แต่เพราะกิเลสซึ่งแฝงอยู่ในใจผู้นั้นไม่ได้ตายตามกายไป จึงยังคง แอบแฝงอยู่ในใจนั้นต่อไปอีก ทันทีที่ผู้นั้นไปเกิตใหม่ ไม่ว่าจะเกิดในภพไหนๆ หรือเกิด เป็นอะไรก็ตาม เช่นเกิดเป็นมนุษย์อีก หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือสัตว์นรก แมไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า กิเลสก็พรัอมที่จะทำร้าย ทำ ลายใจผู้นั้นให้คิดร้ายๆ พูดร้ายๆ ทำ ร้ายๆ ต่อไปอีก ชาติแล้ว ชาติเล่าไม่รู้จบ โดยที่ผู้นั้นไม่เคยรู้ด้วเลยว่า ตัวการที่บีบบังคับ ให้ตนทำชั่วทำบาปเช่นนั้นก็คือกิเลสที่แฝงอยู่ในใจตนนั่นเอง กิเลสนี่เอง ที่เป็นตันเหตุ หรือตัวการแห้จริงของความ ชั่วร้าย และบาปอกุศลทั้งหลายบรรดามืในโลก รวมทั้ง เป็นตันเหตุแห่งความทุกข์ทุกๆ ชนิด ที่มนุษย์และสัตวโลก ทังหลายก่อขึ้นมาโดยที่สัดวโลกแต่ละชนิดไม่เคยรู้เลยว่า ตนเป็น เพียงทุ่นให้กิเลสชักใยอยู่ภายในดลอดมาชาติแล้วชาติเล่าไม่รู้จบ เพราะเหตุที่กิเลสมีธรรมชาติร้ายกาจ ลึกสับ ซับซ้อน ทำ งานด้วยการแฝงด้วเข้าไปซุกซ่อน หมักหมม หมักดอง บีบคั้น ครอบงำอยู่ในใจสัดวโลกเช่นนี้ดลอดมาจึงมีชื่อเรืยกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสาสวะ หรืออาสวะกิเลส แปลว่า กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิต • ^ เชิงอรรถ (ต่อจากหน้า ๘๗) คันธ้พพสัตว์ผู้จะมาเกิดปรากฏด้วย๑ เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย๓ ประการ นี้ความเกิดของทารกจึงมี\" ดันธัพพส้ตว์ ย้งหมายรวมถึง พวกสัมภเวสี คือ กายชั้นตาซึ่งอดีตไม่ค่อยได้ ทำ บุญ ทำ บาปก็ไม่มาก เร่ร่อนแสวงหาที่เกิด ดามแต่ระยะเวลาระหว่างที่รอบุญ บาปประมวลผลว่าจะพาไปเกิด ณ กามภูมิใด ส่วนภาคปริย้ติ คำ ว่า สัมภเวสี แปลว่า ผู้แสวงหาภพ กินความหมายกว้างถึง สัตว์ผู้ยังมีกิเลสด้องเวียนเกิดเวียนตายในภพทั้งหมด พุฑรป?ราฅิ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโสก (ะ•๘ บฑที่ ๖ มารู้จักคนเองกันเถอะ www.kalyanamitra.org
สรุป จากธรรมบรรยายที่ผ่านมาทั้งหมด ท่านผู้อ่านคงได้ทราบ แล้วว่า องค์ประกอบสำคัญที่สุดในเบื้องด้นของมนุษย์ คือ กาย กับ ใจ แท้ที่จริงนั้น องค์ประกอบสำคัญที่สุดของมนุษย์มิได้มีเพียงกาย กับใจ เท่านั้น แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลเหนือกายกับใจ ซึ่งจะ ได้กล่าวถึงในบทต่อ ๆ ไป กายกับใจของคนเรานั้น ต่างด้องขึ้นอยู่แก่กันและกัน (ต่าง คนต่างอยู่ไม่ได้)ต่างด้องอิงอาศัยซึ่งกันและกันจึงจะทำการงานต่างๆ ได้ ล้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ชีวิดของเราก็เป็นอันจบสิน กล่าวคือ กายที่ถูกใจทอดทิ้งไปแล้วก็จะกลายเป็นศพกลายเป็นกองมหากูดรูป ๔ที่รอเวลาเน่าเปีอย ส่วนใจนั้นก็ไม่สามารถล่องลอยอยู่ดามสำพังได้ จำ เป็น ด้องมีร่างกายของล้ดวโลกเป็นที่อยู่อาศัย ทำ นองเดียวกับคนเรา ที่จำ เป็นด้องมีเคหสถานเป็นที่พักพิงอยู่อาศัย และเคหสถานที่ ไม่มีคนอยู่อาศัย ก็จะกลายเป็นบ้านร้าง เรือนร้าง ผุพัง ทรุดโทรม เสื่อมสลายไปในที่สุดข้อนี้ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้นคนเราทุกคนจึงจำเป็นด้องรู้จักตัวเอง ด้วยการ สีกษาเรื่องธรรมชาติและคุณสมบัติของพังกายและใจให้ เข้าใจอย่างถูกด้องถ่องแห้ มิฉะนั้น ชีวิตของคนเรา ซึ่งมีทุกข์ ประจำคือ การเกิด แก่ และดายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็จะด้อง ประสบทุกข์จรอีกมาก ซึ่งมีหลายเรื่อง แก่ไขไม่ได้ ด้องอดทน อย่างเดียว บางคนทนไม่ไหวถึงกับด้องฆ่าด้วดาย ด้งมีด้วอย่าง ให้เห็นเนือง ๆ ทุทธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโลก ๘®^ 1\" มารู้จักตนเอ0กันเทอะ www.kalyanamitra.org
113Jใจจะต้องพึ่งพาอาศัยกายอยู่ตลอดเวลาก็ตาม แต่ใจก็มี อำ นาจและอิทธิพลเหนือกาย แสตงบทบาทเป็นเจ้านายที่คอย บังศับบัญชากายให้แสตงพฤติกรรมไต้ทั้งตีและชั่ว ทั้งทางวาจา และทางกาย ตามที่ใจต้องการ สิ่งที่ทุกคนจะต้องใส่ใจและต้องรูใหไต้ก็คือ อะไรคือสาเหตุ แท้จริงที่ทำให้Iจบังศับบัญชากายให้แสดงพฤติกรรมตีงามที่เ,ป็น บุญกุศล และพฤติกรรมชั่วร้ายที่เป็นบาปอกุศล เพราะถึงแม้กิเลสจะแอบแฝง เกาะติด เหนืยวแน่นอยู่ใน ใจของคนเราตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ต่อเนื่องมาจนกระทั้งถึอ กำ เนิดเกิดมาในโลก แต่ใจของทุกคน เมื่อแรกเกิดก็มีธรรมชาติ ใสสว่าง(ปภสฺสรํ)จึงไม่คิดร้ายใดๆคือไม่คิดสร้างบาปอกุศลทั้งปวง ร้กที่จะสร้างแต่กรรมตี และบุญกุศลทุกอย่าง ครั้นเมื่อถูกครอบงำ บีบบังศับต้วยอำนาจกิเลสในใจ ซึ่งถูกกระตุ้นต้วยอารมณ์ภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือธรรมารมณ์ ใจคนเราก็จะ เศร้าหมอง มืดมน มืความคิดที่วิปริตไป จึงพูดร้าย แสดง พฤติกรรมชั่วร้าย และพร้อมที่จะก่อบาปอกุศลไต้ทุกอย่าง เหล่า นืคือสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมของคนเรา เมื่อรู้แล้วก็พึงชองกันหรือแก่ไขให้ถูกต้องเหมาะสม อนื่ง อาจมืคำถามดามมาอย่างน้อย ๒ คำ ถาม คือ(๑) เรา จะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้กิเลสสงบนิ่ง ไม่ออก ฤทธบีบบังต้มใจให้คิดชั่วร้าย และ (la) เราจะมีวิธีการใดที่ จะสามารถกำจัดกิเลสให้หมดสินไปจากใจ พุทธประว้ต ฉบับการส์นฟสิลธรรมโลก oro บทท to มาร้จกตนเองกัน๓อะ \" ริ --^ * www.kalyanamitra.org
สำ หรับคำถามแรกนั้น ในพระพุทธศาสนามีวิธีป้องกันมิให้ กิเลสกำเริบออกฤทธี้ไดโดยวิธีการเบื้องต้นง่ายๆ คือ ๑) ต้องไม่คบคนพาล เพราะคนพาลคือต้นเหตุสำต้ญที่ ชักนำคนเราเข้าไปพัวพันกับอบายมุขต่างๆเช่นสุราและยาเสพติด ทั้งหลาย อันเป็นเหตุให้อายดนะภายใน ๖ และสุขภาพร่างกาย ของคนเราเสื่อมโทรมและผิดปรกติ ซึ่งจะยังผลให้กลไกการ ทำ งานของใจ มีความวิปริตผิดปรกติไปต้วย กิเลสจึงครอบงาไต้ โดยง่าย โอ) ต้องคบบัณฑิต เพื่ออบรมใจของตนให้ดั้งอยู่ใน สัมมาฑิฏฐิ ต้วยการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เป็นกิจรัดร ประจำรัน จนกลายเป็นนิสัย สำ หรับคำถามข้อสองนั้นขอให้ท่านศึกษาเรื่องอาการตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนำเสนอไวิในบทต่อไป ให้เข้าใจ ถ่องแห้ แล้วลงมือปฏิบัติดามให้ถูกต้องอย่างจริงจัง ชนิดเอาชีวิต เป็นเดิมพัน แล้วท่านจะประสบผลเลิศ แม้ยังมิไต้ตรัสรู้Iนปัจจุบัน ชาตินี้ก็เป็นการสั่งสมบุญบารมีไว้สำหรับภพชาติต่อๆไป พุทธปรราทํ ฉบับการฟ้นฟูศีล!โรรมโลก ^ ®'® ^ ^มาเจกดนเองกัน๓อะ www.kalyanamitra.org
บฑที่ ๓ การตรัสรู้ของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า สภาพของโอกาสโลก โอกาสโลกหรือโลกอันเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์และสัตว์ ทั้งหลายนี้ ล้วนเต็มไปด้วยภัยอันตรายมากมาย มาตั้งแต่ครั้ง ดึกดำบรรพ์ มีทั้งภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด นํ้าท่วม ไฟป่า ลมพายุต่างๆ ฯลฯ มีทั้งภัยจากสัตว์ร้ายต่างๆ ทั้ง สัตว์ป่า และสัตว์ที่อยู่ป่ะป่นภับผู้คนในเมีอง เมื่อจำนวนพลโลก เพิ่มขึ้น ก็มีโรคร้ายระบาตคร่าชีวิตผู้คนให้บาตเจ็บล้มตายภัน คราวละมากๆ ในบางครั้งถึงภับทำให้เมีองร้างก็มี ยิ่งกว่านั้น อัง พทรปรrาฅ็ ฉบับการฟ้นฟูสิลธรรมโลก ^ ® การครัสเของพระส้มมาส้มV]เทธพา www.kalyanamitra.org
มีภัยอันตรายที่โหดร้ายรุนแรงระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง เช่น การ สู้รบและสงคราม โจรภัย ราชภัย การเบียดเบียนทำร้ายระหว่าง เพื่อนฝูงและญาติพี่น้องกัน เป็นด้น ด้งนั้น คนเราจึงมีชีวิดอยู่ ด้วยความหวาดกลัวและความทุกข์ดลอดมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากภัยจากภายนอกกายของมนุษย์แลัว ก็ยังมีภัยจาก อัดรูด้วร้ายภายในกายของทุกๆ คน คือ กิเลส ที่แอบแฝงเกาะติด อย่างเหนียวแน่นอยู่ที่ใจคนเรา มาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา (ด้ง ได้กล่าวแลัวในบทที่ ๑) คอยจ้องบีบคั้น ทำ ร้าย ทำ ลายลัาง ผลาญใจคนเราให้จมอยู่ภับความทุกข์[ดยไม่รู้เท่าทันสาเหตุที่แทํจริง ความหวาดกลัวและความทุกข์ด้งกล่าวนี่เอง ที่ผลักด้นให้ คนเราต่างขวนขวายแสวงหา \"ที่พึ่ง\" เพื่อหาทางพ้นจากความ หวาดกลัวและความทุกข์ ดามความคิด ความเชื่อ ปัญญา และ กระแสลังคมในแต่ละแห่ง แต่ละยุคสมัย ความเสิอของผู้คนในครั้งดึกดำบรรพ์ ได้กล่าวแล้วว่า มนุษย์เป็นผู้มีใจสูง และใจใส จึงรู้จ้กคิด แก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ความคิดของคนเราก็จะนำไป สู่ความเชื่อ และการปฏิบติเป็นลำด้บต่อไป ด้งมีด้วอย่างที่เห็นได้ ชัดเจนในกลุ่มความเชื่อทางไสยเวท และเทวนิยม ซึ่งยังมีปรากฏ อยู่ในยุคปัจจุบัน เช่น ทางด้านไสยเวท ผู้ที่มีความคิดและความเชื่อว่า ดาม ด้นไมใหญ่ๆ มีนางไม้ คือผีผู้หญิงสิงอยู่ ครั้นเมื่อดนมีความทุกข์ พุฑ&ปรรวัติ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรนโลก <3«£ นฑฑี๋ m การตรัสรู้!เองพระสัมมาสัมทุฑธlin ปี ■■'V 0 www.kalyanamitra.org
ความเดือดร้อน ก็จะจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ที่หาได้สะดวก หรือที่คิดว่าสมควร ไปเซ่นไหว้ตามโคนด้นไมไหญ่ด้นใดด้นหนึ่ง เพื่อขอให้นางไม้ปลดทุกข็ให้แก่ตน และคุ้มครองรักษา หรือนำ โชคลาภมาให้ตน หล้งจากได้ปฏิบัติบูชาเซ่นไหว้แล้วก็จะรู้สึก สบายใจขึ้น ด้วยเชื่อมั่นว่าตนจะได้รับความอนุเคราะห์จากนางไม้ ครั้นแล้วด้นไม้ด้นนั้น ก็จะกลายเป็นด้นไม้ศักดิ้สิทขึ้ของผู้คนใน ชุมชนต่อไป สำ หรับบุคคลอื่นที่ประสบความทุกข์และความเดือดร้อน แต่ ยังหาวิธีแก้ทุกข์ของตนไม่ได้ ครั้นได้เห็น ได้พูดคุยก้บผู้เซ่นไหว้ นางไม้แล้ว ก็จะทดลองทำตามบัาง ในที่สุด การเซ่นไหว้ด้นไม้นั้น ก็จะกลายเป็นกระแสสังคม แล้วกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบ ต่อก้นไปเรื่อยๆ ในชุมชนต่างๆ โดยไม่มีใครกล้ารับประก้นว่า เป็น วิธีปฏิบติที่มีคุณอย่างแท้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขสัง ว่ามี ความศักดิ้สิทขึ้ สามารถช่วยดลบันดาลให้ประสบความสุข โชคดื มีสิริมงคล จนกระทั่งถึงก้บมีการผลิตออกมาให้เช่าบูชาก้นเป็น จำ นวนมาก ความเชื่อเหล่านี้มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ทั่งใน สังคมเมีองและสังคมชนบทที่อยู่ห่างไกลความเจริญ แม่ในปัจจุบัน การผลิตสิ่งต่างๆ ที่ถึอก้นว่าเป็นสิ่งคักดสิทธ เช่น เครื่องรางของ ขสังหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งพิธีเซ่นไหว้สิ่งต่างๆ ดามความ เชื่อทางด้านไสยเวทก็ยังเป็นที่นิยมก้น สำ หรับด้านเทวนิยม ที่ปรากฏหสักฐานเป็นตำนานอยู่ใน คัมภีร์พระพุทธศาสนา ก็คือเรื่องการบูชายัญตามแบบของ ททรป'รรวัติ ฉบับการส์นฟูสืลธรรมโลก ๙๕ มกฑี๋\"การ')รัลรู้ของพระสัมมาสมพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
พราหมณ์ ซึ่งเป็นการเช่นสรวงด้วยวิธีฆ่าคนหรือสัตว์ นิยมกระทำ พิธีกันในหมู่พระราชามหากษัตริย์ ตามคำแนะนำของปุโรหิต ซึ่ง เป็นพราหมณ์ที่ปรึกษาในด้านขนบธรรมเนียมจารืตประเพณีของ พระมหากษัตริย์ ด้วยความเชื่อว่า การบูชายัญจะนำอำนาจ ความ มั่งคั่งรารวย ความเจริญรุ่งเรือง ความผาสุก ตลอดจนความมีโชคดี มาสู่แว่นแคว้นของพระราชานั้น แมในปัจจุบัน พิธีเช่นไหว้ตามความเชื่อทางด้านเฑวนิยม ก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ในประเทศไทย เช่น การทำพิธีเช่นไหว้ ปฏิมากรของพระวิษณุกรรม หรือพระวิศวกรรม ซึ่งเชื่อว่าเป็น เทวตาตนหนึ่งที่มีความชำนาญในด้านงานช่าง เป็นด้น ธรรมชาติของนักคิด มนุษย์เราเกิตมาพร้อมกับความไม่รู้ คือไม่รู้อะไรเลยแม้ อย่างเดียว ความรู้แต่ละอย่างๆ ด้องมาเรืยนรูในภายหสังทั้งสิ้น ซํ้าร้ายกว่านี้คือ สิงที่คิดว่ารู้แล้วก็มักรู้อย่างผิด ๆ ด้งจะเห็นได้ จากการเปลี่ยนทฤษฏีหรือความเชื่อกันเสมอมา นอกจากนี้มนุษย์ส่วนใหญ่หรือเกือบทุกคนก็ว่าได้ ล้วน ไม่รู้เรื่องที่น่าจะด้องรู้เกี่ยวกับตนเองเช่นก่อนเกิตตนเองมาจากไหน เกิดมาทำไม จะตายเมื่อไร ตายแล้วจะไปไหน ชีวิตหสังความ ตายจะเป็นอย่างไร จะด้องกสับมาเกิดอีกหรือไม่ ฯลฯ พฑธประว้ติ ฉบับการหึ๋เนฟศลธรรมโลก บทที่ m การดร้สรของพระสัมมาล้มพุทธเจา V0 www.kalyanamitra.org
ความไม่รู้นี้เอง มนุษย์ทั้งชายหญิงจึงถูกความทุกข์และ ความกลัว ลันมีสาเหตุมาจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และ ความตายบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกวิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้น บรรดา นักปราชญ์น้กคิดทั้งหลายตั้งแต่ยุคโบราณกาล แม้อยู่ต่างมุมโลก ต่างก็มีคำถามเกิดขึ้นในทำนองเดียวก้นว่า จะมีสิ่งใดม้างหรือ ไม่หนอ หากได้เข้าถึง ได้พึ่งพิง หรือได้ครอบครองแลัว จะ สามารถช่วยให้ตนและชาวโลกทั้งหลาย หายจากความไม่รู้ หาย จากความทุกข์ และหายจากความกลัว สิ่งนั้นจึงเป็น\"สิ่งที่ยังไม่รู้\"หรือ\"The Unknown Factor\"ซึ่ง นักปราชญ์นักคิดทั้งหลาย ต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจแสวงหาก้น รุ่นแลัวรุ่นเล่าดลอดมา จนนับไม่ได้ว่ายาวนานเท่าใด เรียก \"สิงที่ยังไม่รู้\" หรือ \"The Unknown Factor\" นักปราชญ์และนักคิดแต่ละภูมิภาคของโลก ต่างตั้งชื่อ \"สิ่ง ที่ยังไม่รู้\" หรือ \"The Unknown Factor\" แตกต่างก้นไปดามพื้น ฐานความเข้าใจ และความเชื่อของตนด้งนี้ ๑) ธรรม ๒) อมดธรรม ๓) ลัจจธรรม ๔) อริยธรรม ๕) โลกุดดรธรรม ๖) นิพพาน ๗) นฤพาน ๘) The Truth ๙) The Goodness ๑๐) เต่า พุทธประวัต ฉบับการที่นฟูสืลธรรมโรก \"การรรัศฬุ้องพระสัมมาส้มพุทธเจำ « > c* '' OF www.kalyanamitra.org
ครั้นแล้วต่างก็ค้นคว้าศึกษาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ตามแนวความ เชื่อของตนๆ อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะตวกในการเรียน และ เพื่อให้เข้าใจไค้ง่าย ต่อไปนี้ในหนังสือเล่มนี้ จะเรียก \"สิ่งที่ยังไม่รู้\" หรีอ \"The Unknown Factor\" ว่า \"ธรรม\" ความเร่อเกี่ยวกับเรื่อง \"ธรรม\" หลังจากที่แสวงหากันมาเป็นเวลายาวนาน ก็ยังไม่ปรากฏ ว่าไค้มีนักปราชญ์นักคิตท่านใดค้นพบ \"ธรรม\" ลักฑี นักปราชญ์ นักคิดเหล่านั้นจึงมีความเชื่อแตกแยกกันเป็น๒กลุ่มใหญ่ คือ นักปราชญ์นักคิดกลุ่มหนึ่ง เชื่อว่า\"ธรรม\"ไม่มีอยู่จริงน่า จะเป็นเพียงจินตนาการของนักปราชญ์นักคิดบางท่านเท่านั้น เพราะถ้ามีอยู่จริง ก็จะต้องมีบุคคลที่สามารถดับทุกข์ ดับความ กลัวของตนไค้แล้ว แต่ก็ไม่ปรากฏว่าในประว้ตศาสตร์ของมนุษย์ ไค้เคยมีผู้คนพบ \"ธรรม\" หรือผู้สามารถดับความทุกข์ความกล้ว ของตนไค้เลย ส่วนนักปราชญ์นักคิดอีกกลุ่มหนึ่ง เชื่อว่า \"ธรรม\" ต้องมี อยู่จริง โดยจับแง่คิดว่า โลกเรานี้มีปรากฏการณ์เป็นดู่แกักัน และกันให้เห็นอยู่เสมอ เช่น เมื่อมีความมืด ก็มีความสว่างแค้ เมื่อมีร้อนก็มีเย็นแค้ เมื่อมีโง่ ก็มีฉลาดแค้เพราะฉะนั้น เมื่อมีความ ทุกข์ ก็น่าจะมีหนทางดับทุกข์ เมื่อมีดวามไม่รู้ ก็น่าจะมี หนทางดับความไม่รู้ เป็นดัน ดัวยแนวคิดอันชาญฉลาด สามารถให้กำลังใจตนเอง โดย การวิเคราะห์ปรากฏการณ์ดามธรรมชาติในชีวิตประจำจันตลอด ทฑรปรรวัติ ฉบับการฟ้นฟูศลธรรมโลก ^ ®'®' ^ \"การตรัทรู้บองพระส้มมาสันพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
มานี้เอง จึงทำใพ้แกปราชญ์นักคิดกลุ่มที่๒ นี้ตั้งหนัาตั้งแต่แสวงหา \"ธรรม\" อย่างไม่ย่นย่อ ความเร่อดั้งเดิมเกี่ยวกับที่อยู่ของ \"ธรรม\" แม้เหล่านักปราชญ์นักคิดในกลุ่มที่ ๒ จะเชื่อว่า \"ธรรม\" มี อยู่จริง แต่ความเชื่อของพวกเขาก็ย้งแดกแยกออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า \"ธรรม\" อยู่นอกตัวมนุษย์ อีกกลุ่มหนึ่งเร่อว่า \"ธรรม\"อยู่ในตัวมนุษย์ ซึ่งแสดงไตัด้วยแผนภูมิต่อไปนี้ ความเ^อเรื่องที่อม่ Unknown Factor r——^—โ]^. อยู่นอกตัวมนุษย์ อยู่ในตัวมนุษย์ 1 เ, เข้าถึงด้วย เข้าถึงด้วย มนุษย์ มนุษย์ การหมกมุ่น การทรมาน เข้าถึงไม่ได้ เข้าถึงได้ ในกาม ตนเอง 1, ด้วยกายเนื้อ ผู้มีฤทรมอบ ด้วยใจ(อาฬารดาบส อุทกดาบส เข้ยน) ใด้มนษย์ .ร] ล้ทธิเฑวนิยม ภาพที่ ๑ แสดงความเชื่อเรื่องที่อยู่ของ\"ธรรม\"ก่อนการค้นคว้า ของเจ้าชายสิทธัตถะ กลุ่มที่๑ เร่อว่า\"ธรรม\"มีอยู่จริง และอยู่นอกตัวมนุษย์ แต่ทว่ามีความเชื่อแตกต่างกันเป็น๒ กลุ่ม คือ ๑. อยู่นอกตัวมนุษย์หรืออาจอยู่นอกโลก มนุษย์ไม่ สามารถเข้าสิงไตัด้วยตนเอง ทุทธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูศีลธรรมโลก บทที่ 0)การตรัร3ของพระลัมมาลัมพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
กลุ่มนี้เชื่อว่า \"ธรรม\" อยู่นอกตัวมนุษย์ และอยู่ สุดแสนไกล จนมนุษย็ไม่สามารถเข้าถึงได้ ยกเว้นมี ^เศษทรงอำนาจเหนือมนุษย์ประทาน \"ธรรม\" ให้ กลุ่มนี้ต่อมาไตัพัฒนาเป็นกลุ่มเฑวนิยมต่างๆ เช่น ศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลาม เป็นตัน ใอ. อยู่นอกตัวมนุษย์ และมนุษย์สามารถเข้าถึงได้ ด้วยตนเอง กลุ่มนี้ยังแปงออกเป็น ๒ กลุ่มย่อย ตามความ เชื่อโนการเข้าถึง โดยตั้งสมมติฐานไว้๒ ประการ คือ ไอ.๑ มนุษย์เข้าถึงได้ด้วยกายเนื้อ กลุ่มนี้ต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจออกดระเวน ค้นหา \"ธรรม\" ซึ่งคาดว่าอาจจะอยู่บนยอดเขา สูงเทียมฟ้า อยู่ใตัผืนนํ้าในมหาสมุทร อยู่ที่ขั้ว โลกเหนือ ขั้วโลกใต้ อยู่ในปาดงติบรกชัฏ ในถํ้า ในเหว ฯลฯ อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่ามีผูใดสามารถค้นพบ \"ธรรม\" ไค้ด้วยกายเนี้อเลย ในที่สุด สมมติฐาน นี้ก็ถูกยกเลิกไป ไอ.ไอ มนุษย์เข้าถึงได้ด้วยใจ กลุ่มนี้เชื่อว่า\"ธรรม\" อยู่สุดแสนไกล เกินกว่า กายเนี้อมนุษย์จะเตินทางไปถึงได้ จำ เป็นต้องไข้ \"ใจ\" ที่ไดแกอบรม จนกระทํ่งสงบเป็นสมาธิ ดีแล้วส่งไป จึงจะเข้าถึงได้ พุฑรปรรวัติ ฉบับกา•รฟ้นฟูคลธรรมโลก ๑๐๐ บททึ๋ ท การตรัสรู้ของพระล้มมาลัมพุทธเจ้า พ' \"vv-w www.kalyanamitra.org
บุคคลที่เชื่อตามแนวสมมติฐานนี้ คือ อาฬารดาบส กาลามโคตร อุทกดาบสรามบุตร เป็นต้น สมาธิของดาบสทั้งสองท่านนี้ เป็น สมาธิตามแบบฤๅษีรไพร ชื่งนิยมวางใจไว้ นอกกาย แล้วส่งใจไปตระเวนหา \"ธรรม\" แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้พบ \"ธรรม\" ต้วย วิธินี้เลย กลุ่มที่ ๒ เร่อว่า \"ธรรม\" มีอยู่จริง และอยู่ภายในต้ว มนุษย์อีกต้วย กลุ่มนี้แปงออกเป็น ๒ กลุ่มย่อย ตามความเชื่อในการเข้าถึง โตยตั้งสมมติฐานไว้ว่า ๑. เข้าถึงต้วยการหมกมุ่นในกาม (กามสุข้ลลิกานุโยค) กลุ่มนี้เชื่อว่าการหมกมุ่นพัวพันก้มกามสุขยิ่งมากเท่าใด ก็จะยิ่งล่อให้ \"ธรรม\" ปรากฏออกมาให้เห็น หรือเข้า ถึงเร็วเท่านั้น ไอ. เข้าถึงต้วยการทรมานตน (อัตตกิลมถานุโยค) กลุ่ม นี้เชื่อว่า การทรมานตนให้เจ็บปวดอย่างสุดชีวิตแล้ว \"ธรรม\" ก็จะปรากฏให้เห็นเอง ทำ นองเดียวก้มการ คั้นเนี้อมะพร้าวแล้ว กะทิย่อมออกมาจากเนี้อมะพร้าว นั้น แต่ความจริงก็ไม่พม เปรืยมเหมือนคนบีมกรวด เพื่อหวังนั้ามันงาฉะนั้น อย่างไรก็ตาม นักปราชญ์นักคิดทั้ง ๒ กลุ่ม ก็ยังไม่ สามารถค้นพม \"ธรรม\" อีกเช่นก้น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ละความ พุฑรปรรวัตํ ฉบับการส์นฟูศล!ทรมโลก ©๐® บ\"\"o การลรัสเของพระสัมมาส้มทุ\"!ทจ้า www.kalyanamitra.org
พยายามที่จะค้นหาหรือเข้าถึง \"ธรรม\" ตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ยิ่ง กว่านั้นยังมีการแสวงหาวิธีการทรมานตนที่แปลกพิสดารยิ่งขึ้น กว่าวิธีเติมๆ อีกมากมาย ฑิฏฐิ ๖๒ ในช่วงเวลาก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาส้มพุทธเจ้านั้น มีน้กบวชเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นทั้งนักปราชญ์นักคิต ที่เชื่อว่า \"ธรรม\" มีอยู่ในตัวมนุษย์ จึงพากเพียรบำเพ็ญภาวนา เพื่อค้นคิด หาวิธีกำจ้ตทุกข์และความเดือดร้อนต่างๆ ในชีวิตของผู้คนให้ หมดสิ้นไป ผู้ที่เป็นนักโต้วาทะซึ่งมีปฏิภาณไหวพริบเหนือ^นก็ไตั รับการยอมรับยกย่องให้เป็นครูบาอาจารย์ เจ้าสัทธิ เจ้าทฤษฎี ซึ่ง มีอยู่มากมาย หสังจากการตรัสรู้ พระพุทธองค์ก็ทรงรู้แจ้งเห็นแจ้ง และ เข้าพระทัยความเป็นมาของความคิดเห็น หรือทิฏฐิของเจ้าสัทธิ เหล่านั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง ทรงเห็นทั้งข้อผิดพลาดและโทษของ ความคิดเห็นของเจ้าสัทธิ แต่ละคน แต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง จึงทรงแปงความคิดเห็นเหล่านั้น ออกเป็น ๖๒ สัทธิ เรืยกว่า ฑิฎฐิ ๖๒® และอาจแปงออกไต้เป็น๒ กลุ่มใหญ่ ต้งนี้ กลุ่มที่ ๑ มี ๑๘ ล้ทธิ นักบวชในกลุ่มนี้ ต่างบำเพ็ญภาวนาเป็นเครื่องเผากิเลส ใน้ใจ โดยปรารภชันธ์หรือสรรพสิ่งในอดีต และอาศัยการวางใจ อย่างถูกวิธีทำให้บรรลุเจโดสมาธิยังผลให้สามารถระลึกชาติในอดืด ® พรหมชาลสูตร ะ ที.สี.(ไทย)๙/๑-๑๔๙/๑-๔๗ ฬุทรปรรวัผํ ฉบับการส้นฟูศลธรรมโลก ^ ๑0๒ ^ บทร็เ เท การดรัสรู้ของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า V V 0\" t. www.kalyanamitra.org
พร'อมทั้งชีวประวัติของตนๆ ได้มากน้อย แตกต่างกันตาม ประสบการณ์การทำสมาธิภาวนาของแต่ละท่าน เช่น บางท่านก็ ระลึกได้เพียง ๑ ชาติ บางท่านก็ได้ถึง ๑,๐๐๐ ชาติ บางท่านได้ถึง ๑ สังวัฎฎกัปและวิวัฏฎกัป®บางท่านได้ถึง๑๐สังวัฎฏกัปและวิวัฏฏกัป บางท่านก็ระลึกได้ว่าเคยเกิตเป็นพรหม เป็นด้น โตยสรุปก็คือ น้กบวชในกลุ่มนี้ได้อาศัยประสบการณ์ภายใน คือสมาธิทำให้สามารถระลึกชาติในอดีตได้บ้าง ประกอบกับความ คิดตามหลักตรรกะ แล้วประกาศวาทะแสดงทิฏฐิแตกต่างกันออก ไปเป็น ๕ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ มี ๔ ลัทธิบ้ญญ้ตว่าอัตตาและโลกเป็นสิ่งเที่ยงแห้ กลุ่มที่ ๒ มี ๔ลัทธิ บ้ญญัติว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่าง ไม่เที่ยง กลุ่มที่ ๓ มี ๔ ลัทธิ บ้ญเ^ว่า โลกมีลันฐานกลม ด้านบน ด้านล่างมีที่สุด(มีขอบเขตจำกัด)ด้านขวางไม่มีที่สุด กลุ่มที่ ๔ มี ๔ ลัทธิใช่วิธีพูดหลบเลี่ยงไม่ยอมวับหรือไม่ ยืนอันอะไร เพราะไม่รู้จริง กลุ่มที่ ๕ มี ๒ ลัทธิ บ้ญญัติว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเอง ไม่มีเหตุปัจจัย กลุ่มที่ ๒ มี ๔๔ ลัทธิ น้กบวชในกลุ่มนี้ บางพวกบำเพ็ญภาวนาเป็นเครื่องเผา กิเลสในใจจนได้สมาธิ สามารถรู้เห็น ขันธ์หรือสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ในอนาคตได้ บางพวกก็คิดตามหลักตรรกะ แล้วประกาศวาทะ แสดงทิฏฐิแตกต่างกันออกไปเป็น ๕ กลุ่ม คือ f สังวัฏฏกัป คือ กัปฝ่ายเสื่อม ช่วงเวลาที่โลกกำล้งพินาศ วิวัฏฏกัป คือ กัปฝ่ายเจริญ ช่วงเวลาที่โลกกลับส์นขี้นมาใหม่ พุทธประวัผิ ฉบับการพึ๋เนฟูคลธรรมโลก ๑๐๓ บฑที่ พ การตรัสรู้ของพระสัมมาสันพุทธเจ้า 9 ■<? g www.kalyanamitra.org
กลุ่มที่ ๑ มี ๑๖ ลัทธิ ใ1ญญ้ตว่า หลังจากตายแล้วอัตตา ยังมีลัญญา(ภาวะที่เป็นความรูสึกรู้ขั้นละเฮียต)เหลืออยู่ กลุ่มที่ใรเ มี ๘ ลัทธิ บัญญัติว่า หลังจากตายแล้วอัตตา ไม่มีสัญญาเหลืออยู่ กลุ่มที่ ๓ มี๘ลัทธิบัญญ้ติว่าหลังจากตายแล้วมีลัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่(หมายความว่า ๘ ลัทธินี้ มีความเห็นคัตค้าน ๒๔ ลัทธิที่กล่าวมาก่อน) กลุ่มที่ ๔ มี ๗ ลัทธิ บัญญ้ติว่า ตายแล้วอัตตาขาดสูญ ไม่ เกิดฮีก เป็นแนวคิตเชิงวัตถุนิยม ลัทธินี้ให้หมกมุ่นในกามสุข กลุ่มที่ ๕ มี ๕ ลัทธิ บัญญ้ติว่า นิพพานในปัจจุบัน (ชาติ) เป็นบรมธรรมของสัตว์ หมายความว่า บุคคลสามารถบรรสุนิพพาน หรือสามารถดับทุกข์ไดโดยง่ายในอัตภาพนี้ แต่อย่างไรก็ตาม มีความเห็นแตกต่างกันของ ๕ลัทธิในกลุ่มนี้คือ ลัทธิที่ ๑ เชื่อว่าความเพลิตเพลินจากกามคุณ ๕ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย)เป็นนิพพาน ลัทธิที่ ใอ-๕' เชื่อว่า ความสุขจากฌานเป็นนิพพานและ ใน ๔ ลัทธิ นี้ก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันฮีก คือ ลัทธิที่ ไอ มีความเห็นว่า การบรรลุปฐมฌาน ชื่อว่าบรรลุนิพพาน ลัทธิที่ ๓ มีความเห็นว่า การบรรลุทุติยฌาน ชื่อว่าบรรลุนิพพาน ลัทธิที่ ๔ มีความเห็นว่า การบรรลุตติยฌาน ชื่อว่าบรรลุนิพพาน ทุทรป'!รวัฅํ ฉบับการฟ้นฟูศลธ!รมโลก ^ ๑๐๔ ^ บฑฑี๋ o การตรัสรู้ของพระสัมมาส์มพุททจ้า www.kalyanamitra.org
ลัทธิที่ ๕ มีความเห็นว่า การบรรลุจตุตถฌาน ชื่อว่าบรรลุนิพพาน เกี่ยวก้มเรื่องทิฏฐิ ๖๒ นี้ พระลัมมาลัมพุทธเจ้าได้ตรัสแสดง แก่พุทธสาวกในทิฏฐิ ๖๒ ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่ง ทิฎฐิเหล่านี้ที่บุคคลยึตถืออย่างนี้แล้ว ย่อมปีคติและภพ หน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัด และยังรู้ชัดขึ้นไป กว่านั้นอีก จึงไม่ยึดมํ่นเมื่อไม่ยึดมนจึงรู้ความดับด้วยตนเอง รู้ความเกิต ความดับ คุณ โทษ แห่งเวทนา และอุบาย เครื่องสล้ตเวทนาตามความเป็นจริง ตถาคตจึงหลุตพ้น เพราะไม่ยึตมนถือมื่น\" \"ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ สํวนอดีต พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่ กำ หนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมืดวาม เห็นคล้อยตามขันธ์ทังส่วนอดีตและอนาคต ปรารภ ขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ประกาศวาทะแสดง ทิฏฐิตำง ๆ ด้วยมูลเหตุ ๖๒ อย่าง ขัอน้นเป็นความ เข้าใจของพวกเขาผู1มืรู้1ม่เห็น เป็นความแส่หา ความ ดิน้ รนของคนมืด้ณหาเท่านั้น\"^ ® พรหมชาลสูตร ะ ที.สี.(ไทย)๙/๓๖/๑๖ ^ พรหมชาลสูตร : ที.สี.(ไทย)๙/๑๑๗/๔๑ ทุฑธประว้ต๊ ฉบับการฟ้นฟูสืลรรรมโลก ๑๐๕ นกที๋ ® การตรัสรู้นองพระสัมมาส้มทุฑทจ้า o'* ® ' 0 www.kalyanamitra.org
ก่อนจบเรื่องทิฎฐิ ๖๒ พระสัมมาส้มพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงว่า \"ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกนี้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ^งตถาดตรู้แจ้งได้เอง แล้ว สั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตาม อันเปีนเหตุให้ดนกล่าว ยกย่องตลาดต ถูกด้องตามดวามเปีนจริง\"® แนวทางการแสวงหาธรรม ถึงแม้พระสัมมาส้มพุทธเจ้าได้ทรงแบ่งความแตกต่างทาง ความคีตเห็น ระหว่างผู้นำในการแสวงหาทั้งหลายในสมัยก่อน พุทธกาลไว้ถึง ๖๒ บ่ระการ หรือ ๖๒ สัทธิก็ตาม แต่พระพุทธ องค์ก็ทรงสรุบ่สาระสำด้ญเกี่ยวกับการดำเนินการแสวงหาของ ผู้คนทั้งหลายว่า มีอยู่เพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือ การแสวงหา ที่ใม่ประเสริฐ กับการแสวงหาที่ประเสริฐ ด้งปรากฏอยู่ใน ปาสราสิสูตรด้งนี้ ๑. การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ'\" พระพุทธองค์ทรงแสตงว่า \"การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ คือ คนบางคนในโลกนี้ ® สรุปทิฏฐิ ๖๒ สรุปทิฎฐธัมมนิพพานวาทะ ะ ที.สี.(ไทย)๙/๑๐๔/๓๙ ^ ปาสราสิสูตร ะ ม.มู.(ไทย)๑๒/๒๗๔/๒๙๖-๒๙๗ ทุทธประวต๊ ฉบับการฟ้นฟูศลธรรมโลก ^ ๑๐๖ ^ บทที่ เท การตร้ทุของพระสัมมาสัมทุฑธเจ้า www.kalyanamitra.org
ตนเองมีดวามเกิดเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่ มีความเกิดเป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีดวามแก่เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มี ความแก่เป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีดวามเจ็บไข้เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่ง ที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีดวามตายเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่ มีความตายเป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีดวามเศร้าTศกเป็นธรรมดา ก็ยัง แสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าโศกเป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีดวามเศร้าหมองเป็นธรรมดา ก็ยัง แสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดาอยู่อีก\" ตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งที่มีความเกิต ความแก่ ความ เจ็บไข้ความตาย ความเศร้าโศก และความเศร้ไหมองเป็นธรรมตานัน ทรงหมายถึง บุตรภรรยาทาสทาสีแพะ แกะไก่ สุกรข้างโคทองเงิน หรือกล่าวโตยย่อว่า บุตร ภรรยา ข้าทาส และทรัพย์สมบัติต่าง ๆ เนื่องจากสิงที่เป็นธรรมดาเหล่านั้นเป็นอุปร^งในที่นีหมายถึง กามคุณ ๕ ผู้ที่ติตพันลุ่มหลงเกี่ยวข้องก้มอุปธิเหล่านั้น ชื่อว่า ตนเองมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความเศร้าโศก และความเศร้าหมองเป็นธรรมดาก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดความ แก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความเศร้าโศก และความเศร้าหมอง เป็นธรรมตาอย่อีก ทุทธประวัติ ฉบับการส์นฟูสืลธรรมโลก ๑๐๗ บ*เฑึ๋ 0> การตรัสรู้ของพระสัมมารมพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
๒. การแสวงหาที่ประเสริฐ® พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า \"การแสวงหาที่ประเสริฐ คือ คนบางคนในโลกนี้ ตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษใน สิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพานที่ไม่มี ความเกิด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคชั' ตนเองมีดวามแก่เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษใน สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพานที่ไม่มี ความแก่ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ ตนเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ทราบชัดถึง โทษในสิ่งที่มีความเจ็บไชัเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหา นิพพานที่ไม่มีดวามเจ็บไข้ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษม จากโยคะ ตนเองมีความตายเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความดายเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพานที่ ไม่มีดวามตาย ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ ตนเองมีดวามเศร้าโศกเป็นธรรมดา ทราบชัดถึง โทษในสิ่งที่มีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหา นิพพานที่ไม่มีดวามเศร้าโศก ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และ เกษมจากโยคะ ปาสราสิสูตร ะ ม.มู.(ไทย)๑๒/๒๗๕/๒๙๘ ^ เกษม = ความปลอดภ้ย โยคะ = เครื่องผูกส้ตว์ไวในภพมี ๔ อย่างคือ กาม ภพ ทิฎฐิ และอวิชชา ทฺทธปรรวัฬํ ฉบับการฟินฟูสิลธทมโลก ๑๐๘ บฑฑึ๋ เท การตรัสรู้ซองพระสัมมาล้มพุทธ!จำ www.kalyanamitra.org
ตนเองปีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ทราบช้ดถึง โทษในสิ่งที่ปีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหา นิพพานที่ไม่มีความเศร้าหมอง ไม่ปีธรรมอื่นยิ่งกว่า และ เกษมจากโยคะ\" การที่พระองค์ตรัสเช่นนี้ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าในยุคนั้น นอกจากพระองค์แล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คิดแสวงหานิพพาน เช่นเดียวกับพระองค์ แต่ยังขาดเพียงวิธีการที่ค้นพบนิพพานได้จริง ซึ่งต่างคนต่างกำลังแสวงหาแบบลองผิดลองถกกันอย่ <น ฆ การแสวงหาสมัยทรงเป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้น พระสัมมาพุทธเจ้าได้ดรัสเล่าถึงการแสวงหา นิพพานดาม ทัศนคติและพระปัญญาของพระองค์ ในสมัยที่ยัง ทรงเป็นพระโพธิลัดว์ด้งปรากฏในปาสราสิสูดร®ต่อไปอีกว่า '*ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราเป็นโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่ปีความ เกิดเป็นธรรมตาอยู่นั่นแล ตนเองมีดวามแก่เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่ปี ความแก่เป็นธรรมดาอยู่นั่นแล ตนเองมีดวามเจ็บไข้เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่ง ที่ปีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่นั่นแล ® ปาสราสิสูตร : ม.มู.(ไทย)๑๒/๒๗๖/๒๙๙-๓๐๐ ทุทธประวัสิ ฉบบการล้นฟูสิลธรรฆโลก ๑๐๙ บทที่ •ท การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมทุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
ตนเองมีดวามตายเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่ ปีความตายเป็นธรรมดาอยูนั่นแล ตนเองมีดวามเศร้าโศกเป็นธรรมดา ก็ยัง แสวงหาสิ่งที่ปีความเศราโศกเป็นธรรมดาอยู่นั่นแล ตนเองมีดวามเศร้าหมองเป็นธรรมดา ก็ยัง แสวงหาสิ่งที่ปีความเศร้าหมองเป็นธรรมดาอยู่นั่นแล เราจึงคิดอย่างนี๋วา'เราปีความเกิดเป็นธรรมดาไฉน ยังแสวงหาสิ่งที่ปีความเกิดเป็นธรรมดาอยู่อีก\" 'เรามีความแก่เป็นธ'รรJI/ดา ฯลฯ ปีความเจ็บไข้...ปี ความดาย....ปีความเศร้าโศก....ปีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ไฉนยังแสวงหาสิ่งที่ปีความเศร้าหมองเป็นธรรมดาอยู่อีก' 'ทางที่ดีเราเองปีความเกิดเป็นธรรมดา ทราบชัด ถึงโทษในสิ่งที่ปีความเกิดเป็นธรรมดาแล้ว ควรแสวงหา นิพพานที่ไม่ปีความเกิด ไม่ปีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษม จากโยคะ' 'เราปีความแก่เป็นธรรมดา ฯลฯ ปีความเจ็บไข้...ปี ความตาย...ปีความเศร้าโคก...ปีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่ปีความเศร้าหมองเป็นธรรมดาแล้ว ควรแสวงหานิพพานที่ไม่ปีความเศร้าหมอง ไม่ปีธรรมอื่น ยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ' ทุฑธประวัต๊ ฉบบการฟ้นฟูศสรรรมโลก ^ ๑๑๐ ^ ฃทที่ ท การครัลรู้!เองพระสัมมาส้มพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
จากพุทธดำรัสทั้งหมดที่ยกมานี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ก่อน การดรัสรูพระพุทธองค์ก็ทรงมีทัศนคติไม่แตกดำงจากผู้คนส่าน^า^ ซึ่งล้วนพากันดำเนินชีวิตด้วยการแสวงหาที่ไม่ปาะ''ส% แต่เป็น เพราะบุญบารมีที่พระองค์ทรงสั่งสมข้ามภพข้ามชาติมานาก จ^ ทำ ให้เกิดปัญญาสามารถสอนพระองค์เอง ให้ตระหนักถึง มห้นตโทษมห้นตกัยของการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ และทรงเล็ง เห็นคุณอันยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใตของการแสวงหาที่ประเสริฐ คือ นิพพาน ซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ จึงด้ตสิน พระทัยอย่างเด็ดเดี่ยว เสด็จออกบรรพชาเพื่อการแสวงหาสิ่งที่ ประเสริฐทันทีโดยไม่ทรงวิดกกังวลถึงอุปสรรคใดๆ ทังสิน การบำเพ็ญเพียรก่อนตรัสรู้ เมื่อพระสัมมาล้มพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นยังทรงเป็นเจ้าชาย สิทธัดถะตัดสินพระทัยที่จะแสวงหาสิ่งที่ประเสริฐ''''ด้ว ก็ทรงม้า กัณฐกะ โดยมีนายฉันนะตามเสด็จออกจากวังอย่างเงียบๆ ใน ยามค์าคืนวันหนึ่ง ด้วยทรงปรารถนาการผนวชเป็นบรรพชิต ประพฤติพรหมจรรย์อยู่กับอาจารย็ในสำนักใตสำนักหนึ่ง ในสำนักอาฬารดาบส พระพุทธองค์ใด้ตรัสเล่าเหตุการถnนครั้งนั้นไวิในปาสราสิ สตร®ว่า ปาสราสิสูตร : ม.มู.(ไทย)๑๒/๒๗๗/๓๐๐ ทุฑธประว้ต ฉบับการฟ้นฟูสืล!nร«โทก ®®® ^ บทฑี๋0การตรัสรู้ฃองพระส้มนาส้มทุฑธฬ้า ท**\"^'- 0 www.kalyanamitra.org
\"เมื่อผนวชแล้ว ก็แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ขณะ ที่แสวงหาทางอันประเสริฐ คือ ความสงบ ซึ่งไม่ปีทางอื่น ซึ่งกว่า ไค้เข้าไปหาอาทารดาบส กาลามโคดร แล้วกล่าวว่า 'ท่านกาลามะ ข้าทเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้'\" เมื่อได้ทราบจุดมุ่งหมายของพระโพธิสัตว์เช่นนั้น อาพาร ดาบสกาลามโคตรก็กล่าวด้อนร้บด้วยความเต็มไจว่า \"เชิญท่านอยู่ก่อนธรรมนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับธรร-มที่วิญฌูชน จะพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ดามแบบอาจารย์ของดน เข้า ถึงอยู่ไดํในเวลาไม่นาน\" หสังจากที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักอาพารดาบสไม่นานพระ โพธิสัตว์ ก็บรรลุ อาทิญจัญญายตนสมาบัติ เช่นเดียวกับอาจารย์ จึงเข้าไปรายงานให้ท่านทราบ ในทันทีที่อาพารดาบสได้ทราบผลสำเร็จขยงพระโพธิสัตว์ ก็กล่าวเชิญพระโพธิสัตว์ให้อยู่เป็นอาจารย็ในสำนักด้วยความยินดียิ่จ แต่พระโพธิสัดวกสับปฏิเสธคำเชิญนัน ด้งที่พระพุทธองค์ต•รสเล่า แก่เหล่าพุทธสาวกว่า \"ภิกษุทั้งหลาย อาทารดาบส กาลามโคตร ทัง้ที่ เป็นอาจารย์ของเรา ก็ยกย่องเราผู้เป็นคืษย็ให้เสมอกับตน และบูชาเราค้วยการบูชาอย่างคืค้วยประการอย่างนี้ พุฑรปรรวต ทบบทารฟึนฟูคลธรรมโลก ๑๑๒ บฑที่ (ท การตรัสรู้ซองพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จ t. www.kalyanamitra.org
แต่เราคิดว่า'ธรรมนี้เ[ม'เป็นไปเพื่อความเบื่อหนำย เพื่อคลายกำหนด เพื่อด้บ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อ ตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน เป็นไปเพียงเพื่อเข้าถึง อากิญจัญญายตนสมาบติเท่านั้น' เราไม่พอใจ เบื่อหน่ายธรรมนั้น จึงลาจากไป\"® ขยายความ อรูปฌาน เป็นการทำสมาธิชั้นสูงต่อจาก รูปฌาน ๔ หาก เป็นการเจริญอรูปฌานภายนอกต่ว อย่างเช่นของพวกฤๅษีดาบส ก็จะกำหนดอากาศ เป็นตน ที่ไดจากการเพ่งรูปฌานชั้นที่ ๔ เป็น อารมณ์ แต่อรูปฌานที่ได้นี้ เป็นไปเพื่อสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อเป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนา พระโพธิสัตว์จึง ทรงละเลิกการฟ้กไป แต่ถ้าด้องการเจริญอรูปฌานในพระพุทธศาสนาเพื่อใช้ เป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนา ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นการปล่อย วางใจอย่างนุ่มนวลแน่วแน่ อย่างต่อเนื่อง ณ ศูนย์กลางกาย โดยมีอากาส มีวิญญาณ เป็นต้น ที่อยู่ในรูปฌานขั้นที่ ๔ เป็น อารมณ์ที่งมี ๔ ระต้มต่อไปนื่คอ อรูปฌานที่ ๑ อากาสานัญอายตนฌาน โดยกำหนดในใจ ด้วยบริกรรมว่า อากาศหาที่สุดมีไต้ เป็นอารมณ์ ® ปาสราสิสูตร : ม.มู.(ไทย)๑๒/๒๗๗/๓๐๒ พุทรปรราต ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโลก ^ ๑®๓ ^ บกกี๋ ท ทารดรัลรู้ชองพะสัมมาส้มทุทmจา www.kalyanamitra.org
อรูปฌานที่ ๒วิญญานัญจายตนฌาน โดยกำหนดในใจ ด้วยบริกรรมว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เป็นอารมณ์ อรูปฌานที่ ๓ อากิญจัญญายตนฌาน โดยกำหนดในใจ ด้วยบริกรรมว่า อะไรๆ ก็ไม่มิ เป็นอารมณ์ อรูปฌานที่ ๔ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยล่วง อากิญจัญญายดนฌานด้วยประการทั้งปวงจึงเหลือแต่ มิสัญญาก็ ไม่ใช่ไม่มิสัญญาก็ไม่ใช่ เป็นอารมณ์ อรูปสมาบเตินี้ นอกจากเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขใน ปัจจุบนแล้ว ยังเป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนาให้บรรลุเป็น พระอริยบุคคลทั้ง ๔ ระดับไดอกด้วย โดยอรูปสมาบติ ๓ ข้างด้น สามารถพิจารณาธรรมที่อยู่ภายในสมาปัดได้ หรือออกจากอรูป- สมาบัติแล้ว พิจารณาธรรมในอรูปสมาบัติที่ตนเข้า หรือในอรูป สมาบัติอื่นก็ได้ ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มีสัญญาและ ธรรมอื่นไม่ปรากฏชัด จึงจำด้องออกจากอรูปฌานนี้ก่อน แล้วจึง พิจารณาธรรมในอรูปสมาปัดอื่น สำ หรับพระอนาคามีบุคคล^ด้อรูปสมาบัติ และเข้า สัญญาเวทยิดนิโรธสมาบัติได้ ท่านก็มักจะใข้นิโรธสมาบัติเป็น บาทฐานในการทำจิตให้ประณีดที่สุด ออกจากนิโรธแล้วจึงเจริญ วิปัสสนา โดยพิจารณาธรรมในอรูปสมาบัติ ๓ ข้างด้น ฌานใด ฌานหนึ่งแล้วบรรลุอรห้ดผลเหมีอนด้งเช่นพระสารืบุดรเถระ ทั้งรูป ฌาน ๔ และอรปฌาน ๔ รวมเรืยกว่า สมาบัติ ๘ พุทรปรรวัผํ ฉบับกาพึ๋เนฟูคลธรรมโรท ๑®๔ บทท เท การครัสร้ของพระสัมมาสมพฺทแจ้า _ Xq •' 9^ o www.kalyanamitra.org
ในสำนักอุทกดาบส เมื่อลาจากอาพารดาบส กาลามโคตรไปแล้ว พระโพธิสัตว์ยัง คงมีความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล หรือธรรม คือ นิพพาน ต่อไป ซึ่งเป็นการแสวงหาทางอันประเสริฐคือความสงบ ซึ่งไม่มี ทางอื่นยิ่งกว่า ตามเจตนารมณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ในที่สุต พระองคใด้เข้าไปยังสำนักอุทกตาบสรามบุตร แล้วกล่าวว่า \"ท่านรามะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหม จรรย1นธรรมวินัยนี้\" ® อุทกตาบส รามบุตร ได้กล่าวตอบเชื้อเชิญพระโพธิสัตว์ เช่นเดียวกับอาพารตาบส กาลามโคตร ว่า \"เชิญท่านอยู่ก่อน ธรรมนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันกับ ธรรมที่วิญฌูชนจะพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ตาม แบบอาจารย์ของตน เข้าถึงอยู่ไดิในเวลาไม่นาน\" เมื่อได้รับการด้อนรับเชื้อเชิญด้วยไมตรืใจเช่นนั้น พระ โพธิสัตว์ก็ด้ตสินใจพำนักอยู่ในสำนักอุทกตาบส เพื่อบำเพ็ญเพึยร ต่อไปอีก ไม่นานนักก็บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบํต เช่น เดียวกับอาจารย์อุทกตาบส รามบุตร จึงเข้าไปรายงานให้ท่านทราบ ในทันทีที่ได้รับฟังผลสำเร็จของศิษย์ ทั้งตื่นเด้นดีใจเป็น อย่างยิ่ง พรัอมทั้งได้เชิญพระโพธิสัตว์Iห้อยู่เป็นอาจารย็ในสำนัก ของตน แต่พระโพธิสัตว์ก็ปฏิเสธเช่นเคยด้งที่พระพุทธองค์ตรัส เล่าแก่เหล่าพุทธสาวกว่า ® ปาสราสิสูตร ะ ม.มู.(ไทย)๑๒/๒๗๘/๓๐๒ ทุฑธประวัติ ฉบับการล้นฟูศีลธรรมโลก ^ ๑๑๕ ^ ฆ*•ที\"การรรัลรุ้ของพระสัมมาฒัพุทธพา www.kalyanamitra.org
\"ภิกษุทั้งหลาย อุทกดาบส รามบุตร ทั้งที่เป็น เพื่อนพรหมจารีของเรา ก็ยกย่องเราไวในฐานะอาจารย์ และบูชาเราด้วยการบูชาอย่างดีด้วยประการอย่างนี้ แต่เราคิดว่า *ธรรมนึ้1ม่เป็นไปเพื่อดวามเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อ ตรัสรู้และเพื่อนิพพาน เป็นไปเพียงเพื่อเข้าถึงเนวสัญฌา- นาสัญญายตนสมาบดเท่านั้น'เราไม่พอใจเบื่อหน่ายธรรมนั้น จึงลาจากไป\" ® สถานที่บํๆเพ็ญเพ็ยรอันน่ารื่นรมย์ เมื่อพระโพธิสัตว์ลาจากอุทกดาบส รามบุตรไปแล้ว ก็ยัง มั่นคงในเป้าหมายเดิมว่า จะแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล เป็นทาง อันประเสริฐคือความสงบ ซึ่งไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า ได้เที่ยวจาริกไป ในแคว้นมคธโตยลำดับ จนกระมั่งถึง ตำ บลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่ง มีภูมิประเทศเป็นที่น่ารื่นรมย์มีราวป๋าน่าเพลิดเพลินใจมีแม่นํ้า ไหลรินไม่ขาดสาย มีท่านํ้าสะอาดดี น่ารื่นรมย์ มีโคจรคาม (หมู่บานที่ภิกษุไปเที่ยวบิณฑบาต) อยู่โดยรอบ เหมาะแก่การ บำ เพ็ญเพียรของกุลบุตรผู้ปรารถนาจะบำเพ็ญเพียร พระโพธิสัตว์ จึงดัดสินใจแวะพ็กในราวป่านั้น เพราะคิดว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะ แก่การบำเพ็ญเพียร และ ณ สถานที่อันน่ารื่นรมย์นี้เอง พระองค์ ได้ทรงเลือกประท้บบำเพ็ญเพียรอยู่ใดัดันไม่ใหญ่ ริมฝังแม่นํ้า เนรัญชรา ดันไม่ใหญ่นั้นมีชื่อว่า \"อัสสัตถพฤกษ์\" ซึ่งภายหสังต่อ •s s s ^ ® ปาสราสิสูตร ะ ม.มู.(ไทย)๑๒/๒๗๘/๓๐๓ vinรปรรวัฬ ฉบับการฟินฟูสืร!rรรมโรก ^ (ะ)®๖ บทที่ a ทารดรั องพระล้ขมาสมทุฑทจ้า www.kalyanamitra.org
มาชาวพุทธได้รู้จักในนามว่า \"พระศรีมหาโพธ\" สถานที่แห่งการ ตรัสรู้ธรรม อุปมา ๓ ข้อ สมัยหนึ่ง เมื่อพระสัมมาส้มพุทธเจัา เสด็จไปฉันภัตตาหาร พรัอมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ณ พระราชนิเวศน์ของโพธิราชกุมาร® เมื่อโพธิราชกุมารทรงทราบว่าพระพุทธองค์เสวยเสร็จ ละพระหัตถ์ จากบาตรแล้วจึงกราบทูลสนทนาธรรมภับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าประสบการถโก่อนการตรัสรู้ ทั้งใน สำ นักอาฬารดาบส และอุทกดาบส เรื่อยมาจนถึงสถานที่บำเพ็ญ เพียรแห่งใหม่ ณ อุรุเวลาเสนานิคม ใหัแก่โพธิราชกุมาร ทำ นอง เดียวภับที่ตรัสเล่าแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย พระพุทธองค์ใด้ตรัสเล่าว่า ในครั้งนั้นได้มีแนวศิตใหม่อัน น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ปรากฏขึ้นในใจ ของพระองค์พรัอมด้วยอุปมา ๓ ข้อ ด้งมีสาระสำคัญ ด้งนี้ แนวคิดข้อแรก คือ สมณะหรีอพราหมถโเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีกายและใจยังไม่หลีกออกจากกาม ยังมีความพอใจ ความรักใคร่ ความหลง ความกระหาย และความกระวนกระวายทั้งหลาย ยัง มิได้ละและมิได้ระงับอย่างเบ็ดเสร็จภายใน สมณะหรีอพราหมถโผู้ เจริญเหล่านั้น แมัเสวยทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ซึ่งเกิดขึ้นเพราะ ® โพธิราชกุมารสูตร ะ ม.ม.(ไทย)๑๓/๓๒๔-๓๔๖/๓๙๒-๔๒0 ทุฑธประวัคิ ฉบับการฟ้นฟูสืล!รรรมโลก ๑๑๗ บฑทึ๋ ® การตรัสรู้ของพระล้มมาส้มทุทแจ้า www.kalyanamitra.org
ความเพียร หรือแม้มิได้เสวยทุกขเวทนาแต่ประการใด ซึ่งเกิดขึ้น เพราะความเพียร ก็เป็นผู้!ม่ควรแก่การรู้ การเห็น และการ ตรัสรู้อันยอดเยี่ยม แนวคิดข้อแรกนี้ เป็นอุปมาฃ้อที่ ๑ ซึ่งเปรืยบเหมือนไม้สด มืยางที่แช่อยู่ในนํ้า บุรุษนำไม้นั้นมาทำไม้สีไฟ ก็เหนื่อยเปล่า เพราะไฟจะไม่ติดอย่างแน่นอน แนวติดข้อสอง คือ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้มีกายออกจากกามแล้ว แต่ยังมืความพอใจ ความรักใคร่ ความหลง ความกระหาย และความกระวนกระวายในกามทั้งหลาย ยังมิได้ละ และมิได้ระงับอย่างเบ็ดเสร็จภายใน สมณะหรือ พราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น แม้เสวยทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ซึ่ง เกิดขึ้นเพราะความเพียรหรือแม้มิได้เสวยทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความเพียร ก็เป็นผู้!ม่ควรแก่การรู้ การเห็น และการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม แนวคิดข้อสองนี้ เป็นอุปมาข้อที่ ใอ ซึ่งเปรืยมเหมือนไม้สด มียางทีวางอยู่บนบกห่างจากน่า บุรุษนำไม้นั้นมาทำไม้สีไฟ ก็ เหนึ่อยเปล่า เพราะไฟจะไม่ติดอย่างแน่นอน แนวติดข้อสาม คือ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีกายและใจหสิกออกจากกามแล้ว ทังละและระงับความพอใจ ความรักใคร่ ความหลง ความกระหาย และความกระวน กระวายในกามทั้งหลายได้อย่างเบ็ดเสร็จภายในแล้ว สมณะ หรือพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น แม้เสวยทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ฬุทรปร£วัติ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโลก ๑๑๘ บทฑึ๋ m การตรัสรู้ชองพระส้มมาลมพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความเพียร หรือแรJมิได้เสวยทุกขเวทนาอย่าง แรงกล้า ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความเพียรก็เป็นผู้ควรแก่การรู้การเห็น และการตรัสรู้อ้นยอดเยี่ยม แนวคิดข้อสามนี้ เป็นอุปมาข้อที่ ๓ ซึ่งเปรืยบเหมือนไม้ ที่แห้งสนิท ซึ่งวางอยู่บนบกห่างจากนํ้า บุรุษนำมาทำเป็นไม้ สีไฟก็ไม่เหนื่อยเปล่าไฟย่อมติดอย่างแน่นอน จากอุปมาทั้ง ๓ข้อนี้ย่อมขึ้ชัดว่า บุดดลที่จะประสบดวาม ก้าวหน้าและดวามสำเร็จในการบำเพ็ญเพียร จนถึงข้นการ ตรัสรู้ส้จธรรมนั้น จำ เป็นต้องเป็นผู้ฝืกตนมาแล้วอย่าง มากมาย จนกระทั่งมีกาย วาจา ใจ บริสุฑธสะอาด สงบ ปราศจาก ดวามกระวนกระวายในกามคุณทั่ง ๕ อีกทั่ง กิเลสที่เดยแฝงอยู่ในใจก็ต้องถูกขอ้ดให้หมดสินไป ต้วย ดวามสงบ และดวามสว่าง อ้นเกิดจากผลสำเร็จของการ บำ เพ็ญเพียรทางใจที่ก้าวหน้ามาตามสำต้บ ๆนั้นเอง การบำเพ็ญเพียรณ อุรุเวลาเสนานิดม เนื่องจากการบำเพ็ญเพียรในราวป่าอ้นน่ารื่นรมย์ ณ ตำ บล อุรุเวลาเสนานิคมนั้น ปราศจากครูบาอาจารย์เป็นผู้ขึ้แนะ พระ โพธิสัตว์จึงต้องบำเพ็ญเพียรโดยการลองผิดลองถูก ตามความคิด ของตนเอง ตามลำพังถึง ๖ ปี จึงตรัสร้สัมมาสัมโพธิญาณ พุทธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูศลธรรมโลก ๑๑๙ บททึ๋ เท การตรัสรู้ของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา พระพุทธองคใด้ตรัสเล่าแก่โพธิราชกุมารว่า วิธีที่ทรง ทดลองปฏิบัติอันดับแรก ก็คือ การบำเพ็ญทุกกรกิริยา ซึ่ง เป็นการปฏิบํตแบบสุดโต่ง เป็นการทรมานดนด้วยวิธีต่างๆ เพื่อ บรรลุผลที่มุ่งหวัง อันเป็นความเชื่อฝ่ายอัตดกิลมถานุโยค ซึ่งเป็น ที่นิยมยกย่องกันในหมูนักบวชอินเดียจำนวนมาก ว่าเป็นการ กระทำอย่างยอดเยี่ยม วิธีบำ เพ็ญทุกกรกิริยาของพระโพธิสัตว์นั้น อาจแปงได้เป็น ๓ วาระ คือ วาระที่ ๑ ทรงไชวิธีกดฟันด้วยฟัน ไชลิ้นด้นเพดานไวัแน่น ไซไจข่มคั้นไจ ทำ ไจไห้เร่ารัอน ครั้นเมื่อทำติดต่อกันเป็นเวลานาน กายของพระโพธิสัตว์ก็กระวนกระวาย ไม่สงบระงับ จึงทรงเปลี่ยน มาไชวิธีไนวาระที่ ๒ วาระที่ ๒ ทรงไชวิธีกลั้นลมหายไจเข้าและออก ทั้งทางปาก และทางจมูก ทำ ไห้ลมออกทางหูทั้ง ๒ ข้าง และมีเสียงด้งอู้ๆ น่ารำคาญยิ่งนัก จึงทรงกลั้นลมหายไจเข้าและออกทั้ง ๓ ทาง คือ ทาง ปาก ทางจมูก และทางหู ลมจึงดีขึ้นเบื้องบน ยังผลไห้ พระโพธิสัตว์ปวดศีรษะอย่างแรงกล้า แต่บางครั้งลมก็ดีลงมา เบื้องล่าง ยังผลไห้เสียดท้องอย่างรุนแรงอีก ไม่ว่าจะเป็นแบบได กายของพระโพธิสัตว์ก็กระวนกระวายไม่สงบระงับลงได้ จึงเปลี่ยน มาไข้วิธีไนวาระที่ ๓ วาระที่ ๓ ทรงไข้วิธีลดปริมาณอาหารที่ฉันไนแต่ละวันไห้ นัอยลงๆ เรื่อยๆ จนแทบไม่ได้ฉันอะไรนัก ยังผลไห้ร่างกายอํอนแอ ทุฑธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโลก ๑๒๐ บททึ๋ m ทารดรัทุ้ของพระสัมมาส้มทุทธพ้ น0 www.kalyanamitra.org
ผอมแห้งแรงน้อย ผิวพรรณหมองคลํ้า ขณะที่ใช้ฝ่ามือลูบกาย เส้น ขนที่รากเน่าก็หลุดร่วงติดมากับฝ่ามือ ร่างกายอ่อนแอถึงขนาด ต้อง ชวนเซส้มลงในขณ,ะที่พยุงกายจะล่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ แม้พระโพธิส้ดว์ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส อย่างต่อเนื่องนานน้บแรมปี แต่ก็กังมิไต้บรรลุญาณทัสสนะที่ ประแทิฐอันวิเศษยิ่งกว่าธรรมของมนุษ?รงทรงรำพึงอยู่ในพระทัยว่า \"จะมืวิธีอื่นเพื่อการดรัสร้บ้างหรือไม่หนอ\" ปัญจวัคดียออกบวช ฝ่ายโกณฑัญญพราหมณ์ ๑ ในพราหมณ์ ๘ คน ซึ่งถูก เลือกให้เป็นผู้ทำนายพระลักษณะของสิทธัตกะราชกุมาร เมื่อพระ ชนมายุไต้ ๕ วัน พราหมณ์ ๗ คน ทำ นายลักษณะของพระโอรส มืคติเป็น ๒ อย่าง แต่โกณฑฌญพราหมณ์ทำนายเป็นคติเดียว คือ เสด็จออกบรรพชาเป็นศาสดาเอกของโลกและไต้ขนานพระนามเป็น ๒ คือ สิทธัตถะ แปลว่า ผู้มืความต้องการสำเร็จ และ อังดีรสะ แปล ว่า ผู้มืวัศมืสวยงาม แต่นิยมเรืยกกันว่า โดดมะ เพราะเป็นโคดรของ พระองค์ เมื่อโกณฑัญญพราหมณ์ ทราบข่าวว่าพระมหาบุรุษเสด็จ ออกบวช จึงชวนบุดรของพราหมณ์ออกบวชต้วยกันรวม ๕ คน คือ ๑. โกณฑัญญะ ๒. วัปปะ ๓. กัททิยะ ๔. มหานามะ ๕. อัสสชิ เดินทางมาพบพระโพธิลัดว์ ขณะบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ที่ตำบล อุรุเวลาเสนานิคม เหล่าปัญจวัคคืย์ต่างคอยเผิาดูแลอุปัฏฐาก ทุทธประวัต ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโลก ©๒® บทฑี๋ m การflรัสรํของพระสัมมาสัมV{ทธ1วัา www.kalyanamitra.org
พระโพธิสัตว์ทุกคั้าเช้า ด้วยหวังว่าเมื่อพระองค็ได้บรรลุธรรมแล้ว วักถ่ายทอดสั่งสอนพวกตนบ้าง ทรงรำลึกถึงการบรรลุปฐมฌานที่ใต้ต้นหว้า ขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงรำพึงถึงวิธีอื่นเพื่อการตรัสรู้อยู่นั้น ก็ทรงระลึกได้ว่า เมื่อครั้งที่ยังทรงพระเยาว์มีพระชนมายุได้๗พรรษา ได้ตามเสด็จท้าวสักกาธิบดี ซึ่งเป็นพระราชบิดาไปในงานวัปปมงคล แรกนาขวัญ ในตอนปายวันนั้น ขณะที่พระราชกุมารประท้บ นั้ง อยู่ใด้ด้นหวัาอันร่มเย็นได้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย แล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก(ความตรึก)วิจาร(การพิจารณาอารมณ์)ปีติ (ความดื่มดาในใจ) และสุขอันเกิดจากวิเวก (ความสงัด) อยู่ เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงระลึกได้เช่นนั้นจึงมีดำริว่าประสบการณ์ ในครังนัน น่าจะเป็นทางแห่งการตรัสรู้ ทั้งยังมีดำริอีกด้วยว่า การ มีร่างกายผอมแห้งแรงน้อยด้งที่เป็นอยู่คงจะไม่เอื้อต่อการบำเพ็ญเพึยร ด้งนั้น จึงเริ่มฉันอาหารตามปกติ ซึ่งเป็นเหตุให้ภิกษุปัญจวัคคีย์ พากันเช้าใจผิดว่า พระโพธิสัตว์คลายความเพึยรเสียแล้ว จึงพา กันลาจากไป ความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียร หสังจากพระโพธิสัตว์ทรงรำลึกได้ถึงการบรรลุปฐมฌานที่ ใด้ด้นหวัา เมื่อครั้งทรงพระเยาว์แล้ว ก็ทรงบำรุงพระวรกายให้ สมบรณ์แข็งแรง ด้วยการฉันอาหารตามปกติ ขณะเดียวกันก็ทรง พุทรปรรว้ด aijunารฟ้นฟูสืลธรรมโลก ๑๒๒ บทที่ 09 การครัสรู้!เองพระสัมมาส้มพุทธเจ้า 0. ^ ^ ท www.kalyanamitra.org
รำ ลึกถึงการบำเพ็ญภาวนาในสำนักดาบสทั้ง๒ท่านที่ผ่านมาผนวก กับข้อมูลเกี่ยวกับการค้นหา \"ธรรม\" ของนักปราชญ์นักคิดใน อดีตที่เชื่อว่า\"ธรรม\"มีอยู่จริง และอยู่ภายในกายของมนุษย์ ครั้นแล้วพระโพธิสัตว์จึงทรงทุ่มเทพระวิริยะอุตสาหะให้แก่ การเจริญสมาธิภาวนาอีกครั้งหนึ่งตามแนวทางของพระองค์เอง โดยเฉพาะ ด้วยความไม่ประมาท เกิดความกัาวหน้าไปเป็นสำด้บๆ จนกระทั้งทรงมีความเชื่ยวชาญในการบำเพ็ญเพียรถึงขั้น สามารถเข้าถึงความเป็นสหายกับเหล่าเทวดาทุกขั้น ด้งที่ พระพุทธองค์ตรัสเล่าแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายใน คยาสีสสูตร® ว่า ๑. ก่อนจะตรัสรู้ เราเป็นโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ เราได้รู้ โอภาส'ปี แตไฝเห็นรูปทั้งหลาย ๒. เรานั้นได้มีความคิตด้งนี้วำ \"ถ้าเรารู้โอภาสและเห็นรูป ทัง้ หลาย ด้วยอาการอย่างนี้ญาณทัสสนรf นีข้ องเรา ก็ จะบริสุทธยิ่งขึ้น\" สมัยต่อมา เรานั้นเป็นผูไม่ประมาท มีดวามเพียร อุทิศกายและใจอยู่ รู้โอภาสและเห็นรูปทั้งหลาย แตํ เราไฝได้ยนเจรจาปราศรัยยับเทวดาเหล่านัน ® คยาสีสสูตร : ม.ม.(ไทย)๒๓/๖๔/๓๖๔-๓๖๖ ^ โอภาสในที่นี้หมายถึง ทิพพจักขุญาณ คือเห็นความสว่าง ะ อง..อฎรก.อ.(บาลี)๓/ ๖๔/๒๗๐ ญาณฑ้สสนะในที่นี้หมายถึงทัสสนะคือญาณที่เป็นทิพยจักขุในสูตรนี้กล่าวถึงญาณ ๘ คือ (๑) ทิพพจักขุญาณ (๒) อิทธวิชญาณ (๓) เจโตปริยญาณ (๔) ยถา กัมมูปคญาณ (๕) อนาคตังสญาณ (๖) ปัจจุปปันนังสญาณ (๗) อตีตังสญาณ (๘)ปุพเพนิวาสญาณ ะ อง..อ{jรก.อ.(บาลี) ๓/๖๔/๒๗๐) ทุทธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูสืรธรรมโลก ©๒๓ ม ® ทารตรัajของพระสัมมาลัมพุทธเจ้า ท '>'^» www.kalyanamitra.org
๓. เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า \"ถ้าเรารู[อภาส เห็นรูป ทัง้หลายและยืนเจรจาปราศรัยกับเทวดาเหล่านั้น ด้วย อาการอย่างนี้ ญาณท้สสนะนี้ของเราก็จะบริสทธี้ ยิ่งขึ้น' สมัยต่อมา เรานั้นเป็น^ม่ประมาท มีดวามเพียร อุทิศกายและใจอยู่ รู้โอภาส เห็นรูปทั้งหลาย และปีน เจรจาปราศรัยกับเทวดาเหล่านั้น แต่ไม่รู้จัก เทวดาเหล่านั้นว่า*เทวดานั้มาจากเทพนิกายโน้น ๆ' ๔.-๗. เรานั้นได้มีความคิดด้งนี้ว่า \"ถ้าเรารู้โอภาสเห็นรูปทั้ง หลายปีนเจรจาปราศรัยกับเทวดาเหล่านั้น และ รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า 'เทวดาเหล่านั้มาจากเทพ นิกายโน้นๆ' ด้วยอาการอย่างนิ ญาณกัสสนะนี้ ของเราก็จะบริสุทธรงขึ้น\" สมัยต่อมา เรานั้นเป็นผูไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ รู้โอภาส เห็นรูปทั้งหลาย ยืน เจรจาปราศรัยกับเทวดาเหล่านั้น และรู้จักเทวดา เหล่านั้นว่า 'เทวดาเหล่านี้มาจากเทพนิกายโน้นๆ'แต่ ไม่รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า'ด้วยวิบากแห่งกรรมนี้เทวดา เหล่านี้จุติจากภพนี้แล้ว จึงมาเกิดในภพนั้น ฯลฯ รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า 'ด้วยวิบากแห่งกรรมนี้ เทวดาเหล่านี้จุติจากภพนี้แล้ว จึงมาเกิดในภพนั้น' แต่ไม่รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า 'ด้วยวิบากแห่งกรรมนี้ เทวดาเหล่านี้มีอาหารอย่างนี้เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้' ฯลฯ ทุฑ&ปรรวัฬ๊ ฉบับกา-รฟ้นฟูสิลธรรมโสก ^ ๑๒๔ ^ นทที๋ a การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมทุฑธ1^า www.kalyanamitra.org
รู้จักเทวดาเหล่านั้นวำ'ด้วยวิบากแห่งกรรมนี้เทวดา เหล่านี้มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ แต้ไม่รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า *เทวดาเหล่านี้มีอายุปีน อย่างนี้ดำรงอยู่ได้นานอย่างนี้ ฯลฯ รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า'เทวดาเหล่านี้มีอายุปีนอย่าง นี้ดำ รงอยู่ได้นานอย่างนี้ แต้ไม่รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า 'เราเคยอยู่ร่วมหรือไม่เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านี้ ๘. เรานั้นได้มีความคิดด้งนี้ว่า \"ถ้าเรารู้โอภาส เห็นรูปทั้ง หลายปีนเจรจาปราศรัยกับเทวดาเหล่านั้น และรู้จัก เทวดาเหล่านั้นว่า'เทวดาเหล่านี้มาจากเทพนิกายโน้นๆ' รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า 'ด้วยวิบากแห่งกรรมนี้เทวดา เหล่านี้จุติจากภพนี้แล้ว จึงมาเกิดในภพนั้น' รู้จัก เทวดาเหล่านั้นว่า 'เทวดาเหล่านี้มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้' รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า าทวดาเหล่านี้มีอายุปีนอย่างนี้ดำรงอยู่ได้นานอย่างนี้' และรู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า 'เราเคยอยู่ร่วม หรือไม่ เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านี้' ญาณกัสสนะนี้ของเรา กิจะบริสทธี้ยงขึ้น จ่ สมัยต้อมา เรานั้นเป็นผูไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ รู้โอภาส เห็นรูปทั้งหลาย ปีน เจรจาปราศรัยกับเทวดาเหล่านั้น และรู้จักเทวดา เหล่านั้นว่า 'เทวดาเหล่านี้ มาจากภพนิกายโน้นๆ' รัจักเทวดาเหล่านั้นว่า 'ด้วยวิบากแห่งกรรมนี้เทวดา ทฑรป'?ราดิ ฉบบการส์นฟูศลธรรนโลก ๑๒๕ บฑกึ๋ m การลรัสรของพระลันมาลันทุทธเจ้า V ^ V® tr www.kalyanamitra.org
เหล่านี้จุติจากภพนี้แล้ว จึงมาเกิดในภพนั้น' รู้จัก เทวดาเหล่านั้นว่า 'เทวดาเหล่านี้มีอาหารอย่างนี้เสวย สุขและทุกข์อย่างนี้' รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า 'เทวดา เหล่านี้มีอายุรนอย่างนี้ ดำ รงอยู่ได้นานอย่างนี้' และ รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า 'เราเคยอยู่ร่วมหรือไม่เคยอยู่ ร่วมกับเทวดาเหล่านี้' อาการแห่งการตรัสรู้ หลังจากที่การบำเพ็ญเพียรทางใจของพระโพธิสัตว์มี พ็ฒนาการก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ ๆ ในเช้าของวันที่พระโพธิสัตว์จะตรัสรู้นั้นเอง นางสุชาตา ซึ่ง เป็นธิตาของผู้มีทรัพย์ และเป็นนายใหญ่แห่งชาวบ้านเสนานิคม ตำ บลอุรุเวลาไดัถวายช้าวปายาสบรรจุในถาตทองคำแก่พระโพธิสัตว์ (นางมีบุตรชื่อ ยสะ ซึ่งต่อมาออกบวชและเป็นพระอรหันต์) นาง สุชาดาได้รับยกย่องเป็นปฐมอุบาสิกาพรัอมก้บภรรยาเก่าของยสะ (ซึ่งเป็นลูกสะใภ้) และได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะ ในบรรตา อุบาสิกาผู้ถึงสรณะก่อน® พระโพธิสัตว์ทรงปันช้าวมธุปายาสในถาตนั้น๔๙ก้อน เสวย จนหมด แล้วเสด็จไปยังริมฝังแม่นํ้าเนรัญชรา ทรงยกถาดทองคำ ขึ้นอธิษฐานจิดแล้วลอยนั้าไป เห็นเป็นนิมิดว่า จักได้บรรลุพระ สัมมาสัมโพธิญาณ ® เอตทัคควรรค ะ อ้ง.เอกก.(ไทย)๒๐/๒๕๘/๓๒ ทุฑฮประวัติ ฉบับการฟ้นฟู ธรรมโลก ๑๒๖ ฆทฑี๋ ๓ การตรัทรู้ของพระสมมาสมพุทธพา www.kalyanamitra.org
ครั้นยามเย็น จึงเสด็จไปที่ต้นอัสสัตถพฤกษ์ (ต้นโพธึ๋ใบ) ระหว่างทางมีพราหมณ์ชื่อโสตถิยะ ถวายหญ้าคาสำหรับปูนั่ง ๘ กำ ทรงปูลาดที่ใต้ต้นอัสสัดลพฤกษ์บังเกิดเป็นรัตนบัลลังก์สูง ๑๘ ศอก แล้วประทับนั่งขัดสมาธิ ผินพระพักตร์ไปทางทิศดะวันออก ทรง ตั้งจาตุรงคมหาปธาน''เป็นลัดยาธิษฐานว่า \"จะเหลืออยู่แต่หนังเอ็นกระดูกก็ตามทีเนื้อและเลือด ในสรีระจงเหือดแห้งไปเถิด ยังไม่บรรลุผลที่พึงบรรลุด้วย เรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพึยรของบุรุษ ด้วยความ บากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพึยรล้มโพธิญาณนัน เราบรรลุได้ด้วยความไม่ประมาท\" ขณะที่พระโพธิลัดว์กำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่นัน วสวัตตี พญามารพร้อมต้วยเหล่าเสนามาร ไต้ยกพวกมาแสดงฤทธิฃ่มขู่ พระโพธิลัดว์ แต่ในที่สุดก็ฟายแพัทศบารมีของพระโพธิลัดก์จึงพา ทันหนีไป เมื่อพระโพธิลัดว์ทรงชนะพญามารและเสนามารแล้ว ก็ ทรงรวมใจเป็นเอทัคคดา หยุดนิ่ง ณ ศูนย์กลางกาย บรรลุธรรม ไปดามสำต้บต้งที่พระพุทธองค์ตรัสเล่าแก่โพธิราชกุมารในโพรราช กุมารสูตร'\" ดังนี้ •— ——• ® ความเพียรประกอบด้วยองค์๔ อย่างนี้คือหนังเป็นองค์๑ เอ็นเป็นองค์๑ กระดูก เป็นองค์ ๑ เนี้อและเลือดเป็นองค์ ๑ แล้วปฎิบ้ตอย่างนี้ว่า เราไม่บรรลุพระอรหัต แล้วจักไม่ลุกขึ้น : ม.ม. อ.กิฏาคิรีสูตร ๒๐/๔๓๙ ^ อุปัญญาตสูตร ะ อัง.ทุก.(ไทย)๒๐/๕/๖๑ โพธิราชกุมารสูตร ะ ม.ม.(ไทย)๑๓/๓๓๖/๔๐๕-๔๐๖ พฑรปรรวัฬ ฉบับการล้นฟูศลธรรมโลก ^ ๑๒๗ ^ ฆฑทึ๋ m การตรัสเของพระสัมมาล้มพุฑธเจ้า www.kalyanamitra.org
การบรรลุฌาน จิ ในขั้นต้นพระพุทธองค์ตรัสเล่าถึงการบรรลุฌานว่า \"ราชกุมาร อาตมภาพฉันอาหารหยาบให้ร่างกายมี กำ ลัง สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแลัว บรรลุ ปฐมฌานที่มีวิตก วิจารปีติและสุขอ้นเกิดจากวิเวกอยู่ เพราะวิตกวิจารสงบระงับไปบรรลุทุติยฌานมีดวาม ผ่องใสในภายในมีภาวะจิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มี วิจารมีแต่ปีติและสุขอันเกิตจากสมาธิอยู่ เพราะปีติจางคลายไป มีอุเบกขา มีสติลัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข* เพราะละสุขและทุกๆรได้ เพราะโสมนัสและโทมนัส ด้บไปก่อนแลัว บรรลุจตุตกฌาน ที่ไฝมีทุกข์ไฝมีสุข มีสติ บริสุทธเพราะอเนกขาอยู่\" ขยายความ : ฌาน แปลว่า ธรรมเครื่องแผดเผากิเลสมีนิวรณ์เป็นต้น หรือ เพ่งอารมณ์ เพ่งไตรลักษณะ โตยความหมายนี้ ฌานจึงถูกแปงเป็น ๒ อย่าง คือ ๑. ฌานที่เป็นสมถะ เรืยกว่า อารัมมณูปนิชฌาน เพราะ เข้าไปเพ่งหรือจดจ่ออารมณ์ เช่น กสิณ เป็นต้น ทุฑธประว้ต ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโสก ๑๒๔ บฑฑึ๋ 01 การตรัส!รองพระสมมาสัมพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
๒. ฌานที่เป็นวิปัสสนา เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะ เพ่งไตรลักษณ์มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา ของรูปนาม ฌานทั้ง๒นั้นเป็นได้ทั้งโลกียฌาน และโลกุตตรฌานตาม สมควร ความหมายของฌานในพระไตรปิฎก จึงหมายถึง ผลที่ได้ จากการเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นอัปปนา แนบแน่นใน อารมณ์ลัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่งจนนิวรณ์สงบราบคาบ วิธีการเจริญฌาน คือ การกำหนตกุศลนิมิตอย่างใตอย่าง หนึ่งอย่างสบาย ณ ศูนย์กลางกาย หรีอการปล่อยวางใจอย่างนุ่ม นวลอ่อนโยน ณ ศูนย์กลางกายของตนในลักษณะที่เรียกว่า ทิงทุก อย่าง วางทุกสิง นิ่งอย่างเดียว เมื่อวางใจได้ถูกส่วนแลัว ใจก็หยุต นึ่งอย่างต่อเนึ่อง สามารถปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ ทั้งหมตได้ จึง เป็นภาวะที่ใจประณีตและสงบมาก เข้าฌาน คือ อาการที่^ด้สมาธิขั้นสูงปล่อยวางใจอย่าง นุ่มนวลในอารมณ์เดียวอย่างต่อเนึ่องนานๆ ใจที่เข้าฌานมีอยู่ ๒ ขั้นคือขั้นรูปฌานและขั้นอรูปฌาน แต่ละขั้นมี ๔ระด้บด้วยกัน ขั้นรูปฌาน เป็นการปล่อยวางรูปธรรมอย่างนุ่มนวลเป็น อารมณ์มี ๔ระดับตามอารมณ์ที่ประณีตยิ่งขึ้นไปตามลำด้บๆ คือ ๑. ปฐมฌาน คือการปล่อยวางกามคุณ ๕ ด้วยการ ทำ ใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายในณศูนย์กลางกายอย่างนุ่มนวล เมื่อ ถูกส่วนเข้าใจย่อมปล่อยวางกามคุณ๕คือรูป-เสียง-กลิ่น-รส-ลัมผัส ตลอดจนอกุศลธรรมทั้งหลายมีนิวรณ์ ๕ เป็นด้น ใจจึงเป็นอิสระ ทุทธประวัตํ ฉบับการฟ้ฟูศลธรรมโลก ๑๒®r ฆฑที๋ ® การครั๗ซองพระสัมมาสมทุททจ้า www.kalyanamitra.org
เบาสมายขยายออกไปโดยรอบอย่างกว้างขวาง ทั้งด้านช้าย-ขวา- หน้า-หลัง-ล่าง-บน บรรลุดวงธรรมใสสว่างที่ทำให้เป็น ปฐมฌาน จึงทำให้มีอารมณ์ประณีตประกอบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วิจารปีติ สุข และเอกัคคตา ด้วยอำนาจแห่งธรรมนั้น เอ. ทุติยฌาน เมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ภายในถูกส่วนยิ่งขึ้น ใจก็ ปล่อยวางวิตก วิจารทิ้งไป ใจก็ยิ่งเป็นอิสระ ว่าง-โปร่ง-โล่ง-เบา ขยายออกไปโดยรอบอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น บรรลุตวงธรรมใส สว่างที่ทำให้เป็นทุติยฌาน ซึ่งทำให้มีอารมณ์ประณีตยิ่งขึ้น ประกอบด้วยองค์ ๓ คือ ปีติ สุข และเอกัคคตา ใจจึงยิ่งมีความ สว่างผ่องใสอย่างลัศจรรย์ด้วยอำนาจแห่งธรรมนั้น ๓. ตติยฌานเมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ภายในถูกส่วนยิ่งขึ้นอาการ ปีติปลาบปลืมด่าง ๆ ก็จางคลายไป ใจก็ยิ่งเป็นอิสระ เกิดความ ว่าง โปร่ง-โล่ง-เบา ขยายออกไปโดยรอบยิ่งขึ้น สติลัมปชัญญะ ก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้นบรรลุตวงธรรมใสสว่างที่ทำให้เป็นตติยฌาน ซึ่ง ทำ ให้มีอารมณ์ประณีตยิ่งขึ้น ประกอบด้วยองค์ ๒ คือ สุข และ เอกัคคตา ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่ามีอุเบกขา มีสติ อยู่ เป็นสุขด้วยอำนาจแห่งธรรมนั้น ๔. จดุตถฌาน เมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ภายในถูกส่วนยิ่งขึ้นอีก ใจก็ยิ่งละเอียดอ่อน แม้แต่ความสุข ความทุกข์ ความโสมน้ส ความ โทมน้สที่เคยมีอยู่ในใจ ก็กลายเป็นสิ่งที่หยาบเกินไป เกิดสภาวะ ที่เรียกว่าทุกข์ก็ไม่ใช่ สุขก็ไม่ใช่ขึ้นมาแทน ใจก็ยิ่งเป็นอิสระจาก กามคุณ ๕ อย่างสมบูรณ์ เกิดความว่าง-โปร่ง-โล่ง-เบา ขยาย ออกไปโดยรอบอย่างไม่มีประมาณ สติสัมปช้ญญะก็บริสุทธ ทุฑ0ปรราดิ ฉบับการฟ้นฟูศีล รมโลก ©๓๐ ^ บททึ๋ 01 การครัลฬู้ลงพระสัมมาลัมทุทธm www.kalyanamitra.org
บริบูรณ์เต็มที่ สามารถกำหนดจดจำสิงที่ตนพูดตนทำมา นานแลวแ3Jนานข้ามภพข้ามชาตินับด้วยร้อยชาติพันชาติก็ได้ และความรอบคอบเฉลียวใจสำนึกในเรื่องนันๆ ก็ย้งมีพร้อม บรรลุดวงธรรมใสสว่างที่ทำให้เป็นจตุตถฌาน อันเป็นเหตุให้ อารมณ์ประณีตถึงที่สุด ซึ่งประกอบด้วยองค์๒ คือ อุเบกขา ได้แก่ ไม่รูสึกยินดียินร้ายในอารมถnดๆที่เข้ามากระทบใจและ เอก้คคตา ได้แก่ความที่ใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมนั้น เหมือนภูเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับแผ่นดิน ย่อมไม่เขยื้อนด้วย แรงลม การเข้าฌานมาตามลำดับตั้งแต่ฌานที่ ๑ ถึงฌานที่ ๔ ด้ง กล่าวแล้วนี้ โดยทั่วไปเมื่อทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่ เป็นสุขในปัจจุบัน แต่พระโพธิสัตว์กลับทรงเห็นว่า นี้เป็นหนทาง แห่งการด้นคว้าแสวงหาธรรมคือ นิพพาน เท่านั้น หาใช่แก่นแท้คือ นิพพานไม่ พระองค์จึงทรงเจริญสมาธิภาวนารุดหน้า เพื่อให้!จ หยุดใจนิ่งยิ่งขึ้นต่อไปอีก เพื่อการรู้-การเห็นความจริงของสรรพ สิ่งทั่งหลาย เพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อนิโรธ เพื่อนิพพาน จากความสว่างภายในที่ยิ่งๆขึ้นไป (ลำหรับขั้นอรูปฌานได้กล่าวไว้แล้วในเรื่อง อาพารดาบส) วิชชาที่ ๑ รู้จักระลีกชาติ เมื่อพระพทธองค์ตรัสการบรรลุรปฌานจบแล้ว ก็ตรัสเล่า <5 จิ'น การบรรลุวิชชาที่ ๑คือปุพเพนิวาสานุสดิญาณต่อไปอีกว่า พุฑ6ประวัผิ ฉบับการฟ้นฟูสิลธรรมโลก ®๓® 'ท การตรัสรู้ของพระสัมมาฒัทุทธ!จิ'ๆ www.kalyanamitra.org
«'1เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธผุดผอง ไฝปีกิเลสเพียงดัง เนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตัง้มั่น ไม่หวนไหวอย่างนี้ อาตมภาพนั้นน้อมจิตไปเพื่อ ปุพเพนิวาสๆนุสสติญาณ ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ ๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติบ้าง ๓ ชาติบ้าง ๔ ชาติบ้าง ๕ ชาติบ้าง ๑๐ ชาติบ้าง ๒๐ ชาติบ้าง ๓๐ ชาติบ้าง ๔๐ ชาติบ้าง ๕๐ ชาตยาง ๑๐๐ ชาตยาง ๑,๐๐๐ ชาตยาง ๑๐๐,๐๐๐ ชาตยาง ตลอดสังวัฏฎก่ปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฎฏอัปเป็นอัน มากบ้าง ตลอดสังวัฎฎอัปและวิวัฏฎอัปเป็นอันมากบ้างว่า 'ในภพโน้น เราปีปีออย่างนั้น ปีตระกูล ปีวรรณะ ปีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจาก ภพนั้นก็ไปเกิดในภพโน้น แม่ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น ปีตระกูล ปีวรรณะปีอาหาร เสวยสุขทุกข์และมีอายุอย่าง นั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิดในภพนี้ อาดมภาพระลึก ชาติก่อนได้หลายชาติพร้อมทั้งลักษณะมั่วไปและชีวประว่ติ อย่างนี้อาตมภาพได้บรรลุวิชชาที่ ๑ นิ ในปฐมยามแฟง ราตรี กำ จัดอวิชชาไดัแล้ว วิชชาก็เกิดขึ้น กำ จัด ความปีดไดัแล้ว ความสว่างก็เกิดขึ้น เหมีอนบุคคลผูไม่ ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอย่\" ขยายความ ะ จากการที่พระโพธิลํโตว์ได้ทรง'ฝึกฝนการเจริญสมาธิ ภาวนาด้วยการกำหนดหมายในแสงสว่างมาแล้วอย่างชาชอง ครั้น ทุทธประวัต ฉบับการส์นฟูสืลธรรมโลก ๑๓๒ บฑฑึ๋ 0» การตรัรปของพระสัมมาสมพุทธพ้า พ.^^^ V www.kalyanamitra.org
ทรงฟอกใจชํ้าแล้วซํ้าอีกด้วย ดวงธรรมที่ฑำใฟ้!เป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานมาตามลำดับ ๆ กิเลสร้าย ทั้งหลายไม่ว่าราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งเคยหมักหมมทับถมเหมือน ภูเขามานานนับอสงไขยภพชาติไม่ถ้วนแล้ว กลับพลันด้องถูก กำ จัดทำลายไปด้วยดวงธรรมใสสว่างที่ทำให้เป็นฌานทั้ง๔ พระโพธิล้ดว์ค^ทรงเห็นได้ชัดเจนด้วยทิพยจักขุเช่นนั้นแล้ว จึงดร้สว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธผุดฝองไม่มีกิเลสเพียงดั<แนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตัง มั่นไม่หวั่นไหวอย่างนี้ นั้นคือขณะนั้นใจของพระองค็ได้ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ณ ศูนย์ กลางกายเหมือนภูเขาไม่ขยับเขยื้อนเพราะแรงลมแล้วรูป เสียงกลิ่น รส สัมผัสใดๆ ภายนอกไม่ว่าจะเป็นของมนุษย์ ทิพย์ พรหม หรือ มารต่างรบกวนพระโพธิสัดว่ไม่ได้แล้ว ทำ ให้ทรงเห็นดวงธรรมใส สว่างบริสุทธผุดผ่องอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง ผุดปรากฏขึ้นมาจาก ศูนย์กลางกาย พระองค์จึงทรงนัอมใจเข้าสู่ธรรมชาติบริสุทขึ้นั้น ซึ่งมืชื่อว่า ดวงธรรมที่ฑำให้เป็นปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เมื่อใจของพระองค์เข้าไปหยุดนึ่งซํ้าแล้วชํ้าอีกในกลางดวง ธรรมที่ฑำให้เป็นปุพเพนิวาสานุสสติญาณนั้นถูกส่วน ใจของ พระองค์ก็บริสุทธผุดผ่องยิ่งขึ้น ใสสว่างยิ่งขึ้นไม่มืประมาณ และ เป็นยันหนึ่งอันเดียวถ้บดวงธรรมนั้นจึงเป็นเหตุให้ ๑) ทรงเห็นชัดเจนว่า ใจเป็นธาตร้มืสักษณะเป็นดวงกลม จ'ฆ ใสสะอาดยิ่งกว่าเพชร มืเนื้อธาตุซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ ถึง ๔ ชัน ด้งได้อธิบายแล้ว ตลอดจนเห็นชั้นดอนการทำงานของใจด้วย ททรปรรวัต๊ ฉบับการฟ้นฟูสืลธnมโรก «๓๓ ^ น*•ที๋ <a ทารรรัรพุ้องพระรันมา™พุ*'!ก ^V www.kalyanamitra.org
๒)ทรงเห็นกิเลสร้ายที่หมักหมมทับถมอยู่ในใจว่า ได้ถูก ทำ ให้สงบราบคาบแล้ว ด้วยอำนาจของดวงธรรมที่อาศัยฌานทั้ง ๔ นั้นเป็นบาทฐาน ๓)ทรงระลึกชาติในหนหล้งได้ โดยดวงจำอันเป็นแหล่ง เก็บข้อมูลของใจในแต่ละชาติ ได้ฉายภาพอดีตชาติแต่ละชาติ ที่พระองค์เองกระทำไว้ทุกอิริยาบถ ในภาพเหล่านั้นยังประกอบ ด้วยเสียง ด้วยกลิ่น ด้วยรส ด้วยสัมผัส ด้วยโผฏฐัพพะ และความ นึกคิดที่เป็นประสบการณ์ของพระองค์และสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น ในอดีตชาตินั้นๆ พระองค์ทรงระลึกชาติได้หลายชาติคือ ๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติ บ้าง ๓ ชาติ ๔ชาติ ๕ชาติ เป็น ๑๐ ชาติ เป็นร้อยชาติ เป็นพันชาติ เป็นแสนชาติ แมัยาวนานเป็นทัปๆจนนับไม่ได้ก็ทรงระลึกได้ชัดเจน การระลึกชาติหนหสังทำให้พระองค์ทรงทราบรายละเอียดว่า ในแต่ละชาติที่ระลึกยัอนไปนั้นพระองค์ทรงมีชื่อว่าอะไร เกิดใน ตระกูลไหน วรรณะใด มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร มีสุข มีทุกข์ อย่างไร ทรงรู้เห็นแมักระทั้งรสชาติอาหารที่ทรงลิ้มรส เสียงที่ ได้ยิน อารมณ์ความรู้สึกที่เกิด และเมื่อละโลกจากชาตินั้น ไดไป เกิดในภพใด ภพนั้นทรงมีชื่อ มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร ความ เป็นอยู่อย่างไร จุติจากภพนั้นแล้วทรงไปเกิดภพใด พระองค์ทรง ระลึกชาติเห็นชีวประว้ติของพระองค์ตั้งแต่ชาติปัจจุบ้นยัอนหสัง กสับไปไดีไม่มีที่สินสุด นี้คือวิชชาที่ ๑ รู้จ้กระลึกชาติตนเองได้ ที่ ทรงบรรลุในช่วงปฐมยามซึ่งอยู่ในช่วงหกโมงเย็นถึงสิ่ทุ่มในปัจจุบ้น ทุฑธประวัติ ฉบับการส์นฟูคลธรรมโลก ๑๓๔ บทที่ ท การตรัสทู้เองพระลัมมาสัมทุทรเจา eg V เพ้ www.kalyanamitra.org
จากวิชชาที่ ๑ นี้ทำ ให้ทรงรู้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของ พระองค์เองว่าทรงมีความรุ่งเรืองหรือตกตั้าเพียงไร ทรงมีดวาม เป็นสุขทุกข์อย่างไร เห็นอาการทุกข์ทรมานขณะกำลังจะเกิตและ กำ ลังจะจุติว่าโหตร้ายขนาตไหน การรู้เห็นของพระองค์ซัตเจน ราวกับเหตุการณ์กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ การระลึกชาติ ทำ ให้ทรงเห็นความน่าเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕ และการเวียนว่ายตาย เกิดเป็นยิ่งน้ก วิชชาที่ ไอ รู้การจุติและอุบัติของสรรพสัตว์® เมื่อพระพุทธองค์ตรัสเล่าการระลึกชาติตนเองด้วยปุพเพนิ- วาสานุสติญาณจบแลัว ก็ตรัสเล่าการบรรลุวิชชาที่ ๒ คือ จุตูปปาตญาณ ต่อไปอีกว่า \"เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธี้ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียง ดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตัง้มั่น ไม่หวนไหว อย่างนี้ อาตมภาพนั้นน้อมจิตไปเพื่อ จุตูปปาตญาณ เห็นหมู่สัตว์ผู้กำดังจุติ กำ ดังเกิด ทั้งชั้นตั้า และชั้นสูงงามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ดัวยตาทิพย์ อันบริสุทธเหนือมนุษย์ร้ช้ตถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า 'หมู่สัตว์ที่ประกอบกายทจริต วจีทุจริต และมโน ทุจริต กล่าวร้ายพระอริยะ มีดวามเห็นผิด และช้กชวนผู้ อื่นให้ทากรรมตามความเห็นผิด พวกเขาหสังจากตายแล้ว ® โพธิราชกุมารสูตร ะ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๓๖/๔๐๖,กันทรกสูตร ะ ม.ม.(ไทย)๑๓/ ๑๕/๑๗-๑๘ ทุทธประวัต ฉบับกา'!ส์นฟูสิลธรรมโลก ๑๓๕ บทที <0 การอรัลรู้ของพระล้มมาล้มพุทธพ้า www.kalyanamitra.org
จะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แต่หมู่สัตว์ที่ ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ไม่กล่าวร้าย พระอริยะ มีความเห็นชอบ และชักชวนผูอื่นให้ทำกรรม ตามความเห็นชอบพวกเขาหสังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติ โลกสวรรค์ อาตมภาพเห็นหมู่สัตว์ผู้กำสังจุติ กำ สังเกิต ทัง้ ชันตาและชันสูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วย ตาทิพย์อันบริสุทธื้เหนือมนุษย์ รู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไป ตามกรรม อย่างนี้แล อาตมภาพได้บรรลุวิชชาที่๒ นึ้1นมัชฌิมยามแห่ง ราตรีกำอัดอวิชชาได้แล้ววิชชาก็เกิตขื้นกำจัตความมีดได้แล้ว ความสว่างก็เกิดขึ้นเหมีอนบุคคลผูไม่ประมาท มีความเพียร อทิศกายและใจอย่\" ขยายความ ะ ขณะทใAจtของพระโพธิสัตว์หยุดนิ่งอย่างต่อเนื่องอยู่ใน ดวงธรรมที่ฑำให้เป็นปุพเพนิวาสานุสสติญาณตลอดเวลา ตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๔ ทุ่ม ดวงธรรมนั้นได้กรองใจของพระองค็ให้ บริสุทธิ้ผ่องใสยิ่งขึ้น และหยุดนิ่งสนิทตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ณ ศูนย์กลางดวงธรรมนั้น จนกระทั่งดวงธรรมภายใน ซึ่งบริสุทขึ้ยิ่ง กว่ามีชื่อว่า จุตูปปาตญาณผุดซ้อนขึ้นมา ณ กลางดวงธรรมที่ทำ ให้เป็นปุพเพนิวาสานุสสติญาณนั้น เหมีอนลูกคลื่นวงกลมในนํ้าที่ ผุดซ้อนดามกันขึ้นมา จากลูกเล็กแล้วขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ลูกแล้วลูกเล่า พุทรปรราผ ฉบับการส์นฟูศลธรรมโรก ๑๓๖ บฑที่ เท การตรัสทู้)องพระสัมมาส้มพุทธเจำ www.kalyanamitra.org
พระองค์จึงทรงน้อมใจเข้าไปในดวงธรรมที่ฑำให้เป็น จุตูปปาตญาณนั้น ใจของพระองค์ก็ยิ่งแนบแน่นเป็นอ้นหนึ่งอัน เดียวกับดวงธรรม ใจจึงบริสุทธผุดผ่องยิ่งขื้นอีกน้บเท่าไม่กัวน แสง สว่าง อ้นไม่มีประมาณแห่งดวงธรรมที่ทำให้เป็นจุตูปปาตญาณ ได้ ส่องให้พระองค์ทรงเห็นสภาพการเวียนว่ายตายเกิดของสัตาโลกว่า ล้วนต้องขึ้นลงมีสุขทุกข้เป็นไปตามกรรมที่ตนเองทำใวีใดย ไม่มีวันจบสิน พระองค์จึงทรงดระหน้กว่าสัดวโลกทังหลายล้วนตก อยู่ในห้วงอ้นตราย คือกลายเป็นน้กโทษของวัฏสงสารไปโดยปริยาย นั้นคือ ๑. ทรงพบนานาภพถูมีของล้ตวโลก ภพในที่นี้มุ่งหมายเอาโอกาสโลกอ้นเป็นที่อยู่ของล้ตว์ หมายถึง สถานที่อยู่อาศัยอ้นเหมาะสมแก่ระต้บจิตของสัตวโลก โดยแปงพี้นที่ออกเป็น ๓ ระต้บ ตามประเภทของกรรมดี-ชัว หยาบ-ละเอียด ที่สัตวโลกชนิดนั้นๆ สะสมมา ด้งนั้น เมื่อพูดถึง ภพ นอกจากหมายถึงสถานที่อยู่อ้นเหมาะสมแก่กรรมแล้ว (อุบัติภพ) ยังส่องถึงสภาพความพึงพอใจในการประกอบ กรรมนั้นๆ (กรรมภพ) ตามประเภทของสัตวโลกที่อาศัยใน ภพนั้นต้วย ภพทั้ง ๓ นั้นคือ ๑. กามภพ ภพของผู้หมกมุ่นในกามคุณ ๒. รูปภพ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน พุฑรปรราผํ ฉบับการฟ้นฟูสีลธรรมโลก ๑๓๗ นททึ๋ » การดรั{ทู้ของพระสมมาสมพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
ภูมิ แปลว่า แผ่นดิน พนดิน พนจิต ระดับจิต ในที่นี้ ภูมิ จึง หมายถึง การแปงย่อยสภาพที่อยู่ของสัตวโลกตามระดับจิตที่ ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีกต่อจากภพ โดยแปงภพ ๓ ออกเป็น ๓๑ ภูมิด้วยดัน ขึ้งประกอบด้วยฝ่ายสุคติและทุคติ ความทมายของภพ ๓ ๑) กามภพ คือ ภพที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตวโลกที่ยัง เสพกาม และมีสถานที่อยู่รวมทั้งหมต ๑๑ ภูมิ ได้แก่ มนุสสภูมิ๑ เป็นศูนย์กลางของการสร้างบุญและบาป เป็นกลไกสำศัญในการนำสัตว์ทั้งหลายไปเกิตในภพภูมิ ทั้งฝ่ายสุคดิ และทุคดิ ซึ่งเป็นที่เสวยผลบุญและบาป อบายภูมิ ๔ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน เฑวภูมิ ๖ ได้แก่ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ตุสิต นิมมานนรดึ ปรนิมมิตวสรัสตี สัตวโลกที่อาศัยอยู่ใน ๑๑ ภูมินี้ ต่างมีความพึงพอใจอยู่ใน กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ยันน่าใคร่น่าปรารถนา ดำ รงชีวิตพัวพัน เพลิตเพลินอยู่ในกามคุณ ๕ อย่างไร้ชีดจำดัต เข้าทำนองยิ่งไดยิ่งอยากมากขึ้น ผู้ที่ใส่ใจใฝ่หาแต่กามคุณ ๕ ย่อม มีโอกาสทำผิดศีล และสั่งสมบาปเป็นอาจิณ จึงต้องไปเสวยกรรม ในทุคดิภูมิ ส่วนผู้มีปัญญาใส่ใจใฝ่ศึกษาและปฏิบ้ตธรรม ย่อมมี โอกาสไปเกิดในสุคดิภูมิ และพันไปจากกามภพหรือบรรลุความ หลุดพันในที่สุด พุฑรปรรวัต๊ นบับการฟินฟูสีล!nรมโลก ๑๓๘ ฆฑที๋ a ทารครัสรุของmraมฆาร้มพุฑธเฃำ 0 „ www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280