151 ของประชาสัตว์ ซึง่ ไมม่ ีศาสดาองคใ์ ดจะเทยี มเหมอื น ดาำ รงพระยศและพระเดชพระคุณหาทสี่ ดุ มไิ ด้ เปน็ ทส่ี ุดเคารพเลือ่ มใสแห่งดวงใจของชาวโลกทง้ั ผอง กาล ครงั้ นัน้ พระบรมโพธิสัตว์ของเราได้สบื ปฏิสนธถิ ือกำาเนดิ เปน็ มนุษยห์ นุ่มมนี าม อุตตรมาณพ มีทรพั ย์ สมบัตมิ ากมายมหาศาลประกอบด้วยขา้ ทาสบริวารเป็นอนั มาก วนั หนง่ึ ไดม้ โี อกาสพบพระบรมศาสดา ได้ สดบั พระธรรมเทศนาแล้ว ก็มีกมลเปย่ี มล้นไปดว้ ยความเลือ่ มใสจึงให้บริวารขุดขนทรพั ย์สมบัตสิ ำาหรับ ตระกลู ขน้ึ จากภมู ภิ าคปฐพี มปี ระมาณแปดสิบโกฎิ ออกบำาเพญ็ ทานอันยิง่ ใหญแ่ ดพ่ ระอริยสงฆ์มีองค์ สมเด็จพระพทุ ธเจ้าเป็นประธาน ครน้ั ไดส้ ดับอนโุ มนากถาในวาระสุดท้าย จงึ ละเพศฆราวาสวสิ ัย มิได้อาลยั ในทรพั ยส์ มบัติ ออกบวชเปน็ ภกิ ษใุ นพระบวรพุทธศาสนา คราทนี่ ้ัน จงึ องคส์ มเด็จพระภควันตส์ ุเมธมุนีนาถ ไดท้ รงมีพระพุทธฎีกาพยากรณว์ ่า \"อตุ ตร ภิกขนุ ้ี นานไปเบือ้ งหนา้ ในอนาคตจกั ไดต้ รัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนาม ว่า พระศรศี ากยมุนี โคดมในภัทรกปั อันจกั มใี นอนาคตกาล\" คร้ัน ได้สดบั พระพุทธพยากรณฉ์ ะน้ี หน่อพระชนิ สีห์อตุ ตรภกิ ขผุ ูม้ บี ารมี ก็เกดิ ปรดี าปราโมทย์ด้วยมหี ฤทยั มุ่งมั่นพระโพธิญาณมาชา้ นานนกั หนา จึงส้อู ุตสาหะบาำ เพญ็ บารมีเป็นท่ยี ่ิงสงิ่ ประเสรฐิ อน่ื ใด ไม่ว่จะเปน็ มนุษย์สมบตั ิ เทวสมบัติ หรอื แมแ้ ตพ่ รหมสมบตั ิอนั วเิ ศษ ก็ไม่มีเจตจำานงท่ีจะต้องการ หวงั แต่พระสัมโพธิ ญาณอยู่อยา่ งเดียวเปน็ สาำ คัญ ครนั้ ดบั ขันธ์ถงึ แกช่ ีพติ ักษัยในชาตนิ น้ั แล้ว ก็มีสุคติภพเป็นท่ีไปในเบอื้ งหนา้
152 ๑๒. สมเด็จพระสุชาตะอุบัติ เมื่อ ศาสนาของสมเดจ็ พระมิ่งมงกฎุ สเุ มธะสมั มาสัมพทุ ธเจ้าเส่อื มสญู หมดส้ินไปแลว้ โลกก็ว่างเปลา่ จาก พระบวรพทุ ธศาสนา นบั เป็นเวลาช้านานได้พทุ ธันดรหน่ึง แล้วจึงมีสมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจา้ เสดจ็ มา อบุ ตั ิตรัสขน้ึ ในโลกอีกพระองค์ หนึง่ ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ สชุ าตะ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองค์ ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ สามารถนาำ โลกทั้งหลายให้พน้ จากทกุ ขใ์ นวฎั สงสาร ประทานอมตธรรมใหแ้ ก่ พทุ ธเวไนยเป็นอันมากแลว้ กาล ครง้ั น้ัน พระบรมโพธสิ ตั วเ์ จา้ ของเราไดส้ บื ปฏิสนธิถอื กาำ เนิดเป็น สมเด็จพระบรมจักรพรรดริ าชเจ้า ทรง มหิทธิอำานาจแผ่ไปในทวปี ท้ัง ๔ มีทวีปน้อยสองพนั เปน็ บรวิ าร วนั หนง่ึ ไดท้ รงสดับข่าวสารวา่ สมเดจ็ พระ สัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทรงพระนามว่า สชุ าตะมหามนุ นี าถทรงอบุ ัตขิ นึ้ ในโลกแลว้ กท็ รงมพี ระกมลผ่องแผว้ ปรีดา ปราโมทย์ เสดจ็ พาบรวิ ารเข้ไปเฝา้ สมเด็จพระผู้มพี ระภาคเจ้า ครัน้ ไดท้ รงสดบั มธรุ ธรรมกี ถาก็ยง่ิ ทรงพระ ราชศรทั ธาเลอื่ มใส ทรงกระทำาสักการะบชู าซึ่งพระรตั นตรยั ด้วยมหาจักรพรรดสิ มบตั อิ ันไพบลู ย์ด้วย สัตตพิ ธรัตนสารแก้วเจ็ดประการ แล้วทรงบำาเพญ็ วรามิสมหาทานอนั เลิศแด่พระอริยสงฆ์มอี งค์สมเด็จพระพทุ ธเจ้า เปน็ ประธาน ทรงสละฆราวาสวสิ ยั ออกบรรพชาในสำานัก แห่งสมเดจ็ พระสุชาตะสมั มาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น เพ่อื เพมิ่ พูนพระเนกขัมมบารมี ครงั้ น้นั ชาวชมพทู วีปท้ังหลาย ตา่ งก็นำาเอาแกว้ แหวนเงนิ ทองซึง่ เคยเปน็ เครอ่ื งราชบรรณาการสมเด็จ พระเจ้า จักรพรรดิราชนัน้ มารวมกนั เปน็ ทนุ สร้างพระอารามใหญ่แหง่ หนึง่ ถวายเป็นของสงฆ์ ครนั้ เสดจ็ แล้ว กท็ าำ การฉลองพากันถวายทานตรั้งมโหฬารแด่พระสงฆ์ ซ่ึงมีองคส์ มเดจ็ พระบรมโลกุตมาจารย์เป็นประธาน กาลครั้งนนั้ องค์สมเดจ็ พระโลกเชษฐสชุ าตะสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เมื่อจะทรงอนโุ มทนา จงึ มีพระพทุ ธฎกี าดำารสั พยากรณว์ ่า
153 \"พระบรม จักรพรรดิภกิ ษนุ ี้ นานไปในกาลอนาคตภายหน้าจกั ไดต้ รสั เป็นพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ พระองค์หน่งึ ทรงพระนามวา่ พระศรศี ากยมุนโี คดม ในภทั รกปั ทจี่ กั มปี รากฎในอนาคตกาล” คร้ัน ได้สดับพระพุทธฎีกาพยากรณฉ์ ะนี้ หน่อพระชนิ สหี ์บรมจกั พรรดภิ กิ ษุโพธิสตั วผ์ ู้ทรงพทุ ธบารมี กม็ ีจติ ยนิ ดปี ลาบปล้มื สอู้ ตุ สาหะตงั้ หนา้ ศึกษาคันธะธุระ พระปริยตั ิธรรม และบำาเพญ็ พระสมถกรรมฐาน ไมน่ านก็ ถึงแกช่ ีพติ ักษยั ไปบงั เกิดเปน็ เทพบตุ รสุดประเสริฐในสุคตภิ ูมิแดนสขุ าวดี ๑๓. สมเดจ็ พระปยิ ทสั สอี บุ ตั ิ ครน้ั ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุชาตะสมั พุทธเจ้าลว่ งไปนานแลว้ จึงสน้ิ กาลแหง่ มณั ฑกัปนั้น ครั้นสน้ิ กาลปณั ฑกปั ท่ีมีพระพทุ ธเจ้ามาตรสั สองพระองคด์ ังกล่าวแล้ว เมอ่ื ขึ้นกปั ใหม่ต่อมา ก็น่าอนาถนกั หนา เพ ราะวา่ เปน็ สุญกปั เสยี ท้งั สน้ิ ไม่มีสมเด็จพระพทุ ธเจ้าเสดจ็ มาอุบัติตรัสในโลกเลยสักพระองคเ์ ดียว นับเปน็ เวลานานยืดยาวเปน็ ที่สุด ถงึ ๖๐,๐๐๐ กว่ามหากปั นบั วา่ โลกเราน้วี ่างเว้นจากพทุ ธกาลมานานมใิ ช่น้อย ทำาใหส้ ตั ว์ทัง้ หลายต้องพลอยประลยั จากมรรคผล ไม่มีบคุ คลใดใครผหู้ น่ึงสามารถลถุ งึ ธรรมวิเศษ คอื อมต มหานฤพานในกาลอันยาวนานนี้ได้ คราวนี้ จงึ มี วรกปั หน่งึ บังเกิดขึ้น ปรากฎมีสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธ เจา้ มาตรัสเรียงลำาดับกนั จำานวน ๓ พระองคค์ ือ ๑. สมเด็จพระมิง่ มงกฎุ ปยิ ทสั สีพุทธเจา้ ๒. สมเด็จพระมิง่ มงกุฎอัตถทัสสพี ุทธเจ้า ๓. สมเด็จพระมงิ่ มงกุฎธรรมทสั สีพุทธเจ้า
154 ในกาลเมอ่ื สมเดจ็ พระมิ่งมงกุฎ ปยิ ทสั สี สัมมาสัมพทุ ธเจา้ เสด็จมาอุบัติตรสั ในโลกน้ัน พระองค์ทรงบาำ เพญ็ พระพุทธจรยิ า ประกาศศาสนธรรมคำาสอน ยงั ประชากรทงั้ หลายใหไ้ ด้ดื่มอมตรส ให้บรรลธุ รรมวิเศษเป็น อนั มากแล้ว กาลครงั้ นัน้ พระบรมโพธิสตั วเ์ จ้าของเราได้สืบปฏสิ นธิถือกาำ เนดิ ในตระกลู พราหมณ์ มีนามวา่ กสั สปะ มาณพ ไดศ้ กึ ษาเลา่ เรียนจบไตรเพทางคศาสตรศ์ ิลป์อยูเ่ ป็นสุข กาลวันหนง่ึ กสั สปะมาณพหน่มุ ผไู้ ดม้ ี โอกาสไปสสู่ ำานักขององคส์ มเด็จพระปิยทสั สบี รมศาสดา ได้สดับมธุรธรรมมีกถา กม็ ดี วงกมลกอปรดว้ ย ศรทั ธาปราโมทย์ จงึ กลบั ไปยังเรือนตน ใหข้ นเอาทรัพยส์ มบตั อิ อกมาหลายโกฎิ แลว้ ให้สรา้ งอารามแหง่ หนง่ึ อุทศิ ถวายแดพ่ ระอริยสงฆ์ ซงึ่ มอี งค์สมเด็จพระบรมศาสดาเป็นประธาน ดว้ ยดวงจิตอาจหาญในกุศล สมั มาปฏบิ ัติ บัดนั้น องคส์ มเด็จพระโลกเชษฐ์ปยิ ทัสสีสัมมาสมั พทุ ธเจ้า เมอื่ จะทรงอนโุ มทนาจงึ มพี ระพุทธฎกี าพยากรณ์ ว่า \"กัสส ปะมาณพผู้น้ี นานไปในอนาคตกาล จักได้ตรัสเปน็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าองคห์ น่งึ ทรง พระนามวา่ พระศรีศากยมุนีโคดมในภัทรกัปหน่ึง อนั จกั ปรากฎมใี นอนาคตกาล\" สมเด็จ พระปิยทัสสีศาสดาจารย์ คร้ันดาำ รัสพระพุทธพยากรณ์ ฉะน้ีแล้ว ก็ทรงกระทาำ พทุ ธกจิ โปรดเวไนย สตั วอ์ ยูจ่ นถงึ อวสานกาลแล้ว กเ็ สด็จดบั ขันธ์ปรนิ พิ พานลว่ งไป ฝา่ ยกสั สปมาณพก็อตุ สาหะอบรมบ่มบา รมเี ืพื่อพระปรมาภเิ ษกสัมโพธิญาณ เม่อื ส้นิ อายกุ ษยั กาลก็มสี คุ ตเปน็ ทไ่ี ปในเบือ้ งหน้า
155 ๑๔. สมเดจ็ พระอัตถทสั สีอุบัติ กาล เมอ่ื ศาสนาของสมเด็จพระมง่ิ มงกุฎพระปิยทสั สสี มั มาสัมพุทธเจ้า เสอ่ื มสูญหมดสนิ้ ไปแล้ว โลกก็ว่าง จากพระบวรพุทธศาสนาอยเู่ ปน็ เวลานานไดพ้ ทุ ธันดรหน่งึ แลว้ จงึ มสี มเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าเสดจ็ มา อบุ ัตติ รัสในโลกอกี องคห์ นงึ่ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระม่ิงมงกฎุ อัตถทัสสสี ัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระองคท์ รง เปน็ พระบรมไตรโลกนาถ ทรงสามารถนาำ สตั วท์ งั้ ปวงให้ลว่ งพน้ จากทุกขภ์ ยั ในวฏั สงสาร ทรงประทานอมต ธรรมคุณพเิ ศษให้แก่พุทธเวไนยเปน็ อนั มากแลว้ กาลครัง้ นั้น พระบรมโพธิสัตว์เจา้ ของเราไดส้ ืบปฏิสนธิถอื กาำ เนิ ดิ เปน็ มนุษยใ์ นตระกลู พรหมณ์ มหาศาล มี นามว่า สสุ มิ ะพราหมณ์ คร้นั เจรญิ วัยเตบิ โตใหญ่ข้นึ มา มีจิตยนิ ดีในบรรพชาเพศ จงึ สละทรัพย์สมบัตทิ ่ีตนมี อยู่ ออกทำาบุญใหท้ านแกค่ นทีต่ ้องการทรัพย์สนิ อนั มคิ ่อยจะมีสาระนักจนหมดส้นิ แลว้ จึงมงุ่ หนา้ เข้าปา่ ใหญ๋ ไปบวชเปน็ ดาบส บำาเพ็ญพรตพระพรหมจรรย์จนบรรลอุ ภิญญาฌานสมบัติ ปรากฎวา่ เป็นผูม้ มี หทิ ธิ ศกั ดานุภาพเหาะเหิรเดินอากาศได้ ทัง้ มใี จยินดเี ทยี่ วจารกิ ไปในเทวโลกสวรรค์สองช้นั ฟ้า คือ สวรรคช์ ้ัน จาตุมหาราชิกาและสวรรคช์ ้ันไตรตรงึ ษ์ และมีปรชี าฉลาดสามารถแสดงกุศลให้ประชาชนเขา้ ใจได้งา่ ย ทั้ง ไดน้ าำ เอาลายลักษณ์พระพทุ ธบาทมาทำาเป็นพระพทุ ธบาทเจดีย์ ให้เป็นทีส่ ักการะบูชาของมหาชน เพือ่ ใหก้ ่อ เกิดเป็นอีกส่วนหนงึ่ ด้วย เม่อื สมเดจ็ พระอัตถทสั สีเสด็จมาตรัสในโลก และกาำ ลังทรงโปรดประทานพระสทั ธรรมเทศนาแกห่ มู่มหาชน อยนู่ น้ั วันหนง่ึ สสุ ิมะมหาฤาษไี ด้มโี อกาสสดบั มธรุ ธรรมกี ถา แล้วเกิดศรัทธาปสาทะเป็นอยา่ งยง่ิ จึงเหาะขนึ้ ไปส่สู วรรคเ์ ทวโลกดว้ ยอำานาจฌานอภญิ ญา นำาเอาดอกมณฑาทิพย์ปทุม และดอกปาริชาติมาสมู่ นษุ ยโลก นี้ แล้วโปรยทพิ ยบปุ ผาชาติเหลา่ นั้นใหต้ กลงมาบชู าพระผู้มพี ระภาคเป็นอันมากแลว้ จึงถอื เอากา้ นทพิ ย มณฑาใหญ่ดอกหนึง่ ชชู ึน้ กางกัน้ ทาำ เป็นฉตั รบชู าสมเด็จพระอตั ตทัสสีบรมศาสดาจารย์ ซึง่ กำาลงั ทรงแสดง พระสทั ธรรมเทศนาอยู่
156 ครั้นสมเดจ็ พระบรมครูผูท้ รงพระคุณอนั ประเสรฐิ แสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว จึงมีพระพุทธดำารสั พยากรณ์ วา่ \"สุ สิมะมหาฤาษีผู้นี้ นานไปในอนาคต จกั ไดต้ รสั เป็นพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าพระองคห์ น่งึ ทรง พระนามว่า พระศรศี ากยมนุ โี คดม ในภัทรกัปหนึ่ง อนั จักมีปรากฎในอนาคตกาลภายภาคหนา้ \" สมเดจ็ พระอตั ถทสั สบี รมศาสดาจารย์ คร้ันทรงมีพระพทุ ธบรรหารพยากรณพ์ ระบรมโพธสิ ตั ว์สัตวเ์ จ้าของ เราด้วยประการ ฉะนแี้ ล้ว กท็ รงกระทำาพุทธกจิ ประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาโปรดประชานิกรพุทธเวไนยท้งั หลาย เม่อื ถงึ อวสานกาลแล้วกเ็ สดจ็ ดับขนั ธป์ รินพิ พานลว่ งไป ฝา่ ยสสุ ิมะมหาฤาษีบรมโพธิสตั ว์เจ้าก็ อุตสาหะอบรมบม่ บารมีเพอ่ื พระปรมาภเิ ษก สัมโพธิญาณอนั ย่งิ ใหญ่ คร้นั ถงึ แกช่ พี ิตกั ษยั แลว้ กข็ ้นึ ไปอุบัติ เกิดเปน็ พระพรหมผวู้ ิเศษ ณ พรหมโลก ๑๕. สมเดจ็ พระธรรมทัสสีอบุ ัติ เมื่อศาสนาของสมเด็จมง่ิ มงกุฎอตั ตทสั สีสัมมาสัมพทุ ธเจ้าเส่ือมสูญหมดสิน้ ไป แล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระ บวรพทุ ธศาสนาอยู่เป็นเวลานาน นบั ได้ พุทธนั ดร หนึ่งคอื ระหว่างพระพุทธเจา้ พระองค์หนง่ึ กับอกี พระองค์ หนึ่งต่อกัน ครั้งน้ี จงึ มสี มเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าเสด็จมาอบุ ตั ิตรัสในโลกอีกพระองค์หน่งึ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ธรรมทสั สีสัมมาสัมพุทธเจา้ พระองค์ทรงเปน็ พระบรมไตรโลกนาถเมอื่ ทรงอุบตั ขิ ้ึนแล้ว กท็ รงสามารถนาำ สตั วท์ งั้ หลายให้พ้นทกุ ข์ภัยในวัฏสงสาร ทรงประทานอมตธรรมคณุ พิเศษให้แกพ่ ุทธเวไนย เปน็ อันมากแล้ว
157 กาลคร้ังนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจา้ ของเราไดส้ ืบปฏสิ นธถิ อื กำาเนดิ เป็นเทพเจ้า สมเดจ็ พระอมรินทราธิราช หรือทเี่ รียกใหร้ ู้กันง่ายๆ ในหมชู่ าวเราว่ า่ พระอนิ ทร์ คราวหนงึ่ พระองคม์ เี ทพบริษัทแวดล้อมเป็นบรวิ าร เสด็จลงมาจากเทววมิ าน นำานานาทพิ ย์สักการะมาบูชาสมเดจ็ พระธรรมทสั สบี รมโลกุตตมาจารย์ ในมหา สมยั คราวประชมุ ใหญแ่ ห่งปวงเทพยดา คราวนนั้ องคส์ มเดจ็ พระสรรเพชญธรรมทัสสมี หามุนนี าถ จึงทรงออกโอษฐ์ประกาศเปน็ พระพทุ ธพยากรณ์ ว่า \"สมเดจ็ พระอมรินทรเทวราชนี้ นานไปในอนาคตกาล จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระองคห์ นง่ึ ทรงพระนามว่า พระศรศี ากยมนุ ีโคดม ในภทั รกัปหนง่ึ อันจกั ปรากฏมีในอนาคต ภายภาคหนา้ \" เมอื่ ได้ทรงสดับพระพทุ ธฎีกาพยากรณเ์ ช่นนี้ องค์ทา้ วโกสยี ์ผู้บรมโพธิสตั วก์ ็มจี ิตโสมนัส เต็มไปด้วยความ ปลาบปลืม้ เป็นล้นพน้ แล้วก็ถวายบงั คับมนสั การลาสมเด็จพระธรรมทสั สบี รมศาสดาจารย์ พาเทพบรวิ าร กลบั ไปยังไพชยนตปราสาทพมิ านแห่งตน ๑๖. สมเดจ็ พระสิทธตั ถะอุบัติ ครั้นศาสนาของสมเดจ็ พระม่ิงมงกฎุ ธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจา้ เส่ือมสูญล่วงไป แล้ว โลกกว็ ่างเปล่าจาก พระพทุ ธศาสนาจนสนิ้ อายแุ หง่ วรกปั นัน้ เมอื่ วรกปั นนั้ ลว่ งไปแลว้ ขน้ึ มหากปั ใหมต่ อ่ มา ก็เป็นสุญมหากัป อีก ๒๔ กัป ซ่งึ หมายความว่าโลกตอ้ งมดื มนอนธการ ต้องสญู เปลา่ จากพระอมตธรรม ไม่ม่ใครสามารถนำา ตนให้พ้นทุกข์ภัยในวฏั สงสารได้ เป็นเวลานานถงึ ๒๔ มหากปั เพราะเปน็ สุญกัปไมม่ สี มเดจ็ พระพทุ ธเจา้ มา ตรสั ในโลกเลยสักองคเ์ ดียว เมื่อโลกเว้นว่างหา่ งจากพระพุทธกาลมาเปน็ เวลาชา้ นานดว้ ยประการฉะน้แี ล้ว
158 คราท่นี น้ั จึงมสี ารกปั หน่งึ บงั เกิดขน้ึ กส็ ารกปั นี้ เราทา่ นทง้ั หลายก็คงทราบไดด้ ีแล้วว่า เป็นมหากัปทท่ี รงไว้ ซ่ึงพระพทุ ธเจา้ พระองค์เดียวเทา่ นั้น ในสารกปั ที่กำาลงั กลา่ วถึงอยูน่ ี้ กเ็ ช่นเดียวกัน คอื มสี มเดจ็ พระสัมมาสัม พทุ ธเจ้าเสด็จมาอุบตั ติ รัสในโลกเพยี งพระองคเ์ ดียว ไดแ้ ก่สมเดจ็ พระม่ิงมงกุฎ สทิ ธตั ถะ สมั มาสมั พุทธเจ้า เมอื่ พระองคท์ รงอบุ ัตขิ ้ึนแลว้ กท็ รงบำาเพ็ญพระพทุ ธจรยิ าประกาศศาสนธรรมคาำ สอน ยังพทุ ธเวไนยนิกรทงั้ ทวยเทพแลมนษุ ยใ์ หไ้ ด้ด่ืมอมตรสเป็นจาำ นวนมากแล้ว กาลคร้งั นน้ั พระบรมโพธิสัตวเ์ จ้าของเราไดส้ บื ปฏสิ นธถิ ือกาำ เนดิ เปน็ มนุษยใ์ นตระกูลพราหมณ์ มหาศาล ประกอบด้วยยศบริวารมากหลาย ปรากฎนามว่า มังคะมาณพ ได้เลา่ เรยี นจนจบวชิ าไตรเพทางคศาสตร์ ภายหลังมาพิจารณาเหน็ วา่ ทงั้ วชิ าไตรเพทและทรพั ยส์ มบตั ิอันมหาศาลเปน็ ของมีสาระน้อย จึงสละทรพั ย์ สมบตั ขิ องตนให้เป็นทานแกค่ นยากจนอนาถาเสยี จนหมดส้ิน ประกอบด้วยมหิทธิศกั ดานภุ าพสามารถเหาะ เหนิ เดนิ อากาศไดท้ กุ เวลาตามใจปรารถนา วันหนึง่ ได้เหาะมาจากอาศรมของตน เขา้ ไปฟังธรรมในสำานกั ขององค์สมเดจ็ พระชนิ สหี ์สทิ ธตั ถะสมั มาสมั พุทธเจา้ มปี สาทะเลอ่ื มใสศรัทธาเป็นอันมาก จึงได้รีบเหาะไป โดยเวหาหาวจนถงึ ฟากฟ้าป่าหมิ พานต์แดนไกล แล้วเลือกเกบ็ เอาผลชมพลู่ ูกหวา้ มาถวายสมเดจ็ พระพุทธ องค์พร้อมกับพระอรยิ สงฆ์ สาวกทั้งหลาย ดว้ ยดวงใจกอรปด้วยศรัทธาปสาทะเป็นท่ยี ง่ิ คราวนนั้ องคส์ มเด็จพระมง่ิ มงกฎุ สิทธตัิ ถะบรมศาสดา เมื่อจะทรงกระทาำ อนโุ มทนา จึงมพี ระพุทธฎีกา พยากรณว์ า่ \"มัง คะดาบสน้ี นานไปในอนาคตกาำ หนดได้ ๙๔ มหากัปแต่กาลน้ีไป จกั ได้ตเั ปน็ พระสพั พัญญู สมั มาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึง่ ทรงพระนามวา่ พระศรีศากยมนุ โี คดม ในภทั รกปั หนงึ่ ดงั ปรากฎ จกั มใี นอนาคตภายภาคหน้า\" ครั้น ไดส้ ดับพระพุทธพยากรณฉ์ ะน้ี มงั คะมหาฤาษีผบู้ รมโพธิสัตว์ ก็มจี ติ โสมนสั ยนิ ดเี ป็นท่ีสดุ หวงั จักได้ พระพทุ ธภมู ิอนั ประเสรฐิ จงึ เกดิ วิรยิ ะอุตสาหะอบรมบ่มพระบารมเี พือ่ ปรมาภิเษกสัมโพธญิ าณ เมอ่ื ถึงกาล ส้นิ ชพี หมดอายุแล้ว กไ็ ปอบุ ัตเิ กดิ เปน็ พระพรหมวิเศษ ณ พรหมโลก
159 ๑๗. สมเด็จพระตสิ สะพุทธเจ้า ครั้นศาสนาของสมเดจ็ พระมิง่ มงกุฎสทิ ธตั ถะสัมมาสัมพุทธเจ้าลว่ งไปแลว้ จึงส้นิ กาลแหง่ สารกปั นนั้ เมอ่ื กาลแหง่ สารกปั นั้นหมดสิน้ ไปแล้ว พอเรมิ่ ตน้ กัปใหม่ กก็ ลายเป็นสญุ กัป ไม่มีสมเดจ็ พระพทุ ธเจ้ามาตรสี เสยี อกี ๒ มหากัป จึงทาำ ใหโ้ ลกเรานวี้ ่างเว้นห่างจากพทุ ธกาลมาชา้ นานแล้ว ท่ีน้ันจงึ มี มณั ฑกปั หนึ่งบังเกดิ ขึ้น ทรงไวซ้ ึง่ พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ ๑. สมเด็จพระม่งิ มงกฎุ ติสสะพุทธเจ้า ๒. สมเด็จพระม่ิงมงกุฎมหาปุสสะพทุ ธเจา้ ใน กาลเมอ่ื สมเดจ็ พระมิง่ มงกุฎพระตสิ สะสัมมาสมั พทุ ธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรสั ในโลก แล้ว พระองคก์ ็ทรง บำาเพญ็ พระพุทธจรยิ า ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนาอันประเสรฐิ ให้เกดิ ความสว่างไสวในดวงใจของ พุทธเวไนยทง้ั หลาย ทั้งให้ไดด้ ื่มอมตรสสันตบิ ทคอื พระนฤพานเป็นอนั มากนัก กาลครัง้ น้นั พระบรมโพธสิ ตั ว์เจา้ ของเราไดส้ บื ปฏิสนธถิ ือกาำ เนดิ เปน็ มนษุ ยใ์ นตระกลู กษัตริย์ ดาำ รงอย่ใู น ราชสมบัตปิ รากฎพระนามวา่ สมเดจ็ พระเจา้ สชุ าตะมหาราช อย่ใู นกรงุ ยศวดมี หานคร มพี ระเกยี รติปรากฎ ขจรไปทั่วทกุ ทศิ ทรงประกอบดว้ ยกำาลงั ทรพั ย์ กำาลงั พลและกาำ ลังพระปญั ญา ไมม่ ีใครจักเปรยี บได้ ถงึ กระน้ัน พระองค์ก็ไมพ่ อพระทัยยินดีที่จะครองฆราวาสวิสยั ภายหลงั จึงได้ทรงสละราชสมบัติอนั มหาศาลดจุ ถ่มพระเขฬะทิ้งลงบนพ้นื ปฐพี มไิ ดม้ จี ิตอาลัยใยดี เสดจ็ ไปทรงบรรพชาเป็นดาบสอยู่ในปา่ ใหญ่ ไม่ช้าก็ได้ สาำ เรจ็ อภิญญาฌานสมาบตั ิ มมี หทิ ธศิ กั ดานภุ าพจนหาผู้เสมอเหมือนมิได้ วนั หนึง่ ท่านสุชาตะดาบสโพธิสัตว์มีโอกาสเข้าไปสดับพระธรรมเทศนาในสาำ นักองคส์ มเด็จพระ โลกเชษฐ ติสสะสัมมาสัมพุทธเจา้ เกิดความเลอื่ มใสสุดประมาณจึงเหาะทะบานขนึ้ ไปสสู่ วนจติ รลดา บนดาวดึงษ์ เทวโลก เลอื กเก็บเอาดอกไมท้ ิพยมณฑารพใสผ่ อบกว้างใหญด่ ว้ ยอาำ นาจแห่งฌานวสิ ัย และนาำ มากระทำาสัก การะบชู าสมเด็จพระติสสะสพั พญั ญเู จา้ ซึง่ กำาลงั ทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยูใ่ นท่ามกลางพทุ ธบริษทั
160 เมอ่ื ทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลงแลว้ องค์สมเดจ็ พระสรรเพชญ์ตสิ สะพุทธเจ้าบรมศาสดาจารย์ จึงทรงมี พระพุทธบรรหารพยากรณ์ว่า \"พระ สุชาตะดาบสนี้ นานไปอนาคตกาำ หนดได้ ๙๒ มหากปั แต่กาลนไ้ี ป จกั ไดต้ รสั เป็นพระ สพั พญั ญสู มั มาสัมพทุ ธเจ้า พระองคห์ น่งึ ทรงพระนามวา่ พระศรศี ากยมุนโี คดม ในภัทรกัปหน่ึง อนั จักปรากฎมใี นอนาคตกาลภายภาคหนา้ \" ครน้ั ได้สดับพระพทุ ธพยากรณ์ฉะนี้ หน่อพระชนิ สหี ส์ ุชาตะดาบสผมู้ พี ทุ ธภมู บิ ารมี กม็ พี ระหฤทยั เกดิ ปรดี า ปราโมทย์เป็นลน้ พน้ หวงั จักได้บรรลุผลอนั วเิ ศษ คือพระปรมาภเิ ษกสัมโพธิญาณ จึงอตุ สาหะบากบน่ั อบรม บม่ พระบารมีให้แก่กลา้ ขึ้นไป ในกาลหมดอายถุ ึงแก่ชพี ิตักษยั แลว้ กไ็ ปอุบัตเิ กิดเปน็ พระพรหมผู้วเิ ศษ เสวย พรหมสมบัตเิ ปน็ สขุ อยู่ ณ พรหมโลก ๑๘. สมเด็จพระมหาปุสสะอุบตั ิ เม่ือ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระตสิ สะสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เส่ือมสูญหมดส้นิ ไปแล้ว โลกก็วา่ งเปลา่ จากพระบวรพทุ ธศาสนาอยเู่ ปน็ เวลานาน ส้นิ กาลนับไดพ้ ทุ ธันดรหน่ึงแลว้ คราทีน่ ้ัน จงึ มีสมเดจ็ พระสมั มา สัมพทุ ธเจ้า เสด็จมาอุบัตติ รัสในโลกอีกพระองค์หนึง่ ในมณั ฑกัปนั้น ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระมิง่ มงกุฎ มหาปสุ สะ สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ เม่อื ทรงอุบตั ิขึ้นแล้ว กท็ รงประกาศพระ ศาสนา ยงั ประชาสัตว์ทั้งปวงให้พน้ จากทุกขภ์ ยั อันใหญ่หลวงในวฎั ฎสงสาร ทรงประทานอมตธรรมคุณ วเิ ศษตามสมควรแก่อุปนิสัย ให้แกพ่ ุทธเวไนยเปน็ อันมากแล้ว
161 กาลคร้ังนัน้ พระบรมโพธสิ ตั วเ์ จ้าของเราได้สืบปฏสิ นธถิ ือกำาเนิดเป็นมนษุ ย์ในขัตตยิ วงศ์ ทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระเจา้ วชิ ติ บรมกษัตริย์ ครองราชสมบัติอย่ใู นอรินทมะมหานครปกครองประชานิกรโดยทศพธิ ราช ธรรม ทรงยงั ความสขุ ให้เกดิ มแี กช่ าวประชาทุกถ้วนหน้า วันหนึง่ เมื่อได้ทรงสดบั ว่าสมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ทรงอุบตั ขิ ึน้ ในโลก แลว้ จึงเสดจ็ เข้าไปเฝ้าถึงที่ประทบั ได้ทรงสดบั พระธรรมเทศนาแลว้ ทรงมีพระ กมลผ่องแผว้ เลอ่ื มใสอย่างสุดซ้งึ จงึ ทรงสละราชสมบัติอันมหาศาล ออกบรรพชาเปน็ พระพทุ ธสาวกใน สำานักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ แล้ว กท็ รงบำาเพญ็ คันถธรุ ะ คอื ศกึ ษาในพระไตรปฎิ กจนแตกฉาน ได้ รบั ขนานนามวา่ พระเตปฎิ กธราจารย์ คืออาจารยผ์ ูท้ รงไวซ้ ่ึงพระไตรปฎิ ก เปน็ พระธรรมกถกึ ผู้แสดงธรรม คล่องแคล่วย่ิงนัก เป็นทเ่ี คารพเลอื่ มใสของชาวประชาทวั่ ไป ในกาลน้ัน สมเด็จพระภควนั ต์มหาปสุ สะผู้ทรงพระยศ จึงทรงเอ้อื นโอษฐออกพระพทุ ธวาจาพยากรณ์วา่ \"พระ วิชิตขัตตยิ ภกิ ขหุ รอื พระเตปฎิ กธราจารยน์ ี้ นานไปในอนาคตกำาหนดไว้ ๙๒ มหากัปแต่ กาลน้ีไป จกั ไดต้ รัสเปน็ พระสัพพัญญูสมั มาสมั พุทธเจา้ พระองค์หน่งึ ทรงพระนามวา่ พระศรี ศากยมนุ ีโคดม ในภทั รกปั หน่งึ อันจกั ปรากฎมใี นอนาคตภายภาคหนา้ \" ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณฉ์ ะนี้ หนอ่ พระชินสหี ว์ ิชติ ขตั ตยิ ภกิ ษุผู้โพธสิ ัตวก์ ม็ ีจติ เต็มไปดว้ ยความ โสมนสั ยนิ ดี เปน็ ท่ีสุดดุจวา่ ตนจักได้ตรัสเปน็ พระพุทธเจา้ ในวันพรุง่ จึงมงุ่ หนา้ อุตสาหะพยายามอบรมบ่ม พระบารมใี ห้แกก่ ลา้ ยง่ิ ขึน้ ไป เพื่อหวังจะได้สำาเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ กาลต่อมา เมื่อสน้ิ อายถุ ึงแก่ ชพี ิตักษยั ก็มีสุคติเปน็ ที่ไปเบือ้ งหน้า
162 ๑๙. สมเดจ็ พระวปิ สั สอี บุ ัติ ครน้ั ศาสนาสมเดจ็ พระม่งิ มงกุฎมหาปสุ สะสัมมาสมั พุทธเจา้ เส่อื มสูญไปนานแล้ว จึงจะสนิ้ อายแุ หง่ มัณฑกปั เมอื่ มัณฑกปั นน้ั ล่วงไปแล้วกข็ ้ึนกปั ใหมต่ อ่ มา กาลคร้ังนี้ นับวา่ ดนี ักหนา เพราะวา่ ไม่มสี ุญกปั มาค่นั เหมือน อยา่ งท่แี ล้วๆ มา มหากปั ข้ึนต้นใหม่ตอ่ มานี้ มชี อ่ื วา่ สารกัป เพราะมสี มเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เสด็จมา ตรสั ในโลกนเี้ พียงพระองค์เดียว เท่านนั้ ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระมิ่งมงกฎุ วิปสั สี สัมมาสมั พทุ ธเจ้า เมอื่ พระองค์ทรงอุบัตแิ ล้ว กท็ รงบาำ เพ็ญพระพทุ ธจรยิ าทรงประกาศศาสนธรรมคำาสอน ให้เวไนยนิกรทง้ั ทวย เทพยดาแลมนุษยไ์ ด้ดืม่ อมตรสบรรลุสันตบิ ทคณุ พเิ ศษ ตามควรแกอ่ ุปนสิ ัยวาสนาบารมแี หง่ ตนๆ เปน็ อัน มากแล้ว ครงั้ นนั้ พระบรมโพธิสัตว์เจา้ ของเราได้สบื ปฏสิ นธถิ ือกาำ เนดิ เปน็ ภุชงคนาคราช เสวยนาคสมบัติ ในนาค พภิ พ มมี หทิ ธอิ าำ นาจใหญ่ไมม่ ใี ครเทยี ม ทรงมหเศรศักดานภุ าพมากมาย ประกอบดว้ ยยศบรวิ ารไพศาล กาลวนั หนึ่ง ได้สดับกิตตคิ ุณบันลือวา่ สมเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทรงอบุ ัติขนึ้ ในโลกแล้ว กม็ หี ฤทยั เลือ่ มใสจึงพาบรรดานาคนกิ รนอ้ ยใหญอ่ อกจากนาคภภิ พ มานอบนบนมัสการสมเดจ็ พระวปิ สั สี ศาสดาจารยแ์ ล้ว จงึ เนรมิตมณฑปใหญ่ ประดับไปดว้ ยแก้วเจ็ดประการโอฬารวิจติ รงดงามด้วยนาคฤทธ์ิ แล้ว จงึ อาราธนาสมเดจ็ พระประทปี แกว้ กับพระอริยสงฆ์สาวกทง้ั หลาย ใหเ้ ข้าอาศัยแลว้ ถวายอาหาร และ ตัง้ ท่พี ระพทุ ธองคป์ ระทบั นงั่ เป็นพระพทุ ธอาสนด์ ว้ ยปสาทเลอ่ื มใสนักหนา คราท่นี ั้น จงึ องค์สมเด็จพระสรรเพชญพระวปิ สั สีมหามนุ นี าถไดท้ รงประกาศเป็นพระพุทธฏีกาพยากรณ์วา่ \"พญา ภุชงคนาคราชน้ี นานไปในอนาคตกำาหนดได้ ๙๐ มหากปั แต่กาลนีไ้ ป จักได้ตรสั เปน็ พระ ศรีศากยมุนโคดม ในภทั รกัปหน่งึ อนั จักปรากฎมีในอนาคตกาลภายภาคหนา้ \"
163 ครน้ั ไดส้ ดบั พระพทุ ธพยากรณ์ฉะน้ี หน่อพระชินสีห์พญาภชุ งคอรุ คินทร์มจี ิตยนิ ดโี สมนสั สเป็นทส่ี ุด แลว้ กราบถวายบงั คมลาสมเด็จพระพทุ ธองค์ พาบริวารกลบั ไปยงั พิภพของตนเสวยนาคสมบตั เิ ป็นสขุ อยสู่ ้ิน กาลนาน
164 ๒๐. สมเด็จพระสิขอี ุบตั ิ คร้ันศาสนาสมเด็จพระมงิ่ มงกุฎวิปสั สสี มั มาสัมพทุ ธเจา้ เส่ือมสญู ลว่ งไปนาน แลว้ จงึ จะสิน้ อายแุ หง่ สารกปั นั้น เม่ือกาลแปง่ สารกัปลว่ งไปแล้ว ก็เรมิ่ ตน้ ข้นึ กปั ใหมต่ อ่ ไป แตเ่ ปน็ ที่อนาถใจนกั หนา เพราะว่ากปั ใหมๆ่ ต่อไปน้ี กัปแล้วกัปเล่า ล้วนเปน็ สญุ กัป เสียทัง้ สน้ิ ไม่มพี ระพุทธเจา้ เสด็จมาอบุ ัติตรสั ในโลกเรานีเ้ ลย ทำาให้ โลกตอ้ งมืดบอดปลอดเปล่าจากพระสัทธรรมมรรคผลอมตมหานฤพาน ส้นิ กาลช้านานถงึ ๖๐ มหากปั ครา ที่นั้น จึงมี มณั ฑกปั หน่งึ บังเกิดขนึ้ กม็ ณั ฑกปั นัน้ ทา่ นผูม้ ีปัญญาก็คงทราบแล้วว่า เปน็ ชอื่ ของกปั ทม่ี ีกาำ ลัง ธารไวไ้ ด้ซง่ึ พระพทุ ธเจ้าสองพระองค์ หรอื กล่าวใหฟ้ งั กนั งา่ ยๆ กว็ ่า ในมัณฑกัปนี้ ปรากาำ มสี มเด็จพระสมั มา สมั พุทธเจ้าเสด็จอบุ ตั ติ รัสในโลก ๒ พระองค์ ๑. สมเดจ็ พระมงิ่ มงกุฎสิขีพทุ ธเจา้ ๒. สมเดจ็ พระมิง่ มงกฎุ พระเวสสภูพุทธเจ้า ก็ ในกาลเมือ่ สมเดจ็ พระม่ิงมงกฎุ พระสขิ ีสมั มาสัมพุทธเจา้ เสด็จมาอุบัตติ รสั ในโลกน้นั พระองคท์ รงมพี ระ มหากรณุ าบาำ เพญ็ พระพทุ ธจรยิ า ทรงประกาศพระบวรศาสนา ยังประชาสัตว์ท้งั ทวยเทพและมนุษย์ มากมายสุดประมาณให้ไดด้ ่ืมซงึ่ อมตรสใหถ้ ึง ซ่งึ สนั ตบิ ท คอื พระนิพพาน พระองคท์ รงเป็นพระบรมโลกกุ ตมาจารย์ ประทานโลกตุ ตรสมบัตอิ นั สูงสดุ ใหแ้ ก่ปวงมนษุ ยแ์ ละเทพยดาทั้งหลาย ยังความสวา่ งไสวให้ ปรากฎขนึ้ ในดวงหฤทัยอันมดื บอดของชาวโลกท้งั ผอง พระองคท์ รงดำารงพระยศและพระเดชพระคุณหา ทสี่ ดุ มไิ ด้ ทรงเป็นทเ่ี คารพเลอ่ื มใสอย่างสดุ ซึ้งของบรรดาพทุ ธเวไนยนิกร ทรงประทานพระโอวาทคำาสอน เป็นอนั มากแลว้ กาลคร้ังน้นั พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สบื ปฏสิ นธิถอื กำาเนิดเป็นมนุษยใ์ นขัตติยตระกลู ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระเจ้าอรินทมะราชาธริ าช ทรงมมี หิทธอิ าำ นาจราชบรวิ าร และพระอสิ สรยิ ยศอันย่งิ ใหญ่อดุ มไปด้วย ทรพั ย์ศฤงคาร วนั หนึ่งทรงมโี อกาสพบสมเด็จพระสรรเพชญ์สขิ สี มั พทุ ธเจ้า แล้วมีพระทยั กอปรดว้ ยความ เลื่อมใสเป็นอนั มาก จงึ ได้ทรงบริจาคไตรจีวร ทานถวายแด่พระอริยสงฆ์ มีองคส์ มเดจ็ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ ประธาน แล้วจงึ ทรงบริจาคทรพั ย์ รบั สง่ั ใหน้ ายชา่ งผ้มู ีฝีมอื เลิศสร้างเปน็ รูปพญาหัสดนิ กใหญแ่ ล้วไป
165 ดว้ ยมณี มัยแกว้ อนั มคี า่ เจ็ดประการ ตวั ใหญ่ประมาณเท่าพญาช้างฉัททนั ตเ์ สรจ็ แล้วจึงทรงอทุ ศิ เป็นวรามิส เครอ่ื ง บชู า แดอ่ งค์สมเด็จพระสขิ ีสัมมาสัมพุทธเจา้ พรอ้ มกับถวายสมณบริขารแกพ่ ระอริยสงฆอ์ ีกมากมาย นักหนา คราที่นน้ั องคส์ มเด็จพระสรรเพชญส์ ิขีบรมครูเจ้า เม่ือจะทรงอนโุ มทนาแก่พระบรมกษัตริย์ จึงมีพทุ ธดาำ รสั พยากรณ์วา่ \"พระเจา้ อรินทมะมหาราชนี้ นานไปในอนาคตกาำ นหดได้ ๓๑ มหากัปแตก่ ัปน้ีไป จกั ได้ตรสั เป็น พระสัพพัญญสู มั มาสมั พุทธเจ้าพระองคห์ น่งึ ทรงพระนามวา่ พระศรศี ากยมนุ ีโคดมในภัทรกปั หนง่ึ อนั จกั มปี รากฎในท่สี ุดแห่ง ๓๑ มหากัป ในอนาคตภายภาคหนา้ \" สมเดจ็ พระโลกเชษฐสิขบี รม ศาสดาจารย์ ครัน้ ทรงโปรดประทานพระพทุ ธฎีกาพยากรณแ์ ก่พระเจ้าอรนิ ทมะ ราชาธริ าชดงั น้แี ล้ว องค์พระประทปี แกว้ บรมครูเจา้ ก็ทรงพระมหากรณุ าบำาเพ็ญพระพุทธกจิ อย่จู นตลอด กาล อวสาน แล้วกเ็ สดจ็ ดบั ขันธป์ รนิ พิ พานลว่ งไป ฝ่ายสมเด็จพระเจา้ อรินทมะราชาผู้โพธสิ ัตว์ คร้นั ไดล้ ทั ธยาเทศคำาพยากรณ์จากสำานักของพระผ้มู พี ระภาค เจา้ ฉะน้ี ก็เกดิ ความยนิ ดีปรดี าปราโมทย์เปน็ หนักหนา จงึ ตัง้ พระทยั อตุ สาหะพยายามสร้างสมอบรมบม่ พระ บารมใี ห้ยง่ิ ขึ้นไปอกี ดว้ ยมพี ระราชประสงคจ์ าำ นงมนั่ แกพ่ ระปรมาภเิ ษกสมั โพธิญาณในอนาคตกาลภาย ภาคหนา้ ตามพระพุทธฎีกาพยากรณ์ของพระสขิ บี รมศาสดาจารย์ เมอื่ ถงึ กาลสวรรคตแล้วก็มสี คุ ติเป็นทไ่ี ป ในเบ้ืองหน้า
166 ๒๑. สมเดจ็ พระเวสสภอู ุบตั ิ เม่ือศาสนาของสมเดจ็ พระมง่ิ มงกฎุ พระสิขีสัมมาสมั พทุ ธเจ้า เส่อื มสญู สิน้ ไปแลว้ โลกกว็ า่ งเปลา่ จากพระ บวรพทุ ธศาสนาอยู่เปน็ เวลาช้านาน สน้ิ กาลนบั ได้ พทุ ธนั ดร หนึ่งแลว้ คราทีน่ นั้ จงึ มสี มเดจ็ พระชินสีห์สัมมา สมั พุทธเจา้ เสดจ็ มาอุบตั ติ รสั ในโลกอีกพระองคห์ น่ึง ภายในมัณฑกปั น้นั เอง สมเดจ็ พระพุทธเจ้าพระองค์ ใหม่ท่ีเรากำาลังกลา่ วถงึ กันอยู่น้ี ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระมง่ิ มงกฎุ เวสสภู สัมมาสมั พุทธเจ้า พระองค์ทรง เปน็ พระบรมไตรดลกนาถ เมอื่ ทรงอุบตั ขิ ้นึ แลว้ ก็ทรงมพี ระมหากรุณาบาำ เพญ็ พระพทุ ธจริยา ทรงประกาศ พระบวรพทุ ธศาสนายังประชาสตั ว์ทงั้ หลายให้พ้นจากทุกข์ภัยอันใหญ่ หลวงในวฏั สงสาร ทรงประทานอมต ธรรมคุณวิเศษตามสมควรแก่อุปนสิ สยั ให้แก่พุทธเวไนยนิกรทง้ั ปวง เปน็ อนั มาก กาลครั้งน้นั พระบรมโพธสิ ตั วเ์ จ้าของเราได้สืบปฏิสนธถิ ือกาำ เนิดในขตั ติยราชตระกลู ณ กรงุ สรกวดี มหานคร เมอ่ื สมเดจ็ พระชนกาธิราชเสดจ็ สวรรคตแล้วก็ไดเ้ สวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้า สุทสั สนะมหาราช พระองคท์ รงมมี หทิ ธอิ ำานาจยงิ่ ใหญ่ แผไ่ ปทว่ั พน้ื ปฐพแี วน่ แควน้ ทรงปกครองอาณา ประชานิกรให้ได้รบความผาสกุ ทุกถ้วนหน้า ด้วยทรงมีพระปรชี าแลาด มีน้าำ พระทัยองอาจมั่นคงในการ ประกอบกศุ ลกรรมใหส้ ำา่ สัตวไ์ ด้รบั สุขโดยทศพธิ ราช ธรรม วนั หนึ่งได้ทรงสดบั กติ ตคิ ณุ บนั ลอื ว่า สมเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เสด็จอุบัติขึ้นในโลกแลว้ ก็มีพระกมล ผ่องแผ้วมากไปดว้ ยความโสมนัสยนิ ดี รีบเสด็จไปยงั ที่ๆ องค์สมเดจ็ พระผูม้ ีพระภาคเจ้าประทบั อยู่ ครน้ั ได้ ทรงสดับพระธรรมเทศนาท่ีพระบรมครูเจา้ ทรงแสดงโปรดก็ยิ่งทรงปรดี า ปราโมทย์เป็นล้นพน้ นิมนต์ พระอรยิ สงฆ์มีองคส์ มเด็จพระเวสสภูเจา้ เป็นประธาน ให้เขา้ ไปรบั ภตั ตาหารในพระราชวงั ในวันร่งุ ข้นึ แลว้ ก็ทรงถวายไตรจีวรสมณบรขิ ารอื่นอกี เปน็ อันมาก เท่าน้ันยังไม่สมกบั พระราชศรัทธา จงึ รบั สง่ั ใหห้ า นายชา่ งฝีมือเอกมาเสกสรรสรา้ งพระคันธกฎุ เี ปน็ ทป่ี ระทับของ สมเด็จพระพุทธองค์ โดยมวี ิหารอันเปน็ ท่ีพกั อยูข่ องพระอรยิ สงฆ์ แวดลอ้ มพระคันธกฎุ นี ั้นเป็นอนั มาก แลว้ ทรงอปุ ฏั ฐากบาำ รงุ ดว้ ยจตุปัจจัยมไิ ด้ขาด จาำ เนียรกาลนานมา พระราชศรทั ธาก็แก่กลา้ ข้นึ เรื่อยๆ ในที่สุด พระองค์ไดส้ ละราชสมบตั ิออกทรงผนวช
167 เป็นภิกษใุ นสำานกั แหง่ สมเดจ็ พระเวสสภบู รม ครูเจ้าเพอ่ื ทรงบาำ เพ็ญพระพทุ ธบารมี คราทน่ี ัน้ องคส์ มเด็จพระสรรเพชญเ์ วสสภบู รมโลกนายกจึงตกพระโอษฐออกพระวาจาเปน็ พระพทุ ธ พยากรณว์ ่า \"สทุ ัส สนะบรมขัตติยภกิ ษนุ ี้ นานไปในอนาคต กำาหนดได้ ๓๑ มหากัปแตก่ ัปนี้ไป จกั ไดต้ รสั เปน็ พระสพั พญั ญสู ัมมาสัมพุทธเจา้ พระองค์หนงึ่ ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภทั รกปั หนงึ่ อนั จกั ปรากฎมีในอนาคตภายภาคหนา้ \" คร้ัน ไดส้ ดบั พระพทุ ธพยากรณฉ์ ะน้ี หน่อพระชินสหี ส์ ุทสั สนะภกิ ษุผโู้ พธสิ ตั ว์ก็มีจติ โสมนสั ยนิ ดี คร้ันถงึ แก่ ชพี ติ ักษัยก็มีสคุ ติเป็นที่ไปในเบ้ืองหน้า ดว้ ยประการ ฉะน้ี ภทั รกปั ลำาดับน้ี กถ็ งึ ระยะเวลาทีเ่ รยี กว่า ภทั รกัป ซึง่ เป็นมหากัปสาำ คญั กันเสยี ที ก่อนอ่นื กใ็ คร่ที่จะกล่าววา่ บรรดาเราทา่ นทัง้ หลายทไี่ ดต้ ดิ ตามการสรา้ งพระบารมเี พอื่ พระปรมาภิเษกสัมโพธิ ญาณ แห่งองคส์ มเดจ็ พระศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาจารย์ของเรา มาจนถงึ เพียงนีแ้ ล้ว เป็นอย่างไร เห็นแลว้ หรอื ยังว่า สมเด็จ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ พระองค์ทรงเปน็ พระบรมศาสดาของเราน้นั กว่าจะได้มีโอกาสมาอบุ ตั ติ รัสในโลกและ ทรงประทานพระโอวาทนนสุ าสนี ให้เราทา่ นทัง้ หลายได้ประพฤติปฏบิ ัติ ิกนั อยูท่ ุกวนั นี้ พระองคต์ อ้ งทรง สรา้ งพระบารมมี าเป็นเวลาชา้ นาน และยากลาำ บากนักหนาใช่หรอื ไมเ่ ล่า การท่กี ล่าวแทรกไว้ คลา้ ยกับจะแกลง้ ให้เรือ่ งหยดุ ชะงักเสยี ชั่วครู่ ในตอนน้ีความจรงิ ไม่มีอะไร เพยี งแต่มาคิดเอาเองว่า หากจะพรรณนาเร่ือยๆ ไปกย็ ่อมทาำ ได้ แต่ใหเ้ ป็นหว่ งอย่วู ่าเรื่องการสรา้ งพระ บารมีท่พี รรรณนาน้ี เทา่ ทผ่ี ่านมาแลว้ กเ็ ปน็ เวลามากมายหลายมหากปั นักหนา วา่ เปน็ มหากัปนัน้ บ้าง
168 มหากัปน้บี า้ ง ซ่งึ คอ่ นข้างจะจำาได้ยากสกั หนอ่ ย ถา้ ไมค่ ่อยพจิ ารณาให้ดกี ็เหน็ ทีจะสับสน คอื อาจทาำ ใหง้ งๆ ไปบา้ งก็ได้ \"ฮ้ัย! น่ีมนั ผา่ นกปั อะไรต่อมิอะไรมาบ้างแลว้ ละ่ และเม่ือไรจะส้ินสุดถงึ กัปทไ่ี ดท้ รงตรัสรูก้ ัน เสียที\" ด้วยเหตุนี้ จึงหยดุ เลา่ เสยี ชว่ั ครแู่ ลว้ ต้งั ใจจะบอกให้ร้วู า่ บัดนี้ถงึ มหากปั ทีส่ ำาคัญแลว้ ขอใหค้ อย สังเกตจดจาำ ให้ดี เอาละ เมื่อได้หยุดพักออกนอกเร่ืองมาพอสมควรแลว้ ทีน้ี ก็จะได้กลา่ วถงึ เรอื่ งการสร้าง พระบารมีขององคส์ มเด็จพระผมุ้ พี ระภาคเจา้ สบื ต่อไป ดาำ เนินความวา่ เมอ่ื ศาสนาแหง่ องค์สมเดจ็ พระม่ิงมงกฎุ พระเวสสภู สัมมาสมั พทุ ธเจา้ เส่อื มสญู ล่วงไปนานแลว้ จึงจะสน้ิ อายแุ ห่งมัณฑกัป ทก่ี ล่าวมาแลว้ นนั้ ลว่ งไปแล้ว กเ็ ริม่ ตน้ ขึ้นกปั ใหม่ตอ่ มา แตก่ ล็ ว้ น สญู เปลา่ เปน็ สญุ กัป เสียทั้งสิ้น ไมม่ ีองค์พระชินสหี ส์ ัมมาสัมพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาอุบัติตรัสในโลกเรานแี้ ต่สกั พระองค์เดยี วเลย เป็นเวลาล่วงเลยนานถงึ ๓๑ มหากปั นบั วา่ โลกต้องเว้นวา่ งห่างไกลสูญเปล่าจากพระบวร พทุ ธศาสนาอยู่นานนกั เมอ่ื สญุ มหากปั ทง้ั ๓๑ นั้น ล่วงไปโดยลำาดับ คราที่น้ัน จึงมาถึงมหากปั ท่ีสาำ คญั มหา กัปท่ีสาำ คัญท่ีว่าน้ัน กค็ อื มหากปั ท่ีกาำ ลงั ปรากฎอยู่ในปจั จุบนั ทุกวันน้นี ัน่ เอง มหากปั ทก่ี ำาลงั ปรากฎอยู่ในปจั จบุ ันน้ี มชี ่อื เรียกวา่ ภัททกัป หรอื ภทั รกัป ทำาไมจงึ เรยี กวา่ ภัทรกัป? ข้อน้ี เห็นจะไม่ต้องพูดมาก เพราะไดเ้ คยกล่าวไวแ้ ล้ว หากจะใหก้ ล่าวซา้ำ อกี ทกี ต็ ้องกล่าวว่า คำาวา่ ภทั รกัป หมาย ถงึ กัปท่เี จรญิ ท่สี ุด เจริญย่งิ กวา่ บรรดากัปอืน่ ๆ ท้ังหมด ไม่ว่ากบั อะไรกเ็ จรญิ สู้ภัทรกปั นี้ไมไ่ ด้ ตอ่ กาลนาน นักหนาจงึ จะปรากฎกปั เช่นน้ขี ึ้นในโลกสักครัง้ หน่งึ ลองนกึ ทบทวนเถิด ตั้งแต่พรรณนามานีเ่ ปน็ เวลานาน มใิ ชน่ อ้ ย แต่ยังไม่เคยมีภัทรกัปเลย เพง่ิ จะมามปี รากฎเอาในตอนน้เี อง เหตไุ รจงึ ถกู เรยี กว่าเปน็ กัปทเี่ จริญ ทีส่ ุด กเ็ พราะว่า เม่อื ภัทรกปั นี้ปรากฎแลว้ ยอ่ มมีสมเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาอุบัติตรสั ในระหวา่ ง กปั นมี้ ากถงึ ๕ พระองค์ทีเดยี ว เชน่ ในภทั รกปั ท่ีกาำ ลงั ถงึ อย่นู ี้ กม็ ีสมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ เสด็จมาอบุ ัตติ รัสในโลก ตามลำาดบั ๕ พระองค์ คอื ๑. สมเดจ็ พระม่งิ มงกุฎกกุสนั ธะพทุ ธเจ้า ๒. สมเดจ็ พระมงิ่ มงกฎุ โกนาคมนะพทุ ธเจ้า ๓. สมเด็จพระมิง่ มงกุฏกัสสปะพทุ ธเจา้
169 ๔. สมเดจ็ พระมิง่ มงกุฎศรีศากยมนุ โี คดมพทุ ธเจา้ คอื องค์พระบรมศาสดาของเราท่านทกุ วันนี้ และ ๕. สมเด็จพระม่ิงมงกฏุ ศรอี ารยิ เมตไตรยพุทธเจ้า ซง่ึ จะมาตรสั ในอนาคตกาลภายภาคหนา้ บดั น้ี จะได้พรรรณนาถึงการสรา้ งพระบารมขี ององค์สมเด็จพระศรศี ากยมนุ โี คดมบรมครูเจา้ ในตอนต้น แห่งภทั รกัปนต้ี อ่ ไป ขอทา่ นผูม้ ปี ญั ญาท้งั หลาย จงตงั้ ใจศึกษาพจิ ารณาดว้ ยดี ดังตอ่ ไปน้ี ๒๒. สมเดจ็ พระกกุสนั ธะอบุ ัติ กาลเม่อื สมเดจ็ พระมิง่ มงกฎุ พระกกสุ นั ธะสัมมาสมั พุทธเจา้ เสดจ็ มาอุบตั ิตรสั ใน โลกในตอนตน้ ภทั รกัปน้นั พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ ดว้ ยทรงมพี ระมหากรุณาในพระทยั ทรงบาำ เพ็ญพระพทุ ธจรยิ า ทรงประกาศพระบวรพทุ ธศาสนา อนั เสื่อมสูญไปจากโลกนานนกั หนาแลว้ ให้ปรากฎมขี ึ้นเพอื่ ประชาสตั ว์ ทัง้ หลายจกั ไดด้ ืม่ อมตรสถงึ สนั ติบทคอื พระ นพิ พาน พระองคท์ รงเปน็ พระบรมโลกตุ ตมาจารย์ประทานโลกุ ตตรสมบตั ิอนั สงู สดุ ให้แก่ปวง สตั วเ์ ป็นอนั มากแล้ว ครง้ั น้นั พระโพธสิ ัตวเ์ จา้ ของเราได้สืบปฏสิ นธิถือกำาเนิดเปน็ มนุษยใ์ นขัตตยิ ราชวงศ์ เมือ่ องคส์ มเดจ็ พระบรมชนกาธริ าชเสดจ็ สวรรคตแล้ว ก็ได้เสวยราชสมบตั ิทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระเจา้ เขมะนราธริ าช พระองคท์ รงมมี หิทธอิ ำานาจอันยงิ่ ใหญ่ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนดว้ ยพระมหากรณุ าดจุ บดิ ากับบตุ ร เปน็ ท่สี ุดเคารพของปวงประชากร เพราะพรองคท์ รงดำารงอยใู่ นทศพธิ ราชธรรรม วันหนึง่ ทรงมีโอกาสพบ สมเด็จพระโลกเชษฐกกสุ นั ธะสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ได้ทรงสดบั พระธรรมเทศนาแลว้ มพี ระทัยโสมนสั เล่ือมใส นักหนา ตั้งแตว่ นั นั้นเป็นต้นมา กท็ รงพระอุตสาหะเสด็จไปสดบั พระธรรมเทศนาในสาำ นกั แห่งองค์สมเดจ็ พระผมู้ พี ระ ภาคเปน็ ประจำาทุกวนั อุโบสถพรอ้ มกบั ได้ถวายทานในพระศาสนาเปน็ อันมาก ต่อมากท็ รงมีพระ
170 ราชศรทั ธายิ่งขึ้นเป็นลาำ ดับ ในท่สี ุด ทรงสละราชสมบัติออกบรรพชาในสาำ นกั แห่งพระบรมศาสดา ทรงพระ อตุ สาหะศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมจนแตกฉานในพระไตรปิฎก ปรากฎพระคุณนามเปน็ พิเศษวา่ พระธรรมปฎิ ก ธราธริ าชภิกขุ เป็นทเ่ี ล่อื มใสของประชาชนทง้ั หลาย ในสมัยนัน้ เป็นอนั มาก กาลวนั หนึง่ สมเด็จพระสรรเพชญก์ กสุ ันธะบรมไตรโลกาจารยจ์ งึ โปรดประทานพระพุทธฎีกาพยากรณ์วา่ \"พระ เขมราชภกิ ขนุ ี้ เป็นนยิ ตโพธิสตั วเ์ ท่ียงแทท้ จี่ ะได้ตรัสเปน็ พระสพั พัญญสู มั มาสัมพุทธเจ้า พระองค์หนง่ึ ทรงพระนามวา่ พระศรศี ากยมุนโี คดม ในอนาคตกำาหนดนบั เป็นลาำ ดับที่ ๔ ใน ภทั รกปั น\"้ี คร้นั ทรงกระทำาพระพุทธพยากรณแ์ ก่ พระบรมโพธสิ ตั วเ์ ้จา้ ซ่ึงเป็นพระเขมราชภิกขฉุ ะนีแ้ ลว้ สมเด็จองคพ์ ระ ประทีปแกว้ กกสุ ันธะสัมมาสมั พทุ ธเจ้ากท็ รงบาำ เพญ็ พระพทุ ธกจิ อยู่ จนตลอดอวสานกาลเมอื่ ประมาณพระ ชนมายุยืนถึงสีห่ มื่นปี ก็เสดจ็ ดับขันธปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายหนอ่ พระชนิ สหี เ์ ขมราชภกิ ขผุ มู้ พี ระพทธบารมี ญาณใกล้จะสาำ เรจ็ เมื่อไดร้ บั ลัทธยาเทศคำาพยากรณจ์ ากสมเดจ็ พระพุทธเจา้ ผทู้ รงพระทศพลญาณกม็ ีกมล โสมนสั ปรดี า อธษิ ฐานพทุ ธาภินิหารบารมใี ห้มั่นมากในขนั ธสนั ดาน สมาทานถอื เท่ยี งทศบารมีธรรมไม่ เสอื่ มคลาย ครน้ั แตกกายทาำ ลายขันธแ์ ลว้ กอ็ ุบตั เิ กิดเปน็ เทพบุตรสุดประเสริฐ ณ สวรรค์เทวโลก ๒๓. สมเดจ็ พระโกนาคมนะอุบตั ิ เมอ่ื ศาสนาของสมเด็จพระม่ิงมงกุฎพระกกสุ นั ธะสัมมาสมั พทุ ธเจ้าเสื่อมสูญหมด ส้นิ ไปแล้ว โลกก็วา่ งเปลา่ จากพระบวรพทุ ธศาสนาอยชู่ วั่ ระยะเวลานานส้นิ กาลได้ พทุ ธันดร หนึ่งแล้วจงึ มสี มเด็จพระชนิ สหี ส์ มั มาสัม พุทธเจา้ เสด็จมาอบุ ัติตรสั ในโลกใน ภทั รกปั น้อี กี พระองค์หนึง่ สมเดจ็ พระพทุ ธเจ้าพระองคใ์ หม่นี้
171 ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระม่งิ มงกุฎโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเปน็ พระบรมไตรโลกนาถ เมอื่ ทรงอุบัตขิ ้ึนแลว้ ก็ทรงมพี ระมหากรุณาบาำ เพญ็ พระพุทธจรยิ า ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนา ยงั ประชาสัตวท์ ัง้ หลาย ท้ังเทพยดาและมนษุ บใ์ หไ้ ดด้ ่ืมอมตรสถึงซงึ่ สนั ติบทคือนฤพานให้พ้นจากทุกอนั ใหญ่ หลวง ในวฎั สงสารเปน็ อนั มากแล้ว กาลครัง้ น้นั พระบรมโพธสิ ัตวเ์ จ้าของเราไดส้ บื ปฏสิ นธถิ ือกาำ เนดิ เปน็ มนุษยใ์ นขัตตยิ ราชวงศ์ ณ กรงุ มถิลา ราชธานี เมอื่ สมเด็จพระชนกาธบิ ดเี สด็จสวรรคตแลว้ ก็ได้เสวยราชสมบตั ทิ รงพระนามว่า สมเดจ็ พระเจา้ บรรพตบรมขนั ติยาธบิ ดี ทรงมีมหทิ ธิอำานาจอนั ย่ิงใหญ่ ทรงปกครองไพรฟ่ า้ ประชานกิ รใหไ้ ดร้ บั ความผาสุก สวัสดเี สมอเป็นนิตย์ เพราะทรงดาำ รงอยใู่ นทศพธิ ราชธรรม วนั หนึง่ ได้ทรงมีโอกาสเขา้ เฝา้ สมเด็จพระโกนา คมนะสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แล้วสดบั มธุรธรรมิกถา ทรงมจี ิตศรัทธาเลอื่ มใส จงึ ได้ถวายไตรจวี รอันตระการด้วย กปั ปาสิกพสั ตร์และโกไสยพสั ตร์ กบั รองเท้าทาำ แล้วด้วยกนกรัตนน์ แล้วถวายภตั ตาหารอนั ประณตี แกพ่ ระ อรยิ สงฆ์ มีองค์สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้าเปน็ ประธานอยู่สิน้ กาลเจด็ วนั คราน้นั ถงึ จุดเข้าพรรษา จงึ ทรง อาราธนาสมเดจ็ พระบรมศาสดา กบั ทงั้ พระอรยิ สงฆส์ าวกใหเ้ ข้าจาำ พรรษา ณ อารามใกลก้ รุงซงึ่ ทรงสรา้ ง ขึ้นแล้วทรงอปุ ัฏฐากบาำ รงุ อยเู่ ปน็ นิตยต์ ลอดไตรมาส สามเดือน ครง้ั กาลเวลาเคล่ือคลอ้ ยออกพรรษาแลว้ ก็ ทรงมีพระราชศรัทธาบาำ เพญ็ พระราชกุศลถวายสมณบรขิ ารแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระทศพลเป็น ประธานอกี เปน็ อนั มาก คราท่ีนั้น องคส์ มเด็จพระโกนาคมนะบรมศาสด เม่อื ทรงมพี ระมหากรณุ แกบ่ รมกษตั ริย์ จงึ ไดต้ รสั พระธรรม เทศนาภตั ตานุโมทนาเปน็ พเิ ศษ ครนั้ ทรงสดับธรรรมิกถาของสมเดจ็ พระโลกเชษฐแล้ว พระเจ้าบรรพตบรม กษัตริยก์ ม็ ีพระทยั เลอ่ื มใสย่ิงนกั ทรงสละราชสมบัตอิ อก ทรงผนวชบวชเป็นพระภกิ ษใุ นสาำ นักแหง่ พระผู้มี พระภาคเจ้าแลว้ กท็ รงพระอุตสาหะศกึ ษาเล่าเรียนจนทรงมคี วามรู้แตกฉานในพระไตรปฎิ ก เป็นท่เี คารพ เลอ่ื มใสของชาวประชาในสมยั น้นั เปน็ อันมาก
172 ครงั้ น้นั จึงองคส์ มเดจ็ พระผ้มู ีพระภาคโกนาคมนะสมั มาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผบู้ รมไตรโลกาจารย์ ได้โปรด ประทานพระพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า \"พระ บรรพตราชภกิ ขนุ ี้ เปน็ นยิ ตโพธิสตั ว์เทย่ี งแท้ทจี่ ะได้ตรสั เป็นพระสพั พญั ญู สมั มาสมั พุทธ เจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามวา่ พระศรีศากยมนุ ีโคดม ณ กาลใกล้ในอนาคต กำาหนดเป็น ลาำ ดับที่ ๔ ในภทั รกปั น\"ี้ สมเดจ็ พระชนิ สหี โ์ กนาคมนะสัมมาสมั พุทธเจา้ ครน้ั ทรงกระทาำ พระพทุ ธพยากรณ์ฉะนีแ้ ลว้ ก็ทรงบาำ เพ็ญ พระพุทธกิจโปรดพุทธเวไนยอยูจ่ นพระชนมายไุ ด้สามหม่ืนปี กเ็ สด็จดับขนั ธป์ รินิพพานลว่ งไป ฝา่ ยพระบรม โพธสิ ตั ว์บรรพตราชภิกขผุ ้มู พี ระบารมใี กล้จะสาำ เร็จ เมือ่ ไดร้ ับลัทธยาเทศคำาพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธ องคด์ ังนัน้ กม็ ีพระกมลเกษมโสมนสั ปรดี าทงพระอตุ สาหะสร้างพระพทุ ธาภินหิ าร ใหม้ ากม่ันในสันดาน สมาทานถอื เที่ยงทศบารมีธรรมไม่เส่อื มคลาย คร้ันแตกกายวายชีวิตแล้วกม็ ีสึคุ ติเปน็ ที่ไปในเบือ้ งหน้า คือ สงั สารณาการท่องเทีย่ วในมนษุ ย์แลสวรรค์เปน็ อนั มาก ด้วยวบิ ากกุศลกรรมความดีที่พระองค์ทรงสรา้ งไว้ แตอ่ ดตี ชาติ แลบดั น้ี ก็ใกล้จกั ได้สำาเร็จแกพ่ ระปรมาภิเษกสมั โพธญิ าณแล้ว ฉะนนั้ พระองคจ์ งึ ไมค่ ลาด แคล้วจากสคุ ตภิ ูมิ ๒๔.สมเด็จพระกสั สปะอบุ ัติ เม่อื ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎโกนาคมนะสมั มาสมั พทุ ธเจ้าเสอ่ื มสูญหมดส้ิน ไปแล้ว โลกกว็ ่างเปล่า จากพระบวรพทุ ธศาสนาชว่ั ระยะเวลานานไดพ้ ุทธนั ดรหน่ึงแลว้ คราทน่ี นั้ จึงปรากฎมอี งคส์ มเด็จพระ ประทปี แกว้ สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัตติ รสั ในโลก เรานอ้ี ีกพระองค์หน่งึ ทรงพระนามวา่
173 สมเดจ็ พระมงิ่ มงกำาุ กสั สปะสมั มาสัมพุทธเจ้า พระองคท์ รงเปน็ พระบรมไตรโลกนาถ เมือ่ ทรงอบุ ตั ิขน้ึ แลว้ ก็ ทรงมีพระมหากรณุ าบำาเพ็ญพระพุทธจรยิ า ทรงประกาศพระบวรพทุ ธศาสนายังประชาสัตว์ทง้ั ทวยเทพแล มนุษย์ใหไ้ ดร้ ับสมบัติ อนั ประเสริฐสดุ คือมรรค ผล นิพพานเป็นอันมากแล้ว กาลคร้ังนน้ั พระบรมโพธสิ ัตวเ์ จา้ อขงเราได้สืบปฏสิ นธิถอื กาำ เนิดเป็นมนุษยม์ าณพหน่มุ นามวา่ โชตปิ าล มาณพ ได้ศกึ ษาแจ้งจบในไครเพทางศาสตร์ ปรากฎว่าเปน็ ผ้ฉู ลาดรอบรใู้ นการพิจารณาดภู ูมสิ ถานและ อากาศวิถีทางแหง่ นักษัตรฤกษ์นมิ ิตมสี หายรว่ มชวี ิตนามว่า ฆฏิการมาณพ เป็นนายช่างหม้อ วันหนึ่งได้ สดบั ข่าวกิตตคิ ณุ บนั ลอื ว่า พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าทรงอุบัติขนึ้ ในโลกแลว้ จึงชวนกันเข้าไปเฝา้ สมเด็จพระผมู้ ี พระภาคเจา้ ครนั้ ได้สดับมธุรธรรมนกิ ายแลว้ กม็ ีจิตผ่องแผ้วเตม็ ไปด้วยความเล่ือมใสศรัทะา จึงสละเพศ ฆราวาสบวชเป็นภกิ ษภุ าวะในพระบวรพุทธศาสนา มคี วามอุตสาหะในคันถธรุ ะ พยายามศกึ ษาเล่าเรียนจน ได้รับยกยอ่ งนบั ถอื จากมหาชนเปน็ อันมาก ดงั นั้น จึงองคส์ มเด็จพระสรรเพชญก์ ัสสปะสมั มาสมั พุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมโลกนายก ทรงไว้ซึง่ พระสพั พัญญุตาญาณ ได้ทรงมีพระพทุ ธบรรหารพยากรณว์ า่ \"พระโชติ ปาลภิกขุน้ี เปน็ นยิ ตโพธิสัตว์เทย่ี งแท้จะท่จี ะตรสั เปน็ พระสพั พญั ญูสัมมาสมั พทุ ธเจ้า พระองคห์ นึ่ง ทรงพระนามวา่ พระศรีศากยมุนโี คดม ในอนาคตกาลภายภาคหน้า เมอื่ ศาสนา แหง่ เราตถาคตเส่อื มสญู สนิ้ หมดไปแลว้ พระโชตปิ าลภกิ ขจุ กั ได้ตรสั ร้เู ป็นพระพทุ ธเจา้ ต่อจาก เราตถาคต กำาหนดนับเปน็ ลาำ ดบั ที่ ๔ ในภทั รกัปน\"้ี สมเดจ็ พระชนิ สีหก์ สั สปะสัมมาสัมพุทธเจา้ ครัน้ ทรงกระทาำ พระพุทธพยากรณ์แกบ่ รมโพธิสตั วเ์ จา้ ของเรา ฉะนี้แล้ว ตอ่ แตน่ นั้ ได้ทรงบำาเพ็ญพทุ ธกิจโปรดพุทธเวไนยอยูจ่ นพระชนมายไุ ดส้ องหมื่นปี กเ็ สด็จดบั ขันธ ปรนิ พิ พานล่วงไป ฝา่ ยพระบรมโพธสิ ัตวโ์ ชตปิ าลภกิ ขุผู้มีพระบารมีใกลจ้ ะสาำ เรจ็ เม่อื ไดร้ บั ลทั ธยาเทศคำา พยากรณจ์ ากสมเด็จพระพุทธองคด์ งั นนั้ ก็มีกมลเกษมโสมนสั ปรีดา มีอุตสาหะสร้างพระพทุ ธาภนิ ิหารบารมี ใหม้ ากม่นั ในสันดาน สมาทานถือเท่ียงทศบารมีธรรมไมเ่ ส่อื มคลาย เมอ่ื แตกกายวายชวี ติ แลว้ กม็ ีสุคตโิ ลก สวรรค์เป็นท่ีอบุ ัติ
174 ทา่ นผู้มีปญั ญาท้งั หลาย สมเดจ็ พระศรีศากยมนุ โี คดมบรมครูเจา้ แหง่ เราท้ังปวงนน้ั เม่อื พระองคท์ ่านทรง สรา้ งพระบารมีในระยะกาลเวลาหนึง่ แสนมหากปั ทรงมโี อกาสพบและไดร้ บั ลัทธยาเทศนค์ ำาพยากรณ์จาก สาำ นักแห่งองคส์ มเด็จพระสัมมา สัมพทุ ธเจา้ ๑๕ พระองค์ ซงึ่ มรี ายละเอียดปรากฎตาที่พรรณนามาน้ี ฉะนน้ั จึงเปน็ อันสรปุ ได้วา่ ในการสรา้ งพระพทุ ธบารมีเพอ่ื พระปรมาภิเษกสมั โพธญิ าณของพระองค์ในตอน ปลาย ซ่ึงนบั เป็นเวลานานมากหลายถงึ ๔ อสงไขย กบั อกี หนึ่งแสนมหากัปนั้น พระองค์ไดท้ รงพบพระพทุ ธ เจ้ารวมท้งั ๒๗ พระองค์คอื ๑. ในตอนระยะเวลา ๔ อสงไขยนัน้ ได้ทรงพบพระพุทธเจ้า ๑๒ พระองค์ ๒. ในตอนระยะเวลาหนง่ึ แสนมหากปั น้นั ไดท้ รงพบพระพุทธเจ้า ๑๕ พระองค์ รวม สองระยะเวลาน้ีเข้าดว้ ยกนั จึงเปน็ อันว่พระองคท์ รงมโี อกาสพบสมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์ แต่พระองคท์ รงไดร้ ับลทั ธยาเทศคำาพยากรณจ์ ากสำานกั แหง่ พระพทุ ธเจา้ เพียง ๒๔ พระองค์เท่าน้นั เพราะว่าในนพทุ ธสมยั แห่งพระพุทธเจ้า ๓ พระองคแ์ รก คอื สมเดจ็ พระตัณหงั กรพุทธเจ้า ๑ สมเด็จพระเม ธงั กรพุทธเจา้ ๑ สมเด็จพระสรณังกรพทุ ธเจา้ ๑ นนั้ ถงึ แมพ้ ระองคท์ า่ นจะมีโอกาสพบทุกๆ พระองคก์ ด็ ี กย็ งั ไม่ได้รับลัทธยาเทศคำาพยากรณ์ เพราะธรรมสโมธานยงั ไม่บริบูรณ์ มาได้รบั ลทั ธยาเทศคาำ พยากรณ์ เอา ตั้งแต่สมเด็จพระทีปังกรสมั มาสัมพุทธเจ้า เปน็ ต้นมา จนกระทั่งถงึ สมเดจ็ พระบรมศาสดากสั สปสัมมา สัมพุทธเจา้ ทกี่ ล่าวถงึ เมื่อตะก้ี น้เี ปน็ พระองค์สดุ ท้าย จึงเปน็ อันรวมความไดว้ ่า สมเด็จพระบรมครูเจ้าของ เราท้ังหลาย เม่ือครั้งเป็นพระบรมโพธิสตั ว์ ได้รบั ลทั ธยาเทศจากสาำ นกั แหง่ องคพ์ ระโลกเชษฐสมั มาสัมพทุ ธ เจ้า รวมด้วยกนั ทง้ั สิ้น ๒๔ พระองค์ ด้วยประการฉะน้ี
175 เม่ือหน่อพระชนิ สหี ์บรมโพธิสัตวไ์ ด้รับลทั ธยาเทศเปน็ ครั้งสดุ ทา้ ยจากสำานกั แหง่ องคส์ มเดจ็ พระมิ่งมงกฎุ กสั สะปะสมั มาสมั พุทธเจ้าในภัทรกปั นแ้ี ลว้ พระองคก์ ย็ งั ต้องสร้างพระบารมตี ่อไปอกี อยา่ งไม่หยุดยง้ั เพราะ เหตุทีพ่ ระองคม์ ีน้าำ พระทัยรักในพระโพธญิ าณ รกั ในพระศาสนาเป็นกำาลัง ก็ความท่พี ระองคม์ นี าำ้ พระทยั รัก และเป็นหว่ งใยในพระบวรพุทธศาสนาน้ี มตี ัวอย่างท่จี ะเหน็ ไดง้ ่ายๆ ตามเรอื่ งทปี่ รากฎในตอนใกล้ท่จี ะได้ ตรสั รู้นีเ่ อง ดงั ตอ่ ไปนี้ พระอมรนิ ทรเทวราชโพธิสัตว์ เมื่อสมเดจ็ พระม่งิ มงกุฎกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดบั ขนั ธป์ รนิ พิ พานไปแล้ว แตศ่ าสนาของพระองคท์ ี่ ทรงพระมหากรณุ าประกาศไวย้ ังดาำ รงอยู่ ยังมีผูป้ ระพฤตติ าม พทุ ธบรษิ ทั ทง้ั ๔ คือภกิ ษุ ภิกษุณี อบุ าสก อุบาสิกา กย็ ังมีครบอยู่ แตก่ าลค่อยลว่ งเลยมา พระศาสนาของพระองค์ก็คอ่ ยเสือ่ มถอยลง เพราะพุทธ บรษิ ัทตา่ งพากันประพฤตกิ รรมลามกเลวทรามประการตา่ งๆ ไมต่ ้งั อยใู่ นพระธรรมวนิ ัยเหน็ ไปว่าศาสนาคาำ สอนของพระบรมศาสดาเป็นของไม่ สำาคญั จงึ พากนั ถือเอาศาสนาเปน็ เครื่องมือสำาหรบั เล้ียงชีวติ เหน็ ศาสนาเป็นเครอื่ งเลน่ เอาความคดิ ความเห็นอันไมถ่ กู ตอ้ งของตนเขา้ มาระคนปนกบั คาำ สอนของพระบรม ครูเจ้า มีนาำ้ ใจดูเบาในคำาสอนของพระผู้มพี ระภาคเจ้า บอกเลา่ พระพทุ ธพจน์ผิดๆ ถกู ๆ เพราะขาดการ ปฏบิ ตั ิ จึงขจัดวจิ ิกิจฉาความสงสยั ในพระรตั นตรัยให้ออกจากดวงใจของตนมิได้ เมอ่ื มคี วามสงสัยอยู่ ความเช่อื ในคาำ สอนของพระผู้มีพระภาคเจา้ กไ็ ม่มอี นั ตงั้ มัน่ แนน่ อนลงไปได้ จึงพากนั ประพฤตกิ รรมอัน เป็นการบ่อนทาำ ลายศาสนาท่ี ตนเคารพนบั ถือโดยไมร่ ู้ตวั เมอื่ แตกกายวายชวี ิตแล้ว พทุ ธบรษิ ัทเหลา่ น้ัน ต่างกพ็ ากันไปเกิดในนริ ยภมู ิ คอื ตอ้ งตกนรกหมกไหมไ้ ด้เสวยทุกขอ์ ยา่ งนีม้ ากมายนักหนา
176 ครา ทน่ี ้นั จงึ สมเดจ็ พระอมรนิ ทรเทวาธิราช เจ้าจอมสวรรคช์ ัน้ ไตรตรงึ ษ์ ซ่ึงคร้งั หนงึ่ เคยเปน็ พระโชตปิ าล ภกิ ขุ ผ้เู ป็นสาวกขององคส์ มเดจ็ พระกสั สปะสมั มาสัมพุทธเจา้ พระองค์นน้ั จำาได้ไหมเล่าท่านท้งั หลาย วา่ โชติปาลภิกขุองคน์ ้ี คอื ท่านผ้ใู ด? ถูกแลว้ ... กค็ ือพระโชติปาลภกิ ขุองค์ทอ่ี งคส์ มเดจ็ พระกสั สปะสัมมาสมั พุทธเจ้าได้ทรงมี พระมหากรุณาธคิ ณุ พยากรณ์ว่าจกั ไดต้ รัสเป็นพระพทุ ธเจ้า ทรงนามวา่ พระศรศี ากยมนุ โี ค ดม ตามทเ่ี ลา่ มาน่ันเอง บัดน้ีได้มาสืบปฏสิ นธถิ อื กำาเนิดเปน็ จอมเทพยเจา้ ณ สรวงสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ ดำารง พระยศยง่ิ ใหญ่ในตำาแหนง่ สมเด็จพระอมรนิ ทราธริ าช คือพระอนิ ทร์ เสวยทิพยสมบตั ปิ กครองเทพบริษทั อยู่ โดยผาสกุ เมือ่ ได้ทรงทราบว่าพวกพทุ ธบรษิ ทั พากันเปน็ อลัชชี ไม่มคี วามละอายตอ่ บาป กระทำาการหยาบ ชา้ เปน็ การย่ำายีพระพุทธศาสนา ประพฤตินอกพระธรรมวนิ ยั ของพระบรมศาสดา ทำาให้พระพุทธศาสนา อัน แสนประเสริฐต้องเสือ่ มลงเชน่ นนั้ กพ็ ลนั บังเกิดความสังเวชในดวงจติ และมพี ระทัยคดิ จะยกย่องพระบวร พุทธศาสนา จึงมเี ทวโองการรบั ส่งั ใหห้ า พระมาตลเี ทพบตุ ร เขา้ มาเฝา้ แล้วจงึ มีเทวประกาศิตรบั ส่งั ให้พระ มาตุลเี ทพบุตรนัน้ จาำ แลงแปลงเพศเปน็ สุนัขดำาตวั ใหญ่นกั หนาขนาดม้าอาชาไนย มเี ขย้ึ ว ๔ ซใ่ึ หญ่เทา่ กบั ผลกล้วย ท้งั มีรสั มีพวกพุง่ ออกจากปากน่ากลวั ย่ิงนัก ปรากฎว่ามคี วามนา่ กลัวขนาดทห่ี ญิงมีครรภ์ เหน็ เข้า แล้วตกใจจนครรภต์ กไปได้ทีเดยี ว พระมาตลีเทพบุตรสนุ ัขแปลงมพี วงดอกไม้แดงผกู ทีศ่ รี ษะ ฝ่ายสมเดจ็ พระอมรินทรเ์ ทวาธิราชผู้โพธิสตั วเ์ อง กท็ รงจาำ แลงแปลงเพศเป็ฯนายพรานน่งุ ห่มผา้ ยอ้ มนำ้าฝาดครำา่ เกลา้ ผมขา้ งหลัง สวมพวงดอกไมแ้ ดงท่คี อ หตั ถ์ขา้ งซ้ายถอื ธนมู สี ายประกอบด้วยสเี หมือนแกว้ ประพาฬ หัตถ์ ขา้ งขวาถอื เชือกผกู สนุ ัขนนั้ แล้วกพ็ ลันเสด็จลงมาจากสรวงสวรรคช์ นั้ ดาวดึงสด์ ัน้ ดน้ มาถึงมนุษยโลก ณ กรงุ พาราณสี ซึ่งมพี ระเจ้าอสุ สนิ นรมหาราช เปน็ พระราชาในสมยั นัน้ ครนั้ จวนจะถึงพาราณสซี ึ่งมีระยะทาง ก่ึงโยชน์ ก็ทรงอุโฆษณาการร้องประกาศกึกก้องขนึ้ ๓ ครงั้ ภิกษุทง้ั หลาย! โลกจักฉบิ หาย ภิกษุทั้งหลาย! โลกจักฉบิ หาย ภกิ ษุท้งั หลาย! โลกจักฉิบหาย
177 แล้วก็ทรงดำาเนนิ จงู สนุ ขั บ่ายหนา้ ไปยังพระบรมราชวงั ดว้ ยอาการขรึกอยูด่ ูน่ากลัวนักหนา ฝ่ายชาวประชาท้งั หลาย เม่อื ได้ประสบการณเ์ ชน่ นนั้ ตา่ งก็พากันตกใจกลวั เป็นท่ยี ง่ิ วง่ิ หนีเขา้ ไปกราบทลู พระเจ้าอุสสนิ นรมหาราชให้ทรงทราบ พระองคก์ ร็ ีบรบั สง่ั ให้ปิดประตูพระนครเสยี โดยเร็ว เม่อื นายพรานมา ถงึ เห็นประตวู งั ปดิ อย่เู ชน่ นั้นก็พาสุนัขดาำ ใหญ่ของตนกระโดด ขา้ มประตวู งั ซึ่งมีความสูงถึง ๑๘ ศอก เข้าไป ในพระนครได้แลว้ กป็ ล่อยให้สุนขั เทยี่ วไล่กดั คนทง้ั หลายเป็นโกลาหล คนเหล่าน้นั ก็พากันวิง่ หนีอย่างไม่คดิ ชวี ิต บางคนกว็ ่ิงหนเี ขา้ ไปในเรอื น บางคนวิง่ เข้าไปในพระลานหลวง พระราชทรงเหน็ เหตกุ ารณ์เชน่ นั้นก็ตก พระทัย สุนัขใหญ่ตวั นัน้ ก็ยกเท้าหน้าทั้งสองขนึ้ เหยียบชอ่ งพระแกล แลว้ กเ็ หา่ ข้ึนด้วยเสยี งดุดันลงไปถึง อเวจีมหานรก และทางเบ้ืองสงู ก็ดังขนึ้ ไปถึงพรหมโลก ชาวเมืองตา่ งกพ็ ากนั ตกใจกลัวอกส่นั ขวัญหาย ไม่มี ใครกล้าออกมารอหน้านายพรานประหลาดนนั้ ได้เลย เม่อื พระเจ้าอุสสินนรมหาราช รวบรวมพระสติได้ม่นั แลว้ จงึ มพี ระดาำ รัสถามนายพรานป่าไปวา่ \"สุนขั ของท่าน มันเห่าเพราะอะไร?\" \"มนั หิว พระเจา้ ข้า\" นายพรานปา่ กราบทูล \"ถ้าเช่นน้นั กม็ ิเปน็ ไร เราจะหาอาหารใหม้ นั เอง\" พระราชาตรสั แล้ว กด็ ำารสั สงั่ ใหค้ นจัดหาอาหารมาให้สนุ ขั ตัวนัน้ เมื่ออาหารถกู นำามาวางให้ตรงหนา้ สนุ ัข ใหญน่ ้นั เคีย้ วขยำ้าเพยี งคาำ เดยี วก็หมดแลว้ จงึ เรมิ่ เห่าดดุ นั ด้วยเสยี งเขยา่ ขวัญคนทง้ั หลายต่อไปอีก พระราชากท็ รงใหจ้ ัดอาหารมาใหส้ ุนัขใหม่ แม้จะหามาให้มากมายหลายคร้งั หลายหน จนเอาอาหารหมอ วังสนุ ขั นั้นก็เคย้ี วจนหมดสิน้ และหาอ่ิมไม่ แล้วทำากิริยาตาขวางดรุ ้ายเหา่ ดว้ ยเสียงดังขึ้นอีก พระราชาเม่ือ ไดท้ อดพระเนตรเหน็ การณอ์ นั แปลกประหลาดเช่นนั้น กท็ รงเกรงกลัวย่งิ นกั เพราะทรงตระหนักสงสยั วา่ คง เป็นยกั ษป์ ลอมแปลงมาหรอื อย่างไร จึงดาำ รสั ถามพรานปา่ ต่อไปวา่
178 \"สนุ ัขดำาของทา่ นน้ี ดทู า่ ทีดรุ ้ายเหลือประมาณ มเี ข้ยี วมฟี ันขาว คมใหญ๋ จะใหก้ ินเทา่ ใดกไ็ มอ่ ่ิม มนั กดั กินแต่ อาหารหรือว่ากนิ อย่างอืน่ ดว้ ย?\" \"ขอเดชะ ข้าแตพ่ ระเจา้ อสุ สนิ นรมหาราช ! สุนัขของข้าพระบาทตวั นี้ มันกัดกนิ มนุษย์ด้วย พระเจ้าข้า\" พราน ป่าสมเด็จพระอมรินทราธิราชทูลตอบ \"สนุ ขั ของท่าน กนิ มนษุ ยท์ กุ คนหรอื ๆ วา่ เลอื กกินเฉพาะเปน็ บางคน\" พระราชทรงถามดว้ ยความหวนั่ เกรง \"มันเลือก พระเจา้ ขา้ ! เลอื กยกเวน้ เฉพาะผูท้ ่ีมีธรรมเปน็ มิตรของข้าพระบาทเทา่ น้นั มันจงึ จะไมก่ ดั กนิ แตถ่ ้า ผใู้ ดไมใ่ ชม่ ติ รในธรรมของข้าพระบาทน้ี หากมีอยใู่ นโลกแลว้ สนุ ัขดาำ ตวั นี้ เมือ่ หลุดจากเชอื กล่ามคอทข่ี ้า พระบาทถือไว้ มนั จะว่งิ ไปกดั กินคนเหลา่ น้นั เปน็ อาหารทง้ั หมด ขอพระองค์จงทรงจำาไวเ้ ถิดพระเจ้าขา้ \" พรานป่ากราบทลู ดง่ั นแ้ี ล้ว ยังมิทันทพ่ี ระราชาจะดาำ รสั ถามส่ิงใดต่อไป กเ็ หาะลอยขึ้นไปกลางอากาศเวหา กายากลบั เพศเป็นองคส์ มเดจ็ พระอมรนิ เทวาธริ าช รงุ่ เรืองด้วยเทพรัศมีแล้ว มเี ทวโองการขู่กษัตริยอ์ สุ สิน นรราชาผคู้ รองนครนน้ั วา่ \"ดกู รพระราชา ตวั เราน่เี ป็นท้าวสักกเทวราช เรานี่เหน็ วา่ โลกจกั ฉิบหาย เพราะวา่ คนทง้ั หลายพากัน ประพฤติผิดทาำ นองคลองธรรม ยา่ำ ยพี ระบวรพุทธศาสนาอันประเสริฐ ตายไปเกดิ ตม็ แน่นอยู่ในอบายนรก แล้ว มีใจสงั เวช จงึ ได้มาท่ีน่ี ต่อจากนี้ไป หากผู้ใดประพฤตไิ มช่ อบธรรม เราจะลงโทษผ้นู ั้น ขอพระองคจ์ ง อย่าประมาท จงเอาใจใสร่ าษฎรทั้งบรรพชิตแลคฤหัสถ์ ตกั เตือนใหป้ ระพฤติธรรมจงทวั่ กันเถิด\" ครัน้ มีเทวโองการขูค่ นทง้ั หลาย มีพระราชเปน็ ประธานใหเ้ กิดความกลวั ตาย เพราะจะถกู ลงโทษจากเท พฤทธ์ ให้มีจิตเป็นกศุ ลตั้งอยู่ในธรรมดังนี้แลว้ องคส์ มเด็จพระอมรินทรเ์ ทวาธิราชผู้เปน็ หนอ่ พระชนิ สีห์บรม โพธิสัตว์พร้อมดว้ ย สนุ ขั ดำาใหญ่ คือพระมาตลีเทพบตร ก็พากนั เสด็จกลบั ไปยังดาวดึงส์เทวโลก
179 เรอ่ื งที่พรรณนามานี้ ยอ่ มจะชีใ้ ห้เห็นแล้ววา่ พระบรมโพธสิ ัตวข์ องเราท่านทง้ั หลายน้นั พระองคม์ ีพระหฤทัย ม่ันคงในธรรม และมนี ้ำาใจรกั และหว่ งใยพระบวรพุทธศาสนา เพยี งไร แม้วา่ กำาลงั สถติ เสวยเทวสมบตั ิอยู่ ณ สรวงสวรรค์ แตพ่ ระทัยนัน้ มคี วามเป็นหว่ งพระพทุ ธศาสนา เมื่อเห็นชาวประชาพากันประพฤตนิ อกรตี ผิด ทาำ นองคลองธรรม กม็ ีอตุ สาหะมาตกั เตอื นให้ประพฤติชอบ นแ่ี ลเป็นคุณลักษณะของทา่ นผ้สู รา้ งพระบารมี เพ่ือพระปรมาภเิ ษกสมั โพธญิ าณ หวงั จะช่วยร้ือขนสัตว์ไปใหพ้ ้นจากทุกขภ์ ัยอนั ใหญ่หลวงในวัฏสงสาร จาำ เนยี รกาลแตช่ าติเป็นองค์สมเดจ็ พระอมรนิ ทรเทวาธิราชตามที่เล่ามานี้แลว้ พระบรมโพธิสตั วเ์ จา้ ของเรา ก็เฝา้ สรา้ งสมอบรมบม่ พระบารมี จนกระท่งั ถึงพระชาตทิ ี่ทรงสืบปฏิสนธถิ อื กำาเนิดในมนุษยโลกเรานี้ คือ คราที่เสวยพระชาตเิ ปน็ พระเวสสันดรมหาบรุ ษุ เจา้ ก็ในกาลทีพ่ ระองค์ทรงเสวยพระชาติเปน็ พระเวสสันดร โพธิสัตวเ์ จา้ น้นั ไดท้ รงบาำ เพญ็ พระบารมีมากมายทำาใหพ้ นื้ แผน่ ปฐพไี หวถึง ๗ ครั้ง ครน้ั ถึงแกช่ ีพิตกั ษัยจาก พระชาตินน้ั แล้ว ก็ไดไ้ ปอบุ ตั เิ กดิ เป็นเทพยเจ้าผู้มเหศักด์ินามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตร เสวยทิพยสมบตั เิ ปน็ บรมสขุ อยู่ ณ ดุสติ เทวโลก เจรญิ พระชนมายไุ ด้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ อันนี้เป็นธรรมประเพณแี ห่งพระมหาบรุ ุษรัตน โพธสิ ตั ว์เจา้ ทกุ ๆ พระองค์มา แท้จริง ธรรมดาวา่ พระมหาบรุ ุษรตั นโพธิสัตวเ์ จา้ ทงั้ หลายน้ัน หากว่าพระบารมียังมไิ ดบ้ ริบูรณ์แล้ว แม้วา่ ใน บางพระชาติจะได้ไปอุบัติเกิ ิด ณ สรวงสวรรค์ เทวโลกช้ันใดชนั้ หนงึ่ จะเปน็ ดุสิตเทวโลกกด็ ี นมิ านรดีเทวโลก กด็ ี หรอื ปรนมิ มิตวสวตั ตเี ทวโลกก็ดี ซ่ึงมีอายุทพิ ยย์ ัง่ ยนื นกั หนา พระองคก์ ็หาสถติ อยใู่ นสวรรค์ชัน้ นั้นๆ จน ตราบเท่าสิ้นพระชนมายไุ ม่ เพราะเหตุว่าในเทวภิภพนนั้ ยากท่ีจะบาำ เพญ็ พระบารมเี พอื่ พระโพธิญาณให้ บรบิ ูรณไ์ ด้ ฉะนั้นสมเด็จพระโพธสิ ัตว์เจ้าทั้งหลายผมู้ ีหฤทัยจำานงรกั ใครอ่ ยแู่ ตเ่ ฉพาะพระ โพธิญาณ เม่ือเสวยทพิ ยสมบัตพิ อควรแกก่ าลแลว้ ย่อมทรงทำาอธมิ ุตตกาลกิรยิ าจุตลิ งมาบังเกิดในมนุษยโลกเรานี้ โดยควรแก่ อัธยาศัย หาสูม้ คี วามอาลัยในสวรรคสมบัตมิ ากนไั ม่ เพราะมีความประสงคใ์ ครจ่ ะทรงสร้างพระ บารมีให้บริบูรณเ์ ป็นประมาณ ครน้ั เมือ่ พระบรมโพธสิ มภารเตม็ เป่ียมอาจสามารถจักไดต้ รัสเปน็ เอกองค์ อรหันต สมั มาสัมพุทธเจ้าในพระชาตติ อ่ ไปแล้ว จงึ จะเสดจ็ สถติ อยู่ ณ ดสุ ติ เทวโลกจนครบกาำ หนดพระ ชนมายุ
180 กบ็ ดั น้ี หน่อพระชินสีห์โพธิสตั ว์เจา้ ทเ่ี รากำาลงั ตดิ ตามดพู ระประวตั ิของพระองคท์ า่ น อยู่น้ี พระองคท์ รงมี พระบรมโพธิสมภารเตม็ เปย่ี มบรบิ ูรณ์ ตงั้ แต่ครั้งเป็นพระเวสสันดรบรมกษตั ริย์ ฉะน้นั จึงทรงมาอบุ ัติเกดิ เป็นเทพบุตร เสวยทพิ ย์สมบัติเปน็ สุขอยู่ ณ ดสุ ิตเทวโลกไป จวบจนส้ินทิพายุกาลในสวรรค์ช้ันดสุ ิตน้ี ซ่ึงมี เวลานานถึง ๔,๐๐๐ ปี หรอื ถา้ จะนับด้วยปีมนุษยโลกนี้ กน็ ับได้ ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี รอเวลาท่จี ะไดล้ งมาตรสั แกพ่ ระปรมาภเิ ษกสัมโพธิญาณต่อไป พรรณนาในเรอื่ งการสรา้ งพระบารมีตอนปลาย ซง่ึ นับเป็นเวลายาวนานได้ ๔ อสงไขย กับเศษอีกหน่ึงแสน มหากปั แห่งองค์สมเดจ็ พระมงิ่ มงกฎุ ศรีศากยมุนีโคดมบรมครู เจ้าของเราท่านทั้งหลาย เห็นสมควรทึจ่ ะยุติ ลงไดแ้ ล้ว จงึ ขอยตุ ิลงดว้ ยประการฉะน้ี
181 บทท่ี ๕ พระบรมไตรโลกนาถ บดั นี้ จักพรรณนาถึงความทอี่ งคส์ มเด็จพระสรรเพชญ์สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงเป็นพระบรม ไตรโลกนาถ คือ เปน็ ท่ีพงึ่ อย่างยอดเยย่ี มแหง่ สัตว์โลกทงั้ สาม ซ่ึงรวมทงั้ ตัวเราท่านทง้ั หลายในปจั จุบนั ขณะนี้สืบตอ่ ไป นับต้ังแต่พระองคไ์ ดท้ รงสร้าง พระพทุ ธบารมเี ริม่ แรกเป็นมโนปณิธาน ตัง้ ความปรารถนาเปน็ พระพุทธเจา้ ในพระทัย ณ สมัยท่ที รงสืบปฏิสนธืิถอื กาำ เนิดเปน็ มาณพหนุ่ม ผ้แู บกมารดาขา้ มมหาสมุทรเป็นตน้ มา จน กระทง่ั ถงึ คร้งั สดุ ท้ายไดท้ รงถือกำาเนิดเกดิ เปน็ พระเวสสนั ดรมหาบุรษุ พุทธ พงศโ์ พธิสัตว์เจา้ นบั นับเปน็ เวลา ชา้ นาน รวมทั้งสิ้นได้ ๒๐ อสงไชย กับเศษอกี หน่งึ แสนมหากัป ตลอดระยะเวลาเหลา่ นี้ พระองคผ์ ู้ทรงมพี ระหฤทยั ผกู พันมุง่ มั่นปรารถนาซ่ึงพระปรมาภเิ ษกสัมโพธญิ าณ ตอ้ งทรงสร้างสมอบรมพระบารมอี ยา่ งยิง่ ยวด มไิ ด้ทรงเอื้อเฟอ้ื อาลยั ใยดตี อ่ ร่างกายและชีวติ พระองคเ์ ลย แมแ้ ตน่ ้อย ตอ้ งทรงพลชี วี ติ เลือดเน้อื ออกแลกกับพระโพธญิ าณนับครั้งไม่ถ้วน พระองค์ทรงบริจาคโลหิตในพระวรกายใหเ้ ป็นทน ก็มีประมาณมากกว่ากระแสชลวารีท้ัง ๔ สมทุ ร พระองค์ทรงบรจิ าคมงั สะ คอื เนื้อในพระวรกายให้เปน็ ทานก็มีประมาณมากกวา่ พ้นื แผน่ มหาปฐพี พระองค์ตดั พระเศียรซึง่ ประดบั สรรพอลงั การให้เปน็ ทาน ถ้าจะประมาณสะสมเอาไว้ ก็มปี ระมาณมากกวา่ ผลมะพรา้ วอันมีอยู่ในปฐพีมณฑล
182 พระองคท์ รงคว้านควัพระเนตรทั้งสองซ้ายขวาใหเ้ ปน็ ทานก็มีประมาณมากว่าดวงดารากรในอากาศ พระองค์ทรงผา่ นพระทรวง เพกิ หฤทัยออกให้เปน็ ทานก็มปี ระมาณมากกว่าผลไม้ท้ังหลายบรรดามใี นพน้ื มณฑลสกลปฐพี ท่านผูม้ ีปัญญาท้ังหลาย ความเสยี สละอันยิ่งใหญใ่ นการสร้างพระบารมี แห่งองคส์ มเด็จพระบรมโพธสิ ตั ว์ เจ้าของเราย่อมปรากฎมมี ากมายเปน็ มหศั จรรยต์ าม ที่พรรณนามานี้ เมื่อพระองค์ทรงมีวาสนาบารมีครบ ถ้วนบรบิ รู ณท์ กุ ประการ และถึงกาลอนั สมควรแลว้ พระองคก์ ็เสด็จจุตจิ ากสวรรคช์ นั้ ดสุ ิตเทวโลกมาอุบตั ิ ตรัสพระปรมาภิเษก เปน็ เอกองค์สมเด็จพระจอมมุนชี นิ สีหส์ ัมมาสมั พุทธเจ้าในมนุษยโลกน้ี เมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ กว่าปมี าแล้ว ซงึ่ พระพุทธประวัติในตอนนีก้ เ็ ปน็ ท่ีทราบกันท่วั ไปโดยมากแลว้ จงึ จกั ขอยกไว้ ในที่สดุ ใครท่ ่จี ะกล่าวถงึ ความทพ่ี ระองค์ทรงเป็นนาถะทพี่ งึ่ อย่างยอดเย่ียมของชาวโลก ว่าการท่ีองคส์ มเด็จพระ สมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงเป็นนาถะทพ่ี ่ึงอย่างยอดเยยี่ ม ของชาวโลกนนั้ ทรงเป็นที่พึงได้อย่างไร? ในกรณนี ี้ ก่อนอน่ื ต้องทราบวา่ การที่พระองค์ทรงพระอตุ สาหะสร้างพระบารมีมาอยา่ งแสนลาำ บากยากเยน็ ตามที่ พรรณนามาแล้วน้นั กด็ ว้ ยมพี ระประสงค์จะนำาพระองคอ์ อกจากทุกข์ภยั ในวัฏสงสารและมีพระ ประสงคจ์ ะ รอื้ ขนสตั ว์โลกออกจากทุกข์ภัยในวฏั สงสาร เพอ่ื ให้มีโอกาสเขา้ ไปสู่แดนเกษมสำาราญ คอื อมต มหานพิ พาน นแี่ หละคอื จดุ ประสงคอ์ นั ย่ิงใหญข่ องสมเด็จพระพทุ ธองคเ์ จา้ ขอใหพ้ วกเราชาวพุทธบรษิ ทั จาำ ไว้ใหด้ ีอย่างนีก้ ่อน ทนี ี้ พวกเราจะพากันย้อนไปพูดถึงเรอื่ งที่วา่ วัฏสงสารฟ นนั้ คอื อะไร? มอี รรถาธบิ ายท่ี ควรแกก่ ารศึกษาใหเ้ ขา้ ใจ ดงั ต่อไปนี้
183 วฏั สงสาร การท่สี ตั ว์ท้งั หลายทุกรปู ทกุ นาม ตอ้ งทอ่ งเทยี่ ววนเวยี นอยใู่ นภูมติ ่างๆ คอื ต้องวนเวียนตายเกดิ อยู่ในโลก ต่างๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสดุ เรียกชอ่ื วา่ วัฎสงสาร คอื การทอ่ งเทย่ี วเวยี นตายเวยี นเกดิ เพราะวัฏฏ หมายถึง วนเวยี น เมอื่ จะจาำ แนกวัฏสงสารเป็นประเภทใหญ่ๆ เพือ่ ให้จาำ ไดง้ า่ ย กม็ ี ๓ ประเภท คือ ๑. เหฏฐิมสงสาร คอื การทอ่ งเที่ยวเวียนเกดิ เวยี นตายอยู่ในภูมิช้ันตาำ่ อนั เปน็ ชั้นเลว มีทกุ ขม์ าก ซึ่งมอี ยู่ ๔ โลก คอื ๑. นิรยภมู ิ โลกนรก ๒. เปตตวิ สิ ยั ภมู ิ โลกเปรต ๓. อสรุ กายภูมิ โลกอสุรกาย ๔. ตริ จั ฉานภูม โลกเดียจฉาน ๒. ปชั ฌมิ สงสาร คือการท่องเทย่ี วเวยี นตายเวยี นเกดิ อยู่ในภมู ิชน้ั กลางอนั เป็นโลกชั้นดี มีสุขเป็นโลกียพ์ อ ประมาณ ซ่งึ มีอยู่ ๗ โลก คอื ๑. มนสุ สภมู ิ โลกมนษุ ย์ ๒. จาตมุ หาราชิกาภูมิ เทวโลกชน้ั ๑ ๓. ตาวตงิ สาภมู ิ เทวโลกชน้ั ๒ ๔. ยามาภูมิ เทวโลกชั้น ๓ ๕. ตสุ ติ าภูมิ เทวโลกช้ัน ๔ ๖. นิมมานรตภี ูมิ เทวโลกช้ัน ๕ ๗. ปรนิมมิตวสวัตติภมู ิ เทวโลกชน้ั ๖
184 ๓. อปุ รมิ สงสาร คือการท่องเทยี่ วเวียนเกดิ เวยี นตายอยใู่ นภมู ชิ ัน้ สูง อันเปน็ โลกชั้นดวี ิเศษ มสี ุขมาก ซ่งึ มอี ยู่ ๒๐ โลก คือ ๑. พรหมปารสิ ัชชาภูมิ พรหมโลกชัน้ ๑ ๒. พรหมปุโรหติ าภูมิ พรหมโลกชั้น ๒ ๓. มหาพรหมภมู ิ พรหมโลกช้ัน ๓ ๔. ปริตตาภาภมู ิ พรหมโลกชั้น ๔ ๕. อปั ปมาณาภาภูมิ พรหมโลกชัน้ ๕ ๖. อาภสั สราภมู ิ พรหมโลกชัน้ ๖ ๗. ปรติ ตสุภาภูมิ พรหมโลกช้นั ๗ ๘. อัปปมาณสภุ าภูมิ พรหมโลกช้นั ๘ ๙. สุภกณิ หกาภมู ิ พรหมโลกช้นั ๙ ๑๐. เวหปั ผลาภูมิ พรหมโลกชนั้ ๑๐ ๑๑. อสัญญาสตั ตาภมู ิ พรหมโลกช้นั ๑๑ ๑๒. อวหิ าภูมิ พรหมโลกชัน้ ๑๒ ๑๓. อตปั ปาภูมิ พรหมโลกช้นั ๑๓ ๑๔. สทุ สั สาภูมิ พรหมโลกชนั้ ๑๔ ๑๕. สุทัสสีภมู ิ พรหมโลกชั้น ๑๕ ๑๖. อกนฏิ ฐกาภูมิ พรหมโลกช้นั ๑๖ พรหมโลกทงั้ ๑๖ ภมู นิ ี้เปน็ รปู ภูมิ คอื เปน็ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้วิเศษทง้ั หลายที่ปรากฎมีรูป แต่วา่ เปน็ รูป ทพิ ย์ ๑๗. อากาสานญั จายตนภมู ิ พรหมโลกชนั้ ๑๗ ๑๘. วิญญานัญจายตนภูมิ พรหมโลกชนั้ ๑๘ ๑๙. อากญิ จัญญายตนภูมิ พรหมโลกชน้ั ๑๙
185 ๒๐. เนวสญั ญานาสญั ญายตนภูมิ พรหมโลกชัน้ ๒๐ พรหม โลกทั้ง ๔ ภูมนิ ้ี เป็นอรปู ภูมิ คือเปน็ ที่อยูข่ องพระพรหมผูว้ ิเศษท้งั หลาย ซึง่ มฌี านอนั สูงเย่ยี ม อยู่ไกล สงู สดุ จากมนุษยโลกเรานีม้ ากนัก ท่านพระพรหมเหล่านไี้ มม่ รี ปู รา่ งปรากฏอยู่เลย แมแ้ ตร่ ูปทิพย์กไ็ มม่ ี และ มอี ายยุ นื นานนับเป็นหม่นื ๆ มหากปั ทเี ดยี ว ท่านผมู้ ปี ัญญาทง้ั หลาย ภูมเิ หลา่ น้ที ั้งหมด ยกเวน้ สทุ ธาวาสภมู ิ ๕ เสยี แล้ว ย่อมเปน็ ทอี่ บุ ตั เิ กิด เปน็ ท่ีอยแู่ ละ เป็นท่ตี ายแห่งสัตวท์ ้ังหลายทกุ รูปทกุ นาม ไม่มกี ารยกเว้น ไม่วา่ จะเปน็ เราเป็นท่าน ย่อมต้องทอ่ งเท่ยี วเวียน ตายเวยี นเกดิ อยภู่ ายในภูมเิ หล่าีน้ ีเ้ รอ่ื ยไปไมม่ ี วนั สนิ้ สุดลงได้ตอ้ งอยู่ภายในวฏั สงสารมิภมู ใิ ดกภ็ ูมิหน่งึ อยา่ งแน่นอน บรรดาสัตวท์ งั้ หลาย ซึ่งทอ่ งเท่ียวอย่ใู นวฏั สงสารขณะนี้น้ัน ทจี่ ะได้ชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ ที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาล ยอ่ มเป็นไปมไิ ดเ้ ลยเปน็ อันขาด จงเชื่อเถดิ แม้จะอบุ ัตเิ กดิ ในภมู ิท่ีดี ภมู ิสงู เสวยสมบัตวิ เิ ศษสดุ ดุจพระยา มหาจักรพรรดริ าชกด็ ี มที พิ ยสมบตั ปิ ระเสริฐหนกั หนา ดุจองค์สมเด็จอมรนิ ทราธริ าชเจ้าจอมสวรรค์ชนั้ ไตร ตรึกษก์ ไ็ ด้ หรือมีความสุขแสนวิเศษดจุ องค์พรหมเมศร์ ณ เบ้ืองพรหมโลกทัง้ ปวงก็ดี แต่ทจี่ ะเท่ียงแทย้ ัง่ ยนื เปน็ อยู่อยา่ งนั้นตลอดกาล ย่อมเป็นไปมิได้อย่างเดด็ ขาด ยอ่ มจะตอ้ งร้พู ลดั รู้พรากรฉู้ ิบหาย ตายจากสมบตั ิ จากความสขุ นั้นๆ ไปเปน็ ธรรมดา ในเม่ือถึงคราวสิ้นอายุหมดบุญแล้ว ก็ย่อมจะแคลว้ คลาดเคล่อื นจาก วัฏสงสารทีก่ ล่าวมานี้ และการท่ีจะไปเกดิ ในภมู ิอะไรนน้ั กเ็ ป็นไปตามอาำ นาจกรรมแห่งตน คอื หากว่ามอี กุศลกรรม ได้แกม่ บี าปอันหยาบช้าลามกท่ีตนทำาไว้ด้วยใจสกปรกใจหมองเศร้า บางทีเล่า ก็พลดั ไปเกดิ ในจตุรบายคอื อบายภมู ิท้งั ๔ มีโลกนรกเปน็ ตน้ ต้องกระวนกระวายเสวยทกุ ขเวทนาอยา่ งแสนสาหสั เหลือประมาณ เพราะเป็นเหฏฐิมสงสาร การพลดั ไปเกดิ ในภมู ขิ นั้ ตำ่า ถ้าทาำ ความดปี ระกอบกรรมทเี่ ป็นกุศล ไว้ กรรมทเี่ ปน็ กศุ ลก็จะดลบันดาลใหข้ นึ้ มาอบุ ัตใิ นมัชฌมิ สงสาร คอื เกิดในมนษุ ยภูมิ มีสขุ บา้ ง ทุกข์บ้าง ปะปนกนั อย่ตู ามทรี่ ้ๆู กนั อยู่น้ี ถา้ ทำาความดไี ว้มากกไ็ ปอุบัตเิ กิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา ณ สวรรค์ชั้นฟ้า
186 มหี น้าตาช่นื บานได้รบั ความสุขสำาราญดกี วา่ มนุษย์เป็นไหนๆ เพราะเตม็ ไปด้วยกามคุณอารมณ์ ถา้ ไดส้ ร้าง สมาสมาธจิ ติ บำาเพญ็ ภาวนา จนบรรลถุ งึ ฌานต่างๆ แล้ว กไ็ มแ่ คล้วทจ่ี กั ไปอุบตั เิ กดิ ณ พรหมโลกเปน็ องค์ พรหมเมศร์ กรรมที่ทาำ ไว้ ถงึ อายุขยั ก็ตอ้ งจุตไิ ปเกิดในภมู อิ ืน่ อกี ตอ่ ไปตามยถากรรม แล้วเฝ้าพำานกั อยู่ และ ก็เวียนไปเวยี นมาอยู่ในมหาสมทุ รทะเลหลวง กล่าวคือวฏั สงสารนเี้ รอื่ ยไปไมม่ วี ันหยดุ ยง้ั เท่ียงแทแ้ นน่ อน อยใู่ นที่แห่ง เดยี วไดเ้ ลย เพ่อื ความกระจา่ งแจ้งในข้อน้ี พึงทราบความวิจิตรพิสดารของวฏั สงสาร ซง่ึ จะ กล่าวอยา่ งย่อๆ ดังต่อไปนี้ อนั วา่ ฝงู สัตวน์ รกนั้น ครัน้ เขาสิ้นอายใุ นนรกขมุ ทต่ี นเสวยทุกข์โทษนน้ั แลว้ บางทีกก็ ลบั เกิดซำ้าอยใู่ นนราำ ขมุ เก่าน้ันอกี ก็มี บางทกี ไ็ ปเกดิ ในนรกขุมอื่นๆ กม็ ี บางทกี ็ไปเกดิ เป็นเปรต บางทีไปเกิดในกาำ เนิดอสุรกายก็มี บางทไี ปเกิดเป็นสัตวเ์ ดียรฉานก็มี บางทกี ม็ าเกดิ เปน็ คนในมนุษยโลกเราน้ี บางทีถ้าเคยไดป้ ระกอบกรรม อนั เป็นบญุ กุศลมาก่อนบา้ ง กไ็ ด้ไปเกดิ เป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟา้ อันว่าฝูงเปรตท้ังหลายน้นั คร้ันเขาสิน้ อายตุ ายจากเปรตวสิ ยั แลว้ บางทกี ไ็ ม่แคลว้ กลบั เกิดเปน็ เปรตซาำ้ อีกก็ มี บางทีไปเกดิ เปน็ สตั ว์เดียรแานก็มี บางทพี อหมดบาปกรรมแลว้ มาเกดิ เปน็ คนในมนษุ ยโลกเราน้ีก็มี บางทกี ็เคยไดป้ ระกอบกรรมอนั เป็นกศุ ลมากอ่ นบา้ งกไ็ ด้ ไปเกิดเปน็ เทพยดา ณ สวรรคเ์ มอื งฟ้า อันวา่ ฝูงอสรุ กายท้งั ปวงนัน้ คร้ันเขาสนิ้ อายุตายจากอสุรกายภมู แิ ล้ว บางทีกไ็ ม่แคลว้ กลับเกดิ เปน็ อสุรกาย ซา้ำ อกี ก็มี บางทกี ็ไปเกิดเป็นสตั ว์นรกก็มี บางทไี ปเกิดเป็นเปรตกม็ ี บางทีไปเกดิ เปน็ สัตว์เดรัจฉานกม็ ี บางที กก็ ลับมาเกดิ เปน็ คนในมนุษยโลกเรานี้ก็มี บางทถี า้ เคยไดป้ ระกอบกุศลกรรมความดไี ว้บา้ งแล้ว ก็ไดไ้ ปเกิด เปน็ เทพยดา ณ สวรรค์เมอื งฟา้ อันวา่ ฝงู สตั ว์เดรจั ฉานท้ังหลายนัน้ ครั้นเขาส้นิ อายุตายจากติรจั ฉานภมู แิ ล้ว บางทกี ไ็ ม่แคล้วตอ้ งกลบั เกิด เป็นสตั วเ์ ดียรฉานอกี เช่นน้ีกม็ ี บางทกี ็ไปเกิดในกาำ เนดิ เปรตกม็ ี บางทีก็ไปเกดิ เปน็ อสรุ กายกม็ ี บางทกี ็มา เกดิ เป็นคนในมนษุ ยโลกเรานกี้ ม็ ี บางทถี า้ เคยไดป้ ระกอบกุศลกรรมความดไี ว้ ก็ได้มโี อกาสไปเกดิ เป็น เทพยดา ณ สวรรค์เมอื งฟา้
187 อันว่ามนุษยช์ ายหญงิ ท้งหลายในมนุษยโลกเรานี้ เม่ือแบ่งเป็นประเภทใหญ่ กไ็ ด้ ๒ ประเภท คอื ๑. อนั ธพาลปถุ ชุ น... ไดแ้ กค่ นพาลสนั ดานหยาบ บญุ บาปไม่คาำ นงึ ถงึ มีชีวิตอยู่ไปวนั ๆ หน่ึง ประดุจคนตาบอด แต่เขา้ ใจว่าตนเปน็ ยอดคนในเชงิ ความคดิ เทีย่ งแผลงฤทธ์ปิ ระพฤตทิ จุ รติ เกเร มจี ติ ใจหวนเหไปขา้ งบาป มใี จอาบไปด้วยความช่ัวเชน่ น้ี ครน้ั เขาดบั ขันธส์ ิน้ ชีวี ตายจาก มนษุ ย์แล้วก็ไม่แคลว้ ทีจ่ ะต้องไปเกิดในอบายภมู ิ คอื ไปเกดิ เป็นสตั ว์นรก ๑ เปน็ เปรต ๑ เป็น อสุรกาย ๑ เป็นเดียรฉาน ๑ เชน่ นี้ก็มี บางทีอนั ธพาลปุถุชนนี้ ก็กลบั มาเกดิ เป็นคนในมนุษยโลก เราน้ีซา้ำ อีกแต่หลกี กรรมชว่ั ไปไม่พ้น เขาจงึ เป็นคนทุรพลพกิ ารเปน็ พาลอปั ลกั ษณบ์ ดั สีมีนาำ้ ใจ โหดห่นื ผู้อน่ื เห็นเขาเปน็ คนสันดานรา้ ยเพราะใจเขามิร้จู ักบุญและบาปเลย ๒. กลั ยาณปุถุชน ... ไดแ้ ก่คนดมี ีสนั ดานงาม มศี ีลธรรมประจาำ ใจประกอบไปด้วยหริ คิ วาม ละอายต่อบาปและโอตตปั ปะ ความสะดงุ้ กลวั ต่อบาปกรรม พยายามจะทาำ แตค่ วามดี มกี ารให้ ทานรักษาศลี เปน็ ตน้ บาำ เพญ็ กศุ ลอยู่เนอื งๆ เช่นน้ี ครั้นเขาดบั ขนั ธถ์ งึ แก่ชีพิตักษัยตายไปจาก มนุษย์แลว้ ก็ย่อมไมแ่ คล้วท่จี ะไปเกิดเปน็ เทพยดา ณ สวรรคเ์ มืองฟา้ ชน้ั ใดชั้นหน่งึ เช่นจตมุ หา ราชิกาสวรรค์ และไตรตรงึ ษ์สวรรค์เปน็ ตน้ เชน่ นกี้ ็มบี างทกี ็กลบั มาเกิดเป็นคนในมนษุ ยโลกเรา น้ซี าำ้ อกี แต่หลีกกรรมดงี ามทีต่ นทำาไว้ไม่พ้น เขาจึงเกิดเปน็ คนท่อี ดุ มไปดว้ ยมนุษยส์ มบัติ เกิด ในตระกลู สูง ฝูงชนพากันรกั ใครไ่ ดร้ บั ความสุขสบายนกั หนา และกลั ยาณปถุ ุชนอกี จาำ พวกหนึ่ง น้นั มีน้ำาใจอาญหาญเหลือประมาณ ได้กระทาำ สมถกรรมฐานบาำ เพญ็ ภาวนากรรม จนสาำ เร็จ ฌานตา่ งๆ ครนั้ เขาวางวายส้นิ ชีวติ จากโลกน้ีแล้ว ก็ไม่แคล้วท่จี กั ไปอุบตั เิ กิดเปน็ พระพรหมผู้ วเิ ศษ ณ พรหมโลก อันวา่ เหลา่ เทพยดาผสู้ ถติ เสวยสุขอยู่ ณ เทวโลกท้ังหลายนน้ั ครัน้ เขาหมดอายุถึงกาลจตุ แิ ล้ว บางทีกไ็ ม่ แคล้วอบุ ัตเิ กิดเปน็ เทพยดาอยทู่ สี่ วรรค์ช้นั เดิมซ้าำ อกี เชน่ นีก้ ็มี บางทีก็ไปอุบัติเกิดเปน็ พระพรหม ณ พระหม โลกก็มี บางทีก็ลดลงมาเกดิ เป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ บางทีมีบาปอกศุ ลทตี่ นเคยทาำ ก็จะมีอันเปน็ ใหว้ าบ หวำาตกลงมาจากเทวโลก จตุ ไิ ปอบุ ตั ิเกดิ ในจตุรบาย คอื เปน็ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดยี รฉาน เช่นน้กี ม็ ี
188 ทัง้ นีย้ ่อมเปน็ ไปตามอำานาจแห่งอกศุ ลทที่ ำาไว้เป็นทน่ี ่าสงั เวชสลดใจนัก อันวา่ พระพรหมผูม้ เหศกั ดิท์ ้ังหลาย ซึง่ สถติ ยอ์ ยู่ ณ เบอ้ื งบรมพรหมโลกนน้ั เล่า ครน้ั เขาสนิ้ อายุจตุ ิจาก พรหมโลกแล้วบางทีก็ไมแ่ คล้วตอ้ งอุบีัตเิ ปน็ พระพร หมอยู่ ณ พรหมโลกน้ันกม็ ี บางทีกก็ ลบั มาเกดิ เป็นคน ณ มนษุ ยโลกเราน้ี แตท่ จ่ี ะไปอุบตั เิ กดิ ในจตรุ บายภูมนิ น้ันมิไดม้ ี ที่ว่ามานี้ มิใชว่ ่าพระพรหมทง้ั หลายทา่ นปดิ อบายภมู ิได้ เป็นแตเ่ พียงว่า ท่านที่จตุ ิจากพรหมโลกแล้ว จะไม่ไปเกดิ ในอบายภูมใิ ดในชาตทิ ี่ ๒ เทา่ นนั้ ใน ชาติต่อไปนนั้ ไม่แน่ อาจจะไปเกิดในอบายภูมิทัง้ หลาย ภมู ใิ ดภูมหิ นง่ึ กไ็ ด้ ยกตัวอย่าง เชน่ มพี ระพรหมผู้ วิเศษองคห์ นง่ึ ซึง่ หมดอายุจตุ ิจากพรหมโลกแล้ว มาเกดิ เป็นคนในมนษุ ยโลกเราน้ี หากว่าคนที่เคยเป็นพระ พรหมแล้ว มาเกิดเปน็ คนในมนษุ ยโลกเราน้ี หากวา่ คนทเี่ คยเป็นพระพรหมมาก่อนน้ัน มีความประมาท ประกอบกรรมอนั เป็นบาปหยาบชา้ เช่น ปาณาตบิ าต เปน็ ตน้ และกอ่ นที่จะตาย จิตยึดเหนี่ยวเอาอกศุ ล ปาณาติบาตนน้ั เปน็ นิมิตตารมณ์ อย่างนี้ ทง้ั ๆ ทค่ี นผูน้ ั้นเคยเปน็ พระพรหมมากต็ าม ก็ตอ้ งไปเกดิ ในอบายภู มิื คือตอ้ งเปน็ สัตว์นรก เพราะอกุศลชาตินช้ี ักนาำ ไป ฉะนน้ั จึงได้ว่าพระพรหมทั้งหลายทา่ นไมไ่ ปเกิดใน อบายภูมใิ นชาตทิ ่ี ๒ เท่านัน้ แต่ชาติตอ่ ไปนั้นไมแ่ น่ สภาพการณแ์ ห่งวฏั ฏสงสาร ยอ่ มเปน็ เช่นทกี่ ล่าวมานแี้ ล ท่านผ้มู ีปญั ญาทง้ั หลาย ข้นึ ช่อื วา่ การเวยี นวา่ ย ตายเกิดในวัฏสงสารนน้ั ท่ีจะมอี ันเป็นเท่ียงแทแ้ น่นอนตลอดกาล ยอ่ มจะเปน็ ไปมิได้เลย ยอ่ มจะตอ้ งมอี ัน เป็นให้ท่องเทย่ี วไปเกิดในโลกที่ดบี า้ ง ชัว่ บา้ ง และสขุ บ้าง ทกุ ขบ้ า้ ง สลบั สบั สนปะปนกนั ไป หากคราวใดได้ มีโอกาสไปเกดิ ในโลกทด่ี มี คี วามสขุ กล่าวคือเทวโลกหรือพรหมโลกแล้ว คราวน้ันนบั วา่ เป็นการดี แตท่ ีนี้ ถา้ พลาดพลั้งลงไปอบุ ตั เิ กิดใน โลกชว่ั เช่นโลกนรกและโลกเปรต เปน็ ตน้ แล้ว ยอ่ มไมแ่ คล้วท่จี ะได้รบั ความทกุ ข์ทรมานอยา่ งแสนสาหสั และเป็นการยากนักหนาท่ีจกั ยกตนขนึ้ มาจากโลกชน้ั ตำ่านัน้ ได้ เพราะจะตอ้ งมอี นั เปน็ ให้เวยี นตายเวยี นเกดิ อยู่ทนี่ นั่ เป็นเวลานานแสนนาน
189 อีกประการหนง่ึ การท่องเทยี่ วเวยี นวนอยอู่ ยา่ งมะงมุ มะงาหลาในวัฏสงสารนี้นัน นบั ว่าเปน็ การเวียนวนไป มาไม่มีเวลาสนิ้ สุด กรณีน้สี ินา่ สะพึงกลัวนักหนา ลองหลบั ตานึกวาดภาพดูบดั นเี้ ถดิ ว่า ประชาสัตวท์ ัง้ หลาย รวมท้ังตัวเราที่กำาลังเปน็ มนษุ ยอ์ ย่ขู ณะน้ีด้วย ต้องเวียนเกิดเวยี นตายอยอู่ ยา่ งนนั้ ตลอดไป ไมว่ า่ จะเกิดข้นึ ครั้งใดเปน็ ตอ้ งตายลงไป ครัง้ น้นั เกดิ ทีไรเป็นต้องตายทกุ ที ซาำ้ ซากอยู่อยา่ งน้ีไมม่ ีวนั หยุดยงั้ ตัวเรานีเ้ อง เกิดตายมาแลว้ นับคร้งั ไมถ่ ้วน แตท่ ่ีไม่รูต้ วั มาทำาเป็นหลงลืมเสียเหมือนกบั ไม่มีอะไรเกิดขนึ้ ทำาวางทีท่าเป็น มนุษยอ์ ย่างสง่าผ่าเผยในขณะน้ี ก็เพราะอวชิ ชา คือความไมร่ ้ใู นเรือ่ งชาติภพมันปิดบงั เสยี เท่านน้ั เอง และ ตอ่ ไปนี้อีกไม่นาน ตวั เรากต็ ้องตายแลว้ ใช่ไหมเล่า? ตายแลว้ กเ็ กดิ อกี แตเ่ ฝ้าตายเกิดอย่อู ย่างนี้ตลอดไป และตลอดไปไม่มีวันสิน้ ใดุ ลงได้ ดงั นนั้ ทา่ นจงึ ว่า วฏั สงสาร เปน็ ภยั ท่นี า่ กลัวกวา่ สงิ่ ท่นี า่ กลวั ทัง้ หลายในทกุ โลก พระสัพพญั ญเู จา้ ลำาดับนี้ จงึ มปี ญั หาตอ่ ไปว่า จะทำาอย่างไร จงึ สามารถนำาประชาสัตว์ทงั้ หลาย ซง่ึ ตอ้่ งตายและต้องเกิดเวยี น วนไปมาอยา่ งไม่หยุดน้ี ให้รอดพ้นจากวัฏสงสารอันมีภยั ใหญ่น่าสะพึงกลัวนน้ั เสยี ได้ คำาวสิ ชั ชนาก็มีอยู่วา่ อยา่ ไปคดิ ...อย่าไปทาำ ด้วยตนเองให้ยากลำาบากไปเปลา่ ๆ เลย ไมส่ ำาเร็จดอก ถงึ จะทาำ อยา่ งไรๆ ก็ไมส่ าำ เรจ็ ตอ่ ใหม้ ีฤทธาศกั ดาเดช เป็นองค์พรหมเมศร์องคอ์ นิ ทรแ์ ละพญายมราช หรือแม้แต่ มนุษย์ผุม้ คี วามเพียรเปน็ อกุ ฤษฐ์ ประพฤติตบะบำาเพ็ญพรตพรหมจรรยเ์ ป็นโยคฤี าษีชไี พรกด็ ี หรือผูม้ คี วาม คดิ ยอดเย่ียม ทาำ ตนเทียมเทวดา มีปฏิภาณโวหารกล้า มหาชนยกย่องนบั ถอื กันทวั่ ท้ังโลกกด็ ี หากวา่ ยงั มี สนั ดานเปน็ พาลปุถชุ น ไมร่ พู้ ระจตรุ าริยสัจธรรมแล้ว ก็มอิ าจทีจ่ ะนาำ ประชาสตั วอ์ อกจากวัฏสงสารได้สำาเร็จ อยา่ วา่ แต่ผู้มีกิเลสทั้งหลายตามท่กี ล่าวมาแลว้ นเี่ ลย แมแ้ ต่องค์พระปจั เจกพทุ ธเจ้าซงึ่ พระองคท์ า่ นเปน็ พระ อรหนั ต์ ตัดกเิ ลสขาดออกจากจิตสนั ดานได้จนหมดสนิ้ แล้วดว้ ยพระองคเ์ อง ถงึ กระน้ัน พระองคท์ ่านก็ สามารถนำาพระองคอ์ อกจากวัฏสงสารได้ แต่ลำาพังพระองคท์ ่านผู้เดยี วเท่านัน้ แตไ่ มท่ รงสามารถที่จะนำา ประชาสัตวท์ งั้ หลายออกจากวัฏสงสารไปได้
190 แต่วิสิฐบุคคลผหู้ นง่ึ นน้ั ไซร้ ได้มงุ่ ม่ันด้วยหฤทยั หมายใครจ่ ะรอื้ ขนสตั วโ์ ลกออกไปจากวฏั สงสาร จงึ ปรารถนาพระโพธิญาณ อุตสา่ หส์ ร้างสมอบรมบ่มพระบารมีมานานนักหนา และพอพระบารมแี กก่ ลา้ กไ็ ด้ ตรสั แก่พระปรมาภิเษกสมั โพธิญาณ สำาเร็จเป็นเอกอุงค์อัครบรมศาสดาจารยส์ ัมมาสมั พทุ ธเจ้า ไดต้ รัสรจู้ ตุ รารยิ สจั ธรรมเปน็ พระอรหันต์ หมดกิเลสเปน็ สมุึจเฉทประหานดว้ ยพระองค์เมอื่ หมดกเิ ลสเปน็ สมจุ เฉทประ หานด้วย พระองค์แลว้ มนี ำา้ พระทัยประกอบไปด้วยพระกรุณาใหญ่ พระพทุ ธองคเ์ จ้านีเ่ อง พระพุทธองค์เจา้ น้ี แต่เพยี งพระองค์เดยี วเทา่ น้นั จึงจะทรงสามารถนำาประชาสตั ว์ออกจากวัฏสงสารได้ ขอให้พวกเราชาวพุทธ บรษิ ัท พงึ ตระหนกั ในข้อน้ีใหจ้ งดี จกั ไดม้ ีนา้ำ ใจเลอ่ื มใสในพระมหากรุณาธคิ ณุ แหง่ สมเด็จพระจอมมนุ โี ดยยิง่ ก็การทอี่ งค์สมเด็จพระม่ิงมงกุฎจอมมุนนี าถบรมศาสดาจารย์เจ้าทรงสามารถนำา ประชาสัตวอ์ อกจาก วัฏสงสารได้น้ี พระองคท์ รงสามารถนำาออกไปไดจ้ ริงๆ ทงั้ นี้ก็เพราะว่าพระองคท์ รงเปน็ พระสพั พญั ญู คอื ทรง มีพระปัญญาแหลมคม ทรงรูท้ กุ ส่งิ ทุกประการ เกินกวา่ ทปี่ ัญญาแหง่ สามญั สัตวจ์ ะรู้ได้ ส่งิ ไรทว่ี ่าพระองค์ไม่ ทรงรู้เปน็ อนั ไมม่ ี ในกรณีทพี่ ระองค์เปน็ พระสพั พัญญทู รงร้ทู ุกส่งิ อยา่ งละเอียดลออ เกินวิสยั ของปญั ญา สามัญสัตวต์ ลอดไตรโลกนี้ ขอทา่ นผมู้ ีปัญญาทัง้ หลายพึงเหน็ ตัวอยา่ งทท่ี า่ นยกไว้อย่างอกุ ฤษณ์ ดังตอ่ ไปนี้ สมเดจ็ พระชนิ สีหส์ พั พัญญูเจ้า พระองคผ์ ้ทู รงไวซ้ ึ่งพระสพั พัญญุตญาณนนั้ ยอ่ มทรงรบู้ ุญรบู้ าปแห่งสัตวท์ ง้ั ปวง พระองคท์ รงรไู้ ดโ้ ดยละเอียด ร้โู ดยอุปเทสสิน้ ทว่ งส้ินที หาผ้ทู ่ีจะเสมอเหมอื นมิได้ ดจุ ใตกรณตี ัวอย่าง คอื ชาวบา้ นร้อยคนพนั คนพากนั กระทาำ อกุศลกรรม ฆา่ เน้อื ตวั เดยี วกนั หรือฆ่าสกุ รตัวเดียวกันกด็ ี เจตนาใน การฆา่ แห่งชาวบา้ นท้งั ปวงน้นั จะได้เหมอื นกันกห็ ามิได้ คือ บางคนมีเจตนากล้าหาญ คิดทำาการฆา่ ดว้ ย ลาำ พังใจตนเอง บางคนมเี จตนาฆา่ อ่อน หา่ เพราะมผี ชู้ กั ชวนหรอื มีผู้ใช้ บางคนเสยี มไิ ดจ้ ำาใจต้องฆ่า บางคน กลวั คนอน่ื เขาว่าจึงต้องฆ่า แต่บางคนเมื่อรว่ มกนั ฆา่ เน้ือ หรอื สกุ รนน้ั มจี ติ ชน่ื ชมโสมนสั ในการฆ่า บางคน กไ็ ด้แต่มธั ยสั ถเ์ ปน็ อุเบกขา มไิ ด้ยนิ ดยี นิ รา้ ยในการฆา่ นน้ั บางคนมไิ ดล้ งมือฆา่ เปน็ แตช่ ่วยโห่ช่วยรอ้ ง
191 บางคนไมโ่ ห่ไมร่ ้อง ไดแ้ ตเ่ พิกเฉยอยู่จะหา้ มเสยี ก็ไมห่ ้าม เพราะตกลงปลงใยดว้ ยเจตนาในการฆา่ ย่อมมี เป็นต่างๆ กนั เชน่ นี้ จะได้มเี หมอื นกนั นน้ั หามิไดเ้ ลย เมื่อชาวบ้านเปน็ รอ้ ยเปน็ พนั พากนั กระทาำ อกุศลกรรมในคราวเดียวร่วมกนั เช่นวามานี้ สมเด็จพระจอมมนุ ี สพั พญั ญเู จา้ ย่อมทรงรแู้ จ้งประจักษ์ละเอยี ดละออ แต่แรกกระทาำ โดยทรงร้วู า่ \"บรรดาชาวบ้านทท่ี าำ อกศุ ล กรรมดว้ ยกนั ในครง้ั น้ี หากแตกายทาำ ลายขนั ธ์ไปแล้ว... ผนู้ ี้จกั ไดไ้ ปเิกดิ ในสัญชวี นรก ผู้นั้นจักไดไ้ ปเกิดในกาฬสุตตนรก ผโู้ นน้ จักไดไ้ ปเกดิ ในสงั ฆาฏนรก ผู้นจ้ี ักได้ไปเกดิ ในรวุ นรก ผนู้ ั้นจักได้ไปเกดิ ในมหาโรรุวนรก ผู้โนน้ จักได้เกดิ ในตาปนรก ผู้น้จี กั ไดไ้ ปเกิดในมหาตาปนรก ผนู้ น้ั จักได้ไปเกิดในอเวจนี รก ผู้โนน้ จักไดไ้ ปเกดิ ในอุสสทนรก ผนู้ ีจ้ ักไดไ้ ปเกดิ ในยมโลกิยนรก ผูน้ ั้นจักไดไ้ ปเกิดในนิชฌามตณั หกิ เปรต ผโู้ นน้ จักไดไ้ ปเกดิ เป็นขบุ ปปิ าสิกเปรต ผนู้ จ้ี กั ได้ไปเกิดเป็นสัตวเ์ ดยี รฉานมีเท้ามาก ผู้นน้ั จักได้ไปเกิดเป็นสัตวเ์ ดียรฉานประเภทสัตว์ไม่มเี ทา้ และผโู้ นน้ มี บาป น้อยกว่าคนท้ังปวง บาปในครัง้ น้มี อิ าจจะให้ปฏสิ นธิได้ ต่อเมื่อใด กรรมอื่นให้ผลปฏสิ นธิแลว้ บาปท่ีตนกระทาำ ในคร้ังนีจ้ งึ จะพลอยให้ผล
192 ชน ชาวบา้ นร้อยคนพนั คนร่วมมอื กันกระทาำ อกศุ ลกรรมอย่างเดียวกนั กระทาำ ในคราวเดยี วกัน คนเหลา่ น้ัน จะไดร้ บั ทุกขโ์ ทษ ต้องเสวยผลแห่งบาปต่างกันเป็นประการใดๆ กด็ ี สมเดจ็ พระจอมมุนีชนิ สีหส์ ัมมาสมั พุทธ เจ้าย่อมทรงร้แู จ้งประจกั ษ์ทกุ สง่ิ ทกุ ประการ ตั้งแต่เขาเหลา่ น้ันแรกลงมอื กระทำาทเี ดียวดงั นัยดงั พรรณนา มานี้ ในกรณีทท่ี าำ กศุ ลกรรมก็เชน่ เดียวกนั เม่ือชาวบ้านเปน็ ร้อยเป็นพนั รว่ มมือกนั ทาำ บญุ อยา่ งเดียวกัน และ กระทาำ ในคราวเดียวกัน สมเด้จพระมหากรุณาสัมมาสมั พทุ ธเจ้ากท็ รงร้แู จ้งประจกั ษอ์ ย่างละเอยี ดลออทุก ประการ ตัง้ แต่เขาเหล่าน้นั ลงมือกระทาำ พระองค์กท็ รงร้วู า่ \"บรรดาคนท้งั ปวง ซง่ึ พากนั ประกอบกองการ กุศลดว้ ยในครัง้ นี้ ยอ่ มมกี ศุ ลเจตนาต่างกนั เป็นอยา่ งๆ เม่ือจะไดเ้ สวยผล ก็เสวยผลตา่ งกันอย่างนๆี้ คือ ผนู้ จ้ี กั ได้ไปเกิด ณ ปรนิ มิ มิตวสวัตตสี วรรค์ ผนู้ น้ั จะได้ไปเกิด ณ นิมมานรตีสวรรค์ ผโู้ น้นจะได้ไปเกดิ ณ ดสุ ติ สวรรค์ ผู้นี้จกั ไดไ้ ปเกิด ณ ยามาสวรรค์ ผู้นั้นจกั ได้ไปเกดิ ณ ดาวดงึ สส์ วรรค์ ผู้โน้นจกั ได้ไปเกิด ณ จาตมุ หาราชิกาสวรรค์ ผนู้ จ้ี ะได้ไปเกิดเปน็ ภมุ มเทวดา ผู้นั้นจะไดไ้ ปเกิดเปน็ มเหสักขาเทวราชผใู้ หญ่ ผ้โู นน้ จะได้ไปเกิดเป็นฐานนั ดรทสี่ องรองเทวดาผู้ใหญ่ ผู้นจ้ี ะได้ไปเกดิ เป็นฐานันดรท่สี ามรองเทวดาผใู้ หญ่ ผนู้ ั้นจะได้ไปเกดิ เป็นทวดารบั ใช้ ผโู้ นน้ จะไดไ้ ปเกดิ เป็นมนุษย์ในตระกลู กษตั ริย์ ผู้น้จี ะได้ไปเกดิ เป็นมนษุ ยใ์ นตระกลู พราหมณ์ ผู้นน้ั จะได้ไปเกิดเปม็ นษุ ย์ในตระกูลพระยามหาอาำ มาตย์ ผู้โนน้ จะได้ไปเกดิ เป็นมนุษย์ในตระกูลรองจากพระยามหาอำามาตย์
193 ผนู้ ้จี ะไดไ้ ปเกิดเปน็ มนษุ ยใ์ นตระกลู พอ่ ค้าพานิช ผ้นู ้ันจะไดไ้ ปเกิดเปน็ มนุษยใ์ นตระกลู ชาวนา ผโู้ นน้ จะไดไ้ ปเกดิ เปน็ มนษุ ยใ์ นตระกลู พ่อครวั ผนู้ ี้จะได้ไปเกดิ เป็นมนษุ ย์คนใช้ของผ้อู ื่น และ ผู้คนอนื่ มบี ุญนอ้ ยกวา่ คนทง้ั ปวง บญุ ในคร้งั นีม้ ผี ลน้อยมิอาจจะใหป้ ฏสิ นธิได้ ต่อเมอื่ ใดบุญกรรมอื่นให้ ผลปฏิสนธิแล้ว บุญทตี่ นกระทำาในครัง้ น้ีจึงจะพลอยให้ผลได้ จงึ เปน็ อันว่า ชนรอ้ ยคนพนั คนร่วมมอื กันกระทาำ กุศลกรรมอยา่ งเดยี วกัน แลเขาเหล่านน้ั จะได้รับผลแหง่ กุศลท่ีตนประกอบข้นึ ตา่ งๆ กัน เป็นประการใดๆ ก็ดี สมเด็จพระจอมมนุ ีชนิ สีหส์ ัมมาสมั พทุ ธเจา้ ยอ่ มทรงรู้ แจง้ ประจกั ษ์อย่าง ละเอยี ดลออทุกส่งิ ทกุ ประการ ตั้งแตเ่ ขาเหล่านัน้ แรกลงมือประกอบการทเี ดียว ดว้ ย ประการฉะน้ี กรณตี ัวอยา่ งทกี่ ลา่ วมาน้ี ยอ่ มจกั ช้ใี หเ้ ห็นวา่ องคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ผทู้ รงอบรมบม่ พระบารมีมา ชา้ นาน จนกระทั่งได้ตรัสแ่กพ่ ระปรมาภเิ ศาสมั โพธิญาณนั้น พระพุทธองค์ท่านยอ่ มทรงไวซ้ ่งึ ความเปน็ พระ สพั พัญญู กลา่ วคอื ทรงรูแ้ จง้ ประจักษ์ชดั ในสภาวธรรมทกุ สิง่ ทกุ ประการ โดยท่พี ระองคท์ รงประกอบดว้ ย พระสพั พญั ญูตญาณอันหาญกล้า ทรงไวซ้ ึง่ พระปัญญาเกินกว่าสามัญสตั ว์โดยประการทง้ั ปวง สมควรทที่ ่าน ผมู้ ปี ัญญาท้ังหลายจะไมต่ อ้ งเคลอื บแคลงสงสัยในความเปน็ พระ สพั พญั ญูของพระองคอ์ กี ต่อไป (การฝกึ ให้รู้ทุกสงิ่ น้ี ศกึ ษาเพมิ่ เติมได้จากหนงั สือ \"วธิ ีสร้างสรรคภ์ ูมปิ ญั ญา\" จดั พมิ พ์โดยคณะสังคมผาสกุ ) ก็ในเมือ่ สมเดจ็ พระพุทธองค์ทรงไวซ้ ึง่ ความเป็นพระสัพพัญูเช่นนี้ และได้มโี อกาสเสด็จมาอุบัติตรสั ในโลก แลว้ องคพ์ ระประทปี แก้วจึงทรงชใ้ี ห้เหน็ เหลา่ ประชาชนสัตว์ได้ทราบโดยนัยว่า
194 บรรดาสตั วใ์ นไตรโลก คอื สตั วท์ ่กี ำาลังมีชีวติ อยู่ในเหฏฐิมสงสารหรือภูมเิ บ้ืองตำา่ ซ่งึ ได้แกส่ ตั วน์ รก เปรต อสุรกาย เดียรฉานก็ดี สตั วท์ ีก่ ำาลงั มชี วี ิตอยูใ่ นมัชฌมิ สงสาร หรอื ภูมิเบ้อื งกลาง ซึง่ ได้แก่มนษุ ยแ์ ละสตั วท์ ี่มี ชีวิตอยใู่ นอุปริมสงสารหรอื ภูมเิ บื้องสงู ซ่ึงได้แก่พระพรหมผูว้ ิเศษท้งั หลายกด็ ี สัตว์เหล่าน้ีทง้ั หมด ลว้ นตก อยใู่ นอำานาจของวฏั สงสาร คอื ต้องเวียนวา่ ยตายเกิดอยใู่ นภูมเิ หลา่ นี้ ต้องเวยี นตายเวียนเกดิ อยู่อยา่ งไม่มี วันส้นิ สุด และไมม่ วี นั พกั ผอ่ น ไมว่ ่าจะเวียนตายเวียนเกิดอยใู่ นภมู ไิ หน อะไรเป็นเหตุให้ต้องเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารเช่นนีเ้ ลา่ ? ก็เพราะเหตทุ ่ียังมีกเิ ลสตดิ อย่ใู นจิตสันดาน ตราบ ใดทย่ี ังมกี ิเลสตดิ อยูใ่ นจิตสันดานแล้ว กจ็ ะถูกกิเลสน่แี หละมันพาใหห้ ลงติดอยู่มิร้หู ยุดหยอ่ น เมื่อพูดถึง กเิ ลสตัณหาท่นี อนนง่ิ อยูใ่ นสนั ดานของประชาสัตวน์ ่ีแล้ว แต่ละสตั วแ์ ตล่ ะบคุ คลกม็ อี ยู่มากมายเหลือ พรรณนา ท่าย่อมว่า กิเลส ๑๕๐๐ ตัณฆา ๑๐๘ ย่อมมีเปน็ ประจำาอยใู่ นสนั ดานของแต่ละบุคคล การท่ีจะจับ เอากิเลสตณั หามาจาระไนทีละตวั นน้ั ยอ่ มเป็นการยากนกั หนา ฉะนั้นจึงขอรวบรดั กลา่ ววา่ กิเลสตัณหาอัน มากมายเหลา่ นน้ั รวมเรยี กวา่ เป็นสง่ิ จัญไรส่งิ หนง่ึ ซึง่ คอยผูกมัดสตั ว์ทัง้ หลายใหเ้ วียนตายเกิดอยใู่ นโลก ตา่ งๆ ส่งิ จัญไรที่วา่ นี้ มชี อ่ื ว่าสญั โญชน์ สญั โญชน ธรรมชาติใด ทำาการผูกประชาสตั วไ์ วใ้ หต้ ดิ อยใู่ นวัฏสงสาร ธรรมชาตนิ น้ั เรียกชอ่ื ว่า สัญโญชน์ ซงึ่ มีอยู่ ทั้งหมด ๑๐ ประการคือ ๑. ทฐิ สิ ัญโญชน์ ๒. วจิ ิกิจฉาสัญโญชน์ ๓. สลี ัพพตปรามาสสญั โญชน์ ๔. กามราคะสญั โญชน์
195 ๕. ปฏิฆะสัญโญชน์ ๖. รูปราคะสัญโญชน์ ๗. อรูปราคะสัญโญชน์ ๘.มานะสญั โญชน์ ๙. อุทธัจจะสญั โญชน์ ๑๐.อวชิ ชาสญั โญชน์ สัญโญชน์ เหลา่ นี้ มีสภาพเปรยี บเสมือนโซ่เหล็กจัญไรผกู มัดไว้ท่ีคอของประชาสัตวท์ ัง้ หลายในโลก ต่างๆ ซ่งึ รวมทั้งเราทา่ นท้งั หลาย ท่ีกำาลงั อยใู่ นมนุษยโลกขณะนีด้ ้วย แลว้ ฉดุ กระชากลากไปใหไ้ ปเกิดในภมู ิทด่ี ี บ้าง ชัว่ บ้าง ใหต้ ้องเสวยผลกรรมของตนเป็นสุขบา้ ง เป็นทกุ ข์บ้าง อยา่ งไม่มเี วลาที่จะส้ินสุดหยุดหยอ่ นลง เลย แมแ้ ตช่ ่ัวขณะเลก็ นอ้ ยเพยี งเส้ยี วแหง่ วินาทีเดียว เม่ือพจิ ารณาดูด้วยปญั ญาจงึ จะเหน็ เป็นภาวะท่นี า่ เบอ่ื หนา่ ยนา่ ระอานกั หนา ตราบใด หากวา่ ยงั ตัดโซเ่ หลก็ ท่ีผูกคอคอื สัญโญชน์เหล่านี้ไม่ได้แล้ว ก็อยา่ หวงั เลย ว่าจักไดห้ ยุดการทอ่ งเที่ยวไปอย่างเหนด็ เหนอื่ ยในวัฏสงสาร แต่การท่จี ะตัดสญั โญชนเ์ หลา่ น้ใี ห้หลดุ ไปจากตนนัน้ เป็นการกระทาำ ที่ยากนักหนา เพราะว่าประชาสัตวใ์ น ไตรโลก ตามปกตเิ ปน็ ผมู้ ปี ัญญามดื บอดเพราะถกู อวิชาเขา้ ครอบงาำ อยา่ วา่ แต่คิดจะตัดสญั โญชนใ์ ห้หลุด ออกไปจากจติ สนั ดานของตนเองเลย แม้แต่เจ้าตัวสญั โญชนท์ ีม่ นั มสี ภาวะเหมอื นกบั โซ่เหล็กทฉี่ ุดกระชาก ลากใหต้ น ไปเกิดในภูมนิ ั้นภมู ิน้ีอยอู่ ย่างไมห่ ยุดหยอ่ น ประชาสัตวท์ ้งั หลายกห็ ามปี ญั ญาทจ่ี ะรจู้ กั ไม่ เม่อื เป็นเช่นน้ีแลว้ จะป่วยการกล่าวไปใย ถงึ การที่จะคิดตดั สญั โญชนเ์ หล่านีไ้ ด้ ต่อเม่ือใด สมเดจ็ พระจอมมนุ สี ัมมาสัมพทุ ธเจ้าเสดจ็ มาอุบตั ติ รสั ในโลก เมื่อนั้นพระองคผ์ ้ทู รงเป็นพระ สัพพัญญูเจา้ ย่อมทรงชแี้ จงแสดงให้ประชาสตั ว์ ได้รูจ้ กั สญั โญชนเ์ หล่าน้ี และที่เป็นพระมหากรุณาธคิ ุณย่งิ ข้ึนไปกวา่ นี้ กค็ ือว่า พระองค์ทรงพระกรณุ าบอกหลักการและวิธกี ารสาำ หรับตดั สญั โญชน์ ไวอ้ ยา่ งเรียบรอ้ ย ในศาสนธรรมคาำ สอนของพระองค์ ซ่ึงศาสนธรรมคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าน้ี เรียกให้รูก้ ันอยู่ทว่ั ไป
196 อยา่ งคุ้นหูวา่ พระบวรพุทธศาสนา ฉะนนั้ จงึ อาจที่จะกล่าวได้ว่าวิธกี ารตดั สัญโญชนน์ ้ี มีอยแู่ ตเ่ ฉพาะในพระ บวรพทุ ธศาสนาเทา่ น้ัน ในคาำ สอนของชนเหล่าอ่ืนไมม่ ีอย่างแน่นอน จงึ ควรท่พี วกเราจกั อนสุ รณร์ ะลกึ ถงึ คุณแหง่ พระบวรพุทธศาสนา อันเปน็ ทีส่ ดุ เคารพสดุ บชู านี่ ให้จงมากเถิด โลกุตรภมู ิ วิธีการตดั สญั โญชน์ ซง่ึ เปรยี บเสมือนโซ่เหลก็ จัญไร ท่ีคอยฉดุ กระชากลากประชาสตั ว์ใหเ้ วยี นว่ายตายเกดิ อยูใ่ นวฏั สงสารอันมีภยั นา่ สะพึงกลวั น้ัน ตอ้ งทำาการตัดเปน็ ข้อๆ ไป ตามลาำ ดับแห่ง โลกตุ ตระ คอื ภมู ทิ ี่พ้น โลก ซึ่งมีอยทู่ ัง้ หมด ๔ ภูมิ คือ ๑. โลตาปนั นโลกตุ รภมู ิ ๒. สกิทาคามิโลกุตรภมู ิ ๓. อนาคามโี ลกุตรภมู ิ ๔. อรหัตโลกุตรภมู ิ ในบรรดาโลกตุ รภูมทิ ัง้ ๔ นี้มีอรรถาธิบายตามลำาดบั ดังต่อไปน้ี โสตาปนั นโลกุตรภมู ิ โลกตุ รภูมิ ข้นั ที่ ๑ นี้ มนี ามว่า โสตาปนั นโลกตุ รภมู ิ =ภูมิทีพ่ น้ โลก คอื ผู้ถงึ กระแสพระนพิ พาน หมายความวา่ ทา่ นผู้ใดบรรลุถงึ ภูมินี้แลว้ ทา่ นผูน้ ัน้ ย่อมไดช้ ื่อวา่ พระโสดาบนั อริยบุคคล เป็นพระอริยบคุ คลชนั้ แรกใน พระบวรพุทธศาสนา เปน็ ผู้ได้ดืม่ อมตรสคอื พระนพิ พานแล้ว
197 ทา่ นทไี่ ดบ้ รรลุถึงโลกุตตรภมู ิข้ันน้ี ไมใ่ ชว่ า่ อยู่ๆ แล้วจะได้จะถงึ ขนึ้ มาเอง ไม่ใช่อยา่ งนัน้ โดยท่แี ท้ ต้องเป็นผู้ มโี ชคอย่างประเสรฐิ สดุ ไดเ้ กิดมาเปน็ มนุษยพ์ บพระบวรพทุ ธศาสนาแล้ว มศี รทั ธากลา้ หาญมัน่ คงปลง ปญั ญาลงเหน็ ภัยในวัฎสงสารใครจ่ ะตามรอยบาทพระพทุ ธ องคม์ ุง่ ตรงตอ่ พระนิพพาน จึงอุตสาหะปฏบิ ตั ิ ธรรมบำาเพญ็ กรรมฐานและจะบำาเพญ็ กรรมฐานอยา่ งอน่ื กไ็ มไ่ ด้ ตอ้ งบำาเพญ็ วิปสั สนากรรมฐาน เท่านัน้ จงึ จะได้ และในการบำาเพ็ญวิปสั สนากรรมฐานน้ัน ถ้าบาำ เพ็ญวิปัสสนาเปน็ มจิ ฉาปฏบิ ตั ิ คอื ปฏบัิ ตั ิไม่ถูกต้อง กลายเปน็ วปิ ัสสนาเทยี มไปเสยี กไ็ ม่ได้ ต้องบาำ เพ็ญวปิ สั สนาเป็นสัมมาปฏบิ ตั ิ คอื ปฏบิ ัตถิ ูกตอ้ งตามกระแส พุทธฎกี า เป็นวปิ สั สนาอยา่ งแท้จรงิ จงึ จะได้ (วิธปี ฏบิ ตั ทิ ่ถี กู ตอ้ ง ศกึ ษาไดจ้ ากหนงั สือ \"พระพุทธเจา้ สอน กรรมฐาน\" จดั พิมพโ์ ดยคณะสงั คมผาสุก) เมื่อบำาเพญ็ วปิ สั สนากรรมฐานเปน็ สมั มาปฏบิ ัติแลว้ และเมื่ออนิ ทรีย์ท้ัง ๕ คือ สทั ธนิ ทรีย์ ๑ วิริยินทรยี ์ ๑ สติ นทรยี ์ ๑ สมาธินทรีย์ ๑ ปัญญินทรยี ์ ๑ ถงึ ความพรอ้ มเพรียงสม่าำ เสมอกันเป็นอันดไี มข่ าดตกบกพร่องแต่ อย่างใดอย่าง หนง่ึ แลว้ พระวปิ สั สนาญาณ ก็จะเกดิ ขน้ึ และก้าวหนา้ ข้ึนไปเร่อื ยๆ ตามลาำ ดับ ดงั ต่อไปนี้ ๑. นามรปู ปรเิ ฉทญาณ... มีปรชี าำากาำ หนดนาม กาำ หนดรปู ได้ พดู งา่ ยๆ ว่า ร้จู ักตนเองวา่ คือ อะไรกันแน่ ๒. ปัจจยปริคตหาญาณ... มปี รีชากาำ หนดเหตุผลของนาม รวู้ า่ รปู และนามทง้ั สองนี้ ตา่ งเป็น เหตุผลแห่งกันและกัน ๓. สัมมสนญาณ... มีปรชี าเห็นพระไตรลกั ษณ์ เห็นรูปนามเป็นไปตามอาำ นาจแห่งพระ ไตรลกั ษณ์ คืออนิจจลักษณ์ ทกุ ขลกั ษณ์ และอนันตลักษณ์ เพราะเมอ่ื ถงึ ญาณน้ีแลว้ พระ ไตรลักษณจ์ ะปรากฎให้เห็นมาก ๔. อทุ ยพั พยญาณ... มีปรีชาเห็นความเกดิ ดบั แห่งรูปนามเพราะเม่ือบรรลุถึงญาณนแี้ ลว้ รปู นามจะแสดงอาการเกดิ ดบั ให้ปรากฎเหน็ มากมาย ๕. ภังคญาณ... มีปรชี าเหน็ รูปนามแตกดบั เส่ือมสลายหายไปเพราะเมอ่ื บรรลุถงึ ญาณแลว้ รูป นามจะแสดงอาการแตกดบั ให้ปรากฎเห็นมากมาย และละสมมตบิ ัญญัติเขา้ ขั้นปรมตั ถสภาวะ ลว้ น
198 ๖. ภยญาณ... มีปรชี าเห็นรปู นามเป็นภยั คือเป็นสิง่ ท่ีนา่ กลวั เพราะเมือ่ บรรลถุ งึ ญาณนแี้ ล้ว รปู นามจักแสดงสภาวะที่นา่ กลวั ให้ปรากฎเห็นอย่างแจ่มชดั ๗. อาทนี วญาณ... มปี รีชาเหน็ รปู นามโดยอาทนี วโทษ เพราะเม่อื บรรลถุ งึ ญาณน้แี ล้ว รูปนาม จักแสดงทกุ ข์โทษให้ปรากฎเห็นอย่างแจม่ ชัด ๘. นพิ พิทาญาณ... มปี รชี าใหเ้ กิดความเบือ่ หน่ายในรูปนาม เพราะเมอ่ื บรรลุถงึ ญาณนแ้ี ล้ว ผู้ปฏบิ ัตวิ ิปัสสนากรรมฐานซึง่ เรียกวา่ โยคบี คุ คล จะเกิดความรสู้ กึ ให้เบ่อื หนา่ ยในรูปนามเปน็ ที่สดุ การที่จะเกิดเบอ่ื โลกต่างๆ ไม่ปรารถนาทีจ่ ะไปเกิดอยู่ ณ ภูมิไหนๆ กม็ าเบื่อเอาจรงิ ๆ ใน ตอนน้ี คอื ในตอนทบี่ รรลนุ ิพทิ าญาณน้ี ๙. มุญจิตุกมั ยตาญาณ... มีปรชี าเกดิ ปรารถนาใครจ่ ะไปเสยี ให้พน้ จากรูปนาม เพราะเม่อื ถงึ ญาณนแ้ี ลว้ โยคบี ุคคลผู้ปฏิบัติจะเกดิ ความรู้สกึ ใครจ่ ะหลดุ พน้ ใคร่จะออกจากวฏั สงสารเสีย เปน็ ทส่ี ดุ โลกอะไรแม้จะดวี เิ ศษสักเพยี งไหน กไ็ มอ่ ยากอย่ทู ้งั นั้น อยากถึงพระนิพพาน การที่จะ มีความปรารถนาพระนพิ พานนนั้ จะมคี วามปรารถนาเอาจริงๆ กใ็ นตอนน้ี ๑๐. ปฏิสงั ขาญาณ... มีปรชี าพจิ ารณากำาหนดพระไตรลักษณะอีกทีหนง่ึ เพราะเมอื่ โยคบี ุคคล บรรลุถงึ ญาณนแี้ ลว้ พระไตรลกั ษณจ์ ะปรากฎให้เหน็ อยา่ ง ชดั เจนอกี ครงั้ หน่งึ และการท่จี ัก เขา้ ไปถงึ พระนพิ พานได้นนั้ ต้องเขา้ ไปโทษทางอันประเสริฐ กลา่ วคอื พระไตรลกั ษณ์นีเ้ ทา่ นน้ั ๑๑. สงั ขารเุ ปกขาญาณ... มปี รีชากำาหนดวางเฉยในรปู นามทง้ั ปวง ไมม่ ีความยินดียนิ รา้ ยใน สงั ขารอารมณ์ท้ังหมด จติ แหง่ โยคบี คุ คลถงึ สภาวะทเี่ รียกว่าสงบเป็นอยา่ งย่งิ เพราะสงั ขารุเปก ขาญาณนีเ้ ป็นยอดแห่งโลกยี ญาณ ถ้าวาสนาบารมีไมพ่ อ โยคบี ุคคลผูน้ ั้นปฏิบัติกจ็ ะตดิ ขัดอยู่ เพียงแค่นี้ สภาวะญาณไมข่ ึ้นตอ่ ไป หากวาสนาบารมเี คยสรา้ งไว้ คอื ไดอ้ บรมบารมไี ว้พอและ อินทรียท์ งั้ ๕ กถ็ งึ ภาวะทไ่ี ดส้ ่วนสมดุลกันดี โยคีบคุ คลกจ็ ะกา้ วขึน้ สู่วปิ ัสสนาญาณเบอ้ื งสงู ต่อ ไป ๑๒. อนุโลมญาณ... จะก้าวข้นึ สโู่ ลกตุ รภมู ิขน้ั แรกแล้วเป็นญาณที่มสี ภาวะตระเตรยี ม เพอื่ ความอุบัติขน้ึ แหง่ พระอริยมรรคอนั ประเสริฐ ๑๓. โคตรภูญาณ... กาำ ลงั ก้าวเข้าสู่โลกตุ รภมู ิ ทาำ การประหาร โคตรปถุ ชุ น ใหข้ าดได้อย่างเดด็
199 ขาดในตอนนเ้ี อง ๑๔. มรรคญาณ... ถึงโลกุตรภูมิแลว้ พระอริยมรรคบงั เกิดข้ึนแลว้ แต่เปน็ พระอริยมรรคขนั้ ท่ี หนงึ่ ซ่งึ เรียกชอื่ วา่ ปฐมมรรค หรือพระโสตาปัตติมรรค ทำาการตัดโซเ่ หล็ก กล่าวคอื สญั โญชน์ ไดเ้ ปน็ บางข้อบางเปลาะแลว้ แตจ่ ะตัดสญั โญชนอ์ ะไรบา้ งน้นั เดีย๋ วเอาไว้พูดกนั ทเี หลงั ๑๕. ผลญาณ...เสวยผลอนั ประเสริฐสดุ แหง่ โลกุตตรภูมิได้ร้รู สชาติพระอมตมหานพิ พานท่ี ต้องการและปรารถนามานานนักหนา ๑๖. ปจั จเวกขณญาณ...พิจารณาดูว่าตนละกเิ ลสอะไรได้บา้ ง พดู อกี ทกี ว็ า่ ทำาการตรวจตราดู ว่าตัดสัญโญชนอ์ ะไรได้บ้างแลว้ ทา่ น ผู้มปี ญั ญาทั้งหลาย เม่ือท่านผู้ใดอุตสาหะบำาเพญ็ วิปสั สนากรรมฐาน จนกระทัง่ ไดผ้ ่าน โสฬสญาณ คือ วิปัสสนาญาณท้ัง ๑๖ ตามทพี่ รรณนามานอี้ ย่างครบถ้วนบริบรู ณ์ ทา่ นผู้นน้ั ก็ได้ชือ่ ว่าบรรลถุ ึงโสดาบันโลกุ ตรภมู ิ และไดน้ ามว่าเปน็ พระโสดาบันอรยิ บคุ คล คุณวิเศษ ทา่ นพระโสดาบันอรยิ บุคคลน้ี ท่านตัดโซเ่ หล็กอันเป็นบว่ งรอ้ ยรัดให้ตดิ อย่ใู นวัฏสงสาร กล่าวคอื สญั โญชน์ ได้ ๓ ประการ คอื ๑. สักกายทฐิ สิ ัญโญชน์ ... ความเข้าใจผิดในรปู นาม ๒. วิจกิ ิจฉาสัญโญชน์ ... ความสงสยั ในพระไตรรัตน์ คอื พระพุ ทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ การที่ จะมาปลงใจเช่อื ในพระบรมพุทธศาสนา เชือ่ ในพระปัญญาสามารถแหง่ สมเด็จพระจอมมนุ ีนาถ สัมพทุ ธเจ้าก็มาเช่อื เอาอยา่ งแนน่ อนเด็ดขาด ในตอนทต่ี ัดวิจกิ ิจฉาสัญโญชนไ์ ด้นเ่ี อง ๓. สลี ัพพตปรามาสสญั โญชน์ ...ความยดึ ถอื ในข้อปฏบิ ตั ทิ ่ีผดิ ไมถ่ กู ทาง การทีจ่ ะให้ยดึ ถอื ข้อ ปฏบิ ัตอิ ื่นใดในภายนอกพระบวรพทุ ธศาสนา เชน่ ถอื วา่ การบาำ เพญ็ ศลี และพรตอยา่ งฤษี ชปี ่า
200 ดาบส วา่ เปน็ หนทางใหบ้ รรลถุ ึงพระนพิ พานน้นั ยอ่ มไมม่ ใี นสันดานแหง่ พระโสดาบนั อรยิ บคุ คลอยา่ งเดด็ ขาด เพราะว่าท่านตัดสลี พั พตปราสมาสัญโญชน์นีไ้ ด้แล้ว จงเปน็ อันว่า สัญโญชนเ์ บอ้ื งตำา่ ทง้ั ๓ ประการนี้ พระอริยบุคคลโสดาบัน ท่านตดั ได้อยา่ งเดด็ ขาด ไม่ใหม้ ี เหลอื ติดอยใู่ นจิตสนั ดานแหง่ ตนเลย นอกจากน้ี ทา่ นยงั สามารถจะเข้าโสดาบนั ผลสมาบัติ เสวยอารมณ์ พระนิพพานได้ตามจติ ปรารถนาอีกดว้ ย และุึงแมว้ า่ จะตัดสญั โญชนไ์ ดเ้ พียง ๓ ประการ ยังไมห่ มดเลยที เดยี ว ถงึ กระนั้น ท่านก็ตัดการเวียนว่ายตายเกดิ ในวัฎสงสาร อันมีภัยนา่ สะพรึงกลวั ได้มากทเี ดยี ว เพราะมี กฎธรรมดาอยวู่ า่ พระโสดาบนั บุคคลจะเกิดอกี อยา่ งมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ ตามประเภทแห่งพระโสดาบนั ๓ จำาพวก คือ ๑.เอกพชี โี สดาบัน.. ทา่ นพระโสดาบนั จำาพวกนี้ จะเกิดอกี เพยี ง ๑ ชาติ แลว้ กจ็ ะมีโอกาสได้ บรรลพุ ระอรหตั ผลเป็นพระอริยบคุ คลชัน้ สงู สุดในพระบวรพทุ ธ ศาสนา และแล้วก็จัดกบั ขันธ์ เข้าสู่พระปรนิ ิพพาน ๒. โกลังโกละโสดาบนั ... ท่านพระโสดาบนั จำาพวกน้ี จะเกดิ อีกเพยี ง ๒-๓ ชาตเิ ป็นต้น แลว้ กจ็ ะ มีโอกาสได้บรรลพุ ระอรหนั ตผล สำาเร็จเปน็ พระอรยิ บคุ คลชั้นสูงสดุ ในพระพทุ ธศาสนา และแลว้ กจ็ ัดกับขันธเ์ ขา้ สู่พระปรนิ พิ พาน ๓. สตั ตักขัตตุบรมโสดาบัน... ทา่ นพระโสดาบันจาำ พวกน้เี ปน็ จาำ พวกสุดท้าย เพราะมีวาสนา บารมีหย่อนกวา่ พระโสดาบนั ทั้ง ๒ จาำ พวกทก่ี ลา่ วมาแล้ว ถึงแม้วา่ จะเปน็ ผู้มีวาสนาบารมดี อ้ ย กว่ากจ็ ริง ถงึ กระน้ันทา่ นกจ็ ะเกดิ อกี อยา่ งมากไมเ่ กนิ ๗ ชาติ แล้วกจ็ ะมโี อกาสไดบ้ รรลุพระ อรหตั ผล สำาเรจ็ เปน็ พระอรยิ บุคคลชนั้ สูงสุดในพระบวรพุทธศาสนาและแลว้ กจ็ กั ดบั ขนั ธ์ เขา้ สู่ พระปรินพิ พาน การทพ่ี ระโสดาบันอริยบคุ คลมี ประเภทแตกตา่ งกนั ออกไปเป็น ๓ จำาพวกดังกล่าวมานี้ กเ็ พราะเหตุวา่ บารมี อนิ ทรยี ์ทที่ ่านอบรมส่งั สมมานนนั้ แตกตา่ งกนั คือ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261