Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการอ่านและแปลภาษาโบราณ _ ภาษาบาลี

คู่มือการอ่านและแปลภาษาโบราณ _ ภาษาบาลี

Description: คู่มือการอ่านและแปลภาษาโบราณ _ ภาษาบาลี

Search

Read the Text Version

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๔๕ ๕. บททีเ่ นื่องดวยประธาน บททีเ่ นอื่ งดว ย(ขยาย)ประธาน คอื บททล่ี งวภิ ตั ตเิ ดยี วกันกบั ประธาน หรือแปลและสมั พนั ธเ ขา กบั ตวั ประธานได สว นมากมกั วางอยูห นา ประธาน เชน ๑. มหาปฺโ ภกิ ฺขุ ภกิ ขฺ ํ ภิกขฺ ติ. อ.ภกิ ษุ ผูมีปญ ญามาก ยอมขอ ซึ่งภกิ ษา. ๒. ปณฑฺ โิ ต สามเณโร โอวาทํ คณหฺ าต.ิ อ.สามเณร ผฉู ลาด ยอมรับเอา ซงึ่ โอวาท. แตถ า หากวา เปน โคตร ยศ หรอื ตำแหนง สว นตวั นนั้ มกั จะวางอยูขางหลงั ประธาน เชน ๑. สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ. อ.พระสมณะ ผูโ คดม ยอ มทรงแสดง ซง่ึ ธรรม. ๒. วสิ าขา มหาอปุ าสกิ า วหิ ารํ คจฺฉต.ิ อ.นางวิสาขา ผูเ ปน มหาอุบาสกิ า ยอมไป สวู หิ าร. ๖. กิรยิ าในระหวา ง /บทนามท่มี ีวิภตั ติเดียวกบั ประธาน/ประโยคแทรก ก. กริ ยิ าในระหวา ง มีอยู ๒ ประเภท คอื ๑. กริ ิยาศพั ท (ธาตุ)ทีป่ ระกอบดว ย ต, อนฺต มาน ปจ จยั ซึง่ จะมลี งิ ค วจนะ และวภิ ตั ตเิ สมอ กนั กบั ประธาน เชน เถโร วิหารํ ปวสิ นโฺ ต ธมฺมํ วทติ. อ.พระเถระ เขา ไปอยู สวู หิ าร ยอ มกลา ว ซงึ่ ธรรม สามเณโร ธมมฺ ํ สณุ นฺโต ปสีทติ. อ.สามเณร ฟง อยู ซง่ึ ธรรม ยอมเลอ่ื มใส. ๒. กิริยาศัพท (ธาตุ) ทปี่ ระกอบดว ย ตูน, ตวฺ า, ตฺวาน ปจจัย (เฉพาะทบี่ งชดั วา เปนกริ ิยาอาการ ของประธานในประโยคนน้ั ๆ เชน เถโร โอวาทํ ทตวฺ า วิหารํ คจฺฉติ. อ.พระเถระ ใหแลว ซ่งึ โอวาท ยอมไป สวู ิหาร. ปรุ ิโส ภตฺตํ ภุ ฺชติ ฺวา มขุ ํ โธวติ. อ.บรุ ษุ บริโภคแลว ซึ่งภัตร ยอ มลา ง ซง่ึ ปาก. ข. บทนามทีม่ ีลิงค- วจนะ-วิภตั ตเิ ดยี วกนั กับประธาน เชน ปรุ ิโส ธมฺมํ สตุ วฺ า ปพฺพชติ วฺ า ลทฺธปู สมปฺ โท ปจฺ วสสฺ านิ กมฺมฐานํ อุคฺคณฺห.ิ อ.บรุ ษุ ฟง แลว ซงึ่ ธรรม บวชแลว ผูมอี ปุ สมบทอนั ไดแ ลว เรยี นเอาแลว ซงึ่ กมั มฏั ฐาน ส้นิ ป ท. หา . ค. ประโยคแทรก คือ ในประโยคทมี่ บี ทนามนาม หรอื ปรุ สิ สพั พนาม ท่ปี ระกอบดว ยฉฏั ฐวี ิภตั ติ (แปลวา เมื่อ....) หรือสตั ตมวี ิภัตติ (แปลวา ครนั้ เมอ่ื ....) และมกี ิรยิ ากติ กท ี่ลง อนตฺ มาน ต ปจ จัย ประกอบ ดว ยฉัฏฐวี ภิ ตั ตหิ รือสตั ตมีวภิ ตั ตติ ามนามนามน้ันๆ เชน ปตา ภตตฺ ํ ภุชฺ นโฺ ต ปตุ ตฺ สฺส โรทนตฺ สสฺ ตํ ภตฺตํ เทต.ิ อ.บิดา บริโภคอยู ซึง่ ภตั ร เมือ่ บุตร รอ งใหอ ยู ยอมให ซึ่งภัตร นน้ั . ภกิ ฺขุ ธมฺมํ สณุ นโฺ ต มชฺฌิมยาเม อตกิ กฺ นเฺ ต คพภฺ ํ ปาวสิ ิ.

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๔๖ อ.ภกิ ษุ ฟงอยู ซ่งึ ธรรม ครัน้ เมื่อมชั ฌมิ ยาม ลว งไปแลว เขาไปแลว สหู อ ง. ๗. บทเน่ืองดวยกริ ยิ าในระหวาง บทเน่อื งดว ยกริ ิยาในระหวาง คอื บทนามทตี่ ง้ั อยขู า งหนา กิรยิ าในระหวา งน้ันๆและมขี อความท่ี เกี่ยวเน่ืองกบั กริ ยิ าในระหวา ง เชน ๑. เถโร สามเณรสสฺ โอวาทํ ทตวฺ า วหิ ารํ ปวสิ ติ ฺวา นสิ ีทติ. อ.พระเถระ ใหแลว ซ่งึ โอวาท แกส ามเณร เขา ไปแลว สวู หิ าร ยอ มนง่ั . ๒. มนสุ ฺสา ภิกขฺ นู ํ ภิกขฺ ํ ทตฺวา เต ภกิ ขฺ ู วนทฺ ติ วฺ า นวิ ตฺตสึ .ุ อ.มนษุ ย ท. ถวายแลว ซึ่งภกิ ษา แกภ ิกษุ ท. ไหวแ ลว ซงึ่ ภิกษุ ท. เหลานั้น กลับแลว . ๘. กิรยิ าคมุ พากย กริ ยิ าคุมพากยนนั้ จะมปี ระเภทใหญๆ อยู ๓ ประเภท คอื ๑. กิริยาอาขยาตท้ังหมด คอื ธาตุที่ประกอบดวยปจ จยั ในแตละวาจกของอาขยาต ซึ่งกิริยา อาขยาตน้ี ถอื วาเปน กริ ิยาคมุ พากยท ใ่ี หญท่ีสดุ ในประโยคน้ันๆ เชน เถโร ธมมฺ ํ สณุ าติ. อ.พระเถระ ยอ มฟง ซึ่งธรรม. (สุณาติ = สุ+ณา+ต)ิ ภกิ ฺขุ วิหารํ คจฺฉติ. อ.ภิกษุ ยอ มไป สวู ิหาร. (คจฉฺ ติ = คมฺ+อ+ต)ิ ๒. กริ ยิ ากติ ก คอื กริ ยิ ากติ กท ี่ประกอบปจจัย ๓ ตวั นี้ ไดแ ก ต อนีย ตพพฺ ปจจัย ใชคมุ พากยได เชน ปรุ โิ ส คามํ คโต. อ.บรุ ษุ ไปแลว สูบา น ปรุ เิ สน กมฺมํ กรณยี .ํ อ.กรรม อนั บรุ ุษ พงึ กระทำ ปุริเสน กมมฺ ํ กตฺตพพฺ .ํ อ.กรรม อนั บรุ ุษ พึงกระทำ ๓. กริ ยิ าบทพิเศษ มีอยู ๒ ตวั คอื อลํ (สมควร) สกกฺ า (อาจ, สามารถ) เชน เอวํ กาตุ น สกกฺ า. อนั เรา ไมอ าจ เพื่ออนั ทำ อยางน้ี. ขอควรรู :- ๑.กิรยิ าคุมพากยนน้ั กิรยิ าอาขยาตถอื วาใหญส ดุ ถา ในประโยคหนึง่ ๆ มที ง้ั กริ ยิ ากิตกท ่ี ประกอบดว ย ต อนยี ตพพฺ ตวั ใดตัวหนงึ่ และมกี ริ ิยาอาขยาตดว ย ในประโยคน้นั ใหเอากริ ยิ าอาขยาตเปน ใหญ (คมุ พากย) แลว เอากริ ิยากติ กเปน วกิ ตกิ ตตฺ า (กริ ยิ าคณุ นาม) แทน หรือแปลเปน กริ ิยาธรรมดาทว่ั ไป ของประธาน เชน อหํ วิหารํ อาคโตมฺห.ิ (อาคโต+อมหฺ )ิ อ.เรา เปน ผมู าแลว สวู หิ าร ยอ มเปน .

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๔๗ ๒. กริ ิยากติ กที่ประกอบดว ย ต อนยี ตพพฺ คมุ พากยไ ดเ ฉพาะประโยคที่นามนามทว่ั ไปเปน ประธาน หากในประโยคใด มี อมหฺ (เรา) ศพั ท หรอื ตุมฺห (ทา น) ศัพท เปนประธาน แตก ิริยาสดุ ทา ยเปน กิรยิ ากติ ก ในประโยคนน้ั ตองยกกริ ิยาอาขยาตเขา มาเอง ซงึ่ โดยสวนมากจะโยคธาตุวา มวี า เปน เขา มา (หุ ธาตุ, ภู ธาต,ุ อสฺ ธาตุ เปน ตน ) เปนกริ ิยาคุมพากย แลว แปลกิริยากติ กในประโยคนนั้ เปน วกิ ตกิ ตั ตา แปลวา เปน ผู ถา กิรยิ านนั้ เปน ธาตทุ มี่ กี รรมใหแ ปลวา เปน ผอู นั ..... เชน อหํ วิหารํ อาคโต. (อมหฺ )ิ อ.เรา เปน ผูมาแลว สวู หิ าร (ยอ มเปน ). ตุมฺเห มยา ทิ า. (โหถ) อ.ทา น ท. เปน ผูอนั เราเหน็ แลว (ยอ มเปน). จะเหน็ ไดวา ทั้ง ๒ ประโยคนน้ั มกี ริ ิยากิตกซ ึ่งประกอบดว ย ต ปจจัยอยู แตเ ปน เพราะประธานเปน อมหฺ , ตมุ หฺ ศัพท จงึ ไมสามารถทำหนาทค่ี มุ พากยไ ด เวลาแปล นักเรยี นจึงตอ งยกกิริยาอาขยาตเขา มาคมุ พากยเอง แลวแปลกริ ิยากติ กน้ันเปนคลา ยคุณนามไปแทน แตถา นามนามทั่วไปเปน ประธาน กิริยากติ กน ้ันๆ กใ็ ชค มุ พากยไ ดเ ลย ไมต องยกกิริยาอาขยาตมา เชน ปรุ ิโส คามํ คโต. อ.บรุ ุษ ไปแลว สูหมูบาน. ภิกฺขู วหิ ารํ อาคตา. อ.ภิกษุ ท. มาแลว สวู ิหาร. ๓. ประโยคท่ีมี สกฺกา คมุ พากยน ั้น มวี ธิ สี ังเกตวาจก ดงั นี้ -ถาในประโยค สกกฺ า นนั้ มปี ระธาน ประโยคนนั้ เปน กมั มวาจก เชน น สกกฺ า ธมฺโม อคารมชเฺ ฌ ปเู รต.ุ อ.ธรรม (อันบคุ คล) ไมอ าจ เพ่อื อันใหเตม็ ในทา มกลางแหงเรือน -ถา ในประโยค สกฺกา นนั้ ไมมีประธาน ประโยคนัน้ เปนภาววาจก เชน (มยา) เอวํ กาตุ น สกกฺ า. (อันเรา) ไมอาจ เพ่อื อนั ทำ อยา งนี้ (อมฺเหหิ) เอวํ เปเสตุ น สกกฺ า. (อนั เรา ท.) ไมอ าจ เพือ่ อนั สง ไป อยางน้ี (กริ ยิ ากติ ก หรอื กริ ยิ าอาขยาต ทเ่ี ขา สมาสแลว นั้น จดั เปนนามนามหรอื คุณนาม เชน ทิปพุ โฺ พ วยปฺปตฺโต นตถฺ ปิ โู ว ซึ่งจะใชเปน กิริยาในระหวา ง หรอื กิรยิ าคมุ พากยไ มไ ด) ๙. บทเน่ืองดวยกริ ยิ าคมุ พากย บทเน่อื งดว ยกริ ยิ าคมุ พากย คอื บทนามทต่ี ัง้ อยขู า งหนา กริ ยิ าคุมพากยน ั้นๆ (ตงั้ อยขู างหลงั บา งก็ มี) และมขี อความทเ่ี กยี่ วเนอื่ งกบั กิรยิ าคมุ พากยนนั้ เชน สตถฺ า ภกิ ขฺ ูนํ ธมมฺ ํ เทเสต.ิ อ.พระศาสดา ยอ มแสดง ซง่ึ ธรรม แกภ กิ ษุ ท. เถโร สามเณรสสฺ จวี รํ เทต.ิ อ.พระเถระ ยอมให ซง่ึ จวี ร แกส ามเณร.

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๔๘ ตวั อยา งลำดับการแปล บาลี = อตเี ต หิ เอโก ปรุ ิโส วนํ คนตฺ ฺวา อาคจฉฺ นฺโต เอกํ สปปฺ  ทสิ ฺวา ปลายติ ฯ ๒ ๑ ๔ ๓ ๖ ๕ ๗ ๑๐ ๙ ๘ ๑๑ แปล = ดงั จะกลา วโดยพิสดาร ในกาลอนั ลวงไปแลว อ.บุรุษ คนหนึง่ ไปแลว สูป า มาอยู เห็นแลว ซึง่ งู ตวั หน่ึง ยอ มหนีไป. บาลี = ตทา หิ มหาปโฺ  ภิกขฺ ุ สามเณรสสฺ โอวาทํ ทตวฺ า วหิ ารํ ปวสิ ติ ฯ ๒๑ ๔ ๓ ๗ ๖๕ ๙๘ แปล = ก็ ในกาลนนั้ อ.ภิกษุ ผมู ีปญ ญามาก ใหแ ลว ซ่งึ โอวาท แกสามเณร ยอมเขา ไป สวู หิ าร. บาลี = สาวตถฺ ยิ ํ กริ เอโก ชโน อตตฺ โน ปุตตฺ สสฺ สมปฺ ตฺตึ ทตวฺ า ปพฺพชติ ฺวา วหิ าเร วสติ ฯ ๒ ๑ ๔ ๓ ๘ ๗ ๖ ๕ ๙ ๑๑ ๑๐ แปล = ไดย นิ วา ณ เมอื งสาวตั ถี อ.ชน คนหนง่ึ ใหแ ลว ซงึ่ สมบตั ิ แกบ ุตร ของตน บวชแลว ยอ มอยู ในวหิ าร. ใหนักศกึ ษาอา นประโยคบาลีตอไปนแี้ ลว ดวู าศพั ทไ หนเปน ศพั ทอ ะไรในบรรดาหลกั การแปล ๙ ประการ เชน อาลปนะ นบิ าตตน ขอความ ประธาน กริ ิยาในระหวาง กริ ิยาคมุ พากย เปนตน แลว ทดลอง แปลโดยถอื ตามหลกั การแปล ๙ ขอ ขา งตน นน้ั ๑. พทุ โฺ ธ ธมฺมํ เทเสติ. ๒. ภกิ ขฺ ู ธมมฺ ํ สณุ นตฺ .ิ ๓. ตวฺ ํ ปาเทหิ สปิ ปฺ าคารํ อาคจฺฉสิ. ๔. ตมุ ฺเห รเถน คามํ คจฉฺ ถ. ๕. อหํ ยาจกสฺส เอกกหาปณํ ททาม.ิ ๖. มยํ ภกิ ฺขุสงฆฺ สฺส ทานํ เทม. ๗. มนสุ สฺ า ปาณาตปิ าตา วริ มนตฺ ุ. ๘. อุปาสกา คามา นิคฺคตา. ๙. มยํ อตตฺ โน สนตฺ กํ ปริจฺจชาม. ๑๐. อโิ ต อมหฺ ากํ คาโม อวทิ เู ร โหติ. ๑๑. โลเก มหาการุณโิ ก พุทโฺ ธ เทวมนุสสฺ านํ หิตาย สขุ าย อุปปฺ ชฺชต.ิ ๑๒. อตีเต กิร พหู มนุสสฺ า ธมฺมสสฺ วนาย วหิ ารํ อคจฉฺ สึ .ุ ๑๓. เอกโกว ภนฺเต ตฺวํ ปณ ฑฺ าย อปฺปสทธฺ กิ านํ อมฺหากํ เคหํ ปวสิ าห.ิ ๑๔. เสวฺ ภนเฺ ต นวหิ ภกิ ฺขหู ิ สทธฺ ึ ภุ ฺชนตฺถาย อมหฺ ากํ ฆรํ อาคเมถ. ๑๕. อเถกทวิ สํ สตถฺ า ปจฺจสู กาเล โลกํ โวโลเกนโฺ ต ตํ พรฺ าหฺมณํ ทิสวฺ า กนิ นฺ ุ โขติ อุปธาเรนโฺ ต อร หา ภวสิ ฺสตีติ ตวฺ า สายณหฺ สมเย วิหารจารกิ ํ จรนฺโต วยิ พรฺ าหมฺ ณสสฺ สนตฺ กิ ํ คนตฺ วฺ า พรฺ าหมฺ ณ กึ กโรนฺโต วจิ รสตี ิ อาห. ๑๖. โส พรฺ าหมฺ โณ ภกิ ขฺ นู ํ วตตฺ ปฺปฏวิ ตตฺ ํ กโรมิ ภนเฺ ตติ อาห. ลภสิ เตสํ สนตฺ ิกา สงฺคหนตฺ ิ. อาม ภนฺเต, อาหารมตตฺ ํ ลภามิ, น ปน มํ ปพพฺ าเชนฺตตี ิ.

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๔๙ ๑๗. สตถฺ า เอตสฺมึ นิทาเน ภกิ ขฺ สุ งฺฆํ สนนฺ ปิ าตาเปตวฺ า ตมตฺถํ ปุจฉฺ ติ วฺ า ภกิ ขฺ เว อตถฺ ิ โกจิ อมิ สฺส พฺ ราหมฺ ณสสฺ อธิการํ สรนโฺ ตติ ปุจฉฺ .ิ สาริปตุ ตฺ ตฺเถโร อหํ ภนเฺ ต สรามิ, อยํ เม ราชคเห ปณ ฑฺ าย จรนตฺ สสฺ อตตฺ โน อภหิ ฏํ กฏจฉฺ ภุ ิกขฺ ํ ทาเปสิ, อมิ สสฺ าหํ อธิการํ สรามิ, สาธุ ภนเต, ปพฺพาเชสฺสามตี ิ อาห. ๑๘. นธิ นี วํ ปวตตฺ ารํ ยํ ปสฺเส วชชฺ ทสสฺ ินํ นิคคฺ ยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทสิ ํ ปณฑฺ ิตํ ภเช ตาทิสํ ภชมานสสฺ เสยโฺ ย โหติ น ปาปโย. (ข.ุ ธ. ๒๕/๗๖/๓๐) เฉลยคำแปล(โดยอรรถ) ใหฝก แปลโดยพยญั ชนะจนชำนาญเพือ่ ทบทวนหลกั ไวยากรณ ๑. พระพุทธองค ทรงแสดง ซ่งึ ธรรม ๒. ภิกษุท้งั หลาย กำลังฟง ซึง่ ธรรม ๓. เธอ มา สโู รงเรยี น ดว ยเทา (เธอเดินมาโรงเรียน) ๔. พวกเธอ ไป สบู า น ดว ยรถ (พวกเธอนัง่ รถกลบั บา น) ๕. ขา พเจา ให เงนิ ๑ บาท แกข อทาน ๖. พวกขาพเจา ถวาย ทาน แกภ กิ ษุสงฆ ๗. มนษุ ยท ้งั หลาย จงพากันเวน จากการเบียดเบียนสตั ว ๘. อุบาสกและอบุ าสิกา ออกไปแลว จากบา น ๙. พวกขาพเจา พากันบรจิ าค ซ่ึงทรพั ย ของตน ๑๐. หมูบ า นของพวกขา พเจา มอี ยู ไมไ กล จาก(โรงเรยี น)น้ี ๑๑. พระพทุ ธเจา ผทู รงมีพระมหากรุณา เสดจ็ อุบตั ิขน้ึ ในโลก เพ่อื เก้อื กูล เพอื่ ความสขุ แกเทวดา และมนุษยทั้งหลาย ๑๒. ไดย นิ วา ในอดตี กาล มนษุ ยเ ปนอนั มาก ไดพ ากันไปแลว สูวหิ ารเพอ่ื ฟงธรรม ๑๓. ทา นครบั ทานผูเดียวเทา น้ัน นิมนตเ ขา ไป สเู รอื น ของพวกกระผม ผูม ศี รทั ธานอ ย เพ่อื รบั บิณฑบาต ๑๔. ขาแตท า นผเู จริญ ในวนั พรุง น้ี นิมนตท า น มาสบู าน ของพวกขาพเจา เพอื่ ฉันภตั ตาหาร พรอมดว ยภิกษุ ๙ รปู ๑๕. ครง้ั นน้ั วันหนง่ึ พระศาสดา ทรงตรวจดูสตั วโลก ในเวลาใกลร ุง ทอดพระเนตรเหน็ พราหมณ นัน้ แลว ทรงใครค รวญอยวู า \"เหตุไรหนอ\" ดงั นแี้ ลว ทรงทราบวา \"ราธพราหมณจักเปนพระอรหนั ต\" ในเวลา เยน็ ทรงเปน เหมือนเสดจ็ เทย่ี วไปในวหิ าร เสด็จไปสทู อี่ ยูของพราหมณแ ลวตรัสวา \"พราหมณ เธอเทยี่ วทำ อะไรอย\"ู ๑๖. พราหมณน น้ั กราบทูลวา \"ขาพระพุทธองคทำวตั รและปฏิวตั รแกภกิ ษุทง้ั หลายอยู พระพทุ ธเจาขา \" \"เธอไดก ารสงเคราะหจ ากสำนักของภกิ ษเุ หลา นัน้ หรอื \" \"ไดพระพทุ ธเจาขา ขา พระพทุ ธ องคไ ดแตเพยี งอาหาร แตทา นไมใหข า พระพทุ ธองคบ วช\" ๑๗. พระศาสดารบั สั่งใหป ระชุมภิกษุสงฆในเพราะเรอ่ื งนั้นแลว ตรัสถามความนน้ั แลว ตรสั ถามวา \"ภกิ ษทุ ้งั หลาย ใคร ๆ ระลกึ ถงึ คณุ ของพราหมณนี้ได มอี ยูบา งหรือ\" พระสารบี ุตรเถระกราบทูลวา \"พระพทุ ธเจา ขา ขาพระพุทธองคร ะลกึ ได เมอ่ื ขาพระพุทธองคเ ที่ยวบิณฑบาตอยูใ นกรงุ ราชคฤหฺ พราหมณน ี้

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๐ ใหค น ถวายภิกษาทพั พีหนงึ่ ท่ีเขานำมาเพื่อตน ขา พระพุทธองคร ะลกึ ถงึ คณุ ของพราหมณน ไี้ ด ดีแลว พระพทุ ธเจาขา ขาพระพุทธองคจ กั ใหบ วช\" ๑๘. บุคคลพึงเห็นผมู ปี ญ ญา ซึง่ เปนผูกลา วชโี้ ทษ วา เปน เหมอื นผูบ อกขมุ ทรพั ยใ ห พงึ คบผมู ี ปญญาซง่ึ เปน บณั ฑิตเชนนน้ั เมอื่ คบทา นผเู ชน นนั้ มแี ตค ณุ อยางประเสรฐิ ไมมโี ทษอนั เลวทรามเลย คำทักทายดว ยภาษาบาลงี า ย ๆ ๑. สปุ ภาตํ ภนเฺ ต. ขา แตทานผเู จรญิ อ.รุงเชาอนั เจรญิ (ภวตุ จงมี เต แกท า น) สุปภาตํ อาวโุ ส. ขาแตทานผูมอี ายุ อ.รงุ เชา อนั เจรญิ (ภวตุ จงมี เต แกท า น) สปุ ภาตํ หรือ สปุ ปฺ ภาตํ (อรุณสวสั ด)์ิ สุ อปุ .(ดี งาม งา ย) + ป อปุ .(ทวั่ ขางหนา กอน ออก) + ภา ธาตุ ใน ความสวา ง,รงุ เรือง+ต ปจจยั ในกิริยากติ ก ๒. กจจฺ ิ ขมนยี ํ ยาปนียํ ภนฺเต. ขา แตท านผเู จรญิ [อ.ยนตคือสรีระ(สรีรยนตฺ ํ) มีลอ สี่ (จตุจกฺกํ) มที วารเกา(นวทวฺ าร)ํ อนั ทา น ท.(ตมุ เฺ หหิ)] พึงอดทนได พึงใหเปน ไปได แลหรอื ขมนยี ํ อาวโุ ส, ตวํ ปน. ขา แตท า นผูมอี ายุ [อ.ยนตค ือสรีระ(สรีรยนฺตํ) มีลอ ส่ี (จตจุ กกฺ ํ) มีทวารเกา (นวทวฺ ารํ) อนั กระผม(มยา)] พงึ อดทนได (พึงใหเปน ไปได) , ก็(แลว ) อ.ทาน (เลา ) ๓. กินฺนาโมสิ ตวฺ ํ. (กนิ ฺนามาสิ ตวฺ ํ) อ.ทาน เปน ผชู อ่ื อะไร ยอมเปน . มนุ ี นาม ภนเฺ ต. (สริ ิมา นาม ภนเฺ ต)ขา แตท า นผูเ จรญิ (อห)ํ อ.เรา ชอื่ วา มนุ ี (โหมิ) ยอมเปน .(ผหู ญิง=สริ มิ า) ๔. กโุ ต อาคจฉฺ สิ ภนเฺ ต. ขาแตท านผูเจรญิ อ.ทา น(ตวฺ )ํ ยอ มมา แตท ่ีไหน. คามโต อาคจฉฺ ามิ, ตวํ ปน. อหํ(อ.เรา) ยอมมา จากหมบู า น, ก็ อ.ทาน (ยอ มมา แตท ่ีไหน). ลาดพรา วนคิ มโต อาคจฉฺ ามิ. อหํ(อ.เรา) ยอ มมา จากยา นลาดพรา ว. ๕. กุหึ คจฉฺ ถ ตุมเฺ ห. อ.ทาน ท. จะไป ท่ไี หน. อาปเณ คจฺฉาม, ตุมเฺ ห ปน. มยํ (อ.เรา ท.) จะไป ทตี่ ลาด, ก็ อ.ทา น ท.(จะไป ในทไี่ หน). เชยี งใหมนคเร คจฉฺ าม. มยํ (อ.เรา ท.) จะไป ทเ่ี มืองเชยี งใหม. ๖. กึ สิปฺป สกิ ฺขถ ตุมเฺ ห. อ.ทาน ท. ยอมเรยี น ซง่ึ ศลิ ปะ อะไร. ปาลิพฺยากรณํ สกิ ฺขาม, ตมุ เฺ ห ปน. อ.เรา ท. ยอ มเรียน ซึง่ ไวยากรณบ าลี, ก็ อ.ทา น ท. (ยอ มเรียน ซง่ึ ศิลปะ อะไร). ตปิ ฏกํ อคุ คฺ ณหฺ าม. มยํ (อ.เรา ท.) ยอ มเรียนเอา ซง่ึ พระไตรปฎก.

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๑ ๔.๒ ประโยคเนื้อความเดยี ว หลักการแปลบทประธาน ความในภาษาบาลนี ้ัน ตา งจากภาษาไทย ใชก ลบั กนั เชน พทุ ฺธสฺส ธมฺโม = ของพระพทุ ธเจา พระ ธรรม คำแปลไทยนัน้ ตองเรยี งกลับกันวา พระธรรม ของพระพทุ ธเจา เหตุนน้ั เวลาจะแปลภาษาบาลี นกั เรียนจึงตองแปลจากบทหลังไปหาบทหนา โดยการใชคำเชื่อมบท(อายตนบิ าต) ใหไ ดค วามเหมาะสม ตวั อยางเชน สตฺถุ ธมเฺ ม ปสาโท อ.ความเล่อื มใส ในธรรม ของพระศาสดา ภกิ ขฺ ุโน จีวรํ อ.จวี ร ของภกิ ษุ อาจริเย คารโว อ.ความเคารพ ในอาจารย ภกิ ขฺ ุโน ปตฺเต โภชนํ อ.โภชนะ ในบาตร ของภกิ ษุ พทุ ธฺ สสฺ สาสเน สามเณรา อ.สามเณร ท.ในศาสนา ของพระพุทธเจา รกุ ฺขสฺส สุสิเร สปฺโป อ.งู ในโพรง ของตนไม ปตุ เคเห ธนานิ อ.ทรัพย ท. ในเรือน ของบดิ า อคฺคโิ น ขนโฺ ธ อ.กอง แหง ไฟ สาสเน เถรสฺส โอวาโท อ.โอวาท ของพระเถระ ในศาสนา เส ิโน ภริยาย ปตุ ตฺ า อ.บตุ ร ท. ของภรรยา ของเศรษฐี ทณฺฑสิ สฺ หตเฺ ถ ทณฺโฑ อ. ทอ นไม ในมอื ของคนมไี มเทา หลกั การแปลบทคณุ นาม คณุ นาม (บทขยาย) น้ัน จะมลี งิ ค วจนะ และวิภตั ติ เหมือนลงิ ค วจนะ และวภิ ตั ตขิ องนามนาม นัน้ ๆ โดยมากจะเรยี งอยูขา งหนา นามนามบทน้ัน แตถ า เปน ยศหรือวาตำแหนงพเิ ศษหรือยศตำแหนง สว นตัว จะวางอยูขางหลงั นามนามบทนั้น เพราะฉะนนั้ เมอ่ื แปลบทนามนามทเี่ ปน ประธานแลว ถา บทท่อี ยขู างหนา หรือขา งหลัง มลี ิงค วจนะ วภิ ตั ติ เหมอื นกบั นามนาม บทน้นั กใ็ หแ ปลบทที่อยขู า งหนา หรอื ขา งหลงั นน้ั เปน ลำดับตอ มา โดยคำแปลท่ใี ชเ ช่อื มสำหรบั คุณนามน้ัน ถา เปน สิ่งมชี วี ติ กใ็ หใ ชบ ทวา ผู...., มี....., ตวั ... เปน ตน ถาเปน ส่ิงไมมชี วี ติ ก็ใชบ ทวา ท.่ี .., ซงึ่ ..., อนั ... เปน ตน สำหรบั คณุ นามนี้ คำแปลนนั้ จะไมออกสำเนยี งของวภิ ตั ตแิ ละวจนะ แตออกสำเนียงเพียงวา ผ.ู ... ม.ี ... อนั .... ตัว... เปน ตน คำใดคำหนง่ึ แทน เชน สตตฺ านํ อคโฺ ค พุทฺโธ อ.พระพทุ ธเจา ผูเ ลศิ แหง สตั ว ท. สตถฺ ุ สนุ ฺทโร ธมโฺ ม อ.พระธรรม อนั ดี ของพระศาสดา ภิกขฺ โุ น มหนฺโต ปตโฺ ต อ.บาตร อันใหญ ของภกิ ษุ สุนทฺ รสฺส ธมมฺ สฺส วิปาโก อ.วิบาก แหง ธรรม อันดี

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๒ จณฑฺ านํ โจรานํ ชนปโท อ.ชนบท ของโจร ท. ผูด รุ า ย เมธาวโิ น รโฺ  วสิ าลํ เขตตฺ ํ อ.นา อนั กวาง ของพระราชา ผมู ปี ญ ญา สสิ ฺสานํ กุสโล อาจรโิ ย อ.อาจารย ผูฉลาด ของศิษย ท. สคุ นเฺ ธ ปปุ ฺเผ ภมโร อ.แมลงภู ในดอกไม มกี ลนิ่ หอม อคคฺ สสฺ พทุ ฺธสสฺ สาสนํ อ.ศาสนา ของพระพทุ ธเจา ผเู ลิศ อฑฒฺ านํ กุลานํ ธตี โร อ.ธดิ า ท. ของตระกูล ท. อนั ม่ังค่ัง มหาโภโค ราชา อ.พระราชา มีโภคะมาก อปตุ ตฺ กสสฺ เสฐ โิ น ทาโส อ.ทาส ของเศรษฐี ผูไมมีบตุ ร สุกกฺ สสฺ โอทนสฺส ปาตี อ.ถาด แหงขา วสุก อันสขี าว วสิ ารโท ปรุ ิโส อ.บุรษุ ผกู ลา สุทฺธานํ สาวกานํ สงโฺ ฆ อ.หมู แหงสาวก ท. ผบู รสิ ุทธิ์ มหติยา สาลาย โจรา อ.โจร ท. ในศาลา ท่ีใหญ โกวิทสฺส อาจรยิ สสฺ สนตฺ เิ ก มหาปฺ า สทุ ธฺ า สามเณรา. อ.สามเณร ท.ผมู ีปญ ญามาก ผูบรสิ ุทธ์ิ ในสำนกั ของอาจารย ผฉู ลาด หลกั การแปล อนตฺ มาน ปจ จยั อนฺต มาน ปจจัยทปี่ ระกอบดว ย ปฐมาวิภัตติ อยหู นาประธาน และท่ีประกอบดวย ทตุ ยิ าวภิ ตั ตถิ งึ สตั ตมวี ภิ ัตติ ใหแปลเปน วเิ สสนะวา ผ.ู ..,อัน..., (ยกเวนทเ่ี ปนกริ ิยาของประโยคแทรก) ตวั อยางเชน ธมฺมํ สณุ นฺโต ภกิ ฺขุ พุทฺธสสฺ ธมเฺ ม ปสที ต.ิ อ.ภิกษุ ผูฟงอยู ซ่งึ ธรรม ยอมเลอ่ื มใส ในธรรม ของพระพุทธเจา. (อหํ ) เอกํ ปรุ ิสํ ฉตตฺ ํ คเหตวฺ า คจฉฺ นฺตํ ปสสฺ ามิ. (อ.เรา) ยอมเห็น ซงึ่ บุรษุ คนหนง่ึ ผถู อื เอาแลว ซ่ึงรม ไปอยู. สวน อนตฺ มาน ปจจยั ท่ปี ระกอบดว ยปฐมาวิภตั ติ อยหู ลงั ประธาน เปนกริ ยิ าในระหวา ง แปลวา อยู เม่อื ตวั อยางเชน สตถฺ า ธมมฺ ํ เทเสนฺโต ตํ ภิกขฺ ุ โอวทต.ิ อ.พระศาสดา ทรงแสดงอยู ซ่ึงธรรม ยอมกลาวสอน ซงึ่ ภกิ ษุน้ัน. ปรุ โิ ส กมมฺ ํ กโรนโฺ ต กิลมติ. อ.บุรุษ กระทำอยู ซงึ่ การงาน ยอ มลำบาก. อนง่ึ ถา อนฺต มาน ปจจัย เปน กิริยาท่ีทำพรอ มกบั กริ ยิ าขางหลงั ตน สามารถแปลพรอมกนั กบั กริ ยิ าขา งหลงั นน้ั ได ตวั อยา งเชน อปุ าสโก สตถฺ ารํ โอโลเกนโฺ ต อาส.ิ อ.อบุ าสก ไดย ืนแลดอู ยูแลว ซง่ึ พระศาสดา.

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๓ พิเศษ :- มาน ปจ จยั นนั้ ถา ประกอบดว ย อิ อาคม และ ย ปจจยั หรือ ลง ย ปจจยั กต็ อ งแปลให เหมอื นประโยคกมั มวาจก คอื ตองหาบทนามทแ่ี ปลวา อนั .... เม่อื แปลบทนามนนั้ แลว จงึ คอยแปลกริ ิยาที่ ประกอบดวย มาน ปจจัย เชน เถเรน ปจุ ฺฉยิ มาโน สามเณโร ตํ ปวตตฺ ึ อาจกิ ขฺ ติ. อ.สามเณร ผอู นั พระเถระถามอยู ยอมบอก ซ่ึงความเปน ไปทัว่ น้นั . อาจรเิ ยน โอวทิยมาโน สิสโฺ ส คารเวน สณุ าติ. อ.ศิษย ผูอันอาจารยก ลาวสอนอยู ยอมฟง ดว ยความเคารพ เปน ตน . ถากริ ิยา อนตฺ มาน ปจจยั ในประโยคใด ใชธาตตุ ัวเดียวกันกบั กริ ิยาคมุ พากยในประโยคนัน้ กริ ยิ า ทปี่ ระกอบ อนตฺ มาน ตวั นน้ั จะแปลวา \"เม่อื \" ตัวอยา งเชน สตถฺ า วิหาเร ธมฺมํ เทเสนฺโต ภกิ ฺขนู ํ เทเสติ. อ.พระศาสดา เมื่อทรงแสดง ซง่ึ ธรรม ในวหิ าร ยอ มทรงแสดง แกภิกษุ ท. ปุริโส คามํ คจฉฺ นฺโต เวเคน คจฉฺ ติ. อ.บุรษุ เม่ือไป สบู าน ยอมไป โดยเรว็ . ตัวอยา งประโยค อนฺต มาน ปจ จัย ๑. เสโ  พทุ ฺโธ ธมมฺ ํ เทเสนฺโต ภิกขฺ ู โอวทติ. อ.พระพุทธเจา ผปู ระเสรฐิ สดุ แสดงอยู ซ่ึงธรรม ยอ มกลา วสอน ซงึ่ ภิกษุ ท. ๒. ทกโฺ ข ภิกขฺ ุ กมมฺ  านํ อคุ คฺ ณหฺ นโฺ ต พุทฺธธมเฺ ม ปสีทติ. อ.ภกิ ษุ ผขู ยนั เมอ่ื เรยี นเอา ซ่งึ พระกัมมฏั ฐาน ยอมเล่อื มใส ในธรรมของพระพทุ ธเจา . ๓. กสุ โล สามเณโร อาจรเิ ยน โอวทิยมาโน สณุ าติ. อ.สามเณร ผฉู ลาด อนั อาจารย กลา วสอนอยู ยอมฟง . ๔. สทุ โฺ ธ สตฺโต อมิ สมฺ ึ โลเก อปุ ฺปชฺชมาโน ขตตฺ ยิ กุเล อปุ ฺปชชฺ ติ. อ.สัตว ผูบรสิ ุทธิ์ เมอ่ื เกดิ ขน้ึ ในโลก นี้ ยอ มเกดิ ขน้ึ ในตระกูลแหง กษตั รยิ . ๕. ทกโฺ ข ภิกขฺ ุ สตถฺ ารา โอวทิยมาโน อรหตตฺ ํ ปาปณุ .ิ อ.ภกิ ษุ ผูขยนั อนั พระศาสดา กลา วสอนอยู บรรลุแลว ซ่ึงพระอรหตั ๖. กฺ า เภสชฺชํ ภุฺชนตฺ ี ปต ุ เภสชฺชํ ภุ ชฺ ติ. อ.นางสาวนอย เมอ่ื บริโภค ซ่งึ เภสัช ยอ มบรโิ ภค ซง่ึ เภสชั ของบิดา. ๗. จณโฺ ฑ สนุ โข รุกฺขมเู ล นปิ ชชฺ มาโน สพฺพรตตฺ ึ นทิ ฺทายติ. อ.สุนขั ตวั ดรุ าย นอนอยู ท่โี คนแหง ตนไม ยอ มหลบั ตลอดราตรีทง้ั ปวง. ๘. อาจรโิ ย สิสสฺ านํ สปิ ปฺ  วาเจนโฺ ต กิลมติ. อ.อาจารย บอกอยู ซง่ึ ศิลปะ แกศษิ ย ท. ยอมลำบาก ๙. ปตุ โฺ ต ปตรา โปสยิ มาโน อนุปุพฺเพน วฑฒฺ ติ. อ.บตุ ร อนั บดิ า เลย้ี งอยู ยอ มเจรญิ โดยลำดบั . ๑๐. สาลาย นสิ ที นฺตา ภกิ ขฺ ู อตตฺ โน อตตฺ โน อาสเน นสิ ที นฺติ. อ.ภกิ ษุ ท. เมื่อน่งั ในศาลา ยอมน่ัง ท่อี าสนะ ของตน ๆ.

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๔ หลักการแปล ต ปจ จยั ต ปจจัยนนั้ สามารถเปน ไดห ลายวาจก ฉะนน้ั เวลาแปล นักเรยี นตอ งดธู าตดุ ว ย วา มีกรรมหรือไม ถา เปน ธาตุทมี่ ีกรรม แลว ประกอบกบั ต ปจ จยั สว นมากเปน กมั มวาจก ถาเปน ธาตไุ มมกี รรม กเ็ ปนกัตตุ วาจก ซึง่ มวี ธิ ีแปล ดงั นี้ ต ปจ จัยทป่ี ระกอบดวยปฐมาวภิ ตั ติ ถาอยูหนาประธาน แปลเปน วิเสสนะวา ผู. ., อนั .., เชน ปมํ อาคโต ภกิ ขฺ ุ ปุรโต นิสที .ิ อ.ภกิ ษุ ผมู าแลว กอ น นงั่ แลว ขา งหนา. ต ปจ จัยทปี่ ระกอบดวยปฐมาวิภตั ติ ถา อยูหลงั ประธาน แตไ มใ ชเปน กริ ิยาคมุ พากย แปลเปน กริ ิยาตามปกติ เชน อยํ ปรุ โิ ส นสิ ินฺโน ภตตฺ ํ ภุชฺ ติ. อ.บุรุษ น้ี นั่งแลว ยอ มบริโภค ซงึ่ ภัตร. แปลเปน วเิ สสนะวา ผ.ู .. อัน.... เชน อยํ ปรุ โิ ส นสิ ินโฺ น ภตตฺ ํ ภุ ชฺ ต.ิ อ.บรุ ุษ นี้ ผนู ่งั แลว ยอมบรโิ ภค ซ่งึ ภตั ร. แปลเปน วกิ ตกิ ตั ตาวา เปน (โดยใส หตุ วฺ า มาเพื่อรบั วกิ ตกิ ตั ตาตวั นนั้ ) เชน อยํ ปรุ โิ ส นสิ นิ โฺ น (หตุ วฺ า) ภตตฺ ํ ภุชฺ ติ. อ.บรุ ุษน้ี เปน ผนู งั่ แลว (เปน ) ยอมบรโิ ภค ซึ่งภตั ร. ต ปจ จยั ทเี่ ปนกิรยิ าคมุ พากยม กั อยคู ำสดุ ทา ยของประโยค ซง่ึ จะไมแ ปลวา ผู. ..,อนั ..., แปลเปนกริ ิยาตามปกติ เชน พทุ ฺโธ โลเก อปุ ปฺ นฺโน. อ.พระพทุ ธเจา อุบตั แิ ลว ในโลก. แปลเปน วกิ ตกิ ตั ตาวา เปน โดยใสก ริ ยิ าวามีวาเปนมารบั วกิ ติกตั ตา ซึ่งตองใหต รงบรุ ษุ กัน ถาประธานเปนปฐมบุรษุ ใช โหต,ิ โหนตฺ ิ, เชน พทุ ฺโธ โลเก อุปฺปนโฺ น. (โหต)ิ อ.พระพทุ ธเจา เปน ผูอบุ ัตแิ ลว ในโลก ยอมเปน . พทุ ฺธา โลเก อปุ ปฺ นนฺ า. (โหนตฺ ิ) อ.พระพทุ ธเจา ท. เปน ผูอุบตั แิ ลว ในโลก ยอ มเปน. ถา ประธานเปน มธั ยมบุรษุ ใช อสิ อตถฺ , โหสิ โหถ เชน ตฺวํ วหิ ารํ อาคโต. (อสิ) อ.ทาน เปน ผูมาแลว สวู หิ าร ยอมเปน . ตุมฺเห วิหาร อาคตา. (อตถฺ ) อ.ทาน ท. เปนผมู าแลว สวู หิ าร ยอมเปน . ถาประธานเปนอตุ ตมบรุ ษุ ใช อมหฺ ิ อมหฺ , โหมิ โหม เชน อหํ วหิ ารํ อาคโต. (อมฺห)ิ อ.เรา เปน ผมู าแลว สวู หิ าร ยอ มเปน . มยํ วหิ ารํ อาคตา. (อมหฺ ) อ.เรา ท. เปนผมู าแลว สวู ิหาร ยอมเปน . สว น ต ปจ จัย ทป่ี ระกอบดวยทตุ ยิ าวิภตั ติ ถงึ สตั ตมวี ิภตั ติ ใหแ ปลเปน วเิ สสนะวา ผู.., อนั .. (ยกเวน ทีเ่ ปน กริ ยิ าของประโยคแทรก) เชน เถโร ตํ ภิกขฺ ุ อาคตํ อทฺทส. อ.พระเถระ ไดเหน็ แลว ซ่งึ ภกิ ษนุ น้ั ผมู าแลว . สตถฺ า สามเณรํ ปณ ฺฑาย คตํ อททฺ ส. อ.พระศาสดา ไดท รงเหน็ แลว ซงึ่ สามเณร ผไู ปแลว เพ่ือบณิ ฑบาตร. สว น ต ปจจัย ทปี่ ระกอบดวยธาตทุ ม่ี ีกรรม เปน กมั มวาจก เชน สตฺถารา ธมโฺ ม เทสโิ ต. อ.ธรรม อนั พระศาสดา แสดงแลว . ภิกขฺ ุนา ภิกขฺ า ลทธฺ า. อ.ภิกษา อนั ภิกษุ ไดแ ลว .

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๕ พิเศษ :- แมจะไมใชก ริ ยิ าคุมพากย คอื ประกอบดวยวิภตั ตอิ ื่นนอกจากปฐ มาวภิ ตั ติ ถา เปน ต ปจ จยั ทปี่ ระกอบดวยธาตุทมี่ ีกรรม เวลาแปล กต็ องแปลใหเ หมอื นกัมมวาจกเชน กนั คอื ตอ งแปลหานาม นามทแี่ ปลวา อนั ( ผูอนั ......กริ ิยา ต ปจจยั ) เชน ภิกขฺ ุ เถเรน ปุจฉฺ ิตํ สามเณรํ โอวทต.ิ อ.ภกิ ษุ ยอมกลาวสอน ซง่ึ สามเณร ผอู นั พระเถระ ถามแลว. ตัวอยา งประโยค ต ปจจยั ๑. ราชา นฺหานาย นทึ คโต. อ.พระราชา เสด็จไปแลว สแู มนำ้ เพื่อสรงนำ้ . ๒. ภิกฺขนุ า สตถฺ ุ ธมโฺ ม ปฏปิ ชชฺ โิ ต. อ.พระธรรม ของพระศาสดา อนั ภกิ ษุ ปฏิบตั แิ ลว . ๓. ภกิ ขฺ ุ คามํ ปณ ฑฺ าย ปวิโ . อ.ภิกษุ เขา ไปแลว สหู มบู า น เพื่อกอนขา ว. ๔. ภกิ ฺขนุ า เถรสฺส โอวาโท ภาสิโต. อ.โอวาท ของพระเถระ อันภิกษุ กลาวแลว . ๕. วาณิโช ทานํ ทตวฺ า ปกกฺ นฺโต. อ.พอ คา ใหแ ลว ซงึ่ ทาน หลกี ไปแลว . ๖. เถเรน อติ ถฺ ยิ า โภชนํ คหติ ํ . อ.โภชนะ ของหญงิ อนั พระเถระ รับเอาแลว. ๗. เถโร สามเณรํ วหิ ารํ อาคตํ ปกโฺ กสติ. อ.พระเถระ ยอมรอ งเรียก ซ่ึงสามเณร ผูมาแลว สวู หิ าร. ๘. ปรุ ิเสน มหนโฺ ต รกุ โฺ ข ฉนิ โฺ น. อ.ตนไม ใหญ อันบุรุษ ตดั แลว. ๙. วสิ าขาย ทานํ สตถฺ ุ ทนิ ฺน.ํ อ.ทาน อนั นางวิสาขา ถวายแลว แดพระศาสดา. ๑๐.สามเณโร เอกาย อติ ถฺ ยิ า มุฬฺโห. อ.สามเณร อนั หญิง คนหนงึ่ หลงแลว . หลักการแปล อนีย ตพฺพ ปจ จยั อนยี ปจ จยั นนั้ ใชป ระกอบกบั ธาตุทม่ี กี รรมสว นมากถาเปน กิรยิ าคมุ พากยจะเจอในรปู แบบของ กมั มวาจก เพราะฉะนั้น เวลาแปลกต็ องแปลตามขอกำหนดรปู แบบของกมั มวาจก(อ.– อนั – กริ ยิ า) เชน ปุรเิ สน กมฺมํ กรณยี ํ. อ.กรรม อนั บรุ ุษ พึงกระทำ. ภกิ ฺขนุ า ธมโฺ ม วจนโี ย. อ.ธรรม อนั ภิกษุ พงึ กลาว. ในบางประโยคทีเ่ ปนกมั มวาจกน้นั บางครงั้ ตวั อนภหิ ติ กตั ตา (บทนามทแ่ี ปลวา อนั ) กไ็ มม มี าให เวลาแปลนกั เรียนจะตอ งเพมิ่ เขา มาเอง เพอ่ื ใหเ นื้อความนน้ั ๆสมบูรณ โดยดจู ากเนือ้ เรือ่ งวา ควรจะยกศพั ท อะไรมา เชน (ปุคคฺ เลน) สจุ ริตํ กรณยี ํ. อ.สุจริต (อนั บุคคล) พึงกระทำ หากวาธาตทุ ป่ี ระกอบดว ย อนีย ปจ จัยนน้ั ไมใชก ริ ิยาคุมพากย ก็จะแปลเปน เหมอื นคุณนามของ นามนามบทนน้ั ๆ ซงึ่ เวลาแปล กต็ องแปลเหมอื นรปู แบบกมั มวาจก คอื ตองหาบทนามทแ่ี ปลวา อนั กอน แลวจงึ คอ ยแปลกริ ยิ าท่ีประกอบดว ย อนยี นัน้ ตพฺพ ปจ จัยนั้น เปนไดทง้ั ภาววาจก กัมมวาจก เหตุกมั มวาจก ซงึ่ มวี ิธีการท่ีจะสังเกตวาจก ดังนี้ - ถาประกอบกับธาตุทไ่ี มม กี รรม (เชน ภู ธาตุ เปน ตน ) เปนภาววาจก เวลาแปลไมต อ งหาบทนาม ทล่ี งปฐมาวภิ ตั ติ เพราะในภาววาจกไมม ี จะมกี แ็ ตบ ทนามท่ีลงตติยาวิภตั ติ (แปลวา อัน) และกริ ิยา ตัวอยา งเชน

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๖ อนตฺ ราเยน เอตฺถ (วตถฺ สุ มฺ ึ) ภวิตพพฺ .ํ อันอนั ตราย พึงมี ในเรอ่ื งน.ี้ - ถาประกอบดว ยธาตุทมี่ กี รรม แตไ มไดลงเหตุปจจยั เปน กัมมวาจก เชน ปุรเิ สน กมมฺ ํ กตตฺ พพฺ .ํ อ.กรรม อนั บุรษุ พึงกระทำ. รฺ า โภชนํ ภุชฺ ิตพพฺ .ํ อ.โภชนะ อนั พระราชา พงึ เสวย. หากวาธาตุทป่ี ระกอบดวย ตพฺพ ปจจยั นนั้ ไมไดเ ปน กริ ิยาคมุ พากย จะแปลเปนเหมือนคุณนาม ของนามนามบทนนั้ ๆ ซง่ึ เวลาแปล กต็ องแปลเหมอื นรปู แบบกมั มวาจก คือ ตอ งหาบทนามทแ่ี ปลวา อนั กอ นแลวจงึ คอยแปลกริ ิยาทปี่ ระกอบดว ย ตพพฺ ปจ จยั นน้ั ตัวอยา งการแปล อนีย ตพพฺ ปจ จยั สูเทน โอทโน ปจติ พฺโพ. อ.ขาวสกุ อนั พอครวั พึงหงุ . อหํ มยา วจนยี ํ วจนํ วทามิ. อ.เรา จะกลาว ซ่งึ คำ อนั อนั เรา พงึ กลาว ชเนหิ ผลานิ คเหตพพฺ าน.ิ อ.ผลไม ท. อนั ชน ท. พึงถอื เอา.(พึงเกบ็ เอา) จณฺโฑ ปรุ โิ ส อตตฺ โน ญาตหี ิ ภินทฺ ติ พโฺ พ.อ.บุรุษ ผูดรุ า ย อนั ญาติ ท. ของตน พึงทำลาย. กสุ เลน ภกิ ขฺ นุ า กเิ ลสา ฉินทฺ ิตพฺพา. อ.กเิ ลส ท.อันภกิ ษุ ผฉู ลาด พงึ ตดั . เถโร ภิกขฺ นุ า กรณยี ํ กจิ ฺจํ อาจกิ ขฺ ต.ิ อ.พระเถระ ยอ มบอก ซึง่ กจิ อันภกิ ษุ พึงกระทำ. ปุริเสน อิมสมฺ ึ เคเห ภวติ พพฺ .ํ อนั บุรษุ พึงมี ในเรอื น น.้ี ภกิ ฺขุนา สตถฺ ุ ธมโฺ ม วจนโี ย. อ.พระธรรม ของพระศาสดา อันภิกษุ พงึ กลา ว. หลักการแปล ตวฺ า ปจ จัย สำหรบั ตวฺ า ปจจยั ท่ีทำกอนกริ ยิ าทอี่ ยูข า งหลงั ใหแ ปลวา \"แลว \" (ทว่ั ๆไป) เชน โส ปรุ ิโส ธมมฺ ํ สตุ วฺ า คามํ คจฺฉติ. อ.บุรษุ นัน้ ฟง แลว ซึง่ ธรรม ยอมไป สูบา น. ราชา ทานํ ทตวฺ า ธมมฺ ํ สตุ วฺ า สีลํ รกฺขติ. อ.พระราชา ถวายแลว ซง่ึ ทาน สดับแลว ซงึ่ ธรรม ยอ มรกั ษา ซงึ่ ศีล. สำหรบั ตวฺ า ปจจัยทเ่ี รยี งไวต วั แรกของประโยคหลัง หากวาใชธ าตตุ ัวเดียวกนั หรอื มีอรรถเดียวกนั กับกิริยาคุมพากยข องประโยคหนา แปลวา \"ครนั้ ...แลว \" เชน ปุริโส ปพพฺ ช,ิ ปพฺพชติ ฺวา จ ปน อรหตตฺ ํ ปาปณุ .ิ อ.บรุ ษุ บวชแลว , กแ็ ล (อ.บรุ ษุ นั้น) ครั้นบวชแลว บรรลแุ ลว ซงึ่ พระอรหตั . สตฺถา ภิกขฺ นู ํ ธมฺมํ เทเสสิ, เทเสตวฺ า จ ปน เต (ภิกขฺ )ู โอวทติ. อ.พระศาสดา ทรงแสดงแลว ซงึ่ ธรรม แกภ ิกษุ ท., ก็แล อ.พระศาสดา ครนั้ ทรงแสดงแลว ยอ มกลาวสอน ซ่งึ ภกิ ษุ ท. เหลานน้ั . ตฺวา ปจจยั ทท่ี ำพรอมกนั กบั กิรยิ าท่ีอยขู างหลงั จะไมออกสำเนียงคำแปลวา แลว เชน ปรุ โิ ส ฉตฺตํ คเหตวฺ า คจฉฺ ติ. อ.บรุ ษุ ถือ ซง่ึ รม ไปอย.ู ตฺวา ปจ จัยแบบนเี้ รียกวา สมานกาลกิริยา ซงึ่ มคี วามหมายเทา กบั อนตฺ มาน ปจ จยั ที่ทำพรอมกบั กริ ิยาทีอ่ ยูขา งหลงั ตัวอยา งเชน โอโลเกตวฺ า อ าสิ มคี วามหมายเทา กับ โอโลเกนฺโต อาสิ กตฺวา วิจรติ มคี วามหมายเทา กับ กโรนโฺ ต วิจรต.ิ ตวฺ า ปจจยั ทที่ ำหลงั กริ ิยาคมุ พากย ก็ใหแ ปลหลงั กิริยาคมุ พากยตวั นนั้ เชน เถโร ธมมฺ าสเน นิสที ิ จติ ตฺ วชี นึ คเหตฺวา.

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๗ อ.พระเถระ น่งั แลว บนธรรมาสน จบั ซึ่งพดั อันวจิ ิตร. ตฺวา ปจ จยั ท่ีไมไ ดทำหนาท่เี ปน กริ ยิ าแตทำหนา ทเี่ ปน ตวั ขยาย ถาเขากับนามแปลหลังนาม เปน วิ เสสนะ ถา เขา กับกริ ิยาแปลหลงั กริ ยิ า เปน กริ ยิ าวเิ สสนะ เชน เปตวฺ า เทวฺ อคคฺ สาวเก อวเสสา (ภกิ ขฺ )ู อรหตฺตํ ปาปุณสึ ุ. อ.ภกิ ษุ ท. ผเู หลือลง เวน ซง่ึ พระอัครสาวก ท. สอง บรรลุแลว ซ่ึงพระอรหตั . อิมํ คามํ นสิ สฺ าย โกจิ อารฺ โก วหิ าโร อตถฺ ิ. อ.วหิ าร อนั ต้งั อยูในปา ไรๆ อาศยั ซ่งึ บา น นี้ มีอยู หรือ. ตณี ิ รตนานิ เปตวฺ า อฺ ํ เม ปฏิสรณํ นตถฺ .ิ อ.ท่ีพง่ึ อ่ืน ของเรา ยอ มไมม ี เวน ซ่ึงรตนะ ท. สาม. ตวฺ า ปจ จัย หากจะแปลหลงั คมุ พากยกไ็ ด ในบางกรณี เพื่อใหเ นอ้ื ความสละสลวยขน้ึ ซงึ่ เวลาแปล ก็ใหแปลวา เพราะ เชน สหี ํ ทิสวฺ า ภยํ อปุ ปฺ ชฺชต.ิ อ.ความกลวั ยอ มเกิดขน้ึ เพราะเห็น ซง่ึ สีหะ. มยา อาจรยิ ํ นิสฺสาย ชวี ิตํ ลทธฺ ํ. อ.ชวี ติ อนั เรา ไดแลว เพราะอาศัย ซึ่งอาจารย. ตัวอยา ง ตวฺ า ปจจัย ๑. เถโร สามเณรสสฺ โอวาทํ อทาสิ, ทตวฺ า จ ปน วิหารํ ปวิโ . อ.พระเถระ ไดใหแ ลว ซึง่ โอวาท แกส ามเณร,ก็แล อ.พระเถระ ครนั้ ใหแ ลว เขา ไปแลว สวู หิ าร. ๒. ปรุ ิโส ภริยาย เคหํ คนตฺ วฺ า ตสสฺ า ธนํ ทตวฺ า โภชนํ ภุชฺ นฺโต มฺจเก ภุ ชฺ ต.ิ อ.บรุ ษุ ไปแลว สเู รอื น ของภริยา ใหแ ลว ซง่ึ ทรพั ย แกภ ริยานน้ั เมอ่ื บรโิ ภค ซงึ่ โภชนะ ยอมบรโิ ภค บนเตยี ง. ๓. อหํ โจรํ ทสิ วฺ า ภายามิ. อ.เรา ยอ มกลวั เพราะเหน็ ซง่ึ โจร. ๔. ตยา มํ นิสฺสาย ชวี ิตํ ลทธฺ ํ. อ.ชวี ติ อนั ทาน ไดแลว เพราะอาศยั ซง่ึ เรา. ๕. อมจโฺ จ รโฺ  วจเนน กตฺวา คามํ คจฉฺ ติ. อ.อำมาตย ยอ มไป สูหมบู าน เพราะกระทำ ตามคำ ของพระราชา. ๖. ปตุ ฺโต อาหารํ อาเนตฺวา ปต ุ ทตวฺ า นวิ ตตฺ .ิ อ.บตุ ร นำมาแลว ซงึ่ อาหาร ใหแ ลว แกบ ดิ า กลบั แลว . ๗. สามเณโร สีลํ สมาทิยติ วฺ า ธมมฺ ํ สุณาติ. อ.สามเณร สมาทานแลว ซง่ึ ศีล ยอมฟง ซงึ่ ธรรม. ๘. อติ ฺถี วนํ ปวสิ ติ วฺ า เอกํ ปรุ ิสํ อททฺ ส. อ.หญงิ เขาไปแลว สปู า ไดเห็นแลว ซึง่ บุรษุ คนหนง่ึ . ๙. จณฺโฑ หตฺถี เอกํ ภกิ ฺขุ ทิสฺวา ปสที ต.ิ อ.ชาง ตวั ดุรา ย เหน็ แลว ซง่ึ ภกิ ษุ รปู หนงึ่ ยอมเลอื่ มใส. ๑๐.ภิกฺขนุ า ธมมฺ ํ สตุ ฺวา สลี ํ รกขฺ ติ พฺพํ . (ภกิ ษุ, ธรรม, ฟง , ศลี , รกั ษา) อ.ศีล อนั ภิกษุ ฟงแลว ซงึ่ ธรรม พงึ รักษา.

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๘ หลักการแปลวาจกอาขยาต วาจกในอาขยาตนน้ั มีอยู ๕ วาจกดว ยกัน คือ - กตั ตวุ าจก วาจกท่ีกลา วถงึ ผูท่ีทำกิริยาน้นั ๆดว ยตนเอง - กมั มวาจก วาจกทกี่ ลาวถึงบคุ คลหรือสงิ่ ทถ่ี ูกกระทำ - ภาววาจก วาจกทกี่ ลา วถงึ เพียงความมคี วามเปน เทานนั้ - เหตกุ ตั ตวุ าจก วาจกทก่ี ลา วถงึ บคุ คลท่ใี ชค นอน่ื ใหทำสง่ิ ตา งๆ - เหตุกมั มวาจก วาจกท่ีกลาวถงึ สงิ่ ทีถ่ กู บคุ คลใชคนอนื่ ใหทำ ซงึ่ ในแตล ะวาจกนน้ั กม็ คี ำแปลและขอ กำหนดเฉพาะตนอยู เพราะฉะนนั้ จงึ จำเปน อยา งยงิ่ ท่ี นักเรยี นตอ งทำความเขา ใจในหลักวาจกทงั้ ๕ น้ี เพื่อนำไปสกู ารแปลบาลไี ดอ ยางถกู ตอง ดงั ตอไปน้ี หลักการแปลกตั ตวุ าจก กัตตวุ าจก จะประกอบดว ยปจ จยั ๑๐ ตวั คือ อ-เอ-ย-ณ-ุ ณา-นา-ณหฺ า-โอ-เณ-ณย ตวั ใดตวั หนง่ึ เพราะฉะนน้ั กริ ยิ า (ธาตุ) ใดกต็ ามประกอบดว ยปจจยั เหลานต้ี ัวใดตวั หนึ่ง กริ ยิ านนั้ กเ็ ปน กตั ตวุ าจก, การประกอบปจจยั นนั้ จะประกอบตามประจำหมวดของตน เชน ถา เปน กร ธาตุ ก็จะลง โอ ปจจัย เพราะ กร ธาตุ อยใู นหมวด ตนฺ ธาตุ ซงึ่ ตนฺ ธาตุนนั้ มปี จจยั ประจำหมวด คอื โอ นนั่ เอง, สว น วภิ ัตตอิ าขยาต ที่มกั ใชในกตั ตวุ าจกนน้ั จะใชก ริ ิยาธาตุทลี่ งวภิ ัตตอิ าขยาต ฝายปรสั สบทเปน สวนใหญ องคประกอบหลกั ๆ จะตอ งมี ประธาน และ กริ ิยา (อ. – (กรรม) -กิริยา) เชน - ปรุ ิโส กมมฺ ํ กโรติ = อ.บรุ ษุ ยอมกระทำ ซึ่งกรรม. (กรฺ ธาตุ ลง โอ ปจจัยประจำหมวดธาตุ และวิภัตติฝายปรสั สบท คอื ติ ) - เถรา ธมมฺ ํ สุณนฺติ = อ.พระเถระ ท. ยอมฟง ซงึ่ ธรรม. (สุ ธาตุ ลง ณา ปจ จัยประจาหมวดธาตุ และวภิ ตั ติฝา ยปรสั สบท คอื อนตฺ )ิ - ตวฺ ํ โอทนํ ปจาหิ = อ.ทา น จงหุง ซึ่งขาวสกุ . (ปจฺ ธาตุ ลง อ ปจ จยั ประจาหมวดธาตุ และวิภัตติฝา ยปรัสสบท คอื ห)ิ หลกั การแปลกมั มวาจก กมั มวาจก นน้ั จะประกอบดวย ย ปจ จยั กับทงั้ อิ อาคม หนา ย ดว ย หรอื บางครง้ั ประกอบดวย ย ปจจยั อยางเดียวก็มี, สว นวภิ ตั ติอาขยาต ทมี่ ักใชในกมั มวาจกนน้ั จะใชกริ ยิ าธาตุ ท่ลี งวภิ ตั ติอาขยาต ฝา ยอตั ตโนบทเปนสว นใหญ องคประกอบหลกั ๆ จะตอ งมี คนทำ, ประธาน และ กริ ยิ า (อ. – อัน – กริ ิยา) เชน - สูเทน โอทโน ปจิยเต = อ.ขาวสกุ อนั พอครวั หุงอยู (ปจยิ เต >> ปจฺ ธาตุ + ย ปจ จยั + อิ อาคมหนา ย + เต วัตตมานา อตั ตโนบท) - สูเทน โอทโน ปจฺจเต = อ.ขา วสกุ อนั พอ ครวั หงุ อยู (ปจจฺ เต = ปจฺ + ย + เต, แปลง ย กับ จฺ ทสี่ ดุ ธาตุ เปน จฺจ) พเิ ศษ :- กัมมวาจกน้ี ไมคอ ยจะนิยมใชใ นรูปแบบอาขยาตมากนกั สว นมากทา นจะใชเปน รูปแบบ กริ ยิ ากติ ก (ลง ต อนีย ตพพฺ ปจจัย), อน่งึ ขอใหน กั เรียนสังเกตเถดิ กมั มวาจกนีแ้ ปลกจากกตั ตวุ าจก อยา งนี้ - ประธานในประโยคกตั ตวุ าจก พอมากมั มวาจก จะเปลยี่ นจากปฐมาวิภตั ติ มาลงตติยาวิภตั ติ (อนั ....)

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๕๙ - ตวั กรรม (ส่งิ ทถ่ี ูกกระทา) ในกตั ตวุ าจก พอมากมั มวาจก จะเปลยี่ นจากทตุ ิยาวภิ ตั ติ เปน ปฐมา วิภตั ติ(อ.) - ตวั กริ ิยาในกตั ตวุ าจก ซ่ึงลงปจจัยประจำหมวดธาตุของตน และใชว ภิ ตั ตฝิ า ยปรสั สบท พอ มากมั มวาจก จะไมล งปจจัยในหมวดของตน แตจ ะลง ย ปจจยั กบั อิ อาคม หนา ย หรอื ย ปจ จยั ตวั เดยี วก็ มี และใชวภิ ตั ติฝา ยอตั ตโนบท เชน สูโท (ป. – อ.) โอทน (ทุ. – ซึง่ ) ปจติ (ปจ + อ + ติ) = กตั . สเู ทน (ต. – อนั ) โอทโน (ป. – อ.)ปจิยเต (ปจ + ย + อิ อาคม หนา ย + เต) = กัม. หลกั การแปลภาววาจก ภาววาจก นัน้ จะประกอบดวย ย ปจ จยั เพียงตวั เดียว สว นวภิ ตั ติอาขยาต ท่มี ักใชในภาววาจกนน้ั จะใชกิรยิ าอาขยาตทีล่ ง เต วัตตมานา ฝา ยอตั ตโนบท, ภาววาจกนี้ ท่อี ยใู นรปู แบบอาขยาต นักเรียนจะเจอ นอยมากๆ เพราะสว นใหญ ถาเปน ภาววาจก ทานจะใช ตพฺพ ปจ จัยในกริ ิยากติ ก + ธาตทุ ไี่ มม ีกรรม (ภู ธาตุ – ภวติ พฺพ เปน ตน) องคประกอบหลกั ๆ คือ นามนามที่ลงตติยาวภิ ัตติ และกริ ิยา (อนั – กิริยา) เชน เตน ปุรเิ สน ภูยเต = อนั บรุ ษุ น้ัน เปน อยู (ภยู เต >>> ภู ธาตุ + ย ปจ จยั ในภาววาจก + เต วตั ตมานา อัตตโนบท) หลักการแปลเหตกุ ัตตุวาจก เหตกุ ัตตวุ าจก จะประกอบดวยปจ จยั ๔ ตวั คือ เณ-ณย-ณาเป-ณาปย ตวั ใดตวั หนง่ึ ซึง่ กริ ยิ าที่ลงปจจัย ๔ ตวั น้ี มีขอ ทคี่ วรรู คือ เมื่อลงไปแลว ณ จะถูกลบเสมอ ซ่งึ ถา ตน ธาตุเปน รัสสะ ณ ทลี่ บไปนนั้ มีอานาจ พอครา วๆ ดงั น้ี - ถา ตน ธาตุนนั้ เปน อ จะทฆี ะเปน อา - ถา ตน ธาตุนนั้ เปน อิ จะทฆี ะเปน อี - ถาตน ธาตุนน้ั เปน อุ จะทฆี ะเปน อู - ถา ตน ธาตนุ น้ั เปน อิ จะวกิ ารเปน เอ บาง - ถา ตน ธาตนุ นั้ เปน อุ จะวกิ ารเปน โอ บา ง - ถาตนธาตุเปน ทีฆะอยแู ลว หรอื วา มีพยญั ชนะสงั โยค (ตัวสะกด) ซอ นอยูเ บือ้ งหลงั ก็ไมต องทำ อะไร คงไวอ ยางเดมิ เพยี งลบ ณ ไปเทา นน้ั เพราะฉะนน้ั กริ ยิ า (ธาตุ) ใดกต็ ามประกอบดวยปจจยั เหลา นต้ี ัวใดตวั หนง่ึ กริ ยิ านนั้ ก็เปนเหตกุ ตั ตวุ าจก (ยกเวน เณ ณยฺ ของหมวด จรุ ฺ ธาต)ุ การประกอบปจจยั เหลา น้นั กับธาตุ ให ประกอบตามขอกาหนดดังทกี่ ลาวมา, สว นวิภตั ตอิ าขยาต ทมี่ กั ใชใ นเหตกุ ตั ตวุ าจกน้ี จะใชกริ ยิ าธาตุทล่ี ง วภิ ัตติอาขยาต ฝา ยปรสั สบทเปนสว นใหญ. เหตกุ ัตตวุ าจก นี้ ตองมตี วั การติ กรรม (คนท่ีถกู ใช) และ กอ นแปลกริ ิยาตองมีคำหนนุ วา “ให” องคประกอบหลกั จะตองมี ประธาน-การิตกรรม-อวุตตกรรม-กริ ิยา (อ.-ยัง-กิรยิ า-ซง่ึ ) - สามโิ ก สูทํ โอทนํ ปาเจติ. (ปาจาเปติ, ปาจาปยติ,) อ.นาย ยังพอครวั ใหห งุ อยู ซง่ึ ขา วสกุ . (ปาเจติ = ปจฺ + เณ + ติ >>> ลบ ณ เสีย แลว ทฆี ะตน ธาตซุ ึง่ เปน อ ใหเ ปน อา )

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๐ พิเศษ :- จะขออธบิ ายถงึ เณ ณย ปจ จัย คอื ปจ จัย ๒ ตวั นี้ นกั เรยี นจำไดไ หม มีอยทู ้ังในกตั ตุ วาจก (หมวด จุรฺ ธาตุ) และ เหตกุ ตั ตุวาจก (เณ ณย ณาเป ณาปย) นักเรียนตอ งดใู หด ี มฉิ ะนนั้ อาจแปลผดิ วาจกไดเลย ซง่ึ ขา พเจามแี นวทางพอใหส งั เกต ดงั นี้ - ถากริ ยิ า (ธาต)ุ ทีป่ ระกอบกับ เณ ณย ปจ จยั นั้น ไมใชธ าตุทอ่ี ยใู นหมวดของ จุรฺ ธาตุ กริ ยิ านน้ั เปน เหตุกตั ตุวาจกอยา งแนน อน เชน ราชา ชเน วหิ ารํ กาเรติ = อ.พระราชา ยังชน ท. ใหก ระทำอยู ซึ่งวิหาร. ( กรฺ ธาตลุ ง โอ ปจจยั ไมไดล ง เณ ปจ จัย เพราะ กรฺ ธาตไุ มไ ดอ ยูในหมวด จรุ ฺ ธาตดุ งั นนั้ กาเรติ ตัวน้ี จงึ เปน เหตกุ ตั ตวุ าจก) - ถา กิรยิ า (ธาตุ) ทป่ี ระกอบกบั เณ ณย ปจ จยั นั้น เปน ธาตุท่อี ยูในหมวดของ จรุ ฺ ธาตุ กริ ิยานนั้ สว นมากเปน กตั ตุวาจก เพราะถา ทา นตองการแสดงวาเปน เหตกุ ตั ตวุ าจก ทานจะเอาธาตุทีอ่ ยใู นหมวด จรุ ฺ ธาตุ ตวั นนั้ ๆ ลง ณาเป ปจจยั แทน เพ่อื ทำใหชดั ขนึ้ แสดงใหเ หน็ งา ยข้นึ วาเปนเหตกุ ตั ตวุ าจก เชน ปุรโิ ส จินฺเตติ = อ.บรุ ุษ ยอ มคิด. (จินตฺ + เณ + ติ) (จนิ ตฺ อยใู นหมวดของ จรุ ฺ ซงึ่ จุรฺ ธาตุลง เณ อยแู ลว ดังน้นั จึงแปลเปนกตั ตวุ าจก) ปุรโิ ส ชเน ธนํ โจราเปติ = อ.บรุ ษุ ยงั ชน ท. ยอ มใหลัก ซง่ึ ทรัพย (จุรฺ + ณาเป + ต)ิ (จรุ ฺ ธาตมุ ี เณ ณย เปน ปจ จยั ประจาหมวดธาตุ ไมใช ณาเป ดังนน้ั เมือ่ จรุ ฺ ธาตุประกอบกบั ณาเป ปจจยั เชนน้ี กต็ องเปน เหตุกตั ตวุ าจก). หลกั การแปลเหตกุ มั มวาจก เหตกุ มั มวาจก จะประกอบดว ยปจ จยั ๑๐ ตวั ของกตั ตวุ าจกตวั ใดตวั หนึ่งดวย, จะลง ณาเป ปจ จยั ของเหตุกตั ตวุ าจกดว ย, ลง ย ปจ จัย กบั ทั้ง อิ อาคมหนา ย เหมอื นกมั ม-วาจกดว ย (-าปย), วิภัตตอิ าขยาต ทมี่ กั ใชในเหตกุ มั มวาจกน้ี จะใชก ิรยิ าธาตทุ ล่ี งวภิ ตั ตอิ าขยาต ฝายอตั ตโนบทเปน สว นใหญ. (ตองแปลหนนุ กอ นกริ ิยาวา ให เหมือนกนั ) องคประกอบหลกั จะตอ งมี ประธาน – อนภิหติ กตั ตา –การติ กรรม –กิรยิ า (อ. .............อนั ...................ยัง...............กริ ิยา) - สามเิ กน ภรยิ ํ กมมฺ ํ การาปยเต = อ.กรรม อันสามี ยงั ภรรยา ใหก ระทำอยู. พเิ ศษ :- เหตกุ มั มวาจกน้ี ขอใหนักเรียนสงั เกตเถดิ จะแปลกจากเหตกุ ตั ตวุ าจก อยา งนี้ - ประธานในประโยคเหตกุ ตั ตวุ าจก พอมาเหตุกมั มวาจก จะเปลย่ี นจากปฐมาวภิ ตั ติ เปน ตติยา วภิ ตั ติ(อนั .) - ตวั กรรม(สงิ่ ที่ถูกกระทำ) ในเหตุกตั ตุ. พอมาเหตกุ มั ม. จะเปลี่ยนจาก ทตุ ยิ าวภิ ัตติ เปนปฐมา วภิ ตั ติ(อ.) - ตวั การติ กรรม(คนทถี่ ูกใช) ในเหตกุ ตั ต.ุ พอมาเหตุกมั ม.จะลงทตุ ยิ าวิภัตติ และแปลอยเู หมอื นเดมิ (ยงั .....) - ตัวกริ ยิ าในเหตกุ ตั ตวุ าจก ซ่ึงลงปจ จัย ๔ ตัวน้นั และใชว ิภัตตฝิ า ยปรัสสบท พอมาเหตกุ มั มวาจก จะลงปจจัยตามขอ กาหนดของเหตุกมั มวาจกดังทก่ี ลา วมา และใชวิภตั ติฝา ยอตั ตโนบท เชน สามิโก (ป. – อ.) สูท (ท.ุ – ยัง) โอทน (ทุ. – ซงึ่ ) ปาเจติ = เหตกุ ตั . สามิเกน (ต. – อนั ) สทู (สเู ทน กไ็ ด) โอทโน (ป. – อ.) ปาจาปย เต = เหตกุ มั .

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๑ ตัวอยา งวาจกอาขยาต ๑. สตถฺ า วหิ าเร ภิกฺขนู ํ ธมมฺ ํ เทเสติ. อ.พระศาสดา ยอมแสดง ซง่ึ ธรรม แกภ ิกษุ ท. ในวิหาร. ๒. ราชา ปุริเส ผลานิ อาหราเปติ. อ.พระราชา ยงั บรุ ุษ ท. ยอมใหน ำมา ซง่ึ ผลไม ท. ๓. สตถฺ ารา ธมฺโม เทสิยเต. อ.ธรรม อนั พระศาสดา ยอมทรงแสดง. ๔. ภกิ ขฺ นุ า สามเณรํ จวี รํ สพิ พฺ าปยเต. อ.จีวร อนั ภกิ ษุ ยังสามเณร ยอมใหเ ย็บ. ๕. เถโร ภิกขฺ ู วหิ าเร ธมฺมํ สณุ าเปติ. อ.พระเถระ ยงั ภกิ ษุ ท. ยอมใหฟ ง ซง่ึ ธรรม ในวหิ าร. ๖. กุมาโร “ อหํ ปพฺพชิสฺสามตี ิ จนิ เฺ ตสิ. อ.กมุ าร คดิ แลว วา “อ.เรา จักบวช”ดังนี้. ๗. มาตาปต โร ปตุ เฺ ต สปิ ปฺ านิ (ศลิ ปะ) อคุ ฺคณหฺ าเปนตฺ ิ. อ.มารดาและบดิ า ท. ยงั บุตร ท. ยอมใหเ รยี นเอา ซึ่งศิลปะ ท. ๘. พุทโฺ ธ โลเก อุปปฺ ชชฺ ิ. โส มนสุ ฺสานํ ธมฺมํ เทเสติ. อ.พระพุทธเจา อุบัตขิ ึ้นแลว ในโลก. อ.พระพุทธเจา พระองคน น้ั ยอ มแสดง ซงึ่ ธรรม แกมนุษย ท. ๙. ภิกขฺ นุ า สามเณโร โอวทยิ เต. อ.สามเณร อนั ภิกษุ ยอมกลา วสอน. ๑๐. ตทา ราชา ชเน วหิ ารํ การาเปส.ิ โส ตํ วหิ ารํ สตฺถุ เทต.ิ สตฺถา ภกิ ขฺ ู สาธกุ ารํ ทาเปสิ. ในกาลนน้ั อ.พระราชา ยงั ชน ท. ใหกระทำแลว ซ่งึ วิหาร. (อ.พระราชา) นัน้ ยอมถวาย ซง่ึ วิหาร น้นั แดพ ระศาสดา. อ.พระศาสดา ยงั ภิกษุ ท. ใหใหแลว ซง่ึ สาธกุ าร. หลักการแปลประโยคแทรก ประโยคแทรกน้นั มีอยู ๒ ประเภท คอื ๑. ประโยคอนาทร คอื ประโยคทมี่ บี ทนามนามประกอบดว ยฉัฏฐวี ภิ ตั ติ และมกี ิรยิ าท่ีลง ต อนฺต มาน ปจจัย ประกอบดวยฉฏั ฐีวิภตั ตเิ ชน กนั มีคำแปลวา เม่ือ..... ๒. ประโยคลกั ขณะ คอื ประโยคทม่ี บี ทนามนามประกอบดว ยสัตตมวี ภิ ตั ติ และมกี ริ ยิ าท่ีลง ต อนฺต มาน ปจจัย ประกอบดว ยสัตตมวี ิภัตติเชนกัน มคี ำแปลวา คร้นั เมือ่ .... หลกั การก็คอื ถา อยูต น ประโยคกแ็ ปลไดเ ลย ถา แทรกอยูกลางประโยค แทรกเขา มาตอนไหน ก็ให แปลตอนน้นั ไดเ ลย -ประโยคอนาทร มปี ระธานและกริ ิยาประกอบดว ยฉฏั ฐวี ิภัตติ (สว นใหญจ ะใช อนตฺ มาน ปจจัย เปน ปจจบุ นั กาลอยา งเดียว) แปลวา เมือ่ เชน ตวฺ ํ , มม วทนตฺ สสฺ , อกโฺ กสส.ิ อ.ทาน, เมือ่ ขา พเจา กลาวอยู ยอมดา. -ประโยคลกั ขณะ จะมปี ระธานและกริ ยิ าประกอบดวยสัตตมีวิภัตติ (ใช อนตฺ มาน ต ปจจยั แต นยิ มใช ต ปจ จัยมากกวา จงึ มักเปน อดตี กาล) แปลวา คร้ันเมอ่ื เชน

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๒ เถโร, เวลาย สมปฺ ตฺตาย, วหิ ารํ ปวสิ ติ. อ.พระเถระ, ครน้ั เม่อื เวลา ถงึ พรอ มแลว , ยอ มเขา ไป สูวหิ าร. ขอควรรู. ....พิเศษ สำหรบั ประโยคแทรกนี้ ถา กริ ิยาเขา สมาสกับนามนามอยู ไมว า นามนามนนั้ จะสมาส อยูขา งหนา หรอื ขา งหลงั กต็ าม จะไมส ามารถแปลเปน ตวั กริ ยิ าได นกั เรยี นจะตอ งแปลใหเ ปนเหมอื นวิกติกตั ตาแทน (แปลวา เปนผ.ู ...) แลว ใหโยค อสฺ ธาตเุ ขา มาเปน ตวั คมุ กิริยานั้น โดยใหลงวภิ ัตติตรงกับกิริยานัน้ ๆ โดยหลัก โยค มดี ังน้ี - ในประโยคอนาทร ป.ุ นป.ุ สนฺตสฺส สนตฺ านํ สมานสฺส สมานานํ อติ . สนตฺ ิยา สนตฺ นี ํ สมานาย สมานานํ - ในประโยคลักขณะ ป.ุ นป.ุ สนฺเต สติ สนเฺ ตสุ สมาเน สมาเนสุ อิต. สนฺตยิ า สนตฺ ีสุ สมานาย สมานาสุ - ตวั อยา งประโยคอนาทร ทีม่ ีกริ ิยาสมาสกับบทนาม ตสฺส ปตุ ตฺ สสฺ วยปปฺ ตตฺ สฺส (สมานสฺส), ปต า กาลมกาสิ. เม่ือบตุ รน้ัน เปน ผถู งึ แลว ซึ่งวยั มีอย,ู อ.บดิ า ไดก ระทำแลวซง่ึ กาละ. - ตวั อยา งประโยคลกั ขณะ ท่มี กี ริ ิยาสมาสกับบทนาม กุม ฺพิโก, ปต ริ กาลกเต (สนฺเต), มาตรํ ปฏิชคคฺ ิ. อ.กุมพี, ครนั้ เม่ือบดิ า เปนผูมกี าละอนั กระทำแลว มอี ย,ู ปฏิบตั แิ ลว ซ่ึงมารดา. สตถฺ า, รเฺ  นสิ นิ นฺ มตฺเต (สนเฺ ต), ธมมฺ ํ เทเสสิ. อ.พระศาสดา, ครน้ั เมื่อพระราชา เปน ผสู กั วา นั่งแลว มอี ยู, แสดงแลว ซ่งึ ธรรม. หลกั การแปลวกิ ตกิ ตั ตา วิกตกิ ตั ตานัน้ คอื บทคณุ นาม หรอื นามนามท่ีใชด จุ คณุ นาม ซง่ึ แปลเขากบั กิริยาวา มีวาเปน (หุ ภู อส ธาตุ รวมถึง ชน ธาตดุ ว ย) เรยี กวา วกิ ตกิ ตั ตา วกิ ตกิ ตั ตานกี้ ็เหมือนวเิ สสนะคอื แปลไมอ อกสาเนียงอายต นิบาต มคี าแปลวา เปน.... เม่อื วาโดยประเภทจาแนกไดเ ปน ๓ ประเภทหลักๆ คือ ๑. วกิ ติกตั ตาทเ่ี ปนคณุ นาม คอื ศัพทคุณนามทขี่ ยายนามนาม มีลงิ ค วจนะ และวภิ ตั ติ เหมอื นกนั กับนามนาม แตว างอยหู นา ธาตุวา “มี” วา “เปน ” เวลาแปลกต็ อ งใสค ำแปลหนุนวา “เปน ” ตวั อยางเชน - ราชา รเ  ชนานํ อิสฺสโร โหต.ิ อ.พระราชา เปนใหญ แหง ชน ท. ในแวน แควน ยอ มเปน . ๒. วิกติกตั ตาท่ีเปน นามนาม คอื บทนามนามที่ใชเ ปน ดุจคณุ นาม ซงึ่ จะมวี จนะ วภิ ัตติ ตรงกบั นามนาม สว นลงิ คน นั้ อาจจะตรงกนั บาง หรอื ตา งกนั บา ง แลว แตรากฐานของศพั ทนน้ั ๆ หมายความวา หากนามนามทใ่ี ชเปนดุจคณุ นามนั้นเปน ลิงคไหน แมจะเอาไปขยายบทนามทต่ี า งลงิ คก นั กไ็ ม ตองเปลยี่ นลงิ คไ ปตาม ศัพทเ ดมิ เปน ลงิ คอ ะไร กค็ งเปน ลงิ คน นั้ ตัวอยางเชน - พทุ ฺโธ เม วรํ สรณํ โหติ. อ.พระพุทธเจา เปน ท่ีพ่ึง อนั ประเสรฐิ ของเรา ยอมเปน .

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๓ - อปปฺ มาโท อมตํ ปทํ (โหต)ิ . อ.ความไมป ระมาท เปน ทาง อันไมตาย (ยอ มเปน). ๓. วกิ ติกตั ตาท่เี ปน กริ ยิ ากติ ก คอื กริ ิยากติ ก ทป่ี ระกอบดว ยลงิ ค วจนะ และวิภตั ติ เดยี วกันกบั นามนาม (บทประธาน) แตวางอยหู นา ธาตวุ า มวี าเปน หรือกิรยิ ากิตกท่ลี ง ต อนยี และ ตพพฺ ปจ จัย แตอ ยูในประโยคท่ีมี อมฺห หรอื ตมุ หฺ ศพั ท เปน ประธาน สว นกริ ยิ านนั้ อยูต วั สดุ ทา ย เวลาแปล กแ็ ปลหนนุ วา เปนผู......โดยโยคกิริยาวามีวา เปน มาคุม ตวั อยา งเชน - อหํ วหิ ารํ อาคโต (อมฺหิ) = อ.เรา เปน ผูม าแลว สูวหิ าร (ยอมเปน). - ปรุ ิโส อุปสมปฺ นโฺ น โหติ = อ.บุรษุ เปน ผอู ปุ สมบทแลว ยอ มเปน . วิกตกิ ัตตา ในประโยคภาววาจก จะประกอบดว ยตติยาวิภัตติ ตวั อยา งเชน - ภิกขฺ นุ า อกสุ เี ตน ภวติ พฺพํ . อนั ภิกษุ เปนผไู มเ กียจครา น พึงเปน . วกิ ตกิ ัตตาน้ี ถา หากวา อยูก ลางประโยค ใหใสก ิรยิ าวามวี าเปน คือ หตุ วฺ า (เปน ) เพอื่ รับวกิ ตกิ ัตตา นั้นๆ เชน - ปรุ โิ ส ปพฺพชิตฺวา ทุกโฺ ข (หตุ วฺ า) วิหาเร วสติ. อ.บุรุษ บวชแลว เปนผูม ีทกุ ข (เปน) ยอ มอยู ในวหิ าร. วิกตกิ ตั ตา ถา อยูท ายประโยค (คอื ไมม กี ริ ยิ าคุมพากย) กใ็ หใ สก ริ ิยาวา มี วา เปน มารบั โดยให บุรุษ วจนะ ตรงกนั กบั ประธานนน้ั ๆ และใหถ กู กาลในเรอ่ื งนน้ั ๆ ซึ่งมีหลกั โยค.........ดงั นี้ - ประธานเปนปฐมบุรุษใหใช โหติ โหนตฺ ิ - ประธานเปนมธั ยมบุรุษใหใ ช อสิ อตฺถ - ประธานเปน อตุ ตมบรุ ษุ ใหใ ช อมหฺ ิ อมหฺ , อสมฺ ิ อสมฺ (ใชสาหรบั ปจจบุ นั กาล) สำหรบั อดตี กาลนั้น ถา ประธานเปน ปฐมบุรุษ ใหใ ช อโหสิ อเหสุ เปน ตน เชน - น ภิกขฺ เว อิทาเนว อยํ ภิกขุ ปาโป(โหต)ิ ,ปพุ เฺ พป เอส (ภกิ ฺข)ุ ปาโปเยว (อโหสิ). ดูกอ นภิกษุ ท. อ.ภิกษุนี้ เปน คนบาป (ยอ มเปน ) ในกาลน้ีน่นั เทยี ว หามิได, (อ.ภกิ ษุ) นน่ั เปนคนบาปนน่ั เทียว (ไดเปน แลว ) แมในกาลกอน. พเิ ศษ :- ถาวิกติกตั ตาเปนกริ ิยากิตกท่ีลง ต ปจจัย ซงึ่ ประกอบดว ยธาตทุ ี่มกี รรม เวลาแปล กต็ อง แปลใหเหมอื นกมั มวาจก คอื ตอ งแปลไปหานามนามทแี่ ปลวา อนั .. (เปน ผอู ัน....) เชน - อยํ (รกุ โฺ ข) เทวตาย ปริคคฺ หิโต ภวิสสฺ ติ. (อ.ตน ไม) นี้ เปนตน ไมอันเทวดา ถอื เอารอบแลว จักเปน . - ตวฺ ํ มยา โอวทโิ ต (อสิ). อ.ทาน เปนผูอนั เรากลา วสอนแลว (ยอมเปน ). วกิ ตกิ ัตตาน้ี หากแปลโดยพยญั ชนะ โดยมากนิยมแปลวา เปน......ยอ มเปน , เปน .....จกั เปน, เปน .......ไดเ ปนแลว , หากแปลโดยอรรถ นิยมแปลวา เปน......, หลักการแปลวกิ ตกิ ัมมะ วิกตกิ ัมมะ คอื บทนามท่ลี งทุติยาวภิ ตั ตแิ ละอยูหนา กรฺ ธาตุ (กระทา) ทำหนาทข่ี ยายบทนามนาม ท่ีลงทตุ ยิ าวิภตั ติอีกตวั หนง่ึ (ซ่งึ อยูข า งหนาตน)

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๔ หลักการสังเกต คอื ในประโยคใด ถา มบี ทนามนามลงดว ยทตุ ิยาวภิ ัตติ (อยขู างหนา) และมีบท นามประกอบดว ยทตุ ยิ าวภิ ตั ตอิ กี ตัวอยขู า งหลังนามนามนน้ั และอยขู างหนา กรฺ ธาตุ บทนามทอ่ี ยใู กลกบั กรฺ ธาตนุ นั้ คือ ตัววิกติกมั มะน่ันเอง (แปลวา ให, ใหเปน ) สว นนามนามท่ลี งทตุ ิยาวภิ ัตตแิ ละอยูข า งหนานนั้ แปลวา ซึ่ง หลักการแปลวกิ ตกิ ัมมะ....แปล กรฺ ธาตกุ อน แลวแปลบทนามนามท่ลี งทตุ ิยาวภิ ตั ติ (แปลวา ซง่ึ ) เปน ลาดบั ตอ มา แลว จงึ คอ ยแปล ตวั วิกติกมั มะวา ให, ใหเ ปน วิธใี ชคำแปลวา ให, ใหเ ปน - หากวา แปล กรฺ ธาตทุ ่ลี ง ตฺวา ปจจัย (กตวฺ า) และวกิ ตกิ ัมมะ กอนกิรยิ าคุมพากยใ นประโยคนนั้ วกิ ตกิ มั มะนน้ั แปลวา “ใหเ ปน ” เชน เตนหิ เขตฺตํ เทวฺ โกาเส กตวฺ า ตํ (โก าสํ ) กโรหิ ถาอยางน้นั อ.ทาน ทำแลว ซ่ึงนา ใหเ ปน สว น ๒ จงทำ ซึ่งสว นนน้ั . - หากวา ในประโยคใด วิกตกิ ัมมะอยูใ กลก บั กรฺ ธาตุ และ กรฺ ธาตนุ น้ั เปน กริ ยิ าคุมพากยด วย วกิ ตกิ มั มะนนั้ แปลวา “ใหเ ปน ” เหมอื นกัน เชน อหํ ตํ (ปุริสํ ) กุม พฺ สสฺ สามิกํ กริสสฺ ามิ อ.เรา จกั ทำ (ซงึ่ บรุ ษุ ) นนั้ ใหเปน เจาของ แหงขุมทรพั ย. - หากวา ในประโยคใด วกิ ตกิ มั มะ และกริ ยิ าวา ทำ (กตวฺ า) แปลหลังกิริยาคมุ พากยในประโยคนน้ั วิกตกิ มั มะตวั นน้ั แปลวา “ให” เชน ตฺวํ อมิ ํ อตถฺ ํ ปากฏํ กตวฺ า วเทห.ิ อ.เจา จงกลาว ซ่งึ เนือ้ ความ น้ี กระทำ ใหป รากฏ. วิกตกิ ัมมะนน้ั จะเจอไดใ นประโยคกตั ตุวาจกและกมั มวาจก มวี ธิ ีสงั เกต......ดังนี้ ๑. ในประโยคกตั ตวุ าจก วกิ ตกิ มั มะ จะประกอบดว ยทตุ ยิ าวภิ ตั ติเหมือนตวั อวุตตกมั มะ (บทนาม นามท่ีลงทุติยาวิภตั ตเิ ชน กนั และอยูขางหนา ตน) สว นวจนะ อาจไมเ สมอกนั กไ็ ด มคี ำแปลวา ให, ใหเปน ตวั อยา งเชน - อหํ ตํ (ปรุ ิสํ ) กุ ม พฺ สสฺ สามิกํ กริสสฺ ามิ. อ.เรา จกั ทำ (ซงึ่ บรุ ษุ ) นนั้ ใหเ ปนเจา ของ แหง ขุมทรัพย. - เตนหิ เขตตฺ ํ เทฺว โก าเส กตวฺ า ตํ (โก าสํ ) กโรหิ. ถา อยา งน้นั อ.ทา น ทำแลว ซ่งึ นา ใหเ ปน สว น ๒ จงทำ ซึ่งสว นนน้ั . ๒. ในประโยคกัมมวาจก วกิ ติกมั มะน้ี จะประกอบดว ยปฐมาวภิ ัตติเหมือนตวั ประธาน ในประโยค น้นั (ทำหนาที่คลา ยคณุ นาม) และวางอยูขา งหนา กรฺ ธาตเุ ชน กนั เชน - สตถฺ ารา ภิกขฺ ุ ปาณาติปาตสสฺ อการโก กโต. อ.ภกิ ษุ อนั พระศาสดา ทรงกระทำแลว ใหเ ปน ผไู มท ำ ซึง่ ปาณาตปิ าต. หมายเหตุ ๑ : -ในบางประโยค แมกริ ยิ าวา ทำ(กตวฺ า) ไมไดเ ขียนไว เวลาแปลตอ งเติมเขา มา เชน - ตวฺ ํ อิมํ อตถฺ ํ ปากฏํ (กตฺวา) วเทห.ิ อ.เจา จงกลาว ซ่ึงเนือ้ ความน้ี (กระทำ) ใหป รากฏ. (กตวฺ า ในประโยคน้ี ไมออกสาเนียงวา “แลว ” เพราะแปลหลงั กริ ยิ าคมุ พากย) หมายเหตุ ๒ : -นอกจาก กรฺ ธาตแุ ลว ทใี่ ช จรฺ ธาตบุ างกม็ ี (มกั อยใู นคาถา) เชน

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๕ - (ปคุ ฺคโล) ธมฺมํ สจุ รติ ํ จเร. (อ.บุคคล) พึงประพฤติ ซึง่ ธรรม ใหส จุ ริต. หลกั การแปล ตุ ปจจยั ตุ ปจ จัยน้นั มีอยู ๒ ประเภทหลกั ๆ คอื ๑. ตุ ปจจยั ที่ใชเปน ประธาน แปลออกสำเนยี งของปฐมาวิภัตติ มคี ำแปลวา “อ.อนั ..” อยูใ นประโยคท่มี ี วฏติ (ยอ มควร), ยุตตฺ (ควรแลว ), อยุตตฺ (ไมค วรแลว) เปน กิริยาคุมพากย หรอื มีบทวา ปฏริ ปู , อนรุ ปู , อนุจฉฺ วิก (สมควร) เปนวกิ ตกิ ตั ตา และมธี าตวุ ามวี าเปน (ภู หุ อส ธาตุ) เปนกริ ิยา คุมพากย ตวั อยา งเชน - มยา ปลายติ วฺ า ปพฺพชิตุ วฏ ติ = อ.อนั อนั เรา หนไี ปแลว บวช ยอ มควร. - ตยา เอวํ กาตุ อนุจฉฺ วิกํ = อ.อนั อนั ทา น กระทำอยา งน้ี เปน การสมควร (ยอ มเปน). หลกั การแปล มีอยู ๕ ลำดบั คือ - แปลตวั ตุ วา อ.อัน-แลว พกั ไวก อน (อยา พ่ึงแปลบทกิรยิ าท่ปี ระกอบกบั ตุ นัน้ ) - แปลบทนามนามทล่ี งดว ยตตยิ าวิภัตติ (แปลวา อนั ) ซง่ึ เปนคนท่ที ำกิริยาน้นั ๆ ถา ไมมี นกั เรียน ตองโยคขน้ึ มา โดยการโยคน้นั ใหดทู เี่ นอื้ เรื่องเปน สำคญั วา ควรโยคศัพทไหน - แปลบทขยายนามนามนนั้ หรือกริ ยิ าตวั อ่ืนซึ่งวางอยขู า งหนา ตุ ปจ จยั น้นั (ถา มี) - แปลตวั กริ ิยาที่ประกอบอยูกับ ตุ ปจจัยนัน้ (ทพี่ ักไวต ง้ั แตแรก) - แปลกริ ิยาคุมพากย ตัวอยา งลำดบั ทงั้ ๕ มยา อิโต านโต ปลายติ วฺ า ปพฺพชติ ุ วฏ ต.ิ ๒๓ ๓ ๓ ๔ ๑๕ อ.อัน อนั เรา หนไี ปแลว จากท่ี นี้ บวช ยอมควร. ๒. ตุ ปจ จัย ท่เี ปนจตุตถีวภิ ัตติ แปลวา เพ่อื การ....,เพ่อื อนั .... ซึง่ จะอยหู นา กิริยาหลายธาตุ เชน สกโฺ กติ (อาจ,สามารถ), อิจฉฺ ติ (ปรารถนา) เปน ตน ตุ ที่ ๒ น้ี ที่เขา สมาสกม็ ี ซึ่งมกั จะสมาสกบั กาม ศัพท (แปลวา ใคร) เวลาสมาสนน้ั นิคคหติ ของ ตุ จะถูกลบ เชน คนตฺ กุ าโม (ผใู ครเ พื่ออันไป), โสตกุ าโม (ผใู คร เพ่อื อนั ฟง ) เปน ตน - อหํ ธมมฺ ํ โสตกุ าโม (โหม)ิ = อ.เรา เปน ผใู ครเ พอ่ื อนั ฟง ซึง่ ธรรม (ยอมเปน ). - อหํ เอวํ กาตุ สกโฺ กมิ = อ.เรา ยอมอาจ เพือ่ อันกระทำ อยางนี.้ ขอควรรูพเิ ศษสาหรบั ตุ ปจจัย ๑. ตุ ปจ จยั ท่ีอยปู ระโยคเลขนอก (เนื้อเรอื่ งทว่ั ไป ไมไดพ ดู คยุ กัน) แปลวา เพือ่ อนั .... - ปรุ โิ ส ธมมฺ ํ โสตุ อจิ ฺฉติ = อ.บุรษุ ยอมปรารถนา เพ่ืออันฟง ซงึ่ ธรรม. ๒. ตุ ปจ จัยทอี่ ยใู นเลขใน (ประโยคพดู คยุ , ถาม, หรือคดิ ) ใหสงั เกต ดงั น้ี ก. ถา ประโยคเลขในทมี่ ี ตุ นั้น มี วฏต,ิ อยุตตฺ , ยุตตฺ เปน ตน ตามทก่ี ลา วมานน้ั เปน กิริยาคมุ พากย หรอื มบี ทวา ปฏิรปู , อนุจฉฺ วิก อนรุ ูป เปน ตน เปน วกิ ตกิ ตั ตา ตุ ปจจัยในประโยคนน้ั จะเปน ประธาน แปลวา อ.อนั ...... เชน ตยา เอวํ กาตุ น วฏ ติ = อ.อนั อนั ทา น กระทาอยา งน้ี ยอ มไมค วร. ข. ถา ไมม กี ิรยิ าคมุ พากยทก่ี ลาวมาเชน วฏ ต,ิ อยุตตฺ เปน ตน หรอื ไมม พี วกบทวา ปฏิรปู , อนจุ ฺ ฉวิก เปน ตน ตุ ปจ จัยประโยคน้ัน กแ็ ปลวา “เพ่อื อนั .....” เชน กนั

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๖ ๓. ตุ ปจ จัย ท่ีเปน ประธาน (อ.อัน) ในการแปลโดยอรรถนน้ั ใหแ ปลวา ........... ก. การที.่ ................ยอ มควร,ควรอยู (คำวา ที่ แทนคำวา “อนั ” ของบทตตยิ า) ข. ควรท่.ี ..........................................(แปล วฏติ กอ นเลย) - มยา คามํ คนตฺ ุ วฏ ติ = การทีเ่ รา ไปสบู า น ยอมควร, (ควรอย)ู , (จงึ จะควร). - มยา คามํ คนตฺ ุ วฏติ = ควรทเ่ี ราจะไปสบู าน ๔. ตุ ปจจัยท่เี ปน จตุตถีวภิ ตั ติ (เพือ่ อนั ) ในการแปลโดยอรรถน้ัน ใหแ ปลวา.......... ก. จะ............ เชน ปรารถนาจะ, ตองการจะ, ข. เพ่ือจะ...... เชน ปรารถนาเพื่อจะ, สามารถเพ่อื จะ, - ภิกขฺ ุ ธมมฺ ํ โสตุ อจิ ฉฺ ติ = ภกิ ษุ ปรารถนาเพือ่ จะฟงธรรม - เถโร ทานํ ทาตุกาโม = พระเถระ ประสงคจ ะใหท าน ๕. ถากิริยาท่ีประกอบกบั ตุ ปจ จยั นนั้ ลง เณ ณาเป ปจจัย ของเหตกุ ตั ตวุ าจก เวลาจะแปล กต็ อง แปลตามขอ กำหนดของเหตกุ ัตตุวาจก คอื ตอ งแปลบทนามนามทล่ี งทุติยาวภิ ัตติ (ทีแ่ ปลวา ยัง) กอ น แลว จงึ คอยแปลกริ ิยานน้ั (เพอ่ื อนั ยงั .......ให......) เชน - ปรุ โิ ส ภรยิ ํ โภชนํ โภเชตกุ าโม โหติ อ.บุรษุ เปน ผใู คร เพื่ออนั ยงั ภรรยาใหบ รโิ ภค ซึง่ โภชนะ ยอ มเปน . ๔.๓ ประโยคเรยี งความ(หลายเนอ้ื ความ) หลกั การแปลประโยคเลขใน ประโยคเลขใน หมายถึง ประโยคท่อี ยูในเครอ่ื งหมายคำพดู คำถาม คำปรึกษา เปนตน ซึง่ กอ นเขา ประโยคเลขในนน้ั กใ็ หแปล อติ ิ วา “วา............” หลงั แปลจบประโยคเลขในก็ใหแ ปลปด ทา ยวา “ดงั น”้ี (วา ...........ดังน)ี้ ซึง่ ประโยคเลขในนน้ี ้นั จะมเี ครื่องหมาย คือ - ตน ประโยคเลขใน จะใสเคร่อื งหมาย “ มาให ( “................ต)ิ - จบประโยคเลขใน จะใช อติ ิ ศพั ท เปน เคร่อื งหมาย และอิติ นน้ั จะสนธอิ ยูกบั บทตัว สดุ ทา ยของเลขในนน้ั ๆ ซง่ึ มรี ูปแบบสนธิ พอเปน ตวั อยาง ดงั น้ี โ – ติ เชน “ อหํ ตว อาจรโิ ยติ (อาจริโย + อิต)ิ -าติ เชน “ ปรุ ิโส อตตฺ านํ โอวทติ อมมฺ าติ (อมมฺ + อติ )ิ เ – ติ เชน “ อหํ ตํ คามํ คจฉฺ ามิ อุปาสเิ กติ (อปุ าสิเก + อติ ิ) ถา บทสดุ ทา ยในเลขในนน้ั ๆ ลง อํ วภิ ัตติ ก็ใหแ ปลง อํ นนั้ เปน นฺ ซงึ่ เปน พยัญชนะทส่ี ุดวรรคของ ต ( -นตฺ ิ ) ตวั อยา งเชน “ ภารยิ ํ เต กมมฺ ํ กตนฺติ ( กตํ + อติ ิ ) ถาบทสดุ ทายในเลขในนน้ั ๆ มสี ระ อิ เปนทสี่ ดุ ก็ใหลบ อิ ตวั นน้ั แลว ใหท ีฆะ อิ ท่ี อิติ เปน อี เปน อตี ิ แลวสนธกิ ับบทสดุ ทายนน้ั ๆ ตวั อยา งเชน “ ภิกขฺ ุ ธมฺมํ สุณาตตี ิ ( สุณาติ + อติ ิ ) ถา บทสดุ ทายในเลขในนั้นๆ มสี ระ อุ เปน ท่สี ดุ กใ็ หลบ อิ ที่ อติ ิ แลว ทีฆะสระ อุ ของบทสดุ ทาย นัน้ เปน อู แลว จงึ นำไปสนธกิ บั อติ ิ ตัวอยา งเชน “ สามเณโร ธมฺม สณุ าตูติ ( สณุ าตุ + อติ ิ )

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๗ ถาบทสดุ ทายในเลขในนัน้ ๆ มีสระ อี เปน ที่สดุ กใ็ หลบ อี ตวั นน้ั แลว ใหทฆี ะ อิ ที่ อิติ เปน อี เปน อตี ิ แลวสนธกิ ับบทสุดทา ยนน้ั ๆ ตวั อยางเชน “ กหุ ึ คตา นารตี ิ ( นารี + อติ ิ ) ศพั ทท่ีเปนเครื่องสังเกตประโยคเลขใน พอมใี หน ักเรยี นไดสังเกต ดงั น้ี - บทอาลปนะ (ปรุ ิส, กุมาร, อาวโุ ส, ตาต, อมมฺ , ภนเฺ ต มหาราช, สามเณร เปนตน ) - ปรุ สิ สพั พนามท่ีเปนมธั ยมบุรุษ และอตุ ตมบรุ ุษ (ตฺวํ , ตุมเฺ ห, อหํ , มยํ ) - กิริยาอาขยาตท่อี ยูในมัธยมบุรุษ และ อตุ ตมบุรษุ ( กโรมิ, คจฉฺ าห,ิ สณุ าถ เปน ตน ) - อติ ิ ศพั ท ซง่ึ สนธเิ ขา กับศพั ททอี่ ยูขางหนา (ดรู ปู แบบสนธดิ ังท่ีกลา วมาขา งตน ) กอนทีจ่ ะแปลประโยคเลขในนั้น นกั เรียนตอ งแปลคำหรอื กริ ิยาทจ่ี ะใชเปด อติ ิ ศพั ทกอน จงึ จะ แปลประโยคเลขในได ตวั อยางเชน - ราชา \" อหํ ธมมฺ ํ สณุ ามตี ิ จนิ ฺเตสิ. อ.พระราชา ทรงดำรแิ ลว วา “ อ.เรา จักฟง ซงึ่ ธรรม ดงั นี้. บทวา สณุ ามตี ิ แยกศัพทเปน สณุ ามิ + อติ ิ ราชา, อติ ิ และ จนิ ฺเตสิ เปน ประโยคเลขนอก อหํ ธมฺมํ สณุ ามิ เปน ประโยคเลขใน ซึ่งขยายความของคำวา จนิ เฺ ตสิ (คดิ ) วาคดิ อะไร คิดเร่อื ง อะไร คดิ อยางไร เปน ตน จนิ เฺ ตสิ ก็คอื คำ (กิริยา) ทีม่ าเปด อิติ ศัพทนนั่ เอง. วธิ ีการแปลเขา ประโยคเลขใน กอนทจ่ี ะแปลประโยคเลขใน ตอ งแปลคำกริ ยิ าหรอื บทนามนามทเี่ ปน เจาของประโยคเลขในกอ น ถา ไมม ีคำกิริยาหรอื นามเหลา นี้ ตองใสเขามาเอง และแปลกอ นขอ ความในเลขในนนั้ ซง่ึ มวี ธิ ี ดงั น้ี ถาหลงั ประโยคเลขใน ยังไมจ บประโยค ยงั มเี นื้อความตอ ไปอกี (อติ ิ ระหวา งประโยค) กรณีน้ี ใหใ สกริ ิยาในระหวาง คือ ตวฺ า ปจจยั มาเปด ประโยคเลขใน (ไมตอ งโยคมาใส หากมี กริ ยิ า นั้นปรากฏอยหู ลัง อิติ แลว ) ซงึ่ การโยคนน้ั ใหด ูทข่ี อ ความในเลขในนน้ั ๆ ดงั นี้ ถา ประโยคเลขในเปน กริ ิยาในระหวางทตี่ อ งเติมเขา มา คำพดู สนทนา วตวฺ า กเถตวฺ า อาโรเจตฺวา (กลา วแลว,บอกแลว ) คำถาม ปุจฉฺ ติ ฺวา (ถามแลว ) ความนกึ คิด จินเฺ ตตวฺ า (คดิ แลว ) การฟง สตุ วฺ า (ฟง แลว ) การรบั รอง ปฏสิ ณุ ติ ฺวา สมปฺ ฏจิ ฺฉติ วฺ า (ฟง ตอบแลว , รับพรอ มแลว ) การกำหนด สลลฺ กเฺ ขตวฺ า (กำหนดแลว ) ตัวอยางการเติมกริ ิยาในระหวา งเพอื่ เปด ประโยคเลขใน ราชา “อหํ ป คมิสสฺ ามตี ิ (จนิ เฺ ตตวฺ า) วหิ ารํ คโต. อ.พระราชา ทรงดำรแิ ลว วา “ แม อ.เรา จักไป ดงั น้ี ไปแลว สูวหิ าร. หมายเหตุ :-กิริยาทีม่ าเปด เลขในนน้ั ถาเปนกิรยิ าอาขยาต อยขู า งหนาประโยคเลขในก็ได ขา งหลงั ประโยคเลขในกไ็ ด แตถ า เปน กิริยากติ ก จะอยขู างหลังเลขในอยา งเดียว เชน - ราชา “อหํ ป คมสิ สฺ ามตี ิ จนิ เฺ ตตวฺ า วิหาร คโต. อ.พระราชา ทรงดำรแิ ลว วา “ แม อ.เรา จกั ไป ดงั น้ี ไปแลว สูวหิ าร.

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๘ - ราชา \" อหํ ธมฺมํ สุณามตี ิ จนิ เฺ ตสิ. อ.พระราชา ทรงดำรแิ ลว วา “ อ.เรา จักฟง ซงึ่ ธรรม ดงั น้ี. - ราชา จนิ ฺเตสิ \" อหํ ธมฺมํ สณุ ามตี ิ. อ.พระราชา ทรงดำรแิ ลว วา “ อ.เรา จักฟง ซง่ึ ธรรม ดงั น้ี. ในประโยคใด มแี ตป ระโยคเลขใน ไมม ปี ระธานและกิริยาคมุ พากย (คอื เร่ิมตน ประโยค ใหมกเ็ ขาเลขในเลย และตอนจบเลขในก็จบประโยคใหญด ว ย) ในกรณนี ้ี ใหใสทัง้ ประธานและ กริ ยิ าคุมพากยมาเปดประโยคเลขในนน้ั สำหรบั ประธานทจี่ ะโยคมานน้ั ใหน ักเรยี นดูทีป่ ระโยค ขางหนากอ นวาใครทำอะไร ท่ไี หน อยา งไร สว นกริ ยิ าทจ่ี ะโยคมาคมุ พากยนน้ั ใหด ูทีข่ อ ความในเลขใน วา เปนประโยคชนดิ ใด (กริ ิยาทโ่ี ยค วจนะตองตรงกบั ประธาน) ซึ่งมวี ธิ ีโยค ดงั นี้ ถาประโยคเลขในเปน กริ ยิ าคุมพากยทต่ี องเติมเขามา คำพูดสนทนา อาห, อาหํสุ (กลา วแลว) กเถสิ, กเถสุ , กถยสึ ุ (กลา วแลว) อาจกิ ขฺ ิ, อาจกิ ขฺ สึ ุ (บอกแลว ) อาโรเจสิ, อาโรเจสุ , อาโรจยึสุ (บอกแลว ) วทิ, วทสึ ุ (กลาวแลว) ความคิด จินฺเตสิ, จินตฺ ยึสุ, จนิ เฺ ตสุ (คดิ แลว ) คำปรกึ ษา มนตฺ ยิ,มนตฺ ยึสุ (ปรกึ ษากนั แลว) คำถาม ปจุ ฉฺ ,ิ ปจุ ฉฺ ึสุ (ถามแลว ) ตัวอยา งการเติมกริ ยิ าคุมพากยเ พ่อื เปด ประโยคเลขใน ๑.(ราชา) “ โอทนํ ปจาหตี ิ (อาห). อ.พระราชา ตรสั แลว วา “ อ.เจา จงหุง ซง่ึ ขา วสกุ ดงั นี้. ๒.(สามเณโร) “ กึ วเทสตี ิ (ปจุ ฉฺ )ิ . อ.สามเณร ถามแลววา “ อ.ทา น ยอมกลาว ซ่ึงอะไร ดงั น้ี. คำอธบิ ายเพ่ิมเตมิ สำหรบั ตวั อยางทงั้ ๒ ตัวอยา งที่ ๑ ในประโยคเลขใน เปนการสั่งใหหงุ ขาว ซง่ึ เปน การพดู คุย จงึ โยค อาห. ตัวอยา งที่ ๒ ในประโยคเลขในนนั้ เปนการถามวา กลา ว (พูด) อะไร จึงโยค ปจุ ฉฺ ิ. ถา ขอความในประโยคเลขในทำพรอมกิรยิ าที่อยหู ลงั อติ ิ ศัพท กรณนี ี้ ใหใสน ามนาม ตตยิ าวิภตั ติ (แปลวา ดว ย) มาเปด ประโยคเลขใน โดยแปลบทนามนามทล่ี งตติยาวิภตั ตนิ นั้ หลงั กริ ยิ าทีอ่ ยูน อก อติ ิ แลว จึงแปลเขา ใปในประโยคเลขใน (ดวย..........วา .........ดงั น)ี้ เชน ถาประโยคเลขในเปน บทนามตตยิ าวภิ ตั ตทิ ตี่ อ งเตมิ เขามา คำพดู สนทนา วจเนน (ดว ยคำ) คำถาม ปจุ ฉฺ เนน (ดว ยการถาม) การกำหนดนึก มนสิกาเรน (ดวยการกระทำไวใ นใจ) ความนกึ คิด จินตฺ เนน (ดว ยอนั คดิ , ดวยความคดิ ) ความคาดหวงั อาสาย (ดว ยความหวงั ) ความสำคัญมน่ั หมาย สฺ าย (ดว ยสำคญั )

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๖๙ ตวั อยา งการเตมิ บทนามนามตตยิ าวิภตั ตเิ พ่อื เปด ประโยคเลขใน ๑.ปรุ โิ ส “ คจฉฺ ตฺวํ , ธมมฺ ํ สณุ าหีติ (วจเนน) ภรยิ ํ เปเสส.ิ อ.บรุ ษุ สง ไปแลว ซึ่งภรรยา ดว ยคำวา “ อ.เธอ จงไป, อ.เธอ จงฟง ซ่งึ ธรรม ดังนี.้ ๒.สามเณโร “ อหํ อิธ วสสิ สฺ ามีติ (จินตฺ เนน) วหิ ารํ ปาวสิ ิ. อ.สามเณร เขาไปแลว สวู หิ าร ดว ยอนั คดิ วา “ อ.เรา จกั อยู ในวหิ ารนี้ ดังน้.ี ๓.ปุรโิ ส “ สปโฺ ป อมิ สมฺ ึ เคเห อตถฺ ตี ิ (สฺ าย) ภายติ. อ.บุรุษ ยอมกลวั ดวยสำคญั วา “ อ.งู มอี ยู ในเรอื นนี้ ดังนี้. ขอ ควรรเู พ่มิ เติมของประโยคเลขใน ประโยคเลขในน้ี ยังมอี กี แบบหนง่ึ คือ ประโยคทม่ี นี ามนามท่ีลงปฐมาวภิ ตั ติ (อ.) เปน ตวั เปด อติ ิ เขาไป (ประโยคที่ มี อถ นิบาต และมี บทวา เอตทโหสิ อยูใกลๆ กนั ) - อถสฺส เอตทโหสิ, อถสสฺ า เอตทโหสิ, อถ เนส เอตทโหสิ ฯลฯ ตัวอยา งเชน :- อถสสฺ (ปุริสสฺส) เอตทโหสิ “ เถโร มม สนตฺ กิ ํ อาคจเฺ ฉยยฺ าติ. ครั้งน้ัน อ.ความคดิ นั่น ไดม แี ลว แกบ ุรุษนน้ั วา “ อ.พระเถระ พงึ มา สูส านกั ของเรา ดงั น้ี. - อถสสฺ ตดั บทเปน อถ อสฺส - เอตทโหสิ ตดั บทเปน เอตํ อโหสิ - เอตํ ใหโ ยค จนิ ตฺ นํ เขา มาเสมอ แปลวา อ.ความคดิ นนั่ หลักการแปล ประโยค อถ.....เอตทโหสิ มี ๒ แบบ คือ ๑.แปลทง้ั ประธาน (เอตํ จนิ ฺตนํ ) ทัง้ กริ ยิ าคุมพากย (อโหสิ) กอ นเขา อติ ิ เลย (เพ่อื กันลืม) ซึ่งจะ แปลวา คร้งั นัน้ อ.ความคดิ นน่ั ไดม แี ลว แก.......นนั้ วา .............ดังนี้ ฯ ๒.แปลประธานเสร็จเขา อติ ิ เลย แลว คอยมาแปล กริ ิยาคมุ พากยทหี ลัง (ระวงั ลมื แปล) ซงึ่ จะ แปลวา ครงั้ นั้น อ.ความคิดนัน่ วา.............ดังนี้ ไดม ีแลว แก.......นนั้ ฯ ถากิรยิ าขางนอก อติ ิ นัน้ บง ถึง ขาวสาสน , ปรบมอื , ตกี ลอง, ดีดนิ้ว, โฆษณา, ประกาศ เปน ตน กอ นจะแปลประโยคเลขใน ใหใ สค ำวา าปนเหตุกํ หลัง อติ ิ ศัพทเสมอ ซง่ึ แปลวา มอี นั ใหรวู า (กอนเขา อติ ิ)........ดงั นีเ้ ปน เหตุ (ตอนจบ อติ ิ) ตวั อยางเชน เถโร “ ตวฺ ํ ปมาณํ น ชานาสีติ (าปนเหตกุ ํ ) อจฉฺ รํ ปหร.ิ (ดดี นวิ้ ) อ.พระเถระ ประหารแลว ซงึ่ นวิ้ มอื มีอนั ใหรวู า “ อ.ทา น ยอมไมรู ซง่ึ ประมาณ ดังนีเ้ ปนเหต.ุ ราชา “ ชนา สีลานิ รกฺขนตฺ ตู ิ (าปนเหตกุ ํ ) สาสนํ เปเสสิ. (สงขา วสาสน ) อ.พระราชา ทรงสง ไปแลว ซง่ึ ขา วสาสน มอี ันใหรวู า “ อ.ชน ท. จงรกั ษา ซ่งึ ศลี ท. ดังนเ้ี ปน เหตุ. หลักการแปลประโยคนทิ ธารณะ ประโยคนิทธารณะ (ประโยคถอน) คือ ประโยคทต่ี อนตน จะกลา วถึงนามนามโดยจำนวนรวมกอ น ภายหลงั กลา วแยกถอนนามนามออกจากจำนวนที่รวมกนั อยูนนั้ เพียงจำนวนหนงึ่ บา ง เฉพาะที่ตองการบาง หรือบางครั้งถอนออกทงั้ หมดก็มี ประโยคถอนนี้ นามนามจะประกอบดวยฉฏั ฐวี ภิ ตั ติ และสตั ตมวี ภิ ตั ติ มวี ิธแี ปล ดงั นี้ ถา แปลโดยพยญั ชนะ จะนิยมแปลหนนุ คำวา “หนา” เขา มาหลงั แปลบทนามนามนน้ั

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๐ (ฉัฏฐวี ภิ ตั ติ = แหง ...........หนา, สตั ตมีวภิ ตั ติ = ใน..............หนา) ถาแปลโดยอรรถ จะนิยมแปล ๒ แบบ คอื ก. ถา ลงฉัฏฐีวภิ ตั ติ นิยมแปลวา “บรรดา” ข. ถา ลงสตั ตมวี ิภัตติ นยิ มแปลวา ใน.....,บรรดา......,ในบรรดา...,ในหมู......ฯลฯ ตวั อยา งบทนทิ ธารณะทีเ่ ปน ฉัฏฐีวภิ ัตติ เถโร สามเณรานํ เอกํ ปกโฺ กสิ. พยัญชนะ....... อ.พระเถระ เรยี กมาแลว แหง สามเณร ท. หนา ซึง่ สามเณร รปู หน่งึ . แบบทนี่ ิยม..... อ.พระเถระ เรียกมาแลว ซ่งึ -แหงสามเณร ท. หนา -สามเณร รปู หนง่ึ . อรรถ.................บรรดาสามเณรท้งั หลาย พระเถระเรียกสามเณรรูปหนง่ึ มา. ภกิ ฺขนู ํ โกวโิ ท ภิกขฺ ุ ธมมฺ ํ ปาปณุ าต.ิ พยญั ชนะ............แหง ภกิ ษุ ท. หนา อ.ภกิ ษผุ ูฉลาด ยอ มบรรลุ ซง่ึ ธรรม. อรรถ...................บรรดาภกิ ษทุ ้ังหลาย ภกิ ษุผทู ี่ฉลาด ยอ มบรรลุธรรม. ตวั อยา งบทนิทธารณะท่เี ปน สัตตมวี ิภัตติ เตสุ (ทวสี ุ โคเณส)ุ เอโก (โคโณ) มโต. พยัญชนะ............ในโค ท. ๒ เหลานน้ั หนา อ.โค ตัวหนึง่ ตายแลว. อรรถ...................บรรดาโคทัง้ สองตวั นน้ั โคตวั หนง่ึ ตายแลว . ทนฺโต เสโ  มนุสเฺ สสุ. พยญั ชนะ............ในมนษุ ย ท. หนา อ.มนุษยผ ฝู กแลว เปนผูป ระเสริฐท่ีสดุ ยอมเปน . อรรถ...................ในหมมู นษุ ย มนุษยท่ฝี ก แลว เปน ผปู ระเสรฐิ ท่ีสดุ . หลกั การแปลประโยคอุปมา ประโยคอปุ มา คอื ประโยคเปรยี บเทียบเน้ือความกบั เนอ้ื ความของประโยคใหญ โดยมี ศัพททเ่ี ปน ตวั บงบอก คอื วิย หรอื อวิ ศพั ท ประกอบอยู วิย แปลวา ราวกะ, ราวกะวา , ดจุ , ดุจดัง, เหมือน, เหมอื นกับ อวิ แปลวา เพียงดัง, เพยี งดงั วา , ดจุ , ดจุ ดัง, เหมอื น, เหมอื นกบั ซึง่ ในการแปลโดยพยญั ชนะนนั้ วยิ ศัพท จะแปลวา ราวกะ,ราวกะวา สว น อิว ศพั ท จะแปลวา เพยี งดัง. หลักการใช วิย, อวิ ท้งั ๒ ศัพท วยิ มกั ใชใ นทอ งนิทานธรรมดา อิว มกั ใชใ นคาถาหรอื ฉนั ท ซง่ึ อวิ ศพั ทน้ี จะมสี ระ อิ อยหู นา เวลาประกอบกบั ศพั ทที่ตนอุปมา สามารถลบ อิ (อวิ ) เหลอื ไวเ พยี ง ว ตวั เดียวกไ็ ด จะคงไวอยางเดมิ ก็ได เพราะฉะนนั้ เวลาแปล นกั เรียนควรดู ใหด วี า เปน ว ของ อวิ (เพยี งดัง) หรือวา ว นบิ าต (เทยี ว) วธิ ีสงั เกตกค็ อื ถา ว วางอยูห างจากศพั ทห นา ของ ตน ว ตวั นนั้ คือ ว นบิ าต แตถา ว นนั้ วางตดิ กบั ศพั ทห นา ของตน ว น้นั จะเปน ว ของ อวิ เชน - ปาโต ว = แตเชาเทยี ว (ปาโต + ว) - จกฺกวํ = เพียงดงั อ.ลอ (จกกฺ ํ + อวิ ) ประโยคอปุ มานี้ เมอ่ื แบง เปน ประเภทแลว จะมีอยู ๔ แบบดว ยกนั คือ

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๑ ๑.อปุ มาลงิ คตั ถะ คือ ประโยคอปุ มา ท่ีลงปฐมาวิภตั ติ ซงึ่ เปรียบเทียบตวั ประธานของประโยค ใหญนน่ั เอง วธิ ีแปลกค็ ือ หลังแปลตัวอปุ มาเสร็จ *จะตอ งใสกริ ยิ าตัวเดยี วกันกับกริ ยิ าของประโยคใหญนน้ั ๆ เขามา แตใ หป ระกอบกิริยาท่ใี สม านัน้ ดว ย อนตฺ ปจ จยั และตองใหตรง กบั ลงิ คว จนะและวิภัตติ ของตวั อปุ มา, วยิ ศัพทท ีอ่ ปุ มานนั้ ใชค ำแปลวา ราวกะ อ. ....... เชน - เทวฺ อกฺขนี ิ *(วชิ ฌฺ ายนฺต)ี ทปี สขิ า วิย *วิชฺฌายสึ ุ. อ.นยั นต า ท. ๒ ดบั แลว ราวกะ อ.เปลวแหง ประทปี ดบั อยู. ๒.อุปมาวเิ สสนะ คอื ประโยคอปุ มาทเี่ ปรียบเทียบการกระทำ ของนามนามในประโยค ใหญ (วยิ ท่อี ยหู ลงั กริ ยิ ากติ กท ีล่ ง อนตฺ มาน ปจจัย) แปลวา ผรู าวกะวา........ เชน - เต ชนา กิลมนตฺ า วยิ อตตฺ โน กมมฺ ํ น กโรนตฺ ิ. อ.ชน ท. เหลานน้ั ผรู าวกะวา ลำบากอยู ยอมไมก ระทำ ซงึ่ การงานของตน. ๓.อุปมาวิกตกิ ตั ตา คือ ประโยคอปุ มาท่ีใชเปรียบเทยี บลักษณะอาการ ของนามนามใน ประโยคใหญ (วยิ ทอี่ ยูหนา ธาตวุ ามวี าเปน ) แปลวา เปน ราวกะวา .....,เปน ผูราวกะวา......,เชน - สุชาตา โถกํ อากุลา วยิ โหต.ิ อ.นางสชุ าดา เปนผูราวกะวา วนุ วาย หนอ ยหน่งึ ยอ มเปน. ๔.อปุ มาวิกตกิ ัมมะ คอื ประโยคอปุ มาท่ีเปรยี บเทยี บการทำใหเ ปลีย่ นไป ของนามนามใน ประโยคใหญ (วิย ท่อี ยูหนา กรฺ ธาต)ุ แปลหลงั กรฺ ธาตุ วา ใหเ ปนราวกะวา .........เชน - ปรุ โิ ส เอกํ อิตถฺ ึ อตตฺ โน ภรยิ ํ วยิ อกาสิ. อ.บรุ ุษ ไดก ระทำแลว ซึง่ หญงิ คนหน่ึง ใหเ ปน ราวกะวา ภรรยา ของตน. หลักการแปลประโยคแบบ ประโยคแบบ คอื ประโยคทีม่ คี ำแปล คงตวั ตายตวั ตองแปลตามกำหนดนน้ั ๆเสมอ ซง่ึ ในภาษา บาลี กม็ อี ยูมากพอสมควร แตในทนี่ ้ี จะขอยกมาเฉพาะที่พบบอ ยๆในการแปลธรรมบท ดงั นี้ ๑.ประโยคสนทนาในธรรมสภา คือ ประโยคที่ภกิ ษทุ ง้ั หลายจะสนทนากันในโรงธรรม เปน เหตกุ ัตตวุ าจกเสมอ ซงึ่ กอนจะเขาเลขใน (ประโยคสนทนา) น้ัน จะตอ งแปลตวั เปด อิติ กอน ในบางเร่ืองกม็ แี ตกริ ยิ ามาให (สมุ  าเปสิ, สมุ าเปสุ ) นกั เรียนจะตอ งโยคนามนามทีล่ งทตุ ยิ าวิภตั ติ (ท่ี แปลวา ยงั ) เขา มา เพอื่ ใหค รบขอกำหนดของเหตกุ ตั ตวุ าจก และ เขาเลขในได ซ่งึ จะโยคอยูเพยี งศพั ทเ ดยี ว คอื กถํ แปลวา ยังวาจาเปน เคร่ืองกลาว มวี ธิ แี ปล ๒ แบบ คือ - อ. ..........ยงั วาจาเปนเครื่องกลาว ใหต ้ังขน้ึ แลว ในธรรมสภาวา ” ................ดงั น.ี้ - อ. ..........ยังวาจาเปนเครอ่ื งกลา ว วา “ ................ดงั น้ี ใหตง้ั ขนึ้ แลว ในธรรมสภา. ๒.ประโยคทพ่ี ระพุทธเจาถามภิกษถุ งึ เร่อื งทีส่ นทนากนั ในโรงธรรม ตอ จากอนั แรกเลย คอื ขณะท่พี ระภกิ ษุกำลงั สนทนากัน หากพระพุทธองคเ สด็จมาทอดพระเนตรเหน็ กจ็ ะตรัสถามพระภกิ ษุ ทั้งหลายถึงเรอื่ งทก่ี ำลังสนทนากนั อยู มรี ูปแบบประโยค ดังน้ี - สตถฺ า อาคนฺตวฺ า “ กาย นตุ ถฺ ภกิ ฺขเว เอตรหิ กถาย สนฺนิสนิ นฺ าติ ปจุ ฺฉติ ฺวา...... - อ.พระศาสดา เสด็จมาแลว ตรัสถามแลว วา “ ดูกอนภกิ ษุ ท. อ.เธอ ท. เปน ผนู ง่ั พรอ มกนั แลว ดว ยวาจาเปน เครอื่ งกลาวอะไร หนอ ยอมเปน ในกาลนี้ ดงั นี.้ .....

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๒ ๓.ประโยคท่ภี กิ ษทุ ้ังหลายตอบคำถามพระพทุ ธเจาในโรงธรรม อยตู อจากประโยคทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงถามเรอื่ งทีภ่ กิ ษุทงั้ หลายสนทนากันในโรงธรรม (อยตู อ จากกริ ยิ าวา ปุจฉฺ ติ วฺ า ประโยคกอนหนา นี้ นน่ั เอง) ซึ่งจะอยูในรปู แบบของประโยค แทรก ดงั น้ี - “ อมิ าย นามาติ วตุ ฺเต = (โยค..มยํ เอตรหิ (อมิ าย นาม) กถาย สนนฺ ิสนิ นฺ า อมหฺ ) (เลขนอกโยค เตหิ ภกิ ฺขหู ,ิ วจเน เปน ......เตหิ ภิกขฺ หู ิ “ อิมาย นามาติ วจเน วุตเฺ ต ) - ครน้ั เม่อื คำวา วา “ อ.ขา พระองค ท. เปน ผูน่งั พรอ มแลว ดว ยวาจาเปน เครื่องกลา ว ช่อื น้ี ยอ ม เปน ในกาลนี้ ดงั น้ี อนั ภกิ ษุ ท. เหลานน้ั กราบทูลแลว ....... ๔.ประโยค วุตเฺ ต (วจเน) คือ ประโยคทม่ี ีคนตอบคำถาม หรอื วาสนทนาแทรกขนึ้ มาในระหวา ง ซึ่งจะอยูในรูปแบบของประโยคแทรก (ลงสตั ตมวี ภิ ตั ติ) เวลาจะแปลนัน้ ตองโยค วจเน (ครนั้ เมื่อคำ) เปน ประธานของกริ ยิ าประโยคแทรกนน้ั แลว โยคนามนามท่ลี งตติยาวภิ ตั ติ (แปลวา อัน) ซงึ่ เปน คนตอบใน ประโยคนน้ั จะโยคเปน เอกวจนะหรอื พหวุ จนะนน้ั แลว แตเน้อื ความตอนนนั้ ๆ จะอำนวย แตถา มีอยแู ลวกไ็ ม ตองโยค. วธิ แี ปล = ครน้ั เมอ่ื คำวา......................ดงั น้ี อัน..........(ท.) กลาวแลว . - รฺ า “ คจฉฺ ตฺวํ ตาตาติ วตุ เฺ ต, โส ปุรโิ ส เวเคน อคมาสิ. ครั้นเม่อื คำวา แนะพอ อ.เจา จงไป ดังน้ี อนั พระราชา ตรสั แลว, อ.บรุ ษุ นน้ั ไดไ ปแลว โดยเรว็ . - เถโร ปรุ ิสํ อาห “ธมฺมํ สณุ าหีติ.(เตน ปุรเิ สน)“อหํ ภนเฺ ต น สุณสิ ฺสามีติ วตุ เฺ ต, เถโร ตํ (ปรุ ิส)ํ โอวท.ิ อ.พระเถระ กลา วแลว กะบรุ ุษวา อ.เธอ จงฟง ซง่ึ ธรรม ดงั นี้. ครน้ั เมอ่ื คำวา ขา แตท า นผเู จรญิ อ.กระผม จกั ไมฟ ง ดงั นี้ อนั บรุ ษุ นนั้ กลา วแลว , อ.พระเถระ กลา วสอนแลว ซ่งึ บรุ ษุ นั้น. ๕.ประโยค กึ (ปโยชนํ ) คือ ประโยคทีม่ ี กึ ศัพทอยขู า งหนา มบี ทนามนามทล่ี งจตตุ ถีวภิ ตั ตอิ ยู ตรงกลาง และมีบทนามนามทลี่ งตติยาวภิ ัตติอยตู วั สุดทา ย วธิ แี ปล = อ.ประโยชนอ ะไร แก..............ดวย.............ฯ - กึ เม ธเนน = อ.ประโยชนอ ะไร แกเรา ดวยทรพั ย. - กึ เม ฆราวาเสน = อ.ประโยชนอะไร แกเรา ดว ยการอยูครองซงึ่ เรอื น. ๖.ประโยค กิมงฺคํ ปน (ก็ อ.องคอะไรเปนเหตเุ ลา) คือ ประโยคทีเ่ ปน การเปรียบเทียบความ เหมือนกนั ของ ๒ ประโยค เชน วา ตกจาก ชน้ั ๓ ยังไมต าย แลวแคต กจากชั้น ๒ จะตายไดอ ยางไร (คอื ไม ตายทงั้ ๒ อยา งนนั่ เอง), ประโยคน้ี เปน ประโยคท่ีไมส มบูรณ คือ จะมเี พยี งตัวประธานหรอื ศัพทที่บงถงึ ประธานเทานนั้ เวลาแปลน้นั นักเรียนตอ งโยคกิริยามาประกอบประโยคใหสมบรู ณ ซงึ่ กิริยาทโ่ี ยคมานน้ั จะตองเปน กริ ยิ าธาตุตวั เดยี วกันกับกริ ยิ าธาตขุ องประโยคหนา และใหป ระกอบดว ยภวสิ สันตวิ ิภตั ติ.........มี หลกั ดังน้ี - ถา ประโยคขางหนา กมิ งฺคํ เปน ประโยคปฏเิ สธ ประโยคหลังซ่งึ มี กมิ งฺคํ จะตอ งเปน ประโยคบอก เลา (ไมป ฏิเสธ) - แตถา หากวา ประโยคขางหนา กิมงคฺ ํ เปนประโยคบอกเลา ประโยคหลงั ซงึ่ มี กมิ งฺคํ จะตอ งเปน ประโยคปฏิเสธ ( ใส น ปฏเิ สธมาหนา กริ ยิ าทตี่ นโยค) แบบประโยคหนาปฏิเสธ ประโยคหลงั บอกเลา - อตตฺ โน หตฺถปาทาป น วเส วตฺตนฺติ, กิมงคฺ ํ ปน าตกา (วเส วตตฺ ิสสฺ นฺติ).

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๓ แม อ.มือและเทา ท. ของตน ยอ มไมเ ปน ไป ในอำนาจ, ก็ อ.องคอะไรเปน เหตเุ ลา อ.ญาติ ท. จกั เปน ไป ในอำนาจ. แบบประโยคหนา บอกเลา ประโยคหลงั ปฏเิ สธ - โลเก สพเฺ พ มนุสสฺ าป มรนฺติ, กมิ งคฺ ํ ปน สตฺตา (น มริสสฺ นตฺ ิ). แม อ.มนุษย ท. ทง้ั ปวง ในโลก ยอ มตาย, ก็ อ.องคอะไรเปน เหตเุ ลา อ.สัตว ท. จักไมตาย. คำอธบิ ายเพม่ิ เตมิ สำหรบั ตวั อยางทั้ง ๒ ตวั อยา งท่ี ๑ เปน การเปรยี บเทยี บวา แมแ ตมอื เทาท่ีเปน ของเรา เวลาแกต วั ไป ก็ยังบงั คับไมไ ด จะ ไปบงั คบั ญาตไิ ดอ ยางไรกนั หมายถงึ วา เราไมสามารถบงั คับญาตไิ ด เหมอื นทเ่ี ราไมส ามารถบงั คับมอื เทา ให ทำสง่ิ ตา งๆทต่ี องการ เวลาแกต วั ไป (สรปุ กค็ อื ไมส ามารถบงั คบั ทง้ั ๒ อยางทวี่ ามานน่ั เอง) ตัวอยา งท่ี ๒ เปน การเปรยี บเทยี บวา แมแ ตพ วกมนษุ ยทุกคน ยังตอ งตาย จะไปนบั ประสาอะไร กับพวกสตั ว หมายถงึ วา พวกสตั วก ็ตอ งตายเหมือนมนษุ ยเชน กนั (สรปุ ก็คอื ตายทั้ง ๒ จำพวก) ๗.ประโยคตงั้ ชอื่ คอื ประโยคทมี่ ีชอ่ื คน,สัตว,ท่ี,สง่ิ ของ สนธอิ ยกู บั อติ ิ ศัพท แลว มบี ทวา นามํ อยู ขางหลัง และบทวา นามํ นน้ั อยหู นากริ ยิ า คือ กรฺ ธาตุ ดวย ตวั อยางเชน จุลฺลกาโลติ นามํ กตฺวา, ตสิ ฺโสติ นามํ อกํสุ เปนตน มวี ธิ แี ปล คือ หลงั แปลกริ ยิ าเสรจ็ กอ นจะเขา เลขใน ใหโ ยคบทวา วจนํ (ซง่ึ คำ) เขามาหนา บทวา นามํ แลว จงึ คอยแปลเขา เลขใน หลงั แปลเลขใน และ อิติ ศัพทเสรจ็ ใหแ ปลบทวา นามํ นัน้ วา “ใหเ ปน ชื่อ” สำหรบั ผทู เ่ี ปน เจาของช่อื (ผูทีถ่ กู ตงั้ ชอื่ ) นนั้ จะอยขู า งหนา ของเลขใน และจะประกอบดวยฉัฏฐี วภิ ัตติ (แปลวา ของ) ซงึ่ จะแปลตอจากบทวา นามํ , คำแปลประโยคแบบนี้ คอื (ได)กระทำแลว ซ่งึ คำวา อ. ............ดงั น้ี ใหเ ปน ชอ่ื ของ............(นนั้ ) ตัวอยา งเชน - เสี ตสฺส ปตุ ฺตสสฺ จลุ ลฺ กาโลติ นามํ กริ. อ.เศรษฐี กระทำแลว ซ่ึงคำวา อ.จลุ ลกาละ ดงั น้ี ใหเ ปนชื่อ ของบุตรนนั้ . - อติ ฺถี เอกํ ปตุ ฺตํ วชิ ายิ. สา (อติ ถฺ ี) ตสฺส (ปตุ ฺตสสฺ ) ติสฺโสติ นามํ อกาสิ. อ.หญงิ คลอดแลว ซึ่งบตุ ร คนหนงึ่ . อ.หญงิ นน้ั ไดกระทำแลว ซง่ึ คำวา อ.ติสสะ ดังน้ี ใหเปน ชอ่ื ของบตุ รนน้ั . หลกั การแปล/การใชส งั ขยา ศพั ทส งั ขยานน้ั กเ็ หมอื นกบั ศัพทค ุณนาม ซึ่งทา นนยิ มเรยี งไวห นานามนามทต่ี นขยาย เพราะฉะนนั้ เวลาแปล เมื่อแปลบทนามนามแลว หากมบี ทสังขยาอยูขา งหนา ก็ใหแ ปลบทสงั ขยานนั้ ตอ จาก บทนามนามนนั้ ทันที โดยออกสำเนยี งเชือ่ มบทบา ง ไมอ อกบา ง เชน - เอโก ปรุ โิ ส = อ.บุรุษ คนหนง่ึ (คำวา คน คือ คำเชื่อมของบรุ ุษ) - สตตฺ โจรา = อ.โจร ท. ๗ (ไมอ อกสำเนยี งคำเชือ่ มบท) กอนจะทำการฝกแปลสังขยาแตล ะตวั ควรท่ีจะรูจกั การใชสงั ขยากนั กอนเพ่ือเปน ประโยชนใ นการ แปล และการนำไปใชใ นชน้ั ตอๆไป ดงั นี้ ๑. เอก (๑) ศพั ทที่เปนสงั ขยา เปน เอกวจนะอยา งเดยี ว ๒. ทวฺ ิ (๒) ถงึ อารส (๑๘) เปน พหุวจนะอยางเดียว ๓. ต้งั แต เอกนู วสี ติ (๑๙) ถงึ อ นวตุ ิ (๙๘) เปน เอกวจนะ และอติ ถลี งิ ค อยางเดยี วเทานน้ั แมว า จะขยายศพั ทท ี่เปนพหวุ จนะและลงิ คอนื่ (ปุ – นปุ ) กค็ งอยอู ยางนัน้ ไมเ ปล่ียนแปลงไปตาม

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๔ ๔. ตง้ั แต เอกนู สตํ (๙๙) ขน้ึ ไป เปนไดท ง้ั สองวจนะ และเปน นปงุ สกลงิ ค สวนการแจกสังขยาแตล ะตัวน้ัน มีวิธีดังน.้ี ..... ๑. เอก – ติ – จตุ ศัพท แจกไดทง้ั ๓ ลิงค (มีในแบบ) ๒. ทฺวิ และ ปฺจ ศัพท ในแบบมแี จกใหแ ลว เชน กัน (ใชแ บบเดยี วกันใน ๓ ลิงค) ๓. ตงั้ แต ฉ (๖) ถึง อารส (๑๘) แจกเหมือน ปฺจ (๕) ๔. สว นตงั้ แต เอกนู วสี ติ (๑๙) ถงึ อ นวตุ ิ (๙๘) มวี ิธแี จกดงั นี้ - ถาสงั ขยานัน้ มี ส เปนทสี่ ดุ (เชน วีส) ใหแ จกอยา ง เอกนู วีส (๑๙) - ถา สงั ขยาน้นั มี อิ เปน ทสี่ ุด เชน สตตฺ ติ แจกอยา ง รตตฺ ิ อิ การนั ตใ นอติ ถลี งิ ค เอกวจนะอยา ง เดยี ว - ถา สงั ขยานัน้ มี อี เปนทส่ี ดุ เชน ส ี แจกอยาง นารี อี การนั ตในอติ ถีลิงค เอกวจนะอยางเดียว ๕. ตงั้ แต เอกนู สตํ (๙๙) ขนึ้ ไป แจกอยา ง กลุ อ การนั ตใ นนปุงสกลงิ ค ท้ัง ๒ วจนะ ตวั อยา งการแจกสังขยา จำนวน ๑๙ ถึง ๙๘ - เพอื่ ภกิ ษุ ท. ๒๓ = เตวีสตยิ า ภิกขฺ นู ํ - แหงสามเณร ท. ๘๐ = อสีตยิ า สามเณรานํ ตัวอยา งแรก ภกิ ฺขนู ํ เปน อุ การนั ต ในปงุ ลงิ ค ลงจตตุ ถวี ิภตั ติ ฝา ยพหุวจนะ ซง่ึ มสี ังขยาทีข่ ยาย คือ ๒๓ แตจำนวน ๒๓ น้ัน อยูในกฎทว่ี า ๑๙ – ๙๘ เปน อิต. เอก. อยา งเดียว และ เตวีสติ (๒๓) นนั้ มี อิ เปนทีส่ ดุ จึงแจกอยา ง รตตฺ ิ อิ การนั ตในอิตถีลิงค ฝา ย เอกวจนะ เทาน้ัน โดยแจกใหล งวภิ ัตติเดยี วกบั ภิกฺขูนํ คอื จตตุ ถวี ิภตั ติ ซงึ่ รตตฺ ิ ใน จตตุ ถวี ิภตั ติ เอกวจนะ มีรูปเปน รตฺตยิ า ฉะนน้ั เตวสี ติ ซึง่ ขยาย ภิกขฺ นู ํ จงึ เปน เตวีสตยิ า (ไมเ ปล่ียนแปลงไปตาม ภกิ ขฺ ูนํ เลย) ตวั อยางท่ี ๒ กพ็ งึ พิจารณาตามแนวน้.ี อธบิ ายเพมิ่ เติมเกยี่ วกบั สงั ขยา สงั ขยา แปลวา การนบั หมายถงึ ศพั ทท่ีเปน เครอื่ งนับนามนาม แบง ออกเปน ๒ อยา งคอื ๑. ปกตสิ ังขยา คอื นับนามนามโดยปกติ เพ่อื ใหร วู า นามนามนน้ั มปี ระมาณ เทา ใด เชน เอก ๑, ทฺวิ ๒, ติ ๓, จตุ ๔ เปน ตน ๒. ปรู ณสงั ขยา คือ นบั นามนามท่ีเต็มในทน่ี น้ั ๆ เจาะจงนบั เอาแตห นวยเดยี ว ตัวอยา งเชน :- - ทส ปุริสา บรุ ษุ ๑๐ คน นบั จำนวนบรุ ษุ ทุกคน รวมเปน ๑๐ คน (ปกตสิ ังขยา) - ทสโม ปรุ โิ ส บุรุษคนท่ี ๑๐ กลาวถงึ คนสดุ ทายคนเดยี วเทา นน้ั คือ คนท่ี ๑๐ มิไดก ลาวถึงคนทง้ั ๑๐ คน (ปูรณสังขยาจึงเปน เอกวจนะเสมอ) การใช ทวฺ ิ ศัพท (ยอๆ) ทฺวิ ศพั ท น้ี แจกเปน แบบเดยี วกันทง้ั ๓ ลิงค ๑. เมอื่ อยูหนา ทส, วสี ติ, ตสึ แปลงเปน ทวฺ และ พา ๒. เมอ่ื อยูหนาสังขยาตงั้ แต จตฺตาีส ถงึ นวุติ แปลงเปน เทวฺ และ ทฺวา ๓. แปลงเปน ทิ บาง เชน ทโิ ช สตั วเกดิ ๒ หน (พราหมณ ฯลฯ) ๔. เมอื่ เขา กับนามนาม คง ทฺวิ ไวบา ง เชน ทวฺ ปิ าทา (สตั ว ๒ เทา ) ๕. แปลงเปน ทุ บา ง เชน ทปุ ฏํ วตถฺ ํ (ผา ๒ ชนั้ = สงั ฆาฏิ )

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๕ การใช อภุ ศัพท อภุ ศพั ท ใชก ับสงิ่ ท่ีมีอยเู ปน คู ๆ ตามธรรมชาติ หรือสง่ิ ทรี่ ูกนั ทวั่ ไปวาอยคู กู นั เชน เมียและผวั ทั้งสอง อาจารยก ับศษิ ยทั้งสอง ลกู ตาทงั้ สอง มือทงั้ สอง เปน ตน การใช ติ ศพั ท ๑. เมอ่ื เขา กับสงั ขยาจำนวนสิบ แปลงเปน เต เชน เตรส, เตวสี ติ ฯลฯ ๒. เมอ่ื เขากบั สงั ขยานามนาม คง ติ ไว เชน ติสตํ , ตสิ หสฺสํ ฯลฯ ๓. เมอื่ เขา กับนามนาม คงเปน ติ หรือแปลงเปน เต เชน ตโิ ยชนํ ๓ โยชน ฯลฯ การใช นว ศัพท ๑. นว ศัพท ท่ีเปน สงั ขยาคณุ นาม แปลวา ๙ เชน นว ภิกฺขู อ. ภกิ ษุ ท. ๙ ๒. นว ศัพท ทีเ่ ปน คุณนาม แปลวา ใหม มกั ลง ก ตอทา ย เชน นวก + โอวาท = นวโกวาท แปลวา โอวาทเพอ่ื ภิกษุใหม ๔.๔ การแปลพระไตรปฎกและอรรถกถา รปู แบบประโยคเริม่ ตนเรือ่ ง รูปแบบประโยคเรมิ่ ตน เร่ือง คือ ประโยคบาลี ท่ีทา นจะแตง ไวก อนจะเลาเรอื่ งนน้ั ๆ โดยจะพูดถึง ประมาณวา เรอื่ งนนั้ ๆ เกดิ ข้ึนตอนท่ีพระพุทธองคเ สด็จประทบั อยู ณ วดั ใด ทรงปรารภใครในเพราะเรอื่ ง น้ันๆ แลว จึงตรสั คาถา เปน ตน ซ่งึ มรี ปู แบบครา วๆ ดังนี้ ............ติ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า.................วหิ รนโฺ ต....................อารพฺภ กเถสิ. ............ติ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า.........นิสฺสาย.........วิหรนโฺ ต........อารพภฺ กเถสิ. ลำดับการแปลประโยคเร่มิ ตน เร่อื ง - แปล สตฺถา - แปล วิหรนโฺ ต (ถา มี นิสสฺ าย แปล นิสสฺ าย กับ บททีอ่ ยขู า งหนา นิสฺสาย กอ น) - แปลบทท่อี ยขู า งหนา วหิ รนโฺ ต - แปล อารพฺภ - แปล บททอี่ ยูขา งหนา อารพฺภ - แปล กเถสิ - แปล อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ - แปลเขา อติ ิ แลวทบั บททอี่ ยใู น อิติ - แปลปด ทาย อติ ิ วา ดงั นเี้ ปนตน ฯ ตวั อยางเชน.......... “ อุ านวโตติ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เวฬวุ เน วหิ รนโฺ ต กมุ ฺภโฆสกเสึ อารพฺภ กเถสิ ฯ แปล :- อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู ในวดั เวฬุวนั ทรงปรารภ ซง่ึ เศรษฐชี อ่ื วา กมุ ภโฆสกะ ตรสั แลว ซงึ่ พระธรรมเทศนาน้ีวา อุ  านวโต ดงั นเี้ ปนตน ฯ รปู แบบประโยคกอนจบเรื่อง รปู แบบประโยคกอ นจบเรือ่ ง คือ ประโยคบาลีทบ่ี อกถงึ ผลในการแสดงพระธรรมของพระพทุ ธเจา ในเร่ืองน้ันๆ วา หลงั ทรงตรสั สอนดว ยพระคาถาแลว มผี ลเกิดข้นึ อยา งไรบา ง ซง่ึ กม็ ีรูปแบบประโยค พอใหด ู ไวเปนตวั อยา ง ดังตอ ไปนี้

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๖ - เทสนาปรโิ ยสาเน พหู โสตาปนนฺ าทโย อเหสุ . ในกาลเปน ทีส่ ดุ ลงแหง เทศนา อ.ชน ท. มาก เปน พระอรยิ บคุ คลมีพระโสดาบนั เปน ตน ไดเ ปนแลว ฯ - คาถาปรโิ ยสาเน โส เถโร โสตาปตฺติผเล ปติ  หิ. ในกาลเปน ที่สดุ ลงรอบแหง พระคาถา อ.พระเถระนน้ั ตง้ั อยเู ฉพาะแลว ในโสดาปต ตผิ ล ฯ - เทสนา มหาชนสฺส สาตถฺ ิกา อโหสิ. อ.เทศนา เปนเทศนาเปน ไปกบั ดว ยประโยชน แกมหาชน ไดเปนแลว ฯ - เทสนาวสาเน พหนู ํ ชนานํ ธมมฺ าภิสมโย อโหสิ. ในกาลเปน ท่สี ดุ ลงแหง เทศนา อ.การรเู ฉพาะ(การบรรล)ุ ซึง่ ธรรม ไดมแี ลว แกช น ท. มาก ฯ - อเฺ ป พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปุณสึ ุ. อ.ชน ท. มาก แมเหลาอนื่ บรรลแุ ลว ซงึ่ อริยผล ท. มโี สดาปต ติผล เปน ตน ฯ - สมปฺ ตตฺ ปรสิ ายป สาตถฺ ิกา เทสนา อโหสิ. อ.เทศนา เปนเทศนาเปน ไปกบั ดว ยประโยชน แมแ กบรษิ ทั ผูถึงพรอมแลว ไดเ ปนแลว ฯ - คาถาปรโิ ยสาเน พหู โสตาปตตฺ ิผลาทนี ิ สจฺฉกิ รึสุ. ในกาลเปน ทีส่ ดุ ลงรอบแหง พระคาถา อ.ชน ท. มาก กระทำใหแ จง แลว ซึง่ อรยิ ผล ท. มีโสดาปต ตผิ ล เปน ตน ฯ เทคนคิ /แนวคิดในการแปล การจะแปลบาลไี ดด แี ละถกู ตองนั้น ตอ งมคี วามรพู น้ื ฐานในหลกั ไวยากรณทด่ี ี และมคี วามเขา ใจใน หลกั การแปลทแ่ี จม แจง ประโยคในภาษาบาลี โดยเฉพาะในธรรมบท มกี ารวางและการใชศ พั ทท่ซี ้ำกนั และ คลา ยๆกนั มาก ดงั นนั้ แมว า เรายังไมคนุ เคย ก็สามารถจะแปลไดเ ชนกนั หากวา เรามปี ระสบการณในการ ฝก ฝน ท้ังในสวนไวยากรณ และหลักการแปล เมอ่ื วาโดยรวมแลว นักเรยี นจะตอ งประกอบดว ยคณุ สมบตั ิ ดังน้ี - ตอ งจำและเขา ใจในหลกั ไวยากรณใหด ี - ตอ งหมน่ั ศกึ ษาหลักการแปล โดยอาศยั การอา น การฝก ฝน และการแปลบอยๆ ในกรณีทไี่ มเ คยพบ หรือไดพ บเห็นมาแตน อยครงั้ นนั้ มเี ทคนคิ ในการแปล ดังตอไปน้ี - กำหนดประโยคหลกั ไว โดยดทู เี่ ครอ่ื งหมายจบประโยค ( ฯ ) วา มกี ่ีประโยค - เมอื่ กำหนดไดแลว นกึ ถงึ ลำดับการแปลไวใ นใจ - เริ่มแกะทลี ะประโยค โดยหาศัพทห รอื บท ทตี่ อ งแปลกอนประธาน แลวคอ ยไปแปลประธาน ถา ไมมปี ระธาน ใหด ทู ่กี ริ ยิ าคุมพากย และตองแยกใหออก วา เปน วาจกอะไร โดยใหด ทู ป่ี จจัยท่ีประกอบอยูก บั กิรยิ าคุมพากยต วั นนั้ เมื่อรวู าจกแลว นึกถงึ คำแปล แมแ บบของวาจกนน้ั ไวในใจ เชน ถา เปน กมั มวาจก ก็ ตอ งมสี ว นสำคญั ๓ อยา ง คอื อ. – อนั – กริ ยิ า หาใหค รบทัง้ สามสวนนก้ี อน เมอ่ื หาไดแ ลว กแ็ ปลตามลำดบั การแปล - เมือ่ กริ ิยาหรอื ศัพทไ หนทเ่ี ราแปลไมไ ด ใหค าดเดาจากเน้ือความกอนๆหรือหลงั ๆ หากคดิ ไมอ อก จริงๆ กแ็ ปลทับศัพทเสีย แตข อใหอ อกสำเนยี งอายตนบิ าตใหช ดั เจน (แตถ า ใหแนะนำ ควรแปลออกดกี วา แปลอะไรก็ได ทค่ี ดิ วา นา จะใชแ ละเขา กบั เน้ือความในตอนนนั้ ๆ)

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๗ - ถา เจอประโยค อิติ ทซ่ี อนกันหลายๆประโยค ก็ใหสงั เกตท่ีเนอื้ ความ คอื ลองแปลดหู ลายๆแบบ และคดิ ดูวา ตรงกบั เนอื้ ความในตอนนน้ั ๆหรือไม แปลแลวเขาใจ สมเน้ือเรอ่ื ง เปน ตน เชน วา มหาเถโร “อยํ ปรุ โิ ส ‘ อหนเฺ ต ทานํ เทมตี ิ วทตตี ิ จนิ เฺ ตสิ ฯ ประโยคใหญ คอื มหาเถโร กับ จนิ เฺ ตสิ สว นทเี่ หลือ คอื เลขใน ซงึ่ มสี องเลขใน คอื ตง้ั แต อยํ ....................วทตตี ิ เปน เลขในใหญ ตงั้ แต อหนฺเต.............เทมตี ิ เปนเลขในเลก็ ซงึ่ กเ็ ปน เลขในซอนของเลข ในใหญ อยางประโยคนี้ ใหส ังเกตดู มกี ริ ิยาถึง ๓ ตัว คอื เทมิ วทติ และ จนิ เฺ ตสิ จินเฺ ตสิ คอื กริ ิยานอก กริ ิยาของมหาเถระ (มหาเถระคดิ วา) สวน เทมิ คือ กิริยา ทเี่ ปน คำพูดของบุรุษ ซึง่ มหาเถระกำลังคดิ ถึง วทติ กเ็ ปน กริ ิยาการพูดของบรุ ุษ ซ่ึงมหาเถระก็กำลงั คดิ เชน กนั เวลาแปล กแ็ ปลตามลำดบั เนื้อความ ดงั น้ี ๑.แปล มหาเถโร กับ จินเฺ ตสิ กอ น ๒.แปล อยํ ปรุ โิ ส กบั วทติ เปนลำดับตอมา เพ่อื เขา อติ ิ เลก็ (อหนเฺ ต......เทมตี ิ) จากนนั้ จึงคอยแปล ประโยคเลขในซอ น คอื อหนเฺ ต........เทมตี ิ อ.มหาเถระ คดิ แลว วา อ.บรุ ุษนี้ ยอ มกลาววา อ.กระผม จะถวาย ซง่ึ ทาน แกท าน ดงั นี้ ดงั น้ี ฯ ดงั นี้ อนั แรก คอื ของ เทมตี ิ ดังนี้ ทส่ี อง คือของ วทตตี ิ คดิ วา (จนิ ฺเตสิ) คอื ตวั เขา เลขในใหญ เปน กริ ิยาของมหาเถระ พดู วา (วทติ) คอื กิริยาเขา เลขในเล็กซึง่ เปนคำพูดของบุรุษ ฯ อกี อนั หนง่ึ ทค่ี วรสงั เกตไว สำหรับชัน้ ตน น้ี คอื ถา เปน เลขในใหญ จะใชเ ครื่องหมาย ( “ ) ถา เปน เลขในเลก็ จะใชเครือ่ งหมาย ( ‘ ) ตัวอยา งการแปลโดยพยญั ชนะและโดยอรรถแบบพ้ืนฐาน ๑. สาวตถฺ ยิ ํ กเิ รโก กุลปตุ โฺ ต สาสเน ปพพฺ ชติ วฺ า วหิ าเร วสติ. โดยพยัญชนะ ไดยินวา อ.กลุ บตุ ร คนหนงึ่ ในเมืองชอื่ วาสาวตั ถี บวชแลว ในศาสนา ยอ มอยู ในวิหาร ฯ โดยอรรถ ไดย นิ วา กุลบตุ รคนหนงึ่ ในเมอื งสาวตั ถี บวชในพระศาสนาแลว อยใู นวิหารฯ ๒. จตฺตาโร ภิกขฺ ู คามํ ปณฑฺ าย อคมํสุ. โดยพยญั ชนะ อ.ภิกษุ ท. ๔ ไดไปแลว สหู มบู าน เพอ่ื กอ นขา ว ฯ โดยอรรถ ภิกษุ ๔ รูป ไดไ ปยงั หมบู าน เพ่อื บิณฑบาต ฯ ๓. ตีณิ ผลานิ รกุ ขฺ า ปตติ าน.ิ โดยพยัญชนะ อ.ผลไม ท. ๓ ตกแลว จากตน ไม ฯ โดยอรรถ ผลไม ๓ ลกู ตกจากตนไม ฯ ๔. มนุสสฺ า สตถฺ ุ ธมฺมํ โสตุ วหิ ารํ คตา. โดยพยญั ชนะ อ.มนุษย ท. ไปแลว สวู ิหาร เพ่ืออนั ฟง ซง่ึ ธรรม ของพระศาสดา ฯ โดยอรรถ พวกมนุษย พากันไปวิหาร เพ่ือฟง ธรรมของพระศาสดา ฯ ๕. ราชา ปรุ ิเส ภิกฺขนู ํ อารามํ กาเรส.ิ โดยพยัญชนะ อ.พระราชา ยงั บรุ ษุ ท. ใหก ระทำแลว ซง่ึ อาราม เพื่อภกิ ษุ ท. ฯ โดยอรรถ พระราชา ทรงรับสงั่ ใหพ วกบุรุษสรางอารามขนึ้ เพ่อื ภิกษทุ งั้ หลาย ฯ ๖. ราชา ปรุ เิ ส ผลานิ อาหราเปต.ิ

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๘ โดยพยัญชนะ อ.พระราชา ยอมยงั บรุ ุษ ท. ใหนำมา ซึ่งผลไม ท. ฯ โดยอรรถ พระราชา ทรงรับสงั่ ใหพวกบรุ ษุ นำผลไมทงั้ หลายมา (ถวาย) ฯ ๗. สามเณโร สลี ํ สมาทิยติ วฺ า ธมมฺ ํ สณุ าติ. โดยพยญั ชนะ อ.สามเณร สมาทานแลว ซง่ึ ศลี ยอ มฟง ซ่งึ ธรรม ฯ โดยอรรถ สามเณรสมาทานศลี แลวฟง ธรรม ฯ ๘. สามเณเรน ทส สลี านิ รกขฺ ิตุ วฏ ติ. โดยพยัญชนะ อ.อันอนั สามเณร รกั ษา ซ่งึ ศลี ท. ๑๐ ยอมควร ฯ โดยอรรถ ควรท่ีสามเณรจะรกั ษาศลี ๑๐ ฯ การที่สามเณรรักษาศีล ๑๐ ยอมควร ฯ สามเณรควรรกั ษาศลี ๑๐ ฯ ๙. อาจรโิ ย สามเณรํ ปาลึ สกิ ฺขาเปตุกาโม หตุ ฺวา ตํ สามเณรํ อามนฺเตสิ โดยพยัญชนะ อ.อาจารย เปน ผใู ครเพ่ืออนั ยงั สามเณรใหศ ึกษา ซ่งึ บาลี เปน เรยี ก มาแลว ซ่งึ สามเณรนั้น ฯ โดยอรรถ อาจารยมคี วามประสงคจ ะใหสามเณรเรียนบาลี จึงเรยี กสามเณรนน้ั มา ฯ ๑๐. ตยา มํ นสิ สฺ าย ชวี ติ ํ ลทธฺ ํ . โดยพยัญชนะ อ.ชวี ติ อนั ทาน ไดแลว เพราะอาศยั ซง่ึ เรา ฯ อ.ชีวติ อนั ทา น อาศัยแลว ซง่ึ เรา ไดแลว ฯ โดยอรรถ ทานไดช วี ิต เพราะอาศัยเรา ฯ ทานอาศยั เรา จงึ ไดชวี ติ ฯ ๑๑. เถโร สามเณรํ อตตฺ โน อนฺเตวาสกิ ํ กตวฺ า ตํ สามเณรํ โอวทติ. โดยพยัญชนะ อ.พระเถระ กระทำแลว ซง่ึ สามเณร ใหเ ปน อนั เตวาสกิ ของตน ยอ มพรำ่ สอน ซง่ึ สามเณรนนั้ ฯ โดยอรรถ พระเถระ ทำใหสามเณรเปน อันเตวาสกิ ของตนแลว พร่ำสอนสามเณรน้นั ฯ ๑๒. สพเฺ พ ชนา, อตตฺ โน อตตฺ โน ธเน นเ, โสจนฺติ. โดยพยญั ชนะ อ.ชน ท. ทงั้ ปวง คร้ันเม่อื ทรพั ย ของตน ๆ ฉบิ หายแลว ยอมเศรา โศก ฯ โดยอรรถ คนท้งั หมด เมอื่ ทรัพยของตนๆหมดไป กพ็ ากนั เศราโศก ฯ ๑๓. เตสุ ปฺจสุ ชเนสุ เทวฺ (ชนา) อรยิ สาวกา โหนตฺ .ิ โดยพยญั ชนะ ในชน ท. ๕ เหลา นน้ั หนา อ.ชน ท. ๒ เปน พระอรยิ สาวก ยอ มเปน ฯ โดยอรรถ บรรดาชน ๕ คนนน้ั ชน ๒ คน เปนพระอริยสาวก ฯ ๑๔. เถโร สามเณรํ อตตฺ โน าตกํ วยิ กโรต.ิ โดยพยญั ชนะ อ.พระเถระ ยอ มกระทำ ซงึ่ สามเณร ใหเปน ราวกะญาติ ของตน ฯ โดยอรรถ พระเถระ ทำใหสามเณรเปน เหมอื นญาตขิ องตน ฯ ๑๕. สาลาย นสิ ที นตฺ า ภกิ ขฺ ู อตตฺ โน อตตฺ โน อาสเน นิสที นตฺ ิ.

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๗๙ โดยพยญั ชนะ อ.ภกิ ษุ ท. เม่ือนง่ั บนศาลา ยอ มน่งั บนที่นัง่ ของตน ๆ ฯ โดยอรรถ พวกภกิ ษุ เมื่อจะนงั่ บนศาลา กพ็ ากนั นงั่ บนอาสนะของตนๆ ฯ ทบทวนฝกการแปลโดยพยญั ชนะ ๑. เถโร สามเณรํ ทิสวฺ า “ คจฉฺ ตวฺ ํ , อาหารํ อาเนหตี ิ (วตวฺ า) ตํ สามเณรํ เปเสสิ ฯ อ.พระเถระ เหน็ แลว ซ่ึงสามเณร กลาวแลว วา อ.เธอ จงไป จงนำมา ซง่ึ อาหาร ดังน้ี สง ไปแลว ซง่ึ สามเณร นนั้ ฯ ๒. ราชา “ อหํ ธมมฺ ํ สุณสิ สฺ ามตี ิ (จนิ เฺ ตตวฺ า) วหิ ารํ คโต ฯ อ.พระราชา ดำรแิ ลววา อ.เรา จกั ฟง ซง่ึ ธรรม ดงั นี้ ไปแลว สวู หิ าร ฯ ๓. กุมาโร “ อหํ ปพฺพชิสสฺ ามีติ จินเฺ ตสิ ฯ อ.กมุ าร คดิ แลว วา อ.เรา จกั บวช ดงั นี้ ฯ ๔. สตถฺ า วิหาเร จตุนฺนํ ภกิ ขฺ นู ํ กมมฺ านํ อทาสิ ฯ อ.พระศาสดา ไดใหแลว ซ่งึ พระกัมมัฏฐาน แกภิกษุ ท. สี่ ในวหิ าร ฯ ๕. เอโก โจโร เอกสสฺ ภิกฺขโุ น จีวรํ เถเนตวฺ า ปลายิ ฯ อ.โจร คนหนงึ่ ขโมยแลว ซง่ึ จวี ร ของภกิ ษุ รปู หนึง่ หนไี ปแลว ฯ ๖. นวุติ สามเณรา คาเม อาวาเส มนฺเต สชฌฺ ายนตฺ ิ ฯ อ.สามเณร ท. เกา สบิ สาธยายแลว ซงึ่ มนต ท. ในอาวาส ใกลห มบู า น ฯ ๗.สพเฺ พ สตตฺ า อตตฺ โน อตถฺ าย ปุ ฺานิ กเรยยฺ ุ ฯ อ.สัตว ท. ทง้ั ปวง พงึ กระทำ ซง่ึ บญุ ท. เพอ่ื ประโยชน ของตน ฯ ๘. ธมมฺ ครุเกน ภิกฺขุนา สลี านิ รกขฺ ติ พพฺ านิ ฯ อ.ศีล ท. อันภกิ ษุ ผูเคารพในธรรม พงึ รกั ษา ฯ ๙. อิมสมฺ ึ โลเก ปพพฺ ชติ า สตเฺ ตสุ กรณุ าภยิ ตุ ตฺ า ภเวยยฺ ุ ฯ อ.บรรพชติ ท.ในโลก นี้ พึงเปน ผปู ระกอบดวยความกรณุ า ในสตั ว ท. พึงเปน ฯ ๑๐. เส ปิ ตุ โฺ ต สาสเน ปสนฺโน วิหารํ คนตฺ วฺ า ปพฺพชฺชํ ยาจิ ฯ อ.บตุ รของเศรษฐี เลอื่ มใสแลว ในศาสนา ไปแลว สวู ิหาร ขอแลว ซง่ึ การบรรพชา ฯ ๑๑. ภกิ ฺขุโน ธมฺมํ กเถนตฺ สสฺ , เทโว วสฺสิ ฯ เม่ือภกิ ษุ กลาวอยู ซง่ึ ธรรม, อ.ฝน ตกแลว ฯ ๑๒. อมจโฺ จ รฺโ นิเวสนํ คนฺตวฺ า ตสสฺ กิจจฺ ํ กตฺวา อตฺตโน เคหํ อคมาสิ ฯ

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๐ อ.อำมาตย ไปแลว สพู ระราชนิเวศน ของพระราชา กระทำแลว ซงึ่ สง่ิ ควรกระทำ แกพระราชานน้ั ไดไปแลว สเู รือน ของตน ฯ ๑๓. เอโก ภิกขฺ ุ อตตฺ โน อาจรยิ ํ อปุ สงกฺ มิตวฺ า วนฺทติ วฺ า อตตฺ โน อาสเน นสิ ีทิ ฯ อ.ภิกษุ รปู หนง่ึ เขา ไปใกลแ ลว ซง่ึ อาจารย ของตน ไหวแ ลว น่ังแลว บนอาสนะ ของตน ฯ ๑๔. อาจริโย, สิสเฺ สสุ ปกกฺ นเฺ ตสุ, อตตฺ โน คพภฺ ํ ปวิ โ  สพพฺ รตตฺ ึ สมณธมฺมํ อกาสิ ฯ อ.อาจารย, คร้ันเมอ่ื ศษิ ย ท. หลกี ไปแลว , เขา ไปแลว สหู อ ง ของตน ไดก ระทำแลว ซงึ่ สมณธรรม ตลอดราตรีทัง้ ปวง ฯ ๑๕. ตุมฺเห กตรสฺมึ วหิ าเร วสถ, สพเฺ พ มยํ เสิโน เคหสฺส สมเี ป เิ ต วิหาเร วสาม ฯ อ.ทาน ท. ยอ มอยู ในวิหาร ไหน, อ.เรา ท. ทงั้ ปวง ยอมอยู ในวหิ าร อันตงั้ อยแู ลว ในทใี่ กล แหง เรอื น ของเศรษฐี ฯ ๑๖. สาวตถฺ ยิ ํ เอโก กลุ ปุตโฺ ต, ปตริ มเต, สหตถฺ า เขตเฺ ต จ ฆเร จ สพฺพกมมฺ านิ กโรติ ฯ อ.กลุ บตุ ร คนหน่งึ ในเมอื งสาวัตถี, ครัน้ เมือ่ บดิ า ตายแลว , ยอมกระทำ ซึง่ การงานทงั้ ปวง ท. ใน นา ดว ย ในเรอื น ดว ย ดว ยมือของตน ฯ วธิ แี ปลแกอรรถกถา24๑ การแปลอรรถกถานั้น ผแู ปลตองเตมิ คำวา “อติ ิ อตโฺ ถ” เขามาสดุ ทายประโยคทกุ คร้งั ในกรณที ่ี ทา นไมไ ดใ สเขา มาให ซง่ึ จะแปลจากตัวแกอ รรถ(คำอธบิ ายพระบาล)ี ไปหาตวั ตงั้ อรรถ(ตัวพระบาลี)เสมอ มี วธิ ดี งั นี้ อนิ ทฺ ฺริเยสตู ิ (ปทสสฺ ) “จกขฺ าทีสุ ฉสุ อินทฺ รฺ ิเยสุ (อติ ิ อตโฺ ถ). บทแรก (ตวั ทบึ ) เปนตวั ตง้ั อรรถ บทขา งหลังทีข่ ดี เสน ใต ๓ บท เปนตวั แกอรรถ โดยพยญั ชนะวา อ.อรรถวา ในอนิ ทรยี  ท. ๖ มจี กั ขุนทรยี เปนตน ดงั นี้ แหงบทวา อนิ ทฺ ฺรเิ ยสุ ดังนี้ โดยอรรถวา บทวา อนิ ฺทฺรเิ ยสุ ไดแ ก อินทรียท ัง้ ๖ มจี กั ขนุ ทรีย เปน ตน . ลักษณะการแปลอรรถกถาโดยอรรถ นยิ มแปลจากตวั ตัง้ อรรถ(ตวั พระบาลี)ไปหาตัวแกอรรถ(ตวั อธิบายพระบาล)ี ความจรงิ ตวั ตง้ั อรรถและตวั แกอรรถน้ันเทา กบั เปน เลขในโดยปรยิ าย ซ่งึ จะตอ งใสต วั ทจ่ี ะ เปด อติ ิ เขา มาแนน อน ตวั ทีจ่ ะเปด อติ ิ ที่อยูหลงั ตวั ตงั้ อรรถนน้ั มหี ลายอยา ง สว นตวั ที่จะมาเปด อติ ิ ที่อยู หลงั ตวั แกอรรถนั้นคอื อตโฺ ถ เปน สว นมาก จะมบี ทวา อธิปปฺ าโย อยบู า งไมม าก ขอควรจำ ๑.ถา บทตั้งมี ๑ บท บทเปด อติ ิ ตอ งเปน ปทสสฺ (แหง บท) เชน ปสนเฺ นนาติ (ปทสสฺ ) อนภิชฌฺ าทหี ิ คเุ ณหิ ปสนเฺ นน (อติ ิ อตโฺ ถ). ๑ สมชยั รตนาโณ, พระมหา.(เปรยี ญธรรม ๙ ประโยค) หนังสือคมู อื หลักการแปลบาลี ๘ ประการ สำหรับนกั ศึกษาใหมผ ใู คร รู. (เชยี งใหม,หจก.ดาราวรรณการพิมพ,๒๕๕๐), หนา ๙๓-๑๐๐.

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๑ โดยพยญั ชนะวา อ.อรรถวา (มนสา) มใี จ อนั เลอ่ื มใสแลว ดว ยคณุ ท. มอี นภชิ ฌาเปน ตน ดงั นี้ แหง บทวา ปสนฺเนน ดงั นี้. โดยอรรถวา บทวา ปสนเฺ นน ไดแ ก (มใี จ)อันเลอ่ื มใสแลว ดว ยคุณมอี นภชิ ฌาเปน ตน . ๒.ถา บทตัง้ มี ๒ บท บทเปด อติ ิ ตอ งเปน ปททฺวยสสฺ (แหง หมวดสองแหงบท) เชน เต ฌายโิ นติ (ปททวฺ ยสฺส) เต อปฺปมตตฺ า ปณฺฑติ า อ สมาปตตฺ ิสงฺขาเตน อารมฺมณูปนชิ ฌฺ าเนน วิปสสฺ นามคคฺ ผลสงขฺ าเตน ลกฺขณูปนิชฺฌาเนน จาติ ทพุ ฺพเิ ธนป ฌาเนน ฌายิโน (อติ ิ อตโฺ ถ). โดยพยญั ชนะวา อ.อรรถวา อ.บัณฑิต ท. ผูไมประมาทแลว เหลานัน้ ชือ่ วา เปน ผมู ีความเพง ดวย ฌาน แมท ั้ง ๒ อยาง คอื ดวยอารมั มณปู นชิ ฌาน อนั บัณฑติ นบั พรอ มแลว วาสมาบัติ ๘ ดวย ดว ยลกั ขณปู นิชฌาน อันบัณฑติ นบั พรอ มแลววา วิปส สนาและมรรคและผล ดวย ดงั นี้ แหง หมวดสองแหง บทวา เต ฌายิ โน ดงั นี้ โดยอรรถวา สองบทวา เต ฌายิโน ความวา บัณฑติ ผไู มป ระมาทเหลา นนั้ ชอ่ื วาเปนผมู คี วามเพง ดว ยฌานแมทงั้ ๒ อยาง คอื ดว ยอารัมมณปู นชิ ฌานกลา วคือสมาบตั ิ ๘ และดวยลกั ขณูปนชิ ฌานกลา วคอื วิปสสนามรรคและผล. ๓.ถา บทต้งั มี ๓ บทขึน้ ไป ซ่งึ ไมใ ชบาทคาถา บทเปด อติ ิ ตอ งเปน ปทานํ (แหงบท ท.) เชน เยน ภควา เตนุปสงกฺ มตี ิ (ปทานํ) ยตฺถ ภควา นิสีทติ ตตถฺ คตา (อติ ิ อตโฺ ถ). โดยพยญั ชนะวา อ.อรรถวา อ.พระผมู พี ระภาคเจา ประทบั อยู ณ ท่ใี ด (เทวตา) อ.เทวดา ไปแลว ในที่นั้น ดงั น้ี แหง บท ท.วา เยน ภควา เตนุปสงกฺ มิ ดังน.้ี โดยอรรถวา หลายบทวา เยน ภควา เตนุปสงกฺ มิ ความวา พระผมู ีพระภาคเจา ประทับอยู ณ ทีใ่ ด เทวดาก็ไปในทน่ี ั้น. ๔.ถา บทต้งั เปน บาทคาถา บทเปด อติ ิ ตอ งเปน คาถาปาทสสฺ (แหงบาทแหงพระคาถา) เชน อปฺปมาเท ปโมทนตฺ ตี ิ (คาถาปาทสสฺ ) เต เอวํ ตวฺ า ตสมฺ ึ อตตฺ โน อปปฺ มาเท ปโมทนตฺ ิ ปหสํ ติ มขุ า ตุ ปปฺ ห า โหนตฺ ิ (อติ ิ อตโฺ ถ) โดยพยัญชนะวา อ.อรรถวา (เต ปณฺฑิตา) อ.บัณฑติ ท.เหลา น้ัน ครั้นรแู ลว อยางนี้ ยอ มบนั เทงิ คือวา เปน ผมู หี นาย้มิ แยม ไดแก เปน ผูยนิ ดีแลว และราเริงแลว ในความไมป ระมาท ของตน นั้น ยอมเปน ดงั นี้ แหง บาทแหงพระคาถาวา อปปฺ มาเท ปโมทนตฺ ิ ดงั นี้ โดยอรรถวา บาทพระคาถาวา อปปฺ มาเท ปโมทนตฺ ิ ความวา บัณฑติ เหลา นนั้ ครนั้ รูอยา งนแ้ี ลว ยอมบนั เทิงคือเปนผมู ีหนา ยมิ้ แยม ไดแกเ ปน ผูยนิ ดรี า เรงิ ในความไมป ระมาทของตน. ๕.ถา บทตั้งเปนสองบาทคาถา บทเปด อติ ิ ตอ งเปน คาถาปาททฺวยสฺส (แหง หมวดสองแหง บาท แหงพระคาถา) มวี ธิ ีการเขา อติ ิ เหมอื นกับ คาถาปาทสสฺ เพียงแตม ีบาทพระคาถามากกวา เทา นัน้

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๒ การแปลรูปวิเคราะห25๑ การแปลรปู วเิ คราะหน น้ั ถา แปลโดยพยัญชนะ มกั จะแปลจากขา งในรปู วเิ คราะหออกไปหาขา ง นอกคือรปู สำเรจ็ ขอควรจดจำคอื ภายในรปู วเิ คราะห จะตองแปลเปน ประโยค ย (ใด) เสมอ สว นรปู สำเรจ็ จะแปลเปน ประโยค ต (นนั้ ) เชน (โย ปุคคฺ โล) ปณฑฺ ติ าณคตยิ า คจฺฉตตี ิ ปณฑฺ ิโต (โส ปุคฺคโล). รปู วเิ คราะห เปน ประโยคทอ่ี ยูด านหนา ตัวทบึ รปู สำเรจ็ เปน บทหลงั ทข่ี ดี เสน ใต โดยพยัญชนะวา อ.บคุ คล ใด ยอมดำเนนิ ไป คอื วา ยอ มไป ดวยญาณคติ เพราะเหตนุ ัน้ อ. บคุ คล นนั้ ชอื่ วา บัณฑิต. โดยอรรถ มหี ลายวิธดี งั น้ี ๑.แปลวา เพราะอรรถวเิ คราะหว า (โย ปุคคฺ โล) ปณฑฺ ติ าณคติยา คจฉฺ ตตี ิ ปณฑฺ โิ ต (โส ปุคคฺ โล). โดยอรรถวา ทช่ี อ่ื วาบัณฑิต เพราะอรรถวิเคราะหว า ยอมดำเนินไป คอื ยอ มไป ดวยญาณคติ. ๒.แปลวา เพราะกระทำวิเคราะหวา (ในกรณที ีม่ ี กตวฺ า อยูห ลัง อติ ิ ในรูปวิเคราะห) เจตนา ปส ณุ วาจา “สุปณ ํ วตตฺ ิ เอตายาติ (วคิ คฺ ห)ํ กตฺวา. โดยพยญั ชนะวา อ.เจตนา ช่ือวาเปนเหตกุ ลาวซึ่งคำสอเสียด เพราะกระทำซ่ึงการวิเคราะหวา อ. บุคคล ยอ มกลาว ซ่ึงคำสอ เสยี ด ดวยเจตนานัน่ ดังน้ี. (วตฺติ = วจฺ + อ + ติ ลบที่สุดธาตุ ซอ น ต)ฺ โดยอรรถวา เจตนา ชือ่ วา ปส ุณวาจา เพราะกระทำวเิ คราะหวา เปน เหตกุ ลา วคำสอเสยี ด. ๓.แปลวา เพราะวิเคราะหว า ปณฑฺ ติ าณคตยิ า คจฉฺ ตีติ ปณฑฺ ิโต. โดยอรรถวา ทช่ี ื่อวาบัณฑิต เพราะวเิ คราะหวา ยอมดำเนินไป คือยอมไป ดว ยญาณคติ. ๔.แปลวา เพราะอรรถวา (โย ปคุ ฺคโล) ปณฑฺ าย อิโต คโต ปวตโฺ ตติ ปณฑฺ ิโต (โส ปคุ ฺคโล). โดยพยัญชนะวา อ.บุคคล ใด ไปแลว คือวาดำเนินไปแลว ไดแกเปนไปแลว ดวยปญญาชื่อ วา ปณ ฑาเพราะเหตนุ นั้ อ.บคุ คล น้นั ช่ือวาบัณฑติ . โดยอรรถวา ท่ีชื่อวาบัณฑิต เพราะอรรถวา ไปแลว คือดำเนินไปแลว ไดแกเปนไปแลว ดวย ปญญาชือ่ วาปณ ฑา ๕.แปลวา เพราะ พาโล ลกขฺ ยิ ติ ายติ เอเตหตี ิ พาลลกฺขณานิ วุจฺจนฺต.ิ ๑ สมชยั รตนาโณ, พระมหา.(เปรยี ญธรรม ๙ ประโยค) หนงั สือคูม อื หลกั การแปลบาลี ๘ ประการ สำหรบั นกั ศึกษาใหมผใู คร รู. (เชียงใหม, หจก.ดาราวรรณการพิมพ, ๒๕๕๐), หนา ๑๐๑-๑๐๔.

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๓ โดยพยัญชนะวา อ.พาลลกั ษณะ ท.(ปุคฺคเลน) อนั บุคคล ยอมเรยี ก (อตเฺ ถน) เพราะอรรถวา อ.คน พาล (ปุคคฺ เลน) อนั บุคคล ยอมกำหนดได คือวายอ มรูได (เอเตหิ ลกขฺ เณหิ) ดวยลกั ษณะ ท.เหลานี้ ดงั น.้ี โดยอรรถวา ทานเรียกวา พาลลกั ษณะ เพราะ คนพาล เปน เหตุถกู กำหนด คอื ถกู ร.ู คำวา อรรถวิเคราะหวา, เพราะกระทำวิเคราะหวา, เพราะวิเคราะหวา, เพราะอรรถวา, และ เพราะโดยความหมายกเ็ หมือนกนั จะใชคำใดคำหนึง่ ก็ได แตถ าเปนรูปวิเคราะหในแกอ รรถตอ งใสบ ทวา อิติ วคิ ฺคโห ปณฺฑิเตน กาตพโฺ พ เขามากำกบั ขางหลงั ของรูปสำเร็จ เชน ตตฺถ (คาถายํ) “(โย ปุคฺคโล) อนฺโต อุปฺปนฺนํ อกุสลวิตกฺกํ หิริยา นิเสเธตีติ หิรินิเสโธ (โส ปุคคฺ โล) (อิติ วิคฺคโห ปณฑฺ เิ ตน กาตพฺโพ). โดยพยัญชนะวา อ.การวิเคราะหวา อ.บุคคล ใด ยอมหาม ซ่ึงอกุศลวิตก อันเกิดข้ึนแลว ใน ภายใน ดวยหิริ เพราะเหตนุ ้ัน อ.บุคคล น้ัน ชือ่ วา หิรินิเสธะ ดังนี้ อันบัณฑิต พึงกระทำ ในพระ คาถา นน้ั . โดยอรรถวา ในพระคาถาน้ัน บณั ฑิตควรทำการวิเคราะหว า บุคคลทไ่ี ดช ื่อวา หิรนิ เิ สธะ เพราะวา หามอกศุ ลวิตกทเี่ กดิ ข้ึนภายในดวยหริ ิได. ๔.๕ สรุปทา ยบท การแปลภาษาบาลีนั้น จำเปนตองรูหลักเกณฑของการแปลภาษาบาลีเปนอยางดี และการจะรู หลักเกณฑไดดีนั้น ก็ตอ งเขาใจหลักไวยากรณของภาษาเปน อยา งดีดวย แตเ ม่อื กลาวโดยยอแลว ประโยคใน ภาษาบาลมี ีแบบแผนอยูไ มม าก พอจะรวบรวมไดเ พยี ง ๖ ประโยคหลักเทานน้ั เอง คอื ๑.ประโยคลงิ คตั ถะ คอื ประโยคที่ไมม ีกิริยาคุมพากย ๒.ประโยคกัตตุ คือประโยคที่มีประธานและกิริยาครบ โดยกิริยาจะกลาวถึงผูกระทำเองเปน ประธาน ๓.ประโยคกัมมะ คือประโยคท่ีมีประธานและกิริยาครบเหมือนกันแปลกแตวากิริยาจะกลาวตัว กรรมเปน ประธาน ๔.ประโยคเหตุกัตตุ คือประโยคท่ีมีประธานและกิริยาครบแตกลาวถึงผูเปนตนเหตุเปนประธาน คอื คนท่ใี ชใ หค นอ่นื กระทำ ๕.ประโยคเหตุกัมมะ คือประโยคท่ีมีประธานและกิริยาครบเหมือนกัน ตางแตเพียงกิริยาจะ กลาวถึงตวั กรรมท่เี ปน เหตุ และมตี วั อนภิหติ กัตตา(อนั ) กบั ตวั การติ กัมมะ(ยงั )อยใู นประโยคดวย ๖.ประโยคภาวะ คือประโยคที่กลาวถึงเพียงกิริยาเทานั้น มีตัวกัตตาท่ีประกอบดวยตติยาวิภัตติ ทำหนา ท่ีคลายตัวประธานของประโยค สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรบั การแปลบาลี คือยึดหลักการแปล ๙ ประการ ตามลำดบั พจิ ารณาไปที ละประโยค คือดูประโยคใหญวามีกี่ประโยคยอย แลวจึงเขาไปพิจารณาข้ันตอนการแปลตามลำดับขอ ๑-๙ เรียงกันไป ถาขอใดไมมีบทอยูในประโยคท่ีพิจารณา ก็เล่ือนไปแปลขอตอไป คือไมจำเปนตองมี ครบทงั้ ๙ ขอ โดยมขี อ สงั เกตกอนการแปลดงั น้ี

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๔ ๑.พิจารณากอนวาเปนประโยคอะไรใน ๖ ประโยคหลัก ซึ่งจะทำใหทราบวาจกทั้ง ๕ ยกเวน ประโยคลงิ คตั ถะ เนอื่ งจากไมมกี ิรยิ าคุมพากย ๒.วาจกท้ัง ๕ นนั้ มีองคป ระกอบทส่ี ำคัญอยางไรบา ง ๓.เปน ประโยคทีม่ เี ลขนอก เลขใน หรือไม หรอื มีประโยคเลขในซอ นหรือไม ๔.มีเนื้อความกตี่ อน และควรแปลตอนไหนกอนตามหลกั การแปล ๕.เปนประโยคกิริยาอาขยาต หรือกิริยากิตก และเปนปจจุบันกาล อดีตกาล หรืออนาคตกาล เพอ่ื การแปลทถ่ี ูกตอ งและเหมาะสม

ค่มู ือการอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๕ ๕.๑ แบบฝกทกั ษะการอา น บทท่ี ๕ แบบฝกทกั ษะการอานและการแปล แบบฝก การอา นที่ ๑ บทนมสั การพระพทุ ธเจา นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธสสฺ . นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธสฺส. นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ธสฺส. บทบชู าพระรตั นตรัย อรหํ สมฺมาสมพฺ ุทฺโธ ภควา. พทุ ฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ. สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม. ธมมฺ ํ นมสสฺ าม.ิ สปุ ฏิปนโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ. สงฆฺ ํ นมามิ. บทพระพุทธคณุ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อิตปิ  โส ภควา อรหํ สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ วชิ ฺชาจรณสมปฺ นโฺ น สุคโต โลกวิทู อนตุ ตฺ โร ปุรสิ ทมมฺ สารถิ สตถฺ าเทวมนุสสฺ านํ พทุ โฺ ธ ภควาติ สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม สนทฺ ิ ิโก อกาลโิ ก เอหปิ สฺสโิ ก โอปนยิโก ปจฺจตตฺ ํ เวทติ พโฺ พ วิ ฺหู ตี ิ สปุ ฏิปนโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ อุชุปฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ ายปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงฺโฆ สามจี ิปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ ยททิ ํ จตฺตาริ ปุรสิ ยคุ านิ อ ปรุ ิสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงโฺ ฆ อาหเุ นยฺโย ปาหเุ นยฺโย ทกฺขเิ ณยโฺ ย อฺชลกี รณโี ย อนตุ ตฺ รํ ปุ ฺ กฺเขตตฺ ํ โลกสฺสาติ บทสวด อภยปรติ ตฺ ํ ยนฺทุนฺนมิ ติ ตฺ ํ อวมงคฺ ลฺจ โย จามนาโป สกณุ สฺส สทโฺ ท ปาปคคฺ โห ทุสสฺ ปุ น ํ อกนตฺ ํ พุทฺธานภุ าเวน วนิ าสเมนตฺ ุ ฯ ยนฺทุนฺนมิ ิตตฺ ํ อวมงคฺ ลฺจ โย จามนาโป สกุณสฺส สทโฺ ท ปาปคคฺ โห ทุสฺสุปน ํ อกนตฺ ํ ธมมฺ านภุ าเวน วนิ าสเมนตฺ ุ ฯ ยนฺทนุ นฺ มิ ติ ตฺ ํ อวมงคฺ ลฺจ โย จามนาโป สกุณสฺส สทโฺ ท ปาปคคฺ โห ทุสสฺ ุปน ํ อกนตฺ ํ สงฺฆานุภาเวน วนิ าสเมนตฺ ุ ฯ

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๖ คำแปล ลางรา ยใด อปั มงคลใด เสยี งนกทนี่ า สะพรึงกลวั ใด เคราะหร า ยและฝน รายทไ่ี มนา ปรารถนาใด ดว ยพุทธานภุ าพ ดว ยธรรมานุภาพ ดวยสังฆานภุ าพ ขอความเลวรายทงั้ ปวงนน้ั จงพินาศไปสน้ิ ฯ อภยปริตร หรือเรียกอกี ชือ่ คือคาถายันทนุ เปน พระพทุ ธมนตแหง การใหอ ภัยและอโหสิกรรม อานสิ งสข องการสวดบทน้จี ะทำใหพ นจากทกุ ข ทเี่ กิดจากความไมสบายใจ สิง่ ทเ่ี ปน อปั มงคล ฝนรา ยและ อาเพศสงั หรณใจไปในทางทไ่ี มด ี แบบฝก การอา นที่ ๒ บทสวด พทุ ธฺ ชยมงคฺ ลคาถา พาหุ สหสฺสมภนิ มิ มฺ ติ สาวธุ นตฺ ํ ครฺ ีเมขลํ อทุ ติ โฆรสเสนมารํ ทานาทธิ มฺมวิธนิ า ชติ วา มนุ นิ โฺ ท ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ มาราตเิ รกมภยิ ุชฺฌติ สพพฺ รตตฺ ึ โฆรมปฺ นาฬวกมกฺขมถทฺธยกขฺ ํ ขนตฺ ีสุทนตฺ วธิ นิ า ชติ วา มนุ นิ โฺ ท ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ นาฬาคริ ึ คชวรํ อตมิ ตตฺ ภตู ํ ทาวคฺคจิ กฺกมสนวี สทุ ารณุ นตฺ ํ เมตตฺ มฺพุเสกวธิ นิ า ชติ วา มนุ ินโฺ ท ตนเฺ ตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ อุกขฺ ติ ตฺ ขคฺคมตหิ ตถฺ สทุ ารณุ นตฺ ํ ธาวนตฺ โิ ยชนปถํ คุลิมาลวนตฺ ํ อิทฺธภี สิ งฺขตมโน ชติ วา มนุ นิ โฺ ท ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ กตฺวาน กมทุ รํ อวิ คพฺภนิ ยี า จิจฺ าย ทุ วจนํ ชนกายมชฺเฌ สนฺเตน โสมวธิ นิ า ชติ วา มุนนิ โฺ ท ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ สจฺจํ วิหาย มตสิ จฺจกวาทเกตุ วาทาภิโรปต มนํ อติอนธฺ ภตู ํ ปฺาปทปี ชลโิ ต ชติ วา มนุ นิ ฺโท ตนเฺ ตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ นนโฺ ทปนนฺทภชุ คํ วพิ ธุ ํ มหทิ ธฺ ึ ปตุ เฺ ตน เถรภชุ เคน ทมาปยนฺโต อิทฺธูปเทสวธิ ินา ชิตวา มนุ นิ โฺ ท ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๗ ทคุ คฺ าหทิิภชุ เคน สุทหตฺถํ พรฺ หฺมํ วิสุทธฺ ชิ ุตมิ ทิ ธฺ พิ กาภธิ านํ าณาคเทน วธิ ินา ชติ วา มนุ ินโฺ ท ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ เอตาป พทุ ฺธชยมงฺคลอ คาถา โย วาจโน ทนิ ทเิ น สรเต มตนทฺ ี หิตวฺ านเนกววิ ธิ านิ จปุ ทฺทวานิ โมกขฺ ํ สขุ ํ อธคิ เมยฺย นโร สปโฺ  ฯ พระพทุ ธชยั มงคลคาถา หรอื มกั เรียกวา พระคาถาพาหงุ ตามวรรคแรกของพระคาถา หรือใน ภาษาบาลเี รียก พาหุงมหาการณุ ิโก หรอื พาหงุ มหากา เรียกอกี อยา งวา ชยั มงคลคาถา หรอื บทสวด ถวายพรพระ เปนชอ่ื พระคาถาในพระพทุ ธศาสนา มคี วามยาวแปดบท ใชสวดสรรเสริญชัยชนะแปดประการ ที่พระสมณโคดมทรงมเี หนอื มนษุ ยและอมนุษยดว ยธรรมานุภาพ ศาสตราจารยพ ิเศษเสฐียรพงษ วรรณปก ราชบณั ฑติ แสดงความเห็นไวว า คาถาพาหุง เรยี กเปน ทางการวา พทุ ธฺ ชยมงคฺ ลอกคาถา แปลวา “คาถาวา ดว ยชยั ชนะ ๘ ประการ อันเปนมงคลของพระพุทธเจา ” ท่ีเรยี กกนั ตดิ ปากวา “คาถาพาหงุ ” เพราะขน้ึ ตนดวยคำวา “พา หงุ ” และอางทัศนะของ อ. สุชพี ปญุ ญานภุ าพ ผูเ ช่ียวชาญดา นศาสนาพทุ ธ ทรี่ ะบวุ า เม่ือครง้ั สมเดจ็ พระ มหาธีรราชเจา รชั กาลท่ี ๖ แหง กรงุ รตั นโกสนิ ทร ทรงประกาศสงครามกบั ประเทศเยอรมนี ออสเตรีย และ ฮังการี เมือ่ เกดิ สงครามโลกคร้ังท่ี ๑ โดยเขา รวมกับ ฝา ยสัมพันธมติ ร เมอ่ื วนั ท่ี ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ และทรงไดสง ทหารไปสสู งครามเมอื่ วนั ที่ ๑๖ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๖๑ นนั้ พระองคท รงนำกองทัพสวดคาถา พาหุง พรอมทัง้ คำแปลทีท่ รงพระราชนิพนธ เปน วสนั ตดิลกเพอื่ ชัยชนะแหง กองทพั ไทย และฝา ย พันธมติ ร โดยฉนั ทพ ระราชนพิ นธบ ทน้ี ทรงนำเอา พทุ ธชยมงคฺ ลอกคาถา บทแรก (คือบทพาหงุ ) มาลงไว ดัดแปลงตอนทา ยจากเดมิ ตนเฺ ตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ เปน ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยสทิ ธฺ ิ นิจฺจํ นอกจากนี้ นักวชิ าการบางทา นสนั นษิ ฐานวา ผปู ระพันธค าถานคี้ ือ พระมหาพทุ ธสริ ิเถระ ซึง่ รจนา คัมภีรฎ กี าพาหุง ในราว พ.ศ. ๒๐๐๖ ตรงกบั สมยั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซง่ึ การมีอยขู องคัมภรี ฎ กี าพา หุงทำใหสามารถอนมุ านไดวา พระคาถานน้ี า จะแตง ขนึ้ กอนพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ท้ังน้ี บางกระแสระบุวา คาถานชี้ อื่ วา “บทถวายพรพระ” เพราะแตง ถวายพระเจา แผน ดนิ ชนะศึก บทที่ ๑ ปราบมาร ดว ยทานบารมี พระคาถาพาหงุ บทแรก พญามารเขา ผจญพระพุทธองคเ พือ่ ขวางการตรัสรู พระพุทธองคท รงใช บารมขี องพระองค ปรากฏพระแมธ รณอี อกมาบบี มวยผม อานุภาพแหงพระคาถาบทนี้ สะทอนพทุ ธคุณใน การชว ยปด เปาอปุ สรรคอนั ตรายทงั้ ปวง บทที่ ๒ ปราบยกั ษ ดวยขนั ตธิ รรม ทรงปราบอาฬาวกะยกั ษท่ไี ดร บั พรจากทาวเวสสวุ รรณใหจ บั สง่ิ มชี ีวติ ทเี่ ขามาใกลเ ขตของตนกิน ได โดยทรงใชขนั ติเขา ปราม อานุภาพแหงพระคาถาบทนี้ เพ่ือเอาชนะคนทม่ี ีจติ ใจกระดางอำมหิต

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๘ บทท่ี ๓ ปราบชา ง ดวยเมตตาธรรม พระเทวทตั คดิ กลอบุ ายปลอ ยชางนาฬาคิรี ที่เมาและตกมนั มาหมายจะสงั หารพระพุทธองค ทรง แผเ มตตาไปยงั พญาชางทำใหพญาชางสงบ อานภุ าพของพระคาถาบทนี้ เพ่ือชนะศตั รูสตั วร ายทั้งหลาย บทที่ ๔ ปราบมหาโจร ดวยอิทธฤิ ทธิ์ โจรองคุลีมารถอื ดาบหมายจะสงั หารพระพทุ ธองค และทรงใชอ ทิ ธฤิ ทธิท์ างใจจนสามารถเอาชนะ ใจโจร องคลุ มี ารใหก ลบั ใจได อานุภาพของพระคาถาบทนี้ เพื่อปองกันโจรและกลบั ใจคนได บทที่ ๕ ปราบหญิงแพศยา ดว ยสนั ตธิ รรม นกั บวชลทั ธเิ ชนจา งโสเภณี ช่ือ จญิ จาใสร า ยวา ทอ งกับพระพุทธองค ทรงชนะไดดว ยวิธสี งบพระ หฤทัย ทา ยสดุ นางจญิ จายะตองโทษถกู ธรณสี บู อานภุ าพพระคาถาบทนี้ เพอื่ ชนะการใสร า ย การชนะคดี ความ บทท่ี ๖ ปราบเจา ลัทธิ ดว ยปญ ญา สจั จกนคิ รนถ นกั บวชลัทธเิ ชน กลา วทาทายดูหมนิ่ ศาสนาพุทธ พระพุทธองคท รงแสดงธรรม โตต อบเพ่ือโปรดความเขลาจนนกั บวชตอ งจนหนทาง อานุภาพของพระคาถาบทน้ี เพือ่ เอาชนะความเขลา ของคนและเอาชนะการโตเ ถยี งขดั แยง บทท่ี ๗ ปราบพญานาคจอมพาล ดว ยฤทธิส์ ฤู ทธิ์ นันโทปนนั ทนาคราช ไมพอใจพระพทุ ธเจา ที่เหาะขามวิมานตนไป จงึ มาทา ทาย พระโมคลานะจงึ ขออาสาใชฤ ทธปิ์ ราบพญานาคราช จนสามารถปราบเอาชนะได อานุภาพแหง พระคาถาบทน้ี เพ่อื เอาชนะ เลหเลี่ยมของคน บทท่ี ๘ ปราบพกาพรหม ดว ยญาณ พรหมชอ่ื พกา หลงผิดคดิ วา ตนนนั้ บรรลอุ ยูคงทนเปน นริ ันดร พระพทุ ธองคจงึ มาแสดงธรรมเพ่อื โปรด พกามารพรหมทา ทายลองฤทธก์ิ บั พระพุทธองค พระพุทธองคจงึ แสดงอทิ ธฤิ ทธิ์แอบซอ นตัวในมวยผม เพอื่ ใหพกามารพรหมคน หาและทรงชนะในท่สี ดุ อานุภาพของพระคาถาบทนี้ เพือ่ เอาชนะมานะทฏิ ฐิ คำแปล พญามารเนรมติ แขนต้ังพัน ถืออาวธุ ครบมือ ขช่ี าง ครเี มขละ พรอมดว ยเสนามาร โหรอ งกอ งกกึ พระจอมมนุ ีทรงเอาชนะได ดวยธรรมวธิ ี มที านบารมี เปนตน ดว ยเดช แหง ชัยชนะนน้ั ขอชยั มงคลจงมีแกทาน อาฬวกยกั ษผ กู ระดาง ปราศจาก ความอดทน ดุราย สูร บกบั พระพุทธเจา อยาง ทรหดยงิ่ กวา มารตลอดราตรี พระจอมมนุ ีทรง เอาชนะไดด วยขนั ตวิ ธิ ที ่ที รงฝก ฝนมาดี ดวยเดชแหง ชยั ชนะนน้ั ขอชัยมงคลจงมีแกทา น

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๘๙ พระจอมมนุ ี ไดเ อาชนะชา งตวั ประเสรฐิ ช่อื นาฬาคริ ี ทเี่ มายงิ่ นัก และแสนจะดรุ าย ประดจุ ไฟปาและจักราวธุ และสายฟา ดวยวธิ ีรดลงดว ยน้ำ คือ ความมีพระทยั เมตตา ดวยเดช แหงชยั ชนะนนั้ ขอชัยมงคลจงมีแกท า น โจรองคุลมิ าล (โจรฆา คนเอานว้ิ ทำพวงมาลยั แสนดุรา ย) ถือดาบเงอ้ื งา วงิ่ ไลฆ า พระพุทธองคสน้ิ ระยะทาง ๓ โยชน พระจอมมณุ ี ทรงบนั ดาลอทิ ธิฤทธิ์ทางใจเอาชนะไดร าบคาบ ดวยเดชแหง ชัยชนะนนั้ ขอชัยมงคลจงมีแกทาน นางจญิ จมาณวิกา (สาวิกาพวกนคิ รนถ) เอาไมก ลมๆ มาผูกทอ ง ทำอาการ ประหนง่ึ วา มีครรภ ใสร ายพระพุทะเจา ทามกลางฝูงชน พระจอมมนุ ีทรงเอาชนะได ดว ยวิธสี งบระงับพระหฤทยั อันงดงาม ดว ยเดชแหงชยั ชนะนนั้ ขอชยั มงคลจงมแี กท าน สัจจกนคิ รนถผ ูถือตวั วาฉลาด เปนนกั โตว าทะชน้ั ยอด สละเสยี ซงึ่ สัจจะต้ังใจมาไดว าทะหกั ลา งพระพทุ ธองค เปน คนมืดบอดยง่ิ นกั พระจอมมนุ ผี สู วา งจาดวย “แสงปญ ญา” ทรงเอาชนะได ดวยเดชแหง ชยั ชนะนน้ั ขอชัยมงคลจงมแี กทาน พญานาค ช่อื นันโทปนันทะ ผูม ีความรผู ดิ มีฤทธิม์ าก พระจอมมนุ ที รงมพี ทุ ธบญั ชาใหพ ระโมคคลั ลานะพุทธโอรสไปปราบ ดว ยวิธแี สดงฤทธท์ิ เ่ี หนือกวา ดว ยเดชแหงชัยชนะนัน้ ขอชยั มงคล จงมแี กท า น พรหมชื่อ พกา ผมู ีฤทธิ์ เห็นผิดคดิ วาตนเปน ผูรงุ เรอื งดว ยคณุ อันบริสทุ ธ์ิ ยดึ มั่นในความเห็นผดิ ดุจมีมอื ถูกอสรพิษขบเอา เพราะมจี ิตท่ีคดิ ถอื เอาความเหน็ ผิด พระองคจ งึ ทรงใชว ิธวี างยา คือ ทรงแสดงเทศนาใหถ กู ใจ คนมปี ญ ญาสวดพุทธชยั มงคล คาถาทั้ง ๘ นเ้ี ปน ประจำ โดยไมเกียจคราน พึงขจัดอปุ ท วนั ตรายทั้งหลายได บรรลถุ งึ ซ่ึง พระนิพพานอันเปนสขุ บทสวด มหาการุณโิ ก มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ ปูเรตวฺ า ปารมี สพฺพา ปตโฺ ต สมฺโพธมิ ตุ ตฺ มํ เอเตน สจจฺ วชเฺ ชน โหตุ เต ชยมงฺคลํ ฯ ชยนโฺ ต โพธยิ า มเู ล สกฺยานํ นนทฺ ิวฑฺฒโน เอวํ ตวฺ ํ วิชโย โหหิ ชยสฺสุ ชยมงคฺ เล อปราชติ ปลลฺ งเฺ ก สีเส ปวโิ ปกขฺ เร อภิเสเก สพฺพพทุ ธฺ านํ อคฺคปฺปตโฺ ต ปโมทติ ฯ สุนกขฺ ตฺตํ สุมงฺคลํ สปุ ภาตํ สุหุ ิตํ สุขโณ สมุ ุหุตโฺ ต จ สุยิ  ํ พรฺ หมฺ จารสี ุ ปทกขฺ ิณํ กายกมฺมํ วาจากมฺมํ ปทกฺขิณํ ปทกขฺ ิณํ มโนกมมฺ ํ ปณิธี เต ปทกขฺ ณิ า

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๙๐ ปทกขฺ ณิ านิ กตวฺ าน ลภนฺตตเฺ ถ ปทกฺขเิ ณ ฯ ภวตุ สพพฺ มงคฺ ลํ รกขฺ นตฺ ุ สพฺพเทวตา สพพฺ พทุ ธฺ านภุ าเวน สทา โสตถฺ ี ภวนตฺ ุ เต* ภวตุ สพพฺ มงคฺ ลํ รกขฺ นตฺ ุ สพฺพเทวตา สพพฺ ธมฺมานภุ าเวน สทา โสตถฺ ี ภวนตฺ ุ เต* ภวตุ สพพฺ มงคฺ ลํ รกขฺ นตฺ ุ สพฺพเทวตา สพพฺ สงฆฺ านุภาเวน สทา โสตถฺ ี ภวนตฺ ุ เต* * ถา สวดใหคนอนื่ ใชคำวา เต สวดใหต วั เองใชค ำวา เม (เต แปลวา แกทา น - เม แปลวา แก ขาพเจา) คาถาแผเ มตตาตนเอง อหํ สขุ โิ ต โหมิ ขอใหข า พเจา มคี วามสขุ อหํ นิททฺ ุกโฺ ข โหมิ ขอใหขา พเจาปราศจากความทกุ ข อหํ อเวโร โหมิ ขอใหข า พเจาปราศจากเวร อหํ อพยฺ าปชฺโฌ โหมิ ขอใหข า พเจา ปราศจากอุปสรรคอนั ตรายทัง้ ปวง สุขี อตตฺ านํ ปรหิ รามิ ขอใหข า พเจา จงมคี วามสขุ กายสขุ ใจ รกั ษากายวาจาใจใหพ น จากความทุกขภัยท้งั ปวงเถดิ แผเ มตตาใหส รรพสตั ว สพเฺ พ สตฺตา สัตวทงั้ หลาย ทีเ่ ปน เพือ่ นทกุ ข เกิด แก เจบ็ ตาย ดว ยกนั อเวรา โหนฺตุ ท้ังหมดทง้ั สน้ิ อพฺยาปชฺฌา โหนตฺ ุ จงเปนสขุ เปนสุขเถดิ อยา ไดม ีเวรแกก นั และกนั เลย อนีฆา โหนตฺ ุ จงเปน สขุ เปน สุขเถดิ อยาไดพ ยาบาทเบียดเบยี น สุขี อตตฺ านํ ปริหรนฺตุ ซง่ึ กนั และกนั เลย จงเปนสขุ เปนสขุ เถดิ อยาไดม คี วามทุกขกายทุกขใจเลย จงมคี วามสขุ กายสขุ ใจ รักษาตนใหพนจากทกุ ขภ ัยทั้งสนิ้ เถดิ ฯ บทกรวดน้ำ (อุทิศสว นกศุ ล) อิทํ เม มาตาปต ูนํ โหตุ สขุ ติ า โหนตฺ ุ มาตาปตโร - ขอสว นบุญน้จี งสำเรจ็ แกม ารดาบดิ าของขา พเจา ขอใหม ารดาบิดาของขา พเจา จงมคี วามสขุ อทิ ํ เม าตินํ โหตุ สขุ ติ า โหนฺตุ าตโย - ขอสว นบุญนี้จงสำเรจ็ แกญ าติทงั้ หลายของขาพเจา ขอใหญ าตทิ ้ังหลายของขาพเจา จงมี ความสขุ อทิ ํ เม คุรูปชฺฌายาจรยิ านํ โหตุ สขุ ิตา โหนตฺ ุ คุรูปชฺฌายาจรยิ า - ขอสว นบญุ นีจ้ งสำเร็จ แดค รอู ุปช ฌายอาจารยข องขา พเจา ขอใหค รอู ปุ ช ฌายอ าจารย จงมี ความสขุ

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๙๑ อิทํ สพพฺ เทวตานํ โหตุ สุขติ า โหนตฺ ุ สพเฺ พ เทวา - ขอสว นบุญนีจ้ งสำเรจ็ แกเทวดาทั้งหลาย ขอใหเ ทวดาทั้งหลายจงมคี วามสขุ อิทํ สพพฺ เปตานํ โหตุ สขุ ติ า โหนตฺ ุ สพเฺ พ เปตา - ขอสว นบญุ นีจ้ งสำเร็จ แกเ ปรตทงั้ หลาย ขอใหเปรตทงั้ หลาย จงมคี วามสขุ อทิ ํ สพพฺ เวรีนํ โหตุ สุขติ า โหนฺตุ สพเฺ พ เวรี - ขอสว นบญุ นี้จงสำเร็จแกเจา กรรมนายเวรทง้ั หลาย ขอใหเ จา กรรมนายเวรทง้ั หลาย จงมคี วามสขุ อทิ ํ สพพฺ สตตฺ านํ โหตุ สุขติ า โหนตฺ ุ สพเฺ พ สตตฺ า - ขอสว นบญุ นจี้ งสำเรจ็ แกส ตั วทงั้ หลายทง้ั ปวง ขอใหส ตั วทง้ั หลายทง้ั ปวง จงมีความสุข แบบฝกการอา นที่ ๓ พระคาถาชนิ บัญชร กอ นสวดใหนึกถึง หลวงปูโ ต พรหมรงั สี แลวตัง้ จติ อธษิ ฐาน วา ปุตตฺ กาโม ลเภปตุ ฺตํ ธนกาโม ลเภธนํ อตถฺ กิ าเย กายาย เทวานํ ปยตํ สตุ ฺวา อติ ิป โส ภควา ยมราชาโน ทา วเวสฺสวุ ณฺโณ มรณํ สุขํ อรหํ สคุ โต นโมพุทฺธาย สวดบทพระคาถาชินบญั ชร ๑๕ บท ๑. ชยาสนากตา พทุ ธฺ า เชตวฺ า มารํ สวาหนํ จตุสจฺจาสภํ รสํ เย ปวสึ ุ นราสภา. ๒. ตณฺหงกฺ ราทโย พุทฺธา อวีสติ นายกา สพเฺ พ ปติ  ติ า มยฺหํ มตถฺ เก เต มนุ ิสสฺ รา. ๓. สีเส ปติิโต มยหฺ ํ พุทโฺ ธ ธมฺโม ทวฺ โิ ลจเน สงโฺ ฆ ปติ ิโต มยหฺ ํ อุเร สพฺพคณุ ากโร. ๔. หทเย เม อนุรทุ โฺ ธ สารปี ตุ โฺ ต จ ทกขฺ เิ ณ โกณฑฺ โฺ  ป  ภิ าคสมฺ ึ โมคฺคลฺลาโน จ วามเก. ๕. ทกขฺ เิ ณ สวเน มยฺหํ อาสุ อานนทฺ ราหุโล กสสฺ โป จ มหานาโม อุภาสุ วามโสตเก. ๖. เกสโต ป  ภิ าคสฺมึ สรุ โิ ย ว ปภงกฺ โร นิสนิ โฺ น สิริสมฺปนโฺ น โสภโิ ต มุนิปุงคฺ โว ๗. กมุ ารกสสฺ โป เถโร มเหสี จิตตฺ วาทโก โส มยฺหํ วทเน นิจจฺ ํ ปติ  าสคิ ณุ ากโร. ๘. ปุณโฺ ณ องฺคลุ ิมาโร จ อปุ าลี นนฺทสวี ลี เถรา ปจฺ อเิ ม ชาตา นลาเต ตลิ กา มม. ๙. เสสาสตี ิ มหาเถรา วิชิตา ชนิ สาวกา เอเตสตี ิ มหาเถรา ชติ วนฺโต ชิโนรสา ชลนตฺ า สีลเตเชน องคฺ มงฺเคสุ สณฺติ า.

ค่มู ือการอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๙๒ ๑๐.รตนํ ปรุ โต อาสิ ทกขฺ เิ ณ เมตฺตสุตตฺ กํ ธชคฺคํ ปจฺฉโต อาสิ วาเม องฺคลุ ิมาลกํ อาฏานาฏิยสตุ ตฺ กํ ๑๑.ขนธฺ โมรปรติ ตฺ ฺจ เสสา ปาการสณฺ ติ า อากาเส ฉทนํ อาสิ สตตฺ ปปฺ าการลงกฺ ตา พาหิรชฌฺ ตตฺ ปุ ททฺ วา. ๑๒.ชนิ า นานาวรสํยตุ ตฺ า อนนฺตชนิ เตชสา วาตปต ตฺ าทสิ ฺชาตา สทา สมพฺ ุทธฺ ปฺชเร. วหิ รนตฺ ํ มหตี เล ๑๓.อเสสา วนิ ยํ ยนตฺ ุ เต มหาปรุ สิ าสภา. วสโต เม สกิจฺเจน สุคตุ โฺ ต สรุ กโฺ ข ชติ ปุ ททฺ โว ๑๔.ชนิ ปชฺ รมชฌฺ มฺหิ ชิตาริสงฺโฆ สทา ปาเลนตฺ ุ มํ สพเฺ พ ชติ นฺตราโย จรามิ ชินปชฺ เรติ. ๑๕.อิจเฺ จวมนฺโต ชนิ านภุ าเวน ธมฺมานภุ าเวน สงฆฺ านุภาเวน สทธฺ มฺมานภุ าวปาลิโต คำแปลพระคาถาชินบัญชร ๑.พระพทุ ธเจา และพระนราสภาท้ังหลาย ผูประทบั นง่ั แลว บนชัยบลั ลงั ก ทรงพชิ ติ พระยา มาราธิราชผพู รง่ั พรอ มดว ยเสนาราชพาหนะแลว เสวยอมตรสคอื อรยิ ะสจั ธรรมทัง้ สป่ี ระการ เปนผนู ำสรรพ สตั วใหข ามพน จากกเิ ลสและกองทกุ ข ๒.มี ๒๘ พระองคคือ พระผทู รงพระนามวา ตณั หังกรเปน ตน พระพุทธเจา ผจู อมมนุ ที ้ังหมดนน้ั ๓.ขา พระพุทธเจา ขออญั เชญิ มาประดิษฐานเหนอื เศียรเกลา องคสมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา ประดษิ ฐานอยูบนศีรษะ พระธรรมอยทู ดี่ วงตาทั้งสอง พระสงฆผเู ปนอากรบอ เกิดแหง สรรพคุณอยูที่อก ๔.พระอนุรุทธะอยูท ใี่ จ พระสารบี ตุ รอยูเบอื้ งขวา พระโมคคลั ลานะอยูเ บอื้ งซา ย พระอญั ญา โกณทญั ญะอยเู บ้ืองหลงั ๕.พระอานนทก ับพระราหุลอยหู ขู วา พระกสั สะปะกับพระมหานามะอยทู ห่ี ซู าย ๖.มุนผี ปู ระเสรฐิ คอื พระโสภติ ะผูสมบูรณด ว ยสริ ดิ งั พระอาทิตยสอ งแสง อยูที่ทกุ เสน ขน ตลอดรา ง ท้ังขา งหนา และขา งหลงั ๗.พระเถระกุมารกสั สะปะผแู สวงบญุ ทรงคณุ อันวเิ ศษ มวี าทะอนั วิจติ รไพเราะอยปู ากเปน ประจำ ๘.พระปุณณะ พระองั คุลมิ าล พระอุบาลี พระนนั ทะ และพระสวี ะลี พระเถระทงั้ ๕ น้ี จงปรากฏ เกดิ เปนกระแจะจุณเจมิ ทหี่ นาผาก ๙.สวนพระอสตี มิ หาเถระทเ่ี หลอื ผูมีชยั และเปนพระโอรส เปน พระสาวกของพระพทุ ธเจา ผูท รงชยั แตละองคล วน รงุ เรอื งไพโรจนด ว ยเดชแหง ศลี ใหด ำรงอยูท่วั อวยั วะนอยใหญ

ค่มู อื การอ่านและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๙๓ ๑๐.พระรัตนสูตรอยูเบอื้ งหนา พระเมตตสูตรอยูเบอื้ งขวา พระองั คลุ ิมาลปริตรอยูเบอ้ื งซาย พระธชคั คสตู รอยเู บอื้ งหลงั ๑๑.พระขันธปริตร พระโมรปรติ ร และพระอาฏานาฏยิ สูตร เปน เคร่อื งกางก้นั ดจุ หลงั คาอยบู น นภากาศ ๑๒.อนงึ่ พระชนิ เจาท้ังหลาย นอกจากท่ไี ดก ลา วมาแลว นี้ ผูป ระกอบพรอมดว ยกำลังนานาชนดิ มีศลี าทิคุณอนั มนั่ คง สตั ตะปราการเปนอาภรณมาตง้ั ลอ มเปน กำแพงคมุ ครองเจด็ ชนั้ ๑๓.ดว ยเดชานภุ าพแหง พระอนนั ตชนิ เจา ไมว าจะทำกจิ การใดๆ เมอ่ื ขา พระพุทธเจา เขา อาศัยอยู ในพระบญั ชรแวดวงกรงลอมแหง พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ขอโรคอปุ ทวะทุกขท ั้งภายนอกและภายใน อนั เกิด แตโ รครา ย คอื โรคลมและโรคดเี ปนตน เปน สมุฏฐานจงกำจัดใหพนิ าศไปอยาไดเหลอื ๑๔.ขอพระมหาบรุ ุษผูทรงพระคณุ อนั ลำ้ เลศิ ทัง้ ปวงน้ัน จงอภิบาลขา พระพทุ ธเจา ผูอ ยูในภาคพน้ื ทา มกลางพระชนิ บญั ชร ขา พระพทุ ธเจา ไดร ับการคมุ ครองปกปกรกั ษาภายในเปน อนั ดฉี ะนแ้ี ล ๑๕.ขา พระพทุ ธเจาไดร บั การอภบิ าลดว ยคณุ านุภาพแหง สทั ธรรม จงึ ชนะเสยี ไดซ ึ่งอปุ ทวอนั ตราย ใดๆ ดวยอานภุ าพแหงพระชินพุทธเจา ชนะขา ศึกศตั รดู วยอานภุ าพแหงพระธรรม ชนะอันตรายทงั้ ปวงดว ย อานุภาพแหง พระสงฆ ขอขา พระพทุ ธเจา จงไดปฏิบตั ิ และรกั ษาดำเนนิ ไปโดยสวัสดเี ปน นิจนิรนั ดรเทอญฯ ประวตั ิพระคาถาชนิ บัญชร ชนิ บัญชรเปน คาถาหนง่ึ ท่มี คี วามสำคัญ และมอี ายยุ าวนานนับรอ ยป ตั้งแตเ รม่ิ ตนกรุงรตั นโกสนิ ทร ประมาณชว งสมัยรชั กาลที่ ๒ มาจนถงึ ปจ จบุ ัน เพราะดว ยพลานุภาพและความศักด์ิสทิ ธจ์ิ งึ ทำใหชาวไทยท่ี นบั ถือศาสนาพทุ ธหนั มาทอ งพระคาถานเ้ี พ่อื เพิม่ ความเปนสริ มิ งคลใหกบั ตัวเอง อกี ทงั้ ยังเปน การปอ งกนั ให ตนเองนนั้ พน จากภยั อนั ตรายตางๆ ทัง้ ปวง มกี ารถกเถียงกนั มาเปน ระยะเวลายาวนานนับทศวรรษเกย่ี วกับเรือ่ งราวท่วี า ใครทเ่ี ปน ผแู ตง คาถาชนิ บญั ชร ขนึ้ ระหวา ง สมเด็จพระพฒุ าจารย (โต) พรหมรสํ ี แหงวดั ระฆังโฆษติ าราม กับพระมหาเถระ ผเู ชีย่ วชาญบาลปี กรณร ปู หน่งึ จากเชยี งใหม ซง่ึ ในกรณขี องสมเดจ็ พระพุฒาจารย (โต) นั้น เปน ทย่ี อมรับกนั อยา งกวา งขวางวา ทา นเปนเพียงแคผ นู ำพระคาถาชนิ บญั ชร มาเผยแพรต อ มิไดเ ปน ผแู ตง ขึ้นเอง ตามทไ่ี ดม ี หลักฐานทางประวตั ิศาสตรบ นั ทกึ ไวว า สมเด็จพระพฒุ าจารยไดไปสวดพระคาถานถ้ี วายองคพ ระบาทสมเด็จ พระจอมเกลาเจา อยหู ัว รัชกาลท่ี ๔ พระองคทรงมรี บั สง่ั วา ถอ ยคำในบทสวดน้ันไพเราะ และไดท รงซกั ถาม เพมิ่ เตมิ วา “ขรวั โตไดมาจากไหน แตง เองหรอื เปลา ” สมเด็จพระพุฒาจารยจึงไดถ วายพระพรตอบวา “หา มิได เปนสำนวนเกา ของเมืองเหนอื นำมาแกไขดดั แปลงใหม ตดั ตอนใหส น้ั เขา ของลังกายาวกวา น”้ี ฉะนน้ั จึงเปนไปไดว าผแู ตง นาจะเปน พระภกิ ษชุ าวลา นนารูปหนึ่ง อยูในสมัยพระเจา ตโิ ลกราชทอ่ี าจจะเปน ยคุ ทอง เนอื่ งจากในยคุ นน้ั เปนยคุ สมัยทม่ี ีการสนับสนุนใหพ ระเถระหลายรอยรูปเดินทางไปศึกษา พระไตรปฎ กท่ลี งั กา เม่ือไดสำเร็จการศกึ ษาจงึ มีการแขง ขนั กนั แตง บาลีปกรณกนั อยางเอิกเกรกิ จนช่ือเสยี ง แผขยายไปจนถึงพมา กรงุ ศรีอยุธยา สิบสองปน นา และลา นชา ง ทำใหเมืองเหลา นน้ั ตองขอคมั ภรี ภาษาบาลี ที่จารโดยพระภิกษลุ านนาไปศึกษาอยางแพรห ลาย

ค่มู อื การอา่ นและแปลภาษาโบราณ : ภาษาบาลี ๑๙๔ ความหมายของชินบญั ชร ความหมายของคำวา ชินบญั ชร น้นั แปลวา กรง หรือ เกราะปองกันภัยของพระพุทธเจา คำวา ชนิ หมายถึง พระพุทธเจา คำวา บญั ชร หมายถงึ กรง หรือ เกราะ โดยท่เี นอื้ หาในคาถาชนิ บญั ชรนนั้ จะ เปน การอญั เชญิ พระพุทธเจา จำนวน ๒๘ พระองค เริม่ ต้งั แตพระพุทธเจาพระนามวา ตัณหงั กร เปน ตน เดนิ ทางลงมาสถติ อยใู นทกุ อณูของรา งกาย เพอื่ เปนการเสรมิ ใหต นเองน้ันมพี ลงั พุทธคุณใหย ่ิงใหญ จากน้ัน จึงอญั เชญิ พระอรหนั ตที่เปน สาวกของพระพุทธเจาจำนวน ๘๐ องคซ ึง่ เปน ผมู บี ารมธี รรมทย่ี ิ่งใหญ อกี ทง้ั ยัง ไดมกี ารอาราธนาพระสตู รอนั ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ทีท่ รงอานภุ าพในดา นตา งๆ มาสถติ ในทกุ สว นของรา งกายจนรวมกนั เปน กำแพงแกว คุมกนั ตงั้ แตก ระหมอมลงมาหอ มลอมรอบตวั ของผูสวดภาวนาพระคาถาชนิ บญั ชรจนกระทั่ง อนั ตรายกไ็ มส ามารถหาชอ งโหวเ พ่อื สอดแทรกเขา มาได อานุภาพของพระคาถาชินบัญชร พระคาถาชนิ บัญชรนมี้ ีอานภุ าพศักด์ิสทิ ธิ์มาก หากผูใ ดสวดมนต หรอื ภาวนาคาถาชนิ บัญชรอยู เปนประจำ ไมว า จะกนิ เดนิ นง่ั นอน หรือภาวนาพระคาถาแมย ามอาบน้ำ แปรงฟน หรอื แมกระทงั่ ตอน ทำงานก็จะชว ยเสรมิ ใหเกดิ ความเปน สริ มิ งคล สมบรู ณพ ูลผล ศัตรหู มูพ าลไมก ลำ้ กราย เดนิ ทางไปท่ีใดกเ็ กดิ เมตตามหานยิ ม มลี าภผลทวี ขจดั ภัยภูตผีปศ าจ ตลอดจนคณุ ไสยตา งๆ หากสวดคาถาชนิ บญั ชรนขี้ ณะทำ นำ้ มนตร ดแกว ิกลจรติ แกสรรพโรคไดห ายสนิ้ นบั วา เปน อกี หนง่ึ พระคาถาทม่ี ีคุณานุภาพตามแตจ ะ ปรารถนา ดงั คำโบราณทว่ี า “ฝอยทว มหลงั ชา ง” เมอ่ื เดนิ ทางไปทใ่ี ดๆ ใหสวด ๑๐ จบแลวอธฐิ านกจ็ ะ สำเรจ็ ไดส มดงั ใจ ๕.๒ แบบฝกทกั ษะการแปล แบบฝก การแปลท่ี ๑ ๑.เทวฺ สหายา26๑ เอโก กสโก ชนปเท วสติ. โส เอกํ คทฺรภํ เอกฺจ สนุ ขํ โปเสติ. เอกทิวสํ โจโร วนสมฺ า อาคนตฺ วฺ า กสกสสฺ เคหํ คนตฺ วฺ า โจรกมมฺ ํ กโรต.ิ คทฺรโภ สนุ ขํ วทติ “โจโร สมฺม สามกิ สสฺ เคหํ ปวสิ ติ. โส โจโร สามิกสสฺ ภณฺฑํ โจเรต.ิ ตวฺ ํ ภภุ ุกฺกโรหิ.” อติ ิ . สนุ โข สยมาโน น ภุภกุ ฺกโรต.ิ คทรฺ โภ เอวํ วทติ “สนุ ข ตวฺ ํ น สททฺ ํ กโรสิ. ตฺวํ สนุ ทฺ โร น โหส.ิ อหเํ อว สททฺ ํ กโรมิ.”อติ .ิ โส คทฺรโภ อจุ ฺจาสทฺทํ กโรนฺโต ติ  ติ. โจโร ปลายต.ิ สามิโก ปน เตน อุจจาสทฺเทน พุชฺฌิตฺวา กุชฺฌติ. โส ทณฺฑํ คเหตฺวา คทฺรภสฺส สีสํ ปหรติ. สุนโข วทติ “ตวฺ ํ คทฺรภ อตฺตโน กิจจฺ ํ อกโรนฺโต มม กจิ จฺ ํ กโรสิ. ตสฺมา ตวฺ ํ ทุกฺขํ ลภส.ิ ”อติ ิ. ๑ เสฐียรพงษ วรรณปก,ศ.พิเศษ(ราชบัณฑติ ). บาลเี รียนงาย เลม ๑. (กรุงเทพมหานคร : หจก.หอรตั นชัยการพิมพ, ๒๕๔๓).หนา ๖๑-๖๓.