๒) รูปภพ คือ ภพอันเป็นที่อยู่ของพวกรูปพรหม ซึ่งมีชื่อ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พรหมโลก พรหมโลกนี้อยู่ในภูมิที่สูงกว่า เทว ภูมิ หรีอเหวโลก ทิพยสมบ้ตทุกอย่างในพรหมโลกก็ล้วนสวยงาม ประณีตกว่าในเหวโลก ล้ตวโลกที่มาบังเกิดในรูปภพนี้ มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า พรหม หรีอ รูปพรหม เป็นผู้ที่มีฌานเป็นคุณวิเศษเหนือเหวดาใน เหวภูมิ ๖ รูปร่างของพรหมนั้นไม่ปรากฏเพศหญิงหรีอชาย เนึ่องจากไม่มีกามฉันหะอย่างหยาบ มนุษย์ที่ไปบังเกิดในรูปภพ ล้วนเป็นผ้ที่เจริญสมาธิจนกระทงได้บรรสรปฌาหระตับใดระดับหนึ่ง (น่ 0/ qqi ครั้นละโลกแล้วจึงไปบังเกิดเป็นรูปพรหมอยู่ในรูปภพ ซึ่งแปงเป็น ๑๖ ชั้น รูปพรหมตั้งแต่ชั้น ๑ ถึงชั้น ๑๑ แม้ว่าจะมีอายุยืนยาวมาก ก็ดาม ดราบใดที่ยังมิได้เป็นอริยบุคคล ในที่สุดก็ด้องดายจาก ความเป็นพรหมทั้งสิ้น หลังจากดายแล้ว อาจด้องไปเสวยทุกข1น อบายภูมิก็เป็นได้ แต่ที่แน่นอนคือ ทิพยสมยัด อิทธิฤหธ รัศมี การมีอายุยืนฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถช่วยดนเองได้เลย ส่วนรูปพรหมชั้น ๑๒ ถึงชั้น ๑๖ มีชื่อเรียกว่า สุทธาวาสภูมิ ผู้ที่บรรลุอริยผลเป็นพระอนาคามี ย่อมมาเกิดในชันใดชันหนึ่ง ของสุทธาวาสภูมิ ๕นี้ สุทธาวาสภูมิจะเกิดมีขึ้นก็เฉพาะในระยะที่มีพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นเท่านั้น นับเป็นสลานที่ที่เกิดขึ้นเฉพาะกาลโดยธรรมชาติ สำ หร้บรองร้บการบำเพ็ญเพียรของพระอริยเจ้าชั้นอนาคามีโดยเฉพาะ พทรป?ะวัต ฉบับกา?พึ๋เนฟูศลธรรมโลก ๑๓๙ บฑกี่ 0> การตรัสรู้ซองพระสัมมาลันพุทธเจ้า « 0\" www.kalyanamitra.org
หลังจากบำเพ็ญเพียรอยู่ในพรหมโลกระยะหนึ่งจนกระฑํ่งหมด กิเลสเป็นพระอรหันต์แลัว ก็จะดับขันธปรินิพพาน ไม่กลับมา เวียนว่ายตายเกิดในลังสารวัฎอีก ๓) อรูปภพ คือ สถานที่อยู่ของอรูปพรหม อรูปพรหม หมายถึง พรหมที่เมื่อครั้งยังเป็นมนุษยใดั เจริญภาวนาจนกระทั่งทำอรูปฌานใหับังเกิดขึ้นไดั ครั้นละโลกแล้ว จึงมาบังเกิดเป็นอรูปพรหมอยู่ในชั้นต่างๆ ตามกำลังความแก่ อ่อนของอรูปฌานที่ตนบำเพ็ญ อรูปพรหมมีทั่งหมต ๔ ชั้น อยู่ใน ภูมิที่สูงขึ้นไปกว่ารูปภพ มีทิพยสมบัติละเอียดประณีตมากกว่า รูปพรหม มีกายสวยงาม สว่างไสวกว่ารูปพรหม เนึ่องจากอรูปพรหมมีอายุขัยยาวนานมาก จึงยากที่จะมี โอกาสไดัพบและไดัพ็งธรรมของพระลัมมๆลัมพุทธเจ้าในช่างนั้น อรูปพรหมปุถุชนจึงได้ร่อว่าเป็นอภัพพสัตวีโดยอนุโลม คือไม่ สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ไดในชาตินั้น นอกจากนี้เมื่อถึงคราว หมดบุญจากอรูปพรหมแล้ว ก็ดัองเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎ สงสารต่อไปอีก ซึ่งไม่แน่ว่าจะต้องไปเกิดในภพภูมิใดของกามภพ ทั่งนี้ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีดที่มาส่งผลในช่วงนั้น สำ หรับอรูป พรหมที่เป็นพระอริยบุคคล สามารถอบรมมรรคเบื้องสูง และ ปรินิพพานในอรูปพรหมไต้โดยไม่ต้องกลับมาเกิดในกามภพอีก อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกตาบส รามบุตร ซึ่ง เป็นอดีตอาจารย์ของพระโพธิลัตว็ในครั้งที่เสด็จออกแสวงหา โมกขธรรมใหม่ๆ เมื่อละโลกแล้วก็ไปบังเกิตในอรูปภพ เป็นอรูป พรหมนี้เอง พุฑรประวัต ฉบับการสืนฟูศลธรรมโลก ๑๔0 บฑฑึ๋ ท การตรัลรู้ของพระล้มมาลัมทุทธเฟ้า 99 www.kalyanamitra.org
ดังนั้น จะเห็นไดัว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไม่พบ พระพุทธศาสนา หรือพบพระพุทธศาสนาแต่ไม่บรรลุธรรมเป็น พระอริยบุคคล ไดัแก่ พระโสดาบน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็ยังดัองเวียนว่ายตายเกิดไดัรับทุกข็ไม่มีวันสินสุด แต่หากไดัพบพระพุทธคาสนา และสามารถบรรลุธรรมเป็น พระอริยบุคคลก็มีโอกาสบรรลุนิพพานอันเป็นที่สิ้นทุกฃ็ไดั ใฮ. ทรงพบกฎแห่งกรรม พระองค์ทรงพบกฎธรรมชาติอันสิ้ล้บละเอียดลึกซึ้งเกิน กว่าสัดวโลกใดๆ ไม่ว่าเป็นเทวดา รูปพรหม และอรูปพรหมจะไป รูไปเห็นไดั กฎธรรมชาติอันเคร่งครัดซึ่งครอบงำชาวโลกที่ พระองค์ทรงดันพบนี้มีชื่อว่า \"กฎแห่งกรรม\" นับว่าเป็นกฎเหล็ก แห่งชีวิต กฎแห่งกรรมนี้ย่อมติดดามคอยบังคับบัญชาสัดวโลก ใหัดัองประสบความสุขหรือความทุกข์โดยไม่มีการผ่อนผันใดๆ ทั้งสิ้นดังนี้ ๑) สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของดน ๒)สัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ๓) สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นกำเนิด ๔) สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ ๕) สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ททรปรรวํเผํ ฉบับการฟินฟูสืลธTรมโรก ©๙® พฑพี่\"การตรัสรู้ของ«ระส้มนาร้มทุท!!เจา www.kalyanamitra.org
กฎแห่งกรรมนี้ อยู่คู่โลกมานานแสนนาน แรJโลกจะพินาศ เนัเจะพินาศ กฎนีก็หาได้พินาศตามไปด้วยไม่ กฎธรรมชาติอัน ลี้ลับนี้สรุปสาระสำคัญ^ๆ ว่า สัตวโลกทุกๆ ชนิด \"ทำดีย่อมได้ดี ทำ ชั่วย่อมได้ชั่ว\" แต่รายละเอียดการส่งผลของการทำดี และการ ทำ ชั่วมีความสลับซับช้อนยิ่งนัก ยากที่ชาวโลกใด ๆ จะใช้สติ ปัญญาดรองดามทันได้ เว้นแต่เขาเหล่านั้น จะเจริญสมาธิจน บรรลุจุตูปปาดญาณเฉกเช่นพระองค์ จึงจะไปรูไปเห็นกฎแห่ง กรรมนี้ช้ดเจนได้ กฎแห่งกรรมนี้ติดดามครอบงำลัดวโลกตลอดทุกลมหายใจ ให้ด้องรับผลกรรมดี-กรรมชั่วที่ดนเองทำไว้โดยส่งผลให็ไปเกิดดี- เกิดไม่ดี เกิดชั้นสูง-ชั้นดร เกิดงาม-ไม่งาม นอกจากนี้กฎแห่ง กรรมยังดามส่งผลต่อความเป็นอยู่ และการดายของลัดวโลก ทุกภพภูมิ กล่าวคือ หากส้ตวโลกชนิดใดก่อกรรมชั่วก็ต้องเป็น ทุกข์เดือดร้อนตั้งแต่ในชาตินี้ ครั้นละโลกนี้ก็ไปเกิดไม่ดื ดือ ไปเกิดในทุคติภูมิ ได้แก่ ไปเป็นลัดว์นรกบ้าง ไปเป็นเปรดบ้าง ไป เป็นอสุรกายบ้าง ไปเป็นลัดว์เดรัจฉานบ้าง หลังจากเสวยผล กรรมชั่วอย่างหนักในทุคติภูมิแล้ว หากได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ย่อมเกิดเป็นคนชั้นดาง่อยเปลี้ยเสียขา พิกลพิการ มีชีวิดความ เป็นอยู่อย่างลับแค้น ส่วนผู้ที่ก่อแต่กรรมติ ผลแห่งกรรมดืนี้นๆ ก็ย่อมส่งให้อยู่เป็นสุขตั้งแต่ในชาตินี้ ถึงคราวละโลกก็ไม่ ทุกข์ทรมานเหมือนพวกก่อกรรมชั่ว เมื่อด้องไปเกิดใหม่ ก็ สามารถเลือกเกิดในที่ดีๆ ได้ ถ้าไปเกิดเป็นคน ก็ไปเกิดในดระภูล ทุฑธประวดี ฉบับการส์นฟูศีลธรรมโลก ๑(1๒ บทที่ (ท การตรัสเธองพระสัมมาลัมพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
ชั้นสูงมีรูปร่างหน้าตาสวยสด งดงาม น่าดูน่าชม บริบูรณ์ด้วย โภคทรัพย์สมบด มีสติปัญญารุ่งเรืองอาจหาญ พระโพธิสัตว์ทรงเห็นการเกิด การอยู่ การดายของสัดวโลก ทุกภพภูมิอย่างชัดเจนด้วยญาณฑัสสนะอันมริสูทธึ๋ขลงจุดูปป'ไตญ'ไ^ วา สัตวโลกล้วนเป็นไปตามกรรมที่ตนได้ก่อไว้เองทั้งสิน ๓. ทรงพบกฎเกณฑ์การด้ดสินดี-ชั่ว พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวโลก ทรงสรุป หสักเกณฑ์การตัดสินดี-ชั้ว จากกฎแห่งกรรมที่ทรงด้นพบ เพอ เดีอนสติชาวโลกไม่ให้ถลำไปทำผิดโดยยึดหสักว่ากรรมดี-กรรมชั้ว ขึ้นกับความสุจริต-ทุจริต ทางกาย วาจา และใจของสัดว์น้นๆ เอง กล่าวคือ ล้าใครประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต กจัด เป็นกรรมชั่ว ล้าใครประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ก็จัด เป็นกรรมดี ด้งปรากฏในปฐมสัญเจตนิกสูตร''ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย เรายงไม่Pบากกรรม จะไม่กล่าว ถึงความทั้นสุดแฟงกรรมที่สัตว์เจตนาทำขึ้น สั่งสมขึ้น ก็วิบากนั้นเองที่สัตว์พึงเสวยในifจจุบันก็มี ๑ ในสัตกาฬ สัตไปก็มี ๑ หรือในสัตภาพต่อ ๆ ไปก็มี ๑ ® ปฐมสัญเจดนิกสูตร : อัง.ทสก.(ไทย)๒๔/๒๑๗/๓๕๗-๓๖๒ พุทรปรรวัคิ ฉบับทารฟ้นฟูสิลธรรมโลก ๓ บ*เท ® การลรัสรุ้ของพระส้มมาล้มทุทธพัา พ'^'^' พ www.kalyanamitra.org
ภิกษุทั้งหลาย เรายงไม่Pบากกรรม จะไม่กล่าวถึง การทำที่สุดแห่งทุกข์ของกรรมที่สัตว์เจตนาทำขึ้น สัง่สมขึ้น ในข้อนั้นแล ประการแรก วิบติคือโทษแห่งกายกรรมที่มีเจตนา เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไรมีทุกข์เป็นวิบาก ๓ ประการทีสอง วิบ้ติคือโทษแห่งวจีกรรมที่มีเจตนา เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไรมีทุกข์เป็นวิบาก ๔ ประการที่สาม วิบตคือโทษแห่งมโนกรรมที่มีเจตนา เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไรมีทุกข์เป็นวิบาก ๓ ประการแรก วิบ้ตคือโทษแห่งกายกรรมที่มีเจตนา เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ๓ เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนั้ ๑. เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๒. เป็นผู้สักทรัพย์ ๓. เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม ประการที่สอง วิบติคือโทษแห่งวจีกรรมที่มีเจตนา เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ๔ เป็นอย่างไร คือบุคคลบางคนในโลกนี้ ๑. เป็นผู้พูตเท็จ ๒. เป็นผู้พูดล่อเสียต ๓. เป็นผู้พูดคำหยาบ ๔. เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ ฬุฑรปรtวฅ ฉบบการฟ้นฟูดลธรรมโลก S)ct(t ฃทที่ 0> การดรัลรู้ร์]องพร:ล้มมาลัมฬุทธเจำ e'^'<^ v** o www.kalyanamitra.org
ประการที่สาม วิบติคือโทษแห่งมโนกรรมที่มีเจตนา เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ๓ เป็นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ๑, เป็นผู้เพ่งเล็งอยากได้ของเขา ๒. เป็นผู้มีจิตพยาบาท ๓. เป็นมิจฉาทิฎฐิ เพราะวิบัติดือโทษแฟงกายกรรมที่มีเจตนา เป็นอกุศล ๓ ประการ เพราะวิบัติดือโทษแห่งวจี กรรมที่มีเจตนาเป็นอกุศล ๔ ประการ หรือเพราะวิบัติ ดือโทษแห่งมโนกรรมที่มีเจตนาเป็นอกุศล ๓ ประการ สัตวทั้งหลายหลังจากตายแล้วจึงไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เปรืยบเหมือนแล้วมณีหกเหลี่ยมถูก โยนขึ้นสูง ก็กลับลงมาตังอยู่ด้วยดืตามปกติ ฉะนิน. ภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่Pบากกรรม จะไม่กล่าวถึง ความสิ้นสุดแห่งกรรมที่สัตว์เจตนาทำขึ้น สั่งสมขึ้น ก็ วิบากนั้นเองที่สัตว์พึงเสวยในป้จจุบันก็มี๑ ในสัตภาพสัตไป ก็มี ๑ หรือในสัตภาพต่อๆ ไปก็มี๑ ประการแรกสมบดแห่งกายกรรมที่มีเจตนาเป็นกุศล มีสุขเป็นกำไรมีสุขเป็นวิบาก ๓ ประการทสอง สมบติแห่งวจีกรรมที่มีเจตนาเป็นกุศล มีสุขเป็นกำไรมีสุขเป็นวิบาก ๔ ประการที่สาม สมบัติแห่งมโนกรรมที่มีเจตนาเป็น กุศล มีสุขเป็นกำไรมีสุขเป็นวิบาก ๓ ทุทธประวัด ฉบับการฟ้นฟูศท!ทรมโลก ^๕ w*\"*\" » การร!รัสรุ้ของพระสันมาฒัพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
ประการแรก สมปติแห่งกายกรรมที่มีเจตนาเป็นกุศล ปีสุขเป็นกำไร ปีสุขเป็นวิบาก ๓ เป็นอย่างไร คือ บุคคล บางคนในโลกนี้ ๑. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ๒. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการสักทว้พย์ ๓. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม ประการที่สองสมปติแห่งวจีกรรมที่ปีเจตนาเป็นกุศล ปีสุขเป็นกำไร ปีสุขเป็นวิบาก ๔ เป็นอย่างไร คือ บุคคล บางคนในโลก ๑. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการพูดเท็จ ๒. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการพูดส่อเติยด ๓. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการพูดคำหยาบ ๔. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ประการที่สาม สมปติแห่งมโนกรรมที่ปีเจตนาเป็น กุศล ปีสุขเป็นกำไรปีสุขเป็นวิบาก๓ เป็นอย่างไรคือ บุคคล บางคนในโลกนี้ ๑. เป็นผูไม่เพ่งเล็งอยากไต้ของเขา ๒. เป็นผู้ปีจิตไม่พยาบาท ๓. เป็นสัมมาทิฎฐิปีความเห็นไม่วิปริตวำ ๑. ทานที่ให้แล้วปีผล ๒. ยัญที่บูชาแล้วปีผล ๓. การเช่นสรวงปีผล ๔. ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำตีและชวปี พุทรปรรวัดิ ฉบบการส์นฟูสืลธร'รมโลก ๑๔๖ บทที 01 การตรัสรของพระสัมมาส้มพุทธเจา \" -A.\"® ' www.kalyanamitra.org
๕. โลกนี้มี ๖. โลกหน้ามี ๗. มารดามีคุณ ๘. บิดามีคุณ ๙. โอปปาดิกสัตว์มี ๑๐.สมณพราหมณ์ผู้ประพฤดิดีปฏิบัดิชอบ ทำ ให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้า ด้วยปัญญาสันยิ่งเอง แล้ว สอน^นให้รู้แจ้งมีในโลก ภิกษุทั้งหลาย เพราะสมบัติแห่งกายกรรมที่มี เจตนาเป็นกุศล ๓ ประการ เพราะสมบัติแห่งวจีกรรม ที่มีเจตนาเป็นกุศล ๔ ประการ หรือเพราะสมบัติแห่ง มโนกรรมที่มีเจตนาเป็นกุศล ๓ ประการ สัตว์บัง หลายหสังจากตายแล้วจึงไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เปรืยมเหมือนแก้วมณี๔เหลี่ยมที่ษุดดลโยนขึ้นข้างบน ตกลงมาทางเหลี่ยมใด ๆ ก็ตังอยู่ได้ตามเหลี่ยมที่ตก ลงนั้น ๆ\" กฎการตัดสินดี-ชั่วนี้มีความสำคัญยิ่งนัก ใครๆ จะประมาท ไปล่วงละเมิดไม่ได้ เพราะผลของการทำกรรมดีกรรมชั่วนอกจาก มีจริงแล้ว ยังดำเนินไปด้วยความเข้มงวด และชีวิดหลังความดาย มีจริง คือดายแล้วไม่สูญ ที่สำ คัญก็คือ ๑. ชีวิตหลังความตายมีอายุยืนยาวนับเท่าไม่ถ้วนเมื่อ เทียบกับชีวิตบนโลกมนุษย์เช่น๑วันบนสวรรค์ชั้นจาตุมหารๆรกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑ เท่ากับ ๕๐ ปีบนโลกมนุษย์ หรือ ๑ วันของ พฑรประวัตํ ฉบับการล้นฟูคีลธรรมโลก ๑<£๗ บทที่\"กาใตรัสรู้ของพระสัมมาสมทุทธm www.kalyanamitra.org
นรกขุมที่ ๑ ชื่อว่า สัญรวนรก เท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ หรือเท่ากับ ๕๐๐ปีทิพย์ของอายุเทพชั้นจาตุมหาราชิกา ๒. นรกภูมิมีแต่ทุกข์ล้วนๆ ไม่ว่างเว้นจากความทุกข์เลย ทุกข็ใด ๆบนโลกมนุษยไม่อาจนำมาเปรืขบได้กับทุกข็ในนรก ๓. สวรรค์มีแต่สุขล้วนๆ สุขในโลกมนุษย์ว่าเลิศประเสริฐ เพียงใด ก็ไม่อาจเทียบเทียมได้แม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในล้านของ สุขในสวรรค์แต่ละชั้น ก็เพราะชีวิตหล้งความดายมีอายุยืนยาว เป็นล้านๆ ปี ถ้า สุขก็สุขเป็นร้อยล้านฟันล้านปี ถ้าทุกข์ก็ทุกข์เป็นร้อยล้านฟันล้านปี เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงไม่พึงละเมิดกฎแห่งกรรมเป็นกันขาด ๔. ทรงเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัดวโลกทุกชนิดว่า ล้วนด้องเป็นไปดามกรรมดี-กรรมชั้วที่ตนก่อไว้ ถ้าใครทำกรรมดี ก็ไดไปเกิดเป็นชาวสวรรค์ แต่ถ้าใครทำกรรมชั้วก็ด้องไปเกิดใน อบายภูมิ คือไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เตร้จฉาน ซึ่งหากพสัดไปเกิดในอบายภูมิแล้ว ก็ยากที่จะมีโอกาสได้ย้อน กล้บมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ด้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดร้สอุปมาไว้ ในปฐมฉิคคฬยุคสูตร®ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอดนั้น เมื่อโผล่ขึ้นมา ๑๐๐ ปีต่อครั้ง จะสอดคอเข้าไปในแอกที่มีรูเดียวโน้นยังเร็วกว่า แต่เราไม่กล่าวว่าคนพาลผู้ดกไปล่วินิบาดคราวเดียวแล้ว กล้บได้เป็นมนุษย์อีก(จะเร็วกว่านั้น)'' • ^ ® ปฐมฉิคคฬยุคสูตร ะ ส้ง.ม.(ไทย)๑๙/๑๑๑๗/๖๓๐ พุฑรปรรวัฅิ ฉบับการส์นฟูศรธรรมโลก ๑๔๔ ฆทที m การตรัลรู้ของพระสัมมาสัมทุทแจา X, \"9 Vfv „ www.kalyanamitra.org
นั่นแสดงว่า คนนิสัยเลวเป็นพาล หากพสัดไปเกิดในอบาย การจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ย่อมแสนยากยิ่งกว่าเต่า ดาบอดอยู่ในมหาสมุทรลึก ทุกๆ ๑๐๐ ปี จึงจะโผล่ขึ้นมาหายใจ เหนือนํ้า โอกาสที่เต่าตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมาแล้วสอดหัวเข้ากับแอกรู เดียวที่ลอยเคว้งคว้างเพียงอันเดียวอยู่ในมหาสมุทรได้พอดีนืนื ยังเร็วกว่าการที่สัดว็ในอบายภูมิจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ๔. ทรงพบการให้ผลของกรรมตามกาล พระองค์ทรงพบอีกด้วยว่า การใหัผลของกรรมไม่ว่าจะ เป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ตาม แปงออกเป็น ๓ วาระด้วยกัน คือ วาระที่ ๑ ฑิฏฐกรรมเวทนียกรรม คือ การใหัผล ของกรรมแก่สัดว็โลกผู้กระทำกรรมนั้นในอัตภาพ'ร เช่น อาชญากรถูกจับตายบ้าง เป็นนักโทษด้องถูกจำคุกตลอด ชีวิดบ้าง นักเรืยนที่ตั้งใจเรืยนนอกจากเรืยนเก่งสอบไล่ได้ ยังได้ความเชื่อมั่นในตัวเอง และได้งานดีๆ ทำ อีกด้วย ผู้ ตั้งใจประกอบธุรกิจการงานย่อมประสบความเจรืญรุ่งเรือง ในชาตินี้ฯลฯ วาระที่ ๒ อุปป๋'ชชเวทนึยกรรม คือ การใหัผลของ กรรมในอัตภาพถัดไป หรือในชาติหน้าทันที หลังจากละ โลกไป เช่น จากมนุษย์ เมื่อละโลกไปแล้ว ก็บ้งเกิดเป็น เทวดาทันทีด้วยอำนาจศีลที่ดนรักษาไว้ดีแล้ว หรือด้องไป ดกนรกทันทีที่ตาย เพราะเคยฆ่าสัดว์ฆ่าคนเอาไว้ หรือไป เกิดเป็นสัดว์เดรัจฉานทันที เนื่องจากทำผิดศีลเอาไว่ใน ชาตินี้ฯลฯ vjnรปรราผ ฉบับการส์นฟูสิลธรรมโลก ©cTtf บฑฑื่ 01 ทารลรัลรู้ของพระสัมมาสัมทุฑธเจ้า 9 ^V www.kalyanamitra.org
วาระที่ ๓ อปรปริยายเวทนียกรรม คือ การให้ผล ของกรรมในอัตภาพที่ ๓ นับจากชาตินี้ต่อ ๆ ไป จนกว่า จะหมดสิ้นกิเลส จึงถือว่ายุติการให้ผลของกรรม เช่น เมื่อ ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นเทวดา จากเทวดาจุติ(ตาย)แล้ว ไปเกิด เป็นมนุษย์อีกกิมี หรือจากเทวดาจุติไปเป็นสัตว์ เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานกสับไปดกนรกก็มี ขึ้นอยู่กับ ผลกรรมที่ดนทำสะสมไว้ จะเป็นกระแสนำไปเกิด ใครๆ จึง ต้องไม่ประมาทว่า กรรมนั้นเพียงเล็กน้อย เพราะกรรมแม้ เล็กน้อย ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว ล้วนตามส่งให้ผลน้บ ชาติไม่ถ้วนต้วยกันทั้งนั้น ๕. ทรงพบการให้ผลของกรรมโดยพิสดาร พระองค์ทรงค้นพบต้วยว่า การให้ผลของกรรมนั้น มีดวาม ละเอียดอ่อนพิสดารเกินกว่าที่ปุถุชนทั้วไปจะคาดคะเนไค้ ใดย พระองค์ทรงให้หสักการให้ผลของกรรมย่อๆ ๕ประการ คือ ๕.๑) สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ๕.๒) สัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม ๕.๓) สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นกำเนิด ๕.๔) สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ ๕.๕) สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย พุฑรปรราด ฉบับการฟ้นฟูคลธรรมโลก ๑๕0 บฑที่ m การดรัลรู้ของพระสัมมาสัมทุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
๕.๑)สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมดี-ชั่วที่ตัวเราทำไว้เอง ย่อมติดตามตัวไป เหมือน เงาตามตัว และส่งผลให้เป็นสุข-ทุกข์แก่เราได้ทุกเมื่อ ถ้าเรา เลือกทำหรือบังคับบัญชาตนเองให้ทำเฉพาะกรรมดีไว้อย่าง เหมาะสมทุกคราวไป เป็นต้องสมปรารถนาทุกประการ นี่คือ ความหมายว่า สัตว์ทั้งหลายมืกรรมเป็นของตน ๕.ใฮ)สัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่งกรรม กรรมใดที่คนอื่นทำ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของเราก็ตาม และ ท่านทั้งสองก็ตั้งใจยกให้เรา เราเองก็เต็มใจรับ แต่ก็รับไม่ได้ เพราะ มันเป็นของเฉพาะตัวของท่าน เหมือนเงาของท่านยกให้Iครก็ไม่ได้ โรคร้ายในตัวของพ่อแม่ อันเกิตจากกรรมทรมานสัตว์ของท่าน เรา จะขอรับโรคร้ายนั้นๆ ของพ่อแม่มา เพื่อเจ็บปวตแทนท่านก็ไม่ได้ เราเป็นสุขจากกรรมดีของเรา เราจะยกกรรมดีนั้นเพื่อให้ลูก เป็นสุขแทนเราก็ไม่ได้ เพราะสัตว์ทังหลายล้วนเป็นทายาทรับ มรดกกรรมของตนเอง ๕.๓)สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นกำเนิด ตราบใดที่เรายังไม่หมตกิเลส เราก็ยังจะตัองมืกรรมเก่าที่ยัง ไม่หมดแรงส่ง บวกกับกรรมใหม่ที่สร้างขึ้นอีก ทั้งขณะมืสติดี และ เผลอสติชีวิตของเราและชาวโลกทั้งหลายจึงต้องเวียนเกิตเวียนตาย เวียนทกข์เวียนสุข ขึ้นๆ ลงๆ อย่างไม่รัจบ ต่อเมื่อไรหมตกิเลส จึง หมดกรรมชั1่ว ไVIม่ตV้องมาเกLิดใๆห้JเปZ็นทุกข์6-อ1.ีก นrนคIือ สJัตว^์ท๕ังหลาย ล้วนมีกรรมเป็นกำเนิดจนกว่าจะสินกิเลส พุทธปรรวัผํฉบ้บการฟ้นฟูศลธรรมโรก ®<?® บททึ๋«1การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธพา www.kalyanamitra.org
พระอรหันต์ท่าน'ฝึกตนมาดีแล้ว จึงหมดกิเลส หมดกรรม ไม่ต้องไปเกิดอีก ละโลกนี้แล้ว ก็เข้าอายตนะนิพพานเสวยบรม สุขเพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของชาวโลกที่ต้องร่วมแรงร่วมใจเร่ง บำ เพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรดักเดีอนกันและกัน ไม่ให้เผลอสติ ตั้งใจ ละเว้นจากกรรมชั่ว ทำ แต่กรรมดี กลั่นใจให้1สให้เต็มที่ จะไต้ หมตกิเลสหมดกรรมตามพระล้มมาล้มพุทธเจ้าและเหล่าพระอรห้นต์ เข้าอายตนะนิพพานหมตทุกข์ตลอตกาลโดยเร็วนี่คือความหมายว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นกำเนิด ๕'.๔)สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นเผ่าพ้นธุ กรรมที่เราทำไว้ดีแล้ว คือ บุญ ย่อมเป็นพวกพ้องเผ่าพันธุ ที่สนิท คืออยู่ใกล้ชิตแนบใจไม่เคยห่าง คอยคุ้มครองป้องกันผอง ภัยไม่เคยว่างทั้งหลับ ทั้งตื่นทั้งยืนเตินนั่งนอนไม่ยอมหน่ายนั้นคือ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมดีเป็นพวกพ้องเผ่าพ้นรุที่น่ารัก น่าไว้ วางใจเป็นอย่างยิ่ง ๕.๕)สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมที่เราทำไว้ดีแล้ว คือ บุญนั้นแหละย่อมเป็นที่พึ่งของ เราไต้ตลอดชีวิต พึ่งไต้ติดต่อทุกภพทุกชาติ ใครๆ จะมาข้ต ขวางทำลายหน่วงเหนี่ยวไม่ไต่นั้นคือ กรรมย่อมเป็นที่พึ่งอาศัยของ สัตว้โลก แน่นอนผู้ที่ทำแต่กรรมชั่ว มีแต่บาปท่วมห้ว กรรมดีไม่มี ติตต้วให้พึ่ง ถึงใครเขาอยากให้พึ่งก็ไปไม่ถึง จึงมีแต่ตายกับตาย ทฑรปรรวัติ ฉบับการส์นฟูศลธรรมโลก ๑๕๒ บททึ๋ a การตรัสรู้ของพระล้มมาล้มพุทธเต้า www.kalyanamitra.org
สรุป กรรมนั่นแหละ ย่อมเป็นผู้จัดการว่า เจัาจงดี เจ้าจงเลว เจ้าจงมีอายุมาก เจ้าจงมีอายุน้อย เจ้าจงโง่ เจ้าจงฉลาด ฯลฯ ผู้ อื่นย่อมไม่สามารถทำได้ดังนี้ มีแต่กรรมเท่านั้นทำได้ สมกับพุทธ ภาษิตที่ว่า \"กลยาณการี กลยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ\"\" ทำ ดีได้ดี ทำ ชั่วได้ชั่ว วิชชาที่ ๓ ทำ กิเลสอาสวะให้สินไป'\" เมื่อพระพุทธองค์ดรัสเล่าการบรรลุวิชชา ๑ ปุพเพนิวา สานุสติญาณ และวิชชา ๒ จุตูปปาตญาณ จบลงแล้ว ก็ทรงเล่าถึง การบรรลุวิชชาที่สำคัญ อันเป็นวิชชาที่ทำให้เกิดความอุบตขึ้น ของพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา นั้นคือ วิชชา ๓ อาสจ้กขยญาณ \"เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธี้ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียง ดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง ย่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมื่น ไม่หวนไหวอย่างนี้ อาตมภาพนั้นน้อมจิตไปเพื่อ อาสวักขยญาณ รู้ช้ตตามความเป็นจริงว่า *นีทุกข์ นื ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธดามินิปฏิปทา นี้ อาสวะนี้อาสวสมุทัยนี้อาสวนิโรธนี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา' เมื่ออาตมภาพรู้เห็นอยู่อย่าง'^ตก็หลดพ้นจากกามาสวะ กวาสวะและอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็รู้วำ 'หลุด พ้นแล้ว' รู้ชัดว่า 'ชาตินี้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรข์แล้ว ® อัง.เอกก.อ.(ไทย)๓๓/๑๖๘ ^ โพธิราชกุมารสุกร ะ ม.ม.(ไทย)๑๓/๓๓๖/๔๐๖-๔๐๗ Vjnรป'ระวัด ฉบับการส์นฟ่สิลธรรมโลก ^ ®<fm มกกี่ <0 การตรัสวู้'ฃองพระสัมมาส้มพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
ทำ กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่น เพื่อความเป็น อย่างนี้รกต่อไป' ราชกุมาร อาตมภาพบรรลุวิชชาที่ m นี้Iนปัจฉิม ยามแฟงราตรี กำ จัดอวิชชาไล้แล้ว วิชชาก็เกิดขึ้น กำ จัด ความมืดไล้แล้ว ความสว่างก็เกิดขึ้น เหมือนบุคคลผู1ม่ ประมาท มืความเพียร อุทิศกายและใจอยู่\" ขยายความ ะ ขณะที่ใจของพระโพธิส้ตว์ทรงหยุดนิ่งสนิทอยู่ในดวงธรรม ฑืฑำ ให้เป็นจุตูปปาตญาณอย่างต่อเนื่องตลอดมัชฌิมยาม คือตั้ง แต่เวลา ๒๒.๐๐ น. ถึง ๐๒.๐๐ น.นั้นใจของพระองค์จึงถูกฟอกให้ บริสุทธึ๋■ผุดผ่องยิ่งขึ้นมาดามลำดับๆ ท่ามกลางความบริสุทธนั้นเอง ดวงธรรมที่ทำให้เป็นจุตูปปาดญาณก็ขยายวงกว้างออกไป จาก นั้นดวงธรรมที่บริสุทธยิ่งขึ้นไปอีกก็ผุดขึ้นมาดรงกลางดวงธรรมนั้น มีชื่อว่า ดวงธรรมที่ทำให้เป็นอาสวักขยญาณ พระองค์จึงทรง น้อมใจเข้าไปยังศูนย์กลางของดวงธรรมนั้น ทำ ให้พระองค์ทรงเห็น อวิชชาพร้อมทั้งกิเลสอาสวะที่เหลือไดัแจ่มชัดยิ่งขึ้นโดยทรงเห็น ว่าอวิชชาเป็นธาตุที่สกปรกที่สุด ละเอียดที่สุด เห็นได้ยากที่สุด เป็นกิเลสอาสวะมีชื่อว่า อวิชชาสวะและมีอันดรายมากที่สุด เพราะ อวิชชา เป็นรากเหง้าของกิเลสอาสวะทั้งปวง อวิชชา เป็นรากเหง้าของความไม่รู้ความโง่ทั้งปวง อวิชชา เป็นรากเหง้าความทุกข์ความกลัวทั้งปวง อวิชชา เป็นรากเหง้าความหยาบคาย และความโหดร้าย ทั้งปวง ทุทธประวัต๊ ฉบับการส์นฟูสิรรรรมโลก ^ ๑๕๕ ^ บทที่ เท การครัลรู้ของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
อวิชชา เป็นรากเหง้าความโลภเห็นแก่ตัวนานาประการ ฯลฯ ความโหดร้าย ของอวิชชาที่มีผลต่อสัตวโลกมากที่สุดก็คือ ห่อหุ้ม!เดบังใจของสัตวโลกให้มืดบอดสนิทมานานแสนนาน อ้นเป็นเหตุให่ไฝรู้ไม่เห็นอริยสัจ ๔ ได้แก่ ความจริงอ้น ประเสริฐ ที่ด้องรู้อย่างยิ่ง ๔ประการ แต่บัดนี้พระองคืไตัทรงเห็นอวิชชา หรืออวิชชาสวะแล้ว จึง ทรงหยุดใจให้นิ่งสนิทยิ่งขึ้นอีกที่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็น อาสวักขยญาณ ยังผลให้พระองค์ทรงเห็นแจ้งรู้แจ้งตามความเป็น จริงในอริยสัจ ๔ คือ ๑. ทรงเห็นฑกข์ ทรงเห็นสิ่งที่เรืยกว่า ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่ สบายใจของสัตวโลก ซึ่งทุกชีวิตต่างตัองประสบเหมือนๆ กัน ต่าง กันแต่จะมากหรือน้อย โดยทุกข์แปงออกเป็น๒ ประเภท คือ ประเภทที่ ๑)ความทุกข์เดือดร้อนไม่สบายทางกาย ประเภทที่ ๒)ความทุกข์เดือดร้อนไม่สบายทางใจ ๑) ความทุกข์เดือดร้อนไม่สบายทางกาย เรืยกสั้นๆ ว่า ทุกข์กาย เนื่องจากกาย ประกอบตัวยธาตุ ๔ ที่เรืยกว่า มหาภูตรูป ๔ ซึ่งเป็นธาตุที่ไม่บริสุทธ จึงมืการเกิด-ตับ ดลอดเวลา ตังที่น้กวิทยาศาสตร์พบในภายหสังว่า น้บตั้งแต่แรก เกิดเซลล็ในร่างกายมนุษย์ก็มืการเกิด-ดายเป็นล้านๆ เซลล์ต่อนาที โดยเมื่อมือายุเพิ่มขึ้นจำนวนเซลล์ที่เกิดใหม่จะค่อยๆ ลดลง แต่ ทุฑธประวัตํ ฉบับการฟ็นฟูคลธรรมโลก ๑๕๕ บ*'ที่ »การตรัลเของพระลัมมาลัมทุ*'ธพา www.kalyanamitra.org
จำ นวนเชลล์ที่ตายจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ร่างกาย มีแต่เซลล์ตายไม่มีเซลล์เกิด เมื่อนั้นร่างกายก็จะแตกสลายถึงแก่ ความตาย เหมีอนโลหะถูกสนิมซึ่งเกิตแต่เนื้อในโลหะเอง ก็ดกร่อนจนโลหะผุหมดสภาพไป ปรากฏการณ์การเกิด-ดับของมหาภูตรูป ๔ นื้เอง ได้นำ ความกระสับกระส่ายไม่สบายกายอย่างลึกๆ มาสู่สัตวโลก ทำ ให้ สัตวโลกต้องดิ้นรนหาธาตุ ๔ จากภายนอก ซึ่งก็เป็นธาตุ ๔ ที่ไม่ บริสุทธึ๋■มาหล่อเลี้ยงกายหยาบของตนอยู่ราไป เมื่อความไม่ บริสุทธของธาตุ ๔ ภายในมาเจอกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งล้วน ต่างก็ประกอบด้วยธาตุ ๔ ที่ไม่บริสุทธเชํนกัน ก็ยิ่งทำให้ทุกข์ทาง กายปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ไอ) ความทุกข์เดือดร้อนไม่สบายทางใจ เรียกสันๆ ว่า ทุกข์ใจ จากการที่พระโพธิสัตว์ทรงบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และจุตูปปาตญาณ ทำ ให้พระองค์ทรง เห็นการเกิดด้บของใจว่า รวดเร็วมากถึงล้านล้านครั้งต่อชั่วสัตนื้ว มีอเดียว และการเกิดด้บของใจในแต่ละครั้งได้นำความทุกข็ใจมา ให้แก่ผู้นั้นโตยไม่รู้ด้ว การเกิด-ดับตลอดเวลาของใจ เหมีอนไฟกระพริบที่เกิด ขึ้นอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดความกระสับกระส่ายไม่สบายทางใจ พระโพธิสัตว์!ม่ได้ทรงรู้และเห็นด้วทุกข์ด้งที่กล่าวมาข้าง ด้นเท่านั้นแต่กังทรงรู้แจ่มแจ้งถูกด้องตรงตามความเป็นจริงว่าความ อึดกัดกระสับกระส่ายทางกายและใจที่เรียกว่า ทุกข์นั้นมี๒ประเภท คือ พฑรประาฬ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโลก ^ ©eft ^ บทที่ m ทารตร้Hรู้ซองพระล้มนาส้มทุทธเจา www.kalyanamitra.org
(๑) สภาวะทุกข์ หมายถึง ทุกข์ประจำ จำ แนกออกเป็น ๓ ประเภท คือ ๑.๑ ชาติทุกข์ คือ ความเกิดเป็นทุกข์ได้แก่ สัตวโลก ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด หากยังด้องเกิดก็ยังด้องได้รับทุกข์อยู่รั้าไป เช่น สัดว์ที่เกิดในครรภ์ก็ด้องเป็นทุกข์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ครั้นถึง คราวคลอดออกมาก็ทุกข์มากปางดาย ๑.๒ ชราทุกข์ คือ ความแก่เป็นทุกข์ ๑.๓ มรณทุกข์ คือ ความตายเป็นทุกข์ (๒) ปกิณณกทุกข์หมายถึง ทุกข์จร จำ แนกออกเป็น๘ อย่าง คือ ๒.๑ โสกะ ความเศรัาเสียใจ ๒.๒ ปริเทวะ ความรำพัน ปนเพ้อ ด้ดอาสัยไม่ขาด ๒.๓ ทุกขะ ความไม่สบายกาย ความเจ็บปวย ทางกาย ๒.๔ โทมนัสสะ ความน้อยใจ ๒.๕ อุปายาสะ ความด้บใจ ดรอมใจ ๒.๖ สัมปโยคะ ความประสบสิ่งที่เกลียด ๒.๗ วิปปโยคะ ความพสัดพรากจากสิ่งที่รัก ๒.๘ อลาภะ ความผิดหวังไม่ไดสิ่งที่ดนอยากได้ ๒. ทรงเห็นทกขสมฑัย ทุกขสมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข ซึ่งได้แก่ ตัณหา คือ ความ อยากหรือความทะยานอยาก อ้นเป็นอาการที่มีอยู่ในจิตใจของ พุทธประวัติ ฉป้บการฟ้นฟูศลธรรมโลก ๑๕๗ บททึ่ 0กา'Jflรัทุ้ของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า ร- www.kalyanamitra.org
ปุถุชนและพระอริยบุคคล ๓ ระดับต้น ยกเว้นพระอรหันต์ เพราะ ท่านละไดโดยเด็ดขาดแล้ว ดัณหาแบ่งออกเป็น ๓ บ่ระเภท คือ ๑) กามตัณหา คือ ความทะยานอยากในกามคุณ ๕ และ ในกามภพ ๒)ภวตัณหา คือ ความทะยานอยากในภพ คือรูบ่ฌาน แลรรูบ่ภพ ๓)วิภวตัณหา คือ ความทะยานอยากในวิภพ คือ อรูบ่ฌาน และอรูบ่ภพ ๑) กามตัณหา พระองค์ทรงรู้เห็นว่า ล้ดวใลกทั้งหลายล้วนมีความทะยาน อยากในกามคุณ๕คือ มีความพึงพอใจใฝ่หารูบ่ เสียง กลิ่นรสสัมผัส อันน่าใคร่ ใดยหลงเข้าใจผิดว่ากามคุณ ๕ คือ เหตุปัจจัยสำดัญยิ่ง ที่จะอำนวยความสุขใหัแก่ชีวิดดัวยบ่ระการทั้งบ่วง จึงทุ่มเทเวลา ในชีวิดหาทรัพย์สินเงินทองมาให็ไต้มากที่สุด เพื่อแลก กับรูบ่ เสียง กลิ่น รส สัมผัสดามที่ดนบ่รารถนา ถ้าสมบ่รารถนาก็จะรู้สึกเป็นสุข ถ้าไม่สมบ่รารถนาก็จะรู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะเหตุที่สัตวใลกทั้งหลายต่างทะยานอยากในกามคุณ ๕ เหมีอนๆ กัน นอกจากจะต้องเหน็ดเหนื่อยจากการแสวงหาแล้ว ต้องมีการแข่งข้น แย่งชิงกัน เบียดเบียนกันต้วยวิธีการต่างๆ เมื่อ ข้ดแย้งกันมาก ก็จะมีการทะเลาะวิวาทกัน ตีรันฟันแทงกัน ไบ่ จนถึงรบราฆ่าฟันกัน สิ่งเหล่านี้นอกจากก่อใหัเกิดทุกข์[นชีวิด ของสัดวใลกไม่สร่างชาแล้ว ยังเป็นการก่อกรรมชั่ว ซึ่งจะมีวิบาก ข้ามภพข้ามชาติต่อไบ่อีก ทำ ใหัต้องเวียนเกิดเวียนดายอยู่ใน กามภพอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะกามต้ณหา ใเแทรปรราติ ฉบับการส์นฟูศีลธรรมโลก ^ ๑๕๘ บทฑึ๋(ท การตรัสรู้ของพระสัมมาลมพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
la) ภวตัณหา พระองค์ทรงรู้เห็นต่อไปอีกว่า ยังมีบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเห็นโทษของกามคุณ ๕ จึงตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา จนกระทั่ง บรรลุรปฌานระดับต่างๆ มีตั้งแต่ปฐมฌาน ทติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน แล้วประจักษ์ดัวยตนเองว่า ความสุขยันเกิดจาก รูปฌานนั้น ประเสริฐกว่าความสุขที่ตนเคยไดัรับจากกามคุณ ๕ อย่างเทียบกันไม่ไดัเลยจึงติดใจในฌานสุขนั้นเป็นอย่างยิ่ง ประกอบ กับเกิดความหลงผิดว่า ภาวะความสุขของฌานที่ดนไดัรับคือ ภาวะ ความสุขแห่งการบรรสุนิพพาน จึงเกิดภวตัณหา คือความทะยาน อยากในการที่จะไปเกิดเป็นรูปพรหมในรูปภพ ครั้นละโลกแล้วไดไปเกิดเป็นรูปพรหมจริง ไดัรับความสุข ในรูปภพจริง แต่ตนยังไม่บรรสุอริยธรรมใดๆ ครั้นหมดอายุขัยใน พรหมโลกก็ดัองจุติจากพรหมโลก กลับมาเกิดในกามภพอีก ทำ ให้ ต้องเวียนเกิดเวียนดายเป็นทุกขัใม่รู้จบ ๓) วิภวตัณหา พระองค์ทรงรู้เห็นต่อไปอีกว่า ยังมีบุคคลอีกระดับหนึ่ง ซึ่ง เห็นโทษของภวดัณหาไต้ตั้งใจเจริญภาวนาต่อจากรูปฌาน ๔ จน กระทั่งบรรลุอรูปฌานไต้แก่ อากาสานิ'ญจายดนะวิญญานัญจายดนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายดนะ ปรากฏว่า ความสุขที่เกิดจากการบรรลุอรูปฌานประณีตกว่าความสุขจากรูป ฌานอย่างนิบเท่าไม่ไต้ จึงติดใจในอรูปฌานสุขนั้นเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับความหลงผิดว่า ภาวะความสุขของอรูปฌานที่ดนไต้รับ 1^ท0ปรราทิ ฉบับการฟ้นฟูสิลธรรมโลก (ร)(ร(ร! ม*'ที 'ท การตรัสรู้ของพระลัมมาสัมทุ*'ธเจ้า พ?^'\" - www.kalyanamitra.org
ก็คือภาวะความสุขแห่งการบรรลุนิพพาน จึงเกิดวิภวต้ณหา คือ ความทะยานอยากในการที่จะไปเกิดเป็นอรูปพรหม เมื่อละ จากโลกมนุษย์แล้ว ก็ไปบังเกิดในอรูปภพเป็นอรูปพรหมเสวยสุข อยู่ในอรูปภพยาวนานหลายหมื่นกัปกว่าจะสิ้นอายุขัยอย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดในอรูปภพซึ่งมีอายุยาวนานมากที่สุด และมีสุขที่ประณีต ที่สุด แต่หากยังไม่บรรลุอริยธรรม ก็ยังต้องกลับมาเกิดในกามภพ ให่ไต้ร้บทุกข์อีก ๓. ทรงเห็นทุกขนิโรธ การที่พระองค์ทรงเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของพระองค์เอง และของล้ตวโลกทุกชนิด ทำ ให้ทรงรู้ขัดว่า สังสารวัฏนี๋ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องกลาง และไม่มีเบื้องปลาย เป็นคุกที่คุมขังสัตวโลกไวั อย่างแน่นหนา เมื่อใจหยุดนิ่งสนิทที่กลางดวงธรรมที่ฑํๆให้เป็น อๆสวักขยญาณได้ถูกส่วน จิตของพระองค์ยิ่งทรงนุ่มนวลอ่อนโยน ควรแก่การงาน พระองค์ก็ทรงรู้เห็นอริยสัจมาตามลำดับ จนถึง ทุกขสมุทัย ก็ทรงรู้เห็นว่ากิเลสตัณหา คือด้นตอสาเหตุที่ฑำให้ ชาวโลกด้องเวียนเกิดเวียนตายไม่รูจบ เมื่อใจของพระองค์ยิ่งนิ่งเขัาไปในกลางดวงธรรมที่ทำให้ เป็นอาสวักขยญาณ จนถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นทุกขนิโรธ ก็ทรง รู้เห็นว่า ความทุกฃทังหลายทั้งมวลที่มีกิเลสตัณหาเป็นด้น เหตุนันย่อมตับได้ พระองค์ยังทรงเห็นขัดต่อไปอีกว่า เมื่อ สามารถขจัดกิเลสอาสวะได้เด็ดขาดตามส่วนแล้ว ใจก็จะ เข้าถึง ธรรมชาติบริสุทธที่สุดชนิดหนึ่งที่มืซึ่อเรียกว่า \"นิโรธ\" หรีอ \"นิพพาน\" ซึ่งมีดวามสว่างจันไม่มืประมาณ และทรงเห็น ทุทธประวัต ฉบบการฟ้นฟูศีลธรรมโลก ๑๖๐ บทฑึ๋ m การตรัลรุ้ของพระสัมมาส้มพุทธพา www.kalyanamitra.org
ว่าทุกข์ทั้งหมดก็ดับไปจากใจทันที เหลือแต่ \"เอกันตบรมสุข\" คือ ความสุขกันเกิดจากใจกับนิพพานเป็นหนึ่งเคืยวกันตลอดเ'^ลา ดังที่พระองค์ตรัสไว่ในนิพพุดสูตร®ว่า \"...ในกาลใด บุคคลนี้เสวยธรรมเป็นที่สิ้นราคะอัน ไม่มีส่วนเหลือ เสวยธรรมเป็นที่สิ้นโทสะอันไม่มีส่วนเหลือ เสวยธรรมเป็นที่สิ้นโมหะอันไม่มีส่วนเหลือ ในกาลนันพระ นิพพานชื่อว่าเป็นสภาวธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วย ตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้า มาในตน อันวิฌฌูชนพึงรู้เฉพาะตน\" การตรัสรู้ที่สมบูรณ์นี้เองทำให้พระองค์ทรงรู้ว่า\"ธรรม\"ที่ ทรงแสวงหามานานแสนนานนั้น ก็คือ \"นิพพาน\" ที่ซ่อนอยู่ ในตัวของมนุษย์นี้นั้นเอง แต่มนุษย์!ม'รู้ว่ามีอยู่ และไม่รู้ว่า สามารถเข้าถึงไตัตัวยการปล่อยวางใจให้หยุดนิงอย่างต่อ เนึ่องไม่ถอนถอยอยู่ในศูนย์กลางกายนั้นเอง นอกจากนี้ การตรัสรู้ของพระองค์ ยังทรงดันพบดัวยว่า นิพพานนั้นแปงเป็น๒ ประเภทไดัแก่ สภาวนิพพาน และ อายตนะ นิพพาน ประเภทที่ ๑ สภาวนิพพาน คือ สภาวธรรมกันเป็น ธรรมซาคืบริสุทธึ๋ที่ซ่อนอยู่ในกายมนุษย์ เมื่อเข้าไปเป็นกัน เคืยวกับนิพพานนั้น ทุกข์ทังมวลก็จะหายไป แปงออกเป็น ๒ ประเภทตามช่วงเวลา ไดัแก่ ๑ นิพทุตสูตร ะ อัง.ทุก.(ไทย)๒๐/๕๖/๒๑๙-๒๒๐ พุทธปรรวัฬํฉบับการฟินฟูสีลธรรมโลก ®๖® น*'*'»การครัศรู้ของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
{๑)สอุปาฑิเสสนิพพาน คือสภาวธรรมอันเป็นธรรมชาติ บริสุฑธึ^ที่มีอานุภาพในการดับทุกฃในใจมนุษยให้หมดสิน เรอไม่เหลือเศษไดัอย่างเด็ดขาด ยังผลให้บุคคลผู้บรรลุธรรมนั้น เปลี่ยนสถานภาพจากปุถุชนเป็นพระอรห้นต์ ดังพุทธพจน์ที่ปรากฏ ในนิพพานธาตุสูตร®ว่า \"ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบ พรหมจรรย์แล้ว ทำ กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลำด้บแล้ว สิ้นภวล้งโยชน์แล้ว หลุด พ้นแล้วเพราะรู้ชอบ เพราะอินทรีย์ ๕ ที่ยังคงอยู่ ไม่ด้บ ไป ภิกษุนี้นจึงประสบอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ เสวยสุข และทุกข์อยู่ ภิกษุทั้งหลาย ความล้นราคะ ความล้นโทสะ ความ ล้นโมหะของภิกษุนัน เราเรียกว่า สอปาทิเสสนิพพาน ธาตุ\" (ใอ)อนุปาฑิเสสนิพพาน คือ สกาวธรรมอันเป็น ธรรมชาติบริสุทธึ๋^ที่ผุดเกิดขึ้นในเวลาที่พระอรห้นต์ดัองการ ปรินิพพาน เพื่อละสังขารมนุษย์ หลุดพ้นจากการเวืยนว่าย ตายเกิดอย่างสมบูรณ์ และเข้าอายตนะนิพพานไป ดังพุทธพจน์ที่ ปรากฏในนิพพานธาตุสูตร'°ว่า ® นิพพานธาตุสูตร ะ ชุ.อิติ.(ไทย)๒๕/๔๔/๓๙๓ ^ นิพพานธาตุสูตร ะ ชุ.อิดิ.(ไทย)๒๕/๔๔/๓๙๓ พุท&ปรราต ฉบับการฟ้นฟูสิลธทมโ{เก ©๖๒ บทที๋ เท การดรัสฐํขฮงพระสัมมาส้มพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
\"ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ อยู่ จบพรหมจรรย์แล้วทำ กิจที่ควรทำเสร็จแล้วปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลำด้บแล้ว สิ้นภวล้งโยชน์แล้ว หลุด พ้นแล้วเพราะรู้ชอบ ภิกษุหังหลาย เวทนาทังปวงใน ทัตภาพนี้นั่นแลของภิกษุนั้น อันตัณหาเป็นต้นให้ เพลิดเพลินไม1ตัต่อไปแล้ว อักระงับตับสนิท ภิกษุทั้งหลาย สภาวะตังกล่าวนิ เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ\" นิพพานทั้งสองประเภทนี้ คือ สภาวธรรมที่ช่อนอยู่ภายใน กายของพระองค์ โดยในวันตรัสรู้นัน ใจของพระองดได้บรรลุ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสอุปาฑิเสสนิพพาน ส่วนอนุปาฑิเสส นิพพานนั้น ก็ทรงตรัสรูไดีในวันตรัสรู้เซ่นกัน แต่อังไม่น้อม ใจเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะจะต้องทรงทำหน้าที่ ของพระพุทธเจ้าให้สมบูรณ์ก่อน นั้นดีอฟ้กหอักพระพุทธ ศาสนาให้มั่นคงก่อน หอังจากน้น เมื่อสิงเวลาสมควรจะ ต้องปรินิพพาน ก็จะทรงน้อมใจเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับอนุปาฑิเสสนิพพานและเสด็จต้บข้นธปรินิพพานสู่อายตนะ นิพพาน ประเภทที่ ๒ อายตนะนิพพาน คือ สถานที่บริสุทธ สำ หรับรองรับพระอรห้นต้หอังปรินิพพานแล้ว ซึ่งมีสภาพที่แตก ต่างจากภพสามอย่างสิ้นเชิง ดังพุทธพจน์ที่ปรากฏในปฐมนิพพาน ปฏิอังยุตตสูตร®ว่า * •' ® ปฐมนิพพานปฎิสังยุตตสูตร :ข.อุ.(ไทย)๒๕/๗๑/๓๒๑-๓๒๒ ทุฑธประวัด ฉบับการฟ้นฟูสิลโรรรมโลก ®๖๓ น*'\" ®■ การพรัสรู้ของพระลมมาส้มทุทโรเจ้า 05 www.kalyanamitra.org
\"ภิกษุทั้งหลาย อายตนะมีอยู่ (แต่)ในอายตนะนั้น ไม่มีปฐวีธาตุ ไม่มีอาโปธาตุ ไม่มีเตโชธาตุ ไม่มีวาโยธาตุ ไม่มีอากาสานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณัญจายตนะ ไม่มีอาภิฌจัญญายตนะ ไม่มีเนวส้ญญานาสัญญา- ยตนะ ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีตวงอาทิตย์ และตวง จันทร์ทั้งสองนั้น\" ภิกษุทั้งหลายเราไม่เรียกอายตนะนั้นว่า มีการมา มีการไปมีการตั้งอยู่มีการอุบต อายตนะนั้นไม่มีที่ตั้ง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอารมณ์ปีตเหนี่ยว นี้แลคือที่สุตแห่งทุกข์\" ในพระพุทธเศาสนาคาวำ อายตนะหมายถึงเครื่องร้บรู้,แดน เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ มี ๒ ประเภท ได้แก่ อายตนะภายใน และ อายตนะภายนอก อายตนะภายใน คือ เครื่องรับรู้สิ่งต่างๆ จากภายนอกเข้าสู่ ภายในได้แก่ ดา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอก คือ สิ่งกายนอกที่ถูกรับรู้ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ จากพุทธพจน์ด้งกล่าว จะเห็นได้ว่า อายดนะนิพพานมี สกาพที่แดกต่างจากภพสามอย่างลิ้นเชิง ตั้งแต่ไม่ได้ประกอบ ขึ้นด้วยธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุไฟ ธาตุลม ทั้งไม่ใชํมนุษยโลก สวรรค์ โลก พรหมโลก อีกทั้งไม่มีการเวียนว่ายดายเกิด ไม่ดกอยู่ใน สภาพไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ด้ว พุฑรป'รรวัด ฉบับกา^รฟ้นฟูสืลITJรมโลก ^ ๑๖๔ บทที๋ a การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมทุท!เจ้า www.kalyanamitra.org
ของเรานอกจากนั้นยังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อีกด้วย แต่ว่า มีดวามสว่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสอดคล้องกับพุทธพจน์ทีปรากฏ ในพาหิยสูตร®ว่า \"ในนิพพาน นํ้า ไฟ ลม ไม่มีดวงดาวส่องแสง ไม่มีดวงอาทิดย์ส่องแสง ไม่มีดวงจันทร์ส่องแสง และไม่มีความมีด(สว่าง)\" ด้งนั้น อายตนะนิพพาน ในที่นิจึงหมายสิง อายตนะ ภายนอก หรือนิพพานที่อยู่ภายนอกตัว อันเป็นสถานที บรืสุทธหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพสามใปแล้า พุทธพจน์ด้งกล่าวนี้ เป็นหลักฐานสำคัญว่า การตรัสรู้ของ พระองค์นั้น นอกจากสภาวนิพพานอันเป็นเครื่องคับทุกข์คับ กิเลสในโจมนุษย็ให้หมตสิ้นแล้ว ยังมีอายตนะนิพพานอันเป็น สถานที่บริสุทธึ๋สว่างสำหร้บรองร์บพระอรห้นค์หลังปรินิพพานอีกด้าย ด้งพุทธพจน์ที่ปรากฏในปหาราฑสูตร'\"ว่า \"แม้ถ้าภิกษุจำนวนมากปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ ก็ไม่ทำให้นิพพานพว่องหรือเต็มได้ เหมีอน แม่นํ้าสายใดสายหนึ่งในโลกที่ไหลรวมลงสู่มหาสมุทร และ สายฝนตกลงจากฟากฟา ก็ไม่ทำให้มหาสมุทรพว่องหรือ เต็มได้\" ® พาหิยสูตร ะ ขุ.อุ.(ไทย)๒๕/๑๐/๑๘๗ ๒ ปหาราฑสูตร ะ อัง.อัฎฐก.(ไทย)๒๓/๑๙/๒๕๐ ทุฑธประวัสิ ฉบบการฟ้นฟูศีลธรรมโลก ©๖๕ น*'ที๋ ® การตรัสรู้ของพระลัมมาสัฆพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
ด้วยเหตุที่เรื่องของสภาวนิพพานและอายตนะนิพพานมี ความละเอียดลึกซึ้งเช่นนี้ พระองค์จึงทรงดำริว่า บุคคลผู้ย้งจมอยู่ ในกามคุณ ๕ ย่อมยากจะบรรลุนิพพานนี้ได้ ด้งพุทธพจน์ที่ ปรากฏในปาสราสิสูตร®ว่า \"ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตาม ได้ยาก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรกะ ละเอียด บัณฑิต (เห่านั้น) จึงจะรู[ด้ส่วนหมู่ประชา0นรมย์ด้วยอาสัย(กาม คุณ ๕) ยินดีในอาสัย เพลิดเพลินในอาสัย ... ย่อมเป็นสิ่ง ที่เห็นได้ยาก\" ด้งนั้น การที่บุคคลจะบรรลุนิพพานไดํจึงมีทางเดียว นั้นคือ ด้องไม่อาลัยในกามคุณ ๕ เพราะความอาลัยในกามคุณ ๕ นี้เอง จึงถูกด้ณหาบงการให้สร้างกรรมชว อันนำไปสู่ความทุกข์เดือด ร้อนจากการเวียนว่ายดายเกิดไม่รู้จบ และการที่พระองค์ทรงรู้ยิ่ง เห็นจริงถึงเหตุแห่งความอาลัยในวัฏสงสารเช่นนี้ได้ ก็เพราะใจ ของพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนิพพานแล้วนั้นเอง ๔. ทรงเห็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อใจของพระโพธิลัดว์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ \"ธรรมชาติ บริสุทธที่สุด\" ที่มีชื่อว่า \"นิพพาน\"อันเป็นที่ด้บทุกข์ทั้งมวลพระองค์ ก็ทรงรู้เห็นชัดว่า การจะบรรลุ \"นิพพาน\" ได้นั้นมีเลันทางสายเอก เพียงสายเดียวเท่านั้น เลันทางนั้นก็คือ เอกายนมรรค เป็นเลัน ทางที่ผู้ปฎิบตจะด้องเจริญสมมาสมาธิที่เป็นอริยะประกอบด้วย • ^ ® ปาสราสิสูตร: ม.มู.(ไทย)๑๒/๒๘๑/๓๐๕ พุฑรป?รวัต ฉบับการส์นฟูสืลธรรมโลก ^ ๑๖๖ นทฑี(ท การตรัสเของพระสัมมาสัมทุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
องค์ ๗ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ จึงจะ ถือได้ว่าบำเพ็ญทุกขนิโรธคามีนีปฏิปฑานึ่อย่างถูกต้องสมบูรณ์ ดังภาพที่ ๒ ๑.ส้มมาทิฏฐิ ไอ. ส้มมาส้งกัปปร ความดำริถูก ความเห็นถก ๗.ส้มมาสติ สัมมา ๓.ส้มมาวาจา ความระลึกถก การพูดถูก *■' สมาธิ ๖.ส้มมาวายามะ ๕.ส้มมาอาห็วร '๔. ส้มมาก้มม้นดร การกระทำถูก ความพยายามถก การเลี้ยงลึพถูก ภาพที่ ไอ แสดงองค์ประกอบอริยสมาธิ ๗ พระองค์ทรงรู้เห็นชัดอีกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นชัอ ปฏิป้ตที่ดัองปฏิบ้ติให้ครบทั้ง ๘ ชัอ จะปฏิป้ติย่อย่นตกหล่นชัอใด ข้อหนึ่งไม่ไดักล่าวคือ วิธีปฎิบติมรรคมีองค์๘ ๑) ดัองปฎิบ้ติให้ครบองค์ประกอบทั้ง๘ ๒)ดัองปฏิป้ติแต่ละองค์ประกอบให็ไดัสัดส่วนที่พอเหมาะกัน ๓)ดัองปฏิบติทั้ง ๘ ประการอย่างต่อเนึ่อง รอบแล้วรอบ เล่าจนเป็นนิสัย ใจจึงจะละเอียดอ่อนเป็นอันหนึ่งสันเดียวกับธรรม และบริสุทธี้ตามธรรมไปดัวย ทุฑรประวัติ ฉบับการฟ้นฟ่สืลธรรมโลก ๑๖๗ \"ทารดรัรรุของพระสันมาส้มพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
ข้อปฏิบตทัง ๘ ข้อนี้ เป็นทางไปสู่ความเป็นอริยชน คือ ผูใดปฏิบัติได้อย่างสมบูรณ์ใจของผูนนย่อมหมดกิเลส เครื่อง เศร้าหมอง เปลียนสภาพจากปุถุชน(คนกิเลสหนา)เป็นอริยชน (คนประเสริฐ) ด้งเช่นพระสัมมาส้มพุทธเจ้า และพระ อรหันต์ทั้งฬลาย'' คือหมดกิเลส หมดทุกข์ หมดกลัว หมด ความไม่รู้ ดังภาพที่ ๓ 0 ส้มมาส้งภัปปร ความต์าร•คืคQท ส้มมาฑิฎฐ ามเหันฎก ๘ บรรลรรรม ส้มม่าวาจา ส้มมาสม์าร สวาง สะ๓ด การทุคฐก ความดั๋งใอุฎก กายใน ทายใน ๔ ส้มมาสฟึ ส้มมาก้มม้นผ: ความรรสิทQก การกรรหัาฐก ส้มมาวายามะ ๕ ความทยายามทุก ส้มมาอารวะ การเลยงข์ททุก ภาพที่ ๓ แสดงมรรคมีองค์๘ เพื่อการบรรลุธรรม จากแผนภูมิทรงกลมข้างต้น เป็นการอธิบายผลการปฎิป้ต มรรคมีองค์ ๘ ขั้นสุดยอดในแต่ละขั้นแยกกัน ซึ่งดำเนินตามข้นธ์ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ในที่นี้ฃอให้ดำจำกัดความอันเป็นผลขั้นสุด ยอดเฉพาะดำต้งนี้ ® พ้นเอกปีน มุทุก้นต์. แนวสอนธรรมะ ตามหลักสูตรนักธรรมตรี. หนัา ๑๒๖ ทุฑรปรรวัติ ฉปับการลันฟูคืลธรรมโลก ๑๖๘ ฆทที่ m การตรัสรู้ชองพระลัมเทส้มทุทธเจ้า 0> |> www.kalyanamitra.org
สิล มี ความสะอาด® เป็นผล เพราะกำจัดโทษทุจริตคือ กิเลสจันเป็นความสกปรกเศราหมองที่จะเกิดขึ้นทางกายวาจาใจได้ ผู้รักษาศีลจึงชื่อว่า เป็นผู้มีกาย วาจา ใจสะอาด เหมาะแก่การ รองรับคุณธรรมเบื้องสูงคือ สมาธิ เหมีอนภาชนะที่สะอาด ย่อม เหมาะแก่การรองรับนํ้าเป็นด้นฉะนั้น สมาธิ มี ความสว่าง เป็นผล โดยทวไปลักษณะของสมาธิ คือความไม่ชัดส่ายซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ หยุดนิ่งในอารมณ์เดียว การอธิบายในลักษณะนี้อย่างเดียวจึงทำให้หลายท่านเข้าใจพลาด ไปว่า การทำสมาธิเป็นการทำไหจิตสงบเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่เป็นทางมาแห่งปัญญา เป็นทางมาแห่งความเกียจคร้าน จึง ทำ ไห่ไม่ใคร่ด้องการเจริญสมาธิภาวนากัน ในที่นี้จึงขอให้คำ จำ กัดความเฉพาะลักษณะเบื้องสูง หรือที่เต่น โดยเหตุผล ที่ว่า ผู้ที่ เจริญสมาธิถึงขั้นสุดยอด (จัปปนา) ขึ้งสงบแนบแน่นใน อารมณ์เหมาะแก่การใช้งานคือ การทำฤฑธต่าง ๆ และการ เจริญวิปัสสนาเพื่อมรรคผลได้แล้ว จะด้องมีลักษณะเป็น\"ดวง กลมใสสว่าง\" เป็นด้นไปในด้วสมาธิ ขึ้งเป็นเครื่องปงบอก ว่าเป็นสมาธิอย่างแน่นอนแล้ว แต่โดยความแล้วก็รวมทัง ความสงบและสว่างอยู่ในด้วสมาธิเลย เหมีอนกับพูดว่า ดวง ประทีปสว่าง แต่โดยความแล้วกีด้องมีความร้อนด้วยเสมอ สมาธิ ในลักษณะเป็นความสว่างด้วยนี้ จึงจะเหมาะอย่างยิ่งที่เป็นบาท ในการเจริญวิปัสสนาปัญญาต่อไป เพราะส่องให้เห็นสภาวธรรมได้ ชุ.ม.อ. ๖๕/๒๙๒,ชุ.ปฏิ.อ. ๖๘/๔๔ ทุทธประวัติ ฉบับการฟ้นฟูสืลธรรมโan ๑๖๙ บทที่ 'ท การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมทุทธเจ้า ^พ www.kalyanamitra.org
ปั'ญญา มี ความสงบ เป็นผล โดยทั่วไปจะกล่าวถึงปัญญามี ลักษณะสว่างบาง มีลักษณะแทงตลอดสภาพตามเป็นจริงบ้าง แต่ ในที่นี้กล่าวปัญญาว่าเป็นความสงบนั้น เป็นการอธิบายโดยผลที่ สืบเนื่องจากปัญญา อันเกิดจากความที่จิตสงบจนสว่างซึ่งเป็นผล ของสมาธิ ทำ ให้เกิดการรู้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง จน สามารถกำจัดกิเลสให้สงบราบดาบอย่างเด็ดขาดได้ด้วยมรรค ปัญญา ย่อมบรรลุนิพพานอันเป็นความสงบอย่างยิ่ง เหมีอนคนมี ปัญญากำจัดปัญหาอุปสรรคได้แล้วย่อมมีความสงบใจฉะนั้น ด้งที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า \"คนมีปัญญาดี รู้แจ้งโลกถึงที่สุดโลกได้ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว รู้ที่สุดโลกแล้ว เป็นผู้สงบแล้ว จึงไม่หวังโลกนี้และโลกอื่น*'® \"ภิกษุนั้นย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง ครั้น ทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว ย่อมกำหนดรู้ ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว เธอได้เสวย เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดีมิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละคืนใน เวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นด้งนั้น ย่อมไม่ยึดมน สิ่งอะไรๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมื่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหรั้น เมื่อ ไม่สะดุ้งหวาดหรั้น ย่อมด้บกิเลสให้สงบได้เฉพาะต้ว และ ® โรหิต้สสสูตร : สัง.ส.อ.(ไทย)๒๔/๒๙๘/๓๘๒ าเแฑรปรรว้ฟิ ฉบับการส์นฟูสืลธรรมโสก ^ ๑๗๐ บททึ๋ 0> การตรัสiของพระสัมมาสัมพุทแจัา www.kalyanamitra.org
ทราบชดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควร ทำ ทำ เสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี\"'' โดยทั่วไปศีล สมาธิปัญญาจะถูกให้คำจำกัดความว่า สะอาด สงบ สว่าง อันเป็นการอธิบายโดยลักษณะและผลที่ปรากฎเบืองต้น บางท่านก็อธิบายว่า ศีล คือความสะอาด คือจิตที่สะอาด เป็น จิตที่ประกอบต้วยศีล เมื่อศีลบริสุทธิ้ดีแล้ว ก็จะมีสมาธิ สมาธิจะ เป็นตัวนำพาไปซึ่งปัญญา ซึ่งก็คือความสว่าง คือเกิดปัญญาใน การกำจัดกิเลส เมื่อจิตเกิดปัญญาแล้ว จิตก็จะปล่อยวางไดใน ที่สุดการปล่อยวางก็คือความสงบของจิต สรุปก็คือ ศีลสมาธิปัญญา มีปัญญาแล้วก็ถึงจุดสงบนนเอง ความจริง ไม่ว่าจะอธิบายศีล สมาธิ ปัญญา เป็นความ สะอาด สงบ สว่าง หรือ เป็นความสะอาด สว่าง สงบ ก็ย่อมถูก ต้องตามนัยที่ผู้อธิบายมุ่งประสงค์ และในภาคปริยัติการทีจะ บรรลุอริยมรรคทั่ง ๔ สมถะและวิปัสสนาจะต้องดำเนินคู่กันไปจะ แยกจากกันไม่ไต้เลยฉะนั้นความสะอาดความสงบ และความสว่าง คือ ศีล สมาธิ และปัญญา จะไม่แยกจากกัน มีกิจคือการกำจัด กิเลสร่วมกัน จึงจะสามารถกำจัดกิเลสไต้ เหมีอนไฟที่มีทังความ ร้อนและแสงสว่างเกิดร่วมกันฉะนั้น การปฏิบดอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ พระองค์ทรงปฎิปัดรอบ แล้วรอบเล่า แต่ละรอบทั่งองค์ ๘ ก็ยิ่งทำให้1จของพระองค์บริสุทธิ้ ผ่องใส ตั้งมั่น ไม่หวนไหว อ่อนโยน ควรแก่การรู้ยิ่ง เห็นจริงใน ®> จูฬตัณหาสังขยสูตร ะ ม.มู.อ.(ไทย)๑๙/๔๓๓/๑๔๗ พุทรปรราติ ฉบับการฟ้นฟู ธรรมโลก ๑๗® ® การตรัสรู้■ของพระสัมมาล้มพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org
\"ธรรม\" การรู้เห็นตรงตามความเป็นจริงของพระองค์ ก็ยิ่งลุ่มลึก ไปตามลำดับๆ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อการบรรลุธรรมของ พระองค์จึงเหมือนการควงสว่านเข้าไปในเนื้อไม้ ยิ่งควงเข้าไป มากเท่าไร สว่านก็ยิ่งเจาะลึกเข้าไปในเนื้อไม้ได้มากขึ้นเท่านั้น ดัง ภาพที่ ๔ ^^ระฒสใิจกฐฐกุท รดฎท / พยายาม /> \\ \\ g' คู๊ก่ Y \\ ร\"ปี'' I I บรรลุธรรม)I รท่คูท 1 \\Via>งร^พฐก'''V J,' /เ I /p 9\" ความระสีกถู\"ก พย^ายาม XX 0 ^«'\"9\" X/ // ถูก X ^ X การทาถก d'ฯ'า«1 เลี๋ยงรพถก พยายามถก การเลี้ยงรพถูก ภาพที่ ๔ แสดงมรรคมีองค์๘รอบแล้วรอบเล่าเพื่อการบรรลุธรรม พระองคทรงรู้เหนอย่างแจ่มแจ้งองค'ประกอบของ มรรคมืองค์ ๘ ว่าประกอบด้วย ๑. สัมมาฑิฏเ ะ ความเห็นถูกด้อง ๒. สัมมาสังกัปปะ ะ ความดำ ริถูกด้อง พุทธปรราฅ ฉบับการหี๋เนฟสืลธรรมโลก ๑๗๒ บทท (ท การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพทธเจ้า $r\\ ^ www.kalyanamitra.org
๓. สัมมาวาจา:การพูดถูกต้อง ๔. สัมมาก้มมันตะ ะ การกระทำถูกต้อง ๕. สัมมาอารวะ:การเลียงรพถูกต้อง ๖. สัมมาวายามะ ะ ความพยายามถูกต้อง ๗. สัมมาสติ ะ ความระลีกถูกต้อง ๘. สัมมาสมาธิ ะ ความตังใจมั่นถูกต้อง พระองคไม่เพียงแต่ทรงเห็นองค์ประกอบของอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น ยังทรงเห็นความสัมพันธ็ฃองแต่ละมรรคแต่ละองค์ต้งนี้ ๑) ผู้มีความเห็นถูกต้องเป็นปกติ (สัมมาทิฏฐิ) ย่อมมี ความดำริถูกต้องพอเหมาะ ๒) ผู้มีความดำริถูกต้องเป็นปกติ (สัมมาสังกัปปะ) ย่อม พูดถูกต้องพอเหมาะ ๓) ผู้พูคถูกต้องเป็นปกติ (สัมมาวาจา) ย่อมทำถูกต้องพอ เหมาะ ๔) ผู้ทำ ถูกต้องเป็นปกติ (สัมมาก้มมันตะ) ย่อมเลี้ยงชีพ ถูกต้องพอเหมาะ ๕) ผู้เลี้ยงรพถูกต้องเป็นปกติ (สัมมาอาชีวะ) ย่อม พยายามถูกต้องพอเหมาะ ๖) ผู้พยายามถูกต้องเป็นปกติ(สัมมาวายามะ)ย่อมระลึก ถูกต้องพอเหมาะ ๗) ผู้ระลึกถูกต้องเป็นปกติ (สัมมาสติ) ย่อมตั้งใจมั่นถูก ต้องพอเหมาะ พฑธป'ระ:ว้ต ฉบับการส์นฟูศรธรรมโลก ๑๗๓ ^ บ*เก ® ทารด'5ลรู้ขลงพระสัมมาส้ม'พุทธIจ้า www.kalyanamitra.org
๘) ผู้ตังใจมั่นถูกต้องเป็นปกติ (สัมมาสมาธิ) ย่อมเห็น ภายในถูกต้องพอเหมาะ ๙) ผู้เห็นภายในถูกต้องเป็นปกติ (สัมมาญาณะ) ย่อม หลุดพ้นจากกิเลสพอเหมาะ ๑๐) ผู้หลุดพ้นจากกิเลสเป็นปกติ (สัมมาวิมุตติ) ย่อมเข้า ถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ\"The Known Factor\"หรือ \"ธรรมชาติบริสุฑธภายใน\"คือ\"พระนิพพาน\"นั่นเอง จึงขจัดความไม่รู้ออกไปจากใจไต้สิ้นเชิงและหมดทุกข์ โดยเด็ดขาด ประสบความสุขที่แท้จริง นันคือ พระเสขะผู้ประกอบต้วยองค์ ๘ จึงเป็นพระ อรหันค์ผู้ประกอบต้วยองค์ ๑๐'' บาปอกุศลธรรมทั้งหลายที่เคย หมักดอง ทุ้มห่อ บีบคั้น กัดกร่อนใจ ย่อมถูกกำจัดไปโดยเด็ดขาด ต้วยประการฉะนี้ พระองค์ทรงจำแนกมรรคมีองค์๘ ออกเป็น ๒ ระดับคือ ๑. ระตับเบืองต้น เป็นมรรคมีองค์ ๘ สำ หรับกัลยาณ- ปุถุชนผู้ยังไม่หมดกิเลส มีผลให้ผู้ปฏิบัติไต้บุญมาก เป็นสุขใน ระดับหนึ่งแต่ยังไม่หมดทุกข์ ไม่หมดความไม่รู้ ๒. ระตับเบืองสูงเป็นมรรคมีองค์๘อันเป็นอริยะสำหรับ พระอริยเจ้า อันเป็นมรรคสมังคื'^ในโลกุตดรมรรคทั้ง ๔ ของพระ อริยเจ้า ซึ่งเป็นผลให้ท่านสามารถกำจัดความทุกข์และความไม่รู้ ® มหาจัดตารีสกสูตร ะ ม.อุ.(ไทย)๑๔/๑๔๑/๑๘๑ ^ มรรคสมังคี คือ องค์มรรคทัง ๘ เกิดพร้อมกันเพื่อทำหน้ที่กำจัดกิเลสร่วมกัน ทฑรป-รรวัติ ฉบับกา-รฟ้นฟูสืลธ-รรมโลก ๑๗๔ นทฑึ๋ เท การตรัลรูของพระลัมฆาสัมทุฑmจ้า พ ^~ sr www.kalyanamitra.org
คืออวิชชาให้หมดไป ทั้งโดยบางส่วน เช่น พระโสดาบัน พระสกทา คามี พระอนาคามี และโดยสิ้นเชิง เช่น พระอรหันต์ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า มรรคมีองค์๘ ทั้ง ๒ ระดับ เปรียบเทียบสรุปได้ดังนี้ มมรรรรคคมผีอองงคค์ ๘ — ระดับ 41 เบืองดัน ^ เบองสูง ๑. สัมมาทิฏเ: คือความเห็นถูกเรื่องโลกและชีวิต มีการเห็นเปีนล้กษณะจึงรู้ ความเห๘น'ถ*ูก บุญ - .บ.า_.ป1 ฯลฯ ว่sา .ร.. และเหน ๑. ทานมีผล ๑. อริยสัจ ๔ ๒. การสงเคราะห์มีผล ๒. กุศลมูล - อกุศลมูล ๓. การบชายกย่องมีผล ๓. ไตรลักษณ์ ๔. ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดี ถูกต้องตามความเบืนจริง และชั่วมี ๕. โลกนี้มี ๖. โลกหน้ามี ๗. มารดามี ๘. บิดามี ๙. สัตว์เกิดแบบโอปปาติกะมี ๑๐. สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดี ปฎิบ้ติชอบจนสามารถกำจัด กิเลสให้หมตสิ้นไปไต้ต้วย ตนเองโดยชอบ แล้วสั่งสอน I ผุ้อื่นไห้รุ้ดามมี พุทธประวัติ ฉบบการฟ้นฟูสืลธรรมใลก «๗๕ น\"\"\"ทารดรัสรูของพระBมมาฟ้■มพุทรเจ้า www.kalyanamitra.org
มรรคมีองค์ ๘ ระดิบ เบื้องสูง เบองต้น ๖. สัมมา คือเริ่มตั้งแต่ความคิดดีงามต่างๆ ดำ ริชอบ คือ ความตรึก สังก้ปปะ : ๑. ไม่คิดหมกมุ่นมัวเมาในกาม ความวิตก ความดำริ ความ ความดำริถก และอบายมุข แน่วแน่ ความแนบแน่น ๒. ไม่คิดอาฆาตมาดราย ๓. ไม่คิดร้งแกเอาเปรยบ ความปักใจ ความปรุงแต่งคำ เบยดเบียนใครๆ มีการยกใจขึ้นสู่อารมณ์ที่ จะคิดเฉพาะเรื่องที่ดีงาม เหล่านี้เท่านั้น ๑. ปลอดจากกาม ๒. ปลอดจากพยาบาท ๓. ปลอดจากการ เบียดเบียน ๓. สัมมาวาจา: คือ มีเจตนาเป็นเหตุงดเวนจาก มีการกำหนดยดถือการงด การพูดถูก ๑. การพูดเท็จ การเว้น การเว้นขาดเป็น ต้อง ๒. การพูดส่อเสียด ปรกติจาก ๓. การพูดคำหยาบ ๑. การพูดเท็จ ๒. การพูดส่อเสียด ๔. การพดเพ้อเจ้อ ๓. การพูดคำหยาบ ๔. การพูดเพ'อเจ้อ ๔. สัมมาก้มม้iเตะ คือ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจาก มีการตั้งขึ้นพร้อมโดยธรรม : การกระทำ ๑. การฆ่าสัตว์ ดํ'วยการเว้นขาดเป็นปรกติ ถูกต้อง ๒. การสักทรัพย์ จาก ๓. การประพฤติผิดในกาม ๑. การฆ่าสัตว์ ๒. การสักทรัพย์ ๓. การประพฤติผิดในกาม ทุทธประว้ด ฉป้บการส์นv|ศีลธรรมโลก ©๗๖ นทที๋ D1 การ?เรัคร'ของพระล้มมาลัมพุฑแจ้า www.kalyanamitra.org
มรรคมีองค์๘ ระดับ เบื้องดัน เบื้องสูง ๕. สัมมาอารวะ คือ ระมัดระวังไม่แสวงหารายได้ มีความผ่องแผ้วด้วยการ ะ การเลี้ยง โดยวิธีผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย เวันขาดจากการเลี้ยงชีพ สิพถูก ผิดจารีตประเพณี ดลอดจน ด้วยการทำบาปกรรมทุก มิจฉาชีพ ๕ คือ ชนิดดลอดจนมิจฉาอาชีวะ โดยเด็ดขาดเป็นปรกติ ๑. ไม่ด้ามนุษย์ ๒. ไม่ค้าสิ่งเสพติด ๓. ไม่ค้าอาวุธ ๔. ไม่ค้าสัดว์เป็นให้เขาฆ่า ๕. ไม่ค้ายาพิษ ๖. สัมมา คือ พยายามแนใจข่มใจ ค้ดใจ คือรักษาใจให้สละอารมณ์ วายามะ ะ ห้กมิจฉาทิฏฐิให้เป็นสัมมาฑิฎฐิ ไค้หมดจนกระทั่งมีแต่ใจ ความ ห้กมิจฉาสังกัปปะ ให้เป็นสัมมา ล้วนๆ เป็นปรกติ พยายามถูก สังกัปปะ ๗.สัมมาสติ ะ คือ การบำรุงใจให้อยู่ในตัวอย่าง คือมีความรูสึกตัวพร้อมอยู่ ความระลึก ต่อเนื่องดลอดเวลา เสมอในการบำรุงรักษาใจ ถูก ให้ความสว่างปรากฏ ณ ศูนย์กลางกาย อย่างต่อ เนื่องในทุกอิริยาบถ ๘. สัมมาสมาธิ คือการน้อมใจมาดั้งไวัอย่างมั่นคง คือมีใจดั้งมั่นอยู่กลางธรรม :ความตั้งใจ ณ ศูนย์กลางกาย ซึ่งใสสว่างไม่มประมาณ มั่นถูก เสมือนไข่แดงอยู่กลางไข่ ขาว แล้วถูกธรรมนั้นกรอง ให้บริสุทธี้ใส สว่าง ยิ่งๆขึ้น ไป จนกระทั่งเข้าถึง และ เป็นอันหนื่งอันเดียวกับ ธรรม คือ นิพพาน พุทธประวัสิ ฉบับการส์นฟูฝ็ทธรรมโสก ๑๗๗ บทฑี๋ « การฟิรัสftlสงพระสัมมาสัมทุทธเจา www.kalyanamitra.org
สรุป เAมอพระองค์ทรงรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ ด้วยญาณ ทัสสนะอันบริสุทธก็ทรงรู้ชัดว่า ๑) จิตหลุดพ้นอย่างสินเรงจากอำนาจกิเลสแล้วกล่าวคือ กิเลสซึ่งบีบปังค้บทำร้ายใจของพระองค์มาดลอดระยะเวลายาวนาน แห่งสังสารวัฏ ปัดนี๋ได้ถูกอริยมรรคทั้ง ๔ ® ฆ่าได้อย่างเด็ดขาด หมดสิ้นไปจากใจของพระองค์ ๒)ชาติของพระองค์สินแล้ว คือพระองค์จะไม่กสับมา เวียนเกิดเวียนตายในสังสารวัฏอีกต่อไปแล้ว เพราะกิเลสที่ท่วม ปับใจพระองค์มานับภพนับชาติไม่ถ้วน ได้ถูกกำจัดหมดไปอย่าง สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษเป็นสมุจเฉทปหาน ๓)อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว คือพระองค์ใด้ทรงมาถึงที่สุด ของพรหมจรรย์ ด้วยทรงเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างเต็มเฟ้ยม บริบูรณ์ พระองค์ทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ \"นิพพาน\" แล้ว จึง ไม่ด้องเวียนมาปฏิบีติอริยมรรคมีองค์๘ อีกต่อไป ๔)พระองค์!ด้ทรงทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนีอีกต่อไป เพราะทรงกำจัดกิเลสได้เด็ดขาด ทรงข้ามพ้นวัฏสงสารได้แล้ว และทรงเข้าถึงฝัง \"นิพพาน\" แดน เกษมได้แล้ว จึงไม่มีกิจใดๆ ในอริยสัจ ๔ ที่พระองค์จะด้องทรง กระทำอีก อุปมาเหมีอนนักศึกษาเรียนจบหสักสูตรรับปริญญาแล้ว กิไม่ด้องเรียนวิชาใดๆในหลักสูดรนั้นอีกต่อไป ® อริยมรรค ๔ คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามีมรรค อนาคามีมรรค และอรหัตมรรค พุฑรปรรวัตํ ฉบบการส์นฟูสืล!nรมโลก ๑๗๘ บทฑึ๋ เท ทารตรัสร้ของพ'!ะสัมนาสมพุทธเจ้า V ^-* www.kalyanamitra.org
วิชชา ๓ นี้ ถือได้ว่า เป็นสภาวะที่ใจเป็นอันหนึ่งอัน เดียวอับ \"ธรรม\" สำ คัญที่สุด คือ \"นิพพาน\" เพราะเป็นเหตุ ให้พระองค์เข้าถึงฐานะความเป็น \"พระอรห้นตสัมมา สัมพุทธเจ้า\"โดยสมบูรณ์ พุฑรปรรวัติ ฉบับการส์นฟูสืลธ■รรฆโลก ๑๗๙ บฑที่ at การครัสรู้โเองพระลันมาส้มทุท!!เจ้า จ '^ ^^ B www.kalyanamitra.org
บทที่ ๔ nyi-% i ^-^14ท อานุภาพแห่งการตรัสรู้ การเห็นอริยสัจ ๔ จากการศึกษาเรื่องอาการแห่งการตรัสรู้ธรรมในบทที่ผ่าน มานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าแก่โพธิราชกุมารว่า หสังจาก การบำเพ็ญฌาน ๔ อย่างอุกฤษฏ์รอบแล้วรอบเล่า พระองค์ก็ทรง บรรลุวิชชาที่ ๑ ที่ ๒ และวิชชาที่ ๓ ตามประสบการณ1นการ บำ เพ็ญฌาน ๔ ที่แก่กล้ายิ่งๆ ขึ้นตามลำดับ ทำ ไห่'ศูนย์กลางกาย ของพระองค์ทวีความสว่างสุดจะประมาณ ความสว่างนีเองที่ส่อง ไห่'เห็นแจ้งและรู้แจ้งตามความเป็นจริงว่า นีทุกข์'นีทุกขสมุทัย นี ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินิปฏิปทา นั้นคือ ทรงเห็นอริยสัจ ๔ พุทธป'รราดิ ฉบับการฟ้นฟูศลธรรมโลก ©๘© น*'\" อานุภาพแห่งการตรัสรู้ www.kalyanamitra.org
พร้อมทั้งทรงเห็นและรู้อย่างชัดแจ้งอีกด้วยว่า ทรงบรรลุวิชชาที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ นั่นคือ ทรงหลุดพ้นจากอำนาจกิเลสอาสวะทั้งปวง ได้แก่ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ โดยเด็ดขาด ซึ่งยังผลให็ไม่ ด้องบำเพ็ญเพียรมรรคมีองค์๘ อีกต่อไป เนื่องจากได้พ้นจากวงจร ของวัฏสงสารโดยเด็ดขาดแล้ว ไม่มีสิ่งใดหรือผูใดที่มีอำนาจบีบ ปังคับให้กลับเข้าไปสู่วงจรแห่งทุกข!ด็อีก จากประสบการณ์ที่พระองค์ตรัสเล่านี้ อาจกล่าวอีกอย่าง หนื่งได้ว่า การบำเพ็ญสมาธิภาวนา โดยปราศจากการใชัความ คิดตามหลักตรรกะ ทำ ให้เกิดความสว่างโพลงอย่างลุดประบาณ ขึ้นในจิตของพระองค์ เป็นเหตุให้ทรงเห็นและเป็นอันหนึ่ง อันเดียวอับธรรมที่ทำให้เป็นอริยสัจ ๔ ชัดแจ้งตามจริง จึง เกิดปัญญารู้เท่าอันสังขารทั้งหลายพร้อมอันนั้น อังผลให้ อาสวะกิเลสทั้งหลายที่แอบแฝงแนบแน่น®อยู่ในจิตชัามภพ ชัามชาติมาช้านานสินฤทธ!ปโดยปริยายนั่นคือธรรมที่สว่างโพลง ในจิตสามารถฆ่าอาสวะกิเลส ให้อันตรธานไปอย่างเด็ดขาด ดุจ เดียวอับความสว่างจ้าที่สามารถฆ่าความมีดมิดทุกแห่งหนให้ หมดไปได้ฉะนั้น ® ภาษาธรรมเรียกว่า \"ขันรสันดาน\" คือ การเกิดดับสืบต่อก้นไปของรูปนาม ในที่นี้ มุ่งหมายเอากิเลสขั้นละเอียดคือ\"อนุสัย\"เพราะย้งละไม่ไดัเด็ดขาด เมื่อไดัเหตุเหมาะ สม จงสามารถเกิดสืบต่อในจิดไดัอีก แต่เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้นจึงขอใช้คํๆว่ๆ \"แอบแฝงแนบแน่น\" พุทธประว้สิ ฉบับการต่นฟูสืลธรรมโลก ^ ๑๘๒ ^ นทที ๔ อาไ;ภาพแท่งทารดรัสรุ้ www.kalyanamitra.org
อธิบายการเห็นอริยสัจ ๔ เธิงวิทยาศาสตร์ สำ หรับการเห็นอริยสัจ ๔ นั้น เพื่อให้เข้าใจง่าย อาจจะ อธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ว่า เห็นอะไร และเป็นอย่างไรได้ดังนี้ ๑. เห็นทุกข์คือเห็นความกระสับกระส่ายเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ดลอดเวลาภายในกายและใจ เช่น ๑.๑ เห็นการเกิดและดับของเซลล็ในร่างกายตลอดเวลา เป็นจำนวนมากถึง ๓๐๐ ล้านเซลล์ต่อนาที ๑.๒ เห็นการเกิดและดับอย่างรวดเร็วต่อเนื่องของใจ ดลอดเวลา มากถึงล้านล้านครั้ง เพียงแค่ชั่วลัด นี้วมือเดืยว การเกิดและดับทั้งของเซลล์ในร่างกายและของไจอยู่ ตลอดเวลาเช่นนี้ เป็นเหตุฟ้จจัยนำไปสู่การตายของแต่ละ ช่วิตโดยปราศจากนิมิตหมาย อย่างไรก็ดาม ความทุกข์อันเกิดจาก เหตุทั้ง ๒ ประการนี้ ต่างเกิดจากความไม่บริสุทธิ้ของธาตุภายใน ดัวคนเราเองทั้งสิ้นไม่มืใครเป็นดัวการ โฮ. เห็นทุกขสมุทัยคือเห็นว่ากิเลสที่อยู่ในใจเป็นดัวการบีบ คั้นใจให้เกิดความทะยานอยากความยินดืทั้งในกามคุณ๕ในรูปฌาน รูปภพ และในอรูปฌาน อรูปภพ โดยเห็นชัดว่า ๒.๑ กิเลสยิ่งบีบคั้นใจมาก ความทะยานอยากก็ยิ่ง เกิดขึ้นมาก ๒.๒ ความทะยานอยากยิ่งมาก จำ นวนครั้งของการ เกิดและดับของใจยิ่งสูงขึ้น ทุฑธประวัติ ฉบับการหี๋เนฟูสืลธรรมโรก ๑๙๓ บทพื่ อานุภาพแห่งการตรัสรู้ www.kalyanamitra.org
๒.๓ จำ นวนครั้งของการเกิดและดับของใจยิ่งสูงขึ้น ความทุกข์และความกระสับกระส่ายภายในใจก็ ยิ่งมากขึ้น ๓. เห็นทุกขนิโรธ คือเห็นชัดว่าความทุกข์ และความ กระสับกระส่ายทั้ง กาย และใจ สามารถหยุดและสงบลงได้ด้วยการ ทำ ใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายในณศูนย์กลางกายของตนโดยเห็นชัดว่า ๓.๑ เมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ณศูนย์กลางกายอย่างสมบูรณ์เต็ม ที่ ใจก็เป็นอันหนิ่งสันเดียวกับธรรมคือนิพพาน ความทะยานอยากก็ดับหรือหมดไป ๓1..๒ เมื่อความทะยานอยากหมดไป การเกิดและดับ ของใจก็หยุดชะงักลง ๓1..๓ เมื่อการเกิดและดับของใจหยุดชะงักลง ความทุกข์ ก็สงบลง เพราะกิเลสหมดฤทขึ้ด้วยอำนาจของธรรม ๔. เห็นทุกฃนิโรธคามินิปฏิปทาหรือเห็นมรรคมีองค์๘ อัน เป็นข้อปฏิบัติเพียงประการเดียวเพื่อให็ใจหยุดนิ่งอยู่ภายใน ณ ศูนย์กลางกายอย่างถาวร ใจจึงเข้าถึงและเป็นอันหนิ่งอันเดียวกับ ธรรม เหมีอนไข่แดงเข้าไปอยู่ภายในไข่ขาว ความบริสุทธี้ใสสว่าง ของธรรมนั้น ย่อมฆ่ากิเลสในใจให้หมดไปโดยสิ้นเชิง เหมีอน แสงสว่างของดวงอาทิดย็ในยามเที่ยงวัน ย่อมฆ่าความมีดที่ห่อ หุ้มโลกให้หมดไปฉะนั้น ทุทธประวัต ฉบับการฟ้นฟูสิ{(ธรรมโรก ๑๘๙ บทที่ ๔ อานุภาพนท่งการตรัพู้ 0''พ www.kalyanamitra.org
คุณอันประเสริฐของสัมมาสมาธิ ก่อนที่จะตรัสรู้อริยสัจ ๔ นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรง บำ เพ็ญทุกกรกิริยาตามแบบผู้แสวงหาอื่นๆ ด้วยการทรมานกาย อย่างอุกฤษฏ์จนแทบจะไม่สามารถดำรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ แดํก็ ไม่สามารถพบกุศลหรือ ธรรมตามที่ทรงตั้งปรารถนาไว้ตั้งแต่คราว เสด็จออกบรรพชา ครั้นเมื่อทรงเปลี่ยนมาปฎิบํติอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือสัมมาสมาธิอันประกอบด้วยองค์ ๗ ด้วยปัญญาอันยิ่งของ พระองค์เอง ก็สามารถประสบผลสำเร็จตามปรารถนา คือ เห็นอริยสัจ ๔ บรรลุอาสว้กขยญาณ รู้ชัตว่า \"หลุดพ้นแล้ว\" ซึ่งไม่เคยมี บัณฑิตนักปราชญ์ที่ต่างก็เป็นผู้แสวงหาร่วมสมัยอับพระองค์ บรรลุมรรคผลด้งเช่นพระองค์เลย ด้งนั้นจึงกล่าวได้ว่า ๑. สัมมาสมาธิ อันประกอบด้วยองค์ ๗ เป็นวิธีเจริญ สมาธิภาวนาที่ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง เป็นการปฏิบัติที่ มนุษย์เราพึงยึดเป็นหสักปฏิบัติอันจำเป็นในชีวิตประจำวัน เพราะนอกจากจะช่วยให้มนุษย์เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ใน กรอบสัมมาฑิฏฐิเสมอ สามารถสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้น โดยไม่หลงไปก่อบาปอกุศลแล้ว ยังมีโอกาสหลุดพ้นไปจาก วัฏสงสาร บรรลุมรรคผลนิพพานด้งเช่นพระอรห้นตสาวก ทั้งหลายในภพชาติเบื้องหน้าต่อๆไปอีกด้วย ไอ. การเห็นอริยสัจ ๔ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยมังสะ จักษุหรือตาเนื้อมนุษย์ แต่ด้องมองเห็นด้วยธรรมจักษุหรือ ตาธรรมอันเนื่องมาจากการเจริญสัมมาสมาธิอันประกอบด้วย ทฑ&ปรราผํ ฉบับการส์นฟูคลทรมโลก ^ ©๘๕ ^ ม*'\" อานุภาพนหํงทารคร้■สรู้ www.kalyanamitra.org
องค์ ๗ เท่านั้น เพราะถ้าตาเนื้อสามารถเห็นอริยสัจ ๔ ได้ แพทย์ พยาบาล สัปเหร่อคงบรรลุธรรมหมดทั้งโลกแล้ว เนื่องจากอยู่ใกล้ ชิดและเห็นการเกิด-แก่-เจ็บ-ดาย อยู่เป็นประจำ อนึ่ง มีสิ่งสำคัญที่ผู้สนใจเริ่มแกสมาธิจำเป็นด้องรู!วอีกด้วย ว่า การเจริญสมาธิภาวนาที่เริยกว่า\"สัมมาสมาธิ\"นั้นจำต้อง วางจิตไว่ในต้ว ณ ศูนย์กลางกายของตนเอง การวางจิตไว้ นอกต้ว ไม่จัดเป็น \"สัมมาสมาธิ\"® นึ่งนอกจากจะไม่ช่วยให้ บรรลุมรรคผลตามหสักพระพุทธศาสนาแล้ว สมาธินอก พุทธศาสนาบางประเภทยังอาจเกิดโทษภ้ยแก่ผู้ปฏิบัติอีกต้วย สมาธิภาวนา ๔ ประการ การเจริญสมาธิภาวนา มีสักษณะคล้ายกับการสั่งสม ประสบการถnนการปฏิบตกิจกรรมต่างๆ ดามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น หรือที่นิยมเรียกกันว่าสะสม \"ชั่วโมงบิน\"กล่าวคือยิ่งมีประสบการถ! ในการบำเพ็ญเพียรนานเพียงใด ก็จะมีความกัาวหน้าในการ บำ เพ็ญเพียรสูงขึ้นเพียงนั้น ® คำว่า\"ไฝจัดเป็นส้มมาสมาธ\"มีความหมาย๒ อย่างคือ ๑. ไม่จัดเป็นมิจฉาสมาธิ คือสมาธิขั้นอัปปนาของผู้ที่ฟ้กจิตโดยการวางใจไว้ ณ ที่ตั้งอื่น(นอกจากศูนย์กลางกายฐานที่๗ ณภายในตัว)เช่นของพวกฤๅษีดาบส ตังที่พระผู้มีพระภาคก่อนดร้สรู้เคยไปfiกกับอาจารย์ดาบสทั้ง ๒ แม้ไม่จัดเป็น มิจฉาสมาธิ เพราะเกิดในมห้คคดกุศลจิด แต่ก็ไม่จัดเป็นส้มมาสมาธิ เพราะเป็น บาทฐานในการเจริญวิปัสสนาไม่ไตั และไม่จัดเป็นส้ลเลขธรรมเพื่อกำจัดกิเลส แต่ เป็นไปเพื่อสุขวิหารธรรมเท่านั้น พระโพธิส้ตว์จึงทรงละทั้งเสีย ๒. จัดเป็นมิจฉาสมาธิเพราะเกิดในอกุศลจิดทั้งหมดเช่นในการคิดพูดทาความ ขั้วต่างๆ แต่เป็นระตับกามาวจรจิตเท่านั้น ตังนั้นมิจฉาสมาธิในระตับรูปาวจรจิต อรูปาวจรจิตจึงไม่มี แต่จะเป็นส้มมาสมาธิหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับฐานที่ตั้งจิตตังกล่าวแล้ว พทรปรรวัด๊ นบับการส์นฟูสิสธTjyโสก ๑๘๖ บทที่ ๔ อานุภาพนหํงการตร้สรุ้ ปี ^'if \\ a www.kalyanamitra.org
พระสัมมาส้มพุทธเจ้าได้ทรงแบ่งว้ตถุประสงค์ หรือเป้า หมายในการบำเพ็ญสมาธิภาวนา ซึ่งจะก่อให้เกิดผล ๔ บ่ระการ ด้งนี้ ๑. สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้ว ย่อม เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในฟ้จจุบ้น® การเจริญภาวนาเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เริ่มจากการที่ผู้ บ่ฎิบํตมีจิตจดจ่ออยู่กับนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสมมุติขึ้น จิตจึง ไม่ชัดส่ายคิดไบ่ในเรื่องต่างๆ บังผลให้สงัดจากกามและอกุศลธรรม จึงบรรลปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร คือการดรืกระลึกนึกพิจารณาอย่ <1 <1<3 'น เฉพาะนิมิต จิตจึงสงบหรือวิเวกยิ่งขึ้น ทำ ให้เกิดปีติคือความดื่มดร ในใจซึ่งอาจทำให้มีอาการขนลุกและนํ้าตาไหลอย่างมีความสุข การเจริญสมาธิภาวนาในวัตถุประสงค์ที่ ๑ นี้ เพื่อระงับ ทุกขเวทนาทางกายและความกระวนกระวายทางใจของปุถุชนผู้ ได้ฌาน ของพระอริยบุคคลผู้!ด้ฌาน และผู้เข้าผลสมาบัติได้ ดลอดจนพระอรห้นค์สุกขวิปัสสกะ ผู้ทำ ฌานให้เกิดภายหสังที่ บรรลุอรห้ตให้ผลแล้ว การเจริญสมาธิภาวนาของปุถุชนในขั้นนี้ ขั้นที่ ๑ เริ่มจาก การรักษาศีลให้บริสุทขึ้ สำ รวมอินทรืย์๖ มีสติสัมปชัญญะในการคิด พูด ทำ ให้อยู่เฉพาะในกุศลธรรม มีความสันโดษยินดีพอใจใน กุศลธรรมขณะนั้น ไม่ทะยานอยากในกาม ประคองจิตให้อยู่ใน กุศลนิมิตทั้งวัน ใจย่อมปลอดจากกิเลสกาม จากพยาบาท จาก ® สมาธิภาวนาสูตร ะ อัง.จตุกก.(ไทย)๒๑/๔๑/๖๘ พุฑรประวัติ ฉบับทารฟ้นฟูสืลธรรมโลก ^ ๑๘๗ ^ บทฑึ่ อา!นุฑพนท่งการตรัสรู้ www.kalyanamitra.org
ความง่วงเหงาหาวนอน เพราะกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง จิตจึง สงบอยู่ภายในตัวไม่ซัดส่ายไปภายนอกกาย และย่อมละวิจิกิจฉาได้ เพราะเห็นสภาวธรรมขั้นตันนี้ว่า มีอยู่จริง สามารถเข้าถึงได้ ความสงบระตับนี้ยังอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ เพราะนิวรณธรรม ๕ ยังไม่สงบราบคาบเสียทีเดียวจึงสงบระงับเป็นพักๆ ต่อเมื่อผู้ปฏิบดพิจารณาเห็นอกุศลคือนิวรณธรรมที่ดนละได้ และเห็นสภาวธรรม คือความสงบสว่างอย่างต่อเนื่อง ทำ ให้เกิด ปีติปราโมทย์ กายใจสงบระงับ เข้าถึงสุขอันปราศจากกามอย่าง ดื่มดาในใจ จิตย่อมตั้งมั่นเป็นดวงกลมใสสว่างภายในตน บรรลุ \"ปฐมฌาน\"นิวรณธรรมสงบระงับอย่างราบคาบต่อเนื่องไม่รบกวน จิต ปีติและสุขที่เกิดจากความสงัดจากอกุศลธรรมจึงเกิดขึ้นท่วม ทับทั่วสรรพางค์กายยิ่งขึ้นไปอีก หากผู้ปฏิบัตินำใจมาตั้งไว้ณ ศูนย์กลางกายตั้งแต่แรก แกสมาธิเมื่อจิตสงบนิ่งจนนิวรณรรรมสงบระงับสนิท ก็จะเห็น เป็นดวงกลมใสสว่าง ณ ศูนย์กลางกายภายในตัว และจะ พบเห็นสภาวธรรมที่ลุ่มลึกยิ่ง ๆขึ้นไปจนเห็นกายในกาย แต่หากนำใจไปตั้ง ณ ฐานอื่นนอกจากศูนย์กลางกาย ก็จะเห็นความสว่างอย่างเดียว หรือ อาจเห็นดวงสว่างบัาง แต่ก็จะไม่เห็นสภาวธรรมที่ลุ่มลึกยิ่ง ๆ ขึ้นไป และไม่เห็น กายในกาย ความแนบแน่น ความสงบวิเวก ความปีติ และ ความสุข ก็จะน้อยยิ่งกว่าการนำใจมาตั้งไว้ณ ศูนย์กลางกาย พทรป-!รวัฅิ นบับทาใส์นฟูสิลธรรมโลก ^ ๑๘๘ ^ มททึ่ ๔ อานุภาพแท่งทารตรัสรู้ www.kalyanamitra.org
ขั้นที่ ๒ ให้ผู้ปฏิบัติประคองใจให้หยุดนิ่งอยู่ที่จุดเล็กใส กลางดวงสว่างภายในตัวแบบสบายๆ เรื่อยไปในทุกอิริยาบถ โดยเฉพาะ ขณะนิ่งสมาธิ ใจก็ยิ่งผ่องใสภายใน เห็นเป็นดวงที่ใส สว่างกว่าดวงแรก ผุดขึ้น ณ กลางดวงสว่างของดวงแรกเป็น อัตโนมัติ โดยไม่ต้องตรึกตรองอีก® เพียงวางใจดรงนั้นเรื่อยไป ก็จะเห็นดวงใสสว่าง ผุดขึ้นใสสว่างกว่ากันเป็นลำตับ ปีติและสุข ที่เกิดจากสมาธิ จึงเกิดขึ้นท่วมกับทวสรรพางค์กายยิ่งขึ้นไปกว่า ขั้นแรกอีก สมาธิระตับนี้เรียกว่า \"ทุติยฌาน\" กัาผู้ปฏิบัติสามารถประคองใจให้หยุดนิ่ง ณ ศูนย์กลาง กายต่อไปอีก ปีติก็จะจางคลายไป เหลือแต่อุเบกขา'° และมี สติสัมปชัญญะดลอด ใจก็ยิ่งมีความสุขยิ่งขึ้น เป็นสภาวะที่เรียกว่า บรรลุตติยฌานที่พระอริยะสรรเสริญว่า*ผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุข' เพราะละสุขและทุกข์ได้ อันเป็นเหตุให้โสมนัส คือ ความ ปลาบปลื้มใจ และโทมนัส คือ ความเสียใจ ความทุกข์ ตับสิ้นไป จึงบรรลุจตุตถฌาน อันเป็นสภาวะของจิดที่ไร้ทุกข์ ไร้สุข แต่มีสติ บริสุทธิ้เนิ่องจากอุเบกขา ® ภาควิชาการใช้ข้อความว่า \"มีดวามผ่องใสแห่งใจในภายในตน เป็นธรรมเอก ผุดขน เพราะวิตก วิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร\" เพราะกุศลสัมปยุตตธรรม ที่ประณีตกว่าผุดเกิดขึ้นอย่างเด่นช้ด เนื่องจากสามารถละองค์ของปฐมฌานที่หยาบ คือวิตกวิจารได้ ^ อุเบกขาในฌานนี้ จัดเป็นฌานุเบกขาโดยตรง เพราะอุเบกขาในฌานนี้มีสภาวะที่ เด่นกว่าในฌานขั้นด้นๆ ที่ผ่านมาอย่างเด่นช้ด เนื่องจากละองค์กุศลธรรมในฌานด้น (ฌาน ๑-๒)ได้ ไม่ใช่อุเบกขาเวทนา แด่เป็นสุขเวทนาที่ประณีตกว่า เพราะถูก ควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะ ทุฑรปรราผ ฉบับการฟ้[นฟูสิลธรรมโลก ©«-๙ อานุภาพแห่งการตร้รทู้ 0'''^ 9 a www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280