44 พระโสณะลาเพ่อื จะไปเฝา้ พระพุทธเจา้ ผเู้ สด็จประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถีในเวลาน้ัน ท่านสง่ั ใหไ้ ปถวายบงั คม และให้กราบทูลถึงการปฏิบัติพระวินัยบางอย่าง อันไม่สะดวกแก่ภิกษุผู้อยู่ในชนบท มีการอุปสมบทนั้น ดังกล่าวแล้วเป็นต้น พระพุทธองค์ได้ทรงทราบจากพระโสณะแล้ว ได้ทรงอนุญาตผ่อนปรน ในข้ออุปสมบท ไมส่ ะดวกนน้ั ประทานพระพทุ ธานญุ าตวา่ ใหพ้ ระสงฆม์ จี �ำ นวน ๕ รปู ท�ำ การอปุ สมบทกลุ บตุ ร ในปจั จนั ตชนบท ไดน้ อกจากน้ี ท่านได้ทลู ขอพระพทุ ธานุญาตให้ทรงแกไ้ ข พระพทุ ธบัญญัตบิ างขอ้ ซง่ึ ขดั ต่อภมู ปิ ระเทศ เช่น ขอใหท้ รงอนญุ าตรองเท้าเป็นชั้น ๆ ในปัจจนั ตชนบทได้ ขอใหท้ รงอนญุ าตการอาบนํา้ เปน็ นติ ย์ ในปจั จนั ตชนบทได้ ขอใหท้ รงอนญุ าตเครื่องลาดทีท่ �ำ ดว้ ยหนังสัตร์ในปัจจนั ตชนบทได้ ขอใหต้ รสั บอกวธิ ีปฏิบตั ิในจีวรทเี่ ขาลับหลงั (ผ้าถงึ มอื จึงชอื่ วา่ ได้รบั ) พระมหากัจจายนะ เป็นผู้มีรูปงาม มีผิวเหลือง ผิดจากเข้าใจกันว่าอ้วนล่ํา เน่ืองด้วยรูปสมบัติ ของท่าน มีเรือ่ งเล่าว่า เศรษฐบี ตุ รเมืองโสเรยยะ เหน็ ท่านแล้ว นึกด้วยอกศุ ลจติ ว่า ถา้ ได้มีภรรยารปู อย่างท่าน จะดีนกั หนา ด้วยอ�ำ นาจบาปนนั้ เพศแห่งเศรษฐบี ุตรนน้ั กลับเปน็ สตรี ไดค้ วามอาลยั เป็นอย่างย่งิ ตอ่ ได้ขมา ท่านแล้ว เพศจึงกลับเป็นบุรุษตามเดิม เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระมหากัจจายนะ อยู่ท่ีป่าไม้คุนธา แขวงมธุรราชธานี พระเจ้ามธุรราชบุตรเสด็จเข้าไปหาตรัสถามถึงเรื่องที่พวกพราหมณ์ เลา่ ลอื กนั วา่ วรรณะพราหมณป์ ระเสรฐิ ทส่ี ดุ วรรณะอน่ื เลววรรณะพราหมณข์ าว วรรณะอน่ื ด�ำ วรรณะพราหมณ์ เปน็ บุตรของพระพรหม เกิดจากปากพระพรหม อันพระพรหมสรา้ งสรรค์ เป็นทายาทของพระพรหม พระเถระตอบว่า นั่นเป็นเพียงคำ�โฆษณาเท่านั้น แล้วได้อธิบายให้พระเจ้ามธุราชอวันตีบุตร ยอมรบั วา่ วรรณะทง้ั ๔ เสมอกนั หมดตามความจรงิ ๕ ประการ คือ ๑. ในวรรณะ ๔ เหล่าน้ี วรรณะเหลา่ ใดเป็นผ้มู ง่ั มี วรรณะเดียวกนั และวรรณะอ่นื ยอ่ มเข้าเปน็ เสวกของวรรณะนน้ั ๒. วรรณะใด ประพฤติอกุศลกรรมบถ เบื้องหน้าแต่มรณะวรรณะนั้น ย่อมเข้าสู้อบายเสมอ กนั หมด ไม่มพี ิเศษ ๓. วรรณะใด ประพฤตกิ ศุ ลกรรมบถ เบ้ือหน้าแต่มรณะวรรณะนัน้ ย่อมเข้าถึงสคุ คติโลกสวรรค์ เหมอื นกนั หมด ๔. วรรณใด ท�ำ โจรกรรม ท�ำ ปรทารกิ กรรม วรรณะนนั้ ตอ้ งรบั ราชอาญาเหมอื นกนั หมด ไมม่ ยี กเวน้ ๕. วรรณะใด ออกบวช ต้ังอยู่ในศีลธรรม วรรณะน้ันย่อมได้รับความนับถือ และได้รับบำ�รุง และได้รับการค้มุ ครองรักษาเสมอกันหมด พระเจา้ มธรุ ราช ตรสั สรรเสรญิ ธรรมภาษติ ของพระเถระ แลว้ แสดงพระองคเ์ ปน็ อบุ าสก ถงึ พระเถระ พระธรรม และพระสงฆ์เปน็ สรณะ ทา่ นทลู หา้ มวา่ อย่าถงึ ทา่ นเปน็ สรณะเลย จงถงึ พระพุทธเจา้ ผู้เปน็ สรณะ ของท่านเป็นสรณะเถิด พระเจ้ามธรุ ราชตรสั ถามวา่ เดี๋ยวนีพ้ ระพุทธเจ้านัน้ เสด็จอยู่ ณ ทไ่ี หน ทา่ นทลู วา่ พระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พานเสยี แลว้ พระเจา้ มธรุ ราชตรสั วา่ ถา้ พระองคไ์ ดท้ รงสดบั วา่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ อยใู่ นทใี่ ด แมไ้ กลเทา่ ไกล กจ็ ะไปเฝา้ ใหจ้ งได้ แตพ่ ระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พานเสยี แลว้ พระองคข์ อถงึ พระพทุ ธเจา้ แมป้ รนิ พิ พาน แล้วนนั้ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ท่านด�ำ รงชนมายสุ งั ขารอยูส่ มควรแกก่ าลเวลา ก็ดับขันธปรนิ พิ พาน แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั โท วิชาอนุพทุ ธประวัติ
45 ใบความรทู้ ่ี ๔ พระอานนท์ และพระอบุ าลี ๗. พระอานนท์ พระอานนท์ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุโกธนะ พระกนิษฐภาดา ของพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาพระนามว่า พระนางกีสาโคตมี มีศักดิ์เป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า ประสูติท่ีกรุงกบิลพัสด์ุ เป็นสหชาติกบั พระพทุ ธเจ้า พระอานนท์เถระเป็นเจ้าชายเชื้อสายศากยะ ได้รับการเล้ียงดูและการศึกษาอย่างดีที่ในสมัยนั้น จะพึงไดร้ ับ เปน็ สหายสนิทของเจ้าชายภทั ทิยะ เจ้าชายอนุรุทธะ เจ้าชายภัคคุ เจา้ ชายกิมพลิ ะ และเจา้ ชาย เทวทัต เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงสละราชสมบัติ เสด็จออกผนวชและสำ�เร็จเป็นพระพุทธเจ้า เสด็จไปโปรด พระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสด์ุ ในพรรษาที่ ๕ ขณะท่ีพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่กรุง กบิลพัสดุ์มีพระญาติหลายองค์ออกผนวชตามเหลือแต่กุมารเหล่าน้ี คือ พระมหานามะ พระอนุรุทธะ พระภัททิยะ พระภัคคุ พระกิมพิละ พระอานนท์ และพระเทวทัต เมื่อพระพุทธเจา้ เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ พวกศากยะไดว้ พิ ากษว์ จิ ารณก์ นั วา่ พวกตนไดใ้ หโ้ อรสของตน ๆ ชงึ่ เปน็ เพอ่ื นเลน่ ของเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ในคราว พิธีขนานพระนามออกผนวชตามเสดจ็ แต่พระกมุ ารเหลา่ นเ้ี หน็ ทจี ะไมใ่ ช่พระญาตกิ บั พระพุทธเจา้ จึงไมอ่ อก ผนวชตาม พระมหานามะไดส้ ดับค�ำ วพิ ากษว์ ิจารณ์ ทรงร้สู ึกละอาย จงึ ปรึกษาพระอนุรทุ ธะว่า ตอ้ งออกบวช คนหน่ึง ในที่สุดอนุรุทธะ ออกผนวช จึงไปทูลลาพระมารดา พระมารดาไม่อนุญาต ท่านทูลอ้อนวอนจน พระมารดาทรงอนญุ าต แตท่ รงมเี งอ่ื นไขวา่ หากพระเจา้ ภทั ทยิ ศากยราชออกผนวชดว้ ย จงึ ทรงอนญุ าต อนรุ ทุ ธะ พยายามชักชวนพระเจ้าภัททิยะจนตกลงพระทยั ออกผนวช ตอ่ มาทา่ นชักชวนกมุ ารอกี ๕ องค์ มีพระอานนท์ เป็นต้น รวมท้ังอุบาลีภูษามาลา ตามเสด็จพระพุทธองค์ไปเพื่อขอบรรพชาอุปสมบท ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่อี นปุ ยิ อัมพวัน เขตอนุปยิ นิคม แคว้นมลั ละ พระอานนท์เถระบวชไมน่ าน ไดฟ้ งั ธรรมจากท่านพระปุณณมนั ตานีบตุ รกบ็ รรลุพระโสดาปัตตผิ ล ยงั ไมบ่ รรลพุ ระอรหตั ผลในชว่ งปฐมโพธกิ าลหลงั จากตรสั รแู้ ลว้ ๒๐ พรรษานนั้ ยงั ไมม่ พี ระภกิ ษใุ ดปฏบิ ตั รบั ใช้ พระพุทธองค์เป็นประจำ� มีแต่พระภิกษุผลัดเปล่ียนวาระกันปฏิบัติ เช่น พระนาคสมาละ พระนาคิตะ พระอปุ วาณะ พระสาคตะ และพระเมฆยิ ะ เปน็ ตน้ บางคราวการผลดั เปลย่ี นบกพรอ่ ง องคท์ ปี่ ฏบิ ตั อิ ยอู่ อกไป แต่ต้ององค์ใหม่ยังไม่มาแทน ทำ�ให้พระพุทธองค์ต้องประทับอยู่ตามลำ�พังขาดผู้ปฏิบัติ บางครั้งพระภิกษุ ผู้ปฏบิ ัตกิ ด็ ้อื ดงึ ขดั รับสัง่ ของพระพุทธองค์ เช่น คร้ังหนึง่ เป็นวาระของพระนาคสมาลเถระ ทา่ นได้เสดจ็ ตาม พระพุทธองค์ไปทางไกล พอถงึ ทาง ๒ แพร่ง พระเถระทราบทลู วา่ ข้าแตพ่ ระผูม้ พี ระภาค ขอพระองคเ์ สด็จ ไปทางนเ้ี ถิด พระเจา้ ข้า พระพุทธองคต์ รัสวา่ อย่าเลยนาคสมาละ ไปอีกทางหน่ึงจะดีกว่า พระนาคสมาละ ไม่ยอมเช่ือฟังพระดำ�รัส ขอแยกทางกับพระพุทธองค์ ทำ�ท่าจะวางบาตรและจีวรของพระพุทธองค์ที่พ้ืนดิน พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั ว่า นาคสมาละ เธอจงสง่ บาตรและจวี รมาใหต้ ถาคตเถดิ พระนาคสมาละ ถวายบาตรและ จีวรแด่พระพุทธองค์แล้วแยกทางเดินไปตามที่ตนต้องการไปได้ไม่ไกลนักก็ถูกพวกโจรทำ�ร้ายจนศีรษะแตก แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
46 แล้วแย่งชิงเอาบาตรและจวี รไป ทัง้ ทีเ่ ลอื ดอาบหนา้ รบี กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเลา่ เรื่องใหท้ รงทราบ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อย่าเสียใจไปเลย นาคสมาละ ตถาคตห้ามเธอก็เพราะเหตุนี้ พระพุทธองค์ได้รับ ความล�ำ บากพระวรกายเพราะถกู ปลอ่ ยใหป้ ระทบั อยตู่ ามล�ำ พงั หลายครง้ั จงึ มพี ระด�ำ รสั รบั สงั่ ใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆ์ เลือกสรรภิกษุทำ�หน้าท่ีปฏิบัติพระองค์เป็นพระประจำ� ภิกษุท้ังหลายมีฉันทามติมอบหมายให้พระอานนท์ เถระรับหน้าที่เป็นพทุ ธอุปฏั ฐากตลอดกาลเป็นนิตย์ ด้วยเหน็ วา่ ทา่ นเปน็ ผมู้ สี ตปิ ญั ญา ขยนั อดทน รอบคอบ และเป็นพระญาติใกล้ชิดย่อมจะทราบพระอัธยาศัยเป็นอยา่ งดี แต่ก่อนท่ีพระเถระจะตอบรับทำ�หนา้ ที่เป็นพุทธอุปัฏฐากน้ัน ท่านได้กราบทูลขอพร ๘ ประการ ดังนี้ ขออย่าประทานจวี รอนั ประณตี แกข่ ้าพระองค์ ขออยา่ ประทานบิณฑบาตอนั ประณตี แกข่ า้ พระองค์ ขอได้โปรดอย่าใหข้ ้าพระองคอ์ ยูใ่ นทปี่ ระทับของพระองค์ ขอไดโ้ ปรดอยา่ พาข้าพระองค์ไปในทนี่ มิ นต์ ขอพระองคจ์ งเสดจ็ ไปสทู่ น่ี ิมนตท์ ่ีขา้ พระองค์รบั ไว้ ขอให้ข้าพระองค์พาบรษิ ทั ทมี่ าจากแดนไกลเข้าเฝ้าพระพุทธองคไ์ ดใ้ นขณะท่ีมาถงึ ถา้ ขา้ พระองค์เกดิ ความสงสัยขึ้นเม่ือใดขอใหข้ ้าพระองคเ์ ข้าเฝา้ ทูลถามความสงสัยได้เมอื่ นนั้ ถ้าพระองค์แสดงพระธรรมเทศนาเร่ืองใดที่ลับหลังข้าพระองค์ ขอได้โปรดตรัสพระธรรมเทศนา เรอ่ื งนนั้ แกข่ า้ พระองคอ์ กี ครง้ั พระพทุ ธเจ้า ไดส้ ดบั ค�ำ กราบทลู ขอพระของพระอานนทเ์ ถระแลว้ ไดต้ รสั ถามถงึ คณุ และโทษของพร ๘ ประการว่า ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นคุณและโทษอย่างไร จึงขออย่างน้ัน พระอานนท์เถระกราบทูลว่า ข้าแต่ พระผู้มพี ระภาค ถ้าข้าพรองคไ์ มไ่ ดร้ ับพรขอ้ ท่ี ๑ - ๔ ขา้ งตน้ ก็จะมคี นพูดติฉินนินทาได้ว่า พระอานนท์ปฏิบัติ บำ�รุงอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า จึงได้ลาภสักการะมากมายอย่างนี้ การปฏิบัติอุปัฏฐากมิได้หนักหนาอะไรเลย ถ้าขา้ พระองค์ไม่ไดร้ บั พรข้อที่ ๕ - ๗ จะมคี นพดู ไดอ้ กี วา่ พระอานนท์ จะบ�ำ รงุ อุปฏั ฐากพระพุทธเจา้ ไปทำ�ไม แมก้ ิจเพยี งเทา่ นี้ พระพทุ ธองค์ก็ไมท่ รงอนเุ คราะห์ อนึง่ โดยเฉพาะถา้ ข้าพระองคไ์ ม่ได้รับพรขอ้ สดุ ทา้ ยแลว้ หากมีผู้มาถามธรรมข้อน้ีพระพุทธองค์แสดงที่ไหน ถ้าข้าพระองค์ไม่ทราบ เขาก็จะตำ�หนิได้ว่า พระอานนท์ ตดิ ตามพระพทุ ธเจา้ ไปทกุ หนแหง่ ดจุ เงาตามตวั แตเ่ หตไุ ฉนจงึ ไมร่ แู้ มแ้ ตเ่ รอื่ งเพยี งเท่าน้ี ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระองค์เหน็ คุณและโทษ ดังกลา่ วมาน้ี จงึ ไดก้ ราบทลู ขอพรทง้ั ๘ ประการน้ันพระเจ้าขา้ พระพุทธเจ้า เมื่อได้สดับคำ�ชี้แจงของพระอานนท์แล้ว จึงประทานสาธุการและประทานอนุญาต ใหต้ ามทข่ี อทกุ ประการ ตง้ั แตน่ นั้ มาพระเถระกป็ ฏบิ ตั หิ น้าทบ่ี �ำ รงุ อปุ ฏั ฐากพระพทุ ธองคต์ ลอดมาตราบเทา่ ถงึ เสด็จเข้าสูป่ รนิ พิ พาน พระเถระได้ปฏิบัติหน้าท่ีอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าด้วยความอุสาหะมิได้บกพร่อง อีกทั้งมีความ จงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ชีวิตของตนก็ยอมสละแทนพระพุทธองค์ได้ เช่น ในคราวที่พระเทวทัตยุยง ให้พระเจ้าอาชาตศัตรูปล่อยช้างนาฬาคีรีด้วยหวังจะให้ทำ�อันตรายพระพุทธองค์ ขณะเสด็จออกบิณฑบาต ในกรุงราชคฤห์ ในขณะท่ีช้างนาฬาคีรีวิ่งตรงเข้ามาหาพระพุทธองค์น้ัน พระอานนท์เถระผู้เป่ียมล้นด้วย แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
47 ความกตัญญูและความจงรักภัคดี ได้ยอมมอบกายถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ได้ออกไปยืนขวางหน้าช้างไว้ หวงั จะใหท้ �ำ อนั ตรายตนแทน แตพ่ ระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงแผเ่ มตตาไปยงั ช้างนาฬาครี ี ดว้ ยอ�ำ นาจแหง่ พระเมตตา บารมี ทำ�ให้ช้างสร่างเมาหมดพยศลดความดุร้าย ยอมหมอบถวายบังคมพระพุทธองค์ แล้วลุกขึ้นเดินกลับ เข้าสู่โรงช้างด้วยอาการอนั สงบ พระอานนทเ์ ถระ ไดป้ ฏบิ ตั พิ ระพทุ ธองคอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ มไิ ดป้ ระมาทพลาดพลง้ั ไดฟ้ งั พระธรรมเทศนา ทัง้ ที่แสดงแกต่ นและผู้อืน่ ทั้งท่ีแสดงต่อหน้าและลบั หลงั อีกทง้ั ทา่ นเป็นผ้มู ีสติปญั ญาทรงจ�ำ ไว้ไดม้ าก จึงเปน็ ผู้ฉลาดในการแสดงธรรม พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านในตำ�แหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุท้ังปวงถึง ๕ ประการ คือ เป็นพหูสตู (ทรงจำ�พทุ ธวนะได้มากทีส่ ุด) เปน็ ผมู้ ีสติ เป็นผมู้ คี ติ (แนวในการจ�ำ พทุ ธวจนะ) เป็นผู้มีธติ ิ (ความเพียร) เปน็ พุทธอุปฏั ฐาก ในกาลที่พระพุทธองค์ใกล้ปรินิพพาน พระอานนท์เถระ มีความน้อยเน้ือตํ่าใจท่ีตนยังเป็นเพียง พระอริยะบุคคลชั้นพระโสดาบัน อีกท้ังพระบรมศาสดาบรมครูก็จะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานในอีกไม่ช้า จึงหลีกออกไปยืนร้องไห้แต่เพียงผู้เดียวขา้ งนอก พระพุทธองค์รับส่ังให้ภิกษุไปเรียกเธอมาแล้วตรัสเตือนเธอ ใหค้ ลายทกุ ขโ์ ทมนสั พรอ้ มตรสั พยากรณ์ วา่ อานนท์ เธอจะไดบ้ รรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ ในวนั ทที่ �ำ ปฐมสงั คายนา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พระมหากัสสปะเถระได้นัดประชุม พระอรหันต์ขีณาสพ จ�ำ นวน ๕๐๐ รูป เพอ่ื ทำ�ปฐมสังคายนา โดยมอบให้พระอานนท์รับหนา้ ทีว่ ิสัชนาพระสตู รและพระอภธิ รรม แตเ่ นือ่ งจากพระอานนทย์ ังเป็นเพียงพระโสดาบัน ทา่ นจงึ เร่งท�ำ ความเพยี รอยา่ งหนกั แตก่ ย็ ังไม่ส�ำ เร็จจนเกิด ความอ่อนเพลีย ท่านจำ�ปรารภที่จะพักผ่อนอิริยาบถสักครู่ จึงเอนกายลงบนเตียง ในขณะท่ีเท้าพ้นจากพ้ืน ศรี ษะก�ำ ลงั จะถงึ หมอน ทา่ นกส็ �ำ เรจ็ เปน็ พระอรหนั ตใ์ นระหวา่ งอริ ยิ าบถทง้ั ๔ คอื ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นอริ ยิ าบถอยา่ งหนง่ึ ท้ัง ๔ อย่างคือ อิรยิ าบถยืน เดิน นง่ั หรือนอน นับวา่ ทา่ นบรรลเุ ป็นพระอรหนั ต์แปลกกวา่ พระเถระรูปอืน่ ๆ พระอานนท์ ดำ�รงอายุสังขารอยู่นานถึง ๑๒๐ ปี พิจารณาเห็นว่าสมควรท่ีจะปรินิพพานได้แล้วท่านจึงเชิญ พระญาติท้ังฝ่ายศากยะและฝ่ายโกลิยะ ไปที่ริมฝั่งแม่นํ้าโรหิณีซ่ึงกั้นเขตแดนระหว่างกรุงกบิลพัสด์ุและ กรงุ เทวทหะ กอ่ นทจี่ ะปรนิ พิ พาน ทา่ นเหาะขนึ้ ไปบนอากาศ ไดแ้ สดงธรรมสงั่ สอนเทวดาและพระประยรู ญาติ ทั้งสองฝา่ ย ตลอดท้งั พุทธบริษัทอ่ืน ๆ เมื่อจบพระธรรมเทศนาแลว้ ท่านไดต้ ั้งสตั ยาธิษฐานว่า เมอ่ื อาตมานพิ พานแลว้ ขอใหอ้ ฐั ธิ าตขุ องอาตมานแ้ี ยกออกเปน็ ๒ สว่ น จงตกลงทฝ่ี งั่ กบลิ พสั ดข์ุ อง พระประยูรญาติฝ่ายศากยวงศ์ส่วนหน่ึง และจงตกที่ฝั่งเทวทหะของพระประยูรญาติฝ่ายโกลิยวงศ์ส่วนหนึ่ง เพ่ือป้องกันมิให้พระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายทะเลาะวิวาทกันเพราะแย่งพระธาตุครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วก็ เสด็จดับขนั ธปรนิ พิ พาน ณ เบ้อื งบนอากาศ ในทา่ มกลางแมน่ า้ํ โรหณิ ีนนั้ เตโชธาตุก็เกดิ ข้ึน เผาสรีระของทา่ น เหลือแตก่ ระดกู และแยกออกเปน็ ๒ สว่ น แล้วตกบนพื้นดนิ ของ ๒ ฝั่งแมน่ า้ํ โรหิณนี ัน้ สมดงั ทีท่ ่านอธิษฐานไว้ ทกุ ประการ ทา่ นไดช้ อ่ื วา่ เปน็ พทุ ธสาวกทไ่ี ดบ้ รรลกุ เิ ลสนพิ พานและขนั ธนพิ พานแปลกกวา่ พระสาวกรปู อนื่ ๆ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าอนุพุทธประวัติ
48 ๘. พระอุบาลี พระอุบาลี เป็นบุตรช่างกัลบก (ช่างตัดผม) ในกรุงกบิลพัสด์ุ ได้เป็นท่ีเลื่อมใสเจริญพระหฤทัย แหง่ เจ้าในศากยวงศ์ ๕ พระองค์ คือ ภัททิยราชา อนรุ ุทธะ อานนั ทะ ภคั คุ กิมพิละ กไ็ ดร้ ับตำ�แหน่งเป็น นายภษู ามาลาแห่งเจ้าศากยวงศเ์ หลา่ นั้น เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระประยูรญาติท่ีกรุงกบิลพัสด์ุตามคำ�ทูลอาราธนาของ พระกาฬุทายีเถระ เหล่าขัตติยกุมารในแต่ละมหาสาขาของศากยวงศ์ออกบรรพชาจึงออกจากกรุงกบิลพัสด์ุ โดยกระบวนพยหุ ยาตราเหมือนเสดจ็ ประพาสอทุ ยานอุบาลภี ษู ามาลาตามเสด็จในฐานะมหาดเลก็ คนสนิท ครนั้ ถงึ พรมแดนอนื่ เจา้ ชายทง้ั หมดสง่ั ใหก้ ระบวนตามเสดจ็ กลบั ทรงด�ำ เนนิ ไปตามล�ำ พงั ๖ พระองค์ พรอ้ มดว้ ยอบุ าลเี มอื่ เหน็ วา่ ไปไกลแลว้ ทง้ั ๖ จงึ สง่ อบุ าลภี ษู ามาลากลบั และทรงเปลอื้ งเครอื่ งประดบั ออกเอาภษู า หอ่ มอบให้อบุ าลเี พอื่ ใช้เปน็ ทรัพย์เล้ียงชีพ อุบาลีภูษามาลาเดินทางกลับพร้อมห่อเครื่องประดับท่ีได้รับเม่ือเดินมาสักระยะหน่ึงฉุกคิดว่า ถ้ากลับไปเจ้าศากยะในกรงุ กบิลพสั ดุจ์ ะคิดวา่ เราลวงเจ้าชายมาประหารชิงเอาเครือ่ งประดบั ตกแต่ง อน่ึงศากยท้ัง ๖ ยังทรงผนวชได้ทำ�ไมเราจึงจะบวชบ้างไม่ได้ จึงแก้ห่อผ้าเคร่ืองประดับแขวนไว้ บนต้นไม้พูดว่า ของนี้เราสละใครเห็นก็จงนำ�ไปแล้วเดินกลับไปเฝ้าศากยกุมารทอดพระเนตรเห็นอุบาลี เดินกลับมา รับสั่งถามอุบาลีจึงเล่าเร่ืองราวให้ทราบ เหล่าขัตติยกุมารจึงพาอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทลู ขอบวช ทรงขอใหพ้ ระพทุ ธองค์บวชให้นายอุบาลีก่อน เพ่อื ตอ้ งการลดมานะความถือตัวของตนเอง ที่เป็นกษัตริย์เมื่อบวชหลังอุบาลีต้องทำ�ความเคารพผู้ท่ีบวชก่อน แม้ผู้นั้นเคยเป็นมหาดเล็กรับใช้มาก็ตาม พระพุทธเจ้าโปรดใหอ้ บุ าลไี ดบ้ วชกอ่ นดว้ ยวิธีเอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา จากนั้นทรงใหศ้ ากยกมุ ารผนวช พระอุบาลีนั้น คร้ันบวชแล้ว เรียนกรรมฐานในสำ�นักพระพุทธเจ้าทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์อยู่ป่า พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เม่ืออยู่ป่า ธุระอย่างเดียว เท่านั้นจะเจริญงอกงาม แต่เม่ืออยู่ในสำ�นักของเรา ท้ังวิปัสสนาธุระและคันถธุระจะบริบูรณ์ พระอุบาลีน้ัน รับพระด�ำ รสั ของพระพทุ ธเจ้าแลว้ กระท�ำ วปิ สั สนากรรมฐานไม่นานกไ็ ดบ้ รรลุพระอรหนั ต์ ท่านพระอุบาลเี ถระเรยี นพระวนิ ัยปฎิ ก จากพระโอษฐข์ องพระพุทธเจา้ โดยตรง จงึ มคี วามชำ�นาญ พระวินัยได้วินิจฉัยเร่ืองภารุกัจฉะ เร่ืองอัชชุกะ และเร่ืองกุมารกัสสปะ ถูกต้องตามพระวินัย เป็นเหตุให้ พระพทุ ธเจา้ ประทานสาธกุ าร และทรงถอื เรอื่ งนนั้ เปน็ อตั ถปุ ปตั ตเิ หตุ (ตน้ เรอ่ื ง) ไดท้ รงแตง่ ตงั้ ทา่ นไวใ้ นต�ำ แหนง่ เอตทคั คะว่าเป็นผ้เู ลศิ กว่าภกิ ษทุ ้ังหลายผู้เปน็ วนิ ยั ธร (ผ้ทู รงพระวินยั ) ในคัมภีร์อรรถกถามีประวัติของท่านว่าในอดีตท่านเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อสุชาต ในนครหังสวดี สะสมทรัพย์ไว้ ๘๐ โกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมายนับไม่ถ้วนมีความรู้อย่างยิ่งมหาชนต่างนับถือ แต่ท่านเองไม่นับถือผู้ใดด้วยสมัยน้ัน ยังไม่มีพระพุทธเจ้า เวลานั้นท่านมีมานะกระด้างไม่เห็นผู้ที่ควรบูชา ต่อมาเม่ือพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระเสด็จอุบัติข้ึนในโลก เสด็จเข้ามายังนครหังสวดี เพื่อแสดงธรรม โปรดพุทธบิดามหาชนหล่ังไหลมาฟังธรรมเป็นบริเวณประมาณ ๑ โยชน์ ดาบสชื่อสุนันทะได้สร้างปะรำ� ดอกไมข้ ้ึนบงั แสงแดดเพอ่ื มหาชนตลอดทง้ั พุทธบริษทั เมื่อพระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศอริยสจั ๔ บริษัทแสนโกฏิได้บรรลุธรรมพระพุทธองคท์ รงแสดงธรรม ตลอด ๗ วนั ๗ คืน วันท่ี ๘ ทรงพยากรณ์สุนันทดาบสว่า ในแสนกปั นับจากนไ้ี ปจะมีพระศาสดาเสด็จอุบตั ขิ ้ึน แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ โท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
49 ในโลก สมภพในราชตระกูลพระเจา้ โอกากราช พระนามวา่ โคดม ดาบสน้ีจะเกดิ เปน็ พุทธสาวกนามวา่ อุบาลี และจะไดเ้ ป็นเอตทัคคะยิง่ กว่าสาวกอ่นื ท่านฟังพระดำ�รัสของพระพุทธองค์ปรารถนาได้ตำ�แหน่งผู้เป็นเลิศในพระวินัย ท่านจึงซ้ือสวน ช่ือโสภณะ ด้านหน้าพระนครด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง สร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า ท่านสร้างเรือนยอดปราสาท มณฑป ถํ้า คูหา และท่ีจงกรม สร้างเรือนอบกาย โรงไฟ โรงเก็บนํ้า และห้องอาบน้ําถวายพระภิกษุสงฆ์ ถวายปัจจัย คือ ตั่ง เตียง ภาชนะเครื่องใช้สอยและยาประจำ�วัดทุกอย่าง ให้สร้างกำ�แพงอย่างม่ันคงสร้าง ทอี่ ย่อู าศยั ใหท้ า่ นผู้มีจิตสงบ ผคู้ งท่ี ไวใ้ นสงั ฆาราม ด้วยทรพั ย์จ�ำ นวนแสนหนงึ่ รวมเป็นสองแสน เมื่อสร้าง เรยี บรอ้ ย นมิ นตพ์ ระปทมุ ตุ ตรพทุ ธเจา้ ใหเ้ สดจ็ มาเพอื่ ถวายพระอาราม เมอื่ ถงึ เวลาพระปทมุ ตุ ตรพระพทุ ธเจา้ พร้อมด้วยพระขีณาสพหน่ึงพันเสด็จเข้าไปสู่อารามท่านถวายภัตตาหารได้ทูลถวายอารามพระพุทธเจ้า ครนั้ ทรงรบั สังฆารามทรงอนุโมทนาและทรงพยากรณพ์ ราหมณ์สชุ าตวา่ อีกแสนกปั ข้างหน้าจะมีพระศาสดา เสด็จอุบัติขึ้นในโลก สมภพในราชตระกูลโอกากราช พระนามว่าโคดม เขาจะเป็นพุทธสาวกชื่อว่าอุบาลี บ�ำ เพญ็ บารมใี นพระวนิ ยั ด�ำ รงพระศาสนาของพระชนิ ะและเปน็ ผหู้ าอาสวะมไิ ด้ พระสมณโคดมจะทรงแตง่ ตง้ั เขาไวใ้ นตำ�แหนง่ เอตทคั คะ ในกัปท่ีสองหลังภัทรกัปนี้ไปท่านเกิดเป็นโอรส ของพระเจ้าอัญชสะผู้มีพระเดชานุภาพยิ่งใหญ่ พระนามว่าจันทนะ เจ้าชายเป็นคนกระด้างแข็งกร้าว ถือตัว มัวเมาในชาติตระกูล ยศ และโภคะ วันหน่ึง เสดจ็ ประพาสอทุ ยานนอกพระนคร ทรงช้างช่ือว่าสิรกิ ะ แวดล้อมด้วยกองทพั ไพร่พลและบริวารทางทจ่ี ะไป พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าเทวละทรงดำ�เนินผ่านหน้าช้างไป ท่านไสช้างล่วงเกินพระปัจเจกพุทธเจ้า ดว้ ยพระบารมขี องพระปจั เจกพทุ ธเจ้า ชา้ งพระทน่ี งั่ กลบั แสดงอาการโกรธทา่ นผบู้ งั คบั ชา้ งและไมย่ อมย่างเทา้ ยืนหยุดนิ่ง เม่ือแสดงกิริยาตํ่าช้าต่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นช้างไม่พอใจ พาลโกรธเบียดเบียนพระปัจเจก พทุ ธเจา้ แลว้ ไปยงั พระอทุ ยานไมพ่ บความส�ำ ราญ ณ ทนี่ นั้ เหมอื นคนถกู ไฟไหมศ้ รี ษะ ถกู ความกระวนกระวาย แผดเผา เหมอื นปลาตดิ เบด็ พนื้ แผน่ ดนิ เสมอื นไฟลกุ ไปทวั่ เมอ่ื ภยั เกดิ ขน้ึ อยา่ งนที้ า่ นจงึ เขา้ ไปเฝา้ พระราชบดิ า เลา่ เรื่องให้ฟัง พระเจา้ อชั สะไดฟ้ ังทรงตกพระทยั ตรสั วา่ เพราะไม่เคารพต่อพระปัจเจกพุทธเจ้าพวกเราจะพินาศ กันทั้งหมดจะให้พระปจั เจกพุทธมนุ อี ดโทษ ภายใน ๗ วัน แว่นแคว้นของเราจะพนิ าศหมด ท่านจงึ เขา้ ไปเฝ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าขอขมาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ทรงยกโทษให้ด้วยกรรมน้ีท่านต้องเกิดมาในตระกูลตํ่า ในบัจจบุ นั ชาติท่านพระอบุ าลีเถระ ทำ�บุญญาธกิ ารอนั เป็นปจั จยั เกอ้ื กลู ต่อพระนิพพานมานานแสนนาน จนถึงสมัยพระเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ วันหนึ่งไปฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงแต่งต้ังภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำ�แหน่งท่ีเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ทรง พระวินัยเกิดศรัทธาเลื่อมใส ปรารถนาฐานันดรน้ันสร้างสมบุญกุศลตลอดมาหลายพุทธันดรครั้งสุดท้าย ไดส้ มความปรารถนาในพระศาสนาของพระสมณโคดม เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน พระอุบาลีได้รับสมมติจากสงฆ์มีพระมหากัสสปะ เป็นประธาน ใหเ้ ปน็ ผ้วู สิ ชั นาพระวินยั ปฎิ ก ในคร้งั ทำ�ปฐมสังคายนา ทา่ นด�ำ รงชนมายุสงั ขารอยพู่ อสมควรแก่กาลเวลาแลว้ กด็ บั ขนั ธปรินพิ พาน แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
50 ใบความรทู้ ี่ ๕ พระสีวลแี ละพระราหุล ๙. พระสวิ ลี พระสิวลี เปน็ พระโอรสของพระนางสปุ ปวาสา ผู้เปน็ พระราชธดิ าของ พระเจา้ กรงุ โกลิยะ จำ�เดมิ แตป่ ฏสิ นธใิ นครรภ์ ท�ำ พระมารดาใหส้ มบรู ณ์ดว้ ยลาภสักการะ อยู่ในครรภ์ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วนั จงึ ประสูติ โดยง่าย คล้ายนา้ํ ไหลออกจากหมอ้ ด้วยอำ�นาจพุทธานุภาพ สาเหตุท่ีพระสิวลีอยู่ในครรภ์นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เป็นเพราะบุรพกรรมในคร้ังหน่ึง ท่านเคยเป็นกษัตริย์ ยกกองทัพไปล้อมเมืองหนึ่งไว้ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ในกาลนั้นพระนางสุปปวาสา เป็นพระชนนี ให้โอรสของพระองค์กักประตูไม่ให้ชาวพระนครออกได้ ชาวพระนครจึงฆ่าพระราชาของตน แลว้ ถวายเมอื ง ดว้ ยกรรมอันน้ีตามให้ผลในชาติน้ี พระนางสุปปวาสาผ้มู ารดาขณะท่ีทรงพระครรภแ์ ก่ ไดร้ ับ ทกุ ขเวทนาอย่างสาหัส จงึ มาคิดขน้ึ ว่า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเพ่ือละทกุ ขไ์ ด้ พระสงฆป์ ฏิบัตเิ พ่ือละทุกขไ์ ด้ พระนิพพานเปน็ สุข ดงั น้ี พระนางปรารภกบั พระสวามีปรารถนาจะถวายทานกอ่ นทีจ่ ะตาย จงึ สง่ พระสวามีไปเฝ้าพระพทุ ธเจา้ เพ่ือไปกราบทูลเรื่องนี้ แล้วนิมนต์พระพุทธเจ้า และถ้าพระองค์ตรัสคำ�ใดขอให้ต้ังใจจดจำ�คำ�นั้นให้ดี แล้ว กลับมาบอกพระนาง พระสวามีจึงเดินทางไปแล้วกราบทูลข่าวแด่พระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระนางสปุ ปวาสาโกลิยธดิ า จงมคี วามสุข จงมีความสบาย ไม่มโี รค จงคลอดบตุ รท่หี าโรคมไิ ดเ้ ถิด พระสวามี ไดย้ ินดังนั้น จงึ ถวายบังคมพระศาสดา ทรงมงุ่ หนา้ เสดจ็ กลับพระราชนเิ วศน์ ในเวลาเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเสร็จ พระกุมารก็คลอดจากพระครรภ์ของพระนางสุปปวาสา อย่างสะดวก เหล่าพระญาติและบริวารที่น่ังล้อมอยู่เร่ิมหัวเราะ ทั้งท่ีหน้านองด้วยนํ้าตา มหาชนยินดีแล้ว ร่าเริงแล้วได้กราบทูลข่าวท่ีน่ายินดีแด่พระสวามีที่กำ�ลังเดินทางกลับ พระสวามีเห็นอาการของชนเหล่าน้ัน ก็ทราบว่า พระดำ�รัสท่ีพระพุทธเจ้าตรัสเห็นและเป็นผลแล้ว จึงเล่าเร่ืองของพระพุทธเจ้าน้ันแด่พระราชธิดา การประสูติของทารก ได้ดับจิตท่ีเร่าร้อนของพระประยูรญาติทั้งหมดเพราะฉะน้ัน พระประยูรญาติจึง เฉลิมพระนามของกุมารนัน้ ว่า สวิ ลี เม่ือพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงแจ้งความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มารับ มหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ตลอด ๗ วัน ในวันถวายมหาทานน้ัน สิวลีกุมาร มีพระวรกาย เข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำ�ธมกรก (กระบอกกรองน้ํา) มากรองนํ้าดื่ม และอังคาสพระพุทธเจ้าและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะท่ีสิวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลาและเกิดความรู้สึกพอใจ ในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก คร้ันถึงวันท่ี ๗ ซ่ึงเป็นวันสุดท้ายพระเถระได้สนทนากับสิวลีกุมาร แล้วชักชวนให้มาบวช สิวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้วเมื่อพระเถระชักชวนจึงกราบทูล แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศึกษา ช้นั โท วชิ าอนุพุทธประวัติ
51 ขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดาเม่ือได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอาราม พระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ได้สอนพระกรรมฐานเบ้ืองต้นคือ ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ไดแ้ ก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เลบ็ ) ทันตา(ฟัน) ตโจ(หนัง) ใหพ้ ิจารณาของทง้ั ๕ เหลา่ น้วี า่ เป็นของ ไม่งาม เป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในส่ิงเหล่าน้ีสิวลีกุมารได้สดับพระกรรมฐานนั้น แล้ว นำ�ไปพิจารณา ในขณะท่ีจรดมีดโกนเพ่ือโกนผม ครั้งแรกน้ันท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลงคร้ังท่ี ๓ ท่านได้บรรลุเป็นอนาคามี และเม่ือโกนผมเสร็จ ทา่ นได้บรรลเุ ป็นพระอรหันต์ ในเวลาต่อมา พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถี พระสิวลีเถระถวายอภิวาทพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะทดลองบุญของข้าพระองค์ ขอพระองค์จงมอบภิกษุ ๕๐๐ รปู แก่ข้าพระองค์ พระพทุ ธเจา้ ตรัสสง่ั ว่า จงรับไปเถิดสวิ ลที า่ นพาภิกษุ ๕๐๐ รปู เดนิ ทางบ่ายหน้าไปสู่ หิมวันตประเทศ เดินทางผ่านดงเทวดาที่สิงอยู่ท่ีต้นไทร ที่ท่านเห็นเป็นคร้ังแรกได้ถวายทานตลอด ๗ วัน เทวดาทง้ั หลายได้ถวายทานทกุ ๆ ๗ วันในสถานทที่ วั่ ๆ ไป ทท่ี ่านเห็นต่างกรรมตา่ งวาระกันดังนี้ คือ ท่านเห็นต้นไทรเป็นคร้ังแรก เห็นภูเขาช่ือว่าปัณฑวะเป็นคร้ังที่ ๒ เห็นแม่นํ้าจิรวดี เป็นคร้ังท่ี ๓ เห็นแมน่ ้ําวรสาครเปน็ ครง้ั ที่ ๔ เหน็ ภเู ขาหมิ วันต์เป็นคร้งั ที่ ๕ ถงึ ป่าฉัททันต์ เปน็ ครงั้ ท่ี ๖ ถึงภเู ขาคันธมาทน์ เป็นครง้ั ที่ ๗ และพบพระเรวตะ เป็นครั้งท่ี ๘ ประชาชนทง้ั หลาย ไดถ้ วายทานในทท่ี กุ แหง่ ตลอด ๗ วนั เทา่ นนั้ กใ็ นบรรดา ๗ วนั นาคทตั ตเทวราช ท่ีภูเขาคันธมาทน์ ได้ถวายบิณฑบาตชนิดน้ํานม (ขีรบิณฑบาต) สลับวันกับถวายบิณฑบาตชนิดเนยใส (สัปปิบิณฑบาต) วันเว้นวัน ลำ�ดับน้ันภิกษุสงฆ์ จึงถามท่านเทวราชว่า ของท่ีท่านนำ�มาถวายน้ันเกิดขึ้น ได้อย่างไร ในเม่ือแม่โคนมท่ีเขารีดนมถวายแด่เทวราชน้ีก็มิได้ปรากฏ การบีบทำ�น้ํานมส้มก็มิได้ปรากฏ นาคทัตตเทวราช ตอบวา่ น้ีเปน็ อานิสงสแ์ หง่ การถวายสลากภัตรนาํ้ นมในกาลแห่งการถวายสลากภัตรน้าํ นม ในกาลแห่งพระกสั สปทศพล ในกาลต่อมา พระพุทธเจ้าทรงเอาเหตุแห่งการที่พระขทิรวนิยเถระจัดการต้อนรับให้เป็น อัตถุปปัตติเหตุ (เหตุเกิดแห่งเรื่อง) ในการท่ีทรงแต่งตั้งพระสิวลีเถระไว้ในตำ�แหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศในบรรดา ภิกษุผู้เลิศดว้ ยลาภและเลิศดว้ ยยศท้งั หลาย ในศาสนาของพระองคใ์ นเร่อื งน้ีมเี หตุเกดิ ข้ึนอย่างนี้ ในสมยั หนง่ึ พระขทริ วนยิ เรวตเถระซง่ึ เปน็ นอ้ งชายของพระสารบี ตุ รไดห้ นกี ารแตง่ งานทบี่ ดิ ามารดา จัดการให้มาขอบวชในสำ�นักพระภิกษุ ซ่ึงมีภิกษุอยู่ประมาณ ๓๐ รูป เหล่าพระภิกษุสอบถามดู ทราบว่า เป็นน้องชายของพระสารีบุตรที่ท่านได้เคยแจ้งไว้ก่อนว่า ถ้าน้องชายมาขอบวชก็อนุญาตให้บวชได้ จึงได้ ทำ�การบวชให้แล้วสง่ ข่าวมายงั ท่านพระสารีบุตร คร้ังน้ัน เมื่อพระสารีบุตรทราบข่าวดังนั้น จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าเพื่อขอไปเยี่ยม พระพุทธเจ้า ทรงทราบว่าพระเรวตะเริ่มทำ�ความเพียรเจริญวิปัสสนา จึงทรงห้ามพระสารีบุตรถึง ๒ คร้ัง ในครั้งที่ ๓ เมื่อพระสารีบุตรทูลอ้อนวอนอีก ทรงทราบว่า พระเรวตะบรรลุอรหันตผลแล้วจึงทรงอนุญาต และตรัสว่า จะทรงไปด้วยพรอ้ มเหล่าพระสาวกอื่น แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชัน้ โท วิชาอนพุ ุทธประวตั ิ
52 พระพทุ ธเจา้ พรอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆห์ มใู่ หญเ่ ปน็ บรวิ ารกไ็ ดเ้ สดจ็ ออกไปดว้ ยพระประสงคว์ า่ จะไปเยยี่ ม พระเรวตะ ครน้ั เดินทางมาถึง ณ ทีแ่ หง่ หนึง่ ซ่ึงเป็นหนทาง ๒ แพร่ง พระอานนเถระกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตรงน้ีมีหนทาง ๒ แพร่ง ภกิ ษสุ งฆจ์ ะไปทางไหนพระเจา้ ขา้ พระพุทธเจ้า ตรัสถามวา่ อานนทห์ นทางไหนเป็นหนทางตรง พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หนทางตรงมีระยะประมาณ ๓๐ โยชน์แต่เป็น หนทางที่มอี มนุษย์ สว่ นหนทางออ้ มมรี ะยะทาง ๓๐ โยชน์ เป็นหนทางสะดวกปลอดภัยมภี ิกษาดหี าง่าย พระพทุ ธเจ้าตรัสว่า อานนทส์ วิ ลไี ด้มาพร้อมกับพวกเรามิใชห่ รอื พระอานนท์กราบทูลวา่ ใช่ พระสิวลมี าแล้วพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอย่างน้ัน พระสงฆ์จงไปตามเส้นทางตรงนั้นแหละ เราจะได้ทดลองบุญ ของพระสิวลี พระพุทธเจ้ามีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จขึ้นสู่เส้นทาง ๓๐ โยชน์เพื่อจะทรงทดลองบุญของ พระสิวลเี ถระ จำ�เดิมแต่ท่ีได้เสด็จไปตามหนทาง หมู่เทวดาได้เนรมิตพระนครในทุกๆโยชน์ช่วยกันจัดแจง พระวิหารเพื่อเป็นที่ประทับและที่อยู่แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พวกเทวบุตร ได้ถือเอาข้าวยาคู และของเค้ียวเป็นต้น ไปเที่ยวถามอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าสิวลีไปไหน ดังนี้แล้ว จึงไปหาพระเถระ พระเถระ จึงให้นำ�เอาสักการะและสัมมานะเหล่านั้นไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์พร้อมทั้งบริวารเสวยบุญของ พระสิวลเี ถระผู้เดยี ว ไดเ้ สด็จไปตลอดทางกันดารประมาณ ๓๐ โยชน์ ฝ่ายพระเรวตเถระ ทราบการเสด็จมาของพระพุทธเจ้า จึงเนรมิตพระคันธกุฎีเพื่อพระพุทธองค์ นิรมติ เรอื นยอด ๕๐๐ ท่ีจงกรม ๕๐๐ ทีพ่ ักกลางคืนและที่พักกลางวนั ๕๐๐ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ในสำ�นัก ของเรวตะเถระน้ันสิ้นกาลประมาณเดือนหน่ึง แม้ประทับอยู่ในท่ีนั้น ก็เสวยบุญของพระสิวลีน่ันเอง แม้ พระพุทธองคพ์ าภิกษุสงฆ์ไปก็เสวยบญุ ของพระสวิ ลเี ถระตลอดกาลประมาณเดอื นหน่งึ นั่นแลอกี เสดจ็ เขา้ ไป สบู่ ุพพารามตามลำ�ดบั ในกาลต่อมาพระพุทธเจ้าประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าแล้วทรงสถาปนาพระเถระนั้น ไวใ้ นต�ำ แหน่งเอตทคั คะวา่ ดกู ่อนภิกษทุ งั้ หลาย พระสวิ ลีเปน็ ผูเ้ ลศิ กว่าพวกภิกษสุ าวกของเราผู้มีลาภ ด้วยอำ�นาจบุญท่ีท่านพระสิวลี ได้บำ�เพ็ญสั่งสมอบรมมาต้ังแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่าน เจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ท้ังหลาย นำ�มาถวายมิได้ขาดตกบกพร่อง ไมว่ ่าท่านจะอยู่ในท่ีใด ๆ ในป่า ในบา้ น ในน้าํ หรอื บนบก เป็นตน้ ด้วยเหตุน้พี ระพทุ ธองค์จึงทรงประกาศ ให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัท ตรัสยกย่องท่านในตำ�แหน่ง เอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายในทาง ผู้มีลาภมากนับว่าท่านพระสิวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหน่ึงท่ีได้ช่วยกิจการพระศาสนา แบ่งเบาภาระ ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมากทา่ นดำ�รงอายสุ งั ขารโดยสมควรแกก่ าลเวลาแล้วกด็ บั ขนั ธปรนิ พิ าน แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้ันโท วชิ าอนุพุทธประวัติ
53 ๑๐. พระราหุล พระราหุล เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ กับพระนางพิมพา (ยโสธรา) พระราชนัดดาของ พระเจ้าสุทโธทนะ ผูค้ รองกรงุ กบลิ พัสดุ์ เมอ่ื เจ้าชายสทิ ธัตถะได้ตรัสรเู้ ป็นพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าแลว้ เสด็จมาเทศนาโปรดพระประยรู ญาติ ประทับอยู่ท่ีนิโครธาราม และได้เสด็จไปท่ีพระราชนิเวศน์ของพระนางพิมพา พระนางได้ส่งพระราหุลกุมาร ผู้เป็นพระโอรสออกมา ให้ทูลขอราชสมบัติทั้งหลายที่จะถาวรม่ันคงและประเสริฐกว่าอริยทรัพย์มิได้มี เราควรจะอริยทรัพย์แก่ราหุล จึงเสด็จกลับไปยังนิโครธาราม พระราหุลกุมารตามเสด็จไปด้วยจนถึง พระพทุ ธเจา้ จึงตรัสสง่ั พระสารบี ุตรว่า จงบวชใหร้ าหลุ เถิด พระเถระรับพุทธบัญชา แต่ว่าพระกุมารนั้นยังเล็กเกินไป อายุได้ ๗ ขวบ ไม่ควรท่ีจะเป็นสงฆ์ จึงทูลถามพระพุทธองค์ถึงวิธีบวช พระพุทธองค์ตรัสให้ใช้ตามวิธีติสรณคมนูปสัมปทา เปล่งวาจาถึง พระรตั นตรยั ให้พระกุมารบวช วธิ นี ีไ้ ด้ใชก้ นั สืบมาถึงทุกวนั น้ี เรยี กวา่ บวชเณร พระราหุลน้ีจึงได้เป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ครั้นเวลาพ้นผ่านอายุกาลครบ ๒๐ ปี จึงอปุ สมบทด้วยวธิ ีญัตติจตตุ ถกรรม ในสมัยเป็นสามเณร ท่านสนใจใคร่ศึกษาพระธรรมวินัย ลุกข้ึนแต่เช้าเอามือทั้งสองกอบทราย ได้เต็ม แล้วต้ังความปรารถนาว่า ขอให้ตนได้รับโอวาทจากพระพุทธเจ้าหรือพระอุปัชฌาย์อาจารย์ จดจำ� และเข้าใจให้ได้จ�ำ นวนเทา่ เมด็ ทรายในกอบน้ี วันหน่ึง ท่านอยู่ในสวนมะม่วงแห่งหน่ึง พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปหา แล้วตรัสจูฬราหุโลวาทสูตร แสดงโทษของการกลา่ วมสุ า อุปมาเปรยี บกบั นาํ้ ทีท่ รงควำ�่ ขันเททง้ิ ไปวา่ ผูท้ ก่ี ล่าวมสุ าท้งั ท่รี ู้แก่ใจ ความเปน็ สมณะของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับนํ้าในขันนี้แล้วทรงชี้ให้เห็นว่า ไม่มีบาปกรรมอะไรท่ีผู้หมดความละอายใจ กลา่ วเท็จ ทั้งๆ ท่รี ู้จะทำ�ไมไ่ ด้ ต่อมาไดฟ้ ังมหาราหโุ ลวาทสตู รใจความว่า ใหพ้ ิจารณารา่ งกายใหเ้ ห็นเป็นธาตุ ๕ ประการ คือดิน นา้ํ ไฟ ลม อากาศ ตดั ความยึดถอื วา่ นั่นไมใ่ ช่ของเรา เราไม่ไดเ้ ปน็ น่ัน น่ันไม่ใช่ตัวตนของเรา แล้วตรสั สอน ให้อบรมจิต คิดให้เหมือนกับธาตุแต่ละอย่างว่าแม้จะมีสิ่งที่น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาถูกต้อง ก็ไม่มี อาการพอใจรกั ใคร่ หรือเบือ่ หน่ายเกลียดชัง สุดท้าย ทรงสอนให้เจริญเมตตาภาวนาเพื่อละพยาบาท เจริญกรุณาภาวนาเพื่อละวิหิงสา เจริญ มทุ ติ าภาวนาเพือ่ ละความรษิ ยาเจรญิ อเุ บกขาภาวนาเพ่ือละความขดั ใจ เจรญิ อสุภภาวนาเพ่อื ละราคะ เจรญิ อนิจจสัญญาภาวนาเพอื่ ละอสั มิมานะท่านไดพ้ ยายามฝึกใจไปตามนน้ั ในทสี่ ุดไดส้ ำ�เรจ็ อรหัตผล พระราหุลเถระนี้ เป็นผู้ใคร่ในการศึกษาดังได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงได้รับยกย่อง จากพระพทุ ธเจ้าวา่ เป็นเอตทคั คะผูเ้ ลิศกว่าภิกษทุ ั้งหลายผูใ้ คร่ในการศึกษา ทา่ นดำ�รงชนมายสุ งั ขารอย่โู ดยควรแกก่ าลเวลา ก็ดับขันธปรนิ ิพพาน แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ โท วิชาอนพุ ทุ ธประวัติ
54 แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี ๒ ธรรมศกึ ษาช้นั โท สาระการเรียนรอู้ นุพุทธประวตั ิ เรอื่ ง ประวตั ิและความส�ำ คัญของพุทธสาวกิ า เวลา .............. ชัว่ โมง ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๒ รู้และเข้าใจพุทธประวัติ ความสำ�คัญของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตนเป็น พทุ ธศาสนิกชนที่ดี และธ�ำ รงรกั ษาพระพุทธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ ร้แู ละเข้าใจ เหน็ ความสำ�คญั ประวัตพิ ทุ ธสาวกิ า ๓. สาระสำ�คัญ พุทธสาวิกา คือ ผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาที่เป็นเพศหญิง สมัยพระพุทธเจ้ามีสตรีเล่ือมใสใน พระพุทธศาสนา จึงเป็นพุทธสาวิกา ได้แก่ พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีพระเขมาเถรีพระอุบลวรรณาเถรี พระปฎาจาราเถรี และ พระกสี าโคตมีเถรี ๔. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ นักเรยี นสามารถอธิบายประวตั แิ ละความสำ�คญั ของพทุ ธสาวิกาได้ ๕. สาระการเรียนร้/ู เนื้อหา พระมหาปชาบดโี คตมเี ถรี พระเขมาเถรี พระอุบลวรรณาเถรี พระปฎาจาราเถรี พระกีสาโคตมเี ถรี ๖. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ข้นั สบื ค้นและเชอื่ มโยง ๑. นักเรยี นและครูสนทนาเกย่ี วกบั ประวัติของพระพุทธเจ้า เพ่อื ทบทวนความรูแ้ ละเชื่อมโยงไปสู่ การเรียนรู้ โดยใชค้ ำ�ถาม ดังนี้ - พระราชบดิ าและพระราชมารดาของพระพทุ ธเจ้าชอ่ื อะไร - นกั เรียนเคยไดย้ นิ ชือ่ พระมหาปชาบดโี คตมีหรือไม่ อย่างไร ฯลฯ แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชนั้ โท วิชาอนพุ ทุ ธประวัติ
55 ๒. นกั เรียนอา่ นคำ�ว่า “ พุทธสาวิกา ”จากบตั รค�ำ พรอ้ มกัน ช่วยกนั ค้นหาความหมาย และรว่ มอภปิ รายความหมายจนเข้าใจ ขัน้ ฝกึ ๓. แบ่งนกั เรียนออกเปน็ ๓ กลุม่ กลุ่มละเท่า ๆ กัน โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ใหแ้ ต่ละกลมุ่ ศกึ ษา ความรู้จากใบความร้ทู ่ี ๖ - ๘ ตามที่ก�ำ หนด ดังนี้ กลมุ่ ท่ี ๑ ศกึ ษาเรอื่ งพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี กลุ่มที่ ๒ ศกึ ษาเร่ืองพระเขมาเถรี และพระอบุ ลวรรณาเถรี กลุ่มที่ ๓ ศกึ ษาเรื่องพระปฏาจาราเถรี และพระกสี าโคตมเี ถรี ๔. ใหน้ กั เรยี นสง่ ตวั แทนกลมุ่ มาเลา่ สรปุ ยอ่ ประวตั แิ ละความส�ำ คญั ของพทุ ธสาวกิ าตามทก่ี �ำ หนด จนครบทุกกลุ่ม เพือ่ เปน็ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ครคู อยเสนอแนะเพ่มิ เตมิ ๕. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปบทเรียนและมอบหมายให้นักเรียนกลุ่มเดิมช่วยกันตอบคำ�ถาม ในใบกจิ กรรมที่ ๓ เร่ืองประวัตแิ ละความสำ�คญั ของพทุ ธสาวกิ า สง่ ตวั แทนกลุ่มน�ำ เสนอผลงานหน้าชน้ั เรียน ขั้นประยุกต์ ๖. นักเรียนและครูร่วมกันประเมินผล พร้อมท้ังแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้อง และชื่นชมผลงาน กลุ่มนักเรียนท่ีท�ำ ได้ดที ส่ี ดุ ๗. นำ�ผลงานของนักเรียนทุกกลมุ่ ตดิ ท่ปี า้ ยนิเทศ ๘. นักเรยี นทำ�แบบทดสอบหลังเรยี น และครูตรวจให้คะแนน ๗. ภาระงาน/ชิ้นงาน ท ่ี ภาระงาน ชน้ิ งาน ๑ ตอบคำ�ถามประวตั แิ ละความส�ำ คญั ของพุทธสาวกิ า ใบกจิ กรรมที่ ๓ ๘. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ ๑. บัตรคำ� ๒. ใบความรู้ท่ี ๖ เร่อื งพระมหาปชาบดีโคตมเี ถรี ใบความรูท้ ่ี ๗ เรอื่ งพระเขมาเถรี และพระอบุ ลวรรณาเถรี ใบความร้ทู ่ี ๘ เรอ่ื งพระปฏาจาราเถรี และพระกีสาโคตมีเถรี ๓. ใบกจิ กรรมที่ ๓ ๔. แบบทดสอบหลงั เรยี น แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าอนุพุทธประวัติ
56 ๙. การวัดผลและประเมนิ ผล สิ่งทีต่ อ้ งการวดั วธิ ีวดั เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมนิ อธบิ ายประวตั ิและความ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผ่าน = ได้คะแนนตัง้ แต่รอ้ ยละ ๖๐ ขนึ้ ไป สำ�คัญของพทุ ธสาวกิ า ผลงาน ไมผ่ ่าน = ไดค้ ะแนนตาํ่ กว่ารอ้ ยละ ๖๐ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชนั้ โท วชิ าอนุพทุ ธประวตั ิ
ข้อ ที่ แบบประเมินผลงาน 57 ๓ คะแนน ใบกิจกรรมที่ ๓ ๑ คะแนน ๑-๕ ตอบค�ำ ถามถูกต้อง ตอบค�ำ ถามถูกตอ้ งและ ตรงประเดน็ ระดับคะแนน ตรงประเด็นนอ้ ย ๒ คะแนน ตอบค�ำ ถามถกู ต้อง ตรงประเด็นสว่ นใหญ ่ เกณฑ์การตดั สนิ เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ข้ึนไป ๙ - ๑๕ ไม่ผา่ น ตาํ่ กว่า ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรับใช้ตามความเหมาะสมกบั กลุ่มเป้าหมาย แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบทดสอบหลังเรียน เกณฑ์การประเมิน ตอบถูกได้ ๑ คะแนน ตอบผดิ ได้ ๐ คะแนน เกณฑ์ เกณฑ์การตัดสิน คะแนน ผ่าน ร้อยละ ๓-๕ ไม่ผา่ น ๖๐ข้นึ ไป ๐-๒ ตํ่ากว่า ๖๐ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
58 ใบกจิ กรรมที่ ๓ เรือ่ ง ประวตั ิและความส�ำ คญั ของพทุ ธสาวกิ า กลุ่มท่ี.................... ชอื่ ...........................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ชอ่ื ...........................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ชอื่ ...........................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ชอ่ื ...........................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ค�ำช้ีแจง ให้นกั เรียนตอบค�ำถามต่อไปน้ี ๕ ข้อ (๑๕ คะแนน) ๑. สตรีที่ได้รับอปุ สมบทในพระพุทธศาสนาเปน็ คนแรกได้แก่ใคร และอุปสมบทดว้ ยวธิ ีอยา่ งไร .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๒. พระเขมาเถรี ได้รบั ขนานนามวา่ เปน็ อัครสาวิกาของภิกษณุ ีฝา่ ยใด เพราะอะไร .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๓. พระอุบลวรรณาเถรี ได้รบั ขนานนามว่าเปน็ อคั รสาวกิ าของภิกษณุ ีฝา่ ยใด เพราะอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………........………………………… ๔. พระกสี า โคตมเี ถรี ไดร้ ับยกยอ่ งทางใดของฝา่ ยภิกษุณี .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๕. พระปฏาจาราเถรี ได้รับยกยอ่ งทางใดของฝา่ ยภกิ ษณุ ี .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้ันโท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
59 เฉลยใบกิจกรรมท่ี ๓ ความส�ำ คญั ประวตั ิพุทธสาวิกา ๑. สตรที ่ีไดร้ บั อปุ สมบทในพระพุทธศาสนาเป็นคนแรกได้แก่ใคร และอุปสมบทด้วยวิธีอยา่ งไร ตอบ สตรที ่ีได้รบั อปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาเป็นคนแรกไดแ้ กพ่ ระนางมหาปชาบดีโคตมี ไดอ้ ปุ สมบทด้วยวิธี รับครธุ รรม ๘ ประการ ๒. พระเขมาเถรี ไดร้ บั ขนานนามวา่ เป็นอัครสาวกิ าของภิกษุณีฝา่ ยใด เพราะอะไร ตอบ พระเขมาเถรี ได้รบั ขนานนามวา่ เปน็ อคั รสาวกิ าของภกิ ษุณีฝ่ายขวา เพราะ เป็นเลศิ ในด้านมปี ัญญามาก ๓. พระอุบลวรรณาเถรี ไดร้ บั ขนานนามว่าเปน็ อคั รสาวิกาของภกิ ษุณีฝ่ายใด เพราะอะไร ตอบ พระอบุ ลวรรณาเถรี ได้รบั ขนานนามวา่ เป็นอัครสาวิกาของภกิ ษณุ ฝี ่ายซา้ ย เพราะเปน็ เลศิ ในดา้ นมีฤทธิ์มาก ๔. พระกสี าโคตมเี ถรี ได้รับยกยอ่ งทางใดของฝ่ายภิกษณุ ี ตอบ พระกสี าโคตมเี ถรี ได้รบั ยกย่องของฝา่ ยภกิ ษณุ ี เปน็ เลิศในดา้ นพระวนิ ัยปฎิ ก ๕. พระปฏาจาราเถรี ได้รับยกยอ่ งทางใดของฝ่ายภิกษุณี ตอบ พระปฎาจาราเถรี ได้รบั ยกย่องของฝ่ายภิกษุณี เป็นเลศิ ในด้านผทู้ รงจวี รเศร้าหมอง แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นโท วิชาอนพุ ุทธประวตั ิ
60 แบบทดสอบวัดผลการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรทู้ ี่ ๒ ร้แู ละเขา้ ใจ เห็นความสำ�คัญประวัติพุทธสาวกิ า จ�ำ นวน ๕ ข้อ คะแนน ๕ คะแนน ค�ำ ชแี้ จง ใหน้ กั เรียนเลือกคำ�ตอบท่ถี กู ต้องที่สดุ เพียงขอ้ เดียว ๑. พระพทุ ธเจา้ ทรงยกยอ่ งพระนางเขมาเถรีมคี วามเป็นเลศิ ในด้านใด ก. มปี ญั ญามาก ข. มคี วามกตัญญู ค. แสดงธรรมเป็นเลิศ ง. มจี ิตต้ังมั่น ๒. พระนางประชาบดโี คตมี ประพฤติตนเปน็ แบบอย่างในดา้ นใด ก. เป็นผู้แสดงธรรมไดอ้ ยา่ งดเี ย่ยี ม ข. เป็นผทู้ ีช่ อบทำ�บญุ ค. ทรงอปุ ถัมภ์พระพุทธศาสนา ง. เปน็ ผูม้ ีความต้ังใจแนว่ แน่ ๓. พระพุทธเจา้ ปฏิบตั ิเช่นไร ใหพ้ ระนางเขมาสนพระทยั ในทางธรรม ก. กล่าวตกั เตอื นเรื่องความงามตอ่ พระนาง ข. นิ่งเฉยเม่อื พระนางเสด็จมายังเวฬุวันมหาวิหาร ค. เนรมติ หญงิ สาวสวย กลายเป็นหญิงมอี ายุ และวัยชรา ง. สั่งสอนธรรมต่อพระนางเขมา ๔. พระเขมาเถรไี ด้เข้าเฝา้ พระพทุ ธเจ้าครัง้ แรกดว้ ยเหตใุ นขอ้ ใด ก. มีความศรทั ธาในพระพุทธเจ้า ข. มคี วามศรทั ธาในพระสงฆ์สาวก ค. พระเขมาเถรหี าอุบายเพ่ือเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ ง. พระเจ้าพมิ พสิ ารหาอบุ ายใหพ้ ระเขมาเถรีได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ๕. พระพุทธเจ้าทรงแตง่ ตง้ั พระเขมาเถรใี นต�ำ แหนง่ ใด ก. อบุ าสกิ าฝ่ายขวา ข. อุบาสิกาฝา่ ยซา้ ย ค. อัครสาวกิ าฝา่ ยขวา ง. อคั รสาวกิ าฝา่ ยซา้ ย แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าอนุพุทธประวตั ิ
61 เฉลยแบบทดสอบวัดผลการเรยี นรู้ ผลการเรียนรทู้ ี่ ๒ รู้และเขา้ ใจ เห็นความสำ�คัญประวตั ิพทุ ธสาวิกา ข้อ ๑ ก ข้อ ๒ ง ข้อ ๓ ค ข้อ ๔ ง ขอ้ ๕ ค แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วชิ าอนพุ ทุ ธประวตั ิ
62 ใบความรทู้ ่ี ๖ พระมหาปชาบดีโคตมเี ถรี ๑๑. พระมหาปชาบดโี คตมเี ถรี มหาปชาบดีโคตมีเถรี เป็นพระธิดาของพระเจ้าอัญชนะ กับพระนางยโสธรา ในกรุงเทวทหะ เดมิ พระนามวา่ พระนางปชาบดี เปน็ พระกนษิ ฐภคนิ ี (นอ้ งสาว) ของพระนางสริ มิ หามายา เมอ่ื พระนางสริ มิ หามายา ทวิ งคตแลว้ ได้รับการสถาปนาไวใ้ นต�ำ แหนง่ พระอัครมเหสี มพี ระโอรสช่อื พระนนั ทะ พระธดิ าช่ือ รปู นันทา ทรงมอบให้นางสนมเลี้ยงดู ส่วนพระนางคอยเลีย้ งดเู จ้าชายสิทธตั ถะราชกมุ าร คร้ันเม่ือพระบรมโพธิสัตว์เสด็จออกทรงผนวช ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว เสด็จไปโปรด พระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสด์ุ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร และทรงแสดงธรรมกถาโปรด พระเจา้ สทุ โธทนะพุทธบดิ า ในระหว่างถนน ใหด้ ำ�รงอรยิ ภูมิช้นั โสดาบัน ครนั้ วันที่ ๒ เสด็จเข้าไปรับอาหาร บิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาและพระน้านาง ยังพระบิดาให้ดำ�รงอยู่ ในพระสกทาคามี ยังพระน้านางให้บรรลุพระโสดาบัน และในวันรุ่งข้ึน ทรงแสดงมหาปาลชาดกโปรด พระเจ้าสุทโธทนะ พอจบลงพระพุทธบดิ าทรงบรรลุเป็นพระอรยิ บคุ คลช้ันพระอนาคามี ในวันที่ ๔ แห่งการเสด็จโปรดพระประยูรญาติ พระพุทธองค์เสด็จไปในพิธีอาวาหมงคลอภิเษก สมรสนนั ทกุมารพระอนชุ าต่างพระมารดา กับพระนางชนปทกัลยาณี เมื่อเสร็จพิธอี าวาหมงคล พระพุทธองค์ ได้น�ำ นนั ทกุมาร ไปบวชในวันนั้น คร้นั ถงึ วนั ที่ ๗ แหง่ การเสด็จกรุงกบลิ พสั ด์ุ ได้ทรงพาราหลุ กุมารออกบวช เป็นสามเณรอีก จึงยังความเศร้าโศกให้บังเกิดแก่พระเจ้าสุทโธทนะย่ิงนัก เพราะเกรงว่าจะขาดรัชทายาท สบื สนั ตตวิ งศ์ คร้ันกาลต่อมา พระเจ้าสุทโธทนะได้บรรลพุ ระอรหัตผลแลว้ เขา้ สู่ปรินพิ พาน คร้ันนั้น พระนางมหาปชาบดีเกิดว้าเหว่พระหฤทัย ปรารถนาจะทรงผนวช ก็ประจวบเกิดเหตุ ที่ชาวพระนครทั้ง ๒ คือเมืองกบิลพัสดุ์ กับเมืองโกลิยะทะเลาะกัน ในเรื่องการแย่งน้ําในแม่นํ้าโรหิณี ที่ไหลผ่านระหว่างพระนครทั้งสองจนถึงข้ันจะรบกัน พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จไปเทศนาอัตตทัณทสูตร โปรดพระญาติในระหว่างเมืองท้ังสองให้เข้าใจกัน เจ้าท้ังหลายทรงเลื่อมใสแล้ว จึงได้มอบถวายพระกุมาร ฝา่ ยละ ๒๕๐ องคใ์ หบ้ วชตามเสดจ็ พระพทุ ธเจา้ ครนั้ เมอ่ื บวชแลว้ พระชายาของทา่ นเหลา่ นน้ั กไ็ ดส้ ง่ ขา่ วไปยงั พระภิกษุหนุ่มเหล่านั้น ทำ�ให้ท่านเหล่านั้นเกิดความไม่ยินดีในเพศสมณะ พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าภิกษุ เหล่านั้นเกิดความเบื่อหน่ายในสมณะวิสัย จึงทรงนำ�ภิกษุหนุ่ม ๕๐๐ รูป เหล่านั้นไปสู่สระชื่อว่ากุณาละ ประทับนั่งบนแผ่นหินท่ีเคยประทับนั่งในคร้ังที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นนกดุเหว่า ทรงเทศนาด้วยเร่ือง กณุ าลชาดก เพ่ือบรรเทาความไม่ยินดีของภกิ ษุเหล่านัน้ ลง จบเทศนา พระภิกษหุ นุม่ เหลา่ นนั้ ทัง้ หมด ด�ำ รง อยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงนำ�กลับมาสู่ป่ามหาวันอีกครั้งหน่ึง ทรงกระทำ�พระภิกษุเหล่านั้นให้ดำ�รงอยู่ใน อรหตั ตผล แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวัติ
63 ฝา่ ยพระชายาของพระภิกษเุ หลา่ น้ัน เมือ่ ไดส้ ่งขา่ วไปเพ่อื จะดูใจพระภกิ ษเุ หลา่ น้นั ว่ายงั ปรารถนา ในเพศคฤหัสถ์หรือไม่ก็ได้รับคำ�ตอบว่า พวกเราไม่ปรารถนาท่ีจะครองเรือนพระนางเหล่านั้นทรงดำ�ริว่า เม่ือเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่พวกเราจะกลับไปยังเรือนเราจะไปเข้าเฝ้าพระนางมหาปชาบดี เพอื่ ขออนญุ าต แลว้ จะออกบวช พระชายาทงั้ ๕๐๐ นางจงึ เขา้ ไปเฝา้ พระนางมหาปชาบดที ลู วา่ ขา้ แตพ่ ระแมเ่ จา้ ขอพระแม่เจ้าโปรดอนุญาตให้หมอ่ มฉันท้ังหลายบวชเถดิ พระนางมหาปชาบดีเอง ก็ทรงปรารถนาท่ีจะออกบวชอยู่แล้วจึงได้พาสตรีเหล่าน้ันไปเฝ้า พระพทุ ธเจ้า โดยสมัยนั้น พระพุทธเจา้ ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสด์ุ ในสักกะชนบท ครั้งน้ัน พระนางมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ท่ีควรส่วนข้างหนึ่ง คร้ันแล้ว ได้กราบทูล ขอประทานวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอสตรีพึงได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยท่ีพระตถาคต ประกาศแล้ว พระพทุ ธเจ้าตรสั หา้ มว่า อย่าเลย โคตมี เธออยา่ ชอบใจการท่สี ตรอี อกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ในธรรมวนิ ยั ทีต่ ถาคตประกาศประกาศแลว้ เลย แมค้ ร้ังทสี่ องและครง้ั ท่ีสามทพี่ ระนางทลู อ้อนวอนตอ่ พระพุทธเจา้ เพอ่ื ทรงอนญุ าตใหส้ ตรีบวชได้ แต่พระพุทธองค์กท็ รงหา้ มเสียท้ังสามครงั้ ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตรมีทรงน้อยพระทัยว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออก จากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระองค์ประกาศแล้ว มีทุกข์เสียพระทัย มีพระพักตร์นอง ด้วยน้ําพระเนตร ทรงกันแสงพลางถวายบังคมพระพุทธเจ้า ท�ำ ประทักษณิ เสด็จกลบั ไป ครั้นน้ัน พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จหลีกจาริกไป โดยลำ�ดับ ถึงพระนครเวสาลี ขา่ วว่า พระองคป์ ระทบั อยูท่ กี่ ฏู าคารสาลา ป่ามหาวนั เขตพระนครเวสาลนี ัน้ ครั้นน้ัน พระนางมหาปชาบดีโคตมี ให้ปลงพระเกสา ทรงพระภูษาย้อมฝาด พร้อมด้วย นางสากิยานีมากด้วยกัน เสด็จตามพระพุทธองค์ไปทางพระนครเวสาลี เสด็จถึงเมืองเวสาลี กูฏาคารสาลา ป่ามหาวัน โดยลำ�ดับ เวลาน้ัน พระนางมีพระบาททั้งสองพอง มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสยี พระทัย มีพระพักตรน์ องด้วยนา้ํ พระเนตร ไดป้ ระทบั ยนื กรรแสงอยู่ท่ีซุ้มพระทวารภายนอก ไดย้ ินว่า พระนางมหาปชาบดไี ดม้ ีความคดิ อยา่ งน้วี า่ เราน้ี ทง้ั ๆทพี่ ระพุทธเจา้ ไม่ทรงอนญุ าตแลว้ ก็ถือเพศบรรพชิตด้วยตนเองทีเดียว ก็ความที่เราถือเพศบรรพชิตอย่างน้ี เกิดปรากฏเป็นท่ีทราบไปท่ัว ชมพูทวีปแล้ว ถ้าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาติให้บวชไซ้ร์ ข้อน้ันเป็นการดีแต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงอนุญาต จะมี ความครหาอย่างใหญห่ ลวง พระนางทรงปรวิ ิตกอยา่ งน้ี จึงไมอ่ าจจะเข้าไปยังวิหาร ไดย้ นื ทรงกรรแสงอยู่ ทา่ นพระอานนทไ์ ดเ้ หน็ พระนางมหาปชาบดโี คตมี มพี ระบาททง้ั สองพอง มพี ระวรกายเกลอื กกลวั้ ดว้ ยธลุ ี มที กุ ข์ เสียพระทัย มีพระพักตรน์ องด้วยนาํ้ พระเนตร ประทับยนื กรรแสงอยูท่ ่ซี มุ้ พระทวารภายนอก จงึ ถามถงึ สาเหตุกบั พระนาง แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชนั้ โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวตั ิ
64 พระนางตอบว่า พระอานนท์เจ้าข้า เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชติ พระอานนท์กล่าวว่า ดูกรโคตมี ถ้าเช่นน้ัน พระนางจงรออยู่ท่ีนี่แหละสักครู่หน่ึงจนกว่าอาตมา จะทลู พระพุทธองค์ให้ทรงอนุญาตใหส้ ตรีออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ได้ ครนั้ นนั้ ทา่ นพระอานนทเ์ ขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ถวายบงั คม นงั่ ณ ทค่ี วรสว่ นขา้ งหนง่ึ แลว้ กราบทลู ว่า พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี มีพระบาทท้ัง ๒ พอง มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ําพระเนตร ประทับยืนกรรแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก ด้วย น้อยพระทัยว่า พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยท่ีพระองค์ ประกาศแลว้ ขอประทานวโรกาสขอสตรสี ามารถออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชติ ไดเ้ ถดิ พระพุทธเจ้าขา้ พระพุทธเจ้าตรัสห้ามว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าชอบใจการท่ีสตรีออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิตในธรรมวินยั ท่ีตถาคตประกาศแล้วเลย แม้ครั้งที่สองและครั้งท่ีสามที่ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลอ้อนวอนต่อพระพุทธเจ้าแต่พระองค์ กย็ งั ทรงห้ามเสยี ทง้ั สามคร้งั ลำ�ดับน้ัน ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวช เป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระองค์ทรงประกาศแล้ว ฉะน้ันเราพึงทูลขอพระองค์ให้มาตุคามออกบวช เป็นบรรพชิตในธรรมวินยั ท่พี ระองค์ทรงประกาศแลว้ โดยปริยายอ่นื ท่านพระอานนท์จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มาตุคามออกบวชเป็น บรรพชิตในธรรมวินัยท่ีพระองค์ทรงประกาศแล้ว สามารถจะทำ�ให้แจ้งซึ่งพระโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผลไดห้ รือไม่ พระเจ้าขา้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ ดกู รอานนท์ มาตคุ ามออกบวชเปน็ บรรพชติ ในธรรมวนิ ยั ทตี่ ถาคตประกาศแลว้ สามารถทำ�ให้แจ้งแม้พระโสดาปตั ติผล สกทาคามิผล อนาคามผิ ล หรืออรหตั ผลได้ พระอานนท์เถระทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ถ้าสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรม วินัยท่ีพระองค์ประกาศแล้ว สามารถเพ่ือทำ�ให้แจ้งแม้ซึ่งพระโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรือ อรหัตผลได้ พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตรมี พระมาตุจฉาพระองค์ ทรงมีอุปการะมาก ทรง ประคับประคอง เลี้ยงดู ทรงถวายขีรธารา เม่ือพระชนนีสวรรคตได้ให้พระองค์เสวยขีรธารา ขอประทาน วโรกาสขอสตรีพึงได้การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระองค์ประกาศแล้ว พระพทุ ธเจา้ ขา้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้ามหาปชาบดีโคตมี รับประพฤติ ครุธรรม ๘ ประการได้ ครุธรรม ๘ ประการนี้แหละเป็นอปุ สมบทของพระนาง คอื ๑. ภกิ ษณุ แี มอ้ ปุ สมบทแลว้ ได้ ๑๐๐ พรรษา กพ็ งึ เคารพกราบไวพ้ ระภกิ ษแุ มอ้ ปุ สมบทไดว้ นั เดยี ว ๒. ภิกษณุ ี จะอย่จู ำ�พรรษาในอาวาสทไี่ ม่มภี ิกษุน้ันไมไ่ ด้ ตอ้ งอย่ใู นอาวาสทีม่ พี ระภิกษุ ๓. ภิกษณุ ี จะตอ้ งท�ำ อโุ บสถกรรม และรับฟงั โอวาทจากส�ำ นกั ภกิ ษสุ งฆ์ทุกก่ึงเดือน แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นโท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
65 ๔. ภิกษุณี อย่จู �ำ พรรษาแล้ว วันออกพรรษาต้องทำ�ปวารณาในสำ�นักสงฆ์ท้งั สองฝ่าย (ภิกษุสงฆ์ และภกิ ษณุ สี งฆ์) ๕. ภิกษณุ ี ถ้าต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส อยู่ปรวิ าสกรรม ต้องประพฤตมิ านตั ในสงฆส์ องฝ่าย ๖. ภิกษุณี ต้องอุปสมบทในสำ�นักสงฆ์สองฝ่าย หลังจากเป็นนางสิกขมานารักษาสิกขาบท ๖ ประการ คือ ๑. เวน้ จากการฆา่ สตั ว์ ๒. เวน้ จากการลกั ขโมย ๓. เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ ๔. เว้นจากการพดู เท็จ ๕. เว้นจากการดมื่ สรุ าเมรัยและของมึนเมา ๖. เว้นจากการรับประทานอาหารในเวลาวิกาล ท้ัง ๖ ประการน้ีมิให้ขาดตกบกพร่อง เปน็ เวลา ๒ ปี ถ้าบกพรอ่ งในระหวา่ ง ๒ ปี ตอ้ งเริม่ ปฏิบัตใิ หม่ ๗. ภิกษุณี จะกล่าวอักโกสกถาคอื ดา่ บรภิ าษภกิ ษุ ด้วยอาการอยา่ งใดอย่างหนง่ึ มิได้ ๘. ภิกษุณี ต้ังแต่วันอุปสมบทเป็นต้นไป พึงฟังโอวาทจากภิกษุเพียงฝ่ายเดียว จะให้โอวาท ภกิ ษมุ ิได้ พระเถระจดจำ�นำ�เอาครุธรรมทั้ง ๘ ประการนี้มาจ้งแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระน้านาง ได้สดบั แล้ว มพี ระทัยผอ่ งใสโสมนสั ยอมรับปฏิบตั ไิ ด้ทุกประการ พระพุทธองคจ์ งึ ทรงประทานการอุปสมบท ให้แก่พระน้านางสมเจตนา พร้อมศากยขัตติยนารีท่ีติดตามมาด้วยท้ังหมด เม่ือพระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้อุปสมบทเสร็จแล้ว เรียนพระกัมมัฏฐานในสำ�นักพระพุทธเจ้า อุตส่าห์บำ�เพ็ญเพียรด้วยความไม่ประมาท ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยภิกษุณีบริวารทั้ง ๕๐๐ รูป และได้บำ�เพ็ญกิจพระศาสนา เตม็ กำ�ลังความสามารถ ลำ�ดบั ต่อมา เมอื่ พระพุทธเจา้ ประทบั ณ วัดพระเชตวนั ทรงสถาปนาภิกษณุ ใี นตำ�แหนง่ เอตทคั คะ หลายตำ�แหน่ง พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า พระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นผู้มีวัยวุฒิสูง คือรู้กาลนาน มปี ระสบการณ์มาก ร้เู หตุการณต์ า่ งๆ มาต้ังแตต่ ้น จงึ ทรงสถาปนาพระนางตำ�แหน่งเอตทัคคะ เป็นผเู้ ลศิ กวา่ ภิกษุณที ัง้ หลาย ในฝา่ ย ผู้รัตตัญญู คอื ผูร้ รู้ าตรนี าน พระนางทรงพระชนมายุสังขารอยโู่ ดยสมควรแก่กาล กด็ บั ขนั ธปรนิ ิพพาน แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชน้ั โท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
66 ใบความรูท้ ่ี ๗ พระเขมาเถรี และพระอบุ ลวรรณาเถรี ๑๒. พระเขมาเถรี พระเขมาเถรี เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสาคลราช ผู้ครองสาคลนคร ในแคว้นมัททรัฐ ทรงพระสิริโฉมงดงาม มีผิวพรรณดังสีทองเลื่อมเรื่อเป็นเงาดังแววนกยูง พระประยูรญาติได้ให้พระนามว่า เขมา เมื่อเข้าสู่วัยสาว ได้อภิเษกสมรสเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร แห่นครราชคฤห์ แคว้นมคธ เพราะทา่ นทรงมพี ระสิรโิ ฉมงดงามมาก จงึ เป็นท่โี ปรดปรานของพระเจ้าพมิ พสิ ารเป็นอย่างยิง่ ในระยะแรกท่านมิได้สนพระทัยในพระพุทธศาสนานัก ท้ังท่ีพระเจ้าพิมพิสารพระสวามีของท่าน ทรงอุปถัมถ์พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี คือ ได้ทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันให้เป็นวัดแห่งแรกใน พระพุทธศาสนา และได้ทรงถวายปัจจยั อปุ ถมั ถภ์ กิ ษุสงฆ์ ณ วดั เวฬวุ ันอยเู่ ป็นประจำ� ในเวลาท่พี ระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ท่านได้ทรงทราบว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่องโทษเกี่ยวกับ ร่างกาย จึงทรงเกรงว่าถ้าท่านเสด็จไปเฝ้า พระพุทธองค์อาจจะทรงช้ีโทษเก่ียวกับพระรูปโฉมของท่านก็ได้ จึงไม่ยอมเสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์เลย แม้แต่วัดเวฬุวันท่ีพระเจ้าพิมพิสารทรงสร้าง ท่านก็มิได้เสด็จไปดู พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงพระดำ�ริว่า เราเป็นอัครอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า แต่อัครมเหสีของอริยสาวก เชน่ เรานจ้ี ะไมไ่ ปเฝา้ พระพทุ ธองค์ ขอ้ นเ้ี ราไมช่ อบใจเลยพระองคจ์ งึ ทรงหาอบุ ายทจี่ ะใหท้ า่ นไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ และฟงั ธรรมเทศนาของพระพทุ ธองคใ์ หไ้ ดใ้ นทส่ี ดุ ทรงมพี ระบญั ชาใหก้ วแี ตง่ เพลงพรรณาความงามวดั เวฬวุ นั ราชอทุ ยานด้วยถอ้ ยคำ�อันไพเราะ ชวนคิด ชวนฝนั ของวดั เวฬวุ นั ราชอุทยาน แล้วรบั ส่งั ให้น�ำ ไปขับร้องใกล้ๆ ท่ีพระเขมาประทับ ก็มีพระประสงคจ์ ะเสด็จไปชม จงึ เขา้ ไปกราบทูลพระเจ้าพิมพสิ าร ซ่ึงพระองคก์ ็ทรงยินดี ใหเ้ สดจ็ ไปตามพระประสงค์ เมอ่ื พระเขมาไดเ้ สดจ็ ชมพระราชอทุ ยานจนสน้ิ วนั แลว้ ใครเ่ สดจ็ กลบั พวกราชบรุ ษุ ทั้งหลายได้น�ำ ทา่ นไปยังสำ�นักของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั ๆที่ทา่ นไมพ่ อพระทัยเลย พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็น พระเขมากำ�ลังเสด็จมาเฝ้า เพื่อที่จะให้ท่านคลายความยึดถือในความงามทรงเนรมิตนางเทพอัปสรนางหนึ่ง ถือพัดก้านใบตาลถวายงานพัดให้พระองค์อยู่เบ้ืองหลัง ซึ่งมีความงดงามยิ่งกว่าท่าน พระเขมาจึงตะลึง ในความงามของนางเทพอปั สรแลว้ ถงึ กับตกพระทัย โดยมิไดส้ นพระทัยในพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจ้า และทรงดำ�ริว่า แย่แล้วสิเรา สตรีที่งามปานเทพอัปสรเห็นปานนี้ยืนอยู่ใกล้ๆ พระพุทธเจ้าแม้เราจะเป็น ปรจิ ารกิ า หญงิ รับใช้ของนาง ก็ยงั ไมค่ ู่ควรเลย เพราะเหตไุ ร เราจงึ เป็นผู้ตกอยใู่ นอำ�นาจจติ คดิ ชวั่ หลงมัวเมา อยู่ในรูปเช่นนี้หนอ เม่ือได้สดับพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าว่า เธอจงดูร่างกายอันอาดูร ไม่สะอาด เน่าเป่ือย ไหลเข้า ไหลออก ที่คนโง่ปรารถนากันนัก พระพุทธเจ้าจึงทรงบันดาลให้พระเขมาทอดพระเนตร เห็นรูปสตรีนั้นเปล่ียนแปลงไปตามลำ�ดับ ให้มีวัยสูงอายุขึ้นๆ จนแก่ชรา มีหนังเห่ียวย่น ผมหงอก ฝันหัก แก่หง่อมแล้วล้มกลิ้งถึงแก่กรรมพร้อมกับพัดใบตาลนั้น เหลือแต่กระดูกในที่สุด พระเขมาทอดพระเนตร เห็นความเปน็ เชน่ น้ัน ทรงเห็นความไมม่ แี ก่นสารของรปู สตรนี ้นั จึงทรงได้คดิ คลายความยึดตดิ ในความงาม แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ช้นั โท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
67 จึงดำ�ริว่า สรีระท่ีสวยงามเห็นปานนี้ยังถึงกลับความวิบัติได้ แม้พระสรีระของเราก็จะมีคติเป็นไปอย่างน้ี เหมอื นกัน ขณะทีพ่ ระเขมากำ�ลังมีพระดำ�รอิ ยา่ งน้ีอยู่นน้ั พระพทุ ธองคไ์ ด้ตรสั พระคาถาภาษิตวา่ ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ตกไปในกระแสราคะ เหมือแมลงมุมตกไปในข่ายใยที่ตนทำ�เอง เมอื่ ชนเหลา่ นน้ั ตัดกระแสเหล่านน้ั ได้ โดยไม่มเี ยอ่ื ใยแล้วละกามสุขเสยี ได้ ยอ่ มออกบวช เม่ือจบพระพุทธดำ�รัสคาถาภาษิตแล้ว พระเขมาส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ก็ตรัส ขาดความรักได้เด็ดขาด บรรลุอรหัตตผลเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในอิริยาบถ ทีป่ ระทับยนื น้ันเอง พระเจ้าพมิ พิสาร ได้เสด็จพระราชดำ�เนินไปตามพระเขมา แต่เมอื่ ไปถึง พระพทุ ธองคไ์ ด้ทรงตรสั บอกกับพระเจ้าพิมพิสารว่า บัดน้ีพระนางเขมาไม่อาจจะครองเพศฆารวาสได้อีกแล้ว เพราะได้สำ�เร็จ อรหัตตผลแล้ว เมอ่ื พระเจ้าพิมพสิ ารทรงทราบดงั น้นั จึงอนโุ มทนาสาธกุ าร พระพุทธองค์ตรัสว่า เอหิ ภิกขุ (เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด) เมื่อน้ันพระนางเขมา ได้สวมจีวรทิพย์ ซึ่งลอยมาในอากาศ พร้อมบริขารทง้ั หลายในทนั ที พระเขมา เปน็ ผชู้ �ำ นาญในฤทธใิ์ นทพิ โสตธาตแุ ละเจโตปรยิ ญาณ รชู้ ดั ปพุ เพนวิ าสญาณ ช�ำ ระทพิ จกั ษุ ใหบ้ ริสทุ ธ์ิ มอี าสวะทั้งปวงหมดส้ินแล้ว บดั นีภ้ พใหมไ่ ม่มีอีก ญาณอันบริสุทธใ์ิ นอรรถะธรรมะ นริ ตุ ติปฏิภาณ เกดิ ขนึ้ แลว้ เปน็ ผฉู้ ลาดในวสิ ทุ ธทิ งั้ หลายคลอ่ งแคลว่ ในกถาวตั ถุ รจู้ กั นยั แหอ่ ภธิ รรม ถงึ ความช�ำ นาญในศาสนา ภายหลงั พระเจา้ พิมพิสารพระสวามีผู้ฉลาด ตรสั ถามปญั หาละเอยี ดในโตรณวตั ถุ ไดว้ ิสัชนาโดยควรแก่กถา คร้ังนั้น พระเจ้าพมิ พสิ ารเสด็จเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ แล้ว ทลู สอบถามปัญหาเหลา่ น้นั พระพทุ ธเจา้ ทรงพยากรณ์เป็นอย่างเดียวกันกับพระเถรีวิสัชนาแล้ว พระพุทธเจ้าประทับน่ังท่ามกลางหมู่พระอริยะ ณ วัดพระเชตวัน เม่ือทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตำ�แหน่งตามลำ�ดับ ก็ทรงสถาปนาพระเขมาเถรีไว้ ในตำ�แหน่งเอตทัคคะ เพราะเปน็ ผูม้ ปี ัญญามากและเปน็ อัครสาวกิ าฝ่ายขวา ดงั ความในพระสตู รวา่ ดูกรภิกษทุ งั้ หลาย เขมาเป็นเลศิ ภกิ ษณุ สี าวิกาของเราผูม้ ปี ัญญามาก ดูกรภกิ ษทุ ง้ั หลาย ถ้าแม่ออกบวช ก็ของจงเป็นเช่น เขมาภกิ ษณุ ีและอุบลวรรณาภิกษณุ ีเถดิ ดูกรภิกษุท้ังหลาย บรรดาภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา เขามีภิกษุณีและอุบลวรรณาภิกษุณี เป็น ดจุ ประมาณเช่นน้ี วันหน่ึงพระเถรีนั่งพักกลางวันอยู่ ณ โคลนต้นไม้ต้นหน่ึง มารผู้มีบาปแปลงกายเป็นชายหนุ่ม เข้าไปหา เม่ือประเล้าประโลมดว้ ยกามทง้ั หลาย ก็กลา่ วคาถาว่า แม่นางเขมาเอย เจ้ากส็ าวสะคราญ เราก็หนุ่มแนน่ มาสิ เรามารว่ มอภริ มยก์ นั ดว้ ยดนตรเี ครือ่ ง ๕ นะแมน่ าง พระเขมาเถรี ฟงั ค�ำ นนั้ แลว้ เมอื่ ประกาศความทตี่ นหมดความก�ำ หนดั ในกามทงั้ ปวง ๑ ความทผ่ี นู้ นั้ เป็นมาร ๑ ความไมเ่ ล่ือนใสที่มกี �ำ ลงั ของตนในเหลา่ สตั วผ์ ้ยู ึดม่นั ในอตั ตา ๑ และความทต่ี นทำ�กจิ เสร็จแลว้ ๑ จึงกลา่ วคาถาเหล่านี้ว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชนั้ โท วิชาอนุพุทธประวัติ
68 เรา อึดอัดเอือมระอาด้วยกายอันเป่ือยเน่า กระสับกระส่าย มีอันจะแตกพังไปน้ีอยู่ เราถอน กามตณั หาไดแ้ ลว้ กามทงั้ หลาย มีอุปมาด้วยหอกและหลาว มขี นั ธท์ งั้ หลายเปน็ เขยี งรองสับ บัดน้ีความยินดี ในกามที่ท่านพูดถึงไม่มีแก่เราแล้ว เรากำ�จัดความเพลิดเพลินในกามท้ังปวงแล้ว ทำ�ลายกองแห่ความมืด (อวิชชา) เสียแล้ว ดูก่อนมารใจบาป ท่านจงรู้อย่างนี้ ตัวท่านถูกเรากำ�จัดแล้ว พวกคนเขลา ไม่รู้ตามความ เป็นจริง พากันนอบน้อมดวงดาวท้ังหลาย บำ�เรอไฟอยู่ในป่าคือลัทธิ สำ�คัญว่าเป็นความบริสุทธิ์ ส่วนเรา นอบนอ้ มเฉพาะพระพุทธเจ้าผเู้ ป็นอุดมบุรุษ จึงพ้นแล้วจากทุกข์ทง้ั ปวง ชอ่ื ว่าทำ�ตามคำ�สอนของพระศาสดา พระเขมาเถรี เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี ท่านเองก็พำ�นักอยู่ ณ สำ�นักภกิ ษณุ ี กรงุ เวสาลี ครั้งน้ันพระเขมาเถรี ผ้เู ป็นบริวารของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ได้มีความปริวติ ก ว่า พระมหาปชาบดจี ะปรินิพพาน จึงไดเ้ ขา้ หาพระมหาเถรี แล้วทูลว่า ข้าแตพ่ ระแม่เจา้ ถ้าพระแมเ่ จ้าชอบใจ กาลนิพพานอันเกษมอันย่ิงไซร้ ถึงข้าพเจ้าท้ังหลายก็จะนิพพานกันหมด ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาต พวกขา้ พเจ้าได้ออกจากเรือนจากภพพร้อมด้วยพระแม่เจ้า กจ็ ะไปสู่นิพพานบรุ ี อันยอดเยย่ี มพร้อมๆ กนั กบั พระแม่เจ้า ขา้ พเจา้ ทงั หลายกจ็ ะไปพร้อมกบั พระแม่เจา้ เหมอื นกัน พระมหาปชาบดีโคตมไี ดต้ รสั ว่า เม่อื ท่าน ท้งั จะไปนิพพาน เราจะว่าอะไรเลา่ หลงั จากนนั้ พระเขมาเถรแี ละภิกษุณีรวมได้ ๕๐๐ รปู ได้ตามพระมหาปชาบดโี คตมี ไปพระวหิ าร ขอให้พระพุทธเจ้าทรงอนญุ าต แลว้ อำ�ลาพระเถระทั้งหลาย และเพือ่ พรหมจารีทกุ รูปซ่ึงเปน็ ท่ีเจริญใจของตน แล้วมาปรินิพพาน ณ กูฏาคารศาลา ปา่ มหาวัน กรุงเวสาลี ๑๓. พระอุบลวรรณาเถรี พระอบุ ลวรรณาเถรี เปน็ ธดิ าของเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี ได้ชอ่ื วา่ อุบลวรรณา เพราะมผี ิวพรรณ งามเหมือนสกี ลบี ดอกบวั เขยี ว นางเคยตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของพระปทุมุตรพุทธเจ้าแล้วสั่งสมบุญมานาน มาในชาตนิ ีจ้ งึ สวยงามสง่า เป็นทหี่ มายตาของพระราชา มหาเศรษฐี คฤหบดี และหนมุ่ ทัว่ ไป เมื่อนางเจริญวัยเข้าสู่วัยสาว นอกจากจะมีผิวงามแล้ว รูปร่างลักษณะยังงดงามยังสุดเท่าที่จะ หาหญิงอื่นทัดเทียมได้ จึงเป็นท่ีหมายปองต้องการของพระราชาและมหาเศรษฐีทั่วทั้งชมพูทวีป ซ่ึงต่างก็ ส่งเคร่ืองบรรณาการอนั มคี ่าไปมอบให้ พร้อมกับสขู่ ออภเิ ษกสมรสดว้ ย ฝ่ายเศรษฐีผู้บิดาของนางรู้สึกลำ�บากใจด้วยคิดว่า เราไม่สามารถท่ีจะรักษาน้ําใจของคนทั้งหมด เหลา่ น้ไี ด้ เราควรจะหาอุบายทางออกสกั อย่างหนึ่ง แล้วจงึ เรียกลกู สาวมาถามวา่ แม่อุบลวรรณา เจ้าจะสามารถบวชได้ไหม นางได้ฟังคำ�ของบิดาแล้วรู้สึกร้อนทั่วสรรพางค์กาย เหมือนกับมีคนน�ำ เอานํา้ มันที่เคี่ยวใหเ้ ดอื ด ๑๐๐ ครัง้ ราดลงบนศีรษะ ดว้ ยว่านางไดส้ ั่งสมบุญมาแต่อดีตชาติ และการเกิดในชาติน้ีกเ็ ป็นชาติสดุ ท้าย ดงั นั้น จงึ รับค�ำ ของบดิ าดว้ ยความปติ ยิ ินดเี ป็นอย่างย่งิ เศรษฐีผู้บิดาจึงพานางไปยังสำ�นักของภิกษุสงฆ์ แล้วให้บวชเป็นท่ีเรียบร้อย เมื่อนางอุบลวรรณา บวชได้ไม่นาน ก็ถึงวาระที่จะต้องไปทำ�ความสะอาดโรงอุโบสถ เธอได้จุดประทีปเพื่อขจัดความมืดแล้วกวาด โรงอุโบสถ เห็นเปลวไฟที่ดวงประทีปแล้วยึดถือเอาเป็นนิมิต ขณะที่กำ�ลังยืนอยู่น้ันได้เข้าฌานมีเตโชกสิณ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชนั้ โท วิชาอนุพทุ ธประวตั ิ
69 เป็นอารมณ์ แล้วกระทำ�ฌานน้ันให้เป็นฐานเจริญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา และอภิญญาทัง้ หลาย ณ ท่ีนั้นน่นั เอง ก็พระเถรี ในคราวที่พระพุทธเจ้า เสด็จเข้าไปยังโคนต้นมะม่วงของนายคัณฑะ เพ่ือทรงกระทำ� ยมกปาฏิหารยิ ์ ใกลป้ ระตูกรุงสาวตั ถี ได้เข้าเฝา้ พระพทุ ธเจ้า ถวายบงั คมแลว้ กก็ ราบทูลวา่ ขา้ แต่พระองคผ์ ู้เจรญิ ขา้ พระองค์จะกระทำ�ปาฏหิ ารยิ ์ ถ้าหากวา่ พระผู้พระภาคเจา้ ทรงอนุญาต แลว้ บันลอื สหี นาท พระพุทธเจ้าทรงทำ�เหตุนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ ประทับนั่งท่ามกลางบริษัทพระอริยะ ณ วัดพระเชตวนั ทรงสถาปนาพระภกิ ษณุ ีทงั้ หลายไวไ้ ว้ในตำ�แหนง่ เอตทัคคะตามล�ำ ดบั จงึ ทรงสถาปนาพระเถรี รูปนี้ไว้ในตำ�แหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้มีฤทธ์ิและเป็นอัครสาวิกา เบ้ืองซ้าย ดังความ ในพระสูตรวา่ ดูกรภิกษุทง้ั หลาย ถ้าแมอ่ อกบวชก็ขอจงเป็นเชน่ เขมาภิกษุณี และอุบลวรรณาภิกษุณีเถิด ดูกรภิกษุท้ังหลาย บรรดาภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา เขมาภิกษุณีและอุบลวรรณาภิกษุณี เป็น ดุลเป็นประมาณเช่นนี้ พระอุบลวรรณาเถรีน้ัน ยับย้ังด้วยสุขในฌาน สุขในผล และสุขในนิพพาน วันหน่ึง พิจารณา ถึงโทษ ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย เมื่อกล่าวยำ้�คาถาท่ีเห็นโทษของกาม พระเถรีเกิดความสลดใจ เฉพาะการอยูร่ ว่ มสามรี ะหว่างมารดากบั ธิดา จงึ ได้กล่าว ๓ คาถานี้วา่ เราทง้ั สองคือมารดาและธดิ าเปน็ หญิงรว่ มสามี กนั เรานั้นมีความสลดใจ ขนลกุ ท่ีไมเ่ คยมี นา่ ต�ำ หนจิ ริงๆ กามทัง้ หลาย ไม่สะอาด กลิ่น เหมน็ มหี นามมาก ทเ่ี ราทงั้ สองคือมารดากบั ธิดา เปน็ ภริยาร่วมสามกี นั เราน้นั เหน็ โทษในกามคณุ ท้งั หลาย เหน็ เนกขมั มะ การบวช เป็นทางเกษมปลอดโปร่ง จึงออกจากเรือน บวชไมม่ เี รือน เล่ากันว่า ในอดีตชาติได้เกิดเป็นภริยาของพ่อค้าคนหน่ึง ในกรุงสาวัตถี ตั้งครรภ์ขึ้นในเวลาใกล้ ร่งุ นางกไ็ ม่รูเ้ รื่องการต้ังครรภ์นนั้ พอสวา่ งพ่อค้าก็บรรทกุ สินค้าลงในเกวียน เดนิ ทางมุ่งไปในเวลาล่วง ครรภ์ ของนางก็เติบโตจนแกเ่ ตม็ ที่ ครัง้ น้ัน แม่ผัวพดู กับนางวา่ ลูกชายเรากจ็ ากไปเสยี นานและเจา้ กม็ คี รรภ์ เจ้าไปท�ำ ช่งั มาหรือ นางกล่าวว่า นอกจากลกู ชายของแม่ ขา้ พเจา้ ก็ไม่ร้จู กั ชายอนื่ แม่ผัวฟังนางแล้วไม่เช่ือ จึงขับไล่นางออกไปจากเรือน นางก็ไปตามหาสามี ไปถึงกรุงราชคฤห์ ตามลำ�ดับ ขณะน้ันลมกัมมัชวาตก็ป่ันป่วน นางก็เข้าไปยังศาลาหลังหนึ่งใกล้ ๆ ทาง แล้วจึงคลอดลูก นางคลอดลกู ชายคลา้ ยรูปทอง ให้นอนบนศาลาอนาถา แล้วออกไปหานํ้าขา้ งนอกศาลา แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วิชาอนุพทุ ธประวัติ
70 ขณะนนั้ นายกองเกวียนคนหนึง่ เปน็ คนไมม่ ีลูกเดนิ มาทางนนั้ คดิ วา่ ทารกหญิงไมม่ สี ามี ควรเปน็ ลกู ของเรา จงึ เอาทารกนนั้ มอบไวใ้ นมือนางนม ต่อมา มารดาของทารก ทำ�กิจเรื่องน้ําแล้วกลับมา ไม่เห็นลูกก็เศร้าโศกครํ่าครวญไม่เข้าไป กรุงราชคฤห์แตเ่ ดนิ ทางต่อไป หัวหนา้ โจรคนหนงึ่ พบนางในระหว่างเกิดจิตปฏิสมั พทั ธ์ จึงเอานางเป็นภริยา ของตน นางอยู่ในเรือนโจรนั้น ก็คลอดลูกหญิงออกมาคนหน่ึง วันหน่ึงนางยืนอุ้มลูกหญิงอยู่ทะเลาะกับสามี กโ็ ยนลูกลงเตยี ง ศรี ษะของเด็กหญิงแตกหนอ่ ยหนึง่ ตอ่ มา นางกลัวสามี ก็กลับไปกรงุ ราชคฤห์ท่องเท่ียวไปตามอ�ำ เภอใจ ลกู ชายของนางโตเป็นหนุม่ ไมร่ ้วู ่าเป็นมารดา กเ็ อามารดาเปน็ ภาริยาของตน ต่อมา เขาไม่รู้ว่าลูกสาวหัวหน้าโจรนั้นเป็นน้องสาวก็แต่งงานนำ�มาเรือน เขานำ�มารดาและ น้องสาวมาเปน็ ภริยาของตนอยกู่ นั มาอย่างน้ี ดว้ ยนัน้ คนแม้ทง้ั สองน้ันจึงอยกู่ ันอย่างพรอ้ มเพรียง ต่อมาวันหน่ึง มารดาแก้มวยผมของลูกสาวหาเหา เห็นแผลเป็นศีรษะคิดว่าหญิงคนนี้คงเป็น ลูกสาวเราแน่แล้วก็ถาม เกิดความสลดใจจึงไปสำ�นักภิกษุณีแล้วบวช ก็พระเถรีน้ี กล่าวยํ้าคาถาท่ีหญิงน้ัน กล่าวไวแ้ ล้วเหลา่ นั้น โดยเหน็ โทษในกามทง้ั หลาย เมอื่ พระเถรสี �ำ เรจ็ เปน็ พระอรหนั ตแ์ ลว้ ไดเ้ ทย่ี วจารกิ ไปยงั ชนบทตา่ งๆ แลว้ กลบั มาพกั ทปี่ า่ อนั ธวนั สมยั นนั้ พระพุทธเจ้า ยังมิได้ทรงบัญญตั ิหา้ มภิกษณุ ีอยู่ในปา่ เพยี งล�ำ พงั ประชาชนได้ชว่ ยกันปลูกกระทอ่ มไว้ ป่าพร้อมท้งั เตยี งตัง่ กัน้ ม่านแล้วถวายเปน็ ท่ีพักแกพ่ ระเถรี ฝา่ ยนนั ทมาณพ ผเู้ ปน็ ลกู ชายของลงุ ของพระเถรนี นั้ มจี ติ หลงรกั นางตง้ั แตย่ งั ไมบ่ วช เมอื่ ทราบขา่ ว ว่าพระเถรีมาพักท่ีป่าอันธวันใกล้เมืองสาวัตถี จึงได้โอกาสขณะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถีน้ัน ได้เข้าไป ในกระท่อม หลบซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง เม่ือพระเถรีกลับมาแล้ว เข้าไปในกระท่อมปิดประตูแล้วน่ังลงบนเตียง ขณะที่สายตายังไม่ปรับเข้ากับความมืดในกระท่อม นันทมาณพก็ออกจากใต้เตียง ตรงเข้าปลุกปลํ้าข่มขืน พระเถรีถึงแม้พระพระเถรจี ะร้องหา้ มวา่ เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย เจ้าคนพาลเจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย นันทมาณพ ก็ไม่ ยอมเช่ือฟัง ได้ทำ�การข่มขืนพระเถรีสมปรารถนาแล้วก็หลีกหนีไป พอเขาหลบหนีไปได้ไม่ไกลแผ่นดินใหญ่มี อาการประหนง่ึ วา่ ไมส่ ามารถรองรบั น�ำ้ํ หนกั ของเขาเอาไวไ้ ด้ จงึ ออ่ นตวั ยบุ ลงนนั ทมาณพกจ็ มดง่ิ ลงในแผน่ ดนิ ไปเกิดในอเวจีมหานรก ฝ่ายพระอุบลวรรณาเถรี ก็มิได้ปิดบังเร่ืองราวท่ีเกิดข้ึน ได้บอกแจ้งเหตุท่ีเกิดขึ้น กบั ตนนนั้ แกน่ างภกิ ษณุ ที งั้ หลาย ตอ่ จากนน้ั เรอื่ งราวของพระเถรกี ท็ ราบถงึ พระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รสั พระคาถาภาษิตว่า คนพาล ย่อมร่าเริงยินดีในบาปกรรมลามกท่ีตนกระทำ�ประดุจว่าดื่มนํ้าผึ้งที่มีรสหวานจนกว่า บาปกรรมนั้นจะใหผ้ ล จึงจะไดป้ ระสบกบั ความทุกข์ เพราะกรรมนั้น เมื่อกาลเวลาล่วงไป ภิกษุท้ังหลายสนทนากันในโรงธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ของพระอุบลวรรณา เถรี นน้ั วา่ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชนั้ โท วิชาอนพุ ทุ ธประวัติ
71 ท่านท้ังหลาย เห็นทีพระขีณาสพทั้งหลาย คงจะยังมีความยินดีในกามสุข คงจะยังพอใจในการ เสพกาม กท็ ำ�ไมจะไม่เสพเลา่ เพราะท่านเหล่านน้ั มใิ ชไ่ ม้ผุ มิใช่จอมปลวก อีกทงั้ เนื้อหนงั รา่ งกายทั่วทั้งสรีระ กย็ งั สดอยู่ ดงั น้ัน แมจ้ ะเป็นพระขณี าสพกช็ อ่ื วา่ ยงั ยนิ ดีในการเสพกาม พระพุทธเจา้ เสดจ็ มาแลว้ ตรัสถาม ทรงทราบเนือ้ ความทพี่ วกภิกษเุ หลา่ นน้ั สนทนากันแลว้ ตรสั ว่า ภกิ ษุทั้งหลาย พระขีณาสพทง้ั หลายนน้ั ไมย่ นิ ดใี นกามสุข ไมเ่ สพกาม เปรียบเสมือนหยาดนํ้าตกลง ในใบบวั แล้วไมต่ ิดอยู่ ย่อมกลงิ้ ตกลงไป และเหมือนกบั เมด็ พันธผุ์ ักกาด ย่อมไมต่ ดิ ตง้ั อยู่บนปลายเหลก็ แหลม ฉนั ใด ขึ้นชื่อว่ากามก็ยอ่ มไมซ่ มึ ซาบ ไม่ติดอยู่ในจติ ของพระขณี าสพ ฉันน้นั ต่อมาพระพุทธเจ้า ทรงพิจารณาเห็นภัยอันจะเกิดแก่กุลธิดาผู้เข้ามาบวชแล้วพักอาศัยอยู่ ในปา่ อาจจะถูกคนพาลลามกเบียดเบียนประทุษรา้ ย ทำ�อนั ตรายต่อพรหมจรรย์ได้ จึงรับสั่งให้เชิญพระเจา้ ปเสนทิโกศลมาเฝ้า ตรัสให้ทราบพระดำ�ริแล้ว ขอให้สร้างท่ีอยู่อาศัยเพื่อนางภิกษุณีสงฆ์ในที่บริเวณใกล้ๆ พระนคร และตง้ั แต่นนั้ มาภิกษุณีก็มีอาวาสอยู่ในเมอื งเทา่ น้นั อุบลวรรณาเถรี ด�ำ รงชนมายุสงั ขารอยโู่ ดยสมควรแกก่ าลเวลา กด็ ับขนั ธปรินพิ พาน แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ โท วิชาอนพุ ทุ ธประวัติ
72 ใบความรู้ท่ี ๘ พระปฏาจาราเถรี และพระกีสาโคตมี ๑๔. พระปฏาจาราเถรี พระปฏาจาราเถรี เป็นธิดาของมหาเศรษฐีในเมืองสัตถี เม่ืออายุย่างได้ ๑๖ ปีเป็นหญิง มคี วามงดงามมาก บิดามารดาทะนถุ นอมหว่ งใยให้อยู่บนปราสาท ชั้น ๗ เพือ่ ป้องกนั การคบหากับชายหนุ่ม แม้กระน้นั เพราะนางเป็นหญิงโลเลในบุรุษ จึงไดค้ บหาเป็นภรรยาคนรับใช้ในบ้านของตน ต่อมา บดิ ามารดาของนางไดต้ กลงยกนางใหแ้ กช่ ายคนหนง่ึ ทม่ี ชี าตสิ กลุ และทรพั ยเ์ สมอกนั เมอื่ ใกลก้ �ำ หนดวนั ววิ าห์ นางไดพ้ ดู กับคนรับใช้ผ้เู ป็นสามีวา่ ได้ทราบว่า บิดามารดาได้ยกฉันให้กับลูกชายสกุลโน้น ต่อไปท่านก็จะไม่ได้พบกับฉันอีก ถ้าท่าน รักฉันจริง ก็จงพาฉันหนีไปจากท่ีน่ีแล้วไปอยู่ร่วมกันท่ีอื่นเถิดเม่ือตกลงนัดหมายกันเป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว ชายคนรบั ใชผ้ เู้ ปล่ียนฐานะมาเป็นสามีนนั้ ได้ไปรออยขู่ ้างนอก แลว้ นางก็หนีบิดามารดาออกจากบ้าน ไปรว่ ม ครองรกั ครองเรือนกันในบ้านตำ�บลหนงึ่ ซ่งึ ไมม่ ีคนรู้จกั ชว่ ยกนั ทำ�ไร่ ไถนา เข้าปา่ เกบ็ ผักหักฟืนหาเลย้ี งกันไป ตามอัตภาพ นางต้องตักน้ํา ตำ�ข้าว หุ้งต้มด้วยมือของตนเอง ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะตน ไมเ่ คยทำ�มากอ่ น กาลเวลาผา่ นไป นางได้ตง้ั ครรภ์บุตรคนแรก เมอ่ื ครรภ์แก่ขึ้น จึงออ้ นวอนสามีใหพ้ านางกลับไปยงั บ้านของบิดามารดาเพื่อคลอดบุตร เพราะการคลอดบุตรในที่ไกลจากบิดามารดาและญาติน้ันเป็นอันตราย แต่สามีของนางก็ไม่กล้าพากลับไปเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง จึงพยายามพูดจาหน่วงเหน่ียว เธอไว้ จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่ วันหนึ่งเมื่อสามีออกไปทำ�งานนอกบ้าน จึงส่ังเพ่ือนบ้านใกล้เคียงกัน ให้บอกกบั สามีดว้ ยวา่ นางไปบ้านของบดิ ามารดาแลว้ ก็ออกเดินทางไปตามลำ�พงั เมื่อสามีกลับมา ทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยความห่วงใยภรรยาจึงรีบออกติดตามไปทัน พบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางกไ็ ม่ยอมกลับ ทนั ใดนั้น ลมกัมมัชวาตคอื อาการปวดท้อง ใกล้คลอดก็เกิดข้ึนแก่นาง จึงพากันเข้าไปใต้ร่มริมทาง นางนอนกล้ิงเกลือกทุรนทุรายเจ็บปวดทุกข์ทรมาน อยา่ งหนกั ในทส่ี ุดกค็ ลอดบุตรออกมาดว้ ยความยากลำ�บากเมือ่ คลอดบตุ รโดยปลอดภัยแล้ว กป็ รึกษากันวา่ กิจท่ีต้องการไปคลอดท่ีเรือนของบิดามารดาน้ันก็สำ�เร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์จึงพากันกลับ บ้านเรือนของตนอย่รู วมกันต่อไป ตอ่ มาไม่นานนักนางก็ตั้งครรภอ์ ีก เม่ือครรภ์แกข่ ้นึ ตามล�ำ ดบั นางจึงอ้อนวอนสามีเหมอื นครงั้ กอ่ น แต่สามีกย็ ังคงไม่ยนิ ยอมเช่นเดิม นางจึงอุ้มลกู คนแรกหนีออกจากบา้ นไปแมส้ ามีจะตามมาทนั ชักชวนให้กลบั กไ็ มย่ อมกลบั จงึ เดนิ ทางรว่ มกนั ไป เมอ่ื เดินทางมาได้อกี ไมไ่ กลนกั เกิดลมพายุพดั อย่างแรงและฝนก็ตกลงมา อยา่ งหนกั พรอ้ มกนั นน้ั นางกป็ วดทอ้ งใกลจ้ ะคลอดขนึ้ มาอกี จงึ พากนั แวะลงขา้ งทาง ฝา่ ยสามไี ดไ้ ปหาตดั กง่ิ ไม้ เพ่ือมาทำ�เป็นทก่ี ำ�บงั ลมและฝนแต่เคราะหร์ า้ ย ถกู งูพษิ กดั ตายในป่านั้น นางท้งั ปวดทอ้ งท้ังหนาวเย็น ลมฝน ก็ยงั คงตกลงมาอยา่ งหนกั สามีกห็ ายไปไม่กลบั มา ในทสี่ ดุ นางก็คลอดบตุ รคนที่สองอย่างนา่ สงั เวช แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ุทธประวัติ
73 บุตรของนางท้ังสองคนทนกำ�ลังลมและฝนไม่ไหว ต่างก็ร้องไห้กันเสียงดังล่ันแข่งกับลมฝน นางต้องเอาบุตรท้ังสองมาอยู่ใต้ท้อง โดยใช้มือและเข่ายืนบนพ้ืนดินในท่าคลานได้รับทุขเวทนาอย่างมหันต์ สุดจะรำ�พันได้ เม่ือรุ่งอรุณแล้วสามีก็ยังไม่กลับมา จึงอุ้มบุตรคนเล็กซ่ึงเนื้อหนังยังแดง ๆ อยู่ จูงบุตรคนโต ออกตามหาสามี เหน็ สามีนอนตายอยู่ขา้ งจอมปลวก จงึ รอ้ งไหร้ �ำ พันวา่ สามีตายกเ็ พราะนางเป็นเหตุ เมือ่ สามี ตายแล้ว คร้ันจะกลับไปที่บ้านทุ่งนาก็ไม่มีประโยชน์จึงตัดสินใจไปหาบิดามารดาของตนท่ีเมืองสาวัตถี โดยอุ้มบุตรคนเล็ก และจูงบุตรคนโตเดินไปด้วยความทุลักทุเลเพราะความเหนื่อยอ่อนอย่างหนักดูน่าสังเวช ย่ิงนัก นางเดินทางมาถึงริมฝ่ังแม่น้ําอจิรวดี มีน้ําเกือบเต็มฝ่ังเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืนท่ีผ่านมา นาง ไม่สามารถจะนำ�บุตรน้อยท้ังสองข้ามแม่น้ําไปพร้อมกันได้ เพราะนางเองก็ว่ายน้ําไม่เป็นแต่อาศัยท่ีนํ้า ไม่ลึกนักพอที่เดินลุยข้ามไปได้ จึงส่ังให้บุตรคนโตรออยู่ก่อนแล้วอุ้มบุตรคนเล็กข้ามแม่นํ้าไปยังอีกฝ่ังหนึ่ง เมือ่ ถงึ ฝัง่ แล้วได้น�ำ ใบไม้มาปรู องพนื้ ใหบ้ ุตรคนเล็กนอนที่ชายหาดแล้วกลับไปรับบุตรคนโต ดว้ ยความห่วงใย บุตรคนเล็ก นางจึงเดินพลางหันกลับมาดูบุตรคนเล็กพลางขณะท่ีมีถึงกลางแม่นํ้านั้น มีนกเหย่ียวตัวหนึ่ง บินวนไปมาอยู่บนอากาศ มันเห็นเด็กน้อยนอนอยู่มีลักษณะเหมือนก้อนเน้ือ จึงบินโฉบลงมาแล้วเฉ่ียวเอา เด็กน้อยไป นางตกใจสุดขีดไม่รจู้ ะท�ำ อยา่ งไรได้ จงึ ไดแ้ ตโ่ บกมือร้องไลต่ ามเหย่ียวไป แตก่ ็ไม่เปน็ ผล เหย่ยี ว พาบุตรน้อยของนางไปเป็นอาหาร ส่วนบุตรคนโตยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหน่ึง เห็นแม่โบกมือท้ังสองตะโกนร้อง อยู่กลางแม่นํ้า ก็เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงว่ิงลงไปในน้ําด้วยความไร้เดียงสา ถูกกระแสน้ําพัดพา จมหายไป เม่ือสามีและบุตรน้อยทั้งสองตายจากนางไปหมดแล้ว เหลือแต่นางคนเดียวจึงเดินทางมุ่งหน้าสู่ บ้านเรือนของบิดามารดา ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบชํ้าทั้งร่างกายและจิตใจรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ สุดประมาณ พลางเดินบ่นรำ�พึงรำ�พันไปวา่ บุตรคนหน่ึงของเราถูกเหยี่ยวเฉ่ียวเอาไป บุตรอีกคนหนึ่งถูกนาํ้ พัดไปสามกี ต็ ายในปา่ เปล่ียว นางเดินไปก็บ่นไป แต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างได้ พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา สอบถามทราบว่า มาจากเมืองสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดาของตนทอี่ ยู่ในเมืองน้ัน ชายคนนน้ั ตอบว่า น้องหญงิ เมอ่ื คนื น้เี กิดลมพายแุ ละฝนตกอย่างหนกั เศรษฐสี องสามภี รรยาและลูกชายอีกคนหนง่ึ ถูกปราสาทของตนพังล้มทับตายพร้อมกันทั้งครอบครัวเธอ จงมองดูควันไฟท่ีเห็นอยู่โน่น ประชาชนร่วมกัน ท�ำ การเผาทัง้ ๓ พ่อ แม่ และลูกบนเชิงตะกอนเดยี วกนั นางปฏาจารา พอชายคนนั้นกล่าวจบลงแล้ว กข็ าด สิตสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวว่าผ้านุ่งผ้าห่มที่นางสวมใส่อยู่หลุดลุ่ยลงไป เดินเปลือยกายเป็นคนวิกลจริตร้องไห้ บน่ เพ้อร�ำ พนั ครํ่าครวญว่า บุตรสองคนของเราตายแล้ว สามขี องเรากต็ ายที่ทางเปลย่ี ว มารดาบิดาและพี่ชาย ของเราก็ถกู เผาบนเชงิ ตะกอนเดียวกนั นางเดินไปบ่นไปอย่างน้ี คนทั่วไปเห็นแล้วคิดว่า “นางเป็นบ้า” พากันขว้างปาด้วยก้อนดินบ้าง โรยฝุน่ ลงบนศรี ษะนางบา้ ง และนางยังคงเดินต่อเรื่อยไปอยา่ งไรจ้ ดุ หมายปลายทาง พระพุทธเจ้าประทับน่ังแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ ในวัดพระเชตวันได้ทอดพระเนตร เหน็ นางบำ�เพญ็ บารมีมานานแสนกัลป์ สมบรู ณด์ ้วยอภินหิ ารเดนิ มาอยู่ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชั้นโท วิชาอนุพทุ ธประวตั ิ
74 ได้ยนิ วา่ ในกาลแห่งพระพุทธเจา้ ทรงพระนามว่าปทมุ ตุ ระ นางปฏาจารานั้นเหน็ พระเถรผี ู้ทรงวนิ จิ ฉยั รปู หนึง่ อันพระปทุมุตระ พุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในตำ�แหน่งเอตทัคคะ จึงจึงทำ�คุณความดีแล้ว ต้ังความปรารถนาไว้ว่า แม้หม่อมฉันพึงได้ตำ�แหน่งเอตทัคคะ ผู้เลิศกว่าพระเถรีผู้ทรงวินิจฉัยรูปหน่ึง ในสำ�นักพระพุทธเจ้า เช่นกับด้วยพระองค์ พระปทุมุตระพุทธเจ้าทรงเล็งอนาคตญาณไปก็ทรงทราบความปรารถนาจะสำ�เร็จ จงึ ทรงพยากรณว์ ่า ในอนาคตกาล หญิงผู้น้ีจะเป็นผูเ้ ลิศกวา่ พระเถรผี ู้ทรงวนิ ิจฉัยท้ังหลายมพี ระนามวา่ ปฏาจารา ในพระศาสนาของพระพทุ ธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเห็นพระนางผู้มีความปรารถนาตั้งไว้แล้วอย่างน้ัน ผู้สมบูรณ์ด้วยอภินิหารกำ�ลัง เดนิ มาแต่ไกล ทรงดำ�ริวา่ วันนีเ้ ราเสียผอู้ นื่ ช่ือวา่ สามารถจะเป็นทพี่ งึ่ ของหญิงผนู้ ีไ้ ด้ ไม่มี จึงทรงบนั ดาลใหน้ างเดินบา่ ยหนา้ มาสู่วัดพระเชตวนั พวกพุทธบริษัทเหน็ นางแลว้ จึงกล่าวว่า ทา่ น ทงั้ หลายอย่าให้หญงิ บ้านี้มาทนี่ เ้ี ลย พระพุทธเจา้ ตรสั วา่ พวกทา่ นจงหลกี ไป อยา่ หา้ มเธอ นางกลับได้สติ ด้วยพทุ ธานภุ าพในขณะน้นั เอง ในเวลานี้นางกำ�หนดความที่ผ้านุ่งหลุดได้แล้ว ให้เกิดหิริโอตัปปะขึ้น จึงนั่งกระโหย่งลง อุบาสก คนหนึ่งโยนฝ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบถวายบังคมพระพุทธเจ้าที่พระบาทแล้วกราบทูลเคราะห์กรรม ของตนให้ทรงทราบโดยลำ�ดับ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า แม่นํ้าในมหาสมุทรท้ัง ๔ ก็ยังน้อยกว่านํ้าตาของคน ท่ีถกู ความทุกขค์ วามเศร้าโศกครอบง�ำ ปฏาจารา เพราะเหตุไร เธอจึงยังประมาทอยู่ ปฏาจารา ฟังพระดำ�รัสน้ีแล้วก็คลายความเศร้าโศกลง พระพุทธเจ้า ทรงทราบว่านางหายจาก ความเศรา้ โศกลงแล้ว จงึ ตรัสต่อไปว่า ปฎาจารา ขึ้นช่ือว่าบุตรสุดที่รัก ไม่อาจเป็นท่ีพึ่ง เป็นที่ต้านทาน หรือเป็นที่ป้องกันแก่ผู้ไปสู่ ปรโลกได้ บุตรเหล่าน้ัน ถึงจะมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ส่วนผู้รู้ทั้งหลาย รักษาศีลให้บริสุทธ์ิแล้วควรชำ�ระทางไปสู่ พระนพิ พานของตนเทา่ นั้น ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราเผากิเลสมีประมาณเท่าฝุน่ ในแผ่นดนิ ใหญแ่ ลว้ ต้งั อยใู่ นพระโสดา ปตั ติผล ชนแมเ้ หล่าอ่นื เป็นอันมาก บรรลอุ ริยผลท้ังหลาย มพี ระโสดาปตั ตผิ ล เป็นต้น ฝา่ ยนางปฏาจาราเปน็ พระโสดาบนั แลว้ ทลู ขอบวช พระพทุ ธเจา้ สง่ นางไปยงั ส�ำ นกั ของพวกภกิ ษณุ ี ใหบ้ วชแล้ว นางไดบ้ วชแล้วปรากฏชื่อว่า ปฏาจารา เพราะกลับความประพฤตไิ ด้ วนั หนง่ึ นางก�ำ ลงั เอาหม้อตกั นํา้ ลา้ งเทา้ เทนา้ํ ลง นาํ้ นนั้ ไหลไปหนอ่ ยหน่งึ แล้วกข็ าด ครงั้ ท่ี ๒ น้าํ ที่นางเทลงไดไ้ หลไปไกลกวา่ น้ัน ครั้งที่ ๓ นํ้าที่เทลงได้ไหลไปไกลกว่าแม้นั้น ด้วยประการฉะนี้ นางถือเอาน้ํานั้นเป็นอารมณ์ ก�ำ หนดวัยทง้ั ๓ แลว้ คดิ วา่ สตั วเ์ หล่านต้ี ายเสยี ในปฐมวยั กม็ ี เหมือนนา้ํ ที่เราเทลงครง้ั แรก ตายเสยี ในมชั ฌมิ วยั กม็ ี เหมอื นนํา้ ท่เี ราเทลงในคร้ังที่ ๒ ไหลไปไกลกว่านัน้ ตายเสยี ในปจั ฉิมวยั กม็ ี เหมือนนา้ํ ทเ่ี ราเทลงครั้งท่ี ๓ ไหลไปไกลแมก้ ว่าน้ัน แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้ันโท วิชาอนพุ ทุ ธประวัติ
75 พระพุทธเจ้าประทับในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป เป็นดังประทับยืนตรัสอยู่เฉพาะหน้า ของนาง ตรสั ว่า ปฏาจารา ขอ้ นน้ั อยา่ งนนั้ ดว้ ยความเปน็ อยูว่ นั เดยี วกด็ ี ขณะเดียวก็ดี ของผู้เห็นความเกิดขึ้น และความเสือ่ มแหง่ ปัญจขนั ธเ์ หลา่ น้นั ประเสริฐกวา่ ความเปน็ อยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เหน็ ความเกดิ ขึ้นหรือ เสื่อมแหง่ ปัญจขนั ธ์ ดังน้แี ล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธแิ สดงธรรมจึงตรสั คาถาน้ีวา่ กผ็ ใู้ ด ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสือ่ มอยู่ พึงพงึ เปน็ อยู่ ๑๐๐ ปี ความเปน็ อยวู่ ันเดยี ว ของผู้เหน็ ความเกดิ และความเสอ่ื ม ประเสริฐกว่า ความเปน็ อยขู่ องผู้นน้ั นางคร้ันบวชแล้วไม่นานก็บรรลุอรหัตผล เรียนพุทธวจนะ ท่านเป็นผู้ชํ่าชองชำ�นาญในพระวินัย ปฏิ ก ภายหลัง พระพุทธเจ้าประทับน่ัง ณ วัดพระเชตวัน เม่ือทรงสถาปนาเหล่าภิกษุณีไว้ในตำ�แหน่ง ต่างๆ ตามลำ�ดับ จึงทรงสถาปนาพระปฏาจาราเถรีไวใ้ นต�ำ แหน่ง เอตทัคคะ เป็นเลศิ กวา่ พวกภกิ ษุณีสาวกิ า ผทู้ รงวินยั ๑๕. พระกสี าโคตมีเถรี พระกีสาโคตมีเถรี ถือกำ�เนิดในสกุลคนเข็ญใจ ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาต้ังช่ือให้นางว่าโคตมี แต่เพราะนางเป็นผู้มรี ูปรา่ งผอมบาง คนทั่วไปจึงพากันเรยี กนางว่ากสี าโคตมี ในกรุงสาวตั ถนี ั้น มเี ศรษฐคี นหนึง่ มีทรัพย์สนิ เงนิ ทองมากมายถงึ ๔๐ โกฏิ แต่ต่อมาทรพั ย์เหล่านั้น กลายสภาพเป็นถ่านไปทั้งหมดเศรษฐีจึงเกิดความเสียดาย เศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกาย ซูบผอมไปจากเดมิ มสี หายคนหนึ่งมาเยยี่ มเยียน ได้ทราบสาเหตุความทกุ ขข์ องเศรษฐแี ล้ว จึงแนะนำ�ทจี่ ะให้ ถ่านเหล่าน้ันกลับมาเป็นเงินเป็นทองดังเดิมว่า แนะสหาย ท่านจงนำ�ถ่านท้ังหมดนี้ออกไปวางท่ีริมถนน ในตลาด ทำ�ทปี ระหนึง่ วา่ น�ำ สนิ คา้ ออกมาขาย ถา้ มีคนผา่ นไปผา่ นมาพูดวา่ คนอนื่ ๆ เขาขายผ้า ขายนํา้ มนั น้ําผ้งึ นา้ํ ออ้ ย เปน็ ตน้ แตท่ ่านกลับ เอาเงนิ เอาทองมาน่งั ขาย ถา้ คนท่พี ดู นัน้ เปน็ หญิงสาว ท่านกจ็ งสขู่ อนาง มาเป็นสะใภ้ แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดน้ันให้แก่เธอ ท่านก็จงอาศัยเล้ียงชีพอยู่กับเธอน้ัน แต่ถ้าคนที่พูดเป็น ชายหนุม่ ทา่ นกจ็ งยกธิดาให้แกเ่ ขา แลว้ มอบทรัพยท์ งั้ หมดให้แก่เขาโดยทำ�นองเดียวกนั เศรษฐีได้ฟังสหายแน่ะนำ�แล้วเห็นดีด้วย จึงทำ�ตามสหายแน่ะนำ�ทุกอย่าง ประชาชนท่ีผ่านไป ผ่านมาต่างก็พูดกันว่า คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายนํ้ามัน น้ําผึ้ง นํ้าอ้อยเป็นต้น แต่ท่านกลับมานั่งขายถ่าน เศรษฐตี อบวา่ กเ็ รามีถ่านอยา่ งเดียวสงิ่ อนื่ ๆ เราไมม่ ี วันน้ันนางกีสาโคตมี เดินเข้าไปธุระในตลาด เห็นเศรษฐีแล้วนึกประหลาดใจ จึงถามว่า คุณพ่อ คนอนื่ ๆ เขาขายผา้ ขายน้ํามัน นํ้าผ้ึง นา้ํ อ้อย เป็นต้น แต่ท�ำ ไหมคุณพ่อกลับน�ำ เงินทองมาขายเล่าเงินทอง ทไี่ หนกนั แมห่ นู เศรษฐกี ลา่ ว แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวัติ
76 คุณพอ่ กท็ ก่ี องอย่นู ไ่ี ง พูดแลว้ นางก็กอบให้เศรษฐีดู ทันใดนน้ั เศรษฐกี เ็ ห็นถ่านในก�ำ มอื ของนาง กลายเปน็ เงนิ เป็นทองจริงๆ จากนนั้ เศรษฐไี ดส้ อบถามถงึ สถานทอี่ ยแู่ ละตระกลู ของนางแลว้ ไดส้ ขู่ อนางมาท�ำ พธิ อี าวาหมงคล กับบตุ รชายของตน แลว้ มอบทรพั ย์ ๔๐ โกฏินน้ั ใหแ้ กน่ าง ทรัพย์เหลา่ นัน้ กก็ ลับเป็นเงินเป็นทองดังเดมิ สมยั ตอ่ มานางตงั้ ครรภ์ โดยกาลลว่ งไป ๑๐ เดอื น นางไดค้ ลอดบตุ รคนหนง่ึ ในครงั้ นนั้ ชนทง้ั หลาย ได้ทำ�ความยกย่องนาง คร้ันเมื่อบุตรของนางตั้งอยู่ในวัยพอจะวิ่งไปว่ิงมาเล่นได้ก็มาตายเสีย ความเศร้าโศก ได้เกดิ ขน้ึ แกน่ าง นางห้ามพวกชนท่จี ะน�ำ บุตรนั้นไปเผา เพราะไม่เคยเห็นความตาย จึงอุ้มใสส่ ะเอวเท่ยี วเดนิ ไปตาม บา้ นเรือนในพระนครแล้วพดู วา่ ขอพวกท่านจงใหย้ าแก่บตุ รเราด้วยเถิด ดังนี้ ครั้นเม่ือนางเท่ียวถามไปวา่ ท่านท้งั หลายรจู้ ักยาเพือ่ รกั ษาบตุ รของฉนั บ้างไหมหนอ เม่ือคนทง้ั หลายพูดกบั นางว่า แม่ เจา้ เปน็ บา้ ไปแลว้ หรือ เจา้ เที่ยวถามถงึ ยาเพอื่ รักษาบุตรทต่ี ายแลว้ พวกคนทั้งหลายตา่ งก็พากันกระทำ�การเย้ยหยนั วา่ ยาสำ�หรับคนตายแล้ว ท่านเคยเหน็ ทีไ่ หนบา้ ง แต่นางมไิ ด้เขา้ ใจความหมายแห่งค�ำ พดู ของพวกเขาเลย ที่นน่ั บรุ ุษผู้เปน็ บณั ฑติ คนหนง่ึ เหน็ นางแล้วคดิ วา่ หญงิ น้ีจะคลอดบตุ รคนแรก ยงั ไมเ่ คยเหน็ ความตาย เราควรเป็นทพ่ี ึ่งของหญงิ น้ี จึงกล่าววา่ แม่ ฉันไม่รู้จกั ยา แต่ฉันรจู้ กั คนผ้รู ้ยู า นางโคตรมี ถามวา่ ใครรู้ พอ่ บัณฑิตตอบวา่ แม่ พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบ จงไปทูลถามพระพุทธองคเ์ ถดิ นางกลา่ วว่า พอ่ ฉนั จะไป จะทลู ถาม ดงั นัน้ แล้วเขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ถวายบงั คมแล้วยืนอยู่ ณ ทีส่ ดุ ข้างหนงึ่ ทลู ถามวา่ ทราบวา่ พระองค์ทรงทราบยาเพ่อื บุตรของหม่อมฉนั หรอื พระเจ้าขา้ พระศาสดาตรัสว่า เออ เรารู้ นางโคตรมที ูลถามวา่ ไดอ้ ะไร จงึ ควร พระศาสดา ตรัสว่า ไดเ้ มลด็ พันธ์ผกั กาดสักหยิบมอื หนึ่ง ควร นางโคตรมีทลู ถามตอ่ ไปวา่ ได้ พระเจา้ ข้า แต่ได้ในเรอื นใคร จงึ ควร พระศาสดาตรัสวา่ บตุ รหรอื ธิดาไรๆ ในเรอื นของผู้ใด ไม่เคยตาย ได้ในเรอื นของผนู้ ้นั จึงควร นางทูลรับว่า ดีละ พระเจ้าข้า แล้วถวายบังคมพระพุทธเจ้า อุ้มบาตรเข้าสะเอวแล้วเข้าไป ภายในบ้าน ยืนที่ประตูเรือนหลังแรกกล่าวว่า เมล็ดพันธ์ผักกาดในเรือนนี้ มีบ้างไหม ทราบว่าน่ันเป็นยา เพือ่ บุตรของฉนั เมอื่ เขาตอบว่า มี จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนน้ั จงให้เถิด แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ชั้นโท วชิ าอนุพุทธประวัติ
77 เม่อื คนเหลา่ นัน้ น�ำ เมล็ดพนั ธผุ์ ักกาดมาให้ จึงถามว่า ในเรอื นน้ี เคยมีบุตรหรอื ธดิ าตายบ้างหรือไมเ่ ลา่ แม่ เมื่อเขาตอบว่า พูดอะไรอย่างน้ัน แม่ คนเป็นมีไม่มาก คนตายนั้นแหละมาก นางจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างน้ัน จึงรับเมล็ดพันธ์ผักกาดของท่านคืนไปเถิด นั่นไม่เป็นยาเพื่อบุตรของฉัน แล้วได้ให้เมล็ดพันธ์ ผกั กาดคนื ไป แล้วได้ให้เมลด็ พนั ธ์ผกั กาดคนื ไป แล้วก็เท่ยี วถามโดยท�ำ นองน้ี ต้ังแตเ่ รือนหลังต้นไปเรอื่ ย จนถึงเย็น นางหาเมล็ดพันธ์ผักกาดจากเรือนที่ไม่เคยมีบุตรธิดาที่ตายลงไม่ได้แม้แต่หลังหนึ่ง จงึ ไดค้ วามวา่ โอ กรรมหนกั เราไดท้ �ำ ความส�ำ คญั วา่ บตุ รของเราเทา่ นน้ั ทต่ี าย กใ็ นบา้ นทง้ั สน้ิ คนทตี่ ายเทา่ นนั้ มากกว่าคนเป็น ดงั น้ี จึงไดท้ �ำ ความสังเวชใจ แล้วจงึ ออกไปภายนอกพระนครนนั้ ไปยังปา่ ช้าผีดิบ เอามือจับบตุ ร แลว้ พดู ว่า แนะ่ ลกู น้อย แมค่ ดิ วา่ ความตายนเ้ี กิดข้นึ แกเ่ จ้าเท่าน้ัน แตว่ า่ ความตายน้ไี มม่ ีแก่เจา้ คนเดยี ว นเ่ี ปน็ ธรรมดามีแก่มหาชนท่วั ไป ดังนี้แลว้ จงึ ทง้ิ บุตรในป่าช้าผีดิบ แลว้ กลา่ วคาถานว้ี า่ ธรรมนนี้ ่ีแหละคอื ความไม่เท่ยี ง มใิ ช่ธรรมของ ชาวบ้าน มใิ ช่ธรรมของนิคม ท้ังมใิ ช่ธรรมสกลุ เดยี วดว้ ย แตเ่ ปน็ ธรรมของโลกท้ังหมด พร้อมท้ังเทวโลก เมอื่ นางคดิ อย่อู ย่างนี้ หัวใจท่ีออ่ นดว้ ยความรกั บุตร ได้ถึงความแขง็ แล้ว นางทง้ิ บุตรไวใ้ นปา่ ไปยัง ส�ำ นักพระพทุ ธเจา้ ถวายบังคมแลว้ ไดย้ นื ณ ทีส่ ดุ ข้างหน่ึง ลำ�ดบั นัน้ พระพุทธเจา้ ตรสั ถามนางว่า เธอไดเ้ มล็ดพนั ธ์ผกั กาดประมาณหยิบมอื หนึ่งแลว้ หรอื นางโคตมีทลู วา่ ไมไ่ ด้ พระเจา้ ขา้ เพราะในบา้ นทง้ั สน้ิ คนตายนน้ั แหละมากกวา่ คนเป็น ล�ำ ดบั น้นั พระศาสดาตรสั ว่า เธอเข้าใจว่า บุตรของเราเท่านั้นตาย ความตายน่ันเป็นธรรมยั่งยืนสำ�หรับสัตว์ท้ังหลาย ด้วยว่า มัจจรุ าชฉุดคร่าสัตวท์ ้ังหมดผ้มู อี ัธยาศัยยงั ไมเ่ ตม็ เปยี่ มนนั่ แหละลงในสมทุ รคืออบาย ดจุ ห้วงน้าํ ใหญฉ่ ะน้ัน เมอ่ื จะทรงแสดงธรรมจรึงตรัสพระคาถาน้วี า่ มฤตยู ยอ่ มนำ�พาชนผูม้ ัวเมาในบตุ รและสัตว์ ของเล้ียง ผมู้ ีใจซ่านไปในอารมณ์ตา่ งๆ ไป ดจุ ห้วงนา้ํ ใหญพ่ ัดชาวบา้ นผูห้ ลบั ใหลไปฉะน้ัน ในกาลจบคาถา นางกีสาโคตมีดำ�รงอยู่ในโสดาปัตติผล แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมากบรรลุผล ทั้งหลาย มพี ระโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังน้ี ฝ่ายนางกีสาโคตมนี ั้น ทลู ขอบวชในพระพทุ ธศาสนาแล้ว กระท�ำ ประทักษณิ พระพุทธเจ้า ๓ ครัง้ ถวายบังคมแล้วไปยงั ส�ำ นักภกิ ษณุ ี นางไดบ้ วชแล้วปรากฏชือ่ วา่ กีสาโคตมเี ถรี วันหนง่ึ นางถึงวาระในโรงอโุ บสถ นั่งตามประทปี เหน็ เปลวประทปี ลกุ โพลงขนึ้ และหรล่ี ง ได้ถอื เป็น อารมณ์ว่า แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชนั้ โท วิชาอนพุ ทุ ธประวัติ
78 สตั ว์เหล่านก้ี ็อยา่ งนน้ั เหมือนกนั เกดิ ขึ้นและดับไปดงั เปลวประทปี ผถู้ งึ พระนพิ พานไม่ปรากฏ อย่างน้นั พระพทุ ธเจา้ ประทบั น่ังในพระคันธกฎุ ีนนั่ แล ทรงแผ่พระรัศมไี ป ดังน่งั ตรสั ตรงหนา้ นางตรสั ว่า อยา่ งน้นั แหละ โคตมี สตั ว์เหล่าน้นั ย่อมเกิดและดับเหมือนเปลวประทีป ถึงพระนพิ พานแลว้ ยอ่ มไมป่ รากฏอย่างนนั้ ความเปน็ อยู่แม้เพยี งขณะเดยี วของผ้เู หน็ พระนิพพานประเสริฐกวา่ ความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผไู้ มเ่ ห็นพระนิพพานอย่างน้นั ดังน้ีแล เมอื่ จะทรงสบื อนุสนธแิ สดงธรรม จงึ ตรัสพระคาถานว้ี า่ ก็ผู้ใดไมเ่ ห็นอมตบท พงึ มีชวี ติ อยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ชีวติ ของผูเ้ ห็นอมตบทเพยี งวันเดยี ว ยังประเสริฐกว่า ดังนี้ จบพระคาถา นางก็บรรลุอรหัตผล เป็นผู้เคร่งครัดย่ิงในการใช้สอยบริขาร ห่มจีวรประกอบด้วย ความปอน ๓ อย่างเทย่ี วไป ต่อมา พระพุทธเจ้าประทับน่ังในวัดพระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาเหล่าภิกษุณีไว้ในตำ�แหน่งต่างๆ ตามลำ�ดับ จึงทรงสถาปนาพระเถรีนี้ไว้ในตำ�แหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกา ผู้ทรงจีวร เศร้าหมอง แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
79 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๓ ธรรมศกึ ษาชน้ั โท สาระการเรยี นรอู้ นุพุทธประวัติ เรอื่ ง ประวตั แิ ละความส�ำ คญั ของสามเณร เวลา .............. ช่วั โมง ๑. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ๒ รู้และเข้าใจอนุพุทธประวัติ ความสำ�คัญของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตนเป็น พุทธศาสนกิ ชนทีด่ ี และธำ�รงรกั ษาพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ รู้และเข้าใจ เห็นความสำ�คญั ประวตั สิ ามเณร ๓. สาระส�ำ คญั สมัยพระพุทธเจ้ามีสามเณรเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา ได้แก่ บัณฑิตสามเณร สังกิจจสามเณร สุขสามเณร วนวาสีติสสสามเณร และสมุ นสามเณร ๔. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ นกั เรยี นสามารถอธบิ ายประวตั แิ ละความส�ำ คัญของสามเณรได้ ๕. สาระการเรียนรู้/เนือ้ หา บณั ฑิตสามเณร สงั กิจจสามเณร สขุ สามเณร วนวาสีตสิ สสามเณร สุมนสามเณร ๖. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ขนั้ สบื ค้นและเช่ือมโยง ๑. นักเรียนและครูสนทนากันเกี่ยวกับคำ�ว่า สามเณร และให้นักเรียนร่วมแสดงความคิดเห็น ครใู ชค้ �ำ ถามเพอ่ื เชอ่ื มโยงไปสู่การเรียนรู้ ดังน้ี - นักเรียนเคยเห็นสามเณรหรือไม่ อยา่ งไร - สามเณร หมายถึงอะไร - นกั เรยี นคนใดเคยบวรเณรมาบ้าง และต้องปฏบิ ตั ติ นอย่างไร ฯลฯ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั โท วชิ าอนุพุทธประวตั ิ
80 ขัน้ ฝึก ๒. แบง่ นักเรยี นออกเปน็ ๓ กล่มุ กลุ่มละเท่า ๆ กัน โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ใหศ้ ึกษาความรจู้ าก ใบความรูท้ ี่ ๙ - ๑๑ ดงั นี้ กลุ่มท่ี ๑ ศึกษาเรอื่ ง บัณฑติ สามเณร กลมุ่ ที่ ๒ ศกึ ษาเรื่อง สังกิจจสามเณรและสุขสามเณร กลุม่ ท่ี ๓ ศกึ ษาเรอื่ ง วนวาสตี ิสสสามเณรและสุมนสามเณร ๓. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มต้ังคำ�ถามและคำ�ตอบ กลุ่มละ ๕ ข้อ ส่งตัวแทนนำ�เสนอหนา้ ชั้นเรียน ตามล�ำ ดบั จนครบทกุ กลมุ่ กลมุ่ ใดตอบไดถ้ ูกต้องมากทสี่ ดุ เปน็ ผชู้ นะ ขนั้ ประยุกต์ ๔. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปบทเรียน และมอบหมายให้นักเรียนแต่ละกลุ่มตอบคำ�ถาม ในใบกิจกรรมท่ี ๔ เรอื่ ง ประวตั แิ ละความส�ำ คัญของสามเณร แลว้ สง่ ผลงานให้ครตู รวจ ๕. ครูตรวจผลงานและชื่นชมนักเรียนกลุ่มที่ทำ�ได้ถูกต้องมากท่ีสุด นำ�ผลงานนักเรียนติดที่ ป้ายนเิ ทศ ๖. นักเรยี นท�ำ แบบทดสอบหลังเรยี น และครูตรวจให้คะแนน ๗. ภาระงาน/ช้ินงาน ที่ ภาระงาน ช้ินงาน ๑ ตอบคำ�ถามประวตั แิ ละความสำ�คญั ของสามเณร ใบกิจกรรมท่ี ๔ ๘. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ ๑. ใบความรูท้ ่ี ๙ เรื่อง บณั ฑติ สามเณร ใบความรทู้ ่ี ๑๐ เรอื่ ง สงั กิจจสามเณรและสขุ สามเณร ใบความรทู้ ่ี ๑๑ เร่ือง วนวาสตี สิ สสามเณรและสมุ นสามเณร ๒. ใบกจิ กรรมที่ ๔ ๓. ป้ายนเิ ทศ ๔. แบบทดสอบหลงั เรยี น ๙. การวดั ผลและประเมนิ ผล ส่ิงท่ีตอ้ งการวัด วิธีวัด เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน อธิบายประวัติและความ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผ่าน = ได้คะแนนต้งั แต่รอ้ ยละ ๖๐ ข้นึ ไป ส�ำ คญั ของสามเณรได้ ผลงานม ไม่ผา่ น = ได้คะแนนตาํ่ กวา่ ร้อยละ ๖๐ แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้นั โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวัติ
ข้อ ที่ แบบประเมินผลงาน 81 ๓ คะแนน ใบกิจกรรมที่ ๔ ๑ คะแนน ๑-๕ ตอบค�ำ ถามถูกต้อง ตอบค�ำ ถามถูกตอ้ งและ ตรงประเดน็ ระดับคะแนน ตรงประเด็นนอ้ ย ๒ คะแนน ตอบค�ำ ถามถกู ต้อง ตรงประเด็นสว่ นใหญ ่ เกณฑ์การตดั สนิ เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ข้ึนไป ๙ - ๑๕ ไม่ผา่ น ตาํ่ กว่า ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรับใช้ตามความเหมาะสมกบั กลุ่มเป้าหมาย แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบทดสอบหลังเรียน เกณฑ์การประเมิน ตอบถูกได้ ๑ คะแนน ตอบผดิ ได้ ๐ คะแนน เกณฑ์ เกณฑ์การตัดสิน คะแนน ผ่าน ร้อยละ ๓-๕ ไม่ผา่ น ๖๐ข้นึ ไป ๐-๒ ตํ่ากว่า ๖๐ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
82 ใบกิจกรรมท่ี ๔ เรื่อง ประวตั ิและความส�ำ คญั ของสามเณร กลุม่ ที่.................... ชอื่ ...........................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ชอ่ื ...........................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ชอื่ ...........................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ชอื่ ...........................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... คำ�ชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นตอบค�ำ ถามตอ่ ไปน้ี จำ�นวน ๕ ขอ้ (๑๕ คะแนน) ๑. ท�ำ ไมทารกน้อยสงั กจิ จจงึ รอดชีวติ จากการทถ่ี กู เผาไปพร้อมมารดา .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๒. สังกจิ จกมุ ารบรรลุพระอรหนั ต์ขณะมอี ายเุ ท่าใด .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๓. สาเหตุใดสุมนสามเณรจึงต้องประลองปัญญากับพญานาค .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๔. บณั ฑติ สามเณร ไดร้ ับยกย่องทางใด .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๕. วนวาสีตสิ สสามเณร ไดร้ ับยกย่องทางใด .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ุทธประวัติ
83 เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๔ ความสำ�คัญประวัตสิ ามเณร ๑. ทำ�ไมทารกนอ้ ยสงั กิจจจงึ รอดชวี ติ จากการทีถ่ ูกเผาไปพรอ้ มมารดา ตอบ ทารกน้อยสงั กิจจรอดชวี ิตจากการทีถ่ กู เผาไปพรอ้ มมารดา เพราะทารกน้เี กดิ ในภพสุดท้าย ถา้ ไมบ่ รรลุพระอรหนั ต์ อะไรก็ไมส่ ามารถท�ำ ใหเ้ สยี ชีวิตได้ ๒. สังกิจจกุมารบรรลพุ ระอรหันต์ขณะมีอายุเทา่ ใด ตอบ สงั กิจจกุมารบรรลพุ ระอรหนั ต์ขณะมีอายุ ๗ ขวบ ขณะจะปลงผมบวชสามเณร ๓. สาเหตใุ ดสุมนสามเณรจึงตอ้ งประลองปัญญากับพญานาค ตอบ สุมนสามเณรต้องประลองปัญญากับพญานาค เพราะต้องการนำ�นํ้าในสระอโนดาตมาผสมกับยา เพอื่ รกั ษาอาการอาพาธของพระอนุรทุ ธเถระ ๔. บัณฑิตสามเณร ได้รบั ยกยอ่ งทางใด ตอบ บณั ฑิตสามเณร ได้รบั ยกย่องทางสามเณรทฉี่ ลาดกว่าสามเณรคนอืน่ ๕. วนวาสตี สิ สสามเณร ไดร้ ับยกยอ่ งทางใด ตอบ วนวาสีตสิ สสามเณร ไดร้ ับยกย่องทางแสดงธรรม แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
84 แบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ที่ ๓ ร้แู ละเข้าใจ เหน็ ความสำ�คญั ประวัตสิ ามเณร จำ�นวน ๕ ขอ้ คะแนน ๕ คะแนน คำ�ชีแ้ จง ให้นกั เรียนเลอื กคำ�ตอบท่ีถูกตอ้ งท่สี ดุ เพียงขอ้ เดยี ว ๑. ขอ้ ใดคอื คุณธรรมของสามเณรบณั ฑิต ก. มีความเฉลียวฉลาด ข. มีความใฝร่ ู้ ค. ตัง้ ใจศกึ ษา ง. ถกู ทกุ ขอ้ ๒. จากเรอ่ื งสามเณรสังกิจจะ เพราะเหตุใดพระศาสดาจึงส่งภกิ ษุ 30 รปู ให้ไปลาพระสารีบุตรก่อน ก. เพราะไมอ่ ยากให้ไปปฏิบตั ิธรรม ข. เพราะตอ้ งการใหพ้ บพระเถระ ค. เพราะต้องการให้พบสามเณร ง. เพราะทราบถงึ อันตรายท่ีจะเกดิ ขนึ้ ๓. สามเณรรปู ใด ได้รับการบรรพชาจากพระมหากจั จายนะ ก. สามเณรโสณกฏุ กิ ัณณะ ข. สามเณรบัณฑิต ค. สามเณรสังกจิ จะ ง. สามเณรเรวตะ ๔. พระบรมศาสดา ทรงยกยอ่ งพระราหุลวา่ เปน็ ผู้เลิศด้านใด ก. พหสู ูต ข. มีตระกูลสูง ค. ใฝก่ ารศกึ ษา ง. ทรงพระวนิ ัย ๕. สาเหตุใดสมุ นสามเณรจงึ ตอ้ งประลองปญั ญากบั พญานาค ก. ต้องการนำ�นาํ้ มาผสมกับยา เพอ่ื รักษาอาการอาพาธของพระอนรุ ทุ ธเถระ ข. ต้องการน�ำ นาํ้ มาผสมกับยา เพ่ือรักษาอาการอาพาธของพระพทุ ธเจ้า ค. ต้องการนำ�นํ้ามาผสมกบั ยา เพอื่ รักษาอาการอาพาธของพระอญั ญาโกณฑญั ญะ ง. ตอ้ งการนำ�น้าํ มาผสมกบั ยา เพอื่ รกั ษาอาการอาพาธของพระอานนท์ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้ันโท วชิ าอนุพทุ ธประวตั ิ
85 เฉลยแบบทดสอบวัดผลการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ที่ ๓ รแู้ ละเข้าใจ เหน็ ความส�ำ คัญประวัติสามเณร ขอ้ ๑ ง ขอ้ ๒ ง ขอ้ ๓ ค ขอ้ ๔ ค ข้อ ๕ ก แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
86 ใบความรู้ ๙ บณั ฑิตสามเณร ๑๖. บณั ฑิตสามเณร ในอดีตกาล บัณฑิตสามเณร เกิดเป็นชายเข็ญใจ ช่ือมหาทุคคตะ ด้วยอานิสงส์แห่งทาน มีการ ถวายภัตตาหารประกอบด้วยรสปลาตะเพียนเป็นต้นแด่พระกัสสปพุทธเจ้า พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทาน ทรพั ย์สมบัตมิ ากมาย และสถาปนาเขาไวใ้ นต�ำ แหนง่ เศรษฐอี ยา่ งเปน็ ทางการ แม้เบอ้ื งหน้าแตน่ น้ั เขาดำ�รงอยู่ บ�ำ เพญ็ บญุ จนตลอดอายุ ในทสี่ ดุ อายไุ ดบ้ งั เกดิ ในเทวโลกเสวยทพิ ยสมบตั สิ น้ิ พทุ ธนั ดรหนง่ึ ในพทุ ธปุ บาทกาลน้ี จุตจิ ากน้ันแล้วถอื ปฏสิ นธใิ นทอ้ งธิดาคนโตในตระกูลอปุ ัฏฐากของพระสารบี ตุ รเถระ ในกรุงสาวตั ถี คร้ังน้ัน มารดาบิดาของนางทราบความท่ีนางต้ังครรภ์ จึงได้ให้เคร่ืองบริหารครรภ์ โดยสมัยอ่ืน นางเกิดแพ้ท้องเห็นปานน้ีว่า โอ้ เราพึงถวายทานแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ตั้งต้นแต่พระธรรมเสนาบดี ด้วยรส ปลาตะเพียนแล้วนงุ่ ผา้ ย้อมนาํ้ ฝาดน่ังในทส่ี ุดอาสนะ บริโภคภตั ทเี่ ป็นเดนของภกิ ษุเหล่านน้ั นางบอกแกม่ ารดาบดิ าแลว้ กไ็ ด้กระทำ�ตามประสงค์ ความแพ้ทอ้ งระงบั ไปแล้ว ต่อมา ในงานมงคล ๗ ครั้งแม้อื่นจากนี้ มารดาบิดาของนางเล้ียงภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระธรรม- เสนาบดีเถระเปน็ ประมขุ ดว้ ยรสปลาตะเพียนเหมือนกัน ก็ในวันตั้งช่ือ เมื่อมารดาของเด็กนั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้สิกขาบททั้งหลาย แก่ทาสของท่านเถดิ พระเถระถามวา่ เดก็ นีช้ อ่ื อะไร มารดาของเดก็ ตอบวา่ ขา้ แตท่ า่ นผเู้ จรญิ คนเงอะงะในเรอื นน้ี แมพ้ วกพดู ไมไ่ ดเ้ รอ่ื ง กก็ ลบั เปน็ ผฉู้ ลาด ตัง้ แตก่ าลท่ีเด็กนี้ถอื ปฏสิ นธิในท้อง เพราะฉะนั้นบตุ รของดิฉนั ควรมชี ื่อว่า หนูบณั ฑิต เถดิ พระเถระได้ให้สิกขาบททั้งหลายแล้ว ก็ตั้งแต่วันที่หนูบัณฑิตเกิดมา ความคิดเกิดข้ึนแก่มารดา ของเขาวา่ เราจะไมท่ �ำ ลายอธั ยาศยั ของบตุ รเรา ในเวลาทเ่ี ขามอี ายไุ ด้ ๗ ขวบ เขากลา่ วกบั มารดาวา่ ผมขอบวช ในสำ�พระเถระ นางกล่าวว่า ได้ พ่อคุณ แม่ได้นึกไว้เสมออย่างนี้ว่า จะไม่ทำ�ลายอัธยาศัยของเจ้า ดังนี้แล้ว จงึ นมิ นต์พระเถระให้ฉนั แลว้ กล่าววา่ ข้าแตท่ ่านผูเ้ จรญิ ทาสของท่านอยากจะบวช ดฉิ นั จะนำ�เดก็ นไี้ ปวหิ าร ในเวลาเย็น ส่งพระเถระไปแล้ว ให้หมู่ญาติประชุมกัน กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจะทำ�สักการะที่ควรทำ�แก่บุตร ของข้าพเจา้ ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ในวันนี้ทเี ดียว ดังนีแ้ ลว้ กใ็ ห้ท�ำ สกั การะมากมาย พาหนบู ณั ฑิตนัน้ ไปสู่วิหาร ไดม้ อบถวายแก่พระเถระวา่ ขอทา่ นจงให้เด็กน้ีบวชเถดิ เจา้ ขา้ พระเถระบอกความทกี่ ารบวชเปน็ กจิ ท�ำ ไดย้ ากแลว้ เมอ่ื เดก็ รบั รองว่า ผมจะท�ำ ตามโอวาทของทา่ น ขอรับ จึง กล่าววา่ ถา้ อย่างนั้น จงมาเถิด ชบุ ผมให้เปยี กแล้ว บอกตจปัญจกกมั มัฏฐานให้บวชแลว้ แม้มารดาบิดาของบัณฑิตสามเณรนั้นอยู่ในวิหารน่ันเองส้ิน ๗ วัน ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ มพี ระพุทธเจ้าเปน็ ประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนอย่างเดยี ว ในวันท่ี ๗ เวลาเย็นจงึ ไดไ้ ปเรอื น แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
87 ในวันที่ ๘ พระเถระเมอ่ื จะไปภายในบา้ น พาสามเณรน้ันไป ไม่ได้ไปกับหมภู่ กิ ษุ เพราะเหตุไร เพราะว่า การห่มจีวรและถือบาตรหรืออิริยาบถของเธอยังไม่น่าเลื่อมใสก่อน อีกอย่างหนึ่ง วัตรท่ีพึงทำ� ในวิหารของพระเถระยงั มอี ยู่ อนงึ่ พระเถระ เมือ่ ภกิ ษุสงฆเ์ ข้าไปภายในบ้านแลว้ เท่ยี วไปทวั่ วหิ าร กวาดสถานที่ ที่ยงั ไม่ไดก้ วาด ต้ังน้ําฉันน้ําใช้ไว้ภายในภาชนะท่ีว่างเปล่า เก็บเตียงต่ังเป็นต้นที่ยังเก็บไว้ไม่เรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปบ้าน ภายหลงั อกี อยา่ งหนง่ึ ทา่ นคดิ เหน็ วา่ พวกเดยี รถยี เ์ ขา้ ไปยงั วหิ ารวา่ งแลว้ อยา่ ไดพ้ ดู วา่ ดเู ถดิ ทนี่ งั่ ของพวกสาวก พระสมณโคดม ดังน้ีแล้ว จึงได้จัดแจงวิหารทั้งสิ้น เข้าไปบ้านภายหลัง เพราะฉะน้ัน แม้ในวันนั้นพระเถระ ใหส้ ามเณรถือบาตรและจีวรเขา้ ไปบ้านสายหนอ่ ย บณั ฑติ สามเณรไดไ้ ปบณิ ฑบาตกบั พระสารบี ตุ รเถระ ระหวา่ งทางเหน็ คนชกั นาํ้ จากเหมอื ง เกดิ สงสยั จงึ ถามวา่ นาํ้ มจี ิตใจหรือไม่ พระเถระตอบว่า นํา้ ไม่มีจิตใจ สามเณรจงึ คิดว่า เม่ือคนสามารถชกั นํา้ ซ่งึ ไม่มี จติ ใจไปสูท่ ที่ ต่ี นเองตอ้ งการได้ แตเ่ หตุใดจงึ ไม่สามารถบังคบั จิตให้อยใู่ นอ�ำ นาจได้ เดินต่อไป ได้เห็นคนกำ�ลังถากไม้ทำ�เกวียนอยู่ ถึงถามว่า ไม้น้ันมีจิตใจหรือไม่ เม่ือพระเถระ ตอบว่า ไมไ้ มม่ จี ิตใจ สามเณรจึงคดิ ว่า คนสามารถน�ำ ทอ่ นไมท้ ไี่ ม่มีจติ ใจมาทำ�เป็นลอ้ ได้ แต่ทำ�ไมไมส่ ามารถ บงั คบั จิตใจได้ เดินต่อไป ได้เห็นคนกำ�ลังใช้ไฟลนลูกศรเพ่ือจะดัดให้ตรงจึงถามว่า ลูกศรนั้นมีจิตใจหรือไม่ เม่ือพระเถระตอบว่า ลูกศรไม่มีจิตใจ สามเณรจึงคิดว่า คนสามารถดัดลูกศรให้ตรงได้แต่ทำ�ไมไม่สามารถ บงั คับจติ ให้อยู่ในอำ�นาจได้ ทันใดนน้ั สามเณรไดเ้ กิดความคดิ ทีจ่ ะปฏบิ ัตธิ รรมขึ้น จงึ ได้ขอพระเถระนำ�อาหารมาฝากตนด้วย พระเถระได้รับปากและมอบลูกดาลให้พร้อมกับส่ังให้ไปปฏิบัติธรรมในห้องของท่าน สามเณรได้ทำ�ตาม ทุกอย่างและก็เรมิ่ บ�ำ เพญ็ สมณธรรม ครั้งนั้น ท่ปี ระทับนง่ั ของทา้ วสกั กะ แสดงอาการร้อนด้วยเดชแหง่ คุณของสามเณรน้นั ท้าวเธอใคร่ครวญว่า มีเหตุอะไรกันหนอ ทรงดำ�ริได้ว่า บัณฑิตสามเณรถวายบาตรและจีวร แกพ่ ระอปุ ชั ฌายแ์ ลว้ กลบั ดว้ ยตง้ั ใจวา่ จะท�ำ สมณธรรม แมเ้ รากค็ วรไปในทนี่ น้ั ดงั นแ้ี ลว้ ตรสั เรยี กทา้ วมหาราช ทง้ั ๔ มา ตรสั วา่ พวกทา่ นจงไปไลน่ กทบี่ นิ จอแจอยใู่ นปา่ ใกลว้ หิ ารใหห้ นไี ป แลว้ ยดึ อารกั ขาไวโ้ ดยรอบ ตรสั กบั จันทเทพบุตรว่า ท่านจงร้ังมณฑลพระจันทร์ไว้ ตรัสกับสุริยเทพบุตรว่า ท่านจงฉุดร้ังมณฑลพระอาทิตย์ไว้ ดังน้ีแล้ว พระองค์เองได้เสด็จไปประทับยืนยึดอารักขาอยู่ท่ีสายยูในพระวิหารแม้เสียงแห่งใบไม้แก่ก็มิได้มี จิตของสามเณรไดอ้ ารมณ์เป็นหนึ่ง เธอพิจารณาอัตภาพแลว้ บรรลุผล ๓ อยา่ งในระหว่างภัตนน้ั เอง ฝ่ายพระเถระคิดว่า สามเณรนั่งในวิหาร เราอาจจะได้โภชนะท่ีสมประสงค์แก่เธอในสกุลชื่อโน้น ดังนี้แล้ว จงึ ได้ไปส่ตู ระกูลอุปัฏฐากซึ่งประกอบดว้ ยความรกั และเคารพตระกลู หนง่ึ ก็ในวันน้ัน มนุษย์ทั้งหลายในตระกูลนั้น ได้ปลาตะเพียนหลายตัว น่ังดูการมาแห่งพระเถระอยู่ พวกเขาเหน็ พระเถระก�ำ ลงั มาจงึ กลา่ ววา่ ทา่ นขอรบั ทา่ นมาทนี่ ี้ ท�ำ กรรมเจรญิ แลว้ แลว้ นมิ นตใ์ หเ้ ข้าไปขา้ งใน ถวายข้าวยาคูและของควรเค้ียวเป็นต้นแล้ว ได้ถวายบิณฑบาตด้วยรสปลาตะเพียน พระเถระแสดงอาการ จะนำ�ไป พวกมนุษย์เรียนว่า นิมนต์ฉันเถิดขอรับ ใต้เท้าจะได้แม้ภัตสำ�หรับจะนำ�ไป ในเวลาเสร็จภัตกิจ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั โท วชิ าอนุพทุ ธประวัติ
88 ของพระเถระ ได้เอาภาชนะประกอบด้วยรสปลาตะเพียนใส่เต็มบาตรถวาย พระเถระคิดว่าสามเณรของเรา หวิ แล้วจึงไดร้ ีบไป แม้พระพุทธเจ้าในวันน้ันเสวยแต่เช้าทีเดียว เสด็จไปวิหารใคร่ครวญว่า บัณฑิตสามเณรให้บาตร และจวี รแก่พระอุปัชฌายแ์ ลว้ กลับไปดว้ ยต้ังใจวา่ จะทำ�สมณธรรมกิจแหง่ บรรพชติ ของเธอ จะส�ำ เร็จหรือไม่ ทรงทราบว่า สามเณรบรรลุผล ๓ อย่างแล้ว จึงทรงพิจารณาว่าอุปนิสัยแห่งอรหัตผลจะมีหรือไม่มี ทรงเหน็ วา่ มี แลว้ ทรงใคร่ครวญว่า เธอจะบรรลุอรหัตผลก่อนภตั หรอื ไม่ ไดท้ รงทราบวา่ บรรลุ ลำ�ดับน้ัน พระองค์ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า สารีบุตรถือภัตเพ่ือสามเณรรีบมา เธอจะพึงทำ� อนั ตรายแกส่ ามเณรนนั้ ได้ เราจะนง่ั ถอื เอาอารกั ขาทซี่ มุ้ ประตู ทนี น้ั จะถามปญั หา ๔ ขอ้ เมอื่ เธอแกอ้ ยู่ สามเณร จะบรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปจากวิหาร ประทับยืนอยู่ที่ซุ้มประตู ตรัสถาม ปัญหา ๔ ขอ้ กับพระเถระผู้มาถึงแลว้ เม่ือพระเถระแก้ปัญหาท้ัง ๔ ข้อเหล่านี้อย่างน้ันแล้ว สามเณรก็ได้บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วย ปฏิสัมภิทา ฝ่ายพระพุทธเจ้าตรัสกับพระเถระว่า ไปเถิด สารีบุตร จงให้ภัตแก่สามเณรของเธอ พระเถระ ไปเคาะประตูแล้ว สามเณรออกมารับบาตรจากมือพระเถระ วางไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงเอาพัดก้านตาล พดั พระเถระ ลำ�ดบั นั้น พระเถระกล่าวว่า สามเณร จงท�ำ ภตั กิจเสียเถดิ สามเณรเรียนถามวา่ ก็ใต้เท้าเล่า ขอรับ พระเถระกลา่ ววา่ เราทำ�ภตั กจิ เสรจ็ แลว้ เธอจงทำ�เถดิ เด็กอายุ ๗ ขวบบวชแล้ว ในวนั ที่ ๘ บรรลุอรหัตผล เป็นเหมือนดอกปทุมท่แี ย้มแล้วในขณะนนั้ ได้นั่งพจิ ารณาทเ่ี ป็นทใี่ สภ่ ัต ท�ำ ภตั กจิ แลว้ ในขณะที่เธอล้างบาตรเก็บไว้ จันทเทพบุตรปล่อยมณฑลพระจันทร์ สุริยเทพบุตรปล่อยมณฑล พระอาทิตย์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เลิกอารักขาท้ัง ๔ ทิศ ท้าวสักกเทวราชเลิกอารักขาท่ีสายยู พระอาทิตย์ เคลื่อนคล้อยไปแลว้ จากทท่ี า่ มกลาง ภกิ ษทุ ัง้ หลายโพนทะนาวา่ เงา บา่ ยเกนิ ประมาณแล้ว พระอาทิตย์เคล่อื นคล้อยไปจากทท่ี า่ มกลาง ก็สามเณรฉนั เสรจ็ เดย๋ี วนี้เอง นี่เรื่องอะไรกนั หนอ พระพทุ ธเจ้าทรงทราบความเปน็ ไปน้ันแล้วเสด็จมา ตรสั ถามว่า ภิกษุท้ังหลายพวกเธอพดู อะไรกัน พวกภกิ ษุกราบทลู วา่ เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า พระพทุ ธเจ้าตรสั ว่า อย่างนั้น ภกิ ษุทั้งหลาย ในเวลาผู้มีบุญท�ำ สมณธรรม จันทเทพบุตรฉดุ มณฑล พระจันทร์รั้งไว้ สุริยเทพบุตรฉุดมณฑลพระอาทิตย์ร้ังไว้ ท้าวมหาราชท้ัง ๔ ถืออารักขาท้ัง ๔ ทิศ ในป่า ใกล้วิหาร ท้าวสักกเทวราชเสด็จมายึดอารักขาที่สายยู ถึงเราผู้มีความขวนขวายน้อยด้วยนึกเสียว่า เป็น พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจจะนั่งอยู่ได้ ยังได้ไปยึดอารักขาเพ่ือบุตรของเรา ที่ซุ้มประตู แล้วตรัสต่อไปว่า วันนี้ บณั ฑติ สามเณรเหน็ คนไขนาํ้ ไปจากเหมอื ง ชา่ งศรก�ำ ลงั ดดั ลกู ศรใหต้ รง และชา่ งถากก�ำ ลงั ถากไมแ้ ลว้ ถอื เอาเหตุ เท่าน้ันให้เป็นอารมณ์ ทรมานตนบรรลุอรหัตผลแลว้ ดังนี้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ทุ ธประวัติ
89 ใบความรูท้ ี่ ๑๐ สงั กจิ จสามเณรและสขุ สามเณร ๑๗. สงั กิจจสามเณร สังกิจจสามเณร เป็นบุตรของเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถีคนหน่ึง ในขณะท่ีอยู่ในท้องมารดานั่นเอง มารดาได้เสียชีวิตลง ญาติพ่ีน้องจึงนำ�นางไปเผา ในขณะที่ไฟกำ�ลังไหม้รา่ งกายของนางอยู่น้ัน เป็นอัศจรรย์ ท่ีไฟไม่ไหม้ส่วนท้อง พวกสัปเหร่อได้ใช้หลาวเหล็กแทงส่วนท้องท่ีไฟไหม้น้ันเสร็จแล้วก็กลบด้วยถ่านเพลิง ปลายหลาวเหลก็ ไดไ้ ปกระทบทหี่ างตาของทารกนน้ั พอดี พอกลบถา่ นเพลงิ เขา้ กบั สว่ นทยี่ งั ไมไ่ หมแ้ ลว้ กพ็ ากนั กลบั บ้านด้วยหวงั ว่าพรงุ่ น้คี อ่ ยมาดับไฟ เก็บอฐั ิ ไฟไดไ้ หมร้ า่ งกายของมารดาจนหมดสน้ิ เวน้ เฉพาะทารกนอ้ ยเทา่ นนั้ ทรี่ อดชวี ติ อยไู่ ดอ้ ยา่ งปาฏหิ ารยิ ์ เหมอื นกบั นอนอยใู่ นกลบี บวั กป็ านนน้ั ไฟไมไ่ ดท้ �ำ อนั ตรายใด ๆ เลย ทเ่ี ปน็ เชน่ นน้ั เพราะผทู้ เ่ี กดิ ในภพสดุ ทา้ ย ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหนั ต์แลว้ อะไรก็ไมส่ ามารถท�ำ ให้เสยี ชีวิตได้ เช้าวันรุ่งขึ้น พวกสัปเหร่อมาดับไฟเห็นเด็กเพศชายนอนอยู่โดยปราศจากอันตรายก็อัศจรรย์ใจ อุม้ กลับบ้านไปให้พวกหมอท�ำ นายชวี ิตดู หมอท�ำ นายไว้ ๒ ด้านคือ ถา้ เดก็ อยู่ครองเรือน พวกเครือญาติ ๗ ช่ัวโคตรจะไม่ยากจน ถ้าออกบวชจะมีพระ ๕๐๐ รูปเป็นบริวารแวดล้อม พวกญาติจึงตั้งช่ือให้ว่าสังกิจจะ เพราะหางตาเปน็ แผลเน่ืองจากถูกหลาวเหล็ก สงั กจิ จกุมารมีอายุได้ ๗ ขวบ เมือ่ ทราบประวตั ขิ องตนเองจากปากของเดก็ เพือ่ นบ้าน กป็ รารถนา จะบวช พวกญาติจึงพาไปขอบวชในสำ�นักพระสารีบุตร ในวันบวช พระเถระให้ตจปัญจกกัมมัฏฐานแล้ว ใหบ้ วช สามเณรไดบ้ รรลอุ รหตั ผล พร้อมดว้ ยปฏิสัมภทิ า ในขณะทีป่ ลงผมเสรจ็ น้นั เอง สมัยนั้น มีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีประมาณ ๓๐ คน ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว มีความ เลอ่ื มใสในพระพุทธศาสนาจงึ ขอบวช เม่ือบวชได้ ๕ พรรษา เรียนวิปสั สนากมั มัฏฐานจากพระพทุ ธเจ้าแลว้ มีความประสงคจ์ ะพากนั ไปปฏิบตั ธิ รรม ณ ปา่ แหง่ หนงึ่ จงึ พากันมาทูลลาพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธองค์เห็นภยั อยา่ งหนง่ึ จะเกดิ แกภ่ กิ ษเุ หล่าน้ี เกรงวา่ จะไมบ่ รรลธุ รรม มสี งั กจิ จสามเณรเทา่ นนั้ ทจี่ ะชว่ ยเหลอื พระเหลา่ นไี้ ด้ พระองคจ์ งึ รบั สง่ั ใหภ้ ิกษเุ หล่าน้ันไปอ�ำ ลาพระสารีบตุ รกอ่ นแล้วค่อยไป พวกภิกษไุ ดไ้ ปลาพระสารีบตุ ร พระเถระทราบความนัยจงึ เอ่ยปากมอบสงั กจิ จสามเณรใหไ้ ปดว้ ย พวกภิกษุปฏิเสธเกรงวา่ จะเป็นภาระไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม พระเถระจึงบอกให้ทราบว่า สามเณรน้ีจะไม่เป็น ภาระแก่พวกเธอ พวกเธอต่างหากจะเป็นภาระแก่สามเณร พระพุทธเจ้าทรงทราบเร่ืองน้ีดีจึงส่งพวกเธอ มาลาเรา เม่ือเปน็ เชน่ น้ี พวกภกิ ษุจึงจ�ำ เปน็ ตอ้ งพาสามเณรไปด้วย รวมกนั เปน็ ๓๑ รปู อำ�ลาพระเถระแล้ว ก็ออกเดนิ ทางไป เดินทางถึงหมู่บ้านแห่งหน่ึง พวกชาวบ้านมีความเล่ือมใสศรัทธา จึงนิมนต์ให้อยู่จำ�พรรษา พรอ้ มรับปากจะพากนั อปุ ถมั ภ์บำ�รุงตลอดพรรษา พวกภิกษเุ หล่านนั้ จงึ รบั นิมนต์ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
90 ในวันเข้าพรรษา พวกภิกษุได้ตั้งกติกากันไว้ว่า ยกเว้นเวลาเช้าบิณฑบาตและเวลาเย็นบำ�รุง พระเถระเท่าน้ัน เวลาที่เหลือให้ปฏิบัติธรรมห้ามอยู่ด้วยกัน ๒ รูป ต้องบรรลุธรรมให้ได้ภายในพรรษาน้ี ถา้ รูปใดไม่สบายพึงตรี ะฆังบอก พวกเราจะมาปรุงยาถวาย เม่อื ทำ�กตกิ าตกลงกันอย่างน้ีแล้ว กแ็ ยกย้ายกันไป ปฏิบัติธรรม ตอ่ มาวนั หนง่ึ มชี ายยากไรค้ นหนงึ่ หนภี ยั แลง้ มาจากตา่ งเมอื งหวงั จะไปขอพงึ่ พาลกู สาวอกี เมอื งหนงึ่ เดินผ่านมาถึงหมู่บ้านนั้นด้วยอาการอิดโรย ขณะน้ันพวกพระภิกษุได้กลับมาจากบิณฑบาตกำ�ลังจะฉันเช้า พอดพี บเข้าจงึ สอบถาม เมอื่ ทราบเรอื่ งแลว้ เกดิ ความสงสารเขาทไี่ มไ่ ดก้ นิ ข้าวมาหลายวนั แลว้ จงึ บอกใหไ้ ปหา ใบไม้มาจะแบ่งอาหารให้ ธรรมเนียมของพระสงฆ์อย่างหน่ึงก็คือ ภิกษุเมื่อจะให้อาหารแก่ผู้มาในเวลาฉัน ไม่ให้อาหาร ทีเ่ ปน็ ยอด พึงให้มากบ้างน้อยบ้าง เท่ากบั สว่ นท่จี ะฉันเอง ชายยากไร้หลังกินข้าวอิ่มแล้วก็สอบถามพวกท่านวา่ มีกิจนิมนต์หรือไร พระคณุ เจา้ จงึ ได้อาหารมากมายขนาดนี้ ไม่มหี รอกโยม เปน็ เรือ่ งปกติของท่นี ่ี พวกภกิ ษุตอบ เขาคดิ ว่า เราท�ำ งานแทบตายก็ไมไ่ ด้กินอาหารดเี ช่นนี้ จะไปอยู่ท�ำ ไมท่อี น่ื อยู่อาศยั กบั พระพวกน้ี สาบายดีกว่า จึงขออาศัยอยู่ทำ�วัตรปฏิบัติอุปัฏฐากพระสงฆ์ด้วย พวกพระภิกษุก็อนุญาต เขาขยันทำ�งาน ช่วยเหลอื พระภิกษเุ หล่าน้ันเปน็ อยา่ งดี เวลาผ่านไป ๒ เดือน ชายยากไรน้ น้ั อยสู่ ขุ สบายดีตลอดมา ต่อมาคิดถงึ ลกู สาว จึงแอบหนีออกจาก ท่ีพกั สงฆ์ไปโดยไม่บอกกลา่ วอำ�ลาแก่ผู้ใด เพราะเกรงว่าพระสงฆ์จะไมอ่ นญุ าต หนทางท่ีชายยากไร้นั้นไปจะต้องผา่ นดงใหญ่ แห่งหนในดงนั้นมีโจร ๕๐๐ คน ได้บนบานเทวดา ว่าจะถวายพลีกรรมในวันที่ ๗ พอดี เมื่อชายยากไร้น้ันเดินผ่านเข้าไปกลางดงก็ถูกพวกโจรจับตัวมัดไว้ เตรยี มทีจ่ ะท�ำ พิธีพลีกรรมแกเ่ ทวดา เขาตกใจกลัวตาย ได้ร้องขอชีวิตไว้และเสนอว่า เขาเป็นคนยากไร้ เทวดาอาจจะไม่ชอบใจ พวกภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ ศี ลี สกลุ สงู เทวดาทา่ นคงจะชอบใจ ไปจบั พวกภกิ ษมุ าท�ำ พลกี รรมจะดกี วา่ พวกโจรเหน็ ดดี ว้ ย จึงใหเ้ ขาพาไปท่ีพกั สงฆ์ เขาได้พาพวกโจรไปท่ีสำ�นักสงฆ์แล้วตีระฆัง พวกภิกษุเม่ือได้ยินเสียงระฆังเขา้ ใจว่ามีภิกษุไม่สบาย ก็มารวมกันทีศ่ าลา หวั หน้าโจรจงึ ประกาศให้ทราบวา่ ต้องการภิกษุ ๑ รปู เพือ่ ไปทำ�พลกี รรม พระทั้ง ๓๐ รปู ตา่ งอาสาไปตายทัง้ สิน้ ตกลงกันไมไ่ ด้ สังกจิ จสามเณรจึงขออาสาไปเอง พวกภิกษุ ไม่ยอมเพราะสามเณรเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรฝากมา เกรงว่าพระเถระจะติเตียนได้ สามเณรจึงบอก ให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์ให้ตนมาก็เพ่ือมาแก้ปัญหานี้เอง จึงยกมือไหว้พวกภิกษุ เดินตาม พวกโจรไป พวกภกิ ษซุ ง่ึ ยงั เปน็ ปถุ ชุ นตา่ งกร็ อ้ งไหส้ งสารสามเณรพรอ้ มกบั ก�ำ ชบั หวั หนา้ โจรวา่ ในชว่ งทพ่ี วกทา่ น ตระเตรยี มส่ิงของ ขอใหน้ �ำ สามเณรไปไวท้ ่อี ื่นก่อน สามเณรจะกลวั แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั โท วิชาอนพุ ุทธประวตั ิ
91 หัวหน้าโจรได้นำ�สามเณรไปท่ีดงน้ันแล้วทำ�ตามพวกภิกษุส่ังไว้ เมื่อตระเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว หัวหน้าโจรได้ถือดาบเดินเข้าไปหาสามเณรหวังจะตัดคอ สามเณรได้น่ังเข้าฌานนิ่งอยู่ พอไปถึงหัวหน้าโจร ก็ฟันลงเตม็ แรงปรากฏว่าดาบงอ เขาเขา้ ใจว่าฟันไมด่ ี จึงยกดาบขน้ึ ฟนั ใหม่ ปรากฏวา่ ดาบพบั มว้ นจนถงึ ด้าม หน้าโจรเห็นปาฏิหาริย์เช่นนี้เกิดอัศจรรย์ใจย่ิงนักคิดว่า ดาบเราฟันหินยังขาด แต่บัดน้ีได้งอพับดังใบตาล ดาบนไ้ี มม่ ีจิตใจยงั รู้คุณของสามเณร เรามีจติ ใจยังไมส่ �ำ นึกเสียอีก ได้ท้ิงดาบลงดินแล้วคุกเข่าลงกราบสามเณรพร้อมถามว่า เณรน้อย คนเป็นพันเห็นพวกผมแล้ว ต้องตวั สัน่ วงิ่ หนไี ป แต่สำ�หรับท่านแล้วแมเ้ พยี งความสะดงุ้ แห่งจติ ก็มิไดม้ เี ลย หนา้ ตาก็ผุดผ่องแจ่มใส ทำ�ไม ท่านจงึ ไม่รอ้ งขอชวี ิตเล่า สามเณรออกจากฌานแล้วแสดงธรรมแก่หัวหน้าโจรว่า โยม ธรรมดาอัตภาพของพระอรหันต์ เป็นเหมือนของหนักวางอยู่บนศีรษะ พระอรหันต์เม่ืออัตภาพน้ีแตกไปย่อมยินดี พระอรหันต์จึงไม่กลัวตาย ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ ผู้ไม่มีความห่วงใย ผู้ก้าวล่วงทุกอย่างได้แล้ว หัวหน้าโจรพอได้ฟังคำ� สามเณรแล้ว พร้อมลกู นอ้ งทั้งหมดไดไ้ หว้สามเณรแล้วขอบวช สามเณรไดต้ ดั ผมและชายผา้ ดว้ ยดาบของโจรเหลา่ นน้ั แลว้ ใหบ้ วชเปน็ สามเณรถอื ศลี ๑๐ เสรจ็ แลว้ ได้พาสามเณรเหล่าน้ันกลับไปยังที่พักสงฆ์ ให้พวกภิกษุทราบความปลอดภัยของตน แล้วได้อำ�ลาพวกภิกษุ พาสามเณรเหลา่ น้นั ไปเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมเทศนาว่า ผู้มีศีลแม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ยังประเสริฐกว่าการทำ� โจรกรรม ไม่มีศีล มีชีวิตอยู่ต้ัง ๑๐๐ ปี ในเวลาจบพระธรรมเทศนา สามเณรเหล่านั้นได้บรรลุพระอรหันต์ ทั้งหมด ๑๘. สขุ สามเณร ในอดีตกาล สุขสามเณร เกิดเป็นคนบ้านนอก มีฐานะยากจน คร้ังหนึ่งได้เห็นเศรษฐีคนหน่ึง ชื่อคันธะ กำ�ลังบริโภคภัตอันมีรสเลิศ แวดล้อมด้วยหญิงนักฟ้อนรำ� ก็อยากจะบริโภคภัตอันมีรสเลิศและ แวดลอ้ มดว้ ยหญงิ นกั ฟอ้ นร�ำ อย่างนน้ั บา้ ง เมอื่ ไดโ้ อกาสจงึ เลา่ ความคดิ ของตนใหเ้ ศรษฐฟี งั เศรษฐไี ดฟ้ งั ดงั นน้ั กย็ นิ ดแี ละจดั การให้ แตม่ ขี อ้ แมว้ า่ เขาจะตอ้ งรบั จา้ งท�ำ งานในเรอื นเศรษฐเี ปน็ เวลา ๓ ปี จงึ จะไดภ้ ตั อนั มรี สเลศิ อย่างนั้นหน่ึงถาด พรอ้ มท้ังแวดล้อมดว้ ยหญิงนกั ฟอ้ นร�ำ เขาตกลงตามเงอื่ นไขทีเ่ ศรษฐีย่ืนเสนอ จงึ ไปสู่เรอื น ของเศรษฐีด้วยหมายใจว่า จะทำ�การรับจ้างตลอด ๓ ปี เพ่ือประโยชน์แก่ถาดภัตถาดหน่ึง เขาเม่ือทำ�การ รบั จา้ งได้ทำ�กิจทุกอย่างโดยเรยี บรอ้ ย การงานทคี่ วรท�ำ ในบ้าน ในปา่ กลางวัน กลางคนื ไดป้ รากฏวา่ เขาท�ำ เสร็จเรยี บร้อย เมือ่ มหาชนเรียกเขาว่า นายภตั ตภตกิ ะ คำ�นน้ั ได้ปรากฏไปทว่ั พระนคร กาลต่อมา เม่ือวันรับจ้างของนายภัตตภติกะครบบริบูรณ์แล้ว ผู้จัดการภัตเรียนแจ้งให้เศรษฐี ทราบว่า นาย วนั รับจา้ งของนายภตั ตภตกิ ะครบบรบิ ูรณแ์ ล้ว เขาทำ�การรบั จ้างอย่ตู ลอด ๓ ปี ท�ำ กรรมยาก ทีค่ นอนื่ จะท�ำ ได้แล้ว การงานแมส้ กั อย่างหนง่ึ กไ็ มเ่ คยเสยี หาย แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชน้ั โท วิชาอนุพุทธประวตั ิ
92 คร้ังน้ัน ท่านเศรษฐีได้สั่งจ่ายทรัพย์ ๓ พัน แก่ผู้จัดการภัตน้ัน คือ สองพันเพื่อประโยชน์แก่ อาหารเยน็ และอาหารเช้าของตน พันหนง่ึ เพื่อประโยชนแ์ กอ่ าหารเชา้ ของนายภตั ตภตกิ ะนนั้ แล้วสั่งคนใช้ว่า วันน้ี พวกเจา้ จงทำ�การบริหารที่พึงทำ�แก่เรา แก่นายภัตตภติกะน้ันเถิด เม่ือได้เวลาอาหารเชา้ พวกนักฟ้อน ไดย้ นื ลอ้ มนายภตั ตภตกิ ะน้ัน พวกคนใช้ยกถาดภัตถาดหน่ึงต้งั ไวข้ า้ งหน้าของนายภตั ตภตกิ ะนน้ั แลว้ คร้ังนั้น ในเวลาท่นี ายภตั ตภติกะลา้ งมอื พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หน่ึงที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติในวันท่ี ๗ แล้ว ใคร่ครวญอยู่ว่า วันนี้ เราจะไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกขาจารในท่ีไหนหนอ ก็ได้เห็นนายภัตตภติกะแล้ว คร้ังนั้น ท่านพิจารณา ตอ่ ไปอกี ว่า นายภตั ตภตกิ ะนี้ทำ�การรับจ้างถึง ๓ ปี จึงได้ถาดภตั ศรัทธาของเขามีหรอื ไม่หนอ ใครค่ รวญไป ก็ทราบได้ว่า ศรัทธาของเขามีอยู่ คิดไปอีกว่า คนบางพวกถึงมีศรัทธาก็ไม่อาจเพื่อทำ�การสงเคราะห์ได้ นายภัตตภติกะนี้อาจหรือไม่หนอเพื่อจะทำ�การสงเคราะห์เรา ก็รู้ว่า นายภัตตภติกะอาจทีเดียว ท้ังจะได้ มหาสมบัติเพราะอาศัยเหตุคือการสงเคราะห์แก่เราด้วย ดังน้ีแล้ว จึงห่มจีวรถือบาตร เหาะข้ึนสู่เวหาสไป โดยระหว่างบรษิ ัท แสดงตนยืนอย่ขู ้างหน้าแห่งนายภัตตภตกิ ะน้นั นายภัตตภติกะเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า คิดว่า เราได้ทำ�การรับจ้างในเรือคนอื่นถึง ๓ ปี ก็เพ่ือ ประโยชน์แกถ่ าดภัตถาดเดียว เพราะความท่เี ราไม่ได้ใหท้ านในกาลก่อน บดั น้ี ภตั นข้ี องเราพงึ รักษาเรากเ็ พยี ง วันหนึ่งคืนหน่ึง ถ้าเราถวายภัตน้ันแก่พระคณุ เจา้ ภตั จะรักษาเราไวม้ ใิ ชพ่ ันโกฏกิ ัลป์เดียว เราจะถวายภตั นนั้ แก่พระคุณเจ้า นายภัตตภติกะน้ันทำ�การรับจ้างตลอด ๓ ปี ได้ถาดภัตแล้ว ไม่ทันวางภัตแม้ก้อนเดียวในปาก บรรเทาความอยากได้ ยกถาดภัตขนึ้ เองทีเดียวไปสูส่ �ำ นักของพระปจั เจกพุทธเจา้ ให้ถาดในมอื ของคนอ่นื แลว้ ไหว้ดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์ เอามือซ้ายจับถาดภัต เอามอื ขวาเกลี่ยภัตลงในบาตรของพระปัจเจกพทุ ธเจา้ พระปัจเจกพุทธเจา้ ไดเ้ อามอื ปิดบาตรเสยี ในเวลาทีภ่ ตั ยงั เหลืออยกู่ งึ่ หน่งึ ครัง้ นน้ั นายภตั ตภติกะนนั้ เรยี นทา่ นว่า ทา่ นขอรบั ภัตสว่ นเดยี วเท่านนั้ ผมไม่อาจเพ่ือจะแบ่งเปน็ ๒ สว่ นได้ ทา่ นอย่าสงเคราะห์ผมในโลกน้ีเลย ขอจงท�ำ การสงเคราะหใ์ นปรโลกเถิด ผมจะถวายท้งั หมดทเี ดยี ว ไมใ่ หเ้ หลือ จริงอยู่ ทานที่บุคคลถวายไม่เหลือไว้เพื่อตนแม้แต่น้อยหน่ึง ชื่อว่าทานไม่มีส่วนเหลือ ทานน้ัน ยอ่ มมีผลมาก นายภตั ตภตกิ ะนัน้ เม่อื ท�ำ อย่างน้ันจงึ ไดถ้ วายหมด ไหว้อีกแลว้ เรียนวา่ ทา่ นขอรบั ผมอาศัย ถาดภัตถาดเดียว ต้องทำ�การรับจ้างในเรือนของคนอ่ืนถึง ๓ ปี ได้เสวยทุกข์แล้ว บัดน้ี ขอความสุขจงมีแก่ กระผมในทที่ บี่ ังเกิดแล้วเถดิ ขอกระผมพึงมสี ว่ นแห่งธรรมทท่ี า่ นเหน็ แล้วเถดิ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ กล่าวว่า ขอจงสมคิดเหมอื นแกว้ สารพดั นกึ ความด�ำ รอิ ันให้ความใคร่ทุกอย่าง จงบรบิ ูรณแ์ ก่ทา่ น เหมอื นพระจันทรใ์ นวนั เพญ็ ฉะนั้น เมือ่ จะท�ำ อนุโมทนา จงึ กล่าววา่ สิ่งทีท่ ่านมุ่งหมายแล้ว จงสำ�เร็จพลันทีเดียว ความด�ำ รทิ ั้งปวงจงเต็มเหมอื นพระจนั ทรเ์ พ็ญ สง่ิ ทีท่ ่านมุ่งหมายแล้วจงสำ�เร็จพลนั ทเี ดียว ความ ดำ�รทิ ง้ั ปวง จงเตม็ เหมือนแกว้ มณโี ชติรส ฉะนั้น แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั โท วิชาอนพุ ุทธประวตั ิ
93 ในกาลต่อมา แม้พระราชาทรงสดับกรรมท่ีนายภัตตภติกะนี้ท�ำ แลว้ จึงไดร้ บั ส่ังให้เรยี กเข้ามาเฝา้ แลว้ พระราชทานทรพั ยใ์ หพ้ นั หน่ึง ทรงรบั สว่ นบุญ ทรงพอพระทัย พระราชทานโภคะเป็นอนั มาก แล้วกไ็ ด้ พระราชทานต�ำ แหนง่ เศรษฐใี ห้ เขาได้มีชื่อวา่ ภัตตภตกิ เศรษฐี ภตั ตภติกเศรษฐีนั้นเป็นสหายกับคนั ธเศรษฐี กินดื่มร่วมกัน ดำ�รงอยู่ตลอดอายุแล้ว จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ ๑ พทุ ธนั ดร ในพุทธปุ บาทกาลนี้ ไดถ้ ือปฏิสนธใิ นตระกลู อปุ ัฏฐากของพระสารบี ุตรเถระ ในเมืองสาวตั ถี คร้ังนั้น มารดาของทารกน้ันได้ครรภ์บริหารแล้ว โดยล่วงไป ๒-๓ วัน ก็เกิดแพ้ท้องวา่ โอหนอ เราถวายโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดแกพ่ ระสารบี ตุ รเถระพรอ้ มด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป น่งุ ผ้ายอ้ มฝาดแลว้ ถือขนั ทอง นงั่ อยู่ ณ ทา้ ยอาสนะ พึงบรโิ ภคภัตทเี่ หลือเดนของภกิ ษทุ ั้งหลายนั้น ดงั นีแ้ ลว้ ท�ำ ตามความคดิ นั้น บรรเทา ความแพ้ท้องแล้ว นางแม้ในกาลมงคลอ่ืน ๆ ถวายทานอย่างน้ันเหมือนกัน คลอดบุตรแล้ว ในวันต้ังช่ือ จึงเรียน พระเถระว่า จงใหส้ กิ ขาบทแก่ลูกชายของฉันเถิด ท่านผูเ้ จริญ พระเถระถามวา่ เด็กนนั้ ชอื่ ไร เม่ือมารดาของเด็กเรียนว่า ท่านผู้เจริญ จำ�เดิมแต่ลูกชายของฉันถือปฏิสนธิ ข้ึนช่ือว่าทุกข์ ไม่เคยมแี ก่ใครในเรอื นนี้ เพราะฉะนัน้ คำ�วา่ สุขกุมาร น่ันแล ควรเปน็ ชอ่ื ของเดก็ น้นั จึงถือเอาคำ�น้ัน เปน็ ชือ่ ของเดก็ นน้ั ไดใ้ หส้ ิกขาบทแลว้ ในกาลนนั้ ความคดิ ไดเ้ กิดแก่มารดาของเดก็ นัน้ อยา่ งนีว้ ่า เราจะไม่ท�ำ ลายอธั ยาศยั ของลูกชายเรา แมใ้ นกาลมงคลทัง้ หลาย มีมงคลเจาะหูเป็นต้น นางกไ็ ด้ถวายทานอยา่ งน้ันเหมือนกนั ฝ่ายกุมาร ในเวลามีอายุ ๗ ขวบ ก็พูดว่า คุณแม่ ผมอยากออกบวชในสำ�นักของพระเถระ นางตอบวา่ ดลี ะ พอ่ แม่จะไมท่ ำ�ลายอธั ยาศัยของเจ้า ดังนแ้ี ล้ว จึงนมิ นตพ์ ระเถระ ใหท้ า่ นฉนั แล้ว ก็เรียนว่า ท่านผู้เจริญ ลูกชายของฉันอยากบวช ในเวลาเย็น จะนำ�เด็กน้ีไปสู่วิหาร ส่งพระเถระไปแล้ว ให้ประชุม พวกญาติ กล่าวว่า ในเวลาท่ีลูกชายของฉันเป็นคฤหัสถ์ พวกเราทำ�กิจที่ควรทำ�ในวันน้ีแหละ ดังน้ีแล้ว จึงแต่งตวั ลกู ชายนำ�ไปวหิ าร ดว้ ยสิรโิ สภาคอันใหญ่ แล้วมอบถวายแกพ่ ระเถระ ฝ่ายพระเถระกล่าวกับสุขกุมารนั้นว่า พ่อ ธรรมดาการบวช ทำ�ได้โดยยาก เจ้าอาจเพ่ืออภิรมย์ หรือเม่ือสุขกุมารตอบวา่ ผมทำ�ตามโอวาทของทา่ น ขอรบั จึงใหก้ ัมมัฏฐาน ใหบ้ วชแลว้ แม้มารดาบิดาของสุขกุมารน้ัน เมื่อทำ�สักการะในการบวช ก็ถวายโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดแก่ ภิกษสุ งฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในภายในวิหารนั่นเองตลอด ๗ วัน ในเวลาเยน็ จึงไดไ้ ปสู่เรอื นของตน ในวันท่ี ๘ พระสารีบตุ รเถระ เม่อื ภิกษสุ งฆเ์ ข้าไปสู่บา้ นเพ่อื บณิ ฑบาต ท�ำ กิจทีค่ วรท�ำ ในวิหารแลว้ จึงให้สามเณรถือบาตรและจวี ร เขา้ ไปสู่บ้านเพือ่ บณิ ฑบาต ขณะเดินไปนั้น ท้ังสองพระเถระและสามเณรก็ได้ไปพบชาวนากำ�ลังไขน้ําเข้านา ไปพบช่างศร กำ�ลังดัดลูกศร และไปพบช่างถากกำ�ลังถากไม้เพ่ือทำ�ล้อเกวียนเป็นต้น เมื่อเห็นบุคคลทำ�ส่ิงเหล่าน้ี สุขสามเณรได้เรยี นถามพระสารีบุตรวา่ ส่ิงของทีไ่ ม่มชี วี ติ ทง้ั หลาย คนสามารถทำ�ใหเ้ ปน็ ไปตามปรารถนาได้ แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าอนพุ ุทธประวตั ิ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256