Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ มุนีนาถทีปนี โดยพระพรหมโมลี

✍️ มุนีนาถทีปนี โดยพระพรหมโมลี

Description: ✍️ มุนีนาถทีปนี โดยพระพรหมโมลี

Search

Read the Text Version

201 ถา้ สร้างบารมีมาอยา่ งแก่กล้า เปน็ บคุ คลประเภทโทสจริต จติ สนั ดานมากไปด้วยปัญญา แตม่ สี มาธนิ อ้ ย เคยเจรญิ วิปัสสนามามาก เมอื่ อนิ ทรีย์ทัง้ ๕ แก่กลา้ ในชาติน้แี ล้ว ก็สามารถไดบ้ รรลุมรรคผลอย่างรวดเรว็ เชน่ น้กี เ็ ปน็ พระเอกพีชีโสดาบัน ถ้า สรา้ งบารมมี าอยา่ งปานกลาง เป็นบคุ คลประเภทราคจริต จติ สนั ดานมปี ัญญาและสมาธิเท่ากัน เคย เจริญวิปัสสนากรรมฐานและสมถกรรมฐานมาเทา่ ๆ กัน เม่ืออินทรียท์ ั้ง ๕ แก่กลา้ ในชาตินแี้ ลว้ กส็ ามารถได้ บรรลมุ รรคผลอย่างปานกลาง คือไม่เรว็ ไม่ชา้ เช่นนี้กเ็ ปน็ พระโกลงั โกละโสดาบัน ถ้า สรา้ งบารมีมาอยา่ งออ่ น เ็ป็นบคุ คลประเภท โมหะจริต จิตสนั ดานมีสมาธมิ าก แตป่ ญั ญาน้อย เจรญิ วิปสั สนากรรมฐานมาน้อย แตเ่ คยเจรญิ สมถกรรมฐานมามาก เมือ่ นิ ทรยี ์ทง้ั ๕ แก่กลา้ ในชาตนิ แ้ี ลว้ ก็ สามารถได้บรรลุมรรคผลเหมอื นกันแตบ่ รรลุไดอ้ ย่างเชือ่ งช้ากว่าพระโสดาบนั ประเภทอ่ืน เช่นน้ีกเ็ ปน็ พระ สัตตักขัตตปุ รมโสดาบัน เมอ่ื กล่าวถึงการเวียนวา่ ยตายเกดิ แล้ว การทที่ า่ นพระโสดาบันเหล่าน้ีจะเกิดทุกๆ ชาตอิ กี ต่อไปน้นั ตอ้ ง เขา้ ใจวา่ ท่านจะไมไ่ ปเกิดในอบายภูมิ คอื ภมู ินรก เปรต อสรุ กาย เดยี รฉาน เหลา่ นเ้ี ลยเปน็ อนั ขาด เพราะ โลกตุ รธรรมท่ที า่ นไดบ้ รรลุนี้เป็นวิเศษสูงย่งิ สามารถปิดอบายภมู ไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาดและแน่นอน ทุกๆ ชาติท่ี ท่านเกดิ น้นั ทา่ นจะตอ้ งไปเกิดในภมู ทิ ดี่ ี มคี วามสขุ เปน็ พเิ ศษ เชน่ เมอื่ ไปอุบัติเกิด ณ เทวโลก ก็เปน็ เทพยดา เจา้ ผู้เพียบพร้อมอุดมสมบูรณไ์ ปดว้ ยเทวสมบตั ิ หรอื เมอ่ื มาเป็นคนในมนษุ ยโลกเรานก้ี ็เกดิ ในตระกลู สูง อดุ มสมบูรณ์ไปด้วยมนษุ ยสมบตั เิ ป็นต้น แตข่ ้อสำาคญั ทนี่ บั เปน็ พิเศษก็คอื วา่ ทา่ นได้สมบัติแกว้ อันประเสรฐิ ลา้ำ เลิศยง่ิ กว่าสมบัตแิ ห่งพระเจา้ จักรพรรดิราช เจา้ หรือสมบัตวิ เิ ศษอ่นื ใดพระบวรพุทธศาสนา และจักไดด้ ับ ขันธเ์ ข้าสู่พระนิพพานในอนาคตกาลอยา่ งแน่นอน นับได้ว่าท่านเป็นผมู้ โี ชคดี ไดม้ โี อกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาแล้ว ยงั ยึดเอาองคพ์ ระประทปี แกว้ คอื สมเด็จพระพุทธเจ้ามาเปน็ นาถะท่พี ึง่ แห่งตนได้ อยา่ งแท้จรงิ อีกโสดหนึ่งด้วย ดังธรรมภาษิตทว่ี ่า

202 สมเด็จ พระเจ้าจักรพรรดิราชผู้บริบูรณด์ ้วยทรพั ย์มหาศาลทง้ั เป็นอสิ ระใหญ่ในหมู่ มนุษย์ สมเดจ็ พระอมรินทราธิราชผู้เปน็ ใหญใ่ นสรวงสวรรคห์ รอื ทา่ นท้าวมหาพรหมผู้เจรญิ ด้วยอสิ ระ มมี หทิ ธานุภาพยิง่ ใหญ่ในหม่พู ระพรหมท้งั หลายกต็ าม ถึงกระนนั้ ก็สคู้ วามเป็นพระโสดาบนั อริยบุคคลไม่ได้ ดังน้ี สกิทาคามีโลกุตรภูมิ โลกตุ รภูมิ ขน้ั ท่ี ๒ มนี ามวา่ สกิทาคามโี ลกุตรภมู ิ = ภมู ิทีพ่ น้ จากโลก คือท่านทจี่ ะมาเกิดอีกคร้ังเดียว หมายความว่า ทา่ นผ้ใู ดบรรลถุ ึงภมู ินีแ้ ล้ว ท่านผูน้ น้ั ย่อมไดช้ ือ่ วา่ พระสกทิ าคามี อรยิ บคุ คล เป็นพระอริย บุคลชนั้ ที่ ๒ ในพระบวรพทุ ธศาสนาจะกลับมาเกดิ อกี ครั้งเดยี วเท่านั้น ก็จักดบั ขันธป์ รินพิ พาน ท่านทจี่ ะบรรลุถงึ โลกุตรภูมิข้ันน้ี ตอ้ งเปน็ ผู้ท่ีบำาเพ็ญวปิ สั สนากรรมฐานผา่ นโสดาปนั นโลกตุ รภูมิมาแลว้ ปรารถนาจกั บรรลุมรรคผลขนั้ น้ี จึงเจรญิ วิปสั สนากรรมฐานต่อไปใหย้ ่งิ ข้นึ เมื่ออินทรยี ์ท้งั ๕ เสมอกนั แล้ว เพราะมีวาสนาบารมที ีต่ นไดส้ ัง่ สอนอบรมมาเพียงพอ สภาวะแหง่ วปิ สั สนาญาณกจ็ ะเกิดขึ้นเรือ่ ยๆ ต้งั แต่ อุทยพั พยญาณ เป็นตน้ ไป จงึ ถงึ สังขารเุ ปกขาญาณ แตส่ ภาวญาณเหล่าน้ี จะปรากฎชัดเจนและละเอยี ดแจ่ม แจ้งกวา่ สภาวญาณท่ีตนเคยผา่ นมาแล้ว ต่อจากน้ัน อนโุ ลมญาณ กจ็ ะเกดิ ขึ้น ตดิ ตามมาด้วย โวทนะ (โว ทา นะแทนโคตรภูญาณ เพราะทา่ นผูน้ ้ีเปน็ พระอริยบคุ คลแล้ว มใิ ช่ปถุ ชุ น เพราะฉะน้นั ญาณท่ีตัดโคตรปุถชุ น คอื โคตรภญู าณ จงึ ไม่จำาตอ้ งเกดิ ขึน้ อีก) คร้นั แล้วทตุ ิยมรรค หรอื เรียกอีกอยา่ งหนึง่ ว่า พระสกทิ าคามิมรรค กจ็ ักอุบตั ิข้นึ ตดิ ตามมาดว้ ยพระสกิทาคามิผล เป็นการถงึ พระนิพพานอกี ครัง้ หนง่ึ พระสกิทาคามมิ รรคน้ี ไมม่ อี ำานาจตัดสญั โญชน์อนั ใดอันหนง่ึ ได้เด็ดขาด แต่ถงึ กระนนั้ กม็ อี าำ นาจทำากิเลสทงั้ หลายให้เป็น ตนกุ ร คอื ทาำ ใหเ้ บาบางกว่าพระโสภาปัตติมรรค ซึ่งเป็นพระอรยิ มรรคครั้งแรกเป็นธรรมดา

203 คุณวเิ ศษ ทา่ นพระสกิทาคามอิ รยิ บคุ คลนี้ นอกจากจะมกี เิ ลสเบาบางกวา่ พระโสดาบนั อรยิ บุคคลแลว้ ยังมีคณุ วิเศษ คือสามารถเข้าถึงสกทาคามผี ลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานไดต้ ามจติ ปรารถนาอกี ด้วย แต่ทีว่ เิ ศษสุด ยอดกค็ ือว่า ท่านพระสกิทาคามอีิ ริยบคุ คลน้ี ท่านจะเกดิ อีกชาตเิ ดยี วเทา่ นั้น ก็จักได้สำาเรจ็ เปน็ พระอรหันต์ และแล้วก็จัดดบั ขันธ์เขา้ ส่พู ระปรนิ ิพพาน สว่ นการทที่ ่านจะเกิดอกี ชาตเิ ดยี วนน้ั ท่านจะไปเกดิ ณ ที่ไหน ก็ เป็นไปตามประเทภแหง่ พระสกทิ าคามี ๕ จำาพวกคือ ๑. บางท่านเปน็ มนษุ ย์ สำาเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคลในมนษุ ยโลกน้ี แลว้ จุตไิ ปอบุ ัตเิ กดิ เป็น เทพเจ้า ณ สวรรค์เทวโลก ครน้ั แล้วจงึ จตุ จิ ากสวรรคเ์ ทวโลก กลบั มาเกิดในมนุษยโลกเราน้อี กี ครั้งหนึง่ แล้วได้บรรลพุ ระอรหตั ผลและดบั ขนั ธ์ ปรนิ พิ พานในมนษุ ยโลกนเ้ี อง ๒. บางทา่ นเปน็ มนุษย์ สำาเรจ็ เปน็ พระสกิทาคามีบคุ คลแลว้ กระทาำ ความเพยี รเจริญวปิ สั สนา กรรมฐานต่อไปอยา่ งไม่หยุดยัง้ จนกระทง่ั ไดบ้ รรลุพระอรหตั ผลและดบั ขันธป์ รนิ ิพพานในชาติ เดียวในมนุษยโลกเรา น่ีเอง ๓. บางท่านเป็นมนุษย์ สาำ เร็จเป็นพระสกทิ าคามีบคุ คลในมนุษยโลกนีแ้ ล้วจตุ ไิ ปอบุ ัติเกิดเปน็ เทพเจา้ ณ สวรรคเทวโลก คร้ันแล้วกไ็ ด้บรรลพุ ระอรหตั ผล และดับขันธ์ปรนิ ิพพานบนสวรรค เทวโลกน่ันเอง ๔. บางทา่ นเปน็ เทพดาเจ้า สาำ เร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคล ณ สวรรคเทวโลก แล้วได้บรรลุพระ อรหัตผล และดับขันธป์ รินิพพานบนสวรรคเทวโลกนั่นเอง

204 ๕. บางท่านเปน็ เทพยดาเจ้า สำาเรจ็ เปน็ พระสกทิ าคามีบคุ คล ณ สวรรคเทวโลกแล้วจุติมาอบุ ตั ิ เกิดในมนษุ ยโลกเราน้ไี ดบ้ รรลพุ ระอรหนั ตผล และดบั ขนั ธป์ รินพิ พานในมนษุ ยโ์ ลกนีเ้ อง ทา่ นผมู้ ี ปัญญาทัง้ หลาย ความอศั จรรยแ์ ห่งพระโอวาทานสุ าสนีขององคส์ มเดจ็ พระจอมมุนีสัมมาสมั พุทธ เจ้า ในกรณีทส่ี ามารถชกั นาำ สัตว์ใหอ้ อกไปจากวัฏสงสารไดอ้ ย่างแน่นอน ยอ่ มปรากฎมตี ามที่พรรณนามาน้ี ผู้มีปัญญาเห็นภยั ในวฏั สงสารคนใด เมื่อมีใจเลอ่ื มใสยึดถอื เอาพระพทุ ธองคม์ าเป็นนาถะท่พี งึ่ แล้วและ พยายาม ปฏิบัตติ ามพระโอวาทานุสาสนี ผู้นัน้ ยอ่ มจะตดั ภพตดั ชาติทีจ่ ะต้องเวยี นว่ายตายเกิดอยใู่ น วฏั สงสารได้อยา่ ง เดด็ ขาดเปน็ ขัน้ ๆ ไป โดยไม่ต้องสงสยั อนาคามีโลกุตตรภูมิ โลกุตรภูมขิ ั้นท่ี ๓ มนี ามว่า อนาคามโีิ ลกุตรภูมิ = ภมู ิพน้ จากโลก คอื ท่านผจู้ ะไม่กลบั มาอีก หมายความว่า ท่านผใู้ ดบรรลุถึงภมู นิ ีแ้ ล้ว ทา่ นผู้นีย้ อ่ มได้ชอื่ วา่ พระอนาคามี อริยบคุ คล เป็นพระอรยิ บุคคลชัน้ ท่ี ๓ ในพระ บวรพทุ ธศาสนา ทา่ นจะไม่กลับมาถอื ปฏสิ นธใิ นกามาวจรภูมิ คอื มนษุ ยโลกและเทวโลกอีกเลย ท่านท่จี ะไดบ้ รรลุถงึ โลกตุ รภูมิขั้นน้ี ต้องเป็นผู้บาำ เพญ็ วปิ สั สนากรรมฐาน ผา่ นโลกุตรภมู ขิ ั้นท่ี ๒ มาแลว้ ปรารถนาที่จะบรรลมุ รรคผลขน้ั นี้ จงึ ตง้ั หนา้ อุตสาหะเจรญิ วิปสั สนากรรมฐานใหย้ ิ่งข้นึ ไป เมื่ออนิ ทรยี ์ท้ัง ๕ ได้สว่ นสมดลุ เสมอกนั เป็นอันดแี ลว้ เพราะวาสนาบารมที ตี่ นไดส้ ง่ั สมอบรมมาเพยี งพอสภาวญาณก็เกิดขนึ้ เร่อื ยๆ ตัง้ แต่อุทยพั พยญาณ เปน็ ตน้ ไปจนกระท่งั ถงึ สงั ขารเุ ปกขาญาณ แตส่ ภาวญาณเหล่านจ้ี ะปรากฎ ชัดเจนจนละเอยี ดแจ่มแจ้งกว่าญาณทีต่ นเคยไดผ้ ่านมา ตอ่ จากนัน้ อนุโลมญาณ ก็จะเกดิ ข้นึ ตามติดมาด้วย โวทานะ ครน้ั แล้ว ตติยมรรค หรือเรียกอีกอยา่ งหน่งึ วา่ พระอนาคามมิ รรค กจ็ กั เกดิ ข้นึ พอพระอนาคามิ มรรคเกิดขึ้น กจ็ กั ทาำ การประหารสัญโญชน์ไดอ้ ย่างเดด็ ขาดอกี บางประการ แตจ่ ะประหารสัญโญชน์อะไร บ้างนั้น ประเด๋ียวจะกล่าวทีหลงั ครัน้ พระอนาคามีมรรคเกดิ ขนึ้ แล้ว พระอนาคามีผลก็จกั ปรากฎตามติดกนั

205 มา จึงเป็นอันว่า บดั น้ี ทา่ นผนู้ น้ั เปน็ พระอนาคามีบคุ คลแล้ว ตามท่ีกล่าวมาน้ี ดเู หมอื นเป็นสง่ิ ที่กระทำาไดส้ าำ เร็จง่ายๆ แต่ความจรงิ เปล่าเลย เพราะเปน็ การกระทำาท่ียาก นกั หนาสาำ หรับโยคบี ุคคลผ้ปู ฏิบตั ิ เพราะว่าผปู้ ฏิบตั ิเพ่อื ใหพ้ ระอนาคามิมรรคเกิดขนึ้ ในสนั ดานของตนนี้ ตอ้ งเป็นผู้ทม่ี ีสมาธอิ ย่างดเี ยี่ยม ต้องเปน็ ผ้มู ีสมาธเิ ต็มเป่ียมสมบรู ณท์ ่ีสดุ โดยมีกฎตายตวั อยู่ว่า ท่านผ้สู ามารถที่จะปฏบิ ัตใิ หพ้ ระโสดาปตั ติมรรคและพระสกิทาคามิมรรคบงั เกดิ ขน้ึ ในสนั ดานของตนนน้ั ต้องเปน็ ผบู้ รบิ ูรณ์ด้วย ศลี คอื มศี ีลบริสุทธเิ์ ปน็ อย่างย่ิง ทา่ นผสู้ ามารถทีจ่ ะปฏบิ ตั ิใหพ้ ระอนาคามมี รรคบงั เกิดขึ้นในสันดานของตนน้ันตอ้ งเปน็ ผู้บรบิ ูรณด์ ว้ ย สมาธิ คือมสี มาธิดีเป็นยอดเยีย่ ม ฉะนัน้ การปฏบิ ตั บิ าำ เพญ็ เพ่ือความเป็นพระอนาคามบี ุคคลน้ี จึงตอ้ งมสี มาธิดีเปน็ อยา่ งย่ิง ตอ้ งมสี มาธเิ ต็ม เปย่ี มสมบูรณ์ทสี่ ุด พระอนาคามมี รรคจึงจกั อุบัตเิ กดิ ข้นึ ได้ แม้จะเป็นการปฏบิ ัติทคี่ ่อนขา้ งจะยาก แต่ก็มิใช่ ส่งิ เหลือวสิ ัยสำาหรับผูใ้ ครจ่ ะออกจากทกุ ข์ในวัฏสงสาร คุณวิเศษ ท่านพระอนาคามอี ริยบุคคลน้ี ท่านตดั สญั โญชน์ไดเ้ ดด็ ขาดไปอกี ๒ ประการ คอื ๑. กามราคะสัญโญชน์... ประหารกามราคะความติดอยู่ในกามคณุ อารมณท์ ุกชนดิ ได้อยา่ ง เดด็ ขาด พูดอกี ทกี ว็ ่า ไม่มีความรักความใครต่ ดิ อยู่ในจติ เลย ดว้ ยอาำ นาจแหง่ พระอนาคามี มรรคนี้

206 ๒. ปฏฆิ ะสัญโญชน์...ประหารปฏิฆะ คอื ความไม่พอใจในอารมณต์ า่ งๆ ไดอ้ ยา่ งเด็ดขาด พูดอกี ทีกว็ า่ ไมม่ โี ทโสโกรธาตดิ อยใู่ นจิตเลย ตดั ความโกรธได้ดว้ ยอำานาจแหง่ พระอนาคามมิ รรคน้ี เห็น ไหมเลา่ ท่านผู้มปี ัญญาทั้งหลาย วา่ การปฏิบตั ิธรรมในพระพทุ ธศาสนา สามารถตัดโซ่เหลก็ อนั ผูกมัด คอสตั ว์ใหต้ ิดอยูใ่ นวฏั สงสาร กล่าวคือสัญโญชน์ได้เป็นลำาดบั มา บดั นี้ ตัดสญั โญชน์ได้ ๕ ประการ แล้ว คือ ๑. สักกายทฐิ สิ ัญโญชน์ ๒. วิจิกจิ ฉาสัญโญชน์ ๓. สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ สัญโญชนท์ ง้ั ๓ ประการนี้ ตัดไดด้ ้วยอาำ นาจแห่งพระโสดาปตั ตมิ รรคทก่ี ลา่ วมาในตอนต้นนั้นแล้ว ๔. กามราคะสัญโญชน์ ๕. ปฏฆิ ะสญั โญชน์ สญั โญชนท์ ัง้ ๒ ประการน้ี ตัดได้ดว้ ยอำานาจแห่งพระนาคามิมรรค ที่เรากาำ ลังพูดถึงกนั อยู่นี้ สว่ นสญั โญชน์ทีเ่ หลืออกี ๕ ประการ จะสามารถตัดไดห้ รือไม่? และถา้ ตดั ได้ จะตดั ดว้ ยอะไร? ขอทา่ นผู้มี ปญั ญาท้ังหลายจงอุตส่าห์ตดิ ตามศึกษาต่อไป ประเดี๋ยวก็คงจะทราบตอนนจี้ ะขอกลา่ วถึงคุณพเิ ศษของพระ อนาคามบี ุคคลก่อน คือพระอนาคามอี ริยบคุ คลน้ี นอกจากท่านจะตดั สญั โญชน์ไดอ้ กี ๒ ประการตามที่ กลา่ วมาแล้ว ทา่ นยังสามารถทจ่ี ะเข้าอนาคามีผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานไดต้ ามจติ ปรารถนาอกี ดว้ ย แต่ที่วเิ ศษสุดก็คอื วา่ เมื่อท่านจุตไิ ปแลว้ จะไมก่ ลบั มาปฏัิสนธใิ นกามภมู ิ เช่นมนุษยโลกและเทวโลกอกี เลย ทา่ นย่อมไปอบุ ตั ิเกดิ ในสทุ ธาวาสพรหมโลก แลว้ กจ็ ะไดส้ ำาเร็จเป็นพระอรหนั ตแ์ ละดับขนั ธป์ รินิพพาน บนโนน้ เลยทีเดียว

207 ในวันนี้ หากจะมีปัญหาวา่ การท่ีจะไปอบุ ตั ิเกิด ณ พรหมโลกได้นัน้ จะตอ้ งปฏสิ นธิด้วยฌานวิบากอันเป็นผล แห่งฌานกุศล สาำ หรับพระอนาคามิบุคคลทีเ่ ป็นฌานลาภี เคยบาำ เพ็ญสมถกรรมฐานได้ฌานมากอ่ น ก็ไมม่ ี ปัญหาอนั ใด คือต้องไปเกิดในพรหมโลกได้แนๆ่ แตท่ ีนีพ้ ระอนาคามบี ุคคลทเี่ ป็น สุกขวปิ ัสสกะ คอื บำาเพ็ญ วปิ สั สนากรรมฐานมาอยา่ งเดียวล้วนๆ ไมเ่ คยบาำ เพญ็ สมถกรรมฐาน ไม่เคยไดฌ้ านมาก่อนเลย แล้วอย่างนี้ จะไปบงั เกดิ ในพรหมโลกไดอ้ ย่างไรกนั ? ปัญหาน้ไี มต่ ้องสงสัย เพราะวา่ พระอนาคมบี คุ คลประเภทสุกขวปิ ัสสกะนี้ เมือ่ ทา่ นใกล้จะจตุ ิ มัคคสทิ ธฌิ าณ ย่อมบังเกิดขนึ้ แลว้ ก็เปน็ ปัจจยั นาำ ใหท้ า่ นไปเกดิ ในพรหมโลก ถึแมว้ ่าท่านจะถงึ แก่มรณภาพลงโดยไม่ทนั รู้ตัว เชน่ ขณะท่กี ำาลงั หลับอยู่ก็ดี หรือขณะทกี่ าำ ลังกระทำากิจการใดๆ เผลออย่กู ็ดี มผี ู้มากระทาำ ร้ายให้ถึงแก่ มรณภาพลงในทนั ทีทนั ใด โดยมิได้รตู้ วั เลย เช่นน้มี คั คสทิ ธฌิ าณก็ย่อมจะบังเกดิ ขึ้นแก่ท่านก่อนแลว้ จึงจะ จุติ ตราบใดทมี่ คั คสทิ ธฌิ าณยังไมเ่ กิดขนึ้ แล้ว พระอนาคามบี คุ คลประเภทน้ีจักไมม่ กี ารจุติเลยเป็นอันขาด ต่อเม่อื มคั คสิทธฌิ านบงั เกิดขึน้ แลว้ ทา่ นจะจตุ ไิ ปปฏิสนธิ ณ พรหมโลกดังกล่าวนนั้ และเม่ือท่านไปอุบัติเกดิ ในพรหมโลกแล้ว ย่อมจกั มีโอกาสไดส้ ำาเรจ็ เป็นพระอรหนั ต์และดับขนั ธ์ปรินิพพาน ตามประเภทแหง่ พระอนาคามี ๕ จำาพวกคอื ๑. อันตราปรินิพพายี... ไดแ้ กพ่ ระอนาคามีบคุ คลท่ีไปอบุ ัตเิ กดิ ณ สุทธาวาสพรหมโลกภมู ใิ ด ภมู ิหนึ่งแลว้ ก็ไดส้ ำาเรจ็ เป็นพระอรหนั ตแ์ ละปรินิพพานภายในอายคุ ร่ึงแรกของสทุ ธาวาสพรหม โลก ทที่ า่ นไปเกิดน้นั ๒. อุปหัจจปรนิ พิ พายี... ได้แก่พระอนาคามบี ุคคลทไี่ ปอบุ ตั ิเกดิ ณ สุทธาวาสพรหมโลกภมู ิใด ภมู ิหนงึ่ แลว้ ก็ไดส้ ำาเรจ็ เปน็ พระอรหนั ต์และปรินพิ พานภายในอายคุ รงึ่ หลังของสุทธาวาสพรหม โล ที่ท่านไปเกดิ อยนู่ ้นั

208 ๓. อสงั ขารปรนิ ิพพายี... ได้แกพ่ ระอนาคามีบุคคลทีไ่ ปอบุ ตั เิ กิด ณ สุทธาวาสพรหมโลกภมู ใิ ด ภมู ิหนงึ่ แล้ว ก็ไดส้ ำาเร็จพระอรหันต์ในภมู ินั้นโดยสะดวกดายไมต่ ้องใช้ความพยายามมากแล้ว ดับ ขันธป์ รนิ ิพพาน ๔. สสังขารปรนิ พิ พาย.ี .. ไดแ้ ก่พระอนาคามีบคุ คลที่ได้ไปอุบัติเกดิ ณ สุทธาวาสพรหมโลก ภมู ิ ใดภมู หิ นึ่งแล้ว ก็ได้สาำ เรจ็ เป็นพระอรหันตใ์ นภูมินนั้ โดยตอ้ งใชค้ วามพยายามอย่างแรงกลา้ แล้ว ดบั ขนั ธป์ รินพิ พาน ๕. อทุ ธงั สโตอกนิฏฐคาม.ี ..ไดแ้ ก่พระอนาคามีบุคคลทไ่ี ปอุบตั ิเกดิ ณ สทุ ธาวาสพรหมโลกชั้น ตาำ่ คือพรหมโลกชัน้ อวหิ าภมู ิ แล้ว จงึ จตุ ไิ ปอบุ ตั เิ กิดในสุทธาวาสพรหมโลกชั้นสูงขนึ้ ไปตาม ลาำ ดบั คอื อตปั ปาภมู ิ สทุ สั สาภมู ิ สทุ ัสสภี มู ิ อกนิฏฐกาภมู ิ แล้วจึงไดส้ าำ เรจ็ เป็นพระอรหันต์และดบั ขันธป์ รนิ ิพพานที่ชนั้ อกนฏิ ฐกาภมู ิ สุทธาวาสพรหมโลกเอง คุณ วเิ ศษทพี่ รรณนามานี้ เปน็ คุณวเิ ศษแห่งพระอนาคามอี ริยบุคคลผ้ทู รงพระคุณ อันประเสรฐิ ในพระบวร พทุ ธศาส่ นาผูซ้ ึ่งจะไมก่ ลบั มาสูก่ ามภมู คิ ือเทวโลกและ มนษุ ยโลกน่อี กี เลยในอนาคตกาล สาำ หรบั ในปวตั ติ กาล หากสมยั ใดมอี งคส์ มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสดจ็ มาอัุบัติตรัสในโลกแลว้ พระอนาคามีอริยบุคคลซ่งึ เปน็ องค์พระพรหมผู้วิเศษสถติ ย์อยู่ ณ ปัจสุทธาวาสพรหมโลกทง้ั หลาย ก็ย่อมจะจรมาส่มู นษุ ยโลกเราน้ี เพอ่ื ที่จักไดท้ อดทศั นาและไดส้ ดบั พระสัทธรรม แหง่ องค์สมเด็จพระจอมมุนีชินสหี ์สมั มาสมั พุทธเจ้าบ้างเป็นคร้ัง คราว เชน่ นก้ี ็มอี ย่บู ้างเป็นธรรมดา

209 ทา่ นผ้มู ปี ญั ญาท้ังหลาย เมอื่ องค์สมเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เสด็จมาอบุ ัตติ รสั ขน้ึ ในโลกแลว้ พระองคก์ ็ ทรงดาำ รงฐานะอยใู่ นภาวะเป็นนาถะที่พง่ึ ของประชาสัตว์ผูต้ ดิ อยู่ใน วัฏสงสารโดยทรงโปรดประทานพระ ธรรมเทศนาอนั ประเสริฐสดุ เหลา่ พทุ ธบริษทั ท้ังหลาย เมอื่ ปฏบิ ัติตามกระแสพระพทุ ธฎกี า ยอ่ มสามารถที่ จะพาตนออกจากวัฏสงสารได้ โดยตดั สัญโญชนโ์ ซเ่ หลก็ จัญไรท่ีพนั ผูกคอตนไวเ้ ปน็ ลำาดบั ไป เข้าสจู่ ดุ หมาย อันเพรศิ พริง้ กล่าวคือแดนพระอมตะมหานพิ พานใกล้เข้าไปทุกทปี ระดจุ เชน่ พระอนาคามอี ริยบคุ คลทก่ี ลา่ ว มานี้ ฉะนนั้ จึงควรทเ่ี ราทา่ นทง้ั หลายท่ีมีโชคดี เกิดมาพบพระุบวรพทุ ธศาสนาในชาติน้ี จะน้อมใจให้เลอื่ มใส ในพระพทุ ธคณให้จงมากเถิด อย่าไดเ้ คลอื บแคลงสงสยั อะไรเลย แล้วรบี ปฏิบัตติ ามพระโอวาทานุสาสนี เพอ่ื ทจ่ี กั น้อมนาำ เอาสมเด็จพระจอมมุนีพุทธเจา้ มาเปน็ นาถะท่พี ่ึงของตวั เรา ให้จงได้ อรหัตโลกุตรภมู ิ โลกตุ รภูมขิ ัน้ ที่ ๔ อนั เป็นขน้ั สูงสุด มนี ามวา่ อรหตั โลกตุ รภูมิ คือภูมิท่พี น้ จากโลก กล่าวคอื ท่านผู้สมควรแก่ การบชู า หมายความวา่ ทา่ นผู้ใดบรรลถุ ึงภมู ิน้แี ลว้ ทา่ นผนู้ ้ันยอ่ มได้ชอ่ื วา่ พระอรหนั ต อรยิ บคุ คล เปน็ พระ อรยิ บุคคลชั้นสูงสุดในพระพทุ ธศาสนา เปน็ ผ้สู มควรแก่การบชู าของเหล่าเทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย ท่านทีจ่ กั ได้บรรลถุ ึงโลกุตรภูมขิ นึ้ สูงสุดนี้ ตอ้ งเปน็ ผูท้ ี่ำาบำาเพญ็ วิปสั สนากรรมฐานผา่ นโลกุตรภูมิข้ึนท่ี ๓ มา แลว้ และปรารถนาทีจ่ ักไดบ้ รรลคุ ุณวิเศษอันประเสริฐสดุ จงึ รบี รุดตง้ั หนา้ อุตสาหะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ให้ย่ิงขนึ้ ไป เมอื่ อินทรยี ์ท้ัง ๕ ได้ส่วนสมดลุ ลเสมอกันเปน็ อนั ดี เพราคา่ ที่มวี าสนาบารมีอนั ตนได้สั่งสมอบรม มาถึงภาวะที่เรียกวา่ เตม็ เป่ยี มสมบรู ณ์ทสี่ ดุ แล้ว สภาวญาณกจ็ ะเกดิ ขึ้นเรอ่ื ยๆ ตงั้ แต่อทุ ยพั พยญาณ เป็นตน้ ไป จนกระทง่ั ถงึ สงั ขารเุ ปกขาญาณ แต่สภาวญาณเหลา่ นีจ้ ะปรากฎชัดเจนละเอยี ดแจม่ แจ้งเป็นท่สี ดุ ต่อจากน้นั อนุโลมญาณก็จะเกดิ ขน้ึ ตามตดิ ด้วย โวทานะ ครนั้ แลว้ จตุตถมรรค หรือเรยี กอกี อย่างหน่ึงวา่ พระอรหัตมรรค ก็จะพลนั อบุ ัตขิ ้ึนและเมื่อพระอรหัตมรรคอบุ ตั ิขน้ึ แลว้ ก็จะเปน็ เสมือนดาบทค่ี มกล้า

210 สามารถฟาดฟนั ประหตั ประหารบรรดาสรรพกิเลสท้งั หลาย ที่หมักดองอย่ใู นขนั ธสันดานมานานนักหนา ให้ ถึงภาวะหมดไปโดยสิ้นเชงิ และโซเ่ หล็กกลา่ วคือ สญั โญชนท์ ่ยี งั เหลืออยูอ่ กี ๕ ประการ ก็ให้มอี ันขาดสะบ้นั หมดลง ตั้งอาำ นาจแหง่ พระอรหตั มรรคท่ีอุบัตขิ ้นึ ในขณะนี้ ตอ่ จากนน้ั พระอรหัตตผลกจ็ ะเกดิ ตามติดมา ให้ ทา่ นได้เสวยอารมณ์พระนพิ พาน เป็นขนั ธวมิ ุตหิ ลุดพ้นจากเบญจขันธ์ กล่าวคือรูปนามเป็นพระมหาขีณาสพ ถึงความบรสิ ุทธอ์ิ ยา่ งย่งิ กเิ ลสธุลีแมแ้ ตเ่ ทา่ ยองใยกไ็ ม่มเี หลือติดอยใู่ นขนั ธสันดาน อนีง่ พงึ ทราบไวใ้ นทน่ี ้ดี ว้ ยว่า ท่านทสี่ ามารถจะปฏิบัติเพอ่ื ใหพ้ ระอรหตั มรรคบังเกิดขน้ึ ในขันธสันดานได้นน้ั ต้องเปน็ ผู้ทีส่ มบรู ณด์ ้วย ปัญญา กล่าวคือมปี ญั ญาบารมที ่ีเต็มเปี่ยมสมบูรณท์ ส่ี ุดแลว้ พระอรหตั มรรคน้ี จงึ จกั อุบัติเกดิ ข้ึนได้ ดว้ ยเหตุนี้ ในพระบวรพุทธศาสนาที่สดุ บชู าแหง่ พวกเราชาวพุทธบรษิ ทั นี้ จงึ เปน็ พระ ศาสนาท่ีเตม็ เป่ียมไปด้วยหลัก ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อยา่ งยอดเยย่ี มสมบูรณเ์ ป็นอย่างย่งิ เพราะ การบรรลมุ รรคผลอันประเสริฐสดุ เป็นโลกตุ ระน้ี จะต้องบรรลดุ ว้ ยหลัก ๓ ประการ ดงั กลา่ วแล้ว คอื ๑.จะบรรลพุ ระโสตาปตั ติมรรค และพระสกทิ าคามีมรรคไดด้ ว้ ย อธิศลี คือศีลขั้นยอดเย่ียม สมบูรณ์ที่สุด ๒. จะบรรลุพระอนาคามมิ รรคได้ด้วย อธิจิต คอื มจี ติ เป็นสมาธิช้นั ยอดเยีย่ มสมบรู ณ์ทสี่ ุด ๓. จะบรรลพุ ระอรหตั มรรคไดด้ ว้ ย อธิปญั ญา คอื ปญั ญาชนั้ ยอดเย่ียมสมบรู ณท์ ส่ี ุด ประเภทพระอรหนั ต์ พระอรหนั ต์อรยิ บคุ คลในพระบวรพทุ ธศาสนานี้ เมื่อกลา่ วโดยประเภทแลว้ กย็ ่อมมอี ยู่ ๒ ประเภทคอื ๑.เจ โตวมิ ุตอิ รหันต์... ได้แก่โยคบี คุ คลผุ้ปฏบิ ตั สิ มถกรรมฐานไดฌ้ านมากอ่ นแล้ว ภายหลงั มา ปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานจนได้สาำ เร็จเป็นพระอรหันต์ก็ดี หรือโยคบี คุ คลผทู้ ่ปี ฏบิ ติั เิ ฉพาะแต่ วปิ ัสสนากรรมฐาน แต่เม่ือพระอรหัตมรรคจะอุบตั ขิ ้ึนน้ัน ฌาน กอ็ ุบตั ิข้นึ ในขณะนั้น นัน่ เองดว้ ย

211 อาำ นาจแหง่ บรุ พาธิการเชน่ นก้ี ็ดี ท่านเหลา่ นมี้ ชี ื่อว่า ฌาณลาภี บุคคล คอื สาำ เร็จฌานสมาบัตไิ ด้ วชิ า ๓ อภิญญา ๖ มีคณุ พิเศษในทางสาำ แดงฤทธเิ์ ดชท้ังหลาย เชน่ สามารถเหาะเหิรไปใน อากาศเวหาหาวไดเ้ ปน็ ต้น ๒. ปัญญาวิมุตอิ รหันต.์ .. ไดแ้ ก่โยคบี คุ คลผปู้ ฏบิ ัตวิ ปิ สั สนากรรมฐานลว้ นๆ ไมไ่ ด้ปฏิบตั สิ มถ กรรมฐานมากอ่ นเลยและเมอ่ื พระอรหตั มรรคจกั อบุ ตั ิข้นึ นัน้ ฌานก็ไม่มีเกดิ ขึน้ ดว้ ยเลย ทา่ น เหลา่ นมี้ ชี ่ือวา่ สุกขวปิ ัสสกะ คอื ท่านเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ทิ าำ ใหฌ้ านแหง้ ไมส่ ามารถทจ่ี ะสำาแดงฤทธ์ิ ตา่ งๆ ได้ นอกจากน้ี พระอรหันตอ์ รยิ บคุ คลท้งั หลาย ยงั แบ่งโดยประเภทแหง่ คุณพเิ ศษได้ ๒ ประเภท คือ ๑. ปฏิสมั ภทิ าปตั ตอรหันต.์ ..ไดแ้ กพ่ ระอรหันตผ์ ูแ้ ตกฉานในปฏสิ มั ภทิ า เพราะเมอ่ื ท่านจะได้ บรรลพุ ระอรหตั มรรคพระอรหตั ผลนัน้ ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ คือ ก. อรรถปฏสิ มั ภทิ า แตกฉานในอรรถ ข. ธรรมปฏิสมั ภทิ า แตกฉานในธรรม ค. นิรตุ ติปฏสิ ัมภิทา แตกฉานในภาษา ง.ปฏภิ าณปฏิสมั ภิทา แตกฉานในปฏภิ าณ ปฏสิ ัมภทิ าญาณท้ัง ๔ นเ้ี กิดข้นึ พรอ้ มกับขณะทท่ี ่านได้บรรลมุ รรคผล ดว้ ยอำานาจแหง่ บรุ พาธิ การ ๒. อปั ปฏสิ มั ภทิ าปตั ตอรหนั ต.์ .. ได้แกพ่ ระอรหันตผ์ ู้ซง่ึ ไมแ่ ตกฉานในปฏสิ มั ภิทาญาณท้งั ๔ ท่ี กลา่ วมาแล้วนน้ั ทา่ นพระอรหันตป์ ระเภทนี้ มีชือ่ เรยี กอีกอยา่ งหน่ึงวา่ มคู พระอรหันต์ คอื พระ อรหันต์ผ้ไู ม่มีความร้ใู นพระปริยัติธรรม

212 ก็การ ท่ที ่านจกั ได้สำาเรจ็ เปน็ พระอรหันต์ผู้ทรงคุณพิเศษประเภทฌานลาภบี คุ คล คอื มีฌาณกลา้ สามารถ สาำ แดงอิทธิฤทธ์ิตา่ งๆ ได้กด็ ที รงคุณพิเศษประเภทแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณตา่ งๆ กด็ ี ท้งั นีด้ ้วยอำานาจ แหง่ บุรพาธกิ าร ทท่ี า่ นไดส้ ร้างสมอบรมมาแตอ่ ดตี ชาติ กล่าวคือเมอื่ ชาตปิ างกอ่ นนั้น ท่านประกอบการอนั เป็นบญุ กศุ ลใดๆ ย่อมได้เคยตั้งจติ อธิษฐานปรารถนาไว้โดยนยั วา่ \"ต่อ ไปภายหนา้ เมือ่ ขา้ ฯ ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหนั ตสาวกแหง่ องค์สมเดจ็ พระทศพลแลว้ ไซร้ ขอให้มัคคสิทธิฌานหรือพระปฏสิ มั ภทิ าญาณจงบังเกดิ ขึน้ พร้อมกับการใหบ้ รรลุ มรรคผล นน้ั เถิด\" ดว้ ยอาำ นาจแหง่ บุรพาธิการดงั นี้ ทา่ นจงึ ได้เป็นฌานลาภีอรหันต์ หรือเปน็ ปฏสิ ัมภทิ าปตั ตอรหันต์ดงั กลา่ ว มา ฝา่ ยวา่ ทา่ นพระอรหนั ต์ผู้ไม่มญี าณหรอื ไมไ่ ดป้ ฏิสมั ภทิ าญาณ กเ็ พราะไมม่ ีบรุ พาธิการ กลา่ วคอื ในอดตี ชาติ เม่ือทา่ นประกอบกองการกศุ ลใดๆ แลว้ ไมเ่ คยได้ต้งั ความปรารถนาเช่นกลา่ วเอาไวด้ ังนั้น คุณพิเศษ คือฌานและปฏสิ ัมภิทาญาณจึงไม่เกดิ ขึ้น คณุ วเิ ศษ ท่านพระอรหันตอ์ ริยบคุ คล ผเู้ ปน็ พระมหาขีณาสพเจ้าทรงคุณวเิ ศษขัน้ สูงสุดในพระบวรพทุ ธศาสนาน้ี ท่าน ตัดสัญโญชนท์ ่ีเหลอื ไดห้ มดเดด็ ขาด รวมทัง้ สิ้น ๕ ประการ คือ ๑. รปู ราคะสญั โญชน์... ความยินดีในรปู ภพ คืออยากไปเกดิ เปน็ พระพรหมผู้วเิ ศษ อยู่ ณ รูป พรหมภมู ิ ๑๖ ๒. อรปู ราคะสญั โญชน์...ความยนิ ดีในอรปู ภพ คือความอยากไปเกิดเปน็ พระพรหมผ้วู เิ ศษสุด อยู่ ณ อรูปพรหมภูมิ ๔

213 ยงั จาำ ได้ไหมเล่า? ท่านผ้มู ีปญั ญาท้ังหลายวา่ รูปพรหมภมู แิ ละอรปู พรหมภูมน้ี คอื ภูมใิ นวัฏสงสารชน้ั ไหน ถ้าชักจะงงๆ ก็จงเปดิ กลับไปดตู อนต้นโน่น คือ ตอนท่วี ่าดว้ ย อุปริมสงสาร นน้ั แล้ว ก็คงจะเขา้ ใจได้และคง หายงง ๓. มานะสญั โญชน์...ความถอื ตวั ซึง่ ได้แก่ อหังการ์และมนังการ์ ๔. อทุ ธจั จะสญั โญชน์... ความท่ีจติ ฟุ้งไป โดยทจ่ี ติ ไมส่ ามารถจะตง้ั อยใู่ นอารมณ์เดียวได้นานๆ ๕. อวิชชาสัญโญชน์... สภาพที่ไมร่ พู้ ระจตุรารยิ สจั จธรรม... คือโง่ พูดอกี ทวี า่ \"โมหะ\" ความมดื หลงแห่งจติ ใน กรณีน้ี หากจะมผี สู้ งสยั ว่า ความไมร่ ใู้ นสภาพธรรมกลา่ คืออวิชชาน้ี เหตไุ ฉนจึงยังเหลอื ตดิ ค้าง คอยให้ พระอรหัตมรรคประหารอยูอ่ ีก เพราะเมอื่ มรรคเบ้อื งตำา่ ทัง้ ๓ เกดิ ขน้ึ แต่ละครั้ง กไ้ ดเ้ หน็ พระจตุราริยสจั กำาจัดอวิชชาได้ทุกครงั้ ไป เหตไุ ฉนจงึ ยงั มีอวชิ ชาเหลืออยู่อกี เหลา่ นา่ สงสัยนกั หนา? วสิ ชั นาว่า อยา่ สงสัยเลย ท้งั นีก้ ็เพราะมรรคเบ้อื งตำา่ ทง้ั ๓ คือพระโสตาปัตตมิ รรค ๑ พระสกทิ าคามมิ รรค ๑ พระอนาคามมิ รรค ๑ เม่ืออบุ ตั ิขน้ึ ย่อมเห็นพระจตรุ าริยสจั กาำ จดั อวิชชาได้ทกุ มรรคก็จรงิ แต่วา่ มรรคเหลา่ น้ี มสี ภาพเป็น วชิ ฺชูปมา ธมฺมา คือมสี ภาพเหมือนกบั ฟ้าแลบ ตาม ธรรมดาฟา้ แลบ ท่เี ราเหน็ แปลบปลาบกัน อยใู่ นยามราตรมี ืดตือ้ นัน้ ย่อมมแี สงสวา่ งเกดิ ข้ึนแวบหนง่ึ แลว้ ความมืดกป็ กคลุมต่อไป ในกรณแี หง่ มรรค เบอ้ื งตำา่ ทง้ั ๓ เห็นพระจตรุ ารยิ สัจกาำ จัดอวชิ ชาก็เชน่ เดยี วกบั อปุ มาทว่ี า่ มานนั้ สว่ นพระอรหตั มรรคน้ีมีสภาพ เปน็ วชิรปู มา ธมมฺ า คือมีสภาพเหมอื นกบั ฟ้าผ่า ตาม ธรรมดาสายฟา้ ที่ฟาดผ่าลงมาน้ัน สิ่งที่กดี ขวางอย่จู ะ ไม่ถกู ทาำ ลายเปน็ อันไมม่ ี ในกรณนี ีก้ เ็ หมือนกัน กลา่ วคอื เมื่อพระอรหตั มรรคผ่าลงมาแลว้ กองอวชิ ชาหรือ โมหะท่ีประจาำ จติ ติดอย่ใู นขันธสนั ดานมานานไมร่ วู้ า่ กี่แสนโกฏิ กปั น้นั ยอ่ มจะพลันถูกทำาลายแตกกระจาย สญู หายไปหมดส้นิ ไม่เหลือตดิ อย่ใู นจติ สนั ดาน คือไมอ่ าจปกคลมุ ไดอ้ ีกตอ่ ไปเลย

214 รวมความว่า บดั น้ี บรรดาสรรพกเิ ลสนอ้ ยใหญ่ทัง้ หลายซ่งึ เอามารวมเรยี กไว้ในที่นี้ว่า สญั โญชน์ ไดถ้ ูกตัด ถกู ประหตั ประหารดว้ ยอำานาจพระอรยิ มรรคญาณต่างๆ หมดสนิ้ แล้วใช่ไหมเล่า? เพ่อื ใหเ้ ข้าใจดี จะขอ กล่าวซาำ้ ทบทวนดอู กี ทดี ังนี้ ๑. พระโสตาปตั ติมรรค ประหารได้ ๓ สัญโญชน์ คอื สกั กายทิฏฐิสัญโญชน์ ๑ วจิ กิ ิจฉาสญั โญชน์ ๑ สลี ัพพตประมาสสญั โญชน์ ๑ ๒. พระสกิทาคามิมรรค ประหารไมไ่ ดส้ กั สัญโญชน์เดยี ว แตม่ ีอำานาจพิเศษ คือทำากิเลสทง้ั หลาย อนั ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเ้ บาบางลง ซึง่ เรยี กวา่ ตนกุ ร ๓. พระอนาคามิมรรค ประหารได้ ๒ สัญโญชน์ คอื กามราคะสัญโญชน๑์ ปฏฆิ ะสัญโญชน์ ๑ ๔. พระอรหัตมรรค ประหารได้ ๕ สัญโญชน์ คือรูปราคะสญั โญชน์๑ อรปู ราคะสญั โญชน์ ๑ มานะ สญั โญชน์ ๑ อทุ ธัจจะสญั โญชน๑์ อวิชชาสญั โญชน์ ๑ พระ อรหนั ตอรยิ บุคคล นอกจากจะสนิ้ กิเลสเป็นสมุจเฉทประหารโดยการตดั สญั โญชน์ไดห้ มดสนิ้ ดังกล่าว มา แล้ว ท่านยงั สามารถเข้าสู่อรหตั ตผลสมาบัติเสวยอารมณพ์ ระนพิ พานไดต้ ามจิตปรารถนา อีกด้วย แต่ที่ วิเศษสุดกค็ ือ ทา่ นหมดกิจอยู่จบพรหมจรรยแ์ ล้ว เป็นพระมหาขีณาสสวเจ้าผทู้ รงคณุ วเิ ศษประเสริฐสดุ กวา่ ประชาสตั ว์ท้งั ปวง ไมต่ อ้ งเวียนว่ายตายเกิดใหต้ อ้ งทนทุกข์ทรมาณอยูใ่ นห้วงมหรรณพสงสารอีกต่อไป เม่อื ถึงอายขุ ยั แลว้ ทา่ นกด็ ับขนั ธเ์ ขา้ สพู ระปรินพิ พาน ซึ่งเปน็ แดนอมตะแสนสขุ เกษมนักหนา เปน็ อนั วา่ ทา่ น สามารถยึดถือสมเด็จพระจอมมนุ ีบรมไตรโลกนาถผู้ทรงเปน็ นาถะที่ พ่งึ ของประชาสตั วใ์ นไตรโลกเอามา เปน็ นาถะทีพ่ ึ่งของตนได้อยา่ งแทจ้ รงิ แน่นอน เปน็ ที่สดุ ทา่ นพทุ ธบริษทั ผมู้ ีปัญญาท้งั หลาย เมอื่ องค์สมเดจ็ พระจอมมนุ ีผ้ทู รงมีพระบารมี เพือ่ พระโพธญิ าณอันอบรม บ่มมานานหนักหนาไดเ้ สด็จมาอบุ ตั ติ รสั ในมนษุ ย์โลกเรา นีแ้ ล้ว ยอ่ มทรงเปรยี บเหมอื นประทปี แกว้ สอ่ งให้ ประชาสัตวใ์ นไตรโลกได้เห็นวา่ ตนกาำ ลงั ถกู มัดใหต้ ดิ อยใู่ นวฏั สงสาร แลว้ กท็ รงแนะนาำ พรำา่ สอน ถึงวิธีการ

215 ออกจากวัฏสงสารดว้ ยการตัดสญั โญชน์ ฝา่ ยประชาสัตวผ์ ู้มปี ญั ญา ไมว่ ่าจะเปน็ เทพยดา อนิ ทร์ พรหม และ มนษุ ย์ เมอ่ื เชอ่ื ตามกระแสพระพุทธฎีกาแลว้ ปฏิบัติตามพระโอวาทานสุ าสนี ยอ่ มสามารถท่ีจะนำาตนออกมา จากทุกขภ์ ยั ในวฏั สงสาร เขา้ ไปเสวยสขุ อยู่ในแดนพระนพิ พานได้ชี่ัวนิรันดรก์ าล ฉะน้นั สมเดจ็ พระจอมมนุ ี ศาสดาจารย์ จึงควรอยา่ งยิง่ แก่การที่จะไดร้ ับสดุดีว่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ บดั น้ี เราท่านทง้ั หลาย เกดิ มาปะเหมาะพบพระบวรพุทธศาสนาแห่งองคส์ มเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถนีเ้ ขา้ พอดี จึงนบั ว่าเป็นโชคดีเหลอื เกนิ เมอ่ื เปน็ เช่นน้ีแล้วจะมามวั ประมาท ทำาเป็นนงิ่ เฉยมิรมู้ ิช้เี สยี อยา่ งนนั้ จะ เปน็ การสมควรแก่ตวั เราผโู้ ชคดีแลหรอื โดยทแ่ี ท้ เราตอ้ งอุตสาหะพยายามปฏิบัติให้เกดิ ภาวนามยปญั ญา เหน็ ความวเิ ศษสดุ แห่ง พระพุทธศาสนา เพ่อื หาทางออกจากทกุ ข์วัฎสงสารใหจ้ งได้ เพ่อื จักไดห้ าย เหนด็ เหน่ือยเป็นการหยุดพักผ่อนตลอดกาล ด้วยการเสวยนพิ พานสมบัติอนั เปน็ บรมสุขกนั เสยี ที เม่อื ปฏิบตั ิได้อย่างนี้ จึงจะสามารถนำาพระองคม์ าเปน็ ที่พึ่งอันประเสริฐสุดไดเ้ ป็นบรมสุขกันเสียที และตวั เรานี้ก็ จักได้ชอื่ วา่ เปน็ สาวกอยา่ งแทจ้ รงิ ขององค์สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถพระองคผ้์ู ทู้ รงเป็นทพ่ี ่ึงอย่างยอดเย่ี ยม แห่งประชาสตั ว์ในไตรโลก พรรณนาในเรือ่ งพระบรมไตรโลกนาถ สมควรทีจ่ ะยุตลิ งไดแ้ ลว้ จึงขอยตุ ลิ ง ดว้ ยประการฉะนี้

216 บทที่ ๖ พระอนนั ตพุทธคุณ บัดนี้ จักพรรณนาถงึ พระคุณแห่งสมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจา้ ซ่งึ มีอยมู่ ากมายเปน็ อนนั ต์ ขอท่านผู้ มปี ญั ญาท้ังหลาย จงอตุ สาหะติดตามต่อไปเถิด คงจกั เกดิ ประโยชน์บา้ งไม่มากนอ้ ย ดาำ เนนิ ความวา่ สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา้ พระองคท์ รงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ คือ ทรงเปน็ นาถะท่พี ึ่งแห่งประชาสตั ว์ ทกุ จาำ พวกนัน้ ทรงมีพระหฤทยั มนั่ คงเดด็ เด่ยี ว และประกอบไปดว้ ยพระกรณุ าใหญ่ ใคร่จะช่วยรอ้ื สตั วโ์ ลก ขนสตั ว์โลกทั้งหลายใหพ้ ้นจากทกุ ข์ภยั ในวัฏสงสาร จงึ ทรงพระอตุ สาหะอาจหาญบาำ เพ็ยพระโพธิญาณ บารมธี รรมยั่งยนื ไมเ่ สือ่ มถอยนบั เปน็ เวลาสิน้ กาลชา้ นานนัก เมื่อพระพุทธบารมพี รง่ั พร้อมบริบูรณค์ รบ ถ้วนแลว้ กไ็ ด้สาำ เร็จพระปรมาภเิ ษกสมั โพธญิ าณ ทรงมีพระสันดานแสนจะบริสุทธิ์โดยประการท้งั ปวง เปน็ ท่ี อยู่แห่งพระกรณุ าและพระญาณอันกว้างใหญ่ เปรยี บประดจุ ชลาลัยมหาสมุทร ฉะนั้น ครั้นไดต้ รัสแกพ่ ระปรมาภิเษกสมั โพธญิ าณแลว้ พระองค์กท็ รงบำาเพญ็ พระพทุ ธกจิ ประทานประโยชน์ใหแ้ ก่ ชาวโลก โดยเทศนาวิธปี ระเภทเปน็ เอนกประการ ทรงมพี ระอนุสาสโยบายผอ่ นผนั ยักยา้ ยไปตามจริต อธั ยาศยั แห่งเวไนยสตั ว์ ทรงแสดงธรรมบัญญตั ิพระวนิ ัยทรงประดิษฐานไวซ้ งึ่ พระสทั ธรรม ๓ ประการ คอื ๑. พระปรยิ ัติธรรม ๒. พระปฏบิ ัติธรรม ๓. พระปฏเิ วธธรรม

217 ครนั้ แล้ว องค์พระประทีปแก้วผูย้ ังโลกใหช้ ่วงโชตชิ ชั วาลกเ็ สด็จดับขนั ธ์ปรินพิ พานลว่ ง ไป เปรียบไดด้ งั ดวง ภานุมาสสรุ ิยมณฑลอนั อุทยั ไขแสงขน้ึ ยังโลกใหส้ วา่ งชัชวาล ต่อกาลไมน่ านกล็ ว่ งลบั อัสดงคตไปเสียฉะนัน้ กาลปัจจบุ นั นี้ ถึงแม้องคส์ มเด็จพระจอมมุนีจกั เสด็จดับขันธปรนิ ิพพานมานานนบั ศาสนายกุ าลได้ ๒๕๐๖ พรรษา เขา้ ปนี ี้แล้วกด็ ี ถึงกระนั้นพระคุณอันมเี อนกอนนั ต์แห่งพระพทุ ธองค์เจ้านัน้ ก็หาล่วงลับดับไปเหมอื น พระรูปกายไม่ ยงั ฝงั แนน่ อยู่ในดวงใจของพวกเราชาวพทุ ธบริษทั อย่มู ิใช่หรือ เมอื่ กล่าวถึงพระคุณของ พระองคแ์ ล้ว กม็ อี ยมู่ ากมายไม่มีใครในโลกจะาำ พราำ่ พรรณนาใหส้ ้นิ สดุ ลงได้ ในกรณีน้ี มอี ปุ มากล่าวว่า ยังมบี ุรษุ หนง่ึ ซึ่งมศี ีรษะ ๑,๐๐๐ ศรี ษะ ศีรษะหนึ่งมีปาก ๑๐๐ ปาก ปากหนึ่งมลี น้ิ ๑๐๐ ล้ิน เขาเป็นบรุ ุษมมี หิทธศิ ักดา มอี ายยุ ืน ๑ มหากัปตลอดเวลาไม่ทาำ อะไรทงั้ หมด เฝ้าแต่พรำ่าพรรณา พระพุทธคณุ อยา่ งเดียว อายขุ องบุรษุ นี้ย่อมจะสิ้นไปกอ่ น แตพ่ ระพทุ ธคณุ หาส้ินสุดลงไม่ เพ่ือความเขา้ ใจ อยา่ งแจ่มแจง้ ในเรอ่ื งนี้ จะขอยกเอาเรื่องของพระอรหันตเถรเจ้าซึ่งมีปญั ญามากรปู หนงึ่ มาเลา่ ให้ฟัง ดงั ต่อ ไปนี้ พระกาฬพุทธรักขิตเถระ กาล เมื่อรอ้ ยปี กอ่ นตงั้ พุทธศก สมยั นน้ั ยงั มีนิครนถ์ ๒ คน เป็นชายหนงึ่ หญิงหนงึ่ ได้เรยี นวาทะคารมคนละ ๕๐๐ ขอ้ เมือ่ เรยี นสาำ เร็จแล้ว ตา่ งกอ็ อกสญั จรไปในประเทศต่างๆ เพือ่ จะหาผ้โู ต้ตอบชงิ ชยั เพราะสมยั นั้น ประชาชนในชมพทู วปี ท้งั หญงิ แลชายต่างกส็ นใจลัทธธิ รรมเปน็ อันมาก คราวหน่งึ คนทง้ั สองไปพบกันที่ พระนครเวสาลี ไดโ้ ต้ตอบวาทะไม่แพไ้ ม่ชนะกัน พระเจา้ ลิจฉวีผคู้ รองนครเวสาลีเหน็ ความฉลาดของเขาทั้ง สองแล้ว มีความประสงค์จะใหเ้ กิดคนฉลาดข้ึนในเมอื งของตน จึงจัดการให้นคิ รนถ์ทงั้ สองนัน้ แต่งงานกนั

218 ต่อกาลไม่นานกเ็ กดิ บตุ รธดิ าข้นึ ๕ คน เปน็ ชาย ๑ เปน็ หญิง ๔ ล้วนแต่มปี ัญญาเฉลยี วฉลาด เรียนเอาวาทะ ของบดิ ามารดาไว้ได้จนหมดสิ้น ภายหลังธิดาทัง้ ๔ ซง่ึ มีอปุ นสิ ยั ได้ออกบวชเปน็ ภกิ ษณุ ีในพระบวรพุทธศ่ สนา เพราะจาำ นนต่อปัญญาของพระสารีบุตรเจา้ ผอู้ คั รสาวกธรรมเสนาบดี ฝา่ ยบุตรชายซง่ึ มชี ่ือวา่ สัจจกนคิ รนถ์ ได้เรียนวาทะจากมารดา ๑,๐๐๐ ขอ้ จบลงแลว้ ยังได้เรียนรอู้ นื่ ๆ เพ่ิม ข้ึนอีกเปน็ อนั มาก เปน็ คนเจา้ คารมโวหารมปี ฏภิ าณสามารถในการโตต้ อบ มหาชนยกย่องว่าเปน็ คนฉลาด ยากยง่ิ จะหาผูเ้ ทยี มถึงเลยต้งั ตนเปน็ ทศิ าปาโมกขอาจารย์ แสดงตนเปน็ ผู้วิเศษประเสริฐเลศิ ด้วยความรู้ มี วทิ ยาการเชย่ี วชาญชาำ นาญนัก เหล่าศิษยก์ ็ลว้ นแต่มศี กั ด์เิ ป็นลกู กษัตรยิ แ์ ลพวกพรามหณ์มหาศาลเป็นส่วน มาก หนกั เขา้ เลยเกิดความปรวิ ติ กไปว่า \"' อาตมา นี่สิ มีความรู้วทิ ยาการมากมาย นานไปเบื้องหน้านา่ ท่ีจะมอี ันตรายเป็นแน่ คือว่า อทุ ร ท้องของอาตมาอนั บรรจุความรมู้ ากมายไวน้ ่ี เห็นทจี ะทะลทุ ะลายออกไปสกั วันหนงึ่ เป็นแม่นม่ัน อย่ากระนั้นเลย อาตมาจะอาพดึ เหล็กมารงึ รัดอยา่ ใหท้ ้องแตกออกไปได้\" ครน้ั มาจนิ ตนาการเหน็ เช่นน้แี ล้ว จงึ พดึ เหล็กอันหน่ึงมารงึ รัดทอ้ งไว้ ฝ่ายมหาชนชาวบ้านชาวเมืองท้ัง หลายก็บังเกิดระบอื ลือเล่อื งฟงุ้ ขจรไปต่างๆ นานา รวมแลว้ ก็ไดค้ วามว่ายกย่องสรรเสรญิ สัจจกนิครนถ์วา่ มี ปญั ญามากนัน่ เอง บางครั้งเขาถงึ กบั ประกาศในทีป่ ระชมุ ชนชาวเมืองเวสาลวี ่า \"เรา ไมเ่ ห็นสมณะหรือพราหมณท์ ี่เป็นเจ้าหมู่เจา้ คณะซง่ึ เปน็ คณาจารย์ แมป้ ฏญิ าณตนว่าเป็น พระอรหนั ต์ก็ตาม ทเี่ ราโต้ตอบดว้ ยถ้อยคาำ แลว้ จะไม่ประหม่าตวั ส่ันหวน่ั ไหว ไม่มเี หง่ือโทรม หน้า โทรมรกั แก้เป็นไมม่ ีเลย เราน่ีมีปญั ญามากแมจ้ ะพูดจากกบั ตน้ เสาซง่ึ ไมม่ ชี ีวิตจติ ใจ เสา น้นั ก็ยงั สนั่ สะท้านหวั่นไหวแลว้ จะนบั ประสาอะไรกบั มนษุ ย์!” อรุณ รงุ่ วันหนง่ึ ทา่ นพระอสั สชเิ ถรเจา้ เขา้ ไปบิณฑบาตรในเมอื งเวสาลี สจั จกนิครนถ์เหน็ เขา้ จงึ รีบเดินไป หาแลว้ กลา่ วถามข้นึ ทันทีตามนิสัยเดมิ

219 ดูกรสมณะ! พระโคดมทรงสัง่ สอนสาวกทงั้ หลายอยา่ งไร และคาำ สอนของพระโคดมทเี่ ปน็ ไป โดยมากว่าอย่างไร? \"ดูกร ทา่ น! สมเดจ็ พระบรมครเู จา้ ของเราทรงสงั่ สอนพระสาวกเป็นอนั มาก แตส่ ว่ นแหง่ คาำ สอนน้นั มอี ย่วู ่า รูป เวทนา สัญญา สังขารและวญิ ญาณท้งั ห้านี้ไม่เทยี่ ง ไมใ่ ช่ตัวตน สังขารท้งั ปวงไมเ่ ทีย่ ง ธรรมท้ังปวงไมใ่ ช่ ตัวตน\" พระอัสสชิเถระยอ่ พระโอวาทานสุ าสนีให้เขาฟงั ยังไมเ่ ป็นที่พอใจของข้าพเจ้า สัจจนคิ รนถ์พดู ตามสันดานของตน ถ้า ข้าพเจา้ ได้พบกับสมณโคดมได้เจรจา กันสกั หนอ่ ย บางทอี าจจะเปลอื้ งความเห็นทเ่ี ลวทรามน้นั เสียได้ เอาละ...ประเด๋ียวข้าพเจา้ จะไปพูดให้ เขา้ ใจถกู ต้องกนั เสยี ที เขากล่าวดุจมจี ติ กรุณานกั หนา แล้วก็รบี มุ่งหนา้ เข้าไปหาเจ้าลิจฉวที งั้ หลายกลา่ ว ประกาศข้ึนว่า ทา่ น ทงั้ หลาย! ขอพวกทา่ นจงตามขา้ พเจา้ ไปด้วยเถดิ ถ้าพระโคดมตั้งอยู่ตามถ้อยคาำ ท่ีพระอสั สชิพูดแก่ ข้าพเจา้ เม่อื ตะก้ีน้แี ลว้ ไซร้ ขา้ พเจา้ จะชักลากถ้อยคำาของพระโคดมมาตามถ้อยคำาของข้าพเจ้า เหมอื นกบั บุรษุ มีกำาลงั จบั แกะท่มี ขี นขาวฉดุ ลากมา หรอื มฉิ ะน้ันก็เหมือนกับคนทำางานในโรงสรุ า วางลาำ แพนสาำ หรับ รองแป้งสุราผืนใหญ่ไว้ในหว้ น้าำ ลกึ แล้วจับท่มี มุ ชกั ลากไปมาก็ปานกนั คอยดเู ถิด ข้าพเจ้าจกั ถอนถอ้ ยคำา ของพระโคดมเสยี แล้วจักฟาดพระโคดมเลน่ ให้เปน็ เหมือนกบั ชา้ งลงส่สู ระโบกขรณีแลว้ พน่ นำา้ เลน่ สนกุ ฉะนั้น บรรดา เจา้ ลิจฉวีทง้ั หลาย เม่อื ไดฟ้ งั สัจจกนิครนถ์ประกาศเปน็ คำาโตใหญเ่ ช่นน้นั บา้ งก็เชือ่ บ้างก็ไม่ยอมเชอ่ื แต่เพื่อจะร้วู ่าใครจะเป็นฝา่ ยแพ้ฝ่ายชนะ จึงพากันตามเขาไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคเจ้า ซ่ึงประทบั นงั่ อยู่ ณ รม่ ไมแ้ หง่ หนง่ึ เมือ่ สัจจกนิครนถเ์ ข้าไปถงึ ทีเ่ ฝ้าแลว้ กไ็ ดท้ ูลถามปญั หาเหมือนอยา่ งทีถ่ ามกับพระอัสสชิเถระ และสมเด็จพระพทุ ธองค์กท็ รงตอบปัญหาของเขาเหมือนกบั ท่ีพระอสั สชิเถระได้ตอบมา แลว้ น่นั แล

220 ไม่จริง พระโคดม เขาคา้ นข้นึ หวงั จะหักล้างวาทะของสมเด็จพระผูม้ ีพระภาค ไม่ เปน็ ความจรงิ หรอกที่พระ โคดมวา่ ขันธ์ ๕ ไมใ่ ชข่ องเรา โดยท่แี ทข้ ันธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขารและวญิ ญาณ มนั เปน็ ตัวเปน็ ตน เป็นของเราต่างหาก ดกู ร สจั จกะ! ถ้าท่านถือวา่ ขนั ธ์ ๕ เป็นตวั เป็นตนเปน็ ของเราแลว้ ทา่ นมอี าำ นาจทจ่ี ะกล่าวรปู ของท่านหรอื ไม่ ว่า รปู ของเราจงเปน็ อย่างนั้น จงอยา่ เป็นอยา่ งนนั้ เลย บงั คับไมไ่ ดใ้ ชไ่ หมเล่า? เพราะเหตุนั้น ขนั ธ์ ๕ จึงไม่ เป็นของเรา เพราะเราบังคบั ไม่ได้ สมเด็จพระผมู้ พี ระภาคทรง อธิบายให้เขาเขา้ ใจ และในท่ีสดุ เขากย็ อม จำานน และยอมรบั ว่าสิ่งเหลา่ นที้ งั้ หมดไมใ่ ช่ตัวตน ไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา (สนใจการปะทะคารมระหวา่ งพระพุทธเจา้ กบั เหล่าปราชญ์โดยละเอียด ศึกษาไดจ้ าก หนงั สอื จา้ ววชิ ชา จดั พิมพโ์ ดยคณะสังคมผาสุก) หลงั จากสมเดจ็ พระบรมครเู จา้ ได้ทรงแกไ้ ขปัญหาทีเ่ ขาผูกมาทูลถามจนแจ่มกระจา่ ง หมดสิน้ แล้ว ในขณะท่ี สจั จกะนิครนถผ์ ู้เขา้ ใจว่า ตนมีปญั ญามาก กำาลงั นั่งนงิ่ อ้ึงจนปัญญาอยู่ สมเดจ็ พระบรมครูเจา้ จงึ ตรัสข้ึนวา่ ดูกร สจั จกะ! เราซักถามท่านใหก้ ลา่ วแก้ในถอ้ ยคำาของท่านเอง และท่านกแ็ พ้ไปเองแล้วในบัดน้ี อนง่ึ เราได้ สดบั ว่าทา่ นไดเ้ คยกลา่ วในทปี่ ระชุมหมใู่ หญ่ว่า ไม่เห็นใครเลยท่ีท่านโต้ตอบถอ้ ยคำาแลว้ จะไม่มีเหงือ่ ไหล ออกจากรกั แรเ้ ปน็ ไมม่ ี แต่บดั น้สี ิ หยาดเหง่อื ของทา่ นหยดจากหน้าผากเปียกชุ่มผ้าหม่ ตกลงยังพ้นื เปน็ ประจกั ษ์ตา อยู่ แต่ดูเอาเถิด เหง่ือในกายของเราไมม่ ีเลย เม่อื สมเดจ็ พระผ้มู ีพระภาคเจา้ ตรสั อย่างน้แี ล้ว สัจจกนิครนถก์ ็น่งั นง่ิ อึง้ เก้อเขินกม้ หน้าหงอยเหงาไมม่ ี ปฏิภาณทจ่ี ะคดิ โต้ เถยี งอีก แลว้ ทลู สารภาพลุกะโทษว่า ขา้ แต่ พระโคดม! ขา้ พเจา้ เป็นคนคะนองวาจา เพราะสำาคัญตัววา่ อาจจะโต้เถียงกับพระองค์ได้ บรุ ุษมา ปะทะช้างทก่ี าำ ลังซับมนั กด็ ี หรอื มาเจอกองไฟใหญ่ท่กี ำาลงั ลุกโชนดกั หน้าดกั หลังอยกู่ ็ดี ก็ยงั พอเอาตวั รอด ได้ แตถ่ า้ มาเจอกับพระสมณโคดมเข้าแลว้ ไมม่ ที างเอาตัวรอดไดเ้ ลย อนึ่งขา้ พเจา้ มอี ปุ มาประการหน่ึงปู

221 อยใู่ นสระโบกขรณี ยังมีกมุ าร กุมารีทัง้ หลายชวนกันออกมาจากบ้าน คมนาการไปส่สู ระเพ่อื ประสงคจ์ ะอาบ น้าำ ได้แลกเหน็ ปจู งึ จบั เอาขึน้ มาจากนาำ้ วางไว้ทรี่ มิ ฝ่งั หักก้ามและตีนปูเสียใหห้ มด ฝา่ ยปูน้นั กม็ ิอาจเพือ่ จะ คลานต่อไปได้ กรณีนมี้ อี ปุ มาแนั ใดกด็ ี สมเดจ็ พระผูม้ ีพระภาคคือ พระองค์นีเ่ อง ได้ทรงพระกรุณาแกไ้ ขแก้่ ข้าพเจ้า จนบัดนี้เกิดองค์ปญั ญากำาจดั ทิฐานทุ ฐิ ใิ ห้อนั ตรธานจากขันธสันดานเสยี ส้นิ กม็ ีอปุ มาประดจุ กุมาร กมุ ารีหักตีนปูและกา้ มปแู ละทิง้ ให้นอนกลง้ิ อยู่ทพ่ี ืน้ ดนิ ฉะน้ัน ฝา่ ยสมเด็จพระบรมศาสดาเจา้ พระองคผ์ ู้ทรงโปรดสัจจกนิครนถใ์ หล้ ะพยศอนั รา้ ย จนในบัดนี้เขาเปน็ ผ้มู ี ลกั ษณะสนั ดานเส่ือมหาคลายจากมจิ ฉาทิฏฐิ คอ่ ยมปี ญั ญาดำารใิ นพระไตรลักษณญาณ ปานประหน่ึงสกุล ชาตนิ กหวั ขวานซงึ่ มีจะงอยปากอันคมกลา้ บนิ ไปเที่ยวเจ้าตน้ พฤกษา อันหาแก่นมไิ ด้ คร้นั อุตสา่ ห์เจาะไปๆ ตน้ ไม้น้ันก็อาจจะทะลตุ ลอดไปตามมโนมัยความปรารถนา ครน้ั สืบไปเบือ้ งหน้า นกน้ันไปพบต้นไมอ้ ีกตน้ หน่งึ ซ่ึงประกอบไปดว้ ยแก่นแน่นหนาย่ิงนัก ถงึ จะพยายามสักเพียงไร กม็ ิอาจสามารถเพ่ือจะเจาะแกน่ ไม้ต้น นั้นใหท้ ะลุทะลายไปได้ เมอ่ื ขืนดงึ กันเจาะไปด้วยนำา้ ใจมานะ จะงอยปากแหง่ นกนน้ั กย็ อ่ มภนิ ทนาการหกั ย่อยยบั ไป สจั จกนคิ รนถ์นี้ไซรก้ เ็ ปน็ เชน่ นั้น ดแี ต่จะสัญจรเทยี่ วไปไตถ่ ามปริศนาแกบ่ ุคคลอืน่ ผ้อู ่อนความรู้ เป็นทาสปัญญา กย็ ่อมคว้าเอาซึ่งชยั ทกุ ครั้งไป ครนั้ ได้มาถึงสาำ นกั ของสมเด็จพระบรมทศพลญาณ แล้วก็ ขดั สนจนปัญญามอิ าจเพือ่ จะแกไ้ ขอรรถปริศนาน้ันได้ ย่อมถงึ ความปราชยั ได้สาำ นึกและทลู สารภาพลกุ ะ โทษอยู่ สมเด็จพระบรมครเู จา้ ผูท้ รงพระคณุ ากร จงึ มีพระพทุ ธฎกี าตรสั พระธรรมเทศนาส่งั สอนสัจจก นคิ รนถ์เปน็ เอนกปรยิ ายยง่ิ นกั หนา เพอ่ื จะใหไ้ ด้สตปิ ญั ญาและบงั เกิดอคั รประโยชนใ์ หญห่ ลวงใน อนาคตกาลภายหนา้ แลว้ ในท่ีสุด พระองค์ทรงมีพระมหากรณุ าตรสั วา่ \"ดกู ร สจั จกะ! บุคคลในโลกนีย้ ากท่ีจะไดพ้ บพระบวรพทุ ธศาสนาแห่งตถาคตเจา้ บางเหล่าบางคนเกดิ มา เปน็ มนุษย์ตง้ั พนั ชาติ หม่นื ชาติแสนชาติ จงึ จะได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาสกั ครงั้ หนงึ่ หนเดยี ว หรอื บางทกี ็มิได้พบเลย อนั ตวั ท่านนี้สิ ได้มาพบพระบวรพทุ ธศาสนาของพระตถาคตในครัง้ นี้ กเ็ ป็นบญุ ลาภอัน ยิ่งใหญ่ไพศาลนักหนา เหตวุ ่าไดเ้ กิดสตปิ ัญญาหยงั่ เห็นประจักษแ์ จ้งในกองบุญกองบาป เหน็ คุณโทษ ประโยชน์และมิใชป่ ระโยชน์ จงึ จดั วา่ เป็นการประเสรฐิ ยิง่ นักเพราะฉะน้ัน ท่านจงอย่าได้มีความประมาทเสยี เลย”

222 สจั จกนคิ รนถ์ผู้มวี าสนา เมื่อได้สดับรับรสพระธรรมเทศนากบ็ งั เกิดมโนน้อมศรัทธาสรรเสรญิ สาธกุ าร สมเด็จพระทศพลญาณเจ้าข้ึนอกี วา่ ข้า แตพ่ ระสมณโคดมผเู้ จริญ! ข้าพเจา้ มาทนี่ กี่ ็เพื่อจะไตถ่ ามปฤษณาด้วยมีจิตเจตนาหวังว่าจะใหพ้ ระองค์ อปั ภาคพา่ ยแพ้แกถ่ ้อยคำา แต่ถ้าพระองคท์ รงพระกรุณาบรรเทาโทษขจดั้ มิจฉาทิฐใิ นสันดาน ใหอ้ นั ตรธาน หายไปดว้ ยอำานาจพระธรรมเทศนาอุปมาเชน่ บุรษุ ผหุ้ นึ่งซ่ึงถกู อสรพษิ ขบกดั กใ็ ห้กาำ เริบร้อนประหนงึ่ ว่าจะ ส้นิ ชีวิตแล้ว ยงั มีบรุ ษุ อีกผหู้ นึ่งซึง่ มวี ิษณุมนตค์ ณุ วิชามาช่วยดบั พษิ งนู นั้ ใหอ้ ันตรธาน หาย บรุ ษุ ผู้นัน้ ได้รับ ความสบายหายจากเจ็ดปวดเจียนตาย นี่แลมีอปุ มาฉนั ใด ขา้ พเจา้ นีถ้ ูกงูพษิ ร้ายคือมิจฉาทฐิ ิมาขบกดั ให้ บงั เกิดมดื มนมัวเมาเหน็ ผิด เป็นชอบ พระเจ้าข้า บัดนี้ พระองคท์ รงพระกรณุ าแนะนาำ ให้เห็นสว่างในทางบาป บญุ คุณโทษประโยชน์แลมใิ ช่ ประโยชน์ บังเกดิ ผลประโยชนท์ ุกสิ่งทุกประการ ชำาระสันดานใหบ้ รสิ ุทธิ์ บงั เกดิ สุขหาทีส่ ดุ มิได้ ดงั นั้น พระองค์จงึ เปรียบเหมอื นหมองผู ู้ทรงวิษณุมนต์ มใี จกรุณาเอ้อื อารชี ่วยระงบั พษิ ให้สร่างหายจางไปดว้ ยวิชาคุณแห่งตน พระเจา้ ขา้ เขากราบทลู ไปพลางคดิ ไปพลางก็ย่ิงเกิดศรัทธาขน้ึ ทว่ มทบั ในดวงใจ จึงกล่าวอย่างไมห่ ยดุ ยัง้ วา่ พระเจา้ ข้า ข้าแตพ่ ระองค์ผปู้ ระเสรฐิ ! พระองค์มากระทาำ ใหบ้ ัง เกิดสวัสดมิ งคลผลประโยชนแ์ กข่ า้ พเจา้ ยิ่งนักหนา พ้นท่ีจะคณนานบั ขา้ พระองคข์ ออารธานาสมเดจ็ พระมง่ิ มงกฏุ ปิ่นเกล้าโลกาจารยก์ บั หมนู่ กิ รสงฆ์ ท้ังปวงที่เป็นบริวาร โปรดคมนาการไปรบั อาหารบิณฑบาตเพื่อ เป็นบญุ โกฏฐาสส่วนบุญแห่งขา้ พระบาท ทูลอาราธนาแล้ว ก็นอ้ มนมัสการดว้ ยความเลือ่ มใสเปน็ นกั หนา... กาลล่วงมานานนับดว้ ยร้อยปีทีเดียว ขณะน้ี สมเดจ็ พระชนิ สหี บ์ รมครเู จา้ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานไปแลว้ และสจั จกนคิ รนถ์ผกู้ ลบั ใจกไ็ ดถ้ งึ แกก่ าลกริ ยิ าตายไปนานแลว้ แตเ่ จตยิ คิรีมหาวิหารซึง่ ต้งั อยู่ ณ ลงั กาทวปี ปรากฎว่ามีพระภกิ ษุรูปหนง่ึ ซง่ึ ทรงคณุ วิเศษสดุ ในพระพุทธศาสนา สิ้นกเิ ลสตณั หาเปน็ พระอรหันต์ อรยิ บคุ คล มีปญั ญามาก หยง่ั เห็นประจกั ษ์แจ้งในพระไตรปฎิ กธรรม เท่ียงแทใ้ นทางพระกรรมฐาน มหี มู่นิกร สงฆเ์ ปน็ บรวิ ารเปน็ จำานวนมาก ทงั้ มปี รชี าแตกฉานในพระปฏสิ มั ภทิ าญาณ ๔ เป็นที่สกั การะบูชาแหง่ ทา้ ว พระยาท้งั ปวง พระคุณเจา้ ผู้วิเศษรปู นี้มีนามวา่ พระกาฬพทุ ธรกั ขติ เถระ ใน ขณะนัน้ คนธรรมดาสามัญ

223 นอ้ ยคนนักท่รี จู้ ักา่ พระคุณเจ้าองค์พระกาฬพทุ ธรักขิตอรหันตว์ เิ ศษท่ีตนเคารพเลือ่ มใสอยู่น้ัน ท่ีแท้ก็คอื สัจ จกะนิครนถ์ ผมู้ ีปญั ญามากในครั้งพทุ ธกาลนั่นเอง บดั น้ี ดว้ ยบญุ วาสนาบารมีที่ตนได้สงั่ สมอบรมมา จงึ พา ให้มาเกดิ และได้สำาเรจ็ ผลสูงสดุ ในพระพุทธศาสนา เปน็ พระอรหันตผ์ ู้ปราดเปร่อื งอยู่ในขณะนี้ วนั หน่งึ เปน็ วนั อโุ บสถ พระผู้เปน็ เจ้าองคอ์ รหันตท์ า่ นพระกาฬพทุ ธรกั ขติ เถระ อดีตสัจจกนคิ รนถค์ รง้ั พทุ ธกาล ท่านข้ึนนง่ั บนธรรมาสนซ์ ึง่ ตั้งอยู่ ณ ใตต้ น้ มะพลับในเจตยิ คีรวี หิ ารกาำ ลงั แสดงพระธรรมเทศนาวา่ ดว้ ยเรอื่ งพระมหา พุทธคุณกถาพรรณนาถึงพระคณุ แหง่ สมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจา้ เร่มิ แสดงต้งั แตต่ อน หวั คำา่ ปฐมยาม มาจนถึงเวลาสน้ิ ราตรปี จั ฉมิ ยามใกล้สว่าง จึงกล่าวอวสานกถาวา่ อทิ มโวจภควา เปน็ อาทิ นเ่ี ป็นสังเขปกถาคือแสดงพระพทุ ธคณุ จบลงแต่เพียงโดยยอ่ เทา่ น้ัน \"สาธุ...สาธ\"ุ เสี ยงหนึ่งซึ่งมีอำานาจประหลาด ใหส้ าธุการข้ึนทส่ี ุดบรษิ ัท ในขณะทพ่ี ระผู้เป็นเจ้าแสดงธรรม จบลงเหลา่ พทุ ธบรษิ ัททสี่ ดบั ตรบั ฟังพระธรรม เทศนา และพระผูเ้ ป็นเจ้าผูแ้ สดงพระธรรมตา่ งมองไปยัง เจ้าของเสียงทีใ่ หส้ าธกุ ารนัน้ กพ็ ลันไดเ้ หน็ บรุ ุษหนึ่งร่างสูงใหญ่ยนื อยูใ่ นทีส่ ุดบรษิ ัทไม่คอ่ ยถนดั เพราะเปน็ ยามราตรี แตพ่ ระผูเ้ ป็นเจ้ากจ็ ำาได้ว่าบรุ ุษผนู้ ้นั คือ สมเดจ็ พระเจา้ สทิ ธาติสมหาราช กษตั ริยป์ น่ิ ธรณลี งกา ธานีจึงมวี าจาถวายพระพรถามวา่ \"ขอถวายพระพร มหาบพติ รผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ! พระองคเ์ สดจ็ มาเม่อื ใด?\" \"ขา้ แตพ่ ระผ้เู ป็นเจา้ \" สมเดจ็ พระบรมกษตั ริย์ทรงประณมกรตอบ \"โยมนี้ สมาทานอุโบสถศลี วันนแ้ี ลว้ เข้าไป นั่งอย่ใู นกุฎีที่เร้นแทบภเู ขาใกล้ๆ วิหารน่เี อง ได้ทราบวา่ พระผเู้ ป็นเจา้ แสดงพระธรรมเทศนาจงึ รีบมาถึงนี่ ต้ังแตต่ อนหัวคำา่ ปฐมยาม ยนื ฟงั อยจู่ นกระทงั่ บดั นนี้ ะ พระคณุ เจ้า\" \"ขอถวายพระพร บพติ รพระราชสมภารเสดจ็ ยนื อยสู่ ้นิ ราตรสี ามยามฉะน้ี ยากท่ผี ้อู น่ื จะทาำ ได้\" พระเถรเจา้ กลา่ วชมขน้ึ ตามความเป็นจริง \"ขา้ แตพ่ ระคุณเจา้ ! อันการทยี่ ืนฟังพระธรรมเทศนาอยตู่ ลอดราตรีสามยามฉะน้หี าสู้เปน็ ไรไม่ แต่ข้อซึง่ โยม นตี้ ัง้ ใจฟงั ได้จบจน มไิ ดล้ ่งจิตไปในที่อืน่ เลย อนั นย้ี ากท่บี ุคคลผู้อ่ืนจะกระทำาได้อย่างโยม ก็โยมฟงั พระธรรม เทศนาของพระคณุ วนั น้ี โยมปรดี าภิรมยช์ ่นื ชมยงิ่ นัก มิได้ส่งจิตไปในทีอ่ ื่นเลยนะ

224 พระคณุ เจ้า... เออ ก็พระธรรมเทศนาแสดงสรรเสรญิ ซ่ึงพระคณุ ของพระมหากรุณาสมั มาสัมพุทธเจา้ แห่ง เรา ทีพ่ ระคณุ เจา้ สาำ แดงนั้นส้นิ เพยี งเท่านี้ หรือว่าพระพทุ ธคณุ นัน้ ยงั มอี ยู่อีกประการใด?\" \"ขอ ถวายพระพร พระคณุ แห่งสมเดจ็ พระบรมครูเจา้ ที่อาตมาภาพสำาแดงมาต้ังแต่หัวคำา่ จนถึงบดั นี้น้ันนอ้ ย นัก พระพทุ ธคณุ ทอ่ี าตมาภาพยังมไิ ดส้ ำาแดงนั้น ยังมีอยู่อีกมากทีจ่ ะนบั จะประมาณได้ ขอถวายพระพร\" \"มากอีกแค่ ่ไหนเหรอ พระคณุ เจา้ \" สมเด็จพระบรมกษตั รยิ ์ตรสั ถามดว้ ยความเตม็ ต้ืนศรทั ธาเลื่อมใสใน พระพทุ ธคุณ \"ขอพระคณุ เจ้าจงแสดงใหโ้ ยมนีเ้ ข้าใจก่อนเถดิ \" พระเถรเจา้ กาฬพุทธรกั ขติ องค์อรหนั ต์ ครน้ั ได้สดับพระบรมราชโองการตรัสดังนั้น จงึ มีเถราวาจาวา่ \"ขอ ถวายพระพร บพิตรพระราชสมภารเจา้ ผู้ทรงพระคณุ อนั ประเสริฐ! ยงั มีบรุ ุษผ้หู นึง่ ไปสู่นาขา้ วสาลอี ัน กวา้ งขวางไพศาลได้พนั กรสี บุรุษผูน้ ้นั เดด็ เอาขา้ วสาลมี ารวงหนง่ึ ก็เมล็ดข้าวสาลรี วงเดียวทีบ่ รุ ุษน้ันเด็ดมา ย่อมมปี ระมาณนอ้ ยนัก เมล็ดข้าวสาลที ี่ยงั เหลืออยู่ในนาอนั กว้างใหญน่ นั้ ย่อมมีประมาณมากนักฉนั ใด พระพุทธคณุ ทอี่ าตมภาพสำาแดงวันนนี้ ้อยนกั มีอปุ มยั ดงั ข้าวสาลที บ่ี ุรษุ เดด็ มาเท่าน้ัน กอ็ นั ว่าพระพุ ุทธคุณท่ี อาตมภาพยงั มไิ ดส้ ำาแดงนน้ั ยังมีมากมายจะนบั จะประมาณมไิ ด้ มีอปุ มยั ดจุ เมล็ดขา้ วสาลีทีม่ อี ย่ใู นนา ทั้งหมด ฉะนัน้ อีกประการหนึง่ ขอถวายพระพรบรมบพิตรพระราชสมภาร! เปรยี บเหมอื นบุรุษผหู้ น่ึง เอาเข็มจุ่มลงไปใน มหานทแี มน่ ำ้าใหญ่ นำา้ ที่ไหลเข้าไปในชอ่ งเข็มนัน้ ยอ่ มมีประมาณนอ้ ยนักหนา แต่ว่าน้าำ ทีไ่ หลไปภายนอก ช่องรูเข็มยอ่ มมากกว่ามากสุดจะนับจะประมาณไดฉ้ ันใด พระคุรแห่งองคส์ มเดจ็ พระพทุ ธเจา้ ท่อี าตมภาพ สำาแดงในราตรีนีน้ อ้ ยนัก มีอุปมัยดจุ น้ำาท่ีไหลไปในรเู ข็มเท่านั้น ก็อันวา่ พระพทุ ธคุณทอี่ าตมภาพยังมไิ ด้ สาำ แดงน้นั ย่อมมีอยู่มากมายจะนบั ประมาณ มไิ ด้ มอี ปุ มยั ดุจกระแสนำ้าท่ีไหลไปภายนอกรูเขม็ ฉะน้นั อกี ประการหนึ่ง ขอถวายพระพรบรมบพิตรพระราชสมภาร! เปรยี บเหมอื นสกลุ ชาตนิ กแอ่นลมตวั นอ้ ย ที่ ร่อนเรงิ สราญอย่ใู นนภาลัยประเทศพื้นนภากาศที่นกนอ้ ยนั้นเหยียดปกี เหยยี ด หาง ย่อมมปี ระมาณน้อย นักหนา แต่วา่ อากาศท่เี ปล่าอยู่นนั้ ย่อมใหญ่กวา่ จะันับจะประมาณมไิ ดฉ้ ันใด พระคณุ แหง่ สมเด็จ พระพุทธเจ้าที่อาตมภาพยกเอามาสำาแดงในราตรนี ี้น้อยนัก มอี ปุ มัยดุจประเทศอากาศท่ปี ักษีชาตนิ ก

225 แอน่ ลมตวั นอ้ ยเหยียดซ่งึ ปีกแลหางออกไป เทา่ นนั้ ก็อนั วา่ พระพุทธคณุ ท่ีอาตมภาพยงั มไิ ดส้ าำ แดงนัน้ ยอ่ ม มอี ยมู่ ากมายสดุ จกั นับประมาณ มอี ปุ มัยดุจประเทศอากาศอันกวา้ งใหญ่เปลา่ อยู่ ฉะนัน้ สมเด็จพระพทุ ธเจา้ ผู้ทรงพระบรมไตรโลกนาถทพ่ี ึ่งของสัตว์โลกทัง้ มวล ยอ่ มทรงไว้ซ่ึงพระคุณเปน็ อนันตม์ ากมายเปน็ มหศั จรรย์ ตามท่อี าตมภาพถวายพระพรมาดังนีแ้ หละมหาบพิตร ขอถวายพระพร\" สมเด็จพระเจา้ สทั ธาติสบรมกษัตรยิ ์ ทา้ วเธอได้ทรงเสวนาฟังดงั น้นั ก็ทรงมพี ระราชหฤทยั ภิรมยเ์ กษมสนั ต์ ปรดี า จึงมพี ระวาจาตรัสวา่ \"ข้า แตพ่ ระคณุ เจ้า! ขอพระคุณเจ้าจงสอดสง่ ทิพยญาณหย่ังเหน็ ด้วยเถิด พระคุณเจ้าขา คือว่ า่ โยมนี้บังเกิดศรทั ธายินดียิ่งนกั หนาไม่รูว้ ่าจะทาำ อย่างไรใหส้ มกับศรทั ธาใน ขณะนไี้ ด้ ก็ จะถวายสมบตั ิในเมืองลงกานแ้ี กพ่ ระรตั นตรยั ทง้ั หมด จะเวน้ วา่ งไว้แม้พ้นื ท่ปี ระมาณเท่าปลายปฏักจรดลงก็ หามิได้ โดยจะถวายไว้ในพระศาสนา ในกาลบดั น้ี พระคณุ เจ้าขาขอพระคณุ เจ้าจงรบร้ดู ว้ ยเถิด\" ลำาดับน้นั พระมหาเถรเจา้ จึงถวายสมบัติคืนแก่พระเจ้าสทั ะาติสมหาราชผู้มจี ติ ศรทั ธา แล้วปลอบประโลมว่า \"ขอถวายพระพร บพิตรพระราชสมภารเจา้ พระองค์ผทู้ รงพระคุณอนั ประเสรฐิ ! ขออัญเชญิ พระองค์ครอง สมบัตสิ ืบไปในนครนโ้ี ดยทศพิธราชธรรมเถดิ จะไดเ้ ป็นทพ่ี ึง่ แกฝ่ ูงประชาทกุ ถ้วนหน้า\" สมเด็จพระมหาษตั ริย์ทรงตริตรองอยูช่ ั่วครแู่ ล้ว กท็ รงรบั ราชสมบัตคิ ืนดว้ ยดี ฝ่ายพระกาฬพทุ ธรักขิต อรหนั ตเจา้ ต้ังแตค่ รัง้ นน้ั มาก็บังเกิดปรากฎดุจว่าภานุมาสพระจันทรอ์ ันแต่ดวงในเวหาส เป็นที่กราบไหว้ บูชาของเหล่าเทพยดาแลมนุษยท์ ง้ั หลายในลังกาธานนี ัน้ ดว้ ยประการฉะนี้ ทา่ นผู้มปี ัญญาทง้ั หลายเห็นแลว้ ใชไ่ หมเลา่ วา่ องค์สมเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระองคย์ ่อมทรงไวซ้ ่งึ พระคณุ เปน็ อนนั ตค์ ือ มากมายไมม่ ีท่ีสนิ้ สดุ ดุจคาำ ของพระอรหนั ต์กาฬพทุ ธรกั ขิตเถรเจ้า ท่านกล่าวอปุ มา ให้สมเด็จพระเจา้ สัทธาตสิ มหาราช ทรงสดบั ตรับฟงั ตามเร่อื งทเี่ ล่ามาน้ี แต่การท่ใี ครจะมองเหน็ พระคณุ ของพระพุทธองคไ์ ด้มากน้อยแค่ไหน นนั่ กส็ ดุ แทแ้ ต่ว่าปัญญาของใคร คอื หมายความว่า ใครมีปญั ญาจกั ษุ ดวงตาคอื ปัญญามาก มีสันดานบริสุทธมิ์ าก ก็ยอ่ มจะเหน็ พระคุณของพระองค์ไดม้ าก แต่ถ้าใครมีปญั ญา

226 จักษนุ ้อย มสี ันดานบรสิ ุทธ์นิ ้อยกย็ อ่ มจกั เห็นพระคณุ ของพระองค์ได้น้อย ย่งิ ผ้ทู ่อี าภัพอบั วาสนาไมม่ โี อกาส ได้พบพระพทุ ธศาสนา หรอื ผู้ท่ีพบพระพุทธศาสนาแล้วแตเ่ ปน็ คนทฐิ วิ ิบตั ิหาปญั ญาจักษมุ ไิ ด้ คนเหล่าน้ีจะิ คดิ จะมองไปเทา่ ใดๆ กย็ ิง่ มดื มองไมเ่ ห็นพระคุณของสมเด็จพระพุทธเจ้าเลย เมื่อมองไมเ่ ห็นพระคณุ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนีแ้ ลว้ ก็ย่อมทำาให้เกดิ มีทฐิ คิ วามคิดความเหน็ ต่างๆ นานาตามประสาโงแ่ หง่ ตน บางคนบางพวกถงึ กับมคี วามเหน็ ไปว่าสมเดจ็ พระมหากรุณาสัมมาสัม พทุ ธเจา้ คงจะไม่มีปรากฎในโลกนี้เปน็ มน่ั คง องคพ์ ระอรหันต์สัมมาสมั พทุ ธเจ้าท่ยี กยอ่ งสรรเสริญกันนน่ั ก็ คือ คนธรรมดาสามญั น่ีเอง ไม่มคี ุณวเิ ศษเป็นมหศั จรรยอ์ ะไรท่คี วรจะเชือ่ ถือ พระพุทธศาสนากค็ อื นโยบาย สอนคนโบราณนานมาแล้ แต่ครั้งคนเรายังโงอ่ ยู่ ความเหน็ ทาำ นองน้ี ซึ่งเป็นไปเพราะความไม่เชือ่ ในกำาลัง พระสัพพญั ญตู ิญาณของพระตถาคตเจ้า ย่อมปรากฎในห้วงนกึ ของปถุ ชุ นคนทย่ี งั มีทฐิ กิ เิ ลสทัง้ หลายเปน็ อนั มาก และมใิ ชจ่ ะเพ่งิ มาปรากฎแกค่ นเราในสมยั นเ้ี ท่านั้น แม้แต่ในอดตี สมยั กาลทล่ี ่วงมาแล้ว ต้ังแต่องค์ สมเด็จพระประทีปแก้วปรินิพพานเปน็ ตน้ มา ชาวประชาผู้เกดิ มาภายหลังไมเ่ คยไดเ้ ห็นพระพทุ ธองค์ ทัง้ มี ปญั ญาทรามไม่ไดล้ ้มิ รสอมตธรรมอนั ประเสริฐสุดไม่ได้เป็นพระพุทธบตุ ร ดม่ื อมตรสท่ีพระตถาคตเจา้ ทรง ประทานไว้ใหย้ ่อมจะมีความกินแหนงแคลงใจอยู่ไม่ หายว่า พระพทุ ธเจ้ามจี ริงหรอื ? ความจริง น้ัน สมเดจ็ พระอรหนั ตส์ ัมมาสัมพุทธเจา้ ยอ่ มทรงปรากฎมีแล้วในโลกโดยแท้ อยา่ สงสัยเลย จง เช่ือฟังเถดิ แม้นักปราชญ์ผ้เู กิดแต่ปางกอ่ น ซึง่ ท่านมสี ันดานบรสิ ุทธซ์ิ ื่อตรง สำาเรจ็ เป็นองคพ์ ระอรหันตไ์ ดไ้ ม่ หวนั่ ไหวในโลกธรรม กไ็ ดอ้ ตุ สาหะพรำ่าสอนในเรอื่ งน้ีสืบๆ กันมา โดยมีข้อความท่จี ะพรรณนาใหฟ้ งั ดังตอ่ ไปนี้

227 โลกสมทุ ร ธรรมดาวา่ มหาสมุทรทะเลใหญ่ อันลึกล้าำ คัมภรี ภาพพน้ พสิ ยั ยอ่ มทรงไว้ซ่ึงทรายและชลชาตมิ ากมายสดุ จะ นับได้ อากูลมูลมากไปดว้ ยมจั ฉาหมู่ปลาใหญน่ อ้ ยเหลือคณนา และเปน็ ทไี่ ปมาอาศัยอยู่แห่งหม่นู าคครุฑ และผีเสือ้ น้ำา บรรดาสตั ว์ท้งั หลายยอ่ มพากนั เทยี่ วแหวกวา่ ยแสวงหาอาหารทอ่ งแถวชลธารอยคู่ ลา คลำ่า บางคราก็กำาเรบิ ด้วยหมอู่ สรู คึกคะนองแลเสยี งเมฆกึก้องสะเทือนท้องน้ำา กมั ปนาทฟังดงั เหมือนพณิ พาทย์ ฆ้องกลองดุรยิ างคด์ นตรเี ภรสี วรรค์ สมทุ รวารนี ั้นมีเกาะเกิดเปน็ เขางามหลากหลายประมาณไดม้ ากมาย นบั เป็นหม่ืนแสน มหี มูอ่ มรแทนเฝ้าแหนสิงสถติ ทุกยอดเขา เทพยเจ้าท้งั หลายยอ่ มเสวยทพิ ยสมบตั โิ สมนสั บรรเทิงใจ โดยอาศัยสมัครสโมสรแตก่ ่อนมา อนึ่ง มหาสมุทรวารีน้นั ยอ่ มมนี าวาสลปุ กาำ ปัน่ สำาเภาแห่ง เหล่าพานิชแล่นไปมาทาำ การคา้ ขายไม่ขาดสาย อน่ึงยอ่ มประกอบไปดว้ ยส่ิงท้งั หลายเหลา่ น้ีคือ มฟี องและ ระลอกคลืน่ ดาษดื่นอยทู่ ุกเช้าคา่ำ มคี งุ้ นาำ้ และปากอา่ วมากหลาย เป็นท่อี าศัยของหมูส่ ัตว์และนิกรชน ทัง้ ประกอบดว้ ยวังวนแลบาดาลน่าอัศจรรยแ์ ปลกประหลาด วิจติ รโอภาสดว้ ยแกว้ อเนกา มีหมปู่ ลาและเต่า อาศัยอยูอ่ ยา่ งสะดวกสบายเปน็ อันมาก หลากหลายดว้ ยปลามจั ฉาชาตินานาชาติ มปี ลาโลมา ปลาฉลาม ชา้ งน้ำามา้ นา้ำ และเงือกเบื้องตน้ ย่อมอยอู่ าศัยในมหาสมทุ รน้นั โดยปกตธิ รรมดา คราทน่ี น้ั กพ็ ลนั มีมหามัจฉาปลาใหญ่หนงึ่ มกี ายใหญ่โตมหมึ านกั หนา จะใครล่ องกำาลังของตนจึงโดดข้นึ ไป สดุ แรงย่อมกระทาำ ใหม้ หาสมุทรนั้นกำาเรบิ เปน็ ระลอกใหญ่ชดั ไปทร่ี ิมฝ่งั ปรากฎเสียงดงั สนัน่ กกึ กอ้ งเหลือ ประมาณ กาลน้ันมนษุ ย์นกิ รซึ่งสญั จรไปท่รี ิมฝัง่ มหาสมทุ รนน้ั ครนั้ เหน็ คลนื่ ใหญ่พกิ ล ทุกคนก็ย่อมจะตอ้ ง เข้าใจวา่ \"ปลาใหญม่ ีอยใู่ นมหาสมทุ รนเ้ี ป็นม่ันคง ไมต่ ้องสงสัย\" คำาอปุ มาท่วี า่ มาน้ฉี ันใด โลกทเ่ี ราอาศัยอยเู่ วลาน้ี ก็เปรยี บเหมอื นกับมหาสมทุ รวารีทว่ี ่ามานนั้ เพราะมีความลึกลำ้าสดุ พรรณนา ทรง ไวซ้ ่งึ นำ้าคือ ราคะ โทสะ โมหะ มากมายเหลือจะคณนา อากูลมากมูลด้วยหมมู่ จิ แาคอื พาลปถุ ุชนมีแพคือสกล กเิ ลสทั้งหลายลอยอยู่ แวดวงดว้ ยขา่ ยคอื มจิ ฉาทฐิ ิ ความคิดเหน็ วิปริตผิดปกตมิ ากมาย มีกระแสสายคือตณั หา พาให้ไหลไปไมร่ จู้ ักหยุดย้ัง ไดม้ ีธงชยั คือมานะ ความถือตัวสนั่ ระรัวอยเู่ สมอใน

228 ทกุ ดวงใจ รอ้ นด้วยไฟ คอื ราคะ โทสะ โมหะ สดุ ประมาณ ประกอบด้วยอนั ธการความมืดมดิ ว้ ยฤทธ์ิแหง่ อวชิ ชา ความเขลาปราศจากปญั ญา มีความสาหสั ไปด้วยโลภเจตนาเป็นท่สี ดุ กโ็ ลกสมทุ รนี้ผู้มีสตปิ ัญญา เหน็ แจ้งประจกั ษ์ย่อมเหน็ เปน็ ภยั น่ากลัวนกั หนา สุดทจี่ กั หาอะไรมาเปรยี บได้ เพราะเป็นที่อยู่ของคนตามดื ตาบอด คือผ้ทู ปี่ ระกอบไปดว้ ยมิจฉาทิฐิในดวงจติ ทง้ั หลาย และเป็นท่อี ยอู่ าศยั ของมนุษยห์ ญิงชายที่มีนาำ้ ใจ เป็นกุศล และมีนำา้ ใจเปน็ อกศุ ล คนมยี ศและหายศมไิ ด้ คนมเี ดชแลหาเดชมิได้ คนมีบุญแลหาบุญมไิ ด้ คนท่ี มีคณุ วิเศษและหาคณุ วิเศษมไิ ด้ คนท่มี คี วามเจรญิ แลหาความจาำ เริญมไิ ด้ คนมีปญั ญาและหาปญั ญามิได้ คนทมี่ คี วามรูแ้ ลหาความรูม้ ไิ ด้ อน่ึง โลกสมทุ รนีจ้ ะได้มแี ตค่ นทัง้ หลายเชน่ วา่ มาแล้วน่ันก็หามิได้ ย่อม ประกอบไปดว้ ยกษัตรยิ แ์ ละพราหมณ์ พอ่ ค้าแลชาวนา พ่อครัวและอาชวี ก คนนงุ่ ขาวและปริพาชก พระพทุ ธ สาวกแลคนขอทาน คนถอื ทฐิ ปิ ระพฤตพิ รตนอนกับพ้นื แผน่ ดนิ ปฐพภี าค แลคนถือการนอนขา้ งเดียวเปน็ วตั ร คนไมอ่ าบน้ำาเต็มไปดว้ ยเหงือ่ ไคลแลชเี ปลือยเปลา่ กายรวมทง้ั พระดาบส โยคฤี าษีทงั้ หลายเปน็ อัน มาก ย่อมปรากฎมีอยใู่ นโลกสมุทรน้เี กลอ่ื นกลาด นอกจากน้ัน ยงั มีสตั จตุนาทมีเอนกนานา เปน็ ต้นวา่ อฐู ฬา แพะ แกะ หมู หมา ช้าง มา้ แลสหี ราช เป็นจำานวนมากมายเหลือท่จี ะกลา่ ว นอกจากน้นั เลา่ ยังมีสตั วส์ อง เทา้ เปน็ ต้นว่า นกจากพราก นกแก้ว นกสาลิกา นกดุเหว่า นกเขา นกพริ าบและนกตะกรุม นกฮุก มีลกู หลาน สืบพันธุ์กันไม่ขาดสาย ทงั้ ยังประกอบไปดว้ ยสัตวท์ ง้ั หลายที่มีเทา้ มาก เชน่ ตะขาบ ก้ิงกือ แลสัตว์ประเภทท่ี หาเท้ามิได้ เชน่ งแู ละไส้เดอื น เปน็ ตน้ ลว้ นปะปนสถิตอาศยั อยใู่ นโลกสมทุ รน้ีทัง้ ส้ิน ปางเม่ือ สมเด็จพระชนิ สหี ์สพั พัญญูเจา้ ผู้ทรงพระภาคอันงามเลิศประเสริฐสดุ พระองค์ทรงอบุ ตั ิผดุ ขึ้นโลกน้ี แล้ว องค์พระประทีปแก้วยอ่ มมีอานุภาพยงั พ้ืนพิภพปฐพี ทัว่ หมื่นโลกธาตใุ หห้ วาดไหว ไดต้ รสั พระ ปรมาภิเษกสัมโพธญิ าณ สาำ เรจ็ เป็นเอกองคอ์ ัครมหามนุ ีโลกนายกแลว้ ทรงสามารถยงั มนุษยโลกกบั ทงั้ เทวโลกให้กาำ เรบิ ปน่ั ปว่ นดว้ ยพระสทั ธรรม แล้วกท็ รงปักแพ้วไวซ้ ึง่ ธรรมธุชธงชัย คือธรรมอันเลศิ สมเด็จ พระองคผ์ สู้ ุดประเสรฐิ สพั พญั ญเู จ้าทรงยงั โลกให้กาำ เรบิ ขน้ึ ดว้ ยระลอก คล่ืน กล่าวคือตรสั พระสัทธรรม เทศนาส่งั สอนสตั ว์ ตกั เตอื นสัตว์ เปล้ืองสัตวร์ ้ือสัตวข์ นสตั วท์ ้ังหลายให้พ้นจากทุคติภพ คอื อบายภูมิทั้ง ๔ มี ภมู นิ รก ภูมเิ ปรต ภูมิอสรุ กาย และภมู เิ ดยี รฉาน ทรงประทานพระอมฤตหนทางพน้ ทกุ ขใ์ ห้แก่สัตว์ทั้งหลาย ท่ัวประเทศ มิไดเ้ ลอื กเพศเลือกหน้า ทรงประทานยาดบั พษิ โลกคอื กเิ ลสให้แกส่ ัตวใ์ นประเทศท้งั หลาย

229 กระทำาใจให้สิ้นมลทินขาวบรสิ ุทธิผ์ อง่ ยังสตั วโ์ ลกท้ังหลายให้ตั้งอยู่ในพระปฏิสมั ภทิ า ใหต้ งั้ อยู่ในพระ วิโมกข์ ใหต้ ั้งอยใู่ นพระอรยิ ภูมอิ นั สำาราญ ตรสั ประทานพระสัทธรรมเทศนาซ่งึ พระจตุรารยิ สัจธรรมอัน ประเสริฐนักหนา หมู่เทวดาและมนุษย์ได้สวนาการสดับตรบั ฟงั บางพวกต้งั อยู่ในพระอนาคามผี ล บางพวก ตงั้ อยใู่ นพระสกทิ าคามผิ ล บางพวกตง้ั อยใู่ นพระอนาคามผี ล บางพวกตง้ั อย่ใู นพระอรหัตผล บางพวกก็ต้งั จติ สมาทานศีล บางพวกตั้งจิตสมาทานพระไตรสรณคมน์ บางพวกตัง้ อย่ใู นภมู ิเป็นอุบาสก อบุ าสิกา มี ศรทั ธาเล่อื มใสในคณุ พระรัตนตรยั กาลเม่อื สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสดจ็ พระพทุ ธลลี าศข้ึนไปตรัสพระสัทธรรมเทศนา ณ เบอ้ื งสวรรคช์ ั้น ไตรตรงึ ษ์นัน้ พระองค์ประทบั น่ังเหนอื บัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ แลว้ ตรัสพระสทั ธรรมเทศนาพระทุกขสจั เหล่า เทพยเจ้า ๘๐ โกฏิ ต่างลว้ นโสมนัสปราโมทยช์ น่ื ชมยินดีในกระแสธรรม กไ็ ด้ธรรมจักษุบรรลุคุณวเิ ศษด้วย การพจิ ารณาเหน็ ซ่งึ ทกุ ขสัจ แล้วปลงปัญญาเห็นซงึ่ นิโรธธรรมอันวเิ ศษ... อีกครั้งหนึง่ กาลเมอื่ สมเดจ็ พระ โลกเชษฐเสดจ็ อยู่ ณ ปาสาณเจดยี ์ ตรัสพระสัทธรรรมเทศนาสมุทยสจั เหลา่ เทพเจา้ และมนุษยท์ ง้ั หลายได้ สดับแล้ว กม็ หี ฤทัยปราโมทยย์ นิ ดีในพระกระแสธรรม ได้บรรลุมรรคผลมากมายนบั จาำ นวนได้ถงึ ๑๔ โกฏิ... อนึ่งโสต กาลเมือ่ เสด็จลงจากดาวดงึ สภ์ พ สมเดจ็ พระนราสภสพั พญั ญูเจ้าก็ได้ตรสั พระสัทธรรม เทศนาพระนโิ รธสัจ เหล่าเทพยเจา้ แลมนษุ ย์ทั้งหลายได้สดบั รบั รสพระธรรมเทศนาแล้วหมดความสอด แคลว้ สงสัยพระพุทธคณุ ไดบ้ รรลมุ รรคผลมากล้นเหลือปลายประมาณไดถ้ ึง ๓๐ โกฏิ .. พระเทศนาท่พี ระ มนุ โี ปรดประทานนนั้ ปานประหนึ่งว่าคลื่นระลอกท่ซี ัดกระฉอกกาำ เริบหว่ันไหวอยู่ในโลกสมทุ รอนั สุด กวา้ งนี้ และแล้วพระสมเด็จพระชนิ สีหส์ มั พุทธเจา้ ก็ทรงบ่ายพักตรเข้าสเู่ ขาภมู ิอนั เกษม สานต์ คือดบั ขนั ธ์ ปรินิพพานเป็นเอกัตบรมสุขพิสัยไปตามธรรมดา ฝา่ ยว่า บัณฑิตชนมีปัญญาในสมยั หลังตอ่ มา ได้พบเหน็ คลืน่ คือพระสทั ธรรมอนั โอฬารของพระบรมโลกุต ตรมาจารยเ์ ขา้ กเ็ ฝา้ ปฏบิ ัตติ ามพระโอวา ทานุสาสนี ผ้ทู ี่มีวาสนาบารมีสูงก็ยอ่ มตัดเสียได้ ซึ่งเคร่อื งจองจาำ อนั มากมูลอากลู เหลอื ลน้ ในขันธสนั ดาน ผลาญเสยี ซึ่ง ราคะ โทสะ โมหะ ใหห้ มดสิ้น มจี ิตพน้ มลทนิ ผ่องใส จากกเิ ลสบาปธรรม บรรลถุ ึงพระอรหัตผลเปน็ พระอรยิ บคุ คลโอฬาร กระทาำ พระนพิ พานให้แจง้ ชดั เป็น

230 พระปรมัตถธรรม ฝา่ ยผทู้ ีม่ ีวาสนาบารมีตำา่ กวา่ นนั้ เปน็ ผู้ปฏบิ ัตติ ามก็ยอ่ มไดร้ ับผลสมควรแก่ การปฏิบตั ิ เปน็ อัศจรรย์ ชนเหลา่ นีก้ ็ย่อมอนมุ านกำาหนดแน่ลงดว้ ยปัญญาไดว้ ่า \"คล่ืน พระสทั ธรรมอนั แสนมหศั จรรยน์ ้ี ไมม่ ีใครท่ีจกั ใหเ้ ป็นไปได้ นอกจากพระผูห้ ่างไกลจากกเิ ลส คอื พระโลกเชษฐอรหนั ต์สมั มาสมั พทุ ธเจ้า เทา่ นน้ั สมเด็จพระภควันตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ปรากฎมีแลว้ ในโลกโดยแท\"้ แตช่ นมบี ุญน้อยดอ้ ยวาสนา ปญั ญาเขลามวั เมาไปดว้ ยทิฐมิ านะอหังการ ถอื ว่าตนมคี วามคดิ ดเี ปน็ ยอดคน ไม่สนใจการปฏิบตั ิตามพระ โอวาทานสุ าสนกี ็ชวดเปลา่ ทจ่ี ักเหน็ ความมหศั จรรย์ แหง่ พระพทุ ธพจน์ เมื่อไม่ดม่ื รสอมตธรรมเปน็ พระพุทธ บตุ ร กย็ อ่ มจะถูกวิจกิ จิ ฉาฉุดใหค้ ลางแคลงสงสยั อยู่มิวายว่า พระสัมมาสมั พุทธเ้จา้ มีจริงฤา? ธรรมบรรพต ธรรมดาพญาเขาหิมพานต์น้นั ย่อมประกอบไปดว้ ยระเบยี บแห่งเง่ือนเขา ยอดเขาแลว้ ไปดว้ ยศลิ ามากมาย หนักหนา เปน็ ที่อยู่แหง่ หม่สู ัตว์นานา ประกอบไปดว้ ยไม้แลเครือลดาปกคลุมเปน็ สมุ ทมุ พุ่มพฤกษา มากไป ด้วยซอกธารเหวท่า คณามนุษย์ คนธรรมพน์ ิกร กินนร วทิ ยาธร ตา่ งสัญจรเที่ยวเลน่ สาำ ราญ อนง่ึ ภูเขา หิมพานตน์ ้ัน เป็นทีอ่ าศัยอยู่แหง่ หมู่สุบรรณครุฑ นาค อสูร กมุ ภณั ฑ์ และยักษ์ทัง้ หลาย ทง้ั เหล่าอสรพษิ รา้ ย กอ็ าศัยอย่มู ากมายหลายชนดิ เหลือคณนา พร้อมท้ังโอสถต้นยาก็สารพดั จะมี แวดลอ้ มด้วยยอดคีรที งั้ หลาย คือตรีกฎู ไกรลาศกูฎ สุมนกฎู จิตตกูฏ และยุคนธรกูฏ และดูสงู ชลูดขึน้ ไปดุจกอ้ นเมฆเปน็ ช่อขน้ึ ก็ ยอดเขาหิมพานตน์ ้ันแลดูมสี ดี ุจเมฆเมือ่ วันแรก หรือมฉิ ะนน้ั เมือ่ แลดูมีาดั ุจทาด้วยดอกอญั ชัญอนั มสี เี ขียว ปนสีคราม สมี ว่ ง สีหมน่ ทงั้ หลาย บ้างกค็ ลา้ ยสีในกายแห่งนาคราชอนั เขยี วคลำ้า ถ้ามฉิ ะน้นั แลดูแวววับ เหมือนกบั พยบั แดดเดอื น ๕ งามสงา่ ไมม่ ใี ดเทยี ม ทีน้ี มนษุ ยท์ งั้ หลายผู้เป็นปัญญาชน เมอื่ ตั้งต้นไปเหน็ ยอด เขาน้ันแตไ่ กล เขากเ็ ขา้ ใจด้วยอนุมานปญั ญาวา่ ...น่เี ป็นยอดเขาหิมพานต!์ หมิ พานตบ์ รรพตปรากฎมอี ยู่ โดยแท้หนอ ความอปุ มาทีว่ ่ามานฉี้ นั ใด

231 ธรรมบรรพตภูเขาคอื พระธรรมแหง่ องคส์ มเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารยเ์ จ้า ก็มีลักษณาการเหมอื น เช่นน้ัน ถอื วา่ ธรรมและผลเปน็ เอนกประการ ประดบั ไปด้วยยอดและแงเ่ ง้ือม กล่าวคือ สญุ ญตวโิ มกข์ ทาง เขา้ สู่พระนิพพานโดยอนตั ตลกั ษณะ อนมิ ติ ตวิโมกข์ ทางเขา้ สู่พระนิพพานโดยอนิจจลกั ษณะ อปั ปณหิ ิต วโิ มกข์ ทางเขา้ สูพ่ ระนพิ พานโดยทุกขลักษณะและมีทางข้ึนสู่ธรรมบรรพตนนั้ กลา่ วคอื ท่านผมู้ ีปญั ญาทรง พระสตู ร พระวนิ ยั และพระอภธิ รรม เป็นที่สถติ อาศยั อยแู่ ห่งท่านพระอรหันต์ อริยบุคคลผ้บู รรลพุ ระอรหัตผล เปน็ ที่เทยี่ วไปแห่งท่านผปู้ ฏิบตั ิเพื่อมรรคผลช้นั ตาำ่ มที า่ นผูป้ ฏิบัตเิ พอ่ื พระโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น และท่าน ผู้ทรงจวี รเศรา้ หมองครองชีพด้วยสุจรติ ปรารถนาน้อยคอ่ ยอยสู่ ุขสาำ ราญ ซ่องเสพสถิตอยเู่ ปน็ อันมาก อนึ่ง ธรรมบรรพตน้ี ย่อมเปน็ ทีส่ ถิตอยแู่ ห่งท่านผ้ไู ด้ไตรวชิ ชาและอภญิ ญาท่านผู้ได้ปฏสิ ัมภิทา และผูไ้ ดส้ ำาเร็จใน บารมีญาณ นอกจากนั้นธรรมบรรพตน้ี ยังอาเกียรณม์ ากมูลไปด้วยยาอนั ดบั เสยี ซง่ึ พษิ รา้ ยท่ีกาำ ซาบซ่านใน ใจสัตว์ ทั้งยงั มโี อาสถอันจะบาำ บดั ดับโรคทกุ ข์ทงั้ ปวงและรกั ษาอายใุ หเ้ จริญ เช่นประกอบไปด้วยจันทน์ กล่าวคือ ศีล โอสถกลา่ วคอื สมถะั กฤษณากล่าวคือปัญญา กล่นิ กล่าวคอื สันโดษอนั บรสิ ทุ ธิ์เปน็ ต้น อนง่ึ ธรรมบรรพตนี้มียอดครี ีภูเขาธรรมอนั ประเสริฐเปน็ บริวารแวดลอ้ มอีกดว้ ย ซงึ่ ไดแ้ ก่ภเู ขาคือพระสติปฏั ฐาน ภูเขาคือพระสัมมปั ปะาน ภูเขาคอื พระอทิ ธบิ าท ภูเขาคืออนิ ทรยี ์ ภเู ขาคือพละ ภูเขาคอื โพชฌงค์ และภเู ขา คอื พระอัฏฐงั คิกมรรค ภูเขาครี เี หล่านี้เปน็ บริวารแวดลอ้ มธรรมบรรพตนน้ั และประการทสี่ าำ คัญก็คอื ว่า ธรรมบรรพตมยี อดสงู เยยี่ มนัก สุดที่อนั ตรายอ่ืนใดจกั ลา้ งผลาญได้ ยอดบรรพตนค้ี อื พระนิพพานอย่างไร เลา่ พระนิพพานอันดบั เสยี ซ่ึงความอยากและความกระวนกระวายถอนเสยี ซ่ึงความอาลัย ทาำ ให้สน้ิ ไปเสยี ซึง่ ความยนิ ดี คอื ราคะ ทาำ ใหส้ ิ้นไปเสียซึ่งยนิ ร้ายคอื โทสะ และโมหะ มสี ภาวะเยอื กเย็นเป็นสุขคอื ไมร่ เู้ กดิ ไม่รตู้ าย เปน็ มหาสุญญตา เงยี บสญู สงบสุดในโลก น่แี ลเป็นยอดธรรมบรรพต สมเดจ็ พระสุตตสมั มาสมั พุทธเจ้า ครัน้ ทรงสร้างธรรมบรรพตอนั ประเสรฐิ นี้แลว้ กท็ รงบา่ ยพกั ตรเขา้ สเู่ ขตภมู ิอนั เกษมสานต์ เสดจ็ ดับ ขันธป์ รินิพพานล่วงไป ฝา่ ยบัณฑติ ชนคนมปี ญั ญาในสมยั หลังมา ครัน้ ไดข้ า่ วธรรมบรรพตมอี ยู่ ก็ส้อู ุตสาหกรรมปฏิบตั ติ ามพระโอ วาทานุสาสนี เมื่อถงึ ที่เหน็ ธรรมบรรพตน่ันเข้าแลว้ ยอ่ มไมแ่ คลว้ ท่ีจะตะลงึ งันด้วยความอัศจรรย์ใจตน ทุก คนถึงแม้จะเกิดในกาลสุดทา้ ยภายหลัง ไม่ทนั ไดเ้ หน็ พระรูปกายของพระพุทธเจา้ ก็จรงิ

232 แต่เมื่อไดเ้ ห็นสิ่งสาำ คญั คอื ธรรมบรรพตทพี่ ระสุคตทรงสรา้ งไวน้ ีแ่ ลว้ ยอ่ มจะ อนมุ านด้วยปญั ญา อทุ ่านออก มาวา่ \"โอ้..อัศจรรยจ์ รงิ หนอ ธรรมบรรพตอันแสนประเสริฐนไ้ี มม่ ใี ครอกี แลว้ ที่จะมีปญั ญาสามารถสรา้ งไว้ ได้ นอกจากพระผหู้ า่ งไกลจากกองกิเลสคือ สมเดจ็ พระโลกเชษฐอรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระองค์เดยี ว เท่านัน้ สมเดจ็ พระภควันตสมั มาสมั พุทธเจ้าทรงอุบัตขิ ึ้นแลว้ ทรงปรากฎข้นึ แล้วในโลกเรน้ีโดยแท้เป็นแมน่ ม่นั \" ฝ่ายทา่ นทมี่ บี ุญนอ้ ยดอ้ ยวาสนา หรือวา่ ผู้มปี ญั ญาเขลามวั เมาไปด้วยทิฐิมานะอหังการ์ ไมเ่ ห็นคณุ คา่ แหง พระศาสนา แม้วา่ พระธรรมคำาสั่งสอนของสมเด็จพระชนิ วรพทุ ธเจา้ ยงั ปรากฏอยู่ ก็มิสู้จะปลงใจให้เชือ่ ลงได้ ใหม้ ีอนั เป็นคิดวิจารณ์ไปตา่ งๆ ตามประสาคนท่ยี ังมที ฐิ กิ ิเลสและวิจกิ จิ ฉากิเลสอยู่ บูชาความคดิ เห็นของตน อันคอ่ นข้างจะใชไ้ ม่ไดเ้ ป็นใหญ่ มิใคร่จะเช่ือฟังในพระโอวาทานสุ าสนี หรอื มิฉะนน้ั กต็ คี วามดูประหนง่ึ ว่า พระพทุ ธพจนอ์ นั ลกึ ล้ำาคมั ภีร์ภาพของสมเด็จ พระสมั มาสัมพุทธเจ้า ผูท้ รงอบรมบ่มพระสัมโพธิญาณมานาน ชา้ อยภู่ ายใตป้ ญั ญาความดขี องตนเท่านั้นเอง เลยเปน็ เหตุให้ไม่มกี ารปฏิบตั ิอยา่ งจริงจงั เมอื่ ไมม่ ีการ ปฏิบัติอย่างจรงิ จงั แลว้ การบรรลุมรรคผลอนั เป็นวเิ ศษเบ้อื งสูง ซึง่ สามารถขจัดความสงสัยในพระรัตนตรัย จกั บงั เกดิ ขึ้นได้อย่างไร เมอื่ วจิ ิกจิ ฉา ความสงสยั ยิ่งมากมูลอากลู อยใู่ นจติ สันดาน ก็เลยมกั ให้พาลคดิ ไปว่า \"ฮ.ึ ..พระธรรมคาำ ส่งั สอนมคี า่ ควรแก่การปฏบิ ตั ิจริงหรอื ... พระพทุ ธศาสนาเปน็ นิยยานิกธรรมนำาสัตว์ออก จากทุกขไ์ ด้จริงหรือ... ทวี่ า่ พระพุทธเจ้านี่ มจี รงิ หรือๆ วา่ เปน็ เรื่องราวทีม่ นุษยอ์ ะไร ใครคนหนง่ึ เสกสรรเปน็ ทำานองเทพนิยายปรัมปราเรื่องหน่งึ ดอกกระมัง?\" ใหค้ ดิ สงสัยวนเวียนอยู่อยา่ งน่ากลุ้มใจแทนอยเู่ ชน่ น้ี ก็ เพราะขาดสิง่ สาำ คญั อยู่อยา่ งเดียว คือขาดการปฏิบัติ จึงอาจเหน็ ธรรมบรรพตปรากฎอยูโ่ ดยแท้ แตก่ ไ็ ม่อาจ จะรู้จะเห็นได้ ตาบอดตาใส เลยถูกความสงสยั สะกดิ ใจอย่เู นื ืองๆ วา่ พระพทุ ธเจ้ามีปรากฎในโลกจรงิ ฤา?

233 ธรรมเมฆ ธรรมดา มหาเมฆหน่ึงซ่งึ มีชอื่ ว่า จตทุ ปี กะ เมื่อตง้ั ข้นึ จะใหฝ้ นตกใหญ่น้นั ทา่ นผไู้ ดฌ้ านชาำ นาญฤทธท์ิ ั้งหลาย ยอ่ มจะเหน็ นมิ ติ บังเกิดข้นึ เป็นสำาคัญก่อน คือเบอ้ื งบนอากาศจะปรากฎเป็นกลมุ่ ก้อนหอ้ ยยอ้ ยดุจสร้อย สังวาลย์ และปรากฎมดี อกไมส้ วรรค์บันดาลตกลงมามากมาย มีมหาวาตลมอ่อนละเอยี ดค่อยพดั มาเร่ือยๆ เยน็ นอ้ ยเฉ่ือยชนื่ สบาย มนษุ ย์นกิ รทง้ั หลายกส็ โมสรช่นื ชมยินดี อนง่ึ ย่อมมเี สียงองึ มแี่ ห่งหตั ถีโปดก ลูกชา้ ง และอัสสโปดกลูกมา้ ทั้งสองรอ้ งโกญจนาท ทั้งสกุณชาตทิ ้งั หลาย ก็มาบนิ วะ่อนร่อนร่าปราโมทยย์ นิ ดี สาย อสนุ ฟี ้าแลบแปลบปลาบไปทัว่ ทศิ า มกี ลิ่นมหาเมฆมากมายกวา่ หมน่ื พันสสี นั ต่างๆ บา้ งก็เขยี ว บา้ งก็เหลอื ง บ้างก็แดง บ้างก็ขาว บา้ งก็เปน็ สีหงสบาท มสี ีออ่ นแซมซ้อนสลบั กนั พลันก็มคี ฤโฆษออื้ องึ กกึ กอ้ งไปด้วย เสยี งฆอ้ งกลองสวรรค์ บงั เกิดเปน็ มหันตนมิ ิตเอนกจะนับจะประมาณมไิ ด้! เมือ่ จตทุ ปี กะมหาเมฆนบี้ นั ดาล ฝนตกลงมา ฝ่ายมนษุ ย์นกิ รแลส่าำ สัตวท์ ้งั หลายทั่วโลกา เห็นฝนตกลงมาท่ีโกรก ตรอกซอกธาร ละหานห้วย หนองคลองบึงบางบ่อและสระ ทุกสถานทีเ่ ตม็ เป่ยี มด้วยนำา้ และทั่วพ้ืนปฐพแี ผน่ ดนิ ชุ่มคลำ่าไปด้วยตน้ ไม้ใบ หญ้าใหญ่น้อยเขยี วชะอมุ่ เปน็ คราบอยู่ดรู ่มเยน็ หมมู่ หาชนครั้นได้เหน็ กาลนี้ กย็ อ่ มจะมีความร้อู นุมานด้วย ปญั ญาไดว้ ่า \"ฝนนี้เป็นฝนห่าใหญ่ ตกลงมาแล้วหนอ\" ขอ้ น้ีมอี ุปมาฉนั ใด สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า่ เม่อื เสด็จมาอุบตั ิและตรัสพระปรมาภเิ ษกสมั โพธิญาณในโลก เรานแ้ี ลว้ องคพ์ ระประทปี แกว้ ก็ทรงยังธรรมเมฆใหต้ กลงมาเหมือนกนั ด้วยวา่ สมเดจ็ พระอรหนั ต์สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงยงั โลกสวรรค์และโลกมนษุ ยใ์ หเ้ อิบอิม่ เกษมสานต์หรรษาดว้ ยห่าฝนคอื อมตธรรม สาำ่ สตั วท์ กุ แหล่งหลา้ เมอื่ ถกู หยาดหา่ ฝนของพระองค์ราดลงในดวงจิต บางหมูก่ ็สถติ ตั้งอย่ใู นไตรสรณคมน์ และศลี ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ บางหมูก่ ็บวชเปน็ พระภิกษุภาวะในพระบวรพุทธศาสนาทรงพระปาติโมกขส์ งั วรศีล บางหมผู่ มู้ ี วาสนามไิ ด้บรรลถุ ึงธรรมวิเศษ สำาเรจ็ เป็นพระอรยิ บุคคลชั้นพระโสดาบนั ชั้นพระสกติ ทาคามีและชน้ั พระ อนาคามี บางหมมู่ วี าสนาสงู สุด จัดเป็นพทุ ธบตุ รผุ้วิเศษ ไดบ้ รรลธุ รรมวิเศษเปน็ พระอรหนั ตอ์ รยิ บคุ คลพ้น จากราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทฐิ ิ กาำ จัดเสยี ซง่ึ เครือลดากลา่ วคือความยินดีในกามคุณ ๕ ประการ ให้พนิ าศ ขาดจากสันดาน บรรลพุ ระนพิ พานอนั เกษมสานต์สิน้ ทกุ ข์ทงั้ มวล เช่นนี้เป็นจาำ นวนมากกว่ามาก

234 ครัน้ สมเดจ็ พระผู ู้มีพระภาพอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจ้าทรงยงั ธรรมเมฆให้ตกลงมา ใหป้ ระชาสตั ว์ได้รับอมต ธรรมชุ่มฉาำ่ ในดวงหฤทัยอย่างนี้แลว้ ก็เสดจ็ ดบั ขนั ธป์ รินิพพานลว่ งไป ฝ่ายบัณฑติ ชนคนมีปญั ญาในสมยั หลังตอ่ มา ได้เหน็ วารีคอื ธรรมของพระชนิ สีห์ อันเกดิ จากธรรมเมฆห่าฝน ยังเปยี่ มล้นปรากฎอยใู่ นโลกา กส็ อู้ ุตสา่ หป์ ฏบิ ัติตามพระโอวาทานุสาสนีจนสามารถทจี่ ะนำาเอาธรรมวารี นน้ั มา ดม่ื กนิ แตพ่ อกระแสสินธุค์ อื อมตธรรมนั้นตกลงถงึ ดวงฤทัยกพ็ ลนั ให้เกดิ มหำศั จรรย์ใจ เป็นล้นพ้น ถึง แมว้ า่ ตนจะเกดิ มา ณ โอกาสสุดท้ายภายหลงั มทิ ันได้เหน็ สมเด็จพระพทุ ธองคเ์ จ้ากต็ าม แต่เม่อื ไดด้ ่มื อมต ธรรรม มธี รรมวารีซาบซา่ นอยูใ่ ในหฤทัยบดั นี้ ย่อมจะอนมุ านได้ด้วยปัญยาเป็นอนั ดวี ่า \"โอ้หนอ! ธรรมวารี อนั เปน็ อมตรสนี้ ใครผู้ใดฤา จกั สามารถใหป้ รากฎมขี ้ึนได้ นอกจากพระผหู้ ่างไกลจากกองกเิ ลสคือองค์ สมเด็จพระโลกเชษฐสัมมาสมั พทุ ธเจา้ องค์เดียวเทา่ น้ัน สมเดจ็ พระภควนั ต์ทรงยงั ธรรมเมฆให้ปรากฎแล้ว ประทานอมตธรรมคือฝนหา่ ใหญ่ สำาหรบั ดับไฟ คอื กองทกุ ขข์ องส่ำาสัตว์ในโลกนี้ โอ... สมเดจ็ พระผู้มพี ระ ภาคอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงอุบตั ขิ นึ้ ในโลกนจ้ี รงิ แลว้ หนอ\" ดงั นี้ ฝา่ ยผทู้ ีม่ บี ุญนอ้ ยดอ้ ยวาสนา หรอื ผู้ทมี่ ปี ัญญาโฉดเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะ ไมเ่ หน็ คณุ คา่ พระพุทธ ศาสนา แมว้ ่าธรรมวารอี ันเกิดจากธรรมเมฆ ยังปรากฎอยู่เปี่ยมล้นเต็มโลกอยูข่ ณะนี้ แทนท่จี ะเกดิ ปติ ิยินดี รบี วกั รีบตักมาด่ืมกนิ ใหร้ รู้ สกระแสสินธ์ุ คอื อมตะรรมว่าลาำ้ เลศิ วิเศษสุดปานใด แตก่ ็ให้มัวเมาตกอยใู่ น ความประมาท ขาดการปฏิบัตติ ามพระโอวาทานุสาสนี เมอ่ื ไ่ม่มกี ารปฎบิ ตั คิ อื การกระทำาแลว้ ปฏิเวธความ ดี การบรรลุธรรมวเิ ศษอนั เปรยี บเสมือนการนำาเอาธรรมวารมี าอาบใจหรอื ดม่ื กนิ ใหร้ ู้ รส จกั มไี ด้แตท่ ่ไี หน เม่ือไม่รูร้ สธรรมวารี กย็ อ่ มเป็นทีแ่ นน่ อนเหลอื เกนิ คน โซปญั ญาทรามเหลา่ นี้ จกั ไม่มโี อกาสไดม้ องเหน็ ความสามารถแห่งองคส์ มเดจ็ พระบรมศาสดาจารย์เจา้ พระองคผ์ ู้ทรงบนั ดาลธรรมเมฆยงั ธรรมวารใี ห้ ตกลงมาในโลกนไ้ี ดเ้ ลยอยา่ งแน่นอน คราใด ทอี่ นุสรณถ์ ึงพระพุทธศาสนา กม็ กั ให้มวี จิ กิ จิ ฉาความสงสยั ผุดขึ้นในใจอยู่เสมอว่าพระพทุ ธเจา้ ปรากฎขนึ้ แล้วจริงฤา?

235 ธรรมนที ธรรมดาว่าคงคาทงั้ หลาย ย่อมไหลมาแต่ปา่ เขาใหญแ่ ล้ว และไหลหลงั่ ลงมาทางพืน้ ภมู ภิ าคฝา่ ยใตล้ งสู่ มหาสมุทรทะเลใหญใ่ นคราวทมี่ หาเมฆ มโหฬาร บันดานฝนใหต้ กลงมาเป็นห่าใหญ่ ทว่ มบอ่ สระสถานที่ทัง้ หลายแล้ว ก็เปน็ นำ้าป่า พัดพาเอาขอนไม้ใหญ่นอ้ ย และรากใบเป็นสวะลอยไป สัตวจ์ ตุบท ทวิบาทท้งั หลาย เชน่ แมลงปอ ตะขาบ มด หนู งู พังพอน สุนขั กระตา่ ยและเสือปา่ เปน็ อาทิ ก็พากนั หนอี ุทกภยั ขึ้นไปอาศยั บน ดอย สัตวท์ ่มี กี ำาลังน้อยนา่ สงสารหนีไมพ่ ้น นาำ้ ฝนก็ทว่ มตายและไหลพัดพาไปสมู่ หาสมุทร ใชแ่ ตเ่ ทานั้น อุทกขนั ธ์คือหว้ งนา้ำ อนั มีกระแสเชี่ยวแกร่งกลา้ เป็นน้าำ ป่ายงั พัดพาเอาสง่ิ โสโครกบรรดามีใหไ้ หลไปหมดสน้ิ ชำาระทอ้ งถนิ่ ผนื ปฐพใี ห้สะอาดหมดลามก และนำา้ นัน้ กไ็ หลไปสู่มหาสมทุ รจนแหง้ หมดไมเ่ หลอื เลยในไมช่ ้า นาน กาลตอ่ มา มนุษยน์ ิกรได้สญั จรมา ณ ประเทศทน่ี ั้น ครั้นได้เหน็ คราบนา้ำ ปมุ่ เปอื กติดอยู่ตามกอหญา้ และ ตามยอดไม้ และเห็นรวงรงั ของสัตวท์ ่เี คยอยูพ่ ้ืนดิน มนั ขึน้ ไปทาำ รงั อาศยั อยตู่ ามเชงิ ซุ้มพุ่มไมอ้ นั เป็นท่ีสูง ก็ ยอ่ มจะจงู ใจใหเ้ กดิ ความคดิ อนมุ านด้วยปญั ญาแห่งตนโดยไมต่ อ้ มีใครบอกกไ็ ด้ว่า \"นนั่ แน่ ท่นี เ้ี คยมีหว้ งนาำ้ ไหลมาท่วมแลว้ ดซู .ิ ..ทีก่ อหญ้ากม็ คี ราบน้ำา หรือทีย่ อดไม้กม็ ีคราบนาำ้ ทว่ มขึ่้นไปถงึ สกุณปี กั ษชี าตไิ มอ่ าจ อยพู่ ื้นท่ตี าำ่ ได้ อตุ ส่าหข์ น้ึ ไปทาำ รงั อยบู่ นตน้ ไมส้ ูง ต้องมคี งคาสายน้าำ ป่าใหญ่ไหลผา่ นประเทศที่น่ีแล้วเป็น แม่นมน่ั \" ข้อความทเ่ี สกสรรมาน่มี ีอุปมาฉันใด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารยเ์ จา้ เม่ือได้ตรัสร้สู าำ เรจ็ พระปรมาภิเษกสัมโพธญิ าณแล้ว องค์พระ ประทปี แก้วกท็ รงยงั ธรรมนทสี ายนำ้าคือธรรมอันโอฬารย่ิงใหญ่ ให้หลัง่ ไหลออกมาจากพระโอษฐส์ าำ เรจ็ เปน็ พระพุทธพจน์รวมกนั ทง้ั หมดมจี ำานวน มากมายถงึ ๘ หมืน่ ๔ พันพระธรรมขันธ์ ก็ธรรมนทขี องพระองค์นัน้ เม่ือไหลมาโดยลาำ ดับกนั ย่อมไหลลงสู่ สาครปากอา่ ว กล่าวคอื พระนพิ พาน ซึ่งเป็นสถานที่ปจั จยาการ ประชมุ ตกแต่งมิได้ มิรู้แก่ มริ ตู้ าย มสี ภาวะเปน็ สุขสบายยิ่งนกั หนา ด้วยวา่ เมื่อสมเด็จพระมหากรณุ าสัมมา สัมพุทธเจา้ ทรงยังธรรมนทใี หห้ ล่งั ไหลอยนู่ ้ัน ก็ทรงยงั โพไธยยกสัตว์ท่ไี ดส้ รา้ งบารมมี าแก่กลา้ สมบรู ณ์ ให้ ได้รู้ธรรมวิเศษสาำ เร็จกิจแหง่ พรหมจรรย์ ทรงยงั ชาวโลกสวรรคห์ มู่อมรแลมนษุ ยน์ ิกร ใหอ้ มิ่ เอบิ ด้วยธรรม ปติ ิเป็นอนั มาก ให้กำาัจดั เสยี ซ่ึงราคะ โทสะ มานะ และมักขะคือความกระด้าง หลคู่ ุณทา่ นผูอ้ ่ืน

236 ด้วยสันดาลพาลเขลาคิดวา่ ตนดีกว่า และให้กามคุณอารมณ์เป็นทส่ี ุขสบายน่าพอใจชอบใจ พยาบาทความ ยินร้ายไม่พอใจในอารมณท์ ไี่ ม่ถกู กบั ใจตน สักกายทิฐิ ความเขา้ ใจผดิ ในรูปนามวา่ เปน็ ตวั ตน อนั เปรยี บ เสมือนหอกปักอก ใหว้ งเวียนวา่ ยตายเกดิ ในวัฏสงสาร วจิ ิกจิ ฉาความลังเลสงสยั ไมเ่ ชื่อลงไปไดใ้ นพระ รตั นตรยั คอื พระพทุ ธรตั น์ พระธรรมรตั น์ พระสังฆรตั น์ และตัณหาอนั รกชัฏ มไิ ใช่น้อยให้ลอยเสียซ่ึงอกศุ ล ธรรมปาปกรรมอนั พลิ ึกต่างๆ ให้ล่วงเสียซง่ึ เปอื กตม กลา่ วคอื โมหะ มานะ และลาภสกั การะ ใหเ้ ปลื้องเสยี ใหพ้ ้นจากอกศุ ลทงั้ ปวง ให้ล่วงพ้นจนถงึ เป็นพระอรหันต์ในท่ีสุด สมเดจ็ พระพุทธเจ้าทรงยงั ธรรมนที ใหไ้ หล หลงั่ พัดพาประชาสตั วไ์ ปสู่นิพพานสาครแล้วองค์สมเดจ็ พระชนิ วรกเ็ สด็จ ดบั ขนั ธป์ รนิ พิ พานไป ฝา่ ยบัณฑิตชนคนมีปัญญาซึ่งเกดิ ในสมยั หลงั ตอ่ มา คร้ันไดเ้ หน็ รอยธรรมนทขี องสมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญู เจา้ นนั้ แล้วกด็ ใี จดัง ได้แก้วไมป่ ระมาทชกั ชา้ ใหเ้ สียเวลา ด้วยเกรงว่า ตนนี้เกิดมาจะเสียชวี ติ เกิดเสียเปลา่ เฝ้าอุตสาหะปฏิบตั ดิ ำาเนิ นิ ตามรอยธรรมนมทนี ้ันไปมไิ ดเ้ ห็นแก่การเหนื่อยยาก พยายามถอนตนจากเปอื ก ตมโคลนเลน คือโมหะ มานะ และลาภสักการะค่อยดาำ เนนิ ไปๆ แลว้ ในท่ีสดุ เมื่อมาถึงปากอา่ วเห็นนพิ พาน สาครเขา้ กใ็ หต้ ะลงึ งนั อัศจรรย์เป็นลน้ พน้ อุทานออกมาวา่ \"โอ้หนอ นิพพานสาครนแ่ี สนมหศั จรรย์นกั ใคร เล่าหนาจกั เปน็ ผู้สามารถมาพบมาเจอก่อนเปน็ คนแรกได้ นอกจากสมเดจ็ สัมมาสัมพทุ ธเจ้าแล้วเปน็ ไมม่ ี สมเด็จพระชนิ สหี ์ทรงพบแลว้ ทรงแสดงธรรมนทีพดั พาให้สตั ว์ท้ังหลายมาถึงนิพพาน สาครนแ่ี ล้วโดยมาก บดั นี้หากพระองคด์ ับขันธ์นพิ พานแล้วกจ็ รงิ แต่ส่งิ สำาคญั คอื รอ่ งรอยแห่งธรรมนทียังมอี ยู่ ผูใ้ ดปฏิบัตติ าม ธรรมนทแี ลว้ ต้องมาถึงพระนพิ พานสาครน่แี น่นอน โอ้...อัศจรรยแ์ ท้ พระผู้ปล่อยกระแสธรรมนที คือองค์ สมเดจ็ พระชินสหี ์ สัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทรงอบุ ัตขิ น้ึ แล้วในโลกจรงิ เป็นแม่นมน่ั \" ฝ่าย มจิ ฉาทฐิ ิชนและคนท่มี ปี ัญญาโฉดเขลาทัง้ หลาย ซ่ึงเปน็ ผมู้ ีบุญนอ้ ยดอ้ ยวาสนา มดี วงตาเสียเปลา่ แต่ หามีแววไม่ ไร้ปญั ญามองไมเ่ หน็ คณุ ค่าอันประเสรฐิ ของพุทธศาสนา แมว้ ่าขณะนี้ รอยธรรมนทีแห่งพระพทุ ธ องคเ์ จา้ ยังปรากฎอยู่ในโลกนี้ แทนทจี่ ะรบั ดาำ เนินตามไป ดว้ ยการปฏิบตั ิตามพระโอวาทานุสาสนี ก็ใหม้ ีอัน เป็นเกดิ ทฐิ ิวบิ ตั ิ มคี วามเหน็ ขดั ๆ ขวางๆ ไปว่า \" พระพทุ ธศาสนามไิ ด้เป็นนยิ ยานกิ ธรรม คือนำาสตั ว์ออกจาก ทุกข์มไิ ด้ ไม่ควรทีใ่ ครจะปฏิบัตติ ามใหเ้ หน่อื ยยากไปเปลาๆ นพิ พานอะไรกันเลา่ ? นิพพานไม่มี

237 ท่วี า่ พระนิพพานๆ นั้น มันเป็นเพียงสภาวะเหลวไหลอยา่ งหนงึ่ ซึง่ ใครคนไหนกไ็ ม่รู้ในยคุ กอ่ น บญั ญตั ชิ ื่อขึน้ แล้วสอนว่าเปน็ สุขสบาย เพื่อใหค้ นทั้งหลายปฏิบัติตามไปอย่างโงง่ มงายเท่านน้ั เอง ตัวเราอยู่ทุกวันนีก้ ็สุข สบายดีแลว้ จกั ต้องไปแสวงหาสวรรค์นิพพานอะไรที่ไหนกนั อกี เล่า\" เมอื่ โง่เขลาเบาปัญญาไปเสียเชน่ นี้ ศรทั ธาทจี่ ะดำาเนนิ ตามรอยธรรมนทีก็ยอ่ มไม่มีที่สุดในชาตนิ ้ี ก็ไม่มโี อกาสได้เหน็ ปากอา่ วแหง่ ธรรมนที คอื พระนิพพาน ชวี ิตก็เปน็ หมันไปชาตหิ นงึ่ เม่อื ถึงคราวส้นิ ชีพตายไปจากโลกนี้ หากยงั มดี วงจิตเฝา้ ดถู ูกดหู มน่ิ ธรรมนทีแห่งองคส์ มเด็จพระชินสหี เ์ จา้ ว่าไมเ่ ป็นนิยยานกิ ธรรมแลว้ ไซร้ ผ้บู า้ ใบต้ าบอดเพราะทฐิ วิ บิ ตั ิเหลา่ นี้ ยอ่ มมีคตไิ ปอุบตั ใิ นดริ ัจฉานภูมิ คือเกดิ เป็นสัตวเ์ ดรจั ฉาน เพราะมีจติ สนั ดานมากไปด้วยโมหะกเิ ลส ถงึ ขน้ึ น้ีแลว้ ก็จะอาเพศวปิ รติ ไปกันใหญ่ คอื การทเ่ี ขาจะได้มีโอกาสเหน็ พระคุณแห่งองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ น้ัน ย่อมเปน็ โอกาสสดุ แสนจะยากนกั กจ็ ะไมย่ ากอยา่ งไรได้เล่า เพราะเขาพลาดท่าเสยี ไปเกดิ ใน ภูมทิ ่ีตาำ่ ทรามซ่ึงมสี ันดานโง่นหั นา ไม่รู้พระพุทธฎกี าอนั เป็นภาษามนษุ ยเ์ สียแล้ว อยา่ งนี้ก็ไม่แคลว้ ท่จี ะมี วิจกิ จิ ฉาเกดิ ความสงสยั ไปอกี นานไม่รู้ว่ากช่ี าติ ตอ่ กชี่ าติวา่ พระพทุ ธเจ้านั้นมจี ริงฤา! พระพทุ ธสีหนาท ธรรมดาพญาไกรสรสหี ราช ย่อมมีนสิ ยั ใจคอองอาจ มไิ ดเ้ กรงกลวั ภัยอนั พลิ ึก มิได้สะด้งุ ตกใจหวาดเสยี ว มิได้มขี นพองสยองเกล้าแตป่ ระการใด เป็นสัตวโ์ ลกที่มีโลหิตและเน้อื แห่งสตั ว์อ่ืนบรโิ ภคเปน็ ภักษาหาร มี กายใหญโ่ อฬารลักษณะไพบูลยบ์ วรยงิ่ มีสร้อยเกษรเปน็ แถวตามคอ มขี นลายพรอ้ ยเปน็ วงเวยี นทกั ษิณาวฏั เกิดมาเป็นอภชิ าติ สตั วท์ ั้งหลายให้หวั่นไหวพรน่ั พรงึ มอิ าจประทุษร้ายได้ เพราะว่าพญาไกรสรสหี ราชนน้ั เป็นมฤคาธบิ ดี หม่มู ฤคีทง้ั หลายไม่วา่ ใหญ๋และนอ้ ยแตม่ าตราสลบซบทรดุ อยกู่ ับที่ ด้วยเกรงเดชแห่งพญา ราชสีห์น้ันเปน็ กาำ ลงั อีกประการหนงึ่ พญาไกรสีหราชนนั้ ปกติประกอบได้ด้วยกาำ ลงั ทง้ั ประกอบไปดว้ ย อุตสาหะพยายามซ่ึงจะหาสตั วอ์ ่นื เสมอเหมือนมไิ ด้ ยอ่ มอาศัยอย่ใู นไพรสณฑอ์ นั สงดั เสพซ่งึ มฤคชาตเิ ป็น อาหาร ยามเม่อื สายณั ห์สมยั เพลาเย็นย่าำ สนธยา ราชสีห์ก็ลีลาออกจาทีอ่ ยอู่ าศยั เหลียวแลไปมาท้ัง ๔ ทิศ

238 แลว้ ก็คอ่ ยเขา้ ไปแอบอย่ใู นท่ีกาำ บงั อนั ใหญ่ เมอ่ื จะสาำ แดงภยั เบยี ดเบยี นฆา่ เสยี ซ่งึ สัตวท์ ัง้ หลาย หรือจะยงั พนื้ ธรณีดลให้กึกกอ้ ง กบ็ นั ลือออกซึง่ ศพั ทส์ าำ เนยี งเป็นสีหนาทรื่นเรงิ บันเทงิ ใจ ขณะเม่อื ราชสหี ์บนั ลือ สีหนาทออกไปน้นั พลนั สตั วท์ ้งั หลายซง่ึ อยใู่ นป่าก็ดี ในคหู าถาำ้ ท้งั หลายกด็ ี หรือในที่อื่นๆ ก็ดี ย่อมมีความ สะทกตกใจหวนั่ หวาด แม้สกณุ ชาตินกหน่งึ กำาลังผกโผผินบินอยู่บนอากาศ กต็ กลงมายงั พ้นื ปฐพี สตั วส์ ่เี ทา้ สองเทา้ เปน็ จตบุ ทวิบาทก็มิอาจจะควบคุมตนให้เปน็ ปกตไิ ดย้ อ่ มสยบซบล้มลงกบั ท่ี ครานัน้ มนษุ ยน์ ิกรซง่ึ สัญจรเทย่ี วไปในอรญั เมื่อไดป้ ระสพการณ์เหน็ ฤทธิร์ าชสหี น์ ั้นแลว้ ย่อมจกั ตอ้ งเขา้ ใจโดยอุปมานได้ดว้ ย ปญั ญาตนวา่ พญาไกรสรราชสีห์นม้ี ีกำาลงั อานุภาพมากยง่ิ นักหนา ความอุปมาทวี่ า่ นฉี้ นั ใด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารยเ์ จ้า แห่งเราท้งั หลายน้ี พระองคท์ รงมีภัยอนั พิลกึ ไมเ่ หลอื ตดิ ใน พระหฤทัย มิได้บงั เกิดตกพระทัยกลัว และพระโลมาของพระองค์มไิ ดล้ กุ ชันหวั่นไหวในที่ทกุ สถานในกาลทกุ เมอ่ื เพราะวา่ ทรงประกอบไปดว้ ยพระบารมีเป็นอนนั ตคณุ อดุลลา้ำ เลิศประเสรฐิ สุด ซึ่งจะหาส่งิ ที่จะชงั่ ตวงให้ เทา่ พระคณุ บารมีแห่งสมเด็จพระชนิ สีห์ พระพทุ ธเจา้ นั้นหามไิ ด้ ดว้ ยว่าพระองคท์ รงสง่ั สอนสตั ว์ทงั้ หลายให้ ลถุ ึงคุณวเิ ศษ สามารถทจี่ ะนำาตนให้พน้ จากทุกข์ภัยในวฏั สงสารได้หรอื แมอ้ ย่างน้อยกใ็ ห้ตั้ง อย่ใู นไตร สรณคมน์เปน็ ตน้ เพราะองค์สมเดจ็ พระทศพลสมั มาสมั พุทธเจ้าเอง กท็ รงบรรลุพระวมิ ิตเศวตฉตั ร ครองสพั พญั ญตุ ญาณสมบัตใิ นโลกุตรราไชยศวรรย์มพี ระกายประกอบดว้ ยลกั ษณะอัน วิจิตร พระองค์สถิตอยใู่ น วิโมกข์และพระนิโรธธรรมทรงมปี กตสิ นั โดษซอ่ นเรน้ ในป่าชัฎ คือพระองคส์ ถติ อยใู่ นปา่ อันสงัดเงียบ ครา เมื่อเสด็จออกจากพระพทุ ธศาสยั พระองคย์ อ่ มประกอบไปด้วยพระญาณอันองอาจเสด็จเข้าไปในท่ามกลาง พุทธบริษทั ด้วย พระพทุ ธลลี าสงา่ งามนกั ไมม่ ีเสมอสอง แล้วทรงบนั ลือซึง่ ศพั ทส์ ำาเนยี งทาำ นองพทุ ธสหี นาท กลา่ วคอื ทรงประกาศพระสัทธรรมโปรดมนษุ ยน์ ิกรร และเหล่าเทพยดาให้มจี ติ ผ่องใสบรสิ ทุ ธิ์ ทรงจุดประทีป คอื ดวงปญั ญา ใหเ้ กิดแกส่ าวกผฟู้ ังทั้งหลายเป็นอันมาก หากผู้ใดมีวาสนาบารมีอบรมมาแก่กล้าบริบูรณ์ แลว้ กไ็ ม่แคลว้ ทจี่ ะได้ด่มื อมตรสพบเห็นบัญยธรรมขององคส์ มเดจ็ พระ สัมพทุ ธสพั พญั ญผู ้ปู ระเสรฐิ สว่ นว่า มนษุ ยผ์ ใู้ ดเกดิ มา ถือม่นั ในมจิ ฉาทฏิ ฐิ ๖๒ ประการ มีสสั สตทิฐิแลอุจจเแททฐิ เปน็ ต้นอนั รา้ ยกาจครั้นไดฟ้ งั

239 พระพุทธสีหนาทแลว้ เขาก็ละเสยี ได้ซง่ึ ทิฐิอนั รา้ ยน้นั สว่ นพวกทีม่ ที ฐิ อิ นั มัน่ คงแรงกล้า ต้ังหน้าท่ีจะเปน็ คู่ แขง่ แห่งพระทศพล ตง้ั ตนเป็นครเู จา้ หมู่ทัง้ หลาย เช่นศาสดาทงั้ ๖ คือ ปรู ณกัสสป๑ มกั ขลิโคสาล๑ อชิตเกส กมั พล๑ ปกุทธกจิ จายะนะ๑ สญั ชัยเวฬัญบตุ ร๑ นิครนถ์นาฏบตุ ร๑ ซึง่ ตงั้ ตนเปน็ ศาสดาสง่ั สอนสาวกใหเ้ ป็น มิจฉาทิฐเิ ปน็ อันมาก หากบงั อาจมาคดั ค้านพระพทุ ธวจนะในคราใด ครน้ั ไดฟ้ ังพระพทุ ธสีหนาทบันลืออก ก็ มีหฤทยั หว่ันไหวกลับกลอกสยบซบอยู่ มอิ าจท่จี ะคิดตอ่ สตู้ อบโต้พระพทุ ธภาษิตได้ กห็ ลบเร้นซุ่มซ๋อนอยู่ ส่วนสาวกของสมเด็จพระบรมครเู จ้านนั้ คร้นั ได้ฟงั เสียงบันลอื พระพุทธสีหนาท กบ็ งั เกดิ ประสาทะเสอื่ มใส พยายามปฏบิ ัตติ ามไป กไ็ ด้ได้บรรลวุ มิ ุตธิ รรมนาำ ตนออกจากทุกขไ์ ด้เป็นอันมาก สมเดจ็ พระผูม้ ีพระภาค เจ้าแห่งเราทง้ั หลายนัน้ คร้นั พระองคบ์ นั ลอื พระพุทธสีหนาท คอื ประกาศพระสทั ธรรมเทศนาไว้ในโลกเชน่ นี้ แลว้ ก็เสดจ็ ดับขนั ธ์ปรินพิ พานล่วงไป ฝ่ายบัณฑติ ชนคนมปี ญั ญาท้ังหลาย ซึง่ เกิดในสมยั ตอ่ มาครั้นได้ยินพระพทุ ธสหี นาท คอื พระโอวาทานสุ าสนี อันประกาศสัจธรรมขององค์สมเดจ็ พระสัมพทุ ธเจ้า ซึง่ มีผู้ป่าวประกาศสืบกนั มากอ้ งโลกอยู่ ใครจ่ ะรูร้ สอมต ธรรม ก็พยายามปฏิบตั ิตามพระโอวาทานสุ าสนีด้วยดวงฤดีเล่ือมใสศรทั ธาเช่อื ม่นั ครัน้ ได้ดื่มอมตรสสมดัง พระพทุ ธพจนท์ ่ที รงประกาศไว้ กใ็ ห้ตะลึงงนั อัศจรรย์ใจในพระสพั พุญญตุ ญาณ อทุ านออกมาวา่ \"โอ้...พระพทุ ธสีหนาท คอื สัจธรรมอนั ล้าำ ลกึ กนั ใครผใู้ ดเลา่ หนาที่จกั มีปญั ญาประกาศไว้ได้ นอกจาองคพ์ ระ สัมมาสัมพุทธเจ้าผทู้ รงไวซ้ ึง่ พระสัพพัญญุตญาณแลว้ ไซรเ้ ป็นอัน ไม่มี สมเด็จพระชนิ สหี ์สัมมาสมั พทุ ธเจา้ อุบัติในโลกจริงเป็นแม่นม่นั แล้วหนอ\" ฝา่ ยผูท้ ี่มีบุญนอ้ ยด้อยวาสนาและมีปัญญาโฉดเขลาเต็มไปดว้ ยทิฐมิ านะ แมพ้ ระพุทธสีหนาทคือพระ สจั ธรรมคาำ สง่ั สอนอขงสมเด็จพระชนิ วรพทุ ธเจ้า ยิ่งกึกอ้ งคฤโฆษอยู่เชน่ นี้แล้วกเ็ ป็นผูม้ ที ิฐิวิบัติ คือถกู ทิฐิอัน รา้ ยกาจมาปดิ โสตประสาทของตนเสยี กลายเปน็ คนหหู นวกไมส่ ามารถท่ีจะรับฟังพระสทั ธรรมได้ เมอื่ ไมไ่ ด้ ฟังพระธรรมเทศนา การปฏิบตั ติ ามเพอื่ ด่ืมรสอมตธรรมจกั มีแต่ทไี่ หน เมอ่ื ตนไมไ่ ด้ด่ืมรสอมตธรรม ก็เลย ไมร่ ฤู้ ทธ์ิแห่งพระสัพพัญญตุ ญาณว่าแสนลึกล้ำามหศั จรรยพ์ ิสดารเพยี งใด อยา่ งนีก้ ็ตอ้ งมคี วามสงสัยอยู่ ร่ำาไปว่า พระพุทธเจา้ ปรากฎขน้ึ แลว้ จริงฤา?

240 รอยพระบาท ยังมีพญาคชสารตวั หนงึ่ ซง่ึ ประเสรฐิ กว่าช้างท้ังหลายมกี ายสูงได้ ๗ ศอก ยาวได้ ๙ ศอก มีหางยาว มีปลาย เล็บขาว เป็นช้างมสี ีขาวดจุ สหี มอก มกี ายเตม็ ดจุ บ่ออนั มไิ ดพ้ รอ่ ง มอี ายตนะบรสิ ทุ ธิไ์ พบูลย์ แลดูดจุ จอมครี ี ทมี่ ีไมห้ นุม่ ๆ ขนึ้ สงู สล้างต่างชนดิ คชสารนัน่ วิจติ รงดงามเพราะมีเคร่อื งประดับผกู สอดกาย เปน็ เจ้าแห่งฝูง ช้างท้งั หลายทมี่ ีอยใู่ นธรณี เพราะมสี รรี กายใหญโ่ ต มีงาอันโอฬารงอนงาม สิริวิลาสดงั งอนไถ มกี ำาลังอาจ จะกำาจัดเสยี ไดซ้ ึง่ ปจั จมิตร มีฤทธิห์ ้าวหาญมากเช่ยี วชาญในการทจี่ ะโจนเทีย่ วไปในทศิ ต่างๆ พญาชา้ งนนั้ ยังหนมุ่ มกี ำาลังมากมายย่งิ นกั หนา ละเสยี ซง่ึ ท่ีอยู่แหง่ อาตมาเทย่ี วไปในไพรสณฑป์ ระเทศเพือ่ แสวงหา อาหาร กนิ หญา้ ใบไมแ้ ละถอนขึ้นมาทั้งรากด้วยบาทา โน้มนา้ วดว้ ยงวง ยงั แมกไมท้ ้งั ปวงเช่นกอไผ่ อ้อย เถาวลั ย์ และพนั ธ์พุ ฤกษาอน่ื ๆ ให้พินาศย่อยยับไปไมม่ ชี ิ้นดีในที่ท้งั สองขา้ งทางสัญจรเที่ยวไปมาตามสถาน ห้วยธารละหารเขาลำาเนาไพร มีรอยบาทาปรากฎทธ่ี รณีอ่อนๆ ครัง้ นนั้ หนมุ่ มนษุ ยน์ ิกรสัญจรเทยี่ วไป เมอ่ื ได้เหน็ รอยพญาคชสารตวั ประมาณ วิจติ รไปด้วยบุญลักษณอ์ ันต้องด้วยแบบอยา่ ง เพยี งแต่ไดเ้ หน็ รอยบา ทาพญาคเชนทรประเสริฐนั่นแล้ว ผทู้ ีม่ ปี ญั ญารอบร้ใู นลักษณะคชชาติ มาตรวา่ ไม่เหน็ ตวั จริงของพญา คชสาร ก็อาจอนมุ านเอาดว้ ยปญั ญาแลว้ บอกแกก่ นั ไดว้ า่ \"ดูกรชาวเราเอ๋ย พญาช้างใหญใ่ นป่าน้ีเห็นทีจะมี อยู่เปน็ ม่ันคง มีรอยบาทาปรากฎเปน็ พยานนอ่ี ยา่ งไรเลา่ \" อปุ มาที่ยกเอามานฉ่ี นั ใด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารยเ์ จา้ แห่งเราท่านทั้งหลาย พระองคก์ ท็ รงประเสริฐเหมอื นพญา คชสารนนั้ โดยวิเศษ ดว้ ยเหตุวา่ รอยพระพุทธบาทมลี กั ษณะวลิ าส เป็นมงคล ๑๐๘ ประการ ทรงประดษิ ฐาน ไว้เปน็ หลกั ฐาน แตป่ ระการท่สี าำ คญั นนั้ กค็ อื วา่ พระพุทธเจ้าแหง่ เราทัง้ หลาย ทรงความประเสรฐิ ต่างๆ ไมว่ ่า จะเปรยี บด้วยส่ิงไร มองในแง่ไหน กป็ ระเสริฐไปเสยี ท้ังนน้ั ถ้าจะเปรยี บว่าทรงเปน็ เหมือนกญุ ชร ฉัททนั ต์ พระองค์กป็ ระเสรฐิ กว่า ถ้าจะวา่ เป็นพญาไกรสีหราช พระองค์กท็ รงองอาจประเสรฐิ กว่า หรือจะว่าขา้ งบุคคล ทีท่ รมานอินทรยี ์ พระองคก์ ็ทรงเป็นบุคคลที่ทรมานอินทรีย์ยอดเยย่ี มประเสริฐกว่าวา่ ข้างบุคคล ผรู้ ะงับบาป

241 อกศุ ล พระองค์กท็ รงเป็นผู้ระงับบาปอกศุ ลยอดเยยี่ มกว่าคนอ่ืน คอื ประเสริฐกว่าจะว่าขา้ งบุคคลผปู้ ระกบ ดว้ ยอธษิ ฐาน หรือมีญาณมีเพยี รอตุ สาหะ มปี ญั ญา มฤี ทธานุภาพรุง่ เรอื ง มฌี าน มวี สีภาพชาำ นาญดี มียศ มีเดช มวี ิมุติ สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ นั้น ยอ่ มทรงประเสรฐิ กว่าทัง้ นั้น อน่ึง เม่ือจินตนาการถึงความเป็น อยา่ งประเสริฐในไตรโลก ไมว่ ่าจะเป็นสงฆ์ เป็นโยคี เป็นฤาษี เปน็ ครู เป็นนักปราชญ์ เปน็ พระยา เป็น ราชาธบิ ดี เปน็ เจา้ จอมปฐพี จักรพรรดริ าช เป็นเทวดา เปน็ ท้าวสักกะ เป็นพระพรหมผู้วิเศษ ประกอบด้วย สรรพธรรมสรรพคุณเป็นทพ่ี ่ึงอาศัย และให้สำาเร็จความปรารถนาแก่สรรพสตั วท์ ง้ั หลายได้ สมเดจ็ พระบรม ไตรโลกนาถเจ้า ยอ่ มทรงเปน็ ได้อยา่ งประเสรฐิ โดยประการทง้ั ปวงไมต่ ้องสงสยั ดว้ ยว่า พระองค์ทรงเปน็ พระบวรดนัย แห่งบรมกษตั ริยโ์ ดยพระชาติ แตแ่ ลว้ ก็ทรงมาละเสยี ซงึ่ กรงุ แก้วกบิลพสั ดุ์ ซึ่งเป็นเมอื งกษตั รยิ ์ เลิศด้วยวงศม์ หาสมมติ ละเสยี ซึง่ พระราชบุตรท่เี พ่ิงจะประสูตใิ นวันนั้น กบั สมบัติอนั ประกอบด้วยสตั ตรตั นะ ทั้งเศวตฉัตร พระองคก์ ็ตัดไม่อาลยั ใยดี เสดจ็ หนอี อกสมู่ หาภเิ นษกรมณ์อยใู่ นไพรสณฑส์ งัด แสวงหาซ่ึงวิชา ญาณอนั ประเสรฐิ อยู่แทบว่าพระชนม์ชพี จะวางวาย คร้ังสดุ ท้ายเม่ือพระองค์จะกาำ จัดเสยี ซึง่ ละอองธลุ ี กลา่ ว คอื กเิ ลสราคะ และจะทรงพรากเสยี ซ่งึ โมหะ มานะ วจิ กิ ิจฉา คือความมวั เมากระดา้ งและสงสัย อนั ตติ ามมา นานนกั หนา จะทรงถอนเสยี ซง่ึ เถาวลดา คอื ทิฐอิ นั รา้ ยกาจลามกสามานย์ จะทรงทำาลายเสยี ซึง่ เครอื วลั ย์ กล่าวคอื ความยินดใี นสิง่ ทชี่ อบใจท้งั ปวง จะตดั เสยี ซ่งึ โลภะกบั ทงั้ โทสะทัง้ หลาย จะหา้ มเสียซง่ึ ความเวยี น ว่าย อยูใ่ นกระแสตัณหา และจะทรงตดั เสยี ซง่ึ วติ ก จะปิดเสยี งซง่ึ มรรคาอนั ลามกเป็นมจิ ฉา จะทรงเปดิ ออก ซ่ึงมรรคาหนทางแหง่ อมตมหานพิ พาน ครง้ั น้ัน พระอังคีรสราชบรุ ุษ หนอ่ พทุ ธางกรู พระองคจ์ งึ เสดจ็ คมนาการ โดยมรรคาอนั เป็นสัมมาปฏบิ ัติคอื พระอฏั ฐางคิกมรรค กท็ รงบรรลถุ งึ ธรรมนคร สาำ เรจ็ แก่ สรรเพชญดาญาณทรงไดร้ บั การขนานพระนามเปน็ สมเดจ็ พระศรีศากยมุนี โคดมบรมไตรโลกนาถ ศาสดาจารย์ ครน้ั แล้วพระองคจ์ งึ ทรงประดษิ ฐานไว้ ซ่งึ พระโพชฌงควรพุทธบาทอนั ประเสริฐ ๗ ประการคอื ๑. สตโิ พชฌงควรพทุ ธบาท ๒. ธรรมวิจยโพชฌงควรพทุ ธบาท ๓. วิริยโพชฌงควรพุทธบาท ๔. ปิติโพชฌงควรพทุ ธบาท ๕. ปสั สัทธิโพชฌงควรพทุ ธบาท

242 ๖. สมาธิโพชฌงควรพทุ ธบาท ๗. อุเบกขาโพชฌงควรพุทธบาท อันวา่ โพชฌงควรพุทธบาท แหง่ องค์สมเดจ็ พระบรมศาสดาจารย์เจา้ ทัง้ ๗ ประการน้ัน มีพรรณแลลักษณะ อนั วจิ ิตรโสภา เป็นรอยพระพทุ ธบาททคี่ วรจะทอดทศั นา ควรจะยินดี ควรจะเสวยเชยชม ควรจะภิรมยป์ รีดา เป็นสิง่ ท่นี าำ มาซ่ึงความเกษมสวสั ดี เป็นสิง่ ท่กี ระทำาใหไ้ ม่มีภัย นาำ มาซง่ึ ความสบายอกสบายใจ กระทำามใิ ห้ เกดิ ความเสยี หายตกใจ กระทำาให้เกดิ ปรดี า ปราโมทย์ กระทาำ ให้มีอารมณแ์ นว่ แนเ่ ปน็ หนึ่ง เปน็ สงิ่ ทค่ี วรจะ จาำ เรญ และควรจะจำาเรญิ ด้วยดีย่งิ นัก ดว้ ยวา่ จะเป็นเหตุใหค้ วามสขุ ใหค้ วามเย็น ใหย้ ศ ใหก้ าำ ลัง ใหม้ สี สี นั พรรณงามให้มโี ภคสมบตั ิ ใหส้ ำาเร็จความใครท่ ี่ตอ้ งการ ให้สำาเรจ็ ความปรารถนาทต่ี ัง้ ไว้ รวมความวา่ สามารถจะให้สมบัติทั้งปวงแกบ่ ุคคลผูบ้ ำาเพ็ญทุกประการ อนง่ึ อันวา่ รอยพระวรพทุ ธบาทแหง่ องค์สมเด็จพระสัพพัญญูผูป้ ระเสริฐนั้น ยอ่ มทรงไวซ้ ง่ึ ความอัศจรรย์ ครอบงาำ เสยี ไดซ้ ่ึงรอยเทา้ อนั ประเสรฐิ บรรดามี ไมว่ า่ จะเป็นรอยเทา้ พญาไกรสรสหี ราชก็ดี หรือรอยเทา้ พญาคชาชาติ รอยเทา้ ม้าอาชาไนย รอยเท้าโคอสุภราช รอยเทา้ ยักษ์ รอยเท้าเจ้าลัทธิ เดยี รถรี ์ รอยเทา้ ศาสดาครสู อน รอยเท้าผ้มู เี วทย์ รอยเท้าเทพยดา รอยเทา้ พระพรหมผวู้ ิเศษ รอยเท้าผู้สงบระงบั แล้ว รอย เท้าฤษี รอยเทา้ มุนี รอยเท้าผู้ชำานะ รอยเท้าผปู้ ระเสรฐิ และรอยเทา้ แหง่ ทา่ นท่ีจัดว่าเป็นผ้อู ดุ มผู้เลิศกด็ ี รอย เท้าเหลา่ นี้ยอ่ มเปน็ รอง กลา่ วคอื ย่อมถกู รอยพระพุทธบาทครอบงำาทง้ั ส้นิ เพราะวา่ พระบาทแหง่ องคส์ มเดจ็ พระชินสีห์สมั มาสัมพุทธเจา้ น้ี เป็นรอยเทา้ ประเสรฐิ โดยวิเศษกวา่ รอยเทา้ ทัง้ ปวง เป็นรอยเท้าที่ถึงซ่งึ วิมตุ ิ ความหลุดพ้นอย่างสน้ิ เชิง เป็นรอยเทา้ ทบี่ รรลผุ ลสงู สดุ คือพระอรหัตอันทรงไว้ซ่ึงพระอรหาทิคุณ และรอย พระบาทสมเดจ็ พระบรมโลกนาถศาสดาเจ้าของเราทั้งหลายน้ี ยอ่ มเป็นทีแ่ สดงรอยพระบาทแห่งสมเด็จ พระบรมโลกนาถสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระองคผ์ ู้ทรงมรี อยพระวรพทุ ธบาทเปน็ มหัศจรรยด์ ่ังพรรณนามา คร้ัน ทรงประดิษฐานพระโพชฌงควรพทุ ธบาทอันประเสรฐิ สุดเสร็จสน้ิ แล้ว ก็เสด็จดบั ขันธ์นิพพานลว่ งไป ฝ่ายบัณฑิตชนคนมปี ญั ญาทั้งหลาย ซึ่งเกิดในสมยั หลงั ต่อมา คร้นั ไดพ้ บรอยพระพทุ ธบาท คือพระสตั ต

243 โพชฌงคน์ นั้ แล้ว กม็ ใี จผอ่ งแผ้วปราโมทย์ไปดว้ ยความเลือ่ มใส รบี ดาำ เนินตามรอยพระบาทไปไมช่ กั ชา้ ดว้ ย การปฏบิ ตั ติ ามพระโอวาทานสุ าสนี เมอ่ื มกี ารปฏบิ ัติชอบ ปฏเิ วธ ความบรรลคุ ุณวิเศษอนั เปน็ ผลของการ ปฏิบัตกิ ็ย่อมจะปรากฎตดิ ตามมา คราที่น้นั คนปฏิบัตดิ าำ เนนิ ตามรอยพระบาททง้ั หลายย่อมจะเกดิ ความ อัศจรรยใ์ จ ในวสิ ยั แหง่ พระสัพพัญญตุ ญาณวา่ โอ้... รอยพระบาทคอื พระสทั ธรรมอันสำาแดงหนทางพน้ ทกุ ข์ ถึงซ่งึ ความเกษมสานตค์ อื พระ นพิ พานน้ี ใครเลา่ หนาท่ีจกั มปี ํญญาสาำ แดงไว้ได้ ในไตรภพจบทง้ั สามโลกนี้เปน็ ไมม่ ี จกั มไี ดก้ ็ แตว่ สิ ยั แหง่ พระสพั พญั ญุตู ญาณเท่านนั้ สมเดจ็ พระภควนั ตบรมโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า พระองค์ผูท้ รงไวซ้ งึ่ พระสัพพัญญุตญิ าณอันประเสริฐ ได้ทรงอุบัตเิ กดิ ในโลกนจ้ี ริงแล้วหนอ ฝา่ ยผทู้ ม่ี ี ปญั ญาโฉดเขลา มัวเมาไปตามโลกธรรม ไมน่ ำาพาตอ่ คาำ บัณฑติ ไมค่ ิดทจี่ ะนาำ ตนหพ้ น้ จากทุกข์ภัย ในวฏั สงสาร เพราะเป็นพาลสนั ดานโงแ่ ลหย่งิ นักหนา ไมเ่ ห็นคุณคา่ แห่งพระพทุ ธพจน์ มพี ยศอนั ร้ายกาจคือ ทฐิ ิประจำาอยใู่ นดวงจิต ทง้ั ๆ ที่บณั ฑติ ชนทั้งหลายมีใจกรุณาชีบ้ อกใหร้ วู้ า่ \"พระโอวาทานุสาสนีของพระผ้มู ี พระภาคเจา้ ซง่ึ เสด็จดบั ขันธป์ รินพิ พานไปแล้วนั้น ยังมปี รากฎ อยู่เปรยี บเสมือนรอยพระบาทสำาแดง หนทางใหล้ ถุ งึ ความสุขเกษมสานตส์ วสั ดีแกผ่ ู้ ที่มศี รทั ธาปฏิบัติตามไม่ควรจะมีความประมาทในวยั และ ชวี ิตอนั เป็นอนิจจงั จงเชือ่ ฟงั และเรง่ รีบปฏิบตั ติ ามเพื่อความสุขสวสั ดขี องตนเถิด\" กเ็ กดิ คลุ้มคล่งั คดั ค้าน เอาตามสันดานพาล สดุ แตท่ ิฐอิ นั โงๆ่ ของตนจะบันดาลให้คิดไปตา่ งๆ ลว้ นแตอ่ ้างเหตุท่ตี นจะไมป่ ฏิบตั ิ ตามทงั้ สน้ิ เช่นวา่ \"พระพทุ ธศาสนาเป็นนยิ ยานกิ ธรรมนำาออกจากทุกขไ์ ด้จริงหรือ? พระนพิ พานและ มรรคผลอันเปน็ คณุ วเิ ศษทางพระพทุ ธศาสนามจี รงิ หรอื ? พระนิพพานเป็นสขุ จริงหรอื ? กแ็ ลว้ สขุ ท่เี ราได้ เสวยอยูใ่ นน้ีมใิ ช่สุขดอกหรือ? ทุกวนั นีย้ ังมบี คุ คลไดร้ รู้ สพระนิพพานจรงิ หรอื ? ตวั เรานับถือพระพุทธ ศาสนามานาน ก็ไม่เห็นไดร้ รู้ สพระนิพพานเลย พระนพิ พานท่จี ะปฏิบัตติ าม เมื่อการปฏบิ ตั ิดำาเนนิ ตามไม่มี ปฏิเวธ ความลถุ งึ คณุ วิเศษอนั เปน็ ผลของการปฏิบัตดิ าำ เนินตามไม่มี ปฏเิ วธความลถุ ึงคุณวิเศษอนั เป็นผล ของการปฏิบัติจกั มีแต่ท่ไี หน ผู้ตาบอดตาใสทาำ เป็นไมเ่ หน็ รอยพระบาทเหล่านี้ จึงไมม่ ีโอกาสได้พบอมตร ธรรมอนั ลำา้ ลกึ ขององคส์ มเด็จพระสพั พญั ญูเจา้ หนกั เข้า กเ็ ลยลามปามสงสยั ไปจนถึงวา่ พระพทุ ธเจ้ามีจรงิ ฤา?

244 อุปมา ที่พรรณนามาน้ี เป็นอุปมากถาที่กลา่ วไวเ้ พ่ือจักแสดงให้เหน็ วา่ องคส์ มเด็จพระบรมศาสดาจารยเ์ จ้า แหง่ เราทา่ นทัง้ หลายนัน้ ทรงอบุ ตั ิข้ึนแล้วในโลกอยา่ งเท่ียงแท้มิตอ้ งกังขากนั อกี ต่อไป และเมื่อพระองคไ์ ด้ ทรงอุบัตขิ ้ึนแล้ว กท็ รงบาำ เพ็ญพระพุทธกิจประดิษฐานพระบวรศาสนา ยังประชาสตั ว์ใหด้ ม่ื รสอมตธรรม พระพุทธเจ้าจริยาอย่างนี้ ยอ่ มเขา้ ถงึ ภาวะเปน็ อนัตพทุ ธคุณอยา่ งจริงแท้ไมต่ ้องสงสยั พรรณนาในพระอนันตพทุ ธคุณ สมควรทจ่ี ะยตุ ิลงได้แลว้ จงึ ขอยุติลงดว้ ยประการฉะน้ี.

245 อวสานบท เม่ือไดต้ ิดตามศกึ ษาเร่ืองมนุ นี าถทปี นมี า ตั้งแตต่ น้ จนกระท่ังถึงบดั นี้ ท่านผู้มีปัญญาก็คงจะเหน็ แลว้ วา่ การ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ จักเสดจ็ มาอุบตั ิตรัสในโลกเราน้สี กั พระองค์ หนงึ่ นั้น เป็นการยากนกั หนาและ พอพระองค์เสดจ็ มาอบุ ัติแลว้ ก็ยอ่ มทรงไวซ้ งึ่ พระคณุ เปน็ อนนั ต์ สุดจะนับจะประมาณไดจ้ รงิ หรือไม่ เพราะ สมเด็จพระผู้มพี ระภาคน้ัน พระองคท์ รงไวซ้ ึง่ พระคณุ ธรรมเป็นพิเศษ โดยทรงเทศนาโปรดสตั วโ์ ลกท้งั หลาย ให้พ้นจากภยั อนั ร้ายกาจในวัฏสงสาร ทรงประทานอมตธรรม คือพระนพิ พานสมบตั ิอนั เกษมสานต์ ปราศจากทุกขโ์ ดยประการทั้งปวงแกช่ าวโลกทงั้ หลาย สมแลว้ กบั พระนามาภไิ ธยทวี่ ่า สมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ องค์พระศาสดาจารย์เจ้าจอมมนุ ี ผูท้ รงเปน็ ท่พี ึง่ แห่งสตั ว์ทัง้ หลายในไตรโลก ปจั จุบันน้ี เราท่านทั้งหลายนบั ได้ว่าเปน็ ผมู้ โี ชคอยา่ งท่สี ุด เพราะบังเอิญเกิดมาได้พบพระบวรพุทธศาสนา แห่งองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ เขา้ โดยไม่คาดฝัน ใช่แต่เท่านน้ั ยังประกอบดว้ ยสัมมาทิฐิมคี วามเห็น อนั ถูกต้อง ประกอบรองรับเอาพระพทุ ธศาสนาไว้เหนือเศยี รเกล้า ยึดเอาเปน็ ทพ่ี ึง่ ของตนได้นามว่าเปน็ พุทธศาสนิกชนคนนับถือพระพุทธศาสนาจึง เปน็ อนั ว่าพน้ จากความวบิ ัตอิ ย่างใหญ่หลวง ๖ ประการ ตามท่ี กลา่ วมาในตอนตน้ โน้นแล้ว ยงั จำาไดใ้ ช่ไหมเล่า เม่อื เราเกดิ มาเป็นผูโ้ ชคดีมหาศาลในชาตนิ ี้แล้ว การที่จะนิั่งนอนใจตกอยใู่ นความประมาท ปล่อยใหโ้ อกาส แหง่ โชคลาภน้ี ผ่านเราไปเสยี เฉยๆ ยอ่ มเป็นการไมส่ มควรยง่ิ นกั ทางทด่ี คี วรจักเร่งรบี กอบโกยเอาสาระ สมบตั อิ นั มอี ยูใ่ นพระบวรพุทธศาสนา รีบคว้ารีบยึดเอามาเปน็ สมบตั ิแห่งตวั เราให้จงได้ กส็ มบัตใิ นพระบวรพุทธศาสนามีอยู่มากมายนักหนาเหลือที่จะพรรณนาให้สิ้นสุดลง ได้ แต่สมบตั หิ น่งึ นน้ั นบั วา่ เปน็ สมบัตสิ ำาคัญยอดเยยี่ ม เพราะเป็นสมบัติประเสรฐิ เลิศลำา้ สาำ คัญสูงสุดในพระพุทธศาสนา สมบัติที่ วา่ นี้กค็ อื พระนพิ พานสมบัติ ฉะนัน้ เราท่านทงั้ หลายกอ่ นที่จะตาย ควรทจี่ ะตื่นตัวเรง่ รบี แสวงหาพระนพิ พาน สมบตั กิ ันเถิด

246 ฮ!ึ ...ทาำ ไมถงึ ได้มีนำา้ ใจอหงั การ์ ออกปากวา่ จะเอาพระนิพพานสมบัตอิ ันสูงสดุ ถึงเพียงนีเ้ ล่า จะ มิเป็นการบังอาจเอื้อมเกินไปฤา? ใน กรณีนี้ไมเ่ ป็นการบังอาจดอก หากยังไมเ่ ข้าใจจะวา่ ใหฟ้ ัง คอื การที่องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าแห่ง เราทา่ นท้ังหลาย พระองคท์ รงพระอตุ สาหะพยายามเฝา้ สร้างสมอบรมพระบารมมี าอย่างแสนจะยากเย็น เปน็ เวลานานนักหนาจนกระท่ังไดต้ รสั แก่พระปรมาภเิ ษกสัมโพธิญาณ สาำ เรจ็ เป็นพระบรมศาสดาจารย์ สพั พญั ญูเจา้ นัน้ พระพุทธองค์ทา่ นทรงมพี ระประสงคอ์ ะไร? มใิ ชท่ รงมุ่งหมายเพ่ือจะรอ้ื สัตวข์ นสัตวใ์ ห้ไป นพิ พาน คือทรงปรารถนาเพือ่ จะใหส้ ัตว์ท้งั หลายไปพระนพิ พานสมบัตดิ ว้ ยกันดอกหรือ ก็แล้วทนี ้เี ราท่านทัง้ หลายกค็ อื สาวกขององค์ท่าน หากตัง้ มนัสมั่นมุ่งหมายพระนพิ พานสมบัติทพ่ี ระองค์ทรงประทานไว้ มนั จะ เปน็ การบังคับอาจเออ้ื มไปได้อย่างไรโดยทีแ่ ทเ้ ปน็ การกระทาำ ทถี่ กู พระพุทธประสงค์ทีแ่ ทจ้ รงิ น่ะไม่ว่า จาำ เปน็ อย่างไร ทเี่ ราท่านทงั้ หลายผ้เู ปน็ สาวกขององค์สมเด็จพระสัมพุทธเจา้ ควรจะปรารถนาเอา พระ นพิ พานสมบตั ?ิ กเ็ พราะวา่ บรรดาสมบัติอื่นใดในโลกนแ้ี ละโลกหนา้ เอาเป็นว่าสมบตั ทิ ้งั หมดในจักรวาลน้ี ก็แลว้ กัน มนั ไม่เที่ยงแทแ้ น่นอนและเราอาจะปรารถนาเอาเมอื่ ใดโดยไมต่ ้องพบตอ้ งเจอ พระพุทธศาสนา เลยกไ็ ด้ เชน่ สวรรค์สมบัติ คอื การไปอุบตั เิ กดิ เป็นเทพบตุ ร เทพธิดา เสวยสขุ สาำ ราญอยู่ ณ สรวงสวรรค์ เทวโลกนั้น กาลทีว่ ่างจากพทุ ธศาสนาคอื เวลาที่ไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ เสด็จมาอุบัติตรสั ในโลกน้ี ผู้ทม่ี ีสันดานดี มจี ติ ใจเปน็ บุญเปน็ กุศลประกอบกรรมทำาความดอี ยเู่ นืองนิตย์ เมอ่ื สิ้นชีวิตแลว้ กไ็ ม่แคลว้ ทจ่ี ะ ได้ไปเกิดในเทวโลกครองสวรรค์สมบัตสิ มความ ปรารถนาโดยที่เขาเหลา่ นนั้ ไม่ได้มีโอกาสรจู้ กั พระพทุ ธ ศาสนาเลย เช่นนี้ ก็มมี าแลว้ มากกวา่ มากนกั หนา แมถ้ งึ พระพรหมสมบตั ิ คือการไปอบุ ตั ิเกิดเปน็ พระพรหม วเิ ศษเสวยสขุ อันประณตี ประเสรฐิ เลศิ ยิง่ กว่า เทวดาเปน็ เวลานานแสนนานอยู่ ณ พรหมโลกอันโอฬาร ในกาลที่โลกเรายงั ว่างจากพระพุทธศาสนานน้ั ผทู้ ่ีสนใจในการเจริญภาวนาเปน็ อันดีคอื เหลา่ โยคี ฤาษี ดาบส ซึ่งบาำ เพ็ญพรตพรหมจรรยจ์ นไดส้ าำ เร็จฌานต่างๆ เมอื่ ถึงคราววางวายสิ้นชวี ติ ไปจากมนุษยโลกน้ี แล้วก็ไม่แคลว้ ท่ีจะได้ไป อบุ ตั ิบนพรหมโลก ครองพรหมสมบัตติ ามอาำ นาจฌานทีต่ นได้ โดยไมต่ อ้ งพ่งึ พา อาศัยพระพุทธศาสนา ไมต่ ้องเป็นเวลาพุทธกาลกไ็ ด้ เช่นนก้ี ม็ เี ป็นธรรมดา ยิง่ สมบัติในภมู อิ นั เลวทราม

247 ตำา่ ช้า ท่ีสตั ว์ทกุ รูปทกุ นามพากันจงเกลียดจงชยั นกั หนา คอื นรกสมบตั ิ เปรตสมบตั ิ อสรุ กายสมบตั แิ ละ เดียรฉานสมบตั ิ ซึง่ มีอยู่ในอบายภมู เิ หลา่ น้ดี ว้ ย ยงิ่ ไม่ต้องพิถีพถิ ัน ไม่ตอ้ งรอกาลรอเวลา ปรารถนาเมื่อใด เป็นไดเ้ มื่อน้นั ขอแตว่ า่ ใหข้ ะมขี มนั ทาำ บาปทาำ กรรมเข้าใหจ้ งมากเถิด เป็นครองแน!่ แต่วา่ สมบตั ทิ ี่กล่าวมานท้ี ง้ หมด ไมว่ า่ จะเปน็ สวรรคส์ มบตั ิท่ปี รารถนากนั ักก็ดี หรือวา่ พรหมสมบัติท่ีจัดว่า ประเสริฐกด็ ี ล้วนเป็นเพยี งโลกยี สมบัติ คือเปน็ ขอทีไ่ ม่เทยี่ งแท้แนน่ อนเสมอไป จะครองอยไู่ ดก้ เ็ พียงชั่วคร้ัง ช่ัวครา เฉพาะเวลาที่เรามสี ิทธิจะครองได้อยเู่ ท่าน้ัน พอถงึ กาลหมดบุญหรอื หมดฌานแล้ว กเ็ สอ่ื มสลายจะ ครอบครองอยตู่ ่อไปไมไ่ ด้ อนั นเี้ ปน็ กฎธรรมดา ถ้าปรารถนาอยากได้ก็ต้องแสงหาด้วยการสรา้ งกรรมกนั ใหม่ ได้ประสบสขุ บา้ งทกุ ขา้ งไปตามเรอ่ื ง เป็นการสิน้ เปลอื งเวลา พาให้เวยี นว่ายตายเกิดอยู่ในวฏั สงสารน้ี ไมม่ ีวนั ที่จะส้ินสดุ ลงเลย แต่ว่าพระนพิ พานสมบตั ินสี้ ิ เป็นสมบตั อิ มตะมีสภาวะแสนสุขประณีตละเอยี ดยิง่ นกั จกั หาสมบตั ิใดอื่นมาเทยี มเทียบมิไดใ้ นไตรโลก เป็นสิง่ ส้ินทกุ ข์สิน้ โศกไม่มภี ยั เปน็ วิสัยแหง่ สพั พญั ญตุ ญาณเทา่ นนั้ ที่จะควานหานพิ พานสมบัตินพี่ บได้ ผ้วู เิ ศษอนื่ ใดในสามภพเจบจบทวั่ โลก ไมว่ า่ จะเป็นมนุษย์ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ มาตรว่าจะทรงมเหศักด์เิ พยี งใด เว้นไว้แตอ่ งคส์ มเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงไว้ ซึง่ พระสัพพัญญุตญาณแล้ว กอ็ ยา่ หวงั เลยว่า จะสามารถค้นหาพระนิพพานสมบัติเอามาบอกแกช่ าวเราได้ ฉะนัน้ ตอ้ งเข้าใจจงดีว่า พระนิพพานอนั เป็นสมบัติแกว้ นี้ จะมีอยูก่ ็แตเ่ ฉพาะในพระบวรพุทธศาสนา และใน เวลาที่พระพุทธศาสนายังมปี รากฎอยใู่ นโลกเชน่ ในปัจจุบันทุกวนั น้ี เทา่ น้ัน กาลใดว่างจากพระพุทธศาสนา คอื พระพุทธศาสนาของเราเสือ่ มสูญหมดไปจากโลกเมอ่ื ไร พระนิพพานเป็นไม่มอี ย่างแน่นอ ดว้ ยเหตนุ ี้ จงึ ควรอนุสรณน์ ึกถงึ นิพพานสมบตั ใิ ห้มากๆ หากว่าไมต่ อ้ งการเปน็ อาภพั อบั โชควาสนา...

248 นพิ พานสมบัติ เม่อื จะพรรณนาถึงคุณแห่งพระนพิ พานสมบัตินน้ั ย่อมมีเปน็ เอนกอนนั ต์ สดุ ที่จกั เสกสรรกล่าวขานให้สิน้ สดุ ลงได้ จะกล่าวไว้โดยอปุ มาอย่างยน่ ยอ่ ดังต่อไปนี้ คุณแหง่ ปทุมชาติ อันว่าปทุมชาตใิ บบัวท้งั หลายนั้น ก็ย่อมทรงไว้ซง่ึ ความสาำ คัญเปน็ สัญลักษณ์พเิ ศษแห่งตนอย่อู ย่างหนึ่ง คอื วา่ อุทกวารถี งึ จะมมี ากมายสกั เพยี งใดก็ตาม ทีจ่ ะได้แทรกซมึ ตดิ อย่ใู นใบปทมุ ชาตนิ น้ั ย่อมไม่ปรากฎมเี ลย ในโลก อปุ มานฉ้ี ันใด อันว่าพระนิพพานนัน้ ก็มีสภาวะเชน่ เดยี วกนั จะไดม้ ีบรรดาสรรพกิเลสซมึ ซาบติดอยู่ แม้แต่สักนิดหนงึ่ ก็หามไิ ด้ ปราศจากกเิ ลสรา้ ยโดยประการทง้ั ปวงในทที่ ุกสถานในกาลทุกเมือ่ ผทู้ เ่ี ช่อื ฟัง พระโอวาทานสุ าสนีแหง่ องคส์ มเด็จพระชินสีห์สัมมาสมั พุทธเจา้ เมอ่ื เฝ้าปฏิบตั ิยอ่ มมโี อกาสบรรลุธรรม วเิ ศษคอื พระนพิ พานอนั เป็นสมบัตอิ มต ซึ่งมสี ภาวคุณเห็นปานฉะน้ี คณุ แห่งอทุ กวารี อันวา่ อุทกวารีคอื น้าำ น้นั ย่อมทรงไว้ซึ่งความสำาคญั เป็นสัญลักษณพ์ ิเศษคือความเย็น สามารถทจ่ี ะดับเสียได้ ซงึ่ ความรอ้ นกระวนกระวายในโลกได้ อุปมานีฉ้ นั ใด พระนพิ พานนั้นไซร้กม็ ีสภาวะเป็นของเย็นสามารถท่ีจะ ดบั กิเลสรา้ ย อันทำาความร้อนกระวนกระวายให้ปรากฎขึ้นในดวงหฤทยั ของสตั ว์ท้ังหลายเสียได้ ฉะน้นั อกี ประการหนงึ่ ธรรมดาอทุ กวารีนั้น เปน็ ของบรสิ ุทธิส์ ะอาดสามารถจะลา้ งเสียซ่งึ มลทินสกปรกได้ และเม่ือ ใครด่ืมเข้าไปแล้ว ย่อมห้ามเสียซ่งึ ความกระหายนาำ้ ไดร้ บั ความช่มุ ฉ่ำาในดวงฤดีฉนั ใด พระนพิ พานนน้ั กม็ ี สภาวะคล้ายๆ กนั นี คือสามารถทจี่ ะล้างเสียซึ่งมลทนิ กิเลสรา้ ยอนั ทาำ ดวงใจสัตวท์ ้งั หลายทสี่ กปรก ลามก

249 ให้เปน็ ดวงใจทสี่ ะอาดบรสิ ุทธิ์ และเมอ่ื พระวรบตุ รพุทธชโิ นรสผู้ใดไดด้ ื่มพระนิพพานนนั้ เข้าไปแล้ว ย่อมห้าม เสยี ซงึ่ ความกระหายกล่าวคอื ความปรารถนาทีจ่ ะไปอย่ใู นภพทง้ั ๓ คือ กามภพ รปู ภพ อรปู ภพ เสยี ได้ อย่างแนน่ อน มิต้องมีความอาลัยอาวรณ์ ในวฏั สงสารอันมภี ยั รา้ ยกาจสืบไป คณุ แหง่ ยาดบั พษิ งู อนั วา่ ยาดบั พิษงูโอสถขนานวิเศษทหี่ มองผู ขู้ มังเวทยป์ รงุ เอาไว้ ยอ่ มทรงไว้ซ่งึ คณุ ลักษณะ คือ เมอ่ื อสรพษิ ร้ายขบกดั บคุ คลใดเข้าแล้ว เขายอ่ มไดร้ ับทกุ ขค์ อื มีมรณภยั ความตายเปน็ เบอื้ งหนา้ แตเ่ มื่อเอายาดับพิษงู กินเขา้ ไป พิษงนู ้นั ยอ่ มเส่อื มหาย เขาย่อมได้รบั ความสขุ สบายไม่ตอ้ งตาย เพราะไดโ้ อสถวิเศษน้ีเปน็ ทพี่ ่ึง อุปมาข้อน้ฉี ันใด พระนิพพานนั้น กเ็ ปรียบเสมือนโอสถวเิ ศษ สาำ หรบั ดบั พษิ งู คอื กเิ ลสร้ายอันซาบซา่ นอยู่ใน ดวงใจของสัตวท์ ัง้ หลาย เปน็ พษิ รา้ ยทรมานให้ปวดร้าวอยา่ งแสนสาหสั อยู่ในวัฏสงสารไม่มวี นั ส้ินสุด เม่ อชนิ บุตรสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ใด มโี อสถคือพระนิพพานเป็นท่ีต้งั ได้ด่ืมเข้าไปแลว้ ยอ่ มระงับดบั พิษคอื กเิ ลสรา้ ยใหเ้ คลอื่ นคลายหายไปไมม่ ีเหลอื ไดร้ บั ความสุขาสบายและไมม่ ีวนั ท่ีจะถงึ ซ่งึ ความตายเป็นอมตนิ รนั ดร์ เพราะว่าพระนิพพานนั้นย่อมรกั ษาบุคคลทไ่ี ดพ้ ระนพิ พานไว้มใิ หต้ าย ดจุ ยางรู กั ษาชวี ติ ของผถู้ ูกงูขบ กดั ไว้ฉะนน้ั คุณแห่งจันทนแ์ ดง ธรรมดาจนั ทน์แดงรุกขชาติในโลกน้ี ยอ่ มมีคุณลกั ษณะวเิ ศษแตกต่างจากพฤกษชาติชนิดอ่นื คอื เปน็ ของท่ี บุคคลหาได้เป็นอนั ยากนกั หนา มิใช่เปน็ ของหาไดง้ า่ ยๆ เหมือนไม้ธรรมดา อปุ มานี้ฉนั ใด อนั วา่ พระนิพพาน นน้ั ก็เชน่ กนั กวา่ สตั ว์จะไดน้ ั้นยากนัก ต้องมีใจรักมงุ่ มาดปรารถนา ตอ้ งอตุ สาหะปฏบิ ตั ติ ามพระบรม พทุ โธาทไม่คาำ นึงถึงชีวิต และตอ้ งปฏิบัตไิ ม่ผดิ จึงจะไดส้ มประสงค.์ ..อนึ่ง จันทน์แดงน้นั ยอ่ มมีกล่นิ หอมหา ท่เี ปรยี บมไิ ด้ พระนิพพานน้ี กม็ ีกลิน่ หอมหาทจ่ี ะเปรียบมิไดเ้ ช่นกนั อีกประการหน่ึง จันทน์แดงนนั้ ปวงชน ตา่ งพากนั ยกยอ่ งสรรเสรญิ วา่ เป็นรุกขชาติช้ันสูงช้ันดี เปน็ ทพ่ี อใจของเหล่าชน ผ้รู ู้สรรพคณุ แหง่ ไมท้ งั้ หลาย

250 พระนพิ พานน้ีกเ็ ปรียบกนั ไดเ้ หมอื นเชน่ นนั้ เพราะเป็นคณุ ชาตอิ นั ปวงพระอริยเจ้าท้ังหลายตา่ งพากันยกยอ่ ง สรรเสรญิ วา่ เป็น ธรรมชัน้ สูง และประเสรฐิ สุด เปน็ ท่พี อใจของเหล่าอรยิ ชนมีพระพุทธเจา้ เป็นต้น ฉะนนั้ ชนผู้ มปี ญั ญาเหน็ ภยั ในวฏั สงสารจงึ ปรารถนาประสงคต์ รงตอ่ พระนิพพานกัน ถว้ นหน้า คุณแหง่ แกว้ มณี ธรรมดาแกว้ มณโี ชติรส อนั ปรากฎมแี ก่ผมู้ ีบญุ ญาภินิหารนั้น ยอ่ มทรงไว้ซ่ึงคณุ ลักษณะเปน็ อศั จรรยเ์ พริศ พรง้ิ บนั ดาลใหส้ ำาเร็จส่งิ ท่ตี อ้ ง ประสงค์ทกุ ประการ และบนั ดาลใหเ้ กิดความยินดปี ลาบปล้มื ในดวงหทัยอย่มู ิ วาย อปุ มาน้ฉี นั ใด อนั วา่ พระนิพพานนี้กเ็ ชน่ เดียวกัน ยอ่ มบนั ดาลบุคคลผู้ไดน้ พิ พาน ใหส้ าำ เร็จสิ่งทตี่ อ้ ง ประสงค์ทกุ ประการ และบนั ดาลให้เกิดความยินดี ชุม่ ช่นื ปลื้มใจรงุ่ เรืองขึ้นไปไมม่ วี ันสิ้นสดุ พระชนิ บุตร สาวกของพระผ้มู ี พระภาคเจ้า บรรดาที่เขา้ สนู่ พิ พานแลว้ ย่อมเสวยสมบตั ิแกว้ เปน็ อมตะ ไมร่ ูท้ ี่จะเดือดรอ้ น โดยประการทั้งปวงฉะนั้น ชนผูม้ ปี ญั ญาจงึ ปรารถนายึดหน่วงเอาพระนพิ พานมาเป็นสมบตั ิของตน คุณแหง่ มหาสมุทร ธรรมดามหาสมุทรทจ่ี ัดวา่ บรสิ ุทธใิ์ สสะอาดนนั้ จะเห็นได้จากสัญลักษณท์ สี่ าำ คญั คือ ไมม่ ีซากศพอนั ลามก สกปรกล่องลอยอยเู่ ลย เป็นมหาสมทุ รที่บริสทุ ธิ์ดว้ ยประการทัง้ ปวง อปุ มานี้ฉันใด พระนพิ พานนัน้ ก็เปรียบ ได้กับมหาสมทุ รท่ีบรสิ ทุ ธสิ์ ะอาด เพราะพระนิพพานเปน็ จณุ ชาตผิ ่องใสบรสิ ทุ ธิ์ ไมม่ ซี ากศพคอื กเิ ลสรา้ ย ต่างๆ ล่องลอยปะปนอยู่เลย อนง่ึ ธรรมดาว่ามหาสมทุ ร ยอ่ มสุดแสนจะใหญก่ วา้ งนกั หนา พึงมาตรวา่ คงคา ส่หี ้าหว้ ง จะไหลลว่ งลงมาสักเทา่ ใดๆ ก็ไม่เต็ม มีฝั่งฟากพ้นมิได้เห็นปรากฎแกน่ ัยนต์ า ข้อนีม้ ีครุวนาฉนั ใด พระนพิ พานนก้ี เ็ หมือนกัน ยอ่ มเปน็ คณุ ชาติอนั สุดแสนจะกวา้ งใหญ่ย่งิ นัก จกั ได้มฝี ัง่ จากโพ้นใหเ้ ห็นปรากฎ นนั้ หามไิ ด้ ถงึ ฝงู สัตวจ์ ะพากนั ไปอยู่ในพระนิพพานศิวาลยั ประมาณสักเท่าใดกต็ ามทที จ่ี ะได้ รู้เต็ม รู้หมดนัน้ เปน็ อนั ไมม่ ี อยา่ ไดเ้ กรงเลย เกรงอยู่อยา่ งเดียวก็แตว่ ่า ประชาสตั วจ์ ะพากนั ไปมิถึง พระนพิ พานอนั กวา้ ง ใหญ่ทว่ี ่ามานเี้ ท่านั้น... อีกประการหนึง่ อันว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญน่ ี้ ใช่วา่ จะเปน็ ภูมสิ ถานที่อนั ว่างเปลา่ ก็หามิได้ โดยท่ีแท้ เป็นอาวาสทีอ่ าศยั อย่แู ห่งหมูส่ ัตว์ทงั้ หลายเป็นอนั มากฉนั ใด อนั ว่าพระนิพพานน้ีก็คล้าย กัน คือ เปน็ ที่อย่อู ย่างสขุ สาำ ราญแหง่ พระขีณาสพเจ้าท้ังหลายผทู้ รงพระคณุ อันประเสรฐิ ลำา้ เลิศยงิ่ กว่า