Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ดาราศาสตร์กับวิถึชีวิตคนล้านนา

ดาราศาสตร์กับวิถึชีวิตคนล้านนา

Description: ดาราศาสตร์กับวิถึชีวิตคนล้านนา

Search

Read the Text Version

สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง

สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง

สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง

สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง

สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง

สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง

สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง

สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง

สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง

ธวัชชยั ท�ำ ทอง 1 คำ� นำ� ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง จุดเริ่มต้นในการเขียนหนังสือเล่มนี้เริ่มจาก ผู้เขียนมีความสนใจในเรื่อง ศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินจึงได้เร่ิมศึกษาค้นคว้าเอกสารต�ำราโบราณจากวัดในชุมชน บา้ นเกดิ คือวดั ศาลาหมอ้ รวมไปวัดในชมุ ชนใกล้เคียงของจงั หวัดลำ� ปาง พบตำ� ราที่ เกยี่ วขอ้ งกบั ดาราศาสตรแ์ ละโหราศาสตรจ์ ำ� นวนมาก อกี ทง้ั การบนั ทกึ ปฏทิ นิ โบราณ หรอื การระบวุ นั เดอื นปบี นหนา้ คมั ภรี ใ์ บลานเปน็ แบบโบราณ เมอ่ื อา่ นแลว้ ไมส่ ามารถ ทำ� ความเขา้ ใจได้ จงึ เปน็ ชนวนเหตใุ หเ้ รมิ่ ตน้ ศกึ ษาในศาสตรเ์ หลา่ นเี้ ปน็ ตน้ มา อนงึ่ ผเู้ ขยี น พบวา่ วชิ าดาราศาสตรแ์ ละโหราศาสตรท์ ศี่ กึ ษานน้ั มใิ ชเ่ ปน็ การศกึ ษาเพอ่ื ทำ� นายทายทกั แบบหมอดทู ว่ั ไปท่ศี กึ ษาดาราศาสตร์ในด้านการพยากรณ์ด้านเดยี ว ซึ่งแทท้ จ่ี ริงแลว้ ดาราศาสตร์ยังมีอทิ ธิพลตอ่ วถิ ีชวี ิตของผคู้ นลา้ นนาในดา้ นอ่ืนๆ อีกมาก วัตถุประสงค์ในการเขียนหนังเล่มน้ีเพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน ลา้ นนากบั คตคิ วามเชอ่ื เรอื่ งดวงดาว ทแี่ ฝงอยใู่ นวถิ ชี วี ติ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจพนื้ ฐานความคดิ ทเี่ กยี่ วกับศาสตรเ์ รอ่ื งดวงดาว กบั เรือ่ งราวทีเ่ ก่ียวขอ้ งว่ามคี วามเช่อื มโยงกนั อยา่ งไร และมบี ทบาทกบั วถิ ชี วี ติ คนลา้ นนาอยา่ งไร องคค์ วามรเู้ รอื่ งดาราศาสตรล์ า้ นนา ทจ่ี รงิ แลว้ เปน็ เรอ่ื งทม่ี รี ายละเอยี ดมาก แตล่ ะหวั ขอ้ ในหนงั สอื เลม่ นจ้ี งึ สามารถแตกประเดน็ ไปสู่เรื่องอนื่ ๆ ได้อกี ดังเช่นศาสตร์เรอื่ งดวงดาวของกล่มุ ชนเผา่ ต่างๆ ทเี่ ชอ่ื มโยงกบั คนล้านนา หรือเรอื่ งประเพณแี ละพิธีกรรมที่สะท้อนถงึ ฤดกู าล การสังเกตการณท์ าง ธรรมชาติและอื่นๆ ผู้เขียนจึงเขียนเพ่ือให้เห็นภาพรวมในเบื้องต้นเพื่อเป็นพื้นฐาน ความรคู้ วามเขา้ ในทเี่ กยี่ วกบั เรอ่ื งดาราศาสตรล์ า้ นนา บางหวั ขอ้ ไมส่ ามารถลงรายละเอยี ด ไปได้ เนอ่ื งจากจะทำ� ใหเ้ กดิ ความสบั สนสำ� หรบั ผทู้ ไี่ มม่ พี นื้ ฐานดา้ นดาราศาสตรโ์ บราณ เนอ้ื หาบางสว่ นเปน็ เนอ้ื หาท่ีผู้เขียนปรวิ รรตมาจากตน้ ฉบับอักษรลา้ นนา โดยเนน้ ให้ ผูอ้ า่ นเขา้ ใจได้ง่าย ตามรูปแบบส�ำนวนจากเดมิ ผเู้ ขียนหวังว่า หนังสอื เล่มน้ีจะยงั ประโยชน์และเป็นความรู้เบื้องต้นส�ำหรับผู้สนใจศึกษาเรื่องดวงดาวในมิติอ่ืนๆ ตอ่ ไป

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง2 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา หนังสือเล่มน้ีจะส�ำเร็จลุล่วงได้ก็เน่ืองจากการอุปถัมภ์ช่วยเหลือจาก กัลยาณมิตรหลายฝา่ ย ผเู้ ขยี นขอขอบพระคุณ พระนอ้ ย นรตุ ตโม ผู้ชว่ ยเจา้ อาวาส วดั ปงสนุกเหนือ ท่ใี หค้ วามอนุเคราะหต์ ้นฉบบั พบั สาของวัด และการอ่านตรวจทาน ต้นฉบับ พร้อมทั้งอำ� นวยความสะดวกในการถา่ ยภาพอาคารและโบราณ วตั ถขุ องวดั ขอขอบพระคณุ ทา่ นพระครนู มิ ติ รวรธรรม เจา้ อาวาสวดั ศาลาหลวง พระครวู สิ ฐิ พฒั นวมิ ล เจา้ อาวาสวัดศาลาหมอ้ และ พระอธกิ ารอนวุ ัฒน ์ สริ ภิ ทั โท เจา้ อาวาสวัดชมพูหลวง พระกฤษฏา ขนั ตโิ ก วดั ปงสนุกเหนือ ในการอนเุ คราะห์ต้นฉบบั พับสาและคมั ภีร์ ใบลานที่ใช้ประกอบการเขียน ขอขอบคุณท่านพระครูอดุลย์สีลกิตต์ิ เจ้าอาวาส วดั ธาตคุ ำ� ผปู้ ระสทิ ธว์ิ ชิ าความรกู้ ารคำ� นวณปฏทิ นิ ลา้ นนาและสรรพสาระใหแ้ กผ่ เู้ ขยี น ดว้ ยความเมตตา ขอขอบคณุ ทา่ นอาจารยม์ าลาคำ� จนั ทร์ ศลิ ปนิ แหง่ ชาตสิ าขาวรรณศลิ ปผ์ ู้ ให้คำ� ชี้แนะเกยี่ วกบั การเขยี นหนงั สือเล่มน้ีและเอ้ือเฟื้อข้อมลู ในการเขยี น ขอขอบคณุ ส�ำนกั ศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏล�ำปางท่ใี ห้ โอกาสในการจดั พมิ พเ์ พอื่ สบื ทอดองคค์ วามรแู้ ละภมู ปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ คนลา้ นนา สบื ไป ขอขอบคณุ อ.ฐาปกรณ์ เครอื ระยา คณุ วรี ศกั ด์ิ ของเดมิ อ.ดร.ชาญคณติ อาวรณ์ ครูศรณั สวุ รรณโชติ คุณเมธาพร สิงหนนั ท์ คณุ มยรุ ี ทรายแก้ว คณุ พิมพร เหรียญ ประยรู คณุ พงศกร นาสาร คณุ นอ้ งนชุ ไชยจติ ร และรนุ่ พรี่ นุ่ นอ้ งทกุ คนทมี่ สี ว่ นชว่ ยเหลอื ในการจัดท�ำหนังสอื เล่มนีใ้ หส้ ำ� เร็จลลุ ว่ งด้วยดี สุดท้ายน้ีขอยกคุณงามความดีของหนังสือเล่มน้ีแก่ คุณพ่อบุญหลาย คุณแม่กาบแกว้ ทำ� ทอง และครบู าอาจารย์ของผเู้ ขยี นทุกทา่ น ขอขอบพระคณุ ทา่ น คณาจารย์คณะวิจิตรศลิ ป์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ผู้ประสทิ ธ์ปิ ระสาทวิชาการความรู้ ดา้ นศิลปะและวัฒนธรรม เปิดโลกทัศน์ใหผ้ ู้เขยี นได้เข้าใจในบริบทด้านศลิ ปะและ วัฒนธรรมอันลึกซึง้ และงดงามมาจนถึงปจั จบุ ัน ธวชั ชยั ท�ำทอง พฤศจกิ ายน ๒๕๕๙

ธวชั ชัย ท�ำ ทอง 3 บทน�ำ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ในสงั คมบรรพกาล คนสมยั โบราณไดอ้ าศยั หลกั การสงั เกตทอ้ งฟา้ และดวงดาว เพือ่ เป็นประโยชนต์ อ่ การดำ� รงชวี ติ เริม่ จากการก�ำหนดฤดกู าล เพือ่ ประโยชน์ตอ่ การเกษตรนำ� มาซึง่ อาหาร อันเป็นปัจจัยที่สำ� คญั ตอ่ การดำ� รงชีวิต รวมถงึ การสงั เกต ท้องฟ้าและดวงดาวเพื่อการก�ำหนดระยะเวลาในแต่ละวันจนได้พัฒนามาเป็นระบบ วนั เดือนปที ใี่ ชก้ ันในชุมชนระดับเล็กไปจนถึงระดบั บ้าน หรือเมือง จนกลายเปน็ ที่ ยอมรับ หรือเป็นมตขิ องสงั คมท่ีใช้ศาสตร์เดยี วกัน จนกระทั่งมีการบันทึกเป็นระบบ ปฏิทนิ ทใ่ี ชก้ ันทั่วโลก การสังเกตและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของท้องฟา้ และดวงดาว กับสภาวะธรรมชาตติ ่างๆ เพ่อื ปรบั ตวั ใหเ้ ข้ากับสภาพภูมิอากาศทีเ่ ปลี่ยนแปลงเพือ่ การอยู่รอด อนั เปน็ เหตใุ ห้มนษุ ย์เกิดการเรียนรแู้ ละพฒั นาการจนเกดิ การสรา้ งบ้าน เรือนท่ีอยูอ่ าศยั เพื่อหลบลี้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติคือแดด ลมฝน อากาศหนาว เย็นเป็นเบ้ืองตน้ นอกจากนีก้ ารเปล่ียนแปลงสภาวะบนโลกเช่น ปรากฏการณ์นำ้� ขน้ึ น้�ำลงของทะเล แผน่ ดินไหว ลกู เห็บตก ลมพายุ ฯ ปรากฏการณเ์ หล่านีย้ ่อมสง่ ผลให้ มนษุ ย์เกดิ การเรยี นรู้จากธรรมชาติ รจู้ ักการสงั เกตการณ์เพอ่ื เอาชีวติ รอดและปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาวะทางธรรมชาตใิ นสถานการณต์ า่ งๆ และสบื ทอดองคค์ วามรเู้ หลา่ นน้ั ต่อกนั มาเปน็ มุขปาฐะบอกเลา่ สบื ทอดต่อกนั มา การเรียนรู้ท้องฟ้าหรือดาราศาสตร์ของมนุษย์ในยุคบรรพกาลนั้น ก่อให้ เกิดความเชื่อและพิธีกรรมท่ีแฝงมากับความกลัวของมนุษย์ท่ีเกิดขึ้นจากการ เปลย่ี นแปลงทางธรรมชาติบนโลก อันเชื่อว่าผี หรอื เทพเจา้ เป็นผดู้ ลบนั ดาล จึงมกี าร ก�ำหนดสมมุติเทพเจา้ ต่างๆเปน็ ผดู้ แู ลรักษาธรรมชาตนิ ั้นๆเช่น เจา้ ปา่ เจา้ เขาผีขนุ นำ�้ แมธ่ รณี แมค่ งคา ผแี ถน ฯลฯ เมอื่ เกดิ ความความเปลยี่ นธรรมชาติ หรอื ภยั พบิ ตั จิ งึ เชอ่ื ว่าเกดิ จากเทพเจา้ หรอื ผีเป็นผู้กระท�ำ จงึ ตอ้ งมกี ารรอ้ งขออ้อนวอนบูชาเซน่ ไหว้ และพฒั นาจนกลายเป็นแบบแผนท่ชี ดั เจนขนึ้ เรียกวา่ พธิ ีกรรม และปฏบิ ตั ิสบื ทอด ตอ่ กนั มาจนกลายเป็น ประเพณี ในยุคปจั จบุ ันพธิ ที ก่ี ล่าวถงึ บางสว่ นยงั คงอยู่

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง4 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา บางส่วนได้ถกู ผนวกเขา้ กบั ความเช่ือทางศาสนา บางสว่ นไดส้ ญู หายไปแล้วหลงั จาก ท่มี นุษยไ์ ดม้ ีการเรยี นรู้และเข้าใจธรรมชาติจากโลกวทิ ยาศาสตรท์ ีม่ ี การตรวจพสิ ูจน์ ด้วยเหตุและผล เม่ือหลักการและเหตุผลได้เข้ามาบดบังวิถีแห่งความเช่ือด้ังเดิมการ ศึกษาท้องฟ้าและดาราศาสตร์จึงเกิดข้ึนอย่างจริงจัง มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์ อักษรขึน้ เปน็ ตำ� รามากมาย ในลา้ นนาพบวา่ มกี ารบนั ทกึ เรอ่ื งราวดาราศาสตรไ์ วเ้ ปน็ จำ� นวนมาก สว่ นใหญ่ เป็นวรรณกรรมทางพทุ ธศาสนา เป็นการเขียนอธบิ ายลำ� ดับข้ันตอนการกำ� เนดิ โลก หรือจักรวาล โดยเน้ือหาของวรรณกรรมตา่ งๆ เหล่านีม้ กั จะกล่าวอา้ งถึงองคส์ มเด็จ พระสมั มาสมั พุทธเจ้าเปน็ ผแู้ สดงธรรมเทศนาให้แก่พระอรหันตส์ าวก โดยอุปมาว่า พระพุทธองค์เป็นผู้เล่าหรือผู้แสดงธรรมเหล่านั้น คือเรื่องราวดาราศาสตร์และ สอดแทรกเนอ้ื หาของพระธรรมคำ� สง่ั สอนลงไปในเนอ้ื หาของวรรณกรรมเสมอ ดงั เชน่ คมั ภีรจ์ ักรวาลทีปน ี ปฐมมลู โลก ปฐมมลู มลู ี อรณุ วดสี ตู ร ไตรภูมิ เป็นตน้ โดยความ เป็นจริงแล้วศาสตร์ในเร่ืองท้องฟ้าและดวงดาวที่ปรากฏในวรรณกรรมนั้นส่วนใหญ่ ล้วนมาจากนิทานมุขปาฐะพื้นบ้านเกือบทั้งส้ิน บางส่วนได้รับการเรียนรู้ถ่ายทอด จากกลุ่มท่ีพัฒนาการทางวัฒนธรรมที่เจริญกว่า โดยเฉพาะกลุ่มอารยะธรรมจาก จนี และอินเดีย แล้วนำ� มาผสมผสานแต่งขนึ้ ใหม่และสบื ทอดต่อกนั มา นอกจากนย้ี งั มี ตำ� ราอน่ื ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เรอื่ งดาราศาสตรอ์ กี เปน็ จำ� นวนมาก อาทิ คัมภีร์สุริยยาตรา จุฬามณีสาร หนังสือการค�ำนวณปั๊กขะตืนหรือต�ำราการค�ำนวณปฏิทินโบราณ ต�ำราโหราศาสตร์ ต�ำรายา ต�ำราชา่ ง ฯลฯ สงิ่ เหล่านสี้ ะทอ้ นถึงความส�ำคญั ของ ดาราศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตคนล้านนาในอดีต แต่ทว่าปัจจุบันถูกคล่ีคลาย และปรับเปลี่ยนเนื้อหาไปเป็นต�ำราอื่นๆ กลับกลายเป็นว่าวิชาดาราศาสตร์คือวิชา โหราศาสตร์ท่ีใช้เพ่ือการท�ำนายทายทักตัวบุคคล ดูฤกษ์ยามเทา่ น้ัน จากโหราจารย์ ผู้ศึกษาค�ำนวณการโคจรของดวงดาวเพ่ือประโยชน์ของบ้านเมืองหรือสังคมกลับ กลายเป็นว่าผศู้ ึกษาโหราศาสตร์คือหมอดู ผ้ทู ไี่ ม่นิยมหรอื ไมเ่ ชอ่ื กก็ ลบั มองวา่ ศาสตร์ เหล่านี้เปน็ เรือ่ งงมงายไปอีก จึงท�ำให้มผี ู้ศกึ ษาน้อยลง และท�ำให้เน้อื หาท่ีเป็นแก่น แท้ของดาราศาสตรเ์ ลือนหายไป

ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 5 องค์ความรู้ในเร่ืองดาราศาสตร์ถือว่าเป็นเร่ืองส�ำคัญท่ีมีความสัมพันธ์ เกย่ี วขอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ ของคนลา้ นนาเปน็ อยา่ งมาก จากการศกึ ษาพบวา่ วชิ าดาราศาสตร์ นั้นมีความส�ำคัญในหลายด้าน ดังเช่นการสร้างระบบปฏิทินข้ึนมาจากการสังเกต ดวงดาวท�ำให้ทราบถึงระยะเวลาที่แน่นอนของวันเดือนปีต่างๆ และการค�ำนวณ ระยะเวลาในอนาคต หรือทราบถึงสภาวะอากาศ ฤดูกาล ซง่ึ สามารถทจ่ี ะคาดคะเน ล่วงหน้า โดยใชห้ ลักสถติ หิ รือการคิดคำ� นวณ จนเปน็ ศาสตร์ที่ได้รบั การเช่อื ถอื และ สบื ทอดกันเรอ่ื ยมา เรียกว่า วชิ าดาราศาสตร์ ต่อมาภายหลงั ยังพบว่าการเคลอ่ื นที่ ของดวงดาวต่างๆ นั้นล้วนมอี ทิ ธพิ ลและความสมั พนั ธต์ ่อสภาวะธรรมชาติบนโลก โดยเฉพาะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ซึ่งอาศัยหลกั การตคี วามจากดวงดาว แตล่ ะกลุ่ม หรอื แตล่ ะดวงท่ีมีความสัมพันธ์ตอ่ กนั ในชว่ งระยะเวลาทตี่ ่างกัน เรยี ก ว่าการผสมดาวแล้วตีความหมายจึงท่ีมาของศาสตร์อีกแขนงหน่ึงท่ีเรียกว่า โหราศาสตรซ์ ึ่งแท้ทจี่ รงิ แล้วคอื เนอ้ื หาเรื่องราวเดียวกนั แตใ่ ชใ้ นวัตถุประสงค์ท่ตี ่าง กนั นน่ั เอง ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง6 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา วนั เวลาและฤดกู าล ในสมัยโบราณมนษุ ย์เชื่อกันวา่ โลก คอื ศนู ยก์ ลางจกั รวาล มพี ระอาทิตย์ พระจันทร์ และกลุ่มดวงดาวต่างๆ คือ ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์เป็นบริวาร โดย ดวงดาวทั้งหมดจะโคจรรอบโลกเป็นรูปวงกลมตามวิถีของพระอาทิตย์เรียกว่า “จักรราศี” โดยใน จักราศีนั้นจะแบง่ ออกเป็น ๑๒ สว่ นเทา่ ๆกนั เรียกว่า ๑๒ ราศี จากการสังเกตการณ์บนโลกพบว่าดวงดาวท่ีอยู่บนท้องฟ้าน้ันสามารถแบ่งออกได้ เปน็ สองกล่มุ คอื กลุ่มดาวทไี่ มเ่ คล่อื นที่เรียกวา่ กลมุ่ ดาวฤกษ์ และกลุ่มดาวทเี่ คลื่อนท่ี โคจรไมห่ ยดุ นิง่ เรียกวา่ กลมุ่ ดาวเคราะห์ ตามวถิ แี หง่ ดาวเคราะหต์ า่ งๆ นั้น จะเป็น กลุ่มดาวท่ีเคลื่อนที่โคจรไปผ่านกลุ่มดาวฤกษ์เสมอ โดยดาวเคราะห์แต่ละดวงจะมี ระยะเวลาในการเคลอ่ื นท่ีไมเ่ ทา่ กนั จดุ เรมิ่ ตน้ ของการนบั วนั เวลานนั้ มนษุ ยใ์ ชว้ ธิ กี ารสงั เกตดจู ากพระอาทติ ยเ์ ปน็ หลัก พบว่าการโคจรของพระอาทติ ย์น้ันจะสถิตหรือเคล่ือนที่ผา่ นกล่มุ ดาวฤกษต์ า่ งๆ ในจกั รราศใี ชร้ ะยะเวลาเฉลย่ี ๒๘ - ๓๑ วนั ตอ่ ๑ ราศี และวนเวยี นกลับมาท่รี าศีเดมิ หรือพระอาทิตย์วนโคจรรอบจกั ราศีทัง้ ๑๒ ราศีจะใชร้ ะยะเวลา ๓๖๕ วัน หรอื ๑ ปี พอดี โดยแบ่งเปน็ ราศีละ ๓๐ องศา รวม ๑๒ ราศี คอื เท่ากบั การโคจรเปน็ วงกลม ๓๖๐ องศา จากการเฝ้าสังเกตพระอาทิตยน์ ้ี จงึ เปน็ ทมี่ าของระบบปฏทิ นิ สุรยิ คตทิ ่ี ใช้กันในปจั จบุ ัน ราศแี ตล่ ะราศีน้ีจะมชี ื่อต่างกนั โดยเร่มิ ที่ ราศี เมษ พฤษภ เมถนุ กรกฏ สิงห์ กันย์ ตลุ ย์ พจิ ิก ธนู มงั กร กมุ ภ์ และมนี ช่ือของราศที ั้งหมดนี้ คอื ที่มา ของช่ือเดือนท้งั ๑๒ เดือนในปจั จุบัน หากมองแบบโลกปัจจบุ นั ค�ำวา่ วัน มาจากการทโ่ี ลกหมนุ รอบตวั เองครบ ๑ รอบโดยการหนั เข้าหาแสงพระอาทิตยเ์ ฉล่ยี ๑๒ ชั่วโมง และหนั หลังใหพ้ ระอาทิตย์ ๑๒ ชั่วโมงรวมเปน็ ๒๔ ชว่ั โมงคือ ๑ วนั พอดี ส่วนคำ� วา่ เดอื น ตามปฏทิ นิ สุริยคติ มากจากการทพ่ี ระอาทิตยโ์ คจรผา่ นราศีตา่ งๆจะใชเ้ วลา ๒๘ - ๓๑ วนั แลว้ จงึ ย้าย ขา้ มราศที กุ ๆกลางเดอื น ราววนั ท่ี ๑๔ ๑๕ หรอื ๑๖ ของทกุ เดอื น และสดุ ทา้ ยคำ� วา่ ปี มที มี่ าจากการทพี่ ระอาทติ ยว์ นโคจรรอบจกั ราศที ง้ั ๑๒ ราศจี ะใชร้ ะยะเวลา ๓๖๕ วนั

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชัย ทำ�ทอง 7 หรอื ๑ ปีพอดี โดยเริม่ นบั ทีร่ าศีเมษเปน็ ราศเี ริ่มต้น ดังน้นั ราศมี นี จงึ เป็นราศีสดุ ท้าย รอยต่อของท้ังสองราศีนี้เม่ือเทียบกับปฏิทินปัจจุบันจะอยู่ในราวกลางเดือนเมษายน กลา่ วคอื วนั สุดท้ายที่พระอาทิตยอ์ ยู่ในราศีมีน จะประมาณวันที่ ๑๓ หรือ ๑๔ ของ เดือนเมษายน ส่วนวันแรกทพ่ี ระอาทิตย์เข้ามาอยใู่ นราศเี มษจะประมาณวันท่ี ๑๕ หรอื ๑๖ ดว้ ยเหตุนี้ จงึ เป็นที่มาของวันปีใหม่สงกรานตค์ อื วา่ สดุ ท้ายทพี่ ระอาทติ ย์อยู่ ในราศีมีน จะเรียกวา่ วันสังขารลอ่ ง เมื่อพระอาทติ ยค์ าบเส้นราศจี ะเรยี กว่า วนั เนา่ หรอื วนั เนาว์ และวนั ทพ่ี ระอาทติ ยเ์ ขา้ มาอยใู่ นราศเี มษวนั แรกจงึ เรยี กวา่ วนั พญาวนั หรือวนั เถลิงศกน่ันเอง นอกจากนยี้ ังมีวนั เวลาอีกระบบหน่ึงเรยี กว่า ระบบปฏิทนิ จนั ทรคติ ท่ีเกดิ จากการสังเกตพระจันทร์ที่หมุนโคจรรอบโลกซึ่งง่ายกว่าการดูพระอาทิตย์มาก เนื่องจากสามารถสังเกตไดด้ ว้ ยตาเปลา่ คนทีศ่ กึ ษาเร่อื งพระอาทติ ย์กบั พระจนั ทรจ์ น แตกฉานจะสังเกตเพยี งพระจนั ทรเ์ ทา่ น้นั ก็จะรู้ไดถ้ งึ ตำ� แหน่งพระอาทติ ยใ์ นจกั รราศี ได้อยา่ งลงตวั โดยปกติพระจนั ทร์จะโคจรรอบโลก ๑ รอบเป็นเวลาเฉลยี่ ๒๙-๓๐ วัน โดยแบง่ เปน็ ขา้ งขึ้น ๑๕ วันและขา้ งแรม ๑๔-๑๕ วนั รวมเปน็ ๓๐ วนั จงึ เป็นท่มี า ของค�ำวา่ “เดือน” ซง่ึ หมายถงึ พระจนั ทร์และเม่อื พระจนั ทร์เพ็ญหรอื พระจนั ทร์ เตม็ ดวงตามราศีต่างๆจนครบ ๑๒ ราศี จะหมายถึง ๑ ปี ของปฏทิ นิ จันทรคติน่นั เอง โดยปกติน้ันปฏิทินจันทรคติ จะก�ำหนดนับปรากฏการณ์ของดวงจันทร์ที่ โคจรบนทอ้ งฟา้ ในรอบหนง่ึ เดอื นและรอบหนงึ่ ปี คอื นบั ระยะทพี่ ระจนั ทรเ์ ปน็ กง่ึ เพญ็ ก่งึ ดับ และระยะทพ่ี ระจันทร์เพ็ญ พระจันทร์ดบั ในรอบเดือนหนง่ึ รวม ๔ ครงั้ ดังน้ี ๑. พระจนั ทร์ก่ึงเพ็ญ หมายถึง วนั เดือนออก หรือวนั ข้นึ ๘ ค�่ำของทกุ ๆ เดอื นภาษาลา้ นนามกั จะเรยี กสน้ั ๆวา่ ออก ๘ คำ่� กลา่ วคอื ในวนั นน้ั ขณะทดี่ วงอาทติ ย์ ตกดิน พระจนั ทรอ์ ยู่บนทอ้ งฟ้าตรงศรี ษะ และมีคร่ึงซีก พอถงึ เวลาเที่ยงคืนจงึ ลับ จากขอบฟ้าไป ระยะนเี้ รยี กวา่ พระจนั ทร์กงึ่ เพ็ญ ๒. พระจนั ทร์เพญ็ หมายถงึ วันขน้ึ ๑๕ ค่�ำของทกุ เดือนภาษาลา้ นนา เรยี กวา่ เดอื นเป็ง กล่าวคือ ขณะทด่ี วงอาทติ ย์ตกดนิ ดา้ นทิศตะวันตก พระจนั ทรจ์ ะ เริม่ โผล่จากขอบฟา้ ตะวนั ออก พอถงึ เวลาเทย่ี งคนื พระจันทร์จะตง้ั อย่ตู รงศรี ษะเช่น เดยี วกนั กบั ตอนพระอาทิตยเ์ ท่ียงวนั พอถงึ เวลา ๖ โมงเชา้ ของวนั แรม ๑ ค่�ำ

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง8 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา พระจันทร์จะลับจากขอบฟา้ ดา้ นทิศตะวนั ตกพร้อมกบั พระอาทติ ย์ข้ึนทางตะวนั ออก สรุปความว่า ในวันนน้ั เราจะมองเห็นพระจนั ทรไ์ ด้ท้งั คนื นับตั้งแต่พระอาทติ ยต์ กดิน จนถงึ พระอาทติ ย์ข้ึน ระยะนีเ้ รยี กว่า วันพระจนั ทร์เพ็ญ หรือ จันทรเ์ ป็ง ๓. พระจนั ทรก์ ึ่งดับ หมายถงึ วนั แรม ๘ ค่�ำ ของทุกเดือน ภาษาลา้ นนา เรียกวา่ วันเดอื นแรม หรือออกเสียงว่า แฮม เชน่ แฮม ๘ ค่�ำเปน็ ตน้ กล่าวคือ ระยะ เวลาหลงั จากทพี่ ระอาทติ ยต์ กดนิ ไปแลว้ จนถงึ เวลาเทย่ี งคนื พระจนั ทรจ์ งึ จะเรม่ิ โผลข่ น้ึ จากขอบฟ้าทิศตะวันออก และเมอ่ื ถึงวนั แรม ๙ ค�ำ่ ๖ โมงเชา้ พระจนั ทรต์ ง้ั อยู่บน ศีรษะดจุ ยามอาทติ ย์เทยี่ งวัน ๔. พระจันทร์ดับ หมายถึงวนั แรม ๑๔ หรือ ๑๕ ค�่ำมักจะเรียกสน้ั ๆ วา่ เดอื นดับ กลา่ วคอื นบั ต้งั แตพ่ ระอาทติ ยต์ กดินถงึ พระอาทิตยข์ น้ึ ในคนื วนั นนั้ เราจะ มองไมเ่ ห็นพระจนั ทร์ ดังนจ้ี ึงเรยี กวา่ พระจนั ทรด์ ับ การนบั ปฏทิ นิ จนั ทรคติในรอบเดอื นหมายถงึ การนับท่เี รมิ่ นบั ต้งั แต่วนั เพญ็ ถงึ วันเพ็ญ คือนับวันเพญ็ ในวันนจ้ี นถงึ วนั เพ็ญครัง้ ใหมไ่ ดจ้ ำ� นวนกี่วัน จำ� นวนวนั ที่ นับไดน้ นั้ เป็นการกำ� หนดวนั ในรอบเดอื น ในเดอื นหน่ึงๆ ถ้านบั ตั้งแต่วันเพ็ญมาหา วนั เพ็ญ หรอื นับตัง้ แตว่ ันดับมาหาวนั ดับ จะมี ๒๙ วนั บ้าง ๓๐ วันบา้ งโดยล้านนา กำ� หนดใหเ้ ดือนทางจนั ทรคตทิ ่เี ปน็ เดือนคดู่ บั เตม็ คือมี ๓๐ วัน ส่วนเดือนท่ีเป็นเลข ค่จี ะมี ๒๙ วนั หรือเดอื นดบั ในวันแรม ๑๔ ค�่ำ จะเรียกว่า ดับหน หรอื เดือนขาด ดงั นั้นจงึ กำ� หนดวันในรอบเดือนตามปฏทิ ินจันทร์คตวิ า่ เดอื น เกีย๋ ง ม ี ๒๙ วัน (เดือนเจี๋ยง หรือเดือนอา้ ย) เดือน ยี่ ม ี ๓๐ วัน เดอื น ๓ ม ี ๒๙ วนั เดือน ๔ ม ี ๓๐ วนั เดอื น ๕ ม ี ๒๙ วนั เดอื น ๖ มี ๓๐ วนั เดอื น ๗ ม ี ๒๙ วนั เดือน ๘ มี ๓๐ วนั เดอื น ๙ มี ๒๙ วัน (ปอี ธิกวาร ม ี ๓๐ วัน)

ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 9 เดือน ๑๐ มี ๓๐ วัน (ปอี ธิกมาส มี ๖๐ วัน หรือเดอื น ๑๐ สองหน) เดอื น ๑๑ มี ๒๙ วัน เดอื น ๑๒ ม ี ๓๐ วัน ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง เมอื่ รวมหน่งึ ปตี ามปฏิทินจนั ทรคติจะมีวันรวมท้ังหมด ๓๕๔ วัน ถ้าปีใดมี อธิกวารมี ๓๕๕ วนั ถา้ ปีใดมีอธกิ มาสม ี ๓๘๔ วัน หากปนี ้ันมี ทง้ั อธกิ วารและ อธิกมาสมี ๓๘๕ วัน สมัยโบราณชาวบ้านโดยทว่ั ไปจะนิยมนับวันเวลาตามปฏทิ นิ แบบจนั ทรคตมิ ากกวา่ สว่ นปฏทิ นิ สรุ ยิ คตนิ น้ั นยิ มใชก้ นั แตใ่ นหมนู่ กั โหราศาสตร์ โหรหลวง พระสงฆ์ เป็นต้น โดยปกติแล้วปฏิทนิ สุริยคติกำ� หนดให้ ๑ ปมี ี ๓๖๕.๒๕ วนั แตโ่ หราจารย์ ไดต้ ดั เศษออกใหเ้ หลอื ๓๖๕ วนั พอดี เรยี กปนี น้ั วา่ ปกตสิ รุ ทนิ สว่ นคำ� วา่ ปอี ธกิ สรุ ทนิ ๑ หมายถงึ ปที ี่มรี ะยะเวลา ๓๖๖ วนั ซ่ึงจะเกิดขึน้ ในทกุ ๆ ๔ ป ี เนือ่ งจากการนำ� เศษ ของวันท่เี หลอื จาก ๓๖๕ วนั มาใช้ โดยในระยะเวลา ๔ ปี เศษทเ่ี หลอื ๐.๒๕ วันดงั กล่าวจะเพม่ิ ขนึ้ เป็น ๑ วัน โดยไดน้ ำ� เอาวนั ดังกล่าวมาเพ่มิ เติมในเดือนกุมภาพันธซ์ งึ่ เดมิ จากปกตมิ ี ๒๘ วนั กลายเปน็ ๒๙ วันน่ันเอง ภาพลักษณะการโคจรของพระจันทร์ท่ีสมั พนั ธ์กับแสงอาทติ ย์ ท�ำใหเ้ กดิ มุมมองบนโลก ทีเ่ ปลี่ยนแปลงไปตามองศาการหักเหของแสง จงึ เปน็ ทีม่ าของวนั ข้างข้นึ ข้างแรม และวันเดือนเพญ็ เดอื นดับ ๑ คำ� วา่ อธกิ (อา่ นวา่ อะธกิ ะ) หมายถงึ สว่ นเกนิ เชน่ คำ� วา่ อธกิ มาส หมายถงึ เดอื นทเ่ี กนิ อธกิ วาร หมายถงึ วนั ที่ เกนิ เปน็ ตน้ สว่ นคำ� วา่ อธกิ สรุ ทนิ หมายถงึ วนั ทเ่ี กนิ ในปฏทิ นิ ระบบสรุ ยิ คติ

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง10 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา สว่ นปฏทิ ินจันทรคตนิ ้ันปกติ ๑ ปจี ะมรี ะยะเวลา ๓๕๔ วัน นอ้ ยกวา่ ปฏิทนิ สุรยิ คติถึง ๑๑.๒๕ วัน จ�ำนวนท่นี ้อยกว่า ๑๑.๒๕ วนั ดงั กล่าวจะมผี ลตอ่ ระบบ ปฏิทนิ ทงั้ สองระบบซ่งึ ตอ้ งใชค้ วบคูก่ ัน กลา่ วอธิบายคือเมอ่ื ระยะเวลาผ่านไป ๓ ปี ช่วงความหา่ งของจ�ำนวนวนั ระหวา่ งปฏิทินทงั้ สองระบบ กจ็ ะมากข้ึนถงึ ๓๓.๗๕ วัน หรือมากกว่า ๑ เดือนเลยทีเดียว จ�ำนวนวนั ท่นี ้อยกว่าปฏิทินสุรยิ คติจนมากกว่า ๑ เดือนนี้โหราจารย์จงึ บัญญัติใหเ้ พิม่ เดือนขนึ้ อกี ๑ เดอื น เรยี กว่าเดอื นอธกิ มาส จงึ เปน็ ที่มาของการมีเดอื น ๑๐ สองหนในล้านนา หรือ เดอื น ๘ สองหนตามแบบภาค กลาง คอื การเพ่ิมเดือนจากปปี กติของปฏทิ นิ จันทรคตทิ ่ีมอี ยู่ ๑๒ เดือนให้เป็น ๑๓ เดอื น เม่ือเพิ่มเดอื นแล้วยังปรากฏวนั ทเ่ี ป็นส่วนตา่ งอีก ๓ - ๔ วนั กม็ ักจะนำ� มาเฉล่ีย ใช้เป็น วนั อธิกวาร หรอื ไปเฉล่ยี กับเศษวนั ของปฏิทนิ จันทรค์ ตใิ นปีต่อไป ดงั นนั้ การเพิ่มเดอื นอธกิ มาสจงึ ไมม่ ีความแนน่ อนแต่โดยเฉลย่ี จะอยู่ท่ี ๒ – ๓ ปตี ่อครงั้ ส่วนปีใดต้องเพ่ิมอธิกมาสนั้นจะมีวิธีการสังเกตได้ท่ีช่วงปีใหม่สงกรานต์ โดยดูจากวนั พญาวนั โดยกำ� หนดตัง้ กฎไวว้ ่า วนั พญาวนั นน้ั ต้องไมเ่ กินเดอื น ๗ ขึ้น ๑ คำ่� ถึงแรมสามคำ�่ หรือเรยี กวา่ ช่วงดถิ ๒ี วัน ๑ - ๑๘ ในปีนน้ั ไม่มีอธกิ มาส คือมีเดอื น ๑๐ หนเดยี ว แต่ถ้าหากวนั พญาวนั เปน็ วันแรม ๔ คำ่� จนถงึ แรม ๑๔ ค�่ำเดอื น ๗ หรือตงั้ แต่ดิถี ๑๙ - ๒๙ ในปีนนั้ ตอ้ งมอี ธิกมาส คือมีเดือน ๑๐ สองหน ส�ำหรับการดูปฏิทินในระบบปัจจุบันว่าเป็นปีท่ีมีอธิกวาร ให้สังเกตดูว่า เดือน ๙ ในปใี ดเปน็ เดือนดับหนคอื เดอื นดับวนั แรม ๑๔ ค่�ำ ปีนั้นไมม่ อี ธิกวาร โดย จะเรยี กว่า ปกตวิ าร เดือน ๙ ปใี ดทีเ่ ดอื นดับในวันแรม ๑๕ ค่�ำ ปนี ้ันเรยี กว่า อธกิ วาร คือเพ่ิมเดือน ๙ ให้เป็นเดือนเต็ม เพ่ือท�ำวันขึ้นแรมให้ตรงกับวันกึ่งเพ็ญ วันเพ็ญ วันกึง่ ดับ และวนั ดับอยู่เสมอ ความส�ำคัญของปฏิทินท้ังสองระบบนี้นอกจะใช้ในการสังเกตรู้วันเดือนปี เพอื่ กำ� หนดกาลเวลาแลว้ ยงั เปน็ ตวั กำ� หนดชว่ งฤดกู าลอกี ดว้ ย ในประเทศไทยกำ� หนด ฤดูกาลออกเป็น ๓ ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดฝู น ฤดหู นาว การกำ� หนดวนั เรมิ่ ต้นและวนั สนิ้ สดุ ของแตล่ ะฤดูกาลโหราจารยไ์ ด้กำ� หนดไวด้ ังน้ี ๒ ดถิ ี ในทน่ี ห้ี มายถงึ การนบั วนั ทางจนั ทรคติ โดยการนบั วนั ขา้ งขนึ้ ขา้ งแรมในแตล่ ะรอบเดอื น เชน่ ขนึ้ ๑ คำ่� เรยี กดถิ ี ๑ แรม ๑ คำ่� เรยี กวา่ ดถิ ี ๑๖ หากเดอื นใดทพี่ ระจนั ทรด์ บั เตม็ หรอื เดอื นคกู่ จ็ ะมดี ถิ ี ๓๐ เดอื นใดท่ี เดอื นขาดหรอื ดบั หน จะมดี ถิ ี ๒๙

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 11 ๑ คมิ หนั ตฤ์ ดู (ฤดรู ้อน) เริ่มต้ังแตข่ ึน้ ๑ ค่ำ� เดอื น ๗ ถงึ วัน แรม ๑๕ คำ�่ เดือน ๑๐ หรือชว่ งราวเดือน เมษายนถงึ เดือนกรกฎาคม ๒ วสั สานะฤดู ๓ (ฤดฝู น) เรมิ่ ต้งั แตข่ ึ้น ๑ ค�่ำ เดอื น ๑๑ ถึงวัน แรม ๑๕ ค�่ำเดอื น ย่ี หรอื ชว่ งเดอื นสงิ หาคม ถงึ เดือนพฤศจกิ ายน ๓ เหมันตฤ์ ดู (ฤดหู นาว) เรม่ิ ต้ังแตข่ ้นึ ๑ ค�่ำ เดอื น ๓ ถงึ วนั แรม ๑๕ ค�่ำ เดือน ๖ ช่วงเดือนธนั วาคม ถึงเดือนมีนาคม นอกจากนี้ผู้เขียนได้พบบันทึกการระบุวันเดือนตามปฏิทินจันทร์คติสำ� นวน หนึ่งท่ีกล่าวไว้ว่า วันแรมค�่ำนึ่ง เดือนกัตติกามาถึงเดือนมิคคะสิระเป็งเป็นเดือนนึ่ง เดือนมิคคะสีระแรมค�่ำน่ึงถึงปุสยะเป็งเป็นสองเดือน เดือนปุสยะแรมค�่ำน่ึงมาถึง เดอื นมาฆะเปง็ เปน็ สามเดอื น เดือนมาฆะแรมคำ่� น่ึงมาถงึ เดอื นผละคณุ ณะเปง็ เปน็ ๔ เดือนระดูหนาวแล เดือนผละคุณณะแรมค่�ำมาถึงเดือนวิสาขะเป็งเป็นสองเดือน เดอื นวสิ าขะแรมคำ่� นึง่ มาถึงเดือนเชษฐะเปง็ เปน็ สามเดอื น เดือนเชษฐะแรมค�่ำมาถึง เดอื นอาสาฬหะเปง็ เปน็ ๔ เดอื นระดรู อ้ น อาสาฬหะแรมคำ�่ นง่ึ มาถงึ เดอื นสราวณั ณะเปง็ เปน็ เดอื นนงึ่ เดอื นสราวณั ณะแรมคำ่� มาถงึ เดอื นโปฐะบทเปง็ เปน็ สองเดอื น เดอื นโปฐะ บทแรมค่�ำน่ึงมาถึงเดือนอัสสะยุชชะเป็งเป็นสามเดือน เดือนอัสสะยุชชะแรมค่�ำน่ึง มาถึงกิตตกิ าเป็งเป็น ๔ เดอื นระดูฝนแล เดอื นดังกลา่ วนเ้ี ปน็ เดอื นตามจนั ทรคติที่นับ ตามพระจันทรท์ ี่จะเต็มดวงในตำ� แหนง่ ดาวฤกษร์ าศลี ะ ๑ ครงั้ เมือ่ เพญ็ ครบ ๑๒ ครงั้ จึงเป็น ๑ ปพี อดี การก�ำหนดฤดูกาลต่างๆ เหล่านี้หมายความว่าในแต่ละเดือนจะค่อยๆ เปลย่ี นแปลงจากจดุ เร่ิมต้นฤดูไปสกู่ ลางฤดูและปลายฤดู ยกตัวอยา่ งเช่น เดือน ๙ นนั้ ถอื เปน็ ช่วงกลางฤดูรอ้ น อากาศจะร้อนจัดแทบทงั้ เดือนและจะคอ่ ยๆ ลดลงไป เปน็ ลำ� ดบั จนถงึ เดอื น ๑๑ ฝนจะตกชกุ ทส่ี ดุ ซงึ่ เปน็ กลางฤดฝู น และคอ่ ยๆ เบาบางลง ไปจนถึงเดือน ๓ จะเร่มิ หนาวจัดและค่อยๆ อบอุ่นจนถึงเดอื น ๗ จงึ จะเริ่มร้อนจดั เป็นต้น การเปลย่ี นแปลงฤดกู าลตา่ งๆ ดังกลา่ วมานโี้ ดยความเปน็ จริงแลว้ เกิดข้ึน จากอิทธิพลของพระอาทิตย์ แต่ทว่าเรานิยมใช้ ปฏิทินจันทรคติจนเคยชินจึงเอา ปฏิทินจนั ทรคตมิ าเป็นตัวก�ำหนดฤดกู าลต่างๆ ดงั กล่าวข้างต้น ปัจจุบนั ชาวตะวนั ตก

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง12 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา สว่ นใหญจ่ ะกำ� หนดฤดกู าลดว้ ยดวงอาทติ ยท์ งั้ สน้ิ กลา่ วคอื วนั ท่ี ๒๑ มนี าคม ของทกุ ป ี ถอื วา่ เปน็ วนั เรมิ่ ตน้ ของฤดใู บไมผ้ ล ิ วนั ท ี่ ๒๑ มถิ นุ ายน ของทกุ ปเี ปน็ วนั เรมิ่ ตน้ ฤดรู อ้ น วันที่ ๒๒ กนั ยายน ของทกุ ปี เปน็ วนั เรม่ิ ต้นฤดูใบไม้ร่วง และวนั ที่ ๒๒ ธันวาคม ของทกุ ปี เป็นวันเร่ิมตน้ ฤดหู นาว หากกำ� หนดฤดกู าลในประเทศไทยซง่ึ มีเพียง ๓ ฤดู ด้วยการหมายเอาดวง อาทิตย์แบบชาวตะวันตกก็สามารถท�ำได้เช่นกัน กล่าวคือ หมายเอาระยะที่ดวง อาทติ ยโ์ คจรเขา้ สอู่ สั สวณิ -ี ทลทิ โทฤกษ์ คอื ระยะทดี่ วงอาทติ ยโ์ คจรเขา้ สรู่ าศเี มษ หรอื ประมาณวนั ท่ี ๑๓ - ๑๔ เมษายนเป็นวนั เริม่ ตน้ ฤดูร้อน ระยะทีด่ วงอาทิตย์โคจรเขา้ สรู่ าศีสิงห์ หรอื ประมาณวันที่ ๑๖ - ๑๗ สงิ หาคม เปน็ วนั เร่มิ ตน้ ฤดฝู น ระยะทดี่ วง อาทิตยโ์ คจรเข้าสูร่ าศีธนู ประมาณวนั ท่ี ๑๖ - ๑๗ ธันวาคม เป็นวนั เรมิ่ ต้นฤดูหนาว เปน็ ต้น เม่ือเข้าใจถึงระบบปฏทิ ินไทยทง้ั สองแบบนี้แลว้ สิ่งสำ� คัญอกี ประการหนึง่ คอื ปฏทิ ินสุรยิ คติ เปน็ การคดิ คำ� นวณจากวถิ เี สน้ ทางเดนิ โคจรของดวงอาทติ ยซ์ ง่ึ จะใช้ ระยะเวลาโคจรสมำ่� เสมอ และสง่ ผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงฤดกู าลตา่ งๆ สว่ นลกั ษณะ ปฏทิ นิ จนั ทรคตนิ น้ั เปน็ ของไมต่ ายตวั ไมส่ มำ�่ เสมอดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ ในขา้ งตน้ ดงั นนั้ จึงมีความจ�ำเป็นที่จะต้องจัดปฏิทินจันทรคติให้เขา้ กบั ระบบการโคจรของดวงอาทติ ย์ อยเู่ สมอ กลา่ วคอื ระยะทดี่ วงอาทติ ยเ์ ขา้ สรู่ าศเี มษคอื กลางเดอื นเมษายน เดอื นในปฏิทิน จันทรคตจิ ะต้องไม่เกนิ ส้ินเดือน ๖ ถงึ สิน้ เดอื น ๗ ระยะท่ดี วงอาทิตยเ์ ขา้ สู่ราศสี งิ หจ์ ะ ต้องไม่เกินสิ้นเดอื น ๑๐ ถึงส้นิ เดอื น ๑๑ ระยะที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศธี นูจะตอ้ ง ไมเ่ กินส้นิ เดอื นย่ีถึงเดือน ๓ ถา้ ไมเ่ ป็นไปตามนี้ ฤดูตา่ งๆ จะผดิ เพย้ี นไป กลา่ วคือ เดอื น ๗ จะไมใ่ ช่ฤดูรอ้ น เดอื น ๑๑ จะไม่ตรงฤดฝู น หรอื เดอื น ๓ จะไม่ใชฤ่ ดหู นาว เปน็ ต้น ปฏทิ ินจันทรคตทิ ่ีใช้กนั ในปจั จบุ ัน เมอื่ ดวงอาทติ ย์เดนิ เขา้ ราศเี มษ จะอยู่ ประมาณช่วงต้นเดือน ๗ พอดวงอาทติ ยเ์ ข้าสรู่ าศีสิงหจ์ ะอยู่ประมาณเดือน ๑๑ พอ ดวงอาทติ ย์เขา้ ส่รู าศีธนู จะอย่ชู ว่ งเดอื น ๓ เม่อื เวลาผา่ นไป ๒ - ๓ปี อาทติ ย์อยใู่ น ราศีเมษ เปน็ เดือน ๘ หรอื ดวงอาทิตยเ์ ข้าสู่ราศสี งิ หเ์ ปน็ เดือน ๑๒ พอดวงอาทิตยเ์ ข้า สู่ราศีธนูเป็นเดือน ๔ เมื่อเกดิ ระยะหา่ งระหวา่ งปฎิทนิ ทง้ั สองระบบแบบนจี้ ะท�ำให้

ธวชั ชยั ทำ�ทอง 13 ฤดูกาลต่างๆ ในประเทศไทยผิดเพีย้ นไปถึง ๑ เดือน และจะส่งผลให้เกิดปัญหาเรอ่ื ง การเพาะปลูกของชาวบา้ น เน่อื งจากเกษตรกรไมม่ คี วามรู้ความเข้าใจในการเทียบ ปฏิทนิ ทง้ั สองแบบนี้ และพากันยดึ ถอื แตป่ ฏิทินจนั ทรคต ิ พอถึงกำ� หนดเดอื นทาง จันทรคติทเ่ี คยทำ� มากเ็ ร่ิมเพาะปลกู ภายหลงั ฝนทงิ้ ช่วงเนอื่ งจากยังไม่ใชฤ่ ดูกาลทแี่ ท้ จริงจึงเป็นเหตุใหเ้ ดือดรอ้ นกนั โดยท่ัวไป ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง14 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ก�ำเนดิ โลก ปฐมบทแห่งการก�ำเนิดโลกในทัศนะคติของคนล้านนานั้น ส่วนใหญ่เป็น ขอ้ มลู ทม่ี าจากเอกสารโบราณทเ่ี ปน็ วรรณกรรมทางพทุ ธศาสนา โดยการเขยี นเชอื่ มโยง ตำ� นานการเกดิ โลกกบั คตทิ างพทุ ธศาสนา บางครง้ั มกี ารสอดแทรกนทิ านหรอื ตำ� นาน พน้ื เมอื งทมี่ าจากมขุ ปาฐะ เขา้ มาเสรมิ เตมิ แตง่ จงึ ทำ� คำ� สอนทางพทุ ธศาสนาในลา้ นนา ใหผ้ ดิ เพย้ี นจากของเดมิ อยบู่ า้ ง การสอดแทรกนทิ านทอ้ งถน่ิ เขา้ ไปผสมผสานกบั วรรณกรรม ทางพทุ ธศาสนานัน้ ถือเป็นเรือ่ งปกตทิ ี่มอี ย่ทู ่ัวไป นอกจากเร่ืองของการกำ� เนิดโลก และคตธิ รรมแลว้ บางครง้ั กแ็ ฝงความตลกขบขนั แบบคนพน้ื เมอื งจนกลายเปน็ ลกั ษณะ เฉพาะของทอ้ งถ่นิ โดยแต่ละฉบับหรอื แต่ละสำ� นวนกจ็ ะมลี กั ษณะทคี่ ล้ายกัน ผ้เู ขยี น จึงน�ำมาสรปุ ใหเ้ หน็ ภาพถึงวิวัฒนาการการกำ� เนดิ โลกในทศั นะของคนลา้ นนาไว้ดังน้ี จากตำ� นานปฐมมูลมลู ไี ดก้ ลา่ วอา้ งถงึ สมัยพทุ ธกาล พระพทุ ธองค์ได้เทศนา ธรรมอนั เป็นปฐมก�ำเนิดแหง่ โลกไว้โดยย่อคือ เม่ือครั้งทีโ่ ลกยังไมอ่ ุบัตขิ ้ึน จักรวาล นีเ้ ปน็ เพียงแตอ่ ากาศเวงิ้ ว้าง ยงั ไม่มี รูปนามใดๆ มเี พยี งฤดูกาลสองฤดคู ือ เหมันตา อตุ กุ าล และคิมหนั ตาอตุ กุ าล กลา่ วคอื ผูเ้ ขียนตำ� นานพยายามชี้ให้เห็นวา่ เหมันตอตุ ุ และคิมหันตาอตุ ุหมายถึง อุณหภมู คิ วามรอ้ นกบั ความเย็นในชั้นอวกาศมากระทบกนั เปน็ ปฐม โดยมวี าโยธาตุ หรอื ลม เปน็ ตวั ขบั เคลอื่ นใหส้ ภาวะอากาศรอ้ นและเยน็ ทง้ั สอง กระทบกันอยา่ งไม่ขาดสาย ก่อใหเ้ กิดการกอ่ ตวั ของธาตุท่ีจับต้องได้ ต�ำนานไดก้ ลา่ ว ถงึ ขนาดของก้อนธาตุทม่ี กี ารจับตวั กนั ในครง้ั น้ันไว้วา่ มีความหนาแน่นได้ ๙ แสน ๔ หม่นื โยชน์ กำ� เนดิ เปน็ พ้นื ดนิ และพื้นนำ้� โดยมีฤดรู ้อน ฤดฝู น ฤดหู นาว เปน็ ตัวปรับ สภาพให้พืน้ ผิวโลกปรากฏเป็นดังปจั จุบนั ต�ำนานดังกลา่ วสอดคล้องกันกบั ต�ำนานปฐมมลู โลกส�ำนวนครูบาอภิชยั ขาว ปีไดก้ ลา่ ววา่ ตัง้ แตป่ ฐมกัปหวั ที เมอื่ แผน่ ดนิ ยงั บ่มีเทือ่ มแี ตอ่ ากาศกบั ลมกวนกนั ผดั ปน่ั ไปมา นานๆ ไปเปลวลมกับอากาศกก็ ระทบกระท่ังกนั ไปๆ มาๆ เกีย้ วหวนั กนั เป็น เปลวเป็นล�ำ เกิดรอ้ นข้นึ รอ้ นข้ึนลวดเกิดเป็นเปลวไฟ ตงั้ อยู่บนลมหนา ๓ ลา้ น ๔ แสนโยชน์ นานๆ ไปเปลวไฟนัน้ กผ็ ดั ปัน่ กับลม หวนั กนั โทไ้ ปโท้มา๓ บ่แพเ้ ปลวลม ๓ พนั กนั โยไ้ ปโยม้ า

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ท�ำ ทอง 15 เพราะเปลวลมนน้ั หนาได้ ๕ ล้าน ๓ แสน ๔ หมนื่ ๒ พันโยชน์ กล็ วดอนุ่ ๆ เย็นๆ ก็ เกดิ เปน็ ควนั เปน็ อายเปน็ เหอื่ นานๆ ไปกก็ ลายเปน็ นำ้� ตงั้ อยบู่ นไฟ หนาได้ ๔ ลา้ น ๓ แสน ๒ หมื่น ๔ พนั โยชนน์ านๆ เปลวไฟนั้นก็ผัดปน่ั กับน้ำ� นั้น ก็เดอื ดผุดขน้ึ น�้ำนัน้ บแ่ พ้ เปลวไฟ เพราะเปลวไฟนน้ั หนากวา่ นำ้� กแ็ ข็งเป็นแผน่ หิน หาขอบหารมิ บไ่ ด้ หาทท่ี ึก ท่ีเท้าบไ่ ด๔้ หนาได้ ๒ แสน ๔ หม่ืนโยชน์ จงึ เกิดเป็นแผน่ ดนิ ขึน้ ต่อมาได้ก�ำเนิดเป็นแร่ธาตุต่างๆ มากมาย เม่ือสภาวะอากาศเย็นลงจึง ปรากฏไคลสองชนดิ ไคลทง้ั สองนน้ั กบ็ งั เกดิ เปน็ หญา้ กบั แก้ และหญา้ หนวดหนเู ปน็ ปฐม หลงั จากนน้ั หญา้ ทง้ั หลายกบ็ งั เกดิ เปน็ เครอื เขาเถาวลั ย์ และกำ� เนดิ เปน็ ตน้ ไม้ ทงั้ แบบท่ี เปน็ ตน้ และแบบเป็นกอ ในเวลาต่อมา หลงั จากนนั้ จึงเรมิ่ ปรากฏสง่ิ มชี วี ติ อนั เกิดจากธาตุท้งั สี่ ด้วยเหตปุ ัจจยั ตา่ งๆ จึงเกดิ เป็นสตั วเ์ ดรัจฉาน ซ่งึ มชี ีวติ แตไ่ ม่มวี ิญญาณ ปฐวธี าตุได้ใหก้ �ำเนิด ดว้ งและ หนอน วาโยธาตุ ใหก้ ำ� เนดิ แมงควน่ั ทราย ควน่ั ดนิ เตโชธาตุ ใหก้ ำ� เนดิ แมงพรง้ิ แมงคบั และอาโปธาตุ ไดใ้ ห้ก�ำเนดิ แมงแดง เป็นตน้ สัตว์ทง้ั หลายน้ีไมร่ ู้จักกลวั ความตาย ตายและเกิดอยู่เช่นนั้นนานนับอสงไขยกัปป์ จึงได้เกิดใหม่เป็นสัตว์ท่ีรู้จักกลัวตาย และเรมิ่ มเี ลอื ดมกี ระดกู เทา่ เสน้ หญา้ คา การตายเกดิ ของสตั วเ์ หลา่ นนั้ วนเวยี นอยเู่ ปน็ เวลานานไม่อาจคณานบั ช่วงเวลาได้เนื่องจากยงั ไม่มกี ารนับปเี ดือนวนั ต่อมาพรหมเป็นผูล้ ขิ ิตใหป้ ฐวธี าตกุ อ่ ก�ำเนิดผหู้ ญิงขึ้นกอ่ นช่ือ อติ ถงั ไคยยะ สงั กะส ี เพ่ือให้เปน็ ผู้แตง่ แปงเจตนาแหง่ โลก กล่าวอุปมาเป็นดง่ั ผู้ลิขิตความเป็นไป ของโลก นางผนู้ ้ดี มดอกไมเ้ ป็นอาหาร นางไดร้ ำ� พึงวา่ บนพน้ื ธรณนี ี้มีแตต่ ้นไมเ้ ส้น หญา้ เครอื เขามากมายจนนางหาทอ่ี ยูท่ ่สี ำ� ราญไม่ได้ จงึ สร้างสตั วต์ า่ งๆ ขึน้ เพ่ือให้มา กินหญา้ และพชื พรรณต่างๆ อย่างละสองตวั คือ หนู ววั เสือ กระต่าย นาค ง ู ม้า แพะ วอก ไก่ หมา และช้าง โดยเรียกช่ือสตั วต์ ่างๆ เหลา่ นี้วา่ ไจ้ เป้า ยี เหมา้ สี ไส้ สะงา้ เมด็ สัน เล้า เส็ด ไก๊ ชือ่ ของสตั ว์เหลา่ นีต้ ่อมาได้กลายมาเป็นทม่ี าของการนับ ปนี ักษัตรแบบล้านนา ๔ หาทสี่ ดุ ไมไ่ ด้

16 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา นางผู้น้ีได้เห็นสัตว์กินอิ่มกก็ ลา่ ววา่ “เต่า” เหน็ สตั ว์กนิ อาหารอนั ควรกินก็ กลา่ วว่า “ก่า” เม่อื นางเหน็ อาหารหลดุ ออกปากสตั วต์ วั ใดนางกก็ ล่าววา่ “กาบ” สัตวต์ วั ใดมลี ูก นางกก็ ลา่ ววา่ “ดับ” สัตวต์ ัวใดท่าวล้ม นางกก็ ล่าวว่า “รวาย” สัตว์ ฝงู นัน้ หลับนางก็กล่าววา่ “เมิง” สตั ว์ฝงู นั้นไดอ้ าหารนางกก็ ลา่ ววา่ “รว้ ง” หากหนู ไดก้ ินอ่ิมนางกร็ อ้ งว่า “เตา่ ไจ้” ด่ังนี้แล ซงึ่ ค�ำกล่าวของนางเหล่านี้ได้กลายมาเปน็ ที่มาของการนบั วนั แบบกล่มุ ชาตพิ ันธุไ์ ท เรยี กวา่ ลูกวันแม่วัน หรอื ลกู ปแี มป่ ี ภาพผังแม่ปลี ูกปีวันหนไต ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง

ธวัชชยั ท�ำ ทอง 17 กำ� เนิดมนุษย์ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง เมื่อกาลเวลาผา่ นไปนางอติ ถงั ไคยยะสงั กะสไี ดส้ รา้ งสตั ว์ตา่ งๆ ขน้ึ ทัง้ บนบก และในนำ้� สตั วเ์ หลา่ นนั้ ไดข้ ยายแพรพ่ นั ธม์ุ ากขนึ้ จนทำ� ใหน้ างไมม่ ดี อกไมส้ ำ� หรบั ใชด้ ม เปน็ อาหาร พชื พรรณตา่ งๆ บนโลกกว็ นิ าศฉบิ หายไป นางจงึ คดิ หาวธิ ไี มใ่ หส้ ตั วเ์ หลา่ นน้ั ตายแล้วกลับมาเกิดอีก ต่อมาได้เกิดผู้ชายขึ้นจากเตโชธาตุช่ือว่า นาปุงสังไคยยะ สังกะสี อันมีที่มาจากพรหม ชายผู้น้ีเห็นสัตว์ทั้งหลายกระท�ำเมถุนธรรมหรือการ สบื พนั ธด์ุ ว้ ยกนั กพ็ จิ ารณาวา่ สตั วต์ า่ งๆ เหลา่ นด้ี ชู า่ งมคี วามสขุ จากการกระทำ� เมถนุ ธรรมน้ี ส่วนตนเองนั้นมีอัตตะภาวะรูปมีองคชาติ จึงควรเป็นท่ีรมณีย์แก่ใจเช่นเดียวกันกับ สตั ว์เหลา่ นัน้ ชายคนแรกของโลกจึงไดอ้ อกเดินทางตามหาคู่ จนได้พบกับนางอติ ถงั ไคยยะสังกะสี เมื่อชายหญิงทั้งสองได้พบกันและอยู่ร่วมกันจึงได้มีการเสพเมถุนธรรมต่อ มาจงึ ใหก้ �ำเนดิ มนษุ ย์ขึน้ ต�ำนานกล่าวอปุ มาวา่ มนุษยค์ ู่แรกนม้ี ลี กู โดยวธิ กี ารการปนั้ ขน้ึ จากปฐวีธาตุ จำ� นวนสามคนคอื อติ ถีลงิ ค์หรือเพศหญิง ปุรสิ ะลงิ คห์ รอื เพศชาย นปุงสะกะลิงค์หมายถึงไม่ใช่เพศชายหรือหญิง ประกอบกับการท่ีจะเป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์ไดน้ ้นั ต้องอาศยั ธาตตุ ่างๆ และดว้ ยเหตุปจั จัยอนื่ ทป่ี รงุ แตง่ ขึ้นตามหลักพทุ ธ ศาสนา ต�ำนานไดก้ ล่าววา่ ปฐวีธาตชุ ว่ ยใหม้ สี ตอิ ันมัน่ แลว้ ใส่เตโชธาตุเขา้ สู่ภายในให้ เป็นกำ� ลัง ใส่อาโปธาตุให้เปน็ วรรณะ ใสว่ าโยธาตใุ ห้เปน็ อทิ ธ ิ ใส่จกั ขอุ ินทรีย์ ให้ เห็นรูปารมณยี ์ ใส่โสตนิ ทรยี ใ์ ห้รยู้ ังสทั ทารมณีย์ ใส่ฆานนิ ทรยี ใ์ ห้รู้ยงั คนั ธรัสสะรมณ์ ใส่ชิวหาอินทรีย์ให้รู้รัสสะรมณ์ ใส่กายินทรีย์ให้รู้โผฏฐัพพา ใส่มนินทรีย์ให้รู้ชาติ เวทนาทง้ั สามประการคอื ผัสสะ เวทนา สญั ญา เม่อื นัน้ ภูมิจิตวิญญาณกเ็ ขา้ ไปสู่ มนษุ ยส์ ารูปน้ัน อยู่เปน็ แด๕้ นานประมาณสบิ เดอื นจึงแตกออกเปน็ มนษุ ย ์ มนุษย์ท้ังสามคนเมื่อพ่อแม่จุติตายไปแล้วเขาได้ให้ก�ำเนิดมนุษย์รุ่นที่ส่ีข้ึน จ�ำนวน ๑๓ คน คือลกู ผ้ชู าย ๗ ลูกผูห้ ญงิ ๖ สว่ นว่าเขาท้ังหลายอนั เปน็ ลกู ก่อยู่ สามคั ครี ว่ มกนั สบื มา มบี คุ คลหนง่ึ มอี ายคุ รบ ๒๑ ปี ไดเ้ ปน็ พยาธเิ จบ็ ปว่ ย ในกาลบดั นน้ั ๕ แด้ หมายถงึ ดกั แด้ หรอื ตวั ออ่ นทสี่ ตั วท์ กี่ ำ� ลงั เจรญิ เตบิ โตในไข่ หรอื ในทอ้ งแม่

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง18 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ยงั ไมม่ ผี ใู้ ดลว่ งรวู้ ธิ กี ารรกั ษา จงึ ทดลองใหผ้ ทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยนนั้ นำ� สตั วม์ าปลอ่ ยหลากหลายชนดิ เพ่ือสะเดาะเคราะหก์ ็ไม่หาย แตพ่ อปล่อยวัวกห็ ายจากโรคภัย อีกคนหนง่ึ อายุ ๓๓ ก็ เปน็ พยาธิเจ็บปว่ ยเชน่ กันพอปล่อยเสอื จึงหาย อีกคนอายุ ๒๖ เจบ็ ปว่ ยเป็นพยาธเิ อา งมู าปลอ่ ยจงึ หาย หญิงผ้หู น่งึ อายุ ๓๐ ปี เจ็บปว่ ยเป็นพยาธิเอานกรุ้งมาปลอ่ ยจึงหาย ชายผู้หนงึ่ อายุ ๒๐ ปี เปน็ พยาธเิ อาช้างมาปลอ่ ยจึงหาย และมีอีกคนหน่งึ อายุ ๕๐ ปี เป็นพยาธเิ อาราชสีห์มาปล่อยจึงหาย จากต�ำนานดังกล่าว สัตว์เหลา่ นีจ้ งึ กลายเป็น ที่มาของตัวเปิ้งหรือสัตว์ประจ�ำดวงดาวซึ่งมักปรากฏในผังภูมิทักษาแบบล้านนาและ ยังเป็นท่ีมาของการท�ำบุญปล่อยสัตว์ตามความเชื่อและพิธีกรรมการส่งตัวเปิ้งตัวชน หรอื หนึ่งในพิธสี ะเดาะเคราะหแ์ บบล้านนา ภาพสตั วต์ วั เปงิ้ ในผงั ทักษา นอกจากน้ตี �ำนานยงั ไดอ้ ธิบายถึงคตคิ วามเชื่อเรื่อง ที่สงิ สถิตของวิญญาณ ก่อนลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เดิมเช่ือว่า วิญญาณที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้นจะต้องมี ภูมอิ าศยั อยตู่ ามตน้ ไม้ตา่ งๆ ตามปีเกิดหากไม่เปน็ ไปตามนวี้ ญิ ญาณนั้นจะไปเกดิ ภูมิ อนื่ ทไ่ี มใ่ ชม่ นษุ ย์ ซง่ึ ตอ่ มาคตนิ ไ้ี ดม้ กี ารปรบั คตคิ วามเชอ่ื เรอื่ งนจี้ ากภมู ทิ สี่ งิ สถติ วญิ ญาณ ตามต้นไมป้ ระจ�ำปเี กิดมาเปน็ ชุธาตุ หรอื พระธาตปุ ระจ�ำปเี กดิ แทน ดังนี้ ขาทั้งสอง หรือมนษุ ย์ค่แู รกนีย้ ังไดเ้ ลง็ เหน็ ยงั ภพภมู ินิกายหรอื วิญญาณ อนั เทียรย่อมอาศยั กับ ดว้ ยไมท้ ง้ั หลายเปน็ ตน้ วา่ ไมพ้ รา้ ว ไมห้ มากแง ไมง้ ว้ิ เผอื กงวิ้ แดง ไมป้ าแปง้ ตน้ กลว้ ย ไม้มว่ ง ไมข้ นุน ไม้ก่อ ไมก้ ระดูก สหมังคละไมท้ ง้ั หลายฝูงน้ันหากเปน็ มนษุ ย์ชาติแล ภูมินกิ ายหรือวญิ ญาณทงั้ หลายฝูงใด บไ่ ดม้ าอาศยั ซ่งึ ตน้ ไมต้ า่ งๆ ดงั กล่าว บห่ ่อนว่า จักได้มาปฏิสนธิในท้องแห่งคน เท่าจักไปปฏสิ นธใิ นท้องสตั วเ์ ดรจั ฉานส่ิงเดียวแล

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ท�ำ ทอง 19 ภาพต้นไม้ประจ�ำปีเกดิ ทีร่ ะบุในต�ำราพรหมชาติล้านนาเชือ่ วา่ ดวงวญิ ญาณทัง้ หลายทจี่ ะได้ เกดิ เปน็ มนุษย์น้นั วญิ ญาณจะต้องมาพกั อยูท่ ตี่ น้ ไมน้ น้ั ๆ ก่อน หากไมเ่ ปน็ ไปตามนี้ วญิ ญาณทั้งหลายก็จะไปเกดิ เป็นสตั ว์เดรัจฉาน การกำ� เนดิ มนษุ ยใ์ นตำ� นานมลู โลกไดก้ ลา่ วถงึ เหตกุ ารณห์ ลงั จากไฟมา้ งกปั ปด์ นิ บนโลกจะมคี วามหอมไปถึงช้นั พรหม พรหมสองผัวเมียได้ลงมากินรสแหง่ แผน่ ดินก็ ลวดเสียฤทธแี ห่งความเปน็ พรหมไป จึงตอ้ งอาศยั อยู่บนโลก ตอ่ มามีลูก ๕ คน สลับ หญิงชาย ชายคนท่ี ๒ และหญงิ คนที่ ๓ เอากันเปน็ ผัวเมีย ชายคนที่ ๔ และหญิงคน ที่ ๕ เอากันเป็นผวั เมยี สองคู่ผัวเมียเปน็ ผู้ให้ก�ำเนิดเผา่ พันธุม์ นษุ ย์ ตอ่ มาพรหมผวั เมียคู่แรกคู่แรกไดจ้ ุติตายไป สว่ นลกู ทัง้ ๔ คนที่จับคู่เปน็ ผวั เมยี พ่ีนอ้ งกม็ ลี ูกมากพวง หลวงหลาย กห็ าสงั จักกินจักบริโภคบ่ได้ จงึ ได้ขอวานอนิ ทร์วานพรหม ขอให้ได้ ของกนิ ของบรโิ ภคตา่ งๆ ด้วยคำ� ปรารถนา ข้าวทพิ ย์ก็กลง้ิ มาจากปา่ ไม้หิมพานตเ์ ข้า มาเต็มบ้านเต็มเมืองต�ำนานได้กล่าวถงึ ลกั ษณะของขา้ วทพิ ย์นีว้ า่ มีขนาดเมด็ ใหญ่ ๗ ก�ำมอื ๖ ขา้ วนวี้ ิเศษนัก บ่ได้ตำ� บไ่ ด้ตาก เอามีดถะถากนงึ่ หุงกินเลี้ยงอินทรยี ์ใหม่หม้า บต่ ้องหว่านกล้าไถนา สว่ นหญงิ คนแรกน้นั ไม่มคี ู่ ชอ่ื ยา่ โหวา ทำ� หน้าทีส่ รา้ งสตั ว์ ตา่ งๆ ขึ้นบนโลกโดยการเนรมติ ใหเ้ กิดข้นึ ตำ� นานกลา่ วไวว้ า่ ยา่ โหวา บ่มลี กู มผี ัวอยู่ บ่ดายเปน็ อนั เปลา่ ก็แปลงสตั ว์ทั้งหลายเหนือหน้าแผ่นดนิ นี้ เวน้ แตแ่ ผน่ ดิน นำ�้ และ ตน้ ไม้ หญงิ ผเู้ ปน็ พเี่ คา้ บไ่ ดแ้ ปลง มนั แปลงสตั วท์ งั้ หลายนนั้ บใ่ ชม่ นั แปลงดว้ ยตนี ดว้ ยมอื ๖ตำ� นานเมลด็ ขา้ วนไี้ ดข้ ยายความตอ่ เนอ่ื งไปเปน็ ตำ� นานแมโ่ พสพ หรอื ปรากฏในคำ� เรยี กขวญั ขา้ วของลา้ นนา

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง20 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา หากแต่มันคดิ ในใจว่าจักแปลงสัตวอ์ ันนั้น กจ็ ักเปน็ สัตว์อันน้ัน ต�ำนานไฟม้างกัปและไตรภมู ฉิ บับล้านนา กล่าวถึงการกำ� เนดิ มนุษยไ์ วว้ ่า การก�ำเนดิ ขนึ้ ของมนุษยย์ ุคแรกน้นั มีทม่ี าจากพรหมที่จตุ ิจากชัน้ อาภสั ราพรหม แลว้ เกิดใหม่ในลักษณะโอปปาตกิ ะ๗ มแี สงรศั มีอันรงุ่ เรอื งทุกคน ตอ่ มาหลงั จากที่ไฟม้าง กปั ไดเ้ ยน็ ลงโลกกลบั สสู่ ภาวะปกติ กลน่ิ หอมของงว้ นดนิ บนโลกไดส้ ง่ กลน่ิ ลอ่ งลอยขน้ึ ไปถงึ ชน้ั พรหม เมอื่ พรหมทัง้ หลายได้กลนิ่ กล็ งมาล้ิมลองรสชาตขิ องงว้ นดินนัน้ จงึ ได้ เกิดความเส่ือมจากความเปน็ พรหม คอื เรมิ่ เกิดรสะตณั หา คอื ตดิ ใจในรสชาติ รัศมี ของพรหมเหล่านนั้ กพ็ ลนั หายไป พรหมเหลา่ นัน้ จึงกลับกลายเปน็ มนุษย์โดยปรยิ าย ด้วยเหตนุ ีค้ นสมัยโบราณมคี วามเช่อื ว่า หากผหู้ ญงิ ทอ้ งแลว้ อยากกนิ อิบ๘ แสดงว่า ลูกในท้องเปน็ พรหม หรือเทวดามาเกิด หากอยากกินผลไม้พชื ผักตา่ งๆ แสดงวา่ เปน็ รุกขเทวดามาเกดิ แตถ่ า้ หากอยากกนิ สา้ เนอื้ หลู้ ลาบดิบของสดของคาว แสดงว่า ลูกในท้องเป็นยักษ์มาเกิด เมื่อพรหมท้ังหลายกลับกลายเป็นมนุษย์เนื่องจากได้สัมผัสรสชาติการกิน ง้วนดิน จงึ เกดิ การปรุงแตง่ ตนเองขนึ้ จากผลกรรมและผลจากการปรงุ แตง่ จากธาตุ ตา่ งๆ จงึ เปน็ เหตใุ หม้ นษุ ยแ์ ตล่ ะคนมวี รรณะทแี่ ตกตา่ งกนั บางคนมวี รรณะทสี่ วยงาม บางคนมวี รรณะที่น่าเกลียดหรอื อปั ลักษณ์ มนุษย์จงึ ร้จู กั การอจิ ฉารษิ ยากนั ดว้ ยเหตุ ดงั นร้ี สชาตอิ นั หอมหวานแหง่ งว้ นดนิ นน้ั จงึ หายไป ตอ่ มากไ็ ดเ้ กดิ เครอื ผกั บงุ้ ทม่ี รี สชาติ อนั หอมหวาน มนษุ ยท์ ้ังหลายจงึ กนิ เครือผักบ้งุ นั้นเปน็ อาหารแทน วรรณะของเขา ทงั้ หลายกเ็ ปล่ยี นแปลงและต่างกนั ยง่ิ ทำ� ใหเ้ กดิ การริษยากนั มากขน้ึ ดว้ ยเหตนุ ้ีเครอื ผักบุ้งอนั หอมหวานนั้นก็หายไปอีก ตอ่ มาเกดิ ข้าวสาลที ่ีมรี สชาติดี เขาท้ังหลายจึงไดร้ จู้ กั การหุงตม้ ปรุงอาหาร ทวารอนั เปน็ ทไี่ หลออกแหง่ มตู รอาจมจงึ บงั เกดิ ขนึ้ เพศหญงิ ชายจงึ บงั เกดิ ขนึ้ เมอ่ื มเี พศ กามตณั หาราคะจงึ บงั เกดิ ขน้ึ น่ันเอง เม่ือกำ� เนิดเพศ มนษุ ย์จึงเรม่ิ รู้จกั ความละอาย เปน็ เหตุให้รจู้ กั การการเสาะหาเครอื่ งนงุ่ หม่ เพอื่ ปกปดิ เพศนนั้ เสยี ตอ่ มาเมอื่ มนษุ ยเ์ รมิ่ เหน็ แกต่ วั เร่มิ รู้จักมีการสะสมเมลด็ ข้าวสาลเี พราะข้ีเกียจออกไปเก็บเกย่ี ว เมลด็ ขา้ ว ทีแ่ ต่เดมิ ไมม่ ีเปลอื กก็บังเกิดเปลือกห่อหุ้มนน่ั เอง ๗ การผดุ ขน้ึ หรอื เกดิ ขนึ้ ทนั ที โดยไมต่ อ้ งอาศยั พอ่ แมเ่ พอื่ ผา่ นการปฏสิ นธิ แตเ่ กดิ ขนึ้ จากผลแหง่ กรรมของดวง วญิ ญาณนน้ั ๆ ๘ อบิ หมายถงึ ดนิ โปง่ มกี ลนิ่ หอมและมรี สเคม็ ออ่ นๆ ในอดตี จะมขี ายตามทอ้ งตลาดทว่ั ไป นอกจากจะเปน็ ท่ี ชน่ื ชอบของหญงิ มคี รรภแ์ ลว้ หลงั คลอดยงั นยิ มหามากนิ เนอื่ งจากเชอ่ื วา่ จะชว่ ยบำ� รงุ แมล่ กู ออ่ นใหม้ นี ำ�้ นม มากขนึ้ ชมุ ชนทอ่ี ยใู่ กลป้ า่ เขามกั จะไปหาขดุ ตามปา่ แลว้ นำ� มาทำ� ความสะอาดแลว้ ตากแหง้ เกบ็ ไวก้ นิ

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ท�ำ ทอง 21 เมื่อมนษุ ยเ์ ร่ิมมีความโลภ ความโกรธและความหลง เรม่ิ รู้จักการทำ� ร้ายซง่ึ กันและกนั การแก่งแยง่ ฉกชิงทุบตีกัน จงึ ได้มกี ารเลอื กผู้นำ� ขนึ้ เพ่อื ควบคุมสังคมโดย การสมมตุ ิพญาหรือผเู้ ปน็ ใหญข่ น้ึ เพือ่ เปน็ ผปู้ กครองชุมชนหรือสังคม นอกจากนยี้ งั มมี ขุ ปาฐะอน่ื ๆ ทเี่ ลา่ ถงึ การกำ� เนดิ มนษุ ยอ์ กี หลายเรอ่ื งตามนทิ าน ทเ่ี ลา่ สบื กนั มาแตกตา่ งกนั ไปตามแตล่ ะทอ้ งถน่ิ เชน่ มนษุ ยใ์ นโลกเกดิ จากการทพ่ี ระฤๅษี ไดเ้ อาเหลก็ เผาไฟจนแดงแลว้ แทงไปทน่ี ำ�้ เตา้ ผคู้ นทง้ั หลายจงึ ไหลออกมาจากรนู ำ�้ เตา้ หรอื มนษุ ย์มบี รรพบรุ ษุ ท่ีมาจากสัตวเ์ ดรัจฉานตา่ งๆ เชน่ นาค ช้าง เสอื ราชสี เป็นตน้ ตำ� นานทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ นี้ ไดส้ ะทอ้ นถงึ ววิ ฒั นาการของมนษุ ยจ์ ากวรรณกรรม ที่ปรากฏพบในลา้ นนา ซึง่ สามารถแบ่งออกเปน็ สองกลุ่มหลักคือ กลมุ่ แรกเปน็ นทิ าน ปรัมปราพน้ื บ้านทป่ี รากฏในภมู ภิ าคนคี้ อื ป่สู งั กะไส ย่าสังกะสี หรอื ปู่เยอ ย่าเยอ มนุษย์คู่แรกในวัฒนธรรมลาว ต�ำนานปฐมมูลมูลีน้ีคาดว่าน่าจะเป็นวรรณกรรมท่ี เขียนขึ้นจากการรวบรวมตำ� นานทอ้ งถ่นิ ท่บี อกเล่าสืบต่อกนั มา สว่ นกลมุ่ ทสี่ องเปน็ วรรณกรรมท่ีมาจากพุทธศาสนา ต้ังแต่การอธิบายต้นก�ำเนิดของมนุษย์โดยอาศัย หลักการทางพุทธศาสนามาอธิบายของเหตุของการก�ำเนิดมนุษย์ด้วยผลกรรม จน กระทงั่ การเรยี นรเู้ พอ่ื การดำ� รงชวี ติ รจู้ กั การหาอาหาร หาเครอ่ื งนงุ่ หม่ และทอี่ ยอู่ าศยั จนถึงรูจ้ ักการรวมตวั เป็นสงั คมขนาดเลก็ ชนเผา่ การมีผู้น�ำและพัฒนาการเปน็ สังคม ใหญใ่ นท่สี ดุ ภาพสลุงเงินทต่ี อกดุนลายเป็นรูปตน้ ไมพ้ ร้อมสัตว์ประจำ� ปเี กิดในจักรราศี

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง22 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา กำ� เนิดจกั รราศี เมื่อพรหมท้ังหลายกินง้วนดินแล้วรัศมีแห่งร่างกายพรหมเหล่าน้ันได้หาย ไปกลายเปน็ มนษุ ย์ โลกจงึ มแี ตค่ วามมดื มวั มนษุ ยท์ งั้ หลายตา่ งพากนั กลวั ในความมดื นนั้ จงึ ปรารถนาใหม้ แี สงสวา่ งขน้ึ จงึ ปรากฏมีพระอาทติ ย์ขนึ้ ตามค�ำปรารถนาของมนุษย์ เหลา่ น้ัน พ้องกันกับต�ำนานมูลโลกที่กลา่ วไว้ว่า ผแี ถน เทวดาพรหมตา่ งๆทลี งมาจุติ อยบู่ นโลกและอยใู่ นวมิ านตา่ งๆ ผอ่ บห่ นั อนั ใดเปน็ อนั มดื อนั ตนั กพ็ รอ้ มกนั วานอนิ ทร์ วานพรหมขอพระอาทติ ยอ์ อกมาลกู ๑ และพระจนั ทรอ์ อกมาลกู ๑ กเ็ ปน็ อนั แจง้ ลำ�้ ไป จงึ ขอให้พระอาทิตยแ์ ละพระจันทรเ์ ดนิ เทียวไปมา พระอาทิตยแ์ ละพระจนั ทร์กท็ วย กนั ไปทวยกันมา๙ เวลาเมื่อแจ้งกแ็ จง้ ล้�ำ เวลามืดก็มืดลำ�้ จึงขอวานอินทรว์ านพรหม เสียใหม่ว่า หื้อพระอาทติ ย์ไปเมื่อน่งึ พระจันทรไ์ ปเม่ือน่งึ ถ้าพระอาทติ ย์ลงแล้ว ห้ือ พระจันทร์ออกมา พระจันทร์ลงแล้วหื้อพระอาทิตย์ออกมาก็ยังบ่รู้เมื่อวันเมื่อคืน ยอ้ นวา่ พระจันทรแ์ จง้ ล้�ำไป จงึ ขอหื้อพระจันทรน์ นั้ มัวไปแถม พญาอินทรจ์ ึงเอาไม้ โพธไ์ิ ทรเขา้ ปลกู ไวห้ นา้ พระจนั ทรพ์ ระจนั ทรจ์ งึ มวั ไป ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ รเู้ วลากลางคนื กลางวนั ในตำ� นานปฐมมลู มลู กี ลา่ ววา่ เมอื่ มนษุ ยถ์ อื กำ� เนดิ ออกมาแลว้ ตา่ งกเ็ จบ็ ปว่ ยไมส่ บาย เนอ่ื งจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ดว้ ยเหตนุ ีป้ ู่สงั กะไสและย่าสงั กะสี จงึ ได้ ปรับสภาพอากาศของโลกให้เป็นฤดูกาลอยู่เป็น ๓ ช่วงเวลา คอื ฤดูหนาว ฤดรู ้อน และฤดูฝน ต้ังแต่นั้นมา ตอ่ มาทั้งสองไดป้ รึกษากนั วา่ มนษุ ย์ทง้ั หลายยังไม่รู้จกั อายุ แหง่ สังขาร ไม่รวู้ ่าใครเกิดก่อนเกิดหลัง หาสง่ิ ที่จะมาเปน็ สักขีไม่ได้ จงึ ไดก้ ำ� หนดตัง้ อายุ ปี เดือน วนั และยามไว้ โดยได้สรา้ งชา้ งมโนสิลาตวั หน่งึ ขึ้น มีขนาดตัวใหญม่ าก เฉพาะส่วนฝ่าเท้ากวา้ งแสนหน่ึงหมนื่ โยชน์ มตี ัวเขียวด่งั แกว้ มหานิล มตี นี ขาวดง่ั แกว้ วฑิ ูรย์ มงี าแดงดง่ั แกว้ ก๊อ๑๐ มีหัวเหลอื งดง่ั ค�ำ มีเขยี้ วอนั ด�ำดัง่ แก้วมหานลิ ชา้ งตวั น้ี สรา้ งจากเตโชธาตุ มีน�้ำและลมเปน็ อาหาร พรอ้ มกนั นนั้ ไดส้ ร้างเขาสเุ มโรอันหนึ่ง ดว้ ยหนิ ลวงกวา้ งและลวงยาวมสี ีแ่ สนสห่ี มืน่ โยชน์ตั้งเหนอื หลงั ช้างตัวนนั้ ช้างมโน ศิลาตัวนจ้ี งึ เปน็ ที่มาของค�ำว่า ดาวชา้ งหลวง อนั อยศู่ นู ย์กลางจกั รราศแี บบล้านนา ๙ ตามกนั ไปตามกนั มา ๑๐ แกว้ กอ๊ หมายถงึ ทบั ทมิ

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 23 ภาพผงั จักรราศแี บบล้านนาหรอื มกั เรยี กกันวา่ กระบวนดาวฤกษ์ อันมีดาวช้างหลวงเป็นศูนยก์ ลาง จากนนั้ ทง้ั สองไดก้ ระทำ� คามรายส๑ี ๑ ขนึ้ รวมไดส้ บิ สองคาม กระทำ� เปน็ ยนต์ หมนุ มีรูปด่งั แมงดาน้นั และแตง่ ยังจันทคราสได้ ๒๗ ตระกลู ๑๒ คอื ทลทิ โท ๓ ตระกูล มหธั โน ๓ ตระกูล โจโร ๓ ตระกลู ภูมปิ าโล ๓ ตระกูล เทสสนั ตรี ๓ ตระกลู เทวี ๓ ตระกูล พิชฆาต ๓ ตระกลู ราชา ๓ ตระกูล สมณะ ๓ ตระกลู เมอื่ ชอุ นั แล้วก็หือ้ อยู่ ในคามสบิ สองราศีหั้นแล กลา่ วอธิบายคอื กลุม่ ดาวฤกษไ์ ดถ้ กู จดั ออกเปน็ ๒๗ กลมุ่ ดาวเรยี กวา่ ฤกษ์น้อย หรือฤกษบ์ น โดยท้งั หมดนจ้ี ะถกู จัดแบง่ ใหอ้ ยู่ในกลุ่มใหญก่ ลุ่ม ละ ๓ ฤกษ์น้อยทงั้ หมด ๙ กลมุ่ เรยี กวา่ กลุ่มฤกษ์หลวง ดาวฤกษท์ งั้ หมดนจี้ ะถกู จดั ใหอ้ ยู่ตามชอ่ งราศีทัง้ ๑๒ ราศีทม่ี รี ูปคล้ายท้องแมงดาและถกู กระทำ� ให้เปน็ ด่ังยนต์ หมนุ ซง่ึ หมายถึงการท่ีดวงดาวเหล่าน้หี มนุ โคจรรอบโลกน่นั เอง ดาวฤกษ์ทง้ั ๒๗ ตัว แบบลา้ นนา มกั จะเขยี นก�ำกบั ด้วยบาลเี ปน็ ช่อื ตา่ งๆไวด้ ังนี้ ๑๑ คามะ หรอื คาม หมายถงึ บา้ นเรอื น คำ� วา่ คามรายสหี มายถงึ ดาวเจา้ เรอื น หรอื สรา้ งเรอื นทเ่ี ปน็ ทสี่ งิ สถติ แหง่ ดวงดาวตา่ งๆ ๑๒ ในทนี่ ห้ี มายถงึ ดาวฤกษ์ ๒๗ กลมุ่

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง24 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา อัสสะวิณี ดาวม้าหางฮอ่ น ภรณี ดาวเขยี งก้อม กติ กิ า ดาววี โรหณิ ีดาวคาง มคิ สริ ะ ดาวหวั เนอ้ื อารทรา ดาวหมาแดง ปณุ ณพสั สุ ดาวสะเปา ปสุ สยะ ดาวหางเหลอื ง อัสสเลส ดาวเรอื นห่าง มาฆะ ดาวรปู นาค ปุพพผลคุณี ดาวรูปแพะตวั ผู้ อุตตรผลคุณี ดาวรูปแพะตัวเมีย หัสสถะ ดาวทบศอก จติ รา ดาวไฟนอ้ ย สวัสสะดี ดาวไฟหลวง วสิ าขา ดาวงู อนุราทะ ดาวคนั ฉตั ร ชถ หรอื เชษฐะดาวพดิ าน มูลละ ดาวชา้ งน้อย ปุพพสาธะ ดาวกุณฑล อตุ ตราสาทะ ดาวเหลก็ จาร สารวัณณะ ดาวคานหาม ธนษิ ฐะ ดาวไซหลวง สัตตพิสสะ ดาวไม้สา้ ว ปพุ พภัทรา ดาวนลาสนอ้ ย อตุ รภัทร ดาวนางลา สาราม หรือดาวชา้ งอ้ายก�่ำ เรวตี ดาวนางราชะหลวง ดาวปลาสะเพยี นค�ำ กว็ า่ แล นักขตั ฤกษ์ ๒๗ ตัวกม็ ดี ่ังนแ้ี ล นอกจากนยี้ งั ไดก้ ล่าวถงึ ดาวพระเคราะหท์ โ่ี คจรตามราศีต่างๆ ไว้วา่ ดาวทง้ั หลายฝงู เศษหลอเหลือกว่านนั้ เปน็ ต้นว่า อาทติ ย์ จนั ทร์ อังคาร พุธ ผดั ศุกร์ เสาร์ ราหู เกตุ นกั ขัตฤกษ์ทั้งหลายฝงู นัน้ กเ็ ทยี ว ผดั ตสิน๑๓ ไปใน ๑๒ ราศอี นั ผัดไปเท่ียง นักประดจุ ดงั่ กงจกั รนั้นแล กล่าวคือ กลมุ่ ดวงดาวทีเ่ หลอื คือ กลมุ่ ดาวพระเคราะห์ ท้ัง ๙ ดวงก็จะเดนิ ประทกั ษณิ ไปเรือ่ ยๆประดุจดง่ั กงจกั รนน่ั เอง ภาพผังจกั รราศที ่กี ลา่ วถงึ ใน ต�ำนานปฐมมลู มูลีวา่ มสี ัณฐานดั่งแมงดา ๑๓ ประทกั ษณิ

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ทำ�ทอง 25 เมอื่ นนั้ ขาทงั้ สองกไ็ ดส้ รา้ งสรุ ยิ ะวมิ านดว้ ยแกว้ วฑิ รู ยน์ ำ�้ ไฟ ใหเ้ ทยี วตามราศี อนั นัน้ หอ้ื ส่องแจง้ รุ่งเรือง เดอื นละ ๑ ราศ ี สุริยะวมิ านอันนน้ั ยา้ ยไป ๑๒ เทื่อจงึ่ เรยี ก ว่า ๑ ปีแล และยังสรา้ งจันทรวิมานจากแก้ววฑิ ูรย์นำ�้ เงินแตง่ เป็นฝักหอยงัว้ หอ้ื เป็น สเี่ หลีย่ ม ห้อื เทียวเขา้ เทียวออกตามราศี ๑๕ วันพงึ ยา้ ยไปหนา้ เมือ่ เขา้ หาสรุ ิยะหวา่ ย หน้าเข้า เมือ่ หันหลงั ออกจากสรุ ยิ ะหากวา่ ถว้ น ๑๕ เทอ่ื เปน็ วนั ๓๐ สบิ วนั เรยี กว่า เดือนหนึง่ แล แต่งหอ้ื เปน็ คามราศผี ดั ไปเป็นดงั่ ลูกกลมนนั้ แลว้ เอากว๋ ม๑๔ เขาสิเนโร หื้อต่�ำสูงเสียกันเป็นดั่งแถวดอกไม้เกี้ยวหัวห้ันแล ปลายเขายุคันธรน้ันอยู่ช้ันฟ้า จตมุ หาราชิกา ปลายเขาสเิ นโร ต้ังตาวตงิ สาแล ๑๔ ครอบ

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง26 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ภาพรอยพระพทุ ธบาทจำ� ลองประดับมุกวัดพระสงิ หว์ รวหิ าร เปน็ รปู จักรวาลตามคตลิ า้ นนา

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชัย ทำ�ทอง 27 จกั รวาล เขาพระสเุ มรุ หรอื โลกในอุดมคติ การกำ� เนดิ เร่อื งราวของโลกในอดุ มคติจากนกั ปราชญโ์ บราณนัน้ เป็นอุบาย เพื่อควบคุมผู้คนให้ประพฤติอยู่ในกุศลกรรมและอธิบายผลของกุศลกรรมแลอกุศล กรรมดว้ ยการสรา้ งภาพเรอื่ งราวชวี ติ หลงั ความตาย หรอื โลกหนา้ ของบคุ คลผปู้ ระพฤตติ น ดชี ว่ั ตา่ งๆ โดยอาศยั รปู แบบความเปน็ จรงิ ในธรรมชาตขิ องโลกมนษุ ยน์ ี้ มาเปน็ พนื้ ฐาน ในการคดิ และแต่งเปน็ วรรณกรรมท่ีใช้กับพทุ ธศาสนาในลา้ นนาคอื เรื่อง โลกธาตุ จักรวาลคติ หรอื มักจะรู้จกั กนั ในชื่อไตรภมู ิ ในไตรภูมิส�ำนวนล้านนาน้ีได้อธิบายถึงเขาพระสุเมรุหรือโลกในอุดมคติ เปน็ แกนกลางจกั รวาล ลอ้ มรอบด้วยเขาสัตตบรภิ ณั ฑ์ท้ัง ๗ และทวีปท้งั ๔ ด้านบน เป็นสวรรค์ชัน้ ตา่ งๆ ๖ ชน้ั สงู ขน้ึ ไปเปน็ ชั้นพรหม และอรูปพรหมตา่ งๆ ท่ีนา่ สนใจคือ เม่ือดูแผนผังของจักรวาลคติดังกล่าวจะพบว่าล้วนมีที่มาจากระเบียบการโคจรของ ดวงดาวและพระอาทติ ยใ์ นจกั รราศตี า่ งๆ ทง้ั สน้ิ โดยมคี วามสอดคลอ้ งกบั คมั ภรี ส์ รุ ยิ ยาตรา อนั เปน็ ต�ำราการค�ำนวณดวงดาวหรอื ปฏทิ นิ แบบโบราณทยี่ งั คงใช้กันโดยทั่วไป ในไตรภูมิฉบับพระร่วงได้กล่าวถึงรูปร่างเขาพระสุเมรุไว้ว่า เขาพระสุเมรุ นนั้ มคี วามกวา้ ง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ลกึ ลงไปใตน้ ำ�้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หนา ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยมีสภาพกลมแลไสโ้ ดยรอบ ดงั น้นั สณั ฐานทแ่ี ทจ้ รงิ ของเขาพระสเุ มรุตามไตรภมู ิ ฉบบั พระร่วงอาจจะเปน็ ทรงกลมกเ็ ปน็ ได้ แต่ในคมั ภีรส์ ำ� นวนฝ่ายล้านนาไดก้ ลา่ วต่างออกไป ในต�ำนานปฐมมูลมลู ีได้ กล่าวถงึ ปยู่ ่าสงั กะสที ั้งสองได้สรา้ งช้างมโนสิลาไว้ เพือ่ รองรบั เขาพระสุเมรุซึง่ สร้าง จากหนิ โดยมคี วามกวา้ งและยาวมี ๔ แสน ๔ หม่นื โยชน์ นอกจากนี้ ในต�ำนานมลู โลกได้กล่าวถึงสัณฐานของเขาพระสุเมรุท่ตี า่ งไปจากต�ำราอนื่ ๆ ไว้ว่า บนโลกนีย้ งั มี เขาพระสเุ มรตุ งั้ อยทู่ า่ มกลาง หยง่ั ลงไปหมนื่ โยชน์ นบั ตง้ั แตห่ นา้ แทง่ หนิ ขน้ึ ไป ๘ หมน่ื ๔ พนั โยชน์ ตนี เขากวา้ งหม่นื โยชน์ ป่องกึ่งกลางเหมือนดั่งหนว่ ยหมากหลอด๑๕ ทปี่ ่องกงึ่ กลางนน้ั กว้าง ๔ หมืน่ พนั โยชน์ ปลายเขากว้างหมนื่ โยชน์ ๑๕ มสี ณั ฐานเหมอื นลกู สม้ หลอด

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง28 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพปราสาทรูปช้างหรอื รปู นกหสั ดีลิงค์ ตามคติความเชือ่ ชาวลา้ นนาจะน�ำเอา ดวงวญิ ญาณผตู้ ายกลบั สเู่ ขาพระสเุ มรอุ นั มปี ราสาททพิ ยว์ มิ านเปน็ ทอ่ี ยู่ ไมใ่ ชน่ กหสั ดลี งิ ค์ ทีท่ �ำหน้าทคี่ าบศพไปท้งิ นอกจกั รวาล ตามไตรภมู ิพระร่วง นอกจากนยี้ งั ไดก้ ลา่ วถงึ องคป์ ระกอบของสณั ฐานจกั รวาลวา่ รอบเขาพระสเุ มรุ จะมีภเู ขาสตั ตบรภิ ณั ฑ์ทั้ง ๗ ล้อมรอบอยู่ซง่ึ ตำ� รากล่าวตา่ งกนั สองกลมุ่ คือ สว่ นใหญ่ จะกล่าวถึงเขาสัตตบรภิ ณั ฑไ์ วว้ า่ ลอ้ มรอบเขาพระสุเมรุเป็นสัณฐานวงกลม แต่ฉบบั มลู โลกไดก้ ล่าววา่ เขาสตั ตภัณฑล์ อ้ มรอบเขาพระสเุ มรเุ ป็นสณั ฐานสเ่ี หลีย่ ม แวดเขา สิเนโรตก ๔ ดา้ น ดา้ นไหนแล ๗ ลกู ดา้ นวนั ตกแลว้ ดว้ ยหนิ เหนอื แลว้ ด้วยแก้ว ด้าน วนั ออกแล้วดว้ ยคำ� ดา้ นใตแ้ ลว้ ด้วยเงนิ เขาสัตตภัณฑ์ ๔ ด้านนกี้ ว้างกีดเทา่ กนั แตต่ ำ่� สงู หลน่ั ลงบเ่ ท่ากนั ยอดเขาสตั ตภัณฑ์ท้ัง ๔ ด้านน้ี มวี ิมานปราสาทเปน็ ทีอ่ ยแู่ หง่ ท้าว ทงั้ ๔ ดา้ นแลหลงั เปน็ ทอ่ี ยแู่ หง่ พญาใหญ่ ๔ ตนคอื ดา้ นวนั ตกเปน็ ทอี่ ยแู่ หง่ พญาวริ ปู กั ษ์ อนั เป็นใหญ่แกน่ าคไดพ้ ันตน ดา้ นวันออกเป็นทีอ่ ยู่แหง่ พญาคันธพั พะ๑๖ อันเป็นใหญ่ แกค่ นั ธพั พะพนั ตน ดา้ นเหนอื เปน็ ทอ่ี ยแู่ หง่ พญากเุ วระเปน็ ใหญแ่ กย่ กั ษไ์ ดพ้ นั ตน และ ด้านใต้เป็นทอี่ ยูแ่ หง่ พญากุมภณั ฑ์ เป็นใหญแ่ กก่ มุ ภณั ฑ์ ได้พนั ตนแล๑๗ นอกจากน้ยี ัง มปี า่ หมิ พานตอ์ นั เปน็ ที่อยแู่ ห่งบริวารแห่งพญาทง้ั สีต่ น และเหล่าสรรพสัตว์ท้ังหลาย ๑๖ พญาธตรฐั ๑๗ พญาวริ ฬุ หก

ธวชั ชัย ท�ำ ทอง 29 ภาพพิธีข้นึ ทา้ วทัง้ สี่ เปน็ การบชู าท้าว จตุโลกบาลอนั อยู่ปลายเขายุ คนั ธร โดยมวี มิ านของ พระอินทร์อย่บู นยอด เขาพระสเุ มรุ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ถัดออกจากเขาสตั ตบรภิ ณั ฑแ์ ละปา่ หิมพานต์ เป็นท่ีตงั้ ของทวปี ทง้ั ๔ คือ อมรโคยานทวปี หนวันตก อตุ รโขรทุ วีปหนเหนอื ๑๘ บูรพวิเทหะทวีปหนวนั ออก และ ชมุ พูทวปี หนใต๑้ ๙ โดยแตล่ ะทวปี มสี ณั ฐานท่ีต่างกัน ตั้งอย่เู ปน็ เกาะกลางนำ�้ โดยมี สที ันดรสมทุ รค่ันอยู่ โอบล้อมเขาพระสเุ มรุไว้ ตำ� นานมลู โลกไดก้ ล่าวว่า ท้ัง ๔ ทวปี นี้ ออ้ มจอดบม่ ขี นุ บ่มีสบ๒๐ กว้าง ๒ หม่นื โยชน์ ลกึ หมน่ื โยชน์ แมส่ มทุ รนบ้ี ม่ ีน�ำ้ มีแต่ ทรายไหลออ้ มทวีปทง้ั ๔ เหมอื นมดดำ� มดแดงไตข่ อบด้ง ขอ้ ความดังกลา่ ว ชใ้ี ห้เหน็ ถึงความสัมพันธ์กับรูปแบบการใช้ลานทรายในเขตพุทธาวาสของวัดในล้านนาท่ี อุปมาเปน็ ดง่ั สีทันดรสมทุ รตามผังจักรวาลคติ นอกจากนใี้ นตำ� นานมูลโลกส�ำนวน ครูบาอภิชัยขาวปีได้กล่าวถึงขอบจักรวาลว่ามีความกว้างไกลไม่มีที่ส้ินสุดโดยเปรียบ เทยี บไว้วา่ “ถา้ เราจกั เดินไปหอ้ื สดุ ขอบจักรวาลนน้ั หือ้ ผอ่ อากาศน้นั เต๊อะ อากาศสุด ไหนขอบจกั รวาลสดุ หั้น อากาศบส่ ดุ ขอบจักรวาลก็บส่ ุด ถงึ จะตายไป แสนเชน่ ลา้ น เชน่ ก็บ่หนั ทีส่ ดุ ขอบจักรวาล” ๑๘ บางสำ� นวนเขยี นวา่ อตุ รขทู ปิ หรอื อตุ รกรุ ทุ วปี ๑๙ ชมพทู วปี ในวรรณกรรมลา้ นนาสว่ นใหญม่ กั ปรากฏเขยี นวา่ ชมุ พู (จมุ -ป)ู ๒๐ ไมม่ ตี น้ นำ�้ และปากนำ้�

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง30 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา สว่ นดา้ นบนคอื ทอ้ งฟา้ นน้ั พระอาทติ ยพ์ ระจนั ทรร์ วมถงึ ดาวพระเคราะหต์ า่ งๆ จะหมุนโคจรรอบเขาพระสุเมรุอยู่ตลอดเวลา ดังกล่าวไว้ในไตรภูมิฉบับพระร่วงว่า จากก�ำแพงจกั รวาลถึงเขายุคนธร หวา่ งกลางเปน็ หนทางพระอาทิตยแ์ ละพระจันทร์ แลพระนวเคราะห์ ดวงดาวทงั้ หลายแต่งเทยี วไปมาในหนทางวถิ ีให้เรารูจ้ กั ปแี ล เดือนวันคืน ซึง่ มคี วามคลา้ ยกนั กบั ลา้ นนาทีก่ ลา่ วว่า พระอาทติ ย์เทยี วเดนิ แวดไป เพียงปลายเขาสเิ นโร พระจนั ทรเ์ ทียวทางลุม่ พระอาทิตยเ์ ทยี วตางบน ตำ� นานปฐม มูลมลู ีได้พรรณนาว่า ปู่สังกะไสย่าสังกะสีไดแ้ ตง่ ห้ือเปน็ คามราศผี ดั ไปเปน็ ด่ังลกู กลม นัน้ แลว้ เอาก๋วมเขาสิเนโร หือ้ ตำ�่ สูงเสยี กนั เปน็ ด่ังแถวดอกไมเ้ กี้ยวหวั ห้นั แล ปลาย เขายคุ นั ธรน้นั อยชู่ ัน้ ฟา้ จตมุ หาราชิกา ปลายเขาสิเนโร ตงั้ ตาวตงิ สาแล ข้อความดงั กล่าวสือ่ ใหเ้ หน็ ว่า ดวงดาวตา่ งๆหมนุ โคจรรอบเขาพระสุเมรุ ในผงั จักรวาลยงั ปรากฏทวปี ต่างๆ ๘ ทวปี โดยใหค้ วามส�ำคัญกบั ๔ ทวีป ตามทศิ หลัก ๔ ทศิ คือ ทิศเหนอื ทศิ ตะวันออก ทศิ ใต้ และทศิ ตะวนั ตก อันเป็น ตำ� แหนง่ ของทวีปทั้ง ๔ คือ อุตรกุรทุ วปี บูรพวิเทหะทวีป ชมพูทวีป และอมรโคยาน ทวปี ดังได้กลา่ วไว้ในไตรภูมพิ ระรว่ งว่า คนท้ังหลายอันชือ่ วา่ มนษุ ย์นม้ี ี ๔ จำ� พวก จ�ำพวกหนึ่งเกิดและอยู่ในชมพูทวีป คนจ�ำพวกหนึ่งเกิดอยู่ในแผ่นดินบูรพะวิเทหะ เบอื้ งตะวนั ออกเรา คนจำ� พวกหนงึ่ เกดิ แลอยใู่ นแผน่ ดนิ อตุ รกรุ ทุ วปี อยฝู่ า่ ยเหนอื เรานี้ คนจำ� พวกหน่งึ เกิดและอยูใ่ นแผน่ ดินอมรโคยานทวีปเบือ้ งตะวันตกน ี้ คนอนั อยแู่ ผน่ ดนิ ชมพทู วีปอนั เราอยู่นีห้ นา้ เขาดั่งดมุ เกวียน ฝูงคนอันอยใู่ นบูรพวิเทหะหน้าเขาดงั่ เดอื นเพ็ญแลกลมดงั หนา้ แวน่ ฝูงคนอันอยู่ในอุตรกรุ ุนั้น แลหนา้ เขาเปน็ ส่มี ุมดังท่าน แกลง้ ถากไวใ้ หเ้ ปน็ สเี่ หลยี่ มกวา้ งและรนี น้ั เทา่ กนั ฝงู คนอนั เกดิ อยใู่ นแผน่ ดนิ อมรโคยาน ทวปี นนั้ หนา้ เขาดงั่ เดอื นแรมแปดค่�ำน้ันแล ข้อความดังกล่าว ท่านอาจารย์ประยูร อลุ ุชาฏะ หรือ อาจารยพ์ ลูหลวง ศลิ ปินแห่งชาตสิ าขาทศั นศลิ ป์ (จิตรกรรม) ผู้เป็นปราชญ์ทางด้านดาราศาสตร์และ โหราศาสตร์ไทยได้วิเคราะหไ์ ว้วา่ ทวีปดงั กลา่ วนัน้ แทท้ จ่ี รงิ มใิ ช่ทวีปหรือแผ่นดนิ ท่ี อยบู่ นโลก แตผ่ ปู้ ระพนั ธ์คัมภรี ส์ ่ือความหมายทวปี เหล่านี้เป็นทิศทงั้ สบ่ี นผังจักรราศี มากกว่าทจ่ี ะตคี วามเปน็ อน่ื

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ท�ำ ทอง 31 ภาพลักษณะบคุ คลทเ่ี กิดอยูใ่ นทวีปท้งั ส่ี ท่มี า:สมดุ ภาพไตรภูมิ ฉบับอักษรธรรมล้านนาและอักษรขอม.กรมศลิ ปากร ภาพผงั จกั รราศีกบั ทวีปท้งั ส่ี

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง32 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ยังมีข้อความอีกมากที่ส่ือถึงการเช่ือมโยงในเรื่องความเป็นอันหน่ึงอัน เดยี วกันระหว่างเขาพระสเุ มรุกบั โลก ประเด็นส�ำคญั อกี ประการหน่ึงไดก้ ล่าวถงึ ทวีป ต่างๆ ว่า ชมพูทวปี และอุตรกุรทุ วีปมีชว่ งเวลากลางคนื และกลางวนั เสมอกัน และถ้า พระอาทติ ย์โคจรไปหนทางโคณวิถี หรอื ชว่ งฤดหู นาวเวลาในบรู พะวิเทหะทวีปจะ พลนั ค่�ำนานรุ่ง ถา้ พระอาทติ ย์โคจรข้ามพน้ โคณวถิ ีวันใดกถ็ อื ว่าพ้นฤดูหนาว ยา่ งเข้า ฤดรู อ้ น ในอชวถิ ี เมอ่ื พระอาทติ ย์ เขา้ สอู่ ตุ รกรุ ทุ วปี ขน้ึ เทยี มมณฑลทา่ มกลางคอื ราศเี มษ โดยมชี ว่ งรอยตอ่ สำ� คญั คอื ฤกษต์ วั ท่ี ๒๗ หรอื ฤกษต์ วั สดุ ทา้ ยในราศมี นี ชอื่ เรวตฤี กษ์ กบั ฤกษต์ วั ท่ี ๑ ในราศเี มษคอื อศั วนิ ฤี กษ์ ถอื เปน็ วนั ทกี่ ลางวนั และกลางคนื ยาวเทา่ กนั และถือเปน็ วนั ปีใหมเ่ นอื่ งจากพระอาทิตย์ได้โคจรในจักรราศีจนครบ ๑๒ ราศีซึง่ ใช้ เวลา ๑๒ เดอื นคอื ๑ ปีพอดี การสังเกตการโคจรของพระอาทติ ย์ตามคัมภีร์อรุณวดสี ูตรไดก้ ล่าววา่ เม่ือ เดือนท้ังหลาย ๖ อนั เร่มิ ตัง้ แตเ่ ดือน ๙ เปน็ ต้นไปพระอาทิตย์ออกหนีไกลเขาสเิ นโร ล�ำดบั ไปใกล้ขอบจกั รวาล เมอื่ เดือน ๓ ถงึ ขอบจกั รวาล เป็นเดอื นทง้ั ๖ นัน้ แล นบั เดือน ๓ เปน็ ต้นพระอาทิตย์กห็ นีเสียจากขอบจกั รวาลพ้อยละขอบจกั รวาลไวป้ าย หลังสนั น้แี ล กเ็ ทียวลำ� ดบั เข้ามาใกลเ้ ขาสิเนโร ส่วนพระอาทิตย์น้แี ถม ๖ เดือนตน้ จากเขาสิเนโรกไ็ ปสทู่ ใ่ี กล้ขอบจักรวาลว่า ๖ เดือนนน้ั แล ในเดือน ๙ พระอาทติ ย์ก็ เดินในทีใ่ กล้เขาสิเนโรท่ามกลางทวีปแทแ้ ล้ว พอ้ ยลำ� ดบั ออกไกลเขาสิเนโร เถงิ เดือน สบิ สองเดอื นเจยี งหน้ั กจ็ กั หนั ดว้ ยทา่ มกลางทวปี แทบ้ ไ่ กลเขาสเิ นโรบไ่ กลขอบจกั รวาลนกั วนั แลคืนทง้ั หลายก็เสมอกนั ดนี กั บพ่ ลันคำ�่ นานร่งุ แล แดนแต่น้ันพอ้ ยสามเดือนหัน พระอาทติ ย์ ก็ไปเทยี วท่ีใกล้ขอบจกั รวาลภายหนา้ แต่น้ันกล็ ำ� ดบั เขา้ มาถงึ เดอื น ๖ ก็ ไปเสมอทัดท่ามกลางเขาสิเนโรบ่ไกลขอบจักรวาล ทนี่ ้ันวันแลคนื เท่ากันดีจากน้ันก็ ลำ� ดับเขา้ สสู่ เิ นโรเดอื น ๙ ก็มาเทยี วเข้าใกลเ้ ขาสิเนโร เม่อื วนั กน็ านนกั กวา่ เมื่อคนื แล ข้อความดังกล่าวได้อธิบายถึงการโคจรของพระอาทิตย์ที่อุปมาเขา พระสเุ มรุหรอื เขาสเิ นโรแทนโลก โดยได้กล่าวถงึ วิถีโคจรของพระอาทิตย์ที่มกี ารขยบั เข้าออกจากโลกส่งผลให้เกิดการเปลยี่ นแปลงตอ่ เวลาในแตช่ ่วงฤดกู าลคือ ชว่ งเวลา เดอื น ๑๒ หรอื ราวเดอื นกนั ยายนและเดือน ๖ หรอื ชว่ งเดือนมีนาคมเวลากลางวัน และกลางคืนยาวเทา่ กนั ช่วงเดือน ๙ หรือประมาณเดอื นมิถนุ ายนพระอาทิตย์เข้า

ธวชั ชยั ทำ�ทอง 33 ใกล้เขาสิเนโรคือช่วงที่พระอาทิตย์เข้าใกล้โลกมากท่ีสุดส่งผลให้อากาศร้อนและช่วง เวลากลางวันจะยาวกวา่ กลางคืนส่วนเดอื น ๓ พระอาทติ ยข์ ยบั ตวั ออกห่างจากเขาสิ เนโร หรือช่วงเดือนธนั วาคมส่งผลให้กลางคืนยาวนานกวา่ กลางวันนนั่ เอง คมั ภรี ์ดังกล่าวไดก้ ล่าวถงึ อิทธิพลแหง่ แสงพระอาทิตยไ์ วว้ า่ พระอาทติ ยย์ ัง กระทำ� โลกให้ส่องแจง้ ดว้ ยรศั มีวนั ละ ๓ ทวปี แล พระอาทติ ยก์ ระทำ� แวดจักรวาลดว้ ย ประการดงั่ นี้ พระอาทติ ยห์ ากขน้ึ มาในชมพทู วปี เมอื่ ใด เปน็ กลางวนั เทยี่ งในบรู พวเิ ทหะ หนวันออก เป็นกลางวันตกในอุตรกุรุทวีปหนเหนือ อมระโคยานทวีปเป็นเท่ียงคืน หากขนึ้ มาในบรู พวเิ ทหะทวปี กำ้� วนั ออก เปน็ เทย่ี งวนั ในอตุ รกรุ ทุ วปี หนเหนอื เปน็ วนั ตก ในอมรโคยานทวปี เป็นเท่ียงคนื ในชมพทู วีป หากพระอาทิตยข์ น้ึ อุตรกุรทุ วีป เปน็ เทยี่ งวันในอมรโคยาน แลเปน็ ตะวนั ตกในชมพูทวีป บรู พวเิ ทหะเปน็ เทยี่ งคนื แล พระอาทติ ยข์ นึ้ ทอี่ มรโคยานทวปี เปน็ เทยี่ งวนั ในชมพทู วปี เปน็ กลางวนั ตกในบรู พวเิ ทหะ และเปน็ เที่ยงคืนในอตุ รกรุ ทุ วปี หากวา่ พระอาทติ ย์ตกลงไปวันออกคอื บูรพวิเทหะ ทวปี ก็จะปรากฏก่งึ หนง่ึ ในอมรโคยานทวีป หากวา่ ตกในชมพทู วปี ก็ปรากฏก่ึงหน่ึง ในอุตตระกุรทุ วปี หากวา่ ลับไปในอมรโคยาน ก็ปรากฏกง่ึ หนง่ึ ในบูรพวเิ ทหะทวีป กล�้ำวันออก พระจันทรแ์ ละพระอาทิตยก์ ็เทยี วแวดเป็นวงเขา้ สิเนโรกระท�ำรศั มีส่อง แจ้งทว่ั ไปกม็ สี ันนี้แล ภาพวงโคจรของพระอาทติ ยท์ ว่ี นรอบโลก หรอื เขาพระสุเมรุเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ แสงสวา่ งหรอื ความมดื ในทวีปตา่ งๆ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง34 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา นอกจากนี้ยังมีต�ำราที่กล่าวถึงการสังเกตการโคจรของพระอาทิตย์ด้วยการ ดูเงาของตนเองโดยระบวุ า่ เม่อื ผา่ นพ้นช่วงสงกรานต์มาถงึ ราวเดือน ๙ หรอื ราว เดือนมถิ ุนายนถงึ กรกฎาคม พระอาทิตย์เดินบนยอดเขายคุ นั ธร ครนั้ เมื่อตะวนั ยาม เท่ยี งเราเหยียบเงาหวั เราแล ขอ้ ความดังกล่าวชใี้ ห้เหน็ ว่าในช่วงเดือนนพ้ี ระอาทิตย์ ไดก้ ระท�ำมมุ ฉากกบั พ้นื โลกยามเทีย่ งวัน จากต�ำราดูเงาของลา้ นนาไดก้ ลา่ วว่า เมอ่ื ๑ อยกู่ รกฏ เที่ยงวันเงาบ่มีแล เม่ือ ๑ อยู่สิงห์ เท่ยี งวันมีเงาฝ่าตนี น่งึ เมอ่ื ๑ อยู่พิจิก เท่ียงวนั มเี งา ๔ ฝ่าตีน เมือ่ ๑ อยธู่ นู เที่ยงวันมีเงา ๕ ฝา่ ตนี เมือ่ ๑ อยู่มกร เท่ยี งวัน มเี งา ๖ ฝ่าตนี เมอื่ ๑อยมู่ นี เทย่ี งวนั มเี งา ๔ ฝ่าตีน เมอ่ื ๑ อย่เู มษ เทย่ี งวันมเี งา ๓ ฝา่ ตีน เมื่อ ๑อยู่พฤกษ์ เที่ยงวันมีเงา ๒ ฝา่ ตนี เมอื่ ๑ อยู่เมถุน เทย่ี งวนั มีเงา ๑ ฝ่า ตนี ตำ� ราดเู งาดังกล่าวสามารถอธบิ ายไดว้ ่า เลข ๑ หมายถึงพระอาทิตย์ เมอ่ื ๑ สถิต หรอื อย่ใู นราศใี ดกจ็ ะถือเป็นช่อื เดือนน้นั ๆ เช่น ๑ อยู่ราศีเมษ แสดงว่าเป็นชว่ งเดือน เมษายน การสงั เกตการณ์พระอาทิตยด์ ว้ ยการนบั เงาแบบชาวล้านนา บง่ บอกถงึ วง โคจรพระอาทิตย์ท่ีจะมีการขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก โดยใน แต่ละเดือนพระอาทิตย์จะข้ึนทางทิศตะวันออกและขยับองศาไปตามแกนเหนือใต้ เล็กน้อยท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเร่ืองของเงาจนเป็นที่สังเกตของคนล้านนา โบราณและไดม้ กี ารบนั ทึกเปน็ ตำ� ราไว้ ภาพวงโคจรการขนึ้ ลงของพระอาทิตย์ท่ีมี การเคล่ือนทตี่ ามทศิ เหนือ ใต้ จึงทำ� ใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงของเงาในยามเท่ยี งวันตามตำ� ราข้างต้น

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชัย ท�ำ ทอง 35 อีกต�ำนานหนึ่งที่มีความส�ำคัญและเก่ียวเน่ืองกับการมองโลกเป็นเขา พระสุเมรุน่ันคอื ต�ำนานวนั สงกรานต์ ที่เลา่ ขานสบื ตอ่ กนั มาถึงเร่อื งนายธรรมบาล และท้าวกบิลพรหม ซึง่ กล่าวไว้ว่า พระอินทรไ์ ด้สง่ ธรรมบาลเทวบุตร จุติลงมาเกดิ เปน็ บตุ รเศรษฐี มีช่อื วา่ ธรรมบาลกมุ าร เป็นผู้มสี ตปิ ัญญาความสามารถฉลาดรอบรู้ ศลิ ปศาสตร์ ทง้ั ยังสามารถเรยี นรู้ภาษาสตั ว์ตา่ งๆ เป็นทีย่ กยอ่ งแก่คนทงั้ หลายใน ชมพทู วปี จากคำ� รำ�่ ลอื ดงั กลา่ วทำ� ใหท้ า้ วกบลิ พรหมใครท่ ดสอบความสามารถของธรรมบาล กุมาร จึงเสดจ็ มายังโลกมนษุ ย์เพ่ือพบกับธรรมบาลกมุ าร เพอ่ื ทดสอบถามปัญหาคอื ตอนเชา้ ราศอี ยทู่ ใ่ี ด กลางวนั ราศอี ยทู่ ใี่ ด ตอนเยน็ ราศอี ยทู่ ใี่ ด โดยตกลงกนั วา่ ถา้ หาก ธรรมบาลกุมารไม่สามารถตอบค�ำถามได้ภายใน ๗ วนั จะต้องตัดศีรษะบชู าท้าวกบิล พรหม แต่ถา้ สามารถตอบได้ ทา้ วกบลิ พรหม จะตดั เศยี รบชู าธรรมบาลกมุ ารเชน่ กนั เมอื่ เวลาผา่ นไปได้ ๖ วนั ธรรมบาลกุมารกย็ งั ไม่สามารถคดิ คำ� ตอบได้ จงึ หนีเขา้ ป่าไป แตร่ ะหวา่ งทน่ี ง่ั พักอยใู่ ตต้ น้ ไม้ใหญ่ กไ็ ดย้ นิ พวกนกแรง้ คยุ กันว่าพรงุ่ นไ้ี มต่ อ้ งออกหา อาหารแลว้ เนอ่ื งจากจะรอกนิ รา่ งกายของธรรมบาลกมุ ารทไี่ มส่ ามารถตอบคำ� ถามของ ท้าวกบิลพรหมได้ นกแรง้ ท้งั สองยังได้พดู คุยถึงเรอื่ งค�ำถามแห่งทา้ วกบลิ พรหมและ พดู ถงึ ค�ำตอบว่า ตอนเชา้ ราศอี ยทู่ ีห่ น้า มนษุ ย์จึงตอ้ งเอานำ�้ ล้างหนา้ กลางวนั ราศอี ยู่ ที่อก มนษุ ยจ์ ึงเอาน้�ำลบู พรมทีห่ นา้ อก ตอนเย็นราศีอยูท่ ่ีเทา้ มนษุ ยจ์ ึงเอาน้�ำล้างเท้า เม่อื ธรรมบาลกมุ ารได้ยนิ ดงั จึงได้ค�ำตอบ ซง่ึ ท�ำใหท้ ้าวกบลิ พรหมจ�ำตอ้ งตดั เศยี ร ตามคำ� สญั ญา แต่ดว้ ยวา่ เศียรของทา้ วกบลิ พรหมน้นั หากตกต้องพื้นดิน พื้นดินก็จะ ลกุ เป็นไฟ หากตกลงในมหาสมุทร นำ้� ก็จะเหือดแหง้ หมด หากโยนขนึ้ ไปในอากาศ ฝนกจ็ ะไม่ตกตอ้ งตามฤดกู าล ทา้ วกบลิ พรหมจงึ เรยี กธดิ าทง้ั ๗ มา โดยใหน้ ำ� พานมา รองรบั เศยี รของตนแล้วน�ำไปแหป่ ระทักษิณรอบเขาพระสุเมรเุ ปน็ เวลา ๖๐ นาท๒ี ๑ ๒๑ ๖๐ นาทใี นทน่ี ไี้ มไ่ ดห้ มายถงึ เวลา ๑ ชวั่ โมงแบบทใ่ี ชก้ นั ในปจั จบุ นั แต่ ๖๐ นาทตี ามตำ� นานดงั กลา่ วหมาย ถงึ เวลา ๑ วนั ซงึ่ เปน็ หนว่ ยนบั เวลาแบบโบราณ โดยสามารถจำ� แนกหนว่ ยยอ่ ยของเวลาใน ๑ วนั ตามแบบ โบราณไดด้ งั น ้ี ๑๐ อกั ขระเทา่ กบั ๑ ปราณ ๘ ปราณเทา่ กบั ๑ พชิ นา ๕ พชิ นาเทา่ กบั ๑ บาท ๔ บาทเปน็ ๑ นาที และ ๖๐ นาทเี ทา่ กบั หนงึ่ วนั โดยแบง่ เปน็ ภาคกลางวนั ๓๐ นาที และภาคกลางคนื ๓๐ นาที แตโ่ ดย สว่ นใหญแ่ ลว้ กอ่ นทจี่ ะมนี าฬกิ าแบบสมยั ปจั จบุ นั คนสมยั โบราณมกั จะนยิ มนบั เวลาตามยามมากกวา่ กลา่ ว คอื ใน ๑ วนั แบง่ ออกเปน็ ๑๖ ยาม แบง่ เปน็ ภาคกลางวนั ๘ ยามและภาคกลางคนื อกี ๘ ยาม หากเทยี บกบั เวลาแบบปจั จบุ นั ๑ ยามเทา่ กบั เวลา ๑.๓๐ ชวั่ โมง เรมิ่ ยามแรกทเ่ี วลา ๖ โมงเชา้ ถงึ ๗.๓๐นาฬกิ านบั ไป เรอื่ ยๆจนกระทง่ั เชา้ อกี วนั จนครบ ๑๖ ยาม

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง36 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ภาพวิมานราชรถของพระอาทติ ยพ์ ระจันทร์ วัดหัวเวยี ง อ.เมือง จ.แม่ฮอ่ งสอน ทม่ี า : อ.ฐาปกรณ์ เครอื ระยา แล้วน�ำเข้าไปเก็บในมณฑปถ�้ำคันธธลุ ที ่เี ขาพระสุเมรุ พอครบก�ำหนด ๑ ปพี ระอาทติ ย์ เคล่อื นเข้าสูร่ าศเี มษ กใ็ หธ้ ิดาทัง้ ๗ ผลดั กนั นำ� เศียร มาแห่เวียนรอบเขาพระสุเมรุ แลว้ จึงนำ� ไปเก็บไวต้ ามเดิมเปน็ ประจ�ำทกุ ปี นิทานธรรมบาลนไ้ี ด้อธิบายถงึ ระบบ การโคจรของพระอาทิตย์ท่ีวนรอบเขาพระสุเมรุ ๑ รอบเป็นเวลา ๑ ปีพอดีและ การน�ำเอาเศียรของท้าวกบิลพรหมออกมาแห่เวียนรอบเขาพระสุเมรุนั้นถือเป็นวัน ส�ำคญั ในรอบปีคือวนั มหาสงกรานต์หรอื วันพญาวนั จากทไี่ ดก้ ลา่ วมานนั้ แสดงถงึ แนวคดิ ของคนโบราณทมี่ องโลกเปน็ ศนู ยก์ ลาง จักรวาล จากการมองดวงดาวบนท้องฟ้ารวมถึงพระอาทิตย์และพระจันทร์ท่ีหมุน โคจรรอบโลก ท้ังนคี้ นสมยั โบราณได้ยดึ ถือตามสง่ิ ทมี่ องเหน็ ไดจ้ ากพื้นโลกเปน็ เกณฑ์ มองออกไปบนทอ้ งฟา้ จงึ เชือ่ วา่ มสี วรรค์วมิ านบนทอ้ งฟ้าอยจู่ รงิ ตามความเชอื่ เร่อื ง ภพภมู ิในหลกั ศาสนา จงึ ไดอ้ ปุ มาจ�ำลองจักรวาลคติหรอื เขาพระสเุ มรขุ ึน้ มาจากภมู ิ สถานของโลกทเ่ี ป็นจรงิ น่นั เอง ลักษณะของดวงดาวตามวรรณกรรมน้นั มักจะนิยามวา่ ดวงดาวต่างๆ คือ วิมานที่สถิตของเหล่าเทวดาท้ังหลายและเทวดาเหล่านั้นเป็นผู้ขับเคล่ือนดวงดาว เหล่านั้นให้หมุนไปตามเส้นวิถีโคจร รอบเขาพระสุเมรุ จึงพบว่ามีการบันทึกรูป ดวงดาวทเ่ี ขียนใหม้ ลี ักษณะเปน็ ดง่ั วิมานหรอื วมิ านท่ตี ง้ั อยบู่ นราชรถของเหล่าเทวดา นอกจากนีย้ ังพบในวรรณกรรมมหาชาตเิ วสสันดรชาดกแบบลา้ นนา ไดก้ ลา่ วถึงดาว

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ท�ำ ทอง 37 พระเคราะหแ์ ละดาวฤกษ์โดยการอปุ มาเป็นราชรถของพญาสัญชยั โดยมเี นื้อความที่ สอดคล้องเป็นร้อยกรองไวว้ ่า รถทง้ั หลายมีมากลางเล่มชอนด้วยอุสภุ รราชตวั ใหญ่ลางเล่มก็มาใส่กวางคำ� ลางลำ� กอ่ มาใส่แพะผูล้ ากซุยซาย รถทงั หลายสัพพะเรศ ควรสงั เกตไว้หอ้ื เปน็ ตรา เล่มหนงึ่ ชอื่ สรุ ยิ าทณั ฑราช เลม่ หนึง่ ช่อื ว่าจนั ทมาสมณฑล เลม่ หนึ่งชื่อวา่ อังคารพล วเิ ศษ เลม่ หน่งึ ชือ่ ว่าพุธเพศเพลาศรี เลม่ หนึ่งช่อื วา่ ผสั สวดีครูโลก เล่มหนึ่งชอื่ ว่าสกุ ร โชคเพลาพิมาน เลม่ หน่ึงชือ่ ว่าเสารสี ถานสงโสด เลม่ หน่งึ ช่ือว่าราหโู คตรผิวเขยี ว เลม่ หน่ึงชือ่ วา่ เปลียวปล่องฟา้ เลม่ หนึ่งช่ือวา่ อัสสวดี ม้าหางหอ่ น เล่มหนงึ่ ชือ่ ว่าผรณี วอนใจโลก เล่มหนงึ่ ชอ่ื วา่ กิตตโิ ชศชมุ ศรี เลม่ หนึง่ ช่อื วา่ โรหิณีแดงเพรศิ เลม่ หนง่ึ ช่ือ ว่ามคิ สิระเลศิ ฤาชัย เลม่ หนง่ึ ชอื่ วา่ อัทธราพิชัยประสาท เลม่ หนงึ่ ช่ือวา่ ปณุ ณพะสรุ าช พิมาน เลม่ หนงึ่ ชื่อวา่ ปุสสบัวยานอ้มุ ตุ้มราชรถหมุ้ กรกฎั เล่มหน่งึ ชอ่ื ว่าหสั เลศมาฆพิ เสสลายลุม บพุ พภรคณุ คามยศยิง่ อตุ รพระทรงคุณส่งิ ใสศรี เล่มหนึ่งชื่อวา่ หสั สวดี ชมชืน่ จิตระหื้อหอสาร สารทมานในดวู ิลาส วสิ าขาสุชชนาตาวิฆาต เล่มหนง่ึ ชื่อว่า อนรุ าธราชา เขฏฐวดี แถวถัว่ ธรณีสัพพคัพคงั ถวายเถงิ สตั ตพิศเพิงควรคาด บพุ พา อาจเพงิ พออุตรพระทรงทอยศย่ิง เลม่ หน่ึงชอ่ื ว่าเรวตีขงิ่ ไขศรี เลม่ หน่งึ ชอื่ วา่ มาตลีไข โลกหล้า ข้นึ ขี่ฟา้ เสวยผล เล่มหนึง่ ชอ่ื วา่ วไิ ชยนตย์ ศทราบ พระยาอนิ ทรขป่ี ราบ ไอศวร รถทัง้ มวลยกเยิ่ง เยียะบิดเบิ่งผ้ายชชู ยั ในจักรวาลคติส�ำนวนล้านนานอกจากจะกล่าวถึงกลุ่มดวงดาวต่างๆซึ่ง อุปมาว่าเป็นปราสาทวิมานที่อยู่บนท้องฟ้าแล้วยังปรากฏชื่อเหล่าผู้ท่ีอาศัยอยู่ในภพ ภมู ติ ่างๆ ในจกั รวาลไวโ้ ดยละเอียดโดยจำ� แนกออกเปน็ กลุ่มตา่ งๆคือ ๑. กลุ่มที่อาศยั อยบู่ นสวรรค์ชัน้ ฟ้าคือ เทวดาและพรหมต่างๆ คือ พญาประชาบด ี พญาวรณุ พญาอสี าน พญาธตรฐั พญาวริ ฬุ หะ พญาวริ ปู กั ขะ พญาเวสวุ ณั จนั ท เทวบตุ ร สรุ ยิ ะเทวบตุ ร มาตะรเิ ทวบตุ ร วสิ กุ มั มเ์ ทวบตุ ร ปญั จะสกิ ขะเทวบตุ รตน จำ� กองบญุ กองกศุ ล พญาอนิ ทรต์ นเปน็ ใหญใ่ นสวรรคต์ นชอ่ื วา่ มฆะวา อนิ ตาธริ าช เทวดาตนอยชู่ นั้ ฟา้ ยามา เทวดาตนอยชู่ นั้ ฟา้ ตสุ ติ า เทวดาตนอยชู่ นั้ ฟา้ นมิ มานรดี เทวดาตนอยชู่ นั้ ฟา้ ปรนิ มิ มตั ตะวสั สะวดี พญาพรหมทงั้ หลายอนั อยใู่ นพรหมโลก ๑๖ ชน้ั พญาตนชื่อสานังกุมาระ สหัมปติมหาพรหม ฆตกิ ามหาพรหม เมฆระ เทวบตุ ร พรหมเทวดา รกุ ขเทวดา บัพพตั ตะเทวดา อากาสะเทวดา นทเี ทวดา

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง38 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา รฐปาลเทวดา เทวดา ๗ พนั ตนอนั รักษาแผ่นดนิ เทวราช ๖ พนั ตนอนั อยูร่ กั ษา ปา่ ไม้หิมพานต์ พราหกเทวบตุ รตนรกั ษาฝน ปจณุ ณะเทวบุตรตนรักษาแดด ปัชชุณณะเทวบตุ รตนรักษาลม จฬุ รฐเทวบุตร มหารฐเทวบุตร อเนกสวุ รรณ เทวบุตร นางสุรสะดตี นรกั ษาธรรม แปดหมนื่ สี่พนั ขนั ธ์ นางวสนุ ทราธรณตี น จ�ำน้�ำหยาดหมายตาน พญาเคราะห์ทั้ง ๙ เทวดาตนรักษานักขตั ตฤกษ์ ๒๗ ตวั สพุ รหม เมฆนั ตรเทวบุตร กุมภริ ะเทวบตุ ร ๒. กลมุ่ ทอ่ี ยเู่ บอื้ งลา่ งตำ�่ ลงมาจากชนั้ เทวโลกคอื สตั วท์ ง้ั หลายคอื มนษุ ย์ เดรจั ฉานและ สัตว์นรกทง้ั หลาย สตั ว์ทอ่ี ยู่บนบกมี ๙ โกฏิ สัตวท์ ้งั หลายท่อี ยใู่ นนำ้� มี ๑๐ โกฏิ กมุ ภณั ฑ์ อสรุ ะท้งั หลาย พญาตนชือ่ ปรมถะ พญาตนช่ือสมนุปรา พญายมราช ตนชอื่ ยมะโลกะ พญายมราชตนชอ่ื ยะมะมงั พญายมตนชอื่ ยะมะกะ พญายมตน ช่ือติโส สริ ิคุตตะอามาตแห่งพญายมตนจำ� บาปแห่งคนทัง้ หลาย พศิ นเู ทวบุตร อนั เปน็ ชา่ งเคา้ แหง่ พญาอนิ ทร์ พญาพสิ สนู เอลาปตั ถะนาค อขสิ งั ขะนาค จฬุ วารานาค มหาสงั ขะธระรฐะนาค มนุ กิ าละนาค จกงั เคนาโธนาค วธระสานาค ปนนั ทะนาค สมุ โนนโรนาค มหากาละนาค ปลาหลวงอนนั ทะ ปลาหลวงตปิ งิ คระ ปลาหลวงตวั ชือ่ มหาตปิ งิ คระ ปลาหลวงตวั ชอื่ ติมนิ ทะ พญาครุฑเวนะไตยยะ พญาครฑุ ตน ช่อื จติ ราสบุ ันณา พญาไอศวรตนชื่อเวปจติ ติ พญาโสมะ พญาปรไมยศวรตนอยู่ ดอยมณั ทะครี ี พญากัณหสั สะและพญารฐปาละเจา้ เมอื งตา่ งๆ ๓. กลมุ่ พระอรหนั ตแ์ ละพระโพธสิ ตั ว์ คอื โพธสิ ตั ว์ ๕๐๐ ตนอนั จกั มาภายหนา้ เวเมตตรยั ยะ โพธิสัตว์ อตุ โรโพธสิ ัตวเ์ จ้า ราโมโพธสิ ตั วเ์ จ้า ปเสโนโพธิสตั วเ์ จ้า โกสะระภิกขุ โพธิสัตว์เจ้า ทีฆะโสโพธสิ ตั ว์เจ้า สงั กิจจโจโพธิสตั ว์เจ้า สุโภณโตโพธิสัตวเ์ จ้า ไทยะพราหมโณโพธสิ ตั วเ์ จา้ นาราคริ โี พธสิ ตั วเ์ จา้ ปรเิ รยยะโพธสิ ตั วเ์ จา้ โพธสิ ตั ว์ เจ้าแปดหมนื่ สพี่ นั ตนอันจกั มาภายหนา้ มหาอปุ คตุ เถระเจ้า อนเุ มรฐเถระเจา้ ธมั มะสาระเถระเจา้ เขมาวตั ตะเถระเจา้ อระหนั ตาเจา้ ทงั้ สตี่ นนย้ี งั บน่ พิ พานเตอ่ื แล เหลา่ ผทู้ อี่ าศยั อยใู่ นภมู จิ กั วาลทง้ั หลายน้ี สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ผมู้ ฤี ทธอิ์ ำ� นาจตา่ งกนั ไป ทง้ั ดแี ละรา้ ยมกั ปรากฏชือ่ ตามวรรณกรรมทางพุทธศาสนา แตล่ ะนามท่กี ลา่ วมานน้ั ล้วนมบี ทบาทต่อวิถีชวี ิต และพธิ กี รรมของคนล้านนา รวมถงึ งานศลิ ปกรรมทปี่ รากฏ ตามศาสนสถาน เพื่อรอ้ งขอคุณอำ� นาจในการปกป้องหรอื ความชว่ ยเหลือดว้ ยการ บชู าเซน่ สรวงด้วยวิธีการต่างๆ เปน็ โลกอีกมติ หิ นง่ึ ที่คนปกตไิ มส่ ามารถเขา้ ถึงไดน้ อก

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ทำ�ทอง 39 จากการปฎบิ ตั ติ ามหลักพทุ ธศาสนาและชีวิตหลังความตาย แตผ่ คู้ นโดยท่ัวมกั จะถูก สอนใหเ้ ชอ่ื วา่ มติ หิ รอื ภพภมู ดิ งั กลา่ วคอื เรอื่ งทมี่ อี ยจู่ รงิ เมอื่ เกดิ ความเชอ่ื ยอ่ มสามารถ กำ� หนดผคู้ นใหอ้ ยใู่ นกรอบของจารตี ประเพณไี ดโ้ ดยงา่ ย สงั คมบา้ นเมอื งจงึ อยไู่ ดอ้ ยา่ งสงบสขุ ภาพจิตรกรรมจากพบั สา รูป วมิ านราชรถแหง่ พระอาทิตย์ และพระจนั ทรท์ ี่ โคจรรอบเขาพระสเุ มรุ ทีม่ า:สมุดภาพไตรภมู ิฉบับ อักษรธรรมลา้ นนา และอกั ษรขอม.กรมศิลปากร

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง40 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา กำ� เนิดฤดูกาล จากตำ� นานปฐมมลู มลู ที ไี่ ดก้ ลา่ วถงึ วา่ เมอ่ื มนษุ ยถ์ อื กำ� เนดิ ออกมาแลว้ ทงั้ สาม ต่างกเ็ จบ็ ปว่ ยไม่สบายเน่อื งจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ปู่สังกะไสและยา่ สังกะสีท้ังสอง จึงได้ปรับสภาพอากาศของโลกขึ้นใหม่ให้เป็นฤดูกาลโดยแบ่งออก เปน็ สามชว่ งในรอบปี คือฤดหู นาว ฤดรู ้อน และฤดูฝน แตค่ วามเปน็ จรงิ แล้วความ เปลยี่ นแปลงสภาพอากาศเป็นฤดูกาลตา่ งๆนน้ั เกิดจาก วิถโี คจรของพระอาทิตย์ทีว่ น รอบจกั รราศีและขยับตวั เคล่ือนทเี่ ขา้ ออกจากโลก เปน็ สง่ิ ส�ำคญั ทบ่ี ่งบอกถงึ ฤดูกาล ตา่ งๆ โดยแบง่ วงโคจรของพระอาทติ ยท์ วี่ นรอบโลกออกเปน็ สามสว่ นกลา่ วคอื ฤดกู าล ละ ๔ เดอื นหรือ ๔ ราศี ทั้งหมด ๓ ฤดรู วมเปน็ ๑ ปี โดยจะเรียกชว่ งเวลาดังกลา่ ว ตามวถิ โี คจรของพระอาทติ ยว์ า่ โคณวถิ ี อชวถิ ี และนาควถิ ี อนั หมายถงึ ฤดหู นาว ฤดรู อ้ น และฤดฝู น ตามล�ำดับ เริ่มจากโคณวิถี คอื ราศธี นู มงั กร กมุ ภ์ และมีน อชวถิ หี รอื ฤดรู อ้ น เริ่มจาก ราศเี มษ พฤษภ เมถุน และกรกฎ และนาควิถเี รม่ิ จากราศสี งิ ห์ กนั ย์ ตลุ ย์ และพิจกิ ดังปรากฏในตำ� นานอรณุ วดีสูตรได้กลา่ วถงึ เรือ่ งฤดูกาลไวว้ า่ วิถีแหง่ การหนทางเทียวของพญานักขตั ฤกษ์ท้งั สอง๒๒ มี ๓ วิถี อนั หนึง่ ชือ่ อชวถิ ี อนั หนงึ่ ชอ่ื นาควถิ ี อนั หนงึ่ ชอื่ โคณะวถิ ี สว่ นวา่ อชวถิ คี อื หนทางเทยี วของแพะ๒๓ นาควถิ คี อื หนทางเทยี วของนาค โคณะวถิ ี คอื หนทางเทยี วแหง่ ววั สว่ นวา่ แพะทงั้ หลาย บ่เพิงใจน�้ำเทยี รยอ่ มหยา้ นกลัวนำ้� นัก นาคทง้ั หลายยอ่ มเพิงใจน้�ำ น�้ำยอ่ มจำ� เริญใจ แก่นาค สว่ นวัวทั้งหลายนัน้ เปน็ อันเสมอด้วยนำ้� กบ็ ่ปอเพงิ ใจ แต่กบ็ ก่ ลัวนำ้� เทียร ยอ่ มสนกุ แก่วัวทัง้ หลายยอ้ นวา่ บ่ฝนนกั บแ่ ดดนัก เปน็ อันเพงิ ใจแกว่ ัว เหตดุ ั่งน้ีหากวา่ พระจันทร์พระอาทิตยท์ ้ังสองลงมาสู่อชวิถีหนทางแพะเทียว กาลนั้นฝนมาตรหยาด น้�ำก็บ่ตกลงมาแล พระจันทร์และพระอาทติ ยข์ นึ้ สู่นาควิถีเมือ่ ใด เมื่อน้นั ฝนก็ตกลง มามากนกั ประดจุ ดงั่ อากาศทั้งมวลเปน็ ชอ่ งเปน็ รู หากพระจันทร์แลพระอาทติ ย์ขึ้น มาสโู่ คณวิถีทางวัว ฝนกพ็ อประมาณอากาศก็เสมอบ่รอ้ นนักบเ่ ย็นนัก ๒๒ หมายถงึ พระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทร์ ๒๓ ไตรภมู ฉิ บบั พระรว่ งเรยี กวา่ อชั ชะวถิ ี หมายถงึ ทางเดนิ ของมา้

ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชัย ทำ�ทอง 41 ภาพแผนผงั การโคจรของพระอาทติ ยร์ อบจกั รราศอี นั เปน็ ตน้ ก�ำเนิดของฤดกู าล นอกจากน้ีต�ำรายังได้กล่าวถึงการโคจรของพระอาทิตย์ในแต่ละฤดูกาลโดย การสังเกตจากโลกไว้ว่าวัสสานะอุตุทักขิณายาณะ หมายถึงช่วงฤดูฝนพระอาทิตย์ ย้ายเมอื ใต้ เหมันตาอุตุชว่ งฤดดหู นาวพระอาทติ ย์ย้ายเมือใต้ วสันตะอุตหุ รอื ชว่ งฤดู ใบไมผ้ ลคิ อื ปลายฤดหู นาวอาทติ ยพ์ ระอาทติ ยย์ า้ ยเมอื เหนอื คมิ หาอตุ ฤุ ดรู อ้ นพระอาทติ ย์ ย้ายเมอื เหนอื พระอาทิตยจ์ กั เทียวทักขิณายานะหนใต้ ๖ เดอื น อุตตะรายะหน เหนือ ๖ เดือน จงึ เป็นปีน่ึงแล ประการนึง่ หากพระอาทติ ยเ์ ดนิ ทางลงมาในอชวิถีคือช่วงฤดรู ้อน เทวบุตร ตนชอ่ื วา่ วสั สาวราหก ตนใจรู้ด้วยฝนหรอื ผู้ให้กำ� เนิดฝน สะด้งุ ตกใจกลวั พระอาทิตย์ เทวบุตรตนนนั้ จักออกจากท่อี ย่คู อื วิมานแหง่ ตนบไ่ ด้ อันจกั มีใจจะขงขวาย จะออก มาเดินเลน่ ก็บไ่ ด้ เทวบุตรตนน้นั เท่าอยู่ในปราสาทวมิ านแห่งตนเหตดุ ง่ั น้ี วถิ ีอันสุริยะ วิมานลงมาเทียวแวดต่ำ� จึงชอ่ื วา่ อชวิถี ฝนจึงบ่ตกแล กเ็ ป็นอนั พึงใจแพะนักแล เมอื่ พระอาทติ ยเ์ ทยี วไปดว้ ยวถิ อี นั อนื่ วสั สาวราหกเทวบตุ ร กอ็ อกจากวมิ าน แห่งตน กม็ ีใจมักขงขวายเล่นตามเพิงใจ สุรยิ ะวมิ านก็เมือขนึ้ สงู กวา่ กองถนนแหง่