ศอุ บรลวี รนา ชาธลายั นี หนงั สือท่รี ะลึกงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (มานติ ถาวโร)
ศอุ บรลีวรนา ชาธลาัยนี
คำ�ปร�รภ เจา้ ประคณุ สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์(มานติ ถาวโร ป.ธ.๙) อดตี กรรมการมหาเถรสมาคม และ อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม มีอายุ ๑๐๑ ปี ๘๑ พรรษา เป็นพระมหาเถระผู้รัตตัญญู มวี ตั รปฏบิ ตั เิ รยี บงา่ ย มคี วามประพฤตเิ รยี บรอ้ ย ดา� เนนิ รอยตามบาทวถิ แี หง่ สมเดจ็ พระบรมศาสดา ฝกึ ฝนอบรมตนในแนวทางแหง่ วปิ สั สนาธรุ ะตามปฏปิ ทาพระกรรมฐานสายพระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตโฺ ต เล่าเรียนศึกษาพระปริยัติธรรมในส่วนคันถธุระ เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นจุดสูงสุด แห่งหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์ ปฏิบัติสิกขาวินัยกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดน่าเล่ือมใส เปน็ ที่เคารพสกั การะของศษิ ยานุศษิ ย์และพุทธศาสนิกชนทวั่ ไป นับแต่เจ้าประคุณด�ารงฐานะในต�าแหน่งเจ้าอาวาส ได้บ�ารุงและสร้างสรรค์พระอาราม ให้เรียบร้อยสง่างาม ให้การบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรจ�านวนมากพร้อมทั้งให้การอบรมสั่งสอน อย่างเต็มสติก�าลัง ส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนของภิกษุสามเณรในด้านพระปริยัติธรรมทั้งแผนก ธรรม-บาลี ใหเ้ จริญกา้ วหน้า และในฐานะประธานมลู นิธิสจุ ณิ โณอนสุ รณ์ ไดร้ ่วมกับคณะกรรมการ บา� เพญ็ สาธารณกศุ ลทเี่ ปน็ คณุ ประโยชนแ์ กพ่ ระศาสนาและคณะสงฆ์ ตลอดถงึ ประชาชนในดา้ นตา่ งๆ เป็นอนั มาก คณะผบู้ รหิ าร บรษิ ัท เจรญิ โภคภัณฑ์ จา� กัด (มหาชน), บริษัท เจียไต๋ จ�ากดั และกรรมการ มูลนิธิสุจิณโณอนุสรณ์ ได้ระลึกถึงคุณแห่งความเมตตาและคุณูปการที่มีต่อตน พร้อมจริยาวัตร อนั งดงามของทา่ น ในฐานะทเี่ จา้ ประคณุ เปน็ เจา้ อาวาส เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ เปน็ พระอาจารย์ และเปน็ ประธานมูลนิธิสุจิณโณอนุสรณ์ จึงได้ร่วมรับเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์หนังสือออกเป็นธรรมบรรณาการ แสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณอุทิศกุศลถวาย ในการออกเมรุพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวง หน้าพลบั พลาอศิ ริยาภรณ์ วดั เทพศิรินทราวาส จ�านวน ๔ เลม่ คอื
• หนังสือประวัติวัดสัมพันธวงศาราม กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของวัดแต่เร่ิมสร้าง พระประวัติของผู้สร้างวัด เจ้าอาวาสท่ีปกครองในแต่ละยุค ปูชนียวัตถุและปูชนียสถานภายใน พระอาราม ประกอบรูปภาพพรอ้ มเน้อื หาอันเป็นประโยชน์ • หนังสือประวัติสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) และประวัติเมือง อบุ ลราชธานี กล่าวถึงเถรประวตั ิของทา่ น และถ่นิ ฐานอันเป็นบ้านเดมิ ของท่าน ที่มีประวัติศาสตร์ มาอย่างยาวนาน และเปน็ เมืองส�าคญั เมืองหนง่ึ ของภาคอีสาน • หนังสือสวดมนต์ หลักสูตรของวัดสัมพันธวงศาราม ส�าหรับพระภิกษุสามเณรและ อบุ าสกอบุ าสกิ า ใชเ้ ปน็ แบบในการสวดมนตแ์ ละเจรญิ ภาวนา เพม่ิ พนู สตปิ ญั ญา สมั มาปฏบิ ตั ติ อ่ ไป • หนังสือสูจิบตั ร งานออกเมรพุ ระราชทานเพลิงศพ วัดสัมพันธวงศาราม ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาและบุญกิริยาของคณะผู้บริหาร บริษัท เจรญิ โภคภณั ฑ์ จ�ากดั (มหาชน), บรษิ ัท เจียไต๋ จา� กัด และกรรมการมลู นธิ ิสุจิณโณอนสุ รณ์ ท่ีร่วมรับเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์หนังสือออกเป็นธรรมบรรณาการอุทิศกุศลถวายในการออกเมรุ พระราชทานเพลิงศพนี้ ขอกศุ ลบญุ ราศอี นั จะพงึ บงั เกดิ มแี ตก่ ารพมิ พห์ นงั สอื เปน็ ธรรมบรรณาการจงพลนั สมั ฤทธผิ ล เป็นบุญนฤธีสุขประโยชน์สมบัติ ศุภอรรถอิฏฐคุณวิบุลมนุญผล แก่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม และอดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ตามสมควรแกค่ ตวิ ิสยั ในวสิ ุทธิสารนยั จงทกุ ประการ เทอญ คณะสงฆ์วัดสมั พันธวงศาราม
อนุโมทน�กถ� สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์(มานติ ถาวโร ป.ธ.๙) อดตี กรรมการมหาเถรสมาคม และอดตี เจา้ อาวาสวดั สมั พนั ธวงศาราม มอี ายุ ๑๐๑ ปี ๘๐ พรรษา นับว่าเป็นพระมหาเถระผรู้ ัตตัญญู ประกอบไปดว้ ยความประพฤตเิ รียบร้อย ดา� เนนิ รอยตาม บาทวถิ แี หง่ สมเดจ็ พระบรมศาสดา ฝกึ ฝนอบรมตนในวปิ สั สนาธรุ ะตามแนวปฏปิ ทาพระกรรมฐานสายพระอาจารยม์ นั่ ภรู ทิ ตโฺ ต เลา่ เรยี นศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรมในสว่ นคนั ถธรุ ะ เปน็ เปรยี ญธรรม ๙ ประโยค อนั เปน็ จดุ สงู สดุ แหง่ หลกั สตู รการศกึ ษาของคณะสงฆ์ ปฏิบตั ิสิกขาวินยั กฎระเบยี บอย่างเคร่งครัดน่าเลอื่ มใส เปน็ ที่เคารพสกั การะของพุทธศาสนิกชนทวั่ ไป คณะผู้บริหาร บรษิ ทั เจริญโภคภัณฑ์ จ�ากัด (มหาชน), บรษิ ัท เจยี ไต๋ จ�ากดั และกรรมการมูลนธิ สิ จุ ิณโณอนุสรณ์ ได้ระลึกถึงคุณแห่งความเมตตาและคุณูปการที่มีต่อตน พร้อมจริยาวัตรอันงดงามของท่าน ในฐานะท่ีท่านเป็นเจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นพระอาจารย์ และเป็นประธานมูลนิธิสุจิณโณอนุสรณ์ จึงได้ร่วมรับเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์หนังสือ ออกเปน็ ธรรมบรรณาการ แสดงกตญั ญกู ตเวทิตาคุณ อทุ ศิ กุศลถวาย ในการออกเมรพุ ระราชทานเพลงิ ศพ ณ เมรหุ ลวง หน้าพลบั พลาอศิ ริยาภรณ์ วดั เทพศิรินทราวาส จา� นวน ๔ เล่ม คอื • หนงั สอื ประวตั ิวดั สัมพนั ธวงศาราม กล่าวถึงประวตั ิความเป็นมาของวดั แตเ่ ร่มิ สร้าง พระประวัติของผ้สู ร้างวัด เจา้ อาวาสทป่ี กครองในแตล่ ะยคุ ปชู นยี วตั ถแุ ละปชู นยี สถานภายในพระอาราม ประกอบรปู ภาพพรอ้ มเนอื้ หาอนั เปน็ ประโยชน์ • หนังสือประวัติสมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (มานติ ถาวโร ป.ธ.๙) และประวัตเิ มอื งอบุ ลราชธานี กล่าวถึงเถรประวตั ิ ของทา่ น และถนิ่ ฐานอนั เปน็ บา้ นเดมิ ของทา่ น ทมี่ ปี ระวตั ศิ าสตรม์ าอยา่ งยาวนาน และเปน็ เมอื งสา� คญั เมอื งหนง่ึ ของภาคอสี าน • หนงั สอื สวดมนต์ หลกั สตู รของวดั สมั พนั ธวงศาราม สา� หรบั พระภกิ ษสุ ามเณรและอบุ าสกอบุ าสกิ า ใชเ้ ปน็ แบบ ในการสวดมนตแ์ ละเจรญิ ภาวนา เพ่มิ พูนสตปิ ัญญา สมั มาปฏบิ ตั ิต่อไป • หนังสือสูจบิ ัตร งานออกเมรุพระราชทานเพลิงศพ วัดสัมพันธวงศาราม ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาและบุญกิริยาของคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จ�ากัด (มหาชน), บริษัท เจียไต๋ จ�ากัด และกรรมการมูลนธิ สิ ุจณิ โณอนุสรณ์ ทร่ี ว่ มรับเปน็ เจ้าภาพจดั พิมพห์ นังสอื ออกเป็นธรรม บรรณาการอทุ ิศกุศลถวายในการออกเมรพุ ระราชทานเพลงิ ศพนี้
ส�รบัญ ค�าปรารภ อบุ ลราชธานีจากหลักฐานโบราณคดี ๓ บทนา� อุบลราชธานีในยุคก่อนประวัตศิ าสตร์ บทที่ ๑ อบุ ลราชธานี – อา� นาจเจรญิ ในอาณาจักรเจนิ ลา่ ของพระเจ้ามเหนทรวรมัน ๘ อุบลราชธานี – อา� นาจเจริญ ดินแดนแห่งทวารวดอี ีสาน บทที่ ๒ อุบลราชธานีในวฒั นธรรมเขมรโบราณสมัยพระนคร ๑๐ ๑๒ บทที่ ๓ จากจา� ปาศกั ด์ิ สู่อุบลราชธานศี รีวนาลยั ๑๘ จากจ�าปาศักด์ิ สู่อบุ ลราชธานีศรีวนาลัย ๔๐ บทที่ ๔ เจ้าพระวรราชภักดี (พระวอ) กบั จา� ปาศักดิ์ ๕๒ เจา้ พระวรราชภกั ดี (พระวอ) กับดอนมดแดง พระปทมุ (เจ้าค�าผง) กับการตั้งบา้ นห้วยแจระแม ๗๐ ๗๒ เจา้ เมืองอุบลราชธานีศรีวนาลยั ๗๔ พระประทมุ วรราชสรุ ยิ วงศ์ (ท้าวคา� ผง) เจา้ เมอื งอุบลราชธานอี งค์แรก ๗๖ พระพรหมวรราชสรุ ยิ วงศ์ เจ้าเมอื งอุบลราชธานี ลา� ดบั ที่ ๒ ๘๔ พระพรหมวรราชสรุ ยิ วงศ์ (ท้าวกุทอง) เจา้ เมืองอบุ ลราชธานี ลา� ดบั ท่ี ๓ เจ้าพรหมเทวานเุ คราะหว์ งศ์ (เจ้าหน่อคา� ) เจ้าเมอื งอบุ ลราชธานี ล�าดบั ท่ี ๔ ๘๖ ๙๒ ชาติพนั ธุ์ผู้คนพลเมืองอบุ ลราชธานี ๑๐๐ กลุ่มชนตระกูลไทย – ลาว ๑๑๒ ๑๑๘ ๑๒๔ ๑๒๘
กลุม่ ชนตระกูลมอญ – เขมร ๑๓๒ กลมุ่ ชนทอ่ี พยพเขา้ มาอยู่ใหม่ ๑๓๖ บทที่ ๕ ศนู ยก์ ลางธรรมยตุ กิ นกิ ายในอีสาน ๑๔๐ การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาธรรมยุติกนิกายในอีสาน ๑๔๖ อุบลราชธานีศรวี นาลยั ศูนย์กลางธรรมยตุ ิกนกิ ายสายอสี าน ๑๕๘ พระอรยิ กวี (ธมฺมรกขฺ ิโต อ่อน) ๑๖๓ พระอุบาลคี ณุ ูปมาจารย์ (สิรจิ นฺโท จนั ทร)์ ๑๖๔ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโฺ ส อ้วน) ๑๖๘ บทท่ี ๖ ประวตั สิ มเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานติ ถาวโร ป.ธ. ๙) ๑๗๘ บรรณานกุ รม ๒๔๐ ภาคผนวก จดหมายเหตดุ า้ นพระพุทธศาสนาและการศกึ ษา เมืองอุบลราชธานี ๒๔๒ จากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ๒๔๔ รายงานพระญาณรกั ขติ ๒๖๓ จัดการคณะสงฆ์มณฑลอสิ าณ ๒๖๗ รายงานตรวจจัดการพระศาสนาแลการศกึ ษา ๒๗๓ บาญชคี ณะมณฑลอีสาณ ๒๗๙ บาญชีโรงเรยี นมณฑลอีสาณ
บทน�ำ บริเวณจงั หวดั อุบลราชธานี อา� นาจเจริญ และพ้ืนที่ใกล้เคยี งบริเวณแมน่ า้� มูล – ชี เป็นแหลง่ โบราณคดที ี่มี ประวตั คิ วามเปน็ มาทย่ี าวนาน ตง้ั แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ดงั ปรากฏหลกั ฐานทง้ั ทเี่ ปน็ โครงกระดกู และโบราณวตั ถุ สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ในพนื้ ทจี่ งั หวดั อบุ ลราชธานแี ละใกลเ้ คยี ง รวมทงั้ ยงั พบภาพเขยี นสสี มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ หลายแห่ง เช่น ภาพเขยี นสที ่ผี าแต้ม อ�าเภอโขงเจียม จังหวดั อุบลราชธานี นอกจากน้ีในพื้นท่จี งั หวดั อุบลราชธานีและพ้นื ที่ใกลเ้ คยี ง ยงั พบหลกั ฐานการต้งั เปน็ บา้ นเปน็ เมืองมาต้ังแต่ พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ เชน่ ดงเมืองเตย (ปัจจบุ นั อยู่ในจังหวดั ยโสธร) ที่มีความสัมพนั ธ์กบั “เมอื งจ�าปาศักดิ”์ ซ่ึงเดมิ เป็นเมืองของอาณาจักรจามปา แต่ต่อมาเมื่อเครือญาติของอาณาจักรฝูหนาน (ฟูนัน) สามารถยึดครองเมืองน้ีได้ ก็ได้สถาปนาเป็นเมืองชื่อว่า “เศรษฐปุระ” และถือกันว่า บริเวณนี้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรเจินล่า (เจนละ) ซ่ึงเป็นต้นก�าเนิดของอาณาจักรกัมพูชาสมัยพระนคร จากนั้นจึงแผ่ขยายอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาในพ้ืนท่ี จังหวัดอุบลราชธานีและพื้นท่ีใกล้เคียง ดังปรากฏหลักฐานท่ีส�าคัญคือ ศิลาจารึกของพระเจ้ามเหนทรวรมัน หรือ จารึกพระเจ้าจิตรเสน ซึ่งพบในดินแดนจังหวัดอุบลราชธานีหลายหลัก เช่น จารึกปากมูล จารึกถ้�าภูหมาไน และ จารึกปากโดมน้อย เปน็ ตน้ หลังจากท่ีอาณาจักรเจินล่าได้แตกแยกเป็นอาณาจักรเจินล่าบก และอาณาจักรเจินล่าน�้า อิทธิพล ทางการเมืองของอาณาจักรเจินล่าได้ลดลง ท�าให้อิทธิพลทางวัฒนธรรมแบบทวารวดี ที่แผ่เข้ามาในพื้นที่แถบน้ี ในราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๓ เปน็ ตน้ มา ไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทแทนที่ ทา� ใหว้ ฒั นธรรมซงึ่ พบในบรเิ วณจงั หวดั อบุ ลราชธานแี ละ พืน้ ท่ีใกล้เคียง เชน่ อ�านาจเจรญิ ไดป้ รากฏร่องรอยทางวัฒนธรรมแบบทวารวดี เปน็ จา� นวนมาก เชน่ วัดโพธิ์ศิลา อา� เภอลอื อา� นาจ จงั หวัดอ�านาจเจริญ เปน็ ต้น วฒั นธรรมทวารวดีไดม้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ดนิ แดนแถบจงั หวดั อบุ ลราชธานี และพน้ื ที่ใกลเ้ คยี ง เชน่ จงั หวดั อา� นาจเจรญิ จนถึงราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ อ�านาจทางการเมืองของอาณาจักรเขมรโบราณสมัยพระนคร ซ่ึงมีศูนย์กลางอยู่ท่ี
เมืองพระนครศรยี โศธรปรุ ะ (ปัจจบุ นั อยู่ในจงั หวัดเสยี มราฐ ราชอาณาจักรกมั พชู า) ได้กลบั เขา้ มาในดินแดนแถบนี้ และมีอิทธิพลอยู่จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีท่ีส�าคัญ คือ ปราสาทบ้านเบญจ์ อ�าเภอเดชอดุ ม จงั หวดั อุบลราชธานี เป็นต้น ตอ่ มาในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ ซงึ่ รว่ มสมยั กบั กรงุ ศรอี ยธุ ยา และกรงุ ศรสี ตั นาคนหตุ ลา้ นชา้ ง เมอื งจา� ปาศกั ดิ์ ในวัฒนธรรมเขมรโบราณได้เสื่อมลง จากน้ันเม่ือกลุ่มชาติพันธุ์ลาวได้อพยพเข้ามาได้มีการต้ังเมืองทับซ้อน ในบริเวณเมืองเศรษฐปุระ เกิดการก่อตั้งเป็นอาณาจักรจ�าปาศักด์ิ ในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลาง อ�านาจของอาณาจกั รลา้ นช้างทางภาคใต้ และมีอ�านาจการปกครองมาถงึ พ้ืนทจ่ี งั หวดั อุบลราชธานี ตอ่ มาพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ เมอ่ื กลมุ่ ขนุ นางอาณาจกั รลา้ นชา้ งเวยี งจนั ทน์ คอื พระวอ พระตา ไดม้ คี วามขดั แยง้ กบั พระเจ้าสิริบุญสารกษัตริย์แห่งเมืองเวียงจันทน์ จึงได้ตั้งตัวเป็นอิสระท่ีเมืองหนองบัวล�าภู เรียกว่า นครเขื่อนขันธ์ กาบแกว้ บัวบาน แต่ต่อมากองทพั เวียงจันทนส์ ามารถตีเมืองหนองบวั ลา� ภูได้สา� เรจ็ พระวอจงึ อพยพไพร่พลมาเข้า ดว้ ยเจา้ เมืองจา� ปาศักดิ์ แต่ตอ่ มาไดเ้ กดิ ความแตกแยกกนั พระวอได้มาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่พระเจ้าสิริบุญสารได้ส่งกองทัพ มาปราบปรามท�าให้พระวอเสียชีวิตในสงคราม สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยา มหากษตั รยิ ศ์ กึ และเจา้ พระยาสรุ สหี เ์ ปน็ แมท่ พั ไปตเี มอื งเวยี งจนั ทน์ หลงั จากนนั้ จงึ นา� ไปสกู่ ารตงั้ เปน็ เมอื งอบุ ลราชธานี และเมอื งอนื่ ๆ ใกล้เคยี ง เช่น เมอื งอ�านาจเจริญ เมืองเดชอุดม ฯลฯ ที่มีความส�าคญั สืบเนอื่ งต่อมาในปัจจบุ นั นอกจากเมืองอุบลราชธานี จะมีบทบาทส�าคัญทางการเมืองการปกครองแล้ว เมืองอุบลราชธานี ยังเป็น ศนู ยก์ ลางของการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาธรรมยตุ กิ นกิ ายในภาคอสี านสบื ตอ่ มาจนถงึ ปจั จบุ นั รวมทง้ั ยงั เปน็ ถน่ิ ฐาน บ้านเกิดของสมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (มานิต ถาวโร) อกี ดว้ ย ดงั จะไดน้ า� เสนอแตล่ ะประเด็นต่อไปน้ี
๑ อุบลร�ชธ�นี จ�กหลักฐ�นโบร�ณคดี
ภาพเขียนสสี มัยก่อนประวตั ิศาสตร์ ผาแต้ม อา� เภอโขงเจียม จงั หวดั อบุ ลราชธานี เป็นหลักฐานท่ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ บรเิ วณจังหวดั อบุ ลราชธานี มกี ารอาศัยอยู่ของมนษุ ยชาติมาต้ังแตย่ คุ ก่อนประวตั ศิ าสตร์
๑ เครือ่ งมือหนิ กะเทาะ หินควอรต์ ไซต์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ ๑๐,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปมี าแลว้ พบทส่ี า� นกั สงฆถ์ า�้ ชา้ งสี อุบลร�ชธ�นี บ้านไทรงาม ตา� บลไทรงาม จงั หวัดอุบลราชธานี ในยคุ ก่อนประวตั ิศ�สตร์ อาวุธสา� รดิ ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ อบุ ลราชธานี บรเิ วณจงั หวดั อบุ ลราชธานี อา� นาจเจรญิ และพน้ื ที่ใกลเ้ คยี ง บรเิ วณลมุ่ แมน่ า�้ มลู – ชี เปน็ แหลง่ โบราณคดที ม่ี ปี ระวตั คิ วามเปน็ มา ที่ยาวนาน ตั้งแต่สมยั กอ่ นประวัติศาสตร์ ดังปรากฏหลักฐานทั้งที่เป็นโครงกระดูกและโบราณวัตถุ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและใกล้เคียง ตงั้ แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรซ์ ง่ึ มนษุ ยย์ งั อยู่ในสงั คมแบบหาของปา่ ล่าสัตว์ ราว ๑๔,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปีก่อน ตรงกับสมยั หินเก่าและ สมัยหินกลาง เป็นช่วงเวลาท่ีมนุษย์ด�ารงชีวิตอยู่ด้วยการหาของป่า ลา่ สตั ว์ อาศยั อยตู่ ามถา้� หรอื เพงิ ผาใกลล้ า� นา้� แหลง่ โบราณคดีในชว่ งนี้ ท่พี บในจังหวดั อบุ ลราชธานี เช่น ถา�้ ชา้ งสี (ถา�้ ตาลาว)บา้ นไทรงามตา� บลไทรงามอา� เภอเขมราฐ เป็นแหล่งโบราณคดีท่ีพบเคร่ืองมือหินกะเทาะ และภาพเขียนสี อายรุ าว ๑๔,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปมี าแลว้ ๑ ตอ่ มาในราว ๕,๖๐๐ – ๒,๐๐๐ ปกี อ่ น ชมุ ชนโบราณในพน้ื ที่ จงั หวดั อบุ ลราชธานแี ละใกลเ้ คยี งจงึ เขา้ สสู่ งั คมแบบเกษตรกรรม เปน็ ชว่ งเวลาทต่ี รงกับสมัยหนิ ใหม่จนถงึ ยุคโลหะ มนษุ ย์ในยุคนร้ี จู้ ักการ เพาะปลกู การทา� เคร่อื งมอื เครอ่ื งใช้ และเริ่มเคลอื่ นยา้ ยไปตง้ั ชมุ ชน ตามพื้นท่ีราบลุ่มเพ่ือท�าการเพาะปลูก พ้ืนท่ีซึ่งพบแหล่งโบราณคดี สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคนี้ในพื้นท่ีจังหวัดอุบลราชธานีได้แก่ ๑ กรมศลิ ปากร, เมอื งอบุ ลราชธานี (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๒), หนา้ ๗๔ - ๗๕.
อุบลราชธานศี รีวนาลัย I ๑๓ ขวานสา� ริด ยุคก่อนประวตั ศิ าสตร์ กลองมโหระทึกส�ารดิ ยุคก่อนประวตั ิศาสตร์ ประมาณ ๒,๕๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว ประมาณ ๒,๐๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว พบทแ่ี หลง่ โบราณคดบี า้ นกา้ นเหลือง ต�าบลขามใหญ่ นายเฉลิม นนทเวช พบทีบ่ า้ นนาโพธิ์ใต้ อ�าเภอเมอื งอบุ ลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ต�าบลนาโพธ์ิกลาง จังหวดั อุบลราชธานี พระฉลอง ธฺมมิโก เจ้าอาวาสวัดบา้ นกา้ นเหลืองมอบให้ นายนพดล สรบี ุตร นายอา� เภอโขงเจยี ม เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ จังหวดั อุบลราชธานี มอบให้
๑๔ I อบุ ลราชธานศี รีวนาลยั ภาชนะดนิ เผาสมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร์แบบต่างๆ ที่พบในบริเวณจงั หวดั อุบลราชธานี ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี พ้ืนท่บี รเิ วณรมิ ฝงั่ ล�าเซบก ลา� เซบาย แม่น�้าชี และแมน่ ้า� มลู ซึ่งพบ แหล่งโบราณคดีบ้านโนนสาวเอ้ บ้านค้อ ต�าบลกุดลาด แหล่งโบราณคดีท่สี �าคญั หลายแหลง่ เช่น อ�าเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พบเศษภาชนะดินเผาเขียนสี เครอื่ งใช้ส�ารดิ และลกู ปัด๓ แหล่งโบราณคดีบ้านก้านเหลือง อ�าเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดีบ้านชีทวน ต�าบลชีทวน อ�าเภอเขื่องใน ทสี่ า� คญั พบภาชนะดนิ เผาสเี ทานวลกน้ กลมลายเชอื กทาบ และภาชนะ จังหวัดอบุ ลราชธานี พบเศษภาชนะดนิ เผาเคลอื บน�้าดนิ สแี ดง และ ที่บรรจใุ นหลุมฝังศพของแหล่งโบราณคดบี างแหล่งในแอ่งสกลนคร กลองมโหระทึก อายุราว ๒,๕๐๐ – ๒,๐๐๐ ปกี ่อน๔ นอกจากนี้ยังพบเครื่องใช้ส�าริด เช่น ขวาน ใบหอก ลูกกระพรวน ทแี่ สดงใหเ้ หน็ วา่ แหลง่ โบราณคดที น่ี มี้ กี ารอยอู่ าศยั สบื เนอ่ื งมาจนถงึ นอกจากนี้ยังพบภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์อีก สมยั ประวัติศาสตร์๒ หลายแห่ง เชน่ ภาพเขยี นสที ผ่ี าแต้ม อ�าเภอโขงเจยี ม ภโู ลง อา� เภอ ตระการพืชผล ถ�้าแต้ม อ�าเภอศรีเชียงใหม่ ถ�้าช้างสี (ถ�้าตาลาว) อา� เภอเขมราฐ จังหวัดอบุ ลราชธานี เปน็ ตน้ ๒ กรมศลิ ปากร, เมืองอุบลราชธานี (กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๒), หน้า ๗๗. ๓ เร่อื งเดียวกนั , หนา้ ๗๗. ๔ เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า ๗๘.
อุบลราชธานีศรวี นาลยั I ๑๕ แหล่งโบราณคดีบา้ นกา้ นเหลือง ตง้ั อยทู่ ี่บ้านกา้ นเหลอื ง (หมู่ ๓) ต�าบลขามใหญ่ อา� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี จังหวดั อบุ ลราชธานี
๑๖ I อุบลราชธานศี รีวนาลยั แหล่งโบราณคดีสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ในจังหวดั อ�านาจเจริญ ส�าหรับแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดอ�านาจเจริญน้ัน พบแหล่งโบราณคดีสมัย ก่อนประวัตศิ าสตร์หลายแห่ง ดงั น้ี แหล่งโบราณคดีบ้านโพนเมือง ต�าบลไม้กลอน อ�าเภอพนา จังหวัดอ�านาจเจริญ แหล่งโบราณคดีแห่งน้ี เปน็ ชุมชนก่อนประวตั ิศาสตร์ มลี ักษณะสังคมเปน็ สงั คมกสิกรรม มปี ระเพณีการฝงั ศพร่วมกบั สิง่ ของ สันนิษฐานวา่ น่าจะมีการตั้งถ่ินฐานประมาณ ๓,๐๐๐ ปี มาแล้ว นอกจากน้ียังพบโบราณวัตถุสมัยประวัติศาสตร์ด้วย เช่น พระพุทธรูปส�าริด แสดงใหเ้ ห็นวา่ ชุมชนน้นี า่ จะมีการอาศัยอย่ตู ่อมาจนถึงสมัยประวตั ิศาสตร์๕ แหลง่ โบราณคดเี มอื งงวิ้ อยทู่ บ่ี า้ นชาด ตา� บลเคง็ ใหญ่ อา� เภอหวั สะพานจงั หวดั อา� นาจเจรญิ แหลง่ โบราณคดี เมอื งงวิ้ เปน็ แหลง่ โบราณคดสี มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ – สมยั ประวตั ศิ าสตร์ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๖ มลี กั ษณะ เปน็ ศาสนสถานมากกวา่ ทีอ่ ยูอ่ าศัย และพบใบเสมาสมยั ทวารวดจี �านวนมาก แหลง่ โบราณคดดี อนยาง บ้านดอนเมย ต�าบลนาจิก อ�าเภออา� นาจเจริญ พบภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ และผิวเรยี บ หวั ขวานส�ารดิ มแี กลบขา้ วติดอยทู่ ี่ผวิ สันนิษฐานว่าดอนยางเคยเป็นท่อี ยู่อาศยั และทีฝ่ ังศพของชุมชน สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อ ๓,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ปมี าแล้ว๖ จากทก่ี ลา่ วมาแสดงใหเ้ หน็ วา่ พน้ื ทจ่ี งั หวดั อบุ ลราชธานแี ละจงั หวดั อา� นาจเจรญิ ในปจั จบุ นั เปน็ พนื้ ทซ่ี งึ่ มผี คู้ น อาศยั อยตู่ งั้ แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรท์ อ่ี ยสู่ บื เนอื่ งตอ่ มาจนถงึ ราว ๑,๘๐๐ – ๑,๕๐๐ ปกี อ่ น ตรงกบั ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๗ – ๑๐ โดยเฉพาะในพื้นท่ีราบลมุ่ ริมแมน่ า�้ มูล แมน่ ้�าชี ลา� เซบาย ล�าเซบก และลา� นา�้ สาขาอน่ื ๆ ชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์เหล่าน้ีบางแห่งได้ขยายตัวเป็นเมืองใหญ่ และเมื่อมีวัฒนธรรมจาก ภายนอก เชน่ วัฒนธรรมจากอินเดีย วัฒนธรรมจากฝูหนาน ทอ่ี ยู่ในดนิ แดนลมุ่ นา�้ โขงตอนล่าง เขา้ ได้ท�าให้ชมุ ชน โบราณในพน้ื ที่แถบน้ีเข้าสสู่ มยั ประวตั ิศาสตร์ ปรากฏเมืองโบราณที่ส�าคัญในพ้ืนที่ใกล้เคียง เช่น โบราณสถานบา้ นดงเมอื งเตย จงั หวัดยโสธร ซง่ึ ปรากฏ โบราณสถานและศลิ าจารกึ ซง่ึ นา่ จะมอี ายเุ กา่ กอ่ นทพ่ี ระเจา้ มเหนทรวรมนั จะขยายอา� นาจเขา้ มาในภาคอสี านของไทย และในเวลาต่อมาอ�านาจทางการเมืองของอาณาจักรเจินล่าสมัยพระเจ้ามเหนทรวรมัน จึงได้ขยายอ�านาจเข้ามา ในดินแดนแถบน้ีเมอ่ื ราว พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ ๕ กรมศิลปากร, แหล่งโบราณคดีประเทศไทย เล่ม ๔ (ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนลา่ ง) (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๓), หนา้ ๓๗๔. ๖ กรมศลิ ปากร, เมืองอบุ ลราชธานี (กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๒), หนา้ ๗๗.
อุบลราชธานีศรีวนาลัย I ๑๗ ใบเสมาสมยั ทวารวดี แหลง่ โบราณคดบี ้านงวิ้ - บ้านชาด จังหวัดอา� นาจเจรญิ เปน็ แหลง่ โบราณคดสี มยั กอ่ นประวัตศิ าสตร์ จนถึงสมยั ประวตั ศิ าสตร์ ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ อนั เป็นหลกั ฐานท่ีสา� คัญของการต้งั ชุมชนของผู้คน ตงั้ แต่สมัยโบราณของจงั หวดั อ�านาจเจริญ
๒ อบุ ลร�ชธ�นี – อำ�น�จเจริญ ในอ�ณ�จักรเจินล�่ ของพระเจ�้ มเหนทรวรมัน ในช่วงปลายของอาณาจักรฝูหนาน ได้มีอาณาจักรหนึ่ง ถอื ก�าเนดิ ขึน้ ในบรเิ วณปากแม่น้�ามลู – ลุ่มแมน่ า้� โขง คือ อาณาจกั ร เจนิ ลา่ หรอื เจนละ โดยมศี นู ยก์ ลางอยรู่ มิ แมน่ า�้ โขงบรเิ วณปากแมน่ า้� มลู – เศรษฐปุระ – วดั ภูในจา� ปาศักดิ์ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า อาณาจักรเจินล่า ถือก�าเนิดขึ้นโดยมีผู้น�าท่ีส�าคัญได้แก่ พระเจ้าภววรมันที่ ๑ (ค.ศ. ๕๕๐ – ๖๐๐) ซง่ึ อภเิ ษกสมรสกบั พระราชธดิ าของอาณาจกั ร ฝหู นาน ดงั น้นั พระองคจ์ ึงผนวกดนิ แดนของฝหู นานเข้ามาทีละน้อย โดยได้ค่อยๆ ขยายตัวลงมาตามแม่น้�าโขง และย้ายศูนย์กลางของ อาณาจักรลงมาดว้ ย ต้นกา� เนิดอาณาจกั รเจินล่า จากหลกั ฐานทปี่ รากฏทงั้ ในศลิ าจารกึ และเอกสารจนี โบราณ ทพี่ บ ทา� ใหป้ จั จบุ นั มแี นวคดิ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั กา� เนดิ ของอาณาจกั รเจนิ ลา่ ๒ แนวคดิ ทสี่ �าคัญ คือ ๑. ตน้ กา� เนดิ ของเจนิ ลา่ อยทู่ ี่ “เศรษฐปรุ ะ” หรอื “จา� ปาศกั ด”ิ์ จากนั้นจึงขยายตัวมาตามแม่นา้� โขง เข้ามายังบริเวณภาคอสี านของ ประเทศไทยในปัจจุบัน แนวคิดน้ีเป็นแนวคิดที่นักวิชาการฝรั่งเศส ได้ศึกษาคน้ คว้าขนึ้ เชน่ งานเขยี นของศาสตราจารยย์ อร์ช เซเดส์ ท่ีศึกษาโดยเปรียบเทียบระหว่างที่ตั้งของเจินล่าตามที่ปรากฏใน เอกสารจีน กับโบราณสถานซึง่ พบทจ่ี า� ปาศกั ด์ิ
อุบลราชธานศี รีวนาลัย I ๑๙ ปราสาทวดั ภเู มอื งจ�าปาศักดิ์ เป็นศาสนสถานฮนิ ดลู ัทธิไศวนกิ าย เพอ่ื เปน็ ทีป่ ระดษิ ฐาน “พระกัมรเตงชคต ภัทเรศวร” และเป็นศาสนสถานศักด์สิ ิทธิม์ าตัง้ แตพ่ ทุ ธศตวรรษที่ ๑๒
๒๐ I อุบลราชธานีศรีวนาลัย นอกจากนี้ยังศึกษาที่มาของศัพท์ท่ีจีนบันทึกไว้ โดยเฉพาะค�าว่า “หลิงกาโปวโผ” หมายถึง “ลิงคบรรพต” ซึ่งปัจจุบันลาวเรียกว่า “ภูเก้า” ส่วนเทพ “โผวตัวล่ี” ในเอกสารจีนก็น่าจะหมายถึง “ภัทเรศวร” ซ่ึงเป็นชื่อของเทพเจ้าที่บูชาท่ีวัดภู ดังน้ันจึงสรุปว่าศูนย์กลางของอาณาจักรเจินล่าต้ังอยู่ท่ี จา� ปาศักดิ์และปราสาทวัดภู ๒. ตน้ กา� เนดิ ของเจนิ ลา่ อยทู่ ภี่ าคอสี านของไทย กอ่ นทจี่ ะขยายตวั ตามลา� นา�้ โขงลงไปสจู่ า� ปาศกั ด์ิ ฯลฯ แนวคดิ นเี้ ปน็ แนวคดิ ทร่ี องศาสตราจารย์ ดร.ธดิ า สาระยา ไดน้ า� เสนอไว้ในงานเขยี นเรอื่ ง “อาณาจกั รเจนละ ประวัตศิ าสตรอ์ สี านโบราณ” รองศาสตราจารย์ ดร.ธดิ า สาระยา ช้ีใหเ้ หน็ วา่ ศนู ยก์ ลางดง้ั เดมิ ของเจนิ ลา่ นา่ จะอยทู่ บี่ รเิ วณจงั หวดั อบุ ลราชธานี – ยโสธร เพราะพบจารกึ ดงเมอื งเตยทก่ี ลา่ วถงึ กษตั รยิ ต์ ระกลู “เสนะ” เชน่ เดยี วกบั “จติ รเสน” นอกจากนย้ี งั พบศลิ าจารกึ ของ “จิตรเสน – มเหนทรวรมนั ” กระจายอยทู่ ว่ั ไปในภาคตะวนั ออกเฉยี ง เหนอื – ภาคตะวนั ออกของไทย โดยเฉพาะทจ่ี งั หวดั อบุ ลราชธานซี ง่ึ พบหลายหลกั ดว้ ยเหตนุ รี้ องศาสตราจารย์ ดร.ธิดา สาระยา จงึ สรุปวา่ “...จุดเร่ิมต้นของอ�ำนำจกำรเมืองที่แท้จริงของเจนละคือ วีรกรรมของจิตรเสนหรือมเหนทรวรมัน จำกลุม่ นำ้� มูล – ชีตอนลำ่ ง ในอสี ำนประเทศ เพรำะฉะนั้น ประวัติศำสตร์ส่วนหน่ึงของเจนละคือประวัติศำสตร์ส่วนหนึ่งของอีสำนประเทศ เชน่ เดยี วกนั ...” อย่างไรก็ตามไม่ว่าก�าเนิดของเจินล่าจะมาจากจ�าปาศักด์ิก่อนแล้วเข้ามาในอีสาน หรือก�าเนิดจาก อีสานแล้วจึงเข้าไปยังจ�าปาศักดิ์ก็ตาม เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าก�าเนิดของเจินล่าตั้งอยู่บริเวณอีสานและ ลาวใต้ ซ่งึ ในยุคท่ีไม่มพี รมแดนหากแตเ่ ป็นดินแดนส่วนหนึ่งส่วนเดยี วกัน เมอื งเศรษฐปุระ หรือ จา� ปาศกั ด์ิโบราณ ดงั ไดก้ ลา่ วแลว้ วา่ “จา� ปาศกั ด”ิ์ คอื ทตี่ ง้ั ของ “เมอื งเศรษฐปรุ ะ” กอ่ นหนา้ ทเี่ จนิ ลา่ จะเขา้ มาปกครอง ดนิ แดนบริเวณนี้ จากหลกั ฐานศลิ าจารกึ ทพ่ี บแสดงใหเ้ หน็ วา่ “จา� ปาศกั ด”์ิ นา่ เปน็ เมอื งของ “จามปา” มากอ่ น เพราะ พบศิลาจารึกอกั ษรปัลลวะภาษาสันสกฤต ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ กลา่ วถึงกษตั รยิ จ์ ามปาชื่อ “เทวนิกา” อยทู่ ีจ่ �าปาศกั ดิ์ จากน้ันเจินล่าจงึ เข้ามาปกครองดนิ แดนน้ีในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ รอ่ งรอยหลกั ฐานทส่ี า� คญั ทแี่ สดงถงึ ความยงิ่ ใหญข่ อง “เมอื งเศรษฐปรุ ะ” หรอื “จ�าปาศกั ด์ิโบราณ” คอื รอ่ งรอยแนวกา� แพงเมอื งและคนู า้� คนั ดนิ ขนาดใหญร่ ปู สเ่ี หลยี่ ม ทมี่ เี มอื งจา� ปาศกั ดิ์ในปจั จบุ นั สรา้ งทบั ซอ้ นอยู่
อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย I ๒๑ ปราสาทวัดภู ศาสนสถานลัทธิไศวนกิ ายทส่ี ถาปนาขนึ้ บนภเู ขา เพอ่ื เป็นท่ีประดษิ ฐานศิวลงึ คท์ มี่ ีนามว่า “กมั รเตงชคต ภัทเรศวร” หมายถงึ พระศวิ ะ (พระอิศวร) ซง่ึ เป็นเทพเจ้าทส่ี า� คญั ของอาณาจักรจามปา และอาณาจกั รเจินลา่
๒๒ I อุบลราชธานศี รีวนาลัย ปราสาทวัดภเู มอื งจ�าปาศักด์ิ ด้านหนา้ ออกไปเปน็ เมืองเศรษฐปุระ หรอื จา� ปาศกั ดิ์โบราณ ซ่ึงตง้ั อยรู่ ิมแม่น�า้ โขง และเปน็ ศูนย์กลางส�าคญั ของอาณาจกั รเจนิ ล่า ท่สี บื ต่อมาจนถงึ สมยั เขมรโบราณยุคเมอื งพระนคร
อุบลราชธานศี รีวนาลยั I ๒๓ นอกจากนย้ี งั มภี เู กลา้ หรอื “ลงิ คบรรพต” รวมทง้ั “ปราสาท วัดภู” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้า “ภัทเรศวร” อยู่ทางด้านทิศ ตะวันตกของเมืองสอดคลอ้ งกบั ในบันทึกของจีน ปราสาทวัดภูเป็นศาสนสถานลัทธิไศวนิกายที่สถาปนา ข้นึ บนภูเขา มหี ลักฐานที่แสดงให้เหน็ ว่ามีการทา� ใหน้ ้า� จากธรรมชาติ ไหลผ่านศิวลึงค์ “ภัทเรศวร” ท่ีต้ังอยู่ภายในปราสาทประธานเพ่ือ ความศกั ดส์ิ ิทธ์ิ ศิวลึงค์ที่มีชื่อว่า “ภัทเรศวร” เป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์ส�าคัญของ อาณาจกั รเขมรโบราณ เพราะแมแ้ ต่ในรชั กาลพระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ที่ ๑ เมื่อทรงสร้างปราสาทพระวิหารแล้วยังมีการอัญเชิญ “ภัทเรศวร” ไปประดษิ ฐานไวท้ ปี่ ราสาทพระวิหารดว้ ย ส�าหรับโบราณสถานในบริเวณปราสาทวัดภูมีการสร้างขึ้น หลายยุคหลายสมัย หลักฐานที่เก่าท่ีสุดคือ ปราสาทอิฐ ซ่ึงเป็น ปราสาทประธาน มีลักษณะเป็นปราสาทที่ก่อข้ึนเป็นห้องสี่เหล่ียม ยงั ไมม่ กี ารเพม่ิ มมุ ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะเดยี วกบั ปราสาททส่ี รา้ งขน้ึ ในสมยั สมโบร์ไพรกุก แสดงว่าปราสาทหลังนี้น่าจะเก่าแก่ที่สุดและมีอายุ อยู่ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ ส่วนปราสาทหินทรายด้านหน้าของปราสาทประธาน เป็น ส่วนท่ีน่าจะสร้างข้ึนในพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ ในศิลปะแบบนครวัด สอดคล้องกับลวดลายท่ีปรากฏบนทับหลัง (ถึงแม้จะมีความเป็น พน้ื เมอื งบา้ งกต็ าม) ภาพแกะสลกั นางอปั สรา และหนา้ บนั ของปราสาท กม็ ีลักษณะเป็นศลิ ปะแบบนครวดั หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ปราสาทวัดภูมีการใช้เป็น ศาสนสถานสบื เนือ่ งต่อมาในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ คือทวารบาลของ ปราสาทวดั ภเู ปน็ ทวารบาลในศลิ ปะแบบบายน ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ และมกี ารดัดแปลงปราสาทวดั ภูใหม้ สี ภาพเปน็ พทุ ธสถานอีกดว้ ย
๒๔ I อบุ ลราชธานศี รีวนาลัย มณฑปด้านหน้าปราสาทวดั ภูเมอื งจ�าปาศกั ดิ์ ต่อมาเมื่อกลุ่มชนลาวได้เขา้ มาต้งั เมืองจา� ปาศักดิ์ ได้มีการดัดแปลงให้ปราสาทวัดภูกลายเปน็ พทุ ธสถาน และมีการสร้างพระพทุ ธรปู ศิลปะลา้ นช้างไวภ้ ายใน
อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย I ๒๕
๒๖ I อุบลราชธานีศรีวนาลัย พระเจา้ มเหนทรวรมันกับการขยายอา� นาจเข้ามาในภาคอีสาน กษัตริย์ส�าคัญอีกพระองค์หนึ่งของเจินล่าคือ พระเจ้าจิตรเสน หรือพระนามเมื่อข้ึนครองราชย์แล้วคือ พระเจ้ามเหนทรวรมัน (ค.ศ. ๖๐๐ – ๖๑๕) ผู้เปน็ กษัตริยส์ �าคญั ซง่ึ ไดข้ ยายอาณาเขตของเจนิ ล่าให้กว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะการขยายอา� นาจเขา้ มาในภาคอสี านของไทยโดยเฉพาะตามลา� นา้� มลู และลา� นา�้ ชี ดงั ปรากฏหลกั ฐานทส่ี า� คญั คอื ศลิ าจารกึ ปากมลู ๑ – ๒ ซงึ่ จารกึ ขอ้ ความดว้ ยอกั ษรปลั ลวะ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ มเี นอ้ื ความเปน็ ภาษาสนั สกฤตวา่ นปฺตา ศฺรีสารวฺ วฺ เภามสยฺ สูนุศฺศรฺ ีวีรวรฺมฺมณะ ศกฺตฺยา นนู มฺกนษิ ฺโฐป ิ ภรฺ าตา ศฺรีภววรมฺ มฺ ณะ ศรฺ ีจติ รฺ เสนนามาย ะ ปูรวฺ ฺวมหาตลกฺษณะ ส ศฺรมี เหนทฺ รฺ วรฺมฺเมติ นาม เภเชภิเษกชมฺ ชิตฺเวมนเฺ ทศมขิล- งศฺ ิริศสเฺ ยห ภูภฤติ ลิงฺคนฺนิเวศยามาส ชยจหิ นฺ มิวาตมฺ ณะ๗ เนือ้ ความในจารกึ ถ้�าภหู มาไน ของพระเจา้ มเหนทรวรมัน รจนาเปน็ บทร้อยกรองภาษาสันสกฤต จารกึ ด้วยอักษรปัลลวะ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ กล่าวถงึ พระเจา้ มเหนทรวรมนั หรอื เจ้าชายจิตรเสน ไดส้ ถาปนาศิวลงึ ค์ไว้ ณ ทแ่ี หง่ น้ี เพ่ือเปน็ การประกาศชัยชนะของพระองค์
อุบลราชธานีศรีวนาลัย I ๒๗ จารึกทฐ่ี านศิวลึงค์ ในถ�า้ ภหู มาไน เป็นจารึกภาษาสันสกฤต จารึกด้วยอักษรปลั ลวะ ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒
๒๘ I อุบลราชธานศี รวี นาลยั ค�าแปล (แปลใหม่โดยผ้เู ขยี น) โบราณสมัยก่อนพระนคร (อาณาจักรเจินล่า) ได้ขยายอ�านาจ “พระรำชำผู้ทรงพระนำมว่ำ “ศรีจิตรเสน” ทรงเป็น เขา้ มาปกครองลมุ่ นา�้ มลู และลมุ่ นา�้ ชี ดงั นนั้ พนื้ ทจี่ งั หวดั อบุ ลราชธานี พระนัดดำของ “ศรีสรรวเภามะ” ทรงเป็นพระรำชโอรสของ จงึ น่าจะตกอยภู่ ายใต้การปกครองของอาณาจกั รเจนิ ล่าด้วย “ศรวี รี วรมนั ” แมจ้ ะเปน็ พระภำรดำกนษิ ฐำของ “ศรภี ววรมนั ” แตก่ ็ ไดร้ บั อภิเษกเป็นพระรำชำด้วยศกั ดิ (อำ� นำจ) ท่มี ำกมำย มพี ระนำม ปจั จบุ นั ไดม้ กี ารคน้ พบศลิ าจารกึ ของพระเจา้ มเหนทรวรมนั ภำยหลงั วำ่ “ศรมี เหนทรวรมนั ” เมอื่ ทรงพชิ ติ เทศะ(ดนิ แดน) ทงั้ หลำย ในดนิ แดนอสี านใต–้ ภาคตะวนั ออกของไทยจา� นวนมาก ดงั เชน่ ไดแ้ ก่ ไดแ้ ลว้ ทรงสถำปนำลงิ คข์ องพระคริ ศิ (พระศวิ ะ) เพอื่ เปน็ เครอื่ งหมำย จารกึ ช่องสระแจง (จงั หวดั สระแก้ว) จารกึ ผนังถ้า� เปด็ ทองด้านนอก แห่งชยั ของพระองค์ไวบ้ นภเู ขำแห่งน”ี้ ๘ และจารึกผนังถ�้าเป็ดทอง (จังหวัดบุรีรัมย์) จารึกวัดศรีเมืองแอม เนอ้ื ความในจารกึ หลกั นแ้ี ละหลกั อนื่ ๆ ทมี่ ขี อ้ ความเหมอื นกนั (จังหวัดขอนแก่น) จารึกปากน้�ามูล ๑–๒ (จังหวัดอุบลราชธานี) แสดงใหเ้ หน็ วา่ พระเจา้ มเหนทรวรมนั ซงึ่ มพี ระนามเดมิ วา่ “จติ รเสน” จารกึ วดั สุปัฏนาราม ๑ (จังหวัดอบุ ลราชธานี) เป็นตน้ ได้อ้างสิทธิในการปกครองดินแดน โดยการอ้างถึงการสืบสิทธิ ทางการปกครองของกษตั รยิ ต์ า่ งๆ โดยเรมิ่ กลา่ ววา่ ทรงเปน็ พระนดั ดา จารึกเหล่านี้พบตั้งแต่บริเวณปากแม่น้�ามูล ในเขตจังหวัด ของ “พระเจา้ ศรสี รรวเภามะ” ทรงเปน็ พระโอรสของ “ศรีวรี วรมนั ” อุบลราชธานี มาตามล�าน�้ามูล–ล�าน�้าชี จนถึงเขตจังหวัดสระแก้ว และเป็นพระภารดาของ “พระเจา้ ศรภี ววรมัน” ซ่ึงเป็นกษตั ริย์แหง่ แสดงให้เห็นว่าดินแดนบริเวณน้ีอาจจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของ เจนิ ลา่ อาณาจกั รเจนละของพระเจา้ มเหนทรวรมนั การประกาศวา่ พระนามเดมิ คอื “จติ รเสน” เปน็ การแสดงให้ เห็นว่า พระนาม “จิตรเสน” นา่ จะเป็นพระนามทรี่ ู้จกั กนั ดีในพน้ื ท่ี นอกจากนี้ยังพบศิลาจารึกของพระเจ้ามเหนทรวรมัน แห่งน้ี (ดว้ ยเคยทรงเป็นแม่ทพั มายงั ดนิ แดนเหลา่ น้กี ่อนหนา้ น้แี ล้ว) ทางด้านทิศใต้ คือจารึกพบท่ีจังหวัดกระแจะ ในประเทศกัมพูชา ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งประกาศการสบื สทิ ธอิ นั ชอบธรรมของพระองค์โดยอา้ ง จารกึ ต่างๆ เหล่าน้ี แสดงใหเ้ ห็นถงึ ขอบเขตอา� นาจทางการเมอื งของ พระนามเดมิ พระเจา้ มเหนทรวรมนั ได้เป็นอยา่ งดี จากนั้นจึงประกาศว่าดินแดนเหล่านี้เป็นของพระองค์ ดว้ ยการสร้างศิวลงึ ค์ไว้เปน็ สัญลักษณ์ (พรอ้ มดว้ ยศิลาจารกึ ) แหลง่ โบราณคดที สี่ า� คญั ซง่ึ เกยี่ วเนอ่ื งกบั พระเจา้ มเหนทรวรมนั ข้อความในจารึกของพระเจ้าศรีมเหนทรวรมัน (จิตรเสน) ซงึ่ พบในบรเิ วณพน้ื ทขี่ องจงั หวดั อบุ ลราชธานี ไดแ้ ก่ บรเิ วณปากแมน่ า้� มลู จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ อาณาจักรเขมร และปากโดมน้อย ซึ่งพบจารึกของพระเจ้ามเหนทรวรมัน รวมทั้ง ถา้� ภหู มาไน ในอทุ ยานแหง่ ชาตแิ กน่ ตะนะ ซง่ึ พบรอ่ งรอยโบราณสถาน จารกึ ถ�้าภหู มาไน จารกึ ทฐ่ี านศิวลงึ ค์ ของพระเจา้ มเหนทรวรมนั หลกั ฐานเหลา่ นแ้ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสา� คญั ของอบุ ลราชธานี ในสมัยพระเจา้ มเหนทรวรมันไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ๗ กรมศิลปากร, จารกึ ในประเทศไทย เลม่ ๑ (กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๙), หน้า ๑๖๓. ๘ ค�าแปลในที่นี้แปลใหม่โดยผเู้ ขยี น.
อุบลราชธานศี รีวนาลยั I ๒๙ จารกึ ปากมลู และจารกึ อ่นื ๆ ของพระเจ้ามเหนทรวรมนั ซง่ึ ปจั จบุ นั น�ามาจัดแสดงอยทู่ ่ี พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ อุบลราชธานี
๓๐ I อุบลราชธานศี รีวนาลยั เจนิ ลา่ หลังรัชกาลพระเจา้ มเหนทรวรมนั ในสมัยของพระเจ้าอีศานวรมัน (ค.ศ. ๖๑๕ – ๖๓๕) โอรสของพระเจ้ามเหนทรวรมันได้ผนวกดินแดน ฝูหนานเข้ามารวมกับเจินล่าได้ส�าเร็จ เรื่องราวเก่ียวกับอาณาจักรเจินล่าสมัยพระเจ้าอีศานวรมัน ปรากฏหลักฐาน ในเอกสารจนี “สุยซู” หรือ พงศาวดารสมัยราชวงศ์สุย ค�าว่า “เจินล่า” เป็นช่ือที่ปรากฏในเอกสารจีนต้ังแต่สมัยราชวงศ์สุย หนังสือพงศาวดารสุยซู《隋书》 เป็นเล่มแรกที่มีการบันทึกช่ือ 真腊 “เจินล่า” โดยบันทึกไว้ว่าในสมัยพระจักรพรรดิสุยหยางตี้หรือสุยหยางกว่าง รัชสมัยต้าเย่ ปีที่สอง(隋大业二年隋炀帝(隋杨广)หรือ ค.ศ. ๖๐๖ ราชทูตจากประเทศเจินล่าไปถวาย เครอ่ื งราชบรรณาการ และในหนงั สอื สยุ ซนู ยี้ งั ปรากฏคา� อธบิ ายเกยี่ วกบั อาณาจกั รเจนิ ลา่ ไวอ้ ยา่ งละเอยี ด อนั แสดงถงึ ความสัมพันธ์กับประเทศจีนเป็นอย่างดี (อ้างอิงจากหนังสือสุยซู ม้วนท่ี ๘๒)《隋书 列传第四十七》ดังที่ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์นวรตั น์ ภกั ดคี า� แปลมาน�าเสนอตอ่ ไปน้ี “...(เจนิ ลำ่ ) อยทู่ ำงทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใตข้ องหลนิ อี้(จำมปำ) เดมิ เปน็ เมอื งในกำรปกครองของอำณำจกั รฟนู นั หำกเดินทำงดว้ ยเรือต้องใชเ้ วลำหกสบิ วันโดยทำงทศิ ใต้อยู่ตดิ กบั เมอื งเชอฉวีกวว๋ั ทศิ ตะวนั ตกมเี มืองจูเจยี งกวัว๋ มกี ษตั รยิ ต์ ระกลู ซำลี่ ชอื่ จอื้ ตวั ซอื นำ่ (จติ รเสน) โดยปฐมกษตั รยิ ์ไดส้ ถำปนำอำณำจกั รขนึ้ จนเขม้ แขง็ มำจนถงึ สมยั จอ้ื ตวั ลนี่ ำ่ ถงึ ไดก้ ลนื อำณำจกั รฟนู นั เมอ่ื สนิ้ พระชนมล์ งบตุ รทชี่ อ่ื อเี สอ่ นำ่ (อศี ำน) ไดส้ บื ตำ� แหนง่ ตอ่ มำ ไดต้ งั้ เมอื ง ช่ือวำ่ เมืองอเี ส่อนำ่ (อศี ำนปรุ ะ) ภำยในกำ� แพงเมืองมสี องหมนื่ กว่ำครวั เรอื น (หมำยถงึ ทง้ั อำณำจกั ร-ผูแ้ ปล) ในเมืองมีพระรำชวงั ใหญ่และ เปน็ ทว่ี ำ่ รำชกำรของกษตั รยิ ์ และมเี มอื งทง้ั สน้ิ สำมสบิ เมอื งในเมอื งมนี บั พนั ครวั เรอื น ในแตล่ ะเมอื งมเี จำ้ เมอื ง ขนุ นำง ดูแลเหมือนเมืองหลินอ้ี กษัตรยิ อ์ อกวำ่ รำชกำรสำมวันครงั้ โดยประทบั น่ังอยบู่ นตั่งไม้หอมประดับอญั มณี ข้ำงบนมีฉัตรกำง ฉัตรนั้น มีไม้กฤษณำเปน็ กำ้ นมงี ำช้ำงและแผน่ ทองกนั้ สณั ฐำนคล้ำยหอ้ งขนำดยอ่ ม แสงทองอร่ำมตำ เบอ้ื งหน้ำมกี ระถำง กำ� ยำนท�ำด้วยทองคำ� มมี หำดเล็กสองคนคอยเฝำ้ แหน ทกุ เดือนหำ้ ถึงเดอื นหกของแตล่ ะปีธรรมชำติจะเกิดอำเพศ ดงั นนั้ จงึ ใชห้ มูขำว วัวขำว แพะขำวไปเซน่ สรวง ทศี่ ำลนอกกำ� แพงเมืองทำงทศิ ตะวันตก มิฉะน้ันจะถอื วำ่ พืชพนั ธ์ธุ ัญญำหำรไม่สมบูรณ์ ปศุสตั วท์ ง้ั หลำยอำจล้มตำย เสยี หำย ผคู้ นอำจเกิดโรคระบำด ทีใ่ กล้ๆ กบั เมอื งนน้ั มีภูเขาหลงิ กาโปวโผว (ลงิ คบรรพต) บนเขำมีศำลเจำ้ โดยมที หำรเฝ้ำรกั ษำหำ้ พนั นำย ทำงทศิ ตะวนั ออกมเี ทพชอื่ โผวตวั ลี่(ภัทเรศวร) ทตี่ อ้ งใชเ้ นอื้ คนเซน่ สรวง โดยกษตั รยิ จ์ ะฆำ่ คนเพอื่ ใชใ้ นกำรเซน่ สรวง ทุกปี และทำ� พธิ ีเซน่ ในคืนนนั้ โดยมีทหำรเฝำ้ ท่ีศำลนพ้ี นั นำย ซง่ึ กำรเซน่ นเ้ี หมอื นกับกำรเซน่ ผี โดยมำกแลว้ จะมีพธิ ี พทุ ธประกอบ โดยมีนกั พรตประกอบพธิ ี พระและนักพรตจะยืนประจำ� ในหอแหง่ น้นั ตำ้ เยป่ ที สี่ องไดส้ ง่ ทตู เขำ้ มำถวำยเครอื่ งรำชบรรณำกำร ทำงพระจกั รพรรดทิ รงรบั และตอบแทนเครอื่ งรำช- บรรณำกำรนน้ั อยำ่ งถงึ ขนำด แต่หลงั จำกนี้ก็ขำดส่งไป...”
อบุ ลราชธานีศรีวนาลัย I ๓๑ จารึกฐานศวิ ลงึ คข์ องพระเจา้ มเหนทรวรมันจากถ�า้ ภูหมาไน จารกึ ด้วยอกั ษรปลั ลวะ ภาษาสนั สกฤต ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ปจั จุบนั นา� มาจดั แสดงไว้ในพพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ อุบลราชธานี
๓๒ I อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย ตอ่ มาในเอกสารสมยั ราชวงศถ์ งั ปรากฏหลกั ฐานการกลา่ วถงึ ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๙ เจนิ ลา่ บกและเจนิ ลา่ นา�้ ไดก้ ลบั มารวมกนั อกี ครงั้ “เจนิ ลา่ ” ใน “ถงั ซ”ู 唐书 หรอื พงศาวดารราชวงศถ์ งั เรยี ก “เจนิ ลา่ ” จากหลักฐานท่ีกล่าวมาแสดงให้เห็นว่า หลังจากพระเจ้า วา่ ประเทศเจนิ ลา่ รวมทง้ั เรยี กวา่ จเี๋ มย้ี หรอื เกอ๋ เมยี่ ซงึ่ ตรงกบั คา� วา่ เกมฺ ร (ในภาษาเขมรสมัยก่อนพระนคร หรือ เขมร) ดงั มีเนือ้ ความ อสี านวรมนั สวรรคต พระเจา้ ภววรมนั ที่ ๒ ไดข้ น้ึ ครองราชย์(ค.ศ. ๖๓๙ ต่อไปน้ี – ๖๕๔) เมอ่ื พระเจา้ ภววรมนั ที่ ๒ สวรรคตแลว้ พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๑ ซึ่งเป็นพระราชโอรสได้ข้ึนครองราชย์โดยสร้างราชธานีอยู่ท่ี “...อำณำจักรเจินล่ำ ปีเจินกวำนที่สอง ได้ส่งทูตมำถวำย องั กอร์โบเรย็ บรรณำกำรพรอ้ มกบั เมอื งหลนิ อ้ี พระเจำ้ ไทจ้ งทรงปติ ิ แลทรงเหน็ วำ่ เดินทำงมำไกลอำจเหน็ดเหน่ือยและไม่สบำยจำกกำรเดินทำงจึง หลงั จากนน้ั ในปี ค.ศ. ๖๘๑ พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๑ สวรรคต พระรำชทำนของตอบแทนอยำ่ งถงึ ขนำด คนทำงใตเ้ รยี กอำณำจกั ร โดยไมม่ รี ชั ทายาท มเหสขี องพระองคน์ ามวา่ ชยั เทวคี รองราชยต์ อ่ มา เจนิ ล่ำว่ำเมอื งจเ๋ี มยี้ กวว๋ั (เขมร-ผแู้ ปล) แต่หลังจากนั้นได้มีการแย่งชิงราชสมบัติในระหว่าง ค.ศ. นับแต่ปีเสินหลงเป็นต้นมำ เจินล่ำได้แบ่งออกเป็นสอง ๗๑๐ – ๗๑๕ ท�าให้อาณาจักรเจินล่าก็แตกแยกเป็น เจินล่าบก ครงึ่ หนง่ึ ทำงใตใ้ กลท้ ะเล คอื ตวั ผวั เจอ้ เรยี กวำ่ เจนิ ลำ่ นำ้� อกี ครง่ึ หนงึ่ มศี นู ยก์ ลางอยทู่ เ่ี ศรษฐปรุ ะ ในจา� ปาศกั ด์ิ และเจนิ ลา่ นา�้ มศี นู ยก์ ลาง อยทู่ ำงเหนอื เตม็ ไปดว้ ยเขำ เรยี กวำ่ เจนิ ลำ่ บก เจนิ ลำ่ บกเรยี กอกี ชอ่ื วำ่ อยู่ในดนิ แดนฝหู นานเดิมคอื ปากแมน่ �้าโขงและดินแดนท่ีติดทะเล เหวินตำน ต่อมาในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๘ ประเทศเจินล่า ในสมยั พระจกั รพรรดถิ งั เกำจง พระนำงจกั รพรรดนิ อี เู่ จอ๋ เทยี น ได้แตกแยกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย ประจวบกับการรุกรานของชวา พระจักรพรรดถิ งั เสวยี นจงล้วนสง่ ทูตมำถวำยบรรณำกำรทั้งส้นิ ท�าให้อาณาจักรเจินล่าน�้าต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชวาจนถึง ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๙จนกระทงั่ พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๒ เสดจ็ กลบั จากชวา อำณำเขตของเจินล่ำน�้ำจำกเหนือใต้ออกตกรวมแปดร้อยลี้ มาสร้างราชธานีใหม่ทางเหนือของทะเลสาบเขมร ประวัติศาสตร์ ตะวนั ตกตดิ เปนิ ถวั เหลยี งโจว ตะวนั ตกตดิ ประเทศตวั หลวั โปวตก่ี วว๋ั กัมพชู าจึงเขา้ สยู่ คุ สมยั พระนคร (ทวำรวดี?) ทำงใตต้ ิดทะเลน้อย เหนือติดเจนิ ล่ำบก รอ่ งรอยหลกั ฐานเกยี่ วกบั อาณาจกั รเจนิ ลา่ หลงั สมยั พระเจา้ กษตั รยิ ป์ ระทบั อยทู่ โี่ ผวหลวั ซอ่ื ปำ๋ (พำลำทติ ยปรุ ะ?) ทำงดำ้ น มเหนทรวรมัน ราวรัชกาลพระเจ้าภววรมันที่ ๒ (ศิลปะเขมรแบบ ตะวนั ตกมเี มอื งเลก็ ๆ เมอื งหนง่ึ มชี ำ้ งมำก รชั สมยั หยวนเหอปที แี่ ปด ไพรเกมง) ปรากฏในจงั หวัดอุบลราชธานดี ้วยหลายแหง่ เชน่ ทตู ชอ่ื หล่หี มอน่ำเป็นตน้ ไดม้ ำถวำยเครื่องรำชบรรณำกำร...” แหล่งโบราณคดีวัดแก่งตอย อ�าเภอดอนมดแดง จังหวัด จากหลกั ฐานในเอกสารจีนดงั กล่าว แสดงใหเ้ หน็ ว่า ในสมยั อบุ ลราชธานี ตงั้ อยฝู่ ง่ั ตะวนั ตกของลา� น้า� เซบาย ตรงข้ามกบั ชุมชน ราชวงศ์ถัง รัชกาลพระจักรพรรดินอี เู่ จอ๋ เทยี น ปเี สินหลง (ระหว่าง โบราณบ้านโพนเมือง อ�าเภอเข่ืองใน จังหวัดอุบลราชธานี ซ่ึงพบ ค.ศ. ๗๐๕ - ๗๐๗) อาณาจักรเจนิ ล่าได้แบ่งออกเป็นสองอาณาจักร โบราณสถานประกอบด้วยตวั อาคารทส่ี ร้างดว้ ยอิฐ ๒ หลัง ศิลาแลง คือ ทางเหนือเป็นเจินล่าบก (หรืออีกช่ือว่าอาณาจักรเหวินตาน) ๑ หลงั และชนิ้ สว่ นสถาปตั ยกรรมสว่ นหนิ ทราย ไดแ้ ก่ เสาประดบั เมืองหลวงต้ังอยู่ในดินแดนของประเทศลาวในปัจจุบันและทางใต้ กรอบประตู และโสมสตู รหวั มกร ๒ ช้นิ ศิลปะเขมรสมยั ไพรเกมง เป็นเจินลา่ น้า� เมอื งหลวงคือ โผวหลวั ถีป๋า (พลาทติ ยปุระ) แตต่ ่อมา ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๓๙ ๙ กรมศลิ ปากร, เมอื งอบุ ลราชธานี (กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๒), หน้า ๙๗.
อุบลราชธานีศรวี นาลัย I ๓๓ แหลง่ โบราณคดีในวัฒนธรรมเขมรโบราณ สมัยก่อนพระนคร ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๔ วัดแกง่ ตอย อ�าเภอดอนมดแดง จงั หวัดอบุ ลราชธานี
๓๔ I อบุ ลราชธานศี รีวนาลัย โบราณวตั ถสุ า� คญั จากวัดแก่งตอย ได้แก่ เสาประดบั กรอบประตู และโสมสูตร หัวมกร ศลิ ปะเขมร สมยั ไพรเกมง ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๓ แสดงให้เหน็ ถึงความส�าคญั ของเมืองอบุ ลราชธานี ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๓ พบท่ีแหลง่ โบราณคดีวัดแก่งตอย อา� เภอดอนมดแดง จงั หวัดอุบลราชธานี
อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั I ๓๕ ทบั หลังสมยั ถาลาบรวิ ตั ร พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ปัจจุบนั อยทู่ ีว่ ัดสปุ ฏั นาราม
๓๖ I อุบลราชธานีศรีวนาลยั
อุบลราชธานีศรวี นาลัย I ๓๗ แหล่งโบราณคดีวดั แกง่ ตอย จงั หวัดอบุ ลราชธานี เป็นแหลง่ โบราณคดีท่สี �าคัญแหง่ หน่งึ ในจังหวัดอบุ ลราชธานี เน่ืองจากพบรอ่ งรอยของโบราณสถานและโบราณวัตถชุ ้ินส�าคัญ จ�านวนมาก ไดแ้ ก่ เสาประดับกรอบประตู และทอ่ โสมสูตร หัวมกร ซึง่ เปน็ ศิลปะเขมรสมยั ไพรเกมง ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ เปน็ หลักฐานทางโบราณคดที ่สี า� คัญซง่ึ แสดงถึงความส�าคญั ของ ชุมชนโบราณในจังหวดั อุบลราชธานี เมอ่ื ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ เป็นต้นมา
๓๘ I อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย วัดสระแก้ว อ�าเภอพิบูลมังสาหาร จงั หวดั อบุ ลราชธานี พบทบั หลงั สมยั ไพรเกมง รวมทั้งศิลาจารึกวัดสระแก้ว ซึ่งจารึกด้วย อกั ษรสมยั หลังปลั ลวะ ภาษาสันสกฤต ราว พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๔ มขี อ้ ความกลา่ วถงึ “มหปิ ตวิ รมนั ”๑๐ ซ่งึ น่าจะเป็นพระนามของ เจ้าเมืองหรือกษัตริย์ที่ปกครองดินแดน บรเิ วณนี้ จากร่องรอยหลักฐานท่ีกล่าวมา แสดงใหเ้ หน็ วา่ อทิ ธพิ ลของอาณาจกั รเจนิ ลา่ หรือ เขมรโบราณสมัยก่อนพระนครได้มี อทิ ธพิ ลตอ่ ดนิ แดนจงั หวดั อบุ ลราชธานอี ยา่ ง มากในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๓ แต่ ต่อมาเมื่ออาณาจักรเจินล่าได้เส่ือมอ�านาจ ลงเปน็ อาณาจกั รเจนิ ลา่ บก และเจนิ ลา่ นา้� ใน พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๔ ทา� ใหด้ นิ แดนแถบน้ี ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมอีกสายหนึ่งซึ่ง เป็นท่ีรู้จักกันในเวลาต่อมาว่า วัฒนธรรม ทวารวดีในภาคอีสาน ซึ่งรับอิทธิพลมาจาก ภาคกลางของประเทศไทย จารกึ วัดสระแก้ว จังหวัดอุบลราชธานี เปน็ จารกึ อักษรปลั ลวะ ภาษาสันสกฤต ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ กล่าวถึงนามของกษตั รยิ ผ์ มู้ พี ระนามว่า “มหิปติวรมัน” ๑๐ กรมศลิ ปากร, จารกึ ในประเทศไทย เลม่ ๑ (กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๒๙), หน้า ๒๘๔.
อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I ๓๙ ทับหลังจากวัดสระแกว้ จังหวดั อบุ ลราชธานี เปน็ ทับหลังศลิ ปะเขมรแบบไพรเกมง ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓
๓ อุบลร�ชธ�นี – อำ�น�จเจริญ ดนิ แดนแห่งทว�รวดีอีส�น นับต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ เป็นต้นมา อาณาจักรเจินล่าซ่ึงเคยมีความเจริญรุ่งเรืองได้แตกแยกเป็น ๒ อาณาจกั ร คอื อาณาจกั รเจนิ ลา่ บก ซง่ึ มศี นู ยก์ ลางอยแู่ ถบเมอื งจา� ปาศกั ดเิ์ ดมิ และเจนิ ลา่ นา้� ซงึ่ อยบู่ รเิ วณปากแมน่ า้� โขง หรือดินแดนอาณาจกั รฝูหนานเดมิ ท�าให้อิทธิพลของวัฒนธรรมเจินล่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ลดบทบาทลง ในระยะเวลาต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ เป็นต้นมา ถึงราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ เป็นช่วงเวลาท่ีวัฒนธรรม ทวารวดจี ากภาคกลางของไทยไดข้ ยายอทิ ธพิ ลเขา้ มาในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มากขนึ้ และไดม้ คี วามส�าคญั ขนึ้ มา แทนท่ีวัฒนธรรมเจินล่า จนท�าให้เกิดวฒั นธรรมแบบใหมท่ ่ีมกี ารผสมผสานทางวฒั นธรรมเกดิ เป็นรูปแบบท่ีเรียกว่า “ทวารวดใี นอสี าน” ซงึ่ มีความรุ่งเรอื งในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือต่อมา ร่องรอยการขยายตวั ของวัฒนธรรมทวารวดีในภาคอสี านนนั้ ขยายมาตามแนวล�าน�้าทีส่ า� คญั คอื แมน่ า้� ชี แมน่ า้� มลู และลา� นา้� สาขาอนื่ ๆ โดยเฉพาะในแถบจงั หวดั อบุ ลราชธานแี ละจงั หวดั อา� นาจเจรญิ นน้ั พบวา่ ในชมุ ชนหลายแหง่ มีการอยู่อาศัยสืบเนื่องจากความเป็นชุมชนโบราณในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สืบเน่ืองต่อมาจนถึงวัฒนธรรมแบบ ทวารวดีในภาคอีสาน เช่น แหล่งโบราณคดีบ้านงว้ิ บา้ นชาด จงั หวดั อ�านาจเจรญิ เป็นตน้ วฒั นธรรมแบบทวารวดอี สี านในแถบจงั หวดั อบุ ลราชธานแี ละจงั หวดั อา� นาจเจรญิ ปรากฏหลกั ฐานสบื เนอื่ งมา จนถงึ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๕วฒั นธรรมเขมรโบราณสมยั พระนครจงึ แผน่ อทิ ธพิ ลเขา้ มาแทนทวี่ ฒั นธรรมทวารวดีในอสี าน
อุบลราชธานีศรวี นาลยั I ๔๑ ใบเสมาสมยั ทวารวดี ปจั จบุ นั อยู่ทวี่ ัดสปุ ฏั นาราม อา� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี จังหวัดอบุ ลราชธานี เป็นรปู เสาธรรมจักร สมยั ทวารวดี ซึง่ เป็นหลักฐานถึงการเป็นชมุ ชน สมยั ทวารวดีในพ้นื ทจ่ี ังหวดั อบุ ลราชธานี
๔๒ I อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย เสมาทวารวดอี สี านในอุบลราชธานีและอ�านาจเจริญ ในชว่ งทภ่ี าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื เปลยี่ นผา่ นเขา้ สสู่ มยั วฒั นธรรมทวารวดนี น้ั พน้ื ทบ่ี รเิ วณจงั หวดั อบุ ลราชธานี และจังหวัดอ�านาจเจริญ ได้ปรากฏร่องรอยหลักฐานทางวัฒนธรรมในสมัยน้ีด้วย โดยเฉพาะใบเสมาหินทราย สมยั ทวารวดี ซง่ึ พบเปน็ จ�านวนมากในพื้นทจี่ งั หวัดอบุ ลราชธานแี ละจงั หวดั อ�านาจเจรญิ “ใบเสมาทวารวด”ี ในอีสานมักเรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ ว่า “หินตั้ง” เหตุที่นิยมเรียกว่า “เสมา” เนื่องจากมี ลักษณะคลา้ ยใบเสมาทป่ี ักล้อมอโุ บสถสมยั สโุ ขทยั และอยธุ ยา สว่ นทเ่ี รียกว่าหินตงั้ เนอื่ งจากเห็นวา่ แตกต่างจาก การท�าเสมาล้อมอุโบสถในช้ันหลัง อีกทั้งมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะท�าหน้าท่ีเป็นเพียงใบเสมา แต่ดูคล้ายหินตั้ง ในวฒั นธรรมหนิ ใหญ่ – หนิ ตง้ั และจากทพี่ บวา่ แผน่ หนิ เหลา่ นมี้ กี ารคน้ พบเปน็ จา� นวนมากจงึ นา่ จะไม่ได้ใชห้ นา้ ทเี่ พยี ง การเปน็ ใบเสมาลอ้ มอโุ บสถเท่าน้ัน๑๑ ส�าหรับหนา้ ที่ของใบเสมาทวารวดีอีสานนั้นนา่ จะมหี นา้ ทีห่ ลายอยา่ ง๑๒ คอื ๑. ส�าหรับแสดงเขตศกั ดส์ิ ทิ ธทิ์ างศาสนา หรือเคร่ืองหมายของสถานทศ่ี กั ด์สิ ทิ ธ์ิ ไดแ้ ก่ เขตศักด์ิสิทธิ์อันเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาโดยตรง เช่น การปักล้อมรอบอาคารหรือปูชนียสถาน ในพระพุทธศาสนา ซึ่งปรากฏหลักฐานในแทง่ หนิ วัดศรธี าตุประมญั ชา อา� เภอศรธี าตุ จังหวัดอดุ รธานี มขี อ้ ความวา่ “...สถำปนำศลิ ำน้ีให้เปน็ สมี ำ...” แสดงใหเ้ หน็ วา่ ในสมยั ทวารวดีมีการใชเ้ สาหินปักเป็นเสมาดว้ ย เขตศักดิ์สิทธิ์ท่ีเป็นพ้ืนท่ีเก่ียวกับการปลงศพ ปรากฏหลักฐานว่า เนินดินท่ีเก่ียวกับการปลงศพหลายแห่ง มีใบเสมาปกั อยู่ เชน่ เนินดนิ บ้านตาดทอง อ�าเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เปน็ ตน้ ๒. ส�าหรับเปน็ บญุ กุศลของผู้สรา้ งและผวู้ ายชนม์ ปรากฏหลักฐานในจารกึ บนใบเสมา มีข้อความกลา่ วถึง การอทุ ิศบญุ กศุ ลใหก้ บั ตวั ผสู้ ร้างและผู้วายชนม์ ๓. ส�าหรับเป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์ท่ีสมบูรณ์ในตัว กล่าวคือ ใบเสมาขนาดใหญ่ท่ีมีการแกะสลักรูปพระพุทธรูป น่าจะอยู่ในฐานะศกั ดิส์ ทิ ธทิ์ เี่ ทียบไดก้ บั พระพุทธเจา้ โดยตรง โดยเฉพาะในจังหวัดอุบลราชธานีและอ�านาจเจริญนั้น ได้มีการค้นพบใบเสมาสมัยทวารวดีจ�านวนมาก ตามลมุ่ นา้� ชแี ละสาขาในบรเิ วณอา� เภอเมอื งอา� นาจเจรญิ อา� เภอลอื อา� นาจ และอา� เภอหวั สะพาน จงั หวดั อา� นาจเจรญิ เปน็ ต้น ๑๑ ร่งุ โรจน์ ธรรมรงุ่ เรอื ง, ทวารวดีในอสี าน (กรงุ เทพฯ: มตชิ น, ๒๕๕๘), หน้า ๑๙๑. ๑๒ เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ ๑๙๓.
อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I ๔๓ ใบเสมาสมัยทวารวดี แหลง่ โบราณคดีเมอื งงิ้ว บ้านชาด อา� เภอหวั สะพาน จงั หวัดอา� นาจเจริญ เปน็ หลกั ฐานทีส่ �าคญั ของชมุ ชนสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ ในจังหวัดอ�านาจเจริญ
๔๔ I อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั ดังปรากฏหลักฐานของใบเสมาสมัยทวารวดีกระจายตัว ๒. แหล่งโบราณคดีทวารวดีอีสานท่ีราบล�าเซบายและ อยู่ตามวัดต่างๆ หลายวัด เช่น วัดโพธิ์ อ�าเภอเมืองอ�านาจเจริญ ลา� เซบก อยรู่ ะหวา่ งอา� เภอหวั สะพาน อา� เภอเมอื งจงั หวดั อา� นาจเจรญิ วดั โพธศิ์ ลิ า อา� เภอลอื อา� นาจวดั ดงเฒา่ เกา่ อา� เภอหวั สะพานจงั หวดั อ�าเภอดอนมดแดงและอ�าเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี อ�านาจเจรญิ แหล่งโบราณคดีโนนเมอื ง บา้ นกุดซวย ต�าบลคา� พระ มแี หล่งโบราณคดสี า� คัญได้แก่ อา� เภอหัวสะพาน จงั หวดั อ�านาจเจรญิ เป็นตน้ แหลง่ โบราณคดที ม่ี ี หลกั ฐานวฒั นธรรมสมยั ทวารวดใี นจงั หวดั อบุ ลราชธานแี ละอา� นาจเจรญิ แหลง่ โบราณคดวี ดั ดงเฒา่ เกา่ บา้ นหนองเรอื ตา� บลนาหมอมา้ จดั แบ่งออกไดด้ งั ต่อไปนี้ อา� เภอเมอื ง จงั หวดั อา� นาจเจรญิ ตง้ั อยรู่ มิ หว้ ยนาหมอมา้ ที่ไหลไปลง ล�าเซบาย เป็นแหล่งโบราณคดีท่ีมีความส�าคัญซึ่งพบพระพุทธรูป ๑. แหลง่ โบราณคดีทวารวดอี ีสานทร่ี าบฝงั่ ซา้ ยของแม่น�้าชี หินทรายสมัยทวารวดี และใบเสมาทวารวดี นอกจากนี้ในพ้ืนที่ ได้แก่พ้ืนท่ีแถบอ�าเภอเข่ืองในและอ�าเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัด ใกลเ้ คียงยงั มเี นนิ ดนิ ขนาดใหญ่เรียกวา่ “ภดู นิ ” ซง่ึ พบโครงกระดกู อุบลราชธานี มแี หล่งโบราณคดีทส่ี �าคญั ดงั นี้ และเศษเคร่ืองปั้นดินเผาสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์๑๕ แหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งใหญ่ ต�าบลบ้านไทย อ�าเภอเข่ือง แหลง่ โบราณคดบี า้ นเปอื ยหวั ดง ตา� บลเปอื ย อา� เภอลอื อา� นาจ ใน จงั หวดั อุบลราชธานี เป็นเนินดินขนาดใหญ่ มีรอ่ งรอยคนู �้าคนั ดนิ จังหวัดอา� นาจเจรญิ เปน็ แหลง่ โบราณคดีทมี่ ีขนาดใหญ่ มกี ลุม่ เสมา ล้อมรอบ ท่ีวัดโพธิ์ศรีมีช้ินส่วนใบเสมา ฐานประติมากรรมและ ปกั อยเู่ ปน็ กลมุ่ ๆรวม๓กลมุ่ คอื กลมุ่ ที่๑อยทู่ เ่ี นนิ ดนิ ดา้ นทศิ ตะวนั ออก พระพุทธรูปหลายองค์ องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สมัย ของวดั โพธิศ์ ิลา อายรุ าวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๓ ถือเป็นใบเสมาท่เี กา่ แก่ ทวารวดี๑๓ ท่ีสุดที่สามารถก�าหนดอายุได้ในพื้นท่ีแถบนี้ กลุ่มท่ี ๒ อยู่บริเวณ ลาดเนนิ วดั เรไร เปน็ กลมุ่ ใบเสมาทม่ี รี ปู ทรงแตกตา่ งกนั ถงึ ๓ แบบ คอื แหล่งโบราณคดีบ้านชีทวน ต�าบลชีทวน อ�าเภอเขื่องใน เสมาทรงใบหอก ใบเสมาแบบแทง่ หนิ ทรงสเ่ี หลย่ี มลบมมุ และใบเสมา จังหวัดอุบลราชธานี มีเนินดินซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดศรีวิไล พบเสมา แบบแทง่ หินแปดเหลยี่ ม กลมุ่ ที่ ๓ อย่ดู า้ นหลงั โรงเรยี นบ้านเปือย หินทรายขนาดเล็กและช้ินส่วนพระพุทธรูปขนาดเล็กสลักจาก ปักบนท่ีราบ นอกจากนี้ในบริเวณดังกล่าวมีการพบร่องรอยชิ้นส่วน หินทรายสีแดงในศิลปะแบบทวารวดีตอนปลาย๑๔ ประติมากรรมและร่องรอยโบราณสถานด้วย๑๖ ๑๓ กรมศิลปากร, เมอื งอุบลราชธานี (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๓๒), หนา้ ๑๐๓. ๑๔ เรอื่ งเดยี วกนั , หนา้ ๑๐๕. ๑๕ เรอ่ื งเดยี วกัน, หน้า ๑๐๗. ๑๖ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๑๐๗ – ๑๑๒.
อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั I ๔๕ ธรรมาสน์ศิลปะชา่ งญวน ศาลาการเปรยี ญ วดั ศรนี วลแสงสว่างอารมณ์ ต�าบลชที วน อยู่ใกลก้ บั แหล่งโบราณคดบี ้านชีทวน ซึ่งเป็นแหลง่ โบราณคดี ท่สี า� คญั ของ จังหวดั อบุ ลราชธานี ต้งั แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔
๔๖ I อบุ ลราชธานศี รีวนาลัย แหล่งโบราณคดีวดั ดงเฒ่าเก่า เปน็ แหลง่ โบราณคดีทส่ี �าคญั ของจงั หวัดอา� นาจเจริญ ปรากฎหลกั ฐานที่สา� คัญคอื พระพุทธรปู สมัยทวารวดี และใบเสมาหนิ ทรายสมัยทวารวดีจา� นวนมาก ปัจจุบันวดั ดงเฒ่าเกา่ เสมาราม อย่ทู ่บี ้านหนองปรือ ต�าบลนาหมอม้า อ�าเภอเมืองอา� นาจเจรญิ จังหวัดอ�านาจเจริญ
อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I ๔๗
๔๘ I อุบลราชธานศี รวี นาลยั ใบเสมาสมยั ทวารวดี วัดโพธิ์ศิลา ในแหล่งโบราณคดบี ้านเปอื ยหวั ดง อา� เภอลอื อา� นาจ จังหวดั อ�านาจเจริญ มีอายรุ าวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ ซึ่งถือว่ามีความเก่าแกท่ ส่ี ดุ ในพื้นทบ่ี รเิ วณน้ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316