32 3) การให้ความรู้เรื่องเพศศึกษานอกสถานศึกษา จะช่วยป้องกันและลดปัญหา ต่าง ๆ ลงได้ อาทิเช่น การแพร่ขยายของโรคตดิ ตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์ ปัญหาการตัง้ ครรภ์ในวยั เรยี น 4) การสอนเพศศึกษาในสถานศึกษาเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรูใ้ นเรือ่ งเพศ ไปพร้อม ๆ กบั เพื่อนท่ีอย่ใู นวยั เดยี วกัน 5) การให้ความรู้เรอ่ื งเพศในสถานศกึ ษา จะช่วยใหเ้ ด็กได้เจรญิ เตบิ โตข้ึนเป็นผใู้ หญ่ ทม่ี วี ุฒิภาวะโดยสมบูรณ์ และเรียนร้ทู ี่จะเปน็ ผู้ใหญ่ที่มีความรบั ผิดชอบต่อสงั คมอกี ดว้ ย ข้อเสียของการสอนเพศศึกษาในสถานศึกษา 1) การสอนเพศศึกษา อาจจะทาให้เด็กมีความประพฤติผิดทางเพศมากย่ิงขึ้น เพราะได้แนวทาง 2) การสอนเพศศึกษา ไม่อาจจะป้องกันปัญหาไม่ให้เด็กประพฤติผิดทางเพศ ได้เสมอไป 3) เรื่องเพศควรเป็นเรื่องส่วนตัว ท่ีควรจะกล่าวถึงเฉพาะภายในครอบครัว มากกว่าท่จี ะมากล่าวถึงอยา่ งเปิดเผยในทสี่ าธารณะ เช่น สถานศึกษา 4) ครู-อาจารย์ท่ีสอนเพศศึกษา อาจใช้เจตคติส่วนตัวมามีอิทธิพลต่อการสอน เพศศึกษาใหก้ ับเด็ก เม่ื อเปรียบ เที ยบ ทั้ ง ข้อดีแ ละ ข้อเสียใน การสอน เพ ศศึ กษ าใน สถาน ศึ กษ าแล้ ว จะเห็นได้ว่าในฝ่ายท่ีไม่เห็นด้วยยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวครูผู้สอนและเทคนิคการสอนของครู มากกว่าท่ีจะไมเ่ ห็นด้วยว่าเพศศึกษาไมด่ ี ดังนั้นหากสถานศึกษาจะรับหน้าท่ีดาเนินการให้มีการสอน เพศศึกษาแก่ผู้เรียน ควรจะได้คานึงถึงคุณสมบัติของครูผู้สอนเพศศึกษาเป็นสาคญั มิใช่มอบหมายให้ ครคู นใดสอนก็ได้ การพิจารณาคดั เลอื กครูผู้สอนเพศศกึ ษาควรทาด้วยความรอบคอบ และควรยึดหลัก ว่าจะต้องเปน็ ความเตม็ ใจและสมคั รใจของครผู ู้สอน มิใช่เป็นการมอบหมายให้สอนตามหนา้ ทเ่ี ทา่ นัน้ 3.2 คณุ สมบัตขิ องครผู ู้สอนเพศศึกษา เพ่ื อ ให้ ก า ร ส อ น เพ ศ ศึ ก ษ าใน ส ถ า น ศึ ก ษ า สั ม ฤ ท ธิ์ ผ ล ต่ อ ผู้ เรี ย น อ ย่ าง แ ท้ จ ริ ง การคดั เลอื กครูผสู้ อน ควรจะมคี ณุ สมบตั ิทส่ี าคัญดังน้ี (จนั ทร์วภิ า ดลิ กสมั พันธ์, 2548, น. 234-235) 3.2.1 เป็นผู้ที่มีความรู้ในเร่ืองเพศศึกษาอย่างแท้จริง ถ้าไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา โดยตรงก็ควรเป็นผู้ที่ใฝ่หาความรู้ หรือสถานศึกษาอาจตระเตรียมครูโดยการส่งไปศึกษาอบรม ด้านเพศศึกษามาก่อนที่จะมอบหมายให้ทาหน้าทส่ี อน 3.2.2 ควรจะเป็นผู้ท่ีมีความเช่ือมั่นในคุณค่าของเพศศึกษา และมีความศรัทธาต่อ วชิ าน้ี โดยเช่อื วา่ วชิ าน้มี ีประโยชน์ต่อผู้เรยี ไม่ดอ้ ยไปกว่าวชิ าอื่น ๆ 3.2.3 ควรเป็นครูท่ีมีความรู้ในด้านจิตวิทยาพัฒนาการ เพ่ือจะได้มีความเข้าใจถึง พัฒนาการและการเปลย่ี นแปลงของนกั เรียนในวยั ตา่ ง ๆ
33 3.2.4 เป็นครูที่ใจกว้างค่อนข้างทันสมัย ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือข้อโต้แย้ง ของผเู้ รยี นได้ 3.2.5 ควรเป็นครูท่ีมีเทคนคิ การสอน การถ่ายทอดความรู้ท่ีทนั ยุดทันเหตุการณ์น้ัน คือ ควรมกี ารปรับปรงุ เทคนิคการสอนอย่เู สมอ 3.3 เนอ้ื หาสาระและวิธกี ารสอน การสอนเพศศึกษาในสถานศึกษา อาจจะใช้เทคนิควธิ ีการสอนหรือการจดั กิจกรรม ต่างๆ เช่นเดียวกับการสอนวิชาอื่น ๆ เช่น การบรยาย การอภิปรายซักถาม การใช้ส่ือต่าง ๆ ช่วย อาทิเช่น ฉายภาพยนตร์ สไลด์ วีดิทัศน์ และแสดงละครบทบาทสมมติ การเลือกเทคนิควิธีการสอน เหล่านี้ต้องข้ึนอยู่กับวัยและความพร้อมของผู้เรียนเป็นสาคัญ เน้ือหาสาระของการสอนและ การถ่ายทอดความร้เู รื่องเพศ ควรเปน็ ไปตามวัยของผู้เรียนดังน้ี 3.3.1 ระดับอนุบาล (อายุ 4 - 6 ปี) ปัจจุบันเด็กวัยนี้เริ่มเข้าสู่ระบบสถานศึกษาเรียบร้อยแล้วคือ ในระดับ อนุบาล หรือในรูปของสถานรับเลยี้ งเด็กกลางวัน ทั้งนี้เนอื่ งจากพ่อแมม่ ีความจาเป็นในหน้าท่ีการงาน การประกอบอาชีพทั้งคู่ จึงจาต้องให้สถานศึกษาได้รับช่วงในการดูแลเอาใจใส่เด็ก การให้ความรู้ ด้านเพศศกึ ษาแกเ่ ดก็ วยั นี้ควรเป็นดังนี้ 1) การปรับตัวให้เข้ากับกลุ่ม ทางสถานศึกษาควรให้การสนับสนุนส่งเสริม ใหเ้ ดก็ ได้รว่ มกลุ่มกับเพศเดียวกนั หรอื เพ่อื นต่างเพศ เพอ่ื ปลูกฝงั เจตคตทิ ี่ดที ้งั สองเพศ 2) การฝึกฝนเร่ืองการใช้ห้องน้า ห้องส้วม ให้รักษาความสะอาดเก่ียวกับ อวัยวะเพศของตนเมอ่ื มีการขับถ่าย 3) เม่ือเด็กมีคาถามเกี่ยวกับลักษณะทางเพศของเพศตรงข้าม หรือพบว่า เด็กมีการเล่นอวยั วะเพศของตนเอง ครูก็ควรให้คาอธิบายกับเด็กด้วยภาษาถอ้ ยคาทงี่ ่าย ๆ สั้น ๆ ไม่ ควรลงโทษ ดุหรือตีเด็ก เพราะเด็กบางคนถ้ามาจากครอบครัวท่ีมีพี่น้องทั้ง 2 เพศ เด็กก็อาจจะไม่มี ขอ้ สงสัยในเร่ืองเพศตรงข้าม แต่ถ้าเด็กเป็นลกู คนเดียวหรือพ่ีน้องป็นเพศเดียวกับตนหมด ก็อาจจะมี ข้อสงสยั มีคาถามมาซกั ถามกับครูได้ ครจู ึงควรตอบคาถามเหล่านใ้ี ห้เดก็ หายสงสยั หรือข้องใจ 3.3.2 ระดบั ประถมศึกษา (อายุ 7 - 12 ป)ี การสอนเพศศึกษาแก่เด็กวัยน้ี ควรเป็นไปในลักษณะการสอดแทรกในวิชา ต่าง ๆ ทลี ะเล็กทีละนอ้ ย และให้ต่อเน่อื งสมั พนั ธก์ ัน ทั้งน้ีตอ้ งคานึงถึงความสนใจความพร้อมของเด็ก เป็นสาคัญ ไม่ใช่ข้ึนอยู่กับความต้องการความพึงพอใจของครูที่จะสอนเรื่องใดก็ได้ให้กับเด็กใน ช่วงต้น ๆ ของเด็กวัยน้ีคือ ระดับ 6 - 8 ปี อาจจะใช้การสอนตามเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น เช่น เม่ือเด็ก มีคาถามซ่ึงแสดงว่าเด็กเริ่มมีความสนใจ ครูก็ควรใช้โอกาสเหล่าน้ีให้เกิดประโยชน์ต่อเด็ก การให้ความรเู้ ร่อื งเพศศกึ ษาแกเ่ ด็กวัยนคี้ วรเป็นดงั นี้
34 1) การส่งเสริมการปรับตัวของเด็กในการเข้ากลุ่มกับเพ่ือน ๆ เพื่อเป็น การปลกู ฝงั พัฒนาการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอืน่ โดยเฉพาะกับเพ่ือนเพศตรงข้าม เพื่อเดก็ จะได้ เกิดการเรยี นรูถ้ ึงเจตคติ บคุ ลิกภาพ และพฤตกิ รรมของเพศตรงขา้ ม 2) การให้เด็กได้เรียนรู้บทบาทความเป็นเพศชายและหญิง การปฏิบัติตน ต่อกัน การให้ความนับถือต่อเพศตรงข้าม เด็กควรจะได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างของร่างกายระหว่าง เพศชายและเพศหญิงอย่างง่ายๆ ซ่ึงตามปกติเด็กอาจมีพี่ชาย น้องชาย หรือพี่สาว น้องสาวอยู่ด้วย สภาพแวดล้อมทางบ้านอาจช่วยให้ด็กได้เรียนรู้ถึงเร่ืองเพศตามธรรมชาติมาบ้ างแล้ว แต่ครูก็ จาเป็นต้องปูพื้นฐานให้เด็กมีเจตคติที่ดีในเรื่องเพศ โดยให้เด็กเกิดความรู้สึกว่าเป็นเรื่องท่ีพูดได้ ซักถามได้ ไม่มใี ครลงโทษทจี่ ะกล่าวถงึ เรื่องน้ี 3) ให้ความรู้เกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงทางเพศทั้งในด้านกายวิภาคและ สรีรวิทยา ซ่งึ เป็นเรื่องท่ีกาลังจะเกิดข้นึ กับตนเอง ครูควรจะค่อยๆ เร่ิมสอดแทรกความร้เู รื่องนี้ให้กับ เด็กในช่วงปลายของวัยน้ี ซ่ึงเป็นวัยท่ีเด็กกาลังย่างเข้าสู่วัยก่อนวัยรุ่น เพื่อเป็นการเตรียมให้เด็ก เกิดความพร้อมท่ีจะเผชิญกับการเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เพ่ือสร้างความเข้าใจและ ลดความกังวลใจ ความตื่นตระหนกให้กับเด็ก โดยให้ข้อคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่าน้ีเป็นเรื่อง ธรรมชาตทิ จ่ี ะต้องเกดิ ข้ึนกับคนทกุ คนทีป่ กติ แตอ่ าจจะช้าหรอื เร็วแตกต่างกันไป 3.3.3 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น (อายุ 13 - 15 ป)ี เด็กวัยนี้เร่ิมเข้าสู่วัยรุ่นอย่างสมบูรณ์แล้ว ความวิตกกังวลใจเก่ียวกับ การเปล่ียนแปลงทางร่างกายอาจมีผลถึงการเปล่ียนแปลงทางอารมณ์ ทาให้เกิดความหงุดหงิดบ้าง ซ่ึงถอื ว่าเปน็ เรือ่ งปกติ เน้อื หาสาระในเรอื่ งเพศศกึ ษาทค่ี วรใหก้ บั เด็กวยั น้คี อื 1) ความร้ดู ้านกายวภิ าคและสรีรวิทยา โดยเฉพาะระบบสืบพันธุ์เพ่ือให้เด็ก ได้เกิดความเข้าใจเร่ืองการเปล่ียนแปลงของอวัยวะเพศเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น การมีประจาเดือน มีหน้าอก เอว สะโพก มีขนขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเด็กหญิง ส่วนเด็กชายก็เรียนรู้เก่ียวกับ การเปล่ียนแปลงของอวัยวะสืบพันธ์ุ การแข็งตัวของอวัยวะเพศ การหล่ังน้ากาม และการสาเร็จ ความใคร่ดว้ ยตนเอง 2) การสร้างเจตคติในเร่ืองเพศ โดยให้เกิดความรู้สึกว่าการเปล่ียนแปลง ทางเพศและสภาพร่างกายมิใช่ส่ิงผิดปกติ เช่น การสาเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นการบาบัด ความตอ้ งการทางเพศมใิ ชส่ ิง่ ผิด การมีประจาเดือนก็ไมใ่ ชส่ ่ิงสกปรก การใหเ้ ดก็ ยอมรับในเร่อื งดังกล่าว เหล่านี้จะช่วยทาให้เด็กมีอารมณ์ม่ันคงและภาคภูมิใจในเพศแห่งตน การยอมรับการเปล่ียนแปลง ตา่ ง ๆ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติและเป็นเคร่ืองแสดงวา่ รา่ งกายของเรามีความปกติและสมบรู ณเ์ ต็มที่ 3) การสร้างความสานึกรับผิดชอบต่อตนเองและเพศตรงข้าม ต้องให้ เด็กหญิงรู้ว่าการมีประจาเดือน หมายถึง ร่างกายได้เจริญเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ุ สามารถให้กาเนิด
35 บุตรได้ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังไม่ให้มีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม หรือถ้าถูกล่วงเกินทางเพศ ตอ้ งรบี บอกกล่าวปรึกษาผใู้ หญ่ เพราะอาจเกิดปญั หาการต้ังครรภ์ได้ สาหรับเด็กชายก็ตอ้ งปลูกฝงั ให้มี ความรบั ผิดชอบต่อเพศตรงข้าม ไมค่ วรฉกฉวยโอกาสหลอกลวง หรือเห็นผู้หญิงเป็นเครื่องเล่นสนอง ความคึกคะนองสนุกสนานของตนเอง ต้องให้เด็กรับร้แู ละเข้าใจถงึ ปญั หาท่ีเกิดจากการมีเพศสมั พันธ์ โดยไมพ่ ร้อม ซง่ึ ในช่วงนี้ครสู ามารถสอดแทรกเร่ืองการคุมกาเนดิ ลงไปด้วย เพอื่ เป็นการปอ้ งกันปัญหา ทต่ี ามมา เช่น การติดเชอ้ื โรคตดิ ต่อทางเพศสัมพนั ธ์ การต้งั ครรภน์ อกสมรส การทาแท้ง เปน็ ต้น 4) ให้คาแนะนาในการเลือกใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เพ่ือช่วยให้ พฤติกรรมของเด็กเป็นไปในทิศทางที่ถูกที่ควร เช่น แนะนาการเล่นกีฬา การสะสมสิ่งของ การอ่าน หนังสือท่ีให้ความรู้เร่ืองเพศอย่างถูกต้อง ไม่ใช่หนังสือลามกอนาจารที่เป็นการย่ัวยุอารมณ์ทางเพศ หรือชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย การให้เวลาแก่เด็กและการสนใจสอดสอ่ งความประพฤติของเด็กจะช่วย ขจัดปญั หาตา่ ง ๆ ที่อาจจะเกดิ ข้นึ กบั เด็กลงได้ 3.3.4 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย - อุดมศึกษา (อายุ 16 - 20 ปี) วัยรุ่นเป็นวัยท่ีเริ่มพ้นจากความเป็นเด็กก้าวย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ พฤติกรรม ของเด็กวัยน้ีจึงต่างไปจากเด็กวัยอ่ืนๆ ท่ีได้ผ่านพ้นมาแล้ว จะพยายามลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ ต้องการ แสดงออกเพื่อให้ผ้ใู หญ่ยอมรับว่าตวั เองโตแล้ว บางคนเริ่มมีเพ่อื นต่างเพศ เริ่มมีนัด หรอื บางคนอาจมี คู่รักคู่ควงแล้ว ประกอบกับช่วงน้ีวัยรุ่นจะมีความรู้สึกสนใจในเรื่องเพศมากข้ึน ดังนั้นการสอน เพศศึกษาในระดับนี้จึงควรจะมีขอบเขตท่ีกว้างขวางและลึกซ้ึงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถที่จะนา ความรู้จากเพศศึกษาไปใช้แก้ไขปัญหาในชีวิตได้ และเพ่ือให้เด็กเกิดความรู้สึกว่าได้เล่าเรียนใน สิง่ จาเป็นที่เขาจะตอ้ งรู้และสามารถจะนาไปปฏิบัติได้จริง ดงั นั้นเน้อื หาสาระทางเพศศึกษาทค่ี วรนามา สอนให้กับวยั รนุ่ จงึ ควรจะเกี่ยวข้องกับเร่ืองตอ่ ไปน้ี 1) การเจริญเติบโตและพัฒนาการทางเพศของบุคคลในวยั ตา่ ง ๆ 2) การสบื พันธ์ุ การกาเนดิ ของชีวิต การปฏสิ นธิ การต้งั ครรภ์และการคลอด 3) ความรู้เกี่ยวกับการระบายอารมณ์ทางเพศ และการบาบัดความใคร่ ดว้ ยตนเอง เพอื่ ใหเ้ ด็กยอมรบั วา่ ความตอ้ งการทางเพศเปน็ เรอ่ื งธรรมชาติทีเ่ ปน็ ปกตขิ องมนษุ ยท์ ุกคน 4) การเรียนรู้เก่ียวกับสาเหตุของความผิดปกติทางเพศในลักษณะต่าง ๆ ตลอดจนการป้องกันและการแก้ไข 5) การสอนให้เด็กเกิดการเรียนร้เู ก่ียวกับทบาท มารยาท และการวางตัวท่ี เหมาะสมตอ่ เพศตรงข้าม เชน่ การออกเท่ยี วกบั เพื่อนต่างเพศ (Dating) 6) การเรียนรู้เกี่ยวกับผลของการมีเพศสัมพันธ์กันในวัยเรียน ก่อนที่จะมี อาชพี หรอื มีรายได้เปน็ ของตนเอง หรือกอ่ นการสมรส ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ทีจ่ ะตามมา
36 7) ความรู้เก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพศ การเลือกคู่ครอง ชีวิตสมรส และการมเี พศสัมพนธ์ 8) ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว และการคุมกาเนิด 9) การเรียนร้เู กย่ี วกับโรคติดต่อทางเพศสมั พันธ์และการปอ้ งกนั 10) ความรู้เก่ียวกับการเตรียมตัวในบทบาทการเป็นสามีภรรยาที่ดี และ บทบาทการเปน็ บดิ ามารดาท่ดี ี 11) การสร้างเจตคติที่ถูกต้องในเร่ืองเพศ มีความคิดสร้างสรรค์สังคม ขจดั การเอาเปรยี บและการกดขีท่ ารุณทางเพศ ซึง่ ทัง้ สองเพศควรจะให้เกียรติยกย่องซึง่ กนั และกัน 12) ปญั หาทางเพศทอ่ี าจเกดิ ข้ึน ตลอดจนการป้องกันและการแก้ไข 3.4 หลกั การสอนเพศศึกษา หลกั การสอนมีดังตอ่ ไปนี้ (พนม เกตมุ าน, 2542) 3.4.1 สอนให้เด็กรับรู้ไปตามพัฒนาการทางเพศ และพัฒนาการทางจิตใจ เร่มิ ตง้ั แต่เกิด แบ่งสอนตามวัยและความสามารถในการรับรูข้ องเด็ก ผ้สู อนตอ้ งมคี วามรู้ว่าวัยใดควรให้ ความสนใจเร่ืองใด เช่น วัยอนุบาลควรให้ความสนใจกับการถ่ายทอดแบบอย่างทางเพศ พ่อแม่มี ความสาคญั ท่ีเดก็ จะพัฒนาบทบาททางเพศตามเพศของตนเองอยา่ งถูกต้อง 3.4.2 ผู้สอนควรมีความรู้ทางเพศอย่างถูกต้อง ควรสนใจ หาความรู้หรือสอบถาม จากผู้รู้ หนังสือ หรือส่ือที่มีคุณภาพดี การหาความรู้เรื่องนี้ทาให้ผู้สอนมีทัศนคติที่เป็นกลางกับ เรื่องเพศ และรู้จักสื่อที่เหมาะสม ควรเลือกส่ือท่ีง่าย ให้ความรู้ถูกต้อง เหมาะกับวัย ไม่กระตุ้น ความรูส้ ึกทางเพศ ผู้สอนสามารถหาความรูจ้ ากหนังสือ วีดโิ อ ซีดี ฯลฯ ควรอา่ นใหเ้ ขา้ ใจกอ่ น ถ้าจะ นาไปสอน ควรวางแผนในใจวา่ จะสอนอยา่ งไร ใช้คาพูดแบบใดจงึ จะเหมาะสม คิดล่วงหน้าไวก้ อ่ นว่า เด็กอาจสงสัยเรื่องใด เพ่ือเตรียมตอบคาถามง่าย ๆ ของเด็กอยากรู้ บางครั้งอาจแนะนาให้เด็กเอา หนังสือไปอ่านก่อนล่วงหน้า แล้วค่อยมาพูดคุยกันตอนหลัง ให้เด็กเตรียมคาถามท่ีสงสัยมาคุยกัน คาถามใดทต่ี อบไม่ได้ ให้บอกตรง ๆ ว่าไม่รู้ แตจ่ ะไปถามใครท่ีร้มู าบอกภายหลงั หรือให้เด็กลองคน้ หา คาตอบดว้ ยตวั เองไปก่อนจากส่ือท่ีมีอยู่ 3.4.3 การสอนเร่ืองเพศควรสอดแทรกไปตามการเรียนรู้ปกติ ตามจังหวะ เวลา และสถานการณ์ที่เหมาะสม รู้จักใช้เหตุการณ์ท่ีเกิดในชีวิตประจาวันเป็นตัวอย่างในการเรียนรู้ หรือ กระตุ้นใหเ้ ด็กเรยี นรู้ เชน่ เหตุการณส์ นุ ขั ทบ่ี า้ นคลอดลูก 3.4.4 สอนให้เหมาะกบั ความสนใจ ความอยากรู้ และความสามารถทางสตปิ ัญญา ท่ีเด็กจะรับได้และเข้าใจได้ เด็กเล็กต้องมีวิธีบอก ใช้คาพูดง่าย ๆ ให้สั้น ๆ เข้าใจง่าย เป็นรูปธรรม มีตัวอย่างประกอบ ไม่ควรอธิบายยืดยาวจนเด็กสับสน เด็กโตสามารถอธิบายมากข้ึน ให้ความรู้ท่ี
37 ซับซ้อนได้ พี่น้องอายุต่างกัน การอธิบายย่อมไม่เหมือนกัน เวลาสอนต้องสังเกตด้วยว่าเขาเข้าใจ หรือไม่ ถ้าสงสัยให้มโี อกาสถามทนั ที 3.4.5 สอนก่อนท่ีจะเกิดการเปล่ียนแปลง หรือปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เช่น สอนเรื่องประจาเดือนกอ่ นวยั มปี ระจาเดือน สอนการป้องกันตัวเองทางเพศกอ่ นจะเกิดปัญหาการถูก ละเมิดทางเพศ 3.4.6 ผู้สอนมีท่าทีและทัศนคติเป็นกลาง ผู้สอนไม่ควรรังเกียจหรืออายเวลาสอน เร่ืองเพศ พยายามพูดด้วยท่าทีสงบ เป็นกลาง เตรียมคาพูดล่วงหน้า และฝึกฝนให้คล่องด้วยตนเอง ไมแ่ สดงความรู้สกึ ดา้ นลบ เมือ่ เดก็ แสดงความสนใจเร่อื งเพศ ควรเปิดใจกว้าง คิดเสมอวา่ ถา้ เขาอยากรู้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา การให้เขารู้อย่างถูกต้องไม่มีผลเสีย ดีกว่าให้เขารู้จากแหล่งอ่ืนซ่ึงมีโอกาส เรียนร้แู บบผดิ ๆ ได้ 3.4.7 ควรให้ความรู้อย่างถูกต้อง ไม่ควรบ่ายเบี่ยง หลอกเด็ก หรือพูดให้เด็ก เข้าใจผิด ถ้ารู้ว่าเขาเข้าใจผิดควรรีบแก้ไขทันที เด็กอาจงงถ้าได้ข้อมูลไม่ถูกต้อง ไม่ครบ หรือข้อมูล ขัดแย้งกนั 3.4.8 พ่อแม่ และครูช่วยกันสอนให้สอดคล้องกัน เมื่อไม่ทราบหรือไม่เข้าใจ ควรปรึกษาแพทย์ 3.5 การสอนเพศศึกษาในประเทศไทย สาหรับการสอนเพศศึกษาในประเทศไทย ปัจจุบันได้มีการบรรจุบางส่วนของ เน้ื อ ห าวิ ชาเพ ศศึ ก ษ าสอ ดแ ท รก ไว้ เป็น ส่ วน ห น่ึ งขอ งก ลุ่ ม สาระ ก าร เรีย น รู้ ใน แ ต่ ละ ร ะ ดั บดั ง นี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553) 3.5.1 ระดับการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน ก า ร ส อ น เพ ศ ศึ ก ษ า ใน ร ะ ดั บ นี้ ไ ด้ มี ก า ร บ ร ร จุ บ า ง ส่ ว น ข อ ง เน้ื อ ห า วิ ช า เพศศึกษาสอดแทรกไว้เป็นส่วนหน่ึงของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาพละศึกษา สาหรับนักเรียน ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 โดยมสี าระการเรยี นรู้แกนกลาง ดังน้ี สาระท่ี 1 การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ มาตรฐาน พ 1.1 เข้าใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและ พัฒนาการของมนุษย์ สาระท่ี 2 ชีวติ และครอบครัว มาตรฐาน พ 2.1 เข้าใจและเห็นคุณค่าตนเอง ครอบครัว เพศศึกษา และมีทักษะในการดาเนนิ ชีวติ
38 สาระที่ 3 การเคล่ือนไหว การออกกาลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และ กีฬาสากล มาตรฐาน พ 3.1 เข้าใจ มีทักษะในการเคล่ือนไหว กิจกรรม ทางกาย การเล่นเกม และกฬี า มาตรฐาน พ 3.2 รักการออกกาลังกาย การเล่นเกม และการเล่น กีฬา ปฏิบัติเป็นประจาอย่างสม่าเสมอ มีวินัย เคารพสิทธิ กฎ กติกา มีน้าใจนักกีฬา มีจิตวิญญาณ ในการแขง่ ขัน และชนื่ ชมในสุนทรยี ภาพของการกีฬา สาระที่ 4 การสรา้ งเสรมิ สุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค มาตรฐาน พ 4.1 เห็นคุณค่าและมีทักษะในการสร้างเสริมสุขภาพ การดารงสุขภาพ การป้องกนั โรคและการสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพเพอ่ื สุขภาพ สาระท่ี 5 ความปลอดภัยในชวี ติ มาตรฐาน พ 5.1 ป้องกันและหลีกเล่ียงปัจจัยเส่ียง พฤติกรรม เสยี่ งต่อสุขภาพ อุบตั ิเหตุ การใช้ยา สารเสพตดิ และความรนุ แรง 3.5.2 ระดับอาชวี ศกึ ษา ก า ร ส อ น เพ ศ ศึ ก ษ า ใน ร ะ ดั บ น้ี ไ ด้ มี ก า ร บ ร ร จุ ร า ย วิ ช า เพ ศ วิ ถี ศึ ก ษ า (Sexuality Education) เข้าไว้ในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 หมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง โดยมสี าระสาคัญดังนี้ จดุ ประสงค์รายวชิ าเพือ่ ให้ 1) รู้และเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการทางเพศ หลักการดูแลสุขภาพ และ การแสดงออกตามวิถีชวี ิตทางเพศภายใต้กรอบของสงั คมและวัฒนธรรม 2) สามารถกาหนดเป้าหมายและแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างสุขภาวะ ทางเพศ สร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับผู้อ่ืน ส่ือสารความต้องการตามความคิดและความรู้สึก โดยใช้ หลักการ ตัดสนิ ใจและการต่องรอง 3) ตระหนักในคุณค่าของตนเองบนพื้นฐานของการเคารพในสิทธิของผู้อ่ืน และเหน็ ความสาคญั ของการเลือกแนวทางการดาเนินชวี ติ อย่างมีสุข สมรรถนะรายวชิ า 1) แสดงความรู้เก่ียวกับพัฒนาการทางเพศ หลักการดูแลสุขภาพ และ การแสดงออกตามวิถีชีวติ ทางเพศ ภายใตก้ รอบของสังคมและวฒั นธรรม 2) สร้างสัมพันธภาพระหวา่ งบุคคลตามบทบาทและความรบั ผดิ ชอบ 3) ส่ือสารความต้องการตามความคิดและความรู้สึก โดยใช้หลักการ ตดั สินใจ การต่อรอง และการตระหนกั ในคุณค่าของตนเองบนพน้ื ฐานของการเคารพในสิทธิของผ้อู ่นื
39 4) ประเมินโอกาสเสี่ยงจากพฤติกรรมทางเพศและปัญหาจากการมี เพศสมั พันธ์ไม่พร้อม 5) กาหนดเป้าหมายและแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างสุขภาวะทางเพศ ส่วนบคุ คล คาอธบิ ายรายวิชา ศึกษาเก่ียวกับพัฒนาการทางเพศในวัยรุ่น การดูแลสุขภาพทางเพศ สัมพันธภาพกับความคาดหวังต่อบทบาทและความรับผิดชอบ ภาพลักษณ์ท่ีส่งผลต่อความรู้สึกและ พฤติกรรม ทักษะการตัดสินใจ การต่อรอง การส่ือสารความต้องการตามความคิดและความรู้สึก การตระหนักในคุณค่าของตนเองบนพื้นฐานของการเคารพในสิทธิผู้อ่ืน กฎหมายว่าด้วยเพศ สิทธิในการแสดงออกตามวิถีชีวิตทางเพศภายใต้กรอบสังคมและวัฒนธรรม และการเลือกใช้แหล่ง บรกิ ารชว่ ยเหลือทเ่ี ป็นมิตรในพื้นที่ 3.5.3 ระดบั อุดมศึกษา การสอนเพศศึกษาในระดบั นี้ได้มีการบรรจหุ ลักสูตร “เพศศกึ ษารอบด้าน” (Comprehensive Sexuality Education) พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการพัฒนาการจัดกระบวนการ เรียนรู้เพศศึกษา สาหรับนักศึกษาสาขาครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา และเครือข่ายมหาวทิ ยาลัยราชภฏั อีก 9 แหง่ ร่วมกบั องค์การแพธ (PATH) ภายใต้ โครงการก้าวยา่ งอยา่ งเขา้ ใจ สนบั สนนุ โดยกองทุนโลก (องคก์ ารแพธ (PATH), 2551) แนวทางการจดั หลักสตู รเพศศกึ ษารอบดา้ น “เพศศึกษารอบด้าน” เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ท่ีอยู่บนพ้ืนฐานของ การให้ผู้เรียนมขี ้อมูลครบถว้ น ทกุ แง่มมุ ที่เกีย่ วข้องกับเร่ืองเพศ และพัฒนาทักษะทจ่ี าเป็นคือ การคิด วิเคราะห์ การไตร่ตรอง การประเมนิ โอกาสเส่ยี ง การสร้างและรกั ษาสัมพันธภาพ รวมถึงการตดั สินใจ อยา่ งรอบคอบในเรอ่ื งท่เี ก่ียวขอ้ งกับวถิ ที างเพศของตนเอง ซึ่งมีความแตกตา่ งและหลากหลายในแต่ละ บคุ คล เนอื้ หาในหลักสตู รเพศศกึ ษารอบด้านจึงมีสาระสาคัญมากกว่าเรอ่ื งการเจรญิ เติบโต พฒั นาการ ทางเพศ การวางแผนครอบครัว และมากกว่ามุมมองที่มองเร่ืองเพศจาก “เพศสรีระ” หรือการแบ่ง หญิงและชายด้วยความแตกตา่ งทางรา่ งกายเพียงประการเดียว แต่ครอบคลุมเร่ือง “เพศสภาวะ” คือ การมองเรื่องเพศในมุมสังคมวัฒนธรรมที่มีส่วนกาหนดความเป็นหญิง ความเป็นชาย และ \"เพศวิถี\" หรือวิถีการดาเนินชีวิตตามรสนิยม ค่านิยม และความเช่ือในเร่ืองเพศของตนเอง ภายใต้สภาพ สังคมไทยอย่างเชน่ ทุกวนั นี้ การจดั กระบวนการเรียนรเู้ พศศกึ ษารอบด้านตอ้ งการ “ผู้จดั กระบวนการ เรียนรู้” มากกว่า “ผู้ช้ีนา” ดังน้ันผู้จัดกระบวนการเรียนรู้จึงควรเป็นบุคคลที่มีกระบวนทัศน์ หรือ วิธีคิดต่อการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาเป็นเชิงบวก มีองค์ความรู้เร่ืองเพศและเพศวิถี และทักษะ การจดั การเรยี นรูท้ ี่เน้นผู้เรยี นเปน็ สาคญั เพ่ือจดั กระบวนการเรียนรู้แกเ่ ยาวชนให้เกิดสุขภาวะทางเพศ
40 ท่ีดี ซ่ึงหมายถึงการลดพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัยแก่ตนเอง จะเห็นได้ว่า “ผู้จัดกระบวนการ เรียนรู้เพศศึกษารอบด้าน” ไม่ได้เน้นการถ่ายทอดขนบธรรมเนียมหรือองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้วในตารา แต่เป็นการทาความเข้าใจกับสภาพปัญหาร่วมกับผู้เรียน รวมท้ังวิธีคิดเกี่ยวกับเพศวิถีของหญิง ชายเพศทางเลือก ท่ีสอดคล้องกับสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึน เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนพิจารณาหรือตัดสินใจ อย่างรอบคอบ วตั ถุประสงค์ของหลกั สูตรเพศศึกษารอบดา้ น หลักสูตรเพศศึกษารอบด้าน มุ่งให้นกั ศกึ ษาสาขาครุศาสตร์ มีพื้นฐานความรู้ เกยี่ วกับเพศและเพศวิถใี นแงม่ ุมต่าง ๆ ภายใตว้ ิถชี ีวิต สังคม วัฒนธรรมประเพณี เห็นความสาคัญและ จาเป็นต่อการจัดการเรียนรู้เพศศึกษา มีทักษะการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่นาไปสู่การปรับเปลี่ยน พฤตกิ รรม โดยกาหนดเป็นวัตถปุ ระสงค์ของหลักสตู รไวด้ งั ตอ่ ไปน้ี 1) เกิดกระบวนทัศน์หรือวิธีคิดต่อการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาเป็นเชิงบวก และเขา้ ใจแนวคดิ เรอ่ื งเพศศกึ ษาแบบรอบต้าน 2) มีความรพู้ นื้ ฐานเรอ่ื งพัฒนาการวัยรนุ่ เพศ และเพศวถิ ี 3) มีทักษะการจัดการเรียนรู้ ออกแบบการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน อยา่ งมัน่ ใจ 4) แลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียน ผู้เกย่ี วขอ้ ง 5) สร้างเครือขา่ ยการเรยี นร้ทู ีส่ นับสนนุ การพัฒนาตนเองและสังคม 6) วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประยุกต์ใช้ความรู้เพ่ือเกิดสขุ ภาวะในชีวิต โครงสร้างหลกั สตู ร (องค์การแพธ (PATH), 2551, น. 24-32) หลักสูตรเพศศึกษารอบด้านเป็นหลักสูตรระยะยาว เพื่อจัดการเรียน การสอนให้กับนักศึกษาสาขาครุศาสตร์ในชั้นปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 นับเป็น 3 หน่วยกิต การจัด การเรียนรู้ตามแผนการสอน 3 คาบ/สัปดาห์ (2.30 ชั่วโมง) มี 11 แผนการเรียนรู้/1 ภาคเรียน สาระสาคญั ของหลกั สตู รมีรายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี คาอธิบายรายวิชา: ความหมาย และขอบข่ายของเพศศึกษา ความสาคัญ และความจาเป็นในการเรียนเพศศึกษา ความรู้เรื่องเพศวิถี และองค์ประกอบเร่ืองเพศ ได้แก่ พัฒนาการของมนุษย์ สัมพันธภาพทางเพศ ทักษะส่วนบุคคล พฤติกรรมทางเพศและการแสดงออก สุขภาพทางเพศ สังคมและวัฒนธรรมท่ีมีบทบาทในการหล่อหลอมวิถีทางเพศ กระบวนการส่งเสริม การเรียนรู้เรื่องเพศ กระบวนการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาในสถานศึกษา การออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ การฝึกปฏิบัตกิ ารจัดการเรยี นร้เู พศศึกษา
41 ขอบขา่ ยเนือ้ หาสาระการเรียนรู้ เพศศึกษาเป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้เก่ียวกับเพศ (Sexuality) ท่ีครอบคลุมพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ การทางานของสรีระและการดูแลสุขอนามัย เจตคติ ค่านิยม สัมพันธภาพ พฤติกรรมทางเพศ มิติทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อวิถีชีวิตทางเพศ เป็นกระบวนการพัฒนาทั้งด้านความรู้ ความคิด เจตคติ อารมณ์ และทักษะท่ีจาเป็นสาหรับบุคคล ท่ีจะช่วยให้สามารถเลือกดาเนินชีวิตทางเพศอย่างเป็นสุขและปลอดภัย สามารถพัฒนาและ ดารงความสมั พนั ธก์ ับผู้อืน่ ได้อย่างมีความรบั ผิดชอบและสมดลุ การส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเรียนรู้เร่ืองเพศศึกษา จะเป็นโอกาสได้ให้ ความรู้ที่ถูกต้องอย่างเพียงพอ และครอบคลุมเก่ียวกับเร่ืองต่างๆ ตามแนวคิดหลักในการพัฒนา ก ารเรียน รู้เร่ือง “ เพ ศศึก ษ า” (Key Concepts in Comprehensive Sexuality Education Program) ตอ่ ไปนี้ 1) พัฒ นาการของมนุษย์ (Human Development) เป็นพัฒ นาการ ด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ท่เี ติบโตไปอยา่ งสมั พันธ์กันระหว่างสรีระ อารมณ์ สังคม และสตปิ ญั ญา 1.1) สรรี ะรา่ งกายทีเ่ กย่ี วข้องกับการสบื พันธ์ุ (Reproductive Anatomy and Physiology) รา่ งกายมนุษย์มีความสามารถในการสบื พันธ์ุ และสามารถสร้างความพงึ พอใจ และ ได้รบั ความพงึ ใจทางเพศดว้ ย 1.2) การสืบพันธ์ุ (Reproduction) คนมีท้ังศักยภาพในการสืบพันธุ์ และความสามารถท่ีจะเลอื กว่าจะสบื พันธุ์หรอื ไม่ 1.3) การเปล่ียนแปลงเม่อื เข้าสวู่ ัยหนมุ่ สาว (Puberty) การเปล่ยี นแปลง เม่ือเข้าสู่วัยหนุ่มสาว เป็นประสบการณ์สากลของช่วงการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยหนุ่มสาว ซึ่งแสดงออกโดยการเปล่ียนแปลงทางร่างกาย 1.4) ภาพลักษณ์ต่อร่างกาย (Body Image) ภาพลักษณ์ของคนท่ีมีต่อ รา่ งกายตนเอง มผี ลตอ่ ความรสู้ ึกและพฤติกรรม 1.5) ความเป็นตัวตนทางเพศ และรสนิยมทางเพศ (Sexual Identity and Orientation) เด็ก ๆ เติบโตและมีพัฒนาการตามลาดับ เร่ิมมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอ และ พึงพอใจทางเพศตอ่ บคุ คลอ่นื 2. ความสัมพันธ์ (Relationships) ความสัมพันธ์ มีบทบาทสาคัญตลอด ช่วงชีวติ ของเรา 2.1) ครอบครัว (Families) คนเติบโตและถูกเล้ียงดูในครอบครัว และ สว่ นใหญอ่ ยใู่ นครอบครวั เมือ่ เปน็ ผูใ้ หญ่ 2.2) มิตรภาพ (Friendship) มิตรภาพมีความสาคัญตลอดช่วงชีวิตคน
42 2.3) ความรัก (Love) ความสัมพันธ์แบบมีความรัก มีหลายรูปแบบ และมีความสาคัญตลอดชว่ งชวี ติ คน 2.4) การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน (ของคนสองคน) (Dating) การมีโอกาส เรียนรู้กันและกันของคน เป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ของความเป็นเพื่อน ความใกล้ชิดสนิทสนม ตอ่ อกี คนหนง่ึ 2.5) การแต่งงาน (Marriage and Lifetime Commitments) ก าร แต่งงานเป็นการตกลงความสัมพันธ์ร่วมกันทางกฎหมายว่าคนสองคนจะใช้ชีวิตร่วมกันและร่วมกัน รบั ผดิ ชอบต่อครอบครัว 2.6) บทบาทการเลี้ยงดูลูก (Raising Children) การเล้ียงดูลูกเป็นหนึ่ง ในความรับผดิ ชอบทส่ี ามารถถอื เปน็ รางวลั ของชีวิต 3. ทักษะสว่ นบุคคล (Personal Skills) การมีสุขภาวะทางเพศ จาเป็นต้องมี การพฒั นาทกั ษะส่วนบุคคลและทักษะในการปฏสิ ัมพันธ์กับบุคคลอื่น 3.1) การใหค้ ุณค่า (Values) การใหค้ ุณค่าเป็นตัวช้นี าพฤติกรรมของเรา และบอกเปา้ หมายตลอดจนกาหนดทิศทางในการดาเนินชวี ิตของเรา 3.2) การตัดสินใจ (Decision-making) การตัดสินใจที่รับผิดชอบ เก่ยี วกับเรื่องเพศเปน็ เร่ืองสาคัญ เพราะการตัดสินใจในเรื่องดงั กล่าวส่งผลกระทบไม่เพียงกับตัวเราเอง เท่าน้นั แต่ยังส่งผลต่อคนอน่ื ๆ ด้วย 3.3) ก า ร ส่ื อ ส า ร (Communication) ก าร สื่ อ ส าร ร ว ม ถึ ง ก า ร แลกเปลีย่ นขอ้ มลู ขา่ วสาร อารมณ์ความรสู้ ึก และทศั นะต่อกัน 3.4) การแสดงความคิด ความต้องการ ความรู้สึก ของตน เอ ง (Assertiveness) การส่ือสารถึงความคิด ความรู้สึก ความต้องการของตนเอง โดยเคารพในสิทธิของ ผอู้ ่ืน 3.5) การต่อรอง (Negotiation) การต่อรองเปิ ดโอกาสให้คน ได้ แกป้ ัญหา หรือคลค่ี ลายความขัดแย้ง 3.6) การหาความช่วยเหลือ (Looking for Help) คนท่ีประสบปัญหา สามารถขอความช่วยเหลอื ไดจ้ ากครอบครวั เพอ่ื น และผ้เู ช่ียวชาญ 4. พฤติกรรมทางเพศ (Sexual Behavior) เพศวิถี (Sexuality) เป็นเร่ือง สาคัญของมนษุ ย์ แต่ละบคุ คลจะแสดงออกในเรือ่ งเพศแตกต่างกนั ออกไป 4.1) ชีวิตทางเพศ (Sexuality Throughout Life) ชีวิตทางเพศเป็น เร่ืองธรรมชาตแิ ละเป็นดา้ นร่ืนรมย์ของชีวิต
43 4.2) การช่วยตัวเอง (Masturbation) การช่วยตัวเองเป็นวิธีหน่ึงของ มนุษยท์ ี่แสดงออกในเร่ืองเพศ 4.3) การแสดงออกในเร่ืองพฤติกรรมทางเพศต่อกัน (Shared Sexual Behavior) แตล่ ะบุคคลแสตงออกในเรือ่ งเพศกับค่ขู องเขาในหลากหลายรปู แบบ 4.4) การไม่มีเพศสัมพันธ์ (Abstinence) การไม่มีเพศสัมพันธ์เป็น วิธีท่ีมีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันการตั้งครรภ์ และการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และ เช้อื เอชไอวี 4.5) การตอบสนองทางเพศของมนุษย์ (Human Sexual Response) รา่ งกายของทั้งหญิงและชายตอบสนองต่อสิ่งเร้าทง้ั เหมอื นและตา่ งกนั 4.6) จินตนาการ (Fantasy) จนิ ตนาการทางเพศเปน็ เรือ่ งปกติ 4.7) การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Sexual Dysfunction) การเส่ือม สมรรถภาพทางเพศ หมายถึง การไรค้ วามสามารถท่จี ะแสดงออกหรือหาความพึงพอใจในเรอ่ื งเพศ 5. สุขภาพทางเพศ (Sexual Health) การส่งเสริมสุขภาพทางเพศต้องการ ขอ้ มูลและทัศนะทีจ่ าเปน็ เพือ่ หลกี เลี่ยงผลกระทบทไี่ ม่พงึ ประสงคจ์ ากพฤตกิ รรมทางเพศ 5.1) การคุมกาเนิด (Contraception) การคุมกาเนิดช่วยให้คนสามารถ มเี พศสัมพนั ธ์โดยไม่ต้องกลวั การตงั้ ครรภ์ทไ่ี มต่ ้ังใจ 5.2) การทาแท้ง (Abortion) เม่ือผู้หญิงคนหน่ึงตั้งครรภ์และเลือกที่จะ ไม่มีลกู เธอมีทางเลือกทจ่ี ะทาแทง้ ไดอ้ ยา่ งถูกกฎหมาย 5.3) การติดเช้ือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเชื้อเอชไอวี (STDs and HIV Infection) โรคทางเพศสัมพันธ์รวมท้ังเช้ือเอชไอวีสามารถหลีกเล่ียงได้โดยการมีพฤติกรรมที่ ปอ้ งกัน 5.4) การล่วงเกินทางเพศ (Sexual Abuse) การล่วงเกินทางเพศ สามารถป้องกันไมใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ หรอื หยดุ ได้ 5.5) อนามัยเจริญพันธุ์ (Reproductive Health) ทั้งชายและหญิงควร ดแู ลสขุ อนามยั เจริญพนั ธข์ุ องตนเองเพื่อสรา้ งความมน่ั ใจต่อสุขภาพและพฒั นาการของลกู ในอนาคต 6. สังคมและ วัฒ น ธรรม (Society and Culture) ส่ิงแวดล้อ มและ บรรยากาศทางสงั คมและวัฒนธรรม มีส่วนในการกาหนดวธิ ีการเรียนรู้และการแสดงออกในเร่ืองเพศ ของบุคคล 6.1) เพศและสังคม (Sexuality and Society) สังคมมีอิทธิพลต่อ ความเชอื่ และความรสู้ กึ ของบคุ คลต่อเร่ืองเพศ
44 6.2) บทบาททางเพศ (Gender Roles) วัฒนธรรมสอนเร่ืองการเป็น ผหู้ ญงิ และการเปน็ ผูช้ าย 6.3) เพศและกฎหมาย (Sexuality and Law) กฎหมายบางข้อกาหนด เกยี่ วกับสทิ ธิทางเพศ และสิทธิในเร่อื งอนามัยเจริญพนั ธ์ุ 6.4 เพศและศาสนา (Sexuality and Religion) มุมมองของศาสนา ในเรอ่ื งเพศมผี ลกระทบต่อทศั นะเร่ืองเพศของคน 6.5) ความหลากหลาย (Diversity) สังคมของเรามีทัศนะและพฤตกิ รรม ทางเพศหลากหลายรูปแบบ บางคนถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมเพียงเพราะคนเหล่าน้ันแสดงถึง วถิ ที างเพศของเขา 6.6) เพ ศ แ ล ะ ศิ ล ป ะ (Sexuality and the Arts) เร่ื อ ง เพ ศ แ ล ะ กามารมณ์ เปน็ สง่ิ ท่ปี รากฎโดยท่วั ไปในงานศลิ ปะ 6.7) เพศและส่ือ (Sexuality and the Media) ส่ือมีผลกระทบอย่าง ลกึ ซ้ึงตอ่ ขอ้ มลู เรือ่ งเพศ การให้คณุ คา่ และการกาหนดแบบแผนพฤติกรรม ตารางที่ 1.1 การเปรียบเทยี บหลกั สตู รเพศศกึ ษารอบดา้ น กับเพศศึกษาแบบหา้ มมเี พศสัมพนั ธ์ จนกว่าจะแตง่ งาน เพศศกึ ษารอบด้าน เพศศกึ ษาแบบหา้ มมเี พศสมั พันธ์ (Comprehensive Sexuality Education) จนกว่าจะแต่งงาน สอนใหเ้ หน็ วา่ เรอื่ งเพศเป็นเร่ืองธรรมชาติ (Abstinence-Only-Until-Marriage) ความตอ้ งการทางเพศเปน็ เรือ่ งปกติ และเปน็ สอนใหเ้ หน็ วา่ เพศสมั พันธท์ ่ีอยูน่ อกเหนอื จาก ส่วนหนึ่งของชวี ติ ทมี่ ีสขุ ภาพ การครองคสู่ มรสเป็นอันตรายตอ่ ชวี ิต จติ ใจและ สอนใหเ้ หน็ วา่ การไมม่ เี พศสมั พันธค์ อื วิธที ไ่ี ดผ้ ล ความสงบสขุ ของสงั คม ที่สุดต่อการป้องกนั การตงั้ ครรภ์ไมพ่ ึงประสงค์ สอนให้เห็นว่าการละเว้นไมม่ ีเพศสมั พนั ธ์ โรคติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์ รวมท้ังเอดส์ จนกวา่ จะแตง่ งานคือพฤติกรรมทางเพศ สอนให้ตระหนกั ถึงการใหค้ ุณค่าและตระหนัก อยา่ งเดียวท่เี ปน็ ทีย่ อมรับ ถึงส่ิงทีต่ นเองใหค้ ณุ ค่า ควบคูไ่ ปกับความเขา้ ใจ สอนใหเ้ หน็ วา่ มี ควรให้คณุ คา่ แก่สง่ิ ที่ถูกต้อง ว่าครอบครวั และชมุ ชนที่เราอยู่ ใหค้ ณุ คา่ ตอ่ ส่งิ ดีงามทมี่ ไี ดเ้ พยี งอยา่ งเดียวเท่านน้ั สาหรบั น้นั อยา่ งไร ทุกคน
45 เพศศกึ ษารอบดา้ น เพศศกึ ษาแบบหา้ มมีเพศสัมพันธ์ (Comprehensive Sexuality Education) จนกว่าจะแตง่ งาน ให้สาระที่หลากหลายท่ีเกยี่ วกับเร่อื งเพศ (Abstinence-Only-Until-Marriage) ไม่วา่ จะเปน็ พฒั นาการธรรมชาตใิ นเรอื่ งเพศ ตอกยา้ ประเด็นการรกั ษาพรหมจรรย์ และ ของมนษุ ย์ สัมพนั ธภาพ ทกั ษะส่วนบุคคล ผลร้ายต่าง ๆ ของการมีเพศสัมพนั ธ์โดยไม่ การแสดงออกในเรอ่ื งเพศ สุขภาพทางเพศ แตง่ งาน มิติด้านสังคมวัฒนธรรมของเรอ่ื งเพศ ให้ข้อเท็จจรงิ ตรงไปตรงมาไมป่ ดิ บังในเร่อื ง พยายามหลกี เลย่ี งท่จี ะพูดถงึ เรอื่ งดังกลา่ ว การทาแท้ง การสาเร็จความใครด่ ว้ ยตนเอง ความพึงใจและรสนยิ มทางเพศแบบต่าง ๆ ใหข้ อ้ มูลเชงิ ตาหนิ ปอ้ งปราม เพ่ือสง่ เสริม ให้ข้อมลู ทางบวกเก่ียวกับเรื่องเพศ การแสดง การรักษาพรหมจรรย์ และไมส่ ่งเสรมิ ออกทางเพศ ควบคู่ไปกับผลดขี องการรักษา การแสดงออก หรอื แสดงความรู้สึกท่ีเกี่ยวกบั พรหมจรรย์ เร่ืองเพศ เนน้ ประเดน็ วา่ ไมส่ ามารถเชอื่ มั่นในถุงยาง สอนใหร้ วู้ ่าการใชถ้ ุงยางและสารหลอ่ ลน่ื อย่าง อนามยั เพราะไม่สามารถประกันความปลอดภยั ถูกตอ้ ง จะทาให้สามารถลดความเสยี่ งต่อการ และมักจะขยายภาพความล้มเหลวของถุงยาง ต้ังครรภ์ไมพ่ ึงประสงคแ์ ละการเกิดโรคติดตอ่ อนามยั ใหเ้ กินจริง ทางเพศสัมพันธแ์ มว้ ่าจะไม่ประกันความเส่ยี ง ได้ 100% ไม่พยายามพดู ถึงวิธคี มุ กาเนดิ ใหร้ ู้วา่ จะปฏิบตั ิได้ สอนใหร้ ู้ว่าการใชว้ ิธกี ารคุมกาเนดิ สมยั ใหม่ อย่างไร ยกเว้นเร่ืองถุงยางและความไมป่ ลอดภัย สามารถป้องกันการตั้งครรภไ์ มพ่ ึงประสงค์ได้ ของถุงยาง อย่างไร ให้ขอ้ มูลทไี่ มช่ ดั เจน และมักจะขยายความ ใหข้ ้อมูลท่ถี กู ตอ้ งชดั เจน เกีย่ วกบั โรคตดิ ตอ่ ในเรื่องการติดเช้ือด้วยข้อมลู ทเี่ กนิ จรงิ และ ทางเพศสัมพนั ธ์ และเอดส์ รวมท้งั การหลกี เลย่ี ง มักพยายามทาให้ผู้เรยี นเชอ่ื ว่าถ้ามีเพศสัมพันธ์ ความเสีย่ งทาไดอ้ ย่างไรบา้ ง โดยไม่แต่งงานจะไดร้ บั ผลจากโรครา้ ย เหล่าน้ันอยา่ งหลีกเล่ยี งไมไ่ ด้
46 เพศศกึ ษารอบดา้ น เพศศึกษาแบบหา้ มมีเพศสัมพันธ์ (Comprehensive Sexuality Education) จนกว่าจะแตง่ งาน (Abstinence-Only-Until-Marriage) สอนให้ตระหนักวา่ คาสอนและคุณค่าทางศาสนา มักจะนาคาสอนมาใช้เปน็ เครือ่ งตอกยา้ จงู ใจ ท่บี คุ คลยดึ ถือจะมีส่วนกาหนดการดาเนินชวี ติ ให้เชอ่ื ถอื และปฏิบัติ และสรา้ งความรูส้ กึ บาป และการแสดงออกทางเพศของบุคคลอย่างไร ผดิ เมอ่ื ไมป่ ฏบิ ัติตามทพ่ี ึงเป็น และใหโ้ อกาสผ้เู รียนไดส้ ารวจความคิด ความเชอื่ ของตน และครอบครัวตอ่ เร่ืองนี้ สอนให้เห็นว่าเมอ่ื เดก็ /วัยรนุ่ หญงิ ตงั้ ครรภ์ สอนใหเ้ ห็นว่าหากเดก็ /วัยรุ่นหญงิ ต้ังครรภไ์ ม่ โดยไม่ต้งั ใจ และไม่พร้อม มที างเลือก ไม่วา่ พึงประสงค์ มีเพยี งหนทางเดียวคือต้องอ้มุ ครรภ์ จะเป็นการอุม้ ครรภจ์ นครบกาหนดคลอดและ จนคลอดและตอ้ งเลย้ี งดูบุตรหรือหาผอู้ ปุ ถมั ภ์ เลี้ยงดทู ารก หรอื เมอื่ คลอดแล้วอาจหาทางให้ ทางเลือกของการทาแท้งเปน็ บาปผิดรา้ ยแรง ทารกแกผ่ ู้อปุ ถัมก็อนื่ หรอื อาจยุตกิ ารตง้ั ครรภ์ และยอมรบั ไม่ได้ ด้วยการทาแทง้ หากไมพ่ รอ้ มจรงิ ๆ นอกจากน้ี การต้ังครรภ์ในวัยรุ่นของประเทศมีจานวนเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเน่ือง ซึ่งส่งผล กระทบต่อสุขภาพ ของบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม และเศรษฐกิจในภาพรว มและปัญหา การต้ังครรภ์ในวยั รุ่นของประเทศ มคี วามซับซ้อนและไมอ่ าจแก้ไขได้ด้วยอานาจหน้าที่ของหน่วยงาน ใดหน่วยงานหนึ่ง ดังน้ัน สมควรสร้างกลไกในการกาหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการดาเนินการ ร่วมกันของหน่วยงานที่เก่ียวข้องท้ังหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของเอกชน และประชาสังคม เพ่ือบูรณาการให้การป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เป็นรปู ธรรม มีความเป็นเอกภาพ และมีประสิทธภิ าพยิ่งขึ้น รัฐบาลจงึ ออกพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ใน วยั รนุ่ พ.ศ. 2559 โดยมมี าตราท่เี กยี่ วขอ้ งกับสถานศึกษา ซึ่งระบไุ วด้ ังนี้ มาตรา 6 ให้สถานศึกษาดาเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการต้ังครรภ์ในวัยรุ่น ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. จัดให้มีการเรียนการสอนเร่ืองเพศวิถีศึกษาให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียนหรือ นักศึกษา 2. จัดหาและพฒั นาผ้สู อนใหส้ ามารถสอนเพศวิถศี ึกษาและใหค้ าปรึกษาในเรอื่ งการปอ้ งกัน และแก้ไขปัญหาการตัง้ ครรภ์ในวยั รุ่นแก่นักเรียนหรอื นักศกึ ษา
47 3. จัดใหม้ ีระบบการดูแล ช่วยเหลือ และคุม้ ครองนักเรียนหรอื นกั ศึกษาซึ่งตง้ั ครรภใ์ หไ้ ดร้ ับ การศึกษาด้วยรูปแบบท่ีเหมาะสมและต่อเน่ือง รวมท้ังจัดให้มีระบบการส่งต่อให้ได้รับบริการอนามัย การเจริญพนั ธแ์ุ ละการจดั สวสั ดกิ ารสังคมอย่างเหมาะสม การกาหนดประเภทของสถานศึกษาและการดาเนินการของสถานศึกษาแต่ละประเภท ให้เปน็ ไปตามหลักเกณฑ์ วธิ กี าร และเงอ่ื นไขท่กี าหนดในกฎกระทรวง บทสรปุ เรื่องเพศมีความเก่ียวข้องกับการดาเนินชีวิตประจาวันของมนุษย์ ต้ังแต่เกิดจนตลอด อายุขัย เพราะเร่ืองเพศเป็นสัญชาตญาณอย่างหน่ึงของมนุษย์ มนุษย์จึงมีความสนใจเร่ืองเพศ แต่ในบางสังคมไม่เปิดโอกาสต่อการเรียนรู้เพราะเชื่อว่าเร่ืองเพศควรเป็นเร่ืองท่ีต้องปกปิดหรือเป็น เรื่องต้องห้าม จึงทาให้มนุษย์เรียนรู้เร่ืองเพศได้น้อยมาก การใช้กระบวนการทางการศึกษาเพื่อ เสริมสร้างการเรียนรู้ทางเพศจึงน่าจะเปน็ วธิ ีการท่ีดี เพศศึกษาจะช่วยใหบ้ ุคคลเกดิ ความรู้ความเข้าใจ เกิดทัศนคตทิ ด่ี ใี นเรอ่ื งเพศเพอ่ื จะได้มีพฤติกรรมการแสดงออกในเรอ่ื งเพศไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม เพศศึกษา เป็นกระบวนการท่ีก่อให้เกิดประสบการณ์ อันเป็นผลทาให้บุคคลเข้าใจ พฤติกรรมท่ีเกี่ยวกับชีวิตนับแต่เกิดจนตาย ท้ังในด้านความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติที่เหมาะสมใน เรื่องเพศ เพ่ือสามารถปรับตัวดาเนินชีวิตในสังคมร่วมกับคนเพศเดียวกันหรือต่างเพศได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ซ่ึงขอบข่ายของเพศศึกษาจะครอบคลุมถึงความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั้งทางชีววิทยา จิตวิทยา สังคมวิทยา และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นความรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย ดงั น้ัน การสอนเพศศึกษา จงึ เป็นกระบวนการศึกษาทจ่ี ะชว่ ยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจถงึ เร่ืองราว ทางเพศ ในด้านกลไกการทางาน การเปลี่ยนแปลงความต้องการ และผลสืบเนื่องจากเปลี่ยนแปลง และความต้องการจากการเปล่ียนแปลง เช่น ทางด้านกายวิภาค สรีรวิทยา สุขภาพจิต เศรษฐกิจ อันท่ีจะใหบ้ คุ คลไดน้ าความรู้ไปใชใ้ นการดาเนนิ ชวี ติ อยา่ งมคี วามสขุ จุดมุ่ง หม ายข องก าร สอน เพ ศ ศึกษ าก็เพ่ือ ต้อง การจะ ช่ วย ให้ บุ คคลได้ รู้จั กคิดเกี่ยวกั บ เร่อื งเพศได้อย่างถูกต้อง และรู้จักแสดงออกซึ่งพฤตกิ รรมทางเพศได้อย่างฉลาด โดยตนเองก็พึงพอใจ มีความสุขและสังคมก็ยอมรบั ถา้ การสอนบรรลผุ ลตามจดุ มุ่งหมาย ผลประโยชน์ทจ่ี ะได้รบั มิใช่บังเกิด แก่บุคคลเพียงฝ่ายเดียวเท่าน้ัน แต่จะส่งผลไปถึงสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย ซ่ึงสถาบันที่มีบทบาท ในการสอนเพศศกึ ษามี 3 สถาบนั ได้แก่ สถาบนั ครอบครวั ชุมชน และสถานศึกษา การสอนเพศศึกษาที่จะบรรลุผลสาเร็จอย่างแท้จริงยังต้องข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อาทิเช่น ถ้าเป็นการสอนเพศศึกษาในครอบครัวก็ข้ึนอยู่กับการเลี้ยงดู ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ ของเด็ก การปฏิบัติตนของพ่อแม่เพื่อที่จะให้เด็กเกิดความเชอื่ ถือศรัทธา ให้ความไวว้ างใจ และยึดถือ
48 เป็นแบบอย่างหรือแนวทางปฏิบัติได้ ส่วนการสอนเพศศึกษาในชุมชนก็ข้ึนอยู่กับความสามารถ ในการประชาสัมพันธ์ชักจูงให้คนไปรับบริการ การบริการที่ประทับใจ หรือประโยชน์ท่ีผู้รับบริการ จะได้รับและความรับผิดชอบของสื่อมวลชนต่าง ๆ เป็นสาคัญ ถ้าเป็นการสอนเพศศึกษา ในสถานศกึ ษาก็ขึ้นอยู่กบั ความสามารถ บคุ ลกิ ลักษณะของครู และความสมั พันธ์ระหว่างครูกบั เด็ก
49 กจิ กรรมการเรยี นรู้ “ตกุ๊ ตาลม้ ลุก” ขนั้ ตอนการดาเนนิ การ 1. อธิบายวธิ ีการเล่น “ตุ๊กตาล้มลุก” ว่าให้คนเล่นเป็นตุ๊กตายืนอยู่ตรงกลางตัวตรงเท้าชิด และ หันข้างให้ผู้เล่น 2 คนท่ียืนขนาบอยู่ด้านซ้ายและขวา ซ่ึงผู้เล่นท้ังคู่จะผลักตัวตุ๊กตาไปมา 3 - 4 ครั้ง 2. แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3 คน คละเพศชายหญิง อาจให้ผู้เรียนเลือกจับกลุ่มกันเอง หรอื ใช้เกมจัดกลุ่ม 3. ให้เวลา 10 นาที โดยใหท้ กุ คนในกลมุ่ ผลัดกนั เลน่ เปน็ ต๊กุ ตาจนครบทุกคน 4. เมื่อผเู้ รียนเล่นต๊กุ ตาล้มลุกเสร็จทกุ กลุ่มแลว้ ผู้จดั การเรียนรูจ้ ึงตง้ั คาถามชวนคุย ดังน้ี - ขณะทีเ่ ลน่ เป็น “ตุ๊กตา” รสู้ กึ อยา่ งไร - ขณะทเ่ี ปน็ “ผู้เล่น” หรอื “ผลักต๊กุ ตา” มคี วามรสู้ กึ อยา่ งไร - ผู้ท่ีเล่นได้ เปน็ เพราะอะไร หรือมีความร้สู ึกอย่างไร - ผูท้ ี่เล่นไม่ได้ เป็นเพราะอะไร มีความรูส้ กึ อยา่ งไร - สิง่ ท่ที าให้เลน่ ตกุ๊ ตาไดอ้ ยา่ งมน่ั ใจและสนกุ (จากที่เล่นไมไ่ ด)้ คือ... - เราได้เรียนรอู้ ะไรจากการเลน่ “ตุ๊กตาล้มลุก” บ้าง 5. ผู้จดั การเรียนรู้บันทึกคาตอบของผู้เรยี น เพ่ือสรุปและเช่ือมโยงให้เข้าใจเกี่ยวกับปัจจัย หรือส่ิงท่ีทาให้เราเล่นได้อย่างสนุกสนานว่า เกิดจากความรู้สึกที่สบายใจ ผ่อนคลาย เชื่อมั่น คุ้นเคย ไมอ่ ึดอดั ไม่อาย จากนั้นชวนคุยตอ่ โดยใช้คาถามเพิ่มเติม ดังน้ี - หากเปรียบเทียบการเล่นตุ๊กตาล้มลุกกับการพูดคุยเร่ืองเพศ เรามีข้อสังเกตอย่างไร หรือคิดวา่ เชอ่ื มโยงกนั ไดอ้ ย่างไร - การที่เราจะเรียนเรื่องเพศกนั ได้อย่างสะดวกใจ ควรจะมีกตกิ าร่วมกันอย่างไร 6. ผู้จัดการเรียนรู้ชวนคุยและเชื่อมโยงจากคาตอบของผู้เรียนว่า การเรียนวิชาเพศศึกษา แบบองค์รวม เป็นกระบวนการแลกเปล่ียนประสบการณ์ ความคิดเห็น ซง่ึ ต้องมคี วามไว้วางใจ เปิดใจ มีความรู้สึกสบายใจ ต้องรักษาความลับของกันและกัน ซึ่งเราได้กาหนดเป็นข้อตกลงหรือกติกา การเรียนรู้ร่วมกัน
50 กิจกรรมการเรยี นรู้ “เสน้ ชีวติ ” ขัน้ ตอนการดาเนนิ การ 1. ผู้จัดการเรียนรู้นาเข้าสกู่ ิจกรรม “เส้นชวี ิต” โดยตั้งคาถามว่า “เมื่อพูดถึงเพศคุณนึกถึง อะไร” จดคาตอบทไี่ ดท้ ้ังหมดบนแผ่นใสหรือกระดานใหท้ ุกคนเหน็ 2. จากการระดมคาตอบของผู้เรียนท่ีหลากหลาย ผู้จัดการเรียนรู้ชี้ให้ผู้เรียนเห็นว่าเรื่อง “เพศ” เก่ยี วข้องกับหลายเรอ่ื ง มีหลายมุมมองทีม่ ากกวา่ การมีเพศสมั พนั ธ์ โดยยกตัวอย่างจากคาตอบ ที่ปรากฎให้เป็นกลุ่มเร่ืองต่างๆ เช่น สรีระร่างกาย ผู้หญิง ผู้ชาย สถานภาพของบุคคล ครอบครัว เศรษฐกจิ สือ่ วชิ าการความรู้ หนว่ ยงานให้บริการ เปน็ ตน้ 3. อธิบายกิจกรรม “เส้นชีวิต” ว่า จะแบ่งผู้เรียนออกเป็น 6 กลุ่ม คละเพศหญิงชาย โดยให้แต่ละกลุ่มรับผิดชอบตามช่วงอายุ คือ กลุ่ม 1) วัยเด็ก 0-9ปี กลุ่ม 2) วัยรุ่น 10-19 ปี กลุ่ม 3) วัยห นุ่มสาว 20-29 ปี ก ลุ่ม 4) วัยทางาน 30-45 ปี กลุ่ม 5) วัยผู้ให ญ่ 46-64 ปี กล่มุ 6) วยั สูงอายุ 65 ปขี ้ึนไป แต่ละกลุม่ จะได้รบั กระดาษสี กระดาษกาว และเชอื กฟาง 4. ผู้จัดการเรียนรู้ตั้งคาถามเพ่อื ให้กลุ่มช่วยกันระดมคาตอบว่า “เรื่องเพศทเ่ี ก่ียวข้อง หรือ เกิดขึ้นในแต่ละช่วงอายุน้ัน ๆ มีอะไรบ้าง” ให้เขียนคาตอบ 1 เรื่องต่อกระดาษ 1 แผ่น โดยให้ แต่ละกลุ่ม พยายามคิดให้ได้คาตอบที่ครอบคลุมมากท่ีสุด และนากระดาษคาตอบไปติตเรียงกัน บนเชอื กฟางท่แี จกให้ ใหเ้ วลา 15 นาที 5. ให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนาเสนอ ให้เวลากลุ่มละ 5 นาที โดยเรียงลาดับจากวัยเด็ก ถึงวัยสงู อายุ 6. เมื่อตัวแทนของแต่ละช่วงวัยนาเสนอข้อมูล ผู้จัดการเรียนรู้ควรถามความเห็นเพิ่มเติม จากเพื่อนรว่ มหอ้ งวา่ มีประเตน็ เพมิ่ เตมิ อะไรบ้าง หากมี ใหเ้ ขยี นกระดาษเพ่ิมและติดไว้ท่เี ส้นเชอื ก 7. เมื่อนาเสนอครบทุกกลุ่มแล้วนาเชือกฟางไปแขวนไว้รอบห้อง ในข้ันตอนนี้ ผู้จัดการเรียนรู้ควรสังเกตคาตอบของแต่ละกลุ่มว่า ความรู้เบ้ืองตันเก่ียวกับพัฒนาการเร่ืองเพศ ว่าถูกต้อง ครอบคลุมหรือไม่ มีเจตคติหรือมุมมองเป็นบวกหรือลบต่อเร่ืองเพศแต่ละวัยอย่างไร จากน้ันจึงตัง้ คาถาม เพื่อแก้ไขหรอื ทาความเข้าใจรว่ มกนั ดังน้ี - รสู้ กึ อยา่ งไรกับภาพชีวติ ของคนในแตล่ ะชว่ งวัยทเ่ี ราช่วยกนั ระดม - ปญั หาเรือ่ งเพศเกดิ ขึ้นเฉพาะในกลมุ่ เยาวชนเท่าน้ันหรอื ไม่ อยา่ งไร - ทาไมคนในช่วงวัยที่มีอายุน้อยจึงไมค่ ิดถึงเร่ืองการคมุ กาเนดิ - จากขอ้ มลู ในเส้นชวี ิตเราคิดวา่ ชีวิตทางเพศดา้ นบวกมีอะไรบา้ ง ด้านลบมอี ะไรบา้ ง - เราสามารถกาหนดวิถชี ีวติ ของตนเองในเร่อื งเพศได้หรือไม่ อย่างไร
51 - จะทาอย่างไร หากไม่ต้องการให้ชีวิตทางเพศของตัวเอง หรือครอบครัวเป็นทุกข์จาก เร่อื งเพศ - เราเรียนรู้อะไรบา้ งจากการทากจิ กรรมเส้นชวี ติ 8. ผู้จัดการเรียนรู้สรุปภาพรวมเกี่ยวกับเร่ืองเพศว่า ชีวิตมนุษย์มีความสอดคล้องกับ วงจรชีวิต คือ การเจริญเติบโตจากเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ ทาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงท้ังทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ซึ่งสังคมวัฒนธรรมมีส่วนในการกาหนตความคิด ความเช่อื บทบาทและแบบแผนการดาเนนิ ชวี ติ ทางเพศของหญิงชายในสังคมดว้ ย 9. จากนน้ั ผจู้ ัดการเรียนรู้จึงชวนคุยเพื่อใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจถึงความจาเป็นท่ีตอ้ งจดั การเรียนรู้ เรื่องเพศ บทบาทของผจู้ ัดการเรยี นรู้ โดยใชค้ าถาม ดงั นี้ - ปญั หาเกีย่ วกับเรื่องเพศเกิดขึน้ มากที่สดุ ในช่วงวยั ใด เพราะเหตุใด - เยาวชนวัยรุน่ ไดเ้ รียนเร่อื งเพศตงั้ แต่เม่ือไหร่ อายเุ ทา่ ไร จากไหน - การจัดการเรียนรู้เร่ืองเพศศึกษา ควรจัดให้เรียนรู้ก่อนหรือรอให้อยู่ในช่วงวัย ที่มพี ฒั นาการหรือมีประสบการณ์แล้ว เพราะเหตุใด - หากเราต้องไปสอนเดก็ เราควรจะต้องเตรยี มตวั อยา่ งไร - ครูหรือผูส้ อนเพศศึกษา ควรมีคุณสมบตั ิอย่างไร - จากประสบการณ์การเรยี นรขู้ องเรา เราถูกบอกหรอื สอนอยา่ งไรเกยี่ วกบั เพศศึกษา - เราจะมีวิธีการสอนเพื่อแก้ไขอคติเร่ืองการสอนเพศศึกษาอย่างไร เพ่ือไม่ให้ถูกมองว่า เป็นเรอ่ื งลามก หรือสอนเพ่ือให้เด็กรู้จักการมเี พศสมั พันธ์
52 คาถามท้ายบท จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ โดยอธบิ ายพร้อมยกตวั อย่างประกอบ 1. ความหมายของเพศคืออะไร และบทบาทของเพศเปน็ อยา่ งไร 2. จงอธิบายประวตั ิความเป็นมาของการศึกษาเรื่องเพศ 3. จงบอกความหมายของเพศศกึ ษา 4. เพศศึกษากับเพศศาสตร์มีความแตกต่างกนั อย่างไร จงอธบิ าย 5. จงอธบิ ายขอบข่ายของเพศศกึ ษา 6. การสอนเพศศึกษาคืออะไร และมคี วามสาคญั อย่างไรกับครแู ละผเู้ รยี น 7. จงระบถุ ึงความจาเป็นของการสอนเพศศึกษา 8. จุดม่งุ หมายของการสอนเพศศกึ ษาเปน็ ไปเพื่อสิ่งใด 9. จงอธิบายประโยชน์ของการสอนเพศศกึ ษา 10. จงยกตวั อยา่ งสถาบันที่มบี ทบาทในการสอนเพศศกึ ษา และมหี นา้ ที่อย่างไร
53 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2553). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551. พิมพ์ครัง้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ ุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. กฤตยา อาชวนิจกุล. (2554). เพศวิถีทีก่ าลงั เปล่ยี นแปลงไปในสังคมไทย. วารสารประชากรและสงั คม. 15(1): 43-66. จันทร์วภิ า ดลิ กสมั พนั ธ์. (2548). เพศศึกษา. พิมพ์ครั้งท่ี 3. กรงุ เทพฯ: ศิลปาบรรณาคาร. ชัยวัฒน์ ปญั จพษ์ และคณะ. (2525). เพศศกึ ษาแผนใหม.่ กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. ชมุ าภรณ์ ฝาชัยภูมิ. (2559). เพศวิถศี กึ ษา. กรงุ เทพฯ: ซเี อด็ ยเู คชน่ั . พนม เกตมุ าน. (2542). โตแลว้ นะ น่าจะรู้ไว้. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ . ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2545). พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525. กรุงเทพฯ: อักษร เจรญิ พฒั น.์ วันทนีย์ วาสกิ ะสนิ . (2527). เพศศกึ ษาเรือ่ งนา่ รู้ ใน นิตยสารหมอชาวบา้ น. 61(5): 12-15. สมศรี สุกุมลนันท์. (2528). นานาสาระกบั อาจารย์สมศร.ี กรงุ เทพฯ: อกั ษรสัมพันธ.์ สุชาติ โสมประยรู และวรรณี โสมประยรู . (2531). เพศศกึ ษา. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นา พานชิ . สพุ ร เกดิ สว่าง. (2536). “Adolescent Reproductive Health.” ใน รายงานการประชุมใหญ่ทาง วิชาการแห่งศิรริ าชครั้งท่ี 7. หน้า 274-285. กรงุ เทพฯ: ชวนพิมพ์. สุรพล ปราบวณิช. (2534). เกณฑก์ ารเลอื กคคู่ รองทม่ี ผี ลต่อความมน่ั คงของสถาบันครอบครวั . วิทยานพิ นธป์ ริญญามหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เสนอ อินทรสขุ ศรี. (2517). เพศศึกษา คณะกรรมการดาเนนิ งานเนื่องในปีประชากรโลก 2517: ประชากรกบั การอยู่รอด. กรุงเทพฯ: มติ รนราการพมิ พ์. องค์การแพธ (PATH). (2551). คู่มือหลักสตู ร “เพศศกึ ษารอบดา้ น” (Comprehensive Sexuality Education) สาหรับนกั ศึกษาสาขาครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ. กรงุ เทพฯ: องคก์ าร แพธ (PATH) ภายใต้การสนบั สนนุ ของกองทุนโลก. อมรา สนุ ทรธาดา. (2536). “เพศสมั พันธก์ อ่ นวยั อนั ควร ปญั หาวยั รุ่นทีท่ ่วั โลกกาลงั เผชิญอย่.ู ” มติชนรายวัน. (21)11: 11-12. อทุ ุมพร แกว้ สามศรี และคณะ. (2562). เพศวถิ ศี ึกษา. นนทบุรี: รตั นโรจนก์ ารพมิ พ์. เอนก อารีพรรค และสุวทั นา อารพี รรค. (2539). เรียนรู้เรอ่ื งเพศ. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั .
54 Burt, J. John, Brower A. Linda. (1970). Education for Sexuality: Concepts and Program for Teaching. Philadelphia: W.B. Saunders Company. Carter V. Good. (2005). Dictionary of Education. (5th ed.) New York: McGraw-Hill Book Company. Freud, Sigmund. (1970). “The Sexual Life of Man.” In Human Sexual Behavior. pp. 20-27. New York: John Wiley. Kirkendall, Lester A. (1965). “Sex Education.” In Discussion Guide, No.1. pp. 1-11. New York: SIECUS. ________. (1960). “Understanding Sex.” In Guidance Series Booklets 145. pp. 8-13. Illinois: Science Research Associates, Inc. Peter A. Jackson, Nerida M. Cook. (1999). Genders & Sexualities in Modern Thailand. Chiang Mai: Silkworm Books. Raymond, J.C. and Bonnie, D.O. (1994). Webster’s encyclopedia unabridged Dictionary of the english language. New York: Grammercy Books. Rubin, G. (1993). Thinking Sex: Notes for a Radical Theory of the Politics of Sexuality. New York: Routledge.
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 2 พัฒนาการทางเพศของมนุษย์ วัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม เมอ่ื ศึกษาบทเรยี นน้จี บแลว้ นกั ศึกษาควรมีพฤตกิ รรมดงั น้ี 1. อธบิ ายความหมายและเป้าหมายของพฒั นาการทางเพศได้ 2. อธบิ ายและยกตัวอย่างทฤษฎีท่เี กี่ยวขอ้ งกับเพศได้ 3. เปรยี บเทยี บพัฒนาการทางเพศในวัยตา่ ง ๆ ได้ 4. อธบิ ายและยกตัวอยา่ งระบบสบื พันธุข์ องเพศชายและเพศหญิงได้ 5. อธิบายการเปล่ียนแปลงและการพฒั นาลกั ษณะทางเพศได้ 6. ระบกุ ารเปลย่ี นแปลงทางเพศในวัยร่นุ ชายและวยั รุ่นหญิงได้ 7. อธบิ ายแนวปฏบิ ัติอยา่ งเหมาะสมกบั การเปล่ียนแปลงของวยั รุ่นได้ 8. อธบิ ายกระบวนการปฏิสนธิกาเนิดชีวิตได้ 9. อธบิ ายและยกตัวอย่างภาพลักษณข์ องวยั รุน่ ได้ เน้อื หาสาระ เนือ้ หาสาระในบทน้ปี ระกอบด้วย 1. ความหมายของพฒั นาการทางเพศ 2. เป้าหมายของพัฒนาการทางเพศ 3. ทฤษฎีที่เกย่ี วขอ้ งกับเพศ 4. พฒั นาการทางเพศในวยั ต่าง ๆ 5. ระบบสบื พนั ธุ์ของเพศชายและเพศหญงิ 6. การเปล่ียนแปลงและการพฒั นาลักษณะทางเพศ 7. การเปลย่ี นแปลงทางเพศในวยั รนุ่ ชาย 8. การเปลย่ี นแปลงทางเพศในวัยรนุ่ หญิง 9. แนวปฏิบัตอิ ย่างเหมาะสมกับการเปล่ียนแปลงของวัยรุ่น 10. การปฏสิ นธกิ าเนดิ ชีวติ 11. ภาพลกั ษณข์ องวัยรุ่น
56 กจิ กรรมการเรียนการสอน กิจกรรมการเรยี นการสอนเรื่องพฒั นาการทางเพศของมนษุ ย์ มดี งั น้ี สปั ดาหท์ ี่ 2 (3 ชว่ั โมง) 1. ผู้สอนทบทวนเน้ือหาบทที่ 1 ท่ีเรียนมาของสัปดาห์ก่อน พร้อมช้ีแจงวัตถุประสงค์ และ เนอ้ื หาประจาบทเรียนบทที่ 2 เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนรับรู้ภาพรวมของเน้ือหาสาระในบทเรยี นนี้ 2. ผู้สอนบรรยายเนื้อหาเกี่ยวกับพัฒนาการทางเพศของมนุษย์ ในหัวข้อ ความหมาย เป้าหมายของพัฒนาการทางเพศ ทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับเพศ พัฒนาการทางเพศในวัยต่าง ๆ ระบบสืบพันธ์ุของเพศชายและเพศหญิง การเปล่ียนแปลงและการพัฒนาลักษณะทางเพศ การเปล่ียนแปลงทางเพศในวัยรุ่นชายและวัยรุ่นหญิง และแนวปฏิบัติอย่างเหมาะสมกับการ เปลย่ี นแปลงของวัยรนุ่ 3. ผู้เรียนรับฟังบรรยายสรุปเนื้อหาสาระ ร่วมกับศึกษาเนื้อหาเรื่อง “พัฒนาการทางเพศ ของมนุษย์” ในหัวข้อดังกล่าวจากเอกสารคาสอน พร้อมทั้งซักถามและตอบคาถามระหว่างการฟัง บรรยาย 4. ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ “ร่างกายของฉัน” (การเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยรุ่น) และ กรณีศกึ ษา “แนนกับบอย” แลว้ รว่ มกันสรุปสาระสาคัญที่ได้รับ 5. ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนร่วมกันวเิ คราะห์ อภปิ ราย สรปุ เน้อื หาพฒั นาการทางเพศของมนุษย์และ แนวทางการนาไปประยกุ ต์ใช้ รวมท้งั เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนซกั ถามในหัวขอ้ / ประเด็นที่สงสัย 6. ผสู้ อนชีแ้ จงหวั ขอ้ ทจ่ี ะเรียนในครงั้ ต่อไป เพื่อให้ผ้เู รียนไปศึกษากอ่ นล่วงหนา้ 7. ผูส้ อนเสริมสรา้ งคุณธรรมและจริยธรรมให้กับนกั ศกึ ษากอ่ นเลิกเรียน สัปดาหท์ ่ี 3 (3 ชัว่ โมง) 1. ผสู้ อนทบทวนเนื้อหาท่ีเรยี นมาของสปั ดาห์ก่อน 2. ผู้สอนบรรยายเน้ือหาเกี่ยวกับพัฒนาการทางเพศของมนุษย์ ในหัวข้อ การปฏิสนธิ กาเนดิ ชีวติ และภาพลกั ษณ์ของวยั รุน่ 3. ผู้เรียนรับฟังบรรยายสรุปเน้ือหาสาระ ร่วมกับศึกษาเนื้อหาเร่ือง “พัฒนาการทางเพศ ของมนุษย์” ในหัวข้อดังกล่าวจากเอกสารคาสอน พร้อมทั้งซักถามและตอบคาถามระหว่างการฟัง บรรยาย 4. ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ “เส้นสมมติ” และ หนังสั้น “แบบทดสอบ (A Test Kit)” แลว้ ร่วมกันสรุปสาระสาคญั ท่ไี ดร้ ับ
57 5. ผสู้ อนใหผ้ ้เู รียนร่วมกันวเิ คราะห์ อภปิ ราย สรุปเน้ือหาพฒั นาการทางเพศของมนุษย์และ แนวทางการนาไปประยกุ ตใ์ ช้ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามในหวั ข้อ / ประเดน็ ที่สงสยั 6. ผสู้ อนมอบหมายใหผ้ เู้ รยี นทาคาถามทา้ ยบท และกาหนดวนั ส่ง 7. ผสู้ อนชแ้ี จงหวั ข้อทจี่ ะเรียนในคร้งั ตอ่ ไป เพอื่ ให้ผู้เรียนไปศกึ ษากอ่ นล่วงหนา้ 8. ผสู้ อนเสริมสร้างคุณธรรมและจรยิ ธรรมให้กับนักศกึ ษาก่อนเลิกเรยี น สอ่ื การเรยี นการสอน 1. เอกสารคาสอน เพศศกึ ษาแบบองค์รวม 2. เอกสาร ตารา หนังสอื และงานวจิ ัยทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั เพศศึกษาแบบองคร์ วม 3. สไลด์นาเสนอความรู้ประเด็นสาคัญทุกหัวข้อเร่ือง ด้วยส่ือทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point 4. วัสดแุ ละอุปกรณ์สาหรับจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย 4.1 กระดาษฟลิปชาร์ท 4.2 กระดาษเอสี่ 4.3 ปากกาเคมี 4.4 เชอื กฟางความยาวประมาณ 10 เมตร 4.5 กระดาษกาว 4.6 ชดุ อุปกรณแ์ ละเคร่ืองมือการคุมกาเนิด 4.7 ใบงาน “แนนและบอย” 4.8 หนงั สอื โครงการหนงั มา่ นรดู 1 เรื่อง “แบบทดสอบ” (A Test Kit) 5. คาถามทา้ ยบท การวัดผลและการประเมนิ ผล วตั ถุประสงค์ วธิ กี าร/เครือ่ งมือ การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. อธบิ ายความหมายและเป้าหมาย 1. ซกั ถาม-ตอบคาถาม 1. นักศึกษาตอบคาถาม และ ของพัฒนาการทางเพศได้ อภปิ ราย แลกเปลยี่ น อภิปรายไดถ้ ูกตอ้ ง รอ้ ยละ 80 2. อธิบายและยกตวั อย่างทฤษฎี และการสนทนาร่วมกนั 2. นักศึกษามคี วามสนใจ/ ทเี่ ก่ียวขอ้ งกับเพศได้ 2. สังเกตพฤติกรรม ความร่วมมอื และความ การร่วมกิจกรรม กระตอื รนื รน้ ในการร่วม กิจกรรมอยใู่ นระดับดี
58 วัตถุประสงค์ วิธกี าร/เครือ่ งมือ การวดั ผลและการประเมินผล 3. เปรียบเทยี บพฒั นาการทางเพศใน 3. สงั เกตการนาเสนอผล 3. นกั ศกึ ษามคี วามพร้อม/ วยั ตา่ ง ๆ ได้ การทางานหน้าช้ันเรยี น ความตง้ั ใจและความกลา้ 4. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งระบบ 4. ใบงานในกิจกรรมการ แสดงออกในการนาเสนอผล สืบพนั ธ์ขุ องเพศชายและเพศหญงิ ได้ เรียนรู้ การทางานหนา้ ช้ันเรียนอยูใ่ น 5. อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงและการ 5. คาถามท้ายบท ระดับดี พฒั นาลกั ษณะทางเพศได้ 4. นกั ศกึ ษาทาใบงานได้ถกู ต้อง 6. ระบุการเปลี่ยนแปลงทางเพศใน ครบสมบูรณ์ และเสรจ็ ตาม วยั รุ่นชายและวัยรุ่นหญงิ ได้ เวลาทกี่ าหนด ร้อยละ 80 7. อธบิ ายแนวปฏิบัติอยา่ งเหมาะสม 5. นักศกึ ษาตอบคาถามท้าย กบั การเปลีย่ นแปลงของวัยรุน่ ได้ บทเรยี นได้ ร้อยละ 80 8. อธบิ ายกระบวนการปฏสิ นธกิ าเนิด ชวี ติ ได้ 9. อธบิ ายและยกตัวอยา่ งภาพลักษณ์ ของวยั รุ่นได้
59 บทท่ี 2 พัฒนาการทางเพศของมนุษย์ พัฒนาการทางเพศของมนุษย์นับเป็นส่วนหน่ึงของการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ทางร่างกายและจิตใจ จึงควรมีความรู้และทัศนคติท่ีถูกต้อง เพ่ือช่วยให้มีพัฒนาการทางเพศ ที่เหมาะสมและเป็นท่ียอมรับของสังคม พัฒนาการทางเพศท่ีสาคัญ คือ การเปล่ียนแปลงเข้าสู่ วัยหนุ่มสาว ซึ่งแสดงออกโดยการเปล่ียนแปลงทางร่างกายและจิตใจ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าสู่วัยน้ี พร้อมกัน การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละช่วงวัยเป็นธรรมชาติ ของพัฒนาการของมนุษย์ วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างชัดเจนทั้งด้านร่างกายและอารมณ์ เพราะเป็นวัยที่กาลังก้าวผ่านจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่และมีการเปล่ียนแปลงของฮอร์โมนเพศ เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบสืบพันธุ์หญิงและชาย และปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกาย และความรู้สึกเมอ่ื มีการสัมผสั อวัยวะบางจุด ความหมายของพัฒนาการทางเพศ พัฒนาการทางเพศ หมายถึง การเปล่ียนแปลงในส่วนท่ีเกี่ยวกับแรงผลักดันทางเพศ บทบาททางเพศ และ พฤติกรรมทางเพศ ตั้งแตว่ ัยทารกจนถึงวยั ชรา ซึง่ ขนึ้ อยูก่ ับปจั จัยหลายประการ ได้แก่ ลักษณะประจาตัวของบุคคลนั้น อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ (จันทร์วิภา ดลิ กสัมพนั ธ์, 2548, น. 69) เป้าหมายของพฒั นาการทางเพศ พัฒนาการทางเพศ เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการบุคลิกภาพ ที่เกิดข้ึนต้ังแต่เด็ก มีความต่อเนื่องไปจนพัฒนาการเต็มที่ในวัยรุ่น หลังจากนั้นเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพท่ีติดตัว ตลอดชีวติ เมอ่ื สิ้นสดุ วยั รนุ่ มีการเปลี่ยนแปลงและเป้าหมายของพัฒนาการทางเพศต่อไปนี้ 1. มีความรู้เร่ืองเพศ ตามวัย และพัฒนาการทางเพศ ต้ังแต่ร่างกาย การเปล่ียนแปลงไป ตามวยั และจิตใจสงั คม ของท้งั ตนเองและผู้อน่ื ทัง้ ของเพศตรงกนั ข้าม ความแตกต่างกันระหว่างเพศ
60 2. มีเอกลักษณ์ทางเพศของตนเอง ได้แก่ การรับรู้เพศตนเอง (Core Gender) บทบาท ทางเพศและพฤติกรรมทางเพศ (Gender Role) มีความพึงพอใจทางเพศหรือความรู้สึกทางเพศ ตอ่ เพศตรงข้ามหรอื ตอ่ เพศเดยี วกัน (Sexual Orientation) 3. มีพฤติกรรมการรักษาสุขภาพทางเพศ (Sexual Health) การรู้จักร่างกายและ อวัยวะเพศของตนเอง ดูแลรักษาทาความสะอาด ป้องกันการบาดเจ็บ การติดเช้ือ การถูกล่วงเกิน ละเมิดทางเพศ และการปอ้ งกันพฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศ 4. ทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่จะร่วมเป็นคู่ครอง การเลือกคู่ครอง การรักษา ความสัมพันธ์นี้ให้ยาวนาน แก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิตร่วมกัน การส่ือสาร การมีความสัมพันธ์ทางเพศ กบั คูค่ รองอย่างมีความสุข มีการวางแผนชีวิตและครอบครัว 5. บทบาทในครอบครวั บทบาทและหน้าท่ีสาหรับการเป็นลูก การเป็นพ่ี-น้อง และสมาชิก คนหน่ึงในครอบครัว หน้าที่และความรับผิดชอบการเป็นพ่อแม่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และ ขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละศลี ธรรมของสังคมทีอ่ ยู่ 6. ทัศนคติทางเพศท่ีถูกต้อง ภูมิใจพอใจในตนเอง ไม่รังเกียจหรือปิดบัง ปิดกั้นการเรียนรู้ ทางเพศที่เหมาะสม รู้จักควบคมุ พฤติกรรมทางเพศให้แสดงออกถกู ต้อง ให้เกียรติผู้อ่ืน ไม่ล่วงละเมิด ทางเพศต่อผอู้ น่ื ทฤษฎที ี่เก่ียวขอ้ งกบั เพศ การทจ่ี ะกล่าวถงึ พฒั นาการทางเพศของผู้ชายและผู้หญิงอย่างสมบรู ณไดน้ ั้น จาเป็นจะตอ้ ง เริ่มจากการศึกษาทฤษฎีต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับเพศ ซ่ึงซิกมันต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ และนักจติ วเิ คราะห์ชาวออสเตรเลียไดส้ ร้างทฤษฎเี กี่ยวกบั จติ ใจ ทฤษฎีเกยี่ วกบั การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ การพัฒนาการทางเพศ รวมทั้งทฤษฎีอ่ืนๆ อีกมากมาย โดยอาศัยประสบการณ์ท่ีเขาได้ให้การรักษา ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิต ซ่ึงเขาได้คิดค้นทฤษฎีสาคัญ 3 ทฤษฎีที่เก่ียวกับเร่ืองเพศ ได้แก่ (จันทร์วิภา ดลิ กสัมพันธ,์ 2548, น. 69-73) 1. ทฤษฎีลปิ ิโด (Libido) ฟรอยด์อธิบายว่า ลิปิโด (ซึ่งแปลว่า ความกาหนัด) เป็นพลังงานของจิตใจ และเป็น เคร่ืองบอกถึงความรุนแรงของอารมณ์พศ (Sex Drive) ในบุคคลนั้น ลิปิโด เป็นส่วนหน่ึงของจิตใจ ซ่งึ เกีย่ วกับชีววิทยา (ฮอร์โมน) ของร่างกาย แตอ่ าจถูกกระตุ้นจากแรงภายนอกได้ ลปิ โิ ดพบในเด็กด้วย แต่มีลักษณะแตกต่างจากอารมณ์เพศในผู้ใหญ่ ลกั ษณะของลิปิโดในเด็กคือ แหล่งกาเนิดของอารมณ์ เพศจะอยู่ท่ีส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกาย และเปล่ียนแปลงตาแหน่งไปตามวัย เช่น ระยะขวบปีแรก อยู่ที่ปาก ระยะที่ 1 – 2 ปีอยู่ที่ทวารหนัก ระยะท่ี 3 – 5 ปี อยู่ที่วัยวะเพศ เป็นต้น และความสุข
61 ทางเพศของเด็กเป็นความสุขที่ได้รับจากตัวเอง ไมม่ ีบุคคลหรือวตั ถุที่เป็นความปรารถนาทางด้านเพศ โดยเขาไดศ้ กึ ษาและแบ่งระยะการพฒั นาทางเพศของมนุษยไ์ ว้ 6 ระยะ ดงั ต่อไปน้ี 1.1 ระยะอายุ 0 – 1 ปี (Oral Stage) ในชว่ งขวบปีแรกของชวี ิต เป็นระยะทเ่ี ด็กใช้เวลา ส่วนใหญ่ไปในเรื่องของการกิน เพื่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ระยะน้ีเด็กจึงมีความสุขและ ความมั่นใจ อยู่ท่ีบรเิ วณ “ปาก” ดังนั้นการท่ีเด็กได้ดูดนมจึงมิใช่จะได้รับความสุขจากการอ่ิมเท่าน้ัน แตย่ ังได้รับความสุขท่เี กิดจากการดดู อกี ดว้ ย 1.2 ระยะอายุ 1 – 2 ปี (Anal Stage) เป็นระยะท่ีเด็กไดร้ ับการฝึกหัดใหอ้ ย่ใู นระเบียบ วินัยบางอย่าง เช่น การรู้จักขับถ่ายให้เป็นเวลา เด็กจึงเปลี่ยนความสนใจจากบริเวณปาก มาเปน็ บริเวณทวารหนัก เด็กวยั นี้จงึ ชอบเล่นของสกปรก เลอะเทอะ ชอบยนื ถา่ ยปสั สาวะในท่ีเปิดเผย เพ่ืออวดอวยั วะเพศของตน 1.3 ระยะอายุ 3 – 5 ปี (Phallic Stage) เป็นระยะท่ีเด็กแสดงความสนใจท่ีจะได้เห็น อวัยวะเพศของคนอื่นท่ีไม่เหมือนของตน แล้วเกิดเป็นความวติ กกังวล จึงมักเกิดพฤติกรรมการแอบดู คนอาบนา้ การอวดอวัยวะเพศของตน และเป็นระยะที่เด็กเร่ิมจะมีความรู้สกึ ต่อเพศตรงข้ามในแบบ ของชายหญิง และบคุ คลต่างเพศคนแรกท่เี ด็กจะมคี วามรูส้ กึ ดว้ ยก็คือ พ่อแม่ 1.4 ระยะอายุ 6 – 12 ปี (Latency Stage) เป็นระยะของความสงบ เด็กจะน่ารกั มาก อยากรู้อยากเห็น ชอบซักถาม ดูไม่มีปัญหา มักจะเร่มิ มีชีวิตสังคมนอกครอบครัว ห่างออกจากพ่อแม่ มากขนึ้ 1.5 ระยะอายุ 13 – 14 ปี (Genital Stage) เป็นระยะที่เข้าสู่วัยรุ่น ต่อมเพศทางาน มากข้ึน เกิดการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ อย่างเห็นได้ชัด เช่น เด็กหญิงเร่ิมมีหน้าอก มีประจาเดือน เดก็ ชายเริม่ มีเสยี งแตก มหี นวดเครา มีฝันเปยี ก และมกี ารแข็งตัวของอวยั วะเพศ 1.6 ระยะอายุ 15 – 18 ปี (Puberty Stage) คือระยะที่เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัว มีความสนใจต่อเพศตรงข้าม มีการกระทาที่เรียกร้องความสนใจซึ่งกันและกัน จะพยายามแสดง บทบาทของตน และมกี จิ กรรมในสังคมมากข้ึน 2. ทฤษฎีเก่ยี วกับปมปิตมุ าต (Oedipal Complex) ในระยะ 3 – 5 ปี ซึ่งเป็นระยะท่ีความสุขของเด็กอยู่ที่อวัยวะเพศ เป็นระยะท่ีฟรอยด์ เช่อื ว่าเด็กจะมีความตอ้ งการแขง่ ขันกับพ่อแม่ทีเ่ ป็นเพศเดียวกบั ตน เพอื่ ให้ตนเปน็ ท่รี ักของพ่อหรอื แม่ ทเี่ ป็นเพศตรงกนั ข้าม ความต้องการดังกล่าวทาให้เกิดความขัดแย้งภายในจิตใจของเดก็ เพราะเขายัง จะต้องพง่ึ พ่อแมผ่ ู้นั้น ความขัดแย้งภายในจติ ใจนี้เรยี กว่า “ปมปติ ุมาต” การแข่งขันดังกล่าวทาให้เด็ก พยายามลอกเลียนลักษณะท่าทาง อารมณ์ นิสัย จริยธรม และอุดมคติจากพ่อแม่ท่ีเป็นเพศเดียว กบั ตน แตก่ ารเลียนแบบนี้จะเกดิ ไดส้ มบูรณ์
62 การแข่งขันกับพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศเดียวกับตน ทาให้เด็กผู้ชายมีความกังวลว่าพ่อจะตัด อวยั วะเพศของตน เพราะเขาคิดว่าลักษณะของอวยั วะเพศหญิงซึ่งต่างจากของเขาน้ันเนื่องจากถูกตัด ไปเรียกว่ามีความวิตกกังวลว่าจะถูกตอน (Castration Anxiety) ความกังวลน้ีไม่เฉพาะเรื่องถูกตัด อวัยวะเพศอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการกลัวจะถูกผ่าตัด และการกลัวความตายด้วย ส่วนเด็กผู้หญิง จะอิจฉาผูช้ ายซ่งึ เปน็ เพศที่เหนือกวา่ และแข็งแรงกวา่ ด้วยเหตุที่ตนไมม่ ีองคชาต เรยี กวา่ มีความอิจฉา การมีองคชาต (Penis Envy) อย่างไรก็ดคี วามเช่ือเกย่ี วกับความวิตกังวัลวจะถูกตอน และความอจิ ฉา การมีองคชาตในเดก็ ของฟรอยดน์ นั้ นกั จิตวเิ คราะหบ์ างคนก็ไม่เชื่อ 3. ทฤษฎีเกย่ี วกบั ความสุขสดุ ยอดทางเพศ (Orgasm) ฟรอยด์เชื่อว่า ความสุขสุดยอดทางเพศของผู้หญิงมี 2 ชนิด คือ ความสุขสุดยอดจาก การกระตุ้นทค่ี ลิตอริส (Clitoral Orgasm) และความสขุ สุดยอดจากการกระต้นุ ทีช่ ่องคลอด (Vaginal Orgasm) จากการท่ีฟรอยด์เชื่อวา่ ในจิตใต้สานึก (Unconscious Mind) ของเด็กผู้หญิงมคี วามอิจฉา เดก็ ผู้ชายที่มีองคชาต เด็กผูห้ ญิงจะมองคลติ อริสของตัวเองว่าเป็นองคชาตที่ชารุด เพราะฉะนน้ั การมี ความสุขสุดยอดจากการกระตุ้นที่คลิตอริส จึงเป็นความสุขท่ีไม่สมบูรณ์หรอื ไม่ปกติ เมื่อเปรียบเทียบ กับความสุขสุดยอดจากการร่วมเพศทางช่องคลอด แต่เม่ือใดที่จิตใต้สานึก (Unconscious Mind) ของผู้หญิงล้มเลิกความต้องการที่จะมีองคชาตและยอมรับบทบาทของหญิง คือ การมีลูก ก็จะเกิด การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจท่ีสาคัญ คือเปล่ียนจากการฝังใจที่คลิตอริส มาที่อวัยวะสืบพันธุ์ ของเพศหญิง คือช่องคลอดและมดลูก และเมื่อนั้นเธอก็จะยอมรับบทบาททางเพศของเธอ และสามารถมคี วามสุขสุดยอดทางชอ่ งคลอด พฒั นาการทางเพศในวัยตา่ ง ๆ พัฒ นาการทางเพศเป็นส่วนหน่ึงของพัฒ นาการบุคลิกภาพ ท่ีเกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก มีความต่อเน่ืองไปจนพัฒนาการเต็มที่ในวัยรุ่น หลังจากน้ันเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพท่ีติดตัว ตลอดชีวิต สาหรับทรรศนะเกี่ยวกับพัฒนาการทางเพศข้ันพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ในวัยต่าง ๆ มีดงั น้ี (เอนก อารีพรรค และสุทนา อารีพรรคม, 2539, น. 89 – 96 และจันทร์วิภา ดิลกสัมพันธ์, 2548, น. 73-81) 1. วยั เด็กตอนตน้ (อายุตง้ั แต่แรกเกิด - 5 ป)ี เป็นการยากท่ีจะพูดถึงอารมณ์เพศของเด็กในวัยน้ี เพราะอวัยวะสืบพันธุ์ของเขา ยังไม่เจริญเติบโตเต็มท่ี แต่อย่างไรก็ตามในขวบปีแรกของชีวิตเราก็พบว่า องคชาตของเด็กผู้ชาย สามารถแข็งตัวได้และน้าหล่อล่ืนจากช่องคลอดของเด็กผู้หญิงก็เกิดขึ้นได้ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นเด็กไม่น่า
63 จะมีอารมณ์เพศ จงึ ทาให้เกิดความคิดว่า การตอบสนองทางเพศดงั กลา่ วของเด็กเปน็ ปฏิกริ ิยาสะท้อน (Reflex) หรือเป็นขบวนการทางชีววิทยามากกว่าจะเก่ียวข้องกับอารมณ์หรือจิตใจ แต่พอเด็กโตข้ึน ขบวนการนี้จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเพราะได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ วัฒนธรรม และส่ิงแวดล้อม ต่าง ๆ ยิ่งกว่านั้นยังมีหลักฐานว่าในขวบปีแรกทั้งเด็กหญิงและชายมีการลูบคลาอวัยวะเพศ จนเกิดความสุขสุดยอดได้ แต่จะประสงค์ของการกระทาจะเหมือนในผู้ใหญ่หรือไม่น้ันพิสูจน์ยาก แต่เชื่อว่าน่าจะต่างกับจุดประสงค์ของการสาเร็จความใคร่ด้วยตนเองของผู้ใหญ่ และการกระทา จนถึงจุดสุดยอดเช่นน้ีพบได้ไม่บ่อย แต่เม่ือเด็กโตขึ้นเขาจะเรียนรู้ว่าการกระตุ้นอวัยวะเพศสามารถ ให้ความสุขแก่เขาได้จึงกระทาบ่อยข้ึน หลังอายุ 18 เดือน เม่ือเด็กมีการพัฒนาทางภาษา และการเคลื่อนไหว เด็กก็จะสามารถเข้าใจและเริ่มเรียนรู้เก่ียวกับโลกของผู้ใหญ่ สิง่ ทส่ี าคญั อย่างหน่ึง ในการเป็นสมาชิกของโลกผู้ใหญ่ก็คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับการควบคุมกระเพาะปัสสาวะและ การขบั ถ่ายอุจจาระของตัวเอง ในระยะฝึกขับถ่าย เด็กจะรู้จักอวัยวะเพศของตนองในส่วนที่เก่ียวกับ ความสะอาดหรือสกปรก เพราะเขาเรียนรู้ว่าเขาสามารถควบคุมหน้าท่ีนี้ได้ แต่พ่อแม่จะขัดขวาง ความสุขที่ได้รับจากการขับถ่ายโดยสอนให้เขารู้ว่าของที่เขาผลิตออกมา (อุจจาระและปัสสาวะ) ไม่สวย สกปรก และต้องควบคุม ความคิดฝันของเด็กในวัยนี้ส่วนใหญ่ก็ขน้ึ กับสิ่งที่เขาขับถ่ายออกมา เพราะฉะนั้นการที่ผู้ใหญ่ดูแลเด็กโดยไม่เข้าใจในส่ิงเหล่านี้อาจทาให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อ จิตใจเด็ก หรือให้เกิดความขัดแย้งภายในจิตใจของเด็กได้ขณะท่ีเด็กมีความรู้สึกว่ าอวัยวะเพศ เป็นของลับ เขาก็มีความรู้สึกอยากแสดงร่วมอยู่เช่นกัน เขาจะมีความภาคภูมิใจในอวัยวะเพศ ของตนเองและต้องการจะแบ่งความภาคภูมิใจน้ีให้ผู้อื่นด้วย นอกจากน้ันเด็กยังพบว่าอวัยวะเพศ สามารถให้ความสุขแก่ตนได้ เพราะฉะนั้นเขาจะจงใจลูบคลาอวัยวะเพศของเขา แต่ท่าทีของพ่อแม่ ต่อการกระทาของเด็กอาจทาให้เกิดความสับสน เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่จะไม่สนับสนุน แต่จะ ห้ามปรามไม่ให้เด็กกระทา ทั้งที่ขณะเดียวกันสนับสนุนให้เด็กรู้จักและสนใจอวัยวะส่วนอื่น ของร่างกาย หรือพ่อแม่บางคนอาจสนับสนุนเด็กให้สนใจอวัยวะเพศ โดยการหัวเราะชอบใจ เวลาเด็กแสดงออกทางเพศ หรือบางรายก็แสดงให้เดก็ ดู ทาให้เด็กมีความรูส้ ึกที่ไม่ดีต่อเรอื่ งเพศ เช่น ร้สู กึ ผิด ร้สู ึกละอาย และวิตกังวล อันเป็นจดุ เริม่ ต้นของปญั หาทางเพศ พฤติกรรมขั้นพ้ืนฐานโดยท่ัวไปและพฤติกรรมทางเพศของคนเราถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้น ต้งั แต่วัยเดก็ ดงั จะเห็นได้ว่าต้ังแต่สัปดาห์แรก ๆ ของชีวติ พ่อแม่จะปฏิบัติตวั ต่อลกู ผู้ชายและลูกผู้หญิง แตกต่างกัน พ่อจะเล่นกับลูกผู้ชายรุนแรงว่าลูกผู้หญิง แม่ก็มีความนุ่มนวลกับลูกผู้หญิงมากกว่า ลูกผู้ชาย การแสดงออกอย่างน้ีซ้า ๆ ซาก ๆ อาจเป็นส่ิงท่ีทาให้เด็กเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง เพศชายกับเพศหญิง นอกจากน้ันปัจจัยอื่น เช่น สีของห้องนอน เส้ือผ้า และเร่ืองความสะอาด เรียบร้อยกช็ ่วยให้เกิดเอกลักษณ์ทางเพศพื้นฐานในเด็ก และเกิดการรับรู้ในความเป็นเพศใดเพศหนึ่ง ความรูส้ ึกว่าตนเป็นเพศชายหรือเพศหญิง (Gender Identity) นัน้ ตามปกติจะเกิดข้ึนภายใน 3 ขวบ
64 ปีแรกของชีวิต แต่ใน 18 เดอื นแรก แกนพ้ืนฐานของการรับรูค้ วามเปน็ เพศใดเพศหน่ึงของเด็กกจ็ ะเกิด เรียบร้อยแลว้ เขาจะเรม่ิ ใชส้ รรพนามแทนตวั ตามเพศ เชน่ เรยี กตัวเองว่า “หนู” หรอื “ผม” ตอบรับ ว่า “คะ” หรอื “ครับ” และเริ่มสนใจท่ีจะแต่งตัวตามเพศของตน ส่ิงสาคัญท่ีทาให้เด็กเกิดการรับรู้ว่า ตนเป็นเพศใดมีพ้ืนฐานมาจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่และส่ิงแวดล้อมของเด็ก มากกว่าลักษณะ เพศทางร่างกาย ซ่ึงกาหนดโดยโครโมโซมเสียอีก หลักฐานท่ีพิสูจน์ความจริงดังกล่าวคือ ในเด็กท่ีมี อวยั วะเพศกา้ กึ่งแยกไม่ออกเป็นเพศใดเม่ือแรกเกิด ถ้าได้รบั การอบรมลี้ยงดูใหเ้ ป็นเพศตรงกนั ข้ามกับ เพศที่แท้จริงของเด็ก เด็กจะมีความรู้สึกเป็นเพศตามท่ีถูกอบรมเล้ียงดูมา เพราะฉะนั้นการจะเปล่ียน ความรู้สึกวา่ ตนเปน็ เพศชายหรือหญงิ ของเด็กในกรณที ีว่ นิ ฉิ ยั เพศทางรา่ งกายผิดไป ควรจะกระทาก่อน อายุ 18 เดือนหรืออย่างช้าท่ีสุดไม่ควรเกิน 3 ปี มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาเร่ืองการยอมรับเพศใหม่ ซ่ึงเป็นเพศท่แี ท้จริงของเด็ก สาหรับบทบาททางเพศ (Gender Role) น้ัน เป็นการแสดงออกทางสังคมของการรู้สึก ว่าตนเป็นเพศใด จะเร่ิมเกิดตั้งแต่อายุ 3 ขวบ หรือเร็วกว่านี้ โดยเด็กจะเร่ิมสังเกตบทบาททางเพศ ของคนในครอบครวั และคนอนื่ ๆ ในส่งิ แวดล้อมของตน ทาให้เดก็ เห็นความแตกตง่ ระหว่างพฤติกรรม ของผู้หญิงและผู้ชาย และเลอื กเอาอยา่ งให้เหมาะสมกับเพศของตน นอกจากน้ันความสัมพันธร์ ะหวา่ ง บิดามารดากับเด็ก และบทบาททางเพศที่เหมาะสมของบิดามารดาก็ช่วยให้เด็กมีโอกาสลอกเลียน ลกั ษณะทางเพศไดด้ ีข้ึน รวมท้ังทัศนคติของสังคมและวัฒนรรมว่าเด็กหญิงหรือเด็กชายควรมีลกั ษณะ อย่างไร ควรจะสนใจกิจกรรมการเรียนหรืออาชีพแบบไหน และอื่น ๆ ก็มีส่วนหล่อหลอมบทบาท ทางเพศของเด็กเชน่ กัน นอกจากนี้ บทบาทของพ่อแม่ ในช่วงท่ีเด็กมีอายุ 1 – 3 ปี ควรสอนให้เด็กรู้ว่า เป็นเพศใด ตรงตามความเป็นจริง ผู้ใหญ่ไม่ควรล้อเลียนให้เด็กอายในเร่ืองเพศ หรือแสดงให้เห็นว่า เพศใดดีกว่ากัน ไม่ควรหลอกหรือขู่เด็กว่าจะตัดอวัยวะเพศเพราะอาจทาให้เด็กกลัวจริง ๆ และ เกิดทัศนคติทางลบฝังใจต่อเรื่องเพศไปจนโต วัยนี้เด็กต้องการการฝึกควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นพ้ืนฐาน ของระเบียบวินัย และการควบคุมตัวเองเร่อื งเพศในระยะต่อมา พ่อแม่สามารถสื่อสารด้วยคาพูดกับ เด็กได้มากขึ้น ควรเร่ิมต้นปลูกฝังระบบจริยธรรมในชีวิตเด็กตั้งแต่วัยนี้ โดยสอนและกากับให้เด็กอยู่ ในกฎเกณฑ์และความปลอดภัยไม่ตามใจเกินไป การให้เดก็ สารวจเรียนรจู้ ากการเล่นในกรอบที่ถกู ต้อง ช่วยให้เด็กมีเหตุผลเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปฏิบัติตามกฎกติกา ของสังคม ส่วนในช่วงอายุ 3 – 5 ปี พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างทางเพศท่ีถูกต้อง วัยน้ีควรเร่ิมสอน ให้เด็กรักษาความสะอาดอวัยวะเพศ ป้องกันตัวเองทางเพศ ปฏิเสธไม่ไปไหนกับคนอื่น ปฏิเสธ คนแปลกหน้ามาสัมผัสอวัยวะเพศตนเอง ส่งเสริมบทบาททางเพศท่ีเหมาะสม ได้แก่ การแต่งกาย การเล่น พ่อแม่ควรใกล้ชิดลูก ไม่ว่าตนเป็นเพศไหน และลูกเป็นเพศอะไร วัยนี้เด็กเร่ิมมีเหตุผลและ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ต้องการทาตัวดีเพ่ือให้เป็นที่ยอมรับ ต้องการอยู่ในกลุ่ม หลีกเล่ียงพฤติกรรม
65 ที่ทาให้ถูกลงโทษหรือไม่ยอมรบั จากผ้ใู หญ่ วัยนส้ี ามารถอธบิ ายเหตุผลได้สัน้ ๆ ง่าย ๆ มีตวั อย่างที่เป็น รปู ธรรมประกอบ (ศิยพร กล่าทวี และประพล นิลใหญ่, 2562, น. 14) 2. วัยเดก็ ตอนปลาย (อายุ 5 - 11 ปี) เมื่อผ่านวัยเด็กตอนต้นมาแล้ว เด็กจะมีความรู้สึกว่าตนเป็นเพศใดและเริ่มมีบทบาท ท่ีเหมาะสมกับเพศของตน จะสามารถทนต่อการจากพ่อแม่หรือคนเลี้ยงได้ชั่วระยะเวลาส้ัน ๆ โดยสามารถไปโรงเรียนได้ และรู้จักพัฒนาตัวเองให้เข้ากับเพื่อนเพศเดียวกัน โดยสามารถสนใจ มกี ิจกรรม รวมท้ังมีความคิดฝันทางเพศร่วมกับเพื่อนได้ กิจกรรมทางเพศของเด็กในวัยนี้คือ เขาจะมี การเล่นเพศกัน โดยเล่นเปน็ พ่อแม่ หรอื เป็นสามภี รรยากนั ในหมเู่ พ่อื น ความสัมพันธก์ ับเพศเดียวกันนี้ ช่วยเน้นเอกลักษณ์ทางเพศของเด็ก แต่อย่างไรก็ตามเด็กก็ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมและสังคม ท่ีเขาเติบโตขน้ึ มาดว้ ย นอกจากนั้นเด็กในวัย 5 - 11 ปี จะค่อย ๆ ถูกแนะนาเข้ามาในโลกทางเพศของผู้ใหญ่ โดยหนงั สือนวนยิ าย ภาพยนตร์ โทรทัศน์ และการสังเกตสง่ิ แวดล้อมประจาวันรอบ ๆ ตัว ความสนใจ เกี่ยวกับเรื่องเพศจะค่อย ๆ เกิดข้ึนภายในจิตใจ เขาจะเรียนรู้อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรถูก อะไรผิด แต่อยา่ งไรกต็ ามคาพดู หรอื สัญลกั ษณท์ างเพศบางอย่างเด็กก็ยังไม่เข้าใจดหี รือเขา้ ใจผดิ ในระยะน้ี เช่น คาหยาบทางเพศ เด็กอาจจะรู้ว่าไม่ดีแต่ไม่เข้าใจว่าไม่ดีอย่างไร ย่ิงกว่าน้ันในสังคมปัจจุบัน การให้ความรู้เร่ืองเพศแก่เด็กวัยนี้ยังน้อย เพราะฉะน้ันส่ิงที่เด็กได้รับจึงเป็นความคิดฝันหรือ ความเข้าใจของเขาเอง ซงึ่ อาจผดิ แต่ความเขา้ ใจที่ไมถ่ กู ตอ้ งในระยะนจี้ ะถกู แกไ้ ขในวยั ตอ่ ไป สาหรับบทบาทของพอ่ แม่ ควรส่งเสรมิ กจิ กรรมท่เี หมาะสมกับเพศ ให้เดก็ เป็นที่ยอมรับ ของเพื่อนเพศเดียวกัน เด็กท่ีมีพฤติกรรมผิดเพศควรแก้ไขโดเร็ว โดยการให้เด็กอยู่และร่วมกิจกรรม ในกลุ่มเพศเดียวกันเอง ให้พ่อแม่เพศเดียวกันใกล้ชดิ เด็กมากข้ึน พ่อแม่ต่างเพศให้ห่างออกไปไม่ควร ใกลช้ ดิ มากเหมือนเดมิ จัดกจิ กรรม หรือส่งเสรมิ กจิ กรรมเหมาะสมตามเพศ 3. วยั รนุ่ ตอนตน้ (อายุ 12 - 15 ปี) ระยะนีเ้ ด็กจะมคี วามสมั พันธก์ บั สังคม วฒั นธรรม และชีววิทยาของรา่ งกาย เด็กจะเข้าสู่ วัยแตกหนุ่มแตกสาว และมีพัฒนาการทางร่างกาย ตลอดจนมีพัฒนาการเก่ียวกับลักษณะทางเพศ และการพัฒนาเกี่ยวกับหน้าที่ทางเพศเกิดขึ้นด้วย ซ่ึงเพศชายและเพศหญิงมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ เม่ือเด็กชายย่างเข้าสู่วัยรุ่นหรืออายุราว 14 ปี อัณฑะซึ่งเป็นต่อมเพศของชายจะได้รับ การกระตุ้นจากต่อมใต้สมองให้ทาหน้าท่ีผลิตเซลล์สืบพันธ์ุ และผลิตฮอร์โมนเพศชาย คือ ฮอร์โมน เทโตสเตอโรนอันเป็นฮอร์โมนท่ีมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางเพศ ทั้งลักษณะ ทางเพศขั้นที่ 1 (Primary Sex Characteristic) คืออวัยวะในระบบสืบพันธ์ุมีการเจริญ เติบโต
66 มีขนาดใหญ่ข้ึน เช่น องคชาต ต่อมลูกหมาก รวมท้ังอัณฑะเร่ิมมีการผลิตน้ากามจากต่อมลูกหมาก ถุงน้ากาม และต่อมขับน้าเมือก เริ่มมีการผลิตอสุจิจากอัณฑะ จนทาให้เกิดการเคล่ือนของน้าอสุจิ ออกมาภายนอกร่างกายในขณะหลับท่ีเรียกวา่ “ฝันเปียก” และยังสง่ ผลไปถึงพัฒนาการของลักษณะ ทางเพศขั้นที่ 2 (Secondary Sex Characteristic) เช่น เสียงแตก นมขึ้นพาน มีหนวด มีเครา มขี นขึน้ ตามร่างกายและอวยั วะสืบพนั ธุ์ เปน็ ตน้ ภาพที่ 2.1 แสดงอิทธิพลของฮอรโ์ มนที่มีต่อการเปล่ยี นแปลงผู้ชาย (Male Secondary Sex Characteristic) ทม่ี า: สุชาติ โสมประยรู และวรรณี โสมประยรู , 2531, น. 42 ส่วนเด็กหญิงท่ีย่างเข้าสู่วัยรุ่น รังไข่ซ่ึงเป็นต่อมเพศของหญิงก็จะเร่ิมทางานในเวลา ใกล้เคียงกับเด็กชาย โดยต่อมใต้สมองจะส่งฮอร์โมนมากระตุ้นการทางานของรังไข่ให้สร้างเซลล์ สืบพันธุ์และผลิตฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้ก็จะทาหน้าท่ีควบคุมพัฒนาการของลักษณะทางเพศข้ันท่ี 1 (Primary Sex Characteristic) คือ มีการสุกของไข่ และการมีประจาเดือน และพัฒนาการของลักษณะทางเพศ ข้ันท่ี 2 (Secondary Sex Characteristic) เช่น เต้านมโตขึ้น มีไขมันบริเวณสะโพก ผิวหน้าเต่งตึง มขี นตามตัวนอ้ ยลง เป็นต้น
67 ภาพที่ 2.2 แสดงอทิ ธพิ ลของฮอรโ์ มนทมี่ ตี อ่ การเปลย่ี นแปลงผู้หญิง (Female Secondary Sex Characteristic) ท่มี า: สุชาติ โสมประยรู และวรรณี โสมประยูร, 2531, น. 42 การพัฒนาที่สาคญั ของเด็กผชู้ ายในวัยน้ี คือ การสามารถหล่ังน้ากามได้ และสงิ่ น้ีมีความ เกีย่ วข้องโดยตรงกับความสขุ ทางเพศของเขา ภายในเวลา 2 ปีของระยะแตกหนุ่ม เด็กผู้ชายสว่ นใหญ่ จะมปี ระสบการณ์เก่ียวกับความสุขสุดยอดทางเพศ และประสบการณ์นี้ทาให้เกิดการสาเร็จความใคร่ ด้วยตนอง ซึ่งจะเกิดบอ่ ยและสม่าเสมอในวัยนี้จนถงึ ปลายวยั รุ่น นอกจากการสาเร็จความใคร่ซึ่งเป็น กิจกรรมที่ทาตามลาพัง ไมเ่ กี่ยวขอ้ งกบั ผ้ใู ดในสงั คม เขายังอาจมีกิจกรรมทางเพศกับเพศตรงข้ามดว้ ย ท้งั ที่เขายังเกี่ยวข้องกับเพศเดียวกนั อยา่ งมาก สาหรับผู้หญิงในวัยน้ีพัฒนาการท่ีสาคัญ คือ การมีประจาเดือน แต่เป็นส่ิงท่ีเด็กผู้หญิง ไม่ชอบ การท่ีเลือดออกมาป็นระยะ ๆ ทาให้ความข้องใจเกี่ยวกับอวัยวะเพศของตนเองมีมากข้ึน ท้ังยังเป็นเคร่ืองบอกว่าเขาจะตั้งครรภ์ได้ถ้ามีเพศสัมพันธ์ แต่อย่างไรก็ตามสังคมของเขาก็เหมือน ของเดก็ ผูช้ าย คือ สมาคมกันในหมูเ่ พื่อนเพศเดียวกนั พฤติกรรมทางเพศ เช่น การกอดจบู การสาเร็จ ความใคร่ด้วยตนเอง หรือการร่วมเพศกับเพศตรงข้าม ในวัยนี้จะไม่ค่อยมีแต่อาจเกิดข้ึนได้ เมื่อมีความวิตกกังวลหรือรู้สึกผิด ดังน้ันบทบาทของพ่อแม่ ควรเป็นแบบอย่างทางเพศ สอนเรื่อง การเปลย่ี นแปลงทางร่างกายจิตใจ และอารมณ์การจดั การกบั อารมณ์เพศ
68 4. วัยรนุ่ ตอนปลาย (อายุ 16 - 18 ปี) เป็นระยะที่มกี ารพัฒนาความเป็นตวั ของตัวเอง และพยายามจะออกจากความปกครอง ของผ้ใู หญ่ เปน็ ระยะท่ีทงั้ 2 เพศมีความใกล้ชิดกันในสงั คมมากข้ึน เชน่ มีการเรียนรว่ มกันในโรงเรียน หรือในมหาวิทยาลัย สาหรับผู้ชายการสาเร็จความใคร่ด้วยตนเองก็ยังมีอยู่ เด็กหนุ่มบางคนอาจมี การร่วมเพศเร็วถ้าอยู่ในกลุ่มเพ่ือนท่ีมีความสนใจในด้านน้ีมาก หรือมีนัดระหว่างชายหญิงบ่อย แตค่ วามสมั พนั ธจ์ ะเป็นไปไม่นานและมกั จะไมด่ าเนินไปถึงข้นั แต่งงานกนั การท่ีหนุ่มสาวในวัยน้เี ร่มิ มี ความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศตรงข้าม มีความสาคัญสาหรับเด็กสาวมากกว่าเด็กหนุ่ม เพราะพ่อแม่ จะเคร่งครัดในเรื่องนี้มากกว่า ตัวเด็กเองก็จะรู้สึกสับสนว่าเขาควรวางตัวอย่างไร และการมี ความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ยังทาให้เกิดความเหินห่างจากพ่อแม่และเพ่ือนเพศเดียวกัน ท่ีเขายัง พอใจจะมีความสมั พันธ์ใกล้ชดิ กันต่อไปอีกด้วย สาหรับเด็กผ้ชู ายปญั หาเหลา่ นีด้ ูจะมคี วามสาคัญน้อย เพราะทางครอบครัวมักให้เสรีภาพในเร่ืองเพศมากกว่าเด็กหญิง แต่อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มบางคน กอ็ าจถูกผลักดันให้มีกิจกรรมทางเพศมากเกินไปจากทางครอบครัวหรือเพอื่ น โดยเฉพาะถ้าเขามีอายุ มากกวา่ เพือ่ นในกลุ่ม 5. วัยหนมุ่ สาว (อายุ 18 - 23 ปี) เป็นระยะก่อนแต่งงาน ระยะน้ีเป็นช่วงที่หนุ่มสาวให้ความสาคัญต่อความสัมพนธ์กับ เพศตรงข้าม สถานะเกี่ยวกับเพศของเขาเริ่มมีความเกี่ยวข้องกับสังคมและกฎหมาย โดยมี การแสดงออกอย่างเปิดเผย และมีการแต่งงานตามกฎหมาย ในระยะน้ีความสัมพันธ์ทางเพศของ ผู้ชายจะมาก แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีความรู้สึกจริงใจต่อคู่ร่วมเพศถึงขั้นแต่งงานกัน และการที่เขามี ความสัมพันธ์ทางเพศมากก็อาจทาให้เกิดปัญหาทางเพศ โดยเฉพาะที่เก่ียวกับสมรรถภาพ เช่น กามตายด้าน การหลั่งน้ากามเร็ว ความวิตกกังวลเร่ืองขนาดขององคชาต และอ่ืน ๆ นอกจากน้ัน อาจมคี วามขัดแย้งภายในจิตใจเก่ียวกบั ผ้หู ญงิ ท่เี ขาจะเลือกเป็นคู่ครองว่าคนไหนดคี นไหนไมด่ ีอีกด้วย ยิ่งถ้าเขามีปัญหาการสาเร็จความใคร่ด้วยตนเองมาก่อนก็จะทาให้ปัญหาทางเพศมีมากข้ึน สาหรับ ผู้หญิงท่ีเป็นคู่ร่วมเพศ เมื่อเธอมีความมั่นใจในความสัมพันธ์กับผู้ชายมากขึ้น เธอจะเริ่มคิดถึงการมี ความสุขทางเพศ และสิ่งน้ีจะสรา้ งปัญหาใหก้ ับผู้ชายหลาย ๆ คน คอื เขาจะกังวลว่าจะทาให้ฝ่ายหญิง มีความสขุ ทางเพศได้อย่างไร ในผู้หญิงการมีความสัมพันร์ทางเพศก่อนสมรสจะทาให้เกิดความกังวล เก่ยี วกับการต้งั ครรภ์ และเก่ยี วกับชื่อเสยี งของตัวเองด้วย โดยเฉพาะถ้าความสัมพันธ์น้ันจะดาเนินไป ไม่ถงึ การแต่งงาน
69 6. วยั ผ้ใู หญ่ตอนตน้ (อายุ 23 - 30 ป)ี ถา้ มกี ารหมนั้ หรอื การแต่งงาน ความสมั พนั ธ์ทางเพศก็เปน็ ส่งิ ทีถ่ ูกต้องตามกฎหมายและ เป็นที่ยอมรับของสังคมสาหรับทั้ง 2 เพศ การที่ต่างฝ่ายเป็นท่ีดึงดูดความสนใจทางเพศซึ่งกันและกัน และยอมรับกัน จะทาให้เกิดการพัฒนาวิธีการร่วมเพศขึ้น แต่จะมากน้อยก็ขึ้นกับฐานะทางสังคม ของคนคนู่ น้ั เมื่อไมม่ ีอุปสรรคทจี่ ะร่วมเพศกนั แล้วความสนใจของคนทัง้ คู่กจ็ ะมุ่งไปที่กิจกรรมทางเพศ และเมือ่ นน้ั ปญั หาเรือ่ งความสามารถทางเพศของผชู้ ายก็เรม่ิ จะมีความหมายมากขึ้น ผู้หญิงกเ็ ร่มิ สนใจ เก่ียวกับความสุขสุดยอดของตัวเอง โดยเฉพาะเม่ือมีการพูดถึงความสุขสุดยอดของผู้หญิงมากขึ้น ในสังคม เพราะฉะนัน้ จึงทาให้เกิดปญั หาขึ้นทงั้ 2 ฝา่ ย คือ ฝ่ายชายกก็ ังวลว่าตนจะสามารถทาให้หญิง บรรลคุ วามสุขสดุ ยอดได้หรือไม่ และฝ่ายหญงิ กห็ วงั ท่ีจะมีความสขุ สุดยอดจากการร่วมเพศ นอกจากปัญหาข้างต้น ความกดดันเร่ืองการต้ังครรภ์และการมีลูกทาให้ผู้ชายจานวน มากมีความต้องการทางเพศน้อยลง ปัญหาดังกล่าวในระยะนี้จะทาให้เขาเบ่ือเรื่องเพศและผู้ชาย หลายๆ คนอาจใช้วิธีสาเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เป็นทางออกของอารมณ์เพศ และช่วยให้เขาได้ ระบายความคิดฝันซ่ึงเขาแสดงออกมาไม่ใด้เวลาร่วมเพศตามปกติหรือเป็นความคิดฝันที่ผิดปกติ ยง่ิ กว่านน้ั การที่เขาต้องยุ่งอยู่กับงานหรืออาชพี ทาให้เขาขาดโอกาสท่ีจะมีกจิ กรรมทางเพศนอกสมรส อีกด้วย ยกเว้นคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่า การมีความสัมพันธ์ทางเพศนอกสมรมมีมากกว่า และอาจเริ่มตงั้ แตร่ ะยะแรก ๆ ของชวี ิตสมรสทเี ดียว 7. วัยผ้ใู หญ่ตอนกลาง (อายุ 31 - 46 ป)ี ระยะนี้โดยเฉพาะในคนช้ันกลาง ชีวิตคนส่วนใหญ่มีความผูกพันกับงาน การเล้ียงลูก และชวี ิตทางสังคม อตั ราการร่วมเพศจึงนอ้ ยลง ฝ่ายชายจะไม่ค่อยมคี วามสนใจทางเพศเพราะรู้สึกว่า ภรรยาไม่เป็นทดี่ ึงดูดอารมณ์เพศของตนเน่ืองจากกลายเป็นแม่คนไปแล้ว และตนเองก็มีความสนใจใน กจิ กรรมดา้ นอ่ืนมากกว่าดว้ ย ซ่ึงตรงกันข้ามกับภรรยา ระยะนี้เธอมคี วามสนใจทางเพศมากข้ึนเพราะ มีความม่ันใจในชีวติ ครอบครัวและมีประสบการณ์ทางเพศ เพราะฉะนั้นจึงพบว่าหญิงในวัยนี้มีอัตรา การนอกใจสามีสูงในสงั คมอเมริกนั แต่การรว่ มเพศในคนท่มี ีฐานะทางเศรษฐกิจดีในระยะน้ียังคงมีมาก ท้ังนี้อาจเป็นเพราะ สามีภรรยาเหล่านี้มีความเขา้ ใจกันดีว่า สามารถทาตัวให้เป็นท่ีดึงดูดใจอีกฝ่ายได้ หรือฝ่ายชายถูกฝึก ใหม้ ีการตอบสนองทางเพศดีกว่า นอกจากน้นั คนพวกนี้อาจมีความคบั ขอ้ งใจทางเพศนอ้ ยกวา่ เพราะ ถ้าเขามีเอกลักษณ์ทางเพศดีแล้วต้ังแต่วัยเด็ก ปัญหาทางเพศในวัยต่อมาก็มักไม่เกิดขึ้น และปัญหา ด้านอื่น ๆ เช่น เรื่องงาน ชีวิตครอบครัว ก็มักไม่ทาให้ชีวิตทางเพศของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มากนัก ในสังคมอเมริกันพบว่า ระยะน้ีมีอัตราการนอกใจคู่สมรสในท้ัง 2 เพศมากกว่าระยะอ่ืน
70 คือครึ่งหน่ึงของฝ่ายชายและหนึ่งในส่ีของฝ่ายหญิง และปัญหาน้ีเป็นเหตุให้สามีภรยาบางคู่ต้อง หยา่ ร้างกัน 8. วัยผู้ใหญต่ อนปลาย (อายุ 46 - 60 ป)ี ระยะน้ีแรงกระตุ้นทางชวี วิทยาของทั้ง 2 เพศจะลดนอ้ ยลง และความต้องการทางเพศ ก็ลดน้อยลงด้วย สาหรบั ผู้ชายเขาจะต้องใชเ้ วลานานกว่จะบรรลุความสขุ สุดยอดจากการร่วมเพศ และ ความสุขท่ีได้รับก็ไม่รนุ แรงเหมือนเมอ่ื ตอนอายนุ อ้ ย แตอ่ ยา่ งไรก็ตามกจิ กรรมทางเพศในระยะน้ีสาคัญ มากควรจะต้องรักษาไว้ เพราะถ้างดกิจกรรมไปนานจะยิ่งทาได้ยากขึ้น ทัศนคติของสังคมที่ว่าเรื่อง เพศเป็นของคนหนุ่ม ทาให้คนสูงอายมีปัญหาในการปรับตัวต่อความพิการทางเพศของตน ถ้าเขามี ความรู้สึกทางเพศแตไ่ ม่มีทางออกเพราะสามีหรอื ภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว เขากม็ ักจะเกิดความรูส้ ึกผิด ยง่ิ กว่านน้ั ความไมแ่ น่ใจในความสามารถทางเพศของตนเองก็จะทาให้ความยุ่งยากมีมากขึ้น ส่วนผู้หญิงการตอบสนองทางเพศของเขายังเหมือนเติม แม้ว่าความต้องการทางเพศ จะลดลง การเปล่ียนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกายอาจทาให้เกิดปัญหาทางจิตใจแก่หญิงบางคน โดยเฉพ าะคน ที่ฐาน ะทางเศรษฐกิจปาน กลาง เขาจะมีความต้องก ารทางเพ ศเพิ่ มขึ้น เพราะประจาเดือนหมดไปแล้วจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการต้ังครรภ์ ซึ่งแน่นอนว่าจะไปกันไม่ใด้กับสามี ซง่ึ ความตอ้ งการทางเพศในวยั น้มี ักจะลดลง ดังท่กี ล่าวแล้ว 9. วยั สงู อายุ (อายุตง้ั แต่ 60 ปีขน้ึ ไป) ในวัยนี้วงจรของชีวิตดูคล้ายจะกลับมาเปน็ เด็กใหม่ ปัญหาก็เหมือน ๆ กับเม่ือคร้ังที่เขา เป็นเด็ก คือ คนท่ัวไปมักจะคิดว่าคนสูงอายุไม่ควรมีความรู้สึกทางเพศ เด็กท่ีโตพอจะรู้เรื่องแล้ว โดยมากจะแสดงความสมเพชหรือขบขันท่ีคนอายุเกิน 60 ปีข้ึนไปมีความสนใจทางเพศ ทาให้ คนสูงอายุรู้สึกละอายใจ ถึงแม้ความต้องการและความสามารถทางเพศของเขาจะลดลง แตจ่ ากการศกึ ษาของมาสเตอรส์ และจอห์นสันกพ็ บวา่ คนทแ่ี ตง่ งานในวยั 70 ปีอาจมกี ิจกรรมทางเพศ และมีความสุขจากการร่วมเพศได้ ไม่ใช่เฉพาะสังคมเท่าน้ันท่ีมีทัศนคติเช่นที่กล่าวต่อคนสูงอายุ คนสูงอายุเองซง่ึ คดิ ว่าชีวติ ของตนใกล้จะถึงจุดจบแล้วก็มักจะไม่เชื่อว่าตนจะยังมีบุคลิกลักษณะเป็นที่ น่าพิสมัยทางเพศ และถ้าเขาสาเร็จความใครด่ ้วยตนเองเขาก็มักจะรู้สึกผิดและละอายในการกระทา ของตน หรือสงสัยว่าตนทาผดิ หรือไม่ ดังนั้นการให้เพศศึกษาแก่คนสูงอายุจึงมีความสาคัญพอ ๆ กับการให้คนหนุ่มสาวหรือ อาจจะสาคัญกว่า คนสูงอายุในสมัยนีม้ สี ุขภาพดขี น้ึ และจิตใจกย็ งั เป็นหนุ่มกว่าเมอ่ื เปรียบเทยี บกับคน เม่ือ 2- 3 ชั่วคนก่อน คนสูงอายุมักมีฐานะการเงินดีและมีความภาคภูมิใจในตัวเอง เพราะฉะน้ันเขา ควรไดร้ ับความเขา้ ใจและเห็นใจในส่งิ เหล่าน้ีตามสมควร
71 ระบบสืบพนั ธขุ์ องเพศชายและเพศหญิง การสืบพันธ์ุ (Reproduction) เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตท่ีจะผลิตสิ่งมีชีวิต เพ่ือทดแทน สง่ิ มีชีวิตที่สูญส้ินไป การสืบพันธุ์เพื่อที่จะให้มีลูกหลาน ดารงเผ่าพันธ์ุสืบต่อไป กระบวนการสืบพันธ์ุ เร่ิมที่ต่อมใต้สมองภายใต้การควบคุมของสมองใหญ่จะหลั่งฮอร์โมนกระตนุ้ ต่อมเพศในชายและหญิง ให้ผลิตฮอร์โมนเพศ ทาให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นหนุ่มสาวพร้อมท่ีจะสืบพันธ์ุได้ ต่อมเพศในชายคือ อัณฑะ ส่วนในหญิงคือ รังไข่ ดังนี้ (กิจจา บานช่ืน ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ และ วรฑา ไชยาวรรณ, 2562, น. 22-28; ปานเดชา ทองเลิศ, 2562, น. 21-24 และอุทุมพร แก้วสามศรี และคณะ, 2562, น. 15-21) 1. ระบบสืบพันธ์เุ พศชาย ระบบสืบพันธ์ุเพศชายประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ซ่ึงทาหน้าท่ีในการสืบพันธุ์ เพ่ือ การดารงเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ต่อไป ประกอบด้วยโครงสร้างสาคัญ 2 ส่วน คือ ทั้งภายนอก และภายใน รา่ งกาย ดงั น้ี 1.1 สว่ นท่ปี รากฎนอกรา่ งกาย ประกอบดว้ ย 1.1.1 องคชาต (Penis) ลักษณะเป็นท่อนยาว ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนหัว (Glans) เเละส่วนหนังหุ้มปลาย (Shaft) ประกอบด้วยเน้ือเยื่อซึ่งยืดหดตัวได้ (Electile Tissue) ภายในประกอบด้วยหลอดเลือดมากมาย มลี กั ษณะเปน็ หลอดกลม รปู ทรงกระบอก ส่วนหัวขององคชาต จะไวต่อความรู้สึกมากกว่าส่วนของหนังหุ้มปลาย โดยทั่ว ๆ ไปอวัยวะเพศชายจะอ่อนนุ่มและห้อยลง แต่เวลาท่ีถูกกระตุ้นเร้าอารมณ์ทางเพศ (หรือ บ่อยครั้งแม้ในเวลาที่ไม่ถูกกระตุ้น) ทาให้เกิดการแขง็ ตัวขององคชาต เพื่อให้สามารถสอดใส่องคชาต เข้าไปภายในช่องคลอดของเพศหญิงได้ อวัยวะเพศในส่วนขององคชาตินั้น มีแต่เลือดทั้งส้ิน ไม่มี กล้ามเน้ืออยู่เลย จึงทาให้ขยับเขย้ือนเคลื่อนไหวได้ไม่ง่ายนัก อวัยวะเพศที่เกิดตื่นตัวขึ้นมาก็เปรียบ เหมือนฟองน้าท่ีชุ่มไปด้วเลือดนั่นเอง การแข็งตัวของอวัยวะเพศเป็นเรื่องไม่แน่นอน อวัยวะเพศ อาจจะแข็งตัวได้ โดยท่ีไม่ทราบล่วงหน้า บางครั้งอาจจะเกิดขึ้นได้เพียงช่ัวขณะ บางครั้งก็เกิด ในสถานการณท์ ่ีชวนให้น่าอบั อาย แล้วจูๆ่ ก็หดตัวกลับส่สู ภาพปกติอยา่ งรวดเร็ว การดม่ื สุรา การกลัว จะถูกหัวเราะเยาะ กลัวต่อการหลัง่ เร็วหรือกลวั ผ้หู ญงิ ทอ้ ง ก็จะทาให้อาการแขง็ ตวั หดลงอยา่ งรวดเร็ว ได้เช่นกัน ตรงบริเวณหัวหน่าวทาหน้าที่เป็นทางผ่านของปัสสาวะและน้ากาม ส่วนท่ีปลายองคชาต เป็นจดุ รวมของเสน้ ประสาทซ่ึงไวตอ่ การกระตุ้นความร้สู กึ ทางเพศ เปรียบไดก้ บั คลติ อรสิ ของเพศหญิง
72 ภาพที่ 2.3 อวยั วะในระบบสืบพนั ธุ์ของเพศชาย ท่ีมา: https://thaihealthlife.com 1.1.2 ถุงอัณฑะ (Scrotum) เป็นถุงหุ้มลูกอัณฑะ ผิวหนังถุงอัณฑะมีลักษณะบาง เป็นรอยย่น ๆ สีคล้า มีหน้าที่รักษาอุณหภมู ิให้พอดีกบั การเจริญเติบโตของอสุจิและป้องกันอันตราย ที่อาจเกิดกับถูกอัณฑะ ถุงอัณฑะจะห้อยอยู่ด้านนอกของร่างกาย เพราะว่าเชื้ออสุจิต้องถูกเก็บในที่ ท่ีเย็นกว่าอุณหภูมิในร่างกายของเรา (37 องศาเซลเซียส) เชื้ออสุจิจะถูกทาลายได้โดยความร้อน ถุงอัณฑะมักจะมีสีเข้มกว่าสีของร่างกายส่วนอื่นๆ และมีขน เวลาท่ีมีอากาศหนาวเย็น ถุงอัณฑะ จะหดตวั และจะเหี่ยวลง แตเ่ วลาท่ีอากาศอบอุ่นลกู อณั ฑะจะห้อยยาน 1.2 ส่วนท่ีอยใู่ นรา่ งกาย ประกอบดว้ ย 1.2.1 ลูกอัณฑะ (Testis) มีลักษณะรูปร่างคล้ายไข่ฟองเล็ก ยาว 3 - 4 เซนติเมตร หนาประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร หนักประมาณ 50 กรัม ลูกอัณฑะมี 2 ข้าง และมีขนาดใกล้เคียงกัน อยู่ภายในถุงอัณฑะ ช่ึงทาหน้าท่ีปรับอุณหภูมิภายในถุงอัณฑะให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของอสุจิ คือ ประมาณ 34 องศาเซลเซียส ภายในลูกอัณฑะประกอบด้วยหลอดสร้างตัวอสุจิ มีลักษณะเป็น ท่อเล็ก ๆ ขดเรียงกันอยู่มากมาย เพ่ือทาหน้าท่ีสร้างตัวอสุจิ (Sperm) นอกจากน้ันยังมีเซลล์ท่ีทา หน้าท่ีสร้างฮอร์โมนเพศชาย ซ่ึงควบคุมลักษณะต่างๆ ของเพศชาย เช่น เสยี งห้าว มีหนวดเครา และ เป็นกระบวนการสร้างเซลล์สบื พนั ธ์ุ (Spermatogenesis) ลูกอัณฑะลูกหน่ึง (มักจะเป็นทางด้านซ้าย) จะห้อยลงมาต่ากวา่ อีกด้านหน่ึงเล็กน้อย เพ่อื ที่ว่าจะได้ไมก่ ระทบกันเวลาท่ีวิ่ง ลูกอณั ฑะจะห้อยอยู่ใน ถุงนุ่ม ๆ ท่เี รียกวา่ ถงุ อัณฑะ (Scrotum)
73 ภาพท่ี 2.4 ลูกอัณฑะ ที่มา: กจิ จา บานชนื่ ฐณิ วี รรณ วฒุ ิวิกยั การ และวรฑา ไชยาวรรณ, 2562, น. 24 1.2.2 ก้านอัณฑะ (Epididymis) มีลักษณะเป็นหลอดหรือท่อเล็ก ๆ ท่ีขดไปมาอยู่ ในลูกอัณฑะ มีอยู่ประมาณ 300 ท่อ ทาหน้าที่เป็นท่ีพักช่ัวคราวของเชื้ออสุจิที่เจริญเต็มท่ีเล้ว ซงึ่ ผลติ จากอัณฑะกอ่ นท่ีจะส่งผ่านไปยงั ท่อนาอสจุ ิ 1.2.3 ท่อนาอสุจิ (Vas Deferens) มี 2 ท่อ เป็นหลอดอยู่ถัดจากก้านอณั ฑะ ท่อนา อสุจิจะผ่านเข้าสู่ช่องท้องแล้วออกมารวมกับถุงเก็บน้าอสุจิ ผ่านต่อมลูกหมากออกไปต่อกับ ทอ่ ปัสสาวะสาหรบั เอาตวั อสจุ อิ อกสู่ภายนอก 1.2.4 ต่อมสร้างน้าเล้ียงอสุจิ (Seminal Vesicle) มีลักษณะคล้ายถุงมีอยู่ 2 ถุง อยู่ต่อจากหลอดนาตัวอสุจิ ทาหน้าท่ีสร้างอาหารให้แก่ตัวอสุจิ ส่วนมากเป็นน้าตาลฟรุตโตส และ สารประกอบอน่ื ๆ ท่ีทาให้เกดิ สภาพที่เหมาะกับตวั อสุจิ และสรา้ งน้าอสุจิ (Semen) ซ่ึงมีลักษณะเป็น เมือกสีขาวขนุ่ และข้น 1.2.5 ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland) เป็นอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย บางทีเรียกว่าต่อมเพศชาย เป็นต่อมโตอยู่ใต้รูเปิดด้านในของท่อปัสสาวะ (Urethra) ประกอบด้วย กล้ามเน้ือและต่อมผลิตน้าหล่อเลี้ยง เชื้ออสุจทิ ่ีเรียกว่า Semen ทาให้ตัวอสุจิแข็งแรงผสมพันธุ์กับไข่ งา่ ยข้ึน ซงึ่ ถอื ว่ามีความสาคญั อย่างยงิ่ ต่อระบบสืบพันธ์ุเพศชาย 1.2.6 ต่อมขับเมือก (Cowper's Glands) เป็นต่อมที่มีรูปร่างกลมเท่าเม็ดถ่ัว มี 2 ต่อมทาหน้าท่ีขับน้าหล่อลื่นเป็นเมือกใสๆ ไปยังองคชาต เม่ือมีความรู้สึกทางเพศ และยังทา หน้าท่ีชาระล้างองคชาติให้สะอาดอีกด้วย กล่าวคือ ทาหน้าที่ชาระล้างกรดของน้าปัสสาวะท่ีเคลือบ ทอ่ ปสั สาวะ ทาใหต้ ัวอสจุ ไิ มต่ อ้ งตายเสียกอ่ นในขณะท่เี คลอื่ นออกมา อวัยวะเพศชาย เปน็ กล้ามเนอื้ ท่ีหดและพองตวั ไดค้ ล้ายฟองน้าในเวลาปกติ จะออ่ น และงอตัวอยู่ แต่เม่ือถูกกระตุ้นจะแข็งตัวเพราะมีเลือดมาค่ังมากภายในจะมีท่อปัสสาวะทาหน้าท่ี เปน็ ทางผ่านของตัวอสุจิและน้าปสั สาวะ
74 หนา้ ท่ีของอวัยวะเพศชาย จะถกู ใชง้ าน 2 แบบ คือ 1) สาหรบั ใชป้ สั สาวะ 2) ใช้ในการร่วมเพศ เวลาที่อวัยวะเพศแข็งตัว จะไม่สามารถปัสสาวะได้สะดวก เพราะว่ากล้ามเนื้อจะปิดท่อปัสสาวะ รูปร่างของอวัยวะเพศท่ีแข็งตัวจะแตกต่างกันออกไป มักจะ โค้งงอข้ึนเล็กน้อย และอาจจะช้ีเฉียงไปข้างใดข้างหน่ึง การแข็งตวั ของอวัยวะเพศเกิดข้ึนได้กับผู้ชาย ทกุ วัย รวมท้งั เด็กเละผู้ชายสงู วยั อวัยวะเพศและอัณฑะทีม่ ีขนาดเลก็ อาจเกิดจากการที่ระดับฮอร์โมนเพศชายในร่างกาย มีระดับต่ากว่าปกติ ทาให้ไม่มีการกระตุ้นการเจริญเติบโตของอวัยวะเพศ การรักษาในกรณีนี้ขึ้น อยู่กับว่า ตรวจพบต้ังแต่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือไม่ ถ้าตรวจพบต้ังแต่อยู่ในวัยเด็ก การรักษาโดยใช้ ฮอร์โมนเพศชายเสริม หรอื ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองกระตุ้น จะได้ผลค่อนข้างดี แต่เม่ือตรวจพบเมื่อ เข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว กรกินฮอร์โมนเพศชายเสริมอาจช่วยได้บ้างในบางกรณี ที่สาคัญท่ีสุดก็คือ จะต้อง ตรวจสาเหตุท่ีแทจ้ ริงก่อนการใหก้ ารรกั ษา กรณีนจี้ าเป็นจะต้องไปพบแพทยเ์ ฉพาะทางเกย่ี วกบั ระบบ ทางเดินปัสสาวะและระบบต่อมไรท้ ่อ 2. ระบบสืบพนั ธ์ุเพศหญงิ ระบบสบื พันธข์ุ องเพศหญิง จะมลี ักษณะและสว่ นประกอบทีส่ ลบั ซบั ซอ้ นมากกว่าระบบ สืบพันธุ์ของเพศชาย มีความเกี่ยวข้องกับระบบการขับถ่ายปัสสาวะน้อยมาก อวัยวะสืบพันธ์ุของ เพศหญิงจะประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน และอวัยวะสืบพันธ์ุ ภายนอก ดังนี้ 2.1 อวัยวะสืบพนั ธภุ์ ายนอก ประกอบดว้ ย ภาพท่ี 2.5 อวัยวะสบื พันธภุ์ ายนอกของเพศหญงิ ท่ีมา: กิจจา บานชน่ื ฐณิ วี รรณ วุฒวิ กิ ัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ, 2562, น. 27
75 2.1.1 หัวหน่าว (Mons Pubis) เป็นเนินอยู่ตอนบนต้ังอยู่หน้ากระดูกหัวหน่าวใต้ บริเวณท้องน้อย ประกอบด้วย กล้ามเน้ือประสานกันหลวม ๆ กับไขมันและพังผืด มีลักษณะเป็น สามเหล่ียมปลายแหลมลง เม่ือเข้าสู่วัยรุ่นจะมีขนขึ้นปกคลุม มีหน้าที่รองรับแรงกระแทกเวลามี เพศสัมพันธ์ 2.1.2 แคมใหญ่ (Labia Majora) เปน็ แผน่ กล้ามเนื้อมีลักษณะเป็นกลบี ข้างละกลีบ สว่ นบนติดกับหัวหน่าวและแยกออกจากกันไปทางด้านลา่ ง บรรจบกนั ที่ฝีเย็บ ซึ่งอยู่เหนือทวารหนัก ทาหน้าท่ีปกคลุมอวัยวะสืบพันธ์ุเพศหญิงท้ังหมด ด้านนอกหมุ้ ด้วยผวิ หนัง เม่ือเข้าสู่วยั รุ่นจะมีขนข้ึน ปกคลุม ด้านในเรยี บเต็มไปดว้ ยตอ่ มไขมนั หลอดเลอื ดเสน้ ประสาท และเน้อื เยอ่ื เปน็ จานวนมาก 2.1.3 แคมเล็ก (Labia Minor) เป็นกลีบเน้ือเล็ก ๆ ข้างละกลีบ ปลายบนบรรจบ กันท่ีคลิตอริสอยู่ถัดแคมใหญ่เข้าไป มีลักษณะอ่อนนุ่ม ตอนบนมีสีแดงเรื่อ ๆ ทาหน้าที่ปกป้อง คลติ อริส ปากช่องปัสสาวะ และปากชอ่ งคลอด ไม่ใหม้ ีการตดิ เชอื้ จากภายนอกเข้าสู่ภายในช่องคลอด 2.1.4 คลิตอริส (Clitoris) เป็นปุ่มหรือก้อนเน้ือเล็ก ๆ อยู่ส่วนบนของแคมเล็ก ประกอบด้วยเสน้ เลือดฝอยและปลายประสาท มีความไวมากต่อการสมั ผสั และจะทาให้เกิดความร้สู ึก ทางเพศได้ง่าย เชน่ เดียวกบั สว่ นปลายของตัวลงึ ค์ในเพศชาย 2.1.5 ปากช่องปัสสาวะ เปน็ ชอ่ งทางเปดิ ของทางออกปัสสาวะ อยรู่ ะหวา่ งคลติ อริส กบั ปากช่องคลอด 2.1.6 ปากช่องคลอด เป็นทางเปิดของช่องคลอด เป็นอวัยวะที่สาคัญในการมี เพศสัมพนั ธ์และเป็นทางคลอดของทารกอยู่ใตป้ ากช่องปัสสาวะ 2.1.7 เย่ือพรหมจารี (Hymen) เป็นเยื่อบางๆ อยู่รอบปากช่องคลอด ตรงกลางมี ช่องเล็ก ๆ ให้เลือดประจาเดือนไหลออกมาได้ เย่ือนี้จะฉีกขาดเม่ือได้รับการกระทบกระเทือน เช่น ข่ีจักรยาน การเลน่ กพี า การมีเพศสัมพนั ธค์ รัง้ แรก เป็นตน้ 2.1.8 ต่อมบาร์โทลิน (Bartholin Gland) เป็นต่อมเล็ก ๆ อยู่ระหว่างแคมเล็กและ แคมใหญ่ข้างละต่อม ทาหน้าท่ีขับเมือกออกสูช่ ่องคลอด ทาให้ช่องคลอดมีนา้ หล่อลื่นในระหว่างการมี เพศสัมพนั ธ์ 2.1.9 ฝีเย็บ (Perineum) ประกอบด้วยกล้ามเนื้อและพังผืดกั้นระหว่างช่องคลอด กับทวารหนัก จะชว่ ยเสรมิ ให้ช่องคลอดแข็งแรง บรเิ วณนีจ้ ะฉกี ขาดไดใ้ นระหวา่ งการคลอด 2.1.10 เต้านม (Breast) จะมีอยู่ 2 ข้าง ตั้งอยู่บนกล้ามเน้ือหน้าอก ในวัยเด็ก ทั้งเพศหญิงและชาย เต้านมจะมีรูปร่างเหมือนกัน แต่พอย่างเข้าสู่วัยรุ่นจะมีลักษณะแตกต่างกัน อย่างเห็นได้ชัด คือ ของเพศหญิงจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เต้านมข้างหนึ่งประกอบด้วยต่อมน้านม (Mammary Gland) มีหน้าท่ีขับน้านมออกมา จะมีต่อมน้านมประมาณ 15-20 ต่อม ซ่ึงแตกย่อย เป็นต่อมสร้างน้านม โดยจะมีท่อสง่ นา้ นมหลาย ๆ ท่อมารวมกันเปน็ ท่อใหญ่มที างเปดิ ทบี่ ริเวณหวั นม
76 ระหว่างต่อมน้านมจะมตี ่อมไขมันเป็นเนื้อเย่ือและพังผดื ก้ันอยู่ ขนาดและรูปร่างของเตา้ นมขึ้นอยู่กับ กรรมพันธแุ์ ละรูปรา่ ง 2.2 อวัยวะสบื พันธภ์ุ ายใน ประกอบด้วย 2.2.1 รังไข่ (Ovary) จะมี 2 ด้าน อยู่ปลายสุดของปีกมดลูก ลักษณะเป็นรูปไข่ แบน ๆ สีขาว คล้ายเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ยาวประมาณ 2-3 เซนติมตร จะสร้างฮอร์โมนเพศหญิง (ฮอรโ์ มนเอสโตรเจน และฮอรโ์ มนโปรเจสเตอโรน) และผลติ ไข่ (Ovum) ในหญิงตั้งแต่วยั เด็ก แต่เป็น ไข่ที่ไม่เจริญเติบโต ซึ่งอาจมีจานวนเป็นพันๆ ฟอง แต่เม่ือเข้าสู่วัยรุ่นเป็นสาวแล้ว ไข่จะเจริญเติบโต เตม็ ที่พร้อมท่ีจะมีบุตรได้แลว้ ไข่จะออกมาตามทอ่ รงั ไข่เพียงเดือนละ 1 ฟองเท่านั้น เมอ่ื ไข่สกุ แล้วจะ ร่วงหลุดจากรงั ไข่ เคลอื่ นลอยเข้าไปตามทอ่ รงั ไข่และเคลือ่ นเข้าไปในมด ลูกถ้าไมไ่ ดร้ ับการผสมจากตัว อสุจิก็จะสลายเป็นประจาเดือน ในเวลาต่อมารังไข่จะผลิตไข่จากรังไข่ด้านขวา และด้านซ้ายสลับกัน ทกุ เดือน 2.2.2 ท่อรังไข่หรือปีกมดลูก (Fallopian Tube or Uterine Tube) เป็นท่อเล็ก ๆ ที่ต่อจากมดลูกเชื่อมกับรังไข่มีความยาวประมาณ 10 เซนติมตร จะมีอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านซ้ายและ ดา้ นขวา ตอนปลายติดกับรังไข่ จะโตบานออกคล้ายปากแตร มีลักษณะจีบเป็นร้ิว ๆ ภายในท่อรงั ไข่ จะมกี ล้ามเน้อื บบี รดั อยเู่ สมอ และด้านในมขี นละเอยี ดคอยโบกพัดเอาไข่ทส่ี ุกแล้วเข้าไปในทอ่ รงั ไข่ 2.2.3 มดลกู (Uterus) รปู ร่างคลา้ ยผลชมพู่ ต้ังอยู่ในอุ้งเชงิ กราน ระหว่างกระเพาะ ปสั สาวะกับทวารหนัก ผนังมดลูกประกอบด้วยกล้ามเน้ือท่ีหนาและแขง็ แรงมาก ยาวประมาณ 6 - 8 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4 - 5 เซนติเมตร หนาประมาณ 2 - 2.5 เซนติเมตร ภายในเป็นโพรง แคบ ๆ ซึ่งมีหลอดเลือดมาเลี้ยงอยู่มาก ซึ่งเยื่อบุมดลูกน้ี มีไว้สาหรับไข่ท่ีผสมแล้วได้ฝังตัว และเจริญเติบโตจนครบกาหนดคลอคเป็นอวัยวะที่ผลักดันบีบรัดให้เด็กคลอด แต่ถ้าหากไข่ไม่ได้รับ การผสม เยื่อบุมดลูกจะลอกออกเป็นประจาเดือน ภายหลังวัยหมดประจาเดือนแล้ว มดลูกจะเห่ียว และเลก็ ลง 2.2.4 ชอ่ งคลอด (Vagina) อยู่ระหวา่ งชอ่ งหรือท่อปัสสาวะกับทวารหนัก เป็นส่วน ที่ต่อมาจากปากมดลูกมาเปิดออกภายนอก ช่องคลอดลึกประมาณ 7 - 10 เซนดิมตร ประกอบด้วย กล้ามเน้ือเรียบ ส่วนในสุดเป็นส่วนที่หุ้มอยู่รอบปากมดลูกภายในบุด้วยเนื่อเย่ือบาง ๆ ลักษณะเป็น รอยย่นและ สามารถยืดหดได้ และขยายตัวได้มากเวลาคลอด นอกจากนี้ช่องคลอดยังเป็นทางผ่าน ของเลือดประจาเดือน ซึ่งไหลจากโพรงมดลกู ออกจากร่างกายและเป็นชอ่ งทางของการมีเพศสัมพันธ์ เปน็ ทางผ่านของตวั อสุจจิ ากเพศชายเพอื่ ไปผสมกบั ไขข่ องเพศหญิง
77 ภาพท่ี 2.6 อวัยวะสืบพันธ์ภุ ายในของเพศหญิง ที่มา: องคก์ ารแพธ (PATH), 2550, น. 69 หน้าที่ของอวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศหญิงจะถูกใช้งาน 2 แบบเช่นเดียวกับเพศชาย คือ ใช้สาหรับปัสสาวะและใช้ใน การร่วมเพ ศ อีกส่วน หนึ่งที่ควรรู้เก่ียวกับเพศหญิ งคือ การมีประจาเดือน การตกไข่ (Ovulation) คือ การทไี่ ขส่ ุกและออกจากรังไขผ่ ่านสู่ท่อนาไขใ่ นช่วงกึ่งกลาง ของรอบเดอื น ถา้ นบั วันแรกท่ีมปี ระจาเดือนเปน็ วันท่ี 1 การตกไขจ่ ะเกดิ ขน้ึ ประมาณวันที่ 13 - 15 การมีประจาเดือน (Menstruation) เป็นส่ิงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่แสดงให้ทราบว่า เด็กหญิงน้นั ได้เจริญเตม็ ทีพ่ ร้อมที่จะมีลูกได้ การมีประจาเดือนเกิดจากการเปล่ียนแปลงภายในมดลูก ในรอบเดอื น โดยภายในรังไขแ่ ต่ละขา้ งจะมีไข่อ่อนทยี่ ังไมเ่ จริญเตม็ ท่ีอยู่มากมาย ไข่อ่อนแต่ละใบจะมี ฟอลลเิ คลิ หรือถงุ ไข่ (Follicle) หมุ้ ไว้ รังไขจ่ ะผลิตไข่สลับข้างกันและผลิตเดือนละครั้ง ครั้งละหน่ึงใบ โดยปกติผู้หญิงจะเริ่มมีประจาเดือนเม่ืออายุประมาณ 12 ปี ขึ้นไป และจะมีทุกเดือนไปจนถึงอายุ ประมาณ 50 ปี รอบของการมีประจาเดือนแต่ละเดือนแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยทั่วไปประมาณ 28 วนั (ระหว่าง 21-35 วัน) ช่วงระยะของการมปี ระจาเดือนแต่ละครง้ั ประมาณ 3 - 6 วนั ซ่ึงร่างกาย จะสูญเสียเลือดไปประมาณ 60 - 90 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อการมีประจาเดือนหน่ึงละครั้ง ดังนั้น ผู้หญิงจึงควรได้รับโปรตีนและธาตุเหล็กเพ่ิมข้ึนในแต่ละเดือนเพื่อทดแทนส่วนท่ีสูญเสียไป ในแต่ละ เดือนประจาเดือนจะมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับสภาพร่างกายและจิตใจของแต่ละบุคคล อารมณ์และ ความวิตกกังวลต่างๆ ก็มีผลให้การหลั่งฮอร์โมนของสมองใหญ่ผิดปกติ ซ่ึงจะไปมีผลต่อการหลั่ง ฮอร์โมนของต่อมใต้สมองทาให้รอบเดือนมาไม่ปกติ และในบางคนก่อนมีประจาเดือนหรือระหว่างมี
78 ประจาเดอื นอาจมีอาการบางอยา่ งเกิดขึ้น เช่น ปวดศีรษะ เมอ่ื ยลา้ หงุดหงิด ปวดท้อง เปน็ ตน้ อาการ เหลา่ น้ีเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นโดยไมเ่ ป็นอนั ตราย แต่ถ้ามอี าการผดิ ปกตเิ กิดขึ้น เช่น ประจาเดอื นมา เร็วหรือชา้ เกินไป มีนานกวา่ ปกตหิ รอื มากกว่าปกตหิ รือไมม่ ปี ระจาเดอื นเลยควรไปพบแพทย์ ภาพที่ 2.7 แสดงระยะการมปี ระจาเดอื น ท่มี า: อทุ มุ พร แก้วสามศรี และคณะ, 2562, น. 21 การเปลี่ยนแปลงและการพฒั นาลักษณะทางเพศ วัยรุ่นเป็นวัยท่ีมีการเปล่ียนแปลงทางร่างกายที่สาคัญ 2 ประการ คือ การเติบโต อย่างรวดเร็วของกระดูกและลักษณะทางเพศ แต่กระบวนการน้ีจะเริ่มต้นและส้ินสุดลงในแต่ละคน แตกตา่ งกัน ท้ังนี้เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ ฮอร์โมน โภชนาการ และส่ิงแวดล้อม ในวัยน้ีมักจะมีการเตบิ โตทางด้านร่างกายอย่างมาก ซึง่ การเปลยี่ นแปลงทางด้านร่างกายและด้านเพศ ของวยั รุ่นจะดาเนินไปอย่างรวดเร็ว ในระยะก่อนวัยรุ่นกระบวนการเปล่ยี นแปลงดา้ นเพศไปสูว่ ุฒภิ าวะ (Pubescence) จะดาเนินไปในระยะเวลา 2 ปี คือ เริ่มประมาณ 10 - 11 ปีข้ึนไป และจะพัฒนา ถึงขั้นที่สมบูรณ์เป็นหนุ่มสาวอย่างแท้จริง มีวุฒิภาวะทางเพศ (Puberty) ประมาณอายุ 13 ปี สาหรับเด็กหญิง และประมาณอายุ 15 ปีสาหรับเด็กชาย การเปล่ียนแปลงทางเพศท่ีสาคัญมี 2 ขั้น คือ (ชุมาภรณ์ ฝาชยั ภมู ิ, 2562, น. 4-5) 1. การเปลย่ี นแปลงทางเพศขั้นต้น การเปลี่ยนแปลงทางเพศขั้นต้น (Primary Sex Change) ข้ันน้ีเป็นการเปล่ียนแปลง ของต่อมเพศ ซึ่งจะทาให้สามารถผลิตเชลล์สืบพันธุ์ได้ เช่น ผู้ชายจะมีตัวอสุจิ และมีการฝันปียก (Wet Dream หรือ Nocturnal Excision) ผู้หญิงจะมีไข่สุกทุก ๆ 28 วัน จะเกิดประจาเดือน
79 (First Menstruation หรือ Menarche) การมีเซลล์สืบพันธ์ุท่ีพร้อมจะสืบพันธุ์ได้ จึงเป็นลักษณะ ทางเพศ ขนั้ ต่าทถ่ี ือเป็นเกณฑว์ ่าเขา้ สู่วัยร่นุ ที่มีวฒุ ภิ าวะทางเพศสมบรู ณ์แล้ว วุฒิภาวะทางเพศในเพศชาย หมายถึง การหล่ังน้าอสุจิเป็นคร้ังแรก ส่วนในเพศหญิง หมายถึง การมีประจาเดือนครั้งแรก ซึ่งสิ่งเหล่านีจ้ ะเกดิ กับทุกคนตามธรรมชาติของการเจริญเติบโต และพัฒนาการทางเพศของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเป็นสิ่งท่ีน่าอับอายหรือผิดปกติ แต่เป็น การแสดงออกของร่างกายท่ีบ่งบอกให้รวู้ ่าร่างกายมีวุฒภิ าวะทางเพศทสี่ มบรู ณ์แลว้ และมีความพร้อม ทางด้านร่างกายที่จะมีบุตรได้ การที่เพศชายเละหญิงมีวุฒิภาวะทางเพศแล้วจะเป็นวัยท่ีมี ความต้องการทางเพศ วัยรุ่นชายอาจมีการสาเร็จความใคร่ด้วยตนเอง (Masturbtion) หรืออาจเกิด การฝันเปยี ก (Wet Dream) ซ่ึงเป็นการลดปริมาณน้าอสจุ ิใหน้ ้อยลงโดยธรรมชาติและยงั เป็นวธิ ีหน่ึงท่ี ช่วยลดความเครียดเก่ียวกับอารมณ์ทางเพศได้ สาหรับวัยรุ่นหญิงบางรายอาจมีการสาเร็จความใคร่ ดว้ ยตนเอง ในการสาเร็จความใคร่ด้วยตนเองของวัยรุ่นน้ี ไม่ได้เกิดเพราะความผิดปกติหรือจะส่งผล กระทบทีเ่ ปน็ อันตรายแตอ่ ย่างใด แต่ไม่ควรหมกมุ่นจนเกนิ ไป ควรแสดงออกโดยการลดหรอื หลีกเลยี่ ง ความต้องการทางเพศในลักษณะอื่น ๆ เชน่ การเล่นกีฬา ออกกาลงั กาย เป็นต้น (ศิยพร กล่าทวี และ ประพล นิลใหญ่, 2562, น. 26) 2. การเปล่ยี นแปลงทางเพศข้ันสอง การเปลยี่ นแปลงทางเพศขั้นสอง (Secondary Sex Change) ขนั้ นเ้ี ป็นการเปลี่ยนแปลง อันเกิดจากการมีฮอร์โมนมากระตุ้นให้เกิดลักษณะทางกายต่างๆ อันเป็นส่วนประกอบท่ีแสดงถึง เพศของตนอย่างสมบูรณ์ เช่น ไหล่กว้าง มีกล้ามเนื้อ มีขนบริเวณหน้าอกและอวัยวะสืบพันธ์ุ เสียงแตกห้าวในผู้ชาย และการมีทรวงอก สะโพกผาย เอวคอด เสียงเล็กแหลม มีขนรักแร้ และ อวัยวะสืบพันธ์ุ ในผหู้ ญิงการเปล่ยี นแปลงทางเพศที่เกดิ ข้นึ นี้ ผ้หู ญิงจะมกี ารเปลยี่ นแปลงเร็วกว่าผชู้ าย ประมาณ 1 – 2 ปี เด็กผู้หญิงจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่สาหรับเด็กผู้ชายจะเกิดข้ึนในอีก 2 ปีต่อมา ความแตกต่างกันน้ีจะทาให้เด็กผู้หญิงสูงกว่าเด็กผู้ชายท่ีมีอายุเท่ากัน ในระหว่างอายุ 11 - 14 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ผลสุดท้ายเด็กผู้ชายจะสูงกว่าเด็กผู้หญิง การเจริญเติบโตของร่างกาย กเ็ ชน่ กันไม่ไดเ้ ตบิ โตพร้อม ๆ กันทุกสว่ น เช่น เทา้ อาจโตเรว็ กวา่ ขาถึง 4 เดือน จึงทาให้ดเู หมอื นเท้าโต ผิดปกติ ซึ่งบางครั้งก็ทาให้เกิดปัญหาเก่ียวกับความรู้สึกที่มีต่อร่างกายของตนเองหรือวิตกกังวลได้ และการทีร่ ่างกายโตช้าในช่วงแรก ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า เด็กคนน้นั จะตัวเลก็ กว่าเด็กท่ีเริม่ โตเรว็ กว่า เด็กที่ค่อนข้างเต้ียเมื่อมีอายุ 14 ปี อาจสูงกว่าเพ่ือนเมื่ออายุ 18 ปีก็ได้แต่เด็กที่เต้ียหรือสูงเกินไป กอ็ าจมปี ัญหาทางจิตใจถ้าถูกเพือ่ นลอ้ เลียน ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายที่เหน็ ได้อยา่ งชัดเจน ได้แก่ เพศหญิง การปลี่ยนแปลงในระยะแรกของวัยแตกสาวที่เห็นได้ชัดคือ การเปลี่ยนแปลงของ เต้านม จากน้ันจะเกดิ ขนทบ่ี รเิ วณหวั หน่าว และมปี ระจาเดอื นคร้ังแรก ตามลาดับ
80 การเปล่ียนแปลงทางเพศในวยั รุน่ ชาย ขนาดของลูกอัณฑะของเดก็ ผชู้ ายก่อนเข้าวยั แตกหนมุ่ จะมขี นาด 1 - 3 มลิ ลิลิตร แตเ่ มอ่ื โต เป็นผู้ใหญ่ขนาดจะประมาณ 12 - 25 มิลลิลิตร ในวัยแตกหนุ่มลูกอัณฑะจะขยายตัวใหญ่ขึ้น รวมถึงส่วนประกอบอ่ืน ๆ ของระบบสืบพันธ์ุ เช่น ต่อมลูกหมาก ถงุ ผลิตน้าหล่อเล้ียงอสจุ ิ และท่อเก็บ อสุจิจะมีการพัฒ นาและเปลี่ยนแปลง เนื่องจากถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosteron) ซึ่งจะมีระดับสูงข้ึนในระยะนี้ และการพัฒนาดังกล่าวจะดาเนินไปถึงวัยผู้ใหญ่ การพฒั นาของอวัยวะเพศของเดก็ ผู้ชายเปน็ 5 ระยะคอื (ชมุ าภรณ์ ฝาชยั ภูมิ, 2562, น. 6-7) ระยะที่ 1 มลี กู อัณฑะเหมือนเม่ือเป็นเดก็ ระยะท่ี 2 ลูกอัณฑะใหญ่ขน้ึ ถงุ อัณฑะใหญ่ขนึ้ มีสคี ลา้ และหนงั ย่นข้นึ ระยะที่ 3 องคชาตยาวและใหญ่ขนึ้ ด้วย ขณะเดยี วกันลกู อณั ฑะและถงุ อัณฑะก็โตขึ้นอกี ระยะท่ี 4 องคชาตโตข้ึนอีกและส่วนหัวขององคชาต (Glans Penis) ก็พัฒนาข้ึนอย่างเห็น ได้ชัด ถุงอณั ฑะกด็ ามากขึน้ ระยะท่ี 5 ขนาดและรูปรา่ งขององคชาตและพวงอัณฑะเหมือนของผู้ใหญ่ การพัฒนาของ อวัยวะเพศของเด็กผู้ชายจะมาถึงระยะที่ 2 เม่ืออายุ 12 ปี และถึงระยะที่ 5 เม่ืออายุ 16 ปี การพฒั นาของขนที่หวั หน่าวก็เหมอื นของผู้หญิงแต่ต่างกันตรงอายุที่พัฒนา หนวดเครา และขนรักแร้ จะเกิดขึน้ และเสียงกห็ ้าวขึ้น เสยี งห้าวเกิดจากการท่ีลกู กระเดอื กใหญ่ขน้ึ และสายเสยี ง (Vocal Cord) หนาขึ้น วัยรุ่นชายบางคนอาจมเี ต้านมใหญ่ ซึ่งพบได้รอ้ ยละ 40 - 50 อันเป็นผลจากการเปล่ียนแปลง สมดุลระหว่างฮอร์โนเทสโทสเตอโรนและเอสโตรเจนในร่างกายของคนๆ น้ัน แต่ปญั หาน้ีส่วนใหญ่จะ หายไปภายใน 2 ปี ยกเวน้ บางคนอาจเป็นอยนู่ านกวา่ นัน้ การเปลี่ยนแปลงทางเพศในวยั รุ่นหญิง การเปลยี่ นแปลงเพศหญิง มีรายละเอียดดงั น้ี (ชุมาภรณ์ ฝาชยั ภูมิ, 2562, น. 5-6) 1. การเปลยี่ นแปลงของเต้านมของเพศหญงิ การเปลี่ยนแปลงของเต้านมเกิดเนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ท่ีมีปริมาณ สูงมากข้ึน ทาให้มีการเจริญเติบโตของเต้านม โดยในระยะแรกทาให้มีการสะสมของไขมันที่เต้านม ก่อนรวมท้ังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายด้วย ต่อมาจึงกระตุ้นให้ต่อมน้านมมีการเจริญเติบโตขึ้น ตามลาดับ เพ่ือเตรยี มพร้อมสาหรับการสร้างนา้ นมเม่ือมกี ารต้งั ครรภ์ เตา้ นมจงึ มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ การเจริญเติบโตของเตา้ นมเปน็ ระยะ ๆ โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้
81 ระยะท่ี 1 เตา้ นมมลี ักษณะเหมือนเมื่อเป็นเด็ก ระยะที่ 2 เป็นระยะทีเ่ ร่ิมเหน็ วา่ เตา้ นมใหญ่ข้ึน ระยะท่ี 3 บริเวณหัวนม (Areola) ใหญข่ ึ้น เต้านมใหญแ่ ละมรี ูปร่างกลม ระยะท่ี 4 เตา้ นมจะใหญข่ น้ึ ไปอีก ระยะที่ 5 เตา้ นมใหญ่เต็มท่ี และมีลักษณะเหมอื นของผใู้ หญ่ ตามปกติการพัฒนาของเต้านมจะเร่ิมเกิดขึ้นเร็วท่ีสุดเมื่ออายุ 7 ปีขึ้นไป และช้าท่ีสุด ไม่เกนิ อายุ 13 ปี 2. การเกิดขนทีห่ ัวหนา่ วของเพศหญิง การเปล่ียนแปลงเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) และ เอสโตรเจน จะทาให้มีขนเกิดข้ึนบริเวณอวัยวะเพศและรักแร้ ในบางรายอาจเกิดข้ึนก่อน การเจริญเติบโตของ เต้านม ขนท่ีบริเวณอวัยวะเพศในระยะแรกจะมีลักษณะเป็นขนอ่อนอยู่บริเวณ แคมใหญ่เท่านั้น ต่อมาจึงมีการเจริญกระจายเป็นวงกว้างจนถึงบริเวณหัวหน่าว ลักษณะขนจะหยาบ แขง็ ข้ึน ซึ่งจะมกี ารพฒั นาเป็น 5 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะท่ี 1 เป็นระยะท่ีเหมือนเดก็ คอื ไมม่ ีขน ระยะที่ 2 เริ่มมีขนเล็กน้อยท่ีเนินหัวหน่าวและแคมใหญ่ ขนจะมีสีอ่อน เส้นบางและ จานวนนอ้ ย ระยะที่ 3 สขี นเข้มขึ้น หยาบและหงิกงอ แต่ยังคงมนี อ้ ย ระยะที่ 4 ขนมีจานวนมากข้ึน และมลี ักษณะเกอื บเหมอื นผใู้ หญ่ ระยะที่ 5 จานวนและลกั ษณะขนเหมอื นของผูใ้ หญ่ 3. การมีระดคู รงั้ แรกของเพศหญิง ระดูหรือประจาเดือนครั้งแรก มักเกิดเมื่อมีการพัฒนาของเต้านมมาถึงประมาณระยะ ท่ี 4 ประจาเดือนปีแรกมักไม่ค่อยสม่าเสมอ และไข่มักไม่สุก แต่อย่างไรก็ตาม การมีประจาเดือน ครั้งแรกอาจมีไข่สุกได้ ดงั น้ันการคุมกาเนิดจึงเป็นส่งิ จาเป็นถ้าเด็กน้ันมีการรว่ มเพศ โดยประจาเดือน ครั้งแรกจะเกิดขึ้นเน่ืองมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นจานวนมาก จะทาให้เยื่อบุโพรงมดลูก เจริญเติบโตมากขน้ึ ลักษณะเป็นชนิดการเพิ่มฮอรโ์ มนอย่างรวดเร็ว (Poliferate) เมอ่ื ถึงจุดหน่ึงจะมี การหลุดลอกออกมาเกิดเป็นระดูครั้งแรก (Mearche) และเป็นที่ยอมรับกันว่า อายุของการเริ่มมี ประจาเดอื นครั้งแรกจะเริ่มเกิดข้ึนเม่ืออายุยังน้อยและน้อยลงเรื่อยๆ ในช่วงระยะเวลา 100 ปีท่ีผ่าน มา เชื่อวา่ เปน็ ผลมาจากภาวะโภชนาการทดี่ ขี ้ึนนน่ั เอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392