234 - การให้คาแนะนาเรื่องการเล้ียงดูอย่างถูกต้องและเหมาะสมแก่ระดับพัฒนาการ แก่พ่อแม่ต้ังแต่แรกเกิดอย่างสม่าเสมอ เพื่อเป็นวัยรุ่นที่มีพ้ืนฐานด้านจิตใจที่มั่นคง มีความรู้สึก ภาคภูมิใจในตวั เอง ไมเ่ ปน็ ผ้ทู ีร่ ู้สึกขาดรัก - ให้คาแนะนาเร่ืองการสร้างบรรยากาศในครอบครัวและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก โดยเฉพาะในชว่ งลกู เป็นวยั รนุ่ - ให้คาแนะนาเรื่องการรับสื่อต่างๆ ของลูกอย่างเหมาะสม ให้พ่อแม่สนับสนนุ ดา้ นกีฬา ดนตรี หรอื ความสามารถพเิ ศษอนื่ และใหร้ ว่ มกิจกรรมทางศาสนาสม่าเสมอ - แพทย์ควรมีทักษะในการดูแลและให้การช่วยเหลือวัยรุ่น ควรประเมินด้านจิตสังคม อย่างสม่าเสมอ โดยเฉพาะในเร่ืองความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง การจัดการกับความเครียด ปัญหาการเรียน ปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรม ความรู้เร่ืองเพศศึกษา รวมถึงพฤติกรรมและ ค่านิยมเกยี่ วกับพฤติกรรมทางเพศและสามารถให้ความรูเ้ รือ่ งเพศศึกษาแก่วยั รุ่นได้ 5. การหลีกเล่ยี งการมเี พศสัมพนั ธใ์ นวยั เรยี น การหลกี เลี่ยงการมีเพศสัมพันธใ์ นวัยเรยี น ควรปฏิบตั ิดังนี้ 5.1 หลกี เลี่ยงการอยู่ในสถานการณเ์ ส่ียงทางเพศ เชน่ - ไมอ่ ยู่ในทีล่ ับตากับเพศตรงขา้ มสองตอ่ สอง - ไมเ่ สพสุราหรือของมนึ เมา - ไม่ไปเท่ียวค้างคนื กบั เพศตรงขา้ ม - ไม่ดสู ือ่ ทยี่ ัว่ ยุอารมณ์ทางเพศ 5.2 ไม่ยินยอมให้ถูกเนื้อต้องตัวได้โดยง่าย เช่น การจับมือ การกอด จูบ เป็นต้น โดยอีกฝ่ายต้องแสดงอาการหวงตัวเพือ่ ใหอ้ ีกฝ่ายรู้ตัววา่ ไมค่ วรปฏิบัติเช่นน้ีอีก 5.3 ไม่ยินยอมให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย โดยอาจใชว้ ิธีดงั ต่อไปน้ี - พดู กนั แบบตรงไปตรงมาว่ายังไม่พรอ้ มท่จี ะมีเพศสมั พนั ธ์ด้วย - พดู ปฏเิ สธอย่างหนักแนน่ ถ้าอีกฝา่ ยขอมีเพศสมั พันธ์ด้วย 5.4 ต้องเลิกคบกับผู้ทชี่ อบล่วงเกิน เพราะแสดงวา่ คนผู้นั้นไม่มคี วามจริงใจตอ่ กัน วิธีป้องกนั ทอ้ งในวยั รนุ่ ดงั น้ี (ปานเดชา ทองเลิศ, 2562, น. 46-47) 1) ประชาชน ทุกคนต้องเห็นความสาคัญของการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยถือว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองดีที่จะช่วยกันอบรมสั่งสอน (เท่าท่ีจะเป็นไปได้) สอดส่องดูแล ความประพฤตขิ องวัยรนุ่ ช่วยเป็นหเู ปน็ ตาแจง้ ผปู้ กครอง สถานศึกษา ตารวจ ฯลฯ เมื่อพบความเสยี่ ง 2) สังคม ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เช่น ลดการยั่วยุทางกามารมณ์ ไม่ปากว่าตาขยิบกับ วัยรนุ่ ไม่วา่ ในสถานบันเทิง การขายสรุ า การม่ัวสมุ ในท่ตี ่าง ๆ เป็นตน้
235 3) ครอบครวั ต้องถือวา่ เป็นหน้าที่หลกั ที่จะดูแลลูกหลานวยั รุ่นของตนเองอย่างใกล้ชิด ความรกั และความใกลช้ ดิ ทาให้ตรวจพบสงิ่ ผิดปกตติ ัง้ แต่เรม่ิ แรก 4) พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเข้าใจจิตวิทยาของวัยรุ่น ต้องพัฒนาตนเองให้ทันยุคสมัยและ สังคมท่ีเปลี่ยนแปลง ทัง้ เรอื่ งข้อมลู ข่วสาร เทคโนโลยี การใช้ชีวิต ฯลฯ 5) หากมีลูกหลานเป็นชาย ควรสอนเขาตั้งแต่เด็ก ถึงความเป็นสุภาพบุรุษไม่ล่วงเกิน เพศตรงขา้ ม หากยงั ไม่พร้อมและไมส่ ามารถรบั ผดิ ชอบเลย้ี งดู สร้างครอบครัวได้ 6) สร้างค่านิยมไม่มีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น คนเก่งต้องรู้จักปฏิเสธ (ไม่ หรือ No) สนับสนนุ การสร้างปณิธานให้รกั ษาพรหมจรรย์จนถึงวัยอันควร โดยใช้ความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว หลกั การทางศาสนา จดั ตง้ั กลุ่มเพอื่ นชว่ ยเพ่อื น ฯลฯ 7) สถานศึกษา และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ต้องสนับสนุนองค์ความรู้ทางเพศศึกษา (รวมถึงการคุมกาเนิด) ที่ถูกต้อง ตง้ั แต่ก่อนท่ีนักเรยี นจะเขา้ สู่วัยร่นุ 8) รัฐบาล ต้องถือว่าการลดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นนโยบายสาคัญ มีงบประมาณ กลยทุ ธ์ สนับสนุนองค์กรทีเ่ ก่ียวขอ้ ง และมกี ารลงมือปฏิบัตอิ ย่างเป็นรปู ธรรม 9) ส่อื ต่าง ๆ ควรสนับสนุนบทเรียนและการเรียนรู้ทางเพศศึกษาท่ีถูกต้อง โดยมีดารา นักร้อง ฯลฯ เปน็ ตวั อยา่ งท่ีดใี หแ้ กว่ ัยรนุ่ 10) นักเขียน นกั แสดง ผู้จดั ละคร ภาพยนตร์ ควรเสนอบทเรียนของการตั้งครรภ์วัยรุ่น ใหแ้ พรห่ ลาย ในหลากรูปแบบงานวรรณกรรม บนั เทงิ คดี ฯลฯ 11) สถานพยาบาลควรมคี ลนิ ิกให้คาปรึกษาวยั รุ่นทสี่ ามารถติดต่อปรึกษาได้ทกุ เม่อื 12) แพทย์พยาบาลผ้ใู ห้บริการตอ้ งไม่มีอคตติ ่อวัยรนุ่ ท่ีมเี พศสัมพนั ธ์กอ่ นวยั อนั ควร 13) มีหน่วยงานท้ังภาครัฐและเอกชนท่ีชว่ ยปรึกษาหาทางออกให้ เมื่อวัยรุ่นพลาดพลั้ง ตง้ั ครรภ์ 14) ล้อมร้ัวด้วยรัก อภัย เข้าใจ และเห็นใจ ทั้งจากคนในครอบครัว และคนรอบข้าง สง่ิ เหล่าน้ีจะสร้างความม่นั ใจและให้กาลังใจ ทาให้วัยรุ่นที่เสียตวั ไปแลว้ ไม่ตง้ั ครรภ์ ท่ีตัง้ ครรภไ์ ปแล้วก็ จะไมท่ อ้ งในวัยทนี ซา้ อีกเปน็ ครง้ั ท่สี อง ความรบั ผิดชอบทางเพศ นอกจากความรับผิดชอบทางเพศต่อตนเองแล้ว ควรมีความรับผิดชอบต่อคู่สมรส ของตนด้วย ซ่ึงการสรา้ งแนวทางท่ีจะทาให้เกิดความรับผิดชอบต่อคู่สมรสเป็นการสร้างสัมพันธภาพ แหง่ รักทส่ี าคญั สาหรับชวี ติ ของคูส่ มรสทุกคน สรุปได้ดงั นี้ (ชมุ าภรณ์ ฝาชยั ภมู ิ, 2562, น. 77-80)
236 1. การสื่อสาร การพูดจากันในครอบครัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลา บางครั้งก็ฟังรู้เรื่อง บางคร้ังก็ไม่เข้าใจในสิ่งท่ีอีกฝ่ายหนึ่งพูด การพูดจึงจาเป็นต้องมีทักษะในการสื่อสารซ่ึงกันและกัน เพื่อดารงไว้ซ่ึงสัมพันธภาพแห่งรัก ต้องมีความอดทนและรู้จักให้อภัยกันในระหว่างผู้ฟังและผู้พูด ส่งิ ท่สี าคญั ของสามภี รรยาคอื การส่ือสารกันในเรื่องความรัก ควรจะทาตามข้อเสนอแนะต่อไปนี้ 1.1 พยายามสือ่ สารคาพดู ทแี่ สดงออกถถึงความรกั ความห่วงใยที่มใี ห้ตอ่ กนั 1.2 พยายามพูดชมเชยบ่อย ๆ เม่ืออีกฝ่ายพบความสาเร็จในการทางาน และพูดให้ กาลังใจเม่ือการงานลม้ เหลว 1.3 ช่วยบอกให้ฉันรู้ด้วยว่าคุณรู้สึกอย่างไร ผิดหวัง ว้าเหว่ หรือเข้าใจผิดในเร่ืองอะไร โปรดอย่าลืมว่า ถงึ แม้ฉันจะรักคุณ แต่ขณะเดยี วกันฉันกไ็ ม่ใช่ผู้วิเศษท่ีจะอ่านใจคณุ ได้วา่ คุณกาลังร้สู ึก อย่างไร 1.4 เพ่ิมเติมอารมณ์ขันในครอบครัว ให้รู้สึกว่าโลกน้ีเบิกบานสดใส ทาอะไรที่ดู ตืน่ ตาตน่ื ใจเพอ่ื ใหพ้ น้ จากชีวติ ประจาวนั ที่ซา้ ซากจาเจ 1.5 พยายามฟังซ่ึงกันและกันโดยไม่ต้องใช้ดุลพินิจว่าเร่ืองท่ีพูดน้ันมันสาคัญหรือไม่ จรงิ หรอื ไม่ หากค่สู มรสชอบอย่างนนั้ 1.6 พยายามแสดงออกให้ทุกคนรู้ว่า ตัวเองมีค่าสาหรับคนรักหรือคู่สมรส ให้ สาธารณชนรู้ว่าความรกั ของทงั้ คสู่ ดชื่น โดยที่ท้ังคูจ่ ะมคี วามสุขมาก 2. การแสดงออกซงึ่ ความเสน่หา ส่ิงที่มักจะกลัวก็กันคือ การแสดงออกซึ่งความเสน่หาทางร่างกาย ท่ีรู้สึกเช่นน้ีอาจ สืบเนื่องจากความคิดเก่า ๆ จิตไร้สานึกและข้อห้ามทางเพศ แต่การแสดงออกซึ่งความเสน่หา เป็นสิ่งจาเป็นสาหรับสุขภาพ การโอบกอดจะทาให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย ร่างกายสดชื่นจาก ความเหน่ือยล้า ทาให้รู้สึกหนุ่มสาวขึ้นกว่าเดิม และเต็มไปด้วยความต่ืนเต้น ถ้าเราไม่คุ้นกับ การแสดงออกซ่ึงความเสน่หาทางกาย อาจจะทาให้รู้สึกอึดอัดในระยะแรก จึงควรฝึกฝนโดยเร่ิมต้น แสดงออกกับคนในครอบครัวและเพื่อน ๆ ด้วยการสัมผัสมือ ตบหลัง หรือจับน้ิวมือ ต่อจากน้ัน เปลี่ยนเปน็ การโอบกอดอย่างทะนุถนอม หรอื จบู อย่างแผ่วเบา การเริม่ ต้นจากส่ิงเลก็ ๆ จะเปดิ วงแขน ของเราใหส้ ามารถแสดงออกซง่ึ ความเสน่หาได้อยา่ งสมบูรณแ์ บบในทสี่ ดุ 3. การรู้จักให้อภัย คาว่าให้อภัย เป็นคาท่ีแฝงไว้ซึ่งความอ่อนนุ่มและแข็งกร้าวในความหมายของมัน ส่วนใหญ่มักจะไม่ให้อภยั กับคนท่ีแสดงพฤติกรรมไม่ดี ขาดเหตุผลที่จะยอมรับได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็พรอ้ มจะยอมให้อภัยกบั บุคคลที่เราพิจารณาเห็นว่าออ่ นแอ พกิ าร หรือขี้โรค เป็นต้น สาหรับในชวี ิต
237 ครอบครัวเราต้องยอมละท้ิงแนวความคิดหรือมุมมองด้ังเดิมเกี่ยวกับการให้อภัย ควรท่ีจะมองไป ในอนาคตสมั พนั ธภาพที่ยาวนาน และไม่แสดงอาการตอบโตใ้ นทางลบ 4. ความซื่อสตั ย์ ความม่ันคงในชีวิต ความรักข้ึนอยู่กับหลักการท่ีว่าคนท่ีเรารักจะต้องซื่อสัตย์ต่อเรา เมื่อใดก็ตามท่ีชีวิตรักถูกสั่นคลอนด้วยการหลอกลวง เช่ือได้เลยว่าชีวิตรักจะแตกเป็นเส่ียง ๆ ความไว้วางใจไม่มีทางจะเกิดขน้ึ ได้ ถ้าปราศจากความจริงใจที่ใด ก็ไม่มีความไว้วางใจที่นั่น และไม่มี ทางจะเกิดความรักข้ึนได้ แม้ว่าจะเป็นการหลอกลวงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถสร้างความยุ่งเหยิง ให้เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจ ซึ่งคงจะต้องยอมรับความจริงว่า ทาให้ขาดความไว้วางใจไปช่ัวขณะ แตต่ ้องการให้สมั พันธภาพแห่งความรกั งอกงาม ความซ่อื สัตย์และความไว้วางใจเทา่ นนั้ ทีจ่ ะนาพาไปสู่ จุดหมายปลายทาง 5. การไมอ่ ิจฉารษิ ยา ความอิจฉาเป็นเร่ืองของอารมณ์ น้อยคนนักท่ีจะไม่อิจฉา ความอิจฉาสามารถที่จะ ทาลายล้างท้ังตัวเราและคนท่ีเรารัก ความอิจฉาในจิตใจมีทางที่จะทุเลาลงได้ถ้าเราหันมายอมรับ ในเร่ืองของมนุษย์ เราต้องเรียนรู้ว่าการที่เรารักใคร่น้ี หมายความว่า เรารักในความเป็นตัวตน ของคน ๆ นั้น อาจจะต้องเจ็บปวดบ้างในบางโอกาส เราต้องเข้าใจว่าบางครั้งความรักที่ยิ่งใหญ่ก็คือ เสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ ความรักควรตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของความอิสระเสรี ถ้ าเราเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ ผลตอบแทนที่เราได้รบั จะทาให้เรารู้ว่า ความรกั ทีแ่ ท้จรงิ เป็นเชน่ ไร 6. การยอมรบั แต่ละบุคคลย่อมมีข้อจากัดและความไม่สมบูรณ์ในตนเอง การยอมรับข้อบกพร่อง ของตนเอง จะทาให้ได้รับทราบว่าบุคคลอ่ืนมีข้อบกพร่องอยา่ งไร การยอมรับในตวั ตนของทั้ง 2 ฝ่าย เราต้องยอมรับนับถอื ในสิทธิ ทศั นคติ และความรู้สกึ ของผู้ที่อาศัยอยูร่ ว่ มกัน 7. การรว่ มกันคดิ ร่วมกนั ทา การท่ีอีกฝ่ายหน่ึงไม่มีโอกาสที่จะร่วมคิด ร่วมทา หรอื ร่วมแสดงความคิดเห็น จะทาให้ รู้สึกว่าตัวเองขาดศักด์ิศรีและความสาคัญ ควรรู้จักให้อีกฝ่ายหนึ่งมีส่วนเข้าร่วมรับรู้ ช่วยเหลือ และ พิจารณาในเรื่องต่าง ๆ เพื่อแสดงออกถึงความรักและไว้วางใจ เราควจะสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วย การร่วมมอื กนั คิดร่วมมือกันทา 8. ธรรรมเนยี มปฏิบัติ ธรรมเนียมปฏิบัติที่แสดงออกถึงสัมพันธภาพท่ีดี เช่น การทานอาหารร่วมกัน ในวันอาทิตย์ การใช้ชวี ิตร่วมกันในเทศกาลวันหยุด เพลงเก่าๆ ท่ีอยู่ในความทรงจา ข้อความข้างหลัง ภาพ เค้กฉลอง วันคืนที่ผ่านไป หรือคาปฏิญาณในพิธีแต่งงาน สิ่งต่าง ๆ ที่ยกตัวอย่างเหล่าน้ีมักจะ ละเลยหรือไม่ไดใ้ ห้ความสาคัญ ทง้ั ๆ ทเ่ี ป็นวันหวานในอดีต
238 9. ร่วมกนั สรา้ งฝัน ความฝันเป็นเรื่องประโลมใจในโลกมนุษย์ เป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปในอนาคต การสร้างฝันร่วมกันจะช่วยเพ่ิมเติมสีสันของครอบครัว ฝันถึงความสาเร็จในวันพรุ่งนี้ การท่องเท่ียว ของเดก็ ๆ ความร่ารวย ความม่ันคงในครอบครวั สนั ติสุข ความสนกุ สนาน และข้อสาคัญเราควรบอก กลา่ วใหอ้ ีกฝ่ายรเู้ พอ่ื ทจี่ ะร่วมสรา้ งฝนั 10. ความกลา้ หาญ ความอายเป็นอุปสรรคต่อการอย่รู ว่ มกนั สมั พันธภาพแหง่ ความรัก ความต้องการใหเ้ รา เป็นคนกล้าหาญ ป้องกัน และแก้ไขส่ิงต่าง ๆ อย่าลืมว่าปัญหาอุปสรรคและความคับข้องใจเป็นสิ่งที่ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในชีวิตครอบครัว ฉะนั้นเราจะต้องมีความกล้าหาญท่ีจะเผชิญกับมัน ความกล้า หาญเท่าน้ันที่จะทาให้เราก้าวไปสู่ความลาเร็จ ไม่มีส่ิงใดยิ่งใหญ่สาหรับชีวิตเท่ากับการท่ีเราทา ทกุ อยา่ งเพ่ือให้เขารูว้ ่าเรารักเขา ผลตอบแทนท่เี ราได้รบั กค็ อื ความรกั ท่เี ขามอบใหแ้ กเ่ รา ลกั ษณะพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศทเ่ี หมาะสม ลักษณะพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศที่เหมาะสม เป็นสิ่งท่ีจะช่วยให้วัยรุ่นมีความรู้ ความเข้าใจ มีจิตสานกึ ทดี่ ี และถกู ต้องในเร่อื งเพศ ซึ่งมดี งั น้ี (ชมุ าภรณ์ ฝาชยั ภูมิ, 2562, น. 74-76) 1. เรื่องเพศเป็นเรอื่ งธรรมชาตขิ องทกุ คนและเปน็ สว่ นท่ีดีของชีวิต 2. ทุกคนมคี วามรู้สกึ ทางเพศ และมีการแสดงออกต่อการกระต้นุ ทางเพศ 3. เรื่องเพศนั้นครอบคลุมทั้งความรู้เร่ืองสรีระ จริยธรรม ภาวะทางจิตวิญญาณ สังคม จติ วทิ ยา และอารมณ์ 4. ต้องตระหนักถงึ ศกั ด์ิศรีและคณุ คา่ ของตัวเอง 5. ในสังคมที่อยู่รว่ มกนั แต่ละคนจะแสดงออกในเร่อื งเพศท่ีแตกต่างกนั 6. ต้องยอมรับภาวะทางเพศ ความหลากหลายในความเช่ือ และค่านิยมทางเพศที่ แตกต่างกัน 7. ความสัมพันธท์ างเพศไม่ควรเกดิ จากการกดดันขม่ ขู่ หรอื แสวงหาประโยชน์ 8. ความสัมพันธ์ทางเพศควรอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจ ความชื่อสัตย์ และให้ เกียรตกิ ัน 9. เดก็ ๆ ทกุ คนควรไดร้ ับความรักและการดูแลเอาใจใส่ 10. ความสัมพันธ์ทางเพศท่ีเกิดขึ้นเม่ือตนเองยังไม่พร้อมหรือก่อนวัยอันควร ย่อมมี ผลกระทบตามมา 11. ทกุ คนมีสทิ ธแิ ละมีความรบั ผิดชอบในการดาเนินวถิ ีชีวิตทางเพศของตน
239 12. สังคมจะได้ประโยชน์ ถ้าเด็ก ๆ สามารถพูดคุยเร่ืองทางเพศกับพ่อแม่และผู้ใหญ่ด้วย ความเช่ือถือ 13. ความสนใจในเร่อื งเพศเป็นกระบวนการพัฒนาการทางเพศของเดก็ เพื่อเข้าสู่ความเป็น ผใู้ หญ่ 14. พฤตกิ รรมทางเพศท่ีเกนิ วยั จะทาใหม้ คี วามเส่ยี งต่อการมเี พศสมั พนั ธ์สงู 15. การละเวน้ การมีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีที่ดที ี่สุดในการหลกี เลี่ยงโรคตดิ ต่อทางเพศสมั พันธ์ และโรคเอดส์ 16. วยั รนุ่ ทุกคนควรจะไดร้ ้ขู ้อมลู เกย่ี วกับการให้บรกิ ารทางการแพทย์ 17. ถา้ จะมีเพศสมั พนั ธต์ อ้ งเปน็ เพศสมั พนั ธ์ท่ีปลอดภยั 18. ถา้ จะมเี พศสมั พันธต์ อ้ งเป็นเพศสมั พันธ์ที่รับผดิ ชอบ 19. ต้องมคี วามละอายและเกรงกลัว พฤติกรรมการแสดงออกทางเพศท่ีเหมาะสมกับวฒั นธรรมไทย มดี ังน้ี 1. การปฏิบัติตนของฝา่ ยชาย มดี งั น้ี 1.1 ไมล่ ว่ งเกนิ ทางกายตอ่ ฝา่ ยหญิง 1.2 ไม่ลว่ งเกนิ ทางวาจาต่อฝ่ายหญงิ 1.3 ไม่พูดหลอกลวงให้ฝ่ายหญิงตายใจหรือเช่ืออย่างสนิทใจแล้วก็หลอกให้มี เพศสมั พันธด์ ้วย 1.4 ควรวางตนให้เหมาะสมและเปน็ ทน่ี ่าไว้ใจแก่ฝ่ายหญิง 1.5 ผชู้ ายเป็นเพศทีแ่ ข็งแรงกว่า ควรดแู ลปกป้องให้ฝา่ ยหญงิ 1.6 ควรใหค้ วามชว่ ยเหลอื ฝา่ ยหญิงเทา่ ท่ตี นเองจะกระทาได้ 2. การปฏบิ ตั ติ นของฝา่ ยหญงิ มดี ังน้ี 2.1 ไมค่ วรแสดงทีท่าใหเ้ ห็นวา่ ชอบผู้ชายเป็นอยา่ งมาก 2.2 ไม่ควรอยากไดข้ องกานลั จากฝ่ายชายบอ่ ย ๆ โดยไม่มเี หตุผล 2.3 ไม่ควรอยู่ในท่ลี ับหลู ับตากนั ตามลาพังสองตอ่ สอง 2.4 ไม่ควรไปเท่ียวเตร่กันตามลาพังในสถานท่ีที่จะทาให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและ เสยี หายได้ 2.5 ไม่ควรยนิ ยอมใหผ้ ู้ชายถกู เนอ้ื ต้องตัวเกนิ ความจาเปน็ 2.6 ในการวางตัวต่อฝ่ายชายโดยทั่วไปน้ัน ต้องคานึงถึงความเป็นกุลสตรีของผู้หญิงว่า จะปฏิบตั ติ นอยา่ งไรจงึ จะเหมาะสม
240 บทสรปุ วิถีแห่งเพศ คือ ความรู้สึกดึงดูดความสนใจทางเพศที่มีต่อบุคคลเพศใดเพศหนึ่งอย่างไม่ เปลี่ยนเเปลง ซ่ึงแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ รักเพศเดียวกัน รักต่างเพศ และรักท้ังสองเพศหรือ ไบเซ็กชวล ในระยะวัยรุ่นเป็นวัยแห่งการแสวงหาเพื่อตอบสนองความต้องการและการเปล่ียนแปลง ของตนเอง อารมณ์ทางเพศของวัยรุ่นเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของ ร่างกายท่ีจะสืบทอดและดารงไว้ซ่ึงเผ่าพันธ์ุ โดยมีส่ิงสาคัญใน 2 ลักษณะประกอบด้วย ลักษณะของ ปัจจัยท่ีเป็นส่ิงเร้าภายใน และลักษณะของปัจจัยที่เป็นส่ิงเร้าภายนอก สาหรับการจัดการกับอารมณ์ ทางเพศของวัยรุ่น ทาได้โดยการควบคุมอารมณ์ทางเพศ การเบี่ยงเบนอารมณ์ทางเพศ และ การปลดปล่อยหรอื ระบายอารมณ์ทางเพศ ทางออกทางเพศ เป็นวิธีการต่าง ๆ ท่ีมนุษย์ใช้เพื่อความสมปรารถนาในความพึงพอใจ ทางเพศ โดยกระตุ้นใหเ้ กิดความรูส้ ึกทางเพศและตอบสนองจนถงึ จุดสดุ ยอด ไดแ้ ก่ ทางออกทางเพศท่ี อาศัยตนเอง และทางออกทางเพศท่ีอาศัยผู้อ่ืน โดยอิทธิพลที่มีผลต่อพฤติกรรมทางเพศ ได้แก่ อทิ ธิพลจากครอบครวั เพอ่ื น และสงั คม เมือ่ มนุษย์มีความต้องการทางเพศหรือถกู กระตุ้นอารมณท์ างเพศ จะเกิดการเปลยี่ นแปลง ทางสรีรวิทยาของร่างกายเพื่อให้พร้อมที่จะร่วมเพศได้ เรียกว่า การตอบสนองทางเพศ ซ่งึ จะเกิดขึ้น ตามธรรมชาติและเป็นไปโดยอัตโนมัติเป็นข้ัน ๆ ไปจนจบด้วยการมีเพศสัมพันธ์ในความสุขสุดยอด ซง่ึ การมีเพศสมั พนั ธ์มขี ั้นตอน 4 ระยะ ได้แก่ ระยะกระต้นุ หรอื ระยะตื่นตวั ทางเพศ ระยะเสยี ว ระยะ ออร์กาสซมึ หรือระยะจุดสุดยอด และระยะคนื กลับ ปัญหาทางเพศของวัยรุ่น เป็นปัญหาหนักที่ครอบครัว พ่อ แม่ ผู้ปกครอง สถานศึกษา ครู สถาบันทางสังคมท้ังภาครัฐและเอกชน (เจ้าหน้าที่ของรัฐ) ต้องให้ความสาคัญในการป้องกันปัญหา ไมใ่ ห้เกดิ ขึ้น และร่วมมอื กันสอดส่อง ดูแลพฤติกรรมทางเพศที่เกดิ ข้ึน และเปล่ียนไป ให้เปน็ ไปในทาง ท่ีถูกต้อง เหมาะสมตามขนบธรรมเนียม ประเพณี ของสังคมไทย โดยหญิงต้องรักนวลสงวนตัว ชายตอ้ งเปน็ สุภาพบุรษุ ไม่รังแกหรือฉวยโอกาสกับเพศที่ออ่ นแอ อกี ทงั้ ต้องให้เกียรติผูอ้ ่ืน ปฏิบตั ิและ วางตนให้ถูกต้อง เหมาะสมกับเวลาและโอกาส ส่งิ ดงั กล่าวจะช่วยป้องกนั หรือลดปญั หาพฤติกรรมทาง เพศในวยั รุ่นไดด้ ้วย
241 กจิ กรรมการเรยี นรู้ “เลยี้ งเดก็ ” ขน้ั ตอนการดาเนนิ การ 1. ผจู้ ัดการเรียนรชู้ แ้ี จงว่า เราจะร่วมกันพิจารณากรอบค่านิยม บรรทดั ฐาน และอคติเร่ือง เพศท้งั ในสังคม และของตวั เราเอง 2. แบ่งกลมุ่ เปน็ 4 กลุ่ม คละเพศชายหญงิ เพ่อื ทากิจกรรม “เล้ียงเด็ก” 3. อธิบายผู้เรียนว่า ให้แต่ละกลุ่มรับผิดชอบในการเล้ียงดูเด็ก โดยแบ่งเป็นเดก็ ชาย 2 กลุ่ม และเด็กหญิง 2 กลุ่ม โดยสมมตวิ า่ ตนเองเป็นพ่อแม่ที่ต้องเล้ยี งดูลกู เกิดใหม่ ใหเ้ วลา 20 นาที ในการท่ี แต่ละกลมุ่ ชว่ ยกันวาดรูปเด็กคนหนง่ึ ขนึ้ มาตามเพศแล้วช่วยกนั ระบรุ ายละเอยี ดดงั นี้ - ชื่อจริง ช่อื เลน่ - ของเล่นท่จี ะซ้อื ให้ - การแตง่ กาย เสอ้ื ผ้าสาหรบั แตง่ ตัว - การวางตัวตามเพศของลกู - การปฏบิ ัติตัวตอ่ เพศตรงขา้ มหรือเพ่อื นตา่ งเพศ - การอบรมเร่อื งการมเี พศสมั พันธ์ 4. แต่ละกลุ่มนาเสนอผลการทางาน ใช้เวลากลุ่มละ 3 นาที โดยให้เพื่อนร่วมชั้นซักถาม เพ่ิมเติม และผู้จัดการเรียนรู้ชวนคุย เพ่ือทาความเข้าใจต่อความแตกต่างของการเลี้ยงดูเด็กท่ีมีเพศ สรีระเปน็ ชายและหญิง โดยใช้คาถาม เช่น - เด็กหญงิ สองคน/เด็กชายสองคนมีวิธกี ารเลีย้ งดแู ตกตา่ งกันอย่างไร - มคี วามแตกต่างหรอื เหมอื นกนั ของวธิ กี ารเลยี้ งดูระหว่างเดก็ หญงิ กับเด็กชายอยา่ งไร - เรามีความคิดเห็นอย่างไรต่อวธิ ีการเลี้ยงดูดังกลา่ ว - คิดอย่างไรกับการสอนเรือ่ งเพศใหก้ ับลกู หญิง/ชาย เชน่ การใช้ยาคมุ การพกถุงยาง - กงั วลวา่ คนอื่นจะมองลูกเราแบบแปลก ๆ หรือแก่แดด หรือไม่ - การสอนเร่อื งเดียวกัน กบั หญงิ และชายแตกตา่ งกนั จะมผี ลกระทบอย่างไร - ถา้ ลูกไมม่ ีเพศคดิ วา่ เราจะเลี้ยงลกู หรือสอนลูก ต่างไปจากเดมิ หรือไม่ อยา่ งไร 5. การสรปุ ควรทาให้ผเู้ รียนเข้าใจวา่ การเลีย้ งดคู นตามเพศสรรี ะนั้น สังคมได้กาหนดกรอบ การเลี้ยงดูเด็กหญิงเด็กชายที่แตกต่างกัน รวมท้ังการอบรม และสั่งสอนในเรื่องการวางตัวต่อเพศ ตรงข้าม พฤติกรรมทางเพศ จะเน้นให้เพศหญิงเป็นฝ่ายควบคุมตนเอง รักษาหรือยึดมั่นคาสั่งสอน มากกว่าเพศชาย ทาให้เกิดผลกระทบที่แตกต่างกันด้วย เช่น ฝ่ายหญิงไม่สามารถส่ือสารหรือพูดคุย เร่ืองเพศได้ ได้รับคาตาหนิหากต้ังท้องแลว้ ฝ่ายชายไมร่ ับผิดชอบ เป็นต้น
242 กิจกรรมการเรยี นรู้ “คิดอยา่ งไร” ขน้ั ตอนการดาเนินการ 1. อธิบายกิจกรรม “คิดอย่างไร” ว่า ผู้จัดการเรียนรู้จะอ่านข้อความ และให้ผู้เรียนเลือก ยืนรวมกลุ่มกับคนทมี่ คี าตอบเหมือนกนั 2. ผู้จดั การเรียนรู้อ่านข้อความทีละขอ้ ความ และอธิบายจุดคาตอบท่ีจะให้ผเู้ รยี นเลือกยืน (ฝงั่ ซ้าย/ฝง่ั ขวา) - ผ้หู ญงิ เป็นผูบ้ ัญชาการทหารบก (คาตอบ: ก. เหน็ ด้วย หรอื ข. ไม่เหน็ ด้วย) - ถ้าไปรถเสียกลางทาง และมีร้านซ่อมรถอยู่ติดกัน 2 ร้าน ร้านหนึ่งมีช่างเป็นผู้ชาย อีกรา้ นเป็นชา่ งผู้หญงิ จะเลอื กใช้บริการจากร้านใด (คาตอบ: ก. ร้านทม่ี ชี า่ งซอ่ มเปน็ ผูช้ าย หรอื ข. รา้ นท่ีมชี า่ งซอ่ มเปน็ ผู้หญิง) - ถ้าจะจ้างพยาบาลเพ่ือดูแลพ่อท่ีกาลังป่วย และมีพยาบาลชาย/หญิง ซึ่งจบมาจาก สถาบนั เดียวกัน จะเลือกใคร (คาตอบ: ก. พยาบาลชาย หรอื ข. พยาบาลหญงิ ) - ในฐานะกรรมการคัดเลือกเยาวชนตัวอยา่ ง 2 คนสุดท้ายทีม่ ีคณุ สมบัตอิ ืน่ ๆ เหมอื นกัน ทุกประการ จะเลือกใครระหว่าง นักเรยี นที่เปน็ “กะเทย” กบั “นกั เรยี นหญงิ ” (คาตอบ: ก. นักเรยี นท่เี ป็นกะเทย หรือ ข. นกั เรยี นหญิง) 3. ในแต่ละข้อ เม่ือผู้เรียนเลือกคาตอบแล้ว ให้สุ่มถามจุดละ 2 - 3 คน ถึงเหตุผลที่เลือก คาตอบน้ัน ๆ 4. เมื่อถามครบทุกข้อ ผจู้ ัดการเรียนรู้ชวนคุย เพ่ือทาความเขา้ ใจถึงการใช้ “ความเปน็ เพศ หญิงหรือชาย” มาเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน หรือเป็นอคติในการเลือกปฏิบัติในเร่ืองหน้าที่การงาน อาชีพ หรือบุคคลตัวอย่าง โดยไม่พิจารณาเร่ืองความสามารถท่ีไม่เก่ียวข้องกับความเป็นเพศ โดยใช้ คาถามในการชวนคดิ วิเคราะห์ ดงั น้ี - มีข้อสังเกตจากเหตุผลที่ทุกคนในห้องน้ีให้เกี่ยวกับความเป็นเพศหญิง เพศชายใน แต่ละข้ออยา่ งไร - จรงิ หรอื ไมว่ า่ งานและอาชีพบางอย่าง เหมาะกับเพศใดเพศหนง่ึ มากกว่าเพราะเหตุใด - ใครคือผู้กาหนดว่า ความเหมาะสมของเพศใดควรทาหรือไม่ทาอะไร อย่างไร ผเู้ รียน เหน็ ด้วยหรือไม่
243 - กรอบหรอื บรรทดั ฐานในเร่ืองเพศ เช่น เรอ่ื งอาชพี ลักษณะ บคุ ลิกภาพ การปฏิบตั ติ น มกี ารเปลย่ี นแปลงหรอื ไม่ ให้ยกตัวอยา่ ง และคิดว่าอะไรคอื สาเหตุของการเปล่ยี นแปลง 5. ผู้จัดการเรียนรู้อธิบายความหมายและความแตกต่างเร่ืองเพศสรีระ ซ่ึงเป็นเพศทาง ชีวภาพ และเพศทางสังคมซึ่งเกิดจากกระบวนการหล่อหลอมในเร่ือง “ความเป็นชาย” “ความเป็น หญิง” โดยยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า จากกิจกรรม “คิดอย่างไร” การที่เราเลือกคาตอบที่เก่ียวกับเพศ ชาย/เพศหญิงนั้น เป็นเพราะเรามีความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาจากครอบครัว วัฒนธรรม และประเพณี การเลี้ยงดู และสังคมรอบข้าง ในเรื่องว่า เพศชายและเพศหญิงควรเป็นอย่างไร เช่น เป็นชายต้อง เข้มแข็ง ไม่รอ้ งไห้ ใหเ้ กียรติผู้อนื่ เปน็ สภุ าพบุรุษ เปน็ ผนู้ า เป็นหญิงต้องออ่ นแอ อ่อนหวาน เรยี บรอ้ ย ตดั สินใจไมเ่ ด็ดขาด เป็นต้น 6. ถามผู้เรียนว่า การใช้ความเป็นเพศหญิง-ชาย เป็นเกณฑ์ในการปฏิบตั ิ หรือเลือกปฏิบัติ อาจสง่ ผลอยา่ งไรบา้ ง 7. ผู้จัดการเรียนรู้ อธิบายว่าค่านิยม ความเช่ือ อคติ ที่มีในเร่ืองความเป็นหญิง ความเป็น ชาย อาจส่งผลต่อการดาเนินชีวิตของบุคคลในสังคมไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ดังตัวอย่างท่ีจะเห็นใน กจิ กรรมต่อไป
244 กิจกรรมการเรยี นรู้ “จดุ ยนื ” ขนั้ ตอนการดาเนินการ 1. อธบิ ายกิจกรรม “จุดยืน” ว่า ผู้จดั การเรียนรจู้ ะอ่านข้อความ และให้ผูเ้ รยี นเลือกจุดยืน ที่ตรงกับความคิดเห็นของตนเอง และไปยนื ในจุดท่ีมีป้ายบอกซึ่งมอี ยู่ 3 มุม คือ “เห็นด้วย” “ไม่เห็น ด้วย” และ “ไม่แนใ่ จ” 2. อ่านขอ้ ความท่ี 1 ซงึ่ เป็นประเดน็ เก่ยี วกบั การมีเพศสมั พันธ์ ข้อ 1 เพศสมั พันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเร่ืองธรรมดา - เม่ือผู้เรียนเลือกยืนในจุดที่เป็นคาตอบของตนเองแล้ว ให้สุ่มถามจุดละ 2 - 3 คนว่า “คดิ อย่างไร หรือมเี หตผุ ลใดจึงเลือกยืนในจุดนั้น” - จากนน้ั อา่ นขอ้ ความตอ่ ไปวา่ ฉนั ทาใจยาก ถา้ รู้ว่าน้องสาวท่ีกาลังเรียน ม.6 มเี พศสัมพนั ธก์ ับแฟน - ให้ผู้เรียนเลือกยืนในจุดท่ีเป็นคาตอบของตนเอง แล้วให้สุ่มถามจุดละ 2 - 3 คนว่า “คิดอย่างไร หรือมีเหตุผลใดจึงเลือกยืนในจุดนั้น” โดยผู้จัดการเรียนรู้ควรสังเกตคนท่ีเปลี่ยนจุดยืน เช่น เดิมเห็นด้วยว่าเป็นเร่ืองธรรมดา แต่พอเป็นน้องสาวไม่เห็นด้วย และถามเหตุผลท่ีมีการเปล่ียน จดุ ยืน - จากนน้ั อ่านข้อความตอ่ ไปวา่ ฉันทาใจยาก ถ้ารู้ว่าน้องชายท่กี าลังเรียน ม.6 มีเพศสัมพันธก์ บั แฟน - ให้ผู้เรยี นเลอื กยืนในจุดท่ีเปน็ คาตอบของตนเองแล้ว ผจู้ ดั การเรียนรูส้ มุ่ ถามเพยี ง 2 - 3 คนทีม่ กี ารเปลีย่ นจุดยืน ถึงเหตุผลทเี่ ปล่ยี น 3. อา่ นขอ้ ความที่ 2 ซึ่งเป็นประเด็นเกยี่ วกบั ถุงยางอนามยั ขอ้ 2 ควรมีแหล่งบรกิ ารถงุ ยาง ยาคุม ท่เี ข้าถึงง่ายสาหรบั วัยรนุ่ - เม่ือผู้เรียนเลือกยืนในจุดท่ีเป็นคาตอบของตนเองแล้ว ให้สุ่มถามจุดละ 2 - 3 คนว่า “คิดอยา่ งไร หรือมเี หตผุ ลใดจึงเลือกยืนในจุดน้นั ” - จากนน้ั อา่ นข้อความตอ่ ไปวา่ นอ้ งชายวยั ร่นุ พกถุงยางไวใ้ นกระเป้า - ใหส้ ุ่มถามเหตุผลจากตัวแทนจุดละ 2 - 3 คนว่า “คิดอย่างไร หรือมีเหตุผลใดจึงเลือก ยืนในจดุ นั้น” โดยผูจ้ ดั การเรยี นรูค้ วรสงั เกตคนท่เี ปล่ียนจุดยนื และถามเหตุผลทม่ี กี ารเปลย่ี นจุดยนื - จากนน้ั อ่านข้อความต่อไปว่า นอ้ งสาววัยรนุ่ พกถงุ ยางไว้ในกระเป๋า
245 - ใหผ้ ูเ้ รียนเลอื กยืนในจดุ ทเ่ี ป็นคาตอบของตนเอง แล้วผจู้ ัดการเรยี นรู้สุ่มถามเพียง 2 - 3 คนท่ีมกี ารเปล่ยี นจดุ ยืน ถงึ เหตผุ ลท่เี ปลีย่ น 4. เมือ่ ถามครบทกุ ข้อ ใหผ้ ้เู รียนน่ังท่ี และผู้จัดการเรยี นร้ชู วนสรปุ และอธิบายเพิ่มเติม - ผู้เรียนมีข้อสังเกตอย่างไรบ้าง จากการได้ฟังความคิดเห็นของเพ่ือน ๆ ในกิจกรรม “จุดยืน” - มีข้อสังเกตอยา่ งไรตอ่ การมีเพศสัมพนั ธ์ก่อนแต่งของหญิงและชาย เหมือนหรอื ตา่ งกัน อย่างไร - การให้คุณค่าที่ตา่ งกนั ในเร่ืองเพศสมั พันธ์ของหญิงชาย อาจสง่ ผลในเรื่องใดบา้ ง - การพกถุงยางมีความหมายทเ่ี ปลยี่ นไปอยา่ งไร ถ้าคนพกเปน็ หญงิ , ชาย, วยั รุน่ , คนแก่ - ในกรณี “ถุงยาง” ด้วยทัศนะ ความเชื่อของเรื่องเพศท่ีไปผูกโยงกับถุงยาง ส่งผลกับ โอกาสการปอ้ งกันตวั ของชายหญิงอยา่ งไร - หากต้องการส่งเสริมเรื่องการป้องกนั หรือการมีเพศสัมพันธ์ท่ีปลอดภัย คิดว่าเก่ียวขอ้ ง กับเร่ืองเพศหรอื ไม่ และคิดวา่ จะตอ้ งเปลยี่ นแปลงในเรือ่ งอะไรบ้าง - ให้ผู้เรียนลองยกตัวอย่างอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับทัศนะเร่ืองเพศที่มตี ่อหญิงชายท่ีตา่ งกัน และผลกระทบทอ่ี าจมี 5. จากคาถาม 2 ข้อหลักของกิจกรรมจุดยืน ผู้จัดการเรียนรู้ชี้ให้เห็นว่า ทัศนะและ ความเช่อื ในเรือ่ งเพศของตัวเรา อาจเปล่ียนแปลงและแตกตา่ งไปตามสถานะ หรือระดับความสัมพันธ์ ของบคุ คลท่เี รามคี วามสัมพันธ์ด้วย และอาจเปล่ียนไปตามเวลาสถานทด่ี ้วยเช่นกัน 6. ผู้จัดการเรียนรู้ให้เห็นแนวคิดและทาความเข้าใจเรื่องความหมายและความแตกต่าง ระหวา่ งคาว่า “เพศสรีระ” “ความเปน็ หญิงความเปน็ ชาย” “บทบาททางเพศ” และความหลากหลาย ทางเพศ รวมถึงความเปลีย่ นแปลงดา้ นเพศสรรี ะท่ีเกิดจากความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ วา่ - แนวคิดเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศมีสองแนวคิดหลักสาคัญคือ ปัจจัยด้าน ชวี ภาพ และปจั จยั ด้านสภาพแวดล้อมหรือกระบวนการทางสังคม - มีการค้นพบว่าเพศทางด้านชีวภาพซึ่งถูกกาหนดโดยโครโมโชม ไม่ได้มีเพียงเพศชาย และเพศหญิงที่เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่เท่านั้น แต่คนบางกลุ่มแม้จะมีจานวนไม่มากแต่พบว่ามีการจับคู่ ของโครโมโชมถึง 17 แบบ เรยี กวา่ กลุ่ม Intersex และในชว่ ง 6 สัปดาห์แรกของทารกในครรภ์อวัยวะ เพศชายและหญิงมีลักษณะและรปู รา่ งท่ีไมแ่ ตกต่างกนั - การเปลยี่ นแปลงเพศสรรี ะเกิดจากเทคโนโลยที างการแพทย์ การผ่าตัดใช้ฮอร์โมน - สังคมกาหนด “ความเป็นเพศ” ไว้เพียงสองแบบโดยอาศัยเพศสรีระ และถ่ายทอด ตอกยา้ โดยคนจากรุ่นสู่รุน่
246 7. ถามผู้เรยี นเพือ่ ประเมนิ การเรียนรู้จากกิจกรรมว่า - หากเราจะสอนประเด็นสาคัญเรื่อง “เพศ” และ “ความเป็นหญิงความเป็นชาย” เราจะสอนเร่อื งอะไร 8. การสรุปในช่วงสุดท้าย ควรชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานในเรื่องเพศของตัวเราท่ีมีต่อบุคคลอื่น นั้นแตกต่างกัน เช่น หากเป็นคนไกลตัวเราจะยอมรับได้ หรือยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ของน้องชาย วัยรุ่นมากกว่าน้องสาววัยรุ่น ซ่ึงเป็นการให้คุณค่าระหว่างเพศชายและหญิง หรือเพศทางเลือกท่ี แตกตา่ งกัน ในขณะทกี่ ารให้คณุ ค่าของมนุษยน์ ั้น ควรเป็นการยอมรับโดยไมค่ านึงว่าเปน็ เพศใด แต่อยู่ ท่ีการกระทามากกวา่
247 กิจกรรมการเรยี นรู้ “คาพพิ ากษา” ขั้นตอนการดาเนนิ การ 1. ชแ้ี จงวา่ กิจกรรม “คาพิพากษา” จะมีสถานการณ์ 4 เรอ่ื งใหอ้ ่าน ดงั น้ี กล่มุ ท่ี 1 เร่อื ง “ครู่ ักวัยเรียน” นกั ศกึ ษาชายมเี พศสมั พนั ธ์กับแฟนสาวซ่งึ เรียนอยู่ ม.4 อายุ 16 ปี โดยแฟนสาว ยินยอม และย้ายมาอยู่ดว้ ยกันทบ่ี า้ นนา้ ของฝ่ายชาย จนกระท่งั ผูป้ กครองมาตามผู้หญงิ ให้ กลบั บ้าน แต่ผู้หญงิ ไมย่ อมกลับ สุดท้ายผู้ปกครองฝ่ายหญงิ จึงไปแจ้งความกบั ตารวจ (**หมายเหตุ กรณีนมี้ ผี ตู้ อ้ งหา 2 คน คือ ฝ่ายชาย และน้าผู้เปน็ เจ้าของบา้ น) กลมุ่ ท่ี 2 เรอ่ื ง “คลิปฉาว” แฟนหนมุ่ ถ่าย Clip Video แฟนสาว แลว้ สง่ ตอ่ ให้กับกล่มุ เพ่ือนผู้หญงิ จึงไป แจง้ ความดาเนินคดี กลุ่มท่ี 3 เรอ่ื ง “เที่ยวเธค” แฟนหนมุ่ ตบตแี ฟนสาว เนอ่ื งจากแฟนสาวหนไี ปเที่ยวเธค แฟนสาวไปแจง้ ความจบั กลุ่มที่ 4 เร่ือง “ขนื ใจ” ผหู้ ญงิ ไปเที่ยวบ้านแฟนหนุ่ม แลว้ แฟนหนมุ่ บงั คบั ให้ผู้หญิงมีเพศสมั พันธ์ด้วย โดยผู้หญิงไม่ยินยอม หากมีการแจง้ ความเกดิ ขึ้นคดจี ะเป็นอยา่ งไร 2. หลังจากน้ันขออาสาสมคั ร 2 คน เพื่อแสดงบทบาทสมมตเิ ปน็ ตารวจ โดยใหส้ วมบทบาท เป็นผู้ซักถามหรือสอบสวนท้ัง 4 คดี เม่ือผู้เสียหายมาแจ้งความว่า สมควรจับผู้ต้องหาหรือไม่ เพราะ เหตุใด 3. แบ่งกลุ่มผู้เรียนที่เหลือเป็น 4 กลุ่ม คละเพศหญิงชาย ให้สมาชิกแต่ละกลุ่มกาหนด บทบาทสมมติเป็น - ผเู้ สียหาย 1 คน - ผ้พู พิ ากษา 1 คน - ผู้ตอ้ งหา 1 คน - อยั การ ซึง่ จะทาหน้าที่สอบถามผเู้ กี่ยวขอ้ ง กรณยี น่ื ฟอ้ งรอ้ งตอ่ ศาล - สว่ นคนท่เี หลือเป็นพยาน ญาติ เพือ่ น หรือผู้พบเหตุ
248 4. แต่ละกลมุ่ เลอื กสถานการณท์ ี่จะแสดงบทบาทสมมติ และแจกใบงาน 2 ชุด - ชุดที่ 1 เป็นสถานการณม์ อบใหแ้ ต่ละกลมุ่ - ชุดที่ 2 เป็นโทษสาหรับผู้กระทาความผิดให้เฉพาะผู้พิพากษาของแต่ละคดี โดยผู้พพิ ากษาของแต่ละกลุม่ จะต้องไม่ใหส้ มาชกิ ในกลุ่มทราบขอ้ มลู ทีอ่ ย่ใู นใบงานของตนเอง ให้สมาชิกที่มีบทบาทแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม ศึกษาทาความเข้าใจกับรายละเอียด ต่าง ๆ ของสถานการณ์ และเตรียมแสดงบทบาทสมมติในเหตุการณ์ท่ีตารวจเข้ามาจับกุมผู้ต้องหา หรืออัยการทาหน้าท่ีซักถาม ว่าแต่ละคนจะพูดอะไรบ้างในฐานะท่ีเป็นผู้เสียหายพยานผู้ต้องหา ตารวจ อัยการและผู้พิพากษา ใช้เวลาเตรียม 15 นาที 5. แตล่ ะกลุม่ แสดงบทบาทสมมติ ใหเ้ วลากล่มุ ละประมาณ 5 นาที ในระหว่างนนั้ ผูจ้ ัดการ เรียนรู้ซักถามจากประเด็นท่ีเกิดขึ้นในบทบาทสมมติแต่ละเรื่อง เพื่อให้ทุกคนทราบกระบวนการ ดาเนินการและความรู้สกึ ของผ้เู ก่ยี วข้องในกรณีนั้น โดยใช้คาถามดงั นี้ - ผู้เสียหายคิดอยา่ งไรกับการตดั สนิ ของผู้พิพากษา - ผ้เู สยี หายอยากให้ผลการตัดสินในคดนี ้ีเป็นอย่างไร 6. ชวนคุย เพ่ือสรปุ การเรียนรู้จากกิจกรรมและเช่ือมโยงกับการนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน โดยใชค้ าถาม ดังน้ี - มกี รณีใดอกี บ้างท่เี ป็นการใช้ความรุนแรง หรอื การล่วงละเมดิ ทางเพศท่ีอาจเกิดขน้ึ ในชีวติ วัยรุน่ หรอื ในสถานศึกษา - เราสามารถนาความรูด้ ้านกฎหมายทางเพศไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งไรบา้ ง - หากมีคนมาปรึกษาเรือ่ งการถูกล่วงละเมิดทางเพศ เราจะช่วยเหลอื อยา่ งไรได้บ้าง - มีหน่วยงานให้บรกิ ารและช่วยเหลือทเ่ี รารจู้ กั ในพืน้ ท่ีหรือไม่ ทใี่ ดบ้าง 7. ผู้จัดการเรียนรู้ควรเพิ่มเติมขอ้ มูล เร่ืองแหลง่ ข้อมูล หรือแหลง่ บรกิ ารช่วยเหลือในพื้นท่ี หากเกิดกรณกี ารใช้ความรุนแรง
249 คาถามท้ายบท จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ โดยอธบิ ายพร้อมยกตวั อยา่ งประกอบ 1. จติ วิทยามีบทบาทในการกาหนดลักษณะทางเพศของวัยรุ่นอยา่ งไร จงอธบิ าย 2. จงอธบิ ายการเกิดอารมณ์ทางเพศของวัยรนุ่ 3. จงยกตวั อยา่ งวธิ ีการระงับอารมณ์ทางเพศ 4. การแสดงออกทางเพศคอื อะไร จงอธิบายและยกตัวอย่าง 5. อทิ ธิพลท่ีมีผลตอ่ พฤติกรรมทางเพศประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง จงอธบิ าย 6. จงอธิบายการตอบสนองทางเพศและการมีเพศสมั พนั ธ์ 7. จงอธบิ ายความสมั พนั ธ์ของวัยร่นุ กับเพศสัมพนั ธ์ 8. ความรับผดิ ชอบทางเพศมีความสาคัญอยา่ งไรต่อวัยรนุ่ 9. จงระบลุ ักษณะพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศทเี่ หมาะสม
250 เอกสารอ้างอิง กองอนามัยการเจริญพนั ธ.ุ์ (2550). การคุมกาเนิดสาหรับวยั รุ่น. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสขุ . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. กจิ จา บานช่นื ฐณิ วี รรณ วฒุ ิวกิ ัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ. (2562). เพศวถิ ีศึกษา. นนทบรุ ี: รตั นโรจน์การพมิ พ์. ชมุ าภรณ์ ฝาชยั ภูมิ. (2559). เพศวิถีศึกษา. กรงุ เทพฯ: ซเี อด็ ยูเคช่ัน. ________. (2562). เพศวิถีศึกษา. กรงุ เทพฯ: ซเี อ็ดยูเคชัน่ . ปานเดชา ทองเลศิ . (2562). เพศวิถีศึกษา. นนทบุร:ี รตั นโรจน์การพมิ พ์. ________. (2559). สิง่ เสพตดิ ให้โทษ. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์ ศูนยส์ ง่ เสรมิ อาชวี ศกึ ษา จากดั . พนั ธ์ศกั ดิ์ ศุกระฤกษ์. (2546). “เรยี นรู้..เร่ืองเพศ”. เนช่นั สดุ สัปดาห.์ ปีท่ี 12 ฉบบั ท่ี 592. ศิยพร กลา่ ทวี และประพล นลิ ใหญ่. (2562). เพศวถิ ีศึกษา. นนทบรุ ี: รัตนโรจน์การพมิ พ.์ สมพงษ์ จิตระดบั . (2551). เด็กไทยกับเพศสัมพันธ์. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. สุชา จนั ทรเ์ อม. (2544). จิตวิทยาทั่วไป. กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนาพานชิ จากดั . อุทุมพร แก้วสามศรี และคณะ. (2562). เพศวถิ ศี ึกษา. นนทบุรี: รตั นโรจนก์ ารพิมพ์.
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 6 ทักษะสว่ นบคุ คลทเี่ กีย่ วข้องกับเพศศกึ ษา วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม เมื่อศึกษาบทเรยี นนจี้ บแลว้ นกั ศึกษาควรมพี ฤติกรรมดงั น้ี 1. อธบิ ายการตระหนักในคุณค่าของตนเองได้ 2. อธบิ ายและยกตัวอย่างทกั ษะการสือ่ สารได้ 3. อธิบายและยกตวั อย่างทักษะการตัดสนิ ใจได้ 4. อธิบายและยกตัวอย่างทกั ษะการต่อรองได้ 5. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งทักษะการปฏิเสธได้ 6. ระบกุ ลไกในการป้องกันตัวทางเพศได้ 7. บอกการแสวงหาความช่วยเหลือจากผูอ้ ื่นเมอ่ื เกดิ ปัญหาได้ 8. อธบิ ายแนวทางในการป้องกันตนเองจากการมีเพศสัมพันธ์ท่ีไม่พงึ ประสงค์ได้ 9. บอกแหล่งบรกิ ารชว่ ยเหลอื เกี่ยวกับปัญหาทางเพศได้ เนือ้ หาสาระ เน้ือหาสาระในบทนี้ประกอบด้วย 1. การตระหนักในคุณคา่ ของตนเอง 2. ทักษะการส่ือสาร 3. ทกั ษะการตดั สนิ ใจ 4. ทักษะการต่อรอง 5. ทกั ษะการปฏเิ สธ 6. กลไกในการป้องกนั ตวั ทางเพศ 7. การแสวงหาความชว่ ยเหลอื จากผู้อน่ื เม่อื เกดิ ปัญหา 8. แนวทางในการปอ้ งกนั ตนเองจากการมเี พศสมั พันธ์ที่ไมพ่ ึงประสงค์ 9. แหล่งบรกิ ารชว่ ยเหลือเกยี่ วกบั ปญั หาทางเพศ
252 กิจกรรมการเรยี นการสอน กจิ กรรมการเรียนการสอนเรอื่ งทักษะส่วนบคุ คลทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับเพศศึกษา มดี งั นี้ สัปดาห์ที่ 10 (3 ช่วั โมง) 1. ผู้สอนทบทวนเนื้อหาบทที่ 5 ที่เรยี นมาของสัปดาห์ก่อน พร้อมชี้แจงวัตถุประสงค์ และ เนอื้ หาประจาบทเรียนบทที่ 6 เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นรับรู้ภาพรวมของเนื้อหาสาระในบทเรียนน้ี 2. ผู้สอนบรรยายเน้ือหาเกี่ยวกับทักษะส่วนบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับเพศศึกษา ในหัวข้อ การตระหนักในคุณค่าของตนเอง ทักษะการสือ่ สาร ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการตอ่ รอง และทักษะ การปฏิเสธ 3. ผู้เรียนรับฟังบรรยายสรุปเนื้อหาสาระ ร่วมกับศึกษาเนื้อหาเร่ือง “ทักษะส่วนบุคคลที่ เก่ียวข้องกับเพศศึกษา” ในหัวข้อดังกล่าวจากเอกสารคาสอน พร้อมทั้งซักถามและตอบคาถาม ระหวา่ งการฟงั บรรยาย 4. ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ “การส่ือสารเพื่อความเข้าใจในครอบครัว” และ “ความหมายและระดับของความรุนแรง” แลว้ รว่ มกันสรุปสาระสาคัญทีไ่ ด้รบั 5. ผู้สอนให้ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย สรุปเนื้อหาทักษะส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ เพศศึกษา และแนวทางการนาไปประยุกต์ใช้ รวมทง้ั เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนซักถามในหัวข้อ / ประเดน็ ท่ี สงสยั 6. ผู้สอนช้ีแจงหัวขอ้ ทจ่ี ะเรยี นในครั้งต่อไป เพ่ือให้ผู้เรยี นไปศกึ ษากอ่ นลว่ งหน้า 7. ผู้สอนเสรมิ สรา้ งคุณธรรมและจริยธรรมใหก้ ับนักศึกษากอ่ นเลกิ เรยี น สปั ดาห์ท่ี 11 (3 ชว่ั โมง) 1. ผสู้ อนทบทวนเนอ้ื หาทเ่ี รยี นมาของสัปดาหก์ อ่ น 2. ผูส้ อนบรรยายเนื้อหาเก่ยี วกับทักษะส่วนบุคคลที่เกี่ยวขอ้ งกบั เพศศึกษา ในหัวข้อ กลไก ในการป้องกันตวั ทางเพศ การแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อ่ืนเม่อื เกิดปญั หา แนวทางในการปอ้ งกัน ตนเองจากการมเี พศสมั พันธ์ท่ีไมพ่ งึ ประสงค์ และแหล่งบรกิ ารชว่ ยเหลอื เกี่ยวกับปัญหาทางเพศ 3. ผู้เรียนรับฟังบรรยายสรุปเน้ือหาสาระ ร่วมกับศึกษาเน้ือหาเร่ือง “ทักษะส่วนบุคคลที่ เก่ียวข้องกับเพศศึกษา” ในหัวข้อดังกล่าวจากเอกสารคาสอน พร้อมท้ังซักถามและตอบคาถาม ระหวา่ งการฟังบรรยาย 4. ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ “No Condom, No Sex” และ “คุยกันได้ไหม” แล้ว ร่วมกนั สรปุ สาระสาคญั ท่ีไดร้ บั
253 5. ผู้สอนให้ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย สรปุ เนื้อหาทักษะส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ เพศศกึ ษา และแนวทางการนาไปประยุกต์ใช้ รวมทั้งเปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนซกั ถามในหัวข้อ / ประเด็นที่ สงสยั 6. ผสู้ อนมอบหมายใหผ้ ้เู รียนทาคาถามท้ายบท และกาหนดวันส่ง 7. ผูส้ อนชแ้ี จงหวั ข้อทจ่ี ะเรียนในครั้งตอ่ ไป เพื่อใหผ้ เู้ รยี นไปศกึ ษาก่อนลว่ งหน้า 8. ผสู้ อนเสริมสร้างคุณธรรมและจรยิ ธรรมใหก้ บั นักศึกษาก่อนเลกิ เรียน สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารคาสอน เพศศกึ ษาแบบองคร์ วม 2. เอกสาร ตารา หนังสือ และงานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับเพศศกึ ษาแบบองคร์ วม 3. สไลด์นาเสนอความรู้ประเด็นสาคัญทุกหัวข้อเรื่อง ด้วยส่ือทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point 4. วัสดแุ ละอุปกรณส์ าหรับจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย 4.1 กระดาษฟลิปชารท์ 4.2 กระดาษเอส่ี 4.3 ปากกาเคมี 4.4 กระดาษกาว 4.5 บตั รคาจานวน 32 ใบ (แจกกลุ่มละ 8 ใบ) 4.6 เตรียมเขยี นหวั ข้อสาหรบั กลมุ่ ย่อยลงบนกระดาษการด์ สาหรับ 4 กลุ่ม 4.7 สถานการณ์ 6 เร่ือง ตัดเป็นฉลากเพ่ือจบั 5. คาถามท้ายบท การวัดผลและการประเมนิ ผล วตั ถปุ ระสงค์ วธิ กี าร/เคร่ืองมอื การวัดผลและการประเมินผล 1. อธบิ ายการตระหนกั ในคุณคา่ ของ 1. ซักถาม-ตอบคาถาม 1. นกั ศกึ ษาตอบคาถาม และ ตนเองได้ อภปิ ราย แลกเปลีย่ น อภปิ รายไดถ้ ูกต้อง ร้อยละ 80 2. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งทักษะการ และการสนทนารว่ มกัน 2. นกั ศกึ ษามคี วามสนใจ/ ส่อื สารได้ 2. สังเกตพฤติกรรม ความรว่ มมอื และความ การรว่ มกิจกรรม กระตือรนื รน้ ในการร่วม
254 วตั ถปุ ระสงค์ วิธีการ/เคร่ืองมอื การวัดผลและการประเมินผล 3. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งทกั ษะการ 3. สงั เกตการนาเสนอผล กจิ กรรมอยูใ่ นระดับดี ตดั สินใจได้ การทางานหน้าชน้ั เรยี น 3. นักศึกษามีความพร้อม/ 4. อธบิ ายและยกตัวอยา่ งทักษะการ 4. ใบงานในกิจกรรมการ ความตง้ั ใจและความกลา้ ตอ่ รองได้ เรยี นรู้ แสดงออกในการนาเสนอผล 5. อธิบายและยกตัวอย่างทักษะการ 5. คาถามท้ายบท การทางานหนา้ ชัน้ เรียนอย่ใู น ปฏิเสธได้ ระดับดี 6. ระบุกลไกในการป้องกนั ตวั ทางเพศ 4. นักศึกษาทาใบงานได้ถกู ต้อง ได้ ครบสมบรู ณ์ และเสรจ็ ตาม 7. บอกการแสวงหาความชว่ ยเหลือ เวลาทกี่ าหนด ร้อยละ 80 จากผอู้ ืน่ เม่ือเกดิ ปญั หาได้ 5. นกั ศกึ ษาตอบคาถามท้าย 8. อธบิ ายแนวทางในการป้องกัน บทเรียนได้ ร้อยละ 80 ตนเองจากการมีเพศสมั พนั ธท์ ่ไี มพ่ ึง ประสงค์ได้ 9. บอกแหลง่ บริการช่วยเหลือเกย่ี วกับ ปัญหาทางเพศได้
255 บทที่ 6 ทักษะส่วนบุคคลท่ีเกี่ยวขอ้ งกับเพศศกึ ษา ปัญหาเรื่องเพศของเยาวชนที่นับวันจะมีข่าวสารมากข้ึน สาเหตุการขาดความรู้เรื่องเพศ ทถ่ี ูกต้อง การไม่กล้าเปิดเผยเก่ียวกับเรอื่ งเพศ ทาให้วัยรุ่นต้องไปเรียนรู้แบบถูก ๆ ผิด ๆ เองจนทาให้ เกิดปัญหา ท้ังชีวิตตัวเองและครอบครัว ดังนั้นการให้ความรู้เร่ืองเพศที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสาคัญและ จาเป็น การจัดการฝึกฝนทักษะในการปรับตัวเรียนรู้เพศศึกษาให้กับเยาวชน เป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับเพศ (Sexuality) ที่ต้องคานึงถึงผลกระทบท่ีจะตามมาทั้งด้านบวกและด้านลบ มีหลักการ หลายวิธีท่ีจะฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้รู้ และปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ผู้ท่ีมีทักษะชีวิตท่ีดี จะสามารถอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดี จึงควรฝึกฝนและเลือกใช้ ทักษะชีวิตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันลดความขัดแย้งและแก้ไขปัญหาเร่ืองเพศ และครอบครัว การตระหนกั ในคุณค่าของตนเอง การตระหนักในคณุ คา่ ของตนเอง เปน็ การรู้จกั ความถนดั ความสามารถจุดเดน่ จดุ ด้อยของ ตนเองและของผู้อ่ืน เข้าใจความแตกต่างของแต่ละบุคคล รู้จักตนเอง ยอมรับ เห็นคุณค่าและ ภาคภูมิใจในตนเองและผู้อ่ืน มีเปา้ หมายในชีวติ และมคี วามรบั ผิดชอบ ซง่ึ มีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี 1. ความหมายของการเห็นคณุ ค่าในตนเอง การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-Esteem)เป็นความหมายรวมถึงการรู้คุณค่าต่อ การกระทาของตัวเอง ซ่ึงประกอบด้วยความซ่ือสัตย์และความภูมิใจในผลสาเร็จของงานที่ตนเอง กระทา มีความเชื่อม่ันในความสามารถของตนเอง ตลอดจนมีความรบั ผดิ ชอบต่อปัญหาทีต่ นเองก่อข้ึน บุคคลที่เห็นคุณค่าของตนเองสูง จะมีความคดิ รเิ รมิ่ และมงุ่ มั่นในการแก้ปญั หาชีวิตทเี่ กดิ ขนึ้ กับตนเอง รักผู้อื่นและเป็นท่ีรักของคนอื่น การค้นพบและตระหนักในคุณค่าแห่งตน เป็นพ้ืนฐานแห่ง ความร่วมมือที่นาไปสู่ความสาเร็จ ผู้ที่ตระหนักและเห็นคุณค่าของผู้อื่นจึงเกิดความร่วมมือกัน ในการทากิจการงานต่าง ๆ เป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ งานใหญ่จึงเป็นงานเล็ก งานยากจึงเป็น งานง่าย ซึ่งมีผ้ใู หค้ วามหมายการเห็นคณุ ค่าในตนเองไว้ ดังน้ี
256 อุมาพร ตรังคสมบัติ (2553, น. 63) ได้ให้ความหมายการเห็นคุณค่าในตนเองไว้ว่า หมายถึง ความคดิ และความรู้สึกทบ่ี ุคคลมตี ่อตนเองเมื่อบุคคลมองตนเอง ตัดสนิ วา่ ตนเองเป็นอย่างไร พอใจตนเองแค่ไหน มีความตระหนกั ถึงคณุ คข่ องตน และมคี วามเชอื่ มั่นในความสามารถของตน ชุมาภรณ์ ฝาชัยภูมิ (2559, น. 154) ได้ให้ความหมายการเห็นคุณค่าในตนเองไว้ว่า เป็นการประเมินตนเองด้วยความรู้สึกและเจตคติต่อตนเอง เก่ียวกับบุคลิกภาพและการประสบ ผลสาเร็จในการกระทาของตนเอง โดยมีความพึงพอใจและยอมรับตนเอง มองตนเองมีค่า รวมทั้ง มองเห็นว่าตนเองมีคุณค่าในสังคม เป็นท่ียอมรับของสังคมและบุคคลอื่น ๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็น พอ่ แม่ ครอู าจารย์ กลมุ่ เพอ่ื น หรอื บุคคลอ่ืน ๆ ทต่ี นมสี ว่ นตอ้ งเข้าไปเกย่ี วข้อง กิจจา บานชื่น ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ (2562, น. 115) ได้ กล่าวถึงความหมายของการเห็นคุณค่าในตนเองว่า หมายถงึ ความรู้สึกที่บุคคลมีต่อตนเองในทางท่ีดี มีความเคารพและยอมรับตนเองว่ามีความสาคัญ มีความสามารถและใช้ความสามารถท่ีมีอยู่กระทา สิง่ ตา่ ง ๆ ใหป้ ระสบความสาเร็จได้ตามเป้าหมาย ยอมรับนับถือตนเอง มีความเช่อื มน่ั ในตนเอง เคารพ ในตนเองและผู้อื่น และมชี วี ิตอยู่อยา่ งมีเป้าหมาย ศิยพร กล่าทวี และประพล นิลใหญ่ (2562, น. 118) ได้สรุปความหมายของ การเห็นคุณค่าในตนเองว่า หมายถึง การประเมินตนเองตามความรู้สึกของตน ว่าตนเองเป็นคนที่มี คุณค่า มีความสามารถ มีความสาคัญ มีการประสบผลสาเร็จในการทางาน รวมทั้งการยอมรับ การเห็นคุณค่าจากคนในสังคมท่ีมีต่อตน ตลอดจนการมีเจตติท่ีดีต่อตนเอง มีความเช่ือม่ันในตนเอง ซ่ึงบุคคลที่เหน็ คณุ คา่ ในตนเอง มองตนเองในแง่ดี กจ็ ะทาให้เกิดความรสู้ กึ กับบุคคลอนื่ ในแงด่ ดี ว้ ย จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า การเห็นคุณค่าในตนเอง หมายถึง ความรู้สึกที่บุคคล รับรู้ว่าตนเองมีคุณค่า นาไปสู่ความเชื่อม่ันในตนเอง และการยอมรับนับถือตนเอง ซึ่งเป็นผล จากการประเมินตนเองโดยภาพรวมในด้านความสามารถ ความสาคัญ และความสาเร็จของตนเอง และแสดงออกมาในรปู แบบของทัศนคติในแงบ่ วกท่มี ีต่อตนเอง 2. ความสาคัญของการเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง การเห็นคุณค่าในตนเองมีความสาคัญต่อทุกช่วงชีวิตของมนุษย์ บุคคลท่ีเห็นคุณค่า ในตัวเองต่าหรอื มคี วามรสู้ ึกที่ไม่ดีต่อตนเอง ก็เปรยี บเสมอื นเป็นคนพิการทางบุคลิกภาพ เช่นเดยี วกับ การพิการทางร่างกาย ซ่ึงทาให้ประสบความล้มเหลวในชีวิตทุก ๆ ด้าน การเห็นคุณค่าในตนเองจึงมี ความสาคัญต่อทุกคนทุกช่วงชีวิต เป็นสิ่งสาคัญท่ีก่อให้เกิดพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพ ทาให้มนุษย์ สามารถดารงชีวติ อยูอ่ ย่างมคี ุณค่าและสามารถบ่งช้คี ุณภาพชวี ิตของบุคคลได้ว่าเปน็ อยา่ งไรบุคคลจะ แสดงระดับของการเห็นคุณค่าในตนเองทแ่ี ตกต่างกันออกมาโดยรตู้ ัวหรือไม่รู้ตัว ด้วยลักษณะท่าทาง น้าเสียง คาพูด และการกระทา บุคคลท่ีมีการเห็นคุณค่าในตนเองในระดับสูงจะสามารถสร้างสรรค์
257 ความคิดหรือการกระทาท่ีจะเผชิญความเครียดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากน้ี การเห็นคุณค่าในตนเองยังเป็นปัจจัยสาคัญในการปรับตัวทางอารมณ์ทางสังคมและทางการเรียนรู้ เป็นจุดเร่ิมต้นของการรับรู้ชีวิตท่ีมีผลต่อความคิด ความปรารถนา ค่านิยม อารมณ์และ การตั้งเป้าหมายในชวี ิตของแต่ละบุคคลอันมีผลตอ่ การแสดงพฤติกรรม จนกระทั่งกลายเป็นลักษณะ ของบุคลกิ ภาพและการประสบความสาเร็จหรอื ความล้มเหลวท้งั ในชีวติ ดังนั้นการเห็นคุณค่าในตนเอง จงึ เป็นส่ิงสาคัญท่จี ะพัฒนาบุคคลไปสู่การเป็นบุคคลท่ีสมบูรณ์ได้ในที่สุด (พรรณราย ทรัพยะประภา, 2548) สอดคล้องกับปรีชา ธรรมา (2546) ได้กล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ ของการเห็นคุณค่าในตนเอง ท้ังระดับสูงและระดับต่า บ่งบอกให้ทราบถึงบุคลิกภาพที่ต่างกันอย่างชัดเจน อันเป็นผลจาก พัฒนาการของแต่ละคน บุคคลใดท่ีมีลักษณะของการเห็นคุณค่าในตนเองระดับสูงนับว่าเป็นผู้ท่ีมี คุณสมบัติพื้นฐานสาหรับการพัฒนาตนให้ก้าวไปสู่ขั้นถัดไป คือการบรรลุถึงศักยภาพสูงสุดแห่งตน (Self-Actualization) อันเป็นพัฒนาการท่ีเกิดจากการตอบสนองความต้องการขั้นสูงสุดตามแนว ทัศนะของมาสโลว์ ส่วนผู้ที่มีลักษณะของการเห็นคุณค่าในตนเองระดับต่าแสดงว่าเป็นผู้ท่ีมีพื้นฐาน ไมม่ นั่ คงท่ีเอ้ือตอ่ การพัฒนาตน แลว้ ยังเป็นผู้ทมี่ ีอปุ สรรคขัดวางทาใหก้ ารพัฒนาตนเปน็ ไปไดย้ าก จะเห็นได้ว่า การเห็นคุณค่าในตนเองมีความสาคัญอย่างยิ่ง ในการปรับตัวทางอารมณ์ สังคม และการเรียนรู้สาหรับเด็ก เพราะเห็นพ้ืนฐานของการมองชีวิต ความสามารถทางด้านสังคม และอารมณ์ เกิดจากการเห็นคุณค่าในตนอง บุคคลที่เห็นคุณค่าในตนเองสูงจะสามารถเผชิญกับ อุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ สามารถยอมรับเหตุการณ์ท่ีทาให้ตนเองรู้สึกผิดหวัง ท้อแท้ใจ ความเชื่อม่ันในตนอง มคี วามหวังและมีความกลา้ หาญ จะทาให้เป็นคนที่ประสบผลสาเร็จ มีความสุข สามารถดารงชีวิตได้อย่างมีความสุขตามท่ีตนปรารถนา บุคคลที่เห็นคุณค่าในตนเอง รู้ว่าตนเองมี คุณค่า มักจะมีการประเมินตนเองในด้านดี แตถ่ ้าบุคคลใดท่ีมีความรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจ ไม่ได้รบั การ ยอมรับหรือทาอะไรแล้วไม่ประสบความสาเร็จ จะทาให้บุคคลนั้นรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่า เม่ือเกิด ความรู้สึกเช่นนี้ข้ึนก็จะทาให้บุคคลน้ันขาดความเช่ือม่ันในตนเอง ดังนั้น การเห็นคุณค่าในตนเองที่ แตกต่างกันจงึ มีผลต่อความรสู้ กึ หรอื พฤตกิ รรมทแ่ี ตกตา่ งกนั ของแตล่ ะบุคคล สรุปได้ว่าบุคคลท่ีมีการเห็นคุณค่าในตนเองจะมีความเชื่อม่ันในตนเอง รู้สึกว่าตน มีคุณค่า มีความเข้มแข็ง มีความสามารถ มีประโยชน์และมีความสาคัญต่อสังคม ในทางตรงข้าม บุคคลที่ไม่มีการเห็นคุณค่าในตนเองจะรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย ช่วยตนเองไม่ได้ รับรู้ตนเองในทางท่ี ไม่ดี คิดว่าตนไม่มีประโยชน์ สิ้นหวังประเมินตนเองต่ากว่าผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับตัวของ บุคคลนน้ั ๆ ด้วย
258 3. แนวคดิ พืน้ ฐานของการเห็นคณุ ค่าในตนเอง การเห็นคุณค่าในตนแอง พิจารณาได้จากการเปรียบเทียบตนที่แทจ้ รงิ (Self-Concept) กบั ตนในอุดมคติ (Ideal-Self) โดยคนที่มองเห็นตนเองในอุดมคติขัดแย้งกับตนเองตามความเป็นจริง จะมีความภาคภูมิใจในตนเองต่า (Low Self-Esteem) และคนท่ีมีความคิดเห็นตรงกันกับตน ในอุดมคติ จะเป็นคนท่ีมีความภาคภูมิใจในตนเองสูง (High Self-esteem) บุคคลจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในตนเองได้ก็ต่อเมื่อยอมรับตนเองได้ โดยท่ีการรับรู้ของบุคคลตามที่เขารับรู้สอดคล้องกับตน ในอุดมคติหรือตามท่ีตนเองคาดหวัง ท้ังในด้านความรู้สึก เจตคติ ความเช่ือในเอกลักษณ์และคุณค่า ความศรัทธาในตนเอง รวมทั้งการรับรู้สัมพันธภาพของตนเองกับบุคคลอ่ืน ถ้าบุคคลใดคิดว่าตนเอง ตามความเปน็ จริงเท่าเทยี มหรือใกล้เคียงกบั ตนเองในอุดมคติมากเพียงใด บุคคลก็จะมีความภาคภูมใิ จ ในตนเองมากข้ึน หรือกล่าวได้ว่าความภาคภูมิใจในตนเองเป็นผลต่างของความคลาดเคลื่อนของ ตวั ตนทแ่ี ทจ้ ริงและตัวตนทอ่ี ยากจะเป็น (กิจจา บานชืน่ ฐณิ วี รรณ วุฒวิ กิ ัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ, 2562, น. 115-116) นอกจากนี้เหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของบุคคลก็มีผลต่อ ความภาคภูมิใจในตนเองของบุคคลด้วย กล่าวคือ ถ้าสถานการณ์เป็นไปในด้านดีมีความสาเร็จในสิ่งที่ กระทา ความภาคภูมิใจในตนเองก็เพิ่มข้ึน ในทางตรงกันข้ามการประสบความล้มเหลวก็จะทาให้ บุคคลรสู้ กึ ว่าตนไม่มีความสามารถ ไร้ประโยชน์ ความภาคภมู ิใจในตนเองยอ่ มลดลง Self-Concept Ideal-Self Self-Concept Ideal-Self Low Self-Esteem High Self-Esteem ภาพท่ี 6.1 การเปรียบเทยี บตวั ตนทแ่ี ทจ้ ริง กบั ตัวตนในอดุ มคติ ทมี่ า: เรวัฒน์ วฒั นไชย, 2538, น. 54 จะเห็นว่า ความตระหนักในคุณค่าแห่งตน มีประโชน์ต่อตัวเราหลายประการ สรุปได้ ดังนี้
259 1. ทาให้รจู้ ักตวั ตนทแี่ ท้จริงของเรา 2. ทาให้เกดิ การปรบั ปรงุ ตนเองด้วยความสมคั รใจ 3. สามารถดงึ เอาพลังแหง่ ศักยภาพของตนมาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์สงู สุดได้ 4. ทาให้ตัวเรามีบุคลิกภาพดี เป็นท่ีรักแก่บุคคลทั่วไปและทาให้เกิดความร่วมมือ ซ่งึ กันและกนั ในภารกจิ การงาน 5. มคี วามสขุ ในการปฏิบัติหน้าทกี่ ารงาน 6. หน่วยงาน องค์กร สังคม เป็นมิตรและผูกพันมีไมตรีจิต ช่วยหลือเก้ือกูล ซ่งึ กันและกัน ทาใหม้ คี วามเจริญก้าวหน้า 4. พฒั นาการของการเห็นคณุ คา่ ในตนเอง พ้ืนฐานของการเห็นคุณค่าในตนเองน้ันมีพัฒนาการมาจากความรัก และการยอมรับ ในตัวเด็กของพ่อแม่ สิ่งนี้เป็นรากฐานหลักในการสร้างเสริมความรู้สึกท่ีมั่นคงของการรักตนเองและ ความหวังให้ผู้อ่ืนรักตน ต่อมาความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองของเด็ก จะขยายความรักความเอาใจใส่ ของพ่อแม่ ไปสบู่ คุ คลอืน่ ในครอบครัวและขยายกวา้ งออกมาสู่เพ่อื น การเหน็ คุณค่าในตนเอง ในชว่ งน้ี จะขึ้นอยู่กับการได้รับผลสาเร็จตามเป้าหมาย โดยข้ันแรกสุดเด็กจะปฏิบัติตนให้พ่อแม่ พอใจ และ ต่อมาเป้าหมายจะค่อย ๆ ขยายมาอยู่บนพื้นฐานของมาตรฐานกลุ่มมากข้ึนเรื่อย ๆ เด็กจะมี ความต้องการเห็นคุณค่าในตนเองได้ โดยการท่ีเด็กเรียนรู้ตนเอง ซึ่งวัดได้จากส่ิงที่เพ่ือนติดต่อกับ ตวั เรา เด็กจะเริ่มพฒั นาสติปญั ญา ทักษะทางสังคม และความมั่นใจในตนเองให้สงู ขึ้น ถา้ จุดดเี หลา่ น้ี หากได้รับการเสริมแรงจากกลุ่มเพื่อนและบุคคลอ่ืนๆ การรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองของเด็กก็จะ พัฒนาขน้ึ ไปเร่อื ย ๆ พัฒนาการของการเห็นคุณค่าในตนเองเป็นส่วนท่ีได้รับการพัฒนามาจากอัตมโนทัศน์ ของเด็ก (Self-Concept) ซ่ึงเเบ่งข้ันตอนตามวัยดังนี้ (ศิยพร กล่าทวี และประพล นิลใหญ่, 2562, น. 119-121) ข้ันท่ี 1 ระยะก่อนรู้สานึกตนเอง (Existential or Pre Self Awareness) อายุ 0-2 ปี เป็นขั้นพื้นฐานท่ีได้เรียนรู้เก่ียวกับส่ิงแวดล้อมรอบตัว โดยในวัยเร่ิมแรกเด็กจะให้ความสนใจมารดา ต่อมาเด็กจะสนใจในตนเอง โดยมองภาพของตนเองจากกระจก ซึ่งเป็นการช่วยให้เด็กสามารถ แยกแยะตนเอง และพูดในสว่ นทเ่ี ก่ียวกบั ตนเองได้ ข้ันท่ี 2 ปฏิบัติตนตามภายนอก (Exterior Self) อายุ 2 - 13 ปี ในขั้นน้ีเด็กรวบรวม รายละเอียดจากข้อมูลต่าง ๆ มีการประเมินความรู้สึกในทางบวกและลบ ซ่ึงเป็นระยะท่ีสาคัญมาก ต่อเด็ก เน่ืองจากเด็กได้รับข้อมูลประสบการณ์ ความสาเร็จหรือความ ล้มเหลว รวมทั้ง ข้อวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใหญ่ เป็นสิ่งท่ีมีอานาจต่อการพัฒนาความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองอย่างยิ่ง
260 ในการช่วยให้เด็กเกิดความรู้สึกว่าตนมีคุณค่ามากขึ้น ท้ังในปัจจุบันและอนาคต ดังน้ันในข้ันน้ี เด็กเร่มิ เรียนรู้เก่ียวกับตนเองในรปู ทางกายภาพ เมือ่ อายุ 8 ปี เด็กเร่ิมแบ่งแยกจิตใจกับร่างกาย และ ยอมรบั ในสว่ นที่เปน็ กระบวนการภายใน ในช่วงวัยรุ่น เป็นวัยที่กาลังสร้างเอกลักษณ์แห่งตน เด็กกาลังค้นหาว่าตนเองเป็นใคร และกาลังมุ่งไปในทิศทางไหน เด็กจะต้ังคาถามกับตนเองว่า ฉันควรจะเป็นอย่างไร และฉันควรทา อะไร ในเด็กที่มีการเห็นคุณค่าในตนเองสูงจะใช้คาตอบเชิงบวกกับตนเอง แต่หากการเห็นคุณค่าใน ตนเองต่า เด็กจะมคี าตอบในเชิงลบกบั ตนเอง ความคดิ ดังกลา่ วทาให้เด็กเกดิ ปัญหาไดห้ ลายอย่าง เช่น การเรียนตก ถูกไล่ออกจากโรงเรียน มีพฤติกรรมกเร ใช้ยาเสพย์ติดชอบไปเที่ยวสถานเริงรมย์ หรือ มั่วสุม เป็นต้น วัยรุ่นต้องการการเห็นคุณค่าในตนอง โดยจะเรียนรู้เก่ียวกับตนเองจากสิ่งที่เพื่อน ๆ คิดเก่ียวกับตัวเขา เด็กจะเริ่มพัฒนาทางสติปัญญา ทักษะทางสังคม และความมั่นใจในตนเองสูงข้ึน ถา้ สง่ิ เหล่าน้ีไดร้ ับการเสริมแจกกลุ่มเพอ่ื นที่รกั และนยิ มชมชอบ เดก็ กจ็ ะการเห็นคุณค่าในตนเองสูงข้ึน อย่างไรก็ตามเด็กในกลุ่มอันธพาลอาจพบว่า ยิ่งถ้าเขาแสดงพฤติกรรมแข็งกร้าวเพียงใดกลุ่มก็จะให้ ความสาคัญกับเขามากข้ึน ก็แสดงว่าภาพท่ีเก่ียวกับตนเองของเดก็ ไดร้ ับการสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อน ทาให้เด็กเกิดความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมก็ตาม การเห็น คุณค่าในตนเองน้นั พัฒนามาจากการอบรมเล้ียงดูของบิดามารดา และสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ การได้รับ ความรัก ความไวว้ างใจจากบิดามารดา สมาชกิ ในครอบครวั ต่อมาเปน็ กลุ่มเพือ่ นท้ังท่บี ้าน ท่ีโรงเรยี น และครู จะช่วยส่งเสริมความรู้สึกท่ีมั่นคงต่อการรักตนเอง มีอัตมโนทัศน์ที่ดีเก่ียวกับตนเอง และ มีความคาดหวังให้ผู้อื่นรักตน ต่อมาเด็กก็จะมีการขยายความรักความเอาใจใส่ที่บิดามารดามีต่อตน ขยายไปส่บู ุคคลในครอบครวั และขยายกว้างออกไปยังกล่มุ เพ่ือนและบุคคลต่าง ๆ ในสงั คม ลกั ษณะของเด็กที่เห็นคุณค่าในตนเอง โดยลักษณะของบุคคลท่ีเห็นคุณค่าในตนเองสูง มลี ักษณะดงั นี้ 1. มคี วามเชือ่ มน่ั ในตนเอง 2. มองตนเองในดา้ นบวก 3. มคี วามรูส้ ึกมนั่ คงและปลอดภยั ไมห่ วน่ั ไหวตอ่ คาวิจารณ์ 4. มลี กั ษณะยอมรับตนเอง ยอมรบั ความคิดเหน็ ของผอู้ ่ืน 5. ใส่ใจในความสามารถรับรคู้ วามร้สู ึกของผอู้ ่ืนไดอ้ ย่างละเอยี ดอ่อน 6. สามารถแสดงความคิดเห็นและความต้องการของตนเองอย่างตรงไปตรงมา ตามความเป็นจริง 7. ใชก้ ลไกในการป้องกนั ตนเองน้อย 8. เป็นผู้รเิ ริ่มสร้างสมั พนั ธภาพกับผู้อืน่ กอ่ น 9. มคี วามยดื หย่นุ และมคี วามริเริ่มสร้างสรรค์ทม่ี ปี ระโยชน์
261 ลักษณะของคนที่เห็นคุณค่าในตนเองนั้นจะเป็นคนที่มีควมรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อ่ืน เป็นผู้ท่ีมีความเช่ือมั่นในตนเอง มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมท่ีดี มีอารมณ์ มั่นคง มีบุคลิกภาพท่ีดีมีมนุษสัมพันธ์ท่ีดี มีความกระตือรือรั้น สามารถทางานให้ประสบผลสาเร็จได้ มีความเป็นอิสระ เป็นผู้นาและมีความรับผิดชอบ กล้าหาญ ไม่หลีกเล่ียงปัญหาทาให้ชีวิตมีความสุข ปราศจากความวติ กกงั วลและแก้ปญั หาไดด้ ี 5. องค์ประกอบของการเหน็ คุณค่าในตนเอง การเห็นคุณค่าในตนเองของบุคคลเป็นการประเมินอัตมโนทัศน์ของบุคคล ซ่ึงได้แก่ ความคดิ ความรสู้ ึก และเจตคตทิ บี่ ุคคลมีต่อตนเอง ซงึ่ แนวคิดเกย่ี วกับองคป์ ระกอบของตนท่ีเกยี่ วขอ้ ง กับการเห็นคุณค่าของตนเอง แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ (ศิยพร กล่าทวี และประพล นิลใหญ่, 2562, น. 121-122) 5.1 ภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) เป็นลักษณะของบุคคลที่ปรากฎออกมาใน ช่วงแรกของชีวิต ซ่ึงได้ภาพลักษณ์จากบุคคลอ่ืน โดยเฉพาะบิดา มารดา สมาชิกในครอบครัว และ เพือ่ น ๆ ตามลาดับ 5.2 ตนในอุดมคติ (Ideal Self) เปน็ ภาพท่ีบุคคลต้องการจะเป็นตนในอุดมคติ มีจุดเริ่ม จากการท่ีมีบุคคลอน่ื ๆ เป็นแบบอย่าง และจะสร้างแบบอย่างของตนข้ึนมา (Model Self) ในเดก็ เล็ก ก็จะมแี บบอยา่ งเป็นของตนเอง โดยเรม่ิ จากบิดา มารดา หรอื บคุ คลใกลช้ ดิ 5.3 การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self Esteem) เป็นความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองหรือตน ในอุดมคติ ซึ่งเป็นส่วนสาคัญในการตัดสินคุณค่าในตนเอง และเกี่ยวข้องกับความแตกต่างระหว่าง ภาพลักษณ์แห่งตน กับตนในอุดมคติ ถ้าใกล้กันมากก็จะมกี ารเห็นคุณคา่ ในตนเองสูง และถ้าแตกต่าง กันมาก ก็จะเห็นคุณค่าในตนเองต่า จะทาให้เป็นคนที่มีความวิตกังวลสูง มีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และมสี ุขภาพจติ ไม่ดี การพัฒนาเด็กให้เห็นคุณคา่ ในตนเองนั้น ควรที่จะตอ้ งใหค้ วามสาคัญขององค์ประกอบ ทีเ่ ป็นปจั จัยในการส่งเสรมิ การเหน็ คุณค่าในตนเองเป็นอยา่ งมาก จงึ จะทาให้สง่ ผลที่ดตี อ่ การพฒั นาตน 6. เชาวน์อารมณ์กับการเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง “E.Q.” คือ ช่ือย่อของ Emotional Quotient หรือ เชาวน์อารมณ์ (Emotional Intelligence) ซ่ึงหมายถึง ความสามารถในการตระหนักรู้ ถึงความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น เพ่ือ การสร้างแรงจูงใจในตนเองบริหารจัดการอารมณ์ต่างๆ ได้ ในเวลาไม่ก่ีปีท่ีผ่านมาน้ี E.Q. ได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อและมุมมองต่อสูตรแห่งความสาเร็จใน เร่ือง การเก่งคน เก่งคิด และ เก่งดาเนินชีวิต คนที่คิดแก้ปัญหาเฉพาะทางได้ดี หรือ มี I.Q. (Intelligent Quotient) สูง หรือ
262 ความเฉลียวฉลาดทางสติปัญญาสูงอาจจะไม่ประสบความสาเร็จในการดาเนินธุรกิจหรืองานทาง ด้านบริหาร ตัวอย่างเช่น วิลเลียม ชอกลีย์ (William Shockley) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ประจาปี พ.ศ. 2499 ของสหรัฐอเมริกาจากการประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ซ่ึงเป็นช้ินส่วนอิเล็กทรอนิกส์สาคัญได้ เป็นคนแรกของโลก ชอกลีย์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิวัติโลกอิเล็กทรอนิกส์ และได้ช่ือว่า เป็น “บิดาแห่ง ทรานซิสเตอร์” แต่เม่ือเขามาเปิด โรงงานผลิตทรานซิสเตอร์ ณ ซิลิกอน แวลลีย์ สหรัฐอเมริกา ก็ไม่เป็นที่ยอมรับในเชิงการบริหารและการมีวิสัยทัศน์ทางด้านธุรกิจจากผู้ร่วมงาน นอกจากน้ี E.Q. ยงั มีบทบาทสาคญั ในการใชช้ ีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวติ ทางาน ชีวิตส่วนตัวชีวิตครอบครัวและสังคม เร่ืองท่ี น่าสนใจและน่าดีใจก็คือ E.Q. สามารถเพิ่มพูนได้ฝึกฝนได้ เพ่ิมทักษะได้ การเสริมสร้าง E.Q. โดยวิธีการฝึกใช้ E.Q. ก็เป็นวิธีการท่ีจะช่วยเพ่ิมพูนความฉลาดทางอารมณ์ แม้ว่า E.Q. จะเป็น ของใหม่สาหรับเมืองไทย แต่หากมองเข้าไปลึกๆ ถงึ ข้อคดิ ของการดาเนนิ ชวี ติ ในด้านตา่ ง ๆ ทป่ี ู่ ย่า ตา ยาย หรือบรรพบุรุษของไทยเรา ได้ฝากคติเตือนใจไว้ในสานวน สุภาษิต คาคมและโวหาร เช่น “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” อันเป็นขอ้ คิดท่ีให้ลกู หลานรู้ ระวังรักษาควบคุมอารมณ์ รู้ระวังความคิด ไม่ให้กระเจิดกระเจิง กระจัดกระจายอารมณ์และความคิด ซ่ึงโบราณหมายรวมถึงจิตหรือใจเป็นต้น แห่งการกระทา และคาพูด ตลอดจนการเลือกตัดสินใจทาสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยกาย หากมองในแง่น้ี แม้ว่า E.Q. จะดูเป็นของใหม่ แต่การใช้ E.Q. สาหรับคนไทยในหลายเรื่องได้รับการปลูกฝังมานาน ทีเดยี ว (กิจจา บานชน่ื ฐิณีวรรณ วุฒวิ กิ ัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ, 2562, น. 117-118) องค์ประกอบพื้นฐานสาคญั ของ E.Q. ประกอบดว้ ย 5 ประการของ ได้เก่ 1) ความตระหนกั ในคุณคา่ แห่งตน (Self-Esteem) 2) การจดั การกบั อารมณ์ (Managing Emotion) 3) การจูงใจตนเอง (Motivating Oneself) 4) การเห็นอกเห็นใจ (Empathy) 5) ทักษะทางสังคม (Social Skills) จะเหน็ ได้ว่าการเหน็ คณุ ค่าในตนเอง เป็นส่วนหน่ึงของเชาวน์อารมณ์ ภาพท่ี 6.2 การเปน็ คนโดยสมบรู ณ์น้ันต้องประกอบดว้ ย I.Q. , E.Q. และ S.Q. ทม่ี า: https://goodmodo.com/iq-eq-mq-aq-abd-other-q/
263 7. การพฒั นาการตระหนกั ในคุณคา่ ของตนเองในเรือ่ งเพศ 7.1 การยอมรับความรู้สึกของบุคคลตามความเป็นจริง จะชว่ ยให้เขาสามารถถ่ายทอด ความรู้สึกออกมา โดยเฉพาะการยอมรับความรู้สึกทางลบ ความรู้สึกกลัว ความรู้สึกขัดแย้งเเละ ความรู้สึกปฏิเสธของบคุ คล เปน็ สงิ่ ท่ีเป็นประโยชนต์ ่อการแสดงความรู้สึกของบุคคลในขณะนัน้ 7.2 การยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเผชญิ กบั ปัญหาเละวิธีการแก้ปัญหา ท่ีแตกต่างกัน ควรทาความเข้าใจในวิธีการแก้ปัญหาและให้โอกาสแต่ละบุคคลในการแสดง ความสามารถในการแก้ปัญหา เนื่องจากบุคคลมีความคิดที่เหมาะสมเฉพาะวัยของเขาและ มีความรับผิดชอบต่อปัญหาที่เขาต้องเผชิญอยู่แล้ว นอกจากน้ีการให้โอกาสเขาได้ฝึกเลือกวิธีการ แก้ปญั หาเองน้ัน จะทาใหบ้ ุคคลค้นพบว่ายังมวี ิธีการทเ่ี หมาะสมอกี หลายอยา่ งทเี่ ขาอาจจะเลอื กใช้ 7.3 ควรหลีกเล่ียงการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นกบั บคุ คลอยา่ งกะทันหัน ซ่ึงจะทาให้บุคคล เกิดความรู้สึกไม่ม่ันใจ ดังน้ันเม่ือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นควรแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างชัดเจน ในทนั ทแี ละถ้าเปน็ ไปได้ไมค่ วรให้มีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งกะทนั หนั เกิดขึ้น 7.4 การมีตัวแบบที่ดีและมีประสิทธิภาพในการเผชิญเน่ืองจากตัวแบบมีอิทธิพลต่อ ความรู้สึกม่ันคงของบุคคลตัวแบบ จึงควรมีความเช่ือม่ันและให้การสนับสนุนบุคคลสามารถใช้ ศกั ยภาพท่ีมีอยใู่ นการเผชิญปัญหาอย่างม่ันใจ และให้กาลังใจว่าเขาสามารถที่จะประสบความสาเร็จ ไดใ้ นการเผชิญปญั หาด้วยตวั เอง 7.5 ช่วยให้บุคคลพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดยให้เขาได้ระบาย ความขุ่นมัวซ่ึงจะเป็นโอกาสให้เขาได้ค่อย ๆ เข้าใจความยุ่งยากในตนเอง ช่วยลดระดับความเครียด จากนน้ั บคุ คลจะค่อย ๆ ใสใ่ จกับความรู้สึกทเ่ี กดิ ขึน้ กบั ตนเอง 7.6 ให้ความสาคัญกบั การนบั ถือตนเองของบุคคลนั้น เพ่อื เพมิ่ ความเข้มแข็งในการท่ีจะ แก้ปญั หา 7.7 สนับสนุนให้ผู้ใกล้ชิดมีความรู้ความเข้าใจในตัวบุคคลน้ัน และให้ความร่วมมือ ในการเสรมิ สร้างความเขม้ แขง็ ในการทจี่ ะแกป้ ัญหา ทกั ษะการสอ่ื สาร การสื่อสารทางเพศมีความสาคัญและจาเป็นในการดาเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารที่ บ้าน ท่ีโรงเรียน หรือท่ีทางาน การสื่อสารไม่ได้หมายถึงแต่เพียง “การพูด” แต่มีความหมายไปถึง การสื่อสารผ่านการมองด้วยสายตา การฟังด้วยหู การใช้ภาษากาย ตลอดจนการใช้สมองและหัวใจ เพอื่ ให้เกิดการสอื่ สารทห่ี ลากหลายความรูส้ ึก ซ่ึงมรี ายละเอยี ดดงั นี้
264 1. ความหมายของทักษะการสื่อสาร ทักษะการส่ือสาร หมายถึง ความสามารถในการใช้คาพูดและภาษาท่าทางเพ่ือแสดง ความรู้สึกนึกคิดของตนอย่างเหมาะสมกับสภาพวัฒนธรรมและสถานการณ์ต่าง ๆ โดยสามารถที่จะ แสดงความคิดเหน็ ความปรารถนา ความต้องการ การขอร้อง การเตือน และการขอความช่วยเหลือ การส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถในการใช้คาพูดและภาษา ท่าทาง เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนอย่างเหมาะสมกับสภาพวัฒนธรรมและสถานการณ์ต่าง ๆ โดยสามารถท่ีจะแสดงความคิดเห็น ความปรารถนา ความต้องการ การขอร้อง การเตือนและ การขอความชว่ ยเหลอื การสื่อสารทางเพศ หมายถึง การท่ีฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดสามารถที่จะโน้มน้าวจิตใจของ อีกฝ่ายหน่ึงโดยใช้คาพูดที่เหมาะสมหรือใช้ท่าทางประกอบ เพื่อให้ฝ่ายนั้นเข้าใจสภาพปัญหาท่ี อาจเกิดขึน้ ในอนาคตได้ เชน่ ความไม่พรอ้ มในการต้ังครรภ์หากมีเพศสัมพนั ธใ์ นเวลาที่ยังไม่เหมาะสม การช่วยตนเองเพื่อลดระดับของอารมณ์ทางเพศทีก่ าลังเกดิ ข้ึนในขณะนั้น (ชมุ าภรณ์ ฝาชยั ภมู ิ, 2562, น. 116) 2. การสือ่ สารทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ การส่ือสารมีความสาคัญและจาเป็นในการดาเนินชีวิต นอกจาก “การพูด” แล้ว การส่ือสารยังรวมไปถึงการส่ือสารผ่านการมองด้วยสายตา การฟังด้วยหู การใช้ภาษากาย ตลอดจน การใช้สมองและหวั ใจ เพ่อื ใหเ้ กดิ การสือ่ สารทห่ี ลากหลายความร้สู กึ การสื่อสารประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ผู้ส่งสาร ผู้รับสาร และตัวสาร หากผู้ส่งสาร มีความสามารถในการส่งสารเป็นอย่างดี และผู้รับสารก็มีความสามารถในการรับสารได้ดี ก็จะทาให้ เกิดความเข้าใจในเนื้อหาของสารได้ถูกต้อง ดังน้ันการส่ือสารที่มีประสิทธิภาพต้องมีองค์ประกอบ สาคัญดังนี้ (กิจจา บานชน่ื ฐณิ วี รรณ วุฒิวกิ ยั การ และวรฑา ไชยาวรรณ, 2562, น. 97) 2.1 ทักษะการติดต่อสื่อสาร หมายถึง ความรู้ ความสามารถ และความชานาญ ในการพูด การเขียน การฟัง และการตีความของผู้ส่งสารและผู้รับสาร ย่ิงมีความรคู้ วามสามารถมาก ก็จะทาใหก้ ารตดิ ต่อส่อื สารไดผ้ ลดียิ่งข้ึน ใช้เวลาน้อย เข้าใจงา่ ย และเกิดการเรยี นรูไ้ ดเ้ รว็ ข้ึน 2.2 ทัศนคติ เป็นส่ิงสาคัญที่มีผลต่อการติดต่อสอ่ื สาร ท้ังผู้ส่งสารและผู้รับสารจะต้องมี ความเชื่อมนั่ ในตัวเอง มั่นคงในเน้อื หา และวธิ กี ารทีจ่ ะถ่ายทอด 2.3 ความรู้ ผู้ส่งสารต้องมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาท่ีถ่ายทอด ทั้งนี้ความรู้ ความเข้าใจในเน้ือหาย่งิ มีระดับสงู กจ็ ะมผี ลทาใหก้ ารถา่ ยทอดข่าวสารได้มากขึน้ 2.4 ลักษณะของสาร การติดต่อส่อื สารจะมีประสิทธภิ าพขนึ้ อยูก่ ับเนอื้ หา หรอื ข่าวสาร เป็นท่ีสนใจของผู้รับสาร ข่าวสาร ใช้สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายที่เก่ียวข้องกับประสบการณ์ของ
265 ผู้รับสาร ให้เข้าใจง่ายหรือเกิดการเรียนรู้ ภาษา ภาพ ไม่สลับซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของ ผรู้ บั สาร ข่าวสารต้องเร้าความต้องการของผู้รับและตอ้ งมกี ารแนะแนวทางในการสนองความต้องการ น้ัน ๆ ได้ ต้องสร้างให้เกิดความดึงดูดความสนใจของผู้รับ กระตุ้นหรือจูงใจให้ผู้รับตื่นตัวอยู่เสมอ มีความพร้อมท่ีจะรบั 2.5 การติดต่อสือ่ สารควรทาแบบต่อเน่ือง สม่าเสมอ 2.6 การตดิ ตอ่ สอื่ สารจะตอ้ งเลอื กใช้ช่องทางหรือสือ่ ทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ 2.7 บรรยากาศในการติดตอ่ สือ่ สาร ต้องมบี รรยากาศเปน็ กนั เอง อบอุ่น และอสิ ระ 2.8 ผู้ถ่ายทอดข่าวสาร รู้จักใช้วิธีการแก้ปัญหาอุปสรรคของการสื่อสารต่าง ๆ ได้ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ เช่น การขจดั ปญั หาการพดู ทใี่ ชศ้ พั ท์สงู กนิ ไป ปญั หาการอธบิ ายวกวน เปน็ ตน้ 3. การเป็นผูพ้ ูดที่ดี การส่ือสารน้ันสามารถทาได้หลายช่องทาง เช่น การพูดคุยกันต่อหน้า การพูดคุยกัน ทางโทรศัพท์ การพดู คุยกันทางอินเทอร์เน็ตการส่งจดหมายตดิ ต่อถงึ กัน การส่งอีเมล การส่งข้อความ ทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ การมีทักษะในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คนในครอบครัว มีความเข้าใจกนั เป็นการชว่ ยป้องกนั และลดความขัดแยง้ ในครอบครัวลงได้ หรือเมแ้ ต่ปัญหาเร่ืองเพศ พ่อ แม่ ลูก หรือสามีภรรยาก็สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้ เม่ือครอบครัวมีความเข้าใจกันก็สามารถ แก้ปัญหาในเรื่องเพศได้ การมีทักษะการส่ือสารท่ีดีจาเป็นต้องเรียนรู้ทักษะในด้านการเป็นผู้พูดท่ีดี ซงึ่ ควรคานงึ ถึงสงิ่ ตอ่ ไปน้ี (ศยิ พร กล่าทวี และประพล นลิ ใหญ่, 2562, น. 107-108) พูดกับใคร การพดู นนั้ ตอ้ งใชถ้ อ้ ยคาให้เหมาะสมกับคนที่เราพูดดว้ ย เช่น พดู กับพ่อแม่ พดู กบั เพอ่ื น หรือพูดกับเด็ก พูดกบั ผู้ใหญ่ ก็จะต้องใช้ระดบั ภาษาที่ต่างกันและควรใช้คาสุภาพ เพราะการใช้คาพูด ทไ่ี ม่สภุ าพอาจนาไปสคู่ วามขดั เเย้งได้ พูดทไ่ี หน การพูดนนั้ ต้องใชถ้ อ้ ยคาใหเ้ หมาะสมกับสถานท่ี ควรดวู ่าเปน็ ที่ส่วนตวั ท่ีสาธารณะหรือ อยูใ่ นพิธีการ ควรใช้คาพดู และระดับเสยี งให้เหมาะสมกบั สถานที่นน้ั เชน่ หากนักเรยี นอยู่ในพธิ ีไหวค้ รู แล้วจาเปน็ ต้องพดู กับเพอ่ื นควรพูดอยา่ งกระชับ โดยใช้น้าเสยี งเบาเพ่ือไม่ใหร้ บกวนผู้อืน่ พูดเวลาใด การพูดนั้นควรคานึงถึงอารมณ์ของผู้ท่ีเราสนทนาด้วยว่าในเวลานั้นเป็นอย่างไร หรือ สถานการณ์ในขณะนั้นเราควรจะพูดอย่างไร เช่น ไม่ควรพูดเล่นในขณะที่พูดเป็นการเป็นงาน ไมพ่ ดู เย้าแหย่ในขณะที่มอี ารมณโ์ กรธ
266 พดู ในโอกาลใด การพูดคุยในโอกาสต่าง ๆ ควรมีความแตกต่างกัน เช่น ในงานสังสรรค์อาจพูดกุยกัน อย่างเต็มที่สนุกสนาน ในงานศพควรสารวมกิรยิ าไม่หัวเราะ ไม่พูดตลกขบขัน ในงานแต่งงานควรใช้ คาพดู ทีเ่ ปน็ สริ ิมงคล ไม่ควรพูดลอ้ เลน่ ให้คูบ่ ่าวสาวเกดิ ความระแวงแคลงใจกัน พดู อย่างไร เปน็ การพูดให้ผฟู้ งั รู้สกึ ชอบใจ ซึ่งต้องใช้คาพดู ที่สุภาพ นุ่มนวล ไม่หยาบคาย เป็นคาพูด ในเชิงบวก ไม่พูดติเตียนให้ร้ายผู้อื่น ใช้คาพูดที่ไพเราะ พูดด้วยความจริงใจไม่เสแสร้ง ถ้าทาได้เช่นน้ี ก็จะทาใหผ้ ูฟ้ งั หรือคู่สนทนาพอใจ 4. การส่ือสารเรอื่ งเพศในครอบครวั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพ่อแม่กบั ลูกวัยรนุ่ เปน็ ความสมั พนั ธ์ทท่ี าให้ราบร่ืนได้ แต่คอ่ นขา้ ง ยาก เพราะลูกมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง โต้เถียงพ่อแม่ตามเหตุผลหรือประสบการณ์ ของวัยรุ่นและไม่ค่อยเช่ือฟัง แต่สัมพันธภาพท่ีดีระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยรุ่นยังเป็นช่องทางสาคัญ ที่พ่อแม่จะอบรมส่ังสอน ตักเตือน ปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และป้องกันปัญหาต่าง ๆ ได้ เรื่องเพศเป็นปัญหาที่พ่อแม่ค่อนข้างหนักใจและกังวลว่าลูกจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุน่ พ่อแม่จงึ มหี น้าทต่ี ้องสื่อสารใหล้ ูกเขา้ ใจวา่ เรอื่ งเพศไม่ใช่เร่อื งบนเตยี งหรือ การมีเพศสัมพันธ์เท่าน้ัน แต่ส่ิงสาคัญคือการมีความรู้ความเข้าใจและทัศนคติท่ีถูกต้องเหมาะสม ทั้งในด้านการแสดงออกทางเพศ การปฏิบัติตนต่อเพศตรงข้าม การปูพ้ืนฐานเร่ืองเพศตั้งแต่เด็กมี ความสาคัญมาก เพราะเดก็ จะเข้าใจและมีแนวทาง ในการปฏิบัติท่ีถูกต้อง รศ.พญ. จันท์ทิตา พฤกษานานนท์ กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านพัฒนาการและการเจริญเติบโต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้แนะนาวิธีสอ่ื สารกับลูกเรอ่ื งเพศไว้ว่า “การสอนเรื่องเพศกบั ลกู ควรสอนให้เป็นเร่อื งปกติเหมือนสอนเดก็ กินข้าว อาบนา้ แปรงฟัน ซ่ึงจะทา ให้คุ้นเคยในการพูดเรื่องเพศ จนลูกโตเป็นวัยรุ่น การสอนเรื่องเพศควรเร่ิมต้ังแต่อายุ 3 ขวบ เพราะ เดก็ จะเร่ิมรวู้ ่าตนเองเปน็ ผู้ชายหรอื ผู้หญงิ การสอนลูกวยั รุ่นต้องมีความยดื หยุ่นและอยู่บนพ้ืนฐานของ ความรัก ความเข้าใจ เนื้อหาท่ีพอ่ แม่ให้ความสาคัญและสื่อสารให้ลูกเข้าใจ มีทัศนคติทีเ่ หมาะสมเพ่ือ เป็นรากฐานที่ดีให้กับลูก ควรเป็นหัวข้อดังต่อไปน้ี (กิจจา บานช่ืน ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ, 2562, น. 98-99) 4.1 การดูแลรักษาความสะอาดของอวยั วะเพศ สอนลกู ให้เรยี กช่ืออวยั วะเพศให้สุภาพ ฟังได้ ไมเ่ ขินอาย และพูดให้เปน็ เร่อื งปกติธรรมชาติ
267 4.2 ความรัก ความอบอุ่น ความสุขในการใช้ชีวิตคู่ แสดงให้เห็นความรักความผูกพัน ของพอ่ แมเ่ ป็นตัวอย่างที่ดีให้เลียนแบบ การสอนให้มคี วามรักในครอบครัวจะเป็นเกราะกาบงั ลกู ไมใ่ ห้ ตดิ ยาเสพตดิ หรือมีความรักทีไ่ มป่ ลอดภยั ในวัยเรียน 4.3 การตอบสนองต่อสิ่งอารมณ์ทางเพศ วา่ ควรจะเป็นไปในทางใดจึงจะเหมาะสมกับ วัยและสถานการณ์ รวมทั้งความสามารถในการอดทนอดกลั้น ควบคุมอารมณ์ หรือเบ่ียงเบน ความสนใจในเร่อื งเพศ หนั ไปสนใจในดนตรี การออกกาลังกาย การเรียน การงานทมี่ ปี ระโยชน์แทน 4.4 ทักษะในการปฏิเสธการมคี วามสัมพนั ธท์ างเพศสาหรบั ลกู ผู้หญิง วิธีการหลีกเลี่ยงท่ี จะมีเพศสมั พนั ธ์เม่อื ไมพ่ ร้อม การป้องกนั ตนเองจากการโดนล่วงละเมิดทางเพศหรือลวนลามทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นจากเพ่ือน คนใกล้ชิด ญาติ หรืออาชญากรทางเพศตามท้องถนน วิธีการชว่ ยเหลอื ตนเอง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว รวมทั้งการแก้ไขสถานการณ์ และการหาความช่วยเหลือ หลังจากเกิดสถานการณ์ นอกจากน้ี การสอนให้รู้จกั ความรักที่ปลอดภัย การมีความสัมพันธ์ทางเพศ ท่ปี ลอดภัยกส็ ามารถเปน็ หัวขอ้ ในการพดู คุย 4.5 ทักษะในการดาเนินชีวิตของวัยรุ่นชาย ไม่ให้เลียนแบบพฤติกรรมท่ีไม่ดีของเพ่ือน ในเรือ่ งเพศ เช่น การเที่ยวหญิงบริการ การมีเพศสัมพนั ธ์เปน็ กลุ่ม เป็นต้น 5. เทคนิคการสือ่ สารกับลูกวัยรนุ่ เทคนคิ การสื่อสารกับลูกวัยรุ่น มีดงั น้ี (กิจจา บานชื่น ฐิณีวรรณ วฒุ ิวิกยั การ และวรฑา ไชยาวรรณ, 2562, น. 99-102) 5.1 สาเหตทุ ่ีวัยรุ่นไม่ชอบพดู คุยกับพอ่ แม่ เน่อื งมาจาก 5.1.1 ชอบเอาไปเลา่ ต่อ 5.1.2 จบการพูดคุยด้วยการส่ังสอน อบรม ดุด่าว่ากล่าว หรือโวยวายโดยท่ียังฟัง ไม่จบ 5.1.3 ไม่สนใจจริงจังในเน้ือหาท่ีเขาพูด หรือยึดแนวความคิดของพ่อแม่เพียงแค่ ทาทา่ รับฟัง แตไ่ ม่ไดต้ ั้งใจท่จี ะทาความเขา้ ใจเน้ือหาที่เขาพดู หรอื ไม่ยอมทีจ่ ะเขา้ ใจ 5.1.4 จ้องจับผดิ 5.1.5 ไม่เคยสนใจพูดคุยมาก่อน พอมีเร่ืองขึ้นมาถึงจะมาพูดคุยซักถาม หรือเพื่อ หวังผลประโยชน์ 5.2 การส่ือสารกับลูกวัยรุ่น การที่พ่อแม่จะพูดคุยกับลูกวยั รุ่นให้เข้าใจ ต้องอาศัยหลัก ดังนี้ 5.2.1 เข้าใจและยอมรับการเปล่ียนแปลง จากที่เด็กที่อยู่ในโอวาทเริ่มฉุนเฉียวง่าย ไม่ค่อยทาตามคาส่ัง บางครั้งก็พูดคุยกันรู้เรื่อง บางคร้ังก็ทาตามอาเภอใจ ไม่ค่อยคิดถึงจิตใจคนอื่น
268 บางคร้ังจะพูดหวานก็หวานได้ เอาแน่นอนไม่ได้ แต่ก็อยากมีส่วนร่วม อยากแสดงความคิดเห็นและ ต้องการการยอมรับจากผู้ใหญ่ ดังนั้นพ่อแม่จะต้องปรับปรุง เปล่ียนแปลง กฎเกณฑ์ กติกา วิธีการ พูดคุยให้ทันสมัย พร้อมที่จะนามาใช้กับลูกวัยรุ่นท่ีไม่ชอบการจู้จ้ี ข้ีบ่น วุ่นวายกับเรื่องเล็กน้อย ไม่ชอบการบังคับตรง ๆ ถ้าไม่ใช่เร่ืองใหญ่ก็ต้องทาไม่รู้ไม่ชี้บ้าง แต่ถ้าเป็นเรอ่ื งท่ีเกินขอบเขตยอมรับ ไมไ่ ด้ เชน่ หนโี รงเรขี น กลับบ้านดึก ก็ตอ้ งจดั การใหช้ ดั เจน 5.2.2 พูดคุยเปิดเผย เป็นกันเอง ต้องฝึกฝนทักษะต้ังแต่เล็กๆ ให้คุยได้ทุกเรื่อง ทงั้ เรอื่ งที่ดีและไม่ดี เรอ่ื งที่ทาสาเร็จและไม่สาเร็จ เรื่องของความชอบและไมช่ อบ คุยกันอย่างเปดิ เผย เป็นประจา ด้วยบรรยากาศสบายๆ ถ้านาปัญหาต่างๆ มาช่วยกันคิดและรับฟังความคิดเห็น ซ่ึงกันและกัน จะเพิ่มคุณภาพการพูดคุยมากขึ้น ซ่ึงจะทาให้พ่อแม่เข้าใจความคิดความรู้สึก ของลูกวัยรุ่นท่ีมีต่อเร่ืองต่าง ๆ ได้ดี สามารถกระตุ้นให้หัดพูดถึงความคิดความรู้สึกและสะท้อน ความคิดและความรสู้ กึ ของตนเอง เชน่ “ลกู คิดถึงเรอื่ งนีอ้ ย่างไร” (ถามความคดิ ) “ลูกตอ้ งการใหเ้ ปน็ อยา่ งไร” (ถามความคดิ ) “เม่อื ลกู โกรธ ลูกคิดจะทาอย่างไรตอ่ ไป” (ถามความคดิ ) เมือ่ เด็กตอบวา่ “ผมอยากกลับไปชกหน้ามัน” ควรพูดต่อไปว่า “ลูกโกรธมากจนคิดว่าน่าจะ กลบั ไปชกหน้าเขา” (สะท้อนความคดิ ) “ลกู คงเสียใจ ที่คุณครทู าโทษ” (สะทอ้ นความรู้สกึ ) “ลูกโกรธทถี่ ูกเพ่ือนแกลง้ ” (สะท้อนความรสู้ กึ ) การถามและสะท้อนความรสู้ กึ และความคดิ จะได้ประโชน์มาก เพราะจะทาให้ ลูกรู้สกึ วา่ พ่อแม่เขา้ ใจความคิดและความรู้สึกของเขา ทาให้เกดิ ความสัมพันธท์ ี่ดีและจะเปดิ เผยขอ้ มูล มากข้ึน การพูดคุยที่ดีจะทาให้ลูกรู้สึกว่าการพูดเล่ารื่องท้ังเรื่องดีและไม่ดีเป็นเร่ืองปกติ ให้ยอมรับ ความคิดเห็นของลูกถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แม้ว่าจะเป็นเร่ืองที่ทาผิดพลาดมาก็ต้องชม ที่กล้าเปิดเผย แตก่ ารจัดการในเร่ืองผิดถูกก็ต้องจัดการ 5.2.3 เวลา เวลาพูดคุยท่ีมีคุณภาพไม่ต้องมีมาก โดยนาเหตุการณ์ในละคร ภาพยนตร์หรือประสบการณ์ชีวิตมาพูดคุย เพ่ือสังเกตแนวความคิดเห็น ความเช่ือ และค่านิยม ภายใต้บรรยากาศท่ีมองกันในแง่ดีต่อกัน จะทาให้ ลูกรับฟังข้อมูลที่พ่อแม่สื่อสารได้ดีที่สุด แตถ่ ้าพูดคุยอยภู่ ายใต้ความกดดัน เครยี ดหรือมีความโกรธแทรกอยู่ จะทาใหก้ ารรับรู้ข้อมูลบิดเบีย้ วไป ได้ท้งั สองฝ่าย 5.2.4 ทา่ ทขี องพอ่ แม่ ท่าทีของพ่อแม่เป็นเรื่องสาคญั ต่อคุณภาพในการพูดคุยฝึกให้ ลูกคิดก่อน เมื่อคิดไม่ออก ไม่รอบคอบ จึงจะชี้แนะให้ในตอนท้าย ยอมรับในความคิดเห็นที่แตกต่าง การปฏิเสธที่มีเหตุผล แต่การพูดกับลูกโดยไม่แสดงอารมณ์ปรารถนาดี ใช้มุมมองและเหตุผลท่ี
269 แตกต่างออกไปและให้เวลากลับไปคิด จะช่วยทาให้ลูกรับข้อมูลของพ่อ แม่กลับไปคิดต่อได้ ตวั อยา่ งเช่น “ลูกคิดว่าปัญหาอย่ทู ไ่ี หน” (ใหค้ ดิ สรุปหาสาเหตุของปญั หา) “แล้วทางออกแบบอื่นละ มีวิธีการอ่ืนหรือไม่” (ให้หาทางเลือกอ่ืนๆ ความเป็นไปได้อื่น ๆ) “ทาแบบน้ีแลว้ คาดว่าผลจะเปน็ อย่างไร” (ใหค้ ิดถงึ ผลท่ตี ามมา) “เป็นไปได้ไหม ถ้าจะทาแบบน.ี้ ...(แนะนา).....ลกู คดิ อย่างไรบา้ ง” 5.2.5 ช่ืนชมความสามารถ การชมต้องให้เกิดความภาคภูมิใจ ควรชมให้ผู้อื่นทราบ ด้วยหรอื ร่วมชื่นชมด้วย และเสริมให้ลูกรู้สึกต่อไปว่าเขาคงจะพอใจท่ีตัวเองเป็นคนดีดว้ ย ตอ่ ไปลกู จะ ช่นื ชมตัวเองเป็น ไมต่ ้องรอให้คนอืน่ เหน็ ความดีของตน หรอื รอให้คนอน่ื ชมเสมอไป เชน่ “แม่ดีใจมาก ทลี่ ูกช่วยน้องแก้ปญั หา ลูกรสู้ ึกภูมิใจใช่ไหมจ๊ะ” หรอื “พวกเราภมู ิใจที่ลูกได้รางวัลครั้งนี้ ลกู คงภูมิใจ ในตัวเองเหมือนกันใช่ไหม” แต่ในด้านตรงข้าม เวลาเตือนอย่าใหเ้ กิดความอับอาย ให้ค่อย ๆ คิด และ ยอมรับด้วยตัวเอง อย่าให้เสียความรู้สึก ควรเตือนเป็นการส่วนตัว ก่อนจะเตือนควรหาข้อดีของเขา บางอย่างชมตรงจดุ นนั้ ก่อน แลว้ คอ่ ยเตือนตรงพฤตกิ รรมนัน้ 5.2.6 หลีกเล่ียงการใช้คาถามที่ขึ้นต้นว่า “ทาไม” การใช้คาถามที่ข้ึนต้นว่า “ทาไม” ผลที่ตามมาคือ ลูกจะพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเองมากข้ึน เพื่อพยายามยืนยันว่า ความคิดและการกระทาของเขาถูกต้อง เป็นการสอนให้ลูกเถียงแบบข้าง ๆ คู ๆ ถ้าต้องการทราบ เหตุผลจรงิ ๆ ควรถามดังน้ี “พอจะบอกแมไ่ ดไ้ หมวา่ ลกู คดิ อย่างไรกอ่ นท่จี ะทาอยา่ งนัน้ ” “มันเกดิ อะไรขน้ึ ไหนลองเล่าใหพ้ ่อเขา้ ใจหน่อย” 5.2.7 การตาหนิ ความผิดพลาด การเถียงของลูกไม่ต้องสนใจมากนัก อย่าด่วน ตาหนิ ดุวา่ ลงโทษ ก่อนที่ลกู จะพูดจบ พยายามสงบใจ ทาความเข้าใจ ให้โอกาส อย่าพูดขดั และสรุป ประเด็นให้ตรงกันจากเร่ืองที่เขาเล่ามาให้ฟังน้ัน ถ้าจะตาหนิให้ตาหนิท่ีความคิด การตัดสินใจหรือ พฤติกรรม จะทาให้ลูกยอมรับและไม่เสียความรู้สึกด้านดีของตนเอง มากกว่าไปตาหนิที่ตัวลูกว่า เปน็ คนไม่ดีเพราะจะเกิดการตอ่ ต้าน ไม่ยอมรับ เช่น “การทาเชน่ นั้นไมฉ่ ลาดเลย” ดกี ว่า “ลูกนโ่ี งม่ ากนะ ทที่ าเชน่ น้ัน” “แมไ่ ม่ชอบทล่ี ูกไม่ไดช้ ่วยงานบ้าน ทุกคนต้องช่วยกัน” ดีกว่า “ลูกเหน็ แก่ตัว และชอบเอาเปรียบ” ไม่ควรใช้คาพูดทานองว่าเป็นนิสัยไม่ดีหรือสันดานไม่ดี เพราะจะเกิด การต่อต้าน หรือแกล้งเป็นอย่างน้ันจริงๆ หรืออย่าพูดล่วงเกินไปถึงผู้อ่ืน เช่น “นิสัยเสียเหมือนพ่อ ไมม่ ีผดิ ”
270 6. ประโยชนท์ ีไ่ ดร้ ับจากการสอ่ื สารในครอบครัว 6.1 มีความเข้าใจท่ีถูกต้องตรงกันของคนในครอบครัว พ่อแม่ลูกเข้าใจในความรัก ท่ีมี ต่อกัน 6.2 เป็นเกราะป้องกันภยันตรายในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีจะมาคุกคามคุณภาพชีวิตของ บุคคลในครอบครวั 6.3 ทาใหเ้ กิดความเชื่อมั่นในการดาเนินชวี ิตต่อไปในภายภาคหน้าของลกู วัยรุน่ 6.4 พ่อแม่มีความภูมิใจท่ีได้เป็นส่วนหน่ึงในการผลักดันให้ลูกเดินทางไปในทางท่ีถูก ทีค่ วรตามท่มี ุ่งหวงั เอาไว้ 6.5 เปน็ การปอ้ งกันกอ่ นท่ีจะเกิดเหตกุ ารณ์ท่ไี มเ่ หมาะสมข้ึน 6.6 สร้างสมั พนั ธภาพท่ีดใี นครอบครวั ทกั ษะการตัดสนิ ใจ การตัดสินใจเป็นทักษะที่สาคัญของชีวิต ทาให้บุคคลเลือกที่จะกระทาหรือไม่กระทา การตัดสินใจท่ีลาดับความคิด มีข้อมูลมากเพียงพอและทราบผลของการตัดสินใจโดยการคาดการณ์ ลว่ งหนา้ จะเปน็ การตัดสินใจที่ดี และสามารถยอมรบั ผลของการตัดสินใจได้ ซึ่งมรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1. ความหมายของทกั ษะการตัดสินใจ นกั วิชาการไดใ้ ห้ความหมายของทกั ษะการตดั สนิ ใจไว้ ดงั นี้ สมพงษ์ เกษมสิน (2550, น. 15) ได้ให้ความหมายของทักษะการตัดสินใจไว้ว่า หมายถึง การเลือกทางปฏิบัติซ่ึงมีอยู่หลายทาง เป็นแนวทางปฏิบัติไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ อาจเป็น การตัดสินใจกระทาสิ่งใดส่งิ หน่ึง หรือหลายสิ่งหลายอย่าง การตดั สนิ ใจมักเก่ยี วขอ้ งกับปญั หาท่ียุง่ ยาก สลับซับซ้อนและมีวิธีการแก้ป้ญหามากกว่าหน่ึงอยู่เสมอ ผู้ตัดสินใจต้องเลือกปฏิบัติเพื่อให้ บรรลุเปา้ หมายอย่างดที สี่ ดุ และเกดิ ผลสงู สดุ ชุมาภรณ์ ฝาชัยภูมิ (2559, น. 108) กล่าวถึงความหมายของทักษะการตัดสินใจไว้ว่า เป็ น ความ สาม าร ถข อ งบุ คคลต่ อก ร ะบ ว น ก ารคิ ด อ ย่ างมี เห ตุ ผลใน ก ารพิ จา รณ าเลื อ ก แ น วท า ง ในการปฏิบตั ิสถานการณ์หน่ึง เพ่ือให้บรรลุเปา้ หมายหรือวตั ถปุ ระสงค์ที่ตอ้ งการพัฒนาความสามารถ ในการตดั สินใจ และสามารถนาไปสู่การปรบั ปรุงพฤติกรรมสุขภาพของตนเองได้ ท้ังนตี้ ้องผสมผสาน ระหว่างการใช้ความรู้ ปัญญา และความรู้สึก โดยกระบวนการคิดเพ่ือแก้ไขปัญหาด้วยกลวิธีทาง สุขศึกษา ตลอดจนประสบการณ์การเรยี นรู้บุคคล
271 กิจจา บานชื่น ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ (2562, น. 78) ได้ให้ ความหมายของทักษะการตัดสินใจไว้ว่า หมายถึง กระบวนการแก้ปัญหาซ่ึงประกอบด้วยการศึกษา ปัญหาแนวทางเลือก และวิธีการแก้ปัญหาท่ีดีที่สุด โดยอาศัยความมีเหตุผล ความละเอียดรอบคอบ ในการตดั สินใจ จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ทักษะการตัดสินใจ หมายถึง พฤติกรรมที่ส่งผลต่อ การเลอื กทจ่ี ะปฏิบัติในสง่ิ ต่าง ๆ จากหลาย ๆ ทางเลือก ซึง่ ส่งผลต่อการแก้ปัญหาทั้งในระยะส้ันและ ระยะยาว การตัดสินใดก็ตาม ทุกคร้ังจะมีผลต่อชีวิตของผู้ตัดสินใจเสมอ การตัดสินใจจึงมี ความสาคัญต่อชวี ิตมนุษย์มาก การตดั สินใจทด่ี ที ี่สดุ ควรเป็นการตัดสินใจที่รอบคอบ เป็นกระบวนการ และมีระบบ โดยการคานงึ ถงึ ผลดีผลเสยี พิจารณาอย่างรัดกมุ เลอื กทางทเ่ี หมาะสม 2. ความสาคัญของการตดั สนิ ใจ ความสามารถในการทางานหรือการบริหารงาน นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถ ในงานที่ปฏิบัติแล้ว การตัดสินใจ (Decision Making) เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เปรียบเสมือนหัวใจ ของการทางาน ทั้งนเี้ พราะการตัดสนิ ใจจะมีอยใู่ นแทบทุกขนั้ ตอนและทกุ กระบวนการของการทางาน การตดั สนิ ใจในเร่อื งใหญ่ ๆ ต้องพิจารณาใหร้ อบคอบกอ่ นที่จะตัดสินใจทาอะไรลงไป การตัดสินใดก็ตาม ทุกคร้ังจะมีผลต่อชีวิตของผู้ตัดสินใจเสมอ การตัดสินใจ จึงมีความสาคัญต่อชีวิตมนุษย์มาก การตัดสินใจท่ีดีที่สุดควรเป็นการตัดสินใจท่ีรอบคอบ เป็นกระบวนการและมีระบบโดยการคานึงถงึ ผลดผี ลเสยี พจิ ารณาอย่างรดั กุมเลือกทางที่เหมาะสม การตัดสินใจเป็นสิทธิข้ันพ้ืนฐานท่ีติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ในวัยเด็กเรายัง ตดั สินใจด้วยตนเองไม่ได้ แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น มีความเจริญเติบโตท้ังทางร่างกายและจิตใจ เราต้องเร่ิม เรียนรู้ท่ีจะตัดสินใจในส่ิงต่าง ๆ ด้วยตนเอง ย่ิงถ้าเราเป็นผู้ใหญ่มากข้ึน เราก็ย่ิงต้องตัดสินใจในเรอื่ ง สาคัญ ๆ ในชีวติ และไม่สามารถใช้อารมณ์มาตัดสินใจเหมือนในวัยเด็กอกี ต่อไป (อุทมุ พร แก้วสามศรี และคณะ, 2562, น. 160) การตัดสินใจที่ดี ควรเร่มิ ต้นด้วยการแสวงหาขอ้ มูลเปรียบเทียบ หาเหตุผลหลาย ๆ ดา้ น มาประกอบ ไม่ควรตัดสินใจ เพราะคนส่วนใหญ่ทาเช่นน้ัน หรือตัดสินใจด้วยอารมณ์ การตัดสินใจ เรื่องเพศสัมพนั ธ์ก็เช่นกนั ไม่ใช่ส่งิ ที่เราควรกระทาตามอย่างกันโดยปราศจากการทบทวนคิดไตร่ตรอง อย่างรอบคอบ หากเพ่ือนของเราหรือคนท่ีอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับเรามีเพศสัมพันธ์กับคนรัก ก็ไม่จาเป็นที่ เราจะต้องตัดสนิ ใจทาตามอยา่ งเพอื่ น เพราะการตดั สินใจเรอื่ งเพศเปน็ เร่ืองของแตล่ ะคน
272 3. ประเภทของการตัดสนิ ใจ ประเภทการตัดสินใจทั่ว ๆ ไป แบ่งเป็นประเภทได้กว้าง ๆ ดังน้ี (ชุมาภรณ์ ฝาชัยภูมิ, 2559, น. 94) 3.1 การตดั สินใจทร่ี ู้ผลแน่นอน คาดคะเนผลได้แน่นอน 3.2 การตดั สนิ ใจทพ่ี อจะรผู้ ลความเสีย่ งอยบู่ า้ ง คาดคะเนผลไดเ้ พยี งร้อยละ 50 3.3 การตัดสินใจท่มี ีความเสี่ยงสงู ไมส่ ามารถคาดคะเนผลได้เลยวา่ จะออกมาอยา่ งไร วิธกี ารตัดสินใจ นอกจากแบ่งเปน็ ประเภทแล้ว ส่งิ ท่ีมนุษย์กระทาเป็นกิจวตั รประจาวัน ยังสามารถจัดเป็นกลยุทธ์ต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกัน ประโยชน์และ ประสิทธภิ าพของการใชม้ คี วามเหมาะสมแตกตา่ งกนั ทักษะการตัดสินใจเป็นทักษะท่ีสาคัญ ควรมีการฝึกฝน เรียนรู้ แสวงหาข้อมูลมา ประกอบให้มากเพียงพอ การตัดสินใจจากเร่ืองง่าย ๆ ไปสู่เรื่องท่ีสาคัญและจาเป็น การแก้ปัญหา อย่างเร่งด่วน จาเป็นต้องมีการวางแนวความคิดอย่างเป็นระบบ การตัดสินใจเร่ืองท่ีสาคัญแล้ว ผดิ พลาดอาจเกิดผลกระทบตามมาอย่างคาดไม่ถงึ 4. กระบวนการตดั สนิ ใจ การตัดสิน ใจในการแก้ ปัญ ห าเป็ นทางเลือก ใน การแก้ ปัญ ห าที่ มีทางเลือก มาก กว่า 1 ทางเลอื ก ในการเผชิญปัญหาที่หาทางออกไมไ่ ด้และการตัดสินใจแก้ปัญหานั้นอาจจะส่งผลกระทบ ต่อตนเอง ต่อผู้อ่ืน ซ่ึงจะนาไปสู่ความสาเร็จหรือความล้มเหลว ฉะน้ันจึงควรให้ความสาคัญต่อ การตดั สนิ ใจที่รอบคอบโดยอาศยั ขอ้ มูลที่ถกู ต้องเหมาะสม ทันสมัย และเพียงพอในการตัดสินใจ และ แก้ไขปญั หาแต่ละคร้ังควรกาหนดขนั้ ตอนเลือกกระบวนการตัดสินใจดว้ ยวิธกี ารทีม่ ีระบบและมเี หตผุ ล เปน็ กระบวน การตัดสินใจและแก้ไขปัญหา ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ (ศิยพร กล่าทวี และ ประพล นลิ ใหญ่, 2562, น. 108) 1) การกาหนดหรือระบุปัญหา เป็นขั้นตอนท่ีกาหนดให้ชัดเจนว่า อะไรคือปัญหาที่ แท้จรงิ ซึ่งขึ้นอยู่บนพ้ืนฐานของการสงั เกตพฤติกรรมของบุคคลสถานการณ์ที่ขัดแย้งจะช่วยใหบ้ ุคคล เกิดความคดิ และมจี ินตนาการเพื่อจะเกดิ แนวทางต่าง ๆ 2) การค้นหาสาเหตุของปัญหาและกาหนดทางเลือก โดยพิจารณาจากสาเหตุของ ปญั หา และพัฒนาทางเลือกหลาย ๆ ทางเลอื ก ทมี่ คี วามเป็นไปไดใ้ นการแกไ้ ขปัญหา 3) การวิเคราะหท์ างเลอื ก โดยการประเมินทางเลือกแต่ละทางเลือกว่าเกดิ ผลดี ผลเสีย อะไรตามมา และสามารถปฏิบตั ไิ ดห้ รอื ไม่ โดยใช้ข้อมูลตา่ ง ๆ ทมี่ ีอยู่ หรือหาข้อมูลประกอบเพิ่มเติม
273 4) การตัดสินใจเลือก วิธีแก้ปัญหาจากทางเลือกต่าง ๆ ด้วยเหตุผลและข้อมูลท่ีมี โดยอาศัยหลักจรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และหลกั กฎหมาย มาเป็นเกณฑใ์ นการตดั สินใจด้วย 5) การแก้ไขข้อเสียของทางเลือก เสนอแนะวิธีการแก้ไขข้อเสียท่ีเกิดจากวิธีแกป้ ัญหาที่ เลือกใช้ ถา้ ทดลองใชแ้ ลว้ ได้ผลก็สรุปเปน็ แนวทางปฏิบตั ิจริง นอกจากน้ี แนวทางความคดิ เพื่อการตัดสนิ ใจ มดี งั น้ี 1) รับรู้ปญั หาและวิเคราะหป์ ัญหา 2) วางแนวความคิดอย่างเป็นระบบ 3) รวบรวมขอ้ มูลจากแหล่งต่าง ๆ 4) สรา้ งทางเลือกอยา่ งอิสระและให้มีหลายแนวทางเลอื ก 5) ประเมินทางเลือกอยา่ งรอบคอบ วเิ คราะห์ขอ้ ดีและขอ้ เสียของแต่ละแนวทาง 6) ตัดสนิ แกป้ ญั หาอย่างมีเหตผุ ล โดยการใช้ฐานขอ้ มลู อย่างเพยี งพอ 7) ใชเ้ หตผุ ลและดลุ ยพนิ จิ ในการตดั สนิ ใจ 8) ยอมรับผลท่ีเกดิ ขึน้ จากการตัดสินใจ ทักษะการตัดสินใจเป็นทักษะที่จะนาไปสู่พฤติกรรมการดาเนินชีวิตของบุคคล โดยมี การประเมินทางเลือก และผลจากการตัดสินใจจะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับบุคคลน้ัน การตัดสนิ ใจทีด่ ีจะชว่ ยในการปอ้ งกัน ลดความขัดแย้ง และแก้ปัญหาเรอ่ื งเพศและครอบครวั ได้ 5. ปจั จัยทม่ี ีอทิ ธิพลตอ่ การตัดสนิ ใจ การตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ (ชมุ าภรณ์ ฝาชัยภูมิ, 2562, น. 95-96) 5.1 บคุ ลกิ ภาพ เรามักพบว่า คนท่ีมีความเช่ือม่ันในตนเอง มักจะตัดสินใจได้รวดเร็วกว่าคนท่ี ขาดความม่ันใจในตนเอง คนวู่วามและไม่มีเหตุผลมักตัดสินใจผิดได้มากกว่คนที่ใจเย็น สุขุม และ รอบคอบทั้งน้ีเน่ืองจากคนเหล่าน้ีรู้จักการวิเคราะห์เก็บรวบรวมช้อมูล ตลอดจนคิดหาการเลือกได้ เหมาะสมมากกว่า 5.2 เปา้ หมายหรอื จดุ ประสงค์ เป้าหมายที่เราต้ังไว้เป็นส่วนหน่ึงที่ทาให้เราสามารถตัดสินใจได้ เนื่องจาก การกาหนดเป้าหมายแตล่ ะครั้ง จะมกี ารคาดการณ์วางแผนการประเมินไว้ เพื่อให้บรรลเุ ปา้ หมายหรือ จดุ ประสงค์นน้ั ๆ ขณะเดยี วกันช่วยใหเ้ ราเห็นแนวทางแห่งความสาเร็จได้
274 5.3 ค่านิยม เป็นบรรทัดฐานท่ีช่วยในการประเมิน ตลอดจนการยอมรับต่อความเช่ือและ ความร้สู กึ ของแต่ละบคุ คล ผู้ทมี่ ีค่านิยมทีด่ สี ามารถตัดสนิ ใจได้รวดเร็วถูกตอ้ งมากกว่าผู้ทไี่ ม่ยดึ ค่านิยม เนอื่ งจากคา่ นยิ มนนั้ กระทาหลงั จากที่เราได้พจิ ารณาถึงข้อดี ข้อเสยี และผลท่มี าจากการยอมรบั แล้ว 5.4 ความูรู้ เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจ เนื่องจากผู้ที่มีความรู้มากจะมีข้อมูลที่สามารถ รวบรวมไวใ้ ช้ในแนวทางเพอ่ื การวเิ คราะหเ์ ลือกหาแนวทางท่ดี ีกว่าคนท่ขี าดขอ้ มูล 6. รูปแบบกลยุทธ์การตดั สินใจ นักจิตวิทยา ลิเลียน ดิงค์เลค (Lillian Dinage) ได้รวบรวมกลยุทธ์ที่บุคคลใช้ใน การตัดสนิ ใจเป็น 8 ชนดิ ดังนี้ (อุทมุ พร แกว้ สามศรี และคณะ, 2562, น. 158-160) 6.1 กลยุทธ์การวางแผนอยา่ งรอบคอบ ประกอบดว้ ย 7 ขนั้ ตอน คอื 6.1.1 ข้ันที่หนึ่ง รู้ถึงส่ิงท่ีต้องตัดสินใจ บุคคลต้องตระหนักว่าเขาต้องตัดสินใจก่อน กระบวนการคิดหาแนวทางจึงเกิดตามมา ดงั นั้นขน้ั ท่หี นง่ึ จึงเปน็ ขั้นที่สาคัญท่ีสุด 6.1.2 ข้ันที่สอง การรวบรวมข้อมูลท่ีมีประโยชน์เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ผตู้ ดั สินใจต้องร้ขู อ้ มูล ดังน้ี - ข้อมลู อะไรที่เกย่ี วข้องกบั การตดั สินใจในเรื่องนัน้ - แหลง่ ข้อมลู มาจากไหน - จะได้รับขอ้ มลู นัน้ มาได้อยา่ งไร 6.1.3 ขั้นท่ีสาม รู้จักกับทางเลือกที่มีอยู่ โดยใช้ข้อมูลในข้อที่สอง ถ้าทางเลือกมีไม่ มากอาจต้องใช้ดุลยพนิ ิจ พจิ ารณาทางเลือกอ่นื ประกอบ 6.1.4 ข้ันท่ีส่ี การพิจารณาทางเลือกแต่ละด้าน ทั้งผลดี ผลเสียแล้ว นาผลดีผลเสีย มาพิจารณาทางเลอื กทเี่ หมาะสมกวา่ เพอ่ื แก้ปญั หาจากข้นั ทห่ี นึ่งได้หรอื ไม่ 6.1.5 ขนั้ ทหี่ า้ ตัดสนิ ใจเลอื กนาข้อพิจารณาจากขอ้ ทส่ี ีม่ าจัดลาดบั ทางเลือก 6.1.6 ข้ันที่หก เป็นขั้นดาเนินการตามทตี่ ัดสินใจเลอื กในขั้นท่หี า้ 6.1.7 ขั้นที่เจ็ด เป็นการทบทวนการตัดสินใจและผลที่ได้รับ เม่ือกระทา การตัดสินใจไปแล้ว หากการตัดสินใจไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ อาจปฏิบัติตามทางเลือกอันดับต่อไป หรอื เรม่ิ ตน้ พจิ ารณาจากขนั้ ท่ีสองอกี ครง้ั หน่ึง กลยุทธ์การวางแผนให้รอบคอบ เป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ในการแกป้ ญั หาทกุ ชนดิ เป็นการวางแผนท่ฉี ลาดใหก้ บั ชีวิตของตนเอง
275 6.2 กลยุทธย์ ากเยน็ แสนเขญ็ วิธีการนี้ผู้ตัดสินใจพยายามรวบรวมข้อมูลมากมาย นามาวิเคราะห์ ชั่งน้าหนัก แต่มักติดอยู่ท่ีการค้นหาข้อมูลมาช่ังน้าหนักเท่าน้ันแต่ไม่สามารถตัดสินได้เลย มักล่าวว่า “ไม่รู้จะ ตดั สินใจอย่างไรดี” 6.3 กลยุทธ์หนุ หันพลันแลน่ ผทู้ ี่ตดั สินใจด้วยวิธีน้ีจะเป็นบุคคลท่ีไม่ตรวจดทู างเลือกอ่ืนเลย รับเพยี งข้อมูลที่เห็น อยู่ก็เลอื กตัดสินใจ 6.4 กลยุทธท์ ี่ใชค้ วามรสู้ ึกบอก การตัดสินใจข้ึนกับความรู้สึกหรือลางสังหรณ์ที่เกิดข้ึนเฉพาะตัว โดยไม่มีข้อมูล จากสิ่งแวดลอ้ มมาประกอบ 6.5 กลยุทธ์ผดั ผ่อน มกั ไมอ่ ยากเส่ยี งตัดสินใจทาให้ไม่อยากนึกถึง มักผัดผอ่ นไปเรื่อย ๆ ไม่มีขั้นที่ 1 ว่า ตอ้ งตดั สนิ ใจ 6.6 กลยทุ ธ์ตามดวง ให้การตดั สนิ ใจขึ้นกับ “ดวง” หรือ “กรรม” 6.7. กลยุทธ์ตามเพื่อน / เสยี งส่วนใหญ่ ทาตามผอู้ ่ืนคดิ มากกวา่ การตดั สนิ ใจด้วยตนเอง 6.8. กลยทุ ธ์ขาดพลังเพียงพอ กลุ่มน้ีควรต้องตัดสินใจแล้ว แต่ขาดพลังที่จะให้ตัดสินใจ แต่ถ้าปรากฏว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การแก้ไขต้องเร่ิมต้นกระบวนการใหม่อีกคร้ังหน่ึง ท้ังน้ีกระบวนการกลยุทธ์ วางแผนรอบคอบนับเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพอย่างย่ิง ในการแก้ปัญหาทุกชนิดแม้ว่า ตอ้ งเสยี เวลาวเิ คราะหอ์ ยูบ่ า้ ง แต่ก็ไดผ้ ลคมุ้ คา่ เป็นการวางแผนทฉ่ี ลาดกับชีวิตของตนเอง ในกลยุทธ์ท้ัง 8 กลยทุ ธ์ท่ีได้ 1 การวางแผนอย่างรอบคอบ จัดได้ว่าเป็นวิธีการท่ีดีที่สุด ทาให้ผู้ตัดสนิ ใจม่ันใจในการตดั สินใจ นับเปน็ การเสี่ยงทรี่ อบคอบทส่ี ุด 7. ทกั ษะการตดั สนิ ใจและการคาดผลจากการตดั สินใจ การตัดสินใจเป็นสิทธิข้ันพ้ืนฐานที่ติดตัวเรามาต้ังแต่เกิด เพียงแต่ในวัยเด็กยังตัดสินใจ ด้วยตนเองไม่ได้ แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นมีความเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและจิตใจต้องเร่ิมเรียนรู้ที่จะ ตัดสินใจในส่ิงต่าง ๆ ด้วยตนเอง ย่ิงถ้าความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นก็ยิ่งต้องตัดสินใจในเร่ืองสาคัญ ๆ ในชีวิตและไมส่ ามารถใช้อารมณม์ าตัดสนิ ใจเหมือนในวยั เด็กอีกตอ่ ไป
276 การตัดสินใจที่ดคี วรเริ่มต้นด้วยการแสวงหาข้อมูลเปรียบเทียบ หาเหตุผลหลาย ๆ ด้าน มาประกอบ ไมค่ วรตัดสินใจเพราะคนส่วนใหญ่ทาเช่นนนั้ หรอื ตัดสินใจด้วยอารมณ์ การตัดสินใจเรอ่ื งเพศสัมพันธก์ ็เช่นกัน ไม่ใช่สิ่งท่ีควรกระทาตามอย่างกันโดยปราศจาก การทบทวน คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หากเพ่ือน คนรอบข้างหรือคนที่อยู่ในวัยรุ่นนิยมมี เพศสัมพันธ์กับคนรักก็ไม่จาเป็นที่จะต้องตัดสินใจทาตามอย่างบุคคลเหล่าน้ัน เพราะการตัดสินใจ เรื่องเพศเป็นเรื่องของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องของคนส่วนมาก คนจานวนมากบางครั้งไม่มีหลักเกณฑ์ ท่ีแน่นอนในการตัดสินใจในเร่ืองการมีเพศสัมพันธ์วัยรุ่น บางคนก็เอาอย่างคนวัยเดียวกันเป็นเกณฑ์ บางคนก็เอาความต้องการของตนเองเป็นเกณฑ์ บางคนก็ไม่เห็นด้วยกับค่านิยมท่ีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ ปลกู ฝงั มา บางคนก็ไม่สนใจกฎเกณฑ์ของครอบครัว การที่จะตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์จาเป็นจะต้องรู้จักตนเอง รู้จักประเมินตนเองว่า จะต้องเตรียมตัวในเรื่องใดบ้าง แนวทางการประเมินตนเองเพื่อช่วยในการตัดสินใจ มีดังน้ี (อุทุมพร แกว้ สามศรี และคณะ, 2562, น. 160-161) 7.1 การกระทาเช่นน้ีจะมีผลอย่างไรในอนาคต 7.2 จะมผี ลกระทบตอ่ การเรียนหรอื ไม่ 7.3 คนทัว่ ไปทาเป็นปกตเิ ชน่ น้หี รือไม่ 7.4 จะมีผลกระทบตอ่ ครอบครวั หรือไม่ 7.5 มีการป้องกนั โรคและการตง้ั ครรภห์ รือไม่ 7.6 พรอ้ มทจี่ ะแกป้ ญั หาต่อผลกระทบต่าง ๆ ทีจ่ ะตามมาหรือไม่ ถ้าตอบคาถามเหล่านี้ไม่ได้ ก็ยังไม่ควรที่จะตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์ ควรท่ีจะรักษา สัมพันธภาพในระดับคู่รักที่ดีไปก่อน ความเอ้ืออาทรต่อกันต้องบอกคู่รักและตนเองว่าขณะนี้ ยังไมพ่ ร้อมและการสมั ผสั เนอ้ื ตัวกันก็ต้องมีขอบเขต 8. ทักษะการตัดสินใจในเร่อื งเพศสัมพนั ธ์ของวยั รนุ่ หน่มุ สาว วัยรุ่นหนุ่มสาวมีการคบหาสมาคมกันในฐานะของความเป็นเพื่อน คนรัก และในฐานะ อื่น ๆ วัยรุ่นหนุ่มสาวมีจุดประสงค์ในการคบหาท่ีแตกต่างกัน การมีเพศสัมพันธ์เป็นเป้าหมายหนึ่ง ของการคบหากันระหว่างหญิงและชาย แต่ค่านิยมเรื่องการมีเพศสัมพันธ์น้ีฝ่ายชายจะมีมากกว่า ฝ่ายหญิง ในสถานการณ์ที่เส่ียงต่อการมีเพศสัมพันธ์ การใช้ทักษะการตัดสินใจเป็นสิ่งจาเป็นท่ีต้อง เรียนรแู้ ละใช้กระบวนการทกั ษะชวี ิตมาพจิ ารณาผลที่อาจจะเกิดข้ึนได้ในอนาคต ขั้นตอนและวิธีการบางประการท่ีนามาประยุกต์ใช้กับทักษะการตัดสินใจเก่ียวกับ การเสย่ี งในการมีเพศสมั พันธ์พอสรุปได้ดังนี้ (ชมุ าภรณ์ ฝาชยั ภูมิ, 2562, น. 99)
277 8.1 ต้องมีความม่ันใจในผลของการกระทา โดยคานึงถึงผลดีผลเสียท่ีอาจเกิดข้ึนได้ จากการมีเพศสัมพันธ์ ขั้นตอนแรกนี้หากวิเคราะห์ผิดพลาดโดยขาดหลักเหตุและผล จะเกิดผล ที่เลวรา้ ยกับชีวิตตนเองได้ ดังนัน้ การใชเ้ หตุผลเปน็ ทตี่ ้งั จงึ มีความสาคัญอยา่ งยิ่ง 8.2 ใช้ทักษะชีวิตที่ได้เรียนรู้จากการอบรมสั่งสอนของผู้ใหญ่ พ่อแม่ โดยนามาเลือก วธิ กี ารหลาย ๆ อยา่ ง เพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั ตนเองโดยคานงึ ถงึ ผลดีและผลเสยี ของแตล่ ะวิธกี ารน้ัน ๆ 8.3 เลือกแนวทางในการปฏิบตั ิ โดยยึดถือหลักการและผลที่จะได้รับเม่อื เลอื กทางเลือก นัน้ ๆ 8.4 หากตัดสินใจเลือกทางเลือกใดแล้ว หากส่ิงท่ีเลือกกาลังดาเนินการและมีส่ิงอื่นที่ เป็นข้อมูลใหม่เข้ามา ทาให้การเลือกที่จะเส่ียงกับพฤติกรรมนั้นไม่เป็นไปตามที่คาดหวังก็พร้อมท่ีจะ เปลี่ยนแปลงไดต้ ลอดเวลา ทัง้ นเี้ พื่อผลทดี่ ที ่สี ุดของตนเอง 9. วธิ ีการตดั สนิ ใจเพื่อหลีกเล่ียงการมีเพศสมั พนั ธ์ การตัดสินใจเรื่องเพศสัมพันธ์ ควรใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการตัดสินใจว่า สมควรหรือไม่ การมีเพศสัมพันธ์มักเกิดจากการกระทาในลักษณะต่าง ๆ เช่น การกอด การจูบ การเล้าโลม การสัมผัส หรือการกระตุ้นอวัยวะเพศ เป็นต้น กิจกรรมทางเพศดังกล่าวมีผลทาให้เกิด การมีเพศสัมพันธ์ตามมาได้ จึงควรหลีกเล่ียง ท้ังน้ีเพราะวัยรุ่นจะมีแรงขับทางเพศ (Sex Drive) ซึ่งเกิดข้ึนตามธรรมชาติอยแู่ ล้ว ถ้าไม่รู้จักควบคุมตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ จะทาให้เกิดปัญหา ตามมาได้วิธีการตัดสินใจเพื่อหลีกเล่ียงการมีเพศสัมพันธ์มี 5 ประการ ดังน้ี (ชุมาภรณ์ ฝาชัยภูมิ, 2562, น. 99-100) 9.1 รู้จกั ปฏิเสธ ถ้าถูกเพื่อนชายคุกคามทางเพศคือ พยายามจับต้องเน้ือตัวหรือลวนลามต่าง ๆ ตอ้ งพดู ว่า “อย่า” พร้อมกบั แสดงทาทีว่าไม่พอใจ ถ้าหากเราพูดคาว่า “อย่า” เบา ๆ หรอื อยู่ในลาคอ เขาอาจเข้าใจว่าเราปฏิเสธไม่จริงและไม่เด็ดขาด อาจปฏิเสธพอเป็นพิธีก็ได้ เขาจะไม่หยุดพฤติกรรม ที่ไม่ดีเหล่านั้น ถ้าบอกว่า “อย่า” แล้วยังขืนทาอีกให้พูดว่า “หยุด” ด้วยเสียงดัง ๆ และจริงจัง อาจขูด่ ว้ ยว่าถ้าไม่เช่ือจะเลกิ คบดว้ ย 9.2 ลุกหนที นั ที ถา้ ปฏิเสธแล้วฝ่ายชายยังไม่เชื่อ ยังดอ้ื ดึงหรือลวนลามต่อ ฝ่ายหญิงควรลุกหนีไป จากท่นี ัน่ ทันที โดยไมต่ ้องสนใจวา่ เขาจะรู้สึอย่างไร เพราะขณะนั้นเขาคิดไม่ซ่ือกับเราแลว้ 9.3 ต้องมีสติ หากไปเท่ยี วกบั เพอื่ นชาย ไม่ควรดื่มของมึนเมาหรือเสพสารเสพติดทุกชนิดเพราะ จะทาใหเ้ ราขาดสติและไมส่ ามารถควบคมุ ตนเองได้ อาจตกเปน็ เหยอ่ื ของเพ่ือนชายหรือคนรกั ได้
278 9.4 ไปในทป่ี ลอดภัย ไม่ว่าจะไปเที่ยวท่ีใดกับแฟนควรอยู่ในที่ที่เรายังมองเห็นเพื่อนหรือคนอ่ืน ๆ ถ้าเห็นท่าทางไม่ชอบมาพากลควรจะหาทางกลับบ้านด้วยตนเอง โดยแจ้งผู้ปกครองหรือชวนเพื่อน หญิง ควรหลีกเล่ียงการอยูใ่ นท่ีลบั หูลบั ตาสองตอ่ สองหรือการไปดสู ื่อลามกดว้ ยกนั เพราะสถานการณ์ ดังกล่าวนัน้ ไมป่ ลอดภัย และเปน็ การเสีย่ งตอ่ ฝ่ายหญิงอาจกอ่ ใหเ้ กิดการมีเพศสมั พันธ์ 9.5 วางแผนและตดั สนิ ใจ ควรตัดสินใจไว้ก่อนว่าเราพร้อมจะใกล้ชิดกับเพื่อนชายเพียงใด ในเม่ือเรารู้ตัวว่า ไมเ่ หมาะสมท่จี ะมีเพศสมั พันธ์ เราก็ตอ้ งรู้ตัววา่ หากคนรกั จบั มอื เราจะยอมหรือไม่ และถ้าหากยอมเขา โอบกอด อาจนาไปสู่การถกู เน้ือต้องตวั มากข้ึน และเมื่อฝ่ายชายได้ใจมากข้ึนอาจถึงข้ันมีเพศสัมพันธ์ ได้ และพึงคิดไว้เสมอว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ทาให้ความรักม่ันคงหรือยืนยง แต่กลับจะจบ ความเปน็ เพือ่ นท่ีดีต่อกนั ลงไป ดังน้ันหากรกั กนั ต้องไมท่ าใหฝ้ ่ายตรงข้ามเสยี หายในทกุ กรณี ทกั ษะการต่อรอง การเจรจาต่อรอง (Negtiation) เป็นการใช้อานาจจากการต่อรองอย่างเป็นทางการ เพื่อการยอมรบั และความเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงข้อเสนอท่ีได้ทาการเจรจากัน หรือเปน็ ข้ันตอน ท่ีสองฝ่ายข้ึนไปมีการต่อรองกันเพื่อแลกเปล่ียนข้อเสนอ หรือเป็นการประชุมเพ่ือค้นหาข้อตกลง ที่ยอมรับร่วมกันหรือเป็นขั้นตอนของการตัดสินใจร่วมกันเม่ือแต่ละฝ่ายมีความพึงพอใจและ ความต้องการท่แี ตกต่างกัน ซึง่ มีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายของทกั ษะการตอ่ รอง ทักษะการต่อรอง หมายถึง กระบวนการติดต่อสื่อสาร เพื่อร่วมกันตัดสินใจและแก้ไข ปัญหาโดยแต่ละฝ่ายจะแสดงความต้องการ ความรู้สึก ความคิดเห็น ตลอดจนความคาคหวังของ ตนเองให้ทราบ เพ่ือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากความตั้งใจเดิมมาคล้อยตามตนเอง โดยรักษาไว้ ซ่ึงสัมพนั ธภาพท่ดี ตี อ่ กัน (ศยิ พร กล่าทวี และประพล นิลใหญ่, 2562, น. 109) สรุปได้ว่า การเจรจาต่อรอง หมายถึง การหาข้อตกลงร่วมกันระหว่าง 2 ฝ่ายขึ้นไป โดยใช้สันติวิธี เน้นไปท่ีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ และลดเง่ือนไขกันบ้าง จนหาข้อยุติปัญหาและ ข้อขดั แยง้ ได้
279 2. ความสาคัญของทักษะการต่อรอง ทักษะการต่อรองเป็นกระบวนการติดต่อสื่อสาร เพ่ือร่วมกันตัดสินใจและแก้ไขปัญหา โดยแตล่ ะฝ่ายจะแสดงความต้องการ ความรู้สกึ และความคิดเห็น ตลอดจนความคาดหวังของตนเอง ให้ทราบ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากความตั้งใจเดิมมาคล้อยตามตนเอง โดยรักษาไว้ซ่ึง สัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ทักษะการต่อรองจะต้องอาศัยทักษะการส่ือสารและทักษะการสร้าง สัมพันธภาพ ซึ่งมผี ลต่อการร่วมกันตัดสนิ ใจ การยอมลดระดับความต้องการ เพอ่ื การคลีค่ ลายปญั หาท่ี เกิดข้ึน โดยผลลัพธ์ที่เกิดข้ึนจากความสาเร็จของการต่อรองน้ีจะต้องเป็นท่ียอมรับของท้ัง 2 ฝ่าย ทกั ษะการต่อรองเป็นสิ่งที่เราใช้ปฏิบัตกิ ันในชีวติ ประจาวัน เช่น การตอ่ รองราคาในการซ้ือขายสินค้า หรือการตอ่ รองในการยมื คืนสิ่งของ ซึ่งการต่อรองน้ันมคี วามสาคัญ ดังนี้ (ชุมาภรณ์ ฝาชัยภูมิ, 2562, น. 117-118) 2.1 เป็นการป้องกันสิทธิของตนเอง เพ่ือป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดข้ึนจาก สถานการณ์นน้ั ๆ 2.2 เปน็ การรักษาสทิ ธขิ องตน เพื่อแสดงถงึ จุดยนื หรือความตอ้ งการของตน ซ่งึ เป็นสทิ ธิ ของบุคคลท่พี งึ กระทา 2.3 เป็นการลดระดับความเสียหายหรือความส้ินเปลืองท่ีจะเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่มี การตอ่ รองแล้ว จะเกดิ ความเสยี หายหรอื ส้นิ เปลอื งมากกวา่ นี้ 2.4 สร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคนในการทากิจกรรม ตา่ ง ๆ ให้บรรลุวตั ถุประสงค์ท้ัง 2 ฝา่ ย 2.5 เป็นกระบวนการช่วยพัฒนาการทางานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็น การสร้างตนเองและสร้างกลุม่ อีกด้วย 2.6 เป็นการปลกู จติ สานึกในหน้าท่ีและกิจกรรมต่างๆ เพ่อื การพัฒนา การจัดการ และ การประเมนิ ตนเองอยา่ งเหมาะสมในการดาเนินชีวิต 2.7 เป็นกระบวนการคิด วิเคราะห์ คาดการณ์ และประเมินสถานการณ์ โดยใช้ กระบวนการในเชิงบูรณาการทักษะชีวิต เช่น ทักษะการส่ือสาร ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ ในขณะเผชญิ ปญั หาและมีการตอ่ รองได้อยา่ งรอบคอบ 2.8 เป็นการก่อใหเ้ กิดความเมตตาตอ่ กัน รู้จักเห็นอกเห็นใจผอู้ ่ืน เคารพสิทธิผู้อ่ืนอันจะ กอ่ ใหเ้ กดิ การลดความขัดแย้ง และเกดิ ความสงบสุขในครอบครวั และสังคม 3. ตวั อย่างวิธีการใช้ทักษะการต่อรองทางเพศ อทุ ยั สงวนพงศ์ กล่าวไว้ในหนังสือเรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน สุขศกึ ษา ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6 ถึงสถานการณท์ ี่ผู้หญิงถกู ผูช้ ายลวนลาม ผู้หญิงควรกระทาดังนี้
280 3.1 ต้งั สตใิ ห้ดี ไม่แสดงความตกใจ ความเครยี ด และความหวาดกลวั มากจนเกนิ ไป 3.2 รับฟังข้อเสนออย่างตั้งใจ พร้อมคิดคาตอบและคาพูดโต้ตอบ โดยการชั่งใจตน ในประเดน็ ตา่ ง ๆ อย่างรวดเร็วและรอบคอบ 3.3 ไม่แสดงการตอบรับหรือปฏิเสธโดยทันทีด้วยการแสดงกิริยา วาจา หรือท่าทาง ท่ีทาให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกในทางที่ไม่ดี เช่น กริยาก้าวร้าว ดูถูก หรือโกรธ อันจะทาให้เขาเกิด ความโกรธ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเราได้ 3.4 การพูดหรือแสดงท่าทางเป็นมิตร และคอยหาทางปฏเิ สธดว้ ยคาว่า “ขอโทษ” หรือ “เสยี ใจ” ทเี่ ราไม่สามารถตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของเขาได้ 3.5 แสดงความรู้สึกของตนเองพร้อมให้เหตผุ ล โดยแสดงถึงขอ้ ดแี ละข้อเสียที่จะเกิดขึ้น จากสถานการณ์น้นั ๆ 3.6 รู้จักพักผ่อนหรือหลีกเล่ียงจากสถานการณ์ เช่น การขอให้เขาหยุดการกระทาน้ัน แตผ่ ัดผอ่ นไว้โอกาสหน้า หรอื พยายามออกไปจากสถานการณท์ ีไ่ มป่ ลอดภัยนน้ั 3.7 พยายามใช้ทักษะการส่ือสารด้วยคาพูดทจี่ ะทาให้ตัวเองรอดจากสถานการณ์นนั้ ให้ ไดก้ อ่ น เชน่ การพูดหลอกลอ่ เพื่อเอาตัวรอด 3.8 มีการยืดหยุ่นบ้าง รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา คล้อยตามบ้าง จะช่วยให้การต่อรอง มีผลมากยิง่ ข้นึ ตวั อยา่ งการต่อรอง เช่น “ฉันวา่ เราไปทบี่ า้ นของฉันดีกว่า คุณแม่จะได้ทาอาหารอร่อย ๆ ให้ทาน” “ขอโทษนะ ฉันชอบท่ีจะไปออกกาลงั กายในทีโ่ ล่งแจง้ ดีกวา่ ในทีอ่ บั ๆ มืด ๆ ในน้ี” ทกั ษะการปฏิเสธ ทักษะการปฏิเสธเป็นทักษะสื่อสารเพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้และ ยอมรับว่าตนเองไม่เห็นด้วยโดยไม่เสียสมรรถภาพอันดีต่อกัน ซ่ึงมีรายละเอียดดังน้ี (กิจจา บานช่ืน ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ, 2562, น. 81-82; ชุมาภรณ์ ฝาชัยภูมิ, 2562, น. 119- 121 และศยิ พร กลา่ ทวี และประพล นิลใหญ่, 2562, น. 111-112) 1. ความหมายของทกั ษะการปฏิเสธ การปฏิเสธ หมายถึง การป้องกันตนเองจากสิ่งที่ทาให้ไม่สบายใจ โดยการหลีกเลี่ยง ไม่เผชิญหน้า โดยการหาเหตุผลมาอ้าง เช่น ป่วย หรือไมว่ ่าง เพื่อป้องกนั จากสถานการณ์ที่ต้องเส่ียง จากผลของการกระทาอย่างหนึง่ อยา่ งใด
281 การปฏิเสธทางเพศ หมายถึง การหลีกเล่ียงความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องหากมีความสัมพันธ์ ทางเพศเกิดขึ้น หลีกเลี่ยงจากการเส่ียง และกล้าเจรจาต่อรองหากเช่ือมั่นว่ากิจกรรมทางเพศที่กาลัง จะดาเนินต่อไปน้ันเป็นส่ิงที่ไม่ถูกต้องกับเวลาและสถานท่ี โดยยกเหตุผลต่าง ๆ มาเพ่ือช้ีให้เห็น ประโยชน์และโทษท่ีอาจจะได้รับ หากจติ ใจไม่เขม้ แข็งพอและปลอ่ ยให้สถานการณ์ดงั กลา่ วเกดิ ข้ึน 2. คุณลักษณะของการปฏิเสธ 2.1 การปฏเิ สธเปน็ สิทธแิ ละความตอ้ งการโดยชอบธรรมทจ่ี ะปฏิเสธ 2.2 การท่ีจะปฏิเสธหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ใดสถานการณ์หน่ึง เพราะใน เรื่องเดยี วกนั แตถ่ ้าคนละสถานการณ์กอ็ าจปฏเิ สธได้ ทัง้ ที่ในสถานการณ์ครง้ั ก่อนไม่ปฏเิ สธ 2.3 มกี ารพิจารณาถึงพฤตกิ รรม ว่าพฤตกิ รรมนนั้ ควรปฏิเสธหรือไม่ 2.4 มีองค์ประกอบในด้านความรู้สึก การแสดงพฤติกรรมท่ีต้องการ และความคิดเห็น ส่วนบุคคลเข้ามาเกี่ยวขอ้ ง 3. หลักการปฏิเสธ 3.1 ควรปฏิเสธดว้ ยคาพูด น้าสียง ท่าทางท่ีจริงจังแต่มคี วามสุภาพ เพือ่ แสดงความต้ังใจ อยา่ งชัดเจนในการปฏเิ สธ 3.2 แสดงความรู้สึกและพฤติกรรมประกอบไปกับเหตุผล เพราะการใช้เหตุผลอย่าง เดียวมักถูกโต้แยง้ ด้วยเหตผุ ลอ่นื การอ้างความรู้สกึ จะทาให้โต้แยง้ ไดย้ ากขึน้ 3.3 การขอความเหน็ ส่วนรวมกบั การแสดงการขอบคณุ การขอโทษ เพอ่ื รกั ษานา้ ใจและ สมั พันธภาพท่ดี ตี อ่ กนั 3.4 มีสมาธิในการปฏิเสธเมื่อถูกรบเร้าไม่ควรหวั่นไหวหรือลังเล ควรยืนยันการปฏิเสธ และหาทางออกโดยวธิ ีการดังนี้ 3.4.1 ควรปฏิเสธซ้าโดยไม่ต้องใช้ข้ออ้าง พร้อมทั้งกล่าวคาอาลา โดยไม่ฟังคาพูด อ่นื ใดอีก เพอ่ื ไม่ให้เกิดความลงั เลใจ หรอื ขาดความเช่อื มั่นในตนเอง 3.4.2 มกี ารต่อรองหรอื ผัดผอ่ น โดยการหากิจกรรมอ่นื มาทดแทน 3.4.3 มกี ารผดั ผ่อน โดยยืดระยะเวลาออกไป เพอื่ ให้เกิดการเปลี่ยนใจ 4. การเลอื กใช้ทักษะการปฏิเสธ 4.1 ไม่ชอบหรอื ไม่ต้องรว่ มกิจกรรมตา่ ง ๆ ซึ่งทาให้เกิดความอดึ อดั หรือคับข้องใจก็ควร ใชท้ ักษะการปฏเิ สธ
282 4.2 เม่ือรู้สึกลังเลใจต่อการเลือกสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ก็ควรใช้ทักษะ การปฏเิ สธสถานการณใ์ ดสถานการณห์ นึ่งเสยี 4.3 เม่ือรู้สึกว่าสถานการณ์น้ันเสี่ยงต่อตนเอง ก็ควรใช้ทกั ษะการปฏิเสธในสถานการณ์ ดงั กล่าวนน้ั 5. ประโยชน์ของการปฏิเสธ 5.1 เป็นการแสดงสิทธิอันชอบธรรมของบุคคลต่อการแสดงความรู้สึกไม่พอใจ หรือ ความขัดแยง้ ของตนเองทม่ี ตี อ่ ผอู้ ื่นโดยไม่เสยี สมั พนั ธภาพ 5.2 ทาใหเ้ กดิ ความปลอดภยั หรือป้องกนั การเกิดความสูญเสียซงึ่ อาจเกิดขน้ึ ได้ 5.3 เป็นการระงบั ความขัดแย้งหรือเพ่ือการรักษาสมั พันธภาพท่ีดีต่อกันใหค้ งอยู่ 5.4 ใชใ้ นการแก้ไขปัญหา รวมทัง้ สถานการณ์ท่ีเสีย่ งตอ่ สุขภาพและเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ใน ชวี ติ ประจาวัน 6. ตัวอย่างการใช้ทกั ษะการปฏิเสธ สถานการณท์ ี่ 1 : ป๋อมาหาเอ๋ท่ีบ้านเพื่อช่วยกันทารายงาน หลังทารายงานเสร็จ ป๋อจึงใช้คาพูดขอหอม แก้มเอแ๋ ละบอกว่ารกั เอม๋ าก ปอ๋ : “เราขอหอมแกม้ เอไ๋ ดไ้ หม ป๋อรักเอน๋ ะ” เอ๋ : “เอว๋ า่ อยา่ ดีกว่านะ มนั ไม่เหมาะสม เพราะเรายงั เด็กกันอยู่ อยา่ ทาอะไรแบบนเ้ี ลย” ปอ๋ : “เอไ๋ ม่รักปอ๋ เหรอ” เอ๋ : “เอ๋ก็รกั ปอ๋ แต่ตอนน้ยี ังไมถ่ งึ เวลา เราควรเปน็ เพ่อื นกันไปกอ่ น และทาหนา้ ทีข่ อง ตนเองให้ดีทีส่ ดุ เรียนหนังสือใหจ้ บ มีงานทาและสามารถรับผิดชอบตนเองได้ นนั่ คอื เวลาทีเ่ หมาะสมสาหรบั เรือ่ งน้ี” ป๋อ : “ป๋อขอโทษ ต่อไปป๋อจะไมท่ าอย่างน้อี กี ” สถานการณท์ ่ี 2 : 1. ฉันขอร้องอย่าทาลายชอ่ื เสียงฉันเลย 2. ไม.่ .....เธอจะแครค์ วามรสู้ กึ ฉันไหม ถ้าฉนั กลวั ว่าจะรับปญั หาทตี่ ามมาไมไ่ หว 3. ไม.่ .....ถา้ ฉันทอ้ งและเธอจะแกป้ ญั หาตรงนี้ไดอ้ ยา่ งไร 4. ไม.่ .....ฉนั รักเธอ อยากอยูใ่ กล้ ๆ เธอ อยากให้เธอเปน็ คนท่ีเขา้ ใจฉนั มากท่ีสดุ และฉนั กเ็ ข้าใจเธอทสี่ ดุ แต่เราอย่าเพ่ิงไปไกลถึงเรือ่ งเซก็ ซก์ นั เลยนะ 5. อยา่ นะ ฉันตอ้ งการใหเ้ ซก็ ซ์เปน็ สว่ นหนงึ่ ของความสมั พนั ธ์ท่ียาวนานไม่ฉาบฉวย
283 6. ปล่อยฉนั นะ อย่ามาแตะตอ้ งฉนั อีก ไวร้ อเราพร้อมและรอวนั แตง่ งานดีกวา่ 7. หยุดนะ เราคิดถงึ ผลทตี่ ามมาอยา่ งจรงิ จังแล้วหรอื ยงั 8. ถา้ เธอรักกันจรงิ อย่าทาลายฉนั เลยนะ อยา่ ทาแบบน้ี 7. การฝกึ ทักษะการปฏเิ สธเมอ่ื ไม่พรอ้ มในการมีเพศสัมพันธ์ ตามธรรมดาของบุคคลโดยท่ัวไป การที่บุคคลใดมีความรู้สึกท่ีไม่ดีกับสิ่งหนึ่งส่ิงใด บุคคลนั้นจะทาการปฏิเสธ ซึ่งการปฏิเสธน้ันเป็นสิทธิส่วนบุคคลท่ีสามารถทาได้ การปฏิเสธเม่ือไม่ พร้อมในการมีเพศสัมพันธ์ก็เช่นเดียวกัน ทักษะการปฏิเสธมีหลักดังนี้ (ชุมาภรณ์ ฝาชัยภูมิ, 2562, น. 119-120) 7.1 หลกั การฝึกทกั ษะการปฏเิ สธ มดี งั นี้ 7.1.1 มีความเป็นตัวของตัวเอง ต้องกล้าท่ีจะกล่าวปฏิเสธ และเชื่อม่ันอย่างม่ันคง ว่า ส่งิ น้นั จะเป็นตวั ปัญหาทสี่ าคัญในชีวิต 7.1.2 วิเคราะห์การกระทา ในบางครั้งหากใช้เหตุผลในการปฏิเสธไม่ได้ผล การใช้ อารมณแ์ ละความร้สู ึกมาปฏเิ สธอาจได้ผลกว่า จงึ ต้องพจิ ารณาจากสถานการณเ์ ป็นกรณี ๆ ไป 7.1.3 เลือกใช้ความเห็นใจและกล่าวถึงความจาเป็นที่ต้องปฏิเสธ เพื่อรักษา สัมพันธภาพอันดไี ว้ แต่ถา้ ไม่ไดผ้ ลการตดั ความสัมพันธ์ยอ่ มเปน็ การดกี วา่ 7.2 วิธกี ารฝึกทักษะการปฏเิ สธ มดี ังนี้ 7.2.1 ใชค้ าพดู ทโี่ ตแ้ ยง้ ได้ยาก ตัวอย่างเช่น “ฉนั อยากให้เธอรนู้ ะวา่ เธอกาลังทาในสง่ิ ที่ฉนั ไมต่ อ้ งการ หยุดเสียเถอะ กอ่ นทคี่ วามรู้สึกดๆี ท่ฉี นั มีกบั เธอจะหมดไป” “ฉันไมช่ อบอย่างย่งิ ในส่งิ ท่เี ธอกาลังกระทา ฉันลาบากใจทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ ามที่เธอขอรอ้ ง ฉันไมพ่ อใจการกระทาเชน่ นขี้ องเธอมากเลย” 7.2.2 แสดงความรู้สึกท่ีจะปฏิเสธอย่างจริงจัง เพราะให้คิดเสมอว่าสิ่งที่จะเกิด ขึ้นกับตัวเองนั้นเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวงกับตนเองแน่ หากไม่ปฏิเสธเสียแต่เริ่มแรก โดยอาจใช้ คาพูด ตัวอยา่ งเช่น “ขอโทษนะ.... ขอไมท่ าอยา่ งนีน้ ะ.... ฉนั ยงั ไมพ่ รอ้ มที่จะ.....” “ฉันไมไ่ ปนะ ฉันมงี านอ่ืนทีจ่ ะต้องทาสาคญั กวา่ เรือ่ งนี้”
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392