Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มิลินทปัญหา เล่ม ๑

มิลินทปัญหา เล่ม ๑

Description: มิลินทปัญหา เล่ม ๑

Search

Read the Text Version

ISBN 978-974-496-726-8 มิลินทปญ หา เลม ๑ มลู นธิ ปิ ราณี สําเริงราชย จดั พิมพเผยแผ พิมพค รัง้ ท่ี ๔ จาํ นวน ๑,๐๐๐ เลม สงวนลขิ สทิ ธ์ิ

  มูลนิธิปราณี สําเรงิ ราชย สาํ นักงานตั้งอยูท่ี สํานักปฏิบัติธรรมวิวัฏฏะ วัดเขา- สนามชัย ตาํ บลหนองแก อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ โทรศัพท ๐๓๒-๘๒๗๗๘๔. วัตถปุ ระสงคข องมลู นธิ ิ ๑. เพ่ือสงเสริมการปฏิบัติธรรมในดานวิปสสนาธุระ และ ซอมแซมบาํ รุงสํานักปฏิบัติธรรมวิวัฏฏะ. ๒. เพ่ือสงเสริมการศึกษาดานปริยัติ อันเน่ืองกับการ ปฏิบัติวิปสสนาธุระ. ๓. เพ่ือรวมมือกับมูลนิธิแนบ มหานีรานนท ในการบํารุง และเผยแผพระพุทธศาสนา. ๔. ไมดาํ เนินการเกี่ยวของกับการเมืองแตประการใด.                 

คํานาํ หนังสือมิลินทปญหาไดจัดพิมพออกมาใหทานผูมีใจ ศรัทธา ฝกใฝใครรูในธรรมจะไดศึกษา ณ บัดน้ีแลว. เร่ืองมิลินทปญหาน้ี อาจารยไชยวัฒน กปลกาญจน ไดสอนนักศึกษาเปนประจําท่ีสมาคมศูนยคนควาทางพระพุทธ- ศาสนา วัดสระเกศ อาจารยไชยวัฒนแ ละทานนักศึกษาทง้ั หลาย มีความเห็นวาควรจัดพิมพเปนเลมหนังสือ เพื่อเปนประโยชนแก ผูที่ไมมีโอกาสไดไปศึกษาที่วัดสระเกศ. เนื้อหาสาระจากพระคัมภีรนี้นาศึกษาเปนอยางย่ิง ทาน นักปราชญทั้งสองสนทนาโตตอบกันแตละปญหาลวนเปนเคร่ือง เรืองปญญา นารู นาสนใจ. หนังสือเลมนี้สาํ เร็จไดดวยความวิริยะอุตสาหะของ อาจารยไชยวัฒนและผูชวยเหลือหลายทาน รวมทั้งทานผูรวม บริจาคปจจัยมิใชนอย ชวยกันเสียสละทรัพย หนังสือมิลินท- ปญหาจึงสาํ เร็จเปนรูปเลมข้ึนมาได. ดว ยอานสิ งสของกุศลน้ี จงสงผลใหทา นผแู ปล ผชู ว ยเหลอื จัดทํา ทานผูบริจาคทรัพย และทานผูอานทุกทาน ไดบรรลุถึง ธรรมที่สุดแหงทุกขโดยเร็วดวยเถิด. ปราณี สําเรงิ ราชย สํานักววิ ัฏฏะ วดั เขาสนามชยั

  คาํ ช้ีแจง เม่ือพระเจาอเล็กซานเดอรมหาราช เสด็จพรอมกองทัพ พิชิตแควนปญจาบของอินเดียไดแลว ก็มีกษัตริยกรีกปกครอง แควนนี้ตดิ ตอกนั มาหลายพระองค จนถึงรชั สมยั ของกษัตรยิ กรกี พระองคห นง่ึ ทรงพระนามตามภาษามคธวา มลิ นิ ท พระองคท รง เปน ผมู ีพระทยั ฝก ใฝในศาสตรทง้ั หลาย โดยเฉพาะปรชั ญาในลัทธิ ศาสนาตา ง ๆ ทรงยนิ ดใี นอนั เสดจ็ ไปพบปะสนทนากะนกั ปราชญ ท้ังหลาย ผูมีความรูในลัทธิศาสนาน้ัน ๆ ตอมาพระองคไดทรง สนทนาถามตอบกะพระเถระผูมีชื่อเสียงเล่ืองลือในพระพุทธ- ศาสนารูปหน่ึง คือทาน พระนาคเสนเถระ ในปญหาท่ีลึกซึ้ง ถอยคาํ สนทนาถามตอบกันระหวางทา นทง้ั สองนี้ ปรากฏวา เปนท่ี ชื่นชมยินดีของพวกบัณฑิตท้ังหลายเปนอันมาก ในเวลาตอมา ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ทานพระติปฎกจุฬาภัยเถระ ผูทรง พระไตรปฎก ถึงฝงแหงปฏิเวธ มีปญญาดุจภูผา มีคําพูดท่ี อาจารยท้ังหลายพึงตระหนัก เล็งเห็นคุณคาในคําสนทนาถาม ตอบกันของทานทั้งสองนี้ วาจะเปนเหตุชวยค้ําจุนพระสัทธรรม ของพระสมั มาสัมพุทธเจา ใหตัง้ อยไู ด จึงอุตสาหะรวบรวมคาํ พูด ทั้งหมด รจนาเรียบเรียงข้ึนมาเปนปกรณทางศาสนาปกรณหนึ่ง ใหชื่อวา “มิลินทปญหา”. กุลบุตรผูใครไดที่พึ่งในพระศาสนา ทั้งหลาย ก็ไดชวยกันรักษาโดยการเรียน การทรงจํา เปนตน สืบตอกันมาจนถึงปจจุบันน้ี.

มิลินทปญหาเปนปกรณที่อาจารยท้ังหลายเล็งเห็นวา สําคัญย่ิง พระอรรถกถาจารยท้ังหลายผูแตงปกรณอ่ืน มักจะ หยิบยกคําพูดในปกรณน้ีมาอางไวในงานเขียนของทานอยูเสมอ ในคราวท่ีมีการวิจารณหมวดธรรมที่มีความลึกซ้ึงน้ัน ๆ. ในสมัย ปจ จุบนั นี้ นักคน ควาศกึ ษาปรัชญาและศาสนาของประเทศทาง ตะวันออกในประเทศทางแถบตะวันตกเห็นพองกันวา มิลินท- ปญหาน้ีเปนปกรณที่ชวยใหเขาใจปรัชญาในพุทธศาสนานิกาย เถรวาทไดเปนอยางดี. ในสมัยปจ จบุ ันนี้ ปกรณมลิ นิ ทปญหานี้ ฉบับทเ่ี ปนภาษา มคธ แมวา เปนภาษาเดยี วกนั คอื ภาษามคธนั่นแหละ กม็ กี ารแตก เปนหลายฉบบั คือฉบบั ของไทยท่ใี ชอ ักษรไทยบันทึก ของพมาที่ ใชอ ักษรพมา ของลังกาทใ่ี ชอ กั ษรลงั กา และของยุโรปท่ีใชอ ักษร โรมนั สําหรบั ฉบับของไทยทใ่ี ชศกึ ษากนั อยใู นประเทศไทยนน้ั มผี ู แปลออกมาเปนภาษาไทยหลายคร้งั หลายสํานวน เปน อยางเตม็ ความบาง อยางถอดเอาแตใ จความมาเรยี บเรยี งบาง สว นฉบับ ของตางประเทศที่ใชกันอยใู นตา งประเทศ ยังไมม ผี ูแปลออกมา เปนภาษาไทยเลย กระผมเมอ่ื ไดอา นท้งั ฉบับของไทย ทงั้ ฉบบั ของ ตางประเทศ โดยเฉพาะฉบับของพมา เปรียบเทยี บกนั รวมทั้ง คําอธบิ ายทเี่ รยี กวา อรรถกถา ในฐานะทเ่ี ปน ผบู รรยายปกรณน อี้ ยูท่ี สมาคมศูนยคนควาทางพระพุทธศาสนาวัดสระเกศ แลวก็ตกลง ใจท่ีจะไมแปลฉบับของไทย แตจะแปลฉบับของพมา ในการจะ จัดทาํ เปนหนังสือครั้งน้ีดวยเหตุผล ๕ ประการ ดังตอไปน้ี :

  ๑. เมื่อฉบับภาษามคธของไทยมีผูแปลเปนภาษาไทย หลายครั้ง หลายสาํ นวนดังวาน้ันแลว หากวากระผมจะใชฉบับ ของไทยเปนตนฉบับการแปลในครั้งนี้อีก แมวาสาํ นวนแปลจะ แปลกไปบา ง ก็คงไมช ว ยใหท า นผูอ านไดอ รรถรส หรอื ความรูอะไร ๆ เพ่ิมเติมข้ึนมา เพราะฉะน้ันก็ไมนาจะคิดแปลฉบับของไทยอีก. ๒. ฉบับของตางประเทศยังไมมีผูแปลออกมาเลย นาจะ เหลียวดูบาง ถึงอยางไรก็เปนปกรณทางศาสนาที่พวกเรานับถือ ดวยกัน. ๓. ถาเปรียบเทียบกับพระไตรปฎ ก พระไตรปฎกฉบับของ ไทยก็ดี ฉบบั ของพมา กด็ ี มีสว นผดิ แผกกนั นอ ยนัก เกยี่ วกบั คําพดู บางบท บางคํา หรอื การใชอ ักขระ ความหมายมไิ ดแ ตกตางกนั เลย แตปกรณมิลินทปญหามิไดเปนอยางนั้น มีสวนผิดแผก แตกตางกันมากมายหลายตอน อยางนาแปลกใจวา ตางฝาย ตางไดรับปกรณน้ีมาจากไหน รักษากันไวอยางไร บางขอความ กเ็ หมือนกบั วา พดู กันคนละเร่อื ง ซง่ึ พอจะรวบรวมขอ ทีแ่ ตกตางกัน ไดดังตอ ไปนี้ : - บางเน้ือความที่มีปรากฏอยูในฉบับของไทย กลับไมมี ปรากฏในฉบบั ของพมา เชน เน้อื ความเกยี่ วกับพระพทุ ธทาํ นาย ความเปนไปของพระเจา มิลินทและพระนาคเสน เปนตน . - เก่ียวกับช่ือของบุคคล ก็มีสวนผิดกัน เชน ชื่อของ อาํ มาตยผูหนึ่ง ในฉบับของไทยเปนอันตกายอํามาตย สวนใน ฉบับของพมาเปนอนันตกายอาํ มาตย เปนตน.

- เกย่ี วกบั ชอ่ื ของปญหา หลายปญ หาทเี ดยี วทมี่ เี นือ้ ความ บอกใหทราบวาปญหานั้นเปนปญหาเดียวกัน ท้ังฉบับของไทย ทั้งฉบับของพมา แตปรากฏวามีชื่อไมเหมือนกันเสียทีเดียว เชน ในฉบับของไทยเปนสีลปติฏฐานลักขณปญหา, สวนในฉบับของ พมาเปนสีลลักขณปญหา เปนตน. - เก่ียวกับจํานวนอุปมาในปญหานนั้ ๆ บางปญหาในฉบบั ของไทยมเี นอื้ ความทเี่ ปน อปุ มามากกวาในฉบับของพมา. - แมเ กีย่ วกบั การกาํ หนดเน้ือความในปญหาบางปญหา ก็ มีสวนผดิ กนั เชน ปญหาท่มี ีการถามถงึ ลักษณะของศรทั ธา ซง่ึ ทานพระนาคเสนไดวิสชั ชนาวา มี ๒ อยา งนน้ั ในฉบบั พมากลาว แยกลักษณะแตละอยาง เปนแตละปญหา สวนในฉบับของไทย รวมเน้อื ความเกยี่ วกับลกั ษณะทั้งสองไวเ ปน ปญหาเดียวกัน เปน เหตใุ หมีจํานวนปญ หาแตกตา งกัน. - หลายปญหาทีเดียวที่มีคาํ พูดในคําถาม หรือคําตอบ แตกตางกัน เชน ในฉบับของไทย คาํ ถามมีวา \"พระคุณเจา นาคเสน ผูใดมีญาณเกิดข้ึนแลว ผูน้ันช่ือวามีญาณเกิดขึ้นแลว ใชไหม?\", สวนในฉบับพมา มีคําถามวา \"พระคุณเจานาคเสน ผูใดมีญาณเกิดข้ึนแลว ผูน้ันชื่อวามีปญญาเกิดข้ึนแลวใชไหม?\", ฉบับของพมานาจะถูกตองกวา เพราะจบั ประเดน็ คาํ ถามไดช ดั เจน วา พระเจามิลินททรงประสงคจะทราบวาญาณกับปญญาเปน ธรรมชาติอยางเดียวกัน หรือคนละอยางกัน.

  - บางปญ หา เชน ปญหาทีม่ ีการถามถึงการอุปสมบทของ พระพุทธเจา ในฉบับพมามีเพียงเน้ือความส้ัน ๆ เกี่ยวกับการ ถามตอบกนั เทานนั้ สว นในฉบบั ของไทยยังมีเน้ือความอ่นื อีก คือ ปรากฏวา เมอื่ พระเถระไดวสิ ชั ชนาแลว พระราชากไ็ มท รงยอมรับ นอกจากจะไมท รงยอมรับแลว ก็ยงั ตรัสเยยหยันพระเถระกะพวก ขาหลวงโยนกท่แี วดลอมอยนู น้ั อกี ดว ย อยางนี้เปน ตน . - เก่ียวกับการยกคําพูดในพระไตรปฎกมาอางในปญหา น้ัน ๆ ในฉบับของพมามักยกมาตรงกับที่มีจริงในพระไตรปฎก เสมอ สวนในฉบับของไทยมักยกมาไมตรง. อน่ึง คําพูดที่ยกมา น้ัน ในฉบับพมามีการระบุไวที่ทายหนานั้น ๆ วา ยกมาจาก พระไตรปฎกเลมไหน นิกายอะไร หนาอะไร ชวยใหสืบสาวถึง ตนตอไดรวดเร็ว สวนในฉบับของไทยมิไดระบุไว. - เก่ียวกับเครื่องหมายตาง ๆ ที่ใชเปนเครื่องกําหนด ประโยค หรือขอความ คือ เคร่ืองหมายมหัพภาค จุลภาค เครอื่ งหมายคาํ พูด เครือ่ งหมายคําถาม เปน ตน ในฉบบั ของพมา ระบุไวช ดั เจนดี ชวยใหผ แู ปลกําหนดประโยคแตล ะประโยคไดง า ย จับใจความในประโยคไดงาย แปลไดสะดวก ในฉบับของไทย ไมพิถีพิถันในเรื่องนี้ เปนเหตุใหผูแปลบางครั้งตองพิจารณาตัด แบงประโยคเอาเอง ซง่ึ บางทกี เ็ ปน เหตุใหสบั สนได ทาํ ใหเกดิ ความ ไมแ นใจวาถูกตอง โดยเฉพาะคําพูดในพระไตรปฎ กท่ียกมาอา งใน ปญ หานัน้ ๆ ตองระมดั ระวงั เปน พเิ ศษ วาคาํ พูดในพระไตรปฎ กท่ี ยกมาในคราวนน้ั มแี คไหน, คาํ พดู ไหนไมใชค ําพดู ในพระไตรปฎ ก

โดยการสืบสาวถงึ ตน ตอใหด เี สยี กอนจะตัดสนิ ใจแปล เพ่ือปอ งกัน ความปะปน อนั จะทาํ ใหแ ปลผิดความ. - การจัดปญหาเขาในวรรคแตละวรรค ก็ไมตรงกันเสีย ทีเดียว เชน โคตมิวัตถทานปญหา ในฉบับของพมาจัดเขาใน พุทธวรรค สวนในฉบับของไทยจัดเขาในพวกนอกวรรค เปน วิเสสปญหา เปนตน. ฯลฯ เพราะฉะน้ัน ถาหากวา ไดแปลฉบบั ของพมาแลว กน็ าจะ เปนการเปดโอกาสใหผูอานไดรับอรรถรสตาง ๆ ที่แปลกออกไป ที่ไมมีในฉบับของไทย. ๔. ฉบับของลังกาก็ดี ของประเทศทางยุโรปก็ดี มีสวน เหมือนกับของพมามากกวาของไทย ราวกะเปนฉบับเดียวกันกับ ของพมา เพราะฉะนั้น หากวาเพียงแตไดแปลฉบับของพมา เทานั้น ก็เหมือนกับวาไดแปลฉบับของลังกาเปนตน ทั้งหมดน้ัน ดวย. ๕. การแปลปกรณมิลินทปญหาซึ่งมีฐานะเทียบเทาชั้น พระบาลี เหมอื นอยา งพระไตรปฎก ใหถกู ตอ ง ไดความสมบูรณ ดีนั้น จาํ เปนตองดูคําอธิบายในอรรถกถา. ก็อรรถกถาท่ีอธิบาย ฉบับของไทยไมมี มีแตท่ีอธิบายฉบับของพมา เพราะฉะน้ันก็ จําเปนตอ งแปลฉบบั ของพมา หากวาประสงคค ําอธิบายน้ันดวย. ก็เพราะเหตทุ ี่ท้ัง ๒ ฉบบั น้ีมีขอท่ีแตกตางกันอยูมากมาย หลายประการดังกลา วนัน่ เอง การทจ่ี ะทําหมายเหตเุ ปรยี บเทียบ

  ถึงขอแตกตางกันระหวาง ๒ ฉบับน้ีไวในทายหนาหนังสือหนา นั้น ๆ ใหเห็นวาพมาวาอยางนั้น สวนไทยวาอยางน้ีนั้น จึงเปน เรอ่ื งสดุ วิสยั จะกระทําได แมวานา จะทําไวเ หลอื เกนิ เพราะบางที คําพดู ในฉบับของไทยนาฟงกวา ไดเหตุผลกระชบั กวากต็ าม. ปกรณมิลินทปญหาท่ีกระผมแปลจากตนฉบับของพมาน้ี กระผมไดผ นวกคําอธิบายปญ หาเขา กบั ปญ หาแตละปญ หาไวดว ย สาํ หรบั คาํ พดู ในปกรณน ้นั กระผมแปลอยา งรกั ษาศพั ท วาไปตาม ศัพทท ม่ี ี ไมใ ชเ พยี งแตถ อดเอาแตใ จความ ทงั้ นี้ เพ่ืออนเุ คราะห นกั ศึกษาภาษาบาลี ท่ตี อ งการจะนําฉบับแปลเปน ภาษาไทยฉบับ นี้ไปเทยี บกบั ตน ฉบบั ภาษาบาลี (ของพมา น่ันแหละ) ใหส ามารถ ทาํ ไดอ ยา งสะดวก สวนพวกคําอธิบายทัง้ หลาย กระผมแปลโดย เปนการถอดเอาแตใจความมาเรียบเรียงโดยคาํ พูดของตนเปน สาํ คัญ จากอรรถกถาแหง ปกรณนแ้ี หละบาง จากทอ่ี ืน่ บาง แต ก็เทาท่ีเห็นวาจะชวยใหทานผูอานไดเกิดความเขาใจเน้ือความ ปญหานั้น ๆ แจมแจงมากขึ้นเทาน้ัน มิไดยกมาหมดส้ินเชิง ถึงกระน้ัน เมื่อไดผนวกคําอธิบายเขาไปดวยอยางน้ี การท่ีจะ จัดพิมพเปน เลม เดียวจบ จะทาํ ใหห นงั สอื มีความหนามากเกนิ ไป ไมสะดวกแกการจับถือเปดอาน ท้ังจะตองเสียคาใชจายในการ จัดพิมพสูงยิ่ง เพราะฉะนั้น ก็จาํ เปนตองแบงทาํ เปน ๓ เลม. เก่ยี วกบั คําพูดในปกรณอ ่นื ๆ มีพระไตรปฎกเปนตน ท่ไี ด ยกมาอางเปนอักษรตัวดาํ ไวในหนาน้ัน ๆ ท่ีกระผมไดกาํ กับ ตัวเลข แลวระบุถึงที่มาไวบรรทัดลางสุดน้ัน ถาเปนคาํ พูดใน

พระไตรปฎก ก็เปนพระไตรปฎกฉบับภาษาบาลีท่ีไดรับการ สังคายนาคร้ังหลังสุดในประเทศไทย เมื่อป พ.ศ. ๒๕๓๐ ถาเปนคาํ พูดในปกรณอื่น สวนมากเปนฉบับภาษาบาลีของ มหามกุฏราชวิทยาลัย นอกน้ัน ก็ไดระบุไวชัดเจนแลว. ทานทั้งหลาย ความบกพรองผิดพลาดเก่ียวกับคําแปล ก็ดี คาํ อธิบายก็ดี รายช่ือผูบริจาคก็ดี หรือแมเร่ืองอื่น ๆ ก็ดี คงมีอยูเปนแนแท กระผมและทางมูลนิธิฯ ใครกราบขออภัย ทานทั้งหลายดวย ณ โอกาสนี้ และยินดีรับคาํ ทักทวงของทาน เพื่อจะไดนาํ ไปแกไขใหถูกตองในการจัดพิมพคราวตอไป หวัง วาหนังสือเลมนี้จะมีสวนชวยใหทานเกิดความบันเทิงในธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจา เขาถึงคาํ สอนในพระศาสนาไดทาง หน่ึง ไมมากก็นอย. สุดทายน้ี กระผมและทางมลู นธิ ฯิ ขออนุโมทนาในกุศลจติ ของทุกทาน ท่มี สี ว นชวยใหก ารจัดพมิ พหนังสือเลม นี้สําเรจ็ ขอให บุญครั้งน้ีจงมีอานุภาพปกปองทานทั้งหลาย รวมทั้งทานผูอาน ใหเปนผูปลอดพนจากภัยพิบัติเสนียดจัญไรทั้งปวง ประสบแต ความสุข ความสวัสดี เจริญรุงเรืองอยูใตรมเงาพระพุทธศาสนา ตลอดไปชั่วกาลนานแสนนาน เทอญ. ดวยความปรารถนาดีอยางจริงใจ ไชยวัฒน กปลกาญจน

  ๑๗๗ ร.พ.ราษฎรบูรณะ ถ.ราษฎร- พัฒนา เขตราษฎรบูรณะ กทม. ๑๐๑๔๐ ๑๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓ กราบเรยี น ทานอาจารยปราณี สําเรงิ ราชย เร่ือง ขออนญุ าตจัดพมิ พหนงั สือมิลนิ ทปญหา เนื่องจาก ดิฉันเปนศิษยอาจารยวรรณสิทธิ์ ไวทยะเสวี เรยี นพระอภิธรรม ต้งั แต พ.ศ. ๒๕๒๗ ขณะนท้ี าํ หนาท่ีบรรยาย ธรรมะที่วหิ ารลิมปภาภรณ วัดธาตทุ อง เขตวฒั นา ทุก ๒ อาทติ ย ตน เดอื น เวลา ๐๘.๓๐ น. – ๑๐.๐๐ น. ขณะนี้ ดฉิ นั บรรยายเรื่อง มิลินทปญ หา เลม ๑ ปญหาท่ี ๑๓ สตลิ ักขณปญ หา ซง่ึ เปนที่ สนใจของนักศึกษาดคี ะ (นศ. ท่วี ดั ธาตุทอง มีประมาณ ๓๐ กวา ทา น). ดิฉันจึงกราบเรียนทานอาจารย เพ่ือขออนุญาตจัดพิมพ จํานวน ๑,๐๐๐ ชุด (๑ ชุดมเี ลม ๑-๓) เพอ่ื เปน ธรรมทานในครัง้ นี้ เพราะถอยคาํ ในหนังสือไพเราะ เขาใจงายดียิ่งขึ้นในการเรียน พระอภิธรรม กราบเรียนดวยความเคารพอยา งสูง นางนติ ยา ปรชี ายุทธ

คาํ อนุโมทนา เรื่องมิลินทปญหาน้ี มีเนื้อหาสาระที่นาศึกษาเปนอยาง ยิ่ง ทานนักปราชญทั้งสองสนทนาโตตอบกัน แตละปญหาลวน เปนเคร่ืองเรืองปญญา นารู นาสนใจ. ขออนโุ มทนากับ คณุ นติ ยา ปรชี ายทุ ธ และผูรว มบริจาค ทกุ ทาน ท่มี จี ิตศรทั ธาอนั ประกอบดว ยปญญา เหน็ คุณคาในการ พมิ พห นังสือเพือ่ เปนธรรมทานในครัง้ นี้ ดวยอานิสงสของกศุ ลนี้ จงสงผลใหค ุณนติ ยา ปรีชายุทธ ผูชวยเหลือจัดทาํ ทานผูบริจาคทรัพย และทานผูอานทุกทาน ไดบรรลุถึงธรรมท่ีสุดแหงทุกขโดยเร็วดวยเถิด. ปราณี สําเริงราชย สาํ นกั วิวัฏฏะ วัดเขาสนามชัย

  ๑๗๗ ร.พ.ราษฎรบ รู ณะ ถ.ราษฎร- พัฒนา เขตราษฎรบูรณะ กทม. ๑๐๑๔๐ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ กราบเรียน ทา นอาจารยไ ชยวฒั น กปล กาญจน เรอื่ ง ขออนญุ าตจดั พมิ พหนงั สอื มิลนิ ทปญหา เนื่องจาก ดิฉันเปนศิษยอาจารยวรรณสิทธิ์ ไวทยะเสวี เรยี นพระอภธิ รรม ตั้งแต พ.ศ. ๒๕๒๗ ขณะนที้ าํ หนาทบี่ รรยาย ธรรมะทีว่ ิหารลิมปภาภรณ วัดธาตุทอง เขตวฒั นา ทุก ๒ อาทติ ย ตนเดอื น เวลา ๐๘.๓๐ น. – ๑๐.๐๐ น. ขณะน้ี ดิฉนั บรรยายเรื่อง มลิ นิ ทปญ หา เลม ๑ ปญหาท่ี ๑๓ สตลิ กั ขณปญ หา ซงึ่ เปน ท่ี สนใจของนักศึกษาดคี ะ (นศ. ทว่ี ดั ธาตทุ อง มปี ระมาณ ๓๐ กวา ทา น). ดิฉันจึงกราบเรียนทานอาจารย เพื่อขออนุญาตจัดพิมพ จาํ นวน ๑,๐๐๐ ชุด (๑ ชดุ มเี ลม ๑-๓) เพ่อื เปนธรรมทานในครัง้ นี้ เพราะถอยคาํ ในหนังสือไพเราะ เขาใจงายดีย่ิงขึ้นในการเรียน พระอภิธรรม กราบเรียนดว ยความเคารพอยา งสูง นางนิตยา ปรีชายทุ ธ

คาํ อนุโมทนา มิลินทปญหาเปนปกรณที่อาจารยท้ังหลายเล็งเห็นวา สําคัญยิ่ง พระอรรถกถาจารยท้ังหลายผูแตงปกรณอ่ืน มักจะ หยิบยกคําพูดในปกรณนี้มาอางไวในงานเขียนของทานอยูเสมอ ในคราวที่มีการวิจารณหมวดธรรมท่ีมีความลึกซ้ึงนั้น ๆ ขออนโุ มทนากบั คุณนติ ยา ปรีชายุทธ และผูรว มบริจาค ทุกทาน ท่มี ีจติ ศรัทธาอันประกอบดว ยปญญา เห็นคณุ คาในการ พมิ พห นงั สือเพ่อื เปน ธรรมทานในครง้ั นี้ กระผมและทางมูลนิธิฯ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ คุณนิตยา ปรีชายุทธ และผรู ว มบรจิ าคทุกทา น ขอใหบ ุญครัง้ น้ี จงมีอานุภาพปกปองทานท้ังหลาย รวมทั้งทานผูอาน ใหเปนผู ปลอดพนจากภัยพิบัติเสนียดจัญไรท้ังปวง ประสบแตความสุข ความสวัสดีชั่วกาลนาน เทอญ. ดวยความปรารถนาดอี ยางจริงใจ ไชยวฒั น กปลกาญจน

  คาํ นิยม ขาพเจามีความปลื้มใจ ปติ และโสมนัส ในการท่ี จะพิมพหนังสือมิลินทปญหา เหมือนกับขาพเจามีความรูสึก ท่ีขาพเจาไดบังเกิดแลวดังน้ี ขาพเจามีบานพักในซอย รามคําแหง ๒๑ ถ.รามคาํ แหง แตถนนซอยน้ีขรุขระ เปน หลุมบอ และลูกกระโดดก็เวา ๆ แหวง ๆ ขาพเจาไดขอให ที่เขตวังทองหลางมาชวยซอมถนน คุณเจาหนาท่ีฝายโยธา บอกวา ซอยนี้เปนซอยเอกชน เม่ือวันท่ี ๗ มกราคม ๒๕๕๔ ขาพเจาไดโทรไปเรียก บริษัทคุณปาเฉลียวมาประเมินราคา ครั้งแรกประเมินมา ๙๒๐,๐๐๐ บาท ขาพเจาบอกปาขับรถมารับหนอย จะช้ีใหดู วาตรงไหนตองทําบาง (ปาอายุ ๘๒) วองไวมาก พอขับรถ มาถึงตรงท่ีจะซอม ปาก็ถือกระปอง Spray สีแดง Spray ตามรอยท่ีขาพเจาไดช้ีบอก ขาพเจาก็มีความสุขใจมากทุกครั้ง ท่ีปา Spray รอยสีแดง ขาพเจาโทรไปถามปาบอกราคามาให ลดเหลือ ๔๖๐,๐๐๐ บาท ขาพเจาบอกใหปามาซอมโดย ปูลาดยางแอสฟลต ต้ังแตวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔, ๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ เสร็จเรียบรอย ขณะขับรถดูผลงาน ก็มีความเบิกบานใจและยินดียิ่งวา ตอไปน้ีทุกคนที่ขับรถยนต ข่ีจักรยานยนตรับจางท่ีขับผานไปมา และทุกคนที่ซอน รถจักรยานยนตรับจางก็จะปลอดภัยและมีความสุข ทําให ขาพเจามีความสุขอยางย่ิง ไมใชแคน้ัน ลูกชายมาจับไหล

และบอกวา แมทาํ ถูกแลว เพ่ือน ๆ ก็ชื่นชมและขอบใจแม และทุกคร้ังที่มีแขกมากด ออดหนาบาน หรือโทรใหขาพเจา ไปรับเงินชวยบริจาค ขาพเจาก็จะยินดี (โสมนัส) และมี ความสุขทุกครั้ง จนอาจารยหมอ นพ.นพดล จิรสันต จาหนา ซอง (จายเช็คลงทะเบียน) มาใหวา Road Nittaya ขาพเจาก็ไดแตย้ิมดวยความชื่นใจวา มีคนเห็นคุณคา ในการซอมถนนคร้ังน้ี และบอกไดเลยทุกคร้ังท่ีมีเพ่ือนบาน นาํ ปจจัยมาชวย ขาพเจาก็มีความสุขและชื่นใจทุกคร้ัง นับ ถึงวันน้ี รวมจํานวนเงินไดเกือบ ๙๐,๐๐๐ บาทแลว ดวย ความยินดีและโสมนัส ขาพเจาก็เก็บรวบรวมไปทอดผาปา ท่ีมูลนิธิอาจารยแนบ ในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ น้ี ดวย อันการทาํ กุศลครั้งน้ี สงใหขาพเจามีอารมณสดใส ช่ืนบาน และเกิดไดบอย ๆ คิดวาเหมือนกับท่ีขาพเจาจะ จัดพิมพหนังสือมิลินทปญหา ซึ่งทําเปนธรรมทาน และจะ มีความสุขทุกคร้ังที่อาน และไดสอนในธรรมะบรรยายท่ีวัด ธาตุทอง และเปดอานเอง เพราะเปนหนังสือมีคุณคา และ รูซึ้งมากยิ่งขึ้นจากการที่ไดเรียนพระอภิธรรม ขาพเจาคิดวา จะโนมนาวใหขาพเจามีปญญาท่ีจะปฏิบัติวิปสสนาภาวนาได ดียิ่งข้ึน เพราะสาํ นวนอานงาย ไพเราะ ไดเน้ือความชัดเจนย่ิง เชน พระเจามิลินทตรัสถามวา ลักษณะของวิริยะเปนอยางไร? พระนาคเสนถวายพระพรวา วิริยะมีลักษณะเหมือนไมคํ้ายัน ไมใหสติตกจากปจจุบันได และถามคําถามวา ปญญากับ

  โยนิโสมนสิการ เหมือนกันหรือไม? พระนาคเสนถวายพระพร วา โยนิโสเหมือนกับมือซายที่กาํ กอขาว (คือใสใจในอารมณ ตรงหนาปจจุบันอารมณ สวนปญญาเหมือนเคียวท่ีตัดตรง เหนือขอท่ีไดกาํ กอขาวไว และยังมีอีกหลายคาํ ถามท่ีอานแลว ขยายความเขาใจเดิมใหมากยิ่งขึ้นดวย จึงเหมาะกับปญญา ของผูท่ีสนใจใฝรูในพระอภิธรรมและพระไตรปฎก ไดเพิ่ม ความรูใหย่ิงข้ึนดวย สุดทายก็ขอขอบคุณทานอาจารยปราณี สําเริงราชย ทานอาจารยไชยวัฒน กปลกาญจน อาจารยวรรณสิทธ์ิ ไวทยะเสวี อาจารยสุคนธ สุนศิริ โรงพยาบาลราษฎรบูรณะ และพวกเพื่อน ๆ สหธรรมที่ไดรวมทาํ หนังสือเลมน้ีดวย ขอ อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย เปนเกราะปองกันและเสริมสง ใหปญญินทรียแกกลา สําหรับทุกทานท่ีปฏิบัติธรรมและ ประพฤติสุจริตท้ัง ๓ ขอใหปกปองคุมครองประเทศไทยจาก คนใจพาล ขอใหพระราชวงศทุกพระองคทรงพระเกษม- สาํ ราญ และทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน  ขอบูชาพระพุทธเจา พระธรรม พระอริยสงฆไวเหนือเศียรเกลา นางนิตยา ปรีชายุทธ ประธานกรรมการ ร.พ.ราษฎรบูรณะ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔

สารบัญ หนา ๑ กถาวา ดวยนครอันเปนทอี่ บุ ตั แิ หง ปญ หา ๕ กณั ฑท ่ี ๑ พาหริ กถา ปพุ พโยคะเปนตน ๔๖ กัณฑท ี่ ๒ มลิ นิ ทปญ หา วรรคที่ ๑, มหาวรรค ๔๖ ปญหาที่ ๑, ปญ ญตั ตปิ ญหา ๕๖ ปญ หาที่ ๒, วสั สคณนปญ หา ๖๒ ปญหาท่ี ๓, วมี งั สนปญหา ๖๕ ปญ หาที่ ๔, อนันตกายปญ หา ๗๑ ปญหาท่ี ๕, ปพ พชปญหา ๗๙ ปญหาท่ี ๖, ปฏิสนธปิ ญ หา ๘๐ ปญหาท่ี ๗, โยนิโสมนสิการปญ หา ๘๓ ปญ หาท่ี ๘, มนสกิ ารลกั ขณปญหา ๘๕ ปญหาท่ี ๙, สีลลกั ขณปญ หา ๙๖ ปญ หาท่ี ๑๐, สมั ปสาทลกั ขณสัทธาปญ หา ๙๘ ปญหาที่ ๑๑, สมั ปกขนั ทนลักขณสัทธาปญหา ๑๐๑ ปญ หาที่ ๑๒, วีรยิ ลักขณปญ หา ๑๐๓ ปญหาที่ ๑๓, สติลักขณปญ หา ๑๐๙ ปญ หาที่ ๑๔, สมาธปิ ญหา ๑๑๑ ปญหาที่ ๑๕, ปญ ญาลกั ขณปญหา

  หนา ปญ หาท่ี ๑๖, นานาธัมมานงั เอกกิจจอภนิ ปิ ผาทนปญ หา ๑๑๔ วรรคท่ี ๒, อัทธานวรรค   ปญ หาท่ี ๑, ธมั มสนั ตตปิ ญ หา ๑๑๗  ปญหาท่ี ๒, ปฏสิ นั ทหนปญ หา ๑๒๓  ปญ หาที่ ๓, ญาณปญ ญาปญหา ๑๒๕  ปญหาท่ี ๔, ปฏิสันทหนปคุ คลเวทยิ นปญ หา ๑๓๔  ปญหาท่ี ๕, เวทนาปญ หา ๑๓๗  ปญ หาที่ ๖, นามรปู เอกัตตนานตั ตปญหา ๑๔๓  ปญหาที่ ๗, เถรปฏสิ นั ทหนาปฏสิ นั ทหนปญ หา ๑๕๔  ปญหาที่ ๘, นามรูปปฏสิ นั ทหนปญ หา ๑๕๖  ปญหาท่ี ๙, อทั ธานปญหา ๑๕๘  วรรคที่ ๓, วจิ ารวรรค ปญ หาที่ ๑, อัทธานมูลปญ หา ๑๖๒ ปญหาท่ี ๒, ปุริมโกฏิปญ หา ๑๖๕ ปญ หาที่ ๓, โกฏิปญญายนปญหา ๑๖๙ ปญหาที่ ๔, สังขารชายมานปญ หา ๑๗๓ ปญ หาที่ ๕, ภวันตสังขารชายมานปญ หา ๑๗๖ ปญ หาที่ ๖, เวทคูปญ หา ๑๘๑ ปญหาท่ี ๗, จักขุวญิ ญาณาทปิ ญ หา ๑๘๗ ปญ หาท่ี ๘, ผัสสลักขณปญหา ๑๙๕

ปญหาที่ ๙, เวทนาลักขณปญ หา หนา ปญ หาท่ี ๑๐, สญั ญาลกั ขณปญ หา ๑๙๗ ปญ หาที่ ๑๑, เจตนาลกั ขณปญ หา ๑๙๙ ปญหาที่ ๑๒, วญิ ญาณลักขณปญหา ๒๐๑ ปญ หาที่ ๑๓, วติ ักกลักขณปญ หา ๒๐๓ ปญหาท่ี ๑๔, วจิ ารลักขณปญ หา ๒๐๕ ๒๐๖ วรรคที่ ๔, นิพพานวรรค ปญ หาที่ ๑, ผสั สาทวิ ินพิ ภุชนปญหา ๒๐๘ ปญหาท่ี ๒, นาคเสนปญ หา ๒๑๑ ปญ หาที่ ๓, ปญจายตนกัมมนพิ พัตตปญ หา ๒๑๓ ปญหาท่ี ๔, กัมมนานากรณปญ หา ๒๑๖ ปญหาท่ี ๕, วายามกรณปญ หา ๒๑๙ ปญหาท่ี ๖, เนรยิกัคคิอณุ หภาวปญ หา ๒๒๒ ปญ หาท่ี ๗, ปฐวิสันธารกปญหา ๒๒๖ ปญ หาท่ี ๘, นโิ รธนพิ พานปญหา ๒๒๗ ปญหาท่ี ๙, นพิ พานลภนปญ หา ๒๓๐ ปญ หาที่ ๑๐, นพิ พานสขุ ชานนปญหา ๒๓๓ วรรคท่ี ๕, พทุ ธวรรค ๒๓๕ ปญหาที่ ๑, พทุ ธัสสะ อตั ถนิ ัตถิภาวปญหา ๒๓๖ ปญ หาท่ี ๒, พทุ ธสั สะ อนตุ ตรภาวปญหา

ปญหาท่ี ๓, พทุ ธัสสะ อนุตตรภาวชานนปญ หา   ปญ หาท่ี ๔, ธมั มทิฏฐปญ หา ปญ หาที่ ๕, อสงั กมนปฏสิ นั ทหนปญ หา หนา ปญหาที่ ๖, เวทคปู ญหา ๒๓๘ ปญ หาท่ี ๗, อญั ญกายสังกมนปญหา ๒๔๐ ปญ หาที่ ๘, กัมมผลอตั ถภิ าวปญหา ๒๔๐ ปญ หาท่ี ๙, อุปปชชตชิ านนปญ หา ๒๔๓ ปญหาท่ี ๑๐, พุทธนิทสั สนปญ หา ๒๔๓ ๒๔๕ วรรคท่ี ๖, สตวิ รรค ๒๔๘ ปญหาท่ี ๑, กายปย ายนปญหา ๒๕๐ ปญหาที่ ๒, สพั พญั ูภาวปญ หา ปญ หาที่ ๓, มหาปรุ สิ ลักขณปญ หา ๒๕๓ ปญหาท่ี ๔, ภควโต พรหมจารปิ ญหา ๒๕๖ ปญหาท่ี ๕, ภควโต อปุ สมั ปทาปญหา ๒๕๘ ปญหาท่ี ๖, อสั สุเภสชั ชาเภสชั ชปญหา ๒๖๒ ปญ หาท่ี ๗, สราควีตราคนานากรณปญหา ๒๖๔ ปญหาที่ ๘, ปญ ญาปติฏฐานปญ หา ๒๖๕ ปญหาท่ี ๙, สงั สารปญ หา ๒๖๖ ปญหาที่ ๑๐, จริ กตสรณปญหา ๒๖๘ ปญหาท่ี ๑๑, อภิชานันตสติปญ หา ๒๖๙ ๒๗๑ ๒๗๓

วรรคที่ ๗, อรปู ววตั ถานวรรค หนา ปญ หาท่ี ๑, สติอปุ ปช ชนปญหา ปญหาที่ ๒, พทุ ธคุณสตปิ ฏลิ าภปญหา ๒๗๖ ปญหาที่ ๓, ทกุ ขปั ปหานวายมปญหา ๒๘๒ ปญหาที่ ๔, พรหมโลกปญ หา ๒๘๔ ปญหาท่ี ๕, ทวินนงั โลกปุ ปน นานงั สมกภาวปญ หา ๒๘๙ ปญ หาท่ี ๖, โพชฌงั คปญ หา ๒๙๑ ปญ หาท่ี ๗, ปาปปุญญานงั อัปปานปั ปภาวปญ หา ๒๙๔ ปญหาที่ ๘, ชานันตาชานนั ตปาปกรณปญหา ๒๙๖ ปญหาท่ี ๙, อตุ ตรกุรกุ าทิคมนปญ หา ๒๙๗ ปญ หาท่ี ๑๐, ทีฆัฏฐปิ ญ หา ๒๙๙ ปญหาท่ี ๑๑, อสั สาสปส สาสนิโรธปญ หา ๓๐๑ ปญหาท่ี ๑๒, สมทุ ทปญ หา ๓๐๒ ปญ หาที่ ๑๓, สมุททเอกรสปญ หา ๓๐๕ ปญ หาที่ ๑๔, สุขมุ ปญ หา ๓๐๖ ปญหาท่ี ๑๕, วญิ ญาณนานตั ตปญ หา ๓๐๗ ปญหาท่ี ๑๖, อรปู ธัมมววัตถานทกุ กรปญหา ๓๐๘ มิลินทปญหปจุ ฉาวสิ ชั ชนา ๓๐๙ ๓๑๒

 

ขุททกนิกาย มลิ ินทปญหาบาลี นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ฺธสฺส. กถาวาดว ยนครอนั เปน ท่อี บุ ตั ิแหง ปญหา ๑. ณ สาคลนครอันเปนเมืองอุดม พระราชา พระนามวามิลินทพระองคนั้น ไดเสด็จเขาไป หาพระนาคเสน ดุจแมนาํ้ คงคาไหลไปหามหา- สมุทรฉะน้ัน พระราชาผูทรงมีถอยคาํ วิจิตร ทรงน่ังถามปญหาที่ละเอียดออน อันเปนไป ตามฐานะ (เหตุ) และไมใชฐานะ (ไมใชเหตุ) หลายปญหา กะทานพระนาคเสนเถระผูเปน ดุจคบเพลิงบรรเทาความมืด ปุจฉาและวิสัชชนา ลวนอิงอาศัยอรรถท่ีลึกซึ้ง นาจับใจ ไพเราะหู นาอัศจรรย ทาํ ใหโลมชาติชูชันได คําพูดของ ทานพระนาคเสนหย่ังลงในพระอภิธรรมและ พระวินัยเพียบพรอมดวยพระสูตรอันเปนดุจขาย วิจิตรดวยอุปมาและนัยท้ังหลาย ขอทาน ทั้งหลายจงตั้งญาณ ทาํ ใจใหบันเทิง ฟงปญหา ที่ละเอียดออนอันเปนเคร่ืองทําลายฐานะท่ีนา สงสัย ในมิลินทปญหาปกรณนั้น เถิด.

๒ มิลินทปญ หา ๒. ตามที่ไดสดับตอกันมาน้ัน มีเรื่องวา: นคร ช่ือวา สาคล ของพวกโยนกมีอยู เปนท่ีแลกเปลี่ยนสินคาตางๆ สวยงาม ดวยแมนํ้าและภูเขา มีภาคพ้ืนภูมิประเทศนารื่นรมย สมบูรณ ดว ยอาราม อุทยาน ชายปา ตระพังน้าํ และสระโบกขรณี มี แมนา้ํ ภเู ขาราวปานา รน่ื รมย มีแตส ่ิงท่ีผคู งแกเ รียน (ผูมีความรู) สรางสรรคไว ปราศจากขาศึกรบกวน ศัตรูไมเขาไปบีบบังคับ มีหอสังเกตการณ ซุมประตูที่วิจิตรหลากหลาย มีปอมเชิงเทิน ที่เลิศหรูยอดเยี่ยม มีกาํ แพงขาวสะอาดฝงลึกรายรอบ ลอม รอบภายในเมืองไว มีถนน ตรอก ทางส่ีแพรง ท่ีตัดแบง ไวดี ภายในตลาดก็มีสนิ คาดี ๆ หลายอยา งตง้ั เสนอขายเปนอยา ง ดี สวยงามดวยโรงทานหลายแหงนับเปนรอย ประดับดวยท่ีอยู อาศัยอยางดี ๆ นับเปนแสน ๆ แหง ดูคลายยอดเขาหิมะ กลนเกลื่อนดวยชางมารถคนเดินเทา มีหมูชายหญิงเที่ยว สัญจร มีผูคนอยูกระจัดกระจายไปทั่ว มีทั้งพวกกษัตริย พวกพราหมณพวกเวสยและพวกสูทมากมาย เปนท่ีคนผูมีวิชา ความรูหลายอยางซองเสพ ถึงพรอมดวยตลาดผานานาชนิด มีผาทอจากแควนโกฎมพรเปนตน มีตลาดคาดอกไม ของ หอมหลายอยางที่นาชอบใจตั้งเสนอขายเปนอยางดี ฟุง ไปดวยกลิ่นหอม เพียบพรอมดวยรัตนชาติหลายอยางท่ี นาปรารถนา มีตลาดต้ังเสนอขายหันหนาตรงทิศทั้งหลาย เปนท่ีหมูพอคาผูแตงกายงามหรูเที่ยวไป แพรหลายบริบูรณ ดวยเหรียญเงินทองและภาชนะ มีธงทิวปกโบกไสว มีทรัพยสิน

มิลินทปญ หา ๓ ธัญญาหาร อุปกรณเครื่องปลื้มใจเพียงพอ มียุงฉางคลังสินคา บริบูรณ มีของเคี้ยวของกินของเลียของดื่มของลิ้มหลายอยาง มีขาวกลาสมบูรณคลายอุตตรกรุ ทุ วีป (หรือ) เหมอื นอยา งเมือง เทวดาชือ่ วา อาฬกมันทาฉะนั้น. คําอธิบาย คําวา พวกโยนก ในที่น้ีคือพวกกรีกท่ีเขามาอาศัยต้ัง บานเรือนอยูในแควนปญจาบของอินเดียต้ังแตครั้งท่ีอเล็กซาน- เดอรมหาราชพิชิตแควนน้ีได มิไดหมายถึงชาวไทยทางแถบ ลา นนา. อนั บัณฑิตนาจะดาํ รงอยใู นสาคลนครนี้ แลวกลา วถึงบุพ- กรรม (กรรมที่ทําไวในภพกอน) ของทานเหลานั้น. และเมื่อ จะกลาว กค็ วรกลา วแบง เปน ๖ กณั ฑกอ น. ๖ กณั ฑนม้ี ีอะไร บาง? ไดแก ปุพพโยคะ ๑ มิลินทปญหา ๑ ลักขณปญหา ๑ เมณฑกปญหา ๑ อนุมานปญหา ๑ โอปมมกถาปญหา ๑. ใน ๖ กัณฑน้ัน มิลินทปญหายังแตกเปน ๒ สวน คือ ลักขณปญหา ๑ วิมติเฉทนปญหา ๑ แมเมณฑกปญหา ก็แตกเปน ๒ สวน คือมหาวรรค ๑ โยคิกถาปญหา ๑. ใน ๖ กัณฑนั้น กรรมท่ีบุคคลทั้ง ๒ คือพระเจามิลินท และพระนาคเสนเถระประกอบไวในภพกอน ช่ือวา ปุพพโยคะ. ปญหาที่พระเจามิลินททรงตั้งถามขึ้นมาเอง มิไดปรารภ คาํ ในพระศาสนา ชื่อวา มลิ ินทปญหา. ปญ หาท่ีพระเจา มลิ นิ ทท รง

๔ มลิ นิ ทปญ หา ปรารภเกี่ยวกับลักษณะของบุคคลเปนตน ชื่อวา ลักขณปญหา. ปญหาที่พระเจามิลินทตรัสถามเก่ียวกับพระดาํ รัสของ พระพุทธเจามีความหมายเปน ๒ อยางปะปนกัน ขัดแยงกัน ชื่อวา เมณฑกปญ หา. ปญหาที่พระเจามิลินทต รสั ถามเกีย่ วกับ เร่ืองอนุมาน (มีเหตุใหคาดหมายไดวาตองเปนอยางน้ัน ตองเปน อยางน)้ี ช่อื วา อนุมานปญ หา. ปญ หาท่พี ระเจามลิ นิ ทต รสั ถาม เกยี่ วกับอปุ มาเปรียบเทยี บองคคุณบางอยางของพระอรหันต กบั ความประพฤติเปนไปบางอยางของสตั วอ น่ื ชื่อวา โอปม มกถา- ปญ หา. ใน ๖ กัณฑน้ัน มิลินทปญหา แมวามีถึง ๗ วรรค ก็ จัดวามี ๒ สวน โดยเกี่ยวกับเร่ืองท่ีถามถึง, คือสวนหน่ึง เปนปญหาที่ถามถึงลักษณะของธรรมบางอยาง สวนน้ีเรียกวา ลกั ขณปญ หา. สวนหน่ึงเปนปญหาท่ีถามถึงธรรมทั้งหลาย เพื่อ ตัดความสงสัยท่ีมีอยใู นธรรมเหลา นนั้ สว นนีเ้ รียกวา วิมตเิ ฉทน- ปญ หา. เมณฑกปญหา แมวามีถึง ๘ วรรค ก็จัดวามี ๒ สวน เทานั้นเหมือนกัน คือสวนหนึ่งเปนปญหาท่ีถามเก่ียวกับความ ย่ิงใหญแหงหมวดธรรมบางอยาง สวนน้ีเรียกวา มหาวรรค. สวนหน่ึงเปนปญหาท่ีถามเก่ียวเน่ืองกับปฏิปทาของพระโยคีบาง ทา น สวนนเ้ี รยี กวา โยคกิ ถาปญ หา ฉะนแี้ ล.

  กณั ฑที่ ๑ - พาหิรกถา ปุพพโยคะเปนตน ๓. คําวา ปพุ พโยคะ ไดแกบพุ กรรมของบุคคลทง้ั ๒ นนั้ . มเี รอ่ื งวา ในครัง้ อดตี เมือ่ พระศาสนาของพระผูมพี ระภาคกสั สปะ ยังเปนไปอยู ภิกษุสงฆหมูใหญอาศัยอยูท่ีอาวาสแหงหน่ึงใกล แมนํ้าคงคา, ในบรรดาภิกษุเหลาน้ัน ภิกษุท่ีถึงพรอมดวยวัตร และศลี จะลกุ ข้ึนแตเชา ถือไมกวาดดา มยาวนกึ ถึงพระพทุ ธคุณปด กวาดลานไป รวมขยะไวเปน กอง ๆ. ครง้ั นน้ั ภกิ ษรุ ปู หน่งึ กลาวกะ สามเณรวา “น่ีแนะสามเณร จงมาเอาขยะน้ีไปทง้ิ ”, สามเณรผู นน้ั ก็เดินไปเสียเหมือนไมไ ดยิน. ภิกษจุ ะเรียกอยูแมครั้งท่ี ๒ แมครั้ง ที่ ๓ สามเณรนน้ั ก็ยงั เดนิ เฉยเหมือนไมไ ดย นิ นนั่ แหละ. เพราะเหตุ น้ัน ภิกษรุ ปู นนั้ จึงคดิ วา “สามเณรผูน ้วี ายากจรงิ หนอ” ดังนี้ โกรธ แลว กใ็ ชดา มไมก วาดตเี อา. ขณะทส่ี ามเณรผูรอ งไหเ พราะถกู ตนี น้ั หอบขยะไปทิง้ ไดต ั้งความปรารถนาไวเ ปน ขอแรกวา “ดวยกรรมที่ เปน บญุ คือการท้งิ ขยะนใ้ี นระหวา งกาล (ท่ีลวงไป) จนกวาเราจะ บรรลุพระนิพพานน้ี ขอเราพึงเปนผูมีศักดิ์ใหญ มีเดชมาก เหมือน อยางพระอาทติ ยตอนเทยี่ งวนั ในทกุ ๆ สถานท่ีทเี่ ราบังเกิด เถิด” ดังนี.้ พอทง้ิ ขยะแลวก็ไปสูแมนาํ้ คงคาเพื่อสรงน้ํา พอเหน็ ระลอก คลื่นในแมนํ้าคงคาท่ีหนุนเนื่องกันมาอยู ก็ตั้งความปรารถนาไว แมเปน ขอ ที่ ๒ วา “ในระหวา งกาลจนกวา เราจะบรรลพุ ระนิพพาน

๖ ปุพพโยคกัณฑ  น้ี ขอเราพึงเปนผูมีปฏิภาณอุบัติไดโดยพลัน มีปฏิภาณไมรูจัก ส้ินเหมือนระลอกคลน่ื ในทุก ๆ สถานทที่ ีเ่ ราบังเกดิ เถดิ ” ดงั น้.ี แมภ ิกษุรปู นน้ั พอวางไมกวาดไวท โี่ รงเกบ็ ไมก วาดแลว ก็ ไปสูแมนํ้าคงคาเพื่อสรงนาํ้ ไดยินคาํ ปรารถนาของสามเณรเขา ก็คิดวา “สามเณรผูน้ี แมวาถูกเราใชก็ยังปรารถนาอยางนี้กอน เทียว, กค็ วามปรารถนานน้ั จักไมส าํ เร็จแกเราบา งเชียวหรอื ” ดงั น้ี แลวก็ตั้งความปรารถนาวา “ในระหวางกาลจนกวาเราจะบรรลุ พระนิพพานน้ี ขอเราพึงเปน ผมู ีปฏภิ าณไมรจู กั ส้นิ เหมอื นระลอก คล่ืนในแมนํ้าคงคานี้เถิด, ขอเราพึงเปนผูสามารถที่จะแกท่ีจะ เปลื้องปญหาปฏิภาณที่สามเณรผูนี้ถามไดทุกอยางเถิด” บคุ คลทง้ั ๒ นนั้ ทอ งเท่ียวไปในเทวดาและมนษุ ยท ง้ั หลาย สน้ิ พทุ ธนั ดรหน่งึ ตอ มาแมพ ระผมู ีพระภาคของพวกเราทัง้ หลาย ก็ไดทรงแสดงไววา “บุคคลแมท ้ัง ๒ นี้ จกั ปรากฏขึน้ เหมอื นอยาง ที่พระโมคคัลลบี ุตรตสิ สเถระปรากฏขึ้นฉะนนั้ . เม่ือกาลลว งไปได ๕๐๐ ป นบั แตก ารปรนิ พิ พานของเรา บุคคลทงั้ ๒ นจ้ี กั เกดิ ขนึ้ , บคุ คลท้ัง ๒ นี้ จกั จาํ แนกธรรมและวนิ ัยท่ีเราแสดงไวอ ยางสุขมุ ให หายยงุ เหยิง ใหห มดเง่ือนงาํ ดวยอาํ นาจแหง คาํ ถาม อุปมาและ ยุตติในปญ หา” ดงั น้ี. ๔. ในบุคคลท้ัง ๒ น้ัน สามเณรไดเกิดเปนพระราชาทรง พระนามวา มิลินท ท่ีสาคลนครในชมพูทวีป ทรงเปนบัณฑิตผู เฉลียวฉลาด มีปญญา มีความสามารถ มีปกติใครครวญกอน

ปุพพโยคกณั ฑ ๗ แลวจึงทาํ ทุกคราวท่ีทรงทําสิ่งควรทาํ คือ วิธีประกอบในการงาน ท้ังท่ีเปนอดีต อนาคต และปจจุบันท้ังหลาย, ทั้งไดทรงเรียน ศาสตรท ั้งหลายเปนอนั มาก. ศาสตรเ หลาน้มี อี ะไรบาง? ไดแก สุติ สมมุติ สังขยา โยคะ นีติ วิเสสิกา คณิกา คันธัพพา ติกิจฉา จตุพเพทะ ปุราณะ อิติหาสะ โชติสา มายา เหตุ มันตนา ยุทธะ ฉันทสะ รวมเปน ๑๙ พรอมทั้งพระพุทธพจน ทรงเปน วิตัณฑวาที (มีวาทะที่ทาํ ใจของผูอื่นใหหว่ันไหวได) เปนผูที่ใคร ๆ เขาใกลไดยาก (ไมกลาเผชิญหนา) เปนผูที่ใคร ๆ ขมขี่ไดยาก นับวาทรงเปนยอดแหงบรรดาเจาลัทธิแตละลัทธิในชมพูทวีป ทั้งสิ้น หาใครๆ ผูเสมอเหมือนพระเจามิลินทดวยกําลัง ดวย เชาวน ดวยความกลา ดวยปญญามิได, ทรงเปนผูมั่งค่ังมี ทรัพยมาก มีโภคสมบัติมาก มีไพรพลพาหนะหาท่ีสุดมิได. คาํ อธิบาย คําวา สุติ ไดแก ศัพทศาสตร วาดวยหลักภาษาตาง ๆ. คําวา สมมุติ ไดแกธรรมศาสตรวาดวยหลักเกณฑการวินิจฉัย อรรถคดีของพระราชาหรือของหลวง. คาํ วา สังขยา ไดแก สังขยาศาสตรวาเก่ียวกับหลักการนับจาํ นวน. คาํ วา โยคะ ไดแก โยคศาสตร วาดวยการใชของขลังเปนเคร่ืองประกันวาจะไมเกิด ภัยอันตรายขึ้นในอนาคต. คาํ วา นีติ ไดแกนิติศาสตร วาดวย ขอที่พระราชาและชาวโลกพึงประพฤติ. คําวา วิเสสิกา ไดแก ศาสตรวาดวยการใชเคร่ืองมือเคร่ืองชั่งเปนตน ทาํ เสา

๘ ปุพพโยคกัณฑ  เปนตน, วิชากอสราง. คาํ วา คณิกา ไดแกคณิตศาสตร. คาํ วา คันธัพพา ไดแกวิชาฟอนรํา ขับรอง บรรเลง. คาํ วา ติกิจฉา ไดแกแพทยศาสตร. คําวา จตุพเพทา ไดแกเวท ๔ อยาง คือ อิรุเวท สามเวท ยชุรเวท อาถัพพเวท. คําวา อิติหาสะ ไดแก วิชาประวัติศาสตร. คําวาโชติสา ไดแกพยากรณศาสตร. คาํ วา มายา ไดแก มายาศาสตร. คําวา เหตุ ไดแกวิชาวาดวยนิมิต ลางรายดี. คําวา มันตนา ไดแกวิชาทาํ นายสิ่งท่ีตองการรู, ศาสตรของพวกวิทยาธร. คําวา ยุทธะ ไดแกยุทธศาตร, หรือ ศาสตรวาดวยการจัดกระบวนทัพ. คําวา ฉันทสะ ไดแก ฉันทศาสตร วาดวยกิจท่ีพึงทาํ สาํ หรับหญิงมีการปนดาย เปนตน, กิจท่ีพึงทําสําหรับชายมีการไถนาเปนตน ท่ีพึงทํา ไดตามความพอใจของตน. ๕. อยูมาวันหน่ึง พระเจามิลินท ทรงประสงคจะตรวจดู พลพาหนะอันหาท่ีสุดมิได ซึ่งจัดเปนกระบวนทัพประกอบดวย พล ๔ เหลา จึงเสด็จออกจากพระนครไป ครั้นทรงเสร็จส้ิน การตรวจดูเหลาทัพภายนอกพระนครแลว พระราชาผูทรงชอบ การโตคารม (มีวาทะ) แกลวกลา คลองแคลว ผูมีพระทัยวุน วายอยูในการสนทนากับพวกวิตัณฑชนเรื่องโลกายัตพระองค น้ันก็ทรงแหงนดูพระอาทิตย ตรัสเรียกอาํ มาตยท้ังหลายมา รับ ส่ังวา “นี่แนะ พนาย วันยังเหลืออยูมาก พวกเรากลับเขา เมืองเวลาน้ีแลวจักทําอะไร สมณะหรือพราหมณบางคนท่ีเปน

ปพุ พโยคกณั ฑ ๙ เจาหมู เจาคณะ เปนอาจารยประจาํ คณะ แมที่ยืนยันวาตน เปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาผูอาจสนทนากับเราเพื่อ กําจัดความสงสัย ก็มีอยู เราจักเขาไปถามปญหากะสมณะหรือ พราหมณผูนั้น, เราจักขอบรรเทาความสงสัยละ” ดังนี้. เมื่อรับสั่งอยางน้ีแลว พวกขาหลวงโยนกจาํ นวน ๕๐๐ ก็ไดกราบทูลความขอน้ันกะพระเจามิลินทวา “ขาแตมหาราชเจา ศาสดา ๖ ทา น คอื ทานปูรณกัสสปะ ทา นมกั ขลโิ คสาละ ทา น นคิ ณั ฐนาฏบุตร ทานสัญชยเพลัฏฐบุตร ทานอชิตเกสกัมพล ทานปกุธกัจจายนะ ก็มีอยู, อาจารย ๖ ทานน้ัน เปนเจาหมู เจาคณะ เปนอาจารยประจําคณะ เปนผูรู ชนทั้งหลายเปน อันมากนับถือกันวา เปนคนด,ี ขา แตม หาราชเจา ขอพระองคจ ง เสดจ็ ไปถามปญ หากะศาสดาทั้ง ๖ น้ัน, ขอพระองคจงทรง กําจัดความสงสัยเสียเถิด พระเจาขา” ดังนี้. คําอธิบาย คาํ วา ศาสดา ๖ ทาน ไดแกศาสดา ๖ ทานผูมีชื่อ เหมือนกับศาสดา ๖ ทาน ครั้งพุทธกาล กลาวคือ ทาน ปูรณกัสสปะ ผูมีชื่อเหมือนทานปูรณกัสสปะครั้งพุทธกาล, ทาน มักขลิโคสาละ ผูมีช่ือเหมือนทานมักขลิโคสาละครั้งพุทธกาล อยางน้ี เปนตน. (อรรถกถาอธิบายไวอยางน้ีก็จริง แตคาํ อธิบายอีกนัยหนึ่งก็นารับฟง คือศาสดาผูนี้จะมีช่ือมีโคตร เดิมวากระไรก็ตาม แตเพราะเปนศิษยของทานปูรณกัสสปะ

๑๐ ปุพพโยคกัณฑ  ประกาศลัทธิของทานปูรณกัสสปะ จึงไดชื่อคือสมญาวา ปูรณกัสสปะ คนท้ังหลายเรียกวา ปูรณกัสสปะ, อีกทานหนึ่ง เพราะเปนศิษยของทานมักขลิโคสาละ ประกาศลัทธิของทาน มักขลิโคสาละ จึงไดช่ือวา มักขลิโคสาละ คนท้ังหลายเรียกวา มกั ขลิโคสาละ อยางน้ี เปนตน) ๖. ครั้งนั้นแล พระเจามิลินท แวดลอมดวยขาหลวงโยนก ๕๐๐ คน เสด็จข้ึนรถทรงอันเปนพาหนะท่ีงดงาม เขาไปหา ทานปูรณกัสสปะ ณ ที่พาํ นัก. ครั้นเสด็จเขาไปแลว ก็ทรงยิน ดีรวมกันกับทานปูรณกัสสปะ ตรัสสัมโมทนียกถาอันเปน เครื่องพอใหระลึกถึงกันจบแลว ก็ทรงน่ังลง ณ ท่ีสมควรสวน หน่ึง พระเจามิลินทครั้นทรงนั่งลง ณ ท่ีสมควรสวนหนึ่งแลว ก็ไดตรัสความขอนั้นกะทานปูรณกัสสปะ วา “ทานกัสสปะ ผูเจริญอะไรรักษาโลกอยู?” “ขอถวายพระพร มหาบพิตร แผนดินรักษาโลกอยู” พระราชา “ทานกัสสปะผูเจริญ ถาหาก แผนดินรักษาโลกอยูไซร, เม่ือเปนเชนน้ัน เพราะเหตุไร สัตว ผูจะไปอเวจีนรกจึงลวงแผนดินไปไดเลา” เม่ือตรัสอยางน้ีแลว ทานปูรณกัสสปะก็ไมอาจกลืน ไมอาจคาย, นั่งกมหนา คอตก นิ่งเฉย เกอเขินอยู. ๗. ตอจากนั้น พระเจามิลินทจึง (เสด็จขึ้นรถทรงไป) ตรัส ความขอนั้นกะทานมักขลิโคสาละวา “ทานโคสาละผูเจริญ กรรมท่ีเปนกุศล ที่เปนอกุศล มีอยูหรือ, ผลวิบากของกรรม

ปุพพโยคกัณฑ ๑๑ ที่ทาํ ดี ทําช่ัว มีอยูหรือ?” “ขอถวายพระพร มหาบพิตร กรรม ท่ีเปนกุศล ท่ีเปนอกุศลไมมีหรอก, ผลวิบากของกรรมท่ีทาํ ดี ที่ทาํ ช่ัว ก็ไมมี, ขอถวายพระพร พวกท่ีเปนกษัตริยในโลก น้ี, แมไปโลกหนา ก็จักเปนกษัตริยน่ันแหละอีก, พวกท่ีเปน พราหมณ เปน เวสย เปน สทู เปน จัณฑาล เปนคนเทหยากเย่ือ, แมไปในโลกหนาก็จักเปนพราหมณ เปนเวสย เปนสูท เปน คนเทหยากเยื่อนั่นแหละอีก, ประโยชนอะไรดวยกุศลกรรม อกุศลกรรมท้ังหลายเลา”. พระราชา “ทานโคสาละผูเจริญ ถา หากวาคนท่ีเปนกษัตริย เปนพราหมณ เปนเวสย เปนสูท เปนจัณฑาล เปนคนเทหยากเย่ือในโลกนี้ แมไปสูโลกหนา แลวก็จักเปนกษัตริย เปนพราหมณ เปนเวสย เปนสูท เปน จัณฑาล เปนคนเทหยากเยื่อน่ันแหละอีก สิ่งท่ีสัตวทําโดย เปนกุศลกรรม อกุศลกรรมก็ไมมีไซร, ถาอยางน้ันนะ ทาน โคสาละ คนมือดวนในโลกน้ี แมไปในโลกหนาแลว ก็จักเปน คนมือดวนน่ันแหละอีก, คนเทาดวน ก็จักเปนคนเทาดวน น่ันแหละอีก, คนที่ท้ังมือท้ังเทาดวน ก็จักเปนคนที่ทั้งมือท้ัง เทาดวนนั่นแหละอีก, คนหูแหวงก็จักเปนคนหูแหวงนั่นแหละ อีก, คนจมูกแหวงก็จักเปนคนจมูกแหวงน่ันแหละอีก” เมื่อ ตรัสอยางนี้ ทานโคสาละก็น่ิงเฉยไป. ลําดับนั้นแล พระเจามิลินททรงเกิดพระดําริขอนี้ วา “ทานผูเจริญทั้งหลายเอย ชมพูทวีปวางเปลาไปเสียแลวหนอ, ทานผูเจริญท้ังหลายเอย ชมพูทวีปมีแตแกลบหนอ,ใคร ๆ ไมวา

๑๒ ปพุ พโยคกัณฑ  สมณะหรือพราหมณผูอาจสนทนากับเรา เพ่ือบรรเทาความ สงสัย ไมมีเลย” ดงั น.ี้ ครั้งนั้นแล พระเจามิลินท ตรัสเรียกพวกอํามาตยทั้งหลาย มา รบั สั่งวา “ทานผเู จรญิ ทั้งหลายเอย ราตรเี ดือนหงายนา ร่นื รมย หนอ, ไฉนวันนี้ เรานาจะเขาไปหาสมณะหรือวาพราหมณเพ่ือ ถามปญหา, ใครเลา อาจสนทนากับเราเพื่อบรรเทาความสงสัย ได” เมื่อรับสั่งอยางน้แี ลว พวกอํามาตยท้ังหลายก็ไดแตยืนน่ิง เฉย มองดูพระพักตรพระราชาอยู. กใ็ นสมยั นัน้ แล สาคลนคร กลายเปนนครทวี่ างจากพวก สมณะ พราหมณ คฤหบดผี ูเ ปน บณั ฑติ ไปถงึ ๑๒ ป, พระราชา ทรงสดับวา สมณะพราหมณคฤหบดผี เู ปน บณั ฑติ อาศยั อยู ณ สถานท่ีใด, จะเสด็จไป ณ สถานทนี่ นั้ ตรสั ถามปญหากะพวก บัณฑติ เหลา นัน้ พวกบณั ฑติ แมทุกคน ไมอ าจทาํ พระราชาใหทรง ยินดีดวยคาํ วิสัชชนาปญหาได จึงหลีกไปเสียทางใดทางหน่ึง. พวกทไ่ี มย อมไปทิศอน่ื (คอื ยังคงอยปู ระจําสถานที่เดิม) กไ็ ดแ ตน ิ่ง เฉยกันหมด. สว นพวกภกิ ษุ โดยมากจะพากันไปภูเขาหิมพานต. คําอธิบาย คาํ วา สวนพวกภิกษุ โดยมากจะพากนั ไปภเู ขาหมิ พานต ดังน้ีนั้น ไดแกบรรดาภิกษุผูมีฤทธ์ิเทาน้ัน. ภิกษุผูไมมีฤทธิ์ ไมอาจไปสูภูเขาหิมพานตได เปนภิกษุท่ีนับเน่ืองอยูในคาํ วา “พวกท่ีไมยอมไปทิศอื่นก็ไดแตน่ิงเฉยกันหมด”

ปพุ พโยคกณั ฑ ๑๓ ๘. ก็ในสมัยน้ันแล พระอรหันต ๑๐๐ โกฏิ อาศัยอยูที่รักขิต- ตลวิหาร บนภูเขาหิมพานต. คร้ังน้นั ทานพระอัสสคุตไดสดับคํา ตรัสของพระเจา มิลินทดว ยทพิ ยโสตธาตญุ าณ (ญาณคอื หทู พิ ย) แลวกใ็ หป ระชุมภกิ ษสุ งฆท ยี่ อดเขายคุ นั ธร ถามภกิ ษทุ งั้ หลายวา “ทานผูมีอายุทั้งหลาย มีภิกษุผูสามารถสนทนากับพระเจามิลินท เพ่ือบรรเทาความสงสัยอยูบางหรือไม?” เมื่อทานพระอัสสคุตกลาวอยางนี้แลว พระอรหันต ๑๐๐ โกฏิ ก็ไดแตนิ่งเฉย. พระอัสสคุตถามแมเปนครั้งที่ ๒ แมเปน คร้งั ท่ี ๓ กเ็ อาแตนง่ิ เฉย. เมอื่ เปน เชน นน้ั ทา นพระอัสสคุตจึงได กลาวความขอนั้นกะภิกษุสงฆวา “ทานผูมีอายุทั้งหลาย ท่ีภพ ดาวดึงส มีวิมานชื่อวา เกตุมดี อยูทางดานทิศปราจีนแหง เวชยันตปราสาท, เทวบุตรตนหนึ่ง ช่ือวา มหาเสน อาศัยอยูท่ี วิมานน้ัน, เทวบุตรตนนั้น สามารถสนทนากับพระเจามิลินทพระ องคน้ัน เพื่อบรรเทาความสงสัยได” ดังนี้. ลําดับน้ันแล พระอรหันต ๑๐๐ โกฏิ กไ็ ดอันตรธานหาย ตัวจากภูเขายุคันธรไปปรากฏตัวท่ีภพดาวดึงส. ทานทาวสักกะ จอมเทพก็ไดทอดพระเนตรเห็นภิกษุผูมาแตไกลเหลานั้น, คร้ัน ทรงเห็นแลวก็ไดเสด็จเขาไปหาทานพระอัสสคุต, เขาไปหาแลว ก็ทรงกราบไหวทานพระอัสสคุต แลวทรงยืนอยู ณ ที่สมควร สวนหน่ึง, ทานทาวสักกะจอมเทพ คร้ันทรงยืนอยู ณ ท่ีสมควร สวนหนึ่งแลว ก็ตรัสความขอน้ันกะทานพระอัสสคุตวา “พระ คุณเจา พระภิกษุหมูใหญแลมาถึง, โยมก็เปนคนวัดของสงฆ,

๑๔ ปุพพโยคกัณฑ  พระสงฆม ีความตอ งการดว ยเร่ืองอะไร มอี ะไรท่โี ยมตองทาํ หรือ?” ลําดับน้นั ทา นพระอสั สคตุ จงึ ไดถ วายพระพร แจงความ ขอน้ันกะทานทาวสักกะจอมเทพวา “ขอถวายพระพรมหาบพิตร ท่สี าคลนครในชมพทู วปี มพี ระราชาพระนามวา มิลินท ทรงเปนผู ที่มีวาทะทาํ ใจผูอ่ืนใหหวั่นไหวได เปนผูท่ีใคร ๆ เขาใกลไดยาก ใคร ๆ ขมขี่ไดยาก กลาวไดวา ทรงเปนยอดแหงบรรดาเจาลัทธิ แตละลัทธิ, พระเจามิลินทนั้น ไดเสด็จเขาไปหาภิกษุสงฆ ใชทิฏฐิ วาทะถามปญหาขมเหงภิกษุสงฆ” คร้ังน้ันแล ทานทาวสักกะจอมเทพไดรับส่ังความขอน้ัน กะทานพระอัสสคุต วา “พระคุณเจา พระเจามิลินทพระองคน้ี ทรงเปนผูท่ีเคลื่อนจากภพน้ีไปอุบัติในมนุษย, พระคุณเจา ที่ เกตุมดีวิมาน เทวบุตรชื่อวา มหาเสนนี้ อาศัยอยู, เทพบุตรตน น้ัน สามารถสนทนากับพระเจามิลินทพระองคน้ัน เพ่ือบรรเทา ความสงสัยได, โยมจักขอรองเทพบุตรตนน้ัน เพื่อใหไปอุบัติใน โลกมนุษย” ตอจากน้ันแล ทานทาวสักกะจอมเทพ ทรงใหภิกษุสงฆ นําหนา เสด็จเขาไปยังเกตุมดีวิมาน ทรงสวมกอดมหาเสน เทพบุตร ตรัสถามความขอน้ัน วา “นี่แนะ ทานผูนิรทุกข ภิกษุ- สงฆมาขอรองทานเพ่ือใหอุบัติในโลกมนุษย” มหาเสนเทพบุตร กราบทูลวา “ขาแตพระองคผูเจริญ ประโยชนอะไรดวยโลก มนุษยที่มีการงานมากมายเลา พระเจาขา, โลกมนุษยหยาบ ชา, ขาแตพระองคผูเจริญ ขาพระองคจักขออุบัติในเทวโลกนี้

ปพุ พโยคกณั ฑ ๑๕ ตอ ๆ ไปจนกวาปรินพิ พาน พระเจา ขา ”. ทานทา วสกั กะทรงขอรอง แมเ ปนครัง้ ท่ี ๒ แมเ ปน ครัง้ ที่ ๓ มหาเสนเทพบุตรก็ยังคงกลาววา “ขาแตพระองคผูเจริญ ประโยชนอะไรดวยโลกมนุษยท่ีมีการงาน มากมายเลา พระเจาขา, โลกมนุษยหยาบชา, ขาแตพระองคผู เจรญิ ขาพระองคจกั ขออุบตั ิในเทวโลกน้ีตอ ๆ ไปจนกวาปรนิ พิ พาน พระเจาขา” ดังน้ี. ตอจากนั้นแล ทานพระอัสสคุตจึงไดกลาวความขอน้ัน กะมหาเสนเทพบุตร วา “ทานผูนิรทุกข พวกเราเม่ือตรวจดู โลกพรอมทั้งเทวดาอยู ก็มองไมเห็นใครอ่ืนท่ีสามารถทาํ ลาย วาทะของพระเจามิลินท ประคองพระศาสนาได ยกเวนแต ตัวทาน, ขาแตทานสัตบุรุษ ขอไดโปรดบังเกิดในโลกมนุษย ประคองพระศาสนาของพระทศพล เถดิ ” ดงั น.ี้ เมอ่ื ทา นพระอสั สคุต กลาวขอรองอยางน้ีแลว มหาเสนเทพบุตรคิดวา “เพ่ิงทราบวา เราเปน ผทู ส่ี ามารถทาํ ลายวาทะพระเจามลิ ินท ประคองพระพุทธ- ศาสนาได” ดังน้ีแลวก็เปนผูราเริงบันเทิง ยินดีปรีดา ไดใหคาํ ปฏิญาณวา “ดีละ พระคุณเจา ขาพเจาจักไปอุบัติในโลกมนุษย ละ” ดังนี้. ๙. คร้งั นั้นแล ภกิ ษเุ หลานัน้ ครน้ั เสร็จกรณียกิจน้นั ในเทวโลก แลว ก็อันตรธานหายตัวท่ีเทวโลกชั้นดาวดึงสไปปรากฏตัวที่ รักขิตตลวิหารใกลภูเขาหิมพานต.

๑๖ ปุพพโยคกณั ฑ  คร้ังน้ันแล ทานพระอัสสคุตไดกลาวความขอน้ันแก ภิกษุสงฆ วา “ทานผูมีอายุท้ังหลาย ในหมูภิกษุนี้มีภิกษุรูปใด มิไดม าประชุมอยูบ า งหรอื ?” เมื่อพระเถระกลา วอยางน้แี ลว ภิกษุ รูปหนึ่งก็ไดบอกความขอน้ันแกพระอัสสคุต วา “มี ทานผูเจริญ เมื่อ ๗ วันกอนจากนี้ ทาน โรหณะ ไดเขาไปยังภูเขาหิมพานต เขานิโรธ, ขอทานจงสงตัวแทนไปที่สํานักของทานโรหณะน้ัน เถิด” ดังน้ี. ฝายทานพระโรหณะไดออกจากนิโรธในขณะนั้น นนั่ เอง คิดวา “พระสงฆเ รียกหาเรา” จึงอนั ตรธานหายตวั ท่ภี เู ขา หิมพานตไปปรากฏตัวที่รักขิตตลวิหาร เบ้ืองหนาพระอรหันต ๑๐๐ โกฏิ. ลําดับนั้น ทานพระอัสสคุตไดกลาวความขอนั้นกะทาน พระโรหณะ วา “ทานโรหณะ เม่ือพระพุทธศาสนาจะแตกทาํ ลาย ทําไมหนอ ทานจึงไมเหลียวแลกรณียกิจพระสงฆ”. พระโรหณะ “กระผมไมทันไดใสใจ ทานผูเจริญ” พระอัสสคตุ “ถาอยา งนัน้ นะ ทา นโรหณะ ขอทา นจงทาํ ทัณฑกรรม”, พระโรหณะ “กระผมตอ งทาํ อะไรหรือ ทานผเู จรญิ ” (ฉบบั ของไทย-พระอัสสคุต “นี่แนะ ทานโรหณะ เพราะทานมไิ ด ใสใจ พวกเราก็ขอประณามทาน โดยการลงพรหมทัณฑ” พระ โรหณะ “พรหมทัณฑนั้นคืออะไรหรือขอรับ ทานผูเจริญ”) น่ีแนะ ทา นโรหณะ ท่ขี างภเู ขาหมิ พานต มีละแวกบา นของพวกพราหมณ อยูแหงหนงึ่ ชอ่ื วา คชังคละ พราหมณคนหน่ึง ชอื่ วา โสณุตตระ อาศัยอยู ณ ทนี่ นั้ , เดก็ นอ ยชื่อวา นาคเสน ผูเ ปนบุตรของเขาจัก

ปพุ พโยคกัณฑ ๑๗ เกิดข้นึ , เพราะฉะนั้นนะ ทานโรหณะ ทา นจงเขา ไปสตู ระกลู นั้น เพื่อบิณฑบาตตลอด ๗ ป ๑๐ เดอื น แลวชักนําเด็กนอยนาคเสน ใหบ วช, เมอื่ เขาบวชแลว นนั่ เทียว ทา นจงึ จกั พน จากทณั ฑกรรม” ดังนี.้ ฝา ยพระโรหณะยอมรับดวยดวี า “สาธ”ุ . คาํ อธิบาย คําวา เขา นโิ รธ คอื เขา นโิ รธสมาบตั ิ อนั เปนการกระทาํ จิตใหดับไป ไมเกิดขึ้นติดตอกันไปชั่วระยะเวลาที่ประสงคจะ เขาคือ ๑ วัน, ๒ วัน, ตลอดจนแม ๗ วัน. ระหวางที่เขาอยูน้ี รางกายเทานั้นยังเปนไป แตจิตหรือนามธรรมทั้งหมดนั่นแหละ หยุดเปนไป. คําวา กระผมไมท ันไดใ สใจ ทานกลา วหมายความวา ทานเขานโิ รธอยู ไมมีจติ ไมมใี จ จงึ ไมอ าจใสใจ คือรบั รเู รื่องราว ตา ง ๆ ได. ๑๐. ฝายมหาเสนเทพบุตร เคลื่อนจากเทวโลกแลว ก็ถือ ปฏิสนธิในครรภของภรรยาโสณุตตรพราหมณ, สิ่งนาอัศจรรย นาประหลาดใจไดปรากฏขึ้นพรอมกับการถือปฏิสนธิ คือ อาวุธ ยุทธภัณฑทั้งหลายเรืองแสงขึ้น, ยอดขาวกลาเผล็ด, เมฆใหญ (ฝน) ตกหนัก. ฝายพระโรหณะ ตั้งแตมหาเสนเทพบุตรน้ันถือปฏิสนธิ แลว ก็เขาไปยังตระกูลน้ันเพื่อบิณฑบาตอยูตลอดเวลา ๗ ป ๑๐ เดือน แมสักวันเดียวขาวสักทัพพีหนึ่งก็ไมเคยได ยาคูสัก

๑๘ ปพุ พโยคกัณฑ  กระบวยหนงึ่ ก็ไมเ คยได การทําความเคารพกไ็ มเ คยได การกราบ ไหวก็ไมเคยได หรือการตอนรับก็ไมเคยได, ทวา ไดรับแตการดา วา การบริภาษเทานนั้ , ไมมผี ูพูดดวย แมเพยี งคาํ วา “โปรดสัตว ขางหนาเถิดเจาขา” ดังนี้เทาน้ัน. พอลวงเลยเวลา ๗ ป ๑๐ เดือน ไปแลววันหน่ึง ก็ไดเพียงคาํ พูดวา “โปรดสัตวขางหนาเถิดเจาขา” ในวันนั้นนั่นแหละ แมพราหมณผูกลับมาจากการงานภายนอก บาน พบพระเถระตรงที่เดินสวนทางกันก็ถามวา “ทานผูเจริญ ทานไดไปยังเรือนของพวกเราหรือ?” พระเถระ “ใช, พราหมณ อาตมภาพไดไป” “ทานไดอะไร ๆ บางหรือ” “เออ พราหมณ อาตมาได” พราหมณน้ันไมพอใจพอไปถึงเรือนก็ถามวา “พวก เธอไดใหอะไร ๆ แกนักบวชผูน้ันหรือ?” คนในเรือนตอบวา “ไมไดใหอะไร ๆ เลย” ในวันที่ ๒ (วันตอมา) พราหมณนั่งอยู ที่ประตูเรือนน่ันแหละ คิดวา “วันน้ี เราจักกลาวหานักบวช ดวยเรื่องพูดเท็จ” ในวันที่ ๒ พระเถระก็ไปถึงประตูเรือนของ พราหมณ. พราหมณพอเห็นพระเถระก็กลาวอยางนี้ วา “เม่ือวาน ทานไมไดอะไร ๆ ที่เรือนของขาพเจาเลยก็บอกวา ‘อาตมาได’ สาํ หรับทาน การกลาวเท็จควรหรือหนอ” พระเถระกลาววา “นี่แนะ พราหมณ ตลอด ๗ ป ๑๐ เดือน* ที่อาตมาเขาไปท่ีเรือน ของทาน อาตมาไมเคยไดแมเพียงคําวา ‘โปรดสัตวขางหนา                                                * ฉบับของไทย กลาววา “ตลอด ๗ ป” เทา น้ัน

ปพุ พโยคกณั ฑ ๑๙ เถิดเจาขา’. เม่ือวานถึงจะไดเพียงคําวา ‘โปรดสัตวขางหนาเถิด เจาขา’, เมื่อเปนเชนนั้นเราก็หมายเอาวาจาปฏิสันถารคาํ น้ีกลาว อยางนี้วา ‘เออพราหมณ อาตมาได’”. พราหมณค ิดวา “ทานผูนไ้ี ดแ มเพยี งวาจาปฏสิ ันถารเทานน้ั ก็ยังสรรเสริญในทามกลางหมูชน วา ‘อาตมาได’, ถาทานไดของ เคย้ี วของฉันอะไร ๆ อยา งอนื่ บา ง ไฉนจะไมส รรเสริญเลา ” ดงั น้ี แลว กเ็ ล่อื มใส บอกใหเ ขาแบงขาวทพั พีหน่งึ และกบั ขาวอยา งละ นิดอยางละหนอย จากอาหารท่ีเขาเตรียมไวเพื่อประโยชนแกตน ถวายพระเถระ กลาวกะทานวา “ทานจักไดภิกษาหารนี้ไป ตลอดกาลท้ังปวง” ดังนี้. พราหมณน้ัน จับต้ังแตวันใหมไป เห็นความสงบเสง่ียม ของพระเถระผูเขาไป (ในเรือน) แลวก็เลื่อมใสยิ่งข้ึนไปอีก จึง ขอรองพระเถระใหตนไดกระทาํ การถวายภัตตาหารในเรือน ตลอดกาลเปนนิตย. พระเถระรับคํานิมนตโดยดุษณีภาพ เมื่อ ทานจะไปทําภัตกิจแตละวัน ทานจะไปกลาวพระพุทธพจน (ใหพราหมณฟง) วันละนิดวันละหนอย. แมนางพราหมณีน้ันแล เมื่อเวลาลวงเลยไป ๑๐ เดือนก็คลอดบุตร, ไดตั้งช่ือแกบุตร นั้นวา “นาคเสน”, เขาเจริญเติบโตไปตามลาํ ดับ จนมีอายุได ๗ ขวบ. ๑๑. คร้ังนั้นแล บิดาของนาคเสนเด็กนอย ไดกลาวกะ นาคเสนเด็กนอย วา “นี่แนะ พอนาคเสนในสกุลพราหมณนี้

๒๐ ปุพพโยคกณั ฑ  พอตองศึกษาศาสตรที่ควรศึกษาทั้งหลายนะ”. “คุณพอ ชื่อวา ศาสตรท่ีควรศึกษาในสกุลพราหมณน้ีคืออะไร?”. “พอนาคเสน ไตรเพท ช่ือวาศาสตรที่ควรศึกษา วิชาศิลปะท่ีเหลือท้ังหลาย ก็ชื่อวาศาสตรท่ีควรศึกษา”. “ถาอยางน้ันนะ คุณพอ ลูกจัก ศึกษาละ”. ลาํ ดับน้ันแล โสณุตตรพราหมณ ไดมอบเงิน ๑,๐๐๐ เหรียญอันเปนสวนของอาจารย (เปนคาจางอาจารย) แก พราหมณอาจารย แลวใหเขาตั้งเตียงไวท่ีขางหนึ่งในหองหนึ่ง ภายในปราสาท กลาวกะพราหมณอาจารยวา “นี่แนะ ทาน พราหมณ ขอทานจงสอนใหเด็กคนน้ี สาธยายมนตท้ังหลาย เถิด” ดังนี้. พราหมณอาจารยกลาวกะนาคเสนเด็กนอย วา “ถาอยางนั้นนะ พอเด็กนอย ขอพอจงเรียนมนตท้ังหลายเถิด” ดังน้ี. พราหมณอาจารยสาธยายมนตไป โดยการยกขึ้นแสดง เพียงคราวเดียวเทาน้ัน นาคเสนเด็กนอยก็มีอันเขาใจไตรเพท ได ทองไดคลองปาก ทรงจาํ ไวไดดี กําหนดไวไดดี ทาํ ไวในใจได ดวยดี, เพียงคราวเดียวเทาน้ัน ก็เกิดดวงตาเห็นไตรเพท เปน ผูรูบท ชํานาญการอธิบายในคัมภีรสณิฆัณฑุและเกฏภะ ใน คัมภีรสากขรัปปเภทะ ในศาสตรทั้งหลายอันมีอิติหาสะเปนท่ี ๕ ไมขาดตกบกพรอง ในคัมภีรโลกายตะและมหาปุริสลักขณะ. ตอมาแล นาคเสนเด็กนอย ไดกลาวความขอน้ันกะบิดา วา “คุณพอ ศาสตรท่ีควรศึกษาในสกุลพราหมณนี้ แมที่ยิ่ง

ปุพพโยคกัณฑ ๒๑ ข้ึนไปกวาน้ีมีอยูหรือ, หรือวาเพียงเทาน้ีแหละ?” “พอนาคเสน ศาสตรที่ควรศึกษาในสกุลพราหมณนี้ ที่ย่ิงขึ้นไปกวานี้หามีไม, ศาสตรที่ควรศึกษาก็มีเพียงเทาน้ีแหละ” คร้ังน้ันแล นาคเสนเด็กนอย ซักไซรอาจารยแลวก็ลงจาก ปราสาทไป เปน ผทู ว่ี าสนา (การอบรมจติ ) ในภพกอ นคอยกระตนุ จิตใจ เม่ือไดหลีกเรนไปในท่ีลับ ตรวจดูเบ้ืองตน ทามกลาง และท่ีสุดแหงวิชาศิลปะของตนอยู ก็มองไมเห็นสาระแมเพียงนิด ในเบ้ืองตนก็ดี ทามกลาง ที่สุดก็ดี จึงเกิดความไมสบายใจ ไมพอใจ ราํ พึงอยูวา “ทานผูเจริญทั้งหลายเอย พระเวทเหลานี้ เหลวเปลาหนอ, ทานผูเจริญทั้งหลายเอย พระเวทเหลาน้ีเพอเจอ ไรสาระ ปราศจากสาระหนอ” ดังน้ี. ๑๒. ก็ในสมัยน้ันแล ทานพระโรหณะกาํ ลังนั่งอยูท่ีเสนาสนะ- วัตตนิยะ กาํ หนดรูปริวิตกแหงจิตของนาคเสนเด็กนอยดวยจิต แลวก็นุงหมถือบาตรและจีวร อันตรธานหายตัวท่ีเสนาสนะ วัตตนิยะ ไปปรากฏตัวเบื้องหนาหมูบานคชังคลพราหมณ นาคเสนเด็กนอย ยืนอยูที่ซุมประตูของตนก็ใหเห็นทานพระ โรหณะผูเดินมาแตไกล, ครั้นเห็นแลวก็พอใจ ดีใจ บันเทิงใจ เกิดปติโสมนัส วา “ทานผูน้ีเปนบรรพชิต ถากระไรก็พึงรูส่ิงที่ เปนสาระบางเปนแน” ดังนี้แลวก็เขาไปหาทานพระโรหณะ จนถึงที่, ครั้นเขาไปแลวก็ไดกลาวความขอนั้นกะทานพระ โรหณะ วา “ทานผูนิรทุกข บุคคลผูมีศีรษะโลน นุงหมผา

๒๒ ปพุ พโยคกัณฑ  กาสาวพัสตรเชนทานน้ี ชื่อวาเปนใครเลา?” พระเถระตอบวา “น่ีแนะ เด็กนอย เราช่ือวาเปนบรรพชิต”. นาคเสน “ทานผูนิร- ทุกข เพราะเหตุไรทานจึงช่ือวาเปนบรรพชิตเลา?” พระเถระ “เพราะขับไลมลทินท่ีช่ัวชาท้ังหลาย, เพราะฉะนั้นนะเด็กนอย เราจึงช่ือวาเปนบรรพชิต”. นาคเสน “ทานผูนิรทุกข เพราะ- เหตุไร ผม (และหนวด) ของทานจึงไมเปนอยางของคนอ่ืน?” พระเถระ “นี่แนะ เด็กนอย บรรพชิตเห็นปลิโพธ (เหตุกังวลใจ) ๑๖ อยาง จึงปลงผมและหนวดเสีย. ปลิโพธ ๑๖ อยาง อะไรบาง? อลังการปลิโพธ (ปลิโพธคือเครื่องประดับ) ๑, มัณฑนปลิโพธ (ปลิโพธคือการแตงทรง) ๑, เตลมักขนปลิโพธ (ปลิโพธคือนํา้ มันทาผม) ๑, โธวนปลิโพธ (ปลิโพธคือการสระ ลาง) ๑, มาลาปลิโพธ (ปลิโพธคือพวงดอกไม) ๑, คันธปลิโพธ (ปลิโพธคือของหอม) ๑, วาสนปลิโพธ (ปลิโพธคือการอบ) ๑, หรีฏกปลิโพธ (ปลิโพธคือผลสมอ) ๑, อามลกปลิโพธ (ปลิโพธ คือผลมะขามปอม) ๑, รังคปลิโพธ (ปลิโพธคือสียอม) ๑, พันธนปลิโพธ (ปลิโพธคือผาโพก) ๑, โกจฉปลิโพธ (ปลิโพธคือ หวี) ๑, กัปปกปลิโพธ (ปลิโพธคือชางตัดผม, ชางสระผม) ๑, วิชฏนปลิโพธ (ปลิโพธคือการหวี) ๑, อูกาปลิโพธ (ปลิโพธคือ เหา) ๑, เม่ือผมเสียหายไป คนท้ังหลายก็เศราโศก เดือดรอน ใจ ครํ่าครวญ ตีอก รองไห ถึงความลุมหลง ๑. น่ีแนะ เด็กนอย คนท้ังหลายผูวุนวายใจในเพราะปลิโพธ ๑๖ อยาง เหลานี้ ยอมทาํ วิชาศิลปะทั้งหลายทั้งปวงใหเสียหายไป”

ปุพพโยคกณั ฑ ๒๓ นาคเสน “ดูกอนทานผูนิรทุกข เพราะเหตุไร แมผาผอนของ ทานก็ไมเหมือนอยางของคนอ่ืนเขาเลา?” พระเถระ “เด็กนอย ผาท้ังหลายกามอาศัยได ส่ิงของเครื่องใชของพวกคฤหัสถกาม อาศัยได, ภัยท้ังหลายเหลาใดเหลาหนึ่ง เกิดขึ้นไดจากผา, ภัยเหลาน้ัน ยอมไมมีแกผูนุงหมผากาสาวพัสตร, เพราะฉะน้ัน แมผาผอนของเราก็ไมเหมือนอยางของคนอื่น”, นาคเสน “ทานผูนิรทุกข ทานรูวิชาศิลปะหรือ?”. พระเถระ “เออ เด็ก นอย เรารูวิชาศิลปะ, ในโลกมีมนตที่สูงสุดอันใดอยู, แมมนต น้ันเราก็รู”. นาคเสน “ทานผูนิรทุกข ทานอาจมอบมนตน้ันให กระผมไดหรือไม?”. พระเถระ “เออ เด็กนอย เราอาจมอบให เธอได”. นาคเสน “ถาอยางนั้น ก็ขอจงมอบใหกระผมเถิด”. พระเถระ “ยังเปนเวลาที่ไมสมควร เด็กนอย, เรากําลังเขาไป ตามลําดับเรือน เพ่ือบิณฑบาตอยู”. ลําดับน้ันแล นาคเสนเด็กนอยรับเอาบาตรจากมือของ ทานพระโรหณะมา นิมนตทานใหเขาไปยังเรือน เล้ียงดูทานให อ่ิม ใหเพียงพอ ดวยของเค้ียวของฉันอันประณีตดวยมือของตน กลาวกะทานพระโรหณะผูฉันเสร็จ วางมือจากบาตร วา “ทาน ผูนิรทุกข บัดน้ี ขอทานจงมอบมนตแกกระผมเถิด” พระเถระ “เราจักมอบใหใ นเวลาที่เธอจักเปน ผูไ มมปี ลโิ พธ มารดาและบดิ า อนุญาตใหถือเพศบรรพชิตท่ีเราถืออยู”. ครั้งน้ันแล นาคเสนเด็กนอย ไดเขาไปหามารดาบิดา กลาววา “แม พอ นักบวชทานน้ีกลาววา ‘ในโลกมีมนตที่สูงสุด

๒๔ ปุพพโยคกณั ฑ  อันใดอยู, แมมนตนั้นเราก็รู’, แตทานจะไมใหมนตแกผูที่ไมใช นักบวชในสาํ นักของทาน, ฉันจักบวชในสํานักของทานผูน้ีเรียน มนตท ี่สูงสุดละ” ลําดบั นั้น มารดาบิดาของเขาเมอ่ื สาํ คัญอยวู า “ลูกของเราแมวาจะบวชแลวถือเอามนต, เราก็ยังพากลับมา ไดอีก” ดังนี้ จึงอนุญาตวา “ขอจงถือเพศบรรพชิตเถิด”. ๑๓. คร้ังนั้นแล ทานพระโรหณะไดพานาคเสนเด็กนอยเขา ไปยังเสนาสนะวัตตนิยะ (เสนาสนะใกลทางเดิน?), เขาไปยัง วิชัมภวัตถุวิหาร, คร้ันเขาไปแลวก็อยูที่เสนาสนะวิชัมภวัตถุ วิหารไดคืนหน่ึงก็เขาไปท่ีรักขิตตลวิหาร, คร้ันเขาไปแลวก็ให นาคเสนเด็กนอยไดบวชทามกลางพระอรหันต ๑๐๐ โกฏิ. ก็ ทานพระนาคเสนบวชแลวก็กลาวกะทานพระโรหณะวา “ทานผู เจริญ กระผมไดถือเพศของทานแลว, บัดน้ี ขอจงมอบมนตแก กระผมเถิด” ลําดับน้ันแล ทานพระโรหณะคิดวา “เราพึงแนะนาํ พระนาคเสนในอะไรกอนดี ในพระวินัย หรือวาพระสูตร หรือ วาพระอภิธรรม” ดังนี้แลว คร้ันพอเห็นวาพระนาคเสนนี้เปน บัณฑิต อาจเรียนพระอภิธรรมไดโดยงายเทียว ดังน้ี ก็แนะนาํ ในพระอภิธรรมกอน. ก็พระอภธิ รรมปฎกท้ังหมดคอื ธมั มสงั คณีปกรณที่ประดับ ดวยติกะและทุกะอยางน้ีวา “กุสลา ธัมมา, อกุสลา ธัมมา, อัพยากตา ธัมมา” เปนตน, วิภังคปกรณท่ีประดับดวยวิภังค ๑๘ มีขันธวิภังค เปนตน, ธาตุกถาปกรณท่ีจาํ แนกไวโดย

ปุพพโยคกัณฑ ๒๕ ๑๔ ประการ มีวา “สังคโห อสังคโห” เปนตน, ปุคคลปญญัตติ- ปกรณท่ีจําแนกไวโดย ๖ ประการ มีวา “ขันธปญญัตติ, อายตนปญญัตติ” เปนตน, กถาวัตถุปกรณท่ีประมวลจาํ แนก ไวถึง ๑,๐๐๐ สูตร คือสกวาทะ (วาทะฝายตน) ๕๐๐ สูตร, ปรวาทะ (วาทะฝายอ่ืน) ๕๐๐ สูตร, ยมกปกรณท่ีจาํ แนกไวโดย ๑๐ ประการ คือ “มูลยมก, ขันธยมก” เปนตน, ปฏฐานปกรณ ที่จาํ แนกไวโดย ๒๔ ประการ คือ “เหตุปจจัย, อารัมมณปจจัย” เปนตน ดังนี้ นั้นทานพระนาคเสนทาํ ใหคลองแคลวไดโดยการ สาธยายเพียงคราวเดียวเทาน้ัน แลวกลาววา “ทานผูเจริญ ขอจงหยุดไวกอนเถิด, อยาไดบอกตออีก, กระผมจักขอสาธยาย เพียงเทานี้กอน” ดังน้ี. ๑๔. ครั้งนน้ั แล ทา นพระนาคเสนไดเ ขา ไปหาพระอรหนั ต ๑๐๐ โกฏิ ณ ท่ีทานเหลานั้นพํานักอยู, ครั้นเขาไปแลวก็ไดกลาวกะ พระอรหันต ๑๐๐ โกฏิ วา “ทานผูเจริญท้ังหลาย กระผมจะ ขอบรรยายพระอภิธรรมปฎกทั้งปวงที่บรรจุไวใน ๓ บทเหลานี้ ท่ีวา ‘กุสลา ธัมมา, อกุสลา ธัมมา, อัพยากตา ธัมมา’ ดังน้ี น้ัน โดยพิสดาร”. พระอรหันต ๑๐๐ โกฏิ กลาววา “ขอจงบรรยาย เถิดทานนาคเสน”. ตอจากนั้นแล ทานพระนาคเสนไดบรรยายปกรณ ๗ โดย พิสดารไปตลอด ๗ เดือน (จึงจบ), แผนดินบันลือลั่น, เทวดา ทั้งหลายใหสาธุการ, พรหมทั้งหลายก็ปรบมือ, ผงจันทนท่ีเปน

๒๖ ปพุ พโยคกณั ฑ  ทิพยและดอกมณฑารพที่เปนทิพยก็โปรยปรายลงมา. ๑๕. ตอมาแล พระอรหันต ๑๐๐ โกฏิ ก็ใหทานพระนาคเสน ผูมีอายุ ๒๐ ปบริบูรณไดอุปสมบทท่ีรักขิตตลวิหาร. ก็เม่ือราตรี นัน้ น่ันแหละ ลวงไปแลว ในสมยั ใกลรงุ ทานพระนาคเสนผูอปุ สมบท แลวนุงหม ถือบาตรและจีวรเขาไปสูหมูบานเพื่อบิณฑบาตพรอม กับพระอุปชฌายไดเกิดความคิดเห็นปานฉะน้ีขึ้นมาวา “พระ อุปช ฌายของเราเปน คนเหลวเปลา หรือไมหนอ, พระอปุ ช ฌายของ เราเปนคนโงหรือไมหนอ, ขอที่ทานแนะนําเรากอนเฉพาะในพระ อภธิ รรม ยกเวน พระพุทธพจนท เี่ หลือ (คือพระวนิ ยั และพระสูตร)”. ลาํ ดับนั้นแล ทานพระโรหณะทราบความคิดในใจของ ทานพระนาคเสนดวยใจแลว จึงกลาวกะทานพระนาคเสนวา “นี่แนะ นาคเสน เธอคิดถึงเร่ืองที่ไมสมควรคิด, ความคิด ของเธอน้ี ไมสมควรเลยนะ นาคเสน” ดังนี้. ลําดับนั้นแล ทานพระนาคเสนไดเกิดความคิดขอน้ีขึ้นมา วา “นาอัศจรรยจริงหนอ ทานผูเจริญทั้งหลายเอย, นาแปลกจริง หนอ ทานผูเจริญทั้งหลายเอย ในการท่ีพระอุปชฌายของเรา จักทราบความคิดในใจ ดวยใจได, พระอุปชฌายของเราเปน บัณฑิตหนอ, ไฉนหนอเราจึงอาจขอใหพระอุปชฌายอดโทษ ให” ดังน้ี. ลาํ ดับนั้นแล ทานพระนาคเสนไดกลาวกะทาน พระโรหณะ วา “ทานผูเจริญ ขอทานจงอดโทษเถิด, กระผม จะไมคิดเร่ืองเห็นปานฉะน้ีอีก”. ดังนี้.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook