสี่ ูญเปลา่ ไมม่ ีพระพุทธเจา้ มาตรัส เป็นสญุ กัปอยูอ่ ยา่ งน้ี สน้ิ กาลช้านานจาำ นวน ๓๐,๐๐๐ มหากัปทเี ดียว ทา่ นผมู้ ี ปญั ญาทัง้ หลายคงจะเข้าใจกันดีแล้วว่า มหากปั หนงึ่ นน้ั เป็นเวลานานเทา่ ใด ทนี ้ี ก็จงใช้วิจารณปัญญา พจิ ารณาดูเถดิ ว่า ในระยะนีไ้ มม่ ีพระพทุ ธเจา้ มาอบุ ัตติ รสั ในโลกถึง ๓๐,๐๐๐ มหากปั อยา่ งน้ีแลว้ โลกเราจะ มดื บอดจากพระสทั ธรรมเปน็ เวลาช้านานเพียงไร เม่อื ๓๐,๐๐๐ สุญกัปลว่ งไปโดยลำาดบั แล้ว คราทีน่ น้ั จึงมมี ณั ฑกัปหนึ่งบังเกิดข้ึน มณั ฑกัป น้เี ป็นกัปทมี่ ี สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสมั พทุ ธเจ้าเสด็จอบุ ตั ติ รสั ในโลก ๒ พระองค์ คือ ๑. สมเด็จพระม่งิ มงกุฎพระสเุ มธพทุ ธเจ้า ๒. สมเด็จพระมง่ิ มงกุฎพระสชุ าตะพุทธเจา้ ก็ ในกาลเมอ่ื สมเด็จพระมงิ่ มงกฎุ พระสเุ มธะสมั มาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรสั ขึน้ ในโลก พระองค์ทรง บำาเพ็ญพระพุทธจริยา ประกาศศาสนธรรมคำาสอน ยงั ประชากรทง้ั เทพยดาแลมนุษยใ์ หไ้ ดด้ ื่มอมตรส นำาความสว่างไสวใหป้ รากฎในดวงหทยั ของชาวโลกเปน็ อันมาก พระองคท์ รงเปน็ พระบรมโลกุตตมาจารย์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261