144 ใบความรู้ท่ี ๑๗ ศาสนพิธี องคป์ ระกอบของศาสนา และประโยชนข์ องศาสนพิธี อารมั ภบท ศาสนพิธี แปลตามศัพท์ว่าพิธีทางศาสนา หมายถึง วิธี ระเบียบ แบบแผน หรือแบบอย่างท่ีใช้ ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา เม่ือนำ�มาใช้ในพระพุทธศาสนา จึงหมายถึงระเบียบแบบแผนหรือแบบอย่าง ท่พี ึงปฏิบตั ใิ นพระพทุ ธศาสนา ศาสนพธิ เี ปน็ สงิ่ ทม่ี อี ยใู่ นทกุ ศาสนา แตม่ คี วามแตกตา่ งกนั ไปตามความเชอ่ื และค�ำ สอนของศาสนา หรือลัทธิน้ันๆ เป็นส่ิงที่เกิดข้ึนภายหลัง เม่ือมีศาสนาเกิดข้ึนแล้ว จึงมีพิธีกรรมต่างๆ เกิดขึ้นตามมา เมื่อ ศาสนาน้ันๆ มีผู้นับถือมากข้ึน พิธีกรรมชนิดเดียวกันอาจมีการปฏิบัติเหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้างใน ศาสนกิ ชนตา่ งกลมุ่ ตา่ งพนื้ ที่ ตอ่ มานกั ปราชญท์ างศาสนานนั้ ๆ จงึ ไดว้ างระเบยี บแบบแผนในการปฏบิ ตั พิ ธิ กี รรม แต่ละพิธีไว้เป็นแบบอยา่ ง เพื่อให้การปฏิบัติพิธีกรรมเร่ืองนั้นๆ เป็นไปในทางเดียวกัน เรียกช่ือว่า ศาสนพิธี ท่านผู้รู้บางท่านเปรียบพิธีกรรมหรือศาสนพิธีว่าเป็นเหมือนเปลือก หรือกระพี้ท่ีห่อหุ้มแก่นของต้นไม้ คือ แกน่ แทข้ องศาสนาไว้ แตค่ วามจรงิ ทงั้ สองสว่ นนจี้ ะตอ้ งอาศยั กนั และกนั กลา่ วคอื หากไมม่ แี กน่ แทข้ องศาสนา ศาสนพิธีก็อยู่ได้ไม่นาน หรือหากมีเฉพาะแก่นแท้ของศาสนาแต่ไม่มีศาสนพิธี แก่นแท้ของศาสนาก็อยู่ได้ ไม่นาน เช่นเดียวกับต้นไม้ท่ีมีแต่เปลือกไม่มีแก่น หรือมีแต่แก่นไม่มีเปลือกฉะน้ัน ปัจจุบันได้มีจุดหักเห ในการประกอบพธิ กี รรมตา่ งๆ ทางพระพทุ ธศาสนา อาจท�ำ ใหผ้ ทู้ ยี่ งั ไมเ่ ขา้ ใจแกน่ แทข้ องหลกั ธรรมไปยดึ ถอื วา่ ศาสนพธิ ีน้ัน คอื แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ซ่งึ นับวา่ เป็นอนั ตรายอยา่ งยิ่งต่อพระพทุ ธศาสนา ดงั นนั้ จงึ ตอ้ ง ศึกษาทำ�ความเข้าใจให้ถูกต้องว่า อะไรคือเปลือก อะไรคือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา เพ่ือจะได้ปฏิบัติได้ อย่างถูกต้องตามความมงุ่ หมายของหลกั ธรรมค�ำ สอน องค์ประกอบของศาสนา ศาสนา แปลว่า คำ�สอน หมายถึง หลักธรรมคำ�สอนของศาสดาผู้ก่อต้ังศาสนาน้ันๆ รวมท้ัง หลักธรรมคำ�สอนของศาสนาทไ่ี ม่มศี าสดาผ้กู อ่ ตงั้ ศาสนาโดยทั่วไปมอี งค์ประกอบท่สี �ำ คญั ๕ ประการ คือ ๑. ศาสดา ผู้ก่อต้ังศาสนา ศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นท่ีรู้จักกันดีในประเทศไทย และได้รับ การรับรองจากทางราชการ คอื ศาสนาพทุ ธ คริสต์ อิสลาม สกิ ขห์ รอื ซิกข์ ลว้ นมศี าสดาผูก้ อ่ ตงั้ ศาสนาทั้งสิน้ ยกเว้นศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดูเท่านน้ั ไมม่ ศี าสดาผ้กู อ่ ตง้ั เปน็ ศาสนาท่นี บั ถอื สืบตอ่ กนั มาแตโ่ บราณ ๒. ศาสนธรรม หลักธรรมคำ�สอน ทศ่ี าสดาประกาศเผยแผ่แก่ชาวโลก ๓. ศาสนิกหรือสาวก คือ ผู้รับฟังหลักธรรมคำ�ส่ังสอนท่ีศาสดาประกาศแล้วมีศรัทธาเล่ือมใส และปฏิบตั ิตาม แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวัติ
145 ๔. ศาสนสถานหรือศาสนวัตถุ คือ สถานที่ใช้ประกอบพิธีของศาสนาน้ันๆ หรือรูปเคารพของ ศาสดา เป็นตน้ ๕. ศาสนพิธี คอื พธิ กี รรมทางศาสนาซง่ึ แตกตา่ งกันไปตามความเชอ่ื ในหลักธรรมค�ำ สอน ประโยชนข์ องศาสนพิธี ศาสนพธิ ี แม้จะไดร้ บั การเปรียบเทยี บวา่ เป็นเพียงเปลือกหรือกระพขี้ องศาสนากต็ าม แต่ศาสนพธิ ี ท่ปี ฏบิ ัตไิ ดถ้ ูกต้อง เรียบรอ้ ย มปี ระโยชน์ทัง้ แก่ศาสนาและผูป้ ฏิบตั ิ คือ ๑. ทำ�ใหพ้ ิธีมีความถกู ตอ้ งเรยี บร้อยงดงาม ส�ำ เรจ็ ประโยชนต์ ามวตั ถุประสงค์ ๒. เพ่ิมความศรัทธาปสาทะ ความเช่อื ความเลอ่ื มใสแกผ่ ้พู บเห็น ๓. เป็นเคร่ืองแสดงเกยี รติยศของเจา้ ภาพและผู้รว่ มพธิ ี ๔. เปน็ การรักษาวัฒนธรรมประเพณีท่ดี ีงามของชาติไว้ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชัน้ โท วชิ าอนุพุทธประวัติ
146 ใบความรทู้ ่ี ๑๘ พธิ ีบ�ำ เพ็ญกศุ ลในวนั สำ�คญั ทางพระพุทธศาสนา บทที่ ๑ พธิ ีบ�ำ เพ็ญกุศลในวนั สำ�คญั ทางพระพุทธศาสนา ทกุ ศาสนาลว้ นมวี นั ส�ำ คญั เพอ่ื ระลกึ เหตกุ ารณส์ �ำ คญั ทเ่ี คยเกดิ ขน้ึ แกศ่ าสดาผกู้ อ่ ตงั้ และเกยี่ วเนอ่ื ง ในพิธกี รรมหรือกิจกรรมที่เหล่าศาสนกิ ชนของศาสนานั้นๆ จัดขนึ้ ในโอกาสต่างๆ พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกันมีวันสำ�คัญท่ีกำ�หนดข้ึนสำ�หรับให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติ เพ่ือ น้อมรำ�ลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยและบำ�เพ็ญกุศลเป็นกรณีพิเศษด้วยอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา วันสำ�คัญ ทางพระพุทธศาสนาพอสรุปได้ ดงั น้ี ๑. วนั เข้าพรรษา ๒. วันออกพรรษา ๓. วนั เทโวโรหณะ ๔. วันธรรมสวนะ (วนั พระ) วันเขา้ พรรษา คำ�วา่ พรรษามาจากศัพท์บาลีว่า วสฺส ศพั ทส์ ันสกฤตว่า วรษฺ แปลว่า ฝนหรอื ฤดูฝน ภาษาไทย ใช้ศัพท์ สนั สกฤต แผลงเป็น พรรษา การเขา้ พรรษาหรือจำ�พรรษา หมายถึงการทพ่ี ระภิกษุสงฆ์อธษิ ฐานจิต อยู่ประจำ�ในสถานทแี่ ห่งใดแหง่ หนึ่งในฤดูฝนโดยจะไม่ไปค้างแรมในที่อืน่ พธิ ีเขา้ พรรษาจงึ เป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิของ พระสงฆ์โดยตรง จะต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติ ซ่ึงพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเป็นการเฉพาะสำ�หรับพระสงฆ์ สาวก โดยก�ำ หนดให้ทำ�พิธีอธษิ ฐานเข้าพรรษาในวนั แรม ๑ คา่ํ เดอื น ๘ ของทกุ ปี หรือเดอื น ๘ หลงั ในปี ท่ีมีเดือน ๘ สองหน เป็นวันสำ�คัญต่อเน่ืองจากวันอาสาฬหบูชา ในส่วนท่ีเป็นงานพระราชพิธี ได้รวม วันสำ�คัญท้ัง ๒ เข้าเป็นพระราชพิธีเดียวกัน เรียกว่า พระราชพิธีทรงบำ�เพ็ญพระราชกุศล เนื่องใน วันอาสาฬหบูชาและเทศกาลเข้าพรรษาทางราชการกำ�หนดให้เปน็ วันหยดุ ราชการประจำ�ปี พธิ ีบำ�เพ็ญพระราชกศุ ลวันเขา้ พรรษา ในวันแรม ๑ คํ่าเดอื น ๘ ซงึ่ เป็นวันเข้าพรรษา มหี มายก�ำ หนดการบำ�เพ็ญพระราชกุศล พอสรปุ ได้ ดังน้ี เวลาเช้า ประมาณ ๐๗.๐๐ น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธี กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา นิมนต์ พระสงฆ์จำ�นวน ๑๕๐ รูป เข้ารับพระราชทานอาหารบิณฑบาตของหลวง ณ บริเวณพระวิหารคด วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าอนุพุทธประวตั ิ
147 ครน้ั เวลาบา่ ย พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ ไปยงั พระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั น- ศาสดาราม เสด็จข้ึนไปหลังบุษบก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ทรงประกอบพิธี เปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จากเครื่องทรงฤดูร้อนเป็นเคร่ืองทรงฤดูฝน และทรงถอด ยอดพระรัศมีพระสัมพุทธพรรณีประจำ�ฤดูร้อนออก ทรงเปลี่ยนส่วนยอดพระรัศมีประจำ�ฤดูฝนถวาย (พระสมั พทุ ธพรรณี ประดษิ ฐานอยหู่ นา้ บษุ บก ทปี่ ระดษิ ฐานพระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏมิ ากร) ทรงพระสหุ รา่ ย ทรงวางกระทงดอกไม้และจุดธูปเทียนเคร่ืองนมัสการตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ทรงรับพระมหาสังข์เพชรน้อย บรรจุนํ้าที่ซับองค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สรงพระเศียร เสด็จไปทรงสุหร่ายนํ้าพระพุทธมนต์ แก่ข้าราชการท่ีเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพระอุโบสถ หลังพราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียน ๓ รอบแล้ว เสด็จพระราชดำ�เนินออกจากพระอุโบสถ ทรงพระสุหร่ายน้ําพระพุทธมนต์แก่ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ บริเวณลานพระอุโบสถ สองข้างทางเสด็จพระราชดำ�เนิน จากน้ัน เสด็จไปวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงถวาย พมุ่ เทยี นพรรษาเปน็ พุทธบชู า ณ พระอโุ บสถ เปน็ อันเสรจ็ พระราชพธิ ี อนึ่งในพระอารามหลวงสำ�คัญอ่ืนๆ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดเบญจมบพิตร- ดสุ ิตวนาราม ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ผแู้ ทนพระองคไ์ ปถวายพมุ่ เทียนพรรษาอีกส่วนหนงึ่ ความเป็นมาของวันเขา้ พรรษา การเข้าพรรษา เปน็ พุทธานญุ าตกำ�หนดใหพ้ ระภกิ ษอุ ธษิ ฐานอยู่ประจำ�สถานทไ่ี มจ่ ารกิ ไปค้างแรม ในสถานท่ีอื่น เว้นแต่มีเหตุจำ�เป็น ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ช่วงฤดูฝน คือต้ังแต่แรม ๑ ค่ําเดือน ๘ ถึง วนั ข้ึน ๑๕ ค่ํา เดอื น ๑๑ ก่อนพุทธกาล การอยู่จำ�พรรษาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของนักบวชนอกพระพุทธศาสนาใน ชมพูทวีปถือปฏิบัติกันมาก่อนแล้ว แต่คงไม่ได้ปฏิบัติกันเคร่งครัดนัก จึงเป็นเรื่องคุ้นชินของคนในยุคน้ัน สมัยต้นพุทธกาล ขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ เม่ือถึงฤดูฝน ภิกษุส่วนมาก อยู่ประจำ�สถานท่ีเช่นเดียวกับนักบวชนอกศาสนา แต่มีกลุ่มพระภิกษุฉัพพัคคีย์ คือพระภิกษุ ๖ รูป ได้แก่ พระมณั ฑุกะ พระโลหิตกะ พระเมตติยะ พระกมุ มชกะ พระอัสสชิ และพระปนุ พั พสกุ ะ พรอ้ มทั้งพระภกิ ษุ ทเ่ี ปน็ สานศุ ษิ ยป์ ระมาณ ๑,๕๐๐ รปู เทยี่ วจารกิ ไปตามสถานทตี่ า่ งๆ เนอ่ื งจากขณะนน้ั ยงั มไิ ดม้ พี ทุ ธานญุ าตให้ ภกิ ษุอยจู่ �ำ พรรษา การจาริกของท่านเหล่านน้ั มีผลกระทบต่อการท�ำ เกษตรกรรมของชาวบา้ น ท�ำ ให้ขา้ วกล้า และพืชผักเสียหาย พวกชาวบ้านจึงพากันตำ�หนิติเตียนถึงการไม่หยุดจาริกในฤดูฝนของภิกษุเหล่านั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงให้ประชุมสงฆ์และทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำ�พรรษาเป็นเวลา ๓ เดือน ในฤดูฝน ชาวพุทธในประเทศไทยได้มีการบำ�เพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ต้ังแต่สมัยสุโขทัย ดังความในศลิ าจารกึ หลกั ที่ ๑ ว่า “พ่อขุนรามคำ�แหงพ่อเมอื งสโุ ขทัยนี้ ท้ังชาวแมช่ าวเจา้ ทว่ ยป่วั ท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนท้ังส้ินทั้งหลาย ท้ังผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน์ ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน” และได้มีการบำ�เพ็ญกุศลเน่ืองในวันเข้าพรรษาสืบทอดมาจนปัจจุบัน แม้จะปฏิบัติแตกต่างกันบ้างตาม ยคุ สมยั แตห่ ลกั การใหญท่ ไ่ี มแ่ ตกตา่ งกนั คอื การท�ำ บญุ ตกั บาตร รกั ษาศลี ฟงั พระธรรมเทศนา การปฏบิ ตั ธิ รรม และการท�ำ ความดีอ่ืนๆ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้ันโท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
148 การอย่จู ำ�พรรษามี ๒ อย่าง ๑. การจำ�พรรษาต้น เรียกปรุ ิมกิ าวสั สปู นายิกา เร่ิมตงั้ แต่วันแรม ๑ คา่ํ เดือน ๘ ถึงวันข้นึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๑ ในปที ีม่ อี ธิกมาส คือเดือน ๘ สองหน ใหเ้ ล่ือนการจ�ำ พรรษาไปเปน็ วันแรม ๑ คํ่าเดอื น ๘ หลงั ๒. การจำ�พรรษาหลัง เรียกปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา เริ่มต้ังแต่วันแรม ๑ คํ่าเดือน ๙ ถึงวันข้ึน ๑๕ คํ่า เดอื น ๑๒ ปจั จบุ ันไม่คอ่ ยมีปฏิบัติ จึงไม่เป็นที่ร้จู ักกัน สัตตาหกรณียะ การอยู่จำ�พรรษามิใช่เป็นข้อห้ามเด็ดขาดว่า ให้พระภิกษุต้องอยู่ประจำ�ตลอด ๓ เดือน โดย ไม่สามารถเดินทางไปไหนได้เลย มีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุไปค้างคืนในสถานที่อ่ืนได้คราวละ ไมเ่ กนิ ๗ วนั เรยี กวา่ สตั ตาหกรณียะ หรอื เหตุพิเศษ ๔ ประการ คือ ๑. เพ่ือนสหธรรมิกท้ัง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร และสามเณรีป่วยหรือบิดา มารดาป่วยไปเพือ่ ดูแลพยาบาลได้ ๒. ไปเพ่อื จะยบั ย้ังเพื่อนสหธรรมิกที่อยากสกึ มิให้สกึ ได้ ๓. ไปเพ่ือกิจของสงฆ์ เช่น กฏุ ิวหิ ารชำ�รดุ เสยี หาย ไปเพ่ือหาอปุ กรณม์ าสรา้ งซอ่ มแซมได้ ๔. ไปเพือ่ ฉลองศรัทธาพทุ ธศาสนิกชนนมิ นตไ์ ปในพิธีบำ�เพญ็ บุญได้ หรอื ไปดว้ ยเหตุอ่ืนๆ อนโุ ลม เข้ากบั ทัง้ ๔ ข้อขา้ งต้นขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ ก็ได้ พระภกิ ษผุ มู้ กี จิ ธรุ ะ ประสงคจ์ ะสตั ตาหะไปกระท�ำ กจิ นนั้ พงึ บอกลาพระภกิ ษทุ ม่ี อี ยู่ และเปลง่ วาจา แสดงเจตนาเปน็ ภาษามคธวา่ อัตถิ เม กิจจัง อิมัสมงิ สตั ตาหพั ภันตะเร นวิ ัตติสสามิ แปลว่า ขา้ พเจา้ มีกิจ ตอ้ งไป จะกลับมาภายใน ๗ วัน หรือเพียงผูกใจอธิษฐานดว้ ยตนเองกไ็ ด้ ประโยชนข์ องวันเข้าพรรษา ๑. ในสมัยพุทธกาล ป้องกันไม่ให้พระภิกษุจาริกไปเหยียบยํ่าข้าวกล้าพืชพันธุ์ของชาวบ้าน เป็นเหตุให้ไดร้ บั การตเิ ตยี น ๒. พระภิกษุได้หยุดพักผ่อน บรรเทาความเหน็ดเหน่ือยเม่ือยล้าจากการจาริกไปเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนา เพราะในสมยั กอ่ นใช้วธิ เี ดนิ เท้าไปยงั สถานที่ต่างๆ เนอื่ งจากยังไมม่ ถี นนหนทางและพาหนะ ทส่ี ะดวกเหมอื นปจั จบุ ัน ๓. พระภกิ ษไุ ดอ้ ยปู่ ระจ�ำ เพอื่ ศกึ ษาปฏบิ ตั ธิ รรมเพม่ิ เตมิ และเตรยี มความพรอ้ มจะจารกิ ไปเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาหลังออกพรรษาแล้ว ๔. พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสบำ�เพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น ทำ�บุญตักบาตร รักษาศีล เจริญภาวนาถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข เช่นคนเคยด่ืมสุราเป็นประจำ� ก็อธิษฐานจิตงดเว้น การด่ืมตลอดพรรษา ๕. ทำ�ให้มีพิธที �ำ บญุ อนื่ ๆ เกดิ ข้นึ คือพิธถี วายเทียนพรรษาและพิธีถวายผ้าอาบนาํ้ ฝน แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ช้นั โท วิชาอนพุ ทุ ธประวตั ิ
149 พิธถี วายดอกไมธ้ ปู เทยี นวนั เขา้ พรรษา การถวายดอกไม้ธูปเทียนแด่พระภิกษุในวันเข้าพรรษา เพ่ือให้พระภิกษุนำ�ไปบูชาพระรัตนตรัย ไดม้ มี าแตโ่ บราณ แตเ่ ปน็ เพยี งการปฏบิ ตั เิ ฉพาะบคุ คล เฉพาะท่ี โดยพทุ ธศาสนกิ ชนทอี่ ยใู่ กลว้ ดั จะน�ำ ธปู เทยี น และดอกไมต้ ามทีห่ าได้ในชุมชนไปถวายพระภกิ ษใุ นวดั ใกลบ้ ้านของตน พระราชพธิ ที รงบ�ำ เพญ็ พระราชกศุ ลในวนั เขา้ พรรษา ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหผ้ แู้ ทนพระองค์ ไปถวายพุ่มเทียนพรรษาในพระอารามหลวงสำ�คัญ เช่น วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เม่ือผู้แทนพระองค์ ถวายพุ่มเทียนพรรษาแล้ว ก็มีพิธีถวายดอกไม้ (ดอกบัว) ธูปเทียน แด่พระภิกษุท้ังวัดเพื่อให้นำ�ไปบูชา พระรตั นตรยั อกี ด้วย สำ�หรับพิธีตักบาตรดอกไม้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบัน คือพิธีตักบาตรดอกไม้ที่ วดั พระพทุ ธบาท อำ�เภอพระพทุ ธบาท จังหวดั สระบรุ ี เดิมน้นั ชาวบา้ นจะนำ�ดอกไมท้ ่เี รยี กกันว่าดอกเขา้ พรรษา ไปถวายพระสงฆ์ ดอกไม้ชนิดน้ีจะออกดอกเฉพาะช่วงเข้าพรรษาปีหน่ึงเพียงคร้ังเดียวเท่านั้น และเกิดอยู่ ตามธรรมชาติบริเวณพ้ืนท่ีใกล้ๆ วัด โดยมารอถวายพระสงฆ์ท่ีจะไปยังพระอุโบสถเพ่ือประกอบพิธีอธิษฐาน เข้าพรรษาและได้ปฏิบัติเช่นน้ีมาเป็นเวลานาน จนเป็นที่ทราบไปยังหมู่บ้านอื่นๆ จึงได้เร่ิมมีพิธีตักบาตร ดอกไม้ข้ึน ต่อมาภาครัฐและเอกชนได้สนับสนุนให้มีการจัดพิธีตักบาตรดอกไม้ขึ้นเป็นงานประเพณีประจำ� จงั หวดั สระบรุ ี มีประชาชนจากจงั หวัดอน่ื ไปร่วมพิธีจ�ำ นวนมาก ต้องเพม่ิ การตักบาตรดอกไม้เปน็ ๒ วัน คอื วนั ขึน้ ๑๕ ค่าํ และแรม ๑ ค่ํา เดอื น ๘ โดยจดั พิธตี กั บาตรวันละ ๒ รอบ เพือ่ รองรบั ศรทั ธาของพุทธศาสนิกชน ทวั่ ไป ปจั จุบันมีวดั หลายแห่งไดเ้ หน็ ความศรัทธาของพทุ ธศาสนิกชนที่สนใจพธิ ตี กั บาตรดอกไม้ จึงได้จดั พิธีตักบาตรดอกไม้ข้ึนในวัดของตนบ้าง โดยจำ�ลองแบบพิธีกรรมมาจากวัดพระพุทธบาท เพ่ืออำ�นวยความ สะดวกแก่พุทธศาสนกิ ชนในพน้ื ท่ใี กลเ้ คียง วันออกพรรษา วันออกพรรษา คือวันสุดท้ายของการอยู่จำ�พรรษาของพระภิกษุสงฆ์ เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า วันปวารณา เป็นวันพระสงฆ์ทำ�สังฆปวารณาตรงกับวันข้ึน ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๑ อยู่ระหว่างเดือนตุลาคม ส่วนวันออกพรรษาหลงั ตรงกบั วันขึ้น ๑๕ คา่ํ เดือน ๑๒ พิธีปวารณาออกพรรษาเป็นสังฆกรรมประเภทหน่ึงกำ�หนดโดยพระวินัยบัญญัติ เพ่ือให้โอกาส พระสงฆท์ ีอ่ ย่จู �ำ พรรษาร่วมกันตลอดไตรมาส หรือ ๓ เดือน สามารถวา่ กล่าวตกั เตือนและชีบ้ อกข้อผดิ พลาด แก่กันและกันได้โดยความเสมอภาค ด้วยจิตต้ังอยู่บนพื้นฐานแห่งความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน เป็นสิ่ง แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งการปวารณา ออกพรรษาของพระสงฆ์ดังกล่าว พุทธศาสนิกชนสามารถนำ�มาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดีในการท่ีอยู่ร่วมกัน เป็นครอบครัว หมู่บ้าน หรือสังคม เพราะถ้ากลุ่มชนที่อยู่ร่วมกัน สามารถว่ากล่าวตักเตือนแนะนำ�กันได้ เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งทำ�ผิด ก็จะช่วยแก้ไขความผิดพลาดน้ันได้ทันท่วงที ไม่กลายเป็นเรื่องเสียหายใหญ่โตจนยาก จะแก้ไข แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชนั้ โท วิชาอนุพุทธประวัติ
150 ความเปน็ มาของการปวารณา เมื่อพระพุทธเจ้าประทับจำ�พรรษา ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี มีพระภิกษุกลุ่มหน่ึง แยกย้ายกันจำ�พรรษา ณ อารามรอบๆ พระนคร พระภิกษเุ หลา่ น้ันมคี วามคิดว่า เพือ่ ไมใ่ ห้เกดิ การทะเลาะ วิวาทขึ้นระหว่างกัน สมควรจะปฏิบัติมูควัตร คือการต้ังปฏิญาณไม่พูดจากันตลอดพรรษา เม่ือออกพรรษา แล้ว พระภิกษุเหล่านั้นพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าท่ีเชตวันมหาวิหาร กราบทูลเร่ืองการปฏิบัติมูควัตรให้ ทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงตำ�หนิว่าเป็นอยู่กันเหมือนปศุสัตว์ แล้วทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ทำ� ปวารณาต่อกันว่า ภิกษทุ ั้งหลายเราอนุญาตให้ภิกษุท้ังหลายผจู้ �ำ พรรษาแลว้ ปวารณาต่อกนั ใน ๓ ฐานะ คือ ด้วยการได้เห็น ด้วยการได้ยิน หรือด้วยการรังเกียจสงสัย ดังน้ัน วันออกพรรษา จึงได้ช่ืออีกอย่างหนึ่งว่า วนั ปวารณา ประโยชนข์ องวนั ออกพรรษา ๑. พระภกิ ษสุ งฆ์ได้รบั อานิสสงสก์ ารจำ�พรรษา ๕ ประการ ๒. พระภิกษุสงฆ์สามารถจารกิ ไปค้างแรมในสถานที่อนื่ ได้ ๓. พระภกิ ษุสงฆไ์ ดน้ �ำ ความรจู้ ากการศกึ ษาปฏิบัติธรรมไปสั่งสอนประชาชนดขี ้นึ ๔. พระภิกษสุ งฆไ์ ดท้ ำ�ปวารณา เปดิ โอกาสใหเ้ พ่ือนสหธรรมกิ ว่ากลา่ วตักเตอื นกนั ได้ ๕. พุทธศาสนิกชนได้แบบอย่างการปวารณานำ�ไปใช้ในชีวิตประจำ�วันและมีโอกาสเข้าวัดทำ�บุญ สมาทานศลี ฟงั ธรรม เจริญจิตภาวนา วันเทโวโรหณะ เทโวโรหณะ แปลว่า การลงจากเทวโลก หมายถึง วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากเสด็จไปจำ�พรรษาที่ ๗ ณ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และแสดงพระอภิธรรม โปรดพระพุทธมารดาตลอด ๓ เดือน ออกพรรษาแล้วเสด็จกลับลงมายังมนุษยโลกโดยบันไดสวรรค์ ณ ประตูเมืองสังกัสสะ เมืองสาวัตถี เม่ือวันเพ็ญเดือน ๑๑ จึงเรียกว่า วันเทโวโรหณะ ในวันนั้นพระพุทธองค์ แสดงวิวรณปาฏิหาริย์บันดาลให้โลกสวรรค์มนุษย์และสัตว์นรกมองเห็นกัน จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจา้ เปดิ โลก วันรุ่งขนึ้ เป็นวันแรม ๑ คํา่ เดือน ๑๑ จึงมีการท�ำ บุญตกั บาตรเทโวโรหณะเป็นการใหญ่ เพ่อื เฉลมิ ฉลองวนั เสดจ็ กลับลงมาจากเทวโลกของพระพทุ ธเจา้ บางแหง่ เรยี ก ตักบาตรดาวดงึ ส์ เรยี กย่อๆ วา่ ตกั บาตรเทโว ความเป็นมาของวนั เทโวโรหณะ ลุถงึ พรรษาที่ ๗ แตว่ ันตรัสรู้ ในวันเพ็ญเดอื น ๘ เวลาบา่ ย พระพุทธเจา้ ทรงแสดงยมกปาฏหิ าริย์ (ปาฏหิ ารยิ แ์ สดงเปน็ ค)ู่ ณ ตน้ มะมว่ งในเมอื งสาวตั ถี เพอ่ื ปราบมานะของพวกเดยี รถยี ์ นบั เปน็ ความอศั จรรยย์ ง่ิ ท�ำ ใหม้ หาชนไดท้ ราบถึงพระพทุ ธานภุ าพอย่างถอ่ งแท้ วันรุง่ ข้ึนจากวันแสดงยมกปาฏหิ าริย์เป็นวันเข้าพรรษา ตรงกบั วันแรม ๑ ค่าํ เดอื น ๘ พระพุทธเจ้า ทรงประกาศแก่พุทธบริษัทว่า พระองค์จะขึ้นไปอยู่จำ�พรรษาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามธรรมเนียมของ อดีตพระพทุ ธเจา้ ท้งั หลาย เป็นทอี่ าลัยแก่พทุ ธบรษิ ทั ที่ชมุ นมุ อยู่ในสถานทน่ี ้นั พระองค์เสดจ็ พระพุทธด�ำ เนิน แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ โท วิชาอนพุ ทุ ธประวตั ิ
151 ไปยังดาวดึงส์พิภพ ประทับน่ังเหนือปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ภายใต้ต้นปาริฉัตร เมื่อเทพยดาทั้งหลาย และสิริมหามายาเทพบุตรพุทธมารดามาพร้อมกันแล้ว ทรงยกพระมารดาให้เป็นประธานแห่งเทพบริษัท ท้ังปวง ตรัสเทศนาพระอภิธรรม ๗ คัมภรี ์ ประกอบด้วย สังคิณี วภิ งั ค์ ธาตุกถา ปุคคลบญั ญตั ิ กถาวตั ถุ ยมก และมหาปัฏฐาน เป็นเวลา ๓ เดอื นตดิ ตอ่ กนั โดยมิได้หยดุ พกั เม่อื จบพระธรรมเทศนา สริ มิ หามายาเทพบุตร พทุ ธมารดาบรรลโุ สดาปตั ตผิ ล เปน็ พระอรยิ บคุ คลในพระพทุ ธศาสนา และเทพยดาทง้ั หลายไดบ้ รรลมุ รรคผล ตามสมควรแกต่ นๆ เมอ่ื เหลอื อยู่ ๗ วนั จะถงึ วนั ปวารณาออกพรรษา มหาชนพากนั เขา้ ไปหาพระโมคคลั ลานะ กราบเรยี น ถามถึงวันเสด็จลงจากเทวโลกของพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะ แสดงฤทธิ์เหาะข้ึนไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามถึงวันเวลา และสถานท่ีในการเสด็จลงจากเทวโลก พระพุทธเจ้าตรัสแจ้งแก่พระโมลคัลลานะ เพ่ือ นำ�ความไปบอกแก่มหาชนว่า พระองค์จะเสด็จลงจากเทวโลก ในวันปวารณาขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๑๑ ใกล้ ประตเู มืองสงั กัสสะ เม่อื ทา้ วสักกเทวราชทรงทราบ ในวนั เสด็จลงจากเทวโลก จงึ เนรมิตบันไดทพิ ย์ ๓ บนั ได คือ บันไดทองอยู่เบื้องขวาให้เทพยดาทั้งหลายลง บันไดเงินอยู่เบื้องซ้าย ให้หมู่พรหมทั้งหลายลง และ บนั ไดแกว้ อยตู่ รงกลางเปน็ ทเี่ สดจ็ ลงของพระพทุ ธเจ้าเชงิ บนั ไดทง้ั ๓ ตงั้ ลงใกลป้ ระตเู มอื งสงั กสั สะ สถานทน่ี น้ั ไดช้ ่ือวา่ อจลเจดีย์ ส่วนหัวบนั ไดเบอ้ื งบนจรดยอดเขาสเิ นรุ เป็นทีต่ ง้ั ของสวรรคช์ ้นั ดาวดงึ ส์ ขณะพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ลงจากดาวดงึ สเ์ ทวโลกสภู่ พมนษุ ย์ ณ ประตเู มอื งสงั กสั สะไดท้ อดพระเนตร เห็นเทพยดาและมนุษย์ถวายการบูชาสักการะอย่างมโหฬาร พระองค์ทรงแสดงวิวรณปาฏิหาริย์ให้เทวดา มนุษย์ และสตั ว์นรก ต่างมองเห็นซ่ึงกันและกนั ตลอด ๓ โลก การลงทัณฑใ์ นเมอื งนรกหยดุ ชัว่ คราวในวันน้ี ดังน้ัน จงึ มชี อื่ เรยี กอีกอย่างหน่งึ วา่ วนั พระเจ้าเปิดโลก เช้าวันรุ่งขึ้น พุทธบริษัทพร้อมใจกันทำ�บุญตักบาตรด้วยเสบียงสำ�หรับบริโภคของตนๆ ถวาย พระสงฆ์ท้งั หมดท่อี ย่ใู นที่น้ัน มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานโดยมไิ ด้นัดหมายกนั ปรากฏว่า การทำ�บุญตักบาตร ในวันนั้น ผู้คนแออัดมากเข้าไม่ถึงพระ จึงเอาข้าวสาลีของตนห่อบา้ ง ทำ�เป็นปั้นๆบา้ ง โยนเข้าไปถวายพระ เป็นต้นเหตุให้คนสมัยก่อนนิยมทำ�ขา้ วต้มลูกโยนเป็นส่วนสำ�คัญในการตักบาตรเทโวโรหณะ ปัจจุบันการทำ� ขา้ วตม้ ลกู โยนยงั พอมอี ยบู่ า้ งในชนบท แตใ่ นสว่ นกลางหรอื ในตวั เมอื งเลอื นหายไปมากแลว้ เพราะขาดอปุ กรณ์ และผู้มีความรู้ในการทำ�ข้ามต้มลูกโยน แต่ใช้สิ่งของท่ีหาได้สะดวกไปตักบาตรแทน ถึงอย่างไรพิธีตักบาตร เทโวโรหณะก็ยงั เปน็ ทร่ี ้จู กั และนยิ มจดั กันแทบทุกวดั โดยถอื เปน็ ประเพณีส�ำ คญั อย่างหน่ึง การจัดพธิ ีตกั บาตรเทโวโรหณะ การจดั พธิ ตี กั บาตรเทโวโรหณะในประเทศไทยจดั กนั มาแตโ่ บราณโดยจ�ำ ลองเหตกุ ารณว์ นั เทโวโรหณะ ถ้าวัดใดอยู่ใกล้ภูขามีอุโบสถวิหาร หรือสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาอื่นๆ อยู่บนยอดเขา และมีบันได หรือทางเดินสำ�หรับข้ึนลงเขาจะจัดพิธีโดยอัญเชิญพระพุทธรูปลงมาจากยอดเขา นำ�หน้าแถวพระภิกษุสงฆ์ ส่วนประชาชนท่ีมาตักบาตรจะยืนหรือน่ังหันหน้าเข้าหากัน โดยเว้นระหว่างกลางไว้ สำ�หรับพระภิกษุสงฆ์ เดินรับบิณฑบาต ส่วนสิ่งของท่ีนำ�มาตักบาตรก็อาจแตกต่างกันบ้าง ซึ่งในเมืองนิยมใช้อาหารแห้ง ส่วน ในชนบทนิยมอาหารสดเป็นไปตามศรัทธา แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันโท วิชาอนพุ ุทธประวตั ิ
152 พิธีตักบาตรเทโวโรหณะจัดเป็นงานประเพณีประจำ�จังหวัดคือพิธีตักบาตรเทโวโรหณะ ณ วัดสังกัสรัตนคีรี จังหวัดอุทัยธานี ซ่ึงต้ังอยู่บนยอดเขาสะแกกรัง มีบันไดทอดลงจากยอดเขาถึงพ้ืนราบ จำ�นวน ๔๙๙ ขั้น ส่วนทางภาคใต้ จะมีพิธีชักพระท้ังทางบกและทางนํ้า โดยทางบก พุทธศาสนิกชนจะ ประดับตกแต่งรถทรงด้วยราชวัตรฉัตรธงอย่างสวยงาม อัญเชิญพระพุทธรูปข้ึนประดิษฐาน ช่วยกันชัก หรือลากไปตามถนน เพื่อให้ประชาชนสักการะและทำ�บุญ ส่วนทางนํ้าก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ใช้เรือแห่ ไปตามแม่นํ้าลำ�คลองเท่านัน้ ส�ำ หรบั ทจ่ี ังหวัดอุทัยธานี เดิมก็จัดในลักษณะเป็นประเพณีท้องถ่ิน ตอ่ มาได้รับ การสนบั สนุนการจดั งานจากภาครัฐและเอกชน ปัจจุบนั เป็นงานมชี ื่อเสยี งเปน็ ทร่ี กู้ ันท่วั ไป แตล่ ะปีมผี ู้ไปร่วม พธิ ีเปน็ จำ�นวนมาก เพราะสถานท่ีสวยงาม เหมาะสม สรา้ งศรัทธาใหแ้ กผ่ ู้ไปร่วมพิธเี ปน็ อยา่ งดี พิธีดงั กล่าว จัดวันแรม ๑ คา่ํ เดือน ๑๑ ทกุ ปี ระเบียบพิธีตกั บาตรเทโวโรหณะ ก่อนวนั แรม ๑ ค่าํ เดือน ๑๑ เป็นกำ�หนดพิธตี ักบาตรเทโวโรหณะทางวดั จะจดั เตรยี ม คือ ๑. พระพุทธรูปยืน ๑ องค์ ขนาดพอสมควร ประดิษฐานบนรถทรงหรือคานหาม สำ�หรับชัก หรือหามนำ�หน้าพระสงฆ์เวลารับบิณฑบาต ประดับด้วยดอกไม้ราชวัตรฉัตรธงตามความเหมาะสม มีท่ีตั้ง บาตรตรงหน้าพระพุทธรูปด้วย ถ้าพระพุทธรูปเป็นปางอุ้มบาตรก็จะเหมาะกับพิธีถ้าไม่มีจะใช้ปางอื่นก็ได้ แต่ควรเป็นพระพทุ ธรูปยืน ๒. เตรียมสถานที่สำ�หรับทายกทายิกาตั้งของนำ�มาตักบาตร โดยจะจัดบริเวณรอบอุโบสถ ลานวัดหรอื บันไดลงจากภเู ขา ตามความเหมาะสมของแต่ละวัด ๓. แจง้ กำ�หนดการพธิ ใี ห้ทายกทายกิ าทราบล่วงหนา้ สำ�หรับทายกทายิกาผู้มีศรัทธาทำ�บุญตักบาตรเทโวโรหณะเมื่อทราบกำ�หนดการจากทางวัดแล้ว ควรเตรยี มการดังนี้ ๑. เตรียมภัตตาหารหรือส่ิงของสำ�หรับตักบาตรตามกำ�ลังศรัทธานอกจากอาหารหวานคาว สำ�หรบั ตักบาตรแลว้ มีสิง่ เป็นสญั ลกั ษณ์ของพิธคี อื ข้าวต้มลูกโยน ปจั จบุ ันมีน้อยมาก ๒. ถงึ กำ�หนดวนั ตักบาตรนำ�เคร่อื งตกั บาตรไปจัดต้ังตามสถานทที่ างวดั จัดให้ ๓. เมอ่ื ตักบาตรเสร็จแลว้ เปน็ อนั เสร็จพธิ ี บางวัดให้มีพิธีสมาทานศีลก่อน จากน้ันพระภิกษุสามเณรสวดถวายพรพระ อนุโมทนายถาสัพพี จบแลว้ จงึ รบั อาหารบณิ ฑบาต วนั ธรรมสวนะ วนั ธรรมสวนะ แปลวา่ วนั ฟงั ธรรม หรอื รจู้ กั กนั โดยทว่ั ไปว่า วนั พระ คอื วนั ประเสรฐิ พทุ ธศาสนกิ ชน กำ�หนดว่าเป็นวันประชุมกันทำ�บุญ สมาทานศีล ฟังพระธรรมเทศนา มักเรียกว่า ไปวัดทำ�บุญฟังเทศน์ วันธรรมสวนะหรือวันพระ ตามประเพณไี ทย คือวนั ตรงกบั วนั ข้นึ ๘ คํ่า ข้ึน ๑๕ ค่าํ แรม ๘ คาํ่ และแรม ๑๕ คํา่ หรือแรม ๑๔ คํา่ ในเดือนขาด (เดอื นทางจนั ทรคติ) ในเดือนหน่งึ จะมวี ันพระ ๔ วัน แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชนั้ โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวัติ
153 ความเป็นมาของวันธรรมสวนะ วันธรรมสวนะ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ในคัมภีร์วินัยปิฎก ตอนว่าด้วยอุโบสถขันธกะกล่าวว่า พวกปริพาชกและเดียรถีย์ นักบวชนอกพระพุทธศาสนา ประชุมกันทุกวัน ๘ ค่ํา ๑๔ คํ่า และ ๑๕ ค่ํา ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม เพื่อสนทนาเกี่ยวกับลัทธิคำ�สอนของตนคร้ันต่อมาพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ เรอื่ งนน้ั แลว้ จงึ เสดจ็ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ณ พระคนั ธกฎุ ี เขาคชิ ฌกฏู ใกลเ้ มอื งราชคฤห์ กราบทลู ใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงเห็นวา่ เป็นเรือ่ งดมี ปี ระโยชน์ จึงทรงอนุญาตใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆ์มาประชุมกนั ในวัน ๘ คา่ํ ๑๔ คํา่ และ ๑๕ ค่ํา ดังนั้นวันประชุมกันของพระสงฆใ์ นยุคพุทธกาลจงึ มเี ดือนละ ๔ ครง้ั เม่ือพระภิกษุสงฆ์มาประชุมกันในวันดังกล่าวก็ไม่ได้ทำ�อะไร พากันนิ่งเฉย ไม่ได้สนทนาธรรม ชาวบา้ นทีพ่ ากนั ไปวัดเพ่อื ฟงั ธรรมจงึ รู้สึกผดิ หวัง และกลา่ วตเิ ตยี นพระภิกษสุ งฆ์ พระพุทธเจา้ ทรงทราบ จึง ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษสุ นทนาธรรมและแสดงธรรมในวนั ดงั กลา่ ว ดงั นน้ั จงึ เรยี กวา่ วนั ธรรมสวนะ ในสมยั พทุ ธกาล ยังไม่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ได้สืบทอดต่อกันมาด้วยคำ�พูด การฟังและการท่องจำ�ท่ีเรียกว่า มุขปาฐะ ดังนั้น การแสดงธรรมและการฟังธรรม จึงเปน็ เครื่องมอื ส�ำ คัญในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยข้ึนแล้ว ทรงอนุญาตให้พระภิกษุทำ�อุโบสถสังฆกรรมสวด พระปาตโิ มกขใ์ นวนั ธรรมสวนะดว้ ย ยคุ แรกพระภกิ ษสุ งฆส์ วดพระปาตโิ มกขท์ กุ วนั ธรรมสวนะ แตพ่ ระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตให้ลดการสวดพระปาตโิ มกขเ์ หลือเดอื นละ ๒ คร้งั คือวนั ข้นึ ๑๕ คา่ํ และแรม ๑๕ หรือ ๑๔ คาํ่ ในเดือนขาด เรยี กว่า วันอโุ บสถ หรอื วนั พระใหญ่ สำ�หรับในประเทศไทย วันธรรมสวนะหรือวันพระ มีมาต้ังแต่สมัยสุโขทัยตามหลักฐานท่ีปรากฏ ในศลิ าจารกึ พ่อขุนรามค�ำ แหงหลักที่ ๑ ความว่า “พ่อขุนรามคำ�แหงเจ้าเมืองศรสี ัชชนาลัย สุโขทยั ปลกู ไม้ตาลนี้ได้สิบส่ีเข้า จึงให้ช่างพังขดานหิน ตั้งหว่างกลางไม้ตาลน้ี วันเดือนดับ เดือนโอกแปดวัน วนั เดอื นเตม็ เดือนบา้ งแปดวัน ฝงู ปคู่ รู มหาเถร ขนึ้ น่งั เหนอื ขดานหินสดู ธรรมแก่อบุ าสก ฝงู ท่วยจ�ำ ศีล” และยังถือปฏิบัติมาจนกระทั่งปัจจุบัน คือ กำ�หนดวันธรรมสวนะ เดือนละ ๔ วัน เหมือนสมัยสุโขทัย คือ วันขึน้ และแรม ๘ คาํ่ ๑๕ คํ่า หรือแรม ๑๔ คํ่าในเดือนขาด ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เห็นความสำ�คัญของพระพุทธศาสนา จึงได้ ประกาศใหว้ นั พระและวันอาทติ ยเ์ ป็นวนั หยดุ ราชการ ซ่ึงใชถ้ อื ปฏิบตั อิ ยู่ระยะหน่งึ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ประกาศใหว้ นั เสารแ์ ละวนั อาทติ ยเ์ ปน็ วนั หยดุ ราชการตามหลกั สากลอยา่ งไรกต็ าม วนั ธรรมสวนะหรอื วนั พระ คงยงั เป็นวนั สำ�คัญสำ�หรบั พุทธศาสนกิ ชนชาวไทยจวนจนปัจจบุ นั วันโกน วันโกน คือวันพระภิกษุสงฆ์ปลงผม (โกนผม) รวมถึงโกนค้ิวด้วย (เฉพาะพระสงฆ์ไทย) เป็นวัน กอ่ นวนั พระ ๑ วนั เดอื นหน่ึงมี ๔ วัน คอื วนั ขน้ึ ๗ คาํ่ ๑๔ คา่ํ และวนั แรม ๗ คํ่า ๑๔ คํา่ หรือแรม ๑๓ ค่ํา ในเดือนขาดวันโกนดังกล่าวมาน้ี ถือตามกำ�หนดวันโกนผมของพระสงฆ์ไทยในสมัยโบราณ บางท้องถิ่น ยังถือปฏิบัติอยู่บ้าง แต่มีจำ�นวนน้อย ปัจจุบันกำ�หนดเพียงวันขึ้น ๑๔ คํ่า เป็นวันโกนเพียงวันเดียว เดิม วนั โกนเปน็ สญั ลกั ษณใ์ หร้ วู้ า่ วนั รงุ่ ขนึ้ จะเปน็ วนั พระ เพอ่ื ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนจะไดเ้ ตรยี มตวั ไปท�ำ บญุ ในวนั รงุ่ ขน้ึ เพราะสมยั โบราณปฏทิ ินเป็นของหายาก แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ชั้นโท วิชาอนพุ ทุ ธประวัติ
154 ประโยชน์ของวันธรรมสวนะ ๑. เป็นวันทำ�บุญ สมัยก่อนเมื่อถึงวันพระ พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะหยุดการงานของตนไว้ จดั เตรยี มอาหารคาวหวานเพ่ือไปทำ�บญุ รว่ มกนั ทีว่ ดั ๒. เป็นวนั รักษาศลี พทุ ธศาสนกิ ชนในสมัยก่อนจะหยุดใชแ้ รงงานสตั ว์ แม้ฆ่าสตั วน์ ำ�ไปประกอบ อาหารกจ็ ะหยดุ ชาวประมงจะหยดุ ออกเรอื จบั ปลา แมแ้ ตโ่ รงฆา่ สตั วก์ ห็ า้ มฆา่ หมู โค กระบอื เพอ่ื เขา้ วดั ท�ำ บญุ สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ หรอื ศลี อโุ บสถ ตามศรทั ธาของตนอย่างเคร่งครัด ๓. เปน็ วนั ฟงั ธรรม ทกุ วดั ทชี่ าวบา้ นไปท�ำ บญุ กจ็ ะมกี ารแสดงธรรมหรอื มเี ทศนอ์ ยา่ งนอ้ ย ๑ กณั ฑ์ ถ้ามีผสู้ มาทานรักษาศีลอุโบสถ ก็จะมเี ทศน์ ๒ หรือ ๓ กัณฑ์ คือรอบเชา้ หลงั พระฉันเช้าและ ผ้ไู ปรว่ มทำ�บุญ รบั ประทานอาหารแล้ว ๑ กณั ฑ์ ตอนบา่ ย ๑ กณั ฑ์ และตอนหัวคํ่าอีก ๑ กัณฑ์ ๔. เป็นวันปฏิบัติธรรม พุทธศาสนิกชนที่ไปทำ�บุญในวันธรรมสวนะ นอกจากได้ถวายทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ตามปกติแล้ว ยังมีโอกาสได้สวดมนต์ เจริญสมาธิ หรือปฏิบัติธรรมอ่ืนๆ ตามที่วัดหรือ สำ�นกั น้นั ๆ กำ�หนดอกี ด้วย ๕. เปน็ วนั สวดพระปาฏโิ มกข์ ท�ำ สงั ฆกรรมของพระภกิ ษสุ งฆ์ การเขา้ วดั ท�ำ บญุ และการปฏบิ ตั ติ น ของชาวพุทธในปัจจุบัน แม้จะไม่เคร่งครัดเหมือนสมัยก่อน แต่เป็นการฝึกฝนอบรมจิตใจของตนให้น้อม ไปในพระรัตนตรัยได้เป็นอย่างดี และมีผู้ถือปฏิบัติกันมากในชนบท แต่ในส่วนกลางกำ�ลังลดน้อยถอยลง คนรู้ว่าวันน้ีเป็นวันพระมีจำ�นวนน้อยจึงควรส่งเสริมให้คนเข้าใจถึงประโยชน์ของเข้าวัดฟังเทศน์ในวันพระ จะทำ�ให้ประชาชนเปน็ คนดีมศี ลี ธรรมประจำ�ใจ สังคมมคี วามร่มเย็นเปน็ สุขตลอดกาล แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชัน้ โท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี ๖ 155 ธรรมศกึ ษาชัน้ โท สาระการเรยี นรู้ ศาสนพธิ ี เวลา..........ชั่วโมง เรื่อง ความสำ�คญั ของพิธีเจรญิ พระพทุ ธมนต์ ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๒ รู้และเข้าใจอนุพุทธประวัติ ความสำ�คัญของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตนเป็น พทุ ธศาสนิกชนท่ดี ี และธ�ำ รงรักษาพระพุทธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ รแู้ ละเข้าใจ เหน็ ความส�ำ คญั ของพธิ เี จรญิ พระพุทธมนต์ ๓. สาระส�ำ คัญ พธิ ีเจริญพระพทุ ธมนต์ ๔. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. นักเรยี นสามารถบอกความส�ำ คัญของพิธีเจรญิ พระพทุ ธมนตไ์ ด้ ๒. นกั เรียนสามารถปฏิบตั ิกิจกรรมกล่มุ ได้ ๕. สาระการเรียนรู้ - ความศักดิ์สทิ ธ์ิของพระพุทธมนต์ - เจด็ ต�ำ นานและสบิ สองต�ำ นาน พิธเี จรญิ พระพุทธมนต์ - พธิ ีท�ำ บุญอายุ - ความเป็นมาของพิธีเจริญพระพทุ ธมนต์ - พิธีท�ำ บญุ อายุตามปกติ - พิธีเจรญิ พระพุทธมนต ์ - ดาวนพเคราะห์ทงั้ ๙ - พธิ มี งคลสมรส - การจัดพิธีนพเคราะห์ - พิธีท�ำ บุญอายุครบรอบใหญ่ - พิธเี จรญิ พระพุทธมนต์นวดั คหายุสมธัมม์ - พธิ ที ำ�บุญอายจุ ดั พิธนี พเคราะห์ - พิธวี างศลิ าฤกษ์ - วัตถุประสงคข์ องพธิ ีนพเคราะห ์ - ล�ำ ดับข้นั ตอนพธิ ีนพเคราะห์ - พิธีท�ำ บญุ ตอ่ นาม - อปุ กรณ์ประกอบพธิ ีวางศิลาฤกษ์ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าอนุพุทธประวตั ิ
156 ๖. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ขน้ั สบื คน้ และเชื่อมโยง ๑. ครูให้นักเรียนดูภาพพิธีมงคลสมรส และพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยใช้คำ�ถามนำ�เพื่อพัฒนาทักษะ การคิดและเชือ่ มโยงไปสู่การเรียนรู้ ดังนี้ - ภาพที่นักเรียนดคู ือภาพอะไร - นกั เรียนเคยรว่ มงานในพิธใี ดบ้าง เลา่ ใหฟ้ งั บ้างไดไ้ หมฯลฯ ข้นั ฝกึ ๒. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่ม ๕- ๖ คน โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มศึกษา ใบความรทู้ ี่ ๑๙ เรือ่ งพิธเี จรญิ พระพุทธมนต์ ๓. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มตั้งคำ�ถามและตอบคำ�ถาม กลุ่มละ ๕ ข้อ แล้วส่งตัวแทนนำ�เสนอ หน้าชั้นเรียนโดยถามทีละข้อ กลุ่มใดตอบถูกมากท่ีสุดเป็นผู้ชนะ และช่วยกันตอบคำ�ถามในใบกิจกรรมที่ ๗ พรอ้ มนำ�เสนอหนา้ ช้ันเรียน ครตู รวจสอบความถูกตอ้ ง ขน้ั ประยกุ ต์ ๔. ครกู บั นกั เรยี นรว่ มกนั ประเมนิ ผล และช่นื ชมกลมุ่ ทที่ ำ�งานไดด้ ี ๕. นักเรียนและครรู ว่ มกันสรปุ พิธเี จริญพระพุทธมนต์ โดยใหน้ กั เรียนสรุปพิธีเจรญิ พระพทุ ธมนต์ ตามท่ีตนเองสนใจมาส่งครใู นช่วั โมงหน้าคนละ ๑ เร่ือง ๖. นักเรยี นท�ำ แบบทดสอบหลงั เรียน และครูตรวจให้คะแนน ๗. ภาระงาน/ช้ินงาน ท ี่ ภาระงาน ชิ้นงาน ๑ ตอบค�ำ ถามพธิ เี จริญพระพทุ ธมนต์ ใบกจิ กรรมที่ ๗ ๒ สรุปพิธเี จรญิ พระพุทธมนตท์ ี่ตนเองสนใจ สมุดบันทกึ ๘. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้ ๑. ภาพพิธีมงคลสมรส พิธีวางศลิ าฤกษ์ ๒. ใบความรทู้ ี่ ๑๙ เร่อื งพิธเี จรญิ พระพทุ ธมนต์ ๓. ใบกจิ กรรมที่ ๗ ๔. แบบทดสอบหลงั เรยี น แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชนั้ โท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
157 ๙. การวัดผลและประเมินผล ส่ิงทีต่ ้องการวดั วธิ ีวดั เคร่ืองมอื เกณฑก์ ารประเมนิ ๑. บอกความสำ�คญั ของ พิธเี จรญิ พระพทุ ธมนต์ได้ - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผา่ น = ได้คะแนนตัง้ แตร่ ้อยละ ๖๐ ขึ้นไป ๒. ปฎบิ ตั ิกิจกรรมกลุ่มได้ ผลงาน ไมผ่ า่ น = ไดค้ ะแนนตา่ํ กว่าร้อยละ ๖๐ - สังเกต - แบบสังเกต ผ่าน = ไดค้ ะแนนตัง้ แต่รอ้ ยละ ๖๐ ขึ้นไป การปฏบิ ตั ิ ไมผ่ ่าน = ได้คะแนนตํ่ากวา่ ร้อยละ ๖๐ กจิ กรรมกล่มุ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั โท วิชาอนพุ ุทธประวัติ
158 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ ขอ้ ที ่ รายก าร ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความร่วมมอื ในการ ให้ความร่วมมอื ในการ ให้ความร่วมมอื ในการ ใหค้ วามร่วมมือในการ ท�ำ กจิ กรรม ท�ำ กจิ กรรมทุกกิจกรรม ทำ�กจิ กรรมบางกจิ กรรม ทำ�กจิ กรรมบา้ ง ๒ การแสดง/การรับฟัง แสดงความคิดเหน็ และ แสดงความคดิ เหน็ และ แสดงความคดิ เห็น และ ความคิดเห็น รบั ฟงั ความคิดเหน็ ของ รบั ฟังความคดิ เห็นของ รับฟงั ความคิดเหน็ ของ คนสว่ นมากเป็นสำ�คญั คนอน่ื บา้ ง คนอ่ืนนอ้ ย ๓ การต้ังใจ/การแก้ไข มีความตง้ั ใจและ มีความตัง้ ใจและ มีความต้ังใจและ ปัญหาในการท�ำ งาน รว่ มแกไ้ ขปญั หาในการ รว่ มแกไ้ ขปญั หาในการ ร่วมแกไ้ ขปญั หาในการ ทำ�งานกลุ่มดมี าก ทำ�งานกลุ่มดี ทำ�งานกลุ่มบา้ ง ๔ ความถกู ต้องของ สรปุ เน้อื หาไดถ้ กู ต้อง สรุปเนือ้ หาไดถ้ ูกตอ้ ง สรปุ เน้อื หาไดถ้ ูกต้อง เนือ้ หา ตรงประเด็นและ ตรงประเด็น ตรงประเด็นบ้าง ครบถว้ น ๕ วิธีการน�ำ เสนอ น�ำ เสนอผลงานไดอ้ ยา่ ง นำ�เสนอผลงานไดอ้ ยา่ ง น�ำ เสนอผลงาน ผลงาน ถกู ต้องตามข้ันตอน ถกู ตอ้ งตามขั้นตอน ตามขั้นตอนไดบ้ า้ ง นา่ สนใจและเนอื้ หา น่าสนใจ แตข่ าดเนื้อหา ครบถ้วน บางส่วน เกณฑ์การตัดสนิ เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ข้ึนไป ๙ - ๑๕ ไม่ผ่าน ตาํ่ กวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตัดสนิ สามารถปรับใช้ตามความเหมาะสมกับกล่มุ เป้าหมาย แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั โท วิชาอนพุ ทุ ธประวตั ิ
ข้อ ที่ แบบประเมนิ ผลงาน 159 ๓ คะแนน ใบกจิ กรรมที่ ๗ ๑ คะแนน ๑-๕ ตอบคำ�ถามถกู ตอ้ ง ตอบค�ำ ถามถูกต้องและ ตรงประเด็น ระดับคะแนน ตรงประเด็นนอ้ ย ๒ คะแนน ตอบคำ�ถามถกู ตอ้ ง ตรงประเด็นสว่ นใหญ่ เกณฑก์ ารตัดสนิ เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ขน้ึ ไป ๙ - ๑๕ ไมผ่ ่าน ตํ่ากว่า ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑ์การตัดสินสามารถปรับใชต้ ามความเหมาะสมกบั กลุ่มเปา้ หมาย แบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบทดสอบหลงั เรียน เกณฑก์ ารประเมิน ตอบถกู ได้ ๑ คะแนน ตอบผิดได้ ๐ คะแนน เกณฑ์ เกณฑก์ ารตัดสนิ คะแนน ผ่าน ร้อยละ ๓-๕ ไมผ่ ่าน ๖๐ ขนึ้ ไป ๐-๒ ตํ่ากวา่ ๖๐ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้นั โท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
160 ใบกจิ กรรมท่ี ๗ พธิ เี จรญิ พระพทุ ธมนต์ กลุม่ ที่.................... ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... คำ�ชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนตอบค�ำ ถามตอ่ ไปน้ี จ�ำ นวน ๕ ข้อ (๑๕ คะแนน) ๑. การเจริญพระพุทธมนต์ มคี วามหมายและพธิ กี ารอย่างไร ๒. เทศน์มหาชาติ หมายถึงอะไร ๓. ความศักด์ิสิทธ์ิของพระพุทธมนต์ จะบังเกิดผลก็ต่อเมื่อผู้ร่วมพิธีจะต้องมีความพร้อมสามประการ อะไรบ้าง ๔. บทชมุ นมุ เทวดา คืออะไร ใช้ในพธิ อี ะไรบ้าง ๕. พธิ สี วดนพเคราะห์ คอื พิธอี ะไร มวี ัตถุประสงค์อย่างไร มขี ้ันตอนอยา่ งไร แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
161 เฉลยใบกิจกรรมท่ี ๗ ความสำ�คญั ของพิธีเจริญพระพทุ ธมนต์ คำ�ชี้แจง ให้นกั เรียนตอบค�ำ ถามตอ่ ไปนี้ ๑. การเจรญิ พระพุทธมนต์ มีความหมายและพธิ ีการอย่างไร ตอบ การเจริญพุทธมนต์ หมายถึง การที่สงฆ์สาธยายในงานมงคลหรืองานท่ีทำ�เพื่อเป็นสวัสดิมงคล การสวดพระพุทธมนต์ หมายถึง การท่ีพระสงฆ์สาธยาย ในงานอวมงคลหรือปรารภเหตุอันเป็น อวมงคล ๒. เทศน์มหาชาติ หมายถึงอะไร ตอบ เทศน์มหาชาตคิ ือ เทศน์เวสสันชาดก เปน็ พธิ บี ญุ ทีน่ ยิ มจดั ให้มกี ันมาแตโ่ บราณกาล ๓. ความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธมนต์ จะบังเกิดผลก็ต่อเม่ือผู้ร่วมพิธีจะต้องมีความพร้อมสามประการ อะไรบ้าง ตอบ ความศกั ดสิ์ ทิ ธขิ์ องพระพทุ ธมนต์ จะบงั เกดิ ผลกต็ อ่ เมอื่ ผรู้ ว่ มพธิ จี ะตอ้ งมคี วามพรอ้ มสามประการ ๑. ผู้ฟังมีศรทั ธาความเชื่อความเล่ือมใสในพระพทุ ธมนต์ ๒. ผู้เจรญิ หรือสวดพระพทุ ธมนตม์ ีจิตสงบนงิ่ เปน็ สมาธแิ น่วแน่ ๓. สวดดว้ ยจติ เมตตา หวังให้ผูฟ้ ังรับอานิสงส์เตม็ ท่ี ๔. บทชุมนุมเทวดา คอื อะไร ใช้ในพิธีอะไรบา้ ง ตอบ บทชุมนมุ เทวดา หรือ ขัดสัคเค เป็นบทขดั เพอ่ื เชญิ เทพยดาผ้สู ถิตอยู่ ณ ท่ีตา่ ง ๆ ให้มาร่วมกนั ฟังธรรม คือการเจริญพระพทุ ธมนต์ การขัดสคั เค มบี ทนำ�ขัดอยู่ ๓ แบบ ใช้ในพธิ ีแตกตา่ งกนั ดังนี้ แบบที่ ๑ ใช้ในงานพระราชพิธีและรัฐพิธี แบบที่ ๒ ใชข้ ดั ในการสวดพระพทุ ธมนต์ ๑๒ ต�ำ นาน แบบท่ี ๓ ใช้ขัดในการสวดพระพุทธมนต์ ๗ ตำ�นาน ๕. พธิ สี วดนพเคราะห์ คอื พิธีอะไร มีวัตถปุ ระสงคอ์ ยา่ งไร มีขนั้ ตอนอย่างไร ตอบ พธิ สี วดนพเคราะหเ์ ปน็ การท�ำ บญุ อายุ โดยปฏบิ ตั ติ ามคตพิ ทุ ธเปน็ หลกั มคี ตพิ ราหมณห์ รอื คตโิ หร เปน็ ส่วนประกอบ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชัน้ โท วชิ าอนุพุทธประวัติ
162 แบบทดสอบวดั ผลการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรทู้ ่ี ๖ ร้แู ละเข้าใจ เหน็ ความส�ำ คญั ของพิธีเจริญพระพทุ ธมนต์ จ�ำ นวน ๕ ข้อ คะแนน ๕ คะแนน คำ�ชแี้ จง ให้นักเรยี นเลือกค�ำ ตอบท่ีถกู ตอ้ งทส่ี ุดเพยี งขอ้ เดียว ๑. ขอ้ ใดเป็นอานุภาพของพระปริตร ก. ร่ํารวยเงนิ ทอง ข. อายยุ นื ค. ขจัดทุกข์ภัยโรค ง. เจรญิ ดว้ ยยศศักด์ิ ๒. เทศนม์ หาชาติเป็นการเทศน์ชาดกใด ก. มโหสถ ข. สุวรรณสาม ค. มหาเวสสนั ดร ง. มหาชนก ๓. การทำ�บญุ ตอ่ นาม หมายถงึ อะไร ก. งานทำ�บญุ ในบ้ันปลายชีวิต ข. งานทำ�บุญทญ่ี าตจิ ัดให้ผู้ป่วย ค. งานทำ�บญุ ครบรอบอายุ ง. งานทำ�บญุ อทุ ิศสว่ นกุศลแกผ่ ู้ล่วงลับ ๔. สายสญิ จน์ สำ�หรบั ใช้ในงานอะไร ก. งานทำ�บญุ อาย ุ ข. งานท�ำ บุญ ๗ วัน ค. งานทำ�บุญอฐั ิ ง. งานทำ�บญุ สามหาบ ๕. การเจรญิ พระพทุ ธมนตใ์ นงานมงคล นยิ มใหพ้ ระสงฆ์ก่ีรปู ? ก. ๔ รูป ข. ๙ รูป ค. ๑๐ รูป ง. ๒๐ รปู แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
163 เฉลยแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ ผลการเรียนรูท้ ี่ ๖ รแู้ ละเขา้ ใจ เห็นความสำ�คัญของพิธเี จรญิ พระพทุ ธมนต์ ข้อ ๑ ค ข้อ ๒ ค ขอ้ ๓ ข ข้อ ๔ ก ข้อ ๕ ข แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นโท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
164 ใบความรูท้ ่ี ๑๙ พิธเี จรญิ พระพทุ ธมนต์ บทท่ี ๒ พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ความเป็นมาของพธิ เี จริญพระพุทธมนต์ การเจริญหรือการสวดพระพุทธมนต์ มีมาต้ังแต่สมัยพุทธกาล เพ่ือป้องกันอันตรายและให้เกิด ความสุขสวสั ดแี กผ่ ปู้ ระกอบพิธี การเจริญพระพทุ ธมนต์น้นั เม่ือเจริญหรอื สวดด้วยจิตเมตตาวา่ ขออานุภาพ พระปริตร จงคุ้มครองปกปักรักษาทุกเม่ือ มีจิตเป็นสมาธิแน่วแน่ ย่อมทำ�ให้พระปริตรมีพลังและอานุภาพ ย่งิ ขนึ้ ดงั เชน่ การสวดพระปริตรในสมัยพทุ ธกาล สมัยหนึ่ง ได้เกิดภัยความแห้งแล้งข้ึนในเมืองเวสาลี ทำ�ให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเสียหายมาก เป็นเหตุให้ขา้ วยากหมากแพง เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง ชาวเมืองเวสาลีล้มตายจำ�นวนมาก ซ้ําวิญญาณ ท่ียังไม่ได้ไปเกิดใหม่ ก็มาทำ�ร้ายชาวเมืองให้ล้มตายมากยิ่งข้ึน ชาวเมืองจึงไปกราบทูลกษัตริย์ลิจฉวี ให้หา ผู้วิเศษมาช่วยขจัดปัดเป่าภัยพิบัติ กษัตริย์ลิจฉวีทรงระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่า ทรงช่วยขจัดปัดเป่าภัยพิบัติ นนั้ ได้ ทรงทราบวา่ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ เี่ มอื งราชคฤห์ จงึ แตง่ ตง้ั เจา้ ลจิ ฉวี ๒ องค์ พรอ้ มเครอ่ื งบรรณาการ ไปถวายพระเจ้าพิมพสิ ารท่เี มอื งราชคฤหท์ นั ที เจ้าลิจฉวีท้ัง ๒ องค์ เสด็จถึงเมืองราชคฤห์ ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลเรื่องราวความ เดือดร้อนของชาวเมืองเวสาลี และมีความประสงค์จะกราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชาวเมือง เวสาลี จงึ พากนั เขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจ้าเพอื่ กราบทลู อาราธนา พระพทุ ธเจ้าทรงพจิ ารณาวา่ ถา้ พระองคเ์ สดจ็ ไป ภัยท้ังปวงจะสงบลง เป็นประโยชน์แก่ชาวเมืองเวสาลี จึงทรงรับการอาราธนาของเจ้าลิจฉวี กษัตริย์ลิจฉวี ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว ทรงประกาศให้ชาวเมืองทราบ และให้จัดเตรียมการรับเสด็จ พระพุทธดำ�เนินโปรดชาวเมืองเวสาลอี ยา่ งยง่ิ ใหญต่ ลอดระยะทาง ๓ โยชน์ เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ๕๐๐ รูป เสด็จถึงเมืองเวสาลีด้วยเรือแพที่พระเจ้า พิมพิสารรับสั่งให้ต่อถวายเพ่ือเสด็จข้ามแม่น้ําคงคากษัตริย์ลิจฉวีทรงลุยน้ําไปรับเสด็จพระพุทธเจ้าด้วย ความปล้ืมปีติ กราบทูลอาราธนาให้เสด็จเข้าเมืองเวสาลี ด้วยพระพุทธานุภาพบันดาลให้ฝนตกกระหน่ํา อย่างหนัก นํ้าท่วมท่ัวเมืองเวสาลีเพ่ือล้างส่ิงสกปรกและซากศพทั่วเมืองให้หมดไป ทำ�ให้เมืองเวสาลีกลับมา สะอาดสงบดังเดิม เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำ�เนินถึงประตูเมืองเวสาลี ท้าวสักกะเทวราชพร้อมด้วย เทพบรวิ ารเสดจ็ มาชมุ นมุ อยู่ ณ ทน่ี น้ั ดว้ ย ท�ำ ใหอ้ มนษุ ยเ์ ปน็ อนั มากพากนั หลบหนไี ป แตย่ งั มหี ลงเหลอื อยบู่ ้าง เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ เขา้ สปู่ ระตูเมอื งเวสาลี ไดต้ รัสแกพ่ ระอานนทว์ า่ ดกู อ่ นอานนท์ เธอจงเรียน เอารตนสูตรน้ี จารกิ ไปภายในกำ�แพงเมอื ง ๓ ช้นั กับพวกกมุ ารลิจฉวี ท�ำ พระปริตรให้ท่วั เมืองเถดิ แล้วตรัส รตนสูตรแก่พระอานนท์ แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศึกษา ชัน้ โท วชิ าอนพุ ุทธประวัติ
165 พระอานนทเ์ ถระ เรยี นพระพทุ ธมนตบ์ ทรตนสตู รทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงประทานใหแ้ ลว้ น�ำ บาตรศลิ า ของพระพุทธเจ้ามาใสน่ ้าํ ถือไปยนื ทห่ี นา้ ประตูเมืองน้อมร�ำ ลึกถงึ พระคุณของพระพทุ ธเจา้ จากนั้นเขา้ ไป ภายในพระนครเดินประพรมนา้ํ พระพุทธมนต์ไปทั่วเมืองเวสาลีภัยท้ังหลายและอมนุษย์ท่ียังหลงเหลืออยู่ กห็ ายไปหมดสนิ้ โรคภยั ไขเ้ จบ็ ของชาวเมอื งกส็ งบลง ชาวเมอื งเวสาลตี า่ งพากนั ออกมาจากบา้ นเรอื น น�ำ ดอกไม้ ของหอมเดนิ ตามบูชาพระอานนท์เถระซึง่ เดนิ ประพรมน้ําพระพทุ ธมนตไ์ ปทัว่ เมืองตลอดคืน พระโบราณจารย์พิจารณาเห็นความศักด์ิสิทธ์แห่งพระพุทธมนต์ จึงได้รวบรวมพระพุทธมนต์ บทรตนสูตร และบทอื่นๆ มาเป็นพระปริตร เรียกว่าเจ็ดตำ�นานบ้าง สิบสองตำ�นานบ้าง หรือเรียกช่ือตาม พระสตู รนน้ั ๆบ้าง เพอื่ ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนสวดหรือเจรญิ เปน็ เครือ่ งป้องกันภยั อันตราย และเกิดความสุขสวสั ดี แก่ชีวิต อนงึ่ พระอานนทเ์ ถระน�ำ บาตรศลิ าของพระพทุ ธเจา้ บรรจนุ าํ้ พระพทุ ธมนตจ์ นเตม็ บาตร เดนิ ประพรม ทั่วเมืองเวสาลีในคราวน้ัน ถือเป็นแบบอย่างในการทำ�น้ําพระพุทธมนต์และประพรมน้ําพระพุทธมนต์ ปจั จบุ นั น้ี ความศักด์สิ ิทธ์ิของพระพุทธมนต์ การเจรญิ หรอื การสวดพระพทุ ธมนต์ จะเกดิ พทุ ธานภุ าพ ธรรมานภุ าพ สงั ฆานภุ าพ และปรติ ตานภุ าพ อนั ศกั ดิส์ ทิ ธสิ์ มบูรณ์ ผรู้ ่วมประกอบพิธีกรรมต้องมคี วามพรอ้ ม ๓ ประการ คือ ๑. ผฟู้ งั มศี รทั ธาความเช่อื ความเล่ือมใสในพระพุทธมนต์ ๒. ผู้เจรญิ หรอื สวดพระพทุ ธมนตม์ จี ติ สงบน่งิ เป็นสมาธแิ น่วแน่ ๓. สวดดว้ ยจิตเมตตา หวังใหผ้ ฟู้ ังได้รบั อานิสงส์เต็มท่ ี พธิ ีเจริญพระพทุ ธมนต์ คำ�ว่าเจริญพระพุทธมนต์ และสวดพระพุทธมนต์ เป็นศัพท์บัญญัติใช้กับพิธีทำ�บุญทางพระพุทธ- ศาสนา การเจริญพระพุทธมนต์ใช้กับงานพิธีปรารภเหตุคือความสุขความเจริญตนเอง ครอบครัวสังคม นิยมเรียกว่า งานมงคล การสวดพระพุทธมนต์ใช้กับงานปรารภเหตุคือการตายของบุคคล นิยมเรียกว่า งานอวมงคล แตก่ ริ ิยาสาธยายวา่ เจริญหรอื สวดต่างกันเพยี งประเภทของงานเท่าน้ัน เมอ่ื ใช้ภาษาใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย เรียกรวมกนั วา่ สวดมนต์ ไมว่ ่าจะเป็นงานใดก็ตาม พิธีมงคลจดั ข้นึ เพือ่ ความสุขความเจริญ นิยมสวดพระปรติ รและพระสตู รเหล่านคี้ อื ๑. เจด็ ต�ำ นาน หรอื จุลราชปริตร ๒. สบิ สองต�ำ นาน หรือ มหาราชปรติ ร ๓. ธรรมจกั กัปปวัตตนสตู ร ๔. มหาสมยั สตู ร ๕. โพชฌงคสตู ร ๖. คิริมานนทสตู ร แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ โท วิชาอนพุ ุทธประวัติ
166 ๗. มหาสตปิ ัฏฐานสตู ร ๘. ชยมงคลคาถา ๙. คาถาจุดเทียนชัยและคาถาดับเทยี นชัย เจ็ดต�ำ นานและสิบสองตำ�นาน พิธีทำ�บุญเนื่องด้วยการเฉลิมฉลองและปรารภความสุขความเจริญ ทำ�ให้เกิดความเป็นสิริมงคล แก่เจา้ ภาพ เชน่ งานฉลองพระบวชใหม่ งานขึ้นบ้านใหม่ งานแตง่ งาน งานวันเกิด การเจรญิ พระพทุ ธมนต์ นิยมใช้เจด็ ต�ำ นานเปน็ พน้ื บทสวดมนตเ์ จ็ดต�ำ นานพระโบราณาจารย์ทา่ นก�ำ หนดพระสูตร คาถา และหัวข้อ พุทธภาษิต บรรดาท่ีมีอานุภาพในทางแนะนำ�และป้องกันสรรพภัยพิบัติ รวมเรียกว่า พระปริตร แปลว่า เครือ่ งป้องกนั หรือเครอ่ื งตา้ นทาน เจ็ดตำ�นานหรอื จุลราชปรติ ร ประกอบด้วย ๑. มงคลสูตร ๒. รตนสูตร ๓. กรณยี เมตตสูตร ๔. ขันธปริตร ๕. โมรปรติ ร ๖. ธชคั คปรติ ร หรอื ธชคั คสูตร ๗. อาฏานาฏิยปริตร ๘. โพชฌงคปริตร เมอ่ื รวมโมรปรติ รเข้ากบั ธชคั คปรติ รเหลือเพียง ๗ ปริตร จงึ เรยี กว่าเจด็ ต�ำ นาน สบิ สองตำ�นาน หรอื มหาราชปรติ ร ประกอบดว้ ย ๑. มงคลสูตร ๒. รตนสูตร ๓. กรณียเมตตสตู ร ๔. ขนั ธปริตร ๕. โมรปรติ ร ๖. วฏั ฏกปรติ ร ๗. ธชัคคปรติ ร หรือ ธชัคคสูตร ๘. อาฏานาฏยิ ปรติ ร ๙. องคุลิมาลปรติ ร ๑๐. โพชฌังคปริตร ๑๑. อภยปรติ ร ๑๒. ชยปรติ ร แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั โท วิชาอนพุ ทุ ธประวตั ิ
167 ในการสวดท่ัวไปนิยมใช้เพียง ๗ หัวข้อหรือน้อยกวา่ พิธีท่ีใช้สวดทั้ง ๘ หรือ ๑๒ หัวข้อก็มีทั้งน้ี ขึ้นกับความสำ�คัญของงานและมีเวลาอำ�นวยในการสวด ดังนั้นปัจจุบันจึงมีสวดอยู่ ๓ แบบ คือแบบเต็ม แบบย่อ และแบบลดั อน่ึง พิธีเจริญหรือสวดพระพุทธมนต์ในพิธีการต่างๆพระสงฆ์จะสวดบทเบื้องต้นก่อน เรียกว่า ต้นสวดมนต์ หรือต้นตำ�นาน แล้วจึงสวดพระปริตรหรือพระสูตรต่างๆ ตามกำ�หนด เรียกว่าตัวตำ�นาน สุดท้ายเป็นเบื้องปลายบทสวดมนต์เรียกว่า ท้ายสวดมนต์หรือท้ายตำ�นาน ต้นตำ�นานเริ่มด้วยบทชุมนุม เทวดา เรยี กอยา่ งสามญั วา่ ขดั สัคเค พระสงฆ์รูปท่ี ๓ จะเป็นผู้ขดั จากน้ันสวดบทนมสั การ คอื นโม ตสั สะ ... จนถึงบทนโมการอฏั ฐกคาถา หรือนโม ๘ บท แลว้ จึงสวดบทพระปริตรหรอื พระสตู รเป็นลำ�ดับต่อไป บทชุมนุมเทวดาหรอื ขัดสัคเค เปน็ บทขดั เพอ่ื เชญิ เทพยดาผสู้ ถิตอยู่ ณ สถานท่ีตา่ ง ๆ ใหม้ าร่วม ประชุมกนั ฟังธรรม คือการเจริญพระพุทธมนต์ การขัดสคั เค มบี ทนำ�ขดั อยู่ ๓ แบบ ใช้ในพธิ ีแตกตา่ งกนั ดังนี้ แบบที่ ๑ ใช้ในงานพระราชพิธีและรัฐพิธี มีบทนำ�ในการขัดสัคเคว่า สะรัชชัง สะเสนัง /-สะ พันธงุ นะรินทัง ปะรติ ตานุภาโว สะทา รกั ขะตตู ิ ผะรติ วานะ เมตตงั สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขติ ตะจติ ตา ปะริตตัง ภะณนั ตแุ ล้วว่าบทขดั สัคเคท่ีเหลอื ตอ่ ไปจนจบ แบบท่ี ๒ ใช้ขัดในการสวดพระพุทธมนต์ ๑๒ ตำ�นาน เริ่มต้นคำ�ว่า สะมันตา จักกะวาเฬสุ อตั ราคจั ฉันตุ เทวะตา สัทธัมมัง มนุ ิราชสั สะ สณุ ันตุ สคั คะโมกขะทงั แล้วว่าบทขัดสัคเค ทเ่ี หลอื ต่อไปจนจบ แบบที่ ๓ ใช้ขัดในการสวดพระพุทธมนต์ ๗ ตำ�นาน เร่ิมต้นคำ�วา่ ผะริตวานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขติ ตะจิตตา ปะรติ ตงั ภะณันตุ แล้วว่าบทขดั สัคเคทเ่ี หลอื ตอ่ ไปจนจบ ทา้ ยต�ำ นาน คอื บท นตั ถิ เม สะระณงั อญั ญงั ... ตอ่ กบั บท ยงั กญิ จิ ระตะนงั โลเก ... และตอ่ ดว้ ยบท ทุกขัปปัตตา ถ้ามีการถวายภัตตาหารด้วย จะสวดบทถวายพรพระ จบด้วยบท ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ... เป็นอันเสร็จพิธีเจริญพระพุทธมนต์ สำ�หรับการสวดมนต์เย็น ไม่มีบทสวดถวายพรพระและจบด้วยบท ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ... เช่นเดียวกนั พธิ มี งคลสมรส พธิ มี งคลสมรส เรียกอย่างสามัญวา่ งานแต่งงาน หรอื งานแต่ง เปน็ ประเพณีของพทุ ธศาสนิกชน ชาวไทย นยิ มให้มีพิธีสงฆเ์ ขา้ มาเกย่ี วข้องเพอ่ื ความเป็นสริ มิ งคลแกค่ ่บู ่าวสาวด้วยสมยั พุทธกาล เรยี กพิธีนวี้ า่ วิวาหมงคล หรืออาวาหมงคล คนไทยนิยมนำ�มาใช้แบบกึ่งทางการวา่ งานวิวาห์ ปกตงิ านมงคลสมรสของไทย จะจดั พธิ ที ่บี า้ นเจ้าสาวถา้ มีบ้านหรือเรอื นหอโดยเฉพาะ นยิ มจดั ที่บา้ นหรือเรอื นหอนน้ั พิธีทำ�บุญงานมงคลสมรส ประเพณีไทยโบราณนิยมจัดงานให้เสร็จภายในวันเดียว แบ่งเป็น ๒ ช่วงเวลา คือ ตอนเช้ามีพิธีทำ�บุญเล้ียงพระ ให้คู่บ่าวสาวทำ�บุญตักบาตรร่วมกันก่อน เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์ ช่วงเช้าแล้ว ตอนสายจะเปน็ ประเพณียกขนั หมาก ไหว้บรรพบรุ ุษไหว้พ่อแมญ่ าติผใู้ หญ่ และอน่ื ๆ ตอนบา่ ย มีพิธีสงฆ์อีกวาระหน่ึง จะนิมนต์พระสงฆ์ชุดเดิมมาเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อทำ�นํ้ามนต์ใช้หลั่งนํ้าสังข์ โดย พระสงฆ์จะประพรมน้ําพระพุทธมนต์ให้ เพ่ือเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว บ้านหรือเรือนหอด้วย จากนั้น เป็นพิธีหลั่งน้ําสังข์ของบิดา มารดา และญาติผู้ใหญ่ของคู่บ่าวสาว ตลอดถึงแขกผู้มีเกียรติรับเชิญมา แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นโท วิชาอนพุ ทุ ธประวัติ
168 รว่ มงาน จะไมข่ อลงรายละเอยี ดพธิ แี บบโบราณน้ี เพราะปจั จุบันแทบจะไม่มกี ารจัดพธิ ีรปู แบบนีแ้ ล้วส�ำ หรบั พิธีทำ�บุญงานมงคลสมรสในปัจจุบนั นยิ มจดั พิธสี งฆใ์ ห้เสรจ็ ชว่ งเชา้ เสร็จพธิ ีสงฆแ์ ลว้ จงึ ประกอบพธิ ที างโลก ตอ่ ไป ในทน่ี ี้จะกล่าวเฉพาะพธิ สี งฆ์เท่านนั้ การเตรียมการต่าง ๆ ก็คล้ายกับการทำ�บุญในพิธีท่ัวไป การนิมนต์พระสงฆ์นิยมนิมนต์ ๙ รูป สมยั โบราณนมิ นตพ์ ระสงฆ์เป็นคู่ คอื ๘ รูป ๑๐ รูป เพอื่ ให้คู่บา่ วสาวนมิ นต์นิมนตเ์ ท่า ๆ กนั ส�ำ หรบั เครอ่ื ง ประกอบพิธี นอกจากอุปกรณ์ท่ัวไป เช่น พระพุทธรูป โต๊ะหมู่ ยังมีเครื่องประกอบพิธีโดยเฉพาะอีก คือ มงคลแฝด กระแจะสำ�หรับเจิมคู่บ่าวสาว เตรียมนำ�เข้าพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมี ข้ันตอนการปฏบิ ัติตามลำ�ดับดงั นี้ ครน้ั ไดเ้ วลาตามก�ำ หนดแลว้ คบู่ า่ วสาวจดุ ธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั รว่ มกนั โดยเจา้ สาวนง่ั ดา้ นซา้ ย ของเจ้าบ่าวสมาทานศีล ฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เมื่อถึงบทพาหุงคู่บ่าวสาวตักบาตรร่วมกันโดยทั้งคู่ จับทัพพีเดียวกันพระสงฆ์สวดมนต์จบ ประเคนภัตตาหารร่วมกันพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วถวายจตุปัจจัย ไทยธรรมพระสงฆ์จะเจิมหน้าคู่บ่าวสาวและประพรมน้ําพระพุทธมนต์ กรณีมีพิธีหล่ังน้ําสังข์ในภายหลัง ประธานพิธีจะเป็นผูเ้ จิมหน้าคู่บา่ วสาว เมอ่ื พธิ สี งฆเ์ สรจ็ สนิ้ แลว้ จะมพี ธิ ตี ามประเพณตี อ่ ไปสดุ แตเ่ จา้ ภาพจะก�ำ หนดการเจรญิ พระพทุ ธมนต์ ในสมยั กอ่ น นยิ มสวดมหาสมยั สตู รปจั จบุ นั สวดเจด็ ต�ำ นานเหมอื นการท�ำ บญุ ทว่ั ไป แตจ่ ะสวดองั คลุ มิ าลปรติ ร และวัฏฏกปริตรเพ่ิมด้วย โดยความหมายว่าอังคุลิมาลปริตรจะช่วยให้คลอดบุตรง่าย และวัฏฏกปริตร เปน็ การคุม้ ครองบ้านหรือเรอื นหอจากอคั คีภัย พิธที ำ�บญุ อายุ พิธีทำ�บุญอายุ เร่ิมมีในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ โดยถือเป็น ธรรมเนียมว่า เม่ือมีอายุเจริญวัยพอสมควรนิยมทำ�บุญอายุของตน อาจทำ�ทุกปีในวันคล้ายวันเกิด เรียกว่า ทำ�บุญคล้ายวันเกิด มักเริ่มทำ�เม่ือมีอายุ ๒๕ ปีเป็นต้นไป หรืออาจเป็นบางคร้ังบางปีก็ได้ แต่ถ้าทำ�บุญ ในวันครบรอบใหญ่ คอื ๕ รอบเปน็ ต้นไป ไดแ้ กอ่ ายคุ รบ ๖๐ ปี ๗๒ ปี ๘๐ ปี ๘๔ ปี เรียกวา่ ทำ�บญุ อายุใหญ่ นิยมเรยี กในปัจจบุ นั ว่า ท�ำ บุญอายุวฒั นมงคล พิธีทำ�บุญวันเกิดประจำ�ปี จัดเหมือนการทำ�บุญโดยทั่วไป พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ บทเจ็ดตำ�นาน ถ้าเจ้าภาพมีศรัทธาให้สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก็สามารถทำ�ได้ หรือจะสวดบทย่อของ ธัมมจกั กัปปวัตนสูตรเฉพาะตั้งแตภ่ มุ มานัง เทวานงั เป็นต้นกไ็ ดเ้ ช่นเดียวกนั ธรรมเนยี มโบราณ ถา้ อายุไมถ่ งึ ๕ รอบ ไม่นิยมสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แต่ไม่ใช่ข้อห้ามตายตัวแต่อย่างใด ส่วนการนิมนต์พระสงฆ์ ถ้าเป็นงานใหญ่จะนิมนต์พระสงฆ์เท่าอายุบวกอีก ๑ หรือนิมนต์ ๙ รูปตามปกติก็ได้ท้ังน้ี ข้ึนอยู่กับความ ศรัทธาความพร้อมของเจา้ ภาพ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ โท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
169 พิธีทำ�บญุ อายุครบรอบใหญ่ การท�ำ บญุ อายคุ รบรอบใหญ่ มี ๒ อยา่ ง คอื งานทำ�บุญอายตุ ามปกติทว่ั ไป และงานทำ�บุญอายุ ประกอบพธิ โี หรหรอื พิธนี พเคราะห์ งานท�ำ บญุ อายตุ ามปกติ การทำ�บุญอายุตามปกติท่ัวไป แต่เดิมจัดงาน ๒ วัน คือ เจริญพระพุทธมนต์เย็นก่อนวันเกิด วันหนึ่ง รุ่งขึ้นทำ�บุญเลี้ยงพระวันเกิดอีกวันหน่ึงปัจจุบันนิยมจัดงานภายในวันเดียว เรียกท่ัวไปว่า สวดมนต์ ฉนั เช้า หรือ สวดมนตฉ์ นั เพล มรี ะเบียบพิธเี หมือนการทำ�บุญทวั่ ไป งานทำ�บุญอายจุ ดั พิธีนพเคราะห์ พิธีสวดนพเคราะห์ เป็นการทำ�บุญอายุนำ�เอาคติทางพระพุทธศาสนา คือการทำ�บุญอายุมา ผนวกกับคติพราหมณ์หรือคติโหรเข้าด้วยกัน ประกอบพิธีรวมเป็นพิธีเดียวกัน โดยปฏิบัติตามคติพุทธ เป็นแกนหลัก มีคติพราหมณ์หรือคติโหรเป็นส่วนประกอบปัจจุบันพิธีสวดนพเคราะห์จัดเป็นส่วนบุคคล มีน้อยเพราะต้องใช้งบประมาณและเตรียมการมาก ทั้งคนเข้าใจในวิธีปฏิบัติก็มีอยู่น้อย จึงนิยมทำ�พิธีรวม เปน็ หมคู่ ณะตามสถานทต่ี า่ ง ๆ ส่วนมากจะจัดในวัด ดาวนพเคราะหท์ ัง้ ๙ คติโหรเชือ่ วา่ โลกจกั รวาลอนั มนษุ ยแ์ ละสตั ว์เวยี นวา่ ยตายเกิดอยนู่ ี้ นอกจากเป็นไปตามคติกรรม ทางพระพทุ ธศาสนาแลว้ ยังหมุนเวยี นไปตามอิทธพิ ลของดวงดาว ๙ ดวง รวมกันเปน็ กลุ่มจักรวาลน้ี เรยี กว่า นพเคราะห์ แปลว่ากลุ่มดาวทั้ง ๙ เรียงลำ�ดับตามวิถีโคจรรอบโลกของเรา จัดลำ�ดับจากเห็นก่อนและหลัง ตามหลกั คมั ภรี ท์ กั ษาของโหรคอื อาทติ ย์ จนั ทร์ องั คาร พธุ เสาร์ พฤหสั บดี ราหู ศกุ ร์ เกตุ มชี อ่ื เรยี กและล�ำ ดบั ปรากฏในวงโคจรดังกลา่ วข้างต้น ฉะนั้น บทสวดมนต์กำ�หนดเป็นบทประจำ�พระเคราะห์นั้นๆ จึงนำ�มาสวด ตามลำ�ดับการปรากฏของพระเคราะห์ทั้ง ๙ และคัมภีร์ทักษาได้กำ�หนดกำ�ลังนพเคราะห์แต่ละดวงไว้ตาม กำ�ลงั รอบที่หมนุ เวยี นรอบจักรวาล คือพระอาทติ ย์ มกี �ำ ลงั ๖ พระจันทร์ ๑๕ พระองั คาร ๘ พระพทุ ธ ๑๗ พระเสาร์ ๑๐ พระพฤหัสบดี ๑๙ พระราหู ๑๒ พระศุกร์ ๒๑ พระเกตุ ๙ วัตถปุ ระสงคข์ องพิธีนพเคราะห์ พิธีนพเคราะห์เป็นพิธีโบราณ กระทำ�สืบทอดกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน จัดขึ้นตามความเช่ือ ทางหลกั โหราศาสตรว์ า่ ชวี ติ ของคนเรามเี ทวดานพเคราะหผ์ ลดั เปลยี่ นเขา้ มาเสวยอายตุ งั้ แตแ่ รกเกดิ เมอ่ื เทวดา นพเคราะห์คู่เป็นมิตรกันเข้ามาเสวยอายุ ก็จะทำ�ให้บุคคลน้ันมีความสุขความเจริญมีโชคลาภ แต่เมื่อเทวดา เข้ามาเสวยอายุเป็นคู่ศัตรูกัน ก็จะทำ�ให้บุคคลนั้นประสบอุปสรรคหรือบางครั้งอาจถึงเสียชีวิตตามคำ�พูดว่า พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก โบราณาจารย์และโหราศาสตร์ได้หาวิธีแก้ไขเพื่อสร้างขวัญกำ�ลังใจแก่บุคคล เจ้าของชะตา โดยรวบรวมหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาให้บุคคลเจ้าของชะตานำ�ไปประพฤติปฏิบัติ ในการดำ�เนินชีวิต จึงจัดทำ�พิธีบูชา นพเคราะห์ขึ้น เพ่ือเป็นเครื่องบูชาเทวดาที่ผลัดเปล่ียนกันมาเสวยอายุ ใหเ้ มตตาปรานแี ละอดโทษ เพือ่ ทุเลาความเลวรา้ ยลงและดลบนั ดาลประทานความสุขความเจริญให้ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ช้นั โท วิชาอนพุ ทุ ธประวตั ิ
170 การจัดพธิ ีสวดนพเคราะห์ เนอ่ื งจากพธิ สี วดนพเคราะหน์ ี้ เปน็ พธิ ใี หญ่ มรี ะเบยี บพธิ แี ละล�ำ ดบั ขนั้ ตอนมาก ยากทบี่ คุ คลทว่ั ไป จะนำ�ไปปฏิบัติ การทำ�พิธีต้องอาศัยบุคคลมีความรู้ความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะเท่านั้น จึงสามารถปฏิบัติให้ ถูกต้องสมบูรณ์ สำ�หรับบุคคลทั่วไปเพียงศึกษาอย่างกว้างๆ เพื่อเป็นความรู้ก็เพียงพอแล้ว ฉะน้ันในท่ีนี้ จะกล่าวพอเป็นแนวปฏิบตั ไิ มล่ งลึกรายละเอยี ดมากนัก อปุ กรณ์เคร่อื งประกอบพธิ ี พิธีสวดนพเคราะห์เป็นพิธีพิเศษ พระสงฆ์และโหราจารย์ประกอบพิธีร่วมกัน การจัดเตรียม อปุ กรณเ์ ครอ่ื งใช้ในพิธี เจา้ ภาพต้องจดั ให้ครบตามค�ำ แนะน�ำ ของโหราจารยท์ ่เี ชญิ มาประกอบพธิ ที ุกประการ ในปจั จบุ นั เพอ่ื อ�ำ นวยความสะดวกแกเ่ จา้ ภาพบางส�ำ นกั รบั จดั อปุ กรณพ์ ธิ นี พเคราะหใ์ หค้ รบถว้ น สว่ นคา่ ใชจ้ า่ ย ตกลงกนั ทง้ั ๒ ฝ่าย อปุ กรณ์เครือ่ งใช้ส�ำ คัญพอสรปุ ได้ดังน้ี ๑. เทียนชัย เป็นเทียนเล่มใหญ่ ใช้ฟั่นด้วยข้ีผึ้งอย่างดีมีความสูงเท่ากับตัวเจ้าภาพ ไส้เทียน ใช้ด้ายดิบเท่ากบั อายเุ จ้าภาพบวก ๑ ต้ังไวใ้ นตู้เทียนชัย ตอ้ งดแู ลรกั ษาไมใ่ หด้ ับจนกวา่ เสร็จพธิ ี ๒. เทียนมงคล ใช้ขี้ผึ้งหนัก ๙ บาท ความยาวเท่ากับความยาวรอบศีรษะเจ้าภาพ ไส้เทียน เท่ากบั อายขุ องเจ้าภาพบวก ๑ ๓. เทยี นประจ�ำ บตั ร ๑๑ เลม่ หนกั เลม่ ละ ๒ บาท ไส้เทยี น ๑๖ เส้น ความยาว ๑ คบื ๔. เทียนขผี้ ึ้งหนัก ๑ สลึง ไส้เทยี น ๙ เส้น จ�ำ นวน ๑๑๗ เลม่ ใช้จดุ บูชาเทวดาพระเคราะห ์ ๕. เทียนหนัก ๑ บาท ประมาณ ๕ เล่ม ๖. ขันน้าํ มนตช์ นดิ ขนั เชงิ ใหญ่ ๑ ใบ ถ้าไมม่ ีใชก้ ระถางแทนได้ ใสน่ าํ้ สำ�หรับท�ำ นํ้ามนต์ ใส่ใบไม้ มงคล ๙ ชนิด และมีดอกบัวลอยไว้ ๕ ดอก ๗. พระพทุ ธรปู ปางประจ�ำ วนั เกิด สำ�หรบั ตงั้ เป็นประธานบนโต๊ะหมบู่ ูชา ๘. ของใชอ้ ่นื ๆ เชน่ สายสิญจน์ ธปู หอมประมาณ ๑๕๐ ดอก บัตรพลี เครอื่ งกระยาบวช ส�ำ หรับ บชู าเทวดาจะจัดหาวงป่ีพาทยม์ าบรรเลงประกอบพิธี เพอ่ื รับส่งเทวดานพเคราะห์ ๙. ตามกำ�ลังวันพระเคราะห์เสวยอายนุ ้นั ๆ ดว้ ยกไ็ ด้ ล�ำ ดับขน้ั ตอนพิธี เมื่อได้เวลาประกอบพิธี เจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยจุดเทียนชัยในขณะจุดเทียนชัย พระสงฆจ์ ะสวดคาถาจดุ เทยี นชยั เทยี นชยั นต้ี อ้ งระวังรกั ษาไมใ่ หด้ ับจนกว่าจะเสรจ็ พิธี ตอ่ จากนนั้ จุดเทียน บูชานพเคราะห์ตามโหราจารย์กำ�หนดโหราจารย์อาราธนาศีล ทุกคนรับศีลโหราจารย์อัญเชิญเทวดา ตามลทั ธิ จบแล้วอาราธนาพระปรติ ร พระสงฆด์ �ำ เนนิ พธิ สี วดนพเคราะห์ เรมิ่ ตน้ ดว้ ยพระสงฆร์ ปู ท่ี ๓ ชมุ นมุ เทวดา (ขดั สคั เค) ประธานสงฆ์ นำ�สวดบทต้นตำ�นาน ต่อด้วยมงคลสูตร จบแล้วโหราจารย์ประกาศคำ�อำ�นวยพร และประกาศคำ�บูชา พระอาทิตย์ พระสงฆ์สวดโมรปริตรประจำ�วันอาทิตย์ โหราจารย์ประกาศคำ�บูชาพระจันทร์ พระอังคาร พระพุทธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระราหู พระศุกร์ และพระเกตุ สลับกับการสวดของพระสงฆ์ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นโท วชิ าอนพุ ทุ ธประวตั ิ
171 ทุกพระเคราะห์ตามลำ�ดับดังกล่าวแล้ว ซ่ึงแต่ละพระเคราะห์มีบทสวดกำ�หนดเป็นการเฉพาะ จากน้ันสวด บทท้ายตำ�นานจนจบ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ต่อด้วยบท นักขัตตะยักขะภูตานัง จึงเสร็จพิธีการสวด นพเคราะห์ สุดท้ายเป็นพิธีดับเทียนชัย โดยพระสงฆ์หรือโหราจารย์เป็นผู้ดับ ในขณะดับเทียนชัยพระสงฆ์ สวดคาถา ดบั เทยี นชยั ปะพรมนา้ํ มนตใ์ หเ้ จ้าภาพและผู้เขา้ ร่วมพธิ ที กุ คน ถวายไทยธรรมพระสงฆ์ กรวดนาํ้ รบั พร เปน็ อันเสรจ็ พธิ ี พธิ ีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายสุ มธมั ม์ พิธีนวัคคหายุสมธัมม์ (อ่านว่า นะ-วัค-คะ-หา-ยุ-สะ-มะ-ทำ�) แปลว่า ธรรมเสมอด้วยอายุ พระเคราะห์ทั้ง ๙ มีระเบียบพิธีและข้ันตอนการปฏิบัติเช่นเดียวกับพิธีนพเคราะห์ เป็นพิธีจัดข้ึนสำ�หรับ พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ เริ่มจัดเป็นคร้ังแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๔ โดยสมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ (สา ปสุ สเทวมหาเถร) สมเดจ็ พระสงั ฆราชองคท์ ่ี ๙ แหง่ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงคัดเลือกหัวข้อธรรมจากพระสูตรต่าง ๆกำ�หนดเป็นบทสวดบูชาพระเคราะห์ทั้ง ๙ ดังปรากฏในหนังสือสวดมนต์ฉบับหลวง จึงถือเป็นธรรมเนียมว่าในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั การจัดพิธีนวคั คหายสุ มธัมม์ ณ พระอุโบสถวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม จะตอ้ ง นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จากวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีรามเท่าน้ัน จำ�นวน ๕ รูป มาประกอบพิธี ในวันท่ี ๕ ธันวาคม และรบั พระราชทานฉันเพล ในวนั ที่ ๖ ธันวาคม ณ พระทีน่ ่ังอมรินทรวินจิ ฉัย ในสว่ น พิธีพราหมณ์ พระครูพราหมณ์สำ�นักพระราชวังจัดเตรียมเครื่องใช้ในพิธี และประกอบพิธีร่วมกับพระสงฆ์ ทรงสมณศักดิ์ การอารธนาพระปริตรในพิธีนี้ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธี กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ นอกจากจะจัดในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังเคยจัดในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินนี าถวันพระราชสมภพสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร และสมเด็จพระเจา้ พ่นี างเธอ เจ้าฟา้ กัลยาณวิ ฒั นา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครนิ ทร์ อีกดว้ ย พธิ ที ำ�บญุ ตอ่ นาม พิธีทำ�บุญต่อนาม เป็นการทำ�บุญของญาติผู้ป่วย ต้องการให้ผู้ป่วยได้ทำ�บุญกุศลในช่วงสุดท้าย ของชีวิต เพื่อเป็นพลวปัจจัยนำ�ไปสู่สุคติในสัมปรายภพเสมือนเป็นการเตรียมเสบียงเดินทางให้ผู้ป่วยหนัก นำ�ไปใช้สอยเมื่อจะต้องละโลกน้ี หรือเพื่อให้บุญกุศลช่วยให้หายหรือบรรเทาจากอาการเจ็บป่วยน้ัน มีชีวิต อยู่ต่อไป จึงเรียกทำ�บุญต่อนาม หมายถึง สืบต่อขันธ์ ๕ ส่วนนาม ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้กลับมาดำ�เนินต่อไปโดยปราศจากอันตรายถึงเสียชีวิต หรือเม่ือไม่สามารถหายจากอันตรายน้ันได้ ก็ให้ สบื ต่อไปสภู่ พใหมเ่ ป็นสุคติ เรียกอกี อย่างหน่ึงว่าท�ำ บุญต่ออายุ เปน็ พิธีไมค่ ่อยมใี หเ้ ห็นบ่อยนักในปัจจบุ ัน พิธีทำ�บุญต่อนาม เป็นพิธีจัดขึ้นแบบกะทันหันเร่งด่วน ระเบียบพิธีไม่มีอะไรมากมายนัก มักจัด ในห้องผู้ป่วยตามมีตามได้ ต้ังพระพุทธรูปบูชาด้านหัวนอนของผู้ป่วยตามความเหมาะสม นิมนต์พระสงฆ์ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ชน้ั โท วิชาอนพุ ุทธประวัติ
172 มาเจรญิ พระพทุ ธมนต์ตอ่ นาม จำ�นวน ๕ รูป ไมเ่ กิน ๗ รปู เน่อื งจากเปน็ กิจนมิ นต์กะทนั หันและรบั พระสงฆ์ มาสวดเดี๋ยวนนั้ ก็มี พระสงฆอ์ าจนั่งหรอื ยืนสวดกไ็ ด้ ข้ึนอยกู่ บั สถานที่ ถ้าผู้ป่วยอาการไมห่ นกั ไม่ใกล้สนิ้ ชวี ติ แตญ่ าติต้องการจดั เปน็ ขวญั กำ�ลงั ใจแก่ผู้ปว่ ยก็ท�ำ ไดเ้ ชน่ กนั การทำ�บญุ ต่อนาม มีล�ำ ดับพิธโี ดยย่อดงั นี้ เมอ่ื มีความพรั่งพร้อมแลว้ ผปู้ ว่ ยหรอื ผู้แทนกไ็ ด้ จดุ ธปู เทยี นบูชาพระรัตนตรัยอาราธนาศีล รับศีล อาราธนาพระปริตรพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ตามบทนิยม เริ่มต้นด้วย นโม... พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ และสวดโพชฌงคสูตรท้ัง ๓ คือ มหากัสสปโพชฌงค์ มหาโมคคัลลานโพชฌงค์ มหาจุนทโพชฌงค์ หรือ จะสวดคิรมิ านนทสตู รแทนโพชฌงคสตู รทั้ง ๓ กไ็ ด้ พิธที ำ�บญุ ตอ่ นามนี้ จดั ติดต่อกนั ๓ วนั ๓ คืนก็มี เพือ่ เพิ่มบญุ กศุ ลแกผ่ ปู้ ่วย ฝ่ายพระสงฆ์กส็ วด พระสตู รไมซ่ ํ้ากนั ทงั้ ๓ วนั โดยวนั แรกสวดโพชฌงคสตู รวนั ที่ ๒ คริ มิ านนทสตู ร วนั สดุ ทา้ ยมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร จบแลว้ พระสงฆ์ชกั บงั สกุ ลุ ให้ผปู้ ่วยดว้ ย เรยี กว่าชักบงั สุกุลเป็น พิธีวางศิลาฤกษ์ พิธวี างศิลาฤกษ์ เปน็ พิธีจัดขน้ึ ตามธรรมเนียมประเพณไี ทย เกิดขน้ึ จากความเชือ่ ทางโหราศาสตร์ ซึ่งต้องเลือกหาฤกษ์ยามอันเป็นมงคล เพื่อความมั่งมีศรีสุข มีโชคลาภ เจริญรุ่งเรือง ในการดำ�รงชีวิต และ สุขกายสบายใจแก่ผู้อยู่อาศัยหรือกิจการ สิ่งก่อสร้างควรวางศิลาฤกษ์ ได้แก่ พระบรมราชานุสาวรีย์ อนสุ รณส์ ถาน อโุ บสถ วหิ าร ศาลาการเปรียญ สถานท่รี าชการรฐั วิสาหกจิ สำ�นักงานใหญ๋ของบรษิ ทั ถา้ เปน็ อาคารบา้ นเรอื นไม่นิยมประกอบพธิ วี างศลิ าฤกษ์ แตจ่ ะท�ำ พิธียกเสาเอกเสาโทของบา้ นแทน พิธีวางศิลาฤกษ์ในการก่อสร้างสถานที่ดังกล่าวข้างต้น นิยมจัดให้มีพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ รวมอยใู่ นพธิ เี ดยี วกัน จะนำ�มากลา่ วพอเปน็ แนวทางในการปฏิบตั ิดงั น้ี อุปกรณป์ ระกอบพธิ ีตอ้ งจัดเตรียม การประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ มีอุปกรณ์เคร่ืองประกอบพิธีมาก นับต้ังแต่โต๊ะหมู่เครื่องบูชา สำ�หรับประดิษฐานพระพุทธรูปโต๊ะวางแผ่นศิลาฤกษ์ อิฐทอง นาค เงิน ไม้มงคล โถกระแจะเจิม พาน ขา้ วตอกดอกไม้ขุดหลุมศิลาฤกษ์ ขนาดกว้าง x ยาว ๕๐ x ๕๐ เซนตเิ มตร ลกึ ๗๐ เซนตเิ มตร หรือให้ใหญ่กว่า แผ่นศิลาฤกษ์ประมาณ ๑๐ น้ิววัดโดยรอบ ให้ขอบปากหลุมสูงจากพ้ืน ๗๐ เซนติเมตรเตรียมไม้มงคล คือ ไมก้ ันเกรา ไม้ชยั พฤกษ์ ไมท้ รงบาดาล (บนุ นาค) ไมท้ องหลาง ไมพ้ ยงุ ไมร้ าชพฤกษ์ ไม้ไผ่สสี ุก ไมข้ นุน และ ไม้สัก จะอยู่ตรงกลางหลุม เนื่องจากถือว่าเป็นพญาไม้ค้อนสำ�หรับตอกไม้มงคลท้ัง ๙ ปูนซีเมนต์ผสมทราย เรียบร้อย เกรียงสำ�หรับปาดปูนให้เรียบร้อยนพรัตน์หรือพลอย ๙ สีดอกไม้ฉีกกลีบ นิยมดอกดาวเรืองหรือ ดอกกุหลาบ ก่อนถึงเวลาประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ จะประกอบพิธีบวงสรวงสังเวยก่อน เคร่ืองสังเวย ได้แก่ บายศรปี ากชามซา้ ยขวาเครอ่ื งประกอบฤกษ์ขนมสดท้งั ๕ คือ ขนมต้มแดง ขนมตม้ ขาว ขนมมชี อื่ เป็นมงคล อกี ๓ ชนิด เชน่ ทองหยบิ ฝอยทอง ขนมชั้น ขนมถ้วยฟู น้าํ ชาจนี กล้วยน้าํ ว้า มะพร้าวอ่อนมัจฉะมังสาหาร ทงั้ ๕ คือ หัวหมู เปด็ ไก่ ปลา ปูหรอื กุง้ ทกุ อย่างตอ้ งสะอาด ต้มสุกผลไมต้ า่ งๆ ใหม้ ากอยา่ ง มีทั้งผลใหญ่ แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ชั้นโท วชิ าอนพุ ทุ ธประวตั ิ
173 ผลกลาง ผลเลก็ ข้าวตอกดอกไม้๑ พาน ส�ำ หรับโปรยหลมุ พวงมาลยั ๑ พวง สำ�หรับวางบนแผน่ ศลิ าฤกษ์ โต๊ะปูดว้ ยผ้าขาว ส�ำ หรบั ตัง้ เคร่อื งสงั เวยธปู เทยี น แจกันดอกไมจ้ ัดให้สวยงาม เมื่อได้ฤกษ์ทำ�พิธีบวงสรวง โหรหรือพราหมณ์จะเชิญประธานพิธีจุดธูปเทียนที่โต๊ะสังเวย จากนั้นโหรหรือพราหมณ์จะทำ�พิธีบวงสรวงตามเวลาเหมาะสม หลังจากเสร็จพิธีบวงสรวงแล้ว จะเป็นพิธี เจริญพระพุทธมนต์การประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในพิธีวางศิลาฤกษ์ พึงกระทำ�เช่นเดียวกับพิธีมงคล อ่ืนๆ โดยนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นนั่งบนอาสนะ ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยพิธีกรอาราธนาศีล ประธานสงฆ์ให้ศลี อาราธนาพระปรติ ร พระสงฆ์เจริญพระพทุ ธมนต์ จบแล้ว ถ้ามีการรายงานถงึ วัตถุประสงค์ ของการก่อสร้างก็กล่าวรายงานในช่วงน้ีเจ้าหน้าที่เชิญเคร่ืองประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ไปยังจุดวางศิลาฤกษ์ เม่ือถึงเวลาฤกษ์และกล่าวรายงานเสร็จแล้ว พิธีกรเรียนเชิญประธานพิธีไปยังบริเวณวางศิลาฤกษ์ และ ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา วงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ประธานหยิบ ไม้มงคลปกั ลงตรงจุดทง้ั ๙ ตอกลงในทรายหยิบแผน่ อิฐเงิน นาก ทอง อยา่ งละ ๓ แผ่น วางบนหลกั ไมม้ งคล ใช้ปูนซีเมนตผ์ สมทรายและนา้ํ แล้ว กอ่ อฐิ เงิน นากทอง เป็นชั้นๆ ใหค้ รบท้ัง ๙ แผ่นวางแผ่นศลิ าฤกษ์บนแผ่น อิฐทอง นาก เงิน วางพวงมาลัยลงบนแผ่นศิลาฤกษ์โปรยข้าวตอกดอกไม้ลงในหลุมศิลาฤกษ์ หลังจากนั้น เชิญผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ โปรยดอกไม้ด้วย นิมนต์ประธานสงฆ์พรมน้ําพระพุทธมนต์ประธานกลับเข้ามา ในมณฑลพิธเี จรญิ พระพุทธมนต์ถวายจตุปัจจยั ไทยธรรม พระสงฆ์อนโุ มทนา กรวดนํา้ รับพรเปน็ อนั เสร็จพธิ ี แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้นั โท วิชาอนพุ ุทธประวตั ิ
174 เวลา..........ชั่วโมง แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๗ ธรรมศึกษาช้ันโท สาระการเรยี นร้ศู าสนพธิ ี เรื่อง พิธีสวดพระพทุ ธมนต์ ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ๒ รู้และเข้าใจพุทธประวัติ ความสำ�คัญของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตนเป็น พุทธศาสนิกชนทีด่ ี และธำ�รงรกั ษาพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ รู้และเขา้ ใจ เหน็ ความสำ�คญั ของพธิ สี วดพระพทุ ธมนต์ ๓. สาระส�ำ คัญ พิธีสวดพระพุทธมนต์ ๔. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ นกั เรียนสามารถสรุปความส�ำ คัญของพธิ สี วดพระพุทธมนต์ได้ ๕. สาระการเรยี นรู้ พธิ ีสวดพระพทุ ธมนต์ - การจัดงานศพ - สถานทีต่ งั้ ศพบำ�เพ็ญกุศล - การจัดสถานที่ในพิธีสวดพระอภธิ รรม - อปุ กรณเ์ ครอ่ื งใชท้ ่ตี ้องจดั เตรียมในพธิ ีศพ - พธิ บี งั สกุ ุลปากหบี - พธิ สี วดพระอภิธรรมศพ - พิธที ำ�บญุ ปากหบี - พธิ บี ำ�เพ็ญกศุ ล ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน - พิธที ำ�บุญงานฌาปนกจิ ศพ - พิธีสวดมาติกาบังสุกลุ - พธิ ีสวดแจง - การจัดพิธีฌาปนกิจศพและพระราชทานเพลงิ ศพ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวตั ิ
175 - พิธีเกบ็ อฐั ิและพธิ สี ามหาบ - พธิ ีทำ�บุญฉลองอัฐ ิ - พธิ ีบรรจศุ พ ๖. กระบวนการจัดการเรียนรู้ ข้นั สบื ค้นและเช่อื มโยง ๑. ครูให้นักเรียนดูภาพพิธีงานศพ โดยใช้คำ�ถามนำ�เพื่อพัฒนาทักษะการคิดและเชื่อมโยงไปสู่ การเรยี นรู้ ดังนี้ - ภาพท่ีนักเรียนดูคอื ภาพอะไร - นักเรยี นเคยร่วมงานศพหรือไม่ - นกั เรียนเลา่ พธิ ีงานศพได้หรอื ไม่ ฯลฯ ข้นั ฝึก ๒. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่ม ๕-๖ คน โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มศึกษา ใบความรทู้ ี่ ๒๐ เรือ่ งพิธีสวดพระพทุ ธมนต์ ๓. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มต้ังคำ�ถามและตอบคำ�ถาม กลุ่มละ ๕ ข้อ แล้วส่งตัวแทนนำ�เสนอ หน้าชั้นเรียนโดยถามทีละข้อ กลุ่มใดตอบถูกมากท่ีสุดเป็นผู้ชนะ และช่วยกันตอบคำ�ถามในใบกิจกรรม ท่ี ๘ พร้อมน�ำ เสนอหน้าชนั้ เรยี น ครตู รวจสอบความถกู ต้อง ๔. ให้นักเรียนกลุ่มเดิมช่วยกันสรุปขั้นตอนพิธีสวดพระพุทธมนต์ลงในกระดาษท่ีครูแจกให้ พรอ้ มท้งั น�ำ เสนอหนา้ ชนั้ เรยี น โดยการสุม่ นกั เรยี นออกมา ๑-๒ กลุม่ น�ำ ผลงานมาติดท่ปี า้ ยนิเทศ ข้ันประยุกต์ ๕. ครูกบั นักเรียนรว่ มกนั ประเมินผล และชน่ื ชมกลุ่มท่ีท�ำ งานไดด้ ี ๖. นกั เรียนและครูร่วมกันสรปุ พิธีสวดพระพุทธมนต์ ๗. นักเรยี นทำ�แบบทดสอบหลังเรยี น และครตู รวจใหค้ ะแนน ๗. ภาระงาน/ช้นิ งาน ท ่ี ภาระงาน ชนิ้ งาน ๑ ตอบคำ�ถามพิธีสวดพระพทุ ธมนต์ ใบกจิ กรรมที่ ๘ ๒ สรุปขั้นตอนพิธสี วดพระพุทธมนต์ท่ีตนเองสนใจ - แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ช้นั โท วิชาอนุพทุ ธประวตั ิ
176 ๘. สอื่ /แหลง่ การเรียนรู้ ๑. ภาพพิธงี านศพ ๒. ใบความรูท้ ่ี ๒๐ เร่ืองพิธีสวดพระพุทธมนต์ ๓. ใบกจิ กรรมที่ ๘ ๔. กระดาษเอ ๔ ๕. ปา้ ยนเิ ทศ ๖. แบบทดสอบหลังเรียน ๙. การวัดและประเมินผล ส่งิ ท่ีตอ้ งการวัด วธิ วี ัด เครอื่ งมอื เกณฑ์การประเมิน สรปุ ความส�ำ คัญของพิธี สวดพระพุทธมนตไ์ ด้ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผา่ น = ไดค้ ะแนนตั้งแตร่ อ้ ยละ ๖๐ ขนึ้ ไป - สงั เกต ผลงาน ไมผ่ ่าน = ไดค้ ะแนนตา่ํ กว่าร้อยละ ๖๐ - แบบสงั เกต พฤติกรรม การปฏบิ ตั ิ กิจกรรมกลุม่ แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
177 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบัตกิ จิ กรรมกลุ่ม ขอ้ ท่ี รายก าร ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความร่วมมือในการ ให้ความรว่ มมือในการ ให้ความรว่ มมอื ในการ ใหค้ วามร่วมมือในการ ท�ำ กจิ กรรม ทำ�กิจกรรมทุกกจิ กรรม ทำ�กิจกรรมบางกจิ กรรม ท�ำ กจิ กรรมบ้าง ๒ การแสดง/การรบั ฟัง แสดงความคดิ เห็น และ แสดงความคดิ เห็น และ แสดงความคดิ เห็น และ ความคดิ เหน็ รับฟงั ความคดิ เหน็ ของ รับฟงั ความคดิ เหน็ ของ รบั ฟังความคดิ เหน็ ของ คนส่วนมากเป็นสำ�คญั คนอ่นื บา้ ง คนอ่ืนนอ้ ย ๓ การตง้ั ใจ/การแกไ้ ข มคี วามต้งั ใจและ มีความตง้ั ใจและ มีความต้งั ใจและ ปัญหาในการท�ำ งาน รว่ มแก้ไขปัญหาในการ รว่ มแก้ไขปญั หาในการ รว่ มแก้ไขปัญหาในการ ท�ำ งานกลุ่มดีมาก ท�ำ งานกลุ่มดี ท�ำ งานกลมุ่ บ้าง ๔ ความถูกตอ้ งของ สรุปเนอื้ หาได้ถูกต้อง สรปุ เนอ้ื หาได้ถกู ต้อง สรปุ เนื้อหาไดถ้ กู ต้อง เน้อื หา ตรงประเด็นและ ตรงประเด็น ตรงประเดน็ บา้ ง ครบถ้วน ๕ วิธกี ารน�ำ เสนอ นำ�เสนอผลงานได้อยา่ ง นำ�เสนอผลงานไดอ้ ยา่ ง น�ำ เสนอผลงาน ผลงาน ถูกตอ้ งตามขนั้ ตอน ถูกต้องตามขน้ั ตอน ตามขั้นตอนไดบ้ ้าง น่าสนใจและเนอ้ื หา นา่ สนใจ แตข่ าดเน้อื หา ครบถ้วน บางส่วน เกณฑ์การตัดสิน เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ขนึ้ ไป ๙ - ๑๕ ไมผ่ า่ น ตํ่ากวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑ์การตัดสินสามารถปรับใช้ตามความเหมาะสมกบั กลมุ่ เป้าหมาย แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ช้ันโท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
178 ขอ้ ที่ แบบประเมินผลงาน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ใบกิจกรรมที่ ๘ ตอบค�ำ ถามถูกตอ้ งและ ๑-๕ ตอบคำ�ถามถูกตอ้ ง ตรงประเดน็ น้อย ตรงประเด็น ระดับคะแนน ๒ คะแนน ตอบคำ�ถามถกู ตอ้ ง ตรงประเดน็ สว่ นใหญ่ เกณฑ์การตดั สิน เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ขน้ึ ไป ๙ - ๑๕ ไม่ผ่าน ต่าํ กว่า ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตัดสนิ สามารถปรบั ใช้ตามความเหมาะสมกบั กลุ่มเปา้ หมาย แบบประเมินผลการเรียนรู้ แบบทดสอบหลงั เรยี น เกณฑก์ ารประเมิน ตอบถกู ได้ ๑ คะแนน ตอบผดิ ได้ ๐ คะแนน เกณฑ์ เกณฑก์ ารตดั สิน คะแนน ผา่ น รอ้ ยละ ๓-๕ ไมผ่ า่ น ๖๐ ขน้ึ ไป ๐-๒ ตํ่ากว่า ๖๐ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันโท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
179 ใบกจิ กรรมท่ี ๘ พธิ สี วดพระพุทธมนต์ กลุ่มท.ี่ ................... ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... คำ�ชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนตอบคำ�ถามตอ่ ไปนี้ จ�ำ นวน ๕ ขอ้ (๑๕ คะแนน) ๑. พธิ ีสวดพระอภธิ รรมมีก่อี ย่าง อะไรบา้ ง .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๒. การสวดมาตกิ า คอื การสวดเร่อื งอะไร .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๓. การทำ�บญุ อัฐิ นิยมท�ำ กันในโอกาสใดบา้ ง .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๔. การสวดพระอภิธรรมหน้าไฟตา่ งจากการสวดมาตกิ าอยา่ งไร .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๕. เทศนแ์ จง หมายถงึ อะไร .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวตั ิ
180 เฉลยใบกิจกรรมที่ ๘ ความสำ�คัญพิธีสวดพุทธมนต์ ๑. พธิ สี วดพระอภิธรรมมกี ่ีอย่าง อะไรบา้ ง ตอบ พิธสี วดพระอภิธรรมมี ๒ อยา่ งคือ ๑. สวดประจ�ำ ยามหนา้ ศพ ๒. สวดหน้าไฟในขณะฌาปนกิจ ๒. การสวดมาตกิ า คือ การสวดเร่ืองอะไร ตอบ การสวดมาติกา คือ การสวดบทมาติกาของพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ หรือ ท่ีเรียกว่า “สัตตัป- ปกรณาภิธรรม” ซ่ึงมีการบังสุกุลเป็นที่สุด เป็นประเพณีนิยมจัดให้พระสงฆ์สวดในงานทำ�บุญ หน้าศพอย่างหน่ึง เรียกโดยโวหารทางราชการในงานหลวงว่า “สดับปกรณ์” แต่ราษฎรสามัญ ทว่ั ไป เรียกวา่ “สวดมาติกา” ๓. การท�ำ บญุ อัฐิ นยิ มท�ำ กนั ในโอกาสใดบา้ ง ตอบ การท�ำ บญุ อัฐนิ ั้น นิยมท�ำ อยู่ ๓ ลักษณะ คือ ๑. ท�ำ บุญฉลองธาตุ ท�ำ ต่อจากวนั ฌาปนกจิ ศพแล้ว ๒. ทำ�บุญ ๗ วัน หลงั จากฌาปนกจิ ศพแล้ว ๓. ท�ำ บญุ อุทศิ ใหผ้ ูม้ รณะในรอบปี ๔. การสวดพระอภธิ รรมหน้าไฟต่างจากการสวดมาติกาอย่างไร ตอบ การสวดพระอภิธรรมหน้าไฟ นิมนต์พระ ๔ รูปสวด และนิยมสวดในขณะทำ�ฌาปนกิจศพ การจัดสถานท่กี อ็ ย่างเดียวกับการจดั สวดหน้าศพ ตา่ งแต่ไปจัดในบริเวณฌาปนสถานท่สี ่วนหนง่ึ เทา่ น้นั ส่วนการสวดมาติกา จะใช้พระสวดกี่รูปก็ได้ ใช้สวดท่ีไหนก็ได้อันเป็นสถานที่จัดงานไม่ใช่ สวดในขณะฌาปนกิจศพหน้าไฟ ๕. เทศนแ์ จง หมายถงึ อะไร ตอบ เทศน์แจง หมายถึง การแสดงธรรมแจกแจงวัตถุและหัวข้อในพระไตรปิฎกออกมาให้ท่ีประชุม รบั ทราบ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
181 แบบทดสอบวดั ผลการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ที่ ๗ รแู้ ละเข้าใจ เหน็ ความสำ�คัญของพิธีสวดพระพุทธมนต์ จ�ำ นวน ๕ ข้อ คะแนน ๕ คะแนน คำ�ชีแ้ จง ให้นกั เรยี นเลอื กคำ�ตอบทถ่ี กู ต้องทีส่ ดุ เพยี งข้อเดยี ว ๑. ทกั ษณิ านุประทานมคี วามหมายตรงกบั ข้อใด ก. ท�ำ บุญวนั เกดิ ข. ทำ�บุญอายุ ค. ทำ�บญุ ข้ึนบ้านใหม่ ง. ทำ�บญุ ใหผ้ ตู้ าย ๒. การทำ�บุญสตมวารหมายถึงการท�ำ บญุ ครบวนั ตายก่วี นั ก. ครบ ๗ วนั ข. ครบ ๕๐ วัน ค. ครบ ๑๐๐ วนั ง. ครบ ๓๖๕ วัน ๓. สวดมาตกิ าบังสกุ ุลในงานพระราชพิธเี รียกว่าอยา่ งไร ก. สวดแจง ข. สดบั ปกรณ์ ค. สวดมาตกิ า ง. สวดพระอภธิ รรม ๔. ผ้าทโ่ี ยงจากศพเพ่อื ท�ำ พธิ ที อดผ้าบังสกุ ลุ เรยี กว่าอะไร ก. ผา้ ภมู าลา ข. ผา้ ภูษาโยง ค. ผา้ มาลาโยง ง. สายสิญจน์ ๕. การสวดอภธิ รรม จดั เป็นศาสนพิธหี มวดใด ก. กศุ ลพิธี ข. บุญพิธี ค. ทานพธิ ี ง. ปกณิ กะ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชนั้ โท วิชาอนพุ ุทธประวตั ิ
182 เฉลยแบบทดสอบวดั ผลการเรยี นรู้ ผลการเรียนรทู้ ่ี ๗ รู้และเข้าใจ เห็นความส�ำ คัญของพธิ เี จริญพระพุทธมนต์ ขอ้ ๑ ง ข้อ ๒ ค ขอ้ ๓ ข ขอ้ ๔ ข ขอ้ ๕ ข แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วชิ าอนุพทุ ธประวตั ิ
183 ใบความรทู้ ่ี ๒๐ พิธีสวดพระพทุ ธมนต์ บทท่ี ๓ พธิ ีสวดพระพทุ ธมนต์ พธิ สี วดพระพทุ ธมนต์ เปน็ วธิ กี ารบ�ำ เพญ็ กศุ ลปรารภผตู้ ายเชน่ บพุ การี คนเคารพนบั ถอื คนมพี ระคณุ ญาตสิ นทิ มติ รสหาย ผบู้ งั คบั บญั ชา หรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา แมก้ ระทง่ั ศพคนไรญ้ าติ เพอื่ อทุ ศิ กศุ ลใหค้ นเหลา่ นนั้ ไดร้ บั ความสขุ ในสมั ปรายภพ ไดแ้ ก่ พธิ เี กย่ี วกบั การบ�ำ เพญ็ กศุ ลศพ เชน่ การสวดพระอภธิ รรม การท�ำ บญุ ๗ วนั ๕๐ วนั ๑๐๐ วนั การฌาปนกจิ ศพ การเกบ็ อฐั ิ และการทำ�บุญครบรอบวนั ตาย มีการเตรยี มงานและข้นั ตอน ประกอบพิธเี หมอื นงานทำ�บุญทว่ั ไป ต่างกันเพยี งรายละเอียดบางประการ พธิ สี วดพระพทุ ธมนต์ เรม่ิ ตน้ ดว้ ยเจา้ ภาพจดุ ธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั จดุ ธปู เทยี นเครอ่ื งทองนอ้ ย เคารพศพหรืออัฐิ ใช้ธูปเทียนธรรมดาแทนก็ได้อาราธนาศีลรับศีลอาราธนาพระปริตร ฟังพระสงฆ์สวด พระพทุ ธมนต์ถวายภัตตาหาร ถวายจตุปัจจยั ไทยธรรมลาดภษู าโยงหรอื สายโยง ทอดผ้าบงั สุกลุ เปน็ ผ้าไตร หรือผ้าอ่ืนสำ�หรับพระสงฆ์ใช้สอยก็ได้ พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลและอนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ําอุทิศ ส่วนกศุ ลใหผ้ ตู้ าย เปน็ อันเสร็จพิธี การจดั พธิ กี รรมดงั กลา่ ว อาจแตกตา่ งกนั บางโอกาสบางสถานที่ สามารถปรบั ไดต้ ามความเหมาะสม เช่น ถวายพัดรองท่ีระลึก แสดงพระธรรมเทศนาก่อนหรือหลังการสวดพระพุทธมนต์ มีสวดรับเทศน์ สวดมาติกา และสวดพระอภิธรรม เป็นหน้าที่ของพิธีกรของงานจะต้องพิจารณาดำ�เนินการให้เหมาะสม กบั คนตายและความศรทั ธาของเจา้ ภาพ การจัดงานศพ การจัดงานศพมีอุปกรณ์ประกอบพิธีเหมือนงานทำ�บุญตามปกติท่ัวไป เจ้าภาพจัดงานท่ีวัด ทางวัดจะจัดเตรียมให้ความต้องการของเจ้าภาพ ถ้าจัดพิธีท่ีบ้าน มีอุปกรณ์ต้องจัดเตรียม ได้แก่ ภูษาโยง หรือสายโยง สำ�หรับใช้ในงานศพเคร่ืองทองน้อยตู้พระอภิธรรมเคร่ืองบูชากะบะมุก สามารถใช้กระถางธูป เชงิ เทยี น และแจกันดอกไม้แทนกไ็ ด้ การจัดงานศพมีหลายขั้นตอน ข้ันตอนแรก คือ พิธีรดน้ําศพ การรดน้ําศพมีหลังแต่งศพเสร็จ เรยี บรอ้ ยแลว้ มีการจัดเตรียมเตยี งประดิษฐานศพ ส�ำ หรบั ให้ผมู้ าร่วมพิธไี ด้รดน้ําศพ ถอื เป็นการขอขมาโทษ ให้พ้นจากเวรกรรมที่มีต่อกัน ถ้าเป็นบุตรหลานก็แสดงถึงการสนองคุณและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อ ผู้ตายอีกด้วยเตียงต้ังศพนิยมวางทางด้านซ้ายของโต๊ะหมู่บูชาพระรัตนตรัยหรือตำ�แหน่งอันเหมาะสม นำ�มือขวาของศพออกมาอยู่ด้านนอก เพื่อรดน้ําศพได้สะดวก ห้ามมิให้ผู้ใดเดินผ่านด้านศีรษะของศพ เพราะถือเป็นกิริยาอาการไม่เคารพต่อศพ จัดร่างศพให้นอนหงายเหยียดยาว จัดมือขวาให้เหยียดออก แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
184 ห่างจากตัวเล็กน้อย โดยให้หงายแบออกมาคอยรับการรดนํ้า ซึ่งการจัดลักษณะเช่นนี้เป็นปริศนาธรรมให้ ผู้มารดน้ําพิจารณาว่ามนุษย์เรานั้นเมื่อตายไปแล้วไม่สามารถจะนำ�สิ่งใดติดตัวไปได้นอกจากคุณความดี เท่าน้ัน ใช้ผ้าห่มแพรคลุมตลอดร่างศพเปิดหน้าและมือขวาเท่านั้นจัดเตรียมขันนํ้ารองรับนํ้าจากมือศพ นํ้าอบนํ้าหอมผสมน้ําอีกขันหน่ึงพร้อมภาชนะเล็กๆ ให้บุตรหลานตักน้ํามอบให้ผู้มาร่วมพิธีได้รดน้ําศพ จดุ เครอื่ งบชู า เชน่ ธปู หอม ดา้ นศรี ษะศพเปน็ การสกั การบชู าพระรตั นตรยั กอ่ นเรมิ่ ท�ำ พธิ รี ดนาํ้ ศพ เมอื่ ถงึ เวลา ตามกำ�หนด บุตรหลานวงศาคณาญาติจะรดน้ําศพก่อน จากนั้นเชิญแขกผู้มาร่วมพิธีรดนํ้าตามลำ�ดับ ถ้า ได้รับพระราชทานน้ําหลวงอาบศพ ให้เชิญผู้อาวุโสหรือผู้เคารพนับถือของบุตรหลาน เป็นประธานพิธีอาบ น้ําหลวงพระราชทานเป็นท่านสุดท้ายซึ่งจะไม่มีการรดนํ้าศพอีกต่อไป นำ�ศพบรรจุในหีบศพนำ�ขึ้นตั้ง ณ สถานทจี่ ดั เตรียมไว้พร้อมตง้ั เครอื่ งสกั การะศพเปน็ อันเสร็จพิธี สถานทต่ี ง้ั ศพบำ�เพ็ญกศุ ล สถานทตี่ ้งั ศพ ควรค�ำ นึงถึงการจัดต้งั และสว่ นประกอบของพิธีศพ คอื ๑. สถานทีต่ ั้งโต๊ะหมู่บูชาพระรัตนตรยั ๒. สถานท่ตี ั้งอาสนส์ งฆ์ ส�ำ หรับพระสงฆน์ ัง่ สวดพระอภธิ รรมและพธิ ีอน่ื ๆ ๓. สถานท่ีต้ังเครื่องประกอบศพเช่น เครอื่ งราชอิสริยาภรณ์ (ถ้ามี)รปู ถา่ ยผู้ตาย ๔. สถานทตี่ ้งั พวงหรีดของผู้น�ำ มาแสดงความอาลยั ตอ่ ผ้ตู าย ๕. สถานทตี่ ้งั เคร่อื งไทยธรรมถวายพระสงฆ์และอุปกรณเ์ คร่ืองใช้ในพธิ ศี พ การจัดสถานที่สวดพระอภิธรรมศพ การจัดสถานท่ีสวดพระอภิธรรมศพ ข้ึนอยู่กับความเหมาะสมของสถานท่ี นิยมต้ังโต๊ะหมู่ ด้านศรีษะของศพ หนั พระพกั ตรพ์ ระพุทธรปู ไปทางทศิ ตะวนั ออก ทศิ เหนอื หรือทศิ ใต้ ไมน่ ยิ มหันพระพักตร์ ไปทางทิศตะวันตก เว้นแต่ข้อจำ�กัดของสถานที่ตั้งอาสนะสำ�หรับพระสงฆ์น่ังสวดพระอภิธรรม ต้ังตู้คัมภีร์ พระอภิธรรมด้านหน้าพระสงฆ์ ให้สูงกวา่ อาสนะเลก็ นอ้ ย อุปกรณเ์ ครื่องใช้ตอ้ งจัดเตรยี มในพิธศี พ ๑. ผา้ ภษู าโยงหรือดา้ ยสายโยง ๒. เครอื่ งทองนอ้ ย ๓. ชุดกรวดน้าํ ๔. กระถางธปู พร้อมตะเกยี งเลก็ ๕. โตะ๊ รองกราบหรอื หมอนรองกราบ ผ้าภูษาโยง ใช้ต่อเช่ือมกับด้ายสายโยงจากมือของศพ ทอดลงมาจากปากหีบศพ วางอยู่ หวั อาสน์สงฆ์ ถดั จากโตะ๊ หมูบ่ ชู า ส�ำ หรบั ลาดด้านหน้าพระสงฆใ์ นเวลาทอดผา้ บงั สกุ ุล เชน่ สบง จวี รผา้ ไตร หรอื ผา้ อืน่ ๆ ใหพ้ ระสงฆ์ใช้สอยได้ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั โท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
185 เคร่ืองทองน้อย นิยมใช้ ๒ ชุด ต้ังหน้าหีบศพชุดหน่ึง สำ�หรับให้ผู้วายชนม์บูชาพระธรรม โดย หันธูปเทียนเข้าหาหีบศพ พุ่มดอกไม้อยู่ด้านนอกหีบศพ อีกชุดหนึ่งสำ�หรับประธานพิธีหรือเจ้าภาพ จดุ เคารพศพ หันธปู เทยี นเข้าหาคนจุด หันพุ่มดอกไม้เข้าหาหีบศพ มขี อ้ ควรสงั เกต คือ การต้ังเครือ่ งทองนอ้ ย จะให้ใครจดุ สกั การะสิ่งใด ใหห้ นั ธปู เทยี นเข้าหาคนจุดและเทยี นต้องอยขู่ วามือคนจุดเสมอไป กระถางธูป พร้อมธปู และตะเกียงขนาดเลก็ วางเบื้องหนา้ เคร่อื งตงั้ ประดบั ศพ ใหค้ นมาในงานจุด เคารพศพตามประเพณีนยิ ม พิธีบงั สกุ ุลปากหีบ เม่ือจัดพิธีการต้ังแต่ต้นกระท้ังนำ�ศพบรรจุลงหีบและนำ�หีบศพขึ้นตั้งบนโต๊ะเคร่ืองตั้ง พร้อม ประดับตกแต่งเรียบร้อยแล้ว ถ้าเจ้าภาพมีความประสงค์ทอดผ้าบังสุกุลปากหีบพึงนิมนต์พระสงฆ์ ๕ รูป หรือ ๑๐ รูป นั่งบนอาสนสงฆ์ ประธานหรือเจ้าภาพจุดเคร่ืองบูชาพระรัตนตรัยจุดเคร่ืองทองน้อยหรือ ธูปเทียนหน้าหีบศพ อาราธนาศีล รับศีล ลาดผ้าภูษาโยงหรือสายโยงประธานหรือเจ้าภาพทอดผ้าบังสุกุล โดยวางขวางทับผ้าภูษาโยงหรือสายโยงพระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลและอนุโมทนาเจ้าภาพกรวดน้ําอุทิศ ส่วนกุศลให้แก่ผูต้ าย เปน็ อนั เสร็จพธิ ี พธิ สี วดพระอภธิ รรมศพ การบำ�เพญ็ กศุ ลศพ นิยมจดั ๓ คนื ๕ คืน ๗ คนื หรือมากกว่าน้ี ขึน้ อยู่กับความพร้อมของเจ้าภาพ แต่ละคืนจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมศพ ญาติเป็นเจ้าภาพบ้าง คนอื่นรับเป็นเจ้าภาพบ้างเม่ือถึงเวลาตามกำ�หนด ประธานหรอื เจา้ ภาพจดุ ธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั จดุ เครอ่ื งสกั การบชู าหนา้ ตพู้ ระอภธิ รรมจดุ เครอื่ งทองนอ้ ย หนา้ ศพหนั พมุ่ ดอกไมเ้ ขา้ หาศพ จดุ เครอื่ งทองนอ้ ยอกี ชดุ หนงึ่ หนั พมุ่ ดอกไมอ้ อกดา้ นนอก ส�ำ หรบั ใหผ้ วู้ ายชนม์ บูชาพระธรรม ถ้าเป็นศพคฤหัสถ์หรือฆราวาสจะจุดในคราวเดียวกัน ถ้าเป็นศพพระสงฆ์จะเชิญประธาน หรือเจ้าภาพจุดเครื่องทองน้อยหน้าศพ เม่ือรับศีลเสร็จเรียบร้อยแล้วประธานหรือเจ้าภาพนั่งประจำ�ที่แล้ว อาราธนาศีล ประธานสงฆ์ให้ศีลจบพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมประจำ�คืน การสวดพระอภิธรรมพิธีกรไม่ต้อง อาราธนาธรรม เพราะการอาราธนาธรรม ถือเป็นการอาราธนาพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนาหรือเทศน์ มิใช่เป็นการอาราธนาพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม ส่วนภูมิภาคนิยมอาราธนาธรรมด้วยเมื่อพระสงฆ์สวด พระอภิธรรมจบ ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลและอนุโมทนา ประธานหรือเจ้าภาพกรวดนํ้าอุทิศกุศลให้ผู้ตาย กราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธีสวดพระอภิธรรม ประจำ�คนื พธิ ีบ�ำ เพญ็ กุศล ๗ วนั ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน การทำ�บุญอุทิศให้ผู้ตายมีตลอดการต้ังศพบำ�เพ็ญกุศล พิธีทำ�บุญให้ผู้ตายหลังจากตายได้ ๗ วัน เรียกวา่ สัตตมวาร พิธีทำ�บุญให้ผู้ตายหลังจากตายได้ ๕๐ วัน เรียกวา่ ปัญญาสมวาร พิธีทำ�บุญให้คนตาย หลังจากตายได้ ๑๐๐ วัน เรียกว่า สตมวาร การบำ�เพ็ญกุศลตามวันดังกล่าว มีระเบียบวิธีปฏิบัติเหมือน งานทำ�บุญทั่วไป มีความต่างกันอยู่บ้าง คือไม่ต้องวงสายสิญจน์และไม่ต้องต้ังขันนํ้ามนต์ ในการสวดมนต์ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวัติ
186 เมื่อพิธีกรอาราธนาพระปริตรแล้ว พระสงฆ์ไม่ต้องชุมนุมเทวดาหรือขัดสัคเค สวดพระพุทธมนต์ต่อเลย จบแล้วถวายภัตตาหาร พระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม ทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณา ผ้าบังสกุ ลุ และอนโุ มทนา เจา้ ภาพกรวดน้ําอทุ ศิ สว่ นกศุ ลให้ผู้ตายกราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสรจ็ พิธี บทสวดมนตใ์ นพิธบี ำ�เพญ็ กศุ ลให้ผวู้ ายชนม์ ๗ วัน สมยั โบราณนยิ มสวดอนัตตลักขณสตู ร ๕๐ วัน สวดอาทิตตปริยายสูตร ๑๐๐ วันสวดธัมมนิยามสูตร แต่ในยุคปัจจุบันพระสงฆ์ส่วนใหญ่จะสวดธรรม นยิ ามสตู รทกุ งาน ยกเวน้ งานเจา้ ภาพนมิ นตร์ ะบพุ ระสตู รใหส้ วด แตม่ ธี รรมเนยี มว่าไมส่ วดเจด็ ต�ำ นาน สบิ สอง ตำ�นาน ธรรมจกั กัปปวตั ตนสูตร และมหาสมัยสตู ร ในงานทำ�บญุ เกยี่ วขอ้ งดว้ ยคนตายไปสสู่ ัมปรายภพแล้ว การจดั พธิ บี �ำ เพญ็ กศุ ลในวนั ดงั กลา่ ว ถอื เปน็ วนั ส�ำ คญั ในการท�ำ บญุ อทุ ศิ ใหแ้ กผ่ ตู้ าย ดงั นนั้ จงึ นยิ ม ทำ�กันโดยทั่วไป การกำ�หนดวันจัดงานให้นับวันตายเป็นหลัก คือ ตายลงวันไหน ให้ถือวันน้ันเป็นวันสำ�คัญ ในการอุทศิ ผลบุญเปน็ กรณพี ิเศษ เชน่ ตายวันอาทติ ย์ ถา้ จัดงาน ๒ วนั นิยมนิมนตพ์ ระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ ในวันเสาร์ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ในวันอาทิตย์ กรณีทำ�บุญวันเดียว พิธีสวดพระพุทธมนต์และ การถวายภตั ตาหารพระสงฆ์ นิยมท�ำ ในวันอาทิตย์ ซึง่ ตรงกบั วนั ตายของผ้วู ายชนม์ การจัดพิธีบำ�เพ็ญกุศล ๒ วัน ในวันแรกนิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์แสดงพระธรรมเทศนา พระสงฆ์ ๔ รปู สวดรับเทศน์ พจิ ารณาผ้าบงั สุกุล ตกกลางคนื พระสงฆส์ วดพระอภิธรรม ในวันรุง่ ขึ้นพระสงฆ์ ท่ีสวดพระพุทธมนต์ในวันแรก สวดถวายพรพระ ฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์พจิ ารณาผา้ บงั สุกลุ และอนโุ มทนา เจ้าภาพกรวดนํ้าอทุ ิศ กุศลให้แกผ่ ้ตู าย เป็นอันเสร็จพิธี การจัดพิธีบำ�เพ็ญกุศลวันเดียว นิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ แสดงพระธรรมเทศนา ถวายภตั ตาหารเพล หลงั จากพระสงฆฉ์ นั ภตั ตาหารเรยี บรอ้ ยแลว้ เจา้ ภาพถวายเครอื่ งไทยธรรมทอดผ้าบงั สกุ ลุ (ถา้ มี) พระสงฆพ์ ิจารณาผา้ บงั สกุ ลุ และอนุโมทนา เจา้ ภาพกรวดน้าํ อทุ ศิ ส่วนกศุ ลใหแ้ ก่ผู้ตาย เปน็ อันเสรจ็ พธิ ี พธิ ีท�ำ บุญงานฌาปนกิจศพ เจ้าภาพตั้งศพบำ�เพ็ญกุศลตามวันที่กำ�หนดแล้ว ส่วนใหญ่จะทำ�พิธีฌาปนกิจศพตาม ธรรมเนียม ชาวพทุ ธการจัดงานฌาปนกิจศพ นิยมจัดงานเป็น ๒ เวลา คือ ภาคเช้ากบั ภาคบา่ ย มีระเบยี บพิธคี วรทราบ ดงั นี้ ภาคเชา้ เมอ่ื ไดเ้ วลาตามก�ำ หนดแลว้ ประธานหรอื เจา้ ภาพจดุ ธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั จดุ ธปู เทยี น เคร่ืองทองน้อยเคารพศพ อาราธนาศีล รับศีลอาราธนาพระปริตร พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ จบแล้ว ถวายภัตตาหารเพล ถวายจตุปัจจัยไทยธรรมทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณา ผ้าบังสุกุลและอนุโมทนา เจา้ ภาพกรวดนํ้าอทุ ศิ กศุ ลใหแ้ ก่ผู้ตาย เปน็ อันเสรจ็ พธิ ี ภาคบ่าย หลังจากเจ้าภาพและผู้ร่วมงานรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีพิธี แสดงพระธรรมเทศนาก่อนฌาปนกิจศพ เป็นการพรรณนาประวัติเกียรติคุณความดีของผู้ตายให้ผู้อยู่ เบื้องหลังได้ระลึกถึง พร้อมท้ังให้คนมีชีวิตอยู่ดำ�รงตนอยู่ในความไม่ประมาท เม่ือเจ้าภาพและผู้มาร่วมงาน พร้อมเพรียงกันแล้ว ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยเคารพศพจุดเทียน ส่องธรรมและจุดเทียนเครื่องทองน้อยบูชาธรรมนิมนต์พระเทศน์ ข้ึนธรรมาสน์ พิธีกรเชิญเทียนส่องธรรม แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าอนุพุทธประวัติ
187 ไปตั้งบนธรรมาสน์อาราธนาศีลรับศีล อาราธนาธรรม พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนาจบแล้วอนุโมทนา บนธรรมาสน์เจ้าภาพกรวดนํ้าอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย พระเทศน์ลงจากธรรมาสน์มานั่งบนอาสน์สงฆ์ประเคน ไทยธรรมกัณฑ์เทศน์เป็นอันเสร็จพิธีเทศน์ ต่อจากนั้นนิมนต์พระสงฆ์สวดมาติกาขึ้นน่ังบนอาสน์สงฆ์ อาราธนาพระปริตร ไม่ตอ้ งอาราธนาศีลซ้าํ อีก ฟงั พระสงฆส์ วดมาติกา จบแล้วถวายไทยธรรม ทอดผ้าบงั สุกุล (ถา้ ม)ี พระสงฆ์พจิ ารณาผา้ บงั สกุ ลุ และอนโุ มทนา เจ้าภาพกรวดนา้ํ อทุ ิศกุศลใหผ้ ูต้ าย เปน็ อนั เสร็จพธิ ี พิธีสวดมาตกิ าบังสกุ ลุ การสวดมาติกา คอื การสวดบทมาตกิ าของพระอภิธรรมเจด็ คมั ภรี ์ มีชื่อเรยี กอกี อย่างว่า สตั ตัป- ปกรณาภิธรรม เป็นประเพณนี ยิ มในการทำ�บุญหน้าศพอย่างหนึง่ เรียกว่า สวดมาตกิ า การสวดมาติกาในพธิ ี บำ�เพ็ญพระกุศลศพพระบรมวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไปเรียกว่า สดับปกรณ์ โดยมากเป็นพิธีช่วงบ่ายก่อนพิธี ฌาปนกิจศพหรือพระราชทานเพลิงศพ พิธสี วดมาตกิ าไมม่ ีกำ�หนดตายตัววา่ ตอ้ งนิมนตพ์ ระสงฆ์จ�ำ นวนเท่าไร ส่วนใหญ่จะนิมนต์เทา่ อายุ ของผู้ตาย หรือหรือเท่าจำ�นวนพระสงฆ์ในวัด แต่ในเมืองนิยม ๑๐ รูปเหมือนพิธีหลวงการสวดมาติกาก็ดี การสวดพระอภธิ รรมกด็ ี ตามธรรมเนยี มโบราณไมม่ กี ารอาราธนาธรรมและพธิ หี ลวงกไ็ มม่ กี ารอาราธนาธรรม เช่นกัน ควรทราบระเบยี บพิธปี ฏบิ ตั ิ ดงั น้ี การสวดมาติกาต่อจากสวดพระพุทธมนต์หรือแสดงพระธรรมเทศนาไม่ต้องจุดธูปเทียน และ ไมต่ อ้ งอาราธนาศลี เพราะไดป้ ฏิบัตติ ่อเน่ืองมาก่อนแล้ว ถ้าเวน้ ช่วงเวลา จดั พิธมี าตกิ าเป็นสว่ นหนง่ึ ตา่ งหาก จึงเริ่มตน้ ดว้ ยเจ้าภาพจุดธูปเทียนบชู าพระรตั นตรัยอาราธนาศีลรบั ศีลแล้ว พระสงฆข์ ึ้นต้นบทนะโม ตอ่ ดว้ ย บท กุสะลา ธัมมา จบด้วยบทเหตุปัจจะโยทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลและอนุโมทนา ยะถาสัพพี ต่อด้วยบท อะทาสิ เม จบด้วยบท ภะวะตุ สพั พะมงั คะลัง กราบลาพระรตั นตรยั เปน็ อนั เสรจ็ พิธี กรณีเจ้าภาพนิมนต์พระสงฆ์จำ�นวนมาก ต้องจัดพระสงฆ์เป็นชุด เมื่อพิธีกรเก็บภูษาโยง และ พระสงฆ์ชุดแรกลงจากอาสน์สงฆ์แล้ว นิมนต์พระสงฆ์ชุดที่ ๒ ขึ้นสู่อาสน์สงฆ์ ไม่ต้องสวดมาติกาอีก พิธีกร ลาดภูษาโยงใหเ้ จา้ ภาพทอดผ้าบงั สกุ ลุ พระสงฆ์พิจารณาผ้าบงั สกุ ุลอยา่ งเดียว ไมต่ ้องอนโุ มทนา ปฏบิ ตั ิเชน่ นี้ จนหมดพระสงฆท์ อี่ าราธนามา การสวดมาติในพิธีหลวงต่างจากพิธีฌาปนกิจศพของคนทั่วไป กล่าวคืองานศพได้รับพระบรม- ราชานเุ คราะห์ พระสงฆ์ต้องใชพ้ ดั ยศและในเวลาอนโุ มทนาตอ้ งถวายอดเิ รก คือ บทถวายพระพรเป็นพิเศษ แด่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั พธิ ีสวดแจง พิธีฌาปนกจิ ศพช่วง ๓๐ ถึง ๕๐ ปีทผี่ า่ นมา เจ้าภาพนิยมจดั ให้มีการเทศนส์ งั คตี กิ ถา คือจำ�ลอง การปฐมสังคายนามาเปน็ รูปแบบการเทศนเ์ รียกว่า เทศน์แจง แต่ปจั จบุ นั เรม่ิ เลือนหายไป ยังพอมใี หเ้ ห็นอยู่ ในส่วนภูมิภาค เช่น จังหวดั เพชรบรุ ี คนรุ่นใหมจ่ งึ ไมค่ อ่ ยรจู้ กั เทศนแ์ จง แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชนั้ โท วิชาอนพุ ทุ ธประวตั ิ
188 การเทศนแ์ จง เปน็ ธรรมเนยี มเฉพาะงานฌาปนกจิ ศพบดิ ามารดา ญาตผิ ใู้ หญ่ พระสงฆท์ รงสมณศกั ด์ิ ดำ�รงต�ำ แหนง่ เจ้าอาวาส เปน็ ตน้ ไมน่ ิยมจดั ในพิธฌี าปนกิจศพผู้นอ้ ย เชน่ บุตรธดิ า ของเจ้าภาพ การเทศน์ แจงธรรมาสน์เดียวก็มี ๒ ธรรมาสน์ก็มี ๓ ธรรมาสน์ก็มี แต่นิยมเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ การนิมนต์พระสงฆ์ มาสวดแจงเจ้าภาพมีศรัทธามากจะนิมนต์พระสงฆ์สวดแจงเต็มจำ�นวน ๕๐๐ รปู เทา่ กับพระอรหนั ต์เข้ารว่ ม ทำ�ปฐมสงั คายนา หรือนิมนต์พระสงฆเ์ หลือเพียง ๕๐รปู ๒๕ รปู ตามความตอ้ งการของเจา้ ภาพกไ็ ด้ การเทศนแ์ จงหรอื สงั คตี กิ ถา นยิ มจดั ตอนบา่ ย กอ่ นพธิ ฌี าปนกจิ ศพ ถอื เปน็ การท�ำ บญุ มอี านสิ งสม์ าก และเป็นการตอบแทนพระคุณบิดามารดาอย่างสูงยิ่ง เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ การทำ�ปฐมสงั คายนา การเทศน์แจงรูปเดียว เบ้ืองตน้ พระเทศนใ์ หศ้ ีลและบอกศักราช แสดงอานสิ งสก์ ารฟัง เทศน์แจง แสดงปฐมสังคายนาโดยย่อ ทัง้ ส่วนพระวินยั ปิฎก พระสุตตนั ตปิฎก และพระอภิธรรมปฎิ ก จบแลว้ เผดียงพระสงฆ์ขึ้นนั่งประจำ�อาสนะ สวดแจงตามลำ�ดับคือบทนมัสการ นะโม ตัสสะ ต่อด้วยบทสวด พระวนิ ัยปฎิ ก พระสตุ ตันตะปฎิ ก และพระอภิธรรมปิฎกตามลำ�ดับ จบแล้วทอดผา้ บังสุกลุ พระสงฆ์พิจารณา ผ้าบังสุกุลพระเทศน์ ยถา อนุโมทนาบนธรรมาสน์ พระสงฆ์ท้ังหมดรับสัพพี ต่อด้วยบท อทาสิ เม จบด้วย บท ภะวะตุ สัพพะมงั คะลงั กราบลาพระรตั นตรยั เปน็ อนั เสร็จพิธี การเทศน์แจง ๒ ธรรมาสน์ เป็นการเทศน์แบบถามตอบ นิยมเรียกว่า เทศน์ปุจฉาวิสัชนา โดยสมมุตพิ ระรปู หน่งึ เปน็ ผถู้ าม อกี รปู หนง่ึ เปน็ ผูต้ อบ จะถามตอบกันเร่อื งการทำ�ปฐมสงั คายนา เร่ิมต้นดว้ ย พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และอภิธรรมปิฎก เม่ือจบแต่ละปิฎก องค์เทศน์จะเผดียงให้พระสงฆ์ นั่งแจงสวดบทบาลีแต่ละปิฎก สลับกับการเทศน์ปุจฉาวิสัชนา จนครบ ๓ ปิฎก จบแล้วทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์ทั้งน้ันพิจารณาผ้าบังสุกุล พระเทศน์ยถาอนุโมทนาบนธรรมาสน์ พระสงฆ์ทั้งหมดรับสัพพีต่อด้วย บท อทาสิ เม จบดว้ ยบท ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ตอ่ จากน้นั กราบลาพระรตั นตรัย เป็นอนั เสรจ็ พธิ ี การเทศน์แจง ๓ ธรรมาสน์ เป็นการเทศน์ถามตอบหรือปุจฉาวิสัชนาเหมือน ๒ ธรรมาสน์แต่มี การสมมุติตนเป็นพระมหากัสสปะพระอุบาลี และพระอานนท์โดยพระมหากัสสปะมีหน้าท่ี ปุจฉาคือถาม สาเหตุการทำ�สังคายนาปิฎกท้ัง ๓ พระอุบาลีมีหน้าที่วิสัชนาคือตอบพระวินัยปิฎก พระอานนท์มีหน้าท่ี วิสัชนาทั้งพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก ส่วนการสวดบทบาลีของปิฎกทั้ง ๓ พระสงฆ์รับนิมนต์ มานง่ั แจง จะสวดตามพระเทศนเ์ ผดยี งใหส้ วด หลงั จากเทศนจ์ บปฎิ กนนั้ ๆ กไ็ ด้ หรอื รวมสวดครง้ั เดยี ว ๓ ปฎิ ก ตอนเทศน์จบกไ็ ด้ พธิ กี รรมท่เี หลอื ปฏิบตั ิเชน่ เดยี วกบั การเทศน์แจง ๒ ธรรมาสนข์ ้างตน้ พธิ ฌี าปนกจิ ศพและพระราชทานเพลงิ ศพ พิธีฌาปนกิจศพและพระราชทานเพลิงศพ เป็นการบำ�เพ็ญกุศลอุทิศให้ผู้ตายคร้ังสุดท้าย ตามประเพณีไทย ก่อนสรีระร่างกายจะถูกเผาไหม้ในกองเพลิง เหลือแต่กระดูกเถ้าถ่าน ถือเป็นเรื่องสำ�คัญ ทุกคนควรไปร่วมงานฌาปนกิจศพคนคุ้นเคยและเคารพนบั ถือแม้ไมใ่ ช่ญาติกนั ก็ตาม คนเคยเปน็ คู่บาดหมาง กับผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ ก็ให้อภัยต่อกันและไปร่วมงานด้วย แสดงให้เห็นถึงความสำ�คัญของพิธีฌาปนกิจศพ ดังกล่าว แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชนั้ โท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
189 พิธีฌาปนกจิ หรือพระราชทานเพลงิ ศพ เป็นพธิ ตี ่อเน่ืองจากพธิ บี �ำ เพ็ญกุศลภาคเช้า และภาคบ่าย หลังจากทำ�บุญทุกอย่างตามประเพณีเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพจัดเตรียมขบวนเชิญศพ ประกอบด้วย เครอื่ งทองนอ้ ยหรอื กระถางธปู เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณ์ (ถา้ ม)ี รปู ถา่ ย พระสงฆน์ �ำ ศพหบี ศพผรู้ ว่ มขบวนเชญิ ศพ สว่ นพิธหี ลวงไมต่ อ้ งน�ำ รูปถา่ ยและเครอ่ื งทองนอ้ ย เข้าในขบวน น�ำ ไปตง้ั บนฌาปนสถานก่อนแลว้ ต่อจากนน้ั นำ�ศพเวียนเมรุ โดยเวยี นซ้าย ๓ รอบเชิญศพข้ึนตง้ั บนเมรุทอดผา้ บงั สุกุลบนเมรุพระสงฆ์พิจารณาผา้ บังสกุ ุล ประกอบพธิ ฌี าปนกจิ หรอื พระราชทานเพลงิ ศพชว่ งสดุ ทา้ ย ดว้ ยการอา่ นประวตั ผิ ตู้ าย ถา้ เปน็ งานพระราชทาน เพลงิ อา่ นหมายรบั สง่ั ส�ำ นกั พระราชวงั และส�ำ นกึ พระมหากรณุ าธคิ ณุ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ดว้ ย ตอ่ จาก นนั้ ประกอบพธิ ใี นขนั้ ตอนสดุ ทา้ ย คอื ประธานทอดผา้ ไตรบงั สกุ ลุ ชดุ สดุ ทา้ ย พระสงฆพ์ จิ ารณาผา้ ไตรบงั สกุ ลุ ประธานจดุ ไฟประชมุ เพลิงหรอื ไฟพระราชทาน ผ้มู ารว่ มงานเรม่ิ ต้นจากพระสงฆ์ ผู้ทรงเกยี รติ และประชาชน ทั่วไป ข้ึนวางดอกไม้ไฟตามลำ�ดับ คณะเจ้าภาพยืนเข้าแถวกล่าวขอบคุณและน้อมส่งผู้มาร่วมพิธีทุกคนแล้ว ขึ้นวางดอกไมไ้ ฟและประชมุ เพลงิ เปน็ ชุดสุดท้าย เปน็ อันเสร็จพิธฌี าปนกจิ ศพหรือพระราชทานเพลิงศพ พธิ เี ก็บอัฐแิ ละพธิ สี ามหาบ วันรุ่งขึ้นต่อจากวันฌาปนกิจศพหรือพระราชทานเพลิงศพจะมีพิธีเก็บอัฐิและพิธีสามหาบ คำ�ว่า สามหาบ เปน็ ชอ่ื ภตั ตาหารส�ำ หรบั ถวายพระสงฆใ์ นพธิ เี กบ็ อฐั ิ โดยจดั อาหารคาวหวานใสส่ �ำ รบั อยา่ งละ ๑ ส�ำ รบั จ�ำ นวน ๓ ชุด สำ�หรับพระสงฆ์ ๓ รูปใส่หาบเดนิ ร้องกูร่ อบฌาปนสถาน เพอ่ื เรยี กวิญญาณผู้ตายมาร่วมพิธี ทำ�บุญ นำ�ถวายพระสงฆ์หลังเสรจ็ พธิ เี กบ็ อฐั ิปจั จบุ นั อาจจัดอาหารใส่ป่นิ โตแทน หรือไม่จดั เลยกไ็ ด้ ถวายแต่ ดอกไมธ้ ปู เทียนและไทยธรรมเท่านั้น เจ้าภาพจัดเตรยี มเคร่ืองประกอบพธิ ใี ห้พร้อม คือ โกศบรรจุอฐั ิ ลุง้ บรรจุเถา้ กระดูกท่ีเหลือผา้ ขาว ควรเตรียม ๒ ผืน สำ�หรับห่อลุ้งและเถ้ากระดูกที่เหลือผ้าทอดบังสุกุลก่อนเก็บอัฐิ ๓ ชุด อาหารคาวหวาน ๓ ชุด เคร่ืองทองน้อยหรือกระถางธูปเชิงเทียนดอกไม้สำ�หรับโปรยลงบนอัฐิ น้ําอบน้ําหอมสำ�หรับพรม กระดูก เงินเหรียญสำ�หรับโปรยอัฐิและบริจาคทานส่ิงของเหล่านี้จะมอบหมายให้เจ้าหน้าท่ีฌาปนสถาน จัดเตรียมกไ็ ด้ ก่อนประกอบพิธีเก็บอัฐิ เจ้าหน้าที่ฌาปนสถานจะทำ�การแปรรูปอัฐิ โดยนำ�อัฐิของผู้ตายออกมา จากเตาเผา จัดเป็นโครงร่างของคน หันศีรษะไปทางทิศตะวันตกเมื่อถึงเวลาตามกำ�หนด เจ้าภาพจุด เคร่ืองทองน้อย ทำ�ความเคารพอัฐิเจ้าหน้าท่ีนำ�ผ้าขาวคลุมอัฐิ ให้เจ้าภาพทอดผ้าบังสุกุล นิมนต์พระสงฆ์ พจิ ารณาผา้ บงั สกุ ลุ ๓ รปู เสรจ็ แลว้ นมิ นตก์ ลบั ไปนง่ั ในศาลบ�ำ เพญ็ กศุ ลเจา้ ภาพพรมนา้ํ อบนา้ํ หอมโปรยดอกไม้ ลงบนอัฐิและเถ้ากระดูก โปรยทานเก็บอัฐิบรรจุลงโกศ โดยเลือกส่วนต่างๆ ของร่างกายตามความต้องการ คอื กะโหลกศีรษะ กระดูกซีโ่ ครง กระดูกหน้าอก กระดกู แขนสองขา้ ง กระดกู ขาสองข้าง ส�ำ หรบั อฐั ิทีเ่ หลือ และเถ้ากระดูกห่อด้วยผา้ ขาว บรรจุลงในลุ้ง หีบ หรือกล่อง ห่อด้วยผ้าขาวให้เรียบร้อยเชิญเคร่ืองทองน้อย โกศอัฐิ และลุ้งไปยังศาลาบำ�เพ็ญกุศลประเคนภัตตาหารสามหาบแด่พระสงฆ์กรวดนํ้าอุทิศกุศลให้ผู้ตาย กราบลา พระรัตนตรยั เป็นอนั เสรจ็ พธิ ี แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ โท วิชาอนพุ ทุ ธประวัติ
190 พธิ ีทำ�บุญฉลองอัฐิ เจ้าภาพบางรายจัดพิธีบำ�เพ็ญกุศลฉลองอัฐิ หลังจากเก็บอัฐิเรียบร้อยแล้ว โดยนิมนต์พระสงฆ์ เจริญพระพุทธมนต์เหมือนพิธีทำ�บุญท่ัวไป แต่ต้ังโกศบรรจุอัฐิ รูปถ่ายของผู้ตาย และขันนํ้ามนต์ไว้ด้วย ไมว่ งสายสญิ จน์ ตามความเชอ่ื วา่ ถา้ วงสายสญิ จน์ วญิ ญาณผตู้ ายไมส่ ามารถเขา้ รว่ มพธิ ไี ด้ นาํ้ มนตใ์ ชป้ ระพรม ให้แก่ญาติผู้ตาย นัยว่าเป็นการปลดทุกข์โศกต้องพลัดพรากจากบุคคลท่ีรัก สร้างขวัญกำ�ลังใจในการดำ�รง ชีวิตสืบไป และเจ้าภาพถือเป็นวันในการออกทุกข์ด้วย พิธีน้ีจะจัดท่ีบ้านหรือวัดก็ได้ ตามความสะดวกของ เจา้ ภาพ พธิ ีบรรจศุ พ เจา้ ภาพบางรายตอ้ งการเกบ็ ศพไว้ หลงั จากตง้ั ศพบ�ำ เพญ็ กศุ ลครบ ๓ คนื ๗ คนื แลว้ เพอ่ื ความพรอ้ ม ในการจัดงานฌาปนกิจศพหรืองานพระราชทานเพลิงศพ สถานท่ีเก็บศพส่วนใหญ่ เป็นศาลาบำ�เพ็ญกุศล หรือสถานท่ีเก็บศพของวัด สุสานของมูลนิธิหรือสมาคมตั้งอยู่นอกวัดก็มีเจ้าภาพต้องการเก็บศพ ควรติดต่อ สอบถามตกลงกับทางวัดหรือเจ้าหน้าทีข่ องสุสานลว่ งหน้าเพอื่ ความสะดวกเรยี บรอ้ ยในการประกอบพิธี การประกอบพิธีบรรจุศพ ควรจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ในพิธีให้พร้อมก่อนทำ�พิธี คือ ผ้าไตร หรือผ้าสำ�หรับทอดให้พระสงฆ์พิจารณาบังสุกุลอย่างน้อย ๑ ไตร ก้อนดินเล็กๆ ห่อผ้าดำ�หรือผ้าขาว ดอกไม้สดธูปเตรียมให้เพียงพอกับผู้เข้าร่วมพิธี และกระถางธูปสำ�หรับผู้เช้าร่วมพิธีปักธูปเคารพศพ ถึงเวลา ประกอบพธิ เี จา้ ภาพเชญิ ประธานวางกอ้ นดนิ และดอกไม้ ณ สถานทบี่ รรจศุ พ ถอื ธปู ประนมมอื พรอ้ มอธษิ ฐาน ให้ผู้ตายไปสู่สุคติปักธูปลงในกระถางธูป ต่อจากน้ัน เชิญผู้เข้าร่วมพิธีวางก้อนดินและดอกไม้จนครบทุกคน เปน็ อนั เสรจ็ พธิ ี แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้ันโท วชิ าอนุพุทธประวตั ิ
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๘ 191 ธรรมศึกษาชั้นโท สาระการเรยี นรู้ศาสนพธิ ี เวลา..........ชว่ั โมง เรอื่ ง ความสำ�คัญของเทศกาลส�ำ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ๑. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ๒ รู้และเข้าใจพุทธประวัติ ความสำ�คัญของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตนเป็น พทุ ธศาสนกิ ชนทดี่ ี และธ�ำ รงรักษาพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรียนรู้ รู้และเข้าใจ เหน็ ความส�ำ คญั ของเทศกาลส�ำ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ๓. สาระสำ�คัญ เทศกาลส�ำ คัญทางพระพทุ ธศาสนา ๔. จุดประสงค์การเรยี นรู้ นักเรียนบอกความส�ำ คญั ของพิธลี อยกระทงตามประทปี พธิ ีถวายผ้าป่า พธิ ีถวายกฐินได้ ๕. สาระการเรยี นรู้ เทศกาลสำ�คัญทางพระพทุ ธศาสนา - คติความเชอ่ื ทางพระพทุ ธศาสนา - พิธีลอยกระทงตามประทีป - ความเป็นมาของพธิ ลี อยกระทงตามประทปี - พธิ ีถวายผา้ ป่า - ประเภทของผ้าปา่ - คำ�ถวายผ้าปา่ - พธิ ถี วายผา้ กฐิน - ความหมายและเหตขุ องการทอดกฐนิ - ประเภทของกฐนิ - คณุ สมบตั ขิ องวัดรับกฐนิ ได้ - ความเปน็ มาของประเพณีการทอดกฐนิ - กฐนิ ราษฎร์ - มหากฐิน - จลุ กฐิน - การเตรียมงานกฐินราษฎร์ - ล�ำ ดับพิธที อดกฐนิ ราษฎร์ - คำ�ถวายผ้ากฐิน (แบบท่ี ๑) - คำ�ถวายผ้ากฐนิ ( แบบที่ ๒ ) - พระกฐนิ หลวง - การเสด็จพระราชดำ�เนนิ ถวายผ้าพระกฐิน - การเตรยี มงานกฐินหลวง - ระเบยี บพิธีถวายพระกฐนิ หลวง - พระกฐนิ ต้น - พระกฐนิ พระราชทาน - กฐนิ พระราชทานพิเศษ แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวัติ
192 ๖. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ขัน้ สบื คน้ และเชอ่ื มโยง ๑. ครูนำ�วีดีทัศน์เกี่ยวกับเทศกาลสำ�คัญทางพระพุทธศาสนา เช่น พิธีวันลอยกระทง พิธีถวาย ผ้าปา่ พิธีถวายกฐิน เพื่อเชอ่ื มโยงไปสกู่ ารเรียนรู้ ข้ันฝึก ๒. แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลุ่ม ๓ กลุม่ กลมุ่ ละเท่า ๆ กัน โดยใช้กระบวนการกลุม่ ใหแ้ ตล่ ะกลุ่ม ศกึ ษาใบความรทู้ ่ี ๒๑ เรือ่ งเทศกาลสำ�คัญทางพระพทุ ธศาสนา กลมุ่ ท่ี ๑ พิธีลอยกระทงตามประทปี และพธิ ีถวายผา้ ป่า กล่มุ ท่ี ๒ พธิ ีถวายกฐิน กลุม่ ท่ี ๓ พระกฐนิ หลวง ๓. ให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาสรุปความสำ�คัญหน้าช้ันเรียน ครูตรวจสอบความถูกต้อง และน�ำ ผลงานมาตดิ ปา้ ยนเิ ทศ ขั้นประยกุ ต์ ๔. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปความสำ�คัญของพิธีลอยกระทงตามประทีป พิธีถวายผ้าป่า พธิ ีถวายกฐิน ๕. นกั เรยี นทกุ คนท�ำ ใบกิจกรรมท่ี ๙ และส่งครูตรวจ ๖. นักเรยี นทำ�แบบทดสอบหลงั เรยี น และครตู รวจให้คะแนน ๗. ภาระงาน/ชนิ้ งาน ท ี่ ภาระงาน ชิ้นงาน ๑ ตอบค�ำ ถามพธิ ลี อยกระทงตามประทีป พิธถี วายผา้ ปา่ พิธถี วายกฐนิ ใบกิจกรรมที่ ๙ ๘. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้ ๑. วีดที ศั นง์ านพิธีวนั ลอยกระทง พิธีถวายผ้าปา่ พิธถี วายกฐนิ ๒. ใบความรู้ท่ี ๒๑ เรอื่ งพิธีลอยกระทงตามประทีป พิธถี วายผ้าป่า พิธีถวายกฐนิ ๓. ใบกจิ กรรมท่ี ๙ ๔. ปา้ ยนเิ ทศ ๕. แบบทดสอบหลังเรยี น แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าอนุพุทธประวัติ
193 ๙. การวัดและประเมนิ ผล ส่งิ ท่ีต้องการวดั วิธวี ัด เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมิน บอกความส�ำ คญั ของ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผา่ น = ไดค้ ะแนนต้ังแต่รอ้ ยละ ๖๐ ขน้ึ ไป พิธีลอยกระทงตามประทีป - สงั เกต ผลงาน ไมผ่ า่ น = ได้คะแนนต่ํากว่าร้อยละ ๖๐ พธิ ีถวายผา้ ป่า - แบบสงั เกต พธิ ีถวายกฐินได้ พฤติกรรม การปฏิบตั ิ กิจกรรมกลมุ่ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ โท วิชาอนุพุทธประวัติ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256