Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปาฬิสิกขาและสัททสังเขป โดย พระอาจารย์ชนกาภิวังสะ อัครมหาบัณฑิต

ปาฬิสิกขาและสัททสังเขป โดย พระอาจารย์ชนกาภิวังสะ อัครมหาบัณฑิต

Description: ✍️

Search

Read the Text Version

188 สัททสงั เขป อนฺติโย - ผปู้ ระกอบในทส่ี ดุ อนฺตโิ ก - ผปู้ ระกอบในท่สี ดุ ปุตตฺ ิโม - ผู้มบี ุตร ปุตตฺ ิโย - ผมู้ ีบุตร ปตุ ตฺ ิโก - ผมู้ บี ตุ ร ฆ. ลง อิย ปัจจยั ในอรรถว่า ปญจฺ วคฺเค ภโว. เชน่ ปญจฺ วคฺคิโย - ผเู้ กิดในพวก ๕ หรอื ผู้นับเนือ่ งในหมู่ ๕ ฉพพฺ คฺคโิ ย - ผเู้ กิดในพวก ๖, หรือพวกภิกษุฉพั พคั คยี ์ ง. ลง อยิ ปจั จยั ในอรรถวา่ อทุ เร ภว,ํ อตตฺ โน อทิ .ํ เช่น อุทรยิ ํ - อาหารใหมอ่ นั มีในทอ้ ง อตตฺ นยิ ํ - ทรัพย์ของตน ๔. ลง ย, ณฺย, ปัจจยั ในอรรถว่า สาธ,ุ หิต, ภว, ชาต เปน็ ตน้ ก. ลง ณยฺ ปัจจยั ในอรรถวา่ กมมฺ นิ สาธ,ุ สภายํ สาธุ, ปรสิ ายํ สาธ.ุ เช่น กมมฺ ญฺ ํ - วตั ถุอนั ดีในการงาน สพภฺ ํ - ค�ำพดู ดใี นสภา ปารสิ ชโฺ ช - บริวารผ้ดู ีในสภา ข. ลง ณยฺ ปัจจยั ในอรรถว่า เมธาย หติ ํ, ปทานํ หติ ํ, รถสฺส หิตา, สมณานํ หติ .ํ เช่น เมชฺชํ - เนยใสอันเปน็ ประโยชน์แก่น�ำ้ มัน ปชฺชํ - น�้ำมนั อนั เป็นประโยชน์แก่เทา้ รจฺฉา - ทางอนั เป็นประโยชนแ์ กร่ ถ สามญฺ ํ - วตั ถุอันเปน็ ประโยชนเ์ กือ้ กลู แก่สมณะ ค. ลง ณยฺ ปัจจัยในอรรถวา่ คาเม ภโว, กวิมหฺ ิ ภวํ, อรเู ป ภวํ, ถนโต ชาต.ํ เชน่ คมโฺ ม - ข้อประพฤตอิ นั เกดิ ในหมู่บา้ น กาพฺยํ - กาพย์อนั เกดิ ในกวี อารปุ ฺปํ - จิตอนั เกิดในอรปู ภพ ถญฺ ํ - น้�ำนมอนั เกดิ จากเตา้ นม ๕. ลง กณฺ, ณ, ตา ปจั จยั ในอรรถว่า สมูห ๖. ลง ตา ปัจจัยในอรรถ สกตฺถ หรอื สวตถฺ

ตทั ธติ กัณฑ์ 189 ก. ลง กณ,ฺ ณ ปัจจัยในอรรถว่า อฏฺนนฺ ํ สมโู ห, คามานํ สมโู ห, ชนานํ สมโู ห. เช่น อฏฺโก - หม่แู หง่ แปด คามตา - ประชุมแหง่ หมู่บา้ น ชนตา - หมู่แห่งชน ข. ลง ตา ปจั จยั ในอรรถว่า สกตถฺ วา่ เทโวเยว เทวตา. เช่น เทวตา - เทวดา หมายเหตุ สกตถฺ หรือ สฺวตถฺ มาจาก โส เยว อตฺโถ สฺวตฺโถ. โส เยว อ.อรรถของบทน้นั น่ันเทยี ว อตโฺ ถ เปน็ อรรถของปจั จยั สวตโฺ ถ ชอ่ื วา่ สวตถฺ ไดแ้ ก่ อรรถของบทหนา้ หมายความวา่ ปจั จยั ไมม่ อี รรถพเิ ศษกวา่ อรรถของบทหนา้ ๆ มอี รรถเชน่ ไร ดังน้ันจงึ เรยี กวา่ ลงในอรรถ สกตฺถ หรือ สวตฺถ (อรรถของบทเดิม) ในท่นี ี้ เทวศพั ท์ มอี รรถ เทวดา เม่อื ลง ตา ปจั จัยมาแล้ว กย็ ังคงมีอรรถวา่ เทวดาอยู่เช่นเดมิ ๗. ลง อาลุ ปจั จยั ในอรรถ ความมากของธรรมมี อภิชฺฌา เปน็ ต้นนน้ั ก. ลง ก อาคมเปน็ อภชิ ฺฌาลุโก, สีตาลโุ ก เป็นต้น เชน่ อภิชฺฌาลุ - ผูม้ ีอภชิ ฺฌามาก (อภชิ ฺฌา อสสฺ พหุลา) สีตาลุ - ผูม้ คี วามหนาวมาก, คนขห้ึ นาว (สตี า อสฺส พหุลา) ๘. ลง ก ปจั จยั ในอรรถ ปฏภิ าค (เหมอื นกัน) กจุ ฺฉิต (น่าเกลียด) อนุกปปฺ (ความ สงสาร) สญฺา (ชอ่ื ) เปน็ ตน้ ก. ลง ก ปัจจยั ในอรรถ ปฏิภาคว่า หตฺถิโน อวิ . เชน่ หตฺถกิ า - รูปอันเหมือนกับช้าง ท. (รูปปน้ั ช้าง, ต๊กุ ตาชา้ ง) อสสฺ กา - รูปอนั เหมือนกบั มา้ ท. (รูปปน้ั ม้า, ตุก๊ ตามา้ ) โคณกา - รปู อนั เหมือนกับววั ท. (รูปปั้นววั , ตุ๊กตาววั ) ข. ลง ก ปัจจัยในอรรถว่า กจุ ฉฺ ิโต สมโณ. เช่น สมณะโก - สมณผนู้ า่ เกลยี ด มณุ ฺฑโก - หัวโลน้ นา่ เกลยี ด ค. ลง ก ปัจจยั ในอรรถว่า อนกุ มฺปโิ ต ปุตโฺ ต. เชน่ ปุตฺตโก - ลูกนอ้ ยผูน้ ่าสงสาร ภฏโก - คนรบั จ้าง (ลง ก ปจั จัยในอรรถ ขทุ ฺทก)

190 สัททสงั เขป รถโก - รถคันเลก็ (ขทุ ฺทโก รโถ ลง ก ปัจจยั ในอรรถ ขุทฺทก) ๙. ลง ตตฺ ก, วนฺตุ ปจั จยั หลังจาก ก,ึ ย, ต, เอต ศพั ท์ในอรรถ ปริมาณ ก. ลง ตตฺ ก ปจั จยั ในอรรถวา่ กึ ปรมิ าณํ ยสสฺ เปน็ ตน้ เชน่ กิตฺตกํ - มีประมาณเทา่ ใด ยตตฺ กํ - มีประมาณเพียงใด ตตฺตกํ - มปี ระมาณเพยี งนนั้ เอตตฺ กํ - มปี ระมาณเพยี งน้ี ข. ลง วนฺตุ ปจั จัยในอรรถวา่ กึ ปรมิ าณํ ยสสฺ . เชน่ กวี า - มปี ระมาณเทา่ ไร (กึ+วนฺตุ แปลง นฺตุ กบั สิ เปน็ อา) ยาวา - มีประมาณเพียงใด (ย+วนตฺ ุ แปลง นฺตุ กบั สิ เปน็ อา) ตาวา - มีประมาณเพยี งน้ัน (ต+วนตฺ ุ แปลง นตฺ ุ กับ สิ เป็น อา) หมายเหตุ วนตฺ ุ ปจั จยั อาจารย์บางทา่ น กล่าวว่าเปน็ \"อาวนฺต\"ุ ปจั จยั สว่ นรูปว่า ยาวตโก และ ตาวตโก ส�ำเรจ็ มาจาก อาวตก ปจั จัย ๑๐. ลง มย ปัจจัยในอรรถ ถูกกระท�ำด้วยส่ิงนั้น, เกิดข้ึนเพราะสิ่งนั้น, มีส่ิงนั้น เปน็ ปกติ ก. สุวณณฺ มโย - รถทถี่ กู กระท�ำด้วยทองค�ำ. (สุวณฺเณน ปกโต) หรอื รถท่มี ี ทองค�ำเป็นสภาพ (สุวณณฺ ํ ปกติ ยสสฺ าต)ิ ข. อทิ ธฺ มิ ยํ - บาตรและจวี รอนั ส�ำเรจ็ แลว้ เพราะฤทธ์ิ (อทิ ธฺ ิยา นพิ ฺพตฺต)ํ มโนมยํ - ฤทธิอ์ นั ส�ำเร็จแล้วเพราะฌานจิต (มนสา นพิ ฺพตฺตํ) ค. ลง มย ปจั จัย ในอรรถ สกตฺถ (อรรถของบทเดมิ ) อุ ทานมยํ - ทาน (ทานเมว ทานมยํ) สลี มยํ - ศลี (สลี เมว สลี มยํ) ภาวนามยํ - ภาวนา (ภาวนาเยว ภาวนามย)ํ เหตุที่เรียกวา่ อเนกตฺถตทฺธติ เพราะกลา่ วอรรถมากมายหลายประการ จบอเนกัตถตทั ธิต

ตัทธติ กณั ฑ์ 191 ๑๐๒. ภาวตทธฺ ิต ๑. ลงปัจจยั ๓ ตวั คอื ณฺย, ตตฺ , ตา ในอรรถ ภาว (อรรถอันเปน็ เหตเุ กิดข้นึ ) ก. ลง ณฺย ปัจจยั ในอรรถว่า อลสสฺส ภาโว เปน็ ตน้ เช่น อาลสฺย*ํ - ความเป็นแหง่ บุคคลผู้เกยี จครา้ น อาโรคยฺ ํ - ความเป็นแหง่ บุคคลผไู้ ม่มโี รค โกสลลฺ ํ - ความเปน็ แห่งบุคคลผฉู้ ลาด ปณฑฺ จิ จฺ ํ - ความเป็นแหง่ บคุ คลผู้มปี ญั ญา พาหุสจจฺ ํ - ความเป็นแหง่ บคุ คลผู้ศกึ ษามาก อสิ สฺ รยิ ํ - ความเป็นแห่งบุคคลผ้เู ปน็ ใหญ่ ข. ลง ตตฺ , ตา ปจั จัย ในอรรถวา่ มนสุ ฺสสฺส ภาโว เป็นต้น เชน่ มนสุ สฺ ตตฺ ํ - ความเป็นแหง่ บุคคลผเู้ ป็นมนุษย์ มนสุ สฺ ตา - ความเป็นแห่งบคุ คลผู้เปน็ มนุษย์ ทณฺฑติ ตฺ ํ - ความเป็นแห่งบคุ คลผมู้ ไี มเ้ ท้า ทณฺฑติ า - ความเป็นแหง่ บุคคลผู้มีไม้เทา้ ๒. ลงปจั จัย ๔ ตัว คือ ตตฺ น, เณยฺย, ณ, กณฺ ในอรรถ ภาว (เปน็ เหตุมา) ก. ลง ตตฺ น ปจั จัย ในอรรถ ชารสฺส ภาโว. เช่น ชารตตฺ นํ - ความเปน็ แหง่ บคุ คลผเู้ ป็นชายชู้ ชายตตฺ นํ - ความเป็นแห่งบุคคลผเู้ ป็นภรรยา ข. ลง เณยยฺ ปจั จยั ในอรรถว่า สุจโิ น ภาโว. เชน่ โสเจยยฺ ํ - ความเปน็ แห่งบคุ คลผสู้ ะอาด ค. ลง ณ, กณฺ ปัจจัยในอรรถวา่ วิสมสฺส ภาโว เป็นต้น เชน่ เวสมํ - ความเปน็ แห่งของไม่เสมอกนั คารวํ - ความเป็นแห่งบุคคลผเู้ คารพ อชชฺ วํ - ความเป็นแห่งบุคคลผตู้ รง มทฺทวํ - ความเป็นแห่งบุคคลผ้อู ่อนโยน รามณยี กํ - ความเปน็ แห่งที่อันรนื่ รมณ์ * อาลสฺยํ ความเปน็ แหง่ บคุ คลผเู้ กียจครา้ น อนั เป็นเหตเุ ปน็ มาแห่ง อลส ศพั ท์

192 สทั ทสงั เขป ๓. ลง ณยฺ ปัจจยั ในอรรถ กมมฺ และ อรรถ สกตฺถ ก. วีริยํ - กรรมของบคุ คลผกู้ ลา้ หาญ (วีรานํ กมมฺ )ํ หรอื ความเปน็ แหง่ บคุ คลผ้กู ล้าหาญ (วีรสสฺ ภาโว กไ็ ด้) เภสชชฺ ํ - ยาอันเป็นการงานของหมอ (ภิสคฺคสฺส กมฺมํ) หรือ (ภสิ คฺคสฺส ภาโว ก็ได้) สาเยยฺ ํ - การงานของคนหลอกลวง (สสสฺ กมมฺ )ํ ลง ณฺย ปจั จัยในอรรถ วรี านํ กมฺมํ เปน็ ต้น ข. ยถาภุจจฺ ํ - ตามความเปน็ จรงิ . (ยถา ภูตเมว ยถาภจุ จฺ ํ. ณฺย) การุญฺ ํ - ความสงสาร (กรณุ า เยว การุญฺ ํ ) ปตฺตกลลฺ ํ - กรรมอนั มเี วลาอนั ถงึ แลว้ (ปตตฺ กาลํ เยว ปตตฺ กลลฺ .ํ ณยฺ ) ลง ณฺย ปัจจยั ในอรรถว่า ยถา ภตู เมว ยถาภุจฺจํ เป็นตน้ จบภาวตัทธิต ๑๐๓. วิเสสตทธฺ ิต (ตัทธิตนจี้ ดั เข้าใน อเนกตถฺ ตทฺธิต) บุคคลผูว้ ิเศษกว่าบุคคลอื่น เรียกวา่ วิเสส ๑. ลงปัจจยั ๕ ตวั คือ ตร, ตม, อิสกิ , อยิ , อฏิ ฺ ในอรรถ วิเสส นัน้ ก. ลง ตร เป็นต้นในอรรถว่า สพเฺ พ อิเม ปาปา, อยมิเมสํ วเิ สเสน ปาโปติ... หรือ ปาปานํ วเิ สโส. ผูว้ ิเศษกว่าคนเลว ท. (คนเลวสนิ้ ดี) เชน่ ปาปตโร - คนเลวโดยพเิ ศษ ปาปตโม - คนเลวโดยพิเศษ ปาปิสิโก - คนเลวโดยพิเศษ ปาปิโย - คนเลวโดยพเิ ศษ ปาปฏิ ฺโ - คนเลวโดยพิเศษ ข. ลง ตร ปัจจัยเป็นต้นในอรรถว่า สพฺเพ อิเม ปฏู, อยมิเมสํ วิเสเสน ปฏตู ิ ... หรือ ปฏูนํ วิเสโส. ผวู้ ิเศษ กวา่ คนฉลาด ท.

ตัทธติ กัณฑ์ 193 เชน่ ปฏตุ โร - คนฉลาดโดยพเิ ศษ ปฏตุ โม - คนฉลาดโดยพิเศษ ปฏิสโิ ก - คนฉลาดโดยพิเศษ ปฏโิ ย - คนฉลาดโดยพิเศษ ปฏิฏฺโ - คนฉลาดโดยพเิ ศษ จบวเิ สสตทั ธิต ๑๐๔. อสฺสตฺถิตทธฺ ิต ๑. ลง ว,ี อิล, ส, ว, อาล ปัจจัยในอรรถวา่ อสสฺ อตฺถิ ฉะนนั้ จงึ เรยี กวา่ อสสฺ ตถฺ ติ ทธฺ ิต ในบางวเิ คราะห์เชน่ คุโณ ยสมฺ ึ วิชฺชติ คุณวา. ไมม่ ี อสสฺ อตถฺ ิ แต่ก็เรยี กวา่ อสฺสตฺถิตทธฺ ิต ได้ เพราะ วชิ ชฺ ติ และ อตฺถิ มีอรรถเหมอื นกนั , ตามฉบับสหี ลเดมิ เรยี กว่า อตฺถยุตถฺ ตทธฺ ิต ตัทธติ ทมี่ อี รรถ อตฺถิ ก. ลง วี ปจั จยั ในอรรถว่า เมธา อสสฺ อตถฺ ีติ เมธาวี. เชน่ เมธาวี - ผมู้ ปี ัญญา เมธาวิณี - หญิงผูม้ ปี ญั ญา เมธาวิ - ตระกลู ผ้มู ปี ัญญา มายาวี - ผมู้ มี ายา ฯลฯ ข. ลง อลิ ปจั จัยในอรรถว่า ปิจฺฉํ อสสฺ อตถฺ ตี ิ เป็นตน้ เช่น ปิจฺฉิโล - ตน้ ไม้มียาง ชฏิโล - ฤาษผี ูม้ ชี ฎา ตุณฺฑโิ ล - นกตวั มีจงอยปาก ค. ลง ส ปจั จัยในอรรถวา่ สุเมธา อสสฺ อตถฺ ตี ิ เปน็ ต้น เชน่ สุเมธโส - ผ้มู ปี ญั ญาดี โลมโส - ผมู้ ขี น ฆ. ลง ว ปัจจัยในอรรถวา่ เกสา อสสฺ อตฺถีต.ิ เชน่ เกสโว - ผมู้ ผี มงาม ง. ลง อาล ปัจจัยในอรรถว่า วาจา อสสฺ อตฺถตี .ิ เชน่ วาจาโล - ผู้มีค�ำพูด (คนพดู มาก)

194 สัททสงั เขป ๒. ลง สี ปจั จัย เบอ้ื งหลังจาก ตป ศพั ท,์ ลง อกิ อี ปจั จัย หลัง ทณฑฺ ศัพท,์ ลง ร ปจั จัย หลัง มธุ ศพั ท์เป็นตน้ ก. ลง สี ปจั จัยในอรรถว่า ตโป อสสฺ อตถฺ ีติ เปน็ ตน้ เชน่ ตปสฺสี - ฤาษีผ้มู ตี บะ ตปสสฺ ินี - หญิงผู้มีตบะ ยสสสฺ ี - ผู้มชี ่ือเสยี ง เตชสสฺ ี - ผมู้ ีเดช ข. ลง อกิ , อี ปจั จัยในอรรถวา่ ทณฺโฑ อสฺส อตถฺ ีติ เปน็ ต้น เช่น ทณฑฺ โิ ก, ทณฺฑ ี - ผ้มู ไี มเ้ ท้า. สํฆ ี - อาจารยผ์ ู้ใหญผ่ ู้มีหมูค่ ณะ ฉตฺติโก, ฉตฺตี - ผมู้ รี ่ม, หรอื ผกู้ ้นั รม่ าณิโก, าณี - ผ้มู ีญาณ, หรือ ผู้มปี ัญญาดี ค. ลง ร ปัจจัยในอรรถวา่ มธุ อสสฺ อตถฺ ตี ิ เปน็ ตน้ เชน่ มธโุ ร - น้ำ� ตาลอนั มีรสหวาน กญุ ฺชโร - ช้างตัวมีคาง นคโร - พื้นทอ่ี ันมตี น้ ไม้ มุขโร - คนปากกล้า ๓. ลง วนฺตุ ปจั จัย หลงั จาก คุณ ศพั ท,์ ภค ศัพท์ เป็นตน้ , ลง มนตฺ ุ ปจั จัยหลงั สติ ศัพท์ เป็นตน้ ลง ณ ปจั จยั หลัง สทฺธา ศพั ทเ์ ป็นต้น ก. ลง วนตฺ ุ ปัจจยั ในอรรถวา่ คโุ ณ อสฺส อตฺถตี ิ เป็นต้น เชน่ คุณวา - ผูม้ คี ณุ คุณวตี - หญิงผูม้ คี ุณ ภควา - พระพุทธเจา้ ผู้มโี ชค (ภโค ยสสฺ อตถฺ ิ) ข. ลง มนฺตุ ปัจจัยในอรรถว่า สติ อสสฺ อตฺถีติ เปน็ ตน้ เชน่ สตมิ า - ผ้มู สี ติ พนฺธมุ า - ผมู้ ีญาติ สตมิ ตี - หญงิ ผมู้ ีสติ ค. ลง ณ ปจั จยั ในอรรถวา่ สทฺธา อสฺส อตฺถีติ เป็นตน้ เช่น สทฺโธ - ผมู้ ีศรัทธา

ตัทธติ กณั ฑ์ 195 ปญฺโ - ผมู้ ปี ญั ญา ตาปโส - ฤาษผี ู้มีตบะ (ลง ณ ปัจจัยหลงั ตป ศพั ท์ วทุ ฺธิ อ ท่ี ต เปน็ อา แลว้ ลง สฺ อาคม) ตาปสี - หญิงฤาษี อายสมฺ า - ผู้มีอายุยนื (สกตถฺ แปลตามศพั ท)์ หรือท่าน (อธปิ ายตถฺ แปลอธิบาย) ลง มนฺตุปัจจัยในอรรถ อายุ อสฺส อตฺถีติ, หลัง อายุ ศัพท์ แปลง อุ เป็น อสฺ จบอัสสัตถิตัทธติ ๑๐๕. สงฺขฺยาตทธฺ ติ ๑. ลงปัจจัย ๔ ตัว คือ ม, ถ, , ตยิ ในอรรถ ปูรณ (เป็นเหตเุ ต็ม) ก. ลง ม ปัจจัยในอรรถวา่ ปญฺจนฺนํ ปรู โณ เชน่ ปญจฺ โม - เหตเุ ตม็ แห่ง ๕ หรือที่ ๕ ปญฺจมา - บารมเี ป็นเหตเุ ต็มแห่ง ๕ หรือบารมีที่ ๕ ปญจฺ มี - บารมีเปน็ เหตเุ ตม็ แห่ง ๕ หรอื บารมที ี่ ๕ ปญจฺ มํ - จิตเป็นเหตเุ ต็มแห่ง ๕ หรอื จิตที่ ๕ ข. ลง ถ ปัจจยั ในอรรถวา่ จตนุ นฺ ํ ปูรโณ เช่น จตตุ ฺโถ - เหตุเตม็ แห่ง ๔, หรอื ท่ี ๔ จตตุ ฺถา - บารมเี ปน็ เหตุเต็มแหง่ ๔, หรอื บารมีที่ ๔ จตุตฺถี - บารมเี ป็นเหตเุ ต็มแห่ง ๔, หรอื บารมที ่ี ๔ จตุตฺถํ - จิตเปน็ เหตุเต็มแห่ง ๔, หรือจติ ที่ ๔ ค. ลง  ปจั จัยในอรรถวา่ ฉนนฺ ํ ปรู โณ (แล้ว ฏฺ เทวฺ ภาว) เชน่ ฉฏฺโ - เหตุเต็มแหง่ ๖, หรือที่ ๖ ฉฏฺ า - บารมเี ปน็ เหตุเตม็ แหง่ ๖, หรอื บารมที ่ี ๖ ฉฏฺี - บารมีเป็นเหตเุ ตม็ แห่ง ๖, หรือบารมีท่ี ๖ ฉฏฺ ํ - จติ เปน็ เหตุเต็มแห่ง ๖, หรอื จิตที่ ๖ ฆ. ลง ตยิ ปจั จยั ในอรรถวา่ ทฺวนิ ฺนํ ปรู โณ, ตณิ ณฺ ํ ปูรโณ เช่น ทุติโย - เหตเุ ตม็ แห่ง ๒, หรอื ที่ ๒

196 สทั ทสังเขป ทตุ ิยา - บารมเี ปน็ เหตเุ ต็มแห่ง ๒, หรือบารมีที่ ๒ ทตุ ิยํ - บารมีเป็นเหตเุ ตม็ แห่ง ๒, หรอื บารมที ี่ ๒ ตตโิ ย - เหตุเต็มแหง่ ๓, หรือท่ี ๓ ตติยา - บารมเี ปน็ เหตุเตม็ แหง่ ๓ หรือบารมีที่ ๓ ตตยิ ํ - จติ เปน็ เหตุเตม็ แหง่ ๓, หรือจิตที่ ๓ หมายเหตุ ค�ำว่าเปน็ เหตเุ ตม็ หมายถึง สงั ขยา ทก่ี ลา่ วถึงของสิง่ เดียว เช่น ปญฺจโม ที่ ๕ ถา้ เปน็ บุคคล ก็หมายถงึ คนที่ ๕ เท่าน้ัน มิไดห้ มายถงึ คน ๕ คน ๑๐๖. ล�ำดบั สงั ขยา เอโก, เอกา, เอกํ = ๑ ปโม, ปมา, ปมํ = ท่ี ๑ เทวฺ = ๒ ทุติโย, ทุติยา, ทุติยํ = ท่ี ๒ ตโย, ตสิ โฺ ส, ตณี ิ = ๓ ตติโย, ตตยิ า, ตตยิ ํ = ท่ี ๓ จตฺตาโร, จตสโฺ ส, จตฺตาริ = ๔ จตตุ ฺโถ, จตุตถฺ า, จตุตถฺ ,ี จตุตถฺ ํ = ที่ ๔ ปญฺจ = ๕ ปญจฺ โม, ปญจฺ มา, ปญฺจม,ี ปญฺจมํ = ที่ ๕ ฉ =๖ ฉฏโฺ , ฉฏฺา, ฉฏฺ,ี ฉฏฺํ = ที่ ๖ สตฺต = ๗ สตฺตโม, สตฺตมา, สตตฺ มี, สตฺตมํ = ท่ี ๗ อฏฺ = ๘ อฏฺ โม, อฏฺมา, อฏฺมี, อฏฺมํ = ท่ี ๘ นว = ๙ นวโม, นวมา, นวมี, นวมํ = ท่ี ๙ ทส = ๑๐ ทสโม, ทสม,ี ทสมํ = ที่ ๑๐ เอกาทส, เอการส = ๑๑ เอกาทสโม = ที่ ๑๑ ทฺวาทส = ๑๒ ทวฺ าทสโม = ท่ี ๑๒ เตรส = ๑๓ เตรสโม = ที่ ๑๓ จทุ ทฺ ส = ๑๔ จทุ ทฺ สโม, จาตทุ ฺทโส = ที่ ๑๔ ปนฺนรส = ๑๕ ปนนฺ รสโม, ปนฺนรโส = ท่ี ๑๕

ตัทธติ กัณฑ์ 197 = ที่ ๑๖ ถา้ เป็นอิตถีลงิ ค์ ก็ลง อี ปจั จยั = ท่ี ๑๗ = ที่ ๑๘ เอกาทสี = ที่ ๑๑ = ที่ ๑๙ ทวฺ าทสี = ที่ ๑๒ = ท่ี ๒๐ เตรสี = ที่ ๑๓ = ที่ ๓๐ จาตุทฺทสี = ที่ ๑๔ = ที่ ๔๐ ปนนฺ รสี = ที่ ๑๕ เปน็ ตน้ = ที่ ๕๐ โสฬส = ๑๖ โสฬสโม สตตฺ รส = ๑๗ สตตฺ รสโม อฏฺารส = ๑๘ อฏฺ ารสโม เอกนู วีสติ (ยส่ี บิ หย่อนหน่ึง) = ๑๙ เอกนู วีสติโม วีสํ, วสี ติ = ย่สี ิบ วีสตโิ ม ตสึ ,ํ ตสึ ติ = ๓๐ ตึสโม จตฺตาลีสํ = ๔๐ จตฺตาลสี ติโม ปญฺาสํ = ๕๐ ปญฺ าสตโิ ม สฏฺิ = ๖๐ สตฺตต,ิ สตฺตริ = ๗๐ อสีติ = ๘๐ เอกาสตี ิ = ๘๑ เอกนู นวุติ = ๘๙ นวตุ ิ = ๙๐ เอกนู สตํ = ๙๙ สตํ = ๑๐๐ สหสฺสํ = ๑๐๐๐ ทสสหสสฺ ํ = ๑๐,๐๐๐ (นิยุตํ = ๑๐,๐๐๐) สตสหสสฺ ํ = ๑๐๐,๐๐๐ (ลกขฺ ํ = ๑๐๐,๐๐๐) ทสสตสหสฺสํ = ๑,๐๐๐,๐๐๐ โกฏิ = หนึง่ โกฏิ ปโกฏิ = หนึ่งปโกฏิ โกฏิปโกฏิ = หนึง่ โกฏิปโกฏิ

198 สัททสงั เขป อกโฺ ขภนิ ี = หน่ึงอักโขภนิ ี อสงฺขเยยฺยํ = หน่ึงอสงไขย ก. ทฺวิ (๒) ถงึ อฏฺารส (๑๘) เป็นพหวุ จนะทง้ั ๓ ลงิ ค์ ข. เอกูนวสี ติ (๑๙) ถึง นวนวตุ *ิ (๙๙) เป็นเอกวจนะ อิตถีลิงคอ์ ย่างเดียว ค. เอกนู สตํ (๙๙) ถงึ อสงเฺ ขฺยยยฺ ํ เป็นเอกวจนะ นปุงสกลิงค์อยา่ งเดยี ว ง. โกฏ,ิ ปโกฏ,ิ โกฏิปโกฏิ, อกฺโขภินี เปน็ เอกวจนะ อิตถลี ิงค์อยา่ งเดียว สงั ขยาทเ่ี ปน็ เอกวจนะอยา่ งเดยี ว แตเ่ มอ่ื แยกออกเปน็ สองพวก ตอ้ งลงวภิ ตั ตพิ หวุ จนะ เสมอ เช่น สตํ เป็นต้น เม่ือต้องการกล่าวถึงหลาย ๆ ร้อย ก็ต้องเขียนแยกออกจากกัน เปน็ \"เทฺว สตานิ\" ร้อย ท. สอง \"เทฺว โกฏโิ ย\" โกฏิ ท. สอง \"จตฺตาริ อสงเฺ ขยฺ ยฺยานิ\" อสงไขย ท. สี่ ดังนเ้ี ป็นตน้ ฯ จบ สงฺขยาตทธฺ ิต ๑๐๗. อพฺยยตทธฺ ติ ๑. ลง กฺขตตฺ ุํ ปจั จยั ในอรรถ วาร (คร้ังคราว) ลง ธา, ชฌฺ ํ และ โส ปจั จยั ในอรรถ วิภาค และ อาการ, ลง ถา, ถํ และ ตถตตฺ า ปจั จัยในอรรถ ปการ ก. ลง กฺขตตฺ ุํ ปจั จัยในอรรถ เอโก วาโร เปน็ ตน้ เชน่ เอกกขฺ ตฺตุํ - คร้ังเดยี ว (เอโก วาโร) ทวฺ กิ ขฺ ตฺตํุ - สองครงั้ (เทฺว วาเร) ตกิ ฺขตฺตํุ - สามครัง้ (ตโย วาเร) พหกุ ขฺ ตฺตุํ - หลายครงั้ (พหู วาเร) กตกิ ขฺ ตตฺ ํุ - กค่ี รง้ั (กติวาโร วาโร) ข. ลง ธา ปัจจยั ในอรรถวา่ เอเกน วภิ าเคน เปน็ ต้น เช่น เอกธา - โดยสว่ นเดียว (เอเกน วภิ าเคน) ทฺวธิ า - โดยสว่ นสอง หรือมสี องอย่าง กติธา - มีกอ่ี ย่าง พหุธา - มหี ลายอยา่ ง (พหหู ิ วิภาเคหิ โดยประการ ท. อันถูก * ดูอธบิ ายในสพั พนาม

ตัทธิตกัณฑ์ 199 จ�ำแนก) ค. ลง ชฌฺ ํ ปัจจัยในอรรถวา่ เอโก วภิ าโค เป็นตน้ เชน่ เอกชฌฺ ํ - เป็นพวกเดยี ว (เอโก วภิ าโค) เทฺวชฌฺ ํ - สองอยา่ ง (เทฺว วิภาคา) ฆ. ลง โส ปัจจยั ในอรรถวา่ สพเฺ พน อากาเรน, สพฺเพน ปกาเรน เปน็ ตน้ เช่น สพพฺ โส - โดยอาการทง้ั หมด (สพเฺ พน อากาเรน) - โดยประการทงั้ ปวง (สพฺเพน ปกาเรน) อปุ ายโส - โดยเหตุ หรือ โดยอุบาย านโส - โดยฉับพลัน, โดยทนั ที, โดยฐาน โยนโิ ส - โดยเหตุอันสมควร ง. ลง ถา ปัจจยั ในอรรถวา่ เยน อากาเรน, เยน ปกาเรน เปน็ ต้น เช่น ยถา - โดยอาการอยา่ งไร หรอื โดยประการไร (เยน อากาเรน) ตถา - โดยอาการอยา่ งน้นั หรอื โดยประการนัน้ อญฺถา - โดยอาการอยา่ งอ่ืน หรือ โดยประการอ่ืน อิตรถา - โดยอาการนอกนี้ หรอื โดยประการนอกน้ี อภุ ยถา - โดยอาการท้ังสอง หรอื โดยประการทง้ั สอง จ. ลง ถํ ปัจจยั ในอรรถว่า เกน ปกาเรน เป็นต้น เชน่ กถํ - โดยประการใด (เกน ปกาเรน) อิตฺถํ - โดยประการน้ี (อยํ ปกาโร) ฉ. ลง ตถตฺตา ปัจจัยในอรรถ ปการ เช่น ยถตฺตา - ประการใด ตถตฺตา - ประการนนั้ จบอัพยยตัทธิต จบตทั ธติ ย่อ

200 สัททสังเขป ๑๐๘. กิตกก์ ัณฑย์ อ่ อาจารย์ครับ... กติ ก์ คืออะไรครับ ?... ค�ำวา่ กิตก์ น้เี ปน็ ช่ือของ ปจั จยั จ�ำพวกหนึง่ มี ณ ปจั จัย เปน็ ต้น ทที่ �ำให้นกั ศกึ ษาหมดความสงสยั (สสี ฺสานํ กงฺขํ กริ ติ อปเนตีติ กิโต) หมายความว่า ล�ำพังธาตุอย่างเดียว เมื่อนักศึกษาเห็นแล้ว ก็เป็นเหตุให้สงสัยได้ว่า ธาตุนี้ เป็นวาจก (สาธนะ) อะไร เพราะธาตนุ นั้ ไมม่ เี นือ้ ความกล่าวถงึ กตตฺ วุ าจก หรือ กมฺมวาจก เป็นต้น แตเ่ ม่อื ลงปจั จยั ข้างหลงั ธาตุแล้ว กท็ �ำให้รู้ไดว้ า่ ธาตนุ ้ีเป็น กตฺตวุ าจก หรอื กมฺมวาจก เป็นต้น ความสงสัยก็หมดไป เพราะเห็นปัจจัย (ปจฺจยํ หิ ทิสฺวา สาธเน นิราสงฺโก โหติ) เพราะฉะน้ัน ปัจจัยท่ีท�ำให้หมดความสงสัยนั้น จึงถูกเรียกว่า กิตก์ โดยตรง ส่วนธาตุท่ี ประกอบกับกิตก์ปัจจัยนี้เรียกว่ากิตก์ได้ (โดยอ้อม) กัณฑ์ท่ีแสดงกิตก์เหล่านั้นก็เรียกว่า กิตก์กัณฑ์ ๑๐๙. สาธนะ ๗ ในกติ ก์กณั ฑ์น้ี มี สาธนะ ๗ อย่าง คือ ๑. กตตฺ ุสาธน ๒. กมมฺ สาธน ๓. กรณสาธน ๔. สมฺปทานสาธน ๕. อปาทานสาธน ๖. อธกิ รณสาธน ๗. ภาวสาธน ค�ำว่า สาธน คือ ความสามารถ (สตฺติ) ที่ท�ำกิริยาให้ส�ำเร็จ (สาเธตีติ สาธนํ) ส่วนกิรยิ าทปี่ ระธานท�ำให้ส�ำเร็จ ก็เรยี กวา่ สาธน ได้ ดังนนั้ สาธนะ จึงจัดเปน็ ๒ อยา่ ง คอื ๑. สตตฺ ิสาธน ๒. กริ ิยาสาธน ในสาธนะทั้งสองนั้น ปัจจัยที่กล่าวถึงความสามารถที่ให้ส�ำเร็จกิริยาได้เป็นสาธนะ โดยตรง ส่วนทีป่ ระกอบกับปัจจัยเหลา่ น้นั เรียกวา่ กตั ตุสาธนะ เป็นตน้ เป็นสาธนะโดยอ้อม ในสาธนะท้ัง ๗ นั้น ภาวสาธนะ เป็นกิริยาสาธน ส่วนสาธนะ ๖ นอกน้ีเป็น สตฺตสิ าธน

กติ ก์กัณฑ์ 201 ค�ำแปลของสาธนะ ๗ (ท่องจ�ำ) กตตฺ สุ าธน - แปลออกส�ำเนียงวา่ ผู้ เช่น การโก ผู้กระท�ำ กมมฺ สาธน - แปลออกส�ำเนยี งว่า ถูก หรอื อันเขา เชน่ กโต ถกู กระท�ำ, อนั เขากระท�ำ กรณสาธน - แปลออกส�ำเนยี งวา่ เปน็ เคร่ือง เช่น กรณํ เป็นเครอื่ งกระท�ำ สมฺปทานสาธน - แปลออกส�ำเนียงวา่ เป็นที่ เช่น ทานิโย เปน็ ทใ่ี ห้ อปาทานสาธน - แปลออกส�ำเนยี งว่า เปน็ แดน เชน่ นคิ ฺคโต เปน็ แดนหลกี ออก อธิกรณสาธน - แปลออกส�ำเนียงว่า เปน็ ที่ เช่น านํ เป็นท่ตี ้ัง ภาวสาธน - แปลออกส�ำเนยี งวา่ การ, ความ, อนั , พึง เช่น ภวิตพฺพํ ความเป็น, พงึ เป็น ๑๑๐. ปจั จยั ที่ลงในสาธนะเหล่าน้นั มีดังนี้ ตพฺพ, อนีย, ณวฺ ุ, ณ, อ, ต, ตวนฺตุ, ตาว,ี ตุ, ยุ, กฺว,ิ ณ,ี มาน, อนตฺ ตพฺพ, อนยี ปัจจัย กร + ตพพฺ + อนีย เช่น กตฺตพพฺ ,ํ กรณยี ํ = ถกู กระท�ำ, พงึ กระท�ำ, ควรกระท�ำ, กระท�ำได,้ ตอ้ งกระท�ำ กตฺตพฺโพ กรณโี ย = ถูกกระท�ำ, พงึ กระท�ำ, ควรกระท�ำ, กระท�ำได,้ ตอ้ งกระท�ำ กตตฺ พฺพา, กรณียา = ถกู กระท�ำ, พึงกระท�ำ, ควรกระท�ำ, กระท�ำได้, ตอ้ งกระท�ำ คนตฺ พฺพ,ํ คมณยี ํ = พงึ ไป ฯลฯ (คมุ ธาตุ) ปจิตพฺพ,ํ ปจณียํ = พึงหุง ฯลฯ (ปจ ธาตุ) ภวิตพพฺ ,ํ ภวณียํ = พงึ เป็น ฯลฯ (ภู ธาตุ) ลง ณฺวุ ปัจจยั ในอรรถวา่ (กโรตีติ การโก เปน็ ต้น) เชน่ การโก ผู้กระท�ำ (กร ธาต+ุ ณวฺ ุ) การิกา หญิงผกู้ ระท�ำ (กร ธาต+ุ ณฺว)ุ การกํ ตระกลู ผูก้ ระท�ำ (กร ธาตุ+ณวฺ )ุ

202 สทั ทสงั เขป ทายโก ผู้ให้ (ทา ธาต+ุ ณวฺ )ุ ทายิกา หญิงผ้ใู ห้ (ทา ธาตุ+ณวฺ ุ) ทายกํ ตระกลู ผู้ให้ (ทา ธาตุ+ณฺวุ) ปาจโก ผูห้ ุง (ปจ ธาตุ+ณวฺ ุ) ปาจิกา หญิงผหู้ ุง (ปจ ธาตุ+ณฺวุ) ปาจกํ ตระกูลผู้หงุ (ปจ ธาตุ+ณวฺ )ุ อุปาสโก บุรษุ ผเู้ ขา้ ถงึ พระรตั นตรัย. (อาส ธาต+ุ ณฺวุ) อุปาสกิ า หญิงผเู้ ขา้ ถึงพระรัตนตรยั . (อาส ธาต+ุ ณวฺ ุ) อปุ าสกํ ตระกลู ผู้เข้าถึงพระรตั นตรยั . (อาส ธาต+ุ ณวฺ ุ) นายโก ผนู้ �ำไป (นี ธาตุ+ณวฺ ุ) นายกิ า หญงิ ผู้น�ำไป (นี ธาต+ุ ณวฺ )ุ นายกํ ตระกลู ผู้น�ำไป (นี ธาตุ+ณฺวุ) ลง ณ ปัจจยั ในอรรถวา่ กุมภฺ ํ กโรตีติ กุมภฺ กาโร. เชน่ กุมภฺ ภาโร ผูก้ ระท�ำซง่ึ หม้อ (ช่างหมอ้ ) (กมุ ฺภ+กร+ณ) มาลากาโร ผกู้ ระท�ำดอกไม้ (ชา่ งดอกไม)้ (มาลา+กร+ณ) กาโร การกระท�ำ หรือกรรมอันถกู กระท�ำ (กร+ณ) ลง อ ปจั จยั เชน่ ตกกฺ โร ผกู้ ระท�ำซงึ่ กรรมนั้น (โจร) นสิ สฺ โย ทอ่ี าศยั (นปิ พุ ฺพ ส+ิ อ) วนิ โย เป็นที่ส่ังสอน, เป็นเคร่ืองส่ังสอน (ว-ิ น+ี อ) ขโย เปน็ ท่สี น้ิ ไป (ขี+อ) ชโย การชนะ (ช+ิ อ) ปภโว ท่เี ป็นแดนเกดิ ข้นึ เบ้ืองแรก (ป+ภู+อ) สงคฺ โห การย่อ (ส+ํ คห+อ) นิคฺคโห การข่ม (น+ิ คห+อ) ปคฺคโห การสรรเสริญ (ป+คห+อ) อาคโม การมา หรือ อกั ษรอาคม (อา+คม+ุ อ) ลง ต ปจั จัย เช่น คโต ไปแล้ว, ผ้ไู ป (คม+ุ ต)

กิตก์กณั ฑ์ 203 คโต อันเขาไปแลว้ (คมุ+ต) กโต ถกู กระท�ำแลว้ , (อนั เขาท�ำแลว้ ) (กร+ต) รโต ยินดีแลว้ (รมุ+ต) ภุตโฺ ต กนิ แล้ว หรือถกู กินแลว้ (ภชุ +ต) ภโู ต เปน็ แล้ว (ภ+ู ต) ภาวิโต ถกู ใหเ้ ปน็ แล้ว หรือถูกให้เจริญแล้ว (ภู+ต) การิโต ถกู ใหก้ ระท�ำแล้ว (กร+ต) ยาจิโต ถกู ขอแลว้ (ยาจ+ต) นีโต ถูกน�ำไปแลว้ (นี+ต) คีตํ การร้องเพลง (เค+ต) คตํ การไป (คม+ุ ต) ติ ํ การยนื (า+ต) ชิโต ถูกชนะแลว้ (ชิ+ต) าโต ถูกรู้แล้ว (า+ต) ลง ตวนฺตุ, ตาวี ปัจจัย เชน่ ภตุ ฺวา, ภุตฺตาวี ผู้กนิ แล้ว (ภุช+ตวนตฺ ,ุ ตาวี) หตุ วฺ า, หตุ าวี ผบู้ ูชาแลว้ (ห+ุ ตวนตฺ ุ, ตาว)ี วุสติ ฺวา, วสุ ติ าวี ผปู้ ระพฤติแลว้ (วส+ตวนฺต,ุ ตาว)ี ลง ตุ ปัจจยั เชน่ กตฺตา ผู้กระท�ำ (กร+ต)ุ ภตฺตา ผูเ้ ลยี้ ง, เจา้ นาย, ผัว (ภร+ตุ) วตฺตา ผกู้ ล่าว (วจ+ต)ุ เนตา ผู้น�ำไป (นี+ตุ) โสตา ผฟู้ ัง (ส+ุ ต)ุ สาเวตา ผู้ให้ได้ยนิ หรือ ผปู้ ระกาศ (สุ+เณ+ต)ุ ธาตา ผู้ทรงไว้ (ธา+ต)ุ ทาตา ผใู้ ห้ (ทา+ตุ) ลง ยุ ปจั จยั เช่น นนทฺ นํ ความยนิ ดี หรือวตั ถุอนั ถูกยนิ ดี (นนทฺ +ยุ)

204 สัททสงั เขป คหณํ การถือเอาหรือวตั ถุอันถูกถือเอา (คห+ยุ) าณํ ญาณ (า+ยุ) วญิ ฺาณํ วญิ ญาณ (วิ+า+ย)ุ ฌานํ ฌาน (เฌ+ย)ุ ปูรณํ เปน็ เหตุเตม็ (ปูร+ย)ุ ทานํ วตั ถุอันถูกให้ หรอื เจตนาเป็นเครอื่ งให้ (ทา+ยุ) สมฺปทานํ เป็นทใ่ี หด้ ว้ ยดี (สํ+ป+ทา+ย)ุ อปาทานํ เปน็ ทนี่ �ำออกแล้วถือเอา (อป+อา+ทา+ย)ุ ลง ยุ ปัจจัยในอรรถ ตสสฺ ลี เช่น โฆสโน ผ้มู ปี กตปิ ่าวร้อง (ฆุส+ยุ) ภาสโน ผูม้ ีปกติกล่าว (ภาส+ย)ุ โกธโน ผมู้ ีปกตโิ กรธ (กธุ +ยุ) จลโน ผู้มปี กตหิ วนั่ ไหว (จล+ย)ุ มณฑฺ โน ผู้มปี กติตกแตง่ (มฑิ+ย)ุ โรจโน ผู้มีปกติงาม (รจุ +ย)ุ ลง กฺวิ ปัจจยั เชน่ อรุ โค ผ้ไู ปดว้ ยอก (อุร+คม+ุ กฺวิ) สยมภฺ ู ผ้เู ป็นเอง (สํ+ภู+กฺวิ) สงฺโข ผขู้ ดุ ดี (สํ+ขน+กฺวิ) ลง ณี ปัจจัย เช่น พฺรหมจาร ี ผมู้ ปี กติประพฤตพิ รหมจรรย์ (พรฺ หม+จร+ณี) พรฺ หมจารินี หญงิ ผมู้ ีปกตปิ ระพฤติพรหมจรรย์ (พรฺ หมฺ +จร+ณ+ี อนิ )ี ธมมฺ จารี ผูม้ ีปกตปิ ระพฤติธรรม (ธมมฺ +จร+ณี) (ตสสฺ ลี ศพั ท์เดมิ เป็น ต+สีล = ปกติของสิง่ น้ัน หรอื วาสนาท่ตี ิดตามมาโดย ปกติ) ลง มาน, อนฺต ปัจจยั เชน่ คจฺฉมาโน, คจฺฉนฺโต เมอ่ื ไป หรือ ไปอย ู่ (คมุ+อ+มาน, คมุ+อ+อนตฺ ) คจฉฺ ิยมาโน เม่ือถูกไป, อันเขาไปอยู่ (คมุ+อ+ิ ย+มาน) กรุ ุมาโน เมอื่ กระท�ำ (กร+โอ+มาน)

กติ กก์ ัณฑ์ 205 กพุ พฺ นฺโต เมือ่ กระท�ำ (กร+โอ+อนตฺ ) กโรนโฺ ต เม่ือกระท�ำ (กร+โอ+อนตฺ ) กรยิ มาโน เม่อื ถูกกระท�ำ, หรืออนั เขากระท�ำอยู่ (กร+อ+ิ ย+มาน) ภวติ ย่อมเป็น (ภู+อ+ต)ิ บททมี่ ี มาน และ อนตฺ ปจั จัยเป็นท่ีสุด ต้องมองหากริ ิยาหลังเสมอ เพราะเป็นกิรยิ า ยังไม่ส�ำเร็จยงั ต้องเปน็ ไปอกี หรือ ยงั ตอ้ งกระท�ำต่อไปอีก จึงตอ้ งมองหากริ ิยาทเี่ ปน็ ประธาน เช่น ภวติ เป็นต้น ฯ จบกติ ก์ จบสัททสังเขป

การฝึกอ่าน เขียน และพูด ๑๑๑. บทเรียนที่ ๑ มโหสธกมุ าร วตฺถุ ๑. โพธสิ ตฺโต มโหสธกุมาโร อมรํ นาม กญฺ ํ คเหตวฺ า อาคจฺฉนโฺ ต เอกสมฺ ึ าเน พทรรกุ ฺขํ ทสิ วฺ า ตสฺส มเู ล นสิ ที .ิ ๒. อมรา เทวี ผลสมฺปนฺนํ พทรรุกฺขํ ทิสฺวา อาห \"สามิ อภิรุหิตฺวา พทรผลํ โอจนิ ิตวฺ า ททาหิ, มยฺหมปฺ ิ เทห\"ี ติ. ๓. \"ภทฺเท อหํ กลิ มาม,ิ อภิรหุ ิตุํ น สกฺโกม.ิ ตฺวเมว อภิรหุ า\" ต.ิ ๔. อมราเทวี ตสสฺ วจนํ สตุ ฺวา อภิรยุ หฺ สาขนฺตเร นสิ ที ิตฺวา ผลํ โอจินิ. ๕. โพธสิ ตฺโต อาห \"ภทเฺ ท ผลํ มยฺหํ เทห\"ี ต.ิ ๖. \"อณุ หฺ ผลํ ขาทสิ สฺ ส,ิ อุทาหุ สีตผลํ ?\" ๗. \"ภทเฺ ท อุณหฺ ผเลน เม อตโฺ ถ\" ๘. อมราเทวี ผลานิ ภูมยิ ํ ขิปติ วฺ า อาห \"สามิ ขาทาหี\" ติ. ๙. โพธิสตฺโต ผลานิ คเหตฺวา ธเมนฺโต ขาทิตฺวา ปุน อาห \"ภทฺเท สีตผลํ เม เทหี\" ต,ิ ๑๐. อมราเทวี พทรปผฺ ลานิ ตณิ ภูมยิ า อุปริ ขิปติ ฺวา อาห \"สามิ ขาทา\" ติ, โพธสิ ตโฺ ต ตํ คเหตวฺ า ขาทิ. แบบฝกึ หดั (ก) ๑. นายสุทัต เรยี กนายจันทรแ์ ล้ว ไปสู่วัด ๒. เขาเห็นต้นมะมว่ งที่มผี ลดกในทแี่ ห่งหน่งึ แล้วพูดว่า \"แนะนายจนั ทร์ ทา่ นขึ้นสู่ ต้นมะมว่ ง แลว้ จงเก็บผลมะมว่ ง และจงใหข้ ้าพเจ้าด้วย ๓. นายจนั ทร์พูดวา่ ผมขนึ้ ไม่ได้ ทา่ นน่ันแหละจงขึ้น ๔. นายสุทัต ข้ึนสู่ต้นมะม่วงแล้ว นั่งในระหว่าง แห่งคาคบ เก็บผลมะม่วงแล้ว เคีย้ วกิน ๕. นายจนั ทร์ ขอวา่ แน่ะสุทัต เอาผลมะม่วงให้ผมด้วย ๖. นายสทุ ตั เกบ็ ลูกมะมว่ งแล้ว เมื่อจะโยนลง พูดวา่ แนะ่ จนั ทร์ ท่านจงกนิ

การฝกึ อา่ น เขยี น และพดู บาฬี 207 ๗. นายจันทร์ รับลกู มะม่วงแลว้ เคีย้ วกิน ๘. หลงั จากน้นั เมอ่ื นายสุทตั ลงจากต้นมะม่วงแล้ว เขาทัง้ สองพากนั กลบั สูบ่ ้าน (อมพฺ - มะม่วง, อโุ ภปิ - เขาท้งั สอง, ตโต ปรํ - หลังจากน้นั ) ๑๑๒. บทเรียนที่ ๒ คามทารกวตฺถุ ๑. สุทัต จนั ทร์ นามกา คามทารกา วหิ ารํ อาคจฺฉนฺตา เอกํ มธุรผลํ จิญจฺ ารกุ ขฺ ํ ทิสฺวา อารหุ สึ .ุ ๒. พทุ ฺธรกฺขิโต นาม สามเณโร นิวาเรติ \"มา อารหุ ิตฺถ, มา อารุหติ ฺถา\" ติ. ๓. เต เอวํ นิวาริยมานาปิ อารุหนฺติเยว. จันทร์ ปน \"อมฺเหสุ อารุหนฺเตสุ กึ ภวิสสฺ ตีต\"ิ ปิ ภณติ. ๔. สามเณโร มหาสททฺ ํ กตฺวา ภิกฺขูนํ อาโรเจสิ \"อธิ ภนเฺ ต คามทารกา จญิ ฺจารกุ ขฺ ํ อารหุ นตฺ \"ี ต.ิ ๕. อายสฺมา จกฺกปาโล ตํ สทฺทํ สุตฺวา กุทฺโธ อาห \"เอถ สามเณรา เลฑฺฑุนา ปหรติ ฺวา ปาเตถา\" ต.ิ ๖. พหู สามเณรา อาคนฺตวฺ า ปริวาเรตฺวา เลฑฑฺ หู ิ ปหรสึ ุ. ๗. เตปิ ทารกา ภตี า สฆี ํ สฆี ํ โอรยุ ฺห คามาภิมุขา ปลายึส.ุ ๘. \"เอวํ โข อาวโุ ส สมคคฺ กมมฺ ํ นาม กลยฺ าณํ วา ปาปกํ วา ยถจิ ฉฺ ิตํ สมิชฌฺ ต-ิ เยวา\" ติ. ข้อควรทราบ คามทารโก = เด็กชาวบา้ น, มธรุ ผลํ = อนั มผี ลหวาน, จญิ ฺจา = มะขาม, นวิ าเรติ =ยอ่ มห้าม, อารหุ นฺตเิ ยว = ย่อมขึ้นนัน่ เทยี ว, อมฺเหสุ อารุหนฺเตสุ กึ ภวิสฺสติ = เมือ่ พวก ขา้ พเจา้ ขน้ึ อะไรจะเกดิ ข้นึ เล่า, อิธ ภนฺเต = ในทีน่ ีค้ รบั , กุทฺโธ = โกรธ, เลฑฺฑุ = กอ้ นดนิ , ปาเตติ = ให้ตก, คามาภิมุขา = บ่ายหน้าไปสู่บ้าน, สมคฺคกมฺมํ = การงานของบุคคลผู้ พร้อมเพรยี งกัน หรอื การงานอนั พร้อมเพรียงกัน, กลยฺ าณํ วา ปาปกํ วา = ดกี ด็ ี ชั่วกด็ ี, ยถิจฺฉิตํ = ตามความปรารถนา, สมชิ ฺฌติ เยว = ย่อมส�ำเรจ็ นน่ั เทยี ว

208 สัททสังเขป แบบฝกึ หัด (ข) ๑. เด็กหญิงทัง้ หลาย ผ้มู ีชือ่ วา่ มาลีและอัจฉรา มาอยู่ สู่วัดเหน็ แลว้ ซ่งึ กอดอกไม้ เก็บอยู่ ๒. สามเณร ธมั มรักขิตะ หา้ มว่า พวกเธออยา่ เก็บเลย ๓. เด็กหญงิ ทง้ั หลาย แม้จะถกู หา้ มอยา่ งนี้ ยอ่ มเก็บนน่ั เทยี ว ๔. สามเณรธมั มรกั ขติ ะ เรยี กสามเณรสังฆรักขติ ะ แล้วขวา้ งด้วยก้อนดนิ ๕. แมเ้ ด็กหญงิ ทง้ั หลาย เปน็ ผ้กู ลวั ย่อมว่งิ มุ่งหนา้ ไปส่บู ้านโดยเรว็ ๖. หลังจากนัน้ พ่อแมข่ องเด็กหญงิ ท. มาสูว่ ดั แล้ว บอกเรอ่ื งนี้ แกพ่ ระมหาเถระ ๗. พระมหาเถระ ไม่พดู ค�ำอะไร ๆ กะสามเณร ท. (เอตมตถฺ ํ = เอตํ + อตฺถํ = ซึง่ เหตุนี้, น กิญฺจิ วเทติ = ไมก่ ล่าวซึง่ ค�ำอะไร ๆ, เถโร = พระเถระ) ๑๑๓. บทเรียนท่ี ๓ มโหสธปณฺฑิตวตถฺ ุ ๑. มโหสธปณฺฑิโต อตฺตโน อนุจฺฉวิกํ กุมาริกํ ปริเยสมาโน อมราเทวึ นาม โปราณกเสฏฺกิ ุลสสฺ ธตี รํ ทิสฺวา ตํ วมี ํสติ กุ าโม ตสสฺ า เคเห กติปาหํ วสิ. ๒. อถ นํ วีมํสนฺโต อาห \"ภทฺเท อฑฺฒนาลิกตณฺฑุเล คเหตฺวา ปาโตว มยฺหํ ยาคุญจฺ ปปู ญจฺ ภตตฺ ญฺจ ปจาห\"ี ติ ๓. อมรา เทวี \"สาธู\" ติ สมปฺ ฏจิ ฉฺ ติ วฺ า ตณฺฑเุ ล โกฏฺเฏตฺวา มลู ตณฺฑเุ ลหิ ภตฺต,ํ มชฺฌิมตณฑฺ เุ ลหิ ยาคํ,ุ กณเกหิ ปวู ํ ปจิตฺวา, ปมํ ยาคุํ อทาสิ. ๔. โส ตสฺสา จิตฺตํ วีมํสิตุกาโม \"ยาคุํ ปจิตุํ อชานนฺตี กิมตฺถํ มม ตณฺฑุเล นาเสส\"ี ติ วตฺวา ภมู ิยํ ปาเตส.ิ ๕. \"สามิ สเจ ยาคุ น สุนฺทรา, ปวู ํ ขาทา\" ติ. ๖. ตมปฺ ิ ตเถว อกาส.ิ ๗. \"สามิ สเจ ปโู ป น สุนทฺ โร, ภตฺตํ ภุญฺชา\" ต.ิ ๘. ภตตฺ ํปิ ตเถว กตฺวา กุทโฺ ธ วิย \"คจฉฺ ทฺวาเร นิสีทา\" ติ อาห. ๙. อมราเทวี ปน อกุชฺฌติ ฺวาว \"สาธุ สาม\"ี ติ วตฺวา คนตฺ ฺวา นิสีทิ.

การฝกึ อ่าน เขยี น และพดู บาฬี 209 ขอ้ ควรทราบ อนจุ ฉฺ วกิ ํ = อนั สมควร, ปรเิ ยสมาโน = แสวงหาอย,ู่ โปราณกเสฏฺ กิ ลุ ํ = ตระกลู เศรษฐี เก่าแก่, วีมํส = ทดลอง, กติปาหํ (กติ + อหํ) = สน้ิ วนั เลก็ น้อย (เพียงสองสามวนั ), อฑฒฺ - นาฬกิ ตณฺฑุลํ = ขา้ วสารครึ่งกระบอก, ปาโตว = แตเ่ ช้าทเี ดียว, ปูโป = ขนม, อชานนตฺ ี = ไมร่ อู้ ยู่, ปจติ ุํ = ซ่งึ วธิ หี งุ , สมปฺ ฏิจฺฉิตฺวา = รับแล้ว, โกฏเฺ ฏตฺวา = ต�ำแล้ว, มลู ตณฺฑุล = ข้าว ชัน้ หน่ึง, มชฺฌิมตณฑฺ ุล = ข้าวชนั้ สอง, กณก = ปลายขา้ ว, กมิ ตถฺ ํ (กึ + อตฺถํ) = เพอื่ ประโยชน์อะไร, นาเสสิ = ย่อมท�ำลาย, กุทฺโธ วยิ = เป็นเหมอื นโกรธ หมายเหตุ อรรถของ ปจ ธาตุ คอื หุง, ตม้ , แกง, ทอด, ปิง้ , ยา่ ง, เผา, อบ, ค่ัว ฯ แบบฝึกหดั (ค) ๑. แน่ะสามเณรพุทธรักขิตะ ทา่ นร้ซู ่งึ วธิ ีหงุ ขา้ วตม้ หรือ ? ๒. ข้าแตท่ ่านผเู้ จรญิ ครับ กระผม ตม้ ข้าวต้มเปน็ ๓. ถ้าว่า ท่านจักรู้ซึ่งวิธีต้มข้าวต้มไซร้ ท่านจงต้มข้าวต้มเพื่อประโยชน์แก่สามเณร ธมั มรักขติ ๔. สามเณรธัมมรกั ขิตะ ไม่สบายอยู่ เธออยากด่มื ขา้ วตม้ ๕. สามเณรสังฆรกั ขิตะ ทดลองสามเณรธมั มรักขติ ะ ว่า ทา่ นด่มื ขา้ วต้มไหม ? ๖. เธอหุงข้าวต้มแล้ว จงต้มน�้ำร้อนเพื่อประโยชน์แก่พระสงฆ์ด้วย และสามเณร เมธานนั ทะ จกั หงุ ข้าว ๗. สามเณรธมั มรักขติ ะ สบายดีแลว้ เขาจกั ไม่ดม่ื ข้าวตม้ เขาจกั ฉนั อาหารเทา่ นั้น (คิลาโน = คนไข้, กลฺโล = คนสบาย) ๑๑๔. บทเรยี นท่ี ๔ สมุ นาเทวีวตฺถุ ๑. สาวตฺถิยํ อนาถปิณฺฑิกสฺส นาม เสฏฺโิ น ธีตา สุมนาเทวี นาม อโหสิ. สา สกทาคามิผลํ ปตฺวา กุมาริกาว หุตฺวา คิลานา อโหสิ. สา มรณกาเล ปิตรํ ทฏฐฺ ุกามา หุตวฺ า ปกโฺ กสาเปสิ. เสฏฺ ิ อาคนฺตฺวา อาห

210 สัททสังเขป \"กึ อมฺม สุมเน\" ? \"กึ ตาต กนฏิ ฺ ภาตกิ \" ? \"วิลปสิ อมมฺ า\" ? \"น วลิ ปามิ กนฏิ ฺ ภาติก\". \"ภายสิ อมมฺ \" ? \"น ภายามิ กนฏิ ฺภาติก\". เอตตฺ กํ วตฺวา กาลมกาสิ. ๒. เสฏฺิ ธีตุ สรรี กจิ ฺจํ กตวฺ า โรทนโฺ ต สตฺถุ สนฺตกิ ํ อาคนฺตวฺ า เอตมตฺถํ อาโรเจสิ. อถ นํ ภควา อาห \"น เต คหปติ ธีตา วิลปติ. กนิฏฺตฺตาเยว กนิฏฺภาติกาติ ตํ อาลปติ, ตฺวํ หิ โสตาปนฺโน, ตว ธตี า ปน สกทาคามินี\" ติ. \"เอวํ ภนฺเต\" ? \"เอวํ คหปติ\" \"ภนฺเต มม ธีตา อิธ าตกานํ อนฺตเร นนฺทมานา วิจริตฺวา อิโต คนฺตฺวาปิ นนทฺ นฏฺาเนเยว นิพพฺ ตตฺ า\" \"อาม คหปติ อปปฺ มตฺตา นาม คหฏฺ า วา ปพพฺ ชติ า วา อธิ โลเก เจว ปรโลเก จ นนฺทนฺตเิ ยว อธิ นนทฺ ติ เปจฺจ นนฺทติ กตปญุ ฺโ อภุ ยตฺถ นนฺทต,ิ ปญุ ฺํ เม กตนตฺ ิ นนทฺ ติ ภยิ โฺ ย นนทฺ ติ สคุ ตึ คโต. ข้อควรทราบ กุมารกิ า = หญิงสาว, ปกโฺ กสาเปติ = ใหเ้ รยี ก, วิลปสิ = ย่อมเพ้อ, เอตตฺ กํ = เพยี ง น้ี, วตวฺ า = กล่าวแล้ว, กาโล = ความตาย, สรรี กจิ จฺ ํ = ฌาปนกิจ (เผา), คหปติ = คหบดี, กนิฏฺตฺตาเยว = เพราะความที่แห่งท่าน เป็นน้องชายนั่นเทียว, เอวํ ภนฺเต = อย่างนั่น หรอื ครับ, นนฺทนฏฺานํ = ที่เปน็ ทย่ี นิ ด,ี เปจจฺ = ในภพหนา้ , กตปุญฺโ = ผู้มีบุญอันกระท�ำ ไวแ้ ล้ว, ภิยโฺ ย = โดยย่ิง, คโต = ถึงแลว้ , สมาโน = เมอื่ เปน็

การฝึกอ่าน เขยี น และพดู บาฬี 211 แบบฝึกหัด (ฆ) ๑. ท่านกลัวข้าพเจา้ ไหม ? ๒. ขา้ พเจ้าไมก่ ลวั คนเช่นทา่ น ๓. และท่านไม่กลัวข้าพเจา้ หรอื ? ๔. ข้าพเจา้ จะกลวั ทา่ นท�ำไม ๕. แนะ่ พใ่ี หญ่ ข้าพเจ้ากลวั ทา่ นจงั ๖. โอนอ้ งชาย เธออยา่ กลวั เราเลย, เธอจงกลัวอาจารย์เท่าน้ัน ๗. แน่ะนอ้ งชาย เธอชอบใจค�ำพูดของเราหรือ ? ๘. ครับพ่ี ผมชอบใจค�ำพดู ของพี่ ๙. ชน ท. มาก ตายแล้ว แมใ้ นอดตี ก�ำลงั ตาย แมใ้ นปัจจบุ นั จะตาย แม้ในอนาคต ๑๐. คนแกก่ วา่ ขา้ พเจ้าตาย กม็ มี าก, คนออ่ นกวา่ ขา้ พเจ้าตาย กม็ ีมาก, คนเสมอกบั ข้าพเจ้าตาย กม็ มี าก (ภาตา, ภาติก = พีช่ าย, เชฏฺภาตา, เชฏฺภาติก = พ่ีชายใหญ,่ กนิฏฺภาตา, กนฏิ ฺภาตกิ = น้องชาย, มยา = กว่าข้าพเจา้ , วุฑฺโฒ = ผู้แก่, สโม = ผู้เสมอ, นโว = ผู้ ออ่ น, ผใู้ หม่, ตาทโิ ส, ตมุ ฺหาทิโส = ผู้เช่นกบั ท่าน) ๑๑๕. บทเรียนที่ ๕ อฑฺฒโุ ปสถกิ วตฺถุ ๑. อนาถปิณฺฑิกสฺส เสฏฺโิ น เคเห อุโปสถทิวเส สายมาสํ น ภุญฺชนฺติ. สพฺเพ อุโปสถิกา โหนตฺ ิ. อนฺตมโส ถนปายโิ นปิ ทารเก มุขํ วิกขฺ าเลตวฺ า จตมุ ธรุ ํ มเุ ข ปกขฺ ปิ าเปตฺวา อุโปสถิเก กาเรติ ฯ ๒. น จิรํ ตํ เคหํ สมปฺ ตโฺ ต ภตโิ ก อโุ ปสถภาวํ อชานนโฺ ต กมมฺ กรณตถฺ าย อรญฺํ คจฉฺ ติ. อถสสฺ ปตโฺ ถทนํ ปจึสุ. ๓. โส ทิวสํ อรญฺเ กมฺมํ กตฺวา สายํ อาคนฺตฺวา ภตฺตํ วฑฺเฒตฺวา ทียมานํ ฉาโตมหฺ ตี ิ สหสา อภญุ ฺชิตวฺ าว จินฺเตสิ \"อญเฺ สุ ทิวเสสุ อิมสมฺ ึ เคเห 'ภตตฺ ํ เทถ, พยฺ ญฺชนํ เทถา' ติ มหาโกลาหโล โหต.ิ อชชฺ สพเฺ พ นิสฺสทฺทา นปิ ชชฺ ึสุ, มยฺหเมว เอกสสฺ ภตตฺ ํ วฑฒฺ ยึส,ุ กึ นุ โข เอต\"ํ ติ.

212 สทั ทสงั เขป ๔. เอวํ จินฺเตตฺวา ปจุ ฺฉติ ฺวา การณ ํ ตวฺ า ตํ ภตฺตํ อภุญชฺ ติ ฺวาว มขุ ํ วกิ ฺขาเลตฺวา อโุ ปสถงฺคานิ อธฏิ ฺหนฺโต อุปฑฒฺ ุโปสถกมฺมํ อกาส.ิ ๕. ตสฺส สกลทิวสํ กมฺมํ กตวฺ า ฉาตสสฺ สรีเร วาตา กุปปฺ ึสุ. ๖. เสฏฺิ ตํ ปวตฺตึ สุตฺวา จตมุ ธุรํ คาหาเปตวฺ า ตสฺส สนฺตกิ ํ อาคนตฺ ฺวา \"กุ ตาตา\" ติ ปุจฉฺ ิ. \"สามิ วาตา เม กุปฺปติ า.\" \"เตน หิ อฏุ ฺาย อทิ ํ เภสชชฺ ํ ขาทาหิ.\" \"ตุมเฺ หปิ ขาทถ สามิ.\" \"อมหฺ ากํ อผาสกุ ํ นตฺถ,ิ ตวฺ ํ ขาทาห.ิ \" \"สามิ อหํ อุโปสถกมมฺ ํ กโรนฺโต สกลํ กาตํุ นาสกขฺ ึ. อุปฑฺฒกมมฺ มปฺ ิ เม วิกลํ มา อโหสี\" ติ น อิจฺฉิ. \"มา เอวํ กริ ตาตา\" ติ วจุ จฺ มาโนปิ อนจิ ฉฺ ติ วฺ า, อรเุ ณ อฏุ ฺ หนเฺ ต, มลิ าตมาลา วิย กาลํ กตวฺ า นโิ คฺรธรกุ ฺเข เทวตา หุตวฺ า นิพฺพตฺต.ิ ข้อควรทราบ สายมาโส - อาหารคำ�่ . อโุ ปสถิโก - ผรู้ กั ษาอโุ บสถ. ถนปาย-ี เด็กนอ้ ย. อนตฺ มโส - โดยก�ำหนดมใี นทสี่ ดุ หรอื โดยตำ�่ สดุ . ภตโิ ก - คนรบั จา้ ง. อโุ ปสถภาโว - ความเปน็ วนั อโุ บสถ. ปตฺโถทโน (ปตฺถ + โอทโน) - ข้าวสกุ แลง่ หน่งึ . วฑฺเฒตฺวา - คด (ให้เจรญิ ). ฉาโต - ผหู้ วิ . สหสา - อยา่ งรบี เร่ง. อผาสกุ ํ - ไมส่ บาย. วกิ ลํ - พรอ่ ง. อฏุ ฺหนฺเต - เมอื่ ขึน้ . มิลาต - เห่ียวเฉา แบบฝึกหดั (ง) ๑. ผู้มอี ายุ ทา่ นทง้ั หลาย จงเป็นผู้รกั ษาอุโบสถ ในวนั อโุ บสถ ๒. ขา้ พเจา้ ท. เปน็ ผรู้ กั ษาอุโบสถ ในวันอุโบสถ ๓. หญิงคนหน่งึ อุ้มเดก็ น้อยมา ๔. เธอเปน็ เด็กเลก็ ๕. ปากของเธอ มีกล่นิ เหมน็ , เธอแปรงฟนั ด้วยแปรงสฟี ัน ๖. หลังจากทบี่ ว้ นปากแลว้ จงกินข้าว ๗. จงใส่จตมุ ธุเขา้ ไป ในปาก ของเด็กนอ้ ย

การฝึกอ่าน เขียน และพดู บาฬี 213 ๘. ลกู จ้าง เขา้ ในป่า เพ่อื ท�ำงาน เขาไมร่ วู้ ่าเปน็ วันอุโบสถ เม่ือเขากลบั มา ยอ่ มรักษา อโุ บสถคร่ึงวนั ๙. หุงขา้ วเพือ่ ข้าพเจ้าหรือ หากหุงจงคดมา ขา้ พเจ้าหิวแลว้ ๑๐. หงุ ขา้ วสารแล่งหน่งึ ไว้ เพือ่ ท่าน คนเดยี ว ขา้ พเจ้า จะเอามาให้ ๑๑. มีความโกลาหล ว่า \"ทา่ น จงให้ขา้ ว ทา่ น จงใหแ้ กง ๑๒. จดั ข้าวจานหนง่ึ ไมพ่ อแก่ข้าพเจ้าหรอก จงคดมาอีก ๑๓. อยา่ พดู อย่างนซ้ี ิ มนั ไม่ดี ๑๔. อรุณ ยังไมข่ ึน้ หรือ ? ๑๕. ดอกไม้ ท. เห่ียวเฉาแลว้ จงพรม ด้วยนำ้� ๑๑๖. บทเรียนที่ ๖ วาสุลทตตฺ าเทวี วตฺถุ ๑. โกสมฺพิยํ อุเทโน นาม ราชา รชฺชํ กาเรติ. อุชฺเชนิยํ ปน จณฺฑปชฺโชโต นาม ราชา อโหสิ. อเุ ทโน ราชา หตถฺ กิ นฺตํ นาม สิปฺปํ ชานาติ. มนตฺ ํ ปรวิ ตฺเตตฺวา หตฺถิกนฺตวีณํ วาเทนฺโต นาเค ปลาเยติปิ คณฺหาติปิ. จณฺฑปชฺโชตสฺส วาสุลทตตฺ าเทวี นาม ธีตา อตฺถ.ิ ๒. เอกสมฺ ึ สมเย จณฺฑปชฺโชโต อุเทนํ หตฺถิรูปเกน วญฺเจตฺวา คณหฺ ติ วฺ า - \"ตํ มนตฺ ํ ทสสฺ ส,ิ น ทสสฺ สี\" ติ ปจุ ฉฺ ิ. \"ทสสฺ ามิ, คหณสมเย ปน มํ วนทฺ สิ ฺสส\"ิ \"กยฺ าหํ ตํ วนฺทิสสฺ ามิ. น วนฺทิสฺสามิ\" \"อหปํ ิ เต น ทสฺสามิ\" \"เอวํ สนฺเต ราชาณํ เต กรสิ สฺ าม\"ิ \"กโรหิ, สรรี สสฺ เม อสิ สฺ โร. น ปน จิตฺตสฺส\" \"อญฺสสฺ วนฺทิตวฺ า คณหฺ นฺตสฺส ทสฺสส\"ิ ? \"อาม มหาราช\"

214 สทั ทสังเขป \"เตนหิ อมหฺ ากํ ฆเร เอกา ขชุ ฺชา อตถฺ ,ิ ตสสฺ า อนฺโตสาณยิ ํ วนฺทติ วฺ า นสิ นิ ฺนาย ตวฺ ํ พหสิ าณยิ ํ โิ ตว มนฺตํ วาเจหิ\" \"สาธุ มหาราช ขชุ ชฺ า วา โหตุ ปิสปปฺ นิ ี วา. วนทฺ นตฺ ิยา ทสฺสาม\"ิ ๓. ตโต ราชา คนฺตวฺ า ธตี รํ วาสุลทตฺตํ อาห \"อมฺม เอโก สงฺขกุฏฺี อนคฺฆมนฺตํ ชานาติ. อญฺํ ชานาเปตุํ น สกฺกา ตฺวํ อนฺโตสาณิยํ นิสีทิตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา มนฺตํ คณฺห. โส พหิสาณิยํ ตฺวา ตุยฺหํ วาเจสฺสต\"ี ติ. ๔. อเุ ทโน ตสสฺ า อนโฺ ตสาณิยํ วนทฺ ติ วฺ า นสิ ินนฺ าย พหิ โิ ต มนตฺ ํ วาเจสิ. อถ นํ เอกทิวสํ ปุนปฺปุนํ วจุ จฺ มานปํ ิ มนตฺ ปทํ วตตฺ ุํ อสกฺโกนตฺ ึ อาห \"หเร ขชุ ฺเช อติพหโลฏฺกโปลํ ตว มุขํ โปถยิสสฺ ามิ. เอวํ นาม วเทห\"ี ต.ิ \"หเร ทุฏฺ สงกฺ ฏุ ฺ ิ กึ วเทสิ. กึ มาทสิ า ขชุ ฺชา นาม โหต\"ิ ๕. โส สาณิกณณฺ ํ อกุ ขฺ ิปติ วฺ า \"กาสิ ตวฺ \" นตฺ ิ ปจุ ฉฺ ิ. \"รญโฺ  ธีตา วาสุลทตตฺ า นามาห\"ํ \"ปิตา เต มยหฺ ํ กเถนโฺ ต 'ขุชฺชา' ติ กเถส\"ิ \"มยฺหํ ปิ กเถนฺโต ตํ สงฺขกุฏฺ ึ กสมฺ า กเถสิ\" ๖. ตโต ปฏฺาย มนฺตคฺคหณํ วา สิปปฺ คุ คฺ หณํ วา นตฺถ.ิ ราชธีตา ปิตรํ วญเฺ จตฺวา เอกํ ทฺวารญฺเจว หตถฺ ิวาหนญจฺ ยาจ.ิ ๗. อเุ ทโนปิ ตํ หตถฺ ิวาหนํ อารยุ ฺห ราชธีตรํ อาทาย ปลายติ ฺวา อคฺคมเหสิฏฺาเน เปสิ. แบบฝกึ หดั (จ) ๑. สามเณรพุทธรักขติ ะ ลักเอาหนงั สอื ของสามเณรธมั มรักขติ ะไป ๒. สามเณรธมั มรกั ขติ ะ รูซ้ ึ่งความทแี่ หง่ หนงั สือถูกลัก ย่อมขอคนื ภายหลัง ๓. ทา่ นจะให้หนังสอื ของขา้ พเจ้าคนื หรอื จะไม่ให้ ๔. จะใหท้ �ำไม ข้าพเจา้ จะไม่ให้ ๕. ถ้าไมใ่ ห้ ข้าพเจ้า จกั บอก หลวงพอ่ ๖. บอกเลย ขา้ พเจ้าก็จะบอกเหมือนกัน ๗. สามเณรพุทธรักขติ ะ ลักเอาหนังสอื ของผมไปครบั

การฝึกอ่าน เขียน และพดู บาฬี 215 ๘. จรงิ รึ สามเณรพุทธรักขติ ะ ๙. ไม่จรงิ ครับ เขาแลกกบั จวี รของผม ๑๐. พดู จริงนะ อยา่ โกหก ๑๑. ผมไม่โกหก หรอกครบั ๑๒. ใครรบู้ า้ ง ? ๑๓. สามเณรสังฆรักขิตะ รู้ครบั ๑๔. สังฆรักขิตะ เธอรู้หรือเปลา่ ? ๑๕. ไม่รคู้ รบั ๑๖. เธอพูดโกหก หากเป็นคนอื่นต้องตบแก้มเธอแน่ ส่วนเราไม่ตบหรอก เราจะลง ทณั ฑกรรม ให้เธอตักน้�ำ เธอจงใหห้ นงั สือเขาคืน และจงรบั ไตรสรณคมนใ์ หม่ (โปตฺถกํ = หนงั สอื , คหิตภาโว = เหตุทีถ่ ือเอา, สจจฺ ํ กริ = จริงร,ึ ปริวตฺเตตวฺ า = แลกเปลยี่ น, มุสา = ค�ำไมจ่ ริง) ๑๑๗. บทเรียนที่ ๗ ตาปสสหายกวตฺถุ ๑. อตเี ต อลลฺ กปฺปราชา เจว เวฏฺ ทีปกราชา จ อโุ ภ ทหรกาลโต ปฏฺ าย สหายกา เอกาจรยิ กุเล สปิ ปฺ ํ คณหฺ ิตฺวา ปิตูนํ อจจฺ เยน ราชาโน อเหสุํ. ๒. อปรภาเค รชฺชานิ ปุตฺตทารสฺส นิยฺยาเทตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชึสุ. วิสุํ ทฺวีสุ ปพพฺ เตสุ วสึสุ. ๓. อุโปสถทิวเส ปน อตฺถิภาวสฺส ชานนาย อคฺคึ ชาเลสุํ. อปรภาเค เวฏฺทีปก- ตาปโส กาลํ กตวฺ า มเหสกฺโข เทวราชา หุตวฺ า นพิ พฺ ตฺต.ิ ๔. โส \"มม สหายกํ ปสฺสิสฺสามี\" ติ มคฺคิกเวสํ คเหตฺวา อลฺลกปฺปตาปสสฺส สนตฺ กิ ํ อาคนฺตฺวา เอกมนตฺ ํ อฏฺ าสิ. อถ นํ โส อาห - \"กุโต อาคโตส\"ี ติ \"มคฺคกิ ปรุ โิ สหํ ภนเฺ ต ทรู โตว อาคโตมฺห\"ิ \"กึ ปน ภนเฺ ต อยฺโย อมิ สฺมึ าเน เอกโกว วสต.ิ อญโฺ ปิ โกจิ อตถฺ ิ\" \"อตถฺ ิ เม เอโก สหายโก.\" \"กุหึ โส\"

216 สัททสงั เขป \"เอกสมฺ ึ ปพฺพเต วสติ. อุโปสถทิวเส ปน อคคฺ ึ น ชาเลต,ิ มโต ภวสิ สฺ ต\"ี ติ \"เอวํ ภนเฺ ต ?\" \"เอวมาวุโส\" \"อหํ โส ภนเฺ ต\" \"กุหึ นิพฺพตฺโตสิ ?\" \"เทวโลเก ภนเฺ ต\" \"อปิ นุ โข อยยฺ านํ อมิ สฺมึ าเน วสนตฺ านํ โกจิ อปุ ทฺทโว อตถฺ ิ ?\" \"อาม อาวุโส หตถฺ ี นิสฺสาย กลิ มามิ\" \"กึ เต ภนฺเต หตถฺ ี กโรนฺติ ?\" \"สมฺมชฺชนฏฺาเน ลณฑฺ ํ ปาเตนตฺ .ิ ปาเทหิ ภมู ยิ ํ ปหรติ ฺวา ปํสํุ อทุ ธฺ รนตฺ .ิ สฺวาหํ ลณฑฺ ํ ฉฑเฺ ฑนโฺ ต ปํสุํ สมํ กโรนโฺ ต กิลมาม\"ิ \"กึ ปน เตสํ อนาคมนํ อิจฺฉถ ?\" \"อามาวุโส\" \"เตน หิ เตสํ อนาคมนํ กริสฺสามี\" ติ ตาปสสฺส หตฺถิกนฺตวีณญฺเจว หตฺถิกนฺตมนตฺ ญจฺ ทตวฺ า ปกกฺ ามิ. ๕. ตาปโสปิ ปลายนมนตฺ ํ วตฺวา ปลายนมนฺตํ ปหริตฺวา หตถฺ โิ น ปลาเยตวฺ า วสต.ิ ข้อควรทราบ ทหรกาล = สมัยเป็นเด็ก, สหายก = เพื่อนรัก, เอกาจริยกุลํ = ส�ำนักอาจารย์ คนเดียวกัน, อจฺจเยน = โดยการล่วงไป, วสิ ุํ = คนละท่ี, อตถฺ ิภาโว = ความมอี ย่,ู ชาเลสุํ = กอ่ (ไฟ), มเหสกฺโข = ผมู้ ีศกั ดใิ์ หญ่, มคคฺ ิกเวโส = เพศแหง่ บุคคลผเู้ ดนิ ทาง, มคคฺ กิ ปุรโิ ส = บุรุษเดินทาง, อปุ ทฺทโว = อนั ตราย, อตฺถิ อปิ นุ โข = มอี ยหู่ รือหนอ, นิสฺสาย = อาศัย แลว้ , กลิ มามิ = เหนด็ เหนือ่ ย, สมฺมชฺชนฏฺ านํ = ทกี่ วาดขยะ, ลณฑฺ ํ = ของโสโครก, ปํสํุ = ฝ่นุ ละออง, อุทฺธรนฺติ = ฟงุ้ ขน้ึ , ฉฑเฺ ฑนโฺ ต = ทิง้ , สมํ = ใหเ้ สมอ, ปกฺกามิ = หลีกไปแลว้ , ปลายนมนฺตํ = มนต์เป็นเหตุให้หนี

การฝึกอา่ น เขียน และพูดบาฬี 217 แบบฝกึ หดั (ฉ) ๑. ทา่ นเป็นฤาษหี รือเปน็ สมณะ ? ๒. ขา้ พเจ้าไมใ่ ชฤ่ าษี แต่เปน็ สมณะผู้เดนิ ทาง ๓. ท่านมาจากไหน มาท�ำไม ? ๔. ขา้ พเจา้ มาแตท่ ี่ไกล เพ่ือพบเพื่อนรัก ๕. เพ่ือนของทา่ น อยูท่ ่ไี หน ? ๖. เพอ่ื นของขา้ พเจา้ อย่ทู วี่ ัดน้ี ๗. เขาชอื่ อะไร ? ๘. เขาชอ่ื สามเณรพทุ ธรกั ขติ ะ ๙. ข้าพเจ้าไม่เคยเหน็ เขาเลย คดิ วา่ กลับไปแลว้ ท่านรวู้ า่ เขาอยทู่ ี่วัดไหนหรือ ? ๑๐. ขา้ พเจา้ รวู้ ่า เขายังอยู่ทนี่ ้ี เขายงั ไมก่ ลับ ๑๑. ถ้าอย่างนัน้ ทา่ นจงค้นหาเขาเอง ๑๒. ครับ ๑๑๘. บทเรียนท่ี ๘ ปูรนตฺ ปปฺ ราชวตฺถุ ๑. โกสมฺพยิ ํ ปรู นตฺ ปปฺ รญฺโ เทวี คพฺภนิ ี โหต,ิ สา รญฺ า สทธฺ ึ เหมนเฺ ต พาลาตปํ ตปมานา นสิ ีท.ิ ๒. หตฺถิลิงฺคสกโุ ณ อากาเสน อาคจฉฺ นฺโต รตตฺ กมพฺ ลํ ปารุปิตฺวา นิสินฺนํ เทวึ ทสิ วฺ า \"มสํ เปส\"ี ติ สญฺ าย เวเคน โอตริตฺวา นขปญชฺ เรน อคฺคเหส.ิ ๓. ตโต หิมวนฺตปฺปเทเส มหานิโคฺรธรุกฺขํ เนตฺวา วิฏปพฺภนฺตเร เปสิ. อถ เทวี ปาณิสทฺทญเฺ จว มขุ สทฺทญฺจ กตวฺ า ปลาเปส,ิ อรุณคุ คฺ มนเวลายญฺจ คพภฺ วฏุ ฺานํ โหต.ิ ๔. อลฺลกปปฺ ตาปสสฺสปิ โข ตโต อวทิ เู ร วสนฏฺ านํ โหต.ิ โส \"สกเุ ณหิ ขาทิตมํสานํ อาหริตฺวา โกฏฺเฏตฺวา รสํ กตฺวา ปิวิสฺสามี\" ติ ตสฺมึ รุกฺขมูเล ปริเยสนฺโต ทารกสททฺ ํ สุตฺวา อุลโฺ ลเกนโฺ ต ทสิ ฺวา ปจุ ฉฺ ิ

218 สทั ทสังเขป \"กาสิ ตฺวํ\" ? \"มนุสสฺ ิตถฺ ีมหฺ ิ\" \"กถํ อาคตาสิ\" \"สกเุ ณน อานีตามหฺ \"ิ \"โอตราหิ\" \"ชาตสิ มฺเภทโต ภายามิ อยยฺ \" \"กาสิ ตฺวํ\" \"ขตฺตยิ ามฺห\"ิ \"อหปํ ิ ขตฺตโิ ยเยว\" \"เตน หิ อารุยหฺ ปตุ ตฺ ํ เม โอตาเรหิ\" \"อาม ภคินิ\" \"มา มํ หตฺเถน ฉุป\"ิ ๕. อปรภาเค ตาปสสสฺ ภชิ ฺช.ิ ทารโก ปน ตสฺส สนฺติเก หตฺถิกนฺตวีณญฺเจว หตฺถิกนฺตมนฺตญฺจ ลภิตฺวา วยปตฺตกาเล ปิตุ อจจฺ เยน โกสมฺพึ คนตฺ ฺวา อุเทโน นาม ราชา อโหสิ. ข้อควรทราบ คพฺคินี = หญงิ ตั้งครรภ,์ เหมนฺต = ฤดูหนาว, พาลาตโป = แดดออ่ น, ตปมาน = ผงิ , หตฺถิลิงฺคสกณุ = นกหัสดลี งิ ค,์ รตตฺ กมฺพลํ = ผ้าก�ำพลแดง, มสํ เปสิ = กอ้ นเนอื้ , นขปญชฺ ร = กรงเล็บ, วิฏปพฺภนตฺ รํ (วฏิ ป + อพภฺ นฺตรํ) = ระหวา่ งคาคบ, คพภฺ วุฎฺ านํ = การคลอด บุตร, โกฏฺเฏตฺวา = ทุบแล้ว, กถํ = อย่างไร, อานตี า = ถูกน�ำมา, ชาติสมฺเภท = การปะปน ดว้ ยชาต,ิ ขตตฺ ยิ = ชาตกิ ษัตรยิ ,์ โอตราหิ = ท่านชว่ ยพาบุตรขา้ พเจา้ ลง, ฉุปิ = แตะตอ้ ง, วยปตฺต = ผถู้ ึงซ่งึ วัย แบบฝึกหัด (ช) ๑. ในเมือง ของทา่ น ท. มีคนผิงแดดในฤดหู นาวไหม ? ๒. คนในเมือง ของข้าพเจา้ ยอ่ มผิงแดด ในฤดูหนาว ๓. ในเมืองของทา่ น มนี กหสั ดลี งิ คไ์ หม ? ๔. มีครับ

การฝกึ อ่าน เขียน และพดู บาฬี 219 ๕. เมืองของทา่ น ท. ไกลจากภเู ขาหิมาลัย หรอื ใกล้ ? ๖. ไมไ่ กล จากภเู ขาหิมาลยั ๗. ในประเทศนี้ พระราชวงั ตั้งอยทู่ ่ไี หน ? ๘. ตงั้ อยู่ทก่ี รงุ เทพ ครบั ๙. ทา่ นไมไ่ ดย้ ินเสยี งร้องและเสียงปรบมือหรอื ? ๑๐. ครบั ไดย้ นิ มนั เปน็ เสยี งอะไร ? ๑๑. นกกระจาบป่า ท. มาเพอื่ กนิ ขา้ วนีเ้ ปน็ เสยี งรอ้ งไล่ให้นกจากพรากตกใจ (สมปี ํ = ใกล,้ วหี ิ = ขา้ วเปลอื ก, วนจาตโก = นกกระจาบปา่ , ตาสนสทโฺ ท = เสยี ง ร้องให้ตกใจ) ๑๑๙. บทเรียนที่ ๙ มาลุตวตถฺ ุ ๑. เทฺว ภกิ ฺขู อรญฺ ายเต วสนฺต,ิ เอโก กาฬตเฺ ถโร นาม. เอโก ชณุ หฺ ตฺเถโร นาม ๒. อเถกทิวสํ สตี ํ นิสฺสาย เตสํ วิวาโท อุทปาทิ. \"ภนฺเต ชุณฺห สตี ํ นาม กาฬปกเฺ ข โหต.ิ ตฺวํ ปน 'กทา โหต'ี ติ มญฺสิ ?\" \"อหํ ปน 'สีตํ นาม ชณุ หฺ ปกฺเข โหต'ี ติ มญฺ าม\"ิ ๓. เต อโุ ภปิ อตตฺ โน กงฺขํ ฉินทฺ ิตํุ อสกโฺ กนฺตา สตฺถารํ ปุจฉฺ สึ .ุ ๔. อถ สตฺถา อาห \"กาเฬ วา ยทิ วา ชณุ ฺเห ยทา วายติ มาลโุ ต, วาตชานิ หิ สีตานิ อโุ ภ'ตถฺ มปฺปราชติ า\" ติ. แบบฝึกหัด (ฌ) ๑. ผู้มอี ายุ ข้าพเจ้าทงั้ สองคน จกั อยูว่ ดั ในป่า ๒. ท่านหนาวในเวลาไหน ในเวลาขา้ งข้ึนหรือขา้ งแรม ๓. ทา่ นมคี วามเหน็ อยา่ งไร อยา่ เถียงกบั ผมนะ ๔. ผมไม่เถยี งหรอก ผมมีความเห็นว่าหนาวในข้างแรมจรงิ

220 สทั ทสังเขป ๕. ไม่ใช่ ในเวลาทลี่ มพัดมา ข้างขน้ึ ก็ดี ข้างแรมก็ดี ยอ่ มหนาว ๖. ทา่ นแพ้ ผมชนะ ๗. ไมใ่ ช่ แพท้ ง้ั สองน่ันแหละ ๘. ไม่จริง ชนะทั้งสองน่นั แหละ ๑๒๐. บทเรยี นที่ ๑๐ โสภนาโสภนววิ าทวตถฺ ุ ๑. คงคฺ ายมนุ านํ สมาคมฏฺาเน มจฺฉา วสนตฺ ิ, คงฺเคยฺโย จ ยามเุ นยโฺ ย จ. ๒. เอกทา เตสํ โสภนาโสภนํ นิสฺสาย ววิ าโท โหต.ิ ๓. คงเฺ คยฺโย อาห - \"อหํ โสภาม.ิ ตฺวํ น โสภสี\" ติ. ๔. ยามุเนยฺโยปิ อาห- \"น ตวฺ ํ โสภสิ, อหเมว โสภาม\"ี ต.ิ ๕. เต คงฺคาตเี ร เอกํ กจฺฉปํ นิปนฺนํ ทสิ ฺวา ตสสฺ สนตฺ กิ ํ คนตฺ ฺวา ปุจฉฺ ึสุ- \"กึ นุ โข สมมฺ กจฉฺ ป คงฺเคยฺโย โสภต,ิ อทุ าหุ ยามุเนยฺโย\" ติ. ? ๖. อถ กจฉฺ โป อาห- \"คงฺเคยฺโยปิ โสภติ, ยามุเนยฺโยปิ โสภติ. ตุมฺเหหิ ปน ทฺวีหิ อหเมว อตเิ รกตรํ โสภามี\" ต.ิ คาถา โสภติ มจโฺ ฉ คงฺเคยโฺ ย อโถ โสภติ ยามโุ น, จตปุ ฺปโท' ยํ ปุริโส นิโคฺรธปริมณฺฑโล, อีสมายตคโี ว จ สพเฺ พว อติโรจต.ิ

การฝึกอ่าน เขียน และพดู บาฬี 221 ค�ำแปลคาถา มจฺโฉ อ.ปลา คงฺเคยฺโย ตัวเกิดในแม่น้�ำคงคา โสภติ ย่อมงดงาม อโถ อื่น จากนั้น มจฺโฉ อ.ปลา ยามุโน ตัวเกิดในแม่น�้ำยมุนา โสภติ ย่อมงดงาม อยํ ปุรโิ ส อ.บรุ ษุ นี้ คอื เรา จตปุ ปฺ โท ผมู้ ีสีเ่ ทา้ นโิ ครฺ ธปรมิ ณฺฑโล ผ้มู ตี วั กลมประดุจต้นไทร อีสมายตคโี ว จ (อสี ํ + อายตคโี ว จ) ผูม้ กี า้ นคอยาวเลก็ นอ้ ย อติโรจติ ย่อมงามล่วง สพฺเพว ซึ่งพวกเธอ ท. ทงั้ ปวงนัน้ เทยี ว ฯ แบบฝกึ หัด (ญ) ๑. ปลาสองตัวคอื ปลาตัวเกดิ ในแม่น้ำ� ปิง และปลาตวั เกิดในแมน่ �้ำวัง อาศัยอยู่ ที่ ปากน�้ำของแมน่ ำ้� ท้ังสอง ๒. เต่าใหญต่ ัวหนง่ึ นอนอยู่ริมฝง่ั แม่นำ�้ ปงิ ๓. เตา่ ส�ำคัญวา่ ตัวหลอ่ กวา่ ปลา ท. ๔. แท้ทจ่ี รงิ ปลาซ่ึงไม่มเี ท้า ย่อมงดงามกว่าเต่าซง่ึ มี ๔ เท้า เสียอีก ๕. การทนงตัว เป็นธรรมดาของสัตวโ์ ลก ๖. เพราะฉะนัน้ เมอ่ื ทา่ นเทียบตวั เองดแู ล้ว ไมพ่ ึงดหู มน่ิ คนอ่ืน จบการฝกึ เขยี นบาลีเบ้ืองต้น

222 ขอ้ ความตอนทา้ ยหนงั สือ ขอ้ ความตอนทา้ ยหนงั สอื ๑๒๑. ประโยคพเิ ศษ ประโยคพิเศษ ๆ ในพระบาลี อรรถกถาและฎีกายังมีอยู่อีกมาก ที่มิได้อธิบายไว้ใน ปาฬิสิกขา ดังนั้น ขา้ พเจา้ จักน�ำมาอธิบายไวใ้ นท่นี ้ี พรอ้ มท้งั ตัวอยา่ งตามพระบาลี เพือ่ จะได้ เปน็ ประโยชนต์ อ่ นกั ศกึ ษาใหมผ่ ปู้ ระสงคจ์ ะเรยี นพระไตรปฎิ กตอ่ ไป ดงั นน้ั จงึ จะแสดงประโยค อนาทร ก่อน ประโยคอนาทร ประโยคอนาทร ก็คือการรวมประโยค ๒ ประโยค ให้เป็นประโยคเดียวกัน, พึงดู ตวั อยา่ งขา้ งล่าง จะเข้าใจได้โดยไมย่ าก ประโยคอนาทรยิ ประโยคอนาทร (๑) ก. ทารโก รทุ นฺโต ปิตา ปพพฺ ชต.ิ เด็กเม่อื รอ้ งไห้ พอ่ กไ็ ปบวช ในที่น้ีการบวชของพ่อ แสดงให้รู้ว่าพ่อไม่อาทร (ไม่ใยดี) ลูก เพราะฉะนั้นกิริยา อาการบวชจึงเรียกว่า อนาทรกิรยิ า, และ ปิตา เปน็ กัตตาของ ปพฺพชติ จงึ เรยี กวา่ อนาทร- วนฺตวุตตฺ กตฺตา (กตั ตาท่ีถกู กิรยิ าไม่เอ้อื เฟอ้ื กลา่ วถึง) สว่ น รทุ นฺโต การรอ้ งไห้ของลกู ผู้ถูกทอดทิง้ จงึ เรยี กว่า อนาทรยิ กิริยา, และ ทารโก เปน็ กัตตาของ อนาทริยกริ ิยา จงึ เรยี กว่า อนาทรยิ วนตฺ วตุ ตฺ กตตฺ า ถา้ หากตอ้ งการท�ำประโยคทั้งสองนี้ใหเ้ ปน็ ประโยคเดียวกนั (ประโยคอนาทร) จะต้อง เปลี่ยนกัตตาและกิริยาของประโยค อนาทริย ให้เป็น ฉัฏฐี หรือสัตตมีวิภัตติ และต้องมี ลงิ ค์ วจนะ เหมอื นกนั สว่ นประโยคอนาทร ใหอ้ ยคู่ งรปู เดมิ ไมต่ อ้ งเปลย่ี นแปลงประโยคอนาทร ฉัฏฐวี ภิ ตั ติ ให้แปลว่า เมือ่ , สตั ตมวี ภิ ัตติ แปลว่า ครนั้ เม่อื ดตู ัวอย่างขา้ งลา่ ง ข. ทารกสฺส รทุ โต, ปิตา ปพพฺ ชติ (ฉฏั ฐ)ี เม่ือเดก็ รอ้ งไหอ้ ย,ู่ อ.พ่อ ยอ่ มบวช ค. ทารเก รุทนฺตสฺม,ึ ปิตา ปพพฺ ชต.ิ (สัตตม)ี ครั้นเมื่อเดก็ ร้องไหอ้ ย,ู่ อ.พอ่ ยอ่ มบวช ข้อ ก. สมมุติเรียกว่า ประโยคอนาทริย อนาทร เพราะว่าจะเป็นแน่นอนในข้อ ข. และ ค.

ประโยคพเิ ศษ 223 ขอใหน้ กั ศึกษาจงฝึกท�ำตัวอย่างต่อไปน้ี (๒) ก. เวสฺสนตฺ โร เปกฺขนโฺ ต, ชชู โก ทารเก เนติ. ข. เวสฺสนฺตโร เปกขฺ นฺโต, ชูชโก ทารเก เนติ. ค. เวสฺสนฺตโร เปกขฺ นฺโต, ชูชโก ทารเก เนต.ิ เมื่อพระเจ้าเวสสันดร ทอดพระเนตรอยู่, อ.พราหมณ์ชูชก ย่อมน�ำไป ซ่ึงเด็ก ท. ครั้นเม่ือพระเจา้ เวสสนั ดร ... (๓) ก. มหาชโน เปกขฺ มาโน, มจจฺ ุ คิลานํ เนติ. ข. มหาชโน เปกฺขมาโน, มจฺจุ คลิ านํ เนติ. ค. มหาชโน เปกขฺ มาโน, มจจฺ ุ คลิ านํ เนติ. เมื่อมหาชน มองดูอยู,่ อ.ความตาย ย่อมน�ำไป ซ่งึ คนไข้ คร้นั เมือ่ มหาชน ... ในข้อ ก. บทอนาทริยกิริยา แสดงไว้เป็น กิตกิริยา (อนฺต, มาน ปัจจัย) เช่น เปกขฺ นโฺ ต เป็นต้น กเ็ พ่อื ให้นกั ศึกษาสังเกตเห็น ลิงค์ วจนะ วภิ ัตติตรงกนั . แมเ้ ป็นอาขยาต- กริ ยิ า เชน่ เวสสฺ นตฺ โร เปกขฺ ติ เมอื่ จะท�ำเปน็ ประโยคเดยี วกนั (อนาทร) กใ็ หเ้ ปลยี่ น อาขยาต- กิริยานั้น มาเปน็ กติ กริ ิยา (อนตฺ , มาน ปจั จยั ) ฉฏั ฐี หรือสัตตมีวิภัตติ เหมือนกนั อยา่ งนี้ ประโยคอนาทร กัมมวาจก บางครงั้ ประโยคอนาทร มอี นาทริยกิรยิ าเป็น กมฺมวาจก เพราะฉะนนั้ บทกรรมและ บทอนาทริยกิรยิ า ตอ้ งเป็น ฉฏั ฐี หรือ สัตตมวี ิภตั ติ สว่ นบท กัตตา (อนภิหติ กัตตา) ของ อนาทรยิ กริ ิยา จะตอ้ งเปน็ ตติยาวภิ ตั ติ หรือฉฏั ฐวี ภิ ตั ตเิ สมอ พงึ ดูตวั อย่างตอ่ ไปน.ี้ ประโยคอนาทริย ประโยคอนาทร กตั ตา กมั มะ กิรยิ า (๑) ก. มยา โอวาโท ทยี มาโน. ตํ ตฺวํ น สโุ ณสิ. ข. มยา โอวาทสสฺ ทียมานสฺส ตํ ตฺวํ น สโุ ณสิ ค. มยา โอวาทสมฺ ึ ทยี มานสฺมึ ตํ ตฺวํ น สโุ ณสิ. เมอื่ โอวาท อันเรา ให้อยู,่ อ.เธอ ย่อมไมฟ่ ัง ซึง่ โอวาทน้นั คร้ันเม่อื โอวาท ... (ในที่น้ี ทียมาน เป็นกิริยากัมมะวาจก ดังนั้น มยา อันเป็นบท กัตตา แม้มาอยู่ใน ข้อ ข. กไ็ ม่ต้องเปลี่ยนแปลง)

224 ข้อความตอนท้ายหนังสือ ในทนี่ ้บี ทวา่ โอวาทสฺส กบั ตํ สองบทนีก้ ลา่ วเนอื้ ความเดยี วกัน จะเขียนให้มวี ภิ ัตติ ต่างกันอย่างที่แสดงมาแล้วนี้ก็ไม่ผิด แต่ขอให้นักศึกษาทราบว่า ยังสามารถเขียนได้อีกสอง วธิ ี คือ บทท่มี ีเน้อื ความเดยี วกันก็ตอ้ งเขียนใหม้ ีลิงค์ วจนะ วิภตั ตเิ หมอื นกันเป็น มยา โอวาทํ ทียมานํ ตํ ตวฺ ํ น สโุ ณส,ิ อกี อยา่ งหน่ึง เปน็ มยา โอวาทํ ทยี มานํ ตวฺ ํ น สโุ ณสิ. ทง้ั สองวิธนี ้ี เรยี กว่า ทตุ ิยาตุลฺยาธิกรณวเิ สสนวิเสสย มใี ช้มากในพระบาลี อรรถกถา และฎกี า (๒) ก. พทุ เฺ ธน ธมมฺ า เทสยิ มานา. เอกจฺเจ ภกิ ขฺ ู สยนฺติ. ข. พุทเฺ ธน ธมมฺ านํ เทสยิ มานานํ เอกจเฺ จ ภกิ ขฺ ู สยนตฺ ิ. ค. พทุ ฺเธน ธมเฺ มสุ เทสิยมาเนสุ เอกจฺเจ ภิกขฺ ู สยนตฺ .ิ อ.พระธรรม ท. อนั พระพุทธเจ้า ทรงแสดงอยู่, อ.ภกิ ษุ ท. บางพวก ยอ่ มนอน. เมื่อพระธรรม ท. อันพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงอย่,ู อ.ภิกษุ ท. บางพวก ย่อมนอน. คร้นั เม่อื พระธรรม ท. อนั พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงอย่,ู อ.ภกิ ษุ ท. บางพวก ยอ่ มนอน. (ในทน่ี ้บี ทกรรม (ธมฺมานํ) เป็นพหพุ จน์ ปุงลิงค์ บทอนาทรยิ กริ ิยา กต็ อ้ งเปน็ พหุพจน์ ลิงคเ์ ดยี วกัน) ประโยคลักขณะ ประโยคลกั ขณะกม็ สี องประโยค เหมอื นประโยคอนาทร คอื เปน็ ลกั ขณะประโยคหนงึ่ (ประโยคของผู้จดจ�ำ) เปน็ ลกั ขยะ ประโยคหนง่ึ (ประโยคถกู จดจ�ำ) และประโยคลักขณะนี้ ต้องเป็นสัตตมีวิภัตติอย่างเดียว แปลว่า คร้ันเม่ือ ในประโยคลักขณะที่มีลักขณกิริยาเป็น กัมมวาจก บทกรรม (ลกขฺ ณวนฺตวตุ ตฺ กมมฺ ) ก็ตอ้ งมีลงิ ค์ วจนะ วภิ ตั ติ เหมอื นกับ ลกั ขณกิรยิ า เช่นเดยี วกนั กับประโยคอนาทร พงึ ดูตวั อย่างตอ่ ไปนี้. ประโยคลกั ขณะ ประโยคลกั ขยะ ๑. ก. โพธสิ ตฺโต ชายมาโน มาตา ปโมทติ. ข. โพธสิ ตเฺ ต ชายมาเน, มาตา ปโมทต.ิ อ.พระโพธสิ ตั ว์ ประสูตอิ ย,ู่ อ.พระมารดา ย่อมยินดีย่งิ ครน้ั เมอื่ พระโพธิสตั ว์ ประสตู ิอยู่, อ.พระมารดา ย่อมยินดยี ิ่ง ๒. ก. ภิกฺขู ภุตฺตา ปรุ ิโส ปจจฺ าคจฺฉต.ิ ข. ภิกฺขสู ุ ภุตเฺ ตส,ุ ปรุ โิ ส ปจจฺ าคจฉฺ ติ. อ.ภิกษุ ท. ฉันแล้ว, อ.บุรุษ ย่อมกลบั มา ครั้นเม่ือภกิ ษุ ท. ฉนั แลว้ , อ.บรุ ุษ ย่อมกลบั มา

ประโยคพเิ ศษ 225 ๓. ก. ปุตฺโต มโต. มาตา โรทต.ิ ข. ปุตฺเต มเต, มาตา โรทต.ิ อ.บตุ ร ตายแลว้ . อ.มารดา ย่อมร้องไห้. ครัน้ เมือ่ บตุ ร ตายแลว้ , อ.มารดา ยอ่ มร้องไห้. ๔. ก. มาตา มตา. ปุตฺโต โรทต.ิ ข. มาตยุ า มตาย ปตุ โฺ ต โรทต.ิ อ.มารดา ตายแล้ว. อ.บุตร ยอ่ มรอ้ งไห.้ คร้ันเมอื่ มารดา ตายแลว้ , อ.บตุ ร ยอ่ มรอ้ งไห.้ ๕. ก. พรฺ หมฺ ทตฺโต รชฺชํ กาเรนโฺ ต, โพธสิ ตฺโต พรฺ าหฺมณกุเล นิพพฺ ตตฺ .ิ ข. พฺรหมฺ ทตเฺ ต รชฺชํ กาเรนฺเต, โพธสิ ตโฺ ต พรฺ าหฺมณกเุ ล นพิ ฺพตฺต.ิ อ.พระเจ้าพรหมทตั ต์ (มหาชเนน ยงั มหาชน) ใหก้ ระท�ำอย่ซู ง่ึ ความเปน็ แห่ง พระราชา, อ.โพธิสัตว์ บงั เกดิ แล้ว ในตระกูลของพราหมณ์ คร้นั เมือ่ พระเจา้ พรหมทัตต์ (ยงั มหาชน) ใหก้ ระท�ำอยู่ ซงึ่ ความเป็นแห่งพระ ราชา, อ.พระโพธิสตั ว์ บังเกิดแลว้ ในตระกูลของพราหมณ์ ๖. ลกั ขยกิริยา กมั มวาจก ก. มาตา มตา. ตฺวํ เม มาตา วิย ลทโฺ ธ. ปติ า มโต. ตวํ เม ปิตา วิยา ลทโฺ ธ. ข. ตวฺ ํ เม มาตริ มตาย มาตา วิย, ปิตริ มเต ปติ า วิย ลทโฺ ธ. อ.มารดา ตายแล้ว, อ.ทา่ น อันเรา ไดแ้ ลว้ เพยี งดังแม,่ อ.บิดา ตายแลว้ , อ.ทา่ น อนั เราไดแ้ ล้ว เพยี งดงั พอ่ อ.ทา่ น คร้ันเม่อื มารดา ตายแลว้ อันเรา ได้แลว้ เพยี งดงั มารดา, อ.ทา่ น คร้ัน เมอื่ บิดา ตายแลว้ อันเรา ได้แล้ว เพียงดังบดิ า ในทน่ี ี้ ลทโฺ ธ เปน็ ลกขฺ ฺยกริ ิยา กมฺมวาจก จงึ ตอ้ งมีบทกรรม (ลกฺขฺยวนฺตวตุ ฺตกมฺม) เปน็ ปฐมาวิภตั ตเิ หมือนกัน, และมีประโยคลักขณะ คอื มาตริ มตาย และมี มาตา อันเปน็ อปุ มาของกรรม คอื ตวฺ ํ อยใู่ นภายในของประโยคลกฺขฺย ขอให้นกั ศกึ ษาพึงพจิ ารณาให้ดี ๗. ลักขณกิรยิ า กมั มวาจก ก. กพโฬ อนาหโต, น มขุ ทวฺ ารํ วิวริสสฺ ามิ. ข. น อนาหเต กพเฬ, มขุ ทฺวารํ ววิ รสิ ฺสามิ. คร้ันเมื่อค�ำข้าว ยงั ไมถ่ ูกน�ำมา, อ.เรา จักไม่อา้ ปาก. ในที่นี้ อนาหเต เปน็ ลักขณกิรยิ า กัมมวาจก กพเฬ จึงเป็นลกั ขยวันตวตุ ตกมมะ

226 ข้อความตอนทา้ ยหนงั สอื ปฐมาลกั ขณะ (ประโยคลกั ขณะทีเ่ ปน็ ปฐมาวิภัตติ) นักศึกษาพึงสังเกตตัวอย่างของประโยคอนาทร และประโยคลักขณะทั้งสองน้ัน ประโยคหนึ่ง ๆ จะต้องมีบทกริ ิยา ๒ บท และมีบทกัตตา ๒ บท มสี ภาพต่างกัน คอื ไมใ่ ช่ คน ๆ เดียวกนั ส่วนตัวอย่างที่จะแสดงต่อไปน้ีก็มีบทกิริยา ๒ บท เช่นกัน แต่บทกัตตามีสภาพ เหมอื นกัน คือ เป็นคน ๆ เดยี วกนั หากมีลักษณะเชน่ นี้ บทกัตตากด็ ี บทลกั ขณะกริ ิยาก็ดี ไม่ต้องลงสัตตมวี ภิ ตั ติ ให้ลงปฐมาวิภตั ติ และลบบทกตั ตาเสียบทหนง่ึ ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี กตั ตา กตั ตา ๑. อหํ ท่ามะโออาราเม วิหรนโฺ ต, อหํ อมิ ํ ปาฬิสกิ ฺขํ อคุ ฺคณหฺ าม.ิ มยิ ท่ามะโออาราเม วหิ รนเฺ ต, อหํ อมิ ํ ปาฬสิ กิ ฺขํ อุคคฺ ณหฺ าม.ิ (ผดิ ) อหํ ทา่ มะโออาราเม วหิ รนโฺ ต อมิ ํ ปาฬสิ ิกขฺ ํ อคุ คฺ ณหฺ าม.ิ (ถูก) อ.เรา เม่ืออยู่ ในวัดทา่ มะโอ, อ.เรา ย่อมเรยี น ซึ่งปาฬสิ กิ ขาน้ี ครนั้ เมอ่ื เรา อยู่อยู่ ในวัดท่ามะโอ, อ.เรา ย่อมเรยี น ซ่ึงปาฬสิ กิ ขาน.ี้ (ผิด) อ.เรา เมื่ออยู่ ในวัดทา่ มะโอ ย่อมเรยี น ซงึ่ ปาฬสิ กิ ขาน.ี้ (ถกู ) ๒. สามเณโร คามํ คโต, โส (สามเณโร) ปณิ ฑฺ ํ ลภต.ิ สามเณเร คามํ คเต, โส (สามเณโร) ปณิ ฺฑํ ลภต.ิ (ผดิ ) สามเณโร คามํ คโต ปิณฑฺ ํ ลภต.ิ (ถกู ) อ.สามเณร ไปแลว้ สบู่ า้ น. อ.สามเณรนนั้ ย่อมได้ ซึง่ กอ้ นขา้ ว. ครน้ั เมือ่ สามเณร ไปแล้ว สู่บ้าน, อ.สามเณรน้ัน ยอ่ มได้ ซ่งึ ก้อนขา้ ว. (ผดิ ) อ.สามเณร ไปแล้ว สบู่ า้ น ยอ่ มได้ ซง่ึ ก้อนขา้ ว. (ถูก) นักศึกษาพึงจดจ�ำไว้ว่า ประโยคลักขณะ ที่มีกัตตา ๒ ตัว มิใช่คน ๆ เดียวกัน บทกัตตาและกิริยาของประโยคลักขณะ จะต้องลงสัตตมวี ภิ ัตติ หากมีกตั ตา ๒ ตัวเปน็ คน ๆ เดยี วกนั ตอ้ งลงปฐมาวิภตั ติ เพราะฉะน้ัน ถ้าจะเขียนประโยคลักขณะ ก็ต้องท�ำให้เป็น ๒ ประโยคก่อน แล้วดู กัตตาต่างกันหรือเหมือนกัน ถ้าต่างกันต้องลงสัตตมีวิภัตติในบทลักขณวันตกัตตา และ ลักขณกิริยา. ถา้ กตั ตา (ประธาน) คนเดียวกนั ก็ต้องลงปฐมาวิภตั ติ ตามทกี่ ลา่ วมาแล้วน้ัน

ประโยคพิเศษ 227 วุตฺต, อวตุ ฺต ในประโยคกตั ตวุ าจก บทกัตตา ตอ้ งลงปฐมาวิภัตติ และบทกรรม ตอ้ งลงทตุ ิยา หรอื ฉฏั ฐวี ภิ ตั ติ. สว่ นในประโยคกัมมาวาจก บทกรรม ตอ้ งลงปฐมาวิภัตติ และบทกตั ตา ตอ้ งลง ตติยา หรอื ฉัฏฐีวภิ ตั ติ ตามที่ได้กล่าวมาแลว้ บททล่ี งปฐมาวิภัตติ เรยี กวา่ วุตฺต คือ ประธาน สว่ นบทท่ลี งทุตยิ าฉฏั ฐี และตตยิ า วิภตั ติ เรียกวา่ อวุตตฺ ดังนน้ั ในประโยคกัตตุวาจก บทกัตตา เปน็ วตุ ตกตั ตา และบทกรรม เป็น อวุตตกัมมะ ส่วนในประโยคกัมมวาจก บทกรรมเป็น วุตตกัมมะ และบทกัตตาเป็น อวุตตกตั ตา เช่น ๑. ปุริโส มคฺคํ คจฉฺ ติ. (ปรุ โิ ส เป็น วตุ ฺตกตฺตา, มคคฺ ํ เปน็ อวตุ ฺตกมมฺ ) ๒. ปรุ เิ สน มคโฺ ค คจฉฺ ียเต. (ปุรเิ สน เปน็ อวุตฺตกตตฺ า, มคฺโค เป็น วตุ ตฺ กมฺม) บางทีในประโยคหนึ่งมีบทกรรม ๒ - ๓ บท หากอยู่ในประโยคกัตตุวาจก ก็เป็น อวุตตกมั มะทง้ั หมด ตอ้ งลงทตุ ิยาวภิ ัตติ เชน่ ๑. โคปาโล คาวึ ขรี ํ ทุหต.ิ (นายโคบาล ย่อมรดี ซ่ึงนม กะแมว่ วั ) ๒. อชปาโล อชํ คามํ เนต.ิ (คนเลี้ยงแพะ ย่อมน�ำไป ซง่ึ แพะ สูห่ ม่บู ้าน) ในประโยคกมั มวาจก หากมีบทกรรม ๒ - ๓ บท วุตตกัมมะ คอื บทท่ีลงปฐมาวภิ ัตติ กม็ ไี ดบ้ ทเดียว ทเ่ี หลอื เป็น อวตุ ตกัมมะ ตอ้ งลงทุติยาวภิ ัตติ แตม่ ีปัญหาอยวู่ ่า บทไหนเป็น วตุ ตกัมมะ บทไหนเป็น อวุตตกมั มะ น่ารจู้ ังเลย เพราะวา่ ถา้ ไม่รกู้ เ็ ขยี นไมถ่ กู แนน่ อน หากว่า นกั ศกึ ษาอยากจะรูก้ ็ตอ้ งท่องคาถานีก้ อ่ น ทหุ ยาจ รธุ ิ ปจุ ฺฉ ภกิ ขฺ สาส วจาทโย, นี วห หรมาที จ อภุ เย เต ทฺวิกมฺมกา. นิยาทีนํ ปธานญฺจ อปธานํ ทุหาทินํ, การเิ ต สุทฺธกตฺตา จ กมฺม' มาขฺยาตโคจร.ํ ธาตทุ ้งั หลาย มี ทุห, ยาจ, รุธิ, ปจุ ฺฉ, ภกิ ขฺ , สาส และ วจธาตุ เปน็ ตน้ เปน็ ทหุ าทิธาต,ุ ธาตทุ งั้ หลาย มี น,ี วห และ หร เปน็ ตน้ เปน็ นยฺ าทธิ าตุ ธาตทุ งั้ สองพวกนนั้ เป็นธาตมุ ี ๒ กรรม คอื มีบทกรรม ๒ บท ปธานกัมมะ (บทกรรมทีเ่ ป็นประธาน) ของพวก นยฺ าธิธาตุ ด้วย อปธานกมั มะ (พวก กรรมทีไ่ ม่เป็นประธาน) ของพวก ทุหาทธิ าตุ ด้วย ตอ้ งเปน็ วุตตกัมมะ ปฐมาวิภตั ติ ในประ

228 ข้อความตอนทา้ ยหนังสือ โยคกัมมวาจก. สุทธกตั ตา (ประธานในประโยคกัตตวุ าจก) เปน็ วตุ ตกมั มะ ในการติ กมั มวาจก ปจั จัย. (กริ ิยากัมมวาจกท่ีมกี าริตปัจจัย) จงดูตัวอยา่ งประกอบจะเขา้ ใจไดโ้ ดยไม่ยาก นยฺ าทธิ าตุ ๑. ก. อชปาโล อชํ คามํ เนต.ิ อ.คนเลี้ยงแพะ ย่อมน�ำไป ซึง่ แพะ สู่หมู่บา้ น ข. อชปาเลน อโช คามํ นยี เต. อ.แพะ อันคนเลยี้ งแพะ ย่อมน�ำไป ส่หู มูบ่ า้ น ๒. ก. ภารวาโห ภารํ เคหํ วหติ. อ.คนน�ำภาระ ย่อมน�ำไป ซงึ่ ภาระ สเู่ รือน ข. ภารวาเหน ภาโร เคหํ วหียเต. อ.ภาระ อันคนน�ำภาระ ย่อมน�ำไป สู่เรอื น ๓. ก. ธีตา อทุ กํ เคหํ หรติ. อ.ธดิ า ย่อมน�ำไป ซึ่งน้�ำ สูเ่ รือน ข. ธีตรา อทุ กํ เคหํ หรียเต. อ.นำ�้ อันธดิ า ยอ่ มน�ำไป ส่เู รอื น ข้อ ก. เปน็ ประโยคกัตตวุ าจก, ขอ้ ข. เป้น็ ประโยคกมั มวาจก บทท่ีมีอกั ษรตวั ด�ำใหญ่ เนน้ ประธานกมั มะ (กรรมทมี่ คี วามส�ำคญั ) เชน่ อชํ - ซงึ่ แพะ เปน็ ส�ำคญั เพราะถา้ ไมม่ แี พะ กไ็ มร่ ู้ จะน�ำอะไรไป จะน�ำบ้านไปกไ็ มไ่ ด้ ดังนน้ั ประธานกมั มะ เมอื่ อย่ใู นประโยคกัมมวาจก จึงเป็น วตุ ตกมั มะ ตอ้ งลงปฐมาวิภตั ติ (เปน็ ประธาน) ในทมี่ ีกริ ิยาเป็น นี ธาตุ, วห ธาต,ุ หร ธาตุ เปน็ ต้น ตามท่ีกลา่ วแล้วในคาถา ส่วนในทหุ าทิธาตุ บททม่ี อี ักษรตัวด�ำใหญ่ เป็นอปธานกมั มะ อปธานกมั มะนี้ เม่อื อยู่ ในประโยคกมั มวาจก ตอ้ งเปน็ วตุ ตกมั มะ จงึ ลงปฐมาวภิ ตั ติ (เปน็ ประธาน) ดตู วั อยา่ งประกอบ ทุหาทธิ าตุ ๑. ก. โคปาโล คาวึ ขีรํ ทหุ ต.ิ อ.นายโคบาล ยอ่ มรีด ซง่ึ นม กะแม่ววั ข. โคปาเลน คาวี ขรี ํ ทุยหฺ เต. อ.แมว่ ัว อันนายโคบาล ยอ่ มรดี ซ่ึงนม (แมว่ วั ถกู นายโคบาลรีดนม)

ประโยคพเิ ศษ 229 ๒. ก. พฺราหมฺ โณ เสฏฺ ึ ธนํ ยาจติ. อ.พราหมณ์ ยอ่ มขอ ซ่ึงทรพั ย์ กะเศรษฐี ข. พฺราหฺมเณน เสฏฺี ธนํ ยาจียเต. อ.เศรษฐี อนั พราหมณ์ ยอ่ มขอ ซึง่ ทรัพย์ ๓. ก. มนุสฺสา คาโว วชํ รนุ ธฺ นตฺ ิ อ.มนษุ ย์ ท. ย่อมปิด ซ่งึ คอก กะววั ท. ข. มนสุ ฺเสหิ คาโว วชํ รุนฺธียนฺเต. อ.ววั ท. อันมนษุ ย์ ท. ย่อมปดิ ซง่ึ คอก ๔. ก. เถโร ทหรํ ปญฺหํ ปจุ ฺฉต.ิ อ.พระเถระ ยอ่ มถาม ซ่งึ ปญั หา กะพระหนมุ่ ข. เถเรน ทหโร ปญฺหํ ปุจฉฺ ยี เต. อ.พระหนมุ่ อนั พระเถระ ย่อมถาม ซ่ึงปัญหา ๕. ก. ยาจโก ธนึ ภิกขฺ ํ ภกิ ฺขติ. อ.ผขู้ อ ย่อมขอ ซงึ่ อาหาร กะผู้มที รัพย์ ข. ยาจเกน ธนี ภกิ ขฺ ํ ภกิ ขฺ ียเต. อ.ผ้มู ที รพั ย์ อนั ผู้ขอ ยอ่ มขอ ซง่ึ อาหาร ๖. ก. อาจริโย สิสฺสํ ทนตฺ ํ สาสต.ิ อ.อาจารย์ ยอ่ มสอน ซงึ่ มารยาท กะศษิ ย์ ข. อาจริเยน สสิ ฺโส ทนตฺ ํ สาสิยเต. อ.ศิษย์ อันอาจารย์ ยอ่ มสอน ซ่ึงมารยาท ๗. ก. ภควา ภกิ ขฺ ู เอตํ วจนํ อโวจ. อ.พระผมู้ ีพระภาค ได้ตรสั แลว้ ซ่งึ พระด�ำรสั นี้ กะภกิ ษุ ท. ข. ภควตา ภกิ ฺขู เอตํ วจนํ อวจียู. อ.ภิกฺษุ ท. อนั พระผู้มีพระภาค ไดต้ รสั แล้ว ซงึ่ พระด�ำรสั นี้ หมายเหตุ : ขอ้ ก. เปน็ ประโยคกตั ตุวาจก, ข้อ ข. เปน็ ประโยคกมั มวาจก ประโยคการติ ปจั จยั ๔ ตัวน้ี คือ เณ, ณฺย, ณาเป, ณาปย เรียกวา่ การิตปจั จยั (ปจั จยั แสดง การใช้เป็นต้น แปลว่า ยัง... ให้) การิตปัจจัยน้ีตัวใดตัวหนึ่งมีอยู่ในกิริยาบทใด กิริยาบทนั้นเรียกว่า การิตกิริยา และประโยคท่ีมีการิตกิริยาน้ี เรียกว่า ประโยคการิตมี ๒ คือ การติ กตั ตวุ าจก (เหตกุ ัตตุวาจก) และ การติ กมั มวาจก นักศกึ ษาผ้ตู ้องการเขา้ ใจประโยค การติ พึงท่องคาถานี้ ๑. เณณยาว อวุ ณณฺ นฺตา อาโต เทฺว ปจฺฉิมา สิย,ํุ เสสโต จตุโร เทวฺ วา วาสทฺทสฺสานวุ ตฺตโิ ต. ๒. อกมมฺ า ธาตโว โหนตฺ ิ การเิ ต ตุ สกมฺมกา, สกมมฺ กา ทวฺ กิ มฺมาสฺสุ ทวฺ ิกมมฺ า ตุ ตกิ มมฺ กา.

230 ข้อความตอนทา้ ยหนงั สือ ๑. เณ และ ณยฺ ปจั จัย ๒ ตวั ต้องลงหลงั ธาตุที่มี อ,ุ อู เปน็ ท่สี ุด เช่น สาเวต,ิ สาวยต,ิ ย่อมใหฟ้ ัง. (สุ+เณ+ติ, ส+ุ ณยฺ +ต)ิ ภาเวต,ิ ภาวยติ, ยอ่ มให้มี. (ภ+ู เณ+ต,ิ ภ+ู ณยฺ +ติ) ณาเป และ ณาปยปัจจยั ๒ ตัวหลังจากธาตุทีม่ ี อา, อ,ิ อี และ เอ เปน็ ทส่ี ดุ เชน่ ทาเปติ, ทาปยติ ยงั ... ให้ให.้ (ทา+ณาเป+ติ, ทา+ณาปย+ต)ิ สยาเปต,ิ สยาปยต.ิ ยัง... ใหน้ อน. (สิ+ณาเป+ต,ิ ส+ิ ณาปย+ติ) นยาเปติ นยาปยติ... ให้ไป. (นี+ณาเป+ต,ิ น+ี ณาปย+ต)ิ หลังจากธาตุท่ีมีพยัญชนะเป็นท่ีสุด (สระหลังถูกลบแล้ว) ลงการิตปัจจัยได้ท้ัง ๔ ตัว หรือเฉพาะ ๒ ตัวหน้า เช่น กาเรติ, การยติ, การาเปติ, การาปยติ. ยงั ... ใหท้ �ำ (กร+เณ, +ณยฺ , +ณาเป, +ณาปย) ทเมต,ิ ทมยติ. ยงั ... ใหฝ้ ึก. (ทมุ+เณ,+ณฺย) ๒. กริ ยิ า (ธาต)ุ ทไี่ มม่ กี รรม ถา้ ลงการติ ปจั จยั แลว้ กเ็ ปน็ กริ ยิ ามหี นง่ึ กรรม (มกี รรมบท หน่ึง) กิริยาท่ีมีหนึ่งกรรมก็เป็นกิริยามีสองกรรม กิริยาที่มีสองกรรมก็เป็นกิริยา มีสามกรรม พงึ ดตู วั อยา่ งโดยย่อต่อไป กริ ยิ า (ธาต)ุ ไมม่ ีกรรม เปน็ กิริยามี ๑ กรรม ๑. ก. กสุ ลํ ภวต.ิ อ.กุศล ย่อมเกดิ ข. สามเณโร กสุ ลํ ภาเวติ. อ.สามเณร ยงั กศุ ล ย่อมใหม้ ี (เกดิ ) ค. สามเณเรน กสุ ลํ ภาวียเต. อ.กุศล อนั สามเณร ย่อมให้มี (เกิด) กริ ิยามีหน่ึงกรรม เป็นกริ ิยามีสองกรรม ๒. ก. ปรุ ิโส มคคฺ ํ คจฺฉต.ิ อ.บรุ ุษ ยอ่ มไป สหู่ มู่บา้ น ข. สามโิ ก ปรุ ิสํ คามํ คมยต.ิ อ.นาย ยังบุรษุ ย่อมให้ไป สหู่ นทาง ค. สามเิ กน ปุรโิ ส คามํ คมาปิยเต. อ.บุรษุ อันนาย ย่อมให้ไป ส่หู นทาง

ประโยคพเิ ศษ 231 กิรยิ ามีสองกรรม เป็น กิริยามสี ามกรรม ๓. ก. โคปาโล คาวึ ขรี ํ ทหุ ติ. อ.นายโคบาล ยอ่ มรดี ซง่ึ นม กะแม่ววั ข. สามิโก โคปาลํ คาวึ ขรี ํ ทุหาเปติ. อ.นาย ยังนายโคบาล ยอ่ มใหร้ ีด ซ่งึ นม กะแมว่ วั ค. สามิเกน โคปาโล คาวึ ขีรํ ทุหาปิยเต. อ.นายโคบาล อันนาย ย่อมให้รีด ซึ่งนม กะแมว่ ัว อธบิ าย ข้อ ก. ในข้อ ๑ - ๒ - ๓ เป็นประโยคสทุ ธกตั ตา, ขอ้ ข. เปน็ ประโยคการติ กัตตุวาจก (เหตุกัตตวุ าจก), ขอ้ ค. เปน็ ประโยคการิตกัมมวาจก (เหตกุ มั มวาจก), ขอใหน้ ักศึกษาสงั เกตุ บท กสุ ลํ ปรุ โิ ส และ โคปาโล ในขอ้ ก. เป็นสุทธกัตตุ ปฐมาวิภัตติ เม่ือมาอยู่ในประโยค การติ กัตตุวาจก ขอ้ ข. ก็เปน็ การิตกมั มะ ทตุ ยิ าวภิ ัตติ และเม่ือมาอย่ใู นประโยคการิตกมั ม- วาจก ข้อ ค. กลับเปน็ วุตตกมั ม ปฐมาวิภตั ติ (เป็นประธานอีก), ดังที่กล่าวมาแล้วในคาถาว่า \"การิเต สทุ ฺธกตตฺ า จ, กมมฺ มาขยฺ าตโคจร.ํ สว่ นบทกิริยาวา่ ภวติ คจฺฉติ และ ทุหติ ในข้อ ก. เปน็ กิรยิ าไม่มกี รรม, มี ๑ กรรม และ มี ๒ กรรมตามล�ำดับ เมอ่ื ลงการิตปัจจยั แลว้ เป็นกิรยิ ามี ๑ กรรม ๒ กรรม และ ๓ กรรม ตามล�ำดบั นเี้ ป็นความพเิ ศษของการติ ปัจจยั นักศึกษา จงเปล่ียนตัวอย่างของประโยค นฺยาทิธาตุ และทุหาทิธาตุท่ีผ่านมาแล้ว ให้เป็นประโยคการติ กัตตุวาจกและการติ กมั มวาจกเพื่อความช�ำนาญในการเขียนประโยคบาลี บทการิตกมั มะ ทนิ่ี ิยมใช้ ในประโยคการติ กตั ตุวาจก (เหตุกตั ตวุ าจก) บทการิตกมั มะ ลงตติยา และฉัฏฐวี ิภตั ติ กไ็ ด้ ดังนั้น บทการิตกัมมะจึงมีได้ ๓ วิภัตติ เช่น ๑. สามิโก ปุริสํ มคฺคํ คมยติ. (ทตุ ยิ า) ๒. สามิโก ปุรเิ สน มคคฺ ํ คมยติ. (ตติยา) ๓. สามโิ ก ปุรสิ สสฺ มคฺคํ คมยติ. (ฉัฏฐ)ี

232 ขอ้ ความตอนทา้ ยหนังสอื ท้ัง ๓ วิภัตตินั้น ในพระบาลี อรรถกถา และ ฎีกา นยิ มใชต้ ตยิ าวภิ ตั ตเิ ป็นส่วนมาก ตัวอย่างเชน่ ๑. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ตนตฺ วาเยหิ จวี รํ วายาเปยยฺ . ก็ อ.ภิกษุใด ยังช่างทอ ท. พึงให้ทอ ซึ่งจีวร. ๒. โย ปน ภกิ ฺขุ อญฺาตกิ าย ภกิ ขฺ นุ ิยา ปุราณจีวรํ โธวาเปยยฺ วา. ก็ อ.ภกิ ษุใด ยังนางภิกษุณี ผูไ้ ม่ใช่ญาติ พงึ ใหซ้ ัก ซ่ึงจวี รเก่าหรือ ๓. เต ภกิ ฺขู อนปุ สมปฺ นฺเนน กปฺปิยํ การาเปตฺวา ปริภญุ ฺชึสุ. อ.ภิกษุ ท. เหล่านนั้ ยงั อนปุ สัมบัน ใหท้ �ำแล้ว ให้เปน็ กปั ปยิ ะ ฉนั แลว้ ๔. (ภกิ ขฺ ุ) ปเรหิ วปิ ปฺ กตํ (กฏุ )ึ ปเรหิ ปรโิ ยสาเปต.ิ (อ.ภกิ ษ)ุ ยังคน ท. เหล่าอื่น ใหส้ �ำเรจ็ (ซ่ึงกฏุ ี) อนั บคุ คลอน่ื กระท�ำคา้ งไว้ สกฺกา กาตุํ ในประโยคทมี่ ี สกกฺ า กาตํุ เปน็ ได้ ๒ นยั คอื กมั มวาจก และ ภาววาจก, ในทมี่ บี ทกรรม ลงปฐมาวิภตั ติเปน็ ประธานและบทกัตตาลง ตติยาวิภตั ติ (ตติยากัตตา ปฐมากมั มะ) ประโยค น้ีเป็น กัมมวาจก, ก็ประโยคกัมมวาจกนั่นเอง หากเปล่ียนบทกรรมปฐมาวิภัตติให้เป็น ทตุ ยิ าวิภัตติ (อวตุ ตกัมมะ) ก็เป็นประโยคภาววาจก, พงึ ดตู วั อย่างประกอบ ๑. ก. สมณธมฺโม นาม สรีรํ ยาเปนเฺ ตน สกกฺ า กาตุํ. (กัมมวาจก) ช่ือ อ.สมณธรรม อันบคุ คล ผู้ยังสรรี ะ ให้เปน็ ไปอยู่ อาจ เพอื่ อนั กระท�ำ ข. สมณธมฺมํ นาม สรรี ํ ยาเปนเฺ ตน สกกฺ า กาตุ.ํ (ภาววาจก) อนั บุคคล ผู้ยงั สรรี ะ ให้เป็นไปอยู่ อาจ เพือ่ อนั กระท�ำ ช่อื ซ่ึงสมณธรรม หมายเหตุ ที่กล่าวว่าประโยค สกฺกา กาตุํ ที่มีบทกรรมลง ปฐมาวิภัตติ (เป็นประธาน) และ บทกัตตาลงตติยาวิภัตติเป็นประโยคกัมมวาจกน้ัน เป็นการกล่าวเพื่อให้นักศึกษาจดจ�ำ ลักษณะได้โดยง่ายเท่านั้น หากกล่าวโดยสภาพจริงแล้วก็ไม่ใช่กัมมวาจกเพียงแต่มีลักษณะ เหมอื นกมั มวาจก เพราะวา่ ประโยคนี้มกี ริ ิยา ๒ บทคือ สกฺกา เป็นกตั ตวุ าจก (เป็นกริ ยิ าใหญ่ คล้ายกิริยาอาขยาต) บทหน่ึง, และ กาตํุ เป็นกิตกิริยาภาววาจกบทหนึ่ง เมื่อ สกฺกา เป็น กตั ตวุ าจก กต็ อ้ งมกี ตั ตา (ประธาน) ทเ่ี ปน็ ปฐมาวภิ ตั ติ เรยี กวา่ วตุ ตกตั ตา ในทนี่ ค้ี อื สมณธมโฺ ม และในขณะเดยี วกนั สมณธมโฺ ม บทนีก้ เ็ ป็นบทกรรมของ กาตุํ เมอื่ เปน็ เช่นน้ีจะลง ทุติยา-

ประโยคพเิ ศษ 233 วิภัตตเิ ปน็ สมณธมมฺ ํ เปลีย่ นเป็นประโยคภาววาจกกไ็ ด้ กาตํุ เป็นกิริยาภาววาจกก็ต้องมีบทกัตตาเป็น ตติยาวิภัตติ ในที่น้ีคือ ยาเปนฺเตน และ สรรี ํ เปน็ บทกรรมของ ยาเปนฺเตน จึงลงทตุ ยิ าวภิ ตั ติ. นกั ศึกษาพึงจ�ำไว้ประโยคท่มี ีกิรยิ า ๒ บท ๆ หน่ึงเป็น ตุํ ปัจจัย และบทหน่ึงเป็นกิริยาอื่น ต้องมีลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วนี้ หมายความวา่ สกฺกา และ กาตํุ สองบทนี้ เมอ่ื รวมกนั แล้ว ก็มีสภาพเท่ากบั กาตพฺโพ แต่ จะกล่าวว่า สกฺกา เป็นกัมมวาจกไม่ได้ เพราะถ้าเป็นกัมมวาจกแล้ว บทกัตตาของ สกฺกา (สมณธมฺโม) จะเปล่ียนไปลงทุติยาวิภัตติไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประโยคภาววาจก (ข้อ ข.) ก็มีไม่ได้. ท้ังสองประโยคน้ัน ประโยค(ท่ีเหมือน)กัมมวาจกมีมากในพระบาลี อรรถกถา และฎีกา พงึ ดตู ัวอย่างต่อไป ๒. พทุ ธฺ านํ ชีวติ สสฺ น สกกฺ า เกนจิ อนฺตราโย กาต.ุํ อ.อันตราย แหง่ ชีวติ ของพระพุทธเจา้ อนั ใคร ๆ ไมอ่ าจ เพ่อื จะกระท�ำ ๓. อมเฺ หหิ อานนทฺ ํ วินา สงฺคตี ิ น สกฺกา กาตุ.ํ อ.สังคายนา อันเรา ท. เวน้ ซ่ึงพระอานนท์ ไมอ่ าจ เพ่ือจะกระท�ำ ๔. น สกฺกา โส (ธมโฺ ม) อาคารมชฺเฌ วสนฺเตน ปเู รตุํ. อ.สมณธรรมนน้ั อันเรา ผ้อู ยู่ ในทา่ มกลางบ้าน ไมอ่ าจ เพอ่ื อันให้เต็ม ๕. น สกฺกา ปรุ ิสพเลน วา ปกฺขปุ ตถฺ มฺเภน วา อการโก การโก กาต,ํุ การโก วา อการโก กาต.ุํ อ.ผไู้ มก่ ระท�ำ อนั อ�ำนาจของบรุ ษุ กด็ ี อนั ผสู้ นบั สนนุ ฝา่ ยอนื่ กด็ ี ไมอ่ าจ เพอื่ อนั กระท�ำ ใหเ้ ปน็ ผู้กระท�ำ, อ.ผูก้ ระท�ำ ฯลฯ... ให้เป็นผู้ไม่กระท�ำ ๖. เอเตหิ สทธฺ ึ กถาปปญฺเจน อตตฺ โน ปตฏิ ฺํ กาตํุ น สกกฺ า. (ภาววาจก) อนั การพดู คยุ มาก กับด้วยญาติ ท. เหลา่ น้ี ไม่อาจ เพ่ืออนั กระท�ำ ทพ่ี ง่ึ แกต่ น วฏฏฺ ตกิ ริ ิยา วฏฺฏติ ท่ีไม่ประกอบกับ ตุํปจฺจยนฺตบท (บทมี ตํุปัจจัย) เป็น อกมฺมกตฺตุวาจก (กตั ตุวาจก ที่ไม่มกี รรม) เชน่ ๑. โกณสุตฺตปฬิ กา จ จวี เร รตฺเต ทุพพฺ ิญฺเยฺยรปู า วฏฏฺ นตฺ ิ. (วิ. . ๒) สว่ นวา่ อ.ปม ด้ายทมี่ ุม ท. ครัน้ เมื่อจีวร ถูกยอ้ มแล้ว มีรูปอันบุคคลพึงรู้ได้โดยยาก ย่อมควร ๒. ตานิ (ตลิ กาทนี ิ ลญฺฉนานิ) หริตาลาทหี ิปิ น วฏฺฏนฺต.ิ อ.รอยเจิม ท. เหล่านนั้ ยอ่ มไมค่ วร แมด้ ว้ ยวตั ถุ ท. มี หรดาล เปน็ ต้น

234 ข้อความตอนทา้ ยหนังสือ ๓. กสฺมา อิตฺถริ ปู า, อติ ฺถิโผฏฺพพฺ า น วฏฏฺ นฺติ. เอเตปิ วฏฏฺ นฺต.ิ อ.รูปแห่งหญิง, อ.สมั ผัสแห่งหญิง ยอ่ มไมค่ วร เพราะเหตไุ ร ? อ.รปู และสัมผัสแหง่ หญงิ ท. แม้เหลา่ นั้น ยอ่ มควร. (ความคดิ ของพระอรฏิ ฐะ) วฏฏฺ ติ ที่ประกอบกับ ตุํปจฺจยนฺตบท เปน็ กตั ตวุ าจก กม็ ี เป็นภาววาจก และกมั มวาจก เหมอื นกับ กาตุํ สกกฺ า ก็มี เชน่ ๑. อิทานิ มยา อตฺตโน อคณุ ํ ปรเิ ยสิตุํ วฏฺฏติ. ในกาลนี้ อ.อนั - อนั เรา -แสวงหา ซึ่งสงิ่ ไมใ่ ชค่ ุณ แก่ตน ย่อมควร ๒. อิทานิ เตสํ มยา อุปการํ กาตํุ วฏฺฏติ. ในกาลนี้ อ.อนั - อนั เรา -กระท�ำ ซ่งึ อปุ การะ แก่ชน ท. เหลา่ นั้น ยอ่ มควร ๓. มยาปิ อิทานิ กาสาวํ ลทฺธํุ วฏฏฺ ติ. อ.อนั - แม้อันเรา -ได้ ซง่ึ ผ้ากาสาวะ ในกาลน้ี ยอ่ มควร ๔. เอวรูปา หิ คุณา กเถตุํ วฏฺฏนตฺ .ิ จริงอยู่ อ.คณุ ท. อนั มีสภาพอย่างนี้ ควร เพือ่ อันกล่าวได้ ๕. อามิสปฏิภาโค ทาตุํ วฏฏฺ ติ. อ.สว่ นแห่งอามิส ควร เพอ่ื ให้ ๖. เอวรูปานิ ลหุกกฺ มมฺ านิ อปโลเกตฺวาปิ ทาตุํ วฏฺฏนตฺ ิ. อ.กรรมเบา ท. อันมีสภาพอยา่ งน้ี แม้บอกเล่าแลว้ ควร เพื่อให้ ๗. อเิ มสุ ปน ปญจฺ สุ สนฺถเตสุ ปรุ มิ านิ ตีณิ วินยกมฺมํ กตวฺ า ปฏลิ ภิตฺวา ปริภญุ ชฺ ติ ํุ น วฏฏฺ นตฺ .ิ ปจฺฉิมานิ เทวฺ วฏฺฏนตฺ ิ. บรรดาสันถัต ท. ห้า เหล่านี้ อ.องค์ ท. ๓ เบื้องต้น กระท�ำวนิ ัยกรรมมาแลว้ ยอ่ มไม่ควร เพ่อื ใชส้ อย, อ.องค์ ท. สองเบื้องหลงั ย่อมควร เพอ่ื ใช้สอย ๘. ตยาปิ เอกํ ภตตฺ ารํ, อมิ ินาเปกํ ปาทปรจิ ารกิ ํ ลทฺธํุ วฏฺฏต.ิ อ.อนั - แมอ้ นั เธอ -ได้ ซง่ึ สามี คนหนง่ึ ยอ่ มควร, อ.อนั - แมอ้ นั บรุ ษุ น้ี -ได้ ซงึ่ ภรรยา คนหน่งึ ยอ่ มควร ๙. อโิ ต ปฏฺ าย มยา มคฺคํ สมํ กโรนเฺ ตน วิจรติ ุํ วฏฺฏต.ิ อ.อัน- อันเรา ผู้กระท�ำอยู่ ซงึ่ ทาง ให้เสมอ -เที่ยวไป จ�ำเดมิ แต่วนั นี้ ย่อมควร (กิริยาที่ประกอบกับบทที่มี ตํุ ปัจจัย มีลักษณะตามตัวอย่างท่ีแสดงมาแล้วนี้ แนน่ อน)

ประโยคพิเศษ 235 อปฺเปว, อปเฺ ปว นาม ประโยคท่ีแสดงถึงความสงสัยต้องใช้ อปฺเปว นาม นิบาตไว้เบ้ืองต้นของประโยค และกิริยาอาขยาตต้องเป็น สัตตมีวิภัตติ อมฺหโยค (อุตตมบุรุษ) ถ้าเป็นเอกพจน์ ต้องเป็น ฝา่ ย อตั ตโนบท หากเป็นพหพู จน์ ต้องเป็นฝา่ ยปรสั สบท ทเ่ี ป็นนามโยค (ปฐมบุรษุ ) มไี ด้บา้ ง ๑. อปฺเปว นาม นํ อิมมฺหา พฺรหฺมจรยิ า จาเวยยฺ ํ. (เอก, อัตตโนบท) ๒. อปฺเปว นาม เสวฺ ปิ อุปสงกฺ เมยยฺ าม กาลญจฺ สมยญฺจ อปุ าทาย. (พห,ุ ปรัสสบท) อโห วต, อโห, วต. นิบาตเหล่านี้อยู่เบ้ืองต้นของประโยค แสดงถึงการติเตียน, การสรรเสริญ และ มีความหวงั ในที่ติเตยี น และสรรเสรญิ ไมต่ ้องมีกิรยิ าอาขยาต สว่ นในทม่ี คี วามหวัง ตอ้ งมี กิรยิ าอาขยาต เป็นอนาคตกาล หรอื สตั ตมีวิภตั ตกิ ็ได้ ติเตยี น ไม่ต้องมกี ิริยา ๑. อโห วต เร อสมฺ ากํ ปณฺฑิตก. อโห วต เร อสฺมากํ พหสุ ุตฺตก. อโห วต เร อสมฺ ากํ เตวิชชฺ ก. เออ บณั ฑิต ของเรา อโห วต น่าแปลก ๒. สุโร วต เร เอส วนิ ยธโร. โอ อ.พระวนิ ัยธรองค์น้ี ชา่ งกลา้ หนอ สรรเสริญ (ไมต่ ้องมีกริ ยิ า) ๑. อโห พุทโฺ ธ, อโห ธมโฺ ม, อโห สํโฆ, โอ ๆ ๆ พระพุทธเจา้ ฯลฯ ๒. อโห สขุ ,ํ อโห สุข,ํ โอ ๆ ๆ สุข ความหวงั (กิรยิ าเป็นอนาคตกาล หรือ สัตตมีวิภตั ติ) ๑. อโห วต มยํ น ชาตธิ มมฺ า อสฺสาม. น จ วต โน ชาติ คจฺเฉยยฺ . ๒. อโห วต ยํ ปรสสฺ . ตํ มมสฺส. ๓. อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ขตฺติยมหาสาลานํ สหพยฺ ตํ อปุ ปชฺเชยยฺ ํ.

236 ขอ้ ความตอนทา้ ยหนังสอื นูน นูน นิบาตอยู่หลังบทแรกของประโยคแสดงถึง การคาดคะเน ความคิด คิดถึง, และต้องมีกิริยาเป็นวัตตมานาวิภัตติ สัตตมีวิภัตติ อัชชตนีวิภัตติ หรือกิริยาท่ีเป็นอนาคต ก็ได้ ฯ การคาดคะเน ๑. น หิ นนู โส ธมฺมวินโย โอรโก, น สา โอรกา ปพฺพชชฺ า. (วตตฺ มานา) ธรรมวินยั นัน้ น หิ นูน คงจะ โอรโก ไมใ่ ชข่ องต่�ำ คงเปน็ ๒. อญฺโ นนู เตน สมเยน ราชา มหาสทุ สสฺ โน อโหส.ิ (อชชฺ ตน)ี ในสมยั นัน้ อ.พระราชาพระนามวา่ มหาสทุ ัสสนะ คงจะเป็นคนอ่นื แลว้ กระมงั . ๓. นิพฺพุตา นูน สา มาตา นิพพฺ โุ ต นนู โส ปติ า, นิพพฺ ตุ า นนู สา นารี ยสสฺ ายํ อีทโิ ส ปต.ิ (วตฺตมานา) ความคดิ ๑. อโห นูน มหาสมโณ สฺวาตนาย นาคจเฺ ฉยยฺ . (สตฺตม)ี ถ้าพระมหาสมณะ ไม่พงึ มา ในวนั พรุง่ น้ี กค็ งจะดี ๒. น หิ นนู โส ภกิ ขฺ เว ภิกฺขุ อมิ านิ จตตฺ าริ อหิราชกลุ านิ เมตฺเตน จิตเฺ ตน ผริ. (อชชฺ ตนี) ดูก่อนภิกษุ ท. อ.ภิกษุนี้ คงจะไม่แผ่แล้ว ด้วยเมตตาจิต สู่ตระกูลแห่งงู ผูพ้ ระราชา ท. ๔ เหล่านหี้ นอ คดิ ถึง ๑. สา นนู กปณา อมฺมา จริ รตตฺ าย รุจฉฺ ต.ิ (อนาคต) กณฺหาชินํ อปสฺสนตฺ ี กุมารึ จารุทสสฺ นึ. อ.แมค่ นนัน้ ผู้มีความทุกข์ ไมเ่ หน็ ซ่ึงกมุ ารี ชือ่ ว่ากัณหาชนิ า ผู้นา่ เอ็นดู จักร้องไห้ ตลอดกาลนานหนอ ๒. สา นนู สา กปณิกา อนธฺ า อปริณายกิ า, ขาณํุ ปาเทน ฆฏเฺ ฏติ คริ ึ จณฺโฑรณํ ปต.ิ (วตตฺ มานา)

ประโยคพเิ ศษ 237 อ.แมช่ า้ งตวั นั้นตาบอด มคี วามทุกข์ ผไู้ ม่มีผู้น�ำ ถึงภเู ขาจณั โฑรก ยอ่ มกระทบ ตอ ดว้ ยเท้าหนอ ตัดสิน ๑. นิรยํ นนู คจฺฉามิ นตถฺ ิ เม เอตถฺ สสํ โย, ตทา หิ ปกตํ ปาปํ จิรรตฺตาย กิพฺพิส.ํ (วตฺตมานา) อ.เรา จะไป สนู่ รกแน่ อ.ความสงสยั ในการไป สนู่ รกนน้ั ของเรา ยอ่ มไมม่ ี จรงิ ใน เวลาน้ัน อ.บาป อันทารณุ อนั เรากระท�ำแล้วตลอดกาลนาน ๒. โสหํ นนู อิโต คนฺตฺวา โยนึ ลทฺธาน มานสุ ึ, วทญฺู สลี สมปฺ นโฺ น กาหามิ กุสลํ พห.ํุ (อนาคต) อ.เรานั้น ไปจากนรกน้ีแล้ว ไปได้ก�ำเนิดมนุษย์ จักเป็นผู้โอบอ้อมอารีย์ เป็น ผูส้ มบูรณด์ ้วยศลี จกั กระท�ำกุศลมาก ๆ แนน่ อน ๓. นนู อยู่หน้าบ้าง นูนิมสฺส ฌานสฺส กามา ปฏิปกฺขภูตา. กเิ ลสกาม ท. เปน็ ปฏปิ ักข์ ของฌานน้ี แน่นอน นนู ิมสสฺ ทาริกา สลี ํ ขาทิตวฺ า วตตฺ นตฺ .ิ อ.เด็กหญิง ท. ของคนนี้ คงจะกินศลี แล้วอยู่ ฯ ขอ้ สงั เกต การคาดคะเน กริ ิยาตอ้ งเป็นวตั ตมานา หรือสัตตมี ความคิด กิริยาตอ้ งเปน็ สตั ตมี หรอื อชั ชตนี คิดถงึ กริ ิยาต้องเปน็ วตั ตมานา อชั ชตนี หรือ กริ ยิ าอนาคตกาล ตัดสนิ กริ ยิ าต้องเปน็ วัตตมานา สัตตมี หรอื กิรยิ าอนาคตกาล ยทิ, อถ, สเจ, เจ บทเหล่านี้แสดงถึงความคิด ท่ีน้ันต้องเป็น ๒ ประโยค และมีอยู่ในประโยคแรก เปน็ ส่วนมาก (มใี นประโยคหลังได้บ้าง) ส่วนกริ ิยาจะเปน็ หมวดใดกไ็ ด้