Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธันยาวาท_หิมาลประเทศ

ธันยาวาท_หิมาลประเทศ

Description: ธันยาวาท_หิมาลประเทศ

Search

Read the Text Version

บทท่ี 4 เดนิ เทา้ สอู่ นิ เดยี หลังลงจากสามล้อ ฉันก็ยืนตะลึงงันอยู่หน้าประตูผ่านด่านชายแดนของ เนปาลอยูค่ รูห่ นงึ่ เพราะภาพเบ้ืองหนา้ เมอื่ หยตี ามองผ่านม่านฝ่นุ ไปยังฝง่ั อนิ เดยี นั้น มีแต่ขบวนรถบรรทุก มอเตอร์ไซค์ สามล้อ ผู้คน และฝูงวัว เบียดเสียดกัน อย่างแออดั คราครำ่ กินเนื้อท่แี ทบจะทกุ ตารางนว้ิ นน่ั นะ่ หรอื ...คอื ประเทศอนิ เดยี ทฉ่ี นั กำลงั จะไป มนั ชา่ งสบั สน วนุ่ วาย จอแจ แออัด เขรอะขระ และนา่ พรั่นพรึงอะไรเช่นน้นั ‘จะรอดไหมเนย่ี เรา’ คอื ประโยค ทผ่ี ดุ ขน้ึ ในใจฉนั ทนั ที แตค่ นอยา่ งฉนั มหี รอื จะถอย...เดนิ ขา้ มภเู ขาสงู ทม่ี หี มิ ะปกคลมุ เปน็ เวลาเกอื บทง้ั เดอื นฉนั กท็ ำมาแลว้ นบั ประสาอะไรกบั ‘อนิ เดยี ’ วา่ แลว้ กส็ ะบดั บ็อบสองที จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆพรอ้ มนกึ ในใจวา่ ‘เอาวะ’ แล้วสาวเทา้ เขา้ ดา่ นตรวจคนเข้าเมืองเนปาล เพ่อื บอกลาแดนหิมาลัยอย่างเป็นทางการเสยี ที เมื่อส่งยิ้มหวานแลกกับพาสปอร์ต ที่เจ้าหน้าที่ตม.เนปาลส่งคืนให้ฉัน ฉันก็ เริม่ ออกเดนิ สอู่ นิ เดยี พรอ้ มเปใ้ บใหญ่ มันเปน็ ความรสู้ กึ ทด่ี มี ากๆ กบั การเดินจาก ประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่งด้วยสองเท้าของเราเอง ที่จริงฉันก็เคยเดินข้าม ชายแดนไทยไปลาวอยหู่ ลายหน เดนิ จากเวยี ดนามเขา้ ลาวกเ็ คยแลว้ กระโดดขา้ ม ไปมาระหวา่ งเยอรมนกี บั เนเธอรแ์ ลนดท์ ห่ี า่ งกนั แคเ่ สน้ ถนนกน้ั กเ็ คยแลว้ แตค่ วาม รู้สึกของการเดินเท้าเข้าสู่อินเดียครั้งนี้ มันให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ตื่นเต้น เร้าใจ ปนหวาดหวน่ั พรน่ั พรงึ ชวนตะลงึ อง้ึ ทง่ึ เสยี ว ในดกี รที เ่ี ขม้ ขน้ มากๆ แมร้ ะยะทางใน การเดนิ อยใู่ นบรเิ วณนน้ั ของฉนั จะกนิ ระยะทางเพยี งประมาณ 200-300 เมตรกต็ าม ความวนุ่ วายสบั สนทฉ่ี นั เหน็ มาจากระยะไกลนน้ั เทยี บไมไ่ ดก้ บั ความสบั สน 25

วุ่นวายที่ฉันได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมันเองเสียเลย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็น ปาทอ่ งโกต๋ วั สดุ ทา้ ย ทพ่ี อ่ คา้ หยอ่ นลงไปในกระทะซง่ึ มปี าทอ่ งโกร๋ นุ่ พ่ี นอนลอยคอ ฟฟู อ่ งพองกรอบอยกู่ อ่ นหนา้ นน้ั แลว้ เตม็ กระทะ และฉนั กต็ อ้ งพยายามแหวกตวั เอง ข้นึ สผู่ ิวน้ำมันเดอื ดๆกไ็ ม่ปาน ไมน่ า่ เชอื่ วา่ เมอื งสุเนาลีที่อยู่หา่ งไบราห์วะเพยี งแคร่ ะยะทางไมก่ ่ีเมตร จะมี ความแตกต่างกันมากมายขนาดนี้ ที่สุเนาลีมีร้านรวงต่างๆแออัดกันอยู่มากมาย ขา้ วของทข่ี ายกม็ ที กุ อยา่ งตง้ั แตเ่ สอ้ื ผา้ ตกุ๊ ตา เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ หรอื แมแ้ ตเ่ ครอ่ื งบวงสรวง บชู าเทพเจา้ และทกุ รา้ นจะพยายามนำสนิ คา้ ของตนออกมาโชวใ์ หล้ กู คา้ ไดเ้ หน็ กนั อย่างชัดเจนที่สุดและมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ห่วงเรื่องฝุ่นที่มีมากจนแทบ จะลมื ตาไมข่ น้ึ เพราะมนั เยอะจนฉนั รสู้ กึ เหมอื นกำลงั เดนิ ผา่ นลมบา้ หมขู นาดยอ่ มๆ ซง่ึ รถบรรทกุ ทว่ี ง่ิ ขนสนิ คา้ ขา้ มไปมาระหวา่ ง 2 ประเทศ กบั อากาศทแ่ี หง้ -แลง้ -รอ้ น คือสาเหตหุ ลกั ของฝ่นุ จำนวนมากเหลา่ นี้ สว่ นเรอ่ื งเสยี งบรรยากาศของทน่ี น่ี น้ั กช็ า่ งเหมอื นกบั นกกระจอกทว่ั ประเทศไทย พากนั มาแตกรงั เซง็ แซอ่ ยตู่ รงน้ี เสยี งแตรจากทง้ั รถเลก็ -รถใหญ่ จากทว่ั ทกุ สารทศิ จะพุ่งเข้ามาหาหูคุณตลอดเวลา ที่สำคัญคุณจะไม่อาจแยกได้เลยว่า เสียงแตรที่ ไดย้ นิ จะมาจากรถคนั เลก็ หรอื ใหญข่ นาดไหน เพราะบางทรี ถมอเตอรไ์ ซคค์ นั เลก็ ๆ กใ็ ชเ้ สยี งแตรทด่ี งั อยา่ งกบั รถบรรทกุ ทำเอาฉนั ตอ้ งสะดงุ้ อยหู่ ลายหน เพราะนกึ วา่ จะโดนรถบรรทุกแล่นทับร่างเข้าให้แล้ว แต่พอหันไปดู กลับเจอแค่มอเตอร์ไซค์ หรือรถตุ๊กคันเล็กๆซึ่งที่นีเ่ รียกกนั วา่ “ออโต้รคิ ชอว”์ (Auto Rickshaw) แต่ที่แน่ๆก็คือ ทุกคน ทุกคัน ต้องบีบแตรหรือสั่นกระดิ่งเพื่อบอกให้เพื่อน รว่ มถนนรวู้ า่ “อนี ฉ่ี านมาแลว้ นะจะ๊ นายจา๋ ...” และรถเปน็ รอ้ ยๆคนั ตา่ งกร็ ะดมกนั บบี แตรไมย่ ง้ั อยา่ งกบั กลวั เหงา สว่ นระดบั เสยี งจะเปน็ กเ่ี ดซเิ บลนน้ั ...ฉนั ไมร่ .ู้ .. ฉนั รู้แค่ว่ามันน่าจะเป็นระดับที่ทำให้เกิดอันตรายได้ หากต้องฟังต่อเนื่องกันเกิน 26

6-8 ชั่วโมง เพราะสำหรับฉัน แค่ไม่กี่นาทีก็รู้สึกเหนื่อยและล้าประสาทหูเต็มที สำหรบั เรือ่ งกล่นิ ...ฉนั ยงั ไม่ได้สูดดมเขา้ ไปอย่างเปน็ สารตั ถะ เพราะมผี ้าคาดจมกู คาดปากกนั ฝ่นุ อยู่ นี่ล่ะค่ะเสน่ห์ของอินเดีย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนจัดจ้านชัดเจน และเมื่อความ จดั จา้ นชัดเจนของหลายๆสง่ิ มารวมอยใู่ นท่ีเดยี วกัน เวลาเดยี วกัน จึงทำใหค้ วาม ชดั เจนของสง่ิ ตา่ งๆเหลา่ นน้ั กลายเปน็ ความวนุ่ วายสบั สนออ้ื องึ แตถ่ า้ คณุ ลองหยบิ บางอย่างขึ้นมาจากความสับสนวุ่นวายนั้นสักชิ้นหนึ่ง คุณก็จะเห็นความงามที่ โดดเด่นไมเ่ หมอื นใครของอินเดีย หรือถ้าหากคุณต้องการ...ความสับสนวุ่นวายตรงหน้า...ก็กลับกลายเป็น ‘ความวา่ ง’ ไดเ้ ชน่ กนั เพราะเมอ่ื มนั วนุ่ วายจนคณุ ไมส่ ามารถแยกแยะสง่ิ หนง่ึ จาก สิ่งใดได้ มันก็คล้ายกับว่าทุกสิ่งรอบๆตัวคุณนั้น เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผิดแผกจาก ตัวคุณ ซง่ึ จะทำใหค้ ุณ ‘แยกตวั ’ ออกมาจากมันได้อยา่ งง่ายดาย คลา้ ยกบั การทค่ี ณุ อยใู่ นกระบะขนาดใหญท่ ม่ี ลี กู บอลหลากสี คณุ ไมร่ หู้ รอก วา่ ในกระบะนน้ั มลี กู บอลอยกู่ ล่ี กู แตล่ ะลกู เลก็ ใหญเ่ ทา่ กนั ไหม แตค่ ณุ กร็ วู้ า่ ตวั เอง ไม่ใช่ลูกบอล ดังนั้น...แม้จะมีลูกบอลหลากสี หลายขนาด รายล้อมรอบตัวคุณ อยู่ชิดติดกับตัวคุณ แต่คุณก็รู้ได้ว่า...จริงๆแล้วมีของอยู่เพียง 2 จำพวก นั่นคือ ‘ตัวคุณ’ และ ‘สงิ่ ทไ่ี ม่ใชต่ วั คุณ’ 27

ฉันต้องใช้เวลาถึงเกือบ 2 ปี กว่าจะได้ตระหนักว่า การแยกตัวเองออกจาก สภาพแวดลอ้ มในขณะนน้ั คอื กา้ วแรกของการท่ี ‘จติ ’ รจู้ กั แยกรปู -นาม เพราะหาก คณุ ลองแทนทค่ี ำวา่ ‘ตวั คณุ ’ ดว้ ยคำวา่ ‘จติ เดมิ แท’้ และแทนทค่ี ำวา่ ‘สง่ิ ทไ่ี มใ่ ชต่ วั คณุ ’ ดว้ ยคำวา่ ‘รปู -นาม’1 แลว้ เพยี รปฏบิ ตั ภิ าวนาดว้ ยการ ‘ตามรตู้ ามดสู ง่ิ ตา่ งๆตามความ เปน็ จรงิ ’ ไปเรอ่ื ยๆ คณุ จะคอ่ ยๆเหน็ วา่ แทจ้ รงิ แลว้ ...สง่ิ ทค่ี ณุ คดิ วา่ ‘เปน็ ตวั คณุ ’ นั้น...ไมม่ ีอย่จู รงิ ! นก่ี ระมงั ทเ่ี ขาเรยี กวา่ การบำเพญ็ ตนดว้ ยการเดนิ ทาง การเรม่ิ รจู้ กั แยกความ วนุ่ วายสบั สน ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ ทฉ่ี นั พบเจอระหวา่ งทาง ออกจาก ‘ใจ’ ของตวั เอง เปน็ หนง่ึ ในหลายๆเหตผุ ล ทท่ี ำใหฉ้ นั ผา่ นอนิ เดยี มาได้ โดยไมค่ ดิ รงั เกยี จ หรือสาปส่งอินเดยี เหมอื นท่บี างคนรสู้ กึ ฉันแบกเป้ใบโตมองหาจุดตรวจคนเข้าเมืองของอินเดียผ่านความ “เยอะ” ของสเุ นาลี แลว้ กม็ เี จา้ หนา้ ทอ่ี นิ เดยี คนหนง่ึ ตะโกนขา้ มถนนมาเพอ่ื บอกใหฉ้ นั รวู้ า่ จดุ ตรวจคนเขา้ เมอื งของอนิ เดยี อยหู่ า่ งออกไปอกี ราวๆ 200 เมตรทางซา้ ยมอื ของ ฉนั ฉนั จงึ คอ่ ยๆเดนิ ผา่ นผคู้ น สามลอ้ มอเตอรไ์ ซค์ รถบรรทกุ และฝนุ่ ควนั ไปยงั พกิ ดั ดงั กล่าว ระหว่างที่ฉันเดินตาหวานอยู่นั้น (เพราะต้องหยีตาอยู่ตลอด) นักท่องเที่ยว หญิงชายชาวตะวันตกคู่หนึ่งก็ทำให้ฉันต้องยิ้มออกมา เพราะหัวใจผจญภัยของ พวกเขามันเด่นชัดมาก พวกเขาขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่มาที่จุดตรวจคนเข้าเมือง พรอ้ มสมั ภาระเตม็ รถ โดยดเู หมอื นวา่ กำลงั จะมงุ่ หนา้ ขา้ มชายแดนไปยงั ฝง่ั เนปาล 1 รปู -นาม หรอื ขนั ธ5์ คอื ธรรมธาตทุ ป่ี ระกอบกนั ขน้ึ เปน็ สง่ิ มชี วี ติ ทเ่ี รยี กวา่ ‘มนษุ ย’์ กองขนั ธท์ ง้ั 5 ไดแ้ ก่ รูป: ร่างกาย ลมหายใจ สสาร และพลังงาน เวทนา: ความรู้สกึ สุข ทกุ ข์ เฉยๆ สัญญา: ความจำได้ หมายรู้ สังขาร: สภาพของจิต สว่ นปรุงแต่งจิต หรือความคิด วิญญาณ: จติ หรือผรู้ ู้ 28

ฉันไม่ได้หยุดคุยกับพวกเขา ไม่รู้ว่าพวกเขาเดินทางกันมาจากที่ไหน ไกลแค่ไหน และนานแคไ่ หนแลว้ แตเ่ มอ่ื ดจู ากสภาพของรถกบั ขา้ วของทเ่ี กา่ ครำ่ ไปดว้ ยฝนุ่ หนา และรอยแดดทแ่ี ผดเผาผวิ หนา้ -ผวิ กายของพวกเขาแลว้ ทง้ั คคู่ งมเี รอ่ื งราวในความ ทรงจำจากอนิ เดยี มากมาย ฉนั ไดแ้ ตส่ ง่ ยม้ิ แลว้ ยกนว้ิ ใหท้ ง้ั คู่ จากนน้ั กห็ นั ไปทำธรุ ะ กบั เจา้ หน้าท่ีตรวจคนเขา้ เมอื งของอนิ เดียต่อ “นมสั เต”1 ฉนั กลา่ วทกั ทายเจ้าหนา้ ท่ีตม.อนิ เดีย พร้อมยกมือไหว้เพอื่ เปน็ การสรา้ งไมตรแี ละเปน็ ใบเบกิ ทางชน้ั ดี แลว้ ฉนั กต็ อ้ งตกใจเมอ่ื ไดย้ นิ เสยี งตอบแปรง่ ๆ ปนกล่นิ เคร่ืองเทศกลบั มาว่า “สวัสดคี รบั ” หลงั จากถามไถก่ นั ไปมา ก็สรปุ ได้ว่า เจ้าหน้าที่คนนี้เคยไปเมืองไทย(พัทยา)มาแล้ว และกำลังจะกลับไปเที่ยวอีกหน เขาจงึ หดั พดู ภาษาไทยเลก็ ๆนอ้ ยๆเอาไว้ จากนน้ั เขากร็ บี ควกั สมดุ โนต้ เลก็ ๆ ออกมา เปิดให้ฉันดูประโยคตา่ งๆทีเ่ ขากำลงั ฝกึ อยู่ ฉันยนื พดู คุยและสอนภาษาไทยใหเ้ ขา อยู่พกั หนง่ึ จากนนั้ จงึ กลา่ วลาและขอตัวไปต่อรถเขา้ เมอื งกอรักปูร์ ฉันเลือกขน้ึ รถจป๊ี เล็กเพราะดจู ะสะดวกสบายกว่าแถมใช้เวลาเดนิ ทางเพยี ง 2 ชว่ั โมงกจ็ ะถงึ กอรกั ปรู ์ โดยคา่ รถคอื 100 รปู ี แตฉ่ นั กต็ อ้ งตกไปเปน็ ‘นางกลางศกึ ’ ระหวา่ งเจ้าของรถจีป๊ 2 คัน ที่พยายามลอ้ มหนา้ ล้อมหลัง ดึงตัวฉนั ไปข้นึ รถ จน ในที่สุดฝ่ายหน่ึงก็ยอมแพไ้ ป พอฉันได้ขึ้นไปนั่งบนรถก็เห็นว่า รถถูกแบ่งเป็นสามตอน โดยสองตอนแรก เป็นเบาะยาวหันหน้าไปด้านหน้าของตัวรถ ส่วนแถวหลังที่ฉันนั่งอยู่นั้น เบาะจะ วางตามแนวยาวของตัวรถ เปน็ เบาะคู่ ซง่ึ ขนาดของเบาะพอจะนงั่ ได้ฝ่งั ละ 2 คน 1 การกล่าวทกั ทายและบอกลาในภาษาฮินดี ใชไ้ ด้ทง้ั คำว่า “นมสั เต” และ “นมสั การ” เหมือน ที่ชาวไทยใช้คำวา่ “สวัสด”ี ชาวอนิ เดยี คนหน่งึ บอกฉันวา่ “นมสั การ” จะเป็นการกลา่ วอยา่ งเปน็ ทางการมากกวา่ “นมัสเต” 29

ฉันจงึ คิดว่ารถคันนี้ น่าจะบรรทุกได้เตม็ ที่ 9-10 คน และตอนทฉี่ ันข้ึนรถไปนนั้ ก็ มีคนอยู่ในรถแล้ว 7 (คนรวมคนขับ) แต่ดูเหมือนเจ้าของรถจะไม่คิดแบบเดียว กบั ฉนั เพราะเขาใช้เวลาอกี เกอื บชัว่ โมง ในการเร่หาคนมาขึ้นรถเพิม่ และจดั การ ให้ผู้โดยสารนั่งอัดกันให้ได้มากที่สุด จนเวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงรถจึงได้ฤกษ์ออก เดนิ ทาง โดยมคี นนง่ั ทส่ี องแถวหนา้ แถวละ 4 คน เบาะหลงั 5 คน และคนเกบ็ เงนิ บนหลังคาอกี 1 คน ซง่ึ ฉนั กโ็ ชคดี ได้นั่งเบียดกับคนอนื่ อีก 2 คน ในขณะที่เบาะ ตรงข้ามนั่งกันเพียง 2 คน นี่คือสิทธิ์พิเศษที่ผู้หญิงต่างชาติตัวเล็กๆอย่างฉันมัก ได้รับเมอื่ เดินทางตามลำพงั การตอ้ งนง่ั เบยี ดกนั โดยขยบั ขาไมไ่ ดเ้ ลย แมจ้ ะเปน็ เพยี งระยะเวลาสน้ั ๆ กลบั ทำให้ฉันเมื่อยขบยิ่งกว่าการเดินไกลๆเสียอีก แต่ก็ยังโชคดีที่ฉันสามารถยื่นหน้า ออกไปรบั ลม(และฝนุ่ )ไดบ้ า้ ง เพราะคณุ นา่ จะพอเดาออกวา่ สภาพอากาศภายใน รถจปี๊ คนั เลก็ ๆที่มีคนอดั กันอยถู่ งึ 13 คนนน้ั จะเปน็ อย่างไร ถนนจากสุเนาลีสกู่ อรักปูร์ เปน็ หลุมเป็นบ่อขรุขระตลอดสาย หลงั จากท่ีน่ัง หัวสน่ั หวั คลอนอย่รู าวๆชั่วโมงกวา่ เบาะทฉี่ นั กบั ชายอีก 2 คนนง่ั อยู่ ก็ทรุดลงไป กองกบั พน้ื รถ ‘นม่ี นั วบิ ากกรรมอะไรของฉนั กนั หนอ’...ฉนั คดิ ไปกข็ ำไป เพราะรสู้ กึ สนกุ กบั ประสบการณ์ ‘อนิ เดยี รสแซบ่ ’ ครงั้ นี้ พอคนขบั จอดรถ...ฉันจึงไดล้ งไปยดื แข้งยดื ขาอยู่ครูน่ ึง เมื่อเด็กทา้ ยรถปรับ เบาะใหเ้ ขา้ ทแ่ี ลว้ ฉนั กบั เพอ่ื นรว่ มชะตากรรมคนอน่ื ๆ กก็ ลบั ไปนง่ั เบยี ดกนั เหมอื นเดมิ โดยคนขบั สง่ั ใหเ้ ดก็ ทา้ ยรถปดิ ประตหู ลงั ของรถดว้ ย แตห่ นง่ึ ในพแ่ี ขกทน่ี ง่ั รว่ มเบาะ กับฉันโวยขึ้นทันทีว่า “แค่นั่งเบียดก็จะแย่แล้ว ที่วางขาก็ไม่มีต้องยื่นขาออกไป ขา้ งนอก ถา้ จะมาปดิ ประตทู า้ ยรถอกี ละ่ กม็ เี รอ่ื งแน”่ (คำพดู ทง้ั หมดนน้ั ฉนั เดาเอา เอง แตก่ ็ไม่น่าจะพน้ จากนี้เท่าไรหรอกค่ะ) คนขับรถจงึ เงยี บไป แลว้ เรากเ็ ดนิ ทาง กนั ต่อในสภาพอัดแน่นเหมอื นปลากระป๋อง 30

ในที่สุดฉันก็มาถึงเมืองกอรักปูร์เมื่อเวลาใกล้สี่ทุ่ม การเดินทางที่ควรจะใช้ เวลาเพียง 2 ชั่วโมง กินเวลาไปร่วม 3 ชั่วโมง เนื่องจากรถจอดพักจุดละนานๆ หลายจุด ตอนน้ันฉนั ท้งั เหนือ่ ย ท้ังงว่ ง ทัง้ หิว ทง้ั เพลยี แต่เมอื งทัง้ เมอื งกลับตก อยู่ในความมืด แสงท่พี อจะมอี ยบู่ า้ งมาจากรถบนถนน กับโรงแรมและร้านรวง ที่ พอจะมเี ครื่องปัน่ ไฟใชใ้ หแ้ สงสว่างอยู่บ้าง ซงึ่ กม็ อี ย่ไู ม่กีร่ า้ น รถที่ฉันนั่งมาจอดส่งคนที่หน้าสถานีรถไฟกอรักปูร์ และฝั่งตรงข้ามก็เป็น ตกึ แถวทใ่ี ชท้ ำเปน็ โรงแรมหลายแหง่ แตเ่ มอ่ื มองจากภายนอกนน้ั ไมม่ โี รงแรมไหน ดนู ่าพักเลยสักนิด โรงแรมแห่งหนงึ่ ท่ี ‘โลกเหงา’ แนะนำไว้ก็ดูไมน่ ่าพิสมยั เชน่ กัน เพราะทกุ แหง่ ใชแ้ สงไฟทด่ี ู ‘โลกยี ’์ มากในสายตาฉนั บา้ งกใ็ ชห้ ลอดไฟสเี ขยี ว บา้ ง กใ็ ชส้ แี ดง สชี มพู ฉนั จงึ รสู้ กึ เหมอื นหลดุ เขา้ ไปในแดนสนธยา แตเ่ สยี งของผคู้ น รถรา เสยี งแตรทแ่ี ผดกลา้ กบั มา่ นฝนุ่ ควนั ทห่ี นาตา กช็ ว่ ยทำหนา้ ท่ี ‘คอนเฟริ ม์ และฟนั ธง’ ให้ฉันรู้วา่ ...‘ฉนั มาถึงอินเดยี แลว้ จรงิ ๆ และยงั จะต้องอยตู่ ่อไปอกี หลายวนั ’ ขณะทฉ่ี นั ยนื งงกบั ภาพทอ่ี ยเู่ บอ้ื งหนา้ บเู พน็ (Bhupen) หนมุ่ เนปาลนี กั เรยี นทนุ อินเดียที่นั่งเอาขาสลับฟันปลากับฉันมาตลอดทาง และพอจะได้คุยกันบนรถบ้าง ก็ถามว่าฉันมีที่พักหรือยัง ถ้ายังเขาจะพาไปดูที่ๆเขาจะพัก ถ้าฉันไม่ถูกใจค่อย เปลย่ี นท่ี เมอ่ื พจิ ารณาดแู ลว้ วา่ หนมุ่ นอ้ ยคนนไ้ี มน่ า่ จะเปน็ พษิ เปน็ ภยั อะไร และฉนั กล็ า้ เตม็ ที ฉนั จงึ ตดั สนิ ใจตามเขาไปดทู พ่ี กั ซง่ึ เปน็ โรงแรมทอ่ี ยฝู่ ง่ั ตรงขา้ มกบั สถานี รถไฟน่ันเอง ราคาทพ่ี กั โดยปกตขิ องโรงแรมในละแวกน้ี อยทู่ ่ี 250 รปู ี แตเ่ นอ่ื งจาก บเู พน็ (Bhupen) มาพักที่นี่บ่อยๆ เจ้าของจึงลดราคาให้เป็นพิเศษ และถึงแม้ฉันจะไม่ ถกู ใจสภาพทพ่ี กั สกั เทา่ ไร... แตด่ ว้ ยความทเ่ี หนอ่ื ยจนไมอ่ ยากจะเรอ่ื งมาก ใหม้ ากเรอ่ื ง ฉันจึงตกลงพักที่นี่ และก็เป็นความจริง ที่โรงแรมแถวนี้จะเช็คเอาท์หลัง 24 ชม. ของเวลาทีเ่ ขา้ พกั ซ่งึ อาจเปน็ เพราะท่ีนี่ คือเมอื งชายแดนทมี่ ีคนเดินทางมาต่อรถ 31

หรือทำธุระแบบเช้าไปเย็นกลับกับทางฝั่งเนปาลเป็นจำนวนมากก็เป็นได้ (เพราะ เมื่อไปเมืองอื่นๆ ฉนั ก็ไมเ่ จอแบบนอ้ี กี เลย) ถงึ แมจ้ ะเหนอ่ื ยลา้ ...แตว่ นั ของฉนั กย็ งั ไมจ่ บ บเู พน็ บอกวา่ เขาจะตอ้ งขา้ มไป ที่สถานีรถไฟ เพื่อดูว่าตั๋วรถไฟที่เขาต้องนั่งต่อไปอีกเมืองในวันพรุ่งนี้ ได้รับการ คอนเฟริ ม์ หรอื ยงั เนอ่ื งจากเขายงั ไมไ่ ดซ้ อ้ื ซมิ โทรศพั ทม์ อื ถอื ของอนิ เดยี จงึ ไมส่ ามารถ เชค็ สถานะของตว๋ั ออนไลนผ์ า่ นมอื ถอื ได้ (อนิ เดยี ไมใ่ ชย่ อ่ ยๆเรอ่ื งเทคโนโลยนี ะจะ๊ ) แลว้ เขากถ็ ามฉนั วา่ ต๋ัวของฉนั คอนเฟิร์มหรอื ยัง...ขอดูหน่อยสิ จากนน้ั เขากอ็ ธบิ ายใหฉ้ นั ฟงั วา่ ไอท้ เ่ี ขยี นบนตว๋ั นน้ั ตรงไหนคอื อะไร โดยเทยี บ กับตั๋วของเขา ซึ่งตั๋วของบูเพ็นติด เวตติ้งลิสต์ (Waiting list) หรือการรอคิวที่นั่ง วา่ งเปน็ อันดับที่ 110 (โอ...แมเ่ จา้ ) ฉนั จงึ หตู าเหลอื กรอฟงั วา่ ตว๋ั ของฉนั ตดิ เวตตง้ิ ลสิ ตใ์ นอนั ดบั ทเ่ี ทา่ ไร ปรากฏวา่ ตั๋วของฉันติดเวตติ้งลิสต์ในอันดับที่ 10 ซึ่งเลขที่ฉันคิดว่าเป็นเลขตู้รถกับเลขที่นั่ง ที่เขียนว่า RAC1/10 นั้น แท้จริงแล้วมันแปลว่า...นี่คือตั๋วที่ต้องรอการยืนยันที่นั่ง ในอนั ดบั ท่ี 10 ซง่ึ บเู พน็ กบ็ อกฉนั วา่ นา่ จะไดท้ น่ี ง่ั แนๆ่ ไมน่ า่ จะมปี ญั หาอะไร เพราะ เป็นควิ รอทนี่ ั่งจากทัว่ ประเทศอินเดียซึ่งมีประชากรกว่าพันล้านคนการอยใู่ นคิวท่ี 10 จึงถอื ว่าจ๊บิ ๆมากใหฉ้ ันวางใจได้ ตอ้ งขอบคณุ บเู พน็ จรงิ ๆ ทท่ี ำใหฉ้ นั หตู าสวา่ งกบั เรอ่ื งน้ี ซง่ึ ฉนั ยอมรบั วา่ พลาด อย่างหนัก ที่ไม่ได้หาข้อมูลนี้มาก่อน แต่ฉันไม่คาดคิดจริงๆว่า ระบบการซื้อตั๋ว จองตั๋วรถไฟของอินเดีย จะแตกต่างจากบ้านเรามากขนาดนี้ เพราะที่นี่...ไม่ใช่ว่า 1 RAC หรือ Resevation Against Cancelation หมายถงึ ลำดับต๋วั ท่จี องไว้ เมือ่ เปรียบเทยี บกับ การยกเลกิ ต๋วั ตัวเลขท่ีอยดู่ า้ นหลังหมายถงึ ลำดับควิ ท่จี ะไดท้ ีน่ ่งั เมื่อที่น่ังวา่ ง 32

ซอ้ื ตว๋ั แล้วก็จะไดท้ ีน่ ั่งเลย ทา่ นทอ่ี ยากทราบรายละเอยี ดเกย่ี วกบั การซอ้ื ตว๋ั รถไฟในอนิ เดยี กรณุ าพลกิ ไปอ่านที่ภาคผนวกท้ายเล่มนะคะ แต่ตอนนี้...มาตามฉันข้ามไปยังฝั่งสถานีรถไฟ เพือ่ เช็คสถานะตวั๋ เดินทางของฉันกับบูเพ็นกนั ก่อนคะ่ เรอ่ื งตว๋ั รถไฟทำเอาฉนั หายงว่ งเปน็ ปลดิ ทง้ิ บเู พน็ กบั ฉนั ตระเวนดรู ายชอ่ื บน บอร์ดประกาศแจ้งสถานะตั๋วอยู่หลายรอบ แต่ก็ปรากฏว่า...ทั้งตั๋วของบูเพ็นและ ตว๋ั ของฉนั ยงั ไมม่ กี ารยนื ยนั ทน่ี ง่ั ออกมา (นข่ี นาดเขาตอ้ งออกเดนิ ทางตอน 6 โมงเชา้ นะเนี่ย) แตเ่ ขาก็ยังใจเย็น และบอกว่า “ไมเ่ ปน็ ไร เดยี๋ วเขาจะไปซื้อซมิ มือถอื เพือ่ เช็คผลทางอินเตอร์เน็ตอีกทีคืนนี้” พอฉันถามว่า... ‘เขารู้สึกลำบากไหมกับการ เดินทางในอินเดีย’ เขาก็รีบตอบทันทีว่า “ไม่เลย เพราะในอินเดีย...แม้จะมีเหตุ ให้ล่าช้าหรือขลุกขลักบ้าง แต่อย่างน้อย...เขาก็ยังได้เดินทาง... ต่างจากที่เนปาล ซึ่งมีสไตรค์บ่อยมาก...จนบางทีเขาเดินทางไปไหนไม่ได้เลย” ฉันจึงอยากบอกให้ การรถไฟไทยได้รวู้ ่า “ดิฉันรักรถไฟไทยคะ่ ” เมื่อจัดการเรื่องตั๋วไม่สำเร็จ บูเพ็นจึงเดินนำฉันกลับไปยังร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรมทเ่ี ราพกั เพอ่ื ไปซอ้ื ซมิ การด์ โทรศพั ทม์ อื ถอื โดยการซอ้ื ซมิ การด์ ทอ่ี นิ เดยี นน้ั ทกุ คนสามารถทำไดห้ มด แคม่ บี ตั รประชาชน หรอื พาสปอรต์ พรอ้ มรปู ถา่ ย (เอาไป ทำไมน)่ี คณุ กซ็ อ้ื ซมิ การด์ ใชไ้ ดแ้ ลว้ แตป่ ญั หากค็ อื เวลาเปลย่ี นรฐั คณุ ตอ้ งเปลย่ี น ซมิ การด์ ดว้ ย (อนิ เดยี นเ่ี ขามวี ธิ คี ดิ ทซ่ี บั ซอ้ นจรงิ ๆ...เยอะไปไหมคะน)่ี ฉนั จงึ ไมเ่ คย ซอ้ื ซมิ การด์ ของอนิ เดยี มาใชเ้ ลย เพราะตอ้ งเดนิ ทางเปลย่ี นรฐั ไปมาตลอดเวลา และ การโทรศพั ท์ท่ถี ูกกวา่ ก็คือการโทรตามตู้สาธารณะหรอื ตามรา้ นอนิ เตอร์เน็ต พอเสร็จจากธุระและกลับถึงโรงแรม บูเพ็นก็ชวนฉันกินข้าว ฉันตกลงไป ตามมารยาท โดยต้องกินไปเกร็งไป เพราะใครๆก็เตือนว่าอย่ากินอะไรกับคน 33

แปลกหนา้ ในอินเดยี เนอื่ งจากเจอรูดทรพั ยก์ ันมาเยอะแล้ว... พอ ‘กนิ ขา้ วกนิ ดาล’ (แกงถว่ั ) เสรจ็ เรากแ็ ยกยา้ ยกนั ไปพกั ผอ่ น ครน้ั พอจะ อาบนำ้ แปรงฟนั กอ่ นนอน กป็ รากฏวา่ นำ้ ไมไ่ หล ฉนั จงึ สลบไสลไปโดยไมไ่ ดอ้ าบนำ้ ตหี า้ ครง่ึ บเู พน็ กม็ าเคาะประตปู ลกุ ฉนั ตามทฉ่ี นั บอกไวเ้ มอ่ื คนื เพราะฉนั อยาก ไปส่งเขาที่สถานีรถไฟ เพื่อเป็นการขอบคุณในน้ำใจของเขา พอเปิดประตูห้องไป สิง่ แรกทเี่ ขาบอกฉนั ก็คือ...เขาเชค็ สถานะตว๋ั ของฉัน ใหท้ างอนิ เตอรเ์ นต็ แล้ว โดย ต๋วั ของฉนั ยังติดการรอคิวเปน็ อันดับท่ี 5 ซึ่งไมน่ า่ เป็นปญั หาอะไรกบั การเดินทาง ตอนสี่ทุ่มของฉนั ฉันจึงขอเวลาลา้ งหน้าล้างตา 3 นาที แต่เนื่องจากน้ำยงั ไม่ไหล ฉันเลยใช้‘น้ำขวด’ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเช็ดเนื้อเช็ดตัวเล็กน้อย ก่อนจะตะโบม ลงแป้งฝุน่ จนสะอาดหอม พร้อมไปพบปะผู้คนภายนอกได้ แต่พอไปถึงสถานีรถไฟ ก็ไม่รู้ว่าฉันจะสะอาดหอมไปทำไมนักหนา เพราะ แสงสว่างยามเช้า มันทำให้ฉันเห็นสถานีรถไฟกอรักปูร์ได้ชัดเจนกว่าเมื่อคืนมาก และมันก็ไม่ค่อยน่าดูเท่าไร ไม่ว่าจะเป็น...สุขาสาธารณะที่ทางการไม่ได้สร้าง แต่ คนเต็มใจสร้างกันขึ้นมาเองข้างกำแพงหน้าสถานี หรือการราด“ปุ๋ยสด”ข้นคลั่ก ออกจากตรู้ ถไฟทจ่ี อดอยู่ (เฮอ้ ...) แตค่ วามงามของแสงอาทติ ยย์ ามเชา้ กท็ ำใหฉ้ นั ชนื่ ใจมากพอท่ีจะมองข้ามสงิ่ ท่ีไม่เจริญตาเจรญิ ใจไปไดม้ าก หลังจากส่งบูเพ็นหนุ่มนักศึกษาเนปาลีหน้าตาไทยๆ (ที่บอกว่าฉันหน้าตา เหมอื นชาวเนปาล)ี ขน้ึ รถเรยี บรอ้ ยแลว้ ฉนั กเ็ ดนิ ถา่ ยรปู แถวสถานรี ถไฟอยคู่ รหู่ นง่ึ จากนน้ั จงึ ขา้ มถนนไปยงั ทา่ รถบสั ซง่ึ อยลู่ กึ เขา้ ไปดา้ นในของถนนเลก็ ๆฝง่ั เดยี วกบั โรงแรมทฉ่ี นั พกั เพอ่ื สอบถามเรอ่ื งรถทจ่ี ะไปเมอื งกสุ นิ ารา หรอื ทค่ี นอนิ เดยี เรยี กกนั วา่ กศุ นิ าการ์ (Gushinagar) อนั เปน็ ดนิ แดนซง่ึ พระพทุ ธเจา้ ทรงดบั ขนั ธป์ รนิ พิ พาน แตค่ นแถวนน้ั ตา่ งกบ็ อกฉนั วา่ ไมม่ รี ถบสั หรอกมแี ตร่ ถจป๊ี ทจ่ี ะผา่ นไปแถวนน้ั (รถจป๊ี อกี แลว้ ครบั ทา่ น ของเขาดจี รงิ ๆ) คา่ รถ 30 รปู ตี อ่ คน แลว้ กช็ จ้ี ดุ จอดรถใหฉ้ นั ดู ฉนั จงึ 34

เดินกลับไปยังโรงแรมเพื่อทำธุระส่วนตัว และเตรียมเดินทางไปยังสังเวชนียสถาน แห่งท่ี 2 ของฉนั ในทริปน้ี แม้การเดินทางในอินเดีย 24 ชั่วโมงแรกของฉันจะเหนื่อยล้าและทุลักทุเล บา้ ง แตฉ่ นั กย็ งั โชคดที ไ่ี ดเ้ จอคนดมี นี ำ้ ใจมาคอยชว่ ยเหลอื เสมอ และฉนั กค็ อ่ นขา้ ง มน่ั ใจวา่ นา่ จะมคี นดๆี มาใหฉ้ นั พบเจอทกุ วนั และจะมคี นมาคอยชว่ ยใหฉ้ นั ไดผ้ จญภยั ในดินแดนอัศจรรย์ ‘Incredible India’ ต่อไป อยา่ งปลอดภัยตลอดรอดฝัง่ 35

แค่ร.ู้ ..ไม่จำเปน็ ต้องร้วู ่าดหี รือไมด่ ี แคร่ ู.้ ..ไมจ่ ำเป็นตอ้ งร้วู ่ารอู้ ะไร แคร่ ู้นน้ั ...ไมเ่ อาทง้ั รูแ้ ละไม่รู้ อยเู่ หนือความรู้และไม่รทู้ ้งั ปวง จากหนังสอื แค่รู้ / พระมหาวเิ ชยี ร ชนิ วโํ ส

บทท่ี 5 กสุ นิ าราแดนมหาปรนิ พิ พาน หลังจากนั่งรถจ๊ีปโอเพ่นแอรท์ ี่เปดิ ปะทนุ ข้างเบียดกับพนี่ อ้ งภารตะแบบพอ ทำเนา (เพราะฉนั ยงั ไดห้ ลบั โงกเงกบา้ ง 1-2 งบี ) มาราวๆครง่ึ ชว่ั โมง รถกม็ าถงึ ปากทาง เขา้ สูส่ งั เวชนยี สถานแห่งท่ี 4 แต่เป็นสงั เวชนียสถานแหง่ ที่ 2 ทีฉ่ ันมาเยือน ดา้ นหนา้ ปากทางเขา้ จะมวี งเวยี นเลก็ ๆ ซง่ึ มพี ระพทุ ธรปู ปางสมาธปิ ระดษิ ฐาน อยู่ ฉันจึงเข้าไปกราบสักการะก่อนจะเดินไปหาอะไรกินรองท้องเล็กน้อย เพราะ เมื่อเช้าฉันกินลักซี่ (Laksi) หรือโยเกิร์ตใส่ผลไม้แห้งถ้วยเล็กๆไปเพียงถ้วยเดียว แตพ่ อกนิ ไปๆ ชกั เรม่ิ ตดิ ใจ จากซาโมซา1 1 ลกู กลายเปน็ 3 ลกู จนเจา้ ของรา้ นตาโต พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วบอกฉันว่า ปกติลูกค้าของเขาจะกินกันแค่คนละลูก เดียว ฉนั เลยตอบกลับไปว่าก็ของเขาอรอ่ ยนน่ี า เลน่ เอาคนขายย้มิ แกม้ แทบแตก พร้อมชวนให้ฉันกินขนมหวานอย่างอื่นเพิ่ม ด้วยความอยากลองกินขนมแปลกๆ ดูบ้าง ฉันจึงจำใจกินเข้าไปอีกอย่างหนึ่ง (จำใจจริงๆนะ) แต่ปรากฏว่ามันหวาน เกินไปจนกนิ ไดแ้ ค่นดิ เดยี ว พอท้องอิ่ม...ฉันก็ออกเดินสู่มหาปรินิพพานวิหารต่อ โดยเห็นร้านแลกเงิน กบั รถเขน็ ขายของทร่ี ะลกึ บา้ งประปราย แตบ่ รรยากาศกไ็ มค่ กึ คกั นกั อาจเปน็ เพราะ เดอื นเมษายนอยา่ งทฉ่ี นั ไป เปน็ ชว่ งโลวซ์ ซี น่ั อากาศรอ้ น บรรดาผแู้ สวงบญุ จงึ ไม่ นยิ มเดนิ ทางมากันในชว่ งน้ี 1 ซาโมซาเปน็ ของว่างลักษณะคล้ายกะหรีป่ ป๊ั มักมีไสเ้ ปน็ มันหรือถั่วผัดกบั เครื่องเทศ ก่อนห่อด้วย แป้งใหเ้ ปน็ รปู สามเหล่ียม แลว้ จึงนำไปทอด 37

ฉันเดินงงๆเอ๋อๆอยู่หน้าประตูทางเข้ามหาปรินิพพานวิหารอยู่ครู่หนึ่ง ด้วย ความไม่แนใ่ จว่าตอ้ งทำยังไง ตอ้ งจ่ายคา่ เขา้ ชมหรอื ไม่ แลว้ กม็ ีพระภกิ ษุหม่ จวี รสี แดงฝาด เขา้ มาทกั ทายฉนั ดว้ ยภาษาไทยสำเนยี งแปรง่ ๆ พรอ้ มอาสาพาฉนั เขา้ ไป ข้างใน แต่เนื่องจากพระภิกษุรูปนั้นเดินค่อนข้างเร็ว ฉันจึงไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูป บรเิ วณรอบนอก แตพ่ อเขา้ ไปภายในมหาปรนิ พิ พานวหิ ารแลว้ ไดเ้ หน็ พระพทุ ธรปู หนิ สลกั ปางปรนิ พิ พาน1 ภาพทป่ี รากฏเบอ้ื งหนา้ ...กย็ งั ใหเ้ กดิ ความปตี แิ ละอม่ิ เอม แผซ่ า่ นขน้ึ ในใจฉนั จนเออ่ ลน้ กลายเปน็ ความตน้ื ตนั ใจวา่ ...ในทส่ี ดุ ฉนั กด็ น้ั ดน้ มา ถึงท่ีนี่จนได้ หลงั จากต้องระหกระเหนิ มาหลายวัน ความปีติ หรืออาจจะรวมทั้งความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า กับบรรยากาศ ภายในมหาวิหาร ที่มีเสียงสวดมนต์ก้องกังวาลอย่างแผ่วเบาเป็นพื้นหลัง ทำให้ นำ้ ตาของฉนั ไหลลงมาอาบแกม้ ขณะกม้ กราบสกั การะ...โดยไมอ่ าจหยดุ ยง้ั ได้ ถงึ แม้ ฉันจะพยายามเช็ดน้ำตาเท่าไร แต่มันก็ยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ ความรู้สึกแรก ของฉันในตอนนั้นมแี ต่คำว่า ‘ขอบคุณ’ ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้ชีวิต ให้การศึกษา และให้โอกาสกับฉัน ทำให้ฉันได้มี กายเนอ้ื ไว้สดับตรับฟังพระธรรม จนเกิดศรทั ธาผลกั ดนั ตัวเองให้มาถงึ ทนี่ ่ี ขอบคณุ ครบู าอาจารยท์ กุ ๆทา่ น ทป่ี ระสทิ ธป์ิ ระสาทวชิ าความรใู้ หฉ้ นั ไมว่ า่ จะเปน็ วชิ าพทุ ธศาสนา ปรชั ญา ภาษาองั กฤษ รวมทง้ั วชิ าอน่ื ๆ ทท่ี ำใหฉ้ นั มคี วามรู้ ความพร้อม จนเดนิ ทางด้นั ดน้ มาถึงที่น่ีได้ 1 หรอื เรยี กอกี อยา่ งวา่ ปางไสยาสน์ แตเ่ ปน็ ปางไสยาสนท์ พ่ี เิ ศษกวา่ ปางไสยาสนท์ ว่ั ๆไป เนอ่ื งจาก พระหตั ถข์ องพระองคไ์ มไ่ ดช้ นั พระเศยี รใหต้ ง้ั ขน้ึ แตพ่ ระเศยี รจะวางราบไปกบั พน้ื อนั เปน็ การทอด รา่ งเพ่อื ดบั ขนั ธ์ปรนิ ิพพาน เราเรียกการบรรทมในลักษณะนว้ี ่า “อนฏุ ฐานไสยา” หรอื การบรรทม โดยไม่ลกุ ขึ้นอกี 38

ขอบคุณจติ ใจที่ตั้งม่ันบวกกับความกล้าบ้าบน่ิ ของฉันเอง ทท่ี ำใหฉ้ นั เลือกท่ี จะก้าวเดินตามรอยพระบาทและรอยธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ และเดิน ทางไกลจนมาถึงสถานที่แห่งนี้ แม้จะเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่นผิดๆเพี้ยนๆ ไปบ้าง แตฉ่ นั กม็ าถงึ จนได้ เหนอื สง่ิ อน่ื ใด เมอ่ื ฉนั ไดก้ ม้ กราบสกั การะองคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ดว้ ยกาย และใจ ฉนั กร็ สู้ กึ เหมอื นไดม้ าถงึ ทๆ่ี เรยี กวา่ เปน็ “บา้ นทางใจ” ความกลวั ความกงั วล ต่างๆหายไปจนหมดสิ้น ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องยึดมั่นถือมั่นกับอะไรๆอีกแล้ว ฉนั รสู้ กึ ปลอดภยั มน่ั คง รสู้ กึ วา่ จติ ใจทเ่ี คยขนุ่ มวั ดว้ ยความทกุ ข์ ความหลงผดิ ถอื ดี ถือโทษโกรธผูอ้ ื่นหรอื แมก้ ระทง่ั โกรธตัวเองนั้น กลายเปน็ จิตใจท.่ี ..แจ่มใส...ว่าง... และเบา... ฉนั คดิ เพอ้ เจอ้ ไปกระทง่ั วา่ ... ครง้ั หนง่ึ ฉนั อาจเคยมาอยใู่ นทแ่ี หง่ นแ้ี ลว้ แตก่ ็ อยใู่ นระยะทไ่ี กลมากๆ ไกลจนไมอ่ าจมองเหน็ พระพทุ ธองคไ์ ด้ แตว่ นั น.้ี ..วนิ าทนี .้ี .. ฉนั ไดม้ านง่ั อยแู่ ทบบาท เบอ้ื งหนา้ ของทา่ น จงึ รสู้ กึ เหมอื นกบั วา่ ภารกจิ หรอื ความ ใฝฝ่ นั ในอดตี ชาตไิ ดก้ ลายเปน็ จรงิ แลว้ ทง้ั ๆทก่ี อ่ นหนา้ นน้ั ฉนั กไ็ มเ่ คยตง้ั เปา้ จรงิ ๆจงั ๆ กบั การมาเยอื น 4 สงั เวชนยี สถานเลย แตว่ นั น.้ี ..จติ ใจของฉนั ...เหมอื นถกู เตมิ เตม็ แลว้ จรงิ ๆ ความรู้สึกปีติที่ท่วมท้นนั้น ทำให้ฉันรู้สึกว่าแม้ฉันจะไม่ได้มีอะไรๆมากมาย อย่างใครๆเขา แตฉ่ นั ก็ร้ดู วี า่ ฉัน “มพี อ” ฉนั มพี อ่ แมท่ ร่ี กั ฉนั มเี พอ่ื นฝงู ทด่ี ี มที อ่ี ยอู่ าศยั ของตวั เอง มรี า่ งกายทแ่ี ขง็ แรง และมโี อกาสไดอ้ ย่ใู ตร้ ่มเงาของพระพุทธศาสนา เช่นนี้แลว้ ...นำ้ ตาของฉันจะหยดุ ไหลไดอ้ ยา่ งไรเลา่ นำ้ ตาของฉนั หลง่ั ออกมาเพอ่ื มหาบรุ ษุ ผยู้ ง่ิ ใหญ่ ซง่ึ อทุ ศิ ทง้ั ชวี ติ ของพระองค์ เพอ่ื สง่ั สอนและชห้ี นทางสกู่ ารดบั ทกุ ขแ์ กม่ วลมนษุ ยชาติ ซง่ึ เปน็ การ 39

ให้สิ่งที่มีค่าที่สุดกับทุกๆคน แม้พระองค์จะไม่ได้รู้จักคนเหล่านั้นเป็นการส่วนตัว แมค้ นเหลา่ นนั้ จะไมใ่ ชญ่ าติร่วมวงศว์ านหรอื มติ รสนิท พระองคค์ อื ครทู ย่ี ง่ิ ใหญก่ วา่ ครทู ง้ั หลาย เพราะวชิ าทพ่ี ระองคท์ รงสอน สามารถ ใชไ้ ดท้ กุ ท่ี ทกุ สถาน ทกุ กาล ทกุ บคุ คล ทกุ สงั คม ทกุ กา้ วยา่ ง และทกุ ขณะจติ ของ การมชี วี ติ อยบู่ นโลกใบน้ี ในขณะทว่ี ชิ าอน่ื ๆ เชน่ ภาษาองั กฤษซง่ึ มปี ระโยชนม์ ากมาย แต่วิชานั้นก็คงไม่มีความหมาย หากนำไปใช้กับผู้ที่ไม่เข้าใจภาษานั้น หรือวิชา คณติ ศาสตรท์ แ่ี มจ้ ะมปี ระโยชนม์ หาศาล แตเ่ รากค็ งเอาทฤษฎที างคณติ ศาสตรไ์ ป ใชว้ าดภาพหรอื สรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะไมไ่ ด้ ตา่ งจากธรรมะของพระพทุ ธองคท์ ส่ี ามารถ นำมาใชไ้ ดก้ บั ทกุ สาขาอาชพี ทกุ ชาติ ทกุ ภาษา ใชไ้ ดท้ ง้ั กบั คนทม่ี รี า่ งกายสมบรู ณ์ หรือบกพร่องพิการ เนื่องเพราะทรงประกาศสิ่งซึ่งเป็นความจริงแท้...เป็นอริยสัจ เมื่อเป็นเช่นนี้ การยกให้พระองค์เป็นครูที่เหนือกว่าครูทั้งปวง จึงมิใช่คำพูดที่ เกินจรงิ เลย ความคดิ และจติ ใจของฉนั ถกู อารมณป์ ตี พิ าใหเ้ ตลดิ ลอ่ งลอยไปไกล แตฉ่ นั ก็ ยงั สวดมนตต์ ามเสยี งของพระภกิ ษไุ ทย ทเ่ี ขา้ มาในมหาปรนิ พิ พานวหิ ารกบั ชาวไทย อกี 3 คนกอ่ นหนา้ ฉนั สว่ นพระภกิ ษทุ เ่ี ดนิ นำฉนั เขา้ มาทน่ี ใ่ี นตอนแรก กำลงั สนทนา กบั พระชาวศรีลงั กาอยทู่ ด่ี ้านนอก แล้วหน่งึ ในชาวไทย 3 คนนัน้ ก็เอย่ ทักทายฉัน คงเปน็ เพราะเหน็ วา่ ฉนั มาคนเดยี ว ตวั ดำๆ หนา้ มนั ๆ แถมทา่ ทางสะเงอะสะงะ มานง่ั บา้ นำ้ ตารนิ อยใู่ นวหิ าร เขาจงึ เมตตาสง่ ธปู เทยี นใหฉ้ นั ใชก้ ราบสกั การะพระพทุ ธองค์ (เทียนสามารถจุดไว้ภายในวิหารได้ แต่ธูปต้องนำออกไปปักไว้ที่ด้านหน้าวิหาร) หลังจากปักธูปที่ด้านนอกแล้ว ฉันก็ตั้งใจจะเข้าไปนั่งสมาธิภายในวิหารต่อสักครู่ แล้วชายชาวไทยอีกคนก็บอกกับหนุ่มน้อยที่มาด้วยกันว่า “แบ่งทองให้พี่เขาปิด หนอ่ ยสลิ กู ...” ฉันกล่าวขอบคุณและรับทองคำเปลวมาไว้ แล้วเลือกปิดทองคำแผ่นหนึ่งที่ 40

ฝ่าพระบาทด้านซ้าย พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานขอให้ฉันได้มีโอกาสก้าวตามรอย พระบาทของพระองค์ สทู่ างสายสะอาด สว่าง สงบ ขอใหฉ้ นั ไดม้ โี อกาสกา้ วตาม รอยธรรมไปเรื่อยๆ จวบจนเมื่อมีโอกาสวาสนาและบารมีเพียงพอ ก็ขอให้ได้ก้าว สนู่ พิ พานในชาตติ อ่ ๆไป1 สว่ นทองคำอกี แผน่ ...ฉนั เลอื กปดิ ไวท้ พ่ี ระกรรณขา้ งซา้ ย และอธษิ ฐานขอใหฉ้ นั ไดม้ โี อกาสฟงั ธรรมในทกุ ๆชาตไิ ป และขอใหฉ้ นั ไดฟ้ งั ไดเ้ รยี นรู้ แตใ่ นสง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ งและดงี าม เพอ่ื ทฉ่ี นั จะไดม้ สี ตปิ ญั ญา ไดเ้ หน็ ถกู เหน็ ชอบ และมชี วี ติ ทด่ี งี ามตอ่ ไป หลงั จากปดิ ทองทพ่ี ระพทุ ธรปู สลกั เสรจ็ ฉนั กน็ ง่ั สมาธติ อ่ อกี ครหู่ นง่ึ แลว้ จึงออกไปด้านนอกตามคำชวนของชาวไทยท้งั 3 คนก่อนหนา้ น้ัน เมอ่ื ไปถงึ ดา้ นนอกกเ็ หน็ วา่ พระภกิ ษรุ ปู นน้ั นำชาวไทยทง้ั 3 คนเดนิ ทกั ษณิ าวตั ร เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ และกำลงั คยุ อยกู่ บั ชายชราชาวอนิ เดยี คนหนง่ึ ซง่ึ ตอ่ มาฉนั ได้ ทราบว่าชายชราชาวอินเดียผู้นั้นอยู่ในวรรณะจัณฑาล และมีอายุมากถึงเกือบ 100 ปี (กวา่ หนงั สอื เลม่ นจ้ี ะเสรจ็ สมบรู ณ์ ชายชราผนู้ ก้ี ค็ งมอี ายกุ วา่ 100 ปแี ลว้ ... หากเขาจะยงั มชี วี ติ อย)ู่ ฉนั จงึ อยากใหบ้ รรดาเดก็ วยั รนุ่ หรอื คนรนุ่ ใหมว่ ยั ทำงาน ทช่ี อบบน่ ไมพ่ อใจในสถานะทต่ี นเองเปน็ อยู่ ไดม้ าพบกบั ชายชราผนู้ จ้ี รงิ ๆ เพราะ สำหรบั ตวั ฉนั แลว้ ...ฉนั นกึ ไมอ่ อกเลยวา่ ตวั เองจะใชช้ วี ติ อยใู่ นวรรณะนน้ั ไดถ้ งึ เกอื บ 100 ปีได้อย่างไร แม้ชายชราผู้นั้นจะไม่ได้พูดคุยหรือสอนอะไรฉันจากปากเขา แม้แต่คำเดียว แต่ใจฉันก็ได้นับถือว่าเขาคือครูอีกคนหนึ่งของฉันแล้ว ส่วนผู้ที่ทำ หนา้ ทีส่ ่อื สารกบั ชายชราผนู้ ัน้ ก็คือพระภกิ ษุทม่ี ากับชาวไทยทัง้ 3 คนนนั่ เอง หลงั จากไดพ้ ดู คยุ และสอบถามทม่ี าทไ่ี ปของแตล่ ะฝา่ ย ฉนั จงึ ทราบวา่ ชายท่ี บอกใหล้ กู แบง่ ทองคำเปลวใหฉ้ นั คอื คณุ ไพโรจน์ ชนิ ศริ ประภา (หรอื พต่ี ง๋ิ ) นกั เขยี น 1 กอ่ นฝกึ ปฏบิ ตั ิธรรม ฉันมกั อธิษฐานขอให้ตนเองก้าวสนู่ ิพพานในชาติหน้า แตห่ ลงั จากเริ่มปฏิบตั ิ และศกึ ษาธรรม ฉนั จงึ ไดท้ ราบจากครบู าอาจารยว์ า่ “สภาวะนพิ พานปรากฏอยตู่ ลอดเวลา ไมใ่ ชท่ ง้ั อดตี ปัจจบุ นั หรืออนาคต” 41

หนงั สอื ดงั “ไปอนิ เดยี เมยี สง่ั มา” ซง่ึ มาเทย่ี วกบั ลกู ชายชอ่ื นอ้ งจเู นยี ร์ และเพอ่ื นสนทิ ชื่อพี่จิว ซึ่งเป็นคนทักทายฉันก่อนเป็นคนแรก ส่วนพระสงฆ์ที่มาด้วยกันนั้นคือ ดร.พระมหาคมสรณ์ คุตตฺ ธมฺโม (คมสรญั ญี) พระธรรมทูตสายอนิ เดยี ซ่งึ ขณะนัน้ ประจำอยทู่ ว่ี ดั ไทยกสุ นิ าราเฉลมิ ราชย์ (ปจั จบุ นั ทา่ นดำรงตำแหนง่ เจา้ อาวาสวดั ไทย เชตวนั มหาวิหาร ประเทศอินเดยี ) การทเ่ี ราพาตวั เองมาอยใู่ นทด่ี ๆี แบบน้ี นอกจากจะทำใหเ้ ราไดร้ บั ความรสู้ กึ ทด่ี ี ไดพ้ บคนดๆี แลว้ มนั ยงั ทำใหจ้ ติ ใจของเราไดร้ บั พลงั ดๆี เพม่ิ ขน้ึ ดว้ ย ซง่ึ ฉนั เรยี ก มันว่า “การล้างใจ” และเป็นการล้างใจทางตรง ไม่ใช่การล้างใจทางอ้อมเหมือน ประสบการณท์ รหดทีฉ่ ันได้พบมาก่อนหนา้ นัน้ เรอ่ื ง “อนิ เครดเิ บิล้ ” หฤหรรษ์ อัศจรรย์อินเดยี อกี เรือ่ งนงึ ก็คอื ... กอ่ นท่ีฉนั จะไดร้ วู้ า่ พต่ี ง๋ิ เปน็ นกั เขยี น เขาถามฉนั วา่ ... ‘มาอนิ เดยี คนเดยี วเหรอ...ทำไมถงึ มา... และทำไมถึงมาคนเดียว’ ฉันตอบคำถามพร้อมกับเล่าโน่นนี่นั่น เรื่อยเปื่อย จน บอกไปดว้ ยว่า...ฉนั กำลังคิดจะเขยี นหนังสือเก่ยี วกับการเดนิ ทางครงั้ น้ี เพราะฉัน หวังที่จะเป็นรอยเท้าอีก 1 รอย ให้คนอีกหลายๆคนได้เดินตาม หรือใช้อ้างอิงใน การเดินทางของพวกเขาเอง เนื่องจากประสบการณ์กลางหิมะบนภูเขาสูงกว่า 5,000 เมตร ไดส้ อนใหฉ้ นั รถู้ งึ คณุ คา่ ...ของรอยเทา้ ทอ่ี ยขู่ า้ งหนา้ เรา เพราะหาก ปราศจากรอยเท้ากลางหิมะเหล่านั้น...ฉันก็คงไปไม่ถึงจุดหมาย และอาจไม่ได้มา ยนื อยตู่ รงน้ี ฉนั จงึ เหน็ ความสำคญั และคณุ คา่ ของประสบการณจ์ ากผทู้ อ่ี าบนำ้ รอ้ น มากอ่ นเรา ทง้ั ๆทต่ี อนเดก็ ๆ ฉนั เคยเถยี งพอ่ เถยี งแมฉ่ อดๆๆประมาณวา่ ... “ถงึ ใคร จะอาบนำ้ รอ้ นมากอ่ นมนั กไ็ มส่ ำคญั หรอก มนั เอามาอา้ งองิ กนั ไมไ่ ด้ เพราะมนั เปน็ คนละยุคละสมัยกัน” แต่ตอนนี้ฉันตระหนักแล้วว่ามันสำคัญจริงๆ แม้ทุกอย่าง อาจไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ประสบการณ์จากผู้ที่รู้เห็นอะไรมา ก่อนเรา หรือเคยเดินผ่านจุดๆนั้นมาก่อนเราสำคัญจริงๆ... หลังจากนั้นพี่ติ๋งจึง เผยตวั วา่ ...เขาเปน็ รอ้ ยตำรวจเอกไพโรจนท์ ป่ี ลอมตวั มา...เอย๊ ...เปน็ นกั เขยี น... ฉนั 42

จึงคดิ วา่ มันคงเปน็ โชคชะตาแลว้ ล่ะ ฉนั คงได้เขยี นหนงั สอื จริงๆจงั ๆกบั เขาสกั เลม่ เสยี ที หลังจากนั้นพี่จิวกับพี่ติ๋งก็ชวนฉันไปชม ‘กุสินาราคลินิก’ และชวนไปกิน มื้อเที่ยงด้วยกันที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัส แอรเ์ ยน็ ฉำ่ และไดน้ ง่ั รถโดยไมต่ อ้ งเบยี ดกบั ใครในอนิ เดยี ฉนั ไดแ้ ตน่ กึ ขอบพระคณุ คุณพระคณุ เจา้ กบั โชคชะตา ทีน่ ำพาคนดีๆใจอารมี าพบฉันทุกวนั แบบนี้ ‘กสุ นิ าราคลนิ กิ ’ เปน็ สถานพยาบาลทเ่ี ปดิ บรกิ ารขน้ึ เพอ่ื รกั ษาสาธารณชนผู้ ทกุ ขย์ าก เจบ็ ปว่ ย โดยไมเ่ ลอื กชน้ั วรรณะ หรอื ศาสนาใดๆ คลนิ กิ แหง่ นไ้ี ดร้ บั ความรว่ มมอื ในการกอ่ สรา้ ง จากสถานเอกอคั รราชทตู ไทยกรงุ นวิ เดลี มลู นธิ ฮิ ารน์ ามซงิ ห์ ฮารบนั ส์ กอร์ และคณะกรรมการมูลนิธิวัดไทยกุสินารา โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ เสดจ็ แทนพระองคท์ รงประกอบพธิ วี างแผน่ ศลิ าฤกษ์ เมอ่ื วนั ท่ี 1 มนี าคม พ.ศ. 2548 โดยมเี ป้าประสงค์ในการกอ่ สรา้ งดังน.้ี .. ๑. เพื่อเป็นพุทธานุสรณ์แห่งการประชวรหนักด้วยพระปักขันธิกาพาธ1 จน เสดจ็ ปรนิ พิ พานของพระพุทธองค์ ณ กสุ ินารานคร ๒. เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมี พระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ๓. เพื่อดูแลรักษาชาวพุทธไทยและนานาชาติ ที่มาเจ็บป่วยระหว่างการ เดนิ ทางไหวพ้ ระแสวงบญุ ๔. เพ่ือดแู ลรกั ษาคนยากจนทอ้ งถน่ิ ของอนิ เดยี ๕. เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวพุทธผู้ศรัทธา ได้แสดงออกถึงน้ำใจของชาวพุทธที่ 1 บา้ งกอ็ ธิบายว่าทรงประชวนด้วยโรคท้องร่วง บา้ งก็อธบิ ายว่าเป็นการประชวนลงพระโลหิต 43

มตี ่อคนอนิ เดยี ด้วยการรว่ มเปน็ เจ้าภาพสร้างสถานรักษาพยาบาล ๖. เปน็ ศนู ยก์ ลางการเชือ่ มสัมพนั ธ์ ไทย-อนิ เดีย โดยมกี จิ กรรมเพอื่ การกุศล เปน็ สือ่ กลาง กุสินาราคลินิก ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ของวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ และอยู่ หา่ งจากมหาปรนิ พิ พานวหิ ารไมไ่ กล ทน่ี เ่ี ปดิ รกั ษาโรคใหก้ บั ทกุ คน ทง้ั โรคทางกาย และโรคทางใจ โดยคิดค่ารักษาเพียงครั้งละ 8 รูปี ซึ่งคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 5-6 บาทเทา่ นัน้ ตอนที่ฉนั เดินทางไปถงึ ทางศนู ย์กำลงั พฒั นาพื้นท่ีและสรา้ งตึก สรา้ งอาคารเพม่ิ โดยชน้ั ลา่ งของตกึ แรกจะเปน็ สว่ นของคนไขน้ อก สว่ นดา้ นบนจะ เปน็ ทพ่ี กั แพทย์ และหอ้ งพกั ฟน้ื ผปู้ ว่ ย โดยมพี น้ื ทส่ี ว่ นหนง่ึ กนั ไวเ้ ปน็ สว่ นฝกึ อบรม ที่แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ได้นำโครงกระดูกจำลองมาบริจาค เพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับเจ้าหน้าที่ แต่คนที่ทำป้ายติดด้านหน้าโครงกระดูก ทำปา้ ยเขียนเอาไว้วา่ “โครงกระดกู พญ.คณุ หญิงพรทพิ ย์ โรจนสนุ ันท”์ จงึ กลาย เปน็ เรอ่ื งขำขนั ใหค้ นแซวบา้ งถามไถบ่ า้ งอยเู่ นอื งๆวา่ “คณุ หญงิ หมอบรจิ าคกระดกู ของตวั เองใหท้ น่ี เ่ี หรอ” จนเดย๋ี วนต้ี อ้ งทำปา้ ยขน้ึ ใหมโ่ ดยเพม่ิ คำวา่ “บรจิ าคโดย” เข้าไปด้านหนา้ ชื่อผบู้ ริจาค พระอาจารยค์ มสรณย์ งั ฝากขา่ วมาบอกดว้ ยวา่ ใครทเ่ี ปน็ แพทยแ์ ละพอจะมี เวลาวา่ ง กข็ อเชญิ ใหม้ ารว่ มกนั ทำบญุ ดว้ ยการรกั ษาเพอ่ื นมนษุ ยท์ น่ี บ่ี า้ ง มที อ่ี ยทู่ ก่ี นิ ให้พร้อมสรรพ...ขอแรงอย่างเดียว ส่วนอาคารหลังที่สองซึ่งอยู่ลึกไปด้านหลังนั้น พระอาจารยค์ มสรณบ์ อกใหฟ้ งั วา่ เพอ่ื ใหต้ รงกบั แนวคดิ ของหลวงพอ่ เกย่ี วกบั การ สร้างสถานพยาบาลตั้งแต่แรกเริ่มที่ว่า... กุสินาราคลินิกเพื่อร่างกายและจิตใจ ส่วนหน้าจักรักษาโรคทางกาย ด้วยยาแบบแพทย์แผนปัจจุบันทุกชนิด ด้านหลัง เปน็ การรกั ษาโรคทางใจ โรคทร่ี กั ษาไมห่ าย แตส่ ามารถรกั ษาดว้ ยธรรมโอสถ สำหรบั เป็นที่ปฏิบัติธรรม ให้เข้าถึงพุทธพจน์ที่ว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรค (คือโลภะ โทสะ โมหะ) เป็นลาภอันประเสริฐน่นั เอง... 44

คลนิ กิ ทฉ่ี นั ไดม้ โี อกาสไปเยย่ี มชมน้ี เปน็ อกี ตวั อยา่ งหนง่ึ ของการทำบญุ ดว้ ย ทรพั ย์ ท่สี รา้ งความสุขและประโยชนใ์ หค้ นหมมู่ ากโดยแท้ เป็นการทำบุญทีส่ รา้ ง ให้เกดิ ประโยชนต์ ่อเนอ่ื งในสงั คม พระอาจารยค์ มสรณ์บอกว่า ถา้ เป็นคนไทยมา แถวน้ี สามารถเทย่ี วไดโ้ ดยไมต่ อ้ งกงั วลใดๆ เพราะอำนาจแหง่ การใหแ้ ละพลงั แหง่ ความดี ทญ่ี าตโิ ยมชาวไทยและพระภิกษุแถวนี้สร้างไว้มมี ากมาย จนคนแถวนีร้ ัก คนไทยมาก หลงั จากเยย่ี มชมคลนิ กิ แลว้ คณะของ “เรา” กเ็ ดนิ ทางกลบั วดั (ฉนั รบี โมเม เหมารวมตัวเองไปกับคณะของพี่ติ๋งเสร็จสรรพ) ซึ่งเพียงแค่รถแล่นผ่านเข้าไปใน ประตวู ดั ฉนั กร็ สู้ กึ เหมอื นไดเ้ ดนิ ทางกลบั บา้ นกลบั เมอื งไทย เพราะทง้ั บรรยากาศ ทง้ั กลน่ิ อายของวดั ไทยกสุ นิ าราเฉลมิ ราชยแ์ หง่ น้ี มนั ชา่ งเปน็ ไทยแทๆ้ ทส่ี ำคญั วดั น้ี ทง้ั สะอาดสะอา้ น งดงาม สงบ เรยี บรอ้ ย ใหญโ่ ต และในทส่ี ดุ ฉนั กไ็ ดพ้ บ ‘หลวงพอ่ ’ ที่พระอาจารย์คมสรณ์เอย่ ถึง ‘หลวงพ่อ’ หรือท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) สอบถาม ถงึ ความเปน็ มาเปน็ ไปของฉนั วา่ เหตใุ ดไฉนเลา่ ...เจา้ ถงึ มาอนิ เดยี คนเดยี ว พอฉนั เลา่ ใหท้ า่ นฟงั ถงึ การเสยี รแู้ ขกไปหลายรอ้ ยรปู ี ทา่ นกบ็ อกวา่ “เขาไมไ่ ดโ้ กงเราหรอก... มนั เปน็ วชิ าหากนิ ของเขานะ่ ... ถา้ เรารจู้ กั ระวงั ตวั เขากห็ ากนิ กบั เราไมไ่ ด.้ .. จงดใี จ เถดิ เวลามพี วกแขกบอกราคาคา่ รถหรอื คา่ ขา้ วของตา่ งๆกบั เราแพงเกนิ จรงิ ... เพราะ แสดงว่าเขากำลังเห็นว่าเราเป็นผู้มีทรัพย์มาก...” เมื่อคิดๆตามฉันก็เห็นจริงตาม ท่านไปดว้ ย และเรยี นตอบทา่ นกลบั ไปขำๆวา่ “แต่ตอนนคี้ งไม่มใี ครมาหลอกหนู แลว้ มงั คะ เพราะตอนนส้ี ภาพของหนนู น้ั ชดั เจนมากเลยคะ่ วา่ …เปน็ ผไู้ มม่ ที รพั ย”์ ทกุ คนทีน่ ั่งอยตู่ รงนนั้ เลยฮากันครนื หลงั จากซกั ถามประวตั ขิ องฉนั ไปพอทำเนาแลว้ หลวงพอ่ กบ็ อกใหฉ้ นั อยพู่ กั ที่วัดกับพวกพี่ติ๋งสักคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับไปกอรักปูร์ แรกทีเดียวฉันก็ปฏิเสธ 45

เพราะข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างของฉันอยู่ที่โรงแรม แถมฉันยังต้องขึ้นรถไฟไป พาราณสีในคืนวันนั้นด้วย แต่พอหลวงพ่อบอกว่า “เธอพักอยู่ที่นี่เถอะ ค่าตั๋วค่า โรงแรมจะเทา่ ไรกนั เชยี ว เดย๋ี วฉนั ใหเ้ จา้ หนา้ ทจ่ี ดั การให้ มาอนิ เดยี ทง้ั ที อยา่ วางแผน อะไรใหม้ ากนกั แคเ่ ตรยี มรบั กบั สง่ิ ทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ โดยไมค่ าดคดิ ตลอดเวลากพ็ อ เรอ่ื ง เครอ่ื งใช้ สบู่ ยาสฟี นั เดย๋ี วจะมคี นจดั เตรยี มให”้ หลวงพอ่ พดู เสยี ขนาดน้ี ฉนั จะ ไม่อยู่ก็คงไม่ได้แล้ว ขนาดจิ้งจกทักคนยังหยุด นี่พระผู้ใหญ่ทักทั้งที จะไม่หยุด ได้อย่างไรเลา่ อาหารกลางวันมื้อแรกในอินเดียช่างถูกปากถูกใจฉันจริงๆ มีทั้งไข่เจียวกับ นำ้ พรกิ ขกี้ าผดั ผกั ตม้ ยำและผลไม้ครบทง้ั คาวหวานถา้ ทอ้ งไสข้ องฉนั หลงั่ นำ้ ตาได้ มนั คงรอ้ งไหส้ ำนกึ ในบญุ คณุ ขา้ วแดงแกงรอ้ นมอ้ื นก้ี นั ระงม เพราะนม่ี นั คอื อาหาร แบบเมอื งไทยชัดๆ ทำเอาฉนั ลืมไปเลยวา่ กำลงั อยใู่ นอนิ เดยี เรารับประทานอาหารในหอ้ งเดียวกับทพี่ ระภกิ ษทุ ้งั หลายฉนั เพล เมอื่ เสรจ็ จากการฉัน หลวงพ่อก็กล่าวให้โอวาทและแนะนำให้คณะของเราได้รู้จักกับเหล่า พระธรรมทตู และแมช่ ที ง้ั หลาย พรอ้ มแจง้ วา่ ในการประชมุ เหลา่ สงฆแ์ ละแมช่ วี นั นี้ จะให้พี่ติ๋งกับฉันไปเล่าประสบการณ์ชีวิตจากโลกภายนอก ให้บรรดาพระสงฆ์ และแมช่ ไี ดฟ้ งั กนั เปน็ วทิ ยาทาน ‘เอาละ่ ส.ิ ..งานเขา้ แลว้ ...’ ฉนั เคยพดู จาเปน็ เรอ่ื ง เป็นราวให้พระสงฆ์องค์เจ้าฟังที่ไหนกันเล่า แล้วคนอย่างฉันจะมีอะไรไปเป็น วิทยาทานกับท่านๆเหล่านั้นได้ ฉันจึงเหงื่อตกจิตตกไปชั่วขณะ...แต่ก็ยังทำใจดี สูเ้ สอื ...เอย๊ ...สู้พระ แล้วปลอบใจตัวเองว่า ‘สู้กับพระ...ยงั ไงก็คงไม่ตายหรอกเจา้ ’ หลงั มื้อกลางวัน ฉันกไ็ ด้เขา้ ห้องพกั ท่แี สนจะหรเู รดิ อลงั การ สะอาด สบาย กว้างขวาง พร้อมเครื่องใช้เครื่องนอนอย่างดี ห้องพักสำหรับผู้แสวงบุญเป็นห้อง นอนรวม โดยใน 1 หอ้ งมปี ระมาณ 6 เตยี ง มหี อ้ งอาบนำ้ และสขุ ารวมอยใู่ นหอ้ งพกั เลย สว่ นเครอ่ื งใชท้ พ่ี ระลกู วดั ทา่ นกรณุ านำมาใหฉ้ นั ไดใ้ ชน้ น้ั ลว้ นเปน็ ของดที ง้ั สน้ิ 46

ไมว่ า่ จะเปน็ ผา้ เชด็ ตวั สบู่ ยาสฟี นั แปรงสฟี นั ตา่ งกเ็ ปน็ ของดมี ยี ห่ี อ้ ทง้ั นน้ั ฉนั รสู้ กึ ดมี ากๆเหมอื นไดเ้ ชค็ อินเขา้ โรงแรม 5 ดาวเลยทเี ดยี ว หลงั จากตอ้ งเหนอื่ ยลา้ มา ตลอด 2-3 วนั ทผ่ี า่ นมา ฉนั รสู้ กึ สบายกายสบายใจสดุ ๆ จากเมตตาทไ่ี ดร้ บั ในครง้ั น้ี และการไดร้ บั ขา้ วของเครอ่ื งใชเ้ หลา่ นก้ี ท็ ำใหฉ้ นั ยง่ิ มน่ั ใจมากขน้ึ ไปอกี วา่ บญุ กรรม มันต้องมีจริงแน่ๆ เพราะเวลาฉันซื้อหาของไปถวายสังฆทาน ฉันมักไปเลือกซื้อ ของด้วยตวั เอง มากกวา่ จะซื้อถงั สังฆทานท่ีเขาจัดไว้แล้ว และฉนั ก็จะเลอื กของดี มีคุณภาพไปถวายสังฆทานเสมอ อานิสงส์ที่ฉันเคยทำไว้ ได้ย้อนมาให้ผลกับฉัน ตรงๆทันใจกนั ในชาตนิ เ้ี ลยทเี ดยี ว ถา้ คณุ จำไดว้ า่ ทโ่ี รงแรมในกอรกั ปรู น์ ำ้ ไมไ่ หลตลอดคนื คณุ กน็ า่ จะจำไดเ้ ชน่ กนั ว่า ครั้งสุดท้ายที่ฉนั ได้อาบนำ้ คอื เช้าวนั ทฉ่ี ันออกจากลมุ พนิ ีมา และคุณกน็ า่ จะ เดาไดว้ า่ …การไดเ้ จอนำ้ ใสไหลเยน็ จากฝกั บวั นน้ั …เปน็ ความสขุ เพยี งใด แตเ่ นอ่ื งจาก ฉันไม่ได้มีเสื้อผ้าติดตัวมาด้วย ฉันจึงต้องรีบซักเสื้อตัวเดียวที่มีอยู่แล้วบิดให้แห้ง ทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะทำได้ และกโ็ ชคดที ค่ี วามรอ้ นแรงของแสงแดดเดอื นเมษายนในอนิ เดยี ทำหน้าท่ีของมันไดอ้ ยา่ งดีเย่ยี ม เส้อื ของฉันจงึ แห้งพอทจี่ ะใส่ตอ่ ได้ ในเวลาเพยี ง 2-3 ชว่ั โมง ซง่ึ เปน็ ชว่ งเวลาทฉ่ี นั ไดง้ บี หลบั ไปอยา่ งมคี วามสขุ ประหนง่ึ อยบู่ นแดน สวรรค์ แต่หลังจากเฝ้าพระอินทร์มางีบหนึ่งแล้ว ฉันก็ได้ยินเสียงพี่ติ๋งบอกผ่าน หนา้ ตา่ งเขา้ มาวา่ ถงึ เวลาทพ่ี ระธรรมทตู จะเรม่ิ ประชมุ กนั แลว้ ซง่ึ นน่ั หมายความ ว่าถึงเวลาที่ฉันจะต้องเปิดการแสดง “เดบิวท์1 เดี่ยวไมโครโฟน” ครั้งแรกของ ตวั เองแล้วนั่นเอง 1 เดบวิ ท์ หรือ debute ในภาษาองั กฤษ หมายถึงการเร่มิ ต้น หรอื การทำสิง่ หน่ึงส่ิงใดเปน็ คร้ังแรก 47

การไดม้ านง่ั ฟงั เหลา่ พระสงฆท์ น่ี ป่ี ระชมุ กนั ทำใหฉ้ นั ไดเ้ รยี นรวู้ า่ วดั ทน่ี ท่ี ำงาน กันอย่างเป็นระบบ และมีการจัดการที่ดี ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ แต่เพราะ ‘หลวงพ่อ’ พระราชรตั นรงั ษ1ี ซง่ึ เปน็ ประธานสงฆข์ องทน่ี ่ี ทา่ นวางรากฐานไวอ้ ยา่ งดี และเหลา่ พระธรรมทูตของที่นี่ก็มีวินัย มีความรู้ดีๆทั้งสิ้น หลายท่านจบปริญญาเอกเป็น ด็อกเตอร์กันแล้วด้วยซ้ำ และก็มีอีกหลายท่านที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาเอก อยู่ พระทกุ รปู ของทน่ี จ่ี ะไดท้ นุ เรยี นฟรี แตต่ อ้ งมผี ลงานและตอ้ งพสิ จู นต์ วั เองกอ่ น วา่ เปน็ พระทด่ี จี รงิ ๆ จงึ จะไดร้ บั โอกาสนน้ั ฉนั เหน็ แลว้ กไ็ ดแ้ ตห่ วงั ใหว้ ดั ในเมอื งไทย หลายๆวดั พฒั นาใหไ้ ดด้ แี บบนบ้ี า้ ง มใิ ชเ่ อาแตต่ ง้ั หนา้ ตง้ั ตาสรา้ งวตั ถมุ งคลของขลงั หลงั จากทเ่ี หลา่ สงฆแ์ ละแมช่ ปี ระชมุ ตดิ ตามงานกนั เสรจ็ พระอาจารยค์ มสรณ์ ซึ่งเป็นผู้นำการประชุม ก็เชิญพี่ติ๋งขึ้นไปเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ทุกคนฟัง แบบมีสาระจับใจความได้ ส่วนฉันซึ่งเล่าเป็นคนต่อไป ก็เล่าแบบโก๊ะกังถังแตก ไปเรื่อยตามประสาของฉัน แต่การผจญภัยอันทรหด กับบทบู๊ดุเด็ดเผ็ดมันที่ฉัน ได้เจอ ตั้งแต่การไต่เขาเคล้าหิมะในเนปาล...จนถึงการเดินทางอันระหกระเหิน เงน่ิ งก มาจนถงึ เมอื งกสุ นิ าราของฉนั กเ็ รยี กเสยี งหวั เราะ และเสยี ง ‘หา๋ ...โห...หอื ...’ จากทกุ คนได้พอควร เมื่อการเล่าประสบการณ์ของฉันจบลง บรรดาหลวงพี่และแม่ชีทั้งหลาย ตา่ งกท็ ง่ึ (หรอื อาจจะเวทนาดว้ ยกไ็ ด้ ฮา...) ทฉ่ี นั ผา่ นประสบการณด์ สี ดุ ขว้ั รว่ั สดุ ขดี มามากมายในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และคงนึกขำกันในใจว่า “เธอก็มาถึงที่นี่ ของเธอจนไดน้ ะ” และเนอ่ื งจากฉนั ไดบ้ อกเจตนารมย์ของฉนั ไปว่าอยากจะเขียน หนงั สอื จากทรปิ นใ้ี หไ้ ดส้ กั เลม่ หนง่ึ พระอาจารยค์ มสรณจ์ งึ ถามวา่ ฉนั มนี ามปากกา 1 ขณะนน้ั พระราชรตั นรงั ษี (วรี ยทุ ธ์ วรี ยทุ ธโฺ ธ) ดำรงตำแหนง่ เจา้ อาวาสวดั ไทยลมุ พนิ ี ประเทศเนปาล และเปน็ ประธานสงฆว์ ดั ไทยกสุ นิ าราเฉลมิ ราชย์ ประเทศอนิ เดยี ... ปจั จบุ นั ทา่ นดำรงตำแหนง่ หวั หนา้ พระธรรมทตู ไทยสายประเทศอินเดีย-เนปาล 48

แลว้ หรอื ยงั … “…ถา้ ยงั ไมม่ ี กใ็ ชช้ อ่ื ‘เอกจารณิ ’ี สิ เพราะมนั หมายถงึ …หญงิ ผเู้ ดนิ ทาง มาโดยลำพงั ” และทกุ คนในทป่ี ระชมุ ตา่ งกเ็ หน็ พอ้ งตอ้ งกนั ทจ่ี ะใหฉ้ นั ใชช้ อ่ื นเ้ี ปน็ นามปากกาของตัวเอง ทีแรกฉันก็ลังเลอยู่บ้าง เพราะฉันไม่ได้เดินทางท่องเที่ยว ตามลำพงั เสมอไป จะใชช้ อ่ื นเ้ี ขยี นหนงั สอื ทกุ ครง้ั มนั จะแปลกๆไหมนะ แตช่ อ่ื นม้ี นั ก็เท่ถูกใจฉันจริงๆเสียด้วย และถ้าคุณกำลังถือหนังสือของฉันเล่มนี้อยู่ในมือ คุณ ก็คงรู้แลว้ ละ่ ว่าฉันเลอื กที่จะใชน้ ามปากกานห้ี รือไม่ นอกจากใหฉ้ ายาหรอื นามปากกากบั ฉนั แลว้ พระอาจารยค์ มสรณย์ งั อธบิ าย ใหฉ้ นั ไดเ้ ขา้ ใจถงึ ทศั นะของชาวอนิ เดยี ตอ่ การเดนิ ทางตามลำพงั ของผหู้ ญงิ เพม่ิ เตมิ ด้วยวา่ ในสายตาของชาวอนิ เดียนน้ั ผูห้ ญิงทเี่ ท่ียวเดนิ ทางไปโน่นมานตี่ ามลำพัง น้นั เขาถือว่าเปน็ ‘อัปมงคล’ (โซ.่ แหวน.ยกั ษ.์ แล้วสฉิ นั ) แต่เดี๋ยวน้ีความเชอ่ื แบบ นี้ค่อยๆลดน้อยลงแล้ว เพราะชาวอินเดียได้เห็นชาวต่างชาติที่เป็นผู้หญิงเดินทาง คนเดยี วกนั มากขน้ึ แตค่ วามเชอ่ื นก้ี ย็ งั ไมห่ มดไปจากสงั คมอนิ เดยี เสยี ทเี ดยี ว สว่ น ในทางพุทธศาสนานั้น การเดินทางจาริกไปตามลำพังถือเป็นการศึกษาเรียนรู้ที่ดี ซ่ึงคำอธบิ ายดังกลา่ ว ทำให้ฉันเข้าใจเหตุการณ์ท่ฉี นั กำลงั จะได้เจอในอีกหลายวัน ถดั ไปไดด้ ขี ้นึ หลงั เสรจ็ จากการประชมุ สงฆ์ พระอาจารยค์ มสรณก์ น็ ำพต่ี ง๋ิ พจ่ี วิ นอ้ งจเู นยี ร์ และฉัน ไปยงั สถานทสี่ ำคญั อีกแหง่ หน่ึงน่ันคือ ‘มกฏุ พันธนเจดยี ’์ ซ่งึ เป็นจุดท่ีทำ การประกอบพธิ ถี วายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หลงั จาก ทพี่ ระองคเ์ สด็จดับขนั ธ์ปรินพิ พาน ใตต้ ้นสาละ ในราตรีขนึ้ 15 ค่ำ เดือนวิสาขะ หรือเดือน6ของไทยและไดม้ กี ารเกบ็ พระบรมศพไว้7วันจากนนั้ จึงจดั ใหม้ พี ิธขี ้ึน ในวันท่ี 8 ซ่ึงตรงกบั แรม 8 ค่ำเดอื น 6 โดยเราเรยี กวนั น้นั ว่า... ‘วนั อฏั ฐมบี ชู า’ ดเู ผนิ ๆเจดยี ์ทส่ี ำคญั แหง่ น้ีเหมอื นกองอิฐกองดินธรรมดาๆ แต่ก็เปน็ การนำ อฐิ มากองเรยี งกันได้อยา่ งมศี ลิ ปะ เพราะเมอ่ื องค์เจดยี ์ถกู แสงสอ่ งกระทบในเวลา 49

ที่แตกต่างกัน แสงจะสร้างมิติและรอยเงาที่น่าสนใจต่างๆกันไป แต่สิ่งที่น่าสนใจ กวา่ น้นั คือเรือ่ งราวเกยี่ วกับองค์เจดีย์ท่ดี ูแสนจะเรียบงา่ ยแห่งน้ี จากคำบอกเล่าของพระอาจารย์คมสรณ์เท่าที่ฉันจดและจำได้ก็คือ ในวัน ถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะนน้ั บรเิ วณนถ้ี กู สรา้ งเปน็ เจดยี ท์ รงยอดมงกฏุ 4 ทศิ สงู เทา่ นกเขาเหนิ (ซง่ึ ฉนั กไ็ มแ่ นใ่ จวา่ สงู เทา่ นกเขาเหนิ นม่ี นั สงู แคไ่ หน เพราะตอนท่ี ฉนั อยคู่ อนโดฯชน้ั 5 นกเขากเ็ หนิ ขน้ึ มาทำรงั ได้ เอาเปน็ วา่ เปน็ ความสงู ทม่ี ากโขอยลู่ ะ) สำหรบั พระพทุ ธสรรี ะนน้ั พวกเจา้ มลั ละกษตั รยิ จ์ ดั บชู าดว้ ยของหอม ดอกไม้ และเครอ่ื งดนตรที กุ ชนดิ ทม่ี อี ยใู่ นเมอื งกสุ นิ าราตลอด 7 วนั แลว้ ใหเ้ จา้ มลั ละระดบั หัวหนา้ 8 คน สรงเกลา้ นุ่งห่มผา้ ใหม่ อญั เชิญพระสรรี ะไปทางทศิ ตะวันออกของ พระนคร เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยพวกเจ้ามัลละได้ถามถึงวิธีปฏิบัติ ต่อพระพุทธสรีระกับพระอานนท์ จากนั้นจึงทำตามคำแนะนำ คือห่อพระสรีระ ดว้ ยผ้าใหมเ่ นื้อละเอยี ดแลว้ รองซับด้วยสำลี จากนัน้ ใช้ผ้าใหมห่ ่อทับอกี ทำเชน่ นี้ จนหมดผา้ 500 คู่ แลว้ เชญิ ลงในรางเหลก็ ทเ่ี ตมิ ดว้ ยน้ำมันหอม แล้วทำจติ กาธาน (เชงิ ตะกอน) ดว้ ยไม้จนั ทน์ และของหอมทุกชนิด ในงานพระบรมศพนน้ั มพี ระสงฆม์ าชมุ นมุ กนั ทง้ั สน้ิ 4 แสนรปู ในรศั มี 1 โยชน์ (16 ก.ม.) และมเี ทวดามาชมุ นมุ กนั มากทส่ี ดุ ดงั นน้ั ...หากเราจะเรยี กเมอื งกสุ นิ าราวา่ ‘กรุงเทพฯ’ ก็คงจะไมผ่ ิดอะไรนัก และเนือ่ งจากวันนัน้ มีเหลา่ เทพและเทวดามา ชมุ นมุ กนั อยา่ งเนอื งแนน่ ทวยเทพเทวาทง้ั หลายจงึ ตอ้ งพากนั ลดขนาดของตนเองลง ใหไ้ ดม้ ากทส่ี ดุ ...เลก็ ทส่ี ดุ เพอ่ื ทจ่ี ะไดอ้ ยใู่ กลบ้ รเิ วณงานและอยใู่ กลก้ บั พระพทุ ธสรรี ะ มากทส่ี ดุ นน่ั เอง ทง้ั ๆทโ่ี ดยปกตนิ น้ั ...เหลา่ เทพเทวามกั จะนยิ มแขง่ กนั ขยายรา่ งกาย ให้ใหญโ่ ต เพ่อื ท่ีจะอวดอิทธฤิ ทธิ์และรัศมีตอ่ กนั แตก่ วา่ จะอญั เชญิ พระพทุ ธสรรี ะมายงั มกฏุ พนั ธนเจดยี ซ์ ง่ึ เปน็ สถานทป่ี ระกอบ พธิ ไี ด้ กเ็ กดิ เหตขุ ลกุ ขลกั เลก็ นอ้ ย เนอ่ื งจากเหลา่ เทวดาไมย่ อมใหม้ กี ารเคลอ่ื นยา้ ย 50

พระบรมศพมาจากทางทศิ ใต้ ดงั ทม่ี ลั ละกษตั รยิ ป์ ระสงค์ แตเ่ หลา่ เทวดาตอ้ งการ ใหอ้ ญั เชญิ พระบรมศพออ้ มผา่ นเมอื งเขา้ มาทางทศิ เหนอื จนเมอ่ื ทำตามความประสงค์ ของเหลา่ เทวดา จงึ สามารถเคลอ่ื นยา้ ยพระพทุ ธสรรี ะมายงั บรเิ วณพธิ ไี ด้ โดยระหวา่ ง ทเ่ี คลอ่ื นพระบรมศพ ฝนโบกขรพรรษ1 กโ็ ปรยลงมาจากฟากฟา้ และเหลา่ เทวดา ก็บันดาลให้ดอกมณฑารพอันเป็นทิพย์หล่นโปรยปรายลงมาจากสวรรค์ตลอด เวลา ทั่วทั้งพระนครจงึ เตม็ ไปด้วยกลิน่ หอมของดอกไม้สวรรคน์ ี้ แตค่ รั้นพอถึงเวลาท่ีจะจุดไฟถวายเพลิงพระบรมศพ แมจ้ ะพยายามจดุ ไฟท่ี เชงิ ตะกอนเทา่ ไร แตก่ ม็ อิ าจทำใหไ้ ฟตดิ ได้ เหลา่ มนษุ ยท์ ง้ั หลายพากนั ขอ้ งใจ จงึ ได้ สอบถามสาเหตจุ ากพระอนรุ ทุ ธ พระอนรุ ทุ ธจงึ เขา้ ฌานดแู ละทราบวา่ เหลา่ เทวดา ยังไม่ยอมให้จุดไฟ เนื่องจากมีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะและภิกษุ กลมุ่ ใหญอ่ กี 500 รปู ซง่ึ กำลงั เดนิ ทางมาเพอ่ื ถวายบงั คมพระบาทเสยี กอ่ น เพราะ ตอนที่พระมหากัสสปะทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ท่านได้ตั้งจิต อธษิ ฐานไวว้ ่า ขอใหท้ ่านไดม้ โี อกาสกราบลาท่ีพระบาทกอ่ นทจ่ี ะมกี ารถวายเพลงิ พระบรมศพ เลา่ กนั วา่ พอพระมหากสั สปะมาถงึ และทำการประทกั ษณิ เวยี นรอบพระพทุ ธสรรี ะ ครบ 3 รอบแลว้ พระมหากสั สปะกน็ อ้ มจติ อธษิ ฐานวา่ “ขอมหาพทุ ธานภุ าพแหง่ พระองค์ จงไดป้ รากฏพระพทุ ธบาทประทบั บนศรษี ะของขา้ พระพทุ ธเจา้ ดว้ ยเถดิ ฯ” หลงั จบคำอธษิ ฐาน กป็ รากฏวา่ ...พระบาททง้ั คยู่ น่ื ออกมาเกยบนศรษี ะของพระมหาเถระ 1 ฝนโบกขรพรรษ (โบก-ขอ-ระ-พดั ) เปน็ ฝนพเิ ศษ สแี ดง เวลาตกลงมาใครตอ้ งการใหเ้ ปยี กจงึ เปยี ก ใครไมต่ อ้ งการใหเ้ ปยี กกไ็ มเ่ ปยี ก เคยตกในครง้ั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปโปรดพระราชบดิ าและพระญาติ ทเ่ี มอื งกบลิ พสั ด์ุ โดยทรงแสดงอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ป์ ราบพยศเหลา่ พระญาตแิ ละอกี ครง้ั ในสมยั ทท่ี รงเสวย พระชาตเิ ปน็ พระเวสสนั ดรโพธิสัตว์ พระสงฆ์ทลู อาราธนา จงึ ตรสั เล่าเรอื่ งเวสสันดรชาดก 51

ประหนง่ึ ดงั แสงอาทติ ยฉ์ ายลอดออกมาตามกลบี เมฆ เปน็ ทอ่ี ศั จรรยใ์ จแกพ่ ทุ ธบรษิ ทั ทั้งหลายเปน็ ทย่ี ่ิง เมอ่ื พระมหากสั สปะไดก้ ราบทพ่ี ระบาท1 แลว้ ถอยออกมา จงึ เกดิ ไฟลกุ โชน ขน้ึ เอง โดยมเี ทวดาเปน็ ผจู้ ดุ เพลงิ ทพิ ยถ์ วาย มไิ ดม้ มี นษุ ยผ์ ใู้ ดจดุ ไฟขน้ึ และในขณะ ท่เี พลงิ ลุกไหม้ กม็ ีดนตรีทิพยบ์ รรเลงก้องกังวานไปทว่ั บริเวณอีกดว้ ย เม่ือเล่าพุทธประวัติอันน่าอัศจรรย์และน่าสนใจยิ่งให้พวกเราฟังจบ พระอาจารยค์ มสรณก์ น็ ำเราสวดมนต์ เพอ่ื สกั การะองคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการ ‘ดับ’ อย่างแท้จริง ฉันตั้งจิต อธิษฐานตามพระอาจารย์คมสรณ์ว่า ‘ขอให้ข้าพเจ้าได้ดับทุกข์ ดับโศก ดับโรค ดบั ภยั ดบั ความไมร่ ู้ ดบั อวชิ ชาทง้ั หลาย ดบั สง่ิ ไมด่ ตี า่ งๆไปเสยี ตรงน’้ี หลงั จากนน้ั พระอาจารย์ก็นำเราร่วมอธิษฐานจิตดับปัญหา ดับความวุ่นวายของประเทศไทย ในขณะน้นั ดว้ ย (วันน้ันเป็นวันท่ี 10 เมษายน พ.ศ. 2552) หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนอย่างแสนสบายกายสบายใจทั้งคืน ฉันจึงตื่น ข้ึนมาแตเ่ ช้าอยา่ งสดใส พอฉันได้พบหลวงพอ่ พระราชรัตนรงั ษี ทา่ นก็บอกใหฉ้ นั ถา่ ยรปู วดั ไปเยอะๆ แลว้ ชว่ ยเขยี นอะไรเกย่ี วกบั วดั หนอ่ ย เขยี นอะไรกไ็ ดส้ กั 20 หนา้ ท่านจะเอามาแจกในวันเกิดของทา่ นท่จี ะถึงในวนั ที่ 3 พฤศจกิ ายน (ผา่ นไป 2 ปี ฉนั กย็ งั นง่ั เขยี นงานชน้ิ นอ้ี ยเู่ ลย T _ T) ฉนั กงั วลขน้ึ มาทนั ที เมอ่ื คดิ วา่ จะตอ้ งเขยี น 1 ทีว่ หิ ารแกลบ ในวดั พระมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวดั ใหญ่ จังหวดั พษิ ณุโลก มีพระพทุ ธรูปปาง แปลกชอ่ื “ปางพระเจา้ เขา้ นพิ พาน” ซง่ึ มลี กั ษณะเปน็ กลอ่ งสเ่ี หลย่ี มสที อง (โลงพระศพ) ทม่ี พี ระบาท ยน่ื พ้นตัวโลงออกมา และมพี ระมหากสั สปะนงั่ กราบพระบาทอยู่ การกราบไหว้พระพทุ ธรูปปางนี้ นยิ มทำโดยยนื กราบทฝ่ี า่ พระบาททง้ั สองขา้ ง โดยนำหนา้ ผากแนบผา่ พระบาทแลว้ อธษิ ฐาน แตค่ วาม เหน็ ส่วนตัวของผ้เู ขียน ร้สู กึ ว่าหากยืนกราบพระบาทโดยตวั ของเราต้องแทรกอยดู่ ้านหน้ารูปจำลอง ของพระมหากัสสปะ ก็คงดูไมง่ ามสักเท่าไร 52

อะไรเกย่ี วกบั ธรรมะ เพราะถงึ แมฉ้ นั จะศรทั ธาในพทุ ธศาสนา แตฉ่ นั กไ็ มไ่ ดม้ คี วามรู้ อะไรมากมาย ฉนั เขา้ ใจวา่ นค่ี งเปน็ กศุ โลบายใหฉ้ นั ไดศ้ กึ ษาธรรมะเพม่ิ เตมิ เสยี มากกวา่ หรอื ทา่ นอาจจะมองออกวา่ ฉันเปน็ คนประเภททีช่ อบคดิ ชอบเขียน แตค่ งไม่เคย เขียนอะไรจบสกั ที...หากไม่ไดม้ ีการตกปากรบั คำกับพระกบั เจา้ ... ดไี ม่ดงี านเขียน ที่ฉันประกาศว่าอยากจะทำให้เสร็จ อาจนอนนิ่งจมกองฝุ่นเหมือนที่ผ่านๆมา หากทา่ นไม่ขอบิณฑบาตผลงานจากฉัน งานนี้ฉันจึงไม่ทำไม่ได้...ทำไม่สำเร็จก็ไม่ได้... แม้วูบแรกฉันจะรู้สึกถึงภาระ ของการแบกรับคำมั่นสัญญา แต่วูบต่อมาฉันก็คิดได้ว่า...ท่านไม่ได้ต้องการมอบ หมายงานใหฉ้ นั หรอก แทจ้ รงิ แลว้ ...ทา่ นกำลงั มอบ ‘ความสำเรจ็ ’ ใหฉ้ นั ตา่ งหาก นค่ี อื อกี หนง่ึ คำสอน อกี หนง่ึ บทเรยี นทฉ่ี นั ไดร้ บั ... นน่ั คอื หากเราคดิ วา่ งาน ทกุ อยา่ งทีเ่ รากำลงั ทำ เป็นการทำงานทเ่ี ราไดส้ ญั ญาไวก้ ับคุณพระคุณเจา้ ... หรือ เป็นการทำตามคำมั่นสัญญา ที่เราให้ไว้กับคนที่เราเห็นว่าเป็นคนสำคัญ...เห็นว่า เป็นการกระทำเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่... ทำเพื่อทำนุบำรุงพระศาสนา หรือทำเพื่อ ประเทศชาต.ิ .. เรากจ็ ะทำงานนน้ั ไดพ้ รอ้ มกบั ความมงุ่ มน่ั ทมุ่ เท และตง้ั ใจ และไมว่ า่ เรว็ หรอื ชา้ ...งานนน้ั กจ็ ะประสบความสำเรจ็ อยา่ งดจี นได้ เหมอื นกบั ทห่ี ลวงพอ่ ได้ คยุ กบั ฉนั เมอ่ื คนื กอ่ นวา่ “แมค้ นเราทกุ คนจะดเู หมอื นมกี ารงานมหี นา้ ทท่ี แ่ี ตกตา่ ง กัน แต่แท้จริงแล้วทุกคนกำลังทำหน้าที่เดียวกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น พลั่วที่ตักดิน หรือช้อนท่ีกนิ ขา้ ว กล็ ว้ นแตท่ ำหน้าที่สรา้ งโลกนีด้ ว้ ยกนั ทัง้ สิน้ ” ฉนั จงึ ‘ขอบคณุ ’ และสำนกึ ในพระคณุ ของหลวงพอ่ พระราชรตั นรงั ษยี ง่ิ นกั ต่อเจตนาอันดีทจี่ ะหยบิ ย่ืนความสำเร็จ ในการเปน็ นกั เขียนใหก้ บั ฉนั 53



โอม คำศักดสิ์ ทิ ธ์ิและสญั ลกั ษณ์ ที่พบได้ท่ัวไปในอนิ เดยี ไมว่ า่ จะเปน็ ตามฝาผนังของบ้านเรอื น ตามกระจกของรา้ นรวงต่างๆ หรอื แม้แต่รอบคนั รถบรรทุก มอง คนปนั่ ‘รคิ ชอว์’ หรอื รถสามล้อ กำลงั มองหาผู้โดยสาร...โดยไมร่ ้ตู วั เลยวา่ ...กำลงั ถูก...มอง

ลักซี่หรือโยเกริ ต์ กบั ผลไม้แห้ง อาหารเชา้ มากประโยชน์...ราคาเบา MAYTAS-SATYAM แซตยมั โฮเทล ซ่ึงออกเสยี งคล้ายๆ “สยามโฮเทล” คือท่พี กั ของฉันในกอรกั ปรู ์ แมส้ ภาพทงั้ ภายนอกและภายในของมนั จะหา่ งไกลคำว่าสวยหรอู ยู่สบายอย่างมาก แตเ่ มื่อมองในมมุ ท่ตี ่างออกไป...ในเวลาท่เี หมาะสม... คุณจะพบว่า...ความงาม...ไม่เคยลืมทีจ่ ะแวะเวยี นมาเย่ยี มเยยี นท่ีนี่ อยู่ทวี่ ่าคุณ...เหน็ มันหรือไม่

อิสระแบบเทพๆ อสิ ระแบบคนๆ ถ่ายกับป้ายยนิ ดีต้อนรับหน้าโรงแรม ภาพวาดในรูปใสช่ ดุ ประจำชาตอิ นิ เดยี ฝ่ายชาย รูปกับเงา เราอาจจะคดิ ว่ามแี ต่ ‘เงา’ ที่ไม่ใช่ ‘เรา’ แต่ ‘รูป ก็ไมใ่ ช่ ‘เรา’

คิดถงึ นานแลว้ ทีไ่ ม่ไดเ้ หน็ จักรยานเกา่ ๆกับหนังสอื พมิ พย์ ามเช้า ...เพราะเดย๋ี วน.้ี .. มีคนเอาหนงั สอื พิมพ์ไปอ่านให้ฟังกันทางทีวแี ลว้

บรรยากาศยามเชา้ รอบสถานรี ถไฟกอรกั ปรู ์ หน่งึ ในบอร์ดตรวจสอบสถานะตั๋ว รอยตอ่ อรณุ รุ่ง... คอื รอยตอ่ ของรตั ตกิ าลและวันใหม่ ชานชาลา... คอื รอยต่อของการจากไปและการมาถึง ชวี ติ คน...เต็มไปดว้ ย...‘รอยต่อ’

พระพทุ ธรูปปางอนฐุ านไสยาสน์ ภายในมหาปรินพิ พานวหิ าร, กุสนิ ารา วาง วงิ ...ว่ิง...วง้ิ ... วุน...วุน่ ...วนุ้ ... วาย...วา่ ย...วา้ ย.. วาง...ว่าง...(ไม่เว้ิง)ว้าง... ดบั แสงตะวนั ลบั ขอบฟ้า...แสงดาราจงึ มาเยอื น เกดิ ดับคือลบั เลื่อน...เคลือ่ นจากตน้ ไปจรดปลาย ดบั เดียวท่ีดบั แน่...คอื ดบั เกดิ แก่เจบ็ ตาย คลายจางวางกลางใจ...ไร้เงาจบั ดบั มดื มน มกุฏพันธนเจดยี ์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรรี ะ

วดั ไทยกุสนิ าราเฉลมิ ราชย,์ กสุ นิ ารา



แสง-กบั -เรา หากไมม่ ีแสง...คงไมม่ ีสี หากไม่มแี สง...เงาคงไม่มี แต่แสงเงาและแสงส.ี ..มเี พราะ ‘เรา’

ข้า คอื ผู้ไรศ้ ักดนิ า ขา้ คอื ผหู้ าวิชาไม่ แต่ข้า มี “อหงิ สา” ในใจ ข้า จึงสขุ ได้ในไม่มี

ย้มิ ยามยลพระพทุ ธรปู ...ศลิ ายิม้ จิตลม้ิ สุขศานต์...ในรอยสรวล ศิลายกรมิ โอฐแย้ม...อย่างนมุ่ นวล หรือแท้ล้วนเพราะจิตพร้มิ ...เรายิม้ เอง



มองทำไม มองออกนอก...พวกเขาดขู ัดใจ มองยอ้ นใน...ตัวเราดขู ้องจิต มองใน-นอก...มองแลว้ ลองตรติ รองคดิ มองแลว้ ตดิ ...มองแลว้ ข้อง... ...มองทำไม... พาหนะ ในทุกการเดินทาง การจะกา้ วสจู่ ุดหมาย พาหนะอาจสำคญั กว่าปลายทาง เพราะพาหนะอาจนำเราไปสูท่ ้ังจดุ หมายและจดุ จบ ทส่ี ำคญั ...พาหนะของเรามกั ไวใ้ จไมไ่ ด้ โดยเฉพาะพาหนะทม่ี ีชือ่ วา่ ...กาย...และใจ...

ชาวอนิ เดีย...ร้จู ักบริหารพ้ืนทแ่ี ละกาลเวลาเปน็ อย่างด.ี .. ท้องทุ่งนา...จงึ มมี สี นั ท่ีงดงามแตกตา่ งกนั ไป...ตามสสี ันของพืชพรรณทป่ี ลกู ไว้ ราวกบั พวกเขา...รว่ มแรงรว่ มใจกนั เปล่ยี นเคร่อื งทรงใหพ้ ระแมธ่ รณ…ี คัดย่อจากวาทะของ พระราชรัตนรังษี

คู่กัน...นริ ันดร ในหยดุ นิง่ ...มีพร้ิวไหว ในแสงฉาย...มเี งาสาด ในจริงแท้...มีลวงวาด ล้วนธรรมธาต.ุ ..มอิ าจครอง

ข้ึนฝั่ง แม้มเี ธออยู่เรียงเคียงคู่ แต่ฉันกลับหดหู่หมองหมาง แมเ้ ธอเฝ้ารอคอยริมทาง ก็เหมือนห่างสบิ โยชนโ์ กฏกิ ัลป์ เพราะอยู่ในสายธารชอ่ื “ไมเ่ ทย่ี ง” เรอื ใจเอียงแกว่งไกวไหวหว่นั สัญญารักแหง่ ความผูกพัน ขาดสะบน้ั เพราะอนิจจังนที ฉันจงึ ตรอมตรมระบมรา้ ว ขอก้าวสูฝ่ ง่ั หนั หลังหนี ไม่ขอให้สายนำ้ ยำ่ ยี ขนึ้ สู่ธรณีไกวัล 70

บทท่ี 6 ยานธรรม คนสว่ นใหญม่ กั ไดฟ้ งั เทศนฟ์ งั ธรรมกนั ตามศาลาวดั วทิ ยุ ทวี ี หรอื อนิ เตอรเ์ นต็ กย็ งั มี แตว่ นั น้ี ฉนั ไดม้ โี อกาสฟงั ธรรมในสถานทท่ี ก่ี บ๊ิ เกก๋ วา่ นน้ั เพราะเปน็ การนง่ั ฟงั ธรรมไปบนรถโฟรว์ ลิ แอรเ์ ยน็ ฉำ่ แบบ Exclusive1 จากหลวงพอ่ พระราชรตั นรงั ษี ระหวา่ งนง่ั รถกลบั จากวดั ไทยกสุ นิ าราเขา้ ไปยงั เมอื งกอรกั ปรู ์ วาสนาดจี รงิ หนอฉนั ! แรกเริ่มเดิมที ฉันเข้าใจว่าจะได้นั่งรถเข้าเมืองไปพร้อมกับพระธรรมทูตอีก กลุ่มหนึ่ง ซึ่งจะเดินทางไปยังเมืองพาราณสี แต่เนื่องจากหลวงพ่อท่านมีกิจต้อง กลบั ไปยงั วดั ไทยลมุ พนิ ี ทา่ นจงึ เมตตาใหค้ นขบั รถ ขบั แวะเขา้ ไปยงั ตวั เมอื งกอรกั ปรู ์ เพื่อพาฉันไปส่งที่เกสต์เฮาส์ ฉันจึงมีโอกาสนำคำสอนที่หลวงพ่อท่านกรุณาเทศน์ ใหฟ้ ังตลอดทาง มาบอกกลา่ วใหท้ กุ ทา่ นได้รบั ทราบกันอีกต่อหนงึ่ ระหวา่ งนง่ั รถ...ตลอดสองขา้ งทางมที งุ่ ขา้ วสาล2ี ทแ่ี กจ่ ดั พรอ้ มสำหรบั การ เกบ็ เกย่ี ว... หลายสว่ นถกู เกบ็ เกย่ี วไปแลว้ และมอี กี หลายสว่ นทก่ี ำลงั ถกู เกบ็ เกย่ี ว อยู่ สีสันของส่าหรีสดๆที่ตัดกับสีน้ำตาลอ่อนของข้าวสาลี ช่วยเสริมให้ทุ่งนาดู น่าสนใจและมีชีวิตชีวา หลวงพ่อบอกกับฉันว่า “ชาวอินเดียเขารู้จักบริหารพื้นที่ และกาลเวลาไดอ้ ยา่ งดี เพราะเมอ่ื ถงึ ฤดฝู นโปรย...เขากใ็ ชพ้ น้ื ทๆ่ี มี ไปปลกู ขา้ วเจา้ 1 Exclusive (เอ็กซ์คลซู ีฟ) แปลว่า เปน็ พเิ ศษ เฉพาะผ้ใู ดผหู้ นง่ึ หรือท่ใี ดท่หี นึ่ง 2 ข้าวสาลี เป็นธญั พืชเมอื งหนาว ชอบอากาศเยน็ และทนแลง้ ได้ดี รวงขา้ วมลี กั ษณะเปน็ ช่อตั้งตรง เมล็ดข้าวเรียงกันแน่น เมื่อแก่จัดจะมีสีน้ำตาลอ่อน ต่างกับ ข้าวเจ้า ซึ่งชอบน้ำและอากาศร้อนชื้น รวงขา้ วเปน็ ชอ่ กระจาย เมล็ดข้าวแยกกนั เมอ่ื แกจ่ ดั จะมีสีเหลืองทอง 71

ซึ่งต้องการน้ำมาก ต้องการความชื้นสูง... เมื่อฝนหายไป...อากาศเย็นขึ้นแห้งขึ้น เขาจงึ ปลกู ขา้ วสาลตี อ่ จงึ คลา้ ยกบั วา่ พวกเขาเปลย่ี นเครอ่ื งทรงใหพ้ ระแมธ่ รณี ปลี ะ 3 ชดุ คอื เครอ่ื งทรงสเี ขยี วสด...จากสขี องขา้ วเจา้ ยามแรกปลกู เครอ่ื งทรงสเี หลอื งทอง... ของข้าวเจา้ ทอี่ อกรวงแกเ่ ต็มที่ และเครือ่ งทรงสนี วล...ของข้าวสาลีที่สกุ จดั …” “…สำหรับชาวอินเดียนั้นความศรัทธาในเทพเจ้าของเขามีสูงมาก เขาบูชา ทกุ สง่ิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การดำรงชวี ติ และยกใหเ้ ปน็ เทพเจา้ เชน่ ผนื ดนิ อนั อดุ มทท่ี ำให้ ข้าวเติบโตงอกงามก็คือพระแม่ธรณี... แสงสุรีย์จากพระอาทิตย์ที่ช่วยให้ชีวิตแก่ สรรพสิ่งคือสุริยะเทพ... ส่วนพระวาตะหรือพระพายก็ช่วยพัดโบก ให้รวงข้าวที่ สุกปลั่ง...คลายความชื้น จนแห้งพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว... ข้าวจึงเป็นของขวัญจาก เหลา่ เทพ เมอ่ื ไดข้ า้ วมาแลว้ พวกเขาจงึ ตอ้ งทำพธิ บี ชู าสกั การะเหลา่ เทพเสยี กอ่ น จึงจะนำมากนิ ได้…” “…เมือ่ ก่อนวถิ ชี ีวิตของชาวนาไทยกไ็ ม่ต่างกันนัก แตด่ ว้ ยระบบเศรษฐกิจที่ เปลย่ี นไป ทำใหช้ าวนาไทยหลายๆคนลมื ไปวา่ ขา้ วและพชื พรรณธญั ญาหารทง้ั หลาย มีความสำคัญและมีค่ามากมาย เพราะนี่คือ ‘น้ำมันบนดิน’ เป็นน้ำมันสำหรับ มนษุ ย์ ซง่ึ มคี า่ มากกวา่ นำ้ มนั ใตด้ นิ อกั โขนกั ... แตเ่ มอ่ื คดิ ผดิ ...เชอ่ื ผดิ ... จงึ เกดิ การ บริหารจัดการที่ผิด... เมื่อเกิดการบริหารจัดการที่ผิด จึงต้องตกอยู่ภายใต้ระบบ หนี้สิน ต้องเปลี่ยนจากการเป็น ‘เศรษฐีน้ำมัน’ มาเป็น ‘คนจนหนี้ท่วมหัว’ แต่ ชาวอินเดียเขาบริหารจัดการเป็น เขามีวัวควาย...เขาก็ใช้วัวควายไถนา มีมูลวัว มูลควาย...ก็ใช้ทำปุ๋ย ทำเชื้อเพลิง ทาผนังบ้าน ซึ่งเป็นของดี...ของฟรี...ไม่ต้อง ซอื้ หา…” อีกเรื่องที่ท่านพูดถึงคือเรื่องของการใช้ชีวิตที่ถูกที่ควร ท่านสอนว่าการเกิด มามีชวี ิตนนั้ เราต้องรู้จกั “ทำ” 3 อย่าง น่นั คือ... 72

1. “ทำ” ในสง่ิ ทต่ี อ้ งทำ เชน่ การทำมาหากนิ การทำหนา้ ทต่ี า่ งๆอยา่ งสจุ รติ เตม็ ทเี่ ตม็ กำลงั 2. “ธรรมชาติ” การอยู่กับธรรมชาติทำให้จิตใจของเราสดชื่นแจ่มใส และ ถ้าเราได้เข้าใจธรรมชาติ เราก็จะใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียนมัน เพราะ การเบียดเบยี นธรรมชาติ กค็ อื การเบยี ดเบียนตัวเอง 3. “ธรรมะ” ซึ่งเรียกง่ายๆว่าการทำใจ เป็นการศึกษา และปฏิบัติตาม ความเชอ่ื ในศาสนาและลทั ธขิ องตน ศลิ ปะและวฒั นธรรมกถ็ อื เปน็ ธรรมะ อยา่ งหนง่ึ แตธ่ รรมะทส่ี งู ทส่ี ดุ คอื ศาสนาเพราะศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพทุ ธ เปน็ การพฒั นาคน เปน็ การบรหิ ารใจเปน็ การ “ดแู ล” จติ ใจอยา่ งละเอยี ด เป็นการดูจิตโดย “ปริ” หรือโดยรอบ ถ้าคนเราบริหารใจได้ เราก็จะมี ความสุขโดยแท้ นอกจากนห้ี ลวงพอ่ ยงั ฝากธรรมะใหเ้ พม่ิ เตมิ อกี วา่ การเดนิ ทางในอนิ เดยี นน้ั สง่ิ สำคญั คอื เราตอ้ งรจู้ กั แปรรปู รสชาตขิ องการเดนิ ทางใหเ้ ปน็ “สมบตั ”ิ ในขณะนน้ั จงึ จะถอื วา่ เปน็ การเดนิ ทางทไ่ี ดป้ ระโยชน์ ตอ้ งรจู้ กั มอง รจู้ กั ตรติ รอง รจู้ กั คดิ จาก สิ่งที่ได้เห็นได้ประสบ แล้วเรียนรู้จากมัน การจะเดินทางในอินเดียอย่างราบรื่น ประสบความสำเรจ็ ไมร่ สู้ กึ ทกุ ขย์ ากลำบากกายใจ และเหมอื นไดท้ ง้ั พร ไดท้ ง้ั โชค นนั้ หลวงพ่อบอกวา่ ...เราตอ้ งปรบั กาย ปรบั ใจ ปรับความรสู้ กึ และปรบั มุมมอง ทางวฒั นธรรมให้พร้อม โดยใชห้ ลักใหญๆ่ 5 ประการ1 คอื ... 1. ให้ทำตัวประหนึ่งเปน็ นักบวช (ปพั พชิโต) คือ ทำตวั งา่ ยๆ กนิ งา่ ยอยูง่ ่าย สงบกาย สงบใจ 1 คำสอนของพระราชรตั นรงั ษี มอี ยใู่ นหนงั สอื “เมอ่ื มาอนิ เดยี ...สแู่ ดนพระพทุ ธองค์ อนิ เดยี -เนปาล” ทท่ี า่ นเขยี นขน้ึ ผใู้ ดสนใจทจ่ี ะหามาอา่ นสามารถดขู อ้ มลู ไดใ้ น http://www.watthailumbini-th.org หรอื ติดต่อมลู นิธวิ ัดไทยกสุ นิ าราเฉลิมราชย์ 73


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook